เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 67.1-68.3

ตอนที่ 67 - 1 กอบกู้ตี้เกอ

 

จิ่งเหิงปัวเกือบจะอุทานอย่างตกตะลึง 


 


 


ซังต้ง! 


 


 


นึกไม่ถึงว่านางจะหลบหนีออกจากวังจริง นึกไม่ถึงว่านางยังไม่ไป นึกไม่ถึงว่านางอยู่ที่นี่! 


 


 


จิ่งเหิงปัวใจเต้นตึ่กตั่กขึ้นมา นึกไม่ถึงเลยว่ารถม้าคันนี้จะแล่นมารวมกันกับซังต้ง ดูจากจำนวนฝูงชนแล้ว ลูกน้องที่ยังอยู่ในนครของตระกูลซังอาจจะชุมนุมกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือในเมื่อซังต้งอยู่ที่นี่ การคุ้มกันคงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านี้จะชุมนุมบริเวณโดยรอบรถม้า นางกังวลว่าพอตนเองพุ่งลงจากรถ ยังไม่ทันได้หายตัวอาจจะถูกล้อมไว้ 


 


 


ไม่ต้องเดา ถ้าซังต้งมองเห็นนางแล้วไม่อยากถลกหนังนางทั้งเป็น นางยอมแซ่เดียวกับซังต้ง! 


 


 


อยากจะพุ่งออกไปคงไม่ได้แล้ว ดูท่าทางซังต้งจะชุมนุมลูกน้องปรึกษาหารือกันที่นี่แล้วพุ่งออกไป ต้องรอให้ซังต้งออกไปอีกครั้งหรือขึ้นรถ ทุกผู้คนคืนสู่ตำแหน่งเดิม พอรถม้าขยับเขยื้อนอีกครั้งค่อยไป 


 


 


โชคดีที่ด้วยเพราะคนเยอะ คนไม่ลงมาจากรถม้าคันใดคันหนึ่งก็ไม่มีคนสนใจ ทุกคนต่างมีเรื่องในใจหนักหน่วง สีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


จิ่งเหิงปัวกุมกริชไว้ในฝ่ามือ รอคอยอยู่ 


 


 


ซังต้งกลับคล้ายไม่ร้อนใจด้วยซ้ำ ยามช่วงเวลาความเป็นความตายร้อนรนดุจประกายไฟ นางยังเยื้องกรายเชื้องช้าคล้ายกำลังครุ่นคิด วนเวียนรอบรถม้าคันนี้ของจิ่งเหิงปัวพอดี มีหลายครั้งที่เข้าใกล้ประตูรถถึงขนาดชนเข้ากับประตูรถ ทำให้ใจดวงน้อยของจิ่งเหิงปัวเดี๋ยวเต้นเดี๋ยวเต้น แทบอยากจะดึงนางเข้าไปตบแรงๆ หลายครั้ง 


 


 


คล้ายได้ยินรถม้าอีกหลายคันแล่นเข้ามาเลือนราง ครบแล้วในที่สุด จากนั้นมีเสียงดังครืนเสียงหนึ่ง คล้ายประตูใหญ่สักบานถูกปิดลงแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวใจหายแวบ 


 


 


รถม้าขยับเล็กน้อยคล้ายซังต้งพิงอยู่บนตัวรถ พิงตรงหน้าต่างรถพอดี จิ่งเหิงปัวเลิกม่านรถออกเล็กน้อยอย่างระมัดระวังมาก ครุ่นคิดความเป็นไปได้ที่จะปักเข็มลงบนศีรษะนาง 


 


 


คิดแล้วมุมไม่สะดวก เสี่ยงอันตรายเกินไป อย่างนั้นช่างมันเถอะ 


 


 


ล่างรถม้าซังต้งมีเรื่องในใจแน่นขนัด ข้างกายเป็นลูกน้องทั้งสิ้น ย่อมนึกไม่ถึงว่าห่างเพียงหนึ่งผนังกั้นจะมีคนอยู่ ก่อเกิดความคิดสังหารต่อนางนับไม่ถ้วนครั้ง 


 


 


“มากันครบแล้วหรือ?” นางเอ่ยปากเชื่องช้า 


 


 


พลันมีเสียงต่างๆ เข้ามาขานนาม 


 


 


“ซังอีกลุ่มเทียนพาลููกน้องคำนับผู้นำตระกูล” 


 


 


“หวังจิ้งกลุ่มตี้พาลููกน้องคำนับผู้นำตระกูล” 


 


 


“โอวหยางอู๋เฟยกลุ่มเสวียนพาลููกน้องคำนับผู้นำตระกูล” 


 


 


“ตานอีหลงกลุ่มหวงพาลููกน้องคำนับผู้นำตระกูล” 


 


 


… 


 


 


ผู้ใต้บัญชาตระกูลซังขานนามทีละคน จิ่งเหิงปัวลองแอบนับดู คนไม่น้อยเลย เฉพาะกลุ่มเล็กเหล่านี้ก็แบ่งเป็นเทียนตี้เสวียนหวงเฟิงอวิ๋นเหลยอวี่หงฮวงโฮ่วถู่เป็นต้นสิบหกกลุ่ม ยังมีลููกน้องในกลุ่มอีกล่ะ? นี่ไม่ใช่กำลังของตระกูลซังที่อยู่ในตี้เกอเหรอ แล้วทั้งแคว้นล่ะ? 


 


 


เพียงแต่สิ่งที่ประหลาดคือผู้ที่ขานนามเหล่านี้ทุกคน เสียงค่อนข้างชรา อายุมากแล้วอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“ดีมาก รบกวนทุกคนแล้ว” ซังต้งฟังจบ ถอนใจเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยามนี้ ข้างกายข้ามีเพียงพวกเจ้าแล้ว” 


 


 


“ท่านผู้นำ” บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยว่า “เหตุใดท่านยังจะอยู่ที่นี่? เหตุใดต้องชุมนุมที่ส่วนลึกของเมืองนี้? ยามนี้ท่านควรจะออกนอกเมือง พวกเราคุ้มกันท่าน ยังทันเวลานะ!” 


 


 


ซังต้งหัวเราะเพียงครั้ง เสียงคลุมเครือ 


 


 


“ข้าไม่ออกนอกเมือง” 


 


 


มีผู้ตกตะลึง มีผู้เข้าใจ มีผู้ถอนใจ 


 


 


“ซังอี นายน้อยใหญ่ออกนอกเมืองหรือยัง?” ซังต้งถาม 


 


 


ผู้ชราคนหนึ่งตอบว่า “อยู่บริเวณประตูเมืองแล้ว ทว่าตรวจสอบเข้มงวดเป็นพิเศษ แม้ว่ามีพวกผู้ชราเซวียนหยวนคอยช่วยเหลือกันยังคงไม่อาจออกนอกเมือง ทุกคนต่างกำลังคิดหาวิธี” 


 


 


“ไม่ต้องคิดแล้ว” ซังต้งเอ่ย “ข้าจะส่งเขาออกนอกเมืองเอง” 


 


 


ทุกคนนิ่งเงียบด้วยต่างรู้สึกว่าวาจานี้เหลวไหล ยามนี้ผู้ยอดเยี่ยมที่แท้จริงตระกูลเซวียนหยวนกับตระกูลซังต่างอยู่บริเวณประตูเมือง หวังส่งนายน้อยใหญ่ออกไปยังลำบาก ผู้นำตระกูลยังอยู่ที่เขตราษฎรยากจนทางเหนือของเมือง เหนือบ่ากว่าแรงนัก จะส่งอย่างไร? 


 


 


“ท่านจะไปรวมกลุ่มกับนายน้อยใหญ่หรือ?” มีผู้ถามอย่างหยั่งเชิง 


 


 


“ไม่…” ซังต้งถอนใจเสียงยาว เสียงเปล่าเปลี่ยวไร้ขอบเขต เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าจะไม่พบเขาอีกแล้ว” 


 


 


ทุกคนก้มศีรษะนิ่งเงียบ 


 


 


“ตระกูลซังได้ล่มสลายแล้ว ข้าซังต้งได้พังทลายแล้วเช่นกัน ไม่อาจปกป้องหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ได้ ทำให้ตระกูลใหญ่โตร้อยปีเสื่อมโทรมในมือข้า คือความผิดที่สิ้นชีพหมื่นครั้งยังไม่อาจหลีกลี้ของข้า ต่อให้ข้ากลับไปในชนเผ่า เหล่าผู้อาวุโสคงจะไม่ปล่อยข้าไปแน่ เช่นนั้นเหตุใดข้ายังต้องลำบากลำบนหนีกลับไป จากนั้นได้รับโทษประหารอย่างอปยศอดสูหรือถูกขังอยู่ในคุกมืดใต้ดินรับความทุกข์ทรมานชั่วชีวิตนั้นเล่า?” 


 


 


“ท่านผู้นำ!” มีผู้โต้แย้งอย่างฮึกเหิมว่า “ท่านจะยอมแพ้ก่อนไม่ได้! แม้ว่าชนเผ่าผู้อาวุโสกำลังมาก ทว่าท่านมีพวกเรา เหล่าลููกน้องในตี้เกอ พวกเราสาบานด้วยชีวิตว่าจะปกป้องท่านกลับไป จะปกป้องท่านไม่ให้ถูกเหล่าผู้อาวุโสตัดสินโทษ!” 


 


 


ซังต้งยิ้มแย้มเพียงน้อย 


 


 


“รอให้ผ่านพ้นการไล่สังหารของกงอิ้น เดินทางพันลี้กลับชนเผ่า พวกเจ้าว่าข้างกายข้ายังจะเหลืออยู่กี่คน? พวกเจ้ายังเหลือรอดอยู่กี่คน?” 


 


 


ความนิ่งเงียบสงัดผืนหนึ่ง 


 


 


 “ข้าไม่อาจกลับไป ผู้ที่ควรกลับไปคือซังเทียนสี่” ยามนี้ซังต้งฟื้นคืนความสูงศักดิ์และความสงบเยือกเย็นของมหากองเซ่นไหว้ในที่สุด เอ่ยอย่างสุขุมว่า “เทียนสี่ ผ่านการชำระล้างแห่งสวรรค์ สะบั้นเอ็นหลอมกระดูกกลายเป็นอัจฉริยะที่พบได้ไม่บ่อยในร้อยปีนี้ของตระกูลซังเรา คือความหวังในทางตันของตระกูลซังเรา ที่พึ่งพาเพียงหนึ่งเดียวที่จะรุ่งเรืองขึ้นมาในอีกร้อยปีข้างหน้า เขาปรากฏเบื้องหน้าชาวโลกน้อยครั้งนัก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความผิดชอบชั่วดีในตี้เกอ แลไม่มีความรับผิดชอบต่อการพินาศของหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ซ้ำเขายังเป็นผู้สืบทอดสายตรงเพียงหนึ่งเดียวที่แบกรับสายโลหิตแห่งบรรพบุรุษตระกูลซังเรา เขากลับไป ผู้อาวุโสทำอะไรเขามิได้ ตระกูลซังยังคงเป็นพวกเราแขนงหนึ่งนี้” 


 


 


“ทว่า…” ยังมีผู้คิดจะโน้มน้าว 


 


 


“ไม่มีทว่าอะไรทั้งนั้น ข้ากลายเป็นผู้ไร้ประโยชน์แล้ว ในเมื่อไร้ประโยชน์ย่อมต้องตระเตรียมพร้อมถูกพลีชีพ หากต้องพลีชีพอยู่ในคุกใต้ดินที่มืดมิดไร้แสงสว่าง ไม่สู้ทำตนสง่าผ่าเผยแลสาแก่ใจ สุดท้ายแล้วพลีชีพ ณ นครตี้เกอนี้!” 


 


 


วาจาสุดท้ายน้ำเสียงของซังต้งแปรเปลี่ยนเป็นดุเดือด จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าแย่แน่…สตรีนางนี้เศร้าโศกเสียใจเต็มอก น้ำเสียงตัดเยื่อใย นางคิดจะทำอะไรน่ะ? 


 


 


นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดมาโดยตลอดว่าคนที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วคือคนที่เกรียงไกรที่สุด ไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย บนโลกนี้ยังมีอะไรที่ไม่กล้าทำหรือทำไม่ได้บ้าง? 


 


 


“ท่านผู้นำ!” เหล่าผู้ใต้บัญชาของตระกูลซังฟังความนัยของซังต้งออกเช่นกัน เสียงตะโกนกึกก้อง 


 


 


“ท่านผู้นำ! หากท่านไม่ไปจริง พวกเราก็ไม่ไป!” 


 


 


“ใช่แล้ว พวกเราจะอยู่กับท่าน!” 


 


 


“พวกเราต่างชราแล้ว ระหว่างทางหลบหนีไม่แน่ว่าจะรอดมาได้สักกี่คน ยังไม่สู้อยู่กับผู้นำตระกูล ก่อกวนตี้เกอให้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินจนสาแก่ใจ!” 


 


 


“ผู้นำตระกูล หากจำต้องต้องพลีชีพถึงจะส่งนายน้อยใหญ่ไปได้ พวกเรายินยอมพร้อมใจ!” 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะอยู่ในรถ 


 


 


เจ้าโง่ที่สมองเรียบง่าย ถูกปลุกระดมได้ง่ายดายฝูงหนึ่ง 


 


 


ทำไมคนที่เหลืออยู่ถึงเป็นอ่อนแอแก่ชราทั้งนั้น? เห็นชัดเลยว่าซังต้งคิดดีแล้วว่าจะใช้พวกเขาเป็นตัวหมาก ต้องการให้พวกเขาแสดงความจงรักภักดีเสียที่ไหน? ยอมหรือไม่ยอมต้องตายทั้งนั้น 


 


 


แต่…นางเท้าคางไว้ ในใจคิดว่าพลังปลุกระดมซึ่งเป็นของผู้มีอำนาจก็เป็นความสามารถชนิดหนึ่ง ต้องเรียนรู้ไว้สักหน่อย 


 


 


… 


 


 


ซังต้งคล้ายถูกความห้าวหาญของผู้ใต้บัญชาทำให้ซาบซึ้งใจ โบกมือบอกใบ้ทุกคนเงียบสงบ ยามเอ่ยปากอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า เสียงสะอึกสะอื้น 


 


 


“ขอบคุณพี่น้องเก่าแก่ทุกท่าน…” นางยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา เอ่ยสืบต่อว่า “ตระกูลซังมีพวกเจ้าได้นับเป็นวาสนาของตระกูลซัง ยามนั้นเหล่าพี่น้องเก่าแก่ลงเรี่ยวลงแรงร่วมรวบรวมกิจการพื้นฐานของตระกูลซังเรากับข้า นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ว ตระกูลซังถูกราชินีต่ำทรามทำร้าย ข้าปกป้องพี่น้องเก่าแก่ไว้ไม่ได้ ไม่อาจมอบวัยชราอันทรงเกียรติสุขสบายให้พวกเจ้า ยังต้องให้พวกเจ้าพลีชีพเคียงข้างข้า…วางใจเถิด แม้ว่าวันนี้เจ้าและข้าสิ้นชีพ ย่อมต้องถูกเทียนสี่จารึกไว้ในความทรงจำชั่วกาล ภายภาคหน้าต้องมีสักวัน เขาจะแก้แค้นให้พวกเรา ทำให้ตระกูลซังรุ่งเรืองอีกครั้ง ภรรยาลูกหลานของพวกเจ้าจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุด ป้ายวิญญาณของพวกเจ้าจะต้องถูกบูชาไว้ในศาลอิงหลิงของตระกูลซังเรา เคียงข้างบรรพบุรุษหลายชั่วคนของตระกูลซังเรา เสพสุขการเซ่นไหว้บูชาของชนรุ่นหลังแห่งตระกูลซังตลอดกาล!” 


 


 


ผู้ชราตระกูลซังกลุ่มหนึ่ง น้ำตาร้อนผ่าวคลอเบ้า เสียงหนักแน่นเคร่งขรึม 


 


 


“ยอมสิ้นชีพเพื่อตระกูลซัง! ยอมสิ้นชีพเพื่อผู้นำตระกูล!” 


 


 


ในบรรยากาศเคร่งขรึม มีผู้หลุดเสียงร่ำไห้โศกศัลย์ 


 


 


จิ่งเหิงปัวพิงผนังรถอยู่ จมดิ่งสู่ห้วงความคิด 


 


 


นางไม่ได้ถูกน้ำใจไมตรีของเจ้านายลูกน้องที่พลีชีพอย่างเด็ดเดี่ยวฉากหนึ่งนี้ทำให้ซาบซึ้ง เรื่องมากมายหากมองทะลุแก่นแท้จะเหลือเพียงภายในที่อำมหิต นางเพียงนึกถึงอนาคตของตนเองขึ้นมากะทันหัน นึกถึงว่าตนเองอยากจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ขณะนี้ จะต้องยึดอำนาจก่อน ระหว่างขั้นตอนยึดอำนาจและหลังจากยึดอำนาจ เรื่องซื้อใจคน ใช้วาจาปลุกระดม ใช้ผลประโยชน์มอมเมา เกี่ยวพันคุณธรรมแบบนี้ เกรงว่าคงต้องทำให้เยอะล่ะมั้ง? 


 


 


ภายภาคหน้านางต้องเปลือกนอกเสแสร้ง เล่นเล่ห์เพทุบาย ควบเมฆคลุมฝน ก่อการเลวร้ายเหรอ? 


 


 


อีกทั้งกงอิ้น อยู่ในสถานการณ์แบบนี้มานานหลายปีแล้ว เรื่องราวที่ซับซ้อนมืดครึ้มเหล่านี้ ที่จริงแล้วเขาคงจะเคยชินอย่างมากเหมือนกันล่ะมั้ง? ก่อนหน้านี้นางแค่เคยชินกับความสูงส่งเย็นชาน่ารักของเขา ขณะนี้คิดว่าผู้มีอำนาจย่อมมีการไตร่ตรองของผู้มีอำนาจ หรือมีเรื่องมากมายที่ไม่เป็นอิสระเหมือนกัน ต้องอดกลั้นความรังเกียจแล้วลงมือกระทำเหมือนกันล่ะมั้ง? 


 


 


พอนึกถึงตรงนี้นางเกิดความวุ่นวายใจเล็กน้อย สถานการณ์ของต้าฮวงซับซ้อนแบบนี้ ทุกผู้คนถึงขนาดแม้แต่ศัตรูสหายยังไม่ชัดเจน วันเวลาแบบนี้ไม่ใช่ว่านางจะอารมณ์ดี แค่แทบอยากจะแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด เหวี่ยงเจ้าพวกก่อเรื่องบ้าบอเหล่านี้ลงกองขยะไปให้หมดถึงจะสะใจ  

 

 


ตอนที่ 67 - 2 กอบกู้ตี้เกอ

 

เสียงร้องเรียกข้างนอกผนึกหนาแลเศร้าสลด บรรยากาศควบแน่นถึงเบื้องบน ซังต้งคล้ายมีโลหิตร้อนผ่าวแผ่ซ่านในที่สุด กัดฟันเอ่ยเสียงเข้มว่า “ยามนี้! นายน้อยใหญ่ถูกกักไว้ที่ประตูเมืองออกไปไม่ได้ ฝืนบุกฝ่าคงไม่ไหว หวังจะช่วยเหลือนายน้อยใหญ่หลบหนีออกจากตี้เกออย่างรวดเร็ว พวกเราจะต้องจำต้องก่อความวุ่นวายครั้งหนึ่งในนครตี้เกอ ให้กงอิ้นไม่มีเวลากลั่นแกล้งนายน้อยใหญ่ นายน้อยใหญ่ถึงจะมีโอกาส!”


 


 


“ท่านผู้นำออกคำสั่งเถิด! พวกเรากระทำตามท่านย่อมได้!”


 


 


“ดาบเดียวแทงทะลุนภา ตี้เกอร้องเพลงวายชนม์เพื่อข้า ฮ่าๆๆ สะใจนัก!”


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับสูดหายใจเฮือกหนึ่ง


 


 


ใจผู้หญิงโหดเ**้ยมที่สุดจริงด้วย!


 


 


“ข้าได้ตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว” ซังต้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าย่อมรู้ว่าอาวุธปืนกับกระสุนปืนคือสิ่งต้องห้ามของตี้เกอ กงอิ้นห้ามมีไว้ในครอบครองส่วนตัวนอกจากนอกจากตำหนักอวี้จ้าวเด็ดขาด ทว่าเขาดูแลไม่ถึงรถม้า ในชั้นประกบของรถม้าทุกคันที่นี่ของพวกเราสอดหยาดน้ำมันเทียนหั่วที่กลั่นออกมาจากลุ่มน้ำเทียนหั่วจนเต็ม ภายนอกใช้โคลนเทียนหั่วทากลบสามครั้ง เพียงพบประกายไฟพลันลุกโชน เรื่องนี้ยังเป็นคำแนะนำของเทียนสี่ในยามแรก ไว้ใช้ในยามจำเป็น บัดนี้ได้นำมาประโยชน์แล้ว ยามนี้พวกเราควบแล่นรถม้าเหล่านี้แบ่งเป็นสามเส้นทาง แล่นผ่านถนนใหญ่จิ่วกง ตรอกหลิวหลี ฉังจิ่งและจัตุรัสหวงเฉิง เริ่มจุดเพลิง ณ ตรอกหลิวหลีที่ฝูงชนหนาแน่นที่สุด! สุดท้ายหยุดลงหน้าประตูตำหนักอวี้จ้าว ชนมันจนมอดไหม้ไปหมดสิ้น!”


 


 


“มอดไหม้ไปหมดสิ้น!” เสียงตอบรับดุจระลอกคลื่น


 


 


ฝ่ามือของจิ่งเหิงปัวมีเหงื่อซึมออกมา…แผนการที่เ**้ยมโหดจริง หากไม่ใช่เพราะนางโลภมากขึ้นรถม้ามา วันนี้ตี้เกอต้องประสบภัยพิบัติอย่างแน่นอน


 


 


แต่ตอนนี้นางตัวคนเดียว อยากจะกอบกู้ชะตากรรมครั้งนี้คงยากลำบากสักหน่อย รถม้าที่แล่นรวดเร็วระเบิดลุกไหม้ร้อนแรงตลอดเส้นทาง ที่ซึ่งแล่นผ่านคือที่ซึ่งเจริญรุ่งเรืองที่สุดผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดของตี้เกอทั้งนั้น จะหยุดยั้งอย่างไร?


 


 


“เรื่องราวไม่อาจรั้งรอ” ซังต้งเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ยามนี้พวกเราไปกันเถิด”


 


 


“ขอรับ” เสียงขานรับที่เจือด้วยกลิ่นไอแห่งความตายเด็ดเดี่ยวแน่วแน่


 


 


“ก่อนจะจากไป มอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้ตี้เกอเสียก่อน” มุมปากของซังต้งผุดเผยรอยยิ้มน่าครั่นคร้ามผืนหนึ่ง เอ่ยว่า “เสบียงอาหารที่หมู่นี้ตี้เกอซื้อหามาจากแคว้นซีหล่งเพิ่งมาถึงแล้ว พอดีเลย กลางยุ้งฉางแห่งนี้นี่แล…”


 


 


คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงเข้าใจว่าที่นี่คือยุ้งฉาง มิน่าละรู้สึกว่าใหญ่โตกว้างขวาง ซังต้งคิดได้ว่าควรชุมนุมคนและรถในยุ้งฉางที่ว่างอยู่ เป็นวิธีการที่อัศจรรย์โดยแท้


 


 


จากนั้นนางได้ยินเสียงซู่ซู่ รู้สึกว่าแย่แน่ พอแอบมองดู บนพื้นมีสายชนวนเพิ่มมาเส้นหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร สายชนวนถูกถูกจุดแล้ว กำลังเปล่งประกายเพลิงดังซู่ซู่มุ่งตามร่องทางหนึ่งซึ่งขุดไว้ตรงล่างกำแพงสู่ห้องข้างเคียง


 


 


ไม่ต้องถาม ห้องข้างเคียงต้องเป็นยุ้งฉางที่มีเสบียงอาหารอยู่เต็มแน่นอน ซังต้งกระทำการโหดเ**้ยมอำมหิต อีกสักครู่ตี้เกอต้องวุ่นวายครั้งใหญ่ จะมีคนนับไม่ถ้วนบาดเจ็บล้มตาย ในขณะเดียวกันยุ้งฉางก็ถูกเผาไหม้ เรียกได้ว่าผีซ้ำด้ำพลอย ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าตี้เกอกำลังจะตกอยู่ในความตื่นตระหนกหวาดกลัวครั้งใหญ่ อาจจะก่อให้เกิดเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางการเมืองได้ แค่กล่าวถึงว่าหลังจากราษฎรได้รับบาดเจ็บยังขาดแคลนเสบียง อีกไม่นานจะมีคนมากมายล้มตาย!


 


 


“เรียบร้อยแล้ว” ซังต้งปรบมือ เอ่ยว่า “ต่างคนต่างขึ้นรถเถิด”


 


 


ทุกคนทยอยรับปาก ต่างคนต่างปีนขึ้นรถของตนเอง ก่อนจะขึ้นรถคนมากมายตามหาสหายเก่า ตบไหล่ไม่เอ่ยวาจา กระทำการอำลาครั้งสุดท้าย ยามขึ้นรถท่วงท่าเด็ดเดี่ยว ไม่หันหลังกลับ


 


 


ไม่มีผู้เอ่ยวาจาแลไม่มีผู้หลั่งน้ำตา ยามความตายกลายเป็นการกระทำส่วนรวม ความหวาดกลัวและความกดดันแต่เดิมทีของความตายจะกลับกลายเป็นความสงบเงียบ สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงเส้นทางสายนั้น พอหลับตา เดินไปถึงปลายทาง ยามลืมตาอีกครั้งอาจจะเป็นชีวิตใหม่


 


 


“รถของข้าคล้ายจะใหม่ไปหน่อย” ซังต้งคล้ายยังเลือกรถอยู่ เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าหวังว่าจะไปถึงตำหนักอวี้จ้าวได้ ชนทะลุเป็นรูหนึ่งบนท้องกงอิ้นกับคนเลวทรามนั้น ฉะนั้นหากรถไม่ค่อยสะดุดตาเกินไปน่าจะดีกว่า”


 


 


จิ่งเหิงปัวใจหายแวบอีกครั้ง


 


 


ซวยแล้ว!


 


 


ดังคาดการณ์ ระหว่างพริบตาต่อมา ซังต้งหันกายอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ มองไปทางรถม้าที่เก่าผุพังไม่สะดุดตาข้างหลังคันนี้ เอ่ยว่า “เช่นนั้นคันนี้แล้วกัน”


 


 


พอถึงตอนนี้จิ่งเหิงปัวกลับไม่ตึงเครียดแล้ว กัดฟันกุมกริชไว้แน่น


 


 


ยามนี้ทุกคนต่างขึ้นสู่รถม้าแล้ว แยกย้ายกันไปพลีชีพตามเส้นทางที่ตระเตรียมไว้แล้วล่วงหน้า ในเมื่อเป็นการตระเตรียมไปสิ้นชีพคงไม่เอ่ยถึงปกป้องอะไรหรือไม่แล้ว องครักษ์ของซังต้งบางคนแทรกเข้าไปในรถม้าคันอื่น บางคนนั่งอยู่บนแอกรถของรถม้าคันนี้ ทุกคนต่างเก็บรักษาเปลวเพลิงของตนไว้ด้วยกัน เหน็บไว้ข้างแอกรถตรงพนักท้าวแขนอย่างระมัดระวัง


 


 


จิ่งเหิงปัวร้อนใจดั่งไฟแผดเผา นางนึกไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะลงมือกันเร็วขนาดนี้เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขนาดนี้ นางเพียงคนเดียวจะหยุดยั้งรถม้าแห่งความตายหลายเส้นทางนี้ได้อย่างไร?


 


 


พอคิดว่ารถม้าเหล่านี้แล่นสู่ฝูงชน ระเบิดไปตลอดทาง เลือดเนื้อเหินว่อน ทะเลเพลิงทั่วท้องฟ้า เสียงกรีดร้องพุ่งขึ้นไปถึงปลายเมฆ…นางก็อดจะสั่นเทิ้มไม่ได้…ภัยพิบัติครั้งใหญ่แห่งตี้เกอครั้งนี้จะกลายเป็นเคราะห์กรรมที่นางก่อขึ้น!


 


 


ม่านสะบัดเพียงครั้ง ซังต้งขึ้นรถมา


 


 


จิ่งเหิงปัวใช้มีดแทงออกไป!


 


 


“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงของซังต้งเปี่ยมด้วยความสิ้นหวังและความตกตะลึง นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าจะถูกแทงเข้ากลางหน้าอกในยามนี้! ยังไม่ทันรอให้นางได้มองเห็นชัดเจนว่ามือสังหารคือผู้ใด จิ่งเหิงปัวได้เหยียบใบหน้าของนางวิ่งหนีออกไปแล้ว


 


 


ร่างนางเพิ่งออกจากรถ คว่ำมือแทงครั้งหนึ่ง แยกถุงที่มีหินเหล็กไฟอยู่เต็มที่ผูกไว้บนแอกรถออกมา ถุงร่วงลงพื้น นางพุ่งขึ้นไปเบื้องหน้า ข้างหลังมีผู้ตวาดว่า “หยุดนะ!” จากนั้นดังพลั่กเสียงหนึ่ง กระแสหมัดหนักหน่วงสายหนึ่งร่วงลงตรงหลังของนาง


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงแผ่นหลังดุจถูกหินก้อนมหึมากระแทกใส่ อวัยวะภายในร่างกายคล้ายย้ายตำแหน่งได้ในพริบตา อ้าปากร้องอึ่กเสียงหนึ่งกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง เรือนร่างกลับไม่รั้งรอเลยแม้แต่น้อย คว้าถุงหินเหล็กไฟที่ใกล้จะร่วงพื้นไว้ในครั้งเดียว กะพริบวูบปรากฏไกลสามจั้ง


 


 


ร่างยังไม่ทันยืนตรง มือสะบัดเพียงครั้ง กระถางแตกใบหนึ่งบนพื้นลอยขึ้น กระแทกบนสายชนวนที่ใกล้จะลุกไหม้ถึงห้องข้างเคียงนั้นอย่างรุนแรง


 


 


ประกายเพลิงกะพริบหลายครั้งแต่ไม่ได้ดับลงทันที สายชนวนค่อนข้างหนา จิ่งเหิงปัวไม่มองด้วยซ้ำ สองมือกวัดแกว่งต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว กระถางกระแทกบนสายชนวนดังเพล้งๆๆ ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ประกายเพลิงกะพริบต่อเนื่องหลายครั้ง สุดท้ายแล้วจึงมอดลง


 


 


ข้างหลังแว่วเสียงตวาดโกรธเกลียดเคียดแค้นดังก้องว่า “ราชินี! คือราชินี! สังหารนาง! สังหารนาง!”


 


 


เสียงครืดๆ เสียงดังขึ้นรวดเร็ว ท่าทางดุจเปี่ยมพลังมหาศาล รถม้าชนเข้ามาทางหลังกายนาง


 


 


พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับไปก็มองเห็นซังต้งที่บนหน้าอกเปรอะโลหิตพิงอยู่บนบนแอกรถ จ้องนางเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตาย นัยน์ตาโกรธแค้น มือสองข้างที่ยื่นออกมาเปรอะเปื้อนโลหิตทั่ว อัปลักษณ์ดุจปีศาจหญิงที่หลบหนีออกมาจากนรก


 


 


ในขณะนี้จิ่งเหิงปัวยังหัวเราะฮิฮิครั้งหนึ่งได้


 


 


“ยายเฒ่า สภาพยามนี้ของเจ้าขี้เหร่ยิ่งนัก” ก่อนพริบตาหนึ่งที่รถม้าจะชนเข้ากับนาง เรือนร่างนางกะพริบวูบ สูญสลายหายไป


 


 


เหลือเพียงเสียงท้ายประโยคหนึ่ง สลายไปในอากาศ


 


 


“…นึกถึงยามเจ้านำใบหน้าอัปลักษณ์นี้ลงนรก ข้าล่ะดีใจจริงๆ ฮ่าๆๆ”


 


 



 


 


ซังต้งเบิกตากว้าง มองเบื้องหน้าที่ว่างเปล่าในพริบตา ล้มลงบนแอกรถอย่างไร้เรี่ยวแรง


 


 


เหล่าองครักษ์เบิกตากว้าง พึมพำว่า “ปีศาจ…ปีศาจ…”


 


 


“ไม่ต้องห่วงยุ้งฉางแล้ว…ไป…ไป…” ซังต้งฝืนค้ำยันเรือนร่างขึ้น ฝ่ามือคว้าแอกรถไว้ รอยฝ่ามือเปื้อนโลหิตชุ่มโชกรอยหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าจะไปตำหนักอวี้จ้าว ไปเผาพวกเขาโดยพลัน! ข้าจะให้นางรับรู้ว่าเรื่องนี้คือเคราะห์กรรมของนาง…เคราะห์กรรมของนาง!”


 


 



 


 


ที่นี่คือยุ้งฉางหลวงที่ตั้งอยู่ทางเหนือของเมือง มีทางแยกทั้งหมดสามสายทางมุ่งสู่ใจกลางนครได้ เมื่อเรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบปรากฏบนพื้นถนน ในขณะเดียวกันมองเห็นรถม้าที่ทะยานออกไปบนถนนสามสาย ถนนทุกสายมีรถม้าอย่างน้อยที่สุดสามคันขึ้นไป


 


 


“ซวยแล้ว” จิ่งเหิงปัวเกือบจะดึงผมยาวสุดที่รักจนขาด ร้องว่า “เส้นทางเยอะขนาดนี้ จะไล่ตามไปอย่างไร?”


 


 


บนถนนมีคนอยู่ ทั้งพ่อค้าคนเดินถนน ต่างคนต่างกระทำธุระของตนเอง ไม่มีใครสนใจมองรถม้าที่แล่นไปอย่างรวดเร็ว บริเวณนี้มียุ้งฉาง วันไหนบ้างที่บนถนนไม่มีขบวนรถหลายคันแล่นผ่าน?


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ โก่งคอร้องตะโกนว่า “มีคนปล้นยุ้งฉางแล้ว!”


 


 


ไม่มีใครสนใจ


 


 


จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้ม ปล้นยุ้งฉางยังไม่มีใครสนใจ? ไม่ได้บอกว่าเสบียงอาหารเป็นชีวิตจิตใจของราษฎรเหรอ?


 


 


ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซผ่านมา มองนางที่หน้าตามอมแมมอย่างสงสารปราดหนึ่ง ส่ายหน้าถอนใจ เอ่ยว่า “หน้าตาก็สะสวย เสียดายว่าสมองเลอะเลือน”


 


 


“เฮ้ตาแก่เจ้าเอ่ยให้ชัดเจนสิ” จิ่งเหิงปัวดึงเขาไว้ กล่าวว่า “เหตุใดเอ่ยว่าปล้นยุ้งฉางถึงสมองเลอะเลือน? มีคนปล้นยุ้งฉางจริงนะ!”


 


 


“มองให้ดีสิ สามแห่งทางนี้เป็นยุ้งฉางเปล่าทั้งนั้น ยุ้งฉางของจริงที่มีเสบียงเต็มอยู่ทางนั้น” ผู้เฒ่าชี้ไปยังเบื้องหน้า สิ่งปลูกสร้างที่สูงใหญ่มีรั้วไม้ทอดยาวตรงนั้น มองเห็นโกดังข้าวสูงตระหง่านได้รำไร


 


 


“หากมีคนปล้นยุ้งฉางจริง คงไม่ใช่ตะโกนอยู่ตรงนี้ อีกทั้งทางนั้นมีทหารทัพใหญ่เฝ้าดูแล ควรโวยวายออกมานานแล้ว จะยังปลอดภัยไร้กังวลขนาดนี้ได้หรือ?” ผู้เฒ่าถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง ถลกแขนเสื้อเดินจากไปแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวมองไปยังตำแหน่งนั้น ยุ้งฉางที่ซังต้งชุมนุมลูกน้องคือยุ้งฉางร้างจริง ห่างจากยุ้งฉางใหม่ช่วงหนึ่ง แต่พอมองให้ละเอียด มีส่วนหนึ่งอยู่ใกล้กันค่อนข้างมาก ฉะนั้นซังต้งให้คนขุดร่องลับใต้ยุ้งฉางเก่าแล้วฝังวัตถุไวไฟ จากนั้นใช้สายชนวนทะลุผ่านร่องลับไปเผายุ้งฉางทางนั้น


 


 


ทำแบบนี้ต้องมีเงื่อนไขแรก นั่นคือยุ้งฉางใหม่ทางนั้นมีสายลับ!


 


 


แต่ตอนนี้จิ่งเหิงปัวก็ไม่ทันได้สืบหาว่ายุ้งฉางนั้นมีอะไรซ่อนอยู่แล้ว รถม้าแล่นออกจากทัศนวิสัยแล้ว ขับรถสักสิบห้านาทีกว่าคงจะไปถึงใจกลางตี้เกอได้ ตอนนั้นก็คือโศกนาฏกรรมเลือดเนื้อเหินว่อน นางไม่มีเวลาแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เงยหน้ามองดู ทางนี้ห่างจากประตูเป่ยเหยี่ยไม่ไกล ประตูเป่ยเหยี่ยใกล้กับเขาเป่ยเหยี่ย คุณชายลูกท่านหลานเธอลูกหลานคนรวยจำนวนมากออกไปล่าสัตว์จากประตูนี้ ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่กลับมาพอดี คนเหล่านี้มีวรยุทธนิดหน่อย มียานพาหนะ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการกอบกู้ภัยพิบัติครั้งนี้


 


 


โชคดีที่ได้การสั่งสอนของกงอิ้น ให้ราชินีที่มีโอกาสออกจากวังน้อยมากแบบนางนี้ รู้ภูมิประเทศทัศนียภาพของตี้เกอแจ่มแจ้งดุจนิ้วบนฝ่ามือ


 


 


นางเช็ดใบหน้าครั้งหนึ่ง ตอนที่ยกมือสะเทือนถึงผืนอก หน้าอกพลันเจ็บปวดคอหอยพลันหวานชื่น นางแอบกลืนของเหลวบางชนิดลงไป พึมพำเสียงหนึ่ง “เสียเปรียบแฮะ” เยื้องกรายยักย้ายไปถึงริมทาง ทำท่วงท่าอักษรเอสที่เชื้อเชิญเพริศพริ้ง


 


 


โฉมงามเพริศพริ้งขนาดนี้ ท่วงท่ายั่วยวนขนาดนี้ คงจะทำให้พวกโง่เง่าบ้ากามกลุ่มนั้นหยุดฝีเท้าได้ล่ะมั้ง?


 


 


สายัณห์เริ่มสาดแสงนวล นกกาหวนร้องยามเย็น บริเวณประตูเป่ยเหยี่ยค่อยๆ มีคนหลั่งไหลมากขึ้น ผู้ออกล่าสัตว์กลับมาแล้ว


 


 


รถม้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า แล่นมาอย่างรวดเร็ว


 


 


จิ่งเหิงปัวดีอกดีใจ ยกมือเชื่องช้า ร้องว่า “ไฮ…”


 


 


ฝุ่นธุลีผืนใหญ่ผืนหนึ่งพุ่งเข้าปะทะใบหน้า พ่น “ไฮ” ของท่วงท่าเปี่ยมล้นมนตร์เสน่ห์นั้นกับความงดงามกระชากวิญญาณนั้นของนางกลับมา ม้าตัวใหญ่แข็งแรงเหล่านั้นผ่านข้างกายนางประหนึ่งสายลมแล้ว แววตาของทหารม้าตรงแน่วตลอดทาง ไม่ได้มองนางสักปราดเดียวด้วยซ้ำ


 


 


“ไอ้เวรเอ้ย มีตาบ้างหรือเปล่าเนี่ย!” จิ่งเหิงปัวถุยดินในปากทิ้งอย่างโกรธเคือง ขยับเยื้อนท่วงท่าอีกครั้ง รอคอยความช่วยเหลือระลอกต่อไป


 


 


รถม้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล่นผ่านมาอีกครั้ง


 


 


รถม้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล่นผ่านไปอีกครั้ง


 


 


รถม้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล่นผ่านมาอีกครั้ง


 


 


รถม้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล่นผ่านไปอีกครั้ง 

 

 


ตอนที่ 67 - 3 กอบกู้ตี้เกอ

 

 “โว้ยๆๆๆ ทำไมพวกเขาไม่หยุด!” จิ่งเหิงปัวบ้าคลั่ง


 


 


“ได้ยินว่าคนสำคัญหลงทาง ยามเย็นนี้จะห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลล่วงหน้า รีบเร่งกลับไป มิเช่นนั้นเจอการตรวจสอบจะเป็นเรื่องยุ่งยาก…” ไกลโพ้นมีเสียงคนแว่วมา


 


 


“หา? คนสำคัญบ้าบออะไรหลงทางแล้วต้องให้ห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลล่วงหน้าทั้งเมือง?”จิ่งเหิงปัวด่าโพล่งอย่างวุ่นวายใจว่า “ขอให้เขาประจำเดือนมาทุกวันเลย!”


 


 


หลังจากด่าเสร็จแล้ว ถึงรู้สึกว่าเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ?


 


 



 


 


“ไม่หยุด ไม่หยุดสักคัน…” ผ่านไปสามคันติดต่อกันยังไม่หยุด จิ่งเหิงปัวมองดูท้องฟ้า ตระเตรียมใช้ไพ่ตาย


 


 


กำลังทหารอีกกองหนึ่งผ่านมาแล้ว ทหารม้าข้างหน้าพุ่งมาอย่างรวดเร็ว


 


 


“ยิ้มหยาดเยิ้มไม่เอา งั้นเอาก้อนหินไปเถอะ!” จิ่งเหิงปัวแกว่งมือครั้งหนึ่ง หินก้อนหนึ่งลอยขึ้นจากพื้น เขวี้ยงไปทางขาม้าของทหารม้าที่อยู่ข้างหน้าที่สุด


 


 


“อมิตพุทธ สีกา กระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูนางกะทันหัน เอ่ยอย่างนุ่มนวลเงียบสงบซ้ำยังเจื้อยแจ้วว่า “เจ้าจะใช้ก้อนหินเขวี้ยงขาม้าหรือ? มุมนี้ของเจ้าในยามนี้ พอลองเทียบแล้วเขวี้ยงโดนขาม้าได้ เอียงไปสามเฟินจะเขวี้ยงโดนขาที่สอง เอียงอีกสามเฟินจะเขวี้ยงโดนขาที่สาม เอ่ยอีกอย่างหนึ่งคือไม่ว่าเจ้าจะเขวี้ยงอย่างไร ขาของม้าตัวนี้จะถูกเจ้าเขวี้ยงจนหัก เจ้าไม่รู้สึกว่าโหดร้ายเกินไปหรือ…”


 


 


“เอ่ยจุกจิกอีกพี่จะเขวี้ยงขาที่สามของเจ้าให้หัก!” จิ่งเหิงปัวไม่มองด้วยซ้ำ ผลักปากที่เอ่ยเจื้อยแจ้วนั้นออกไปในฝ่ามือเดียว มือแกว่งครั้งหนึ่ง


 


 


ก้อนหินลอยออกไปกำลังจะเขวี้ยงโดนขาม้า


 


 


เจ้าคนข้างกายพลันถอนหายใจ กวักมือเพียงครั้ง


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงมองดูก้อนหินพลันเลี้ยวโค้งเก้าสิบองศาขณะห่างจากขาม้าศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเซนติเมตรแล้วลอยสู่ข้างพงหญ้าริมทาง


 


 


นางหันหน้ามาจ้องมองเจ้าคนข้างกายคนนั้น


 


 


นึกว่าเป็นพระ แท้จริงแล้วไม่ใช่พระ


 


 


เบื้องหน้าคือผู้อ่อนวัยหน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง ท่าทางใสซื่อ รอยยิ้มไร้เดียงสา มองครั้งแรกรู้สึกคล้ายอีชีเล็กน้อย พอมองอีกครั้งไม่ได้หล่อเหลาเท่าอีชีแต่แลดูถูกชะตากว่าอีชี โดยเฉพาะดวงตาบริสุทธิ์สองข้างบนใบหน้ามีแสงครั่นครื้น ดูท่าทางอ่อนโยนและบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์


 


 


ไม่ใช่พระทำไมต้องเอ่ยว่าอมิตพุทธให้มากมาย? จิ่งเหิงปัวอยากจะดึงหูโปร่งแสงของเขามาตวาดสักรอบจังเลย


 


 


แต่จากนั้นสายตาของนางทอดลงบนก้อนหินที่ใช้เป็นอาวุธก้อนนั้น ก้อนหินยังคงล่องลอยอยู่ พระปลอมกวักนิ้วมือคล้ายจูงมือของคนรัก วางก้อนหินลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง จวบจนวางได้มั่นคงสงบนิ่งแล้วถึงหันหน้าถามจิ่งเหิงปัวอย่างสนิทสนมว่า “อมิตพุทธ ขอถามไถ่สิ่งใดเรียกว่าขาที่สามของอาตมา อาตมาไม่มีเป็นแน่…”


 


 


“ไต้ซือ!” จิ่งเหิงปัวคว้ามือของเขาไว้ในครั้งเดียว กล่าวว่า “ท่านห่วงใยโลกหล้าใช่หรือไม่? ท่านโปรดสรรพชีวิตให้พ้นทุกข์ใช่หรือไม่? ท่านจะกระทำเรื่องราวทุกสิ่งที่สามารถทำได้อย่างกระตือรือร้นเบื้องหน้าภยันตรายใช่หรือไม่?”


 


 


พระปลอมคล้ายถูกนางทำให้ตกใจ พยักหน้าอย่างเหม่อลอยแล้วหลุบตาลง เอ่ยอย่างขวยอายว่า “สีกาเจ้าแตะต้องผิวกายของอาตมาแล้ว…”


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าประโยคนี้คล้ายมีความละมุนละไมเล็กน้อย? การใช้คำของพระปลอมเหมาะเจาะทีเดียว แต่ตอนนี้ไม่ทันได้พะว้าพะวังมากมายขนาดนั้นแล้ว จูงมือของเขาประชิดอ้อมอกของตนเองในครั้งเดียว กล่าวว่า “ท่านต่างหากที่แตะต้องผิวกายข้า! ท่านยังจับหน้าอกข้าอีก! ท่านมันพระลามก! หากท่านไม่ทำตามที่ข้าเอ่ย ข้าจะไปฟ้องศาล ให้ชื่อเสียงท่านพังทลาย ตายแล้วไร้ที่ฝังร่าง!”


 


 


พระปลอมคล้ายตกอกตกใจ ก้มหน้าอย่างขวยอายยิ่งขึ้น กระซิบกระซาบว่า “ทำเช่นนี้ดีหรือไม่สีกา อาตมาไม่กล้าลวนลามเจ้า ต้องการสิ่งใดจงสั่งการมาเถิด…”


 


 


เขาขวยอายอย่างบริสุทธิ์ ทว่าไม่ชักมือกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ นิ้วมือยังลองขยับเขยื้อนอย่างเงียบเชียบ


 


 


“ก็ดี” จิ่งเหิงปัวผลักมือของเขาออกไปในทันที กล่าวว่า “ท่านไปไล่ตามรถม้าสามคันตามเส้นทางตรงกลางนี้ ต่างเป็นรถม้าเก่า สีดำเทา มีกลิ่นแปลกประหลาด พอไล่ตามทันแล้วทำลายหินเหล็กไฟในถุงบนแอกรถให้สิ้นก่อน จำไว้ว่าทำลายให้สิ้น จากนั้นจะให้ดีจงทำลายรถม้าด้วย ส่วนคนบนรถม้าจับเป็นได้ก็จับเป็น จับเป็นไม่ได้ก็ช่างเถิด จำไว้ว่าอย่าเสียเวลากับรถม้าคันหนึ่งมากเกินไป จะต้องขวางรถม้าทั้งสามคันไว้ให้ได้! อย่าได้ลืมเชียวนะ! เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของราษฎรทั่วทั้งตี้เกอ!”


 


 


“โอ้ๆ” พระปลอมพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง สายตามองดูมือที่ถูกผลักออกมาของตนเองอย่างอาลัยอาวรณ์


 


 


“ฝากด้วยล่ะ!” จิ่งเหิงปัวยังไม่ค่อยวางใจเจ้าคนที่ดูคล้ายจะไว้ใจได้มากแต่รู้สึกว่าไม่เข้าท่าคนนี้มากเท่าไร จำต้องเพิ่มรางวัลพิเศษเข้าไปอีกว่า “หากท่านทำเรื่องนี้ได้ดี ข้าจะรับปากท่านข้อหนึ่ง!”


 


 


“ได้!” ดวงตาของพระปลอมสว่างวูบ คราวนี้รับปากอย่างสบายใจ


 


 


เขาหันกายจากไป แขนเสื้อใหญ่ลอยล่อง พริบตาเดียวเฉียดออกไปหลายจั้ง จิ่งเหิงปัววางใจขึ้นมาหน่อยแล้ว พ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เจ้าคนนี้ดูท่าทางไม่เข้าท่าแต่ว่าฝีมือน่ะจริงแท้แน่นอน ให้ไล่ตามรถม้าสามคันนั้น มีความหวัง!


 


 


พระปลอมเหินออกไปหลายจั้ง เกาศีรษะ หันหน้ากลับมามองดูทางจิ่งเหิงปัว หรี่ตาขึ้นพลางขยับนิ้วมือไปมา


 


 


เฮ้อ ลื่นนัก นุ่มนัก อวบอิ่มนัก…


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยว่านางน่าสนุกนัก ข้าเห็นชัดว่าใหญ่นัก อา ใหญ่จริงยิ่งนัก…”


 


 


ครู่หนึ่งนี้บนใบหน้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระปลอมผุดเผยรอยยิ้มอัปลักษณ์ที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์…


 


 



 


 


“ไม่ใช่พระแสร้งจิตใจสะอาดผ่องใสทำอะไร ถุ้ย!” จิ่งเหิงปัวมองพระเดินจากไปแล้วถึงถุ้ยเสียงหนึ่ง มองเห็นมีกองคาราวานม้าวิ่งห้อมาอีกครั้ง แกว่งมือครั้งหนึ่ง ก้อนหินเมื่อครู่นั้นลอยขึ้นอีกครั้ง


 


 


“ไป!”


 


 


ก้อนหินสะเทือนเลือนลั่น เขวี้ยงไปทางร่างม้าของทหารม้าที่อยู่ข้างหน้าสุด


 


 


“ฮี่…” เสียงคำรามยืดยาวเสียงหนึ่ง ม้าพันธุ์ดีเชิดร่างขึ้นเท่าคนยืน กีบเท้าใหญ่เท่าถ้วยเชิดขึ้นกลางอากาศ ทหารม้าสวมชุดสีเหลืองคล่องแคล่วบนหลังม้าเหินกายงดงามครั้งหนึ่ง ทะยานขึ้นพลิกกายลง มือคว้าหินก้อนนั้นไว้ในครั้งเดียว ลูบปลอบโยนม้าสุดรักไปพลาง หันหน้าตวาดไปพลางว่า “ผู้ใดจู่โจมมั่วซั่ว!”


 


 


“ข้า!” เสียงของจิ่งเหิงปัวก้องกังวานหนักแน่นกว่าเขา


 


 


คนคนนั้นลงพื้น ท่วงท่าล่องลอย พอยืนมั่นคงสันหลังตรงแน่ว ท่าทางห้าวหาญปานบุรุษนั้น จิ่งเหิงปัวมองดูแล้วอดจะกู่ร้องด้วยความยินดีเสียงหนึ่งในใจไม่ได้


 


 


ยามเขาหันหน้ามาสีหน้าเปี่ยมด้วยความโกรธเคือง พอมองเห็นใบหน้าของจิ่งเหิงปัวจนชัดเจน อดจะชะงักไม่ได้


 


 


จิ่งเหิงปัวยังกำลังใคร่ครวญว่าวิธีกล่าวแบบไหนถึงทำให้เจ้าคนนี้ช่วยเหลือโดยไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ไม่คิดว่าคนคนนั้นจะเอ่ยปากก่อนว่า “แม่นาง ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!”


 


 


“อ๊ะ เจ้ารู้จักข้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวรู้สึกประหลาดใจ


 


 


บุรุษยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “หลายวันก่อนแม่นางสวมกระโปรงหลากสีมหัศจรรย์ชุดหนึ่ง เคยปรากฏกายที่ถนนใหญ่จิ่วกงใช่หรือไม่?”


 


 


คราวนี้จิ่งเหิงปัวประหลาดใจขึ้นมาจริงแล้ว กล่าวว่า “เรื่องนี้เจ้าจำได้ด้วยหรือ?”


 


 


เรื่องที่เขาเอ่ยคือครั้งที่นางสวมกระโปรงยาวโบฮีเมียเดินแฟชั่นโชว์ที่ถนนใหญ่จิ่วกงครั้งนั้นล่ะมั้ง? แต่ครั้งนั้นนางสวมหมวกปีกกว้างด้วย คนคนนี้จำนางได้ได้อย่างไร?


 


 


“วันนั้นแม่นางแต่งกายโดดเด่นยิ่งนัก ท่วงท่างามเลิศล้ำ ทำให้คนใฝ่หา เห็นแล้วยากลืมเลือน” บุรุษยิ้มแย้มด้วยความจริงใจ เอ่ยสืบต่อว่า “วันนี้พอได้พบจึงจำได้ ยังหวังให้แม่นางโกรธเคืองผู้ต่ำต้อยโทษฐานล่วงเกิน”


 


 


จิ่งเหิงปัวประทับใจคนคนนี้มาก


 


 


นางหน้าตาดีมาแต่ไหนแต่ไร เคยชินกับแววตาตะลึงพรึงเพริดของคนอื่น แต่ก่อนแววตาเหล่านั้น ในความตื่นตะลึงมักจะเจือด้วยกลิ่นอายความหยาบโลนหลายส่วน อย่างน้อยที่สุดยังเปี่ยมด้วยความรู้สึกอยากครอบครอง หลบๆ ซ่อนๆ กล้ามองแต่ไม่กล้ารับ แต่คนเบื้องหน้าคนนี้มองตรงมาที่นางแล้วชื่นชมอย่างจริงใจ ไม่ได้ปิดบังความชื่นชมของเขาเลยแม้แต่น้อย สายตาโอบอ้อมอารีและบริสุทธิ์


 


 


ประกอบกับลักษณะหน้าตาที่แม้ไม่นับว่าหล่อเหลาที่สุด แต่ท่าทางสง่าผ่าเผยมีกลิ่นอายของผู้ชายอย่างมากของเขา ย่อมทำให้คนเกิดความรู้สึกดีในใจได้ง่ายอย่างยิ่ง


 


 


“ขอบใจ” นางแย้มยิ้มพริ้มพราย กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยเหลือข้าสักเรื่องได้หรือไม่?”


 


 


“เชิญเอ่ย”


 


 


“ไปไล่ตามรถม้าหลายคันนั้นแทนข้า” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังเส้นทางทางขวาสายหนึ่ง นำคำขอร้องที่กล่าวกับพระปลอมบอกเขารอบหนึ่ง จบแล้วยังเสริมน้ำเสียงกำชับประโยคหนึ่งว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันความเป็นความตาย ยามนี้ข้าไม่มีเวลาว่างอธิบาย สรุปคือรบกวนด้วย!”


 


 


“ได้” บุรุษพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ไม่ถามสักประโยคเดียวด้วยซ้ำ พลันหันกายขึ้นม้า


 


 


“จริงสิ!” เดิมทีจิ่งเหิงปัวยังลังเลว่าจะขอให้เขาช่วยแจ้งข่าวดีไหม เห็นเขาตรงไปตรงมาขนาดนี้จึงเพิ่มไปอีกประโยคหนึ่งเสียเลยว่า “ยังขอให้เจ้าส่งลูกน้องสักคนไปยังตำหนักอวี้จ้าวขอพบราชครูฝ่ายขวา เอ่ยว่าต้าปัวไปช่วยดับไฟไหม้แล้ว ระวังรถม้าสีดำในเส้นทางจิ่วกง ตรอกหลิวหลีและฉังจิ่งสามสายนี้!”


 


 


“ได้” บุรุษยังคงไม่ได้ถามมากมาย โบกมือเพียงครั้งเรียกลูกน้องคนหนึ่ง โยนป้ายหนึ่งอันให้เขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปทำ!” จากนั้นยกมือคำนับจิ่งเหิงปัว ร้องเรียกเสียงหนึ่งว่า “ไป!” นำพาเหล่าผู้ใต้บัญชาควบอาชาทอดยาวดุจมังกรจากไป


 


 


จิ่งเหิงปัวมองออกว่าใต้สะโพกเขาคือม้าพันธุ์ดี ถอนหายใจเสียงหนึ่ง หากโชคดีคงจะทันเวลา


 


 


นางลูบใบหน้า นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมากะทันหัน การไปตำหนักอวี้จ้าวขอพบกงอิ้นคงไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทำได้ กงอิ้นก็คงไม่อาจให้เข้าพบได้ทุกคน ทำไมคนคนนี้ไม่มีสีหน้ายุ่งยากแม้แต่เศษเสี้ยวด้วยซ้ำ พลันรับปากไว้แล้ว?


 


 


เห็นเขาแต่งกายเรียบง่ายธรรมดา มองไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นคุณชายลูกท่านหลานเธอมีฐานะอะไร


 


 


ตอนนี้ยังเหลืออีกเส้นทางหนึ่ง นางหันหน้ามองดูทางประตูเมือง แสงสายัณห์ห้อมล้อม ประตูเมืองน่าจะปิดแล้ว คนเดินถนนบนถนนกำลังน้อยลง คงจะไม่มีใครผ่านมาอีกแล้ว


 


 


ดูท่าทาง ตนเองจำต้องเข้าสู่สนามรบแล้ว


 


 


ขณะนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งรู้สึกเจ็บปวดหน้าอก กุมหน้าอกไว้ไอสองครั้ง พึมพำว่า “ไอ้เวรเอ้ย การเป็นราชินีเช่นข้านี้จะลำบากเกินไปแล้ว ควรจะมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์…”


 


 


แสงนภามืดมนลงเชื่องช้า ครู่หนึ่งนั้นที่แสงเงาเมฆเรืองรองสูญสลาย เงาร่างนางหายวับดังสวบ


 


 


รอยโลหิตหลายหยดปรากฏบนพื้น   

 

 


ตอนที่ 67 - 4 กอบกู้ตี้เกอ

 

รถม้าสีดำโลดแล่นท่ามกลางความมืดยามราตรีที่ค่อยๆ มัวสลัว


 


 


ดวงตาสองข้างของเหล่าผู้ชราบนรถม้าหนาวสะท้าน ใบหน้าดุจเหล็กกล้า


 


 


รถม้ากำจายกลิ่นอายแปลกประหลาด ทว่าด้วยเพราะแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ผ่านไปมายังไม่ได้กลิ่นก็สลายไปแล้ว


 


 


แม้ว่ารถม้าแลดูสภาพเก่าผุพัง แท้จริงแล้วกลับมั่นคงแข็งแรงยวดยิ่ง ความเร็วในการแล่นก็รวดเร็วกว่ารถม้าธรรมดา การควบคุมทิศทางก็แคล่วคล่องยิ่งยวด ทว่าคนของตระกูลซังต่างรู้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงสิ่งของการละเล่นของนายน้อยใหญ่ซังเทียนสี่ผู้มีความสามารถเลิศล้ำเท่านั้น


 


 


ซังเทียนสี่เพียงลงมือกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเรื่อยเปื่อยสักหน่อย หลังจากนั้นของสิ่งนั้นต้องพิเศษไร้ผู้ใดเสมือนเป็นแน่ เรื่องนี้คือเรื่องที่คนตระกูลซังทุกคนร่วมรับรู้


 


 


คนตระกูลซังมีความเชื่อมั่นต่อนายน้อยใหญ่ของพวกเขายิ่งนัก รู้สึกว่าแม้ว่าเขาคือบุรุษ ไม่อาจสืบทอดมหาตำแหน่งกองเซ่นไหว้ของตระกูลซัง ทว่าเขาเปล่งประกายสาดส่องแสงรุ่งโรจน์ที่ผู้อื่นยากจะเทียบเทียมบนเส้นทางอื่นได้โดยสิ้นเชิง ไม่เข้าใจเลยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เหตุใดผู้นำตระกูลซังต้งต้องซ่อนนายน้อยใหญ่ไว้ในลานด้านในโดยตลอด ให้เขาเก็บเนื้อเก็บตัวไม่เปิดเผยต่อคนนอก ส่งผลให้ชาวตี้เกอจำนวนมากรู้ว่าตระกูลซังมีบุตรชายผู้หนึ่งนี้ ทว่าไม่รู้ว่าบุตรชายผู้หนึ่งนี้ของตระกูลซังเป็นผู้ใดกันแน่ ความสามารถเป็นอย่างไร


 


 


คนตระกูลซังต่างรู้สึกว่านายน้อยใหญ่ถูกปิดกั้นความสามารถ เดิมทีเขาควรเป็นหงส์แห่งสวรรค์ ทว่าจำต้องพักจำศีลอยู่ในซอกมุมอย่างเงียบเชียบ หากไม่ใช่เพราะผู้นำตระกูลซ่อนนายน้อยใหญ่ไว้แน่นหนาขนาดนี้ บางครั้ง เรื่องราวภัยพิบัติในวันนี้ของตระกูลซังคงจะไม่มาถึงกระมัง


 


 


ผู้รับใช้ชราหลายคนกระชับอาภรณ์บนเรือนร่าง เชิดหน้าขึ้น เบื้องหน้าห่างจากตลาดกลางคืนฉังจิ่งไม่ไกลแล้ว


 


 


ใจเต้นขึ้นมาดังตึ่กตั่ก ไม่รู้ว่าเป็นความตึงเครียดหรือปวดร้าวใจ


 


 


“ตึ้ง”


 


 


บนศีรษะพลันดังแผ่วเบาเสียงหนึ่ง


 


 


ผู้ชราหลายคนเงยหน้าอย่างระแวดระวัง มองเห็นชายผ้าสีครามมุมหนึ่งสยายพลิ้ววูบไหวบนหลังคารถ


 


 


“ผู้ใดกัน?”


 


 


เหนือศีรษะมีใบหน้าหนึ่งชะโงกลงมา รอยยิ้มใสซื่อ เอ่ยว่า “อมิตพุทธ อาตมาขอบิณฑบาต”


 


 


“ไสหัวไป!” คนใกล้ตายหลายคนไม่มีสีหน้าดีงามอะไรให้เจ้าผู้อายุอ่อนวัยแต่งกายเป็นฆราวาสแจ่มแจ้งทว่าดันจะเรียกตนเองว่าอาตมาคนหนึ่ง


 


 


แลมีคนค่อนข้างระแวดระวัง คนผู้หนึ่งยื่นมือไปคว้าถุงบรรจุหินเหล็กไฟ


 


 


ถุงพลันลอยขึ้นมา ทุกคนเบิกตาโพลงมองดูถุงนั้นลอยสู่ในมือของพระปลอม


 


 


“อมิตพุทธ ในนี้คือเงินใช่หรือไม่? อาตมาขอบิณฑบาต” พระปลอมเอ่ยเองเออเองพลางแก้ถุงออกมา มองดูหินเหล็กไฟข้างในนั้น ชำเลืองมองลักษณะภายนอกของรถม้าปราดหนึ่ง ดมกลิ่นแล้วผุดเผยรอยยิ้มลึกลับผืนหนึ่ง


 


 


“ที่แท้…” เขาเอ่ยว่า “นึกไม่ถึงว่าเด็กหญิงนางนี้ยังจะ…”


 


 


วาจาสองประโยคยังเอ่ยไม่ทันสิ้น จากนั้นเขายิ้มแย้มอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง นิ้วมือดีดเพียงครั้งดีดถุงออกไปอย่างเบาหวิวท่ามกลางแววตาตื่นตะลึงของผู้ชราหลายคน


 


 


“เจ้านี่มันพระบ้า!” ผู้ชราคนหนึ่งทั้งตกใจทั้งโกรธเคือง หยุดรถแล้วลุกขึ้นไปเก็บหินเหล็กไฟ อีกสองคนพุ่งขึ้นไปลากเท้าของพระปลอมแล้วร้องว่า “ลงมา!”


 


 


เพียะๆ สองเสียง รองเท้าฟางกลิ่นเหม็นสองข้างกระแทกลงมาฝั่งละข้าง ร่วงลงบนศีรษะของผู้ชราสองคนอย่างแม่นยำ เห็นชัดเจนว่าเป็นรองเท้าฟางเบาหวิว ผู้ชราสองคนกลับดุจถูกค้อนมหึมากระแทกใส่ ดวงตาสองข้างกลอกเป็นสีขาว แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนแล้ว


 


 


พระปลอมเหินลงจากรถม้า พนมมืออย่างสงสารยิ่งนัก เอ่ยว่า “อมิตพุทธ เหตุใดจึงสลบไสลไปแล้ว?”


 


 


คนที่พุ่งลงไปริมทางตามหาถุงหินเหล็กไฟเจอแล้ว พอหันกลับมามองเห็นสหายร่วมเดินทางล้มลงพื้น สีหน้าเปลี่ยนไปมากหลาย พลันกัดฟันกรอด ถูจุดหินเหล็กไฟเสียเลย ยกมือเพียงครั้งเหวี่ยงมาทางรถม้า


 


 


พระปลอมถอนใจ เอ่ยว่า “มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าโง่เขลาทั้งนั้น”


 


 


จากนั้นเขาผลักรถม้าแผ่วเบา


 


 


รถม้าหนักหน่วงพลิกคว่ำลงพื้นดังครืนเสียงหนึ่ง เปลวไฟที่ลุกไหม้ปลิวเฉียดผ่านรถม้า รอยเพลิงเหลืองสว่างแดงเข้มสายหนึ่งสูญสลายไปไกลโพ้น กะพริบวูบแล้วมอดดับ


 


 


คนที่เหวี่ยงไฟมาปากอ้าตาค้าง


 


 


ไม่เคยเห็นพระปลอมที่ทั้งสุภาพเรียบร้อยเปี่ยมมารยาททั้งป่าเถื่อนโหดร้ายขนาดนี้


 


 


ทั้งที่ใช้มือไปรับเปลวไฟได้ เขากลับจะผลักรถม้าให้พลิกคว่ำ ท่วงท่าแผ่วเบาจนคล้ายกำลังลูบแมว ทว่ารถม้าพันชั่งมีสภาพอ่อนยวบประหนึ่งแมวเช่นกัน พอผลักพลันพลิกคว่ำ


 


 


คนผู้นั้นงงงันไประลอกหนึ่ง พลันตะโกนก้องเสียงหนึ่งแล้วหันกายหลบหนี


 


 


ความกล้าหาญในการก้าวสู่ความตายของคนมักจะเป็นเพียงชั่วพริบตาหนึ่ง พออารมณ์เร่าร้อนระลอกนั้นผ่านไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ย่อมเป็นความหวาดกลัวที่มีต่อความตายกับความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อการมีชีวิต


 


 


พระปลอมไม่ได้ไล่ตาม หันกายผลักรถม้าลงริมทาง หันกลับมาสวมรองเท้า นั่งยองลงล้วงทรัพย์สินบนร่างกายของสองคนที่ถูกรองเท้าฟางกระแทกจนสลบไสลออกมายัดเข้าไปในถุงผ้าตาเหลียน[1]ของตนเอง จากนั้นบีบจมูกของเจ้าสองคนนั้นไว้


 


 


ลมหายใจถูกอุดไว้ สองคนค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา


 


 


“โยมสองท่านฟื้นแล้วหรือ?” พระปลอมเอ่ยอย่างซื่อตรงกับไอ้ดวงซวยที่สองตางงงันสองคนว่า “อาตมาเพิ่งรับบิณฑบาตจากพวกเจ้า ตั้งใจเรียกพวกเจ้าให้ฟื้นขึ้นมาบอกกล่าวเสียงหนึ่ง ขอบใจในความกรุณาลึกซึ้ง โยมกระทำกรรมดีสะสมบุญบารมี จะต้องได้รับความสุขความเจริญอย่างรวดเร็วเป็นแน่ อมิตพุทธ”


 


 


เอ่ยจบฉวยมือตบเพียงครั้ง ตบคนจนสลบไสลไปอีกครั้งแล้วโยนไปในท่อระบายน้ำใต้ดินริมทาง


 


 


เขาสะพายถุงผ้าตาเหลียน เรือนร่างลอยเหินไล่ตามรถคันที่สองทันอย่างรวดเร็ว กระทำตามการ “บิณฑบาต” อย่างนุ่มนวลแลเมตตาได้สำเร็จ


 


 


ยามเข้าใกล้บริเวณใจกลางตรอกหลิวหลี เขาไล่ตามรถคันที่สาม ทว่าพลันขมวดคิ้ว


 


 



 


 


ทหารม้าชุดเหลืองนำพาผู้ใต้บัญชามุ่งไปเบื้องหน้าตลอดทาง


 


 


ใต้สะโพกเขาต่างเป็นม้าพันธุ์ดี ไล่ตามไม่นานเพียงใดก็มองเห็นรถม้าหัวท้ายเชื่อมต่อกันแถวหนึ่งเบื้องหน้า ทหารม้าชุดเหลืองไม่ได้ลงมือโดยพลัน กลับนำธนูกับลูกธนูบนหัวไหล่ลงมา โก่งธนูพาดลูกศรแล้วน้าวจนกลายเป็นเดือนเพ็ญ ปลายลูกศรชี้ตรงไปยังรถม้าเบื้องหน้าอย่างมั่นคง แม้ม้าพันธุ์ดีใต้สะโพกวิ่งห้ออย่างดุเดือด ทว่าเขาไหล่ตรงเอวตั้ง ท่วงท่าดุจเหล็กกล้า


 


 


ผู้ใต้บัญชาต่างผุดเผยสีหน้าเลื่อมใสออกมาจากใจจริง…น้าวธนูยิงศรทุกคนทำได้ ทว่าท่ามกลางการวิ่งห้อยังมั่นคงดุจกระนั้นได้ กำลังแขนเช่นนี้เพียงพอจะยิ้มเยาะเหล่าวีรบุรุษ


 


 


ไล่ตามไประยะหนึ่ง เบื้องหน้าคือโค้งใหญ่โค้งหนึ่ง รถม้าปรากฏการเอนเอียงอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก รถม้าคันที่สามเอียงไปข้างทาง รถม้าคันที่สองผุดเผยสู่ทัศนวิสัย


 


 


“ฟิ้ว!”


 


 


ศรหนักพุ่งไปดุจกำปั้นหนักสะบั้นอากาศ ชั่วครู่นั้นแสงมืดมิดดุจอสนีบาตฟาดตามไป “เปรี้ยง” เสียงหนึ่งดังสะท้าน ข้างหลังรถม้าคันที่สองปรากฏหลุมหนึ่งหลุมฉับพลัน จากนั้นเสียงกรีดร้องดังขึ้น ลูกธนูพุ่งไปไม่หยุดยั้ง ทะลุผ่านรถม้า เฉียดผ่านแอกรถ ยิงถุงบรรจุหินเหล็กไฟร่วงหล่นแล้วยังคงไม่หยุดยั้ง ปลายธนูเชิดขึ้นปักเข้าไปในก้นม้าลากรถอย่างรุนแรง ม้าคำรามยืดยาวเสียงหนึ่งพลางพุ่งไปเบื้องหน้า ทั่วทั้งคันรถล้มลงดังครืน


 


 


รถคันที่สองเพิ่งพลิกคว่ำ รถม้าคันที่สามได้มาถึงแล้ว บนเส้นทางโค้งควบอาชาไม่ทัน พุ่งตรงชนกับรถม้าคันที่สอง รถม้าคันที่สามพลิกคว่ำดังครืนเสียงหนึ่งอยู่บนพื้นเช่นกัน คนในรถกลิ้งกลายเป็นกองเดียว


 


 


ทั้งไล่ตามรถ ทะยานศร สะบั้นหินเหล็กไฟร่วงหล่น ทำลายรถสองคันเพียงลูกธนูดอกเดียวระหว่างครู่นั้น!


 


 


ศรแห่งเดชานุราช!


 


 


การควบคุมโอกาสยิ่งไร้ที่ติ


 


 


ทหารม้าชุดเหลืองเหินกายขึ้น ควบอาชาเยื้องย่างบนรถม้าคันที่สาม กำลังจะยิงธนูใส่รถม้าคันที่หนึ่ง ข้างหน้าพลันมีประกายไฟผืนหนึ่งพุ่งมา สีหน้าเขาเกร็งแน่น รีบเร่งยื่นมือคว้าคบเพลิงคร่าชีวิตไว้ในมือ


 


 


เพียงหยุดชะงักเช่นนี้ รถม้าคันที่หนึ่งได้แล่นตะบึงออกไปแล้ว คนบนรถจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นัก ไม่ได้หันหน้ากลับมาตรวจสอบสภาพการณ์ของรถสองคันหลังด้วยซ้ำ มุ่งสู่เส้นทางแห่งความตายโดยตรง


 


 


“คุณชาย…” ผู้ติดตามของเขาทยอยตามมา เห็นสภาพการณ์แล้วลังเลเล็กน้อย


 


 


บุรุษชุดเหลืองยืนอยู่บนหลังคารถ ก้มหน้าเล็กน้อยมองดูตัวรถ โคลนลุ่มน้ำออกสีดำเหล่านั้นสาดแสงมันวาวเบาบางในความมืด ดุจแสงรุ่งโรจน์ลึกล้ำกลางนัยน์ตาเขายามพริบตาหนึ่งนี้


 


 


จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าสงบเงียบ


 


 


“ไล่ตามไม่ทันแล้ว” เขาเอ่ย หรี่ตาขึ้นเพียงน้อย ครู่หนึ่งนี้ใบหน้าองอาจผึ่งผายสง่าผ่าเผยของเขาพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด ทว่ายากจะบรรยายความรู้สึกนั้นให้ชัดแจ้ง เหล่าผู้ติดตามต่างก้มหน้าลงไปอย่างนอบน้อม


 


 


“ลิขิตฟ้า” เขาเอ่ย


 


 



 


 


“ฝ่าบาทหายตัวไป?” ภายในตำหนักอวี้จ้าว กงอิ้นวางสารในมือลง


 


 


อวี่ชุนก้มหน้าอย่างอับอายขายหน้า เอ่ยว่า “ขอรับ ยามนั้นฝ่าบาทอยู่บริเวณใกล้เคียง ทว่าไร้หนทางตามหาให้พบเจอ ยิ่งไปกว่านั้นร่องรอยการหายตัวสูญสลายไปอย่างรวดเร็วนัก ยามนี้เหล่าทหารยังคงค้นหาบริเวณโดยรอบ ข้าน้อยจึงมาขออภัยโทษจากนายท่าน…”


 


 


“นางหายตัวไปบริเวณใด?” กงอิ้นขัดวาจาของเขา


 


 


“ถนนใหญ่จิ่วกงตรอกซีเกอขอรับ”


 


 


กงอิ้นก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ยถามว่า “ยามนั้นบนถนนนั้นมีเรื่องราวพิเศษใดเกิดขึ้น?”


 


 


“คล้ายไม่มีเรื่องใด…” อวี่ชุนครุ่นคิดสักพัก เอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “มีร้านค้าหนึ่งกำลังเลิกกิจการ ทว่าคล้ายฝ่าบาทไม่ได้ประชิดใกล้ร้านค้านั้น…”


 


 


กงอิ้นหันกายมองดูแผนที่ข้างหลัง บนแผนที่มีแผนภาพการกระจายของร้านค้าคฤหาสน์ของตระกููลขุนนางตระกูลใหญ่โตทุกตระกูลในตี้เกอ ตรอกซีเกอยิ่งหนาแน่น ทว่าไม่มีสัญลักษณ์ของตระกูลซัง


 


 


“นางไปแย่งชิงเงินแล้ว” ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว กงอิ้นเอ่ยขึ้นมา


 


 


อวี่ชุนไม่รู้ว่าเจ้านายคาดคะเนออกมาได้อย่างไร ทว่าเชื่อมั่นการคาดคะเนของเจ้านายแน่วแน่


 


 


พอฟังดูแล้วคล้ายว่าเป็นเรื่องที่ราชินีจะกระทำออกมาได้


 


 


“ยามนั้นนางคงจะอยู่บนวัตถุที่กำลังขยับเขยื้อน…ม้า…ไม่…รถม้า ”


 


 


กงอิ้นมองดูเส้นทางสายนั้น สีหน้าค่อยๆ จริงจังหนักแน่น เอ่ยว่า “ถ่ายทอดคำสั่ง ประกาศภาวะฉุกเฉินทั้งเมือง ปิดล้อมประตูจิ่ว ให้เข้าได้ห้ามออกไป ตรวจสอบรถม้าทุกคันที่ผ่านมารวมทั้งออกจากเส้นทางถนนใหญ่จิ่วกง”


 


 


“ขอรับ”


 


 


อวี่ชุนรับบัญชาแล้วหันกาย กงอิ้นพลันเอ่ยอีกว่า “ประเดี๋ยวก่อน”


 


 


อวี่ชุนหันกาย


 


 


“ข้าไปกับเจ้าด้วย”


 


 


“ราชครู” อวี่ชุนตกอกตกใจ…ราชครูจะไปสถานที่เช่นถนนใหญ่จิ่วกงนั้นอย่างไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้หรือ?


 


 


เจ้านายตำหนักอวี้จ้าวออกตรวจราชการ นอกจากรับเสด็จราชินีแล้ว ยามอื่นต้องปิดล้อมป้องกันโดยเฉพาะ โดยเฉพาะสถานที่ฝูงชนหลั่งไหลหนาแน่นปะปนเช่นถนนใหญ่จิ่วกงนั้น อย่างน้อยที่สุดต้องแจ้งกองทหารประจำการล่วงหน้าครึ่งวัน


 


 


กงอิ้นรักนวลสงวนตนตลอดมาเช่นกัน คุณชายสูงศักดิ์ไม่อาจเสี่ยงอันตรายโดยง่าย ยามนั้นมีครั้งหนึ่งสงสัยว่าราชินีองค์ก่อนจะหายตัวไป เขายังคงอ่านหนังสือในห้องหนังสือตลอดบ่าย แลไม่ได้เดินออกจากจิ้งถิงไปค้นหาสักก้าว


 


 


อวี่ชุนมองดูเงาร่างที่เหินออกนอกประตูแล้วของเจ้านาย ส่ายหน้าเล็กน้อย


 


 


แตกต่างแล้ว…แตกต่างแล้วเอย…


 


 



 


 


หลังจากกงอิ้นกับอวี่ชุนนำองครักษ์หลงฉีจากไปไม่นาน ม้าดำตัวหนึ่งพุ่งตรงสู่ประตูตำหนักอวี้จ้าว


 


 


ทหารม้าชูป้ายบัญชาการอันหนึ่งขึ้นสูง ตะโกนจากไกลโพ้นว่า “ซื่อจื่อ[2]เผ่าเฉินเถี่ยขอพบราชครูฝ่ายขวา! มีเรื่องราวเร่งด่วนจะรายงาน!”


 


 


“ผู้มาถึงโปรดหยุดฝีก้าว!” องครักษ์บนกำแพงตะโกนลั่นว่า “ราชครูไม่อยู่ในตำหนักอวี้จ้าว! เชิญขอพบวันหลัง!”


 


 


ทหารม้าเงยหน้าขึ้นอย่างผิดหวังเล็กน้อย ชักม้าหันกลับอย่างเงียบเชียบ


 


 



 


 


รถม้าแถวหนึ่งกำลังแล่นกุกกักเข้าจวนราชครูฝ่ายซ้ายในส่วนลึกของตรอกซีเกอ


 


 


ในรถพลันแว่วเสียงเกียจคร้านว่า “หยุด”


 


 


สารถีหยุดรถ องครักษ์ข้างรถม้าประชิดใกล้ข้างม่านรถ


 


 


พอผ้าม่านเลิกขึ้น ผุดเผยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กน้อยของเหยียลี่ว์ฉี ปลายนิ้วเขาสัมผัสพู่ระย้าของม่านแผ่วเบา เอ่ยคล้ายครุ่นคิดบางสิ่งว่า “ก่อนหน้าคล้ายมองเห็นองค์ราชินีตรงตรอกซีเกอหรือ? อืม ไม่ได้เดินตลาดยามค่ำคืนมานานแล้ว พวกเราก็ไปดูกันสักหน่อย?”


 


 


…  


 


 


 


 


[1] ถุงผ้าตาเหลียน เป็นถุงชนิดหนึ่งซึ่งตรงกลางมีช่อง ส่วนปลายสองฝั่งใส่สิ่งของ


 


 


[2] ซื่อจื่อ ตำแหน่งผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ของขุนนางระดับโหวไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ยศชินอ๋อง ส่วนใหญ่จะเป็นบุตรชายคนโต 

 

 


ตอนที่ 68 - 1 ราชินีโหดร้าย

 

จากตรอกหลิวหลีถึงตำหนักอวี้จ้าวคือเส้นทางหนึ่งซึ่งไกลที่สุดในตี้เกอ ด้วยเพราะตรอกหลิวหลีตั้งอยู่ใจกลางนคร เส้นทางรอบด้านเชื่อมต่อทั่วถึงกัน รถม้ามากมายที่มุ่งหน้าสู่ใจกลางนครอาจจะมาชุมนุมกันที่นั่น 


 


 


ยามนี้ รถม้าสามคันหนึ่งแถวกำลังโลดแล่นบนท้องถนน 


 


 


ผู้ชราหลายคนนั่งอยู่บนแอกรถ ต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม ท่าทางตึงเครียด 


 


 


ตามความต้องการของซังต้ง รถเหล่านี้จะไม่จุดเปลวเพลิงแหวกหญ้าให้งูตื่นก่อนกำหนด จะต้องจุดระเบิดขึ้นหลังจากเข้าสู่ใจกลางนคร ตรอกหลิวหลีมีตลาดกลางคืนเลื่องชื่อ มีเพียงไปถึงที่แห่งนั้น การปฏิบัติการครั้งหนึ่งนี้ถึงมีพลังทำลายล้างเป็นพิเศษ 


 


 


นี่คือเส้นทางที่สาม จะผ่านตรอกหลิวหลีมุ่งตรงสู่ตำหนักอวี้จ้าว 


 


 


“ตึ้ง!” 


 


 


บนหลังคารถม้าคันที่สามพลันแว่วเสียงดังหนักอึ้ง คนในรถยื่นศีรษะออกจากหน้าต่างรถมองขึ้นไปอย่างตื่นตะลึง ไม่ได้มองเห็นสิ่งใด พอหันหน้ามากลับพบอย่างหวาดผวาว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแอกรถไม่รู้ตั้งแต่ยามใด 


 


 


สตรีหน้าตางดงามหันหน้ามายิ้มแย้มทักทายเขาว่า “ไฮ!” 


 


 


สารถีคนเดิมได้หายไปแล้ว พอหาอีกครั้ง เฮอะ นั่งงงงวยอยู่ในพงหญ้าริมทางนั่นอะไร บนใบหน้ามีรอยเท้าเรียวแหลมรอยหนึ่ง 


 


 


คนในรถยังไม่ทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวเชิดขึ้นครั้งหนึ่ง ถุงบรรจุหินเหล็กไฟลอยออกไปไกลโพ้น 


 


 


คนในรถตวาดเสียงหนึ่งแล้วพุ่งเข้ามา หลายคนลงมือด้วยโทสะ หวังผลักสตรีที่พลันปรากฏกายประหนึ่งมารร้ายนางนี้ลงจากรถ 


 


 


เบื้องหน้าคล้ายมีแสงเงากะพริบวูบ สตรีบนแอกรถพลันหายไปปานภูตพรายอีกครั้งแล้ว! 


 


 


หลายคนทรงตัวไม่อยู่ ร่วงหล่นจากรถดังพลึ่กพลั่ก คนที่โชคดีกลิ้งไปริมทางได้ทัน คนที่โชคร้ายถูกล้อรถหนักหน่วงกลิ้งทับเต็มแรง เปล่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา 


 


 


รถม้าที่ไร้คนบังคับคันนั้นพุ่งเอนเอียงไปเพียงครั้งแล้วพลิกคว่ำสู่ร่องน้ำริมทาง พอคนที่หมอบอยู่บนพื้นท่ามกลางเสียงครืนดังกึกก้องเงยหน้า พลันมองเห็นสตรีดุจมารร้ายเมื่อครู่นั้นอยู่บนหลังคารถคันที่สองแล้ว! 


 


 


คนบนรถม้าคันที่สองได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างหลัง สารถีลงแส้ม้าด้วยความตื่นตกใจ เงาคนหลายสายกะพริบวูบออกไปเหลียวมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง 


 


 


พงหญ้าริมทางพลันดัง “สวบสาบ” เสียงหนึ่ง ฟังแล้วคล้ายมีเสียงคนเฉียดผ่านใบหญ้า หลายคนขนลุกเกรียวกราว กระทั่งสารถีต่างกระโดดลงจากรถ พุ่งไปทางพงหญ้านั้น 


 


 


พงหญ้าริมทางเขียวชอุ่ม คนหลายคนค้นหาไปรอบหนึ่งแล้วไม่เจอผู้ใด ทว่าได้ยินเบื้องหน้ามีเสียง “สวบสาบสวบสาบ” ไม่หยุดหย่อน คล้ายว่ามีคนเดินเหินในพงหญ้าอย่างต่อเนื่อง พวกเขาได้แต่ค้นหาเข้าไปข้างในตามเสียงอย่างไม่หยุดยั้ง ค่อยๆ ออกห่างจากรถม้ามากยิ่งขึ้น 


 


 


จากนั้นพวกเขาพลันได้ยินเสียงคำรามยืดยาวของม้าพันธุ์ดี 


 


 


พอพวกเขาหันหน้ากลับมาด้วยความตื่นตะลึง มองเห็นรถม้าเริ่มเคลื่อนไหวไม่รู้ตั้งแต่ยามใด กำลังแล่นกุกกักห่างออกไปตามเส้นทาง! 


 


 


คนหลายคนยืนมองหน้ากันไปมาอยู่ในพงหญ้า ปากอ้าตาค้าง 


 


 


บนรถไม่มีผู้ใดแล้วแน่แท้ เมื่อครู่บนเส้นทางสายนี้ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังไม่มีผู้ใดเลย รถคันนี้แล่นขึ้นมาได้อย่างไร? 


 


 


บนรถม้าที่โลดแล่นพลันมีศีรษะของโฉมสะคราญนางหนึ่งชะเง้อออกมา 


 


 


“ไฮ!” นางยิ้มแย้มร้องตะโกนให้หลายคนริมทางนั้นว่า “ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ขอยืมรถของพวกเจ้าไปตายสักหน่อย บ๊ายบาย!” 


 


 


รถม้าแล่นรวดเร็ว สะบัดหลายคนที่ไล่ก้าวลึกก้าวตื้นตามมาอย่างบ้าคลั่งทิ้งไปไกลโพ้น… 


 


 


จิ่งเหิงปัวชักมือกลับมา บนใบหน้าไม่มีสีหน้าสบายใจเมื่อครู่อีกแล้ว นางกุมหน้าอกไว้กระแอมไอหลายครั้ง นิ้วมือปาดมุมปากแล้วแบะปาก 


 


 


ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บในโกดังข้าวร้าง จากนั้นจำต้องใช้ความสามารถพิเศษติดต่อกันด้วยไม่มีวิธีอื่น เมื่อครู่ยังควบคุมก้อนหินเขวี้ยงไปทำเสียงเคลื่อนไหวต่อเนื่องในพงหญ้าริมทาง ล่อให้คนกลุ่มนั้นเข้าสู่พงหญ้าลึกไม่ทันได้กลับมาไล่ตาม ขณะนี้กำลังวังชาสูญสิ้น แทบจะเรียกได้ว่าปลายวิถีศรกล้าแล้ว 


 


 


เงยหน้ามองดูเบื้องหน้า ผู้คนค่อยๆ หนาแน่น จากชานเมืองเข้าสู่ในนครแล้ว! 


 


 


รถคันที่หนึ่งข้างหน้าสุดเหลือเพียงจุดเล็กจุดหนึ่ง แทบจะถูกกระแสคนเบื้องหน้ากลบกลืน ต้องรีบตามไปขัดขวางในทันที! 


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากจากไป ก่อนจะจากไปต้องทำให้รถม้านี้หยุดลง แต่นางพบในทันทีว่านางขับรถม้าไม่เป็น! 


 


 


นางไม่รู้ว่าบังคับม้าอย่างไร ม้าเพียงพุ่งไปข้างหน้าตามคำสั่งก่อนหน้านี้ ความเร็วยิ่งรวดเร็วขึ้น! 


 


 


อีกเดี๋ยวจะเป็นถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมา รถม้าจะชนคนตายได้นะ! 


 


 


“กรี๊ดๆๆ ช่วยด้วย! กรี๊ดๆๆ หลีกไป!” 


 


 


เหล่าราษฎรบนถนนซื่อสุ่ยกำลังเดินจับกลุ่มสองสามคนตระเตรียมกลับบ้านด้วยเพราะคืนนี้ประกาศภาวะฉุกเฉิน จากนั้นมองเห็นรถม้าคันหนึ่งตะบึงเข้ามาแล้ว นำพาสายลมเหม็นคาวระลอกหนึ่งมาด้วย มีคนถูกสายลมพัดผ่านจนโซเซ ด่าทอแผ่วเบาประโยคหนึ่งว่า “ไปตายหรือ!” 


 


 


ยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคง รถอีกคันหนึ่งตะบึงแล่นมา บนรถมีคนกรีดร้องเสียงดังกังวานยิ่งกว่าเสียงโคลงเคลงของรถม้าว่า “หลีกไป! รีบหลีกไป! กรี๊ดๆๆ ผู้ใดก็ได้มาช่วยหน่อย! รีบช่วยข้าหยุดรถหน่อย!” 


 


 


ทุกคนมองดูความเร็วของรถม้านั้นแล้วต่างตกตะลึงรีบเร่งหลีกลี้ ทว่าเบื้องหน้าพลันมีรถม้าปะทะเข้ามา! 


 


 


ความเร็วของรถม้านั้นรวดเร็วมากเช่นกัน ดูแล้วอีกชั่วประเดี๋ยวเดียวรถสองคันคงจะพุ่งชนกัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตาจนกลมโต 


 


 


ม่านรถฝั่งตรงข้ามพลันสะบัดเพียงครั้ง มือเรียวยาวขาวราวหิมะข้างหนึ่งยื่นออกมาคล้ายคิดจะกระทำท่วงท่าหนึ่ง 


 


 


เสียดายว่าจิ่งเหิงปัวไม่ทันได้มองกิริยาท่าทางของเจ้านายของรถม้าฝั่งตรงข้ามแล้ว 


 


 


นางจำเป็นต้องหยุดรถม้าของตนเองในทันที! 


 


 


ชักมีด ฟัน! 


 


 


เชือกบังเ**ยนขาดผึงเสียงหนึ่ง ม้าหลุดพ้นจากบังเ**ยน 


 


 


รถม้าที่สูญเสียม้าย่อมสูญเสียสมดุลในทันที พุ่งไปทางกำแพงนอกของคฤหาสน์ริมทางแห่งหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบด่าว่ากรรมตามสนองเร็วเหลือเกิน เมื่อครู่เพิ่งใช้วิธีแบบนี้จัดการรถม้าของคนอื่นตอนนี้มาถึงตาของตนเองแล้ว พลางหลับตาลง เรือนร่างกะพริบวูบ 


 


 


“สวบ” เสียงหนึ่ง 


 


 


“เพียะๆ” ดังขึ้นสองเสียง 


 


 


รองเท้าส้นสูงสองข้างร่วงหล่นกลางอากาศ 


 


 


ซ้ำยังมีเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งว่า “รองเท้าของชั้น!” 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวทะลุเข้าสู่สถานที่แห่งหนึ่งดังพลั่ก 


 


 


ไม่ได้หายตัวไปยังถนนใหญ่ดุจดั่งในจินตนาการ แต่คล้ายพุ่งเข้าไปในสถานที่มืดมน ชนเข้ากับวัตถุคล้ายแข็งแต่นุ่มสิ่งหนึ่งดังพลั่ก ชนจนวัตถุนั้นร้อง “โอ๊ย” เสียงหนึ่งแล้วถอยไปข้างหลัง สองคนล้มลงสู่พื้นดังพลั่กเสียงหนึ่ง 


 


 


“ไอ้เวรเอ้ยดวงดาวมากมายเปล่งประกายวิบวับ…” จิ่งเหิงปัวลูบศีรษะ โซซัดโซเซลุกขึ้นมา ไม่ทันได้ห่วงคนนั้นที่ถูกทับไว้ข้างใต้ก่อนหน้า รีบเร่งชะโงกหน้าออกไปหารองเท้าของตนเอง 


 


 


แวบหนึ่งมองเห็นรองเท้าส้นสูงสวยหรูคู่นั้นกำลังถูกผู้อ่อนวัยคนหนึ่งหิ้วไว้อย่างงงงวย นางดีใจยกใหญ่ กล่าวเสียงดังว่า “เก็บไว้ให้ข้าให้ดีล่ะรอประเดี๋ยวข้ามาเอานะ…” พลางกล่าวแบบไม่ได้หันหน้ามาด้วยซ้ำว่า “สวัสดีสหายลาก่อนสหายขอโทษด้วยนะที่ชนเจ้ามีโอกาสจะมาตอบแทนจุ๊บๆ” 


 


 


นางกล่าวมั่วซั่วเหลวไหลเสร็จสิ้นแล้วตระเตรียมลงรถ พยายามไล่ตามรถหนึ่งคันสุดท้าย ข้างหลังมีเสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งพลันเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะลงรถด้วยเท้าเปล่าเช่นนี้หรือ?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาทันที ร้องว่า “ไอ้เวรเอ้ย! เหยียลี่ว์ฉีเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้!” 


 


 


“ข้าควรจะถามเจ้ามากกว่า” เหยียลี่ว์ฉีมองดูนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม แววตาเฉียดผ่านสีหน้าของนางแล้วพลันขมวดหัวคิ้ว เอ่ยว่า “จวนของข้าอยู่ข้างในตรอก ข้าเพิ่งออกมาเจอศีรษะเจ้าพุ่งเข้าใส่ ถูกเจ้าชนจนเจ็บหน้าอก เจ้าต้องช่วยข้านวด…” 


 


 


“ได้” จิ่งเหิงปัวยื่นมือคว้าสาบเสื้อช่วงหน้าอกของเขาไว้ในครั้งเดียว กล่าวว่า “เป็นเจ้าก็จัดการได้ง่ายแล้ว เร็ว ให้สารถีของเจ้ารีบเร่งไล่ตามรถม้าสีดำเบื้องหน้าคันนั้น!” นางจ้องมองเหยียลี่ว์ฉีแน่วแน่ ดวงเนตรหยาดเยิ้มดุจมีด กล่าวว่า “อย่าถามข้าว่าเพราะเหตุใด! อย่าเอ่ยจุกจิก! เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า! หากเจ้ากล้ากระทำความคิดชั่วร้ายอีกข้า…” 


 


 


“ข้าเพียงอยากถามวาจาเดียว” ทว่าความสนใจของเหยียลี่ว์ฉีคล้ายไม่อยู่ในวาจาของนาง เอ่ยว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักงัน 


 


 


ครู่หนึ่งนี้นางถึงมองเห็นชัดเจนว่าเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไร้ซึ่งสีหน้าท่าทางยิ้มแย้มเยาะเย้ยตามปกติ สายตากลับเป็นความอ่อนโยนห่วงใย 


 


 


เขาเป็นห่วงตนเองจริง… 


 


 


ความคิดเลอะเทอะเลือนรางเฉียดผ่าน นางมีความรู้สึกเหลือเชื่อไปชั่วขณะ…เหยียลี่ว์ฉีเกิดใหม่แล้วเหมือนกันเหรอ? ความหมายในการดำรงอยู่ของเขาไม่ใช่เป็นศัตรูกับกงอิ้นและนางอย่างไม่หยุดยั้ง ดุจดั่งแมลงสาบฆ่าไม่ตายตัวหนึ่งซึ่งทำให้นางขยะแขยงไม่หยุดหย่อนเหรอ? ทำไมเขาต้องใช้สายตาน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้มองดูนาง? เขาถูกอะไรกระตุ้นเข้าแล้วเหรอ? เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเหรอ? ถูกผู้หญิงทิ้งเหรอ? ถูกผู้ชายทิ้งเหรอ? 


 


 


แม้นางไม่ได้เอ่ยสักคำเดียวด้วยซ้ำ ทว่าสีหน้าหลากหลายบนใบหน้าเพียงพอให้เหยียลี่ว์ฉีอ่านความนัยระหว่างนั้นเข้าใจได้ เขาพลันถอนใจเล็กน้อย ปล่อยมือของนาง ชะโงกหน้าสั่งการข้างนอกว่า “เปลี่ยนทิศทาง ไล่ตามรถม้าสีดำเทาเบื้องหน้าสุดกำลัง ตัวรถกว้างสามฉื่อ มีรอยลายพร้อย สารถีอายุประมาณห้าสิบกว่า สวมชุดคลุมแพรยาวสีเทาทั้งร่าง” 


 


 


แส้สะบัดดังเพียะเสียงหนึ่ง รถม้าพลันเปลี่ยนทิศทาง จิ่งเหิงปัวถามอย่างเหลือเชื่อว่า “ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าว่าเป็นรถคันใดเลยนะ!” 


 


 


“เมื่อครู่ได้แล่นเฉียดผ่านรถนั้น” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “รู้สึกว่ากลิ่นอายที่รถนั้นกำจายออกมาประหลาดเล็กน้อย มองเพิ่มสักปราดหนึ่ง” 


 


 


มองเพิ่มแวบเดียว! 


 


 


แค่แวบเดียวยังจำได้ ซ้ำยังดูออกมากมายขนาดนี้! 


 


 


จิ่งเหิงปัวอิจฉาสติปัญญาของมหาเทพเหล่านี้ขึ้นมาอย่างยิ่ง อยากผ่าสมองเขาแย่งสักครึ่งหนึ่งมาบรรจุในศีรษะของตนเองอย่างมาก  


 


 


ข้อมือที่ถูกเหยียลี่ว์ฉีคว้าไว้พลันร้อนผ่าว จากนั้นความร้อนหอบหนึ่งไหลรินจากชีพจรข้อมือเข้าสู่เรือนร่างแล้วแผ่ขยายลงไป ความรู้สึกพะอืดพะอมกลางอกนางรู้สึกดีขึ้นมามากในทันที   

 

 


ตอนที่ 68 - 2 ราชินีโหดร้าย

 

ภายในร่างกายสบายขึ้นมาหน่อย ความรู้สึกอ่อนแรงที่ถูกกดทับไว้ก่อนหน้านี้จึงพวยพุ่งขึ้นมา นางก็ไม่ทันได้ห่วงจะปะทะคารมหรือทะเลาะวิวาทกับเหยียลี่ว์ฉี ขยับก้นเอนกายลงอีกฝั่งหนึ่งของที่นั่ง กล่าวว่า “เร็วหน่อย…” 


 


 


“เรื่องใดกันแน่?” เหยียลี่ว์ฉีถาม  


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถาม กล่าวกันตามตรง นางไม่ค่อยเชื่อใจเหยียลี่ว์ฉีจริงๆ  


 


 


สุดท้ายแล้วคนคนนี้คือศัตรูการเมือง ไม่อาจฝากฝังและเชื่อถือทั้งใจด้วยเพราะความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว ใครจะรู้ว่าเหยียลี่ว์ฉีกับซังต้งแอบสมรู้ร่วมคิดกันหรือไม่? แม้นางเชื่อว่านี่คือการโจมตีแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งก่อนตายของซังต้ง ด้วยตำแหน่งกับการปฏิบัติตัวของเหยียลี่ว์ฉีไม่ถึงขนาดหวังให้ตี้เกอเกิดความวุ่นวายราษฎรประสบภัยพิบัติ แต่อย่างไรระวังไว้สักหน่อยถึงจะดี 


 


 


“เจ้ามีหน้าที่เร่งรถให้เร็วหน่อย พวกเราต้องตามให้ทันและขัดขวางพวกเขาก่อนไปถึงตรอกหลิวหลีก็พอแล้ว” นางตอบอย่างมีแรงแต่ไร้กำลัง 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมองดูสีหน้านาง ล้วงยาเม็ดเม็ดหนึ่งออกมาโยนไปโยนมาในมือ ยิ้มแย้มพลางถามนางว่า “เป็นอย่างไร? กล้ากินหรือไม่?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยกมือขึ้นแล้วคว้าไปจากฝ่ามือเขา กลืนลงไปในปากโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ หลับตาลงเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ขอบใจนะ” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีชะงักงันไปพริบตาหนึ่ง  


 


 


คิดไม่ถึงว่านางกลับไม่ลังเลที่จะเชื่อถือเลยแม้แต่น้อยโดยแท้  


 


 


เขามองดูฝ่ามือ ความรู้สึกพริบตาหนึ่งเมื่อครู่ยังคงอยู่ นิ้วมือที่เกลี้ยงเกลาแผ่วเบาคว้าเพียงครั้งดั่งสะกิดเกาบนดวงใจเขา 


 


 


ทว่าการหัวเราะเยาะของจิ่งเหิงปัวในครู่ต่อมากำจัดความรู้สึกประทับใจของเขาแล้ว  


 


 


“ยามนี้หากเจ้าคิดทำร้ายข้าง่ายดายยิ่งนัก เหตุใดต้องสิ้นเปลืองความคิดทำยาพิษมาหลอกลวงข้า?” นางกล่าวอย่างลำพองใจว่า “อีกทั้งกงอิ้นเคยเอ่ยกับข้าว่าแม้เอ่ยว่าบางครั้้งยาเม็ดที่ดีกลิ่นรสสีสันไม่ได้ดีอย่างไร ทว่ากลิ่นรสของยาพิษต้องผิดปกติเป็นแน่ ยาเม็ดเม็ดนี้ของเจ้าหอมหวนเกลี้ยงเกลา สีทองม่วงดั้งเดิม มิใช่ยาวิเศษที่สืบต่อกันมานาม ‘เทียนเซียงจื่อ’ ในตำนานของตระกููลขุนนางเหยียลี่ว์ของเจ้าหรือ ชิบ ข้ายังพอตามีแววอยู่” 


 


 


“เจ้ารู้จักแม้กระทั่งเทียนเซียงจื่อเชียว” สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีไม่ค่อยดีเล็กน้อย เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเทียนเซียงจื่อในตระกูลเหยียลี่ว์มีความแตกต่าง? แบ่งเป็นระดับสามหกเก้า? เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาเม็ดที่ข้าให้เจ้าอยู่ระดับใด?” 


 


 


“กงอิ้นเคยบอกข้าว่าเทียนเซียงจื่อคือยาเลื่องชื่อซึ่งเป็นความลับที่ไม่ถ่ายทอดสู่ภายนอกของตระกูลเหยียลี่ว์ของเจ้า มิได้มีเพียงระดับสามหกเก้า ซับซ้อนมากหลาย ทว่าใช้นิ้วเท้าเดายังรู้เลยว่ายาเม็ดที่เจ้าให้ข้าต้องเป็นระดับธรรมดาที่สุดเป็นแน่ล่ะ” นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวสั่นไหวอย่างสบายใจกลางอากาศ กล่าวต่อไปว่า “ทว่าเจ้าไม่ต้องกังวลว่าด้วยเพราะเหตุนี้ข้าจะไม่รับน้ำใจของเจ้า วางใจ ข้ารู้ว่าเทียนเซียงจื่อระดับล่างสุดข้างนอกยังมีมูลค่าสูงลิบลิ่ว น้ำใจคราวนี้ข้าจดจำไว้แล้ว” นางทำท่าวาดมือกลางอากาศอย่างตั้งใจยิ่งคล้ายดั่งเบื้องหน้ามีสมุดบัญชีเล่มหนึ่งอยู่จริง ซ้ำยังขีดเครื่องหมายถูกอย่างจริงจังตั้งใจ กล่าวว่า “เช่นนั้น ความแค้นครั้งเก่าที่ป้อนขี้นกเรื่องนั้นในยามนั้นก็ลบหายในฝ่ามือเดียวตรงนี้ เจ้าติดค้างข้า…” นางหรี่ตาขึ้น นับในความว่างเปล่าอย่างเป็นจริงว่า “หนึ่งสองสามสี่…อืม บุญคุณความแค้นห้าครั้ง ห้าครั้ง จำไว้ว่าค่อยๆ ชดใช้ ยาเทียนเซียงจื่อระดับหนึ่งระดับสองอะไรนำมาแลกเปลี่ยนก็ได้นะ ขอบคุณ” 


 


 


นางพูดเองเออเองพลางแกว่งมือคล้ายได้จัดการเรียบร้อยเช่นนี้แล้ว บนใบหน้าผลิบานสีสันแพรวพราวเจือจางชั้นหนึ่ง  


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมองดูนางอย่างแน่วแน่ คล้ายอยากหัวเราะทั้งคล้ายอยากถอนใจ  


 


 


ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เขาพลันพบว่าตนเองชื่นชอบมองนางเอ่ยวาจายิ่งนัก มองริมฝีปากบางของนางขยับเขยื้อนขึ้นลง พ่นวาจาท่อนใหญ่บลาๆ ท่อนหนึ่งที่ทำให้คนคล้ายเข้าใจทว่าไม่เข้าใจ บางครั้งฟังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่านางกำลังเอ่ยเรื่องใด ทว่ารู้สึกได้ถึงความอิสระ ความปล่อยตน ความโดดเด่นและมีชีวิตชีวาของนางอย่างแจ่มชัดขนาดนั้น  


 


 


จนทำให้หากนางหยุดเอ่ยวาจา เขาพลันรู้สึกได้ถึงความเหินห่างเย็นชาในอากาศ พอนางเอ่ยปาก คล้ายดั่งมวลผกาผลิบานใบไม้เขียวชอุ่มทั่วทั้งโลกหล้า พอนางนิ่งเงียบ ฟ้าดินสิ้นสีสันซีดเผือดในพริบตา  


 


 


แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะในวาจาทุกช่วงต่างต้องมีกงอิ้น เช่นนั้นย่อมยิ่งสมบูรณ์แบบแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่เอนกายพิงอยู่ สีหน้าเริ่มค่อยๆ ดีขึ้น เขามองเห็นสีสันแวววาวผืนหนึ่งปรากฏกลางหน้าผากนาง เจือด้วยควันสีม่วงเจือจางผืนหนึ่ง  


 


 


เทียนเซียงจื่อระดับต่ำที่สุดหรือ? 


 


 


เหอะๆ  


 


 


เขาหัวเราะ ไม่ได้ครุ่นคิดความนัยของการกระทำในวันนี้ของตนเองให้แจ่มแจ้ง ทว่าไม่อยากคิดให้มากมายด้วย เป็นศัตรูกับนางมาเนิ่นนานขนาดนี้ ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เคยทำร้ายนางไม่น้อยครั้ง ยามทำร้ายนางไม่ได้ลังเล ยามช่วยเหลือนางออกมาจากเจตนาเดิมเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดน่าครุ่นคิด  


 


 


จิ่งเหิงปัวพักผ่อนไปสักพัก รู้สึกว่าดีขึ้นมากแล้ว ตัดสินใจว่าพยายามอีกเพียงครั้งย่อมสำเร็จ จัดการรถคันที่สามไปด้วยเลย 


 


 


นางสะบัดม่านรถขึ้น ค้นหาตำแหน่งของรถนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปภายในแวบเดียว กล่าวว่า “เร็วขนาดนี้เลย! ถึงตรอกหลิวหลีแล้ว! กรี๊ด! รถคันนั้นเล่า?” 


 


 


“พวกเราใช้ทางลัด” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ในเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่ ไม่สู้ไปรอคอยข้างหน้า” 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดี ถอนใจเฮือกหนึ่ง มองเห็นตลาดกลางคืนมีฝูงชนจ้อกแจ้กจอแจ หน้าอกอดจะเกร็งแน่นไม่ได้  


 


 


หวังว่าเส้นทางสองสายนั้นจะถูกขวางไว้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้น… 


 


 


“เจ้าไปแจ้งราษฎร คืนนี้ที่แห่งนี้ถูกควบคุมไว้แล้ว ให้พวกเขากระจายกันโดยพลันเถิด” 


 


 


“มีเพียงกงอิ้นถึงมีคุณสมบัติประกาศคำสั่งภาวะฉุกเฉินของตี้เกอ ต้องใช้กองทัพดำเนินการ” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ข้างกายข้าไม่ได้พาองครักษ์มามากมาย แลไม่ได้พกตราราชการด้วย ไปขับไล่ราษฎรคงไม่ได้ผล” เหยียลี่ว์ฉีเห็นสีหน้านางเอาจริงเอาจังจึงไม่ได้ทำตามใจชอบอีก อธิบายว่า “คืนนี้เดิมทีประกาศภาวะฉุกเฉินห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล เพียงแต่ทหารอวี้จ้าวหลงฉีและคั่งหลงต่างไปตรวจสอบยึดทรัพย์สินจากกำลังน้อยใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ในตี้เกอของตระกูลซังแล้ว ราชองครักษ์ออกมาช้าไปหน่อย คาดว่าผ่านไปอีกไม่นาน เหล่าราษฎรต่างต้องแยกย้ายกลับบ้าน” 


 


 


“ช้าเกินไปแล้วช้าเกินไปแล้วไม่ใช่ไหว้วานให้คนไปแจ้งตั้งนานแล้วหรือกงอิ้นกับราชองครักษ์มัวทำสิ่งใดกันอยู่เมื่อคืนใช้แรงมากเกินไปแล้วหรือ…” จิ่งเหิงปัวกำลังพึมพำ พลันได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจระลอกหนึ่งเบื้องหน้า 


 


 


พอชะโงกหน้ามองดู เห็นรถม้าขบวนหนึ่งพลันพุ่งเข้าสู่ตลาดกลางคืนเบื้องหน้า คนกลุ่มนั้นสวมชุดองครักษ์สีสันสดใส หน้านิ่วคิ้วขมวด ใช้แส้โบยตีราษฎรที่เดินเหินทุกสารทิศเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง 


 


 


“หลีกไป! หลีกไป! คุณชายผู้บัญชาการมาถึงแล้ว หลบหลีกโดยพลัน!” 


 


 


แส้สะบัดดังฟึ่บฟั่บ ราษฎรกุมศีรษะหลบลี้ เสียงร้องไห้ของเด็กและเสียงกรีดร้องของสตรีดุเดือดวุ่นวายกลายเป็นกลุ่มก้อน เบื้องหน้าเป็นบริเวณใจกลางตรอกหลิวหลีพอดี มีแม่น้ำอวี้ไต้สายหนึ่ง ริมแม่น้ำสะท้อนเงาโคมแดง สะพานโค้งดุจดวงจันทร์เหนือแม่น้ำ ทุกสิ่งคือทิวทัศน์เลิศล้ำของตรอกหลิวหลีตลอดมา และยังเป็นที่ซึ่งฝูงชนรวมกลุ่มกันที่สุด คนที่มาตลาดกลางคืนหลิวหลีมากกว่าครึ่งชื่นชอบมาเดินเล่นที่นี่ ยามนี้ฝูงชนใต้สะพานถูกขับไล่ รวมเป็นกลุ่มก้อนวิ่งซ้ายวิ่งขวา มีคนถูกชนร้องตื่นตระหนกไม่หยุดหย่อน ตลาดกลางคืนเละเทะกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งในทันใด 


 


 


“คุณชายผู้บัญชาการคนใด?” จิ่งเหิงปัวหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวว่า “ที่นี่ควบอาชาได้หรือ? รบกวนราษฎร!” 


 


 


“เฮ้อ เจ้าอย่าได้รีบร้อนต่อว่า เอ่ยขึ้นมาแล้วผู้นี้คงนับได้ว่าเป็นคนไว้ใจของเจ้าด้วย” เหยียลี่ว์ฉีพลันยิ้มพราวเอ่ยปาก 


 


 


“อาไร้? คนไว้ใจของข้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับไปอย่างไม่เชื่อสายตา  


 


 


“ผู้บัญชาการคือผู้บัญชาการทหารคั่งหลง ควบคุมการงานทุกสิ่งในตี้เกอของทหารคั่งหลง มีความสัมพันธ์สายตรงกับกงอิ้น ยามนี้เจ้ากับกงอิ้นสนิทสนมแน่นแฟ้นกันขนาดนี้ แม้แต่การฟังการเมืองเขายังอนุญาตโดยนัยให้เจ้าไปช่วงชิงแล้ว ผู้บัญชาการทหารคั่งหลงผู้นี้จะไม่นับว่าเป็นคนไว้ใจของเจ้าได้อย่างไร?”เหยียลี่ว์ฉีคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม ในวาจาแลไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะหรือทอดถอนใจ 


 


 


จิ่งเหิงปัวจำผู้บัญชาการท่านนี้ได้เลือนราง เงียบขรึมอย่างมาก ใบหน้าดำคล้ำใบหน้าหนึ่งซื่อตรงยิ่งนัก ถ้าใช้กระดาษตัดเป็นจันทร์เสี้ยวแปะบนใบหน้าตากแดดสักครึ่งเดือนคงจะสวมรอยเปาบุ้นจิ้นได้เลย บุคคลแบบนี้มองเพียงแวบเดียวรู้ว่ามีคุณธรรมอย่างยิ่ง ไม่มีคุณธรรมคงไม่อาจได้รับความเชื่อถือจากกงอิ้น สั่งสอนลูกชายคนหนึ่งออกมาแบบนี้ได้อย่างไร? 


 


 


“กงอิ้นก็เช่นกัน เหตุใดไม่ให้ลูกน้องอบรมสั่งสอนบุตรชายให้ดีหน่อย? ดูท่าทางใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้คล้ายว่าราษฎรแถวนี้ต่างเคยชินแล้ว พอเห็นเขามาต้องหลบซ่อน เห็นได้ชัดเจนว่ารบกวนราษฎรมิเพียงครั้งเดียว” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้ว ยิ้มแย้มทว่ามิเอ่ยวาจา ผู้บัญชาการเฉิงรักใคร่ตามใจบุตรชายย่อมมีสาเหตุของเขา มิใช่ผู้ใดต่างก้าวก่ายได้ ทั่วทั้งตี้เกอผู้ใดไม่รู้บ้างว่าล่วงเกินผู้บัญชาการเฉิงอาจจะไม่เป็นไร ล่วงเกินบุตรชายของผู้บัญชาการเฉิงจะต้องเป็นเรื่องแน่  


 


 


แน่นอนว่าเขาไม่ช่วยกงอิ้นอธิบายหรอกนะ  


 


 


ทว่าจากนั้นเขาจึงได้ยินมหาราชินีแซ่จิ่งเอ่ยเองเออเองว่า “ทว่าคงจะโทษเขามิได้หรอก สั่งสอนผู้บัญชาการได้ จะสั่งสอนถึงเรื่องราวในครอบครัวของลูกน้องได้หรือ? มารดามีเมตตามากด้วยบุตรล้างผลาญ คนผู้นี้ต้องเป็นบุตรชายคนเดียวแน่ ตามใจจนเสียนิสัยแล้ว!” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหันกาย คร้านจะเอ่ยวาจากับนางอีก…คล้ายว่าองค์ราชินีจะตามใจท่านราชครูฝ่ายขวาจนเสียนิสัยแล้วเช่นกัน! 


 


 


เขาเพิ่งหันกายก็ได้ยินจิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างหลังพลันร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่ง  


 


 


พอเขาหันหน้ามาก็อดจะร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่งไม่ได้  


 


 


จิ่งเหิงปัวหายไปอีกแล้ว!  

 

 


ตอนที่ 68 - 3 ราชินีโหดร้าย

 

จิ่งเหิงปัวกรีดร้องด้วยเพราะมองเห็นรถม้าที่ตนเองไล่ตามมาโดยตลอดคันนั้นมาถึงแล้ว! 


 


 


รถม้าสีดำเทาปรากฏจากโค้งนั้นของทางสามแยกดุจดั่งภูตพราย พุ่งตรงมายังใต้สะพานนี้ที่ซึ่งคึกคักที่สุด 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้คิดมากมาย เรือนร่างกะพริบวูบออกจากรถม้า พอกะพริบวูบอีกครั้ง มาถึงบนรถม้าสีดำเทาที่พุ่งมาคันนั้นแล้ว 


 


 


สารถีที่อยู่บนรถม้ากำลังใช้สมาธิทั้งหมดตั้งใจแล่นไปยังเป้าหมาย ตระเตรียมจุดเพลิงใต้สะพานอวี้ไต้ที่มีผู้คนหนาแน่นที่สุด พลันรู้สึกว่าข้างกายผิดปกติ พอหันหน้าก็มองเห็นจิ่งเหิงปัว 


 


 


ในใจจิ่งเหิงปัวพลันกระตุกวูบ 


 


 


นางกลับมองไม่เห็นความประหลาดใจในนัยน์ตาของฝ่ายตรงข้าม! 


 


 


แย่แล้ว ฝ่ายตรงข้ามเตรียมพร้อมป้องกัน! 


 


 


ความคิดนี้ยังไม่ทันแล่นเสร็จ ข้างหลังพลันดัง “ฟิ้ว” เสียงหนึ่ง เป็นกระแสหมัดที่คนปลดปล่อยออกมา สายลมรุนแรง! 


 


 


จิ่งเหิงปัวหายไปดังสวบแล้ว 


 


 


พริบตาต่อมานางอยู่ใต้ท้องรถด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ มองเห็นรถม้าเฉียดผ่านกายไปแล้ว ผ้าม่านบนรถสะบัดเพียงครั้ง ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งจ้องมองนางอย่างตักเตือน 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูดวงตาของคนคนนั้นอย่างมึนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ตัดสินใจพลีชีพแน่วแน่ขนาดนั้นได้ ตระกูลซังมีพลังอำนาจมากขนาดนี้เชียวเหรอ? หรือแท้จริงแล้วพลกล้าตายเหล่านี้มีความลำบากใจอย่างอื่น? 


 


 


รถแล่นครืนครืนไปเบื้องหน้า เร่งรุดไปข้างหน้า 


 


 


นางชะงักเพียงพริบตาเดียว จากนั้นย่ำเท้าครั้งหนึ่ง เรือนร่างกะพริบวูบอีกครั้ง 


 


 


ครู่ต่อมานางปรากฏกายใต้สะพาน เบื้องหน้าฝูงชน 


 


 


คนบนรถม้าเตรียมพร้อมป้องกันแล้ว นางยากจะขัดขวางอย่างยิ่ง ถ้าอย่างนั้นมีแต่ต้องรีบเร่งแจ้งราษฎร 


 


 


“หลีกไป! หลีกไป!” นางเผชิญหน้าฝูงชน ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ประเดี๋ยวจะมีอันตราย หลีกไปหลีกไป!” 


 


 


เสียงตะโกนของนางถูกกลบกลืนในเสียงร้องตะโกนสับสนวุ่นวาย ราษฎรกำลังถูกคุณชายไม่ได้รับเชิญใต้สะพานฝูงนั้นขับไล่จนแยกย้ายกันไปทั่วสารทิศ จะมีคนสนใจเสียงร้องตะโกนของนางเสียงที่ไหน 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับวางใจขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเพราะนางพบว่าเมื่อราษฎรถูกขับไล่ให้ลงจากสะพาน คนมากมายแยกย้ายกันไปตามสองฝั่งสะพานโดยตรง ข้างสองฝั่งสะพานนั้นมีทางเท้าแยกออกมา รถม้าไม่มีทางแล่นขึ้นไปได้ แบบนี้หากรถม้าลุกไหม้ขึ้นมา พลังทำลายล้างจะไม่ยิ่งใหญ่ตามที่คาดการณ์ไว้ 


 


 


แต่ขอบเขตใต้สะพานนั้นถูกคุณชายผู้บัญชาการคนนั้นครอบครอง ถ้ารถม้าพุ่งเข้ามา คนดวงซวยจะเป็นคนเหล่านี้ แม้ว่าคนเหล่านี้นับเป็นพวกกากเดนทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นชีวิตคน นางยังตัดสินใจฝืนใจช่วยเหลือสักหน่อย 


 


 


“พวกเจ้ารีบหลีกไปด้วย!” นางโบกมือให้คุณชายผู้บัญชาการนั้นที่นำหน้าฝูงชนนั้น ร้องว่า “ประเดี๋ยวจะมี…” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีลงจากรถอีกฝั่งหนึ่งหวังจะเข้ามา ทว่าถูกราษฎรที่กระจัดกระจายไปคนละทิศทางขัดขวางไว้ 


 


 


“โย่ ตรงนั้นมีแม่สาวน้อย!” คุณชายผู้บัญชาการนั้นกลับมองเห็นจิ่งเหิงปัวแล้ว อย่างไรเสียท่ามกลางฝูงชนที่แยกย้ายไปข้างนอก คนที่เดินทวนกระแสผู้เดียวจะสะดุดตาเป็นพิเศษ 


 


 


“โย่ แม่สาวน้อยนั้นกำลังกวักมือให้ข้าแน่ะ!” ผู้อ่อนวัยหล่อเหลานั้นมองเห็นหน้าตาของจิ่งเหิงปัวได้ชัดเจน ทว่าไม่ได้ฟังวาจาของนางให้ชัดเจน เห็นเพียงนางกวักมืออย่างร้อนใจ จิตใจเบิกบานฉับพลัน ชี้แส้เพียงครั้ง ร้องว่า “ฉุดนางมาให้ข้า!” 


 


 


องครักษ์ฝูงหนึ่งพลันผลักฝูงชนออกแล้วพุ่งเข้าไปดุจพยัคฆ์ดั่งหมาป่า ร้องว่า “แม่สาวน้อย หยุดก่อน! คุณชายของพวกเราเรียกหาเจ้ามาชมทิวทัศน์แม่น้ำอวี้ไต้ด้วย!” 


 


 


เสียงผู้คนสับสนวุ่นวาย จิ่งเหิงปัวฟังคำพูดของเจ้าคนเหล่านั้นได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน มองเห็นแค่สีหน้านั้นก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี ขณะนี้นางไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเช่นกัน พอหันหน้ากลับมามองเห็นรถม้าพุ่งเข้ามาแล้วพอดี เผชิญกับราษฎรที่ถูกขับไล่จนเดินเหินผิดทิศทางกลุ่มหนึ่ง คนบนแอกรถกำลังยิ้มเยาะ ยกหินเหล็กไฟดำขลับในมือขึ้น แสงเพลิงกะพริบวูบ สะท้อนหน้าตาโกรธแค้นทรมานของเขา… 


 


 


“เหยียลี่ว์ฉี!” นางไม่ทันได้ห่วงอะไรทั้งนั้นอีกแล้ว ใช้แรงทั้งหมดตะโกนว่า “ขวางเขาไว้!” 


 


 


เดิมทีเหยียลี่ว์ฉีจะพุ่งเข้าไปหานาง ทว่าความระแวดระวังของผู้ฝึกวรยุทธ์ก็ทำให้เขากวาดสายตามองทั่วสารทิศ ในความเลือนรางก็รู้สึกว่ารถม้าคันนั้นผิดปกติ ได้ยินจิ่งเหิงปัวร้องเรียก พลันหยุดฝีเท้าหันกายพุ่งขึ้นกลางอากาศ 


 


 


พลกล้าตายบนรถม้าไปถึงใจกลางฝูงชนในที่สุด มุมปากผุดเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยสายหนึ่ง เหวี่ยงแสงเพลิงในมือลง! 


 


 


ต้องการเพียงแสงเพลิงสายหนึ่ง รถม้าย่อมจะลุกไหม้โดยพลัน จากนั้นควบคุมใจกลางข้างในอัตโนมัติ จะกลายเป็นอาวุธสังหารตามใจไร้กฎเกณฑ์! 


 


 


“พลั่ก” เงาคนสายหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาปานกระสุนปืนใหญ่ ชนพลกล้าตายที่จุดไฟล้มลงดังพลั่กเสียงหนึ่ง งอเท้าครั้งหนึ่งเกี่ยวแอกรถไว้ หันกายดังฟิ้วเสียงหนึ่งปานกังหันลม มือคว้าเพียงครั้งคว้ากระบอกเชื้อไฟน้อยที่จุดไฟแล้วซึ่งใกล้จะร่วงลงบนตัวรถไว้ 


 


 


คนผู้นั้นพุ่งขึ้นมาจากใต้ท้องรถดังฟิ้ว สีหน้าเขียวคล้ำ คนผู้นั้นคือเหยียลี่ว์ฉี เขายังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งในทันใด ตบพลกล้าตายสองคนที่วิ่งหนีออกมากลับไปดังเพียะๆ สองเสียง 


 


 


เขาได้กลิ่นพิเศษของโคลนน้ำมันนั้นแล้ว เข้าใจในฉับพลันว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น แววตาเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง สองฝ่ามือนี้ลงมือเจือด้วยโทสะ ตบจนสองคนนั้นเลือดออกจมูกลุกขึ้นมาไม่ไหว 


 


 


เงาคนกะพริบวูบ เหยียลี่ว์ฉีพุ่งเข้าไปในห้องโดยสารแล้วหิ้วสองคนนั้นขึ้น หนึ่งในนั้นยื่นมือไปข้างหลังด้วยอาการสั่นเทิ้ม เหยียลี่ว์ฉีผุดเผยสายตาเย็นชา ฝ่ามือหักเพียงครั้งดังกร๊อบเสียงหนึ่ง คนผู้นั้นกรีดร้องเสียงดังลั่น สายตามองดูข้อมือห้อยลงมาผิดรูปร่าง กระบอกเชื้อไฟที่แอบซุกซ่อนไว้กระบอกหนึ่งร่วงหล่นอย่างเงียบเชียบ 


 


 


ปลายเท้าของเหยียลี่ว์ฉียกขึ้นครั้งหนึ่งรับกระบอกเชื้อไฟไว้บนหลังเท้า ใช้เท้าเตะลอยไปไกลโพ้น หันกลับมาสะบัดสองฝ่ามืออย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยอีกครั้ง ตบจนสองคนสลบไสลไปโดยไม่ได้แค่นเสียงด้วยซ้ำ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีสืบค้นภายในรถอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีวัตถุจุดไฟใดแลไม่มีผู้ใดแอบก่อเรื่องได้อีก ถึงหิ้วเชลยไม่กี่คนลงจากรถ 


 


 


เขายังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง จากนั้นเขาเงยหน้า สายตาเยือกเย็น 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นเหยียลี่ว์ฉีลงมือขวางเพลิงนั้นไว้ทันเวลา ถอนหายใจเฮือกหนึ่งในทันที รู้สึกเพียงว่าทั่วร่างผ่อนคลาย 


 


 


ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว 


 


 


นี่คือรถคันที่สาม อีกสองเส้นทางข้างหน้าจนถึงตอนนี้ยังไม่มา คงจะถูกขวางไว้อย่างราบรื่นเช่นกัน มหันตภัยของราษฎรตี้เกอถูกกอบกู้แล้วในที่สุด 


 


 


นอกเหนือจากความโล่งใจยังมีความเสียใจเล็กน้อย…เฮ้อ คราวนี้พี่ได้เป็นวีรบุรุษไร้นามครั้งหนึ่ง เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อราษฎรตี้เกอ สุดท้ายแล้วไม่มีใครรู้สักคน 


 


 


แต่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ถ้าใช้ชีวิตของราษฎรตี้เกอมาพิสูจน์การสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ของนางจริง นางคงไม่มีความสุข 


 


 


มองดูเหล่าราษฎรค่อยๆ ฟื้นคืนความสงบเงียบในขณะนี้ นางรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง…ดูสิ พี่เป็นคนแย่งชิงความสงบสุขครั้งนี้มา! 


 


 


พอผ่อนคลายแล้ว นางก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง ครึ่งวันนี้ตึงเครียดเกินไปแล้ว นางบีบนวดแขน เพิ่งคิดจะเดินออกไป หัวไหล่เกร็งแน่นกะทันหันด้วยถูกนิ้วมือปานคีมเหล็กคว้าไว้อย่างรุนแรง นางหันกายกลับมาในทันที 


 


 


ฝ่ายตรงข้ามใช้แรงมากเหลือเกิน นางรู้สึกว่ากระดูกหัวไหล่ต่างคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ร้องโอ๊ยเสียงหนึ่งแล้วเงยหน้า มองเห็นใบหน้าที่คล้ายภูตผีปีศาจทั้งเปี่ยมด้วยความหยาบโลนหลายใบหน้า 


 


 


“แม่สาวน้อย” คนที่นำหน้าคนหนึ่งพ่นกลิ่นเหม็นเต็มปากบนใบหน้านาง เอ่ยว่า “คุณชายจวนเราถูกใจเจ้าแล้ว ตามพวกเราไปอย่างว่าง่าย ชมดอกไม้มองพระจันทร์กับคุณชายจวนเรา เจ้าได้ประโยชน์แน่” 


 


 


“ไปกับน้องสาวแกสิ” จิ่งเหิงปัวหันหน้าครั้งหนึ่งข้ามผ่านน้ำเสียงของเขา กล่าวอย่างรังเกียจว่า “ผู้ใดหน้าไหนมาจากที่ใดเนี่ย? หลีกไป!” 


 


 


“ข้าว่าแม่นาง” ผู้อ่อนวัยสวมหมวกทองคำคนหนึ่งแหวกผ่านฝูงชน โบกพัดพับเชื่องช้าท่ามกลางอากาศเย็นสบาย เดินเตร่เข้ามาอย่างคิดเองเออเองว่าท่วงท่าทรงภูมิปัญญา เอ่ยว่า “เหตุใดต้องไร้เหตุผลขนาดนี้เล่า? ตัวข้าทะนุถนอมนวลนางมาแต่ไหนแต่ไร คงมิอาจแข็งใจใช้กำลังกับเจ้า พวกเรามาวิจารณ์ทิวทัศน์ของแม่น้ำอวี้ไต้แห่งนี้ เชยชมประกายเพลิงโชติช่วงในตรอกหลิวหลีด้วยกัน มิใช่เรื่องน่าอัศจรรย์หรือ?” 


 


 


“หรือกับน้องสาวแกสิ” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “หน้าตาเหมือนกระถางดอกไม้ สีหน้าโคตรเสื่อม แมลงวันมองแล้วยังล้มหัวทิ่ม” 


 


 


ด้วยหางตาเชิดขึ้นโดยกำเนิดของนาง กลอกตาขาวยังคล้ายชม้ายชายตา คุณชายผู้บัญชาการคนนั้นถูกนางยั่วเย้าจนคันยุบยิบในใจ แลไม่ได้สนใจฟังว่านางเอ่ยอะไร ยิ้มแย้มปรีดาใช้พัดพับไปเชยคางนาง เอ่ยว่า “แม่นาง ข้าเอ่ยว่าเจ้าไร้เหตุผลเจ้าย่อมไร้เหตุผล หากเจ้าไม่ได้อยากเรียกร้องความสนใจจากตัวข้า เมื่อครู่เหตุใดต้องทั้งกระโดดทั้งร้องเรียกทั้งกวักมืออยู่ทางนั้นเล่า?” 


 


 


“นั่นข้าช่วยชีวิตน้อยๆ ของเจ้า ช่วยชีวิตน้อยๆ ของพวกเจ้า! ดูรถม้าสีดำคันนั้น หากชนเข้ามาจริงพวกเจ้าจบเห่กันหมดแล้ว!” จิ่งเหิงปัวรู้สึกหดหู่ว่าคนหลงตัวเองมีอยู่ทุกหนทุกแห่งเลย ทำไมไม่เรียนรู้จากนางกันบ้างเล่า? นางถ่อมตนขนาดนี้แล้ว 


 


 


ชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันฝูงหนึ่งชะงักงันแล้วหัวเราะครืนเสียงลั่น เอ่ยว่า “ช่วยพวกเรา? ฮ่าๆ ช่วยพวกเราหรือ?” 


 


 


“รถม้านั้นจะเป็นอย่างไรไปได้เล่า?” มีคนชำเลืองตามองดูรถม้าที่จอดสนิท เอ่ยว่า “ข้าน่ะถีบให้คว่ำไปคันแล้วคันเล่าได้ในเท้าเดียว!” 


 


 


“เฮ้อ อย่าหัวเราะเยาะโฉมสะคราญเลย นางก็เอ่ยได้ถูกต้อง อยู่กับข้าเท่ากับช่วยเหลือชีวิตน้อยๆ ชีวิตหนึ่งของข้าเช่นกันนะ” คุณชายผู้บัญชาการนึกว่านางล้อเล่นชัดแจ้ง ใบหน้าที่แลดูซีดเผือดด้วยเพราะร่ำรสสุรามากเกินไปผุดเผยรอยยิ้มคลุมเครือผืนหนึ่ง เอนโน้มเรือนร่าง เอ่ยสืบต่อว่า “ช่วยโรคคะนึงถึงของข้านั่นอะไร…” 


 


 


พัดพับของเขาค่อยๆ ไถลลงมามตามคางของจิ่งเหิงปัว ยิ้มชั่วร้ายพลางสะกิดคอเสื้อของจิ่งเหิงปัว กลิ่นเหล้าเข้มข้นหอบหนึ่งปะทะใบหน้า จิ่งเหิงปัวเงยหน้าร้องกะทันหันว่า “ว้าว! งามนัก!” 


 


 


“สิ่งใด?” คุณชายผู้บัญชาการคนนั้นชะงัก เงยหน้าโดยสำนึก 


 


 


“เพียะ” หินก้อนหนึ่งกระแทกบนหน้าผากเขาอย่างรุนแรง รอยปูดกลมนูนเขียวช้ำรอยหนึ่งผุดขึ้นมาในพริบตา 


 


 


“อ๊าก!” คุณชายผู้บัญชาการกรีดร้องเสียงหนึ่ง กุมหน้าผากไว้โซเซล้มลง ร่างยังไม่ทันถึงพื้นก็โก่งคอเปล่งเสียงว่า “กล้าทำร้ายข้า! สังหารนาง! สังหารนาง!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงัก…ขนาดนั้นเลย? ใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปแล้วมั้ง? 


 


 


ชายรูปร่างสูงใหญ่ข้างหลังที่จับบ่าของนางไว้โดยตลอดผลักนางไปข้างหน้าอย่างรุนแรง จากนั้นพลันคว้ามีด ยกขึ้นสูงแล้วสะบั้นลงมาอย่างรุนแรง!   

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม