อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 676-682

ตอนที่ 676 กลับมาเจอกันอีกครั้ง (3)

 

ลงมาชั้นล่างใบหน้าของเธอยังขาวซีดเหมือนเดิม


 


 


เดินเข้าไปในห้องทำงานก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และใช้นิ้วคลึงระหว่างคิ้วแรงๆ เธอหวังว่าทุกอย่างจะไม่ดำเนินไปตามที่เธอคิดไว้!


 


 


ไป๋หลางเปิดประตูเข้ามาด้วยความเป็นห่วง พอเห็นท่าทางของเธอจึงเรียกให้เลขาชงชาเข้ามาเสิร์ฟ เขาปิดประตูเอาน้ำชาวางไว้บนโต๊ะทำงานใกล้ๆ เธอ


 


 


ไป๋ซู่เย่ยืดหลังตรงปรับสีหน้าให้จริงจัง “ขอบคุณ”


 


 


ไป๋หลางกล่าวเสียงนิ่ง “วันนี้มีนายพลหลายท่านรีบร้อนมาเพื่อพูดคุยเรื่องของไฟเรนเซ่แต่เช้า”


 


 


“พวกเขาคุยกับฉันแล้ว แต่แค่ไม่กี่ประโยคก็ให้ฉันลงมาก่อน”


 


 


ไป๋หลางเริ่มกังวล “พวกเขา อยากให้คุณเข้าใกล้…”


 


 


“ไม่มีอยากหรือไม่อยาก สำหรับเรื่องนี้เบื้องบนยังไม่มีวิธีแก้ที่ได้ผลออกมา อย่าเพิ่งคิดไปไกล”


 


 


ไป๋ซู่เย่พูดขัดไป๋หลาง ทั้งที่ตนบอกว่าอย่าเพิ่งคิดไปไกลแต่ในหัวกลับวุ่นวายยิ่งกว่าสิ่งใด


 


 


แต่เรื่องเดียวที่นับได้ว่าโชคดีนักคือช่วงสิบวันนี้เย่เซียวไม่ได้ปรากฏตัวในโลกของเธออีก


 


 


ชั่ววินาทีนี้เธอหวังเหลือเกินว่าเย่เซียวจะไม่ปรากฏตัวอีกตลอดชีวิต…


 


 


หลีกเลี่ยงเธอไปชั่วชีวิต…


 


 


“ไปเอาข้อมูลทั้งหมดของไฟเรนเซ่มาให้ฉันชุดหนึ่ง ฉันต้องการดูให้ละเอียดว่ามีช่องโหว่ตรงไหนบ้างหรือเปล่า”


 


 


“ครับ” ไป๋หลางได้รับคำสั่งเลยปิดประตูออกไปแล้ว


 


 


ไป๋ซู่เย่นั่งศึกษาเรื่องของไฟเรนเซ่ตลอดช่วงเช้า ความจริงข้อมูลของไฟเรนเซ่เธอคุ้นเคยยิ่งกว่าอะไร ในบรรดาเป้าหมายที่รัฐบาลทั่วโลกให้ความหวาดระแวงไฟเรนเซ่อยู่ในสามอันดับแรก เขาไม่ได้ผันมาจากยศตำแหน่งทหารอะไร เขาเป็นแค่คนชนชาติผิวขาวคนหนึ่งที่นั่งบนเก้าอี้เข็นและมือที่อ่อนแรงคนหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้ชายคนนี้กลับเป็นพ่อค้าอาวุธรายใหญ่ของโลก เพื่อความมั่งคั่งเขาเคยจุดประกายสงครามขนาดเล็กและใหญ่มาครั้งนับไม่ถ้วน


 


 


ผู้ชายคนนี้ก็คือพ่อบุญธรรมของเย่เซียว


 


 


เธอรู้ถึงความสำคัญที่ผู้ชายคนนี้มีต่อเย่เซียว เย่เซียวได้รับการเลี้ยงดูจากเขามาตั้งแต่เด็ก สอนให้เขารู้ว่าอะไรคือความจงรักภักดี อะไรคือน้ำใจ อะไรคือความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง อะไรคือเห็นความตายจนชินชา


 


 


เย่เซียวต้องยอมสละกระทั่งชีวิตเพื่อเขาได้แน่ๆ


 


 


ไป๋ซู่เย่ปิดข้อมูลของไฟเรนเซ่ รู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะแตกร้าว


 


 


ช่วงบ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานมื้อเที่ยงเสร็จกลับไปรับฮูหยินคุณหญิงไป๋กับเซี่ยต้าไป๋ที่จงซัน


 


 


“คุณป้า!” เซี่ยต้าไป๋เห็นเธอก็วิ่งมาแต่ไกล เห็นรอยยิ้มใสซื่อของเด็กน้อยถึงช่วยปัดเป่าอารมณ์หม่นหมองของเธอไปได้บ้าง ฮูหยินคุณหญิงไป๋แต่งตัวเป็นพิธีการอย่างมากในวันนี้ อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนและสร้อยคอมุก ท่านผู้เฒ่าคุณท่านในชุดสูทสไตล์จีนสีน้ำเงินเข้ม ขับให้ดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก


 


 


“ขึ้นรถกันเถอะ สายแล้ว” ไป๋ซู่เย่อุ้มเซี่ยต้าไป๋ขึ้น “เหมือนหลานตัวหนักขึ้นอีกแล้วนะ”


 


 


“อื้ม! ตอนนี้เป็นช่วงที่ตัวผมกำลังโต” เซี่ยต้าไป๋อมอมยิ้ม “คุณป้า จะเอาสักเม็ดมั้ยไหมครับ?”


 


 


“ได้ ให้ป้าสักเม็ดสิ” เซี่ยต้าไป๋แกะลูกอมกลมๆ เม็ดหนึ่งใส่ปากไป๋ซู่เย่ ท่านผู้เฒ่าคุณท่านที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “บอกแล้วว่าเด็กกินลูกอมยิ้มเยอะฟันจะผุ คุณก็ตามใจเขาไปเถอะ เดี๋ยวกลับมาเย่ฉิงโทษขึ้นมาก็โทษคุณแล้วกัน”


 


 


ท่านผู้เฒ่าคุณท่านพูดตำหนิฮูหยินคุณหญิงไป๋


 


 


ฮูหยินคุณหญิงไป๋ถือกระเป๋าเดินอ้อมไปนั่งเบาะหลัง “คุณไม่ตามใจทำไมไม่เห็นคุณห้ามต้าไป๋กินบ้างล่ะ! อยากให้ฉันสวมบทคนร้าย ไม่มีทาง มา ต้าไป๋ มานั่งข้างหลังกับคุณย่า”


 


 


ประโยคหน้าน้ำเสียงดุดันแต่พอประโยคหลังที่พูดกับเด็กน้อยกลับอ่อนโยนเหลือเกิน


 


 


ไป๋ซู่เย่อุ้มเด็กน้อยไป วันนี้เธอได้เตรียมเบาะนั่งสำหรับเด็กก่อนออกจากห้องมาโดยเฉพาะ รัดเข็มขัดเสร็จถึงขับรถไปที่บ้านพักแช่น้ำร้อน


 


 


“ซู่ซู่ ทำไมแม่รู้สึกว่าช่วงนี้ลูกผอมลงไปเยอะเลยหล่ะ?” ฮูหยินคุณหญิงไป๋หยอกหลานไปก็คุยกับเธอไปพลาง


 


 


“แม่คิดไปเองหรือเปล่า หนูก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”


 


 


ท่านผู้เฒ่าคุณท่านเหลือบข้างมองเธอ “ช่วงนี้งานกดดันมากไปใช่มั้ยไหม?”


 


 


“ยังดีค่ะ”


 


 


“อืม เรื่องานอย่าฝืนตัวเองมากเกินไป”


 


 


“หนูรู้ค่ะ”


 


 


ท่านผู้เฒ่าคุณท่านเองก็ไม่ได้ถามมาก งานของเธอค่อนข้างพิเศษกว่าปกติหลายอย่างเลยจึงไม่อาจบอกให้คนภายนอกรู้รวมถึงคนในครอบครัว


 


 


กลุ่มคนขับรถมาถึงบ้านพักแช่น้ำร้อน พวกเขาถือว่ามาสายที่สุดเนื่องจากที่บ้านพักมีผู้คนที่มาเพื่อร่วมฉลองวันเกิดตั้งมากแล้ว


 


 


พ่อแม่ยวิ๋นอวิ๋นเห็นพวกเขามาถึงก็ดีใจอย่างมาก เดิมทีกำลังอยู่กับแขกคนอื่นก็รีบขอตัวกับแขกคนอื่นเพื่อมาต้อนรับทางนี้แทน


 


 


ท่านผู้เฒ่าคุณท่านเอาของขวัญไว้บนมือคนตระกูลยวิ๋นอวิ๋น ยวิ๋นอวิ๋นมู่เทียนหัวเราะเสียงดัง “พี่ บอกแล้วว่าแค่มาแต่ตัวก็พอ ของขวัญอะไรนี่ งดได้ก็งด!”


 


 


“ร้อยปี ไม่ใช่อายุธรรมดา ของขวัญก็ต้องมี”


 


 


“วันนี้มีคนมาไม่น้อยสินะถึงได้ครึกครื้นขนาดนี้” ฮูหยินคุณหญิงไป๋กวาดมองรอบข้างพบว่ามีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก แต่ทุกคนล้วนอยู่ในชุดเป็นทางการ เซี่ยต้าไป๋ที่น้อยครั้งจะได้เจอผู้คนมากมายเช่นนี้เลยตื่นเต้นอย่างมาก


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ ทั้งจากวงการการเมือง วงการธุรกิจ ขอแค่คนที่สนิทกันหน่อยก็อยู่นี่หมด ทุกคนมารวมตัวจะได้คึกคัก ยวิ๋นอวิ๋นช่วน ลูกมานี่สิ ซู่ซู่มาแล้ว”


 


 


ไป๋ซู่เย่เพิ่งจอดรถเสร็จก็ได้ยินคุณหญิงยวิ๋นอวิ๋นเรียกยวิ๋นอวิ๋นช่วน พอเงยหน้ามองเห็นยวิ๋นอวิ๋นช่วนกำลังต้อนรับแขก วันนี้เขาแต่งกายให้ดูสมกับเป็นสุภาพบุรุษ ตอนที่เธอเห็นเขาเขาเองก็เงยหน้าขึ้น ทั้งคู่สบตายิ้มให้กันเบาๆ


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนบอกอะไรบางอย่างกับแขกก่อนรีบสับเท้ามาทางนี้


 


 


สีหน้าระรื่นใจนัก


 


 


ฉากนี้เหล่าผู้ใหญ่เห็นเองกับตา รู้สึกปลื้มใจอย่างมาก


 


 


“ผมคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วซะอีก” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนพูดด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างปิดไม่มิด


 


 


ท่าทีของไป๋ซู่เย่กลับราบเรียบดังเดิม “งานวันเกิดของคุณลุงคุณป้า ต้องมาแสดงความยินดีอยู่แล้ว”


 


 


“พอแล้วๆพอแล้ว เราก็อย่ามัวยืนตรงประตูเลย” ยวิ๋นอวิ๋นมู่เทียนพูดอย่างดีใจ “ทุกคนเข้าไปข้างในสิ ผมน่ะ จะพาพวกคุณไปเดินดูห้องแช่น้ำร้อนก่อน”


 


 


“ให้พนักงานพาเราไปก็พอ แขกเยอะขนาดนี้พวกคุณก็ยุ่งพอแล้ว” ท่านผู้เฒ่าคุณท่านถือไม้เท้าเดินเข้าไปข้างใน


 


 


“ฮ่าๆฮ่า ยุ่งขนาดไหนก็ต้องต้อนรับพวกคุณก่อน” คุณหญิงยวิ๋นอวิ๋นหันกลับไปบอกลูกชาย “ยวิ๋นอวิ๋นช่วน ลูกพาซู่ซู่ไปดูห้องของซู่ซู่แล้วกัน”


 


 


“ผมจะนอนห้องเดียวกับคุณป้า ผมจะแช่น้ำร้อนกับคุณป้า” เซี่ยต้าไป๋โพล่งขึ้นมา มือเล็กคว้ามือของไป๋ซู่เย่ไว้


 


 


ก้างขวางคอตัวน้อยนี่หนอ


 


 


ฮูหยินคุณหญิงไป๋รีบพูดขึ้น “เดี๋ยวพ่อของหลานก็มาแล้ว หลานไม่อยู่กับเขาหรือไง?”


 


 


“ผมไม่อยากอยู่กับเสี่ยวไป๋หรอก ผมจะอยู่กับคุณป้า”


 


 


“…” ฮูหยินคุณหญิงไป๋กำลังจะพูดอะไรไป๋ซู่เย่ก็กล่าวขึ้น “ก็ให้ต้าไป๋อยู่กับหนูเถอะ ไม่เป็นไร”


 


 


“ก็ได้” ฮูหยินคุณหญิงไป๋พยักหน้ารับ


 


 


ดังนั้นเพียงชั่วครู่ทุกคนต่างก็กระจายไปต่างทิศ ผู้อาวุโสตระกูลยวิ๋นอวิ๋นทั้งสองท่านเดินนำท่านผู้เฒ่าคุณท่านกับฮูหยินคุณหญิงไป๋ไปทางใต้ ส่วนเธอกับยวิ๋นอวิ๋นช่วนพาเซี่ยต้าไป๋เดินไปทางเหนือ


 


 


บริเวณบ้านพักแช่น้ำร้อนนี้กว้างใหญ่มากและมีบ่อน้ำร้อนมากด้วยเช่นกัน มองไปน่าจะรับรองแขกได้หลายพันคนทีเดียว


 


 


บ้านพักนี้ตกแต่งได้งามสง่าและดูสดชื่น ไอลอยโขมงขึ้นจากสระน้ำทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกเซียนชั่วขณะ


 


 


………………………………… 

 

 


ตอนที่ 677 กลับมาเจอกันอีกครั้ง (4)

 

นี่เป็นเขตส่วนตัวของตระกูลยวิ๋นอวิ๋นซึ่งไม่เคยเปิดให้บริการแก่บุคคลภายนอกมาก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่เปิดรับแขกในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน


 


 


“แม่ผมเก็บห้องที่เห็นทิวทัศน์ทั้งบ้านพักนี้ให้คุณโดยเฉพาะเลย หวังว่าคุณจะชอบ” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนเดินไปก็ชวนเธอคุยไป


 


 


ไป๋ซู่เย่พยักหน้า “ขอบคุณคุณป้าแทนฉันด้วย”


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนอมยิ้มอบอุ่น “คุณไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้”


 


 


“คุณลุง คุณลุงเป็นแฟนของคุณป้าผมหรือครับ?” เซี่ยต้าไป๋แหงนศีรษะเล็กถาม


 


 


เอ่อ?


 


 


พอเขาถามยวิ๋นอวิ๋นช่วนก็เริ่มไม่รู้ควรตอบอย่างไร เขามองไป๋ซู่เย่แวบหนึ่ง ไป๋ซู่เย่แค่ลูบศีรษะเด็กน้อยทีแล้วบอก “ไม่ใช่ คุณป้ายังไม่มีแฟนนะ”


 


 


“อ่อ แต่คุณป้ากับคุณลุงเหมาะสมกันดีนะครับ คุณย่าบอกแล้ว ผมว่าคุณลุงคนนี้ก็ไม่แย่ ตอนนี้สิ่งที่คุณย่าเป็นกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องชีวิตแต่งงานของคุณป้าล่ะ”


 


 


ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่นั่นทำให้ยวิ๋นอวิ๋นช่วนนึกขำ


 


 


“ขอบคุณคุณตัวเล็กที่ชื่นชอบ”


 


 


ไป๋ซู่เย่หยิกติ่งหูเซี่ยต้าไป๋ที “คุณย่าเธอสั่งให้มาเกลี้ยกล่อมใช่มั้ยไหม?”


 


 


“ไม่ใช่หรอก แต่คุณย่าเป็นห่วง ผมเองก็รีบร้อนใจตามเหมือนกันไง”


 


 


ขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยอยู่เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางพวกเขาอย่างเร่งรีบ ยวิ๋นอวิ๋นช่วนดูเห็นว่าเป็นคุณลุงของตนสองท่านและคนอีกกลุ่มที่เดินตามหลัง


 


 


กำลังจะแนะนำให้ไป๋ซู่เย่รู้จักแต่กลุ่มคนนั้นกลับชะงักฝีเท้า คุณลุงสองของตระกูลยวิ๋นอวิ๋นชิงพูดขึ้นก่อนโดยไม่รอให้ยวิ๋นอวิ๋นช่วนได้กล่าว “ยวิ๋นอวิ๋นช่วน เธออย่ามัวแต่ยืนนิ่งสิ ไปเรียกพ่อแม่ของเธอมา รีบไปรับแขกที่หน้าประตูเร็ว”


 


 


“ท่านประธานาธิบดีมาแล้วเหรอ?” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนเห็นพวกเขาก็คิดแล้วว่าต้องไปต้อนรับแขกคนสำคัญอย่างแน่นอน


 


 


“เสี่ยวไป๋มาแล้วเหรอ?” เซี่ยต้าไป๋เองก็มองไปทางประตู


 


 


แต่เหล่าคุณลุงทั้งหลายกลับไม่พูดพร่ำทำเพลง ได้แต่สับเท้าเดินไปทางประตู


 


 


ไป๋ซู่เย่มองเขา “คุณไปเถอะ ให้พนักงานพาฉันไปห้องก็พอ”


 


 


“คุณป้า เราก็ไปด้วยกันได้มั้ยไหม?” เซี่ยต้าไป๋เขย่าแขนเธอไปมา “เสี่ยวไป๋มาแล้ว เราไปหาเขาที่หน้าประตูกัน”


 


 


ไป๋ซู่เย่ครุ่นคิดทีก่อนจะหยักศีรษะรับ ทั้งสามคนจึงเดินย้อนไปทางประตูใหม่


 


 


……………………


 


 


รอไป๋ซู่เย่มาถึงหน้าประตูเธอถึงพบว่าคนที่มาไม่ใช่น้องชายของตนอย่างไป๋เย่ฉิง


 


 


แต่เป็น…


 


 


เย่เซียว!


 


 


วันนี้เขาพาหยูอันมาเพียงคนเดียวโดยไร้เงาของน่าหลัน เจ้าตัวเดินลงจากรถแล้วและกำลังยืนจับมือทักทายกับกลุ่มคนตรงประตู เทียบกับความกระตือรือร้นของคนตระกูลยวิ๋นอวิ๋นเขายังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม ก้มศีรษะเล็กน้อยเท่ากับไว้หน้าอย่างมากแล้ว


 


 


ไป๋ซู่เย่เผลอหายใจติดขัด


 


 


เซี่ยต้าไป๋ร้องออกมาด้วยความเจ็บเบาๆ “โอ้ย” แหงนหน้าขึ้น “คุณป้า คุณป้าบีบมือผมเจ็บมากเลย”


 


 


“ขอโทษนะ” ไป๋ซู่เย่ปล่อยมือออก “ยวิ๋นอวิ๋นช่วน ฉันพาต้าไป๋ไปห้องก่อนนะ คุณไปต้อนรับแขกเถอะ”


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนหยักหน้ารับและมองเธอแวบหนึ่ง “คุณก็รู้จักเย่เซียว ไม่ไปทักทายหน่อยเหรอ?”


 


 


“ไม่ล่ะ ความจริงเราไม่ได้สนิทกันมาก” เธอไม่ได้พูดอะไรอีก จูงเซี่ยต้าไป๋หันหลังเดินไปและรู้สึกคล้ายว่าเซี่ยต้าไป๋เดินช้าเกินไปทำให้เธอตัดสินใจอุ้มเขาจากพื้นหลังเดินได้ไม่กี่ก้าว


 


 


เธอไม่ได้หันกลับไปมอง


 


 


จึงไม่เห็นสายตาของเย่เซียวที่จรดไว้ที่แผ่นหลังที่กำลังเดินหนีอย่างร้อนรนของเธอชั่วครู่


 


 


ดีมาก!


 


 


ไม่เจอกันสิบวัน ผู้หญิงคนนี้กล้าหลบหนีเขา!


 


 


………………


 


 


“คุณป้า เป็นอะไรไปเหรอ? ไม่สนุกเหรอ?” เซี่ยต้าไป๋มองอารมณ์ที่ผิดปกติของเธอออก


 


 


ไป๋ซู่เย่ใจว้าวุ่นมาก ตอนนี้เธอแค่อยากอยู่ห่างจากเย่เซียวให้มากที่สุด ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี เธอไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเขาอีก เรื่องของไฟเรนเซ่ทำให้เธอไม่อยากเข้าร่วมอย่างเห็นแก่ตัว


 


 


ตัวอยู่ในตำแหน่งสำคัญเช่นนี้มันช่างน่าอายนักที่เกิดความคิดนี้ได้ แต่เธอเองก็มีช่วงเวลาที่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน


 


 


“คุณป้าอย่าเศร้าไปเลยนะ”


 


 


“คุณป้ารู้จักคนเมื่อกี้เหรอ?”


 


 


“…อืม รู้จัก”


 


 


“เขาคือใครเหรอ? ดูเหมือนจะเก่งมากเลย เก่งกว่าเสี่ยวไป๋เหรอ?”


 


 


“ใช่ เขาเก่งมาก เขาเก่งเหมือนเสี่ยวไป๋เลย”


 


 


หากเย่ฉิงเปรียบดังผู้ที่ควบคุมแสงอาทิตย์ ถ้าอย่างนั้นเขาก็เปรียบเสมือนผู้ควบคุมรัตติกาล


 


 


เซี่ยต้าไป๋เห็นว่าสีหน้าเธอแย่มากจริงๆ เลยไม่ได้ถามไปมากกว่านี้ แค่กอดคอเธอเข้าห้องไปพร้อมกับเธอ


 


 


ห้องกว้างมาก


 


 


มีแบ่งห้องนอกและห้องด้านใน


 


 


ผลักประตูเข้าไปอีกก็เห็นบ่อน้ำร้อนที่ไร้ที่สิ้นสุด ไอความร้อนลอยโขมงท่ามกลางอากาศ พอมองไปจากหน้าต่างก็เห็นภาพทิวทัศน์ของบ้านพักที่อยู่บริเวณหุบเขาทั้งหมด งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


 


 


นี่เป็นสถานที่ดีแห่งหนึ่งจริงๆ และเป็นสถานที่เหมาะสำหรับพักผ่อน แต่ไป๋ซู่เย่ในเวลานี้กลับไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมมันสักนิด


 


 


เธอยืนอยู่ริมหน้าต่างและครุ่นคิดอย่างใจเย็น—เธอควรส่งต้าไป๋ให้ฮูหยินคุณหญิงไป๋หรือไม่ แล้วตนค่อยหาข้ออ้างกลับไป? หรือบางทีเธอไม่ควรไปไหน อยู่แต่ในนี้ไม่ออกจากห้อง เย่เซียวก็ทำอะไรเธอไม่ได้


 


 


ขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดเซี่ยต้าไป๋ได้ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะถอดเสื้อออกมาจนร่างเปลือยเปล่า กอดห่วงยางกระโดดลงน้ำดัง ‘ตู้ม’ ทันที เพราะเคยจมน้ำเมื่อยังเด็กมาก่อนทำให้ความจริงแล้วเขาค่อนข้างกลัวน้ำ แต่เวลานี้กลับลืมทุกความกลัวไว้ด้านหลัง เล่นน้ำอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง


 


 


“คุณป้าครับ รีบลงมาเล่นกับผมสิ!สนุกมากเลย!” เซี่ยต้าไป๋แหวกว่ายในสระน้ำสีน้ำเงินพร้อมพูดชักชวนอย่างอบอุ่น


 


 


ไป๋ซู่เย่ได้ยินจึงเดินไปที่สระว่ายน้ำ เห็นเจ้าตัวเล็กได้กอดห่วงยางว่ายไปตรงขอบสระน้ำ เขานอนคว่ำอยู่บนห่วงยางอย่างสบายๆ


 


 


เซี่ยต้าไป๋เล่นคนเดียวไม่สนุกเท่าไรเลยพยายามชักชวนเธอ ไป๋ซู่เย่ไม่อยากทำลายความสนุกของเด็กสุดท้ายเลยเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำกระโดดลงสระน้ำเล่นกับเด็กน้อยอย่างสนุกสนาน เธอจะเก็บเรื่องน่ารำคาญใจของงานไว้ก่อนชั่วคราว


 


 


ไม่รู้ว่าเล่นอยู่อย่างนี้นานเท่าไร ท้องฟ้าเริ่มมืดลงช้าๆ


 


 


ไป๋ซู่เย่อุ้มเซี่ยต้าไป๋ขึ้นจากสระว่ายน้ำ คว้าโทรศัพท์มาดูหัวใจหล่นวูบ


 


 


มีสายจากเบอร์ที่ไม่ได้รับห้าสาย


 


 


สามสายจากฮูหยินคุณหญิงไป๋ หนึ่งสายจากยวิ๋นอวิ๋นช่วน สายสุดท้าย…เบอร์แปลกหน้า


 


 


เธอพรูลมหายใจออกมาให้ตัวเองมองข้ามเบอร์สุดท้ายที่ไม่ได้รับนั่นไป โทรหาฮูหยินคุณหญิงไป๋ เสียงของฮูหยินคุณหญิงไป๋ดังแว่วมา “เล่นกันสนุกล่ะสิ เดี๋ยวใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกพาต้าไป๋มารอที่ห้องอาหาร!”


 


 


“แม่คะ แม่มารับต้าไป๋หน่อย หนูไม่ไปแล้ว”


 


 


“ทำไมล่ะ?”


 


 


“หนูมึนหัวนิดๆ น่าจะเพราะแผลที่หัวก่อนหน้าแล้วเมื่อกี้ก็ว่ายน้ำมากไปหน่อยเลยเวียนหัวมาก หนูอยากพักผ่อนในห้องสักแป๊บ”


 


 


“ไม่เป็นไรใช่มั้ยไหม ให้คุณหมอมาดูหน่อยมั้ยไหม?”


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อย”


 


 


“ได้ เดี๋ยวแม่ไปหา ลูกอาบน้ำให้ต้าไป๋ก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อย่าเป็นหวัดนะ”


 


 


“ค่ะ”


 


 


วางสายไปไป๋ซู่เย่จึงช่วยอาบน้ำให้เด็กน้อยแล้วเปลี่ยนชุด เป่าผมและพอแต่งตัวอย่างหล่อเหลาเสร็จสรรพ ฮูหยินคุณหญิงไป๋ก็มาถึงพอดี


 


 


“ไม่เป็นไรใช่มั้ยไหมลูกน่ะ”


 


 


“หนูอยากพักผ่อนดีๆ สักหน่อย”


 


 


“งั้นเดี๋ยวให้พนักงานเอาอาหารเย็นมาส่งให้ลูกที่ห้อง”


 


 


“ค่ะ”


 


 


ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับให้ฮูหยินคุณหญิงไป๋พาเซี่ยต้าไป๋ออกไป


 


 


…………………………… 

 

 


ตอนที่ 678 รักจนหลงทาง (1)

 

 


 


ในห้องเงียบลง เธอใช้ชุดคลุมอาบน้ำคลุมตัวและเทไวน์แดงให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ยืนจิบเบาๆ ตรงริมหน้าต่าง อาจเป็นฤทธิ์ไวน์ที่ทำให้ความว้าวุ่นในใจผ่อนเบาลงบ้างเล็กน้อย


 


 


แต่ในขณะนั้นเอง…


 


 


โทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะเตี้ยจู่ๆ ก็แผดเสียงขึ้น เธอสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแวบหนึ่ง เห็นว่ามีข้อความฉบับหนึ่งเข้า


 


 


“ให้เวลาคุณห้านาที มาห้อง 2403”


 


 


ไป๋ซู่เย่ปิดโทรศัพท์


 


 


เย่เซียวรู้ว่าเธออยู่ที่นี่


 


 


ห้อง 2403 อยู่ห่างจากห้องของตนไปเพียงสองหมายเลขเท่านั้น


 


 


“คุณยังมีเวลาอีกสองนาที”


 


 


ข้อความอีกฉบับเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์


 


 


ไป๋ซู่เย่เม้มปากแรงๆ ทีคล้ายได้ตัดสินใจแล้ว วางแก้วไวน์ในมือลงและไม่ทันเปลี่ยนแม้แต่ชุดบิกินี่สุดแสนเซ็กซี่บนตัวด้วยซ้ำ ทำเพียงแค่คลุมด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำก็ออกไปแล้ว


 


 


ห้อง 2403


 


 


เธอกดกริ่งห้องอย่างไร้ความลังเล


 


 


สิ้นเสียงกริ่งประตูก็เปิดออก


 


 


ทั่วทั้งห้องพักทางนี้คนอื่นไปทานอาหารกันหมดแล้วทำให้ชั่ววินาทีนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคน แต่ไป๋ซู่เย่กลับรู้สึกว่ามีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองตนอยู่


 


 


เธอไม่รู้ว่าทางกระทรวงความมั่นคงได้จัดวางเส้นสายตนไว้ที่นี่ด้วยหรือไม่


 


 


“คิดได้แล้วเลยไม่คิดจะหนีผมแล้ว?” เย่เซียวยืนหน้าประตูกวาดสายตาจากบนลงล่างมองเธออย่างเย็นชา


 


 


เขาสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีดำบวกกับสีหน้าเย็นชานั่นคล้ายกับเจ้าแห่งรัตติกาลที่เพียงสายตาเดียวก็เกี่ยววิญญาณผู้พบเห็นไปได้


 


 


เสื้อเชิ้ตสีดำมีน้อยคนนักที่จะดูดีเมื่อสวมใส่ แต่ผู้ชายตรงหน้ากลับสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเย็นชาทั้งร้ายกาจและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นชาย


 


 


ไป๋ซู่เย่จิกฝ่ามือแรงๆ ให้ตัวเองตั้งสติหน่อย ไม่อนุญาตให้ตนลุ่มหลงอยู่กับใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา


 


 


“ฉันอยากคุยกับคุณหน่อย”


 


 


เย่เซียวหลีกทางให้ก่อนที่ไป๋ซู่เย่จะเข้ามา เธอยืนอยู่ริมหน้าต่างและพยายามเรียบเรียงคำพูดอย่างสุดความสามารถ บางคำพูดที่เคยซักซ้อมในใจมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วแต่พอจะพูดออกมากลับยังต้องการความกล้าและความเด็ดขาดอยู่มากโข…


 


 


เย่เซียวเทไวน์แดงสองแก้วอย่างไม่รีบร้อน “ดื่มสักแก้วมั้ยไหม?”


 


 


“ขอบคุณ” ไป๋ซู่เย่ยกไวน์ไว้ในมือหนึ่งแก้วและดื่มมันในรวดเดียวแล้ววางแก้วลงทั้งที่มือของเธอยังจับก้นแก้วไว้อย่างเบาๆ ไม่ปล่อย ผ่านไปพักใหญ่ผละออกเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาพร่ามัว ฉายอารมณ์เจ็บปวดใจที่ไม่ทันรู้ตัวออกมาเล็กน้อย “เย่เซียว เรามามีเซ็กส์กันเถอะ!”


 


 


เย่เซียวสูดหายใจลึก


 


 


แค่ประโยคเดียวเท่านั้นก็ทำให้ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาทันที


 


 


เขาโยนแก้วในมืออย่างแรงจนเกิดเสียง ‘เพล้ง!–’ เพราะกระทบกับเครื่องไม้ ไวน์แดงสาดกระจายเต็มพื้นพรมสีเบจคล้ายดอกฝิ่นที่กำลังบานสะพรั่ง งดงามเย้ายวนทว่าอันตราย…


 


 


เหมือนเธอที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง ณ ตอนนี้


 


 


เขากระชากตัวเธอเข้าไปกักไว้ในอ้อมแขน นิ้วมือบีบคางเธอให้เชิดใบหน้าขึ้น “คุณคิดวางแผนอะไรอีก? หืม?”


 


 


แววตาของเขาสื่ออารมณ์ความต้องการชั้นบางๆ ให้เห็น ต่อหน้าเธอเขาไม่อาจควบคุมความต้องการได้เลย แต่ภายในความต้องการนั้นกลับยังมีสติและความเย็นเฉียบอยู่บ้าง สายตาคู่นั้นคล้ายจะจ้องเธอให้ทะลุให้มองเห็นถึงส่วนลึกของหัวใจเธอ “อยากได้ข้อมูลข่าวอะไรจากผมอีกแล้วใช่มั้ยไหม? ไป๋ซู่เย่ ถ้าคุณยังกล้ามีความคิดแบบนี้อย่างไม่เจียมตัวอีก ผมจะทำให้คุณตายไม่มีที่กลบฝัง”


 


 


ประโยคสุดท้ายเขากัดฟันพูดเหมือนจะกัดกระดูกของเธอให้แตกหักก็ไม่ปาน


 


 


ไป๋ซู่เย่แสบปลายจมูกและรู้สึกขมขื่นในใจ แต่กลับจ้องเขาอย่างดื้อดึง “คุณจะทำหรือไม่ทำ? ถ้าไม่ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย…”


 


 


เย่เซียวพ่นลมออกมาแรงๆ หมุนตัวดันตัวเธอให้ติดตู้ข้างๆ อย่างแรง ‘พลั่ก–’ เสียงที่เกิดขึ้นเพราะหลังเธอกระแทกเข้าใส่จนเกิดเสียงดังลั่นในห้อง


 


 


“ในเมื่อคุณมาขอร้องให้ผมมีอะไรกับคุณ งั้นตอนนี้คุณก็เอาใจผมซะ! ถ้าผมพอใจ ผมก็จะทำให้คุณพอใจเหมือนกัน!”


 


 


ไป๋ซู่เย่มองเขาแวบหนึ่ง สองมือโอบลำคอเขาไว้อย่างไม่ลังเลสักนิด เขย่งปลายเท้าประกบปากของเขา


 


 


เธอจูบด้วยความรีบร้อนใจราวกับต้องการปลุกความสนุกในตัวเขาให้ได้ แต่ความบ้าบิ่นนั่นกลับฉายอารมณ์ความสิ้นหวังที่แม้แต่เย่เซียวยังรู้สึกได้


 


 


ประสบการณ์จูบของเธอได้เรียนรู้มาจากเขาทั้งหมด แต่ตอนนี้กลับงัดทุกอย่างออกมาเพื่อเอาใจเขา


 


 


ปากของเธอนุ่มนิ่มหอมหวาน


 


 


ลิ้มของเธอเปียกชื้นร้อนระอุ


 


 


แตะสัมผัสกับริมฝีปากของเขาและบดบี้กับปากเขาจนแทบจะทำเอาเขาสลัดทิ้งเกราะป้องกันทั้งหมด ตัวของเขาเกร็งจนเจ็บไปหมดคล้ายจะระเบิดได้ตลอดเวลา


 


 


“ไป๋ซู่เย่ คุณมีเทคนิคเอาใจคนแค่นี้เองเหรอ?” เขาจับมือของเธอมาไว้ตรงหัวเข็มขัด หอบหายใจหนักหน่วงและกดเสียงต่ำลง “เอาไม้ตลับเมตรมามั้ยไหม?”


 


 


“…ไม่ได้เอามา”


 


 


เย่เซียวงับปลายหูของเธอ “งั้นไว้ครั้งหน้า”


 


 


ขอบตาไป๋ซู่เย่ร้อนผ่าว หันหน้าไปประกบจูบปากของเขาอีกครั้ง จูบจนลมหายใจของทั้งคู่ผิดจังหวะ จูบจนเขาฉีกกระชากชุดคลุมอาบน้ำบนตัวเธอออกอย่างป่าเถื่อน โยนเธอลงบนเตียง ในที่สุดไป๋ซู่เย่ก็เอ่ยปากกล่าวเสียงสั่น “เย่เซียว ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว…”


 


 


ตัวเขาสะท้านรุนแรง


 


 


มือใหญ่ที่วางไว้บนเอวเธอกระชับแรงอย่างไม่รู้ตัวเหมือนจะบีบเอวเธอให้หัก


 


 


ไป๋ซู่เย่จับผ้าปูที่นอนใต้ร่างไว้แน่น ต่อให้เขารุนแรงป่าเถื่อนขนาดนี้แต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บ


 


 


วินาทีนี้ อย่างน้อยเธอยังถูกเขาโอบกอด…


 


 


ต่อให้เจ็บแต่ความเจ็บช่วยทำให้เธอเข้าใจว่าชั่วขณะนี้เป็นสัมผัสที่แท้จริงทั้งหมด


 


 


นี่ไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่ภาพจินตนาการ เธออยู่ในอ้อมแขนของเขา…


 


 


“นี่เป็นวันสุดท้ายตามสัญญาของเรา เราคุยกันไว้แล้วว่าหลังจากจบสิ้นจะไม่ตามพัวพันกันและกันอีก เราควรพูดได้และทำให้ได้ ถ้าคุณคิดว่าตลอดเดือนนี้คุณยังระบายอารมณ์ไม่พอ นี่คือวันสุดท้าย…”


 


 


“นี่คือวันสุดท้าย ผมอยากเอาคุณให้ตาย!” เย่เซียวพูดต่อเธอและทุกคำแฝงด้วยความไม่พอใจ ความโกรธรวมถึงความเกลียดชังของเขา


 


 


เขาเองก็รู้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายตามสัญญาของพวกเขา เขาเองก็รู้ว่าพวกเขาจะตามพัวพันกันและกันอีกไม่ได้ แต่คำพูดเหล่านี้…เขากลับไม่อาจเอ่ยมันออกจากปากได้สักที!


 


 


กลับเป็นเธอที่พูดมันออกมาได้อย่างใจเย็น มีสติขนาดนี้! คล้ายอดใจไม่ไหวที่จะได้จบความสัมพันธ์นี้กับเขาเสียที อดใจไม่ไหวที่อยากให้เขาหายไปจากโลกของเธอสักที!


 


 


ความรู้สึกที่พ่ายแพ้ไม่เหลือชิ้นดีต่อเธอแบบนี้ ทำเอาเขาแทบเป็นบ้า


 


 


“ไป๋ซู่เย่ คืนนี้ผมจะเอาคุณให้จดจำผมไปตลอดชีวิต!” เย่เซียวกัดฟัน กระชากเนกไทบนคอออกเพื่อมัดมือทั้งสองข้างของเธอผูกกับหัวเตียงไว้อย่างง่ายดาย


 


 


เธอเคยฝึกท่าขืนตัวมาบ้างซึ่งหากเป็นวิธีผูกเชือกทั่วไปก็ขืนตัวออกได้อย่างง่ายดาย แต่วิธีการผูกเชือกของเจ้าเย่เซียวสร้างมันมาเพื่อต่อกรกับวิธีป้องกันตัวของพวกเขา


 


 


“เย่เซียว คุณปล่อยฉันนะ!” ตัวของเธอขุดคู้อยู่บริเวณหัวเตียง ทั้งที่เตรียมใจมาก่อนแล้วแต่พอเห็นท่าทางเฉิดฉายราวกับสัตว์ดุร้ายยามอยู่ต่อหน้าต่อตนของเขา เธอยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง


 


 


“ผมขอเตือนไว้ว่าอย่าเสียแรงเปล่า สู้เก็บแรงไว้ขอร้องผมตอนอยู่ใต้ร่างดีกว่า! บางที เห็นคุณน่าสงสาร ผมอาจจะปล่อยคุณไป!”


 


 


…………………………………. 

 

 


ตอนที่ 679 รักจนหลงทาง (2)

 

“วันสุดท้าย เราคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ?” ดวงตาเป็นประกายของเธอจ้องมองเขา


 


 


“ผมไม่เคยให้โอกาสคุณได้พูดดีๆ เหรอ?” เย่เซียวขบกัดลำคอเธออย่างแรง มือเอาแต่ใจบนเรือนร่างของเธอไปมาอย่างรุนแรงอย่างโดยไม่คิดจะออมแรง “แต่คุณกลับมีความสามารถที่จะทำผมเป็นบ้าได้ง่ายๆ เสมอ!”


 


 


“เย่เซียว คุณหยุดก่อน…”


 


 


นอกจากเย่เซียวจะไม่หยุดแล้วกลับยิ่งทวีความเอาแต่ใจมากขึ้น เขาคำถามเสียงต่ำ “คุณเกิดมาให้ยั่วยวนขนาดนี้ได้ยังไง? คุณรู้มั้ยไหมว่าตอนนี้ผมอยากจะบีบคุณให้แหลกคามือ อยากกัดคุณให้ตาย กลืนกินคุณไปทั้งตัว…”


 


 


ไป๋ซู่เย่ถูกเขาทำจัดการจนหัวสมองพร่าเบลอ ตัวสั่นรุนแรง เธอรู้สึกตัวเองใกล้ถูกเขาบีบจนร่างแตกเป็นชิ้นๆ รอมร่อ แต่กลับหวังว่าเขาจะไม่หยุดอย่างน่าแปลกด้วยเช่นกัน…


 


 


ริมฝีปากถูกเย่เซียวประกบเข้าอีกครั้ง ครานี้เธอไม่ได้ขัดขืนอีกแต่เริ่มต้นจูบเขาก่อน จูบดำเนินไปอย่างร้อนแรง เย่เซียวตะลึงก่อนจะตามด้วยเพิ่มหนักหน่วงให้จูบครั้งนี้


 


 


มือของเขาไล่สัมผัสไปทั่วร่างกายของเธอ


 


 


“เย่เซียว คุณปล่อยฉัน…” ไม่รู้ว่าจูบไปนานเท่าไร เธอนอนอยู่ใต้ร่างเขาพลางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “คุณอยากฟังฉันขอร้องคุณ ฉันจะขอร้องคุณ…ขอร้องล่ะปล่อยฉันที ได้มั้ยไหม?”


 


 


ฉันอยากกอดคุณ


 


 


อยาก อยากมากๆ…


 


 


ถ้าคืนนี้ไม่ได้กอดคุณดีๆ บางที…ตลอดชีวิตนี้อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว…


 


 


ขอบตาไป๋ซู่เย่มีน้ำตาชั้นบางๆ เอ่อคลอ เธอรู้สึกได้ว่าคำขอร้องเสียงนี้ของเธอได้ทำให้เย่เซียวร่างสะท้านแรงๆ


 


 


เป็นครั้งแรกที่เธอยอมอ่อนข้อต่อหน้าเขา บางทีนี่ก็อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเช่นกัน…


 


 


“คุณอยากให้ฉันเอาใจคุณไม่ใช่เหรอ? คุณปล่อยฉัน ให้ฉันได้เอาใจคุณดีๆ…”


 


 


มือใหญ่ของเย่เซียวประคองท้ายทอยของเธอไว้และจดจ้องเธอนิ่งคล้ายกำลังเจาะเข้าไปภายในหัวใจของเธอ ผู้หญิงคนนี้ เหตุผลที่ทำให้เขาลุ่มหลงจนลืมตัวตนไปอาจเป็นเพราะเขาไม่มีทางมองเธอออกได้ตลอดกาล


 


 


สิบปีก่อนเขามองเธอไม่ออก


 


 


สิบปีหลังขณะที่ทุกอย่างควรจบสิ้นลง เขายังคงเดาใจเธอไม่ทะลุปรุโปร่ง


 


 


สุดท้ายปลายนิ้วยาวกระตุกพลางแกะเนกไทที่มัดแขนเธอออกได้อย่างง่ายดาย สองมือได้อิสระ เธอกึ่งคุกเข่าลงโอบลำคอเขาพร้อมประกบจูบเขาอย่างบ้าคลั่ง


 


 


เย่เซียวชอบให้เธอเป็นฝ่ายนำแบบนี้ เสียงหายใจของเธอเบาหวิวและกระเส่าขนาดนั้น เหมือนปีศาจ


 


 


ปีศาจที่ดูดพลังชีวิตของผู้ชายไปอย่างหมดจด


 


 


มือใหญ่ประคองบั้นท้ายสีระเรื่อของเธอไว้ให้เธอตัวเอนมาทางตน สองขาขาวผ่องคุกเข่าอยู่ระหว่างขาของเขา โน้มใบหน้าเล็กลงจูบเขาอย่างกระตือรือร้น


 


 


ความจริง…


 


 


ค่ำคืนนี้ไม่เพียงแค่เขาที่หวังให้เธอจดจำไปตลอดชีวิต


 


 


เช่นเดียวกัน เธอเองก็หวังให้เขาจดจำคืนนี้ไปตลอดชีวิต…


 


 


จดจำไปตลอดกาล…


 


 


ต่อให้อนาคตบนเตียงเขาจะมีผู้หญิงคนอื่นนอนอยู่ อนาคตเขาจะกอดผู้หญิงคนอื่น เธอก็หวังว่าสักชั่ววูบในฝันกลางดึกเขาจะจำได้เสมอว่าเคยกอดผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อไป๋ซู่เย่อย่างแนบแน่น…


 


 


ยังไม่ทันไปจากเขาก็เริ่มหวนนึกถึงอย่างลึกซึ้งปนบ้าคลั่ง เพราะเธอรู้ดีว่าพรุ่งนี้…พวกเขาจะไปจากกันอยู่ดี…


 


 


ฟ้าสว่างก็เท่ากับลาจากกันสักที…


 


 


ไม่มีวันเจออีก…


 


 


…………………………


 


 


เย่เซียวกระทำกับเธออย่างแรง


 


 


ตลอดทั้งคืน


 


 


ตั้งแต่เวลาอาหารเย็นช่วงหนึ่งทุ่มของคืนก่อนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น สิบชั่วโมงเต็มๆ เขาเสร็จสมกับเธอไปเจ็ดครั้ง แรงกระแทกหนักหน่วงทุกทีเหมือนได้ใส่จิตวิญญาณลงไปด้วย ทั้งคู่คล้ายเดินอยู่ในวังวนแห่งความสิ้นหวัง ต่างคว้าอีกฝ่ายไว้เพื่อการจมดิ่งเป็นครั้งสุดท้าย…


 


 


เย่เซียวอดคิดไม่ได้ว่าปล่อยให้ทรมานกันและกันไปทั้งชีวิตดีกว่า ลงนรกไปพร้อมกันแล้วเกิดใหม่พร้อมกัน


 


 


ชาติหน้า…


 


 


จนถึงชาติหน้า พวกเขาค่อยไว้ชีวิตกันและกันอีก…


 


 


ตลอดคืนนั้นโทรศัพท์ของเธอที่ถูกโยนทิ้งไว้ข้างๆ แผดเสียงดังแต่ไม่มีใครสนใจ เธอทำเหมือนไม่ได้ยิน จมดิ่งอยู่กับแรงอารมณ์ที่เขามอบให้ตน


 


 


เขาทำได้อย่างที่ว่าจริงๆ ตลอดชีวิตนี้…เธอไม่มีวันลืมค่ำคืนนี้ได้…


 


 


ความบ้าคลั่งของเขา ความแข็งแกร่งของเขา ความแก่งแย่งของเขา ความพึงพอใจและจุดสุดยอดที่เขามอบให้เธอ รวมถึงความอิ่มเอมระหว่างพวกเขา เธอคงไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต


 


 


หลังจากนี้ไป…


 


 


หากวันใดในอนาคตเธอแต่งงานกับคนอื่นจริงๆ เธอไม่รู้เลยว่าเรื่องบนเตียงนี้จะสามารถเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้อย่างบริสุทธิ์ใจหรือไม่…


 


 


………………


 


 


ตามใจตลอดคืนที่ตามใจ ให้ทั่วทุกมุมห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายคลุมเครือ ไม่จางหายไปได้อยู่นานครู่ใหญ่


 


 


บนผ้าปูที่ยับยู่ยี่ ทั้งรอยเปียกเป็นดวงๆ ทั้งของเขาและของเธอ ต่อให้หนึ่งคืนผ่านพ้นก็ยังไม่แห้ง


 


 


ไป๋ซู่เย่นอนอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างเหนื่อยอ่อน สองขาสั่นระริกรุนแรง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนยังมีแรงลงจากเตียงอีกไหม ทั้งที่ไม่ได้หลับมาทั้งคืนแต่วินาทีนี้กลับไม่รู้สึกง่วงสักนิด


 


 


เย่เซียวนอนอยู่ข้างเธอ หลับตาคล้ายนอนไปแล้ว


 


 


เธอฝืนยันร่างขึ้นลุกจากเตียงสวมใส่ชุดคลุมอาบน้ำ หยิบโทรศัพท์ตนมาเดินไปทางประตู


 


 


มือจับด้ามจับประตูแน่น


 


 


เธออยากหันกลับไป…


 


 


มองเขาสักนิด…


 


 


วูบสุดท้าย…


 


 


ปลายนิ้วจิกเข้าฝ่ามือ สุดท้ายเธอกลั้นไว้หักห้ามใจไม่ให้หันกลับไป เธอกลัวว่าหากหันกลับไป ความอาลัยที่มากกว่านั้นจะแผ่ออกมาให้เธอไม่อาจก้าวเดินได้แม้แต่ก้าวเดียว


 


 


………………


 


 


‘ปัง!–’ เสียงประตูถูกปิดลง


 


 


ทั้งที่เป็นเสียงเบามากแต่ชั่วขณะนี้พอเกิดเสียงดังในห้องนี้ กลับเหมือนมีหินก้อนใหญ่กระแทกใส่หน้าอกเขาแรงๆ


 


 


เย่เซียวลืมตาขึ้นช้าๆ สองตาแดงก่ำ


 


 


เมื่อคืนพวกเขาทั้งคู่รุนแรงกันขนาดไหน บ้าบิ่นกันขนาดไหน ตอนนี้ก็เหลือความเยือกเย็น ความใจร้ายหลงเหลือมากเท่านั้น


 


 


เขาลุกขึ้นย่างกรายเข้าไปในห้องอาบน้ำ


 


 


น้ำร้อนเทลงมา สิ่งที่สัมผัสได้กลับเป็นความหนาวเหน็บที่พุ่งสูง


 


 


…………………………


 


 


เธอมีสภาพที่แย่มาก


 


 


ระยะทางที่ห่างกันเพียงไม่กี่ห้อง เธอกลับต้องคลำกำแพงถึงจะเดินกลับไปได้


 


 


เจ้าตัวเหมือนเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ ทุกย่างก้าวอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง


 


 


เธอทิ้งตัวลงอ่างอาบน้ำ แช่น้ำอย่างเหนื่อยล้า


 


 


ไม่รู้ว่าการอาบน้ำในครั้งนี้ จะสามารถชะล้างกลิ่นอายของเขาออกได้หมดจดหรือไม่…


 


 


แต่จะมัวคำนึงถึงไม่ได้อีกแล้ว…


 


 


ไม่ได้ทั้งชีวิต…


 


 


โทรศัพท์ดังขึ้นอีกทีพร้อมการสั่นเครือ


 


 


เธอหลับตาลงคว้าโทรศัพท์มากดรับสายแนบหู


 


 


“ซู่ซู่ ลูกรับโทรศัพท์สักที!” ฮูหยินคุณหญิงไป๋พูดอย่างร้อนรน “ลูกไปไหนกันแน่ ตามหาไม่เจอเลย! เราใกล้จะบ้าอยู่แล้ว!”


 


 


“หนูอยู่ในห้อง…” เธอไม่มีแม้แต่แรงจะพูดมากไปกว่านี้อีกแล้ว


 


 


“ในห้อง? เมื่อคืนเราเคยเข้าไปหาแล้ว ลูกไม่อยู่นี่นา!”


 


 


ไป๋ซู่เย่ไร้คำอธิบาย กล่าวเพียง “เดี๋ยวในกระทรวงมีงานสำคัญ หนูกลับก่อนนะคะ หนูจะให้คนขับรถมารับพวกคุณแม่”


 


 


“เราไม่เป็นไรหรอก ตระกูลอวิ๋นยวิ๋นช่วยจัดการได้ แต่ตอนนี้แม่เป็นห่วงลูกต่างหาก ซู่ซู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลูกหรือเปล่า ถ้าลูกมีอะไรต้องบอกแม่นะ!” น้ำเสียงอ่อนแรงปนโศกเศร้าของเธอ ทำให้คุณหญิงฮูหยินไป๋ร้อนใจอย่างมาก


 


 


……………………………… 

 

 


ตอนที่ 680 รักจนหลงทาง (3)

 

“ถ้าลูกมีอะไรต้องบอกแม่นะ!” น้ำเสียงอ่อนแรงปนโศกเศร้าของเธอ ทำให้ฮูหยินคุณหญิงไป๋ร้อนใจอย่างมาก


 


 


หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ปกติเธอมักควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเสมอ


 


 


“หนูไม่เป็นไร แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหนู ทางนี้ยังมีธุระ หนูวางสายก่อนนะ” ไป๋ซู่เย่ไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ก็กดวางสาย


 


 


ตัวเธออ่อนยวบนอนพิงอ่างอาบน้ำ ต่อให้หลับตาสนิทอยู่แต่น้ำตาก็ไหลออกจากหางตาเงียบๆ


 


 


หากรู้แต่แรกว่าการจากลาในหนึ่งเดือนให้หลังจะเจ็บปวดขนาดนี้ วันนั้นเธอยังจะยอมเซ็นสัญญาลงในกระดาษแผ่นนั้นอีกไหม?


 


 


ก็คงยอมสินะ…


 


 


มีบางเรื่องอย่างไรเสียก็ยากจะควบคุมมัน เธอก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง


 


 


ไป๋ซู่เย่โทรหาไป๋หลาง “นายมารับฉันเถอะ ช่วยฉันขับรถที”


 


 


“คุณเป็นอะไร?” ไป๋หลางได้ยินน้ำเสียงเธอก็จับความผิดปกติได้ทันที เริ่มตื่นตระหนก “คุณบาดเจ็บเหรอ?”


 


 


“นายไม่ต้องถามอีกแล้ว ฉันอยู่ตรงบ้านพักแช่น้ำร้อนของตระกูลยวิ๋นอวิ๋น รีบมาเลยยิ่งดี”


 


 


เธอไม่มีทางที่จะเหลือเรี่ยวแรงไว้ขับรถอีกหนึ่งชั่วโมงเพื่อกลับบ้านอีก


 


 


วางสายไปไป๋หลางจึงรีบออกเดินทางมาทางนี้อย่างไม่กล้าจะรอช้า


 


 


…………………………


 


 


อีกฟากหนึ่ง


 


 


เทียบกับสภาพย่ำแย่ของเธอแล้วเย่เซียวกลับยังคงท่าทางเดิมไม่เปลี่ยน หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเขาแต่งกายเป็นระเบียบเรียบร้อย เดินออกมาจากบริเวณบ้านพัก เพียงแต่สีหน้าในวันนี้กลับเย็นยะเยือกกว่าปกติเป็นไหนๆ สร้างความกดดันให้แก่คนพบเห็น


 


 


หยูอันยืนรออยู่ข้างนอกแต่เช้า เห็นเขาออกมารีบถลาเข้าไปหา เย่เซียววางเสื้อสูทไว้บนแขนเขาและเดินไปที่รถด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์


 


 


หยูอันเดินตามไป เดินไปกล่าวไป “มีคนตามหาท่านตั้งแต่เวลาอาหารเย็นเมื่อวาน แต่โทรศัพท์ท่านไม่มีคนรับสายเลย”


 


 


“ไม่ต้องสนใจ” เย่เซียวไม่มีความสนใจต่อการเจรจาธุรกิจเหล่านั้นสักนิด


 


 


หยูอันรับคำสั้นๆ ในลำคอแล้วพยักหน้า แวบเดียวก็เห็นร่องรอยเป็นจ้ำๆ ที่ทิ้งอยู่บริเวณลำคอเขาหลายรอย แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนผ่านความร้อนแรงขนาดไหนมา


 


 


หยูอันใช้ปลายนิ้วเท้าคิดยังคิดได้ว่าเมื่อคืนเขาอยู่กับใครมาตลอดคืน งานแบบนั้นเย่เซียวไม่คิดจะสนใจแม้แต่น้อย เรื่องโครงการน่าเบื่อที่คนในวงการธุรกิจเหล่านั้นริเริ่มและพูดคุยกันนั้นเขาไม่แยแสสักนิด แต่กลับหาเวลาหนึ่งคืนหนึ่งวันจากบรรดาวันที่งานยุ่งมาปรากฏตัวที่นี่ นี่มันมีเป้าหมายอื่นชัดๆ


 


 


แต่เมื่อคืนไม่มีความสุขหรือ? ทำไมสีหน้าของเขาแย่กว่าวันที่มาอีกล่ะ?


 


 


หยูอันก้าวขึ้นรถตามพลางพูดสั่งคนขับรถ “ขับรถ”


 


 


เขาวางเสื้อสูทของเย่เซียวหลังพับเสร็จพาดไว้บนแขน เผลอแตะโดนคลิปหนีบเนกไทบนปกเสื้อสูทนั้นอย่างไม่ทันระวังจนตกบนรถ เขาก้มเก็บมันขึ้นมาและทิ้งสายตาจดจ่อคลิปหนีบนั่นอยู่พักหนึ่ง ดวงตาฉายแวววับวูบหนึ่ง


 


 


“นายท่าน คลิปหนีบเนกไทนี้…” หยูอันขมวดคิ้วที “ก่อนหน้านี้เคยมีใครแตะต้องมั้ยไหมครับ?”


 


 


เย่เซียวกำลังพักสายตาอยู่โดยที่หัวคิ้วชนกันแน่นไม่เสื่อมคลาย ได้ยินคำพูดของหยูอันก็แค่รับคำจางๆ ในลำคอและไม่มีอารมณ์อื่นปะปนอยู่


 


 


หยูอันถามต่อ “ใช่ไป๋ซู่เย่มั้ยไหมครับ?”


 


 


เอ่ยถึงชื่อนั้นระหว่างคิ้วเย่เซียวก็เริ่มฉายแววหงุดหงิด เขาลืมตาโพล่งตวัดตาเย็นชามองหยูอัน “ทำไมถามเรื่องนี้ได้?”


 


 


หยูอันเกร็งใบหน้าแน่นทำหน้าเคร่งเครียด เขาไม่พูดอะไรเพียงแค่วางคลิปหนีบเนกไทนั่นไว้บนมือเย่เซียว


 


 


เย่เซียวดูแวบหนึ่ง แทบจะสังเกตเห็นปัญหาได้ทันท่วงที


 


 


มือเพิ่มแรงจนเกิดเสียงดัง ‘พลั่ก–’ ก่อนคลิปหนีบเนกไทนั่นจะหักคามือของเขา ข้างในกลับมีเครื่องดักฟังขนาดเล็กซ่อนอยู่!!


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้ตกพื้นแล้วเห็นมุมเล็กๆ ของเครื่องดักฟังก็ไม่มีทางสังเกตเห็นได้!” หยูอันกล่าว “วิธีติดตั้งเครื่องดักฟังนี้เชี่ยวชาญมาก ดูก็รู้ว่าต้องเป็นฝีมือของผู้เชี่ยวชาญ!”


 


 


เย่เซียวขยำมือกำคลิปหนีบเนกไทที่สลักตัวอักษร ‘หลัน’ ไว้แน่นจนขอบแหลมคมเป็นชั้นๆ นั่นกรีดฝ่ามือเขาเป็นสายเลือดราวกับใบมีด เขากลับไม่คลายออกสักนิดแต่ยิ่งกำยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ แน่นจนข้อนิ้วมือขาวซีด แน่นจนเลือดสีสดไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว เขากัดฟันแน่น “ผู้เชี่ยวชาญ? รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญได้เหรอ?”


 


 


หน้าอกเหมือนมีคนเอามีดกรีดนับครั้งไม่ถ้วน ดวงตาเขาแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอยอย่างน่ากลัว


 


 


–เย่เซียว เรามามีเซ็กส์กันเถอะ?


 


 


จู่ๆ เธอก็เสนอตัวก่อน


 


 


–เย่เซียว คุณอยากให้ฉันขอร้องคุณ ฉันก็จะขอร้องคุณ…


 


 


จู่ๆ เธอก็ยอมอ่อนข้อลงขนาดนั้น


 


 


ทุกอย่างล้วนผิดปกติ!


 


 


ที่แท้ผู้หญิงใจร้ายไร้ความปราณีนีคนนี้ยังวางกับดักรอเขาตกหลุมพรางอยู่อีก!!


 


 


เยี่ยมมาก!!


 


 


เขาเย่เซียวกลับตกอยู่ในกำมือเธออีกแล้ว!


 


 


“รีบโทรหาพ่อบุญธรรม ฉันต้องการรู้สถานการณ์ของท่านในตอนนี้!” ทุกพยางค์ของเขากัดฟันพูดคล้ายกำลังกัดกระดูกของใครอยู่ก็ไม่ปาน พูดถึงสุดท้ายแม้แต่หางเสียงตรงท้ายประโยคยังเปลี่ยนน้ำเสียงไปจากเดิม


 


 


ไป๋ซู่เย่…


 


 


ท้ายที่สุดก็เผลอดูถูกคุณเกินไป!


 


 


………………………………


 


 


ขณะไป๋หลางรับไป๋ซู่เย่ออกมาจากห้องค่อนข้างตกใจอย่างมาก


 


 


เมื่อเห็นรอยฟันและรอยจูบบนลำคอเธออย่างชัดเจนก็ควักปืนจะพุ่งตัวออกไปข้างนอก


 


 


“เจ้าหมอนี่ รังแกคนเกินไปแล้ว!”


 


 


“หยุดนะ!” ไป๋ซู่เย่ตวาดเสียงห้ามเขาไว้ เสียงนี้แทบจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด


 


 


“รัฐมนตรี ผมจะไปสู้กับมัน! มันจะรังแกกันเกินไปแล้ว!”


 


 


“นายสู้กับเขา? ได้สิ ตอนนี้นายไปสู้กับเขาเลย เขาทำนายตายไม่เหลือแม้แต่เศษซากได้นะ!”


 


 


ไป๋หลางรู้ว่าตนสู้เย่เซียวเพียงลำพังไม่ไหวอย่างแน่นอน แต่ว่า…


 


 


“หรือว่าจะปล่อยให้ผมมองดูคุณถูกเขารังแกจนกลายเป็นแบบนี้เหรอ?” บ้าเอ้อ๊ย! เจ้าเย่เซียวชักจะเหิมเกริมไปแล้ว!


 


 


“ใครบอกว่าเขารังแกฉัน? ฉันสมยอมเอง…” ไป๋ซู่เย่มองเสื้อผ้าบนตัวเขาแวบหนึ่ง “นายถอดเสื้อมาให้ฉันใส่หน่อย”


 


 


“อ้อ” ไป๋หลางรีบถอดเสื้อตัวเองลงทันทีแล้วคลุมตัวเธอไว้ เห็นท่าทางไม่โกรธสักนิดของเธอแล้วรู้สึกแย่ในใจ “ต่อให้สมยอม ก็ทรมานกันขนาดนี้ไม่ได้หรือเปล่า?”


 


 


“เราไปกันเถอะ ส่งฉันกลับไป ฉันไม่อยากเจอพวกคุณหญิง”


 


 


“ได้ เรารีบไปกัน” ไป๋หลางเองก็ไม่กล้าชักช้า


 


 


เมื่อรถยนต์ขับถึงระหว่างทาง ไป๋ซู่เย่เห็นร้านยาร้านหนึ่งจึงตบไหล่ไป๋หลาง “จอดรถก่อน”


 


 


“ครับ” ไป๋หลางค่อยๆ ชะลอรถเทียบจอด ไป๋ซู่เย่ผลักประตูรถลงไป ไป๋หลางกดตัวเธออยู่กับที่เขม่นมองเธอแวบหนึ่ง ถอนหายใจ “คุณนั่งดีๆ ผมไปซื้อมาให้คุณเอง”


 


 


ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับเลยจึงไม่ได้ลงจากรถอีก รอไม่กี่นาทีไป๋หลางย้อนกลับมาโดยที่ในมือมีน้ำเปล่าหนึ่งขวดกับยาคุมกำเนิดภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงหนึ่งกล่อง เธอกลืนยาลงท้องไปอย่างเด็ดขาดไม่ลังเลสักวินาทีเดียว


 


 


ไป๋หลางไฟคุกรุ่นในใจแทบตาย สบถด่าคำหยาบทีแล้วเตะล้อรถหนักๆ ถึงตีหน้านิ่งขึ้นรถขับรถต่อ


 


 


ไป๋ซู่เย่มองเขาแวบหนึ่งพลางแย้มปากอมยิ้ม


 


 


………………………………… 

 

 


ตอนที่ 681 รักจนหลงทาง (4)

 

 


 


“คุณยังยิ้มออกอีกเหรอ!” ไป๋หลางพูดอย่างโมโห


 


 


“นายโมโหอะไร? ฉันบอกแล้วว่าฉันสมยอมเอง”


 


 


“ผมก็สงสารคุณไง! ตอนนั้นคุณเองก็ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ถ้าเย่เซียวต้องการแก้แค้นก็น่าจะมาหาผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงของเราสิ! ตอนนั้นคุณถูกทรมานจนปางตาย ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย…”


 


 


“นายเก็บอารมณ์ของนายหน่อย เขาเสียลูกน้องไปตั้งมากเพราะฉัน…” ไป๋ซู่เย่พูดถึงนี่ตรงนี้ก็ทิ้งสายตาไปนอกหน้าต่าง มองภาพทิวทัศน์ที่รายเรียงอยู่นอกหน้าต่างห่างๆ ขอบตาแดงก่ำ สุดท้ายพูดออกมาเพียงว่า “ไม่พูดแล้ว เป็นเรื่องอดีตทั้งหมดแล้ว…จากนี้ไป จะไม่เกิดขึ้นอีก…”


 


 


ไป๋หลางได้ยินเสียงเศร้าโศกของเธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองสีหน้าในตอนนี้เธอสักนิดไม่ได้


 


 


“อ้อ จะบอกคุณเรื่องหนึ่ง” เขานึกบางอย่างได้เลยดึงหัวข้อพูดคุยมาที่เรื่องงาน “หลายวันก่อนในที่สุดก็ดักฟังความเคลื่อนไหวของไฟเรนเซ่ได้ เมื่อคืนคนของเราล้อมจับไฟเรนเซ่ที่ประเทศ T”


 


 


“ล้อมจับไฟเรนเซ่? นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”


 


 


“ใช่ ฉะนั้นสถานการณ์ตอนนั้นเลยแย่มาก สุดท้ายมีคนมารับหน้าให้สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไฟเรนเซ่นั่นหนีไปได้! อีกอย่างตอนนี้ถือได้ว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นจริงๆ คิดจะล้อมจับเขา คงไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว”


 


 


ไป๋ซู่เย่ทิ้งสายตาไปนอกหน้าต่างอย่างหนักใจ เธอไม่อยากให้ตนได้รับหน้าที่นี้ ยิ่งไม่อยากให้เย่เซียวถูกลากมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย แต่มีหลายเรื่องที่ไม่เป็นตามที่หวัง พวกเขาควบคุมไม่ได้


 


 


…………


 


 


ไป๋ซู่เย่กลับไปโทรหาศูนย์บัญชาการร้องขอวันหยุด ปลัดกระทรวงใจดีอนุญาตให้เธอหยุดไปสิบวันเต็ม


 


 


หลังขอวันหยุดเสร็จเธอนอนบนเตียงหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราทันที หลับสนิทจนเธอแอบหวังว่าตนจะหลับไปเช่นนี้ ไม่ต้องตื่นมาอีกตลอดไป


 


 


หลับครั้งนี้จนลืมวันลืมคืน รอตื่นมาอีกทีพบว่าเป็นเช้าแปดโมงของวันรุ่งขึ้น


 


 


แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างทะลุม่านหมอกบางๆ เธอดึงผ้าม่านขึ้นให้แสงอาทิตย์สาดส่องมาบนเตียง ดูแล้วช่างอบอุ่น เธอยิ้มให้แสงอาทิตย์ ฟ้ายังไม่ถล่ม พระอาทิตย์ยังคงขึ้นเหมือนเดิม วันเวลาผ่านไปตามปกติ


 


 


เธอตื่นนอนมาแปรงฟันล้างหน้า


 


 


เดินออกจากห้องเพื่อชงนมให้ตนสักแก้วในห้องครัว ข้างหูเหมือนยังได้ยินเสียงเอาแต่ใจดังกึกก้องอยู่…


 


 


–หยุดอยู่ตรงนั้น! ห้ามไปไหน! ผมมาอยู่นี่ไม่ได้มาเป็นพ่อครัวให้คุณ!


 


 


–ต้มน้ำให้ผม ผมหิวน้ำ!


 


 


–ได้กินกับข้าวฝีมือผม แปลว่าชาติที่แล้วคุณทำบุญมาเยอะ


 


 


ทุกถ้อยคำวนเวียนไปมาอย่างชัดเจน ดึงทึ้งโสตประสาทเธออย่างบ้าคลั่ง เธอรีบเดินออกจากห้องครัวไปยืนรับอากาศตรงริมหน้าต่าง อารมณ์ถึงค่อยๆ สงบลง


 


 


เสียงเหล่านั้นก็เริ่มห่างหายจากตนขึ้นเรื่อยๆ…


 


 


จะดีขึ้น


 


 


สิบปีก่อนหัวใจที่แตกสลายไม่เหลือชิ้นดียังหายได้…—อย่างน้อยภายนอกเป็นเช่นนั้น ครั้งนี้เองก็ต้องทำได้


 


 


แค่ปัญหาขึ้นอยู่กับเวลา


 


 


ไป๋ซู่เย่เก็บสัมภาระบินออกนอกประเทศชั่วคราว เธอพักผ่อนที่ทะเลต่างประเทศสิบวันเต็ม สิบวันนี้ทุกวันแค่สวมแว่นกันแดดนอนอาบแดดริมชายหาด เธอทิ้งเบอร์โทรของโรงแรมไว้ให้ครอบครัวก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือตลอดการเดินทางนี้


 


 


สิบวันหลังจากนั้นพอกลับมาในประเทศเพิ่งลงจากเครื่อง เธอเปิดเครื่องกลับมีแจ้งเตือนสายที่โทรเข้ามาแล้วไม่ได้รับนับไม่ถ้วน


 


 


กดเปิดขึ้นดู เป็นของถังซ่ง


 


 


สิบวันนี้เขาโทรหาตนอยู่นับสิบกว่าสาย และต่างโทรมาเมื่อสามวันแรก เจ็ดวันหลังไม่มีสายโทรมาอีก


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้โทรกลับไป


 


 


ไป๋หลางมารับเธอ ระหว่างที่ช่วยยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถก็พูดกับเธอไป “คุณไม่เปิดเครื่องสิบวัน อดทนเก่งจริงๆ! ผมกลัวว่าจะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณข้างนอกเข้า”


 


 


“ฉันดูเหมือนคนที่ดูแลตัวเองไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”


 


 


ไป๋ซู่เย่นั่งประจำตำแหน่งข้างคนขับแล้วรัดเข็มขัดนิรภัย


 


 


ไป๋หลางกระโดดขึ้นรถตัวปลิว มองเธอแวบหนึ่ง “คล้ำขึ้นนะครับ”


 


 


“งั้นเหรอ?”


 


 


“คล้ำขึ้นก็ดี ดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนเยอะเลย” ไป๋หลางขับรถไปพลางใช้สายตาเหลือบมองเธอไป เห็นเธอมีชีวิตชีวาขึ้นมากเขาเองก็ลอบถอนหายใจโล่งอกตาม


 


 


………………


 


 


ไป๋ซู่เย่ปรับอารมณ์ให้ดีก่อนจะจดจ่อสมาธิทั้งหมดไว้ที่เรื่องงาน


 


 


ชีวิตของเธอกลับสู่สภาพปกติ วิ่งตอนเช้า ตอนเย็นหลังเลิกงานไปซ้อมมวยที่สนามฝึก ให้ตัวเองหมดซึ่งเรี่ยวแรงทั้งหมดถึงยอมกลับไป


 


 


วันที่สามหลังกลับประเทศ


 


 


เช้าตรู่ถูกปลัดกระทรวงเรียกไปที่ชั้นดาดฟ้า


 


 


“ท่านปลัด” เธอยกมือขึ้นเคาะประตู


 


 


“เข้ามานั่งสิ” ปลัดกระทรวงหันกลับมายิ้มมองเธอ “วันหยุดสิบวันนี้เป็นยังไงบ้าง?”


 


 


ไป๋ซู่เย่ยิ้มจางๆ “ดีมากค่ะ”


 


 


“อืม นานทีจะได้ผ่อนคลายแบบนี้ ควรสนุกให้เต็มที่ แต่ในเมื่อคุณกลับมาแล้ว งั้นผมมีภารกิจสำคัญที่จะมอบหมายให้คุณ”


 


 


“เชิญบอกมาได้เลยค่ะ”


 


 


ปลัดกระทรวงจดจ่อสายตากับเธอ “เราต้องการคนสืบสถานการณ์จริงๆ ของเย่เซียวในตอนนี้”


 


 


ไป๋ซู่เย่เผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเอ่ยถึงชื่อนั้น เจ้าตัวเกร็งตัวอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับพยายามคงความเรียบนิ่งไว้


 


 


“ปลัด ตอนนี้ฉันกับเย่เซียว…”


 


 


“ผมรู้ว่าคุณอยากพูดอะไร” ปลัดไม่ได้ให้เธอพูดต่อ กล่าวเพียง “ความเคลื่อนไหวของไฟเรนเซ่ในครั้งนี้เราดักฟังมาจากตัวเย่เซียว หลายวันก่อนไฟเรนเซ่ได้ส่งคนมาลงโทษเย่เซียว ไฟเรนเซ่เป็นคนโหดเ**้ยมอยู่แล้วไม่ปราณีนีใคร ฉะนั้นตอนนี้เย่เซียวอยู่หรือตายไม่มีใครรู้ ได้ยินว่าถูกยิงหลายนัด”


 


 


ถูกยิงหลายนัด…


 


 


ไป๋ซู่เย่ในหัวอื้ออึง ถ้อยคำของปลัดเหมือนหินขนาดใหญ่ที่กระแทกมาซ้ำๆ จนใบหน้าเธอเริ่มขาวซีด


 


 


สิบวันนี้…


 


 


เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขา…ก็คนที่มีเรือนร่างเป็นเนื้อหนังทั่วไปแล้วจะทนรับลูกกระสุนหลายนัดได้อย่างไรไหว?


 


 


“ผมคิดว่าจากความสัมพันธ์ของคุณกับเย่เซียว ต้องมีหนทางที่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ของเขาได้แน่ๆ ถ้าเขาตายไปจริงๆ ก็รีบกลับมารายงานเรา ไฟเรนเซ่ขาดลูกมือสำคัญขนาดนี้ไป น่าจะจับตัวเขาง่ายขึ้นในการจับตัวเขา” ปลัดยังคงพูดต่อ


 


 


‘ตาย’ คำเดียวทำเอาเธอรู้สึกโลกหมุน มือยันโซฟาไว้ฝืนใจให้ประคองร่างยืนนิ่ง “เขาไม่มีทางตายได้หรอก…”


 


 


เสียงของเธอสั่นเครืออย่างรุนแรง


 


 


ประโยคนี้ทั้งที่เป็นคนพูดออกมาเอง แต่กลับไม่มีความมั่นใจสักนิด


 


 


เธอคล้ายจะให้คำพูดตัวเองฟังดูมีน้ำหนักแถมยังหอบหายใจ หัวเราะเสียงเบา “เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ สิบปีก่อนยิงทะลุไส้ยมบาลยังไม่กล้ารับชีวิตเขาไว้ ตอนนี้…ยมบาลก็ไม่กล้ารับเขาเหมือนกัน”


 


 


ปลัดมองท่าทางอารมณ์ใกล้จะพังทลายลงเต็มทีของเธอด้วยแววตาล้ำลึก “ผมว่าสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีนะ คุณออกไปก่อนเถอะ ภารกิจนี้หวังว่าคุณจะเก็บไปคิด ภายในสองวันมาให้คำตอบที่น่าพึงพอใจแก่ผม”


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้อยู่ในห้องทำงานของปลัดไปนานกว่านี้ เธอถอยออกไปและวางมือไว้บนด้ามจับประตูอันเย็นเฉียบ พักใหญ่สีหน้ายังขาวซีดดังเดิม ไม่อาจระงับอารมณ์หลากหลายที่กำลังพลุ่งพล่านในอกได้


 


 


สิบวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


 


 


เย่เซียวระมัดระวังตัวตลอด ทำไมถึงถูกดักฟังได้


 


 


…………………………… 

 

 


ตอนที่ 682 เหวลึกของความรัก (1)

 

ความภักดีที่เย่เซียวมีต่อไฟเรนเซ่ เธอรู้ดีกว่าใครอื่น เขาไม่มีทางเปิดเผยความเคลื่อนไหวของไฟเรนเซ่ได้ หากเป็นการดักฟังของกระทรวงความมั่นคง แล้วพวกเขาใช้วิธีใดในการดักฟัง? การดักฟังเย่เซียวไม่ใช่เรื่องง่าย


 


 


แล้วก็…ตอนนี้เขา…ยังมีชีวิตอยู่ไหม?


 


 


คิดถึงคำถามสุดท้ายนี้ไป๋ซู่เย่รู้สึกเหมือนตัวเย็นไปทั้งตัว ไม่กล้าคิดในแง่ลบ


 


 


“รัฐมนตรีไป๋ คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยไหมคะ?” เลขาประจำตัวของปลัดกระทรวงเห็นสีหน้าเธอแปลกไปเลยจึงเข้ามาถามไถ่


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบกลับรีบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมา เร่งฝีเท้าเข้าไปในตัวลิฟต์ไปพลางโทรหาถังซ่งไป สามวันแรกที่เธอไปต่างประเทศถังซ่งโทรมาหาเธอหลายสายขนาดนี้ เรื่องต้องเกิดขึ้นเมื่อนั้นแน่ๆ


 


 


เธอโทรหาเบอร์ของเขา ทุกครั้งที่กดตัวเลขนิ้วมือก็สั่นระริกอย่างรุนแรง


 


 


แต่โทรไปกลับเหมือนก้อนหินที่ถ่วงลงใต้ทะเล ไม่มีคนรับสาย


 


 


เธอไม่ยอมแพ้ตายใจและโทรต่อสายแล้วสายเล่า แต่ผลสุดท้ายก็เหมือนเดิม


 


 


หัวใจดิ่งแล้วดิ่งอีก


 


 


ตำแหน่งตรงหน้าอกทั้งหนักอึ้งทั้งหน่วง…


 


 


“ให้ไป๋หลางมาห้องทำงานของฉัน! เดี๋ยวนี้!” เมื่อไป๋ซู่เย่ผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานก็สั่งเลขาดังกล่าว


 


 


เลขาเห็นสีหน้าเธอผิดปกติจึงเลยไม่กล้าชักช้า ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีไป๋หลางเข้ามาแล้ว ไป๋ซู่เย่กำลังรอเขาอยู่ “ปิดประตู”


 


 


“ทำไมเหรอรัฐมนตรี?” ไป๋หลางเองก็สังเกตเห็นสีหน้าที่แย่ถึงที่สุดของเธอได้ในวูบแรก


 


 


“ฉันถามนาย เรื่องของเย่เซียว นายรู้ตั้งนานแล้วใช่มั้ยไหม?” เธอก้าวมาตรงหน้าไป๋หลางสองก้าว


 


 


ไป๋หลางถูกสายตาเย็นชาของเธอบีบบังคับ กลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า “ความจริง…วันที่คุณกลับประเทศผมก็อยากบอกแล้ว แต่ว่าคุณก็รู้คุณกับเย่เซียวไม่ควรมาเจอกัน ผม…”


 


 


“พอแล้ว เช็คได้มั้ยไหมว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” ไป๋ซู่เย่ไม่มีใจจะฟังต่อไป ตอนนี้เธออยากรู้แค่ว่าเขายังอยู่ดีหรือไม่ ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ก็พอ…


 


 


ไป๋หลางส่ายศีรษะ “เช็คไม่ได้”


 


 


“กระทรวงความมั่นคงเราเช็คความเคลื่อนไหวของเย่เซียวไม่ได้?”


 


 


“เขาไม่ได้แค่หลบหนีกระทรวงความมั่นคงเรา แต่ยังหลบหนีทุกคนที่คิดจะสบโอกาสเข้าหาเลยยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง อีกอย่างเขาเก่งเรื่องย้อนกลับมาจับตาดูคู่ตรงข้ามอยู่แล้ว เราเลยยังจับร่องรอยความเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ได้ชั่วคราว”


 


 


ไป๋ซู่เย่ใจว้าวุ่นไม่สงบสุข “งั้นก็รีบเช็คต่อ! ห้ามละเลยจุดที่เป็นไปได้แม้แต่จุดเดียว!”


 


 


“ผมรู้”


 


 


“นายออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียวสักพัก”


 


 


ไป๋หลางไม่ได้พูดอะไร แค่หยักหน้ารับ มองเธอด้วยความเป็นห่วงแวบหนึ่งก็ถอยออกจากห้องทำงานไป


 


 


ไป๋ซู่เย่หยิบโทรศัพท์มาโทรหาถังซ่งอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าตนโทรไปกี่สายแล้วกันแน่ แต่กลับยังไม่มีคนรับสาย


 


 


ตลอดทั้งวันหัวใจของเธอไม่เคยสงบลงเลยสักวินาทีเดียว


 


 


เธอไม่อยากให้เขาตาย…


 


 


ไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไป…


 


 


เธอยอมฝืนทนความเจ็บปวดแสนสาหัสไว้ ยอมแยกจากเขา ก็เพื่อให้เขามีชีวิตต่อไป อยู่ต่อไปได้!


 


 


ขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ โทรศัพท์ของเธอก็แผดเสียงดังลั่น


 


 


ไป๋ซู่เย่แทบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาในวินาทีแรก พอเห็นคำว่า ‘ถังซ่ง’ บนหน้าจอ ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า


 


 


“คุณโทรกลับหาฉันสักที…”


 


 


มือของเธอที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่สั่นระริก พยายามอดทนไว้ แต่ความแหบแห้งในน้ำเสียงกลับปกปิดไม่ได้


 


 


เธอไม่เคยรู้สึกกังวล หวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน…


 


 


“หลายวันก่อนโทรหาคุณไม่ติด ผมคิดว่าคุณบล็อกเราทุกคนไปแล้ว”


 


 


“เปล่า ฉันแค่ไปต่างประเทศ” ไป๋ซู่เย่รีบอธิบาย สูดหายใจเข้าลึก “ถังซ่ง เย่เซียว…เขายังสบายดีมั้ยไหม?”


 


 


“…” ถังซ่งไม่พูดอะไร


 


 


“ถังซ่ง ฉันขอร้องคุณล่ะ บอกความจริงให้ฉัน! ฉันอยากให้เขามีชีวิตต่อ เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้!”


 


 


“รัฐมนตรีไป๋ คุณอยากรู้ความเคลื่อนไหวของเขาเพราะเหตุผลส่วนตัวของคุณ หรือเพราะกระทรวงความมั่นคงของพวกคุณ?”


 


 


“ไม่เกี่ยวกับกระทรวงความมั่นคง!” เธอตอบกลับทันควัน


 


 


“หลายวันก่อนตอนผมโทรหาคุณเพราะตอนที่ช่วยเขา เขาเรียกชื่อคุณตลอด ผมคิดว่าถ้าตอนนั้นคุณอยู่ข้างเขา น่าจะช่วยเขาได้ราบรื่นขึ้นเยอะ…”


 


 


ไป๋ซู่เย่ตัวเอียงไปมา มือจับขอบโต๊ะไว้ถึงประคองร่างอยู่


 


 


“แล้ว…เขาในตอนนี้ล่ะ?” พักใหญ่ไป๋ซู่เย่ถึงหาเสียงตัวเองเจอ “คุณบอกว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะเสมอ…คุณช่วยเขาจากประตูนรกได้ ฉะนั้น…ฉันเชื่อคุณ คุณไม่มีทางปล่อยให้เขาเป็นอะไรไป”


 


 


ถ้อยคำของเธอเป็นประโยคที่แน่วแน่แต่กลับไม่มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น


 


 


ถังซ่งไม่ส่งเสียงใดๆ อย่างเดิม


 


 


“ถังซ่ง ฉันขอร้องคุณให้ฉันเจอเขาหน่อย! ฉันไม่ต้องการอะไร แค่ได้เห็นเขาแวบเดียวอยู่ห่างๆ ในตอนที่เขากำลังหลับอยู่ก็พอ”


 


 


ถังซ่งเงียบไปอึดใจ สุดท้ายกล่าว “ได้ ผมตัดสินใจเองให้คุณไปเจอเขาได้ แต่ผมต้องบอกคุณไว้ก่อนว่าเหตุผลที่ผมตกลงยอมพาคุณไปเจอเย่เซียวไม่ใช่เพื่อคุณ แต่ผมไม่อยากเห็นเพื่อนของผมเป็นอะไรอีก ผมหวังว่าพวกคุณสองคนจะตัดขาดกันได้จริงๆ สักที! อีกอย่างผมต้องบอกคุณล่วงหน้า…”


 


 


ถังซ่งกล่าวถึงนี่ตรงนี้ก็หยุดชะงัก “ครั้งนี้คุณปรากฏต่อหน้าเขา อาจจะไม่มีชีวิตเหลือรอดกลับไปอีก ดังนั้นก่อนจะมา คุณต้องเตรียมใจไว้ให้ดี”


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่เข้าใจประโยคนี้ของถังซ่ง


 


 


หากตนไม่มีชีวิตเหลือรอดกลับไป แล้วใครอยากจะฆ่าเธอ? แล้วทำไมถึงฆ่าเธอ?


 


 


แต่คำถามเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คำถามสำคัญก่อนที่จะได้เจอเย่เซียว เพราะมีครอบครัวเธอไม่อยากตาย แต่เธอเองก็ไม่เคยกลัวตาย


 


 


“ฉันไป” ไป๋ซู่เย่ไม่ลังเลสักนิด นี่ไม่จำเป็นต้องพิจารณาด้วยซ้ำ


 


 


“ได้ คืนนี้สองทุ่มจะรอที่ท่าเรือหู่ซัน จะมีรถไปรับคุณ ผมขอเตือนคุณไว้ด้วยความหวังดีเลยนะ —อย่าให้คนของกระทรวงความมั่นคงพวกคุณสะกดรอยตาม ไม่อย่างนั้นจะไม่มีชีวิตกลับไปแม้แต่คนเดียว”


 


 


“ฉันเข้าใจแล้ว”


 


 


………………………………


 


 


กลางคืนสองทุ่ม


 


 


ไป๋ซู่เย่ให้ไป๋หลางพาตนมาส่งที่ท่าเรือหู่ซันอย่างตรงต่อเวลา สามารถเห็นไฟหน้ารถของรถเก๋งคันดำคนหนึ่งที่ขับฝ่าความมืดมาแต่ไกล


 


 


“ฉันไปก่อน นายรอฉันอยู่ตรงนี้” ไป๋ซู่เย่ผลักประตูรถเตรียมลงจากรถ


 


 


โทรศัพท์ดังขึ้นในฉับพลัน


 


 


สายของถังซ่ง


 


 


เขาโทรมาและพูดประโยคสั้นๆ “วางอาวุธบนตัวคุณไว้บนรถตัวเอง”


 


 


ถังซ่งระแวงเธออย่างมาก


 


 


เธอกดวางสายและถอดปืนและมีดสั้นลงอย่างไม่ลังเล ไป๋หลางมุ่นคิ้ว “รัฐมนตรี พวกเขาหมายความว่ายังไง?”


 


 


“ตอนนี้เย่เซียวอยู่ในสถานการณ์พิเศษ ไม่แปลกที่พวกเขาจะระแวงฉัน”


 


 


“ในเมื่ออย่างนี้ผมก็จะวางอาวุธลงแล้วไปด้วยกันกับคุณ!”


 


 


“นายอยู่เฉยๆ ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม!” ไป๋ซู่เย่กดมือที่เตรียมปลดอาวุธของไป๋หลางไว้ “ฉันจะรีบกลับมา”


 


 


“ตอนนี้คุณเหมือนเข้าถ้ำเสือ ถ้าเกิดว่า…”


 


 


“พอแล้ว รอฉันอยู่ตรงนี้” ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ฟังคำของไป๋หลางต่อ เปิดประตูรถลงมา รถยนต์ที่เปิดไฟสูงเทียบจอดนิ่งๆ ก่อนที่ประตูรถจะถูกเปิดออก


 


 


ไป๋ซู่เย่มุดตัวเข้าไป วินาทีต่อมารถยนต์ก็พุ่งทะยานเข้าไปในความมืดด้วยความเร็วสูงสุดราวกับลูกกระสุน


 


 


…………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม