วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 669-689

 ตอนที่ 669 คุณกำลังสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ใช่ไหม

 


แม้การถูกทำร้ายของฮั่วจิงจิงจะได้รับการยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุแล้วก็ตาม แต่ถังหนิงยังคงมีคำถามค้างคาใจอยู่


 


 


คำถามมากมายเกี่ยวกับซ่งซินที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาและคำถามมากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน


 


 


ถังหนิงอ่านข้อมูลของซ่งซิน แต่การจะพูดว่าซ่งซินก็โผล่ขึ้นมาดูเหมือนจะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้ถังหนิงไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับซ่งซินเพราะเธอไม่ได้สังเกตอีกฝ่ายมากกว่า


 


 


ถึงอย่างไรเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมในชาร์ตของเกาหลีและญี่ปุ่นก็เป็นฝีมือของผู้หญิงคนนี้ เพราะเธอเป็นนักแต่งเพลงที่มีฝีมือสูงมาก


 


 


ในขณะที่งานด้านการเขียนบทนั้นยิ่งน่าทึ่งยิ่งกว่า เธอเริ่มต้นจากการเป็นนักเขียนที่มีชื่อคนหนึ่งแต่ภายหลังได้รับคำเชิญให้เขียนบทละครโทรทัศน์เพื่อนำมาใช้ในละครและภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงทุกวันนี้ เธอได้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งในวงการ


 


 


สันนิษฐานได้ว่าเสียงร้องของเธอก็ค่อนข้างดีด้วยเช่นกัน


 


 


ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้จึงตกเป็นเป้าหมายของไห่รุ่ยโดยปริยาย แต่กระนั้น…


 


 


…ซ่งซินมีพรสวรรค์ แต่เธอมีจุดเดือดต่ำและหยิ่งผยอง ความสำเร็จกว่าครึ่งมาจากภูมิหลังทางครอบครัวและอีกครึ่งหนึ่งมาจากความสามารถต่างๆ ของเธอเอง


 


 


หลังจากไล่ดูผลงานต่างๆ ของซ่งซิน ถังหนิงไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง สุดท้าย เธอก็ติดต่อไปยังฟังอวี้ “คุณเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วหรือยัง”


 


 


“เช็กแล้วครับ” ฟังอวี้กล่าวด้วยเสียงค่อย เพราะฮั่วจิงจิงเพิ่งจะหลับไป


 


 


“ฟังอวี้ ขอฉันดูภาพพวกนั้นหน่อย” ถังหนิงขอร้อง


 


 


“คุณกำลังสงสัยบางอย่างอยู่งั้นเหรอ” ฟังอวี้เข้าใจสิ่งที่ถังหนิงกำลังคิดอยู่ทันที “มันเป็นไปไม่ได้หรอก ผมดูภาพจากกล้องวงปิดหลายครั้งแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ”


 


 


“แค่ให้ฉันดู” ถังหนิงยืนกราน เธอไม่ได้สงสัยในความสามารถของฟังอวี้และความเป็นห่วงที่เขามีต่อฮั่วจิงจิง แต่เพราะความจริงที่ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันทำให้ถังหนิงรู้สึกกังวลว่าเขาจะว้าวุ่นจนไม่ได้มองสิ่งต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม


 


 


ฟังอวี้ไม่อาจเถียงถังหนิงได้ จึงส่งภาพจากกล้องวงจรปิดไปให้ถังหนิง “ถ้าคุณเจออะไรใหม่ บอกผมได้โดยตรงเลยนะ ถึงผมจะรู้สึกว่าคุณกำลังหวาดระแวงไปหน่อยก็เถอะ”


 


 


เธออยากดูภาพเหล่านั้นก่อนที่พวกเขาจะยืนยันว่าเธอแค่หวาดระแวงไปเอง


 


 


หลังได้รับภาพจากกล้องวงจรปิด ถังหนิงไม่ได้ดูภาพเหล่านั้นผ่านคอมพิวเตอร์ เธอกลับเลือกที่จะเอาไปเปิดที่ห้องทำงานของโม่ถิงผ่านเครื่องฉายภาพขนาดใหญ่เพื่อที่เธอจะได้เห็นทุกอย่างอย่างละเอียด


 


 


ในภาพวงจรปิด ฮั่วจิงจิงไม่ได้ขับรถของเธอไปที่ที่จอดรถชั้นใต้ดินของอะพาร์ตเมนต์ เธอเลือกที่จะให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับรถไปจอดให้เธอ นั่นเป็นเพราะเสี่ยวเย่ว์ไม่ชอบกลิ่นของที่จอดรถชั้นใต้ดินและกลัวความมืด


 


 


จากนั้น ฮั่วจิงจิงก็จูงมือเสี่ยวเย่ว์ไปที่ประตูหน้าทางเข้าอะพาร์ตเมนต์ ทว่าขณะที่เธอกำลังกดรหัสผ่านเพื่อเข้าไปยังล็อบบี้หลัก สุนัขพิตบูลโตเต็มวัยก็วิ่งกระโจนเข้าใส่และเริ่มกัดไปที่แจ็กเกตของเสี่ยวเย่ว์


 


 


ฮั่วจิงจิงรีบถอดเสื้อแจ็กเกตของเสี่ยวเย่ว์และโยนมันใส่พิตบูลตัวนั้น แต่มันกลับปล่อยเสื้อแจ็กเกตและกระโจนใส่อีกครั้ง ฮั่วจิงจิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบอุ้มเสี่ยวเย่ว์ขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน ขณะนั้นเอง สุนัขพิตบูลตัวนั้นฝังเขี้ยวเข้าที่ขาซ้ายของฮั่วจิงจิงราวกับมันคุ้มคลั่ง


 


 


เจ้าของสุนัขส่วนใหญ่รู้ว่าพิตบูลเป็นสุนัขสายพันธุ์ดุร้าย เมื่อไหร่ก็ตามที่มันฝังเขี้ยวลงในวัตถุ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้มันปล่อย พวกมันเป็นสุนัขที่ดุร้ายอย่างมาก…


 


 


ถังหนิงเปิดภาพวงจรปิดนั้นซ้ำไปซ้ำมา เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เพราะเจ้าของสุนัขปรากฏตัวอย่างรวดเร็วและตื่นตระหนกกับภาพที่เกิดขึ้นขณะรีบโทรเรียกรถพยาบาล มันเป็นเรื่องไม่คาดคิดจริงๆ


 


 


แต่สิ่งที่ถังหนิงไม่เข้าใจคือทำไมสุนัขตัวนั้นถึงกระโจนใส่เสี่ยวเย่ว์


 


 


สุนัขที่มีเจ้าของนั้นไม่เหมือนกับสุนัขป่าหรือสุนัขจรจัด พวกมันไม่น่ามีนิสัยที่ไม่มั่นคงเช่นนี้ แม้จะเป็นสุนัขสายพันธุ์ดุร้าย ก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่อยู่ๆ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง


 


 


แล้วทำไมมันถึงเอาแต่จู่โจมเสี่ยวเย่ว์กันล่ะ


 


 


หลังจากนั้น ถังหนิงโทรหาฟังอวี้ “คุณได้เก็บเสื้อผ้าที่เสี่ยวเย่ว์ใส่ระหว่างเกิดเหตุไว้หรือเปล่า”


 


 


“ผมโยนมันทิ้งไปแล้ว” ฟังอวี้ตอบ “มีแต่เลือดเต็มไปหมด เสี่ยวเย่ว์เพิ่งจะสามขวบ ผมไม่อยากให้เธอฝังใจกับเรื่องนี้”


 


 


หลังได้ยินคำตอบของฟังอวี้ ถังหนิงถอนหายใจ “งั้นก็ช่างมันเถอะ”


 


 


“คุณเจออะไรงั้นเหรอ”


 


 


“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมสุนัขตัวนั้นถึงกระโจนใส่เสี่ยวเย่ว์โดยตรงและไม่ยอมปล่อยเธอไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี ฉันคิดเหตุผลออกแค่สองข้อ ข้อแรก เสี่ยวเย่ว์อาจจะไปแหย่สุนัขตัวนั้น แต่จากที่ฉันเห็น เสี่ยวเย่ว์เพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงบ้านและฮั่วจิงจิงเองก็ดูแลเธออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเหตุผลข้อนี่จึงดูไม่น่าเป็นไปได้ ซึ่งเหลือเพียงเหตุผลข้อสอง… เสี่ยวเย่ว์ต้องมีอะไรบางอย่างที่สุนัขตัวนั้นอยากได้


 


 


“ลองคิดดูดีๆ มีอะไรที่คุณพอนึกออกบ้างไหม”


 


 


ฟังอวี้ไม่อาจคิดอะไรออกทั้งสิ้น ตอนที่เขาได้รับการติดต่อเรื่องอุบัติเหตุ เสี่ยวเย่ว์ก็อยู่ในการดูแลของหมอแล้ว


 


 


ทั้งหมดที่เขาจำได้คือ หลังจากที่เขาเดินทางกลับจากห้องผ่าตัด เขาเพียงแค่โยนเสื้อผ้าสกปรกของเสี่ยวเย่ว์ทิ้งลงถังขยะด้านนอก


 


 


ดังนั้นเพื่อทำให้ทุกอย่างกระจ่าง เขาจึงรีบออกจากห้องพักของฮั่วจิงจิงเพื่อไปดูถังขยะที่อยู่ด้านนอกห้องผ่าตัด จากนั้นเขาหยิบเสื้อผ้าของเสี่ยวเย่ว์ขึ้นมาสำรวจดู โชคดีที่พนักงานทำความสะอาดยังไม่เอาถังขยะไปทิ้ง


 


 


เมื่อเขาเห็นเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด ดวงตาของฟังอวี้ก็เริ่มแดงก่ำ แต่เขารวบรวมสติแล้วเริ่มสำรวจเสื้อผ้าพวกนั้นอย่างละเอียด ในที่สุดเข้าก็พบกระดูกชิ้นหนึ่งในกระเป๋ากางเกงของเสี่ยวเย่ว์


 


 


กระดูก!


 


 


ทำไมถึงมาอยู่ในกระเป๋าของเสี่ยวเย่ว์ได้


 


 


ถ้าสุนัขพิตบูลตัวนั้นได้กลิ่นกระดูกในกระเป๋าของเสี่ยวเย่ว์แล้วแอบเข้ามาในอะพาร์ตเมนต์แล้วละก็ ทุกอย่างก็จะได้รับการอธิบาย


 


 


ดังนั้นฟังอวี้จึงรีบโทรกลับไปหาถังหนิงอย่างรวดเร็ว “ผมเจอกระดูกชิ้นหนึ่งในกระเป๋ากางเกงของเสี่ยวเย่ว์ ขนาดมันเท่านิ้วโป้งของผมได้”


 


 


“งั้นก็มาเริ่มสืบกันเถอะ มาดูกันว่ากระดูกชิ้นนี้มาจากไหน”


 


 


“แต่ผมไม่เข้าใจ ถ้าคนพวกนั้นคิดจะหาเรื่องฮั่วจิงจิง ทำไมต้องเล็งเป้าไปที่เสี่ยวเย่ว์”


 


 


“เข้าใจยากตรงไหนกัน ถ้าคนพวกนั้นโจมตีฮั่วจิงจิงโดยตรง เป้าก็จะใหญ่เกินไป แต่การทำให้จิงจิงได้รับบาดเจ็บเพราะเสี่ยวเย่ว์จะทำได้ง่ายกว่ามาก” ถังหนิงอธิบาย “การกระทำของเด็กจะไม่อาจตัดสินแบบเดียวกับการกระทำของผู้ใหญ่ได้ ดังนั้นต่อให้เด็กๆ ทำอะไรผิด ก็จะไม่มีใครโทษเด็กๆ เหล่านั้น


 


 


“เห็นได้ชัดว่าตัวการชั่วช้าขนาดไหน!” ในขณะที่ถังหนิงพูด เธอมีเป้าอยู่ในใจแล้ว แต่เธอจำเป็นต้องพิสูจน์


 


 


ในขณะเดียวกัน ถังหนิงเองก็ไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามได้เล็งเธอเป็นเป้าแล้วเช่นกัน ทว่าทั้งสองฝ่ายจะได้เห็นกันว่าใครเร็วกว่าและฉลาดกว่ากัน


 


 


หลังจากเธอดูภาพวงจรปิดเสร็จแล้ว ถังหนิงก็ก้มลงมองโม่ถิงที่ผล็อยหลับทั้งที่ยังกอดเธอเอาไว้ เขากำลังพิงโซฟาขณะปกป้องภรรยาของเขาด้วยสีหน้าอ่อนล้า


 


 


ถังหนิงตระหนักดีว่าโม่ถิงรีบทำงานให้เสร็จเพื่อที่เขาจะได้กลับมาอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดช่วงเวลาสองเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์


 


 


ดังนั้นหลังจากได้รับภาพกล้องวงจรปิด เขาบอกว่าเขาจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ แต่สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปก่อน


 


 


ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนเธอก็ได้ แต่…


 


 


… โม่ถิงไม่เคยเป็นห่วงว่าเขาจะเหนื่อยล้ามากแค่ไหน


 


 


“ถิง… ฉันดูเสร็จแล้วค่ะ กลับไปนอนที่ห้องกันเถอะ” แม้ถังหนิงจะไม่กล้าปลุกโม่ถิง แต่เธอไม่อาจอุ้มผู้ชายตัวโตคนนี้กลับไปยังห้องนอนได้


 


 


โม่ถิงลืมตาขึ้นและจ้องมองถังหนิง จากนั้นชายหนุ่มก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้น “คุณเจออะไรบ้างไหม”


 


 


“ฉันอยากให้คุณรีบไปนอนได้แล้ว” ถังหนิงกล่าวพร้อมหัวใจที่รวดร้าว




ตอนที่ 670 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

 


ฟังอวี้ออกไปพบเจ้าของสุนัขพิตบูลตัวนั้นพร้อมหลักฐานในมือ ซึ่งตัวเจ้าของเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน เพราะสุนัขพิตบูลตัวนั้นแม้ก่อนหน้านี้จะเคยกัดใครมาบ้างตอนมันยังเด็ก แต่ในครั้งนั้นมันเป็นเพียงการกัดเล็กๆ เท่านั้น


 


 


ส่วนกระดูกที่อยู่ในกระเป๋าเสี่ยวเย่ว์นั้น ฟังอวี้ได้ถามลูกสาวของเขาถึงที่มาของกระดูกชิ้นนั้น แต่เธอเด็กเกินกว่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนได้ ดังนั้นฟังอวี้จึงไปคุยกับครูอนุบาลของเสี่ยวเย่ว์ อ้างอิงจากครู เมนูอาหารในวันเกิดเหตุมีซี่โครงหมูรวมอยู่ด้วย ส่วนเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวเย่ว์ถึงมีกระดูกอยู่ในกระเป๋า ตัวครูเองก็อธิบายว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กจะเก็บของสุ่มๆ ไว้เล่นทีหลัง ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้


 


 


เมื่อได้ยินคำอธิบายของครู ความดื้อแพ่งที่จะเสาะหาความจริงของเขาก็มลายหายไป


 


 


บางทีถังหนิงอาจจะแค่หวาดวิตกไปเองเท่านั้น


 


 


ที่สำคัญกว่านั้น ในขณะที่ฮั่วจิงจิงยังไม่หายดี เขาควรจะอยู่เคียวข้างเธอ


 


 


เขาไม่อาจโทษใครได้ เขาทำได้แค่โทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องเธอได้ดีพอ…


 


 


หลังจากนั้น ฟังอวี้ก็บอกผลการสืบของเขาให้ถังหนิงรู้ หลังจากได้ยินฟังอวี้ ถังหนิงก็ตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง แม้เธอจะไม่อยากยอมแพ้ แต่ฟังอวี้ได้ทำการสืบทุกอย่างโดยละเอียดแล้ว หากเธอยังยืนกรานต่อไปจะมีประโยชน์อะไร


 


 


แม้กระนั้นลึกลงไปแล้วเธอยังรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับคนคนนั้น…


 


 



 


 


เวลาผ่านไปหลายวันนับจากเหตุการณ์ของฮั่วจิงจิง ในระหว่างหลายวันนั้น บรรดาสื่อได้สูบเอาความชื่อเสียงทุกหยาดหยดของฮั่วจิงจิงก่อนที่จะหันเหความสนใจไปยังประเด็นร้อนเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว นับจากนั้นก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับฮั่วจิงจิงอีกเลย


 


 


ในวงการนี้นั้น การขึ้นมาโดดเด่นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การถูกลืมนั้นกลับง่ายเหลือเกิน


 


 


การได้เห็นงานโชว์เดินแบบและงานอื่นๆ ที่เป็นของฮั่วจิงจิงถูกยกให้คนอื่นนั้น หัวใจถังหนิงก็รู้สึกราวถูกจุดไฟเผาเป็นเถ้าถ่านจนหมด แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่เธอทำได้เลย


 


 


เพื่อรักษาโอกาสให้ฮั่วจิงจิงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถังหนิงจึงโทรหาบริษัทหลายแห่งเช่น บริษัททีคิวส์หลินเหว่ยเซิน เฟียเลสนักออกแบบชื่อดังชาวฝรั่งเศส และคนอื่นๆ อีกมากมาย กระนั้นแม้พวกเขาจะรับปากด้วยวาจาโดยไม่ลังเล แต่เฟียเลสบอกเธอว่า “ไม่มีใครเกิดมาเพื่อไถ่บาปให้คนอื่นหรอกนะ ไม่ว่าคุณจะเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน ฮั่วจิงจิงจะต้องกลับมายืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครทำอะไรในเรื่องนี้ได้”


 


 


ถังหนิงเข้าใจเหตุผลนี้มาตลอด ดังนั้นเธอยังได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันแค่ทำตัวดื้อด้านอยู่นะ”


 


 


อาจจะเป็นเพราะความกดดันที่เธอได้รับจากซ่งซินที่ทำให้เป็นเรื่องยากที่เธอจะไม่ห่วงเรื่องของฮั่วจิงจิงและตัวเธอเอง


 


 


ในขณะเดียวกัน จากซ่งซินได้รับรางวัลนักเขียนบทของเธอแล้ว เธอยังได้รับรางวัลสำหรับการแต่งเพลงอีกด้วย ส่งผลให้เธอดังเป็นพลุแตก


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น ถังหนิงกำบทละครที่อยู่ในมือจนแน่น เมื่อผู้หญิงคนขึ้นมีอายุถึงวัยเดียวกับเธอ คนพวกนั้นจะสูญเสียความมั่นคงไปจริงอย่างนั้นหรือ


 


 



 


 


เวลาผ่านไปหลายวันนับจากวันที่ซ่งซินบอกแผนของเธอให้กับผู้ช่วย ทว่าเธอยังไม่ลงมือ กลับกัน เธอใช้เวลาเกือบทั้งหมดหมดไปกับการพยายามทำความเข้าใจกิจวัตรประจำวันของฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


เธอเข้าใจดีว่าความสำเร็จจะต้องอาศัยจังหวะที่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้ ผู้ช่วยของซ่งซินจึงทำเพียงแต่ค่อยอยู่ข้างๆ ฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างเงียบๆ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม


 


 


นับตั้งแต่วันที่ฮว่าเหวินเฟิ่งถูกฉีกหน้า เธอก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ถังหนิงมานานแล้ว แม้เธอจะไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ แต่คนทั้งประเทศด่าว่าเธอและผู้อาวุโสโม่เองก็ข่มขู่เธอเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมถอยและจดจ่ออยู่กับงานวิจัยของเธอเป็นการชั่วคราว


 


 


ในวันนั้น ฮว่าเหวินเฟิ่งกำลังดื่มชายามบ่ายอยู่ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่งร่วมกับเพื่อนนักวิจัยอีกสองสามคน เพื่อนร่วมงานของเธอเริ่มนินทาเกี่ยวกับถังหนิงเพื่อจะได้ดูปฏิกิริยาของฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


ท่าทีของฮว่าเหวินเฟิ่งเย็นชาตลอดเวลา เธอไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับบทสนทนานี้ ดังนั้นหลังจากอดทนอยู่พักใหญ่ เธอจึงใช้ห้องน้ำเป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงคำนินทาชั่วคราว


 


 


ทว่าเมื่อเธอคว้ากระเป๋าถือและเดินไปยังห้องน้ำ ก็บังเอิญเดินชนกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินสวนทางมา ผู้หญิงคนนั้นไว้ผมสั้นและมีรูปร่างผอมสูง


 


 


“ขอโทษที” หลังกล่าวคำขอโทษ ฮว่าเหวินเฟิ่งก็เดินต่อไป แต่ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะจำเธอได้ขณะที่ชี้ไปที่ฮว่าเหวินเฟิ่งและกล่าว “คุณคือแม่สามีของถังหนิงใช่ไหม”


 


 


สีหน้าของฮว่าเหวินเฟิ่งเริ่มบูดเบี้ยว เพราะเธอคาดว่าผู้หญิงคนนั้นจะล้อเลียนเธอ ดังนั้นเธอจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินจากไป ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับไม่หัวเราะใส่เธอ แต่กลับยังดูเป็นมิตรอย่างมาก “คุณป้า สวัสดีค่ะ”


 


 


“สวัสดี ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทำ ฉันขอตัวก่อนนะ” ฮว่าเหวินเฟิ่งกล่าวก่อนจะเตรียมตัวเดินออกไป ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้บังคับให้เธออยู่ต่อ เพียงแต่พยักหน้ายิ้มให้ ก่อนมองฮว่าเหวินเฟิ่งเดินจากไป


 


 


อย่างไรก็ตาม… ก่อนที่ฮว่าเหวินเฟิ่งจะทันได้เดินห่างออกไป ผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งไล่ตามเธอและคว้าแขนเสื้อของเธอเอาไว้ จากนั้นเธอจึงกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ที่จริงนะคะคุณป้า… ฉันได้ยินข่าวลือสองสามเรื่องมาจากเอเจนซี่ แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”


 


 


“ข่าวลืออะไร” ฮว่าเหวินเฟิ่งถาม


 


 


“ฉันไม่แน่ใจว่าควรบอกคุณป้าไหม” ผู้หญิงคนนั้นจงใจพูดตัดบท


 


 


“พูดมาสิ ฉันไม่โทษเธอหรอก” ฮว่าเหวินเฟิ่งพร้อมที่จะได้ยินเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับถังหนิง หลังจากพิจารณาอยู่สองสามวินาที ผู้หญิงคนนั้นก็โน้มตัวมาใกล้ แล้วกระซิบบอกข่าวลือที่เธอได้ยินมาที่ข้างหูของฮว่าเหวินเฟิ่ง พูดจบ เธอก็เน้นกับฮว่าเหวินเฟิ่ง “คุณป้าคะ ฉันมั่นใจว่าคุณป้ารู้กฎของไห่รุ่ยดี ไม่มีใครอนุญาตให้ปล่อยความลับนี้ออกสู่สาธารณะ เดิมทีฉันก็ไม่อยากพูดอะไร แต่ในเมื่อฉันบังเอิญมาพบคุณป้าแบบนี้ จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันบอกคุณป้าค่ะ ฉันหวังว่าคุณป้าจะเก็บความลับนี้ให้ฉันนะคะ”


 


 


ที่จริงใบหน้าของฮว่าเหวินเฟิ่งได้เปลี่ยนจากสีแดงระเรื่อด้วยความโมโหกลายเป็นแดงก่ำด้วยความเดือดดาล


 


 


เธอไม่เคยนึกว่าถังหนิงจะชั่วร้ายถึงเพียงนี้


 


 


กล้าดียังไงมาฝันว่าจะเอาอวัยวะของเธอ


 


 


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น” ฮว่าเหวินเฟิ่งยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 


 


“ดีค่ะ คุณป้าควรตัดสินใจว่าจะทำยังไงให้เร็วที่สุดนะคะ…” ผู้หญิงคนนั้นมองดูฮว่าเหวินเฟิ่งด้วยความเวทนาพลางตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลอบใจ


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งไม่ทันสังเกตว่าผู้หญิงคนนั้นเดินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเพียงแต่ตัวสั่นเทิ้มขณะพยุงตัวเองกับผนังอยู่อีกพักใหญ่


 


 


ในเมื่อนังสารเลวนั้นอยากไปไกลขนาดนั้น เธอก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ เธอไม่อาจนั่งรอไปวันๆ ให้เด็กคนนั้นคลอดออกมา จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กนั้นเกิดมามีไม่สมประกอบแล้วคนพวกนั้นคิดจะใช้ร่างกายของเธอจริงๆ


 


 


เธอไม่อาจบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อโม่ได้ ไม่เช่นนั้นเธออาจจะทำอะไรไม่ได้เลยเพราะคุณพ่อโม่จะคิดว่าเธอแค่กลัวไปเอง


 


 


เธอตัดสินใจที่จะกำจัดเด็กในท้องของถังหนิงเป็นการเร่งด่วน เธอจำเป็นต้องคิดแผนการที่แยบยล


 


 


ด้วยเหตุนี้ ฮว่าเหวินเฟิ่งจึงเริ่มแอบสะกดรอยตามถังหนิง เพื่อที่จะได้เข้าใจกิจวัตรประจำวันของอีกฝ่าย


 


 


เธอสังเกตว่าถังหนิงจะเดินทางไปโรงพยาบาลทุกวันศุกร์เพื่อตรวจร่างกาย นอกจากนั้นก็แทบจะไม่ออกจากบ้านเลย ส่วนนังสารเลวที่นามสกุลไป๋ มีหน้าที่ดูแลอาหารประจำวันของถังหนิง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องระวังคือถังหนิงจะพาทีมบอดีการ์ดไปด้วยทุกครั้งที่เธอเดินทางไปตรวจร่างกาย


 


 


นั่นเป็นช่องทางโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของฮว่าเหวินเฟิ่ง หากเธอแอบเข้าไปในบ้านระหว่างเวลานั้นและโยนความผิดทั้งหมดให้แม่บ้านชั้นต่ำนั่น เธอก็จะยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว




ตอนที่ 671 มันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คุณคิด

 


อีกทั้งเธอยังศึกษาระบบกล้องวงจรปิดที่อยู่โดยรอบ จดบันทึกว่ากล้องแต่ละตัวตั้งอยู่ที่จุดใดและทำความเข้าใจจุดบอดที่ดีที่สุดแต่ละจุด นอกจากนี้ เธอยังแอบอยู่ในห้องแล็บเพื่อการวิจัยและศึกษาการทำปฏิกิริยาของยาอยู่อีกหลายวัน เธอจำเป็นต้องหาวิธีโจมตีที่ไร้ข้อผิดพลาดที่สุด


 


 



 


 


ระหว่างสองสามวันที่ผ่านมา อารมณ์ของถังหนิงกระสับกระส่ายตลอดเวลา รู้สึกราวกับมีคนคอยสอดแนบเธออยู่ในเงามืดอยู่ตลอด จับตาดูเธอทุกฝีก้าว


 


 


ป้าไป๋อธิบายว่านั่นเป็นเพราะเธอกำลังใกล้คลอด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะไวต่อสิ่งรอบตัวมากเป็นพิเศษ ถังหนิงคิดทบทวนคำอธิบายของป้าไป๋อยู่พักหนึ่งและรู้สึกว่ามันค่อนข้างมีเหตุมีผล


 


 


“นับตั้งแต่เหตุการณ์ของฮั่วจิงจิง หัวใจคุณก็ไม่อยู่กับเนื้ออยู่กับตัวเลยสักวัน ถ้ามีอะไรผิดปกติให้คุยกับคุณโม่ด้วยนะคะ อย่าเก็บไว้คนเดียว”


 


 


หลังฟังสิ่งที่ป้าไป๋พูด ถังหนิงก็พยักหน้าและยิ้ม “ฉันบอกเขาเรื่องนี้ได้ แต่… พอผู้หญิงคนหนึ่งท้อง มันมีความรู้สึกที่ผู้ชายไม่มีทางเข้าใจได้”


 


 


“จริงค่ะ” ป้าไป๋พยักหน้า “ตอนที่ฉันท้องเสี่ยวซิง ฉันรู้สึกบ่อยๆ ว่าขี้โมโหอย่างอธิบายไม่ถูก พ่อเสี่ยวซิงไม่เข้าใจว่าเขามาปั่นหัวฉันตอนไหน เขาทำได้แค่ยื่นแขนมาไว้ตรงหน้าฉันแล้วปล่อยให้ฉันกัดระบายความโกรธ”


 


 


เมื่อพูดถึงพ่อของเฉินซิงเยียน ถังหนิงก็จำได้ว่าเขาได้หายตัวไปตั้งแต่เฉินซิงเยียนยังเด็กมาก กระนั้นไป๋ลี่หวากลับไม่เคยพูดถึงผู้ชายคนนี้เลยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้


 


 


“พ่อของซิงเยียนเขา…”


 


 


“เขาหายตัวไปตอนที่เขาเป็นตัวประกอบ ตอนนั้นเสี่ยวซิงเพิ่งจะอายุได้หกขวบ นับแต่นั้นเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย อย่าพูดถึงเขาเลยนะ”


 


 


ถังหนิงไม่ชอบซักไซ้เรื่องคนอื่น อีกอย่างเธอเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของไป๋ลี่หวา หญิงสาวจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


 


 


“คุณจะไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้ใช่ไหม อยากกินอะไรหรือเปล่า ฉันจะได้ทำให้”


 


 


“ทุกอย่างที่ป้าทำอร่อยหมดนั่นแหละ” ถังหนิงเรียกความมั่นใจกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว


 


 


กระนั้นถังหนิงไม่รู้เลยว่าการไปตรวจร่างกายในครั้งนี้จะเกิดผลร้ายแรงเพราะคนที่คอยสะกดรอยตามเธอได้เตรียมการจู่โจมเอาไว้แล้ว


 


 



 


 


บ่ายวันต่อมา กลิ่นควันคละคลุ้งไปมาจากสวนหย่อม จนไปทำให้สัญญาณเพลิงไหม้ทำงานและกระตุ้นบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รีบค้นหาแหล่งที่มาของควันทันทีและรีบเคาะประตูหน้าบ้านของถังหนิงและโม่ถิง


 


 


ใช้เวลาสักครู่ก่อนป้าไป๋จะเดินมาเปิดประตู ทันทีที่เธอเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เธอก็มองพวกเขาด้วยความสับสน “มีอะไรงั้นเหรอคะ”


 


 


“คุณผู้หญิงครับ สวนหย่อมในบ้านของคุณเกิดไฟไหม้ เพื่อความปลอดภัย คุณช่วยอพยพออกไปในที่ปลอดภัยเดี๋ยวนี้ได้ไหมครับ”


 


 


ไป๋ลี่หวาเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง เธอกลัวไฟไหม้มากเป็นพิเศษ “ถ้างั้น… รอฉันล็อกประตูก่อนนะ”


 


 


“คุณผู้หญิงช่วยเปิดไว้ก่อนครับ เราต้องประเมินความเสี่ยงของตัวบ้าน” หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกล่าวพลางผลักไป๋ลี่หวาไปหาเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านหลัง


 


 


ไป๋ลี่หวาไม่รู้จะทำอย่างไรขณะที่เจ้าหน้าที่ลากเธอออกไปยังสถานที่ปลอดภัย กระนั้นขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังประเมินตัวบ้านอยู่นั้น ร่างในเงามืดได้แอบลอบเข้าไปทางประตูหน้าบ้านและซ่อนตัวอยู่ภายในตู้เก็บของใช้โดยไร้เสียง


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่ซ่อนอยู่ในตู้เก็บของใช้ก็ได้ยินเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดกับไป๋ลี่หวา “ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับคุณผู้หญิง เพลิงไหม้ถูกควบคุมไว้แล้ว โชคดีที่มันไม่ได้ลุกลาม ตอนนี้คุณผู้หญิงสามารถกลับบ้านได้แล้วครับ”


 


 


“พวกคุณเจอสาเหตุหรือเปล่าคะ” ไป๋ลี่หวาถาม “ทำไมถึงมีไฟไหม้ที่สวนหย่อมของเรา”


 


 


“ไม่ต้องห่วงครับ เราจะหาสาเหตุอย่างละเอียด ทันทีที่ได้คำตอบเราจะรีบแจ้งให้ทราบ”


 


 


ไป๋ลี่หวาพยักหน้าและไม่ถามอะไรเพิ่มอีก หลังกลับมาที่บ้าน เธอก็สงบสติลงเล็กน้อยแล้วกลับไปเตรียมข้าวและอาหารบำรุงสำหรับถังหนิงอย่างเคย


 


 


สี่โมงเย็น โม่ถิงพาถังหนิงกลับมาที่บ้านก่อนที่เขาจะกลับไปไห่รุ่ย กระนั้นทันทีที่ถังหนิงเข้าผ่านประตูหน้าบ้าน กลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์ดึงความสนใจของเธอ


 


 


“ป้าไป๋ มีอะไรในบ้านไหม้หรือเปล่า”


 


 


“ไม่มีค่ะ มีไฟไหม้ด้านนอกเมื่อตอนบ่าย…” ไป๋ลี่หวาเดินออกมาจากห้องครัวและอธิบายพลางตีเตรียมอาหารในมือ “หิวไหม รีบนั่งลงก่อนเถอะ มื้อเย็นเกือบจะเสร็จแล้ว”


 


 


“ค่อยๆ ทำเถอะ ฉันยังทนได้” ถังหนิงเอนหลังพิงโซฟา ตอนนี้เธอท้องได้เกือบแปดเดือนแล้ว การเคลื่อนไหวในแต่ละวันกลายเป็นเรื่องยากเหลือทน


 


 


ไป๋ลี่หวาสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายและยิ้ม “ท้องแรกก็อย่างนี้แหละค่ะ ท้องสองก็จะง่ายขึ้นเยอะ”


 


 


“ฉันไม่คิดไกลถึงขนาดนั้นหรอก” ถังหนิงพยุงหลังศีรษะของเธอด้วยมือข้างหนึ่งในขณะที่อีกข้างลูบท้อง ระหว่างการตรวจร่างกายวันนี้ ผลออกมาว่าสิ่งที่ฮว่าเหวินเฟิ่งอ้างว่าลูกของเธอไม่แข็งแรงและไม่สมประกอบนั้นไม่ถูกต้องเลยสักนิดเดียว ส่วนเพศของเด็ก โม่ถิงหวังให้เป็นเด็กผู้หญิง… ส่วนเธออยากได้เด็กผู้ชาย


 


 


“ไว้ค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลังเถอะ” ไป๋ลี่หวาพูดขณะที่เธอวางชามซุปไก่น่าอร่อยลงตรงหน้าของถังหนิง “ฉันแยกมันออกให้แล้ว ซุปนี้ไม่ทำให้คุณอ้วนหรอกค่ะ…”


 


 


ถังหนิงมองไป๋ลี่หวา เธอรู้สึกดีใจเพราะเธอรู้ว่าไป๋ลี่หวาเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดจริงๆ ของโม่ถิง แค่ดูจากความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ฮวาเหวินเฟิ่งก็เทียบไม่ติดแล้ว


 


 


อย่างน้อยไป๋ลี่หวาก็พยายามทำดีที่สุดเพื่อเธอ


 


 


ถังหนิงชอบความห่วงใยที่ไป๋ลี่หวาแสดงออก หลังรับซุปไก่จากอีกฝ่าย เธอจิบไปสองคำ อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกว่ารสชาติของซุปในวันนี้แตกต่างไปจากปกติมาก


 


 


“มีอะไรเหรอ” ไป๋ลี่หวาถามทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหยุดกิน


 


 


“ซุปนี่รสชาติแปลกๆ”


 


 


ไป๋ลี่หวารับชามซุปจากมือของถังหนิงและดมดู สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที “ไม่นะ นี่มันกลิ่นสารเคมี คุณรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า”


 


 


ถังหนิงส่ายหน้า “ไม่”


 


 


“ฉันเป็นห่วงจัง ฉันว่าคุณควรไปตรวจที่โรงพยาบาลดีกว่า” ครั้งหนึ่งไป๋ลี่หวาเคยเป็นนักวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เธอจึงระแวดระวังเกี่ยวกับสารเคมี เธอรีบช่วยพยุงถังหนิงขึ้นและเอาตัวอย่างของซุปไก่ไปให้บอดีการ์ดเพื่อเขาจะได้เอามันไปตรวจวิเคราะห์ที่โรงพยาบาล


 


 


แรกเริ่มถังหนิงไม่ได้เป็นหวาดวิตกเท่าไป๋ลี่หวา จนกระทั่งเธอได้รับการตรวจที่โรงพยาบาล เธอก็ยังไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา กระนั้นเอง หลังจากที่เธอได้รับผลตรวจวิเคราะห์ของซุปไก่นั้น…


 


 


“ทำไมถึงมีควินิดีน [1] มากขนาดนี้อยู่ในซุปไก่ได้”


 


 


เมื่อได้ยินชื่อยาดังกล่าว ไป๋ลี่หวาหน้าซีดทันที


 


 


หลายคนอาจไม่รู้ แต่เธอรู้จักมันเป็นอย่างดี ควินิดีนไม่ใช่สิ่งที่จะพบได้ในชีวิตประจำวันของคนปกติทั่วไป มันเป็นยาที่ใช้ในการรักษาอาการเต้นผิดปกติของหัวใจ แต่หากใช้ในหญิงตั้งครรภ์ อาจก่อให้เกิดการแท้งหรือมีผลต่อหัวใจของทารกในครรภ์! แตทว่าสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจที่สุดคือย่าแบบนี้มาอยู่ในซุปไก่ของเธอได้อย่างไร


 


 


ที่เลวร้ายที่สุดคือถังหนิงจิบซุปไปสองครั้ง!


 


 


เมื่อคิดเช่นนั้น ไป๋ลี่หวาตัวสั่นเทิ่มด้วยความกลัว เธอจะทำอย่างไรดี ถังหนิงจะทำอย่างไรดี


 


 


จะเกิดอะไรขึ้นกับหลานของเธอ


 


 


หลังได้รับผลตรวจวิเคราะห์ ไป๋ลี่หวาเข่าทรุดขณะที่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาโม่ถิง “คุณโม่คะ ฉันขอโทษ ช่วยมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”


 


 


ทันทีที่เขาได้ยินคำว่า ‘โรงพยาบาล’ โม่ถิงคิดถึงถังหนิงโดยไม่รู้ตัว เขาจึงวางงานทุกอย่างในมือและรีบตรงไปทันที


 


 


เมื่อเขามาถึง ถังหนิงกำลังได้รับการตรวจร่างกายอยู่ภายในห้องตรวจ ไป๋ลี่หวาเห็นโม่ถิงและรีบวิ่งมาหาเขาด้วยพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือ “ถังหญิงบังเอิญกินยาผิดประเภทเข้าไป… ฉันกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ”


 


 


ขณะที่โม่ถิงกำลังจะถามไป๋ลี่หวาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คุณหมอได้เดินออกมาจากห้องตรวจและบอกกับทั้งสอง “มันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่พวกคุณคิด!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ควินิดีน เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาหรือป้องกันความผิดปกติของการเต้นของหัวใจหลายชนิด




ตอนที่ 672 เขารักผู้หญิงของเขา

 


“ญาติไม่ต้องกังวลนะครับ เธอได้รับควินิดีนจำนวนน้อยมาก จะมีผลกับคนไข้และเด็กเล็กน้อยเท่านั้น ถือว่าเธอโชคดีมาก” หมอกล่าวพลางถอดถุงมือออก จากนั้นเขาจึงมองทั้งสองด้วยสีหน้าสงสัย “พูดกันตามหลัก ยาอย่างควินิดีนไม่สามารถนำออกไปนอกโรงพยาบาลได้ มันไม่ใช่ยาที่ใช้กับคนไข้ทั่วไป แล้วมันไปอยู่ในซุปไก่ได้ยังไง”


 


 


โม่ถิงมองไป๋ลี่หวา และไป๋ลี่หวาส่ายหน้าด้วยความสับสน “ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ”


 


 


ไป๋ลี่หวาไม่รู้เลยว่าซุปไก่ของเธอถูกวางยาตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


“คุณโม่ ได้โปรดเชื่อฉันนะคะ ฉันไม่มีวันทำร้ายถังหนิงกับลูกของเธอ”


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของโม่ถิงตึงขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของเขาเย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่เขายังคงไว้วางใจในตัวไป๋ลี่หวา เขาจึงทำเพียงแค่พยักหน้า


 


 


“อาการของคนไข้คงที่แล้ว ญาติสามารถเข้าไปเยี่ยมได้แล้วครับ”


 


 


ได้ยินคำพูดของหมอ โม่ถิงก็กำลังจะก้าวเข้าไปในห้อง ทว่าขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไป พยาบาลที่อยู่ภายในห้องรีบวิ่งออกมาและเรียกหมอคนนั้นเอาไว้ “คุณหมอคะ คนไข้มีบางอย่างไม่ค่อยปกตินักค่ะ…”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น โม่ถิงก็พยายามเข้าไปภายในห้องทันทีแต่พยาบาลได้มาขวางเอาไว้ “คุณคะ ตอนนี้คุณยังเข้าไปไม่ได้นะคะ ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะทำให้การรักษาคนไข้เกิดความล่าช้า”


 


 


“ออกไปให้พ้นทาง!” โม่ถิงผลักผู้หญิงคนนั้นออกไปด้านข้างทันทีและรีบเข้าไปในห้องตรวจ ทันทีที่เขาเห็นใบหน้าซีดขาวของถังหนิง เขาก็รีบเข้าไปกุมมือเธอทันที “ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่ข้างๆ คุณแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหรือลูก ผมจะฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้วตามคุณไปทันที”


 


 


ทั้งสองไม่ได้กำลังถ่ายทำภาพยนตร์และคำพูดเหล่านี้เหมาะที่จะอยู่ในนิยายสมัยโบราณเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินคำพูดของโม่ถิง ทีมแพทย์ต่างไม่คิดว่าเขากำลังพูดโกหก


 


 


“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันทั้งนั้น…” ถังหนิงกล่าวขณะที่เธอบีบมือของโม่ถิงไว้แน่น อาจเป็นเพราะความปวดทำให้ฝ่ามือของถังหนิงเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ “จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันทั้งนั้น ถิงไม่ต้องห่วงนะ”


 


 


“คุณหมอคะ คนไข้มีอาการมดลูกหดตัว เราต้องผ่าตัดเดี๋ยวนี้” พยาบาลแจ้งให้หมอทราบขณะที่เธอสังเกตอาการของถังหนิง


 


 


“ดูเหมือนผมจะประเมินผลของควินิดีนในคนไข้รายนี้ต่ำไป เร็วเข้า!”


 


 


ไป๋ลี่หวาตัวแข็งทื่อด้วยความกลัวขณะที่เธอเฝ้ารออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านนอกห้องและไม่แน่ใจว่าเธอควรจะทำอะไร ขณะเดียวกัน โม่ถิงก็ถูกผลักออกจากห้องขณะที่เขามองดูถังหนิงถูกพาไปยังห้องคลอด


 


 


“โม่ถิง…”


 


 


“คุณอาจจะไม่ใช่คนใส่ยาลงในซุป แต่เกิดอะไรขึ้นกับความรับผิดชอบที่คุณมีต่อถังหนิง”


 


 


ไป๋ลี่หวาอึ้งขณะที่เธอก้มหน้าลงอย่างโทษตัวเอง “ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง”


 


 


“คิดให้ดีๆ ความผิดปกติเกิดขึ้นตรงไหน” โม่ถิงไม่ปล่อยความโกรธของเขาออกมาใส่คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน เมื่อเป็นเรื่องที่ต้องดูแลถังหนิง ความรับผิดชอบในส่วนของเขานั้นใหญ่กว่าอย่างชัดเจน


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน หมอเดินออกมาจากห้องคลอดตามด้วยเตียงของถังหนิง


 


 


“สัญญาณเท็จ มันเป็นแค่การหดตัวหลอก” หมอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะให้คำอธิบาย “ผมแนะนำให้คนไข้พักอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักสองสามวัน ผมจะได้คอยดูอาการ ถ้าอาการเกิดขึ้นอีกหรือคนไข้ต้องคลอดก่อนกำหนด เราจะได้ดูแลเธอได้อย่างทันท่วงที”


 


 


หลังได้ยินคำพูดของหมอ โม่ถิงก็มองถังหนิง หัวใจเขาปวดร้าวจนรู้สึกชาไปหมด


 


 


หากการตั้งครรภ์จะต้องยุติลง เขาจะขอไม่ลูกดีกว่าให้ถังหนิงต้องมาเจ็บปวด


 


 


หลังจากไป๋ลี่หวาได้ยินว่านั่นเป็นการเจ็บท้องหลอก เธอก็ทรุดตัวลงด้วยความกลัว


 


 


“ญาติคนไข้ไม่ต้องเห็นห่วงนะครับ ตอนนี้อาการของคนไข้คงที่แล้วและอาการแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก…”


 


 


ที่จริงแล้วเหตุผลที่หมอพูดเช่นนี้เพื่อให้ปลอบใจโม่ถิงเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เยือกเย็นและอันตรายของโม่ถิง


 


 


หลังจากนั้นถังหนิงก็ถูกพาไปยังห้องพักคนไข้ของเธอ โม่ถิงถอดเสื้อแจ็กเกตออกแล้วโยนมันไปที่ด้านหนึ่งก่อนนั่งลงบนขอบเตียงของถังหนิงและกุมมือเธอไว้


 


 


“ผู้หญิงคนนั้นเหมือนถังหนิงเลย”


 


 


“จุ๊ๆ … เธออยากตายหรือไง ไม่เห็นความน่ากลัวในตาของประธานโม่งั้นเหรอ” พยาบาลสาวสองคนกระซิบอยู่ด้านนอกห้องคนไข้


 


 


โม่ถิงฟื้นตัวจากความเป็นกังวลแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาลู่เช่อ “สืบทุกคนที่เข้าออกไฮแอทรีเจนซี่ระหว่างเมื่อวานกับวันนี้ อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว ฉันต้องการให้นายหาทุกคน ต่อให้เป็นผีก็ตาม”


 


 


ลู่เช่อไม่รู้ว่าเกิดขึ้นขึ้น “ท่านประธานครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ”


 


 


โม่ถิงใช้เวลาหนึ่งนาทีในการรวบรวมสติ ขณะเดียวกันลู่เช่อเองก็ไม่กล้าวางสาย


 


 


“มาที่โรงพยาบาลก่อนแล้วกัน”


 


 


ทันทีที่เขาได้ยินคำว่า ‘โรงพยาบาล’ ลู่เช่อก็พอเดาเหตุผลคร่าวๆ ที่ทำให้โม่ถิงโดดประชุมในที่ทำงานได้ มีเพียงถังหนิงเท่านั้นที่สามารถทำให้โม่ถิงลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว


 


 


ไม่นานนักลู่เช่อก็เดินทางมาถึงที่โรงพยาบาลและมายังห้องพักของถังหนิง หลังจากป้าไป๋เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง ลู่เช่อก็รู้สึกช็อก ไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครกล้าเดินตรงเข้าไปในบ้านและก่ออาชญากรรมแบบนี้


 


 


“ช่วยเตรียมเสื้อผ้ามาให้ฉันสองชุดแล้วพาคนคนนั้นมาที่นี่”


 


 


“ใครหรือครับ”


 


 


คนที่ว่านั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


นากจากฮว่าเหวินเฟิ่งแล้ว โม่ถิงนึกไม่ออกว่าจะมีใครที่สามารถแอบเข้าไปในบ้านของพวกเขาโดยไม่มีใครรู้และคุ้นเคยกับยาอย่างควินิดีน จะเป็นใครอื่นไปได้อีก


 


 


เขามักจะทำเป็นไม่เห็นเพราะถังหนิงยืนกรานที่จะรับมือกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขารักผู้หญิงของเขา แต่เขาจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ใครมาทำเรื่องไร้ศีลธรรม


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งได้เตรียมการเรื่องนี้มานาน แต่เธอไม่มีค่าอะไรในสายตาของโม่ถิง


 


 



 


 


เมื่อถึงเวลาค่ำ ลู่เช่อมาถึงที่ไฮแอทรีเจนซี รออยู่หน้าบ้านของฮว่าเหวินเฟิ่งและคุณพ่อโม่อย่างใจเย็น


 


 


ทันทีที่ฮว่าเหวินเฟิ่งเห็นลู่เช่อ เธอก็แสร้งทำเป็นใจเย็น “ผู้ช่วยลู่เช่อ คุณคงมาผิดที่แล้ว นี่ไม่ใช่บ้านของโม่ถิง!”


 


 


“ผมมาผิดบ้านหรือไม่นั้น เราจะได้รู้กันหลังจากที่คุณมากับผมครับ” ลู่เช่อกล่าวอย่างสุภาพ “ท่านประธานกำลังรอคุณอยู่”


 


 


“โม่ถิงทำตัวหยาบคายแบบนี้เวลาต้องการพบแม่ของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” คุณพ่อโม่ถามด้วยความไม่พอใจ “ผู้หญิงคนนั้นสอนให้เขาเป็นคนแบบนี้เรอะ”


 


 


ลู่เช่อตระหนักดีว่าคนทั้งสองนั้นไร้ยางอายที่สุด ดังนั้นเขาจึงส่งสัญญาณให้บรรดาบอดีการ์ดของเขาเคลื่อนไหวทันที


 


 


ท่าทีของฮว่าเหวินเฟิ่งเปลี่ยนไปขณะที่เธอมองคุณพ่อโม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ลู่เช่อห้ามคุณพ่อโม่ไว้และกล่าว “เพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ คุณรอท่านประธานโม่อยู่ที่นี่จะดีที่สุด”


 


 


“เหวินเฟิ่ง… เหวินเฟิ่ง…


 


 


“ลู่เช่อ พาเหวินเฟิ่งกลับมานะ!”


 


 


ลู่เช่อหันหลังขึ้นไปบนรถพร้อมกับฮว่าเหวินเฟิ่ง คุณพ่อโม่กลัวว่าภรรยาของตนเองจะเป็นอันตราย จึงรีบขึ้นรถและขับตามไปทันที


 


 


โถงทางเดินของโรงพยาบาลนั้นทั้งยาว หนาวเย็นและเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ กระนั้นความสงบสุขของโถงแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงดิ้นรนของฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างรวดเร็ว


 


 


เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนถังหนิง โม่ถิงจึงเดินออกมาจากห้องในขณะที่ฮว่าเหวินเฟิ่งยังอยู่ห่างออกไป เขานั่งลงที่เกาอี้ ตาที่มองฮว่าเหวินเฟิ่งแฝงความหมายลึกซึ้ง…


 


 


เห็นดังนั้น ฮว่าเหวินเฟิ่งก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้…


 


 


“คุณใส่ยาลงในซุปได้ยังไง”




ตอนที่ 673 นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมไม่สนใจความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น!

 


“ยาอะไร” ฮว่าเหวินเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง


 


 


“ควินิดีน” โม่ถิงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก อันตรายและข่มขู่


 


 


แม้ฮว่าเหวินเฟิ่งจะหวาดกลัวโม่ถิง แต่เธอก็บังคับตัวเองให้สงบนิ่งและกล่าวปฏิเสธ “แม่ไม่รู้ว่าลูกกำลังพูดถึงอะไร โม่ถิง นี่ลูกปฏิบัติกับแม่ตัวเองแบบนี้งั้นเหรอ”


 


 


“จะเป็นแม่หรือไม่เรื่องนั้นเอาไว้ว่ากันทีหลัง ผมแค่อยากรู้ว่าคุณรู้จักยาที่ชื่อควินิดีนหรือเปล่า”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งถูกบังคับให้จ้องเข้าไปในดวงตาโม่ถิง เธอถึงกับเป็นอัมพาตด้วยแววตาคุกคามของอีกฝ่าย ที่จริงมันมีเสียงซึ่งดังขึ้นในหัวของเธอที่กำลังบอกเธอว่าหากเธอยังคงดื้อดึงอยู่แบบนี้ เธอจะต้องถูกหั่นเป็นชิ้นอย่างแน่นอน แต่เธอไม่อาจยอมรับอาชญากรรมที่เธอก่อได้


 


 


“แม่ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ ก็ต้องรู้จักควินิดีนสิ โม่ถิง ลูกถามแบบนี้หมายความว่ายังไง”


 


 


“คุณเป็นคนจุดไฟเมื่อตอนบ่ายใช่ไหม”


 


 


“ไฟอะไร ลูกกำลังพูดถึงอะไร โม่ถิง ลูกต้องอธิบายมานะว่าทำไมถึงมาขู่แม่แบบนี้” ฮว่าเหวินเฟิ่งเดาว่าโม่ถิงไม่มีหลักฐานอะไรในมือ ดังนั้นเธอจึงสงบลงเล็กน้อยและตั้งคำถามอีกฝ่ายอย่างมั่นใจ


 


 


“ทำไมถึงใส่รองเท้าส้นแบน”


 


 


โม่ถิงก้มลงมือที่เท้าของฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างเยาะเย้ยขณะที่เขาเปลี่ยนหัวข้อ


 


 


“ก็มันใส่สบาย” ฮว่าเหวินเฟิ่งตอบ


 


 


“เพื่อปกปิดคราบโคลนเพราะคุณเข้าไปในสวนหย่อมมาใช่ไหม ถ้าผมไปหาคราบโคลนในบ้านของผม ผมก็น่าจะเจอรอยเท้าของคุณด้วยใช่หรือเปล่า” โม่ถิงเดา “ผมคิดว่าต่อให้คุณตาย คุณก็คงไม่สารภาพหรอก”


 


 


“แม่ไม่เคยไปที่สวนหลังบ้านของใครทั้งนั้น”


 


 


“ผมไม่เคยพูดว่ามันเป็นสวนหลังบ้าน” โม่ถิงจับผิดคำพูดของฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


“แม่ไม่เคยถูกต่อหน้าลูกอยู่แล้วนี่ ในมือแม่อยู่ในมือลูกแล้ว อยากจะทำอะไรเชิญ” ฮว่าเหวินเฟิ่งรู้ว่าทุกสิ่งที่เธอพูดนั่นเป็นสิ่งที่ผิดและรู้ตัวดีว่าโม่ถิงเป็นคนระวังตัว เธอจึงตัดสินใจปิดปากเงียบ เธอไม่เชื่อว่าโม่ถิงจะหารอยเท้าของเธอในบ้านของโม่ถิงพบ


 


 


ในนานนัก คุณพ่อโม่ก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล เมื่อเห็นฮว่าเหวินเฟิ่งถูกควบคุมตัวอยู่ต่อหน้าโม่ถิง เขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาและส่งสัญญาณให้บรรดาบอดีการ์ดปล่อยตัวฮว่าเหวินเฟิ่ง “โม่ถิง แกเสียสติไปแล้วหรือไง”


 


 


โม่ถิงไม่อยากคุยกับคุณพ่อโม่ จึงพเยิดคางไปที่ลู่เช่อ ส่งสัญญาณให้เขาลากคุณพ่อโม่ออกไป


 


 


“โม่ถิง แกเป็นอสุรกายหรือไง แกคิดจะทำอะไรกับพ่อแม่ของตัวเองเนี่ย”


 


 


“ผมควรเป็นฝ่ายถามคำถามนี้ต่างหาก!” โม่ถิงโต้แย้ง “คุณไปได้แล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้จะต้องชดใช้กับทุกสิ่งที่ทำกับถังหนิงเป็นสิบเท่า”


 


 


“แกเป็นบ้าหรือไง นังสารเลวนั่นกำลังได้รับโทษกับสิ่งที่มันก่อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแม่ของแกด้วย”


 


 


เมื่อได้ยินพ่อของเขาเรียกถังหนิงว่านังสารเลว น้ำเสียงของโม่ถิงเย็นชาขึ้น “ยี่สิบเท่า!”


 


 


“นังผู้หญิงนั่นเอายาพิษอะไรให้แกกิน”


 


 


“สามสิบเท่า”


 


 


“นังสารเลวนั่นมัน…”


 


 


“สี่สิบเท่า”


 


 


ในที่สุดคุณพ่อโม่ก็รู้ตัวว่าเขาไม่ควรว่าร้ายถังหนิง ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนคำที่เรียกถังหนิงจาก ‘นังสารเลว’ เป็น ‘ผู้หญิงคนนั้น’ แทน “ดูเหมือนแกจะถูกผู้หญิงคนนั้นเล่นของใส่จริงๆ สินะ ปล่อยแม่แกเดี๋ยวนี้!”


 


 


“ลู่เช่อ” คราวนี้โม่ถึงไม่ต้องการเสียเวลาอีกพลางส่งสัญญาณให้ลู่เช่อพาตัวผู้ชายคนนั้นออกไป


 


 


เมื่อเห็นดังนั้น ฮว่าเหวินเฟิ่งก็เริ่มหวาดวิตกขณะที่มือทั้งสองข้างของเธอเริ่มสั่น


 


 


“แกวางแผนจะทำอะไรกับแม่ของแกเพราะผู้หญิงคนนั้น แกมันสัตว์เดรัจฉาน! ฉันจะโทรเรียกตำรวจ” คุณพ่อโม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่โม่ถิงเป็นฝ่ายโทรก่อน


 


 


“สารวัตรเหริ่นเหรอครับ ผมโม่ถิง ภรรยาของผมถูกวางยางและเธอเกือบต้องเสียชีวิต ช่วยจัดการสืบสวนเรื่องนี้ที” หลังวางสาย โม่ถิงก็มองฮว่าเหวินเฟิ่งและกล่าวอย่างง่ายๆ “คุณคิดว่าตำรวจจะใช้เวลาคลี่คลายคดีนี้นานแค่ไหน”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งอึ้ง ไม่อาจขยับเขยื้อน


 


 


ทันใดนั้น โม่ถิงก็ส่งสัญญาณให้บอดีการ์ดปล่อยตัวฮว่าเหวินเฟิ่ง แม้ฮว่าเหวินเฟิ่งจะได้รับอิสระแล้ว…


 


 


…แต่เธอไม่อาจขยับตัวได้


 


 


เธอไม่เคยจินตนาการว่าโม่ถิงจะโทรหาตำรวจ


 


 


เธอคิดว่า จากความสัมพันธ์ของพวกเธอ เขาจะไม่มีวันเอาเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ แต่สุดท้ายเขากลับเลือดเย็นเหลือเกิน


 


 


“โม่ถิง ลูกรัก แม่ไม่ได้ตั้งใจนะ ได้โปรด ครั้งนี้ปล่อยแม่ไปเถอะ


 


 


“แม่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ มันเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”


 


 


โม่ถิงไม่มีปฏิกิริยา เขาเพียงแค่เอียงหัว “ผมให้โอกาสคุณแล้ว”


 


 


“โอกาสแบบไหนกัน”


 


 


“คุณเป็นคนไม่ต้องการมันเอง”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งตื่นตระหนก รีบคุกเข่าลงต่อหน้าโม่ถิงโดยไม่สนใจสถานะของตัวเอง “ได้โปรด อย่าแจ้งความจับแม่เลย แม่ไม่อยากติดคุก”


 


 


“เหวินเฟิ่ง?” คุณพ่อโม่ประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า “คุณกำลังยอมรับว่าเป็นคนวางยาผู้หญิงคนนั้นงั้นเหรอ”


 


 


“จิตใจฉันไม่อยู่กับร่องกับรอย ที่รัก ฉันไม่ได้ตั้งใจ ตาโม่ ช่วยฉันสิ”


 


 


ในที่สุดคุณพ่อโม่ก็เข้าใตว่าทำไมโม่ถิงถึงโกรธ ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ที่จริงเขาพยายามเกลี้ยกล่อมโม่ถิงดีๆ “โม่ถิง นี่แม่ของลูกนะ แถมมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงนี้เยอะแยะ มันจะดูไม่ดีกับลูกด้วย ให้อภัยแม่เขาสักครั้งเถอะ สุดท้ายถังหนิงก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ”


 


 


“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับถังหนิงล่ะ”


 


 


“ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น เหวินเฟิ่งก็ยังเป็นแม่ของลูก ลูกจะส่งแม่ตัวเองเข้าคุกไม่ได้”


 


 


พูดอีกอย่างคือฮว่าเหวินเฟิ่งได้รับอนุญาตให้ทำร้ายคนอื่นได้ แต่หากมีใครทำร้ายเธอ คนพวกนั้นสมควรถูกลงโทษ


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของคุณพ่อโม่ ริมฝีปากโม่ถิงก็พลันโค้งขึ้นทันที “ผมไม่ได้แค่จะส่งเธอเข้าคุก แต่ก่อนอื่นผมต้องการให้เธอทุกข์ทรมานด้วย”


 


 


“โม่ถิง!”


 


 


“ก่อนที่คุณจะปกป้องผู้หญิงคนนี้ คุณควรดูให้ดีก่อน ว่าเธอใช่ภรรยาที่คุณแต่งงานด้วยจริงเหรือเปล่า”


 


 


ทันทีที่โม่ถิงพูดประโยคนี้ ทุกคนต่างอึ้งรวมถึงไป๋ลี่หวาด้วย


 


 


โม่ถิงพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง


 


 


“ระบุตัวภรรยาของคุณให้ได้ก่อนที่จะมาขอร้องอะไรให้ผู้หญิงคนนี้” พูดจบ โม่ถิงก็ลุกขึ้นจากที่นั่งราวกับกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจที่เพิกเฉยต่อโลกใบนี้


 


 


ทันใดนั้น ทุกคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันอยู่ในใจ


 


 


แน่นอนว่า จิตใจของโม่ถิงยังคงเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด


 


 


เพราะฮว่าเหวินเฟิ่งและคุณพ่อโม่ไม่รู้ขอบเขตความโกรธของโม่ถิง ไม่รู้เลยว่าเขาวางแผนอะไรและความโกรธของเขาจะพาเรื่องนี้ไปถึงจุดไหน


 


 


“โม่ถิง ลูกรัก โทรไปยกเลิกกับตำรวจเถอะนะ แม่ยอมทำทุกอย่าง แค่อย่าแจ้งตำรวจก็พอ!”


 


 


ในช่วงเวลาแบบนี้ ฮว่าเหวินเฟิ่งยังพยายามจะเรียกเขาว่าลูก


 


 


โม่ถิงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีก เพราะความหนักแน่นของโม่ถิง ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาทำได้เพียงยืนเงียบ สุดท้ายทุกคนก็ยืนอยู่ตรงนั้นนานถึงสองชั่วโมง จนในที่สุดคุณพ่อโม่ก็พูดขึ้น “แกคิดจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”


 


 


“จนกว่าภรรยาของผมจะได้สติ” โม่ถิงตอบอย่างเย็นชา “คุณไม่คิดว่าเธอสมควรได้รับคำอธิบายจากพวกคุณสองคนหรือไง”


 


 


“โม่ถิง ผู้หญิงคนนั้นเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับแกหรือไง”


 


 


โม่ถิงยิ้มเยาะ เพราะคำถามของคุณพ่อโม่ฟังดูปัญญาอ่อนไปหน่อย


 


 


“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตัดขาดทุกความสัมพันธ์!”




ตอนที่ 674 ตัดสินประเด็นนี้อย่างที่เธอต้องการ

 


ขณะที่โม่ถิงและคุณพ่อโม่กำลังทะเลาะกันอยู่นั้น ฮว่าเหวินเฟิ่งก็ฉวยโอกาสแอบหนีไปอย่างช้าๆ และถอดรองเท้าออกในขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เธอต้องการแอบทิ้งรองเท้าคู่นี้ลงถังขณะที่อยู่ใกล้ๆ แต่โม่ถิงไม่ปล่อยให้เธอได้โอกาสนั้น


 


 


“คุณกำลังจะทำอะไร” บอดีการ์ดคว้าตัวฮว่าเหวินเฟิ่งและเอารองเท้าคู่นั้นไปจากมือของเธอ


 


 


“กล่าวหา! นี่มันกล่าวหากันชัดๆ นะโม่ถิง! บอดีการ์ดของลูกเป็นคนทำแล้วพวกมันพยายามจะใส่ร้ายแม่… แม่ไม่ได้ทำอะไรเลย แม่บริสุทธิ์นะ!”


 


 


ทุกคนช็อกกับการกระทำของฮว่าเหวินเฟิ่ง เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เธอแสดงออกว่าสำนึกผิดอย่างมากจนพวกเขาคิดว่าเธอได้รับบทเรียนแล้ว แต่กลับกันเธอกลับมีแผนสำรอง โม่ถิงจับผิดเธอเรื่องรองเท้าก่อนหน้านี้เพราะเธอประมาทเกินไป ตอนนี้รองเท้าของเธอมีลายนิ้วมือของคนอื่นแล้ว จึงไม่อาจใช้เป็นหลักฐานได้อีก


 


 


ส่วนลายนิ้วมืออื่นๆ ที่อยู่รอบตัวบ้าน เธอสามารถอ้างได้อย่างง่ายดายว่ามันมีอยู่มาตั้งแต่ตอนที่เธอยังอยู่ในบ้านหลังนั้นแล้ว


 


 


เหล่าบอดีการ์ดอึ้ง พวกเขาไม่เคยคิดว่าฮว่าเหวินเฟิ่งจะน่ารังเกียจถึงเพียงนี้


 


 


โม่ถิงจ้องฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างเยือกเย็นขณะที่เธอแสดงละคร เขาคว้าคอเสื้อเธอและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “คุณกำลังรบกวนถังหนิง ถ้าส่งเสียงอะไรออกมาอีกละก็ ผมจะทำให้ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกเลย”


 


 


คุณพ่อโม่ก้าวเข้ามาแยกทั้งสองคนออกจากกันทันทีและปกป้องฮว่าเหวินเฟิ่ง แต่เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นที่มีก่อนหน้านี้ การเข้ามาขวางในครั้งนี้ดูใจเย็นกว่าเดิมมาก เขาได้เห็นด้วยตัวเองว่าฮว่าเหวินเฟิ่งยอมรับในความผิดของตัวเอง รวมถึงการที่เธอปฏิเสธความเกี่ยวข้องทุกอย่าง นี่…ค่อนข้างต่างจากภรรยาคนที่เขารู้จัก เธอพลันให้ความรู้สึกราวกับเป็นคนแปลกหน้า ราวกับเป็นคนที่เขาไม่มีวันรู้จักตัวตนที่แท้จริง


 


 


“ที่รัก โม่ถิงต้องการจะใส่ร้ายฉัน เขาตั้งใจจะใส่ร้ายแม่ตัวเอง…”


 


 


“หุบปากซะ คุณเสียงดังเกินไปแล้ว” ไป๋ลี่หวาไม่อาจทนดูการแสดงของฮว่าเหวินเฟิ่งได้อีกต่อไปขณะที่เธอก้าวออกมาจากจุดที่เธอยืนอยู่มาพักใหญ่ “ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีคนอย่างคุณอยู่ในโลก แต่หลังจากวันนี้ไป ฉันกลับรู้สึกว่าฉันถูกบังตามาจนถึงจุดนี้”


 


 


“นี่เป็นเรื่องของตระกูลโม่ เธอเกี่ยวอะไรด้วย” คุณพ่อโม่หันกลับมาถามไป๋ลี่หวาด้วยความฉุนเฉียว


 


 


“โม่หลินหย่วน คุณนี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ!”


 


 


คุณพ่อโม่อดไม่ได้ที่จะง้างมือใส่ไป๋ลี่หวา เมื่อเห็นดังนั้น ไป๋ลี่หวาก็ไม่อาจซ่อนความเย้ยหยันที่เธอมีแม้เธอจะกำลังสวมผ้าปิดหน้าอยู่ก็ตาม “เรียกคุณว่าไร้ประโยชน์ยังน้อยไปด้วยซ้ำ คุณมันตาบอด!”


 


 


คุณพ่อโม่ไม่ได้ทำอะไร แต่กระนั้นฮว่าเหวินเฟิ่งกลับตรงเข้าไปกระชากผ้าปิดหน้าของไป๋ลี่หวา เมื่อเห็นแผลเป็นบนใบหน้าของอีกฝ่าย ฮว่าเหวินเฟิ่งก็หัวเราะ “แกมันก็แค่สัตว์ประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์”


 


 


โม่ถิงไม่ได้เข้าไปมีส่วนในการโต้แย้งนี้ กลับกัน เขามุ่งหน้าเข้าไปในห้องของถังหนิงเพราะในที่สุดเธอก็ได้สติแล้ว


 


 


อย่างไรก็ตาม เขาปล่อยให้บรรดาบอดีการ์ดปกป้องไป๋ลี่หวาและป้องกันไม่ให้เธอต้องสูญเสียอะไร


 


 


ไป๋ลี่หวาปิดใบหน้าที่ถูกเปิดเผยและชำเลืองตามองฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างเกลียดชัง “ทั้งหมดนี้ก็เพระเธอไงละ!”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น ฮว่าเหวินเฟิ่งยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ “แกกำลังพูดถึงอะไร”


 


 


“ฉันกำลังพูดถึงการระเบิดที่ศูนย์วิจัยเมื่อสิบเก้าปีก่อน! เธอขโมยตัวคนของฉันไป นังคนลวงโลก!”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งช็อก เธอไม่เคยคิดว่าไป๋ลี่หวาจะยังมีชีวิตอยู่แล้วยังมาปรากฏตัวและแสดงตัวตนของตัวเอง


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งรีบวิ่งไปซ่อนหลังคุณพ่อโม่อย่างรวดเร็ว “ตาโม่ ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นบ้าแน่ๆ ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังพูด”


 


 


“นังอัปลักษณ์ เธอเป็นบ้าหรือไง กล้าดียังไงมาใส่ความเมียฉัน เธอคิดว่าฉันไม่มีปัญญาจำเมียตัวเองได้หรือไง” คุณพ่อโม่พูดเยาะเย้ย “หรือบางที นังดารานั่นคงจ่ายให้เธอมาแสดงละครแบบนี้สินะ”


 


 


ไป๋ลี่หวาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะกับการที่คุณพ่อโม่ยังคงปกป้องฮว่าเหวินเฟิ่ง “ฤดูร้อนหลังจากที่เราพบกันครั้งแรก เราวางแผนจะไปเที่ยวในวันหยุดพักก่อนที่ฝรั่งเศส แต่หลังจากที่เราขึ้นเครื่อง คุณก็ถูกโทรเรียกตัวกลับไป ตอนนั้นฉันบอกคุณว่าเราคงไม่มีดวงได้อยู่ด้วยกัน”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจคุณพ่อโม่รู้สึกราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง


 


 


“ในคืนวันแต่งงาน ฉันบอกคุณว่าฉันไม่ได้รีบอยากมีลูกและคุณบอกฉันว่าไม่เป็นไร ตอนนั้นฉันได้เลือกชื่อไว้แล้วว่าถ้าเรามีลูกชาย เขาจะชื่อโม่ถิง และถ้าเรามีลูกสาว เธอจะชื่อโม่ซิน” ไป๋ลี่หวารื้อฟื้นความทรงจำอย่างแล้วอย่างเล่า “นังสารเลวนั่นสามารถบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับคุณได้ไหมล่ะ หล่อนพูดได้แค่ว่าเพลิงไหม้ครั้งนนั้นรุนแรงเกินไปจนเธอสูญเสียความทรงจำทั้งหมด”


 


 


คุณพ่อโม่มองดูไป๋ลี่หวาอย่างละเอียด ไม่แปลกใจที่เขาจะรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด


 


 


แต่…


 


 


“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เธอรู้เรื่องทั้งหมดนี้ เธอก็แสร้งทำเป็นเมียฉันไม่ได้ ฉันจำหน้าของเมียฉันได้”


 


 


ไป๋ลี่หวาไม่ได้โต้แย้งหรือคาดหวังอะไรจากคุณพ่อโม่ เธอถอดใจจากผู้ชายคนนี้ไปแล้ว “คุณจะได้ชดใช้อย่างสาสมกับสิ่งที่คุณพูดกับฉันวันนี้ ส่วนนังสารเลวที่อยู่ข้างหลังคุณ มันจะต้องพบจุดจบที่น่าสยดสยองอย่างแน่นอน”


 


 


“แกหลอกเราไม่ได้หรอก หนังหน้าแบบนั้น แกคิดจะมาอ้างเป็นฉันได้งั้นเหรอ ทำไมไม่ไปชะโงกดูเงาตัวเองในโถชักโครกซะก่อน”


 


 



 


 


ถังหนิงได้ฟื้นสติมาได้สักพักและหัวของเธอก็โล่งขึ้นมาก ทันทีที่เธอดิ้นเสียงโต้แย้งจากภายนอก หญิงสาวก็เอ่ยถาม “ทำไมข้างนอกถึงเสียงดังจังคะ”


 


 


โม่ถิงกอดเธอและเล่าทุกอย่างให้ฟังคร่าวๆ หลังได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น ถังหนิงไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ฮว่าเหวินเฟิ่งนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ”


 


 


“ผมจะปล่อยผู้หญิงคนนั้นให้คุณจัดการ”


 


 


พูดง่ายๆ คือ เขากำลังบอกให้เธอตัดสินเรื่องนี้ในแบบที่เธอต้องการ


 


 


“เอาเรื่องของฉันไว้ทีหลังเถอะค่ะ เราต้องช่วยแม่คุณเรียกคืนตัวตนของเธอกลับมา” ถังหนิงกล่าด้วยเสียงนุ่ม อาจเป็นเพราะเธอได้รับความเจ็บปวด ร่างกายเธอจึงอ่อนแอและปากเธอก็แห้งผาก


 


 


สิ่งที่ถังหนิงพยายามจะพูดคือเธอจะเปิดโปงตัวตนของฮว่าเหวินเฟิ่งและฉีกหน้ากากของผู้หญิงคนนั้นทิ้งก่อนที่เธอจะแก้แค้นในสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นได้ทำเอาไว้ และการที่เธอบอกว่า ‘เอาเรื่องของเธอไว้ทีหลัง’ นั้นหมายความว่าเธอจะจัดลำดับผลที่เกิดขึ้นใหม่เท่านั้น


 


 


ครั้งนี้ ถังหนิงเกือบต้องทำแท้งและลูกของเธอเกือบได้รับบาดเจ็บ เรื่องในคราวนี้เลวร้ายยิ่งกว่าครั้งของถังเซวียน


 


 


ในเมื่อฮว่าเหวินเฟิ่งได้ก้าวล้ำเส้นของถังหนิง เธอก็จำเป็นต้องชดใช้


 


 


ถังหนิงจะช่วงชิงทุกอย่างที่เป็นของฮว่าเหวินเฟิ่ง!


 


 


“คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม” การได้เห็นถังหนิงอยู่ในสภาพอ่อนแอทำให้โม่ถิงรู้สึกผิด “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณและลูกในห้อง ผมคงไม่รู้จะทำยังไง”


 


 


“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ถังหนิงเรียกความเชื่อมั่น “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ลูกก็ด้วย”


 


 


โม่ถิงยังคงนิ่งเงียบ เขาเพียงแค่กอดถังหนิงไว้แนบแน่นขณะที่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “ถ้าผมรู้ว่าการมีลูกจะทำให้คุณเจ็บปวดแบบนี้ ผมไม่มีเสียดีกว่า”


 


 


“คุณพูดอะไรไร้สาระแบบนั้น นี่เป็นช่วงชีวิตที่ผู้หญิงทุกคนต้องเผชิญกันทั้งนั้น ฉันโชคดีมากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ แล้วเพราะฉันมีคุณอยู่เคียงข้าง บางทีฉันก็รู้สึกว่าคุณเจ็บมากกว่าฉันอีก” พูดจบถังหนิงก็ตบลงบนที่ว่างข้างตัวเธอ ส่งสัญญาณให้โม่ถิงเอนตัวลงนอน “แค่มีผู้ชายที่น่ามหัศจรรย์อย่างคุณ ฉันก็พอใจแล้วค่ะ”


 


 


“เราจัดการเรื่องข้างนอกวันพรุ่งนี้เถอะนะคะ ตอนนี้มาพักผ่อนกันก่อน คุณคงเหนื่อยมาก”




ตอนที่ 675 เธอไม่มีทั้งสมองและหลักการอะไรเลย!

 


ในขณะเดียวกัน ฮว่าเหวินเฟิ่งตัดสินใจที่จะเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดต่อสาธารณะด้วยตัวเอง แม้ไป๋ลี่หวาจะไม่ได้ทำอะไรเลย เธอเรียกมันว่า ‘เรื่องที่น่าขันที่สุดในโลก’ และอธิบายความประหลาดใจที่เธอมีต่อคนที่พยายามจะอ้างตัวเป็นคนอื่นในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแบบนี้


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งติดต่อนักข่าวคนหนึ่งและเริ่มร้องห่มร้องไห้ ก่อนอื่นเธอยอมรับว่าเธอทำผิดและเธอไม่ควรมุ่งร้ายต่อถังหนิงในอดีต จากนั้นเธอก็ถ่ายทอดข้อความสำคัญว่าเธอไม่พอใจ ใครก็ตามที่เรียกเธอว่าคนลวงโลกและกล่าวว่าเธอไม่ใช่แม่ของโม่ถิงรวมถึงอ้างว่าสถานะนี้เป็นของคนอื่น


 


 


“ฉันไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครพยายามเรียกร้องเอาบางสิ่งที่พิสูจน์ได้ง่ายๆ ด้วยการตรวจดีเอ็นเอไปเป็นของตัวเอง ฉันช็อกมาก


 


 


“ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกมาเปิดโปงคนแบบนี้” ผลคือฮว่าเหวินเฟิ่งเริ่มกระจายภาพของไป๋ลี่หวาสู่สาธารณะ


 


 


คนทั่วไปต่างคิดว่าตระกูลโม่มีแต่เรื่องให้ซุบซิบนินทา เพราะถึงอย่างไรถังหนิงก็เป็นเจ้าแม่ด้านการจัดการปัญหา แต่ทันใดนั้น คำถามที่ว่าแม่ของโม่ถิงเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมทำให้ประชาชนพากันคาดหวังจะได้เห็นโชว์ดีๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเพียงแค่นั่งรอดูข้อเท็จจริง


 


 


ในสังคมสมัยใหม่อย่างปัจจุบันนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครอ้างเอาตัวตนของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ด้วยวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีหลายสิ่งที่หาความกระจ่างได้ง่ายเพียงแค่ใช้การตรวจสอบธรรมดา


 


 


ดังนั้นทำไมไป๋ลี่หวาถึงทำเรื่องแบบนี้


 


 


เรื่องนี้กลายเป็นประเด็น แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งตอบด้วยความมั่นใจด้วยใบหน้าไร้ความกังวลและความจริงที่ว่าไม่มีใครสามารถหาจุดด่างพร้อยในดีเอ็นเอของเธอได้


 


 


เธอต้องการฉกฉวยความเป็นเจ้าของบ้านในบ้านของผู้หญิงคนอื่น เธอต้องการยึดเอาสามีของไป๋ลี่หวามาครองและมีความสุขกับทุกสิ่งที่แต่เดิมเป็นของอีกฝ่าย


 


 


ดังนั้นเพื่อพิสูจนความบริสุทธิ์ของตัวเอง ฮว่าเหวินเฟิ่งถึงขนาดจัดแถลงข่าวเพื่อชี้แจงความจริงและแก้ต่างให้ตัวเอง


 


 


เธอมีวาทศิลป์มากจนคุณชายโม่ตกหลุมพรางเธออีกครั้ง หากเธอไม่เคยทำผิดแล้วทำไมเธอถึงต้องพยายามชี้แจ้งตัวเองต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ดังนั้นความสงสัยเมื่อแรกเริ่มของเขาจึงหายไปด้วยการจัดฉากง่ายๆ ของเธอ เขาเลือกที่จะเชื่อฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


ทว่าไป๋ลี่หวาไม่รู้สึกกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความปลุกปั่นของฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งชั่วร้ายมากพอที่จะใช้มือเธอทำร้ายถังหนิง เธอจะอยู่เงียบๆ แล้วไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ


 


 


ต่อให้โม่ถิงกล่าวโทษเธอในอนาคต เธอก็ไม่สนใจ หากเรื่องเลวร้ายกลายเป็นเลวร้ายที่สุด หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง เธอก็จะหาสถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกและใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดด้วยตัวเธอเองโดยไม่เพิ่มปัญหาอะไรให้โม่ถิงกับถังหนิงอีก


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งเลือกที่จะจัดการแถลงข่าวอีกครั้ง ทำไมทุกครั้งที่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ฮว่าเหวินเฟิ่งจะเลือกใช้สื่อเป็นเครื่องมือเสมอ ชัดเจนว่าเธอไม่อาจสู้คนในวงการบันเทิงได้ แม้แต่คนที่แทบไม่มีความสำคัญอะไรเลยก็ตาม


 


 


“ป้าไป๋ เข้ามานี่สิ” ถังหนิงรู้แล้วว่าไป๋ลี่หวามีความตั้งใจที่จะเปิดเผยทุกสิ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอีก


 


 


ไป๋ลี่หวาคาดเดาสิ่งที่ถังหนิงอยากจะพูดไว้แล้ว ที่จริงเธอเตรียมตัวที่จะถูกปฏิเสธ ทว่า…


 


 


…เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องพักคนไข้ ถังหนิงกลับยิ้มให้เธอเป็นการปลอบโยน “ถิงกับฉันจะช่วยคุณ เราจะช่วยคุณเรียกคืนสิ่งที่เดิมทีเป็นของคุณและช่วยคุณล้างแค้นด้วย”


 


 


ไป๋ลี่หวาอึ้งขณะเหลือบมองโม่ถิงที่กำลังยืนอยู่ด้านข้าง น้ำตาเธอเริ่มไหลรินออกมาขณะเธอโถมตัวใส่ไหล่ของเขาและร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด “เป็นความผิดของแม่เองที่ไม่ได้เรื่อง ทำไม่ได้แม้แต่ปกป้องตัวตนของตัวเอง แล้วพวกลูกต้องมาเจ็บปวดเพราะผลของมัน”


 


 


โม่ถิงไม่พูดอะไรและไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนอีกฝ่าย เพราะทั้งคู่ถูกแยกจากกันมานานหลายปี ดังนั้นความรู้สึกที่เขามีต่อเธอจึงไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก


 


 


กระนั้นเขายังคงโอบแขนรอบตัวไป๋ลี่หวาแทนคำพูดปลอบโยน


 


 


“ลูก… ไม่ได้รังเกียจใบหน้าแม่เหรอ”


 


 


“พูดตามตรง พวกเรารู้เรื่องนี้มานานแล้ว เพราะอย่างนี้เราถึงได้ช่วยซิงเยียนมาตลอด” ถังหนิงอธิบายพลางตบเบาๆ ที่หลังมือของไป๋ลี่หวา


 


 


ไป๋ลี่หวานิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงหัวเราะและร้องไห้พลางพยักหน้า “พวกคุณทั้งสองคนเป็นคนฉลาด ฉันไม่ควรคิดไปเองว่าจะสามารถหลอกพวกคุณได้ แต่ใบหน้าฉัน…”


 


 


“คุณแม่… ถิงกับฉันไม่ใช่คนถือตัว” ถังหนิงตอบอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลนะ ตกลงไหม”


 


 


“พวกคุณก็ไม่ต้องกังวลเหมือนกันนะ ฉันจะต้องเอาทุกอย่างที่เป็นของฉันกลับคืนมา…”


 


 


ทว่าฮว่าเหวินเฟิ่งใช่ว่าจะเป็นคนที่จะจัดการได้ง่ายๆ …


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน เฉินซิงเยียนกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำกลางป่า เมื่อเธอเห็นข่าว เด็กสาวก็เด้งจากเก้าอี้ด้วยความประหลาดใจ มิน่าล่ะคนถึงมองเธอแปลกๆ ตลอดทั้งวัน คนพาลกำลังเล็งเป้าครอบครัวของเธอนี่เอง


 


 


เธอไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่เธอจะไม่มีวันปล่อยให้แม่ของตัวเองถูกกลั่นแกล้ง


 


 


เธอจึงไปขอวันลาจากผู้กำกับ “ผู้กำกับ คุณเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น…”


 


 


“แต่เธอเป็นนางเอกนะ แค่เธอทำพลาดบ่อยก็แย่พอแล้ว ถ้ายังยืนกรานจะขอพักอีก ฉันจะไม่หย่อนกฎให้เธออีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เธอกลับไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” ผู้กำกับกล่าวอย่างช่วยไม่ได้


 


 


ในเวลานั้น หลินเซิงกำลังยืนอยู่ไม่ไกล เฉินซิงเยียนจึงปรายสายไปทางเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ หลินเซิงส่ายหน้าและโบกมือไล่เธอ “ทีมงานไม่มานั่งรอเธอหรอกนะ ในเมื่อเธอตัดสินใจจะร่วมทำงานแล้วเธอก็ต้องทำตามกฎ”


 


 


“แต่แม่ฉัน…”


 


 


“อนุญาตให้เธอไป” เสียงหนึ่งพลันดังมาจากด้านหลังและสร้างความประหลาดใจให้ทุกคน “ผมรับประวันว่าเธอจะไปแค่สองวันเท่านั้น เธอจะไม่ทำให้ทุกอย่างล่าช้า”


 


 


ผู้กำกับและหลินเซิงต่างมองไปที่อันจื่อเฮ่า หลินเซิงไม่พูดอะไรอีกขณะที่ผู้กำกับตกอยู่ในที่นั่งลำบาก “จื่อเฮ่า คุณน่าจะรู้ว่า…”


 


 


“ผมจะรับผิดชอบเองถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น” อันจื่อเฮ่าให้ความเชื่อมั่นกับผู้กำกับ “เราขอแค่สองวัน หลังจากเธอกลับมา เธอจะทำงานให้หนักกว่าเดิม”


 


 


“สถานะทางการเงินของคุณตอนนี้กำลังอยู่ในความเสี่ยงสูงไม่ใช่เหรอ”


 


 


“ผู้กำกับ ถ้าเฉินซิงเยียนเกิดเป็นน้องสาวของโม่ถิงจริงๆ ผมคิดว่าคุณควรหาทางเลี่ยงให้ตัวเองเผื่อความเป็นไปได้นี้ด้วยนะ”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่ต้องการให้เฉินซิงเยียนรู้เกี่ยวกับสถานะทางการเงินของเขา เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาไห่รุ่ยมาขู่ผู้กำกับ


 


 


ผู้กำกับพิจารณาอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “คุณพูดเองนะ ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาด คุณจะต้องรับผิดชอบ”


 


 


“จำคำผมไว้ได้เลย ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นพยานได้” พูดจบ อันจื่อเฮ่าก็ส่งสัญญาณให้เฉินซิงเยียนลุกขึ้น “ทำไมยังไม่ไปเปลี่ยนชุดอีกล่ะ”


 


 


เฉินซิงเยียนมองอีกฝ่ายอย่างขอบคุณก่อนจะรีบไปยังห้องแต่งตัว ขณะนั้นเอง หลินเซิงเดินเข้ามาหาอันจื่อเฮ่าและกล่าว “คุณเอาใจเธอมากเกินไปนะ”


 


 


“ผมจะปล่อยให้กฎเป็นเรื่องของที่ปรึกษาที่เข้มงวดอย่างคุณ ผมแค่อยากทำในสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุข”


 


 


เมื่อได้ยินคำตอบของอันจื่อเฮ่า หลินเซิงก็เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา “ต่อให้เธอเป็นน้องสาวของโม่ถิง เธอก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบหรอก คุณไม่ต้องห่วง”


 


 


“ผมเชื่อคุณ แต่ผมไม่เชื่อเด็กนั่น” อันจื่อเฮ่าตอบอย่างเย็นชา “ถึงยังไงเธอก็ไม่มีสมองและหลักการอะไรทั้งนั้น!”


 


 


หลินเซิงหัวเราะเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีก เขารู้ดีว่าเฉินซิงเยียนมีข้อบกพร่องมากมาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่อาจรังเกียจเธอได้ ที่จริงเขาอดไม่ได้ที่จะปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวของเขาคนหนึ่ง


 


 


นี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้


 


 


ส่วนอันจื่อเฮ่านั้น หลินเซิงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับเขาเป็นน้องเขย น่าเสียดายที่เด็กนั่นดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว… 

 

 


ตอนที่ 676 ได้เวลาที่เหมาะสม

 

ระหว่างทางกลับมาปักกิ่ง ในใจเฉินซิงเยียนเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมอยู่ๆ ถึงมีข่าวลือเรื่องแม่เธอพยายามจะทำตัวเป็นแม่ของโม่ถิง


 


 


โม่ถิงเป็นใคร


 


 


แล้วใครคือฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


“แม่ฉันไปเกี่ยวข้องกับคนดังสองคนนั้นได้ยังไง”


 


 


อันจื่อเฮ่าบังคับพวงมาลัยรถด้วยมือข้างเดียวขณะหันหน้ามาเล็กน้อยเพื่อมองอีกฝ่าย “ถ้าคนอื่นอยู่ในสถานะเดียวกับเธอตอนนี้ คนพวกนั้นคงกระโดดโลดเต้นที่จะได้มีโอกาสเป็นน้องสาวของโม่ถิง เอาจริงๆ เธอเองก็คงรู้สึกแบบนั้นอยู่ลึกๆ เหมือนกันใช่ไหม” เขาพูดเสียดสี


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินซิงเยียนก็หันไปมองหน้าอันจื่อเฮ่า “ประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาบอกฉันตลอดว่าฉันไมใช่คนธรรมดาทั่วไป”


 


 


“แล้วเธอก็ไม่ใช่คนถ่อมตัวด้วย”


 


 


“ไม่ ฉันสงสัยมากกว่าว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ แล้วแม่ของฉันไปเกี่ยวข้องกับตระกูลโม่ได้ยังไง” เฉินซิงเยียนไม่เห็นประโยชน์ในการเป็นน้องสาวของโม่ถิง อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้กระโดดโลดเต้นดีใจแบบที่อันจื่อเฮ่าพูด


 


 


“ถ้าฉันเดาไม่ผิด ฉันว่าแม่ของเธอน่าจะเป็นแม่ของโม่ถิงมาก่อนที่จะมีเธอ”


 


 


“แต่… ทำไมคนที่รู้จักแม่ถึงจำแม่ไม่ได้แถมยังปล่อยให้ฮว่าเหวินเฟิ่งมาเอาตันตนของแม่ไปอีก” นี่คือสิ่งที่ทำให้เฉินซิงเยียนสับสนมากที่สุด


 


 


“เธอไม่เคยเห็นหน้าแม่ก่อนที่จะถูกไฟคลอกมาก่อนสินะ” อันจื่อเฮ่าคาดเดา “ถ้าเธอเคยเห็น ก็อาจจะตอบคำถามพวกนั้นได้ง่ายขึ้น”


 


 


“อา…” เฉินซิงเยียนอุทาน “ฉันไม่เคยคิดว่าอะไรอย่างนี้จะมาเกิดขึ้นกับแม่ฉัน นายแน่ใจนะว่าเราไม่ได้ถ่ายละครกันอยู่”


 


 


ชีวิตคนเราเป็นดั่งงานศิลปะ ทว่าแต่ก่อนข้อมูลไม่ได้เดินทางเร็วเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน โลกนี้กว้างใหญ่และการมีโจรขโมยตัวคนของคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก


 


 


“ไม่ว่ายังไงฉันจะไม่ยอมให้แม่โดนรังแกเด็ดขาด”


 


 


“ฉันว่าคราวนี้เธอไม่จำเป็นต้องช่วยหรอก” อันจื่อเฮ่ากล่าวอย่างมีนัย ถ้ามีโม่ถิงกับถังหนิงอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มีใครสามารถรังแกคนในการดูแลของทั้งสองคนนี้ได้


 


 



 


 


“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีฝาแฝด” ไป๋ลี่หวาอธิบายกับถังหนิงทั้งน้ำตาขณะนั่งอยู่บนขอบเตียงของถังหนังในคืนนั้น “ฉันสืบข้อมูลของตระกูลเป่ยและดูเหมือนจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เช่นนกัน ซ้ำร้าย แม่ของฉันตายไปแล้วและโรงพยาบาลที่ฉันเกิดก็ไม่มีอยู่อีกแล้ว คนเดียวที่ยังเหลืออยู่และน่าจะรู้ความจริงทั้งหมดคือฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


“ฉันไม่รู้ว่าเธอเริ่มวางแผนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เธอสะกดรอยตามฉันได้สักพักอย่างแน่นอน


 


 


“อย่างที่คุณรู้ ต่อให้เราหน้าตาเหมือนกัน เวลาก็จะเปิดเผยให้เห็นจุดด่างพร้อยอยู่ดี แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับจัดการหลอกโม่หลินหย่วนมาได้นานหลายปี เห็นชัดว่าวางแผนมาดีแค่ไหน”


 


 


ถังหนิงเข้าใจความรู้สึกของไป๋ลี่หวา ตัวตนของเธอถูกขโมยไปนานหลายปี แต่กลับไม่มีใครให้ระบาย มันต้องเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ความโกรธและความอยุติธรรมนั้นอาจกลืนกินชีวิตคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย แต่แน่นอนว่าไป๋ลี่หวาจัดการผ่านมันมาได้เพราะความรักที่เธอมีต่อสามีและความรับผิดชอบที่เธอมีต่อเฉินซิงเยียน


 


 


ถังหนิงนั่งฟังไป๋ลี่หวาขณะที่โม่ถิงเดินออกไปนอกห้องพร้อมโทรศัพท์ เขาโทรหาเป่ยเฉินตง “แม่นายอยู่ไหน”


 


 


“ฉันเห็นข่าวแล้ว แม่เองก็ได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน แม่ตกใจมาก ตอนนี้กำลังบินกลับมา ครอบครัวนายนี่ชอบสร้างเรื่องใหญ่อยู่เรื่อยเลยนะ”


 


 


“คุณตาล่ะ”


 


 


“เขาอึ้งไปเลยตอนเห็นข่าว เขาจะปล่อยให้นายจัดการเรื่องนี้” เป่ยเฉินตงอธิบาย “ตาจะรอจนกว่าความจริงจะถูกเปิดเผย”


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน…


 


 


“เป็นเรื่องยากที่จะสืบหาสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบเก้าปีก่อน อีกอย่างเราไม่มีหลักฐานว่าฮว่าเหวินเฟิ่งหลอกใช้ฉันเพื่อวางยาคุณ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะพิสูจน์ตัวตนของตัวเองได้ยังไง…”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งขโมยตัวตนของไป๋ลี่หวาไปนานหลายปีจนหลักฐานทุกชิ้นถูกทำลายไปหมดแล้ว…


 


 


เธอเปลี่ยนชื่อ บุคลิกของเธอก็เปลี่ยนไปด้วย ฮว่าเหวินเฟิ่งแค่อ้างว่าตัวเองสูญเสียความทรงจำและทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน ชีวิตของคนจอมลวงโลกคนนี้ช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน


 


 


ถังหนิงตบหลังปลอบโยนไป๋ลี่หวาเบาๆ “แม่คะ แฝดเหมือนทุกคนมีความแตกต่างทั้งนั้น”


 


 


“แต่มันต้องใช้การทุ่มเทมากเกินไปเพื่อหาให้พบ และโอกาสก็มีน้อยมาก”


 


 


ถังหนิงยิ้มอย่างมีความหมาย “ฮว่าเหวินเฟิ่งเป็นคนเหลี่ยมจัด แต่ฉันชอบเวลาคนเหลี่ยมจัดตกอยู่ในกับดักของฉัน”


 


 


ไป๋ลี่หวารู้สึกถึงอารมณ์มากมายที่เกิดขึ้น ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกความเกลียดชังครอบงำ แต่หลังจากให้กำเนิดเฉินซิงเยียน เธอก็แค่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จนกระทั่งเธอได้ติดต่อกับโม่ถิงและถังหนิง ทำให้ความเกลียดชังของเธอกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเธอไม่ใช่คนเจ้าวางแผนมาตั้งแต่ต้น


 


 


เมื่อเทียบกับฮว่าเหวินเฟิ่ง เธอไม่คิดว่าเธอจะยังมีโอกาส


 


 


เพราะเธอได้สูญเสียรูปลักษณ์ภายนอกไปแล้ว นั่นเพียงพอที่จะทำลายความมั่นใจในตัวเองของเธอ


 


 


ไป๋ลี่หวาตะเกียกตะกายออกมาจากความตายและผิวหนังของเธอถูกลอกออกไป นี่ทำให้ถังหนิงนึกสงสัยว่าโม่ถิงจะไปไกลแค่ไหนในการแก้แค้นของเขา


 


 


ข่าวฉาวนี้ได้กลายเป็นกระแสกระฉ่อน เพราะมันช่างเหมือนกับข่าวที่หลุดออกมาจากนิยายที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง เหล่านักข่าวต่างพากันตื่นเต้นและภาวนาให้การแถลงข่าวเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น


 


 


ขณะเดียวกัน ฮว่าเหวินเฟิ่งนั้นมั่นใจอย่างที่สุด เธอเชื่อในพลังของพันธุกรรมและเธอรู้ว่าไป๋ลี่หวาไม่มีอะไรเลย ที่สำคัญ ใบหน้าไป๋ลี่หวาซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการระบุตัวตนนั้นบัดนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็น


 


 


หากฮว่าเหวินเฟิ่งไม่ได้จัดการปกปิดทุกอย่างไปตั้งแต่ในอดีต ป่านนี้ไป๋ลี่หวาคงจัดการเธอไปแล้ว


 


 


เธอได้ทุ่มเทไปมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้ไป๋ลี่หวาได้กลับมาอยู่ในจุดเดิมอย่างเด็ดขาด


 


 


“เหวินเฟิ่ง ไม่ต้องกลัวนะ เรามีผลตรวจดีเอ็นเออยู่ในมือ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”


 


 


“ตาโม่ คุณยังเป็นคนที่ดีกับฉันที่สุดอยู่เสมอ” แรงสนับสนุนที่ใหญ่ที่สุดของฮว่าเหวินเฟิ่งคือคุณพ่อโม่ ตราบใดที่คุณพ่อโม่ยังเชื่อเธอ ตัวตนของเธอในฐานะแม่ของโม่ถิงก็จะยังมั่นคงอยู่เช่นนั้น


 


 


“ผมจะคอยอยู่ข้างคุณเสมอ” คุณพ่อโม่ลืมทุกอย่างที่ไป๋ลี่หวาได้พูดกับเขาก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น เพราะสำหรับเขาแล้ว ฮว่าเหวินเฟิ่งคือภรรยาของเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้


 


 


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะทวงความยุติธรรมให้ตัวฉันเอง!”


 


 


ความยุติธรรม?


 


 


ความยุติธรรมอะไรล่ะ


 


 



 


 


เมื่อเฉินซิงเยียนเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เธอไม่ได้ใส่ใจถึงความเปลี่ยนแปลงที่มีความเป็นไปได้ในตัวตนของเธอ เด็กสาวสนใจแค่ว่าแม่เธอเป็นอะไรหรือเปล่า


 


 


ไป๋ลี่หวามองเฉินซิงเยียนอย่างมีความสุข “แม่ไม่เป็นไร ลูกไม่จำเป็นต้องรีบมาที่นี่ก็ได้”


 


 


“แม่พูดอะไรน่ะ ถ้าไม่มีฉัน แล้วใครจะปกป้องแม่ พวกบอดีการ์ดที่อยู่ข้างนอกนั่นเก่งเท่าฉันหรือไง” เฉินซิงเยียนเอานิ้วชี้ตัวเองด้วยท่าทีไม่เชื่อมั่น “ไม่ว่าจะเรื่องทะเลาะหรือต่อยตี เฉินซิงเยียนคนนี้ไม่มีหวั่นอยู่แล้ว”


 


 


อันจื่อเฮ่ายืนจนปัญญาอยู่ข้างๆ เขากังวลว่าเธอจะทำลายภาพลักษณ์ทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำอย่างหนักเพื่อทำให้มันปราศจากมลทิน


 


 


“เธอควรจะดูแลตัวเองก่อนเถอะ เธอเองก็ ‘ค่อนข้างจะดัง’ อยู่เมื่อไม่นานมานี้เองนะ”


 


 


เฉินซิงเยียนหันกลับไปชูนิ้วกลางให้อันจื่อเฮ่า


 


 


หากไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องอย่างอื่น ตอนนี้ทุกคนที่จำเป็นได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นจึงได้เวลาที่เหมาะสม…


 


 


ถึงเวลาที่ฮว่าเหวินเฟิ่งจะได้ชดใช้ทุกอย่างที่เธอติดค้างเอาไว้แล้ว 

 

 


ตอนที่ 677 ถ้ามีหลักฐานก็เอาออกมาโชว์สิ!

 

ข่าวฉาวในครั้งนี้เป็นข่าวฉาวของคนดังในสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวตนที่แท้จริงและจอมปลอม ดังนั้นข่าวนี้ไม่เพียงปรากฏบนข่าวบันเทิง แต่ยังอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจนทุกคนต้องพูดถึง


 


 


[ปลอมเป็นคนอื่นมามันง่ายขนาดนั้นหรือไง ยัยคนนี้นี่หาเรื่องเล่นกับไฟงั้นเหรอ]


 


 


[ผู้หญิงคนนี้ลึกลับอยู่นะ พวกเธออาจจะจำได้ ตอนที่ฮว่าเหวินเฟิ่งออกมาอ้างว่าถังหนิงทำร้ายร่างกาย ‘คนที่เคยโพสต์’ ก็กลับมาออนไลน์แล้วบอกว่าจะเอาทุกอย่างที่เป็นของตัวเองคืน]


 


 


[ที่จริงฉันคิดว่าฮว่าเหวินเฟิ่งนั่นแหละที่มีบางอย่างปิดบัง คนธรรมดาทั่วไปคงแค่หัวเราะกับเรื่องพวกนี้ แต่ไม่มีใครโกรธเป็นฟืนเป็นไฟใหญ่โตแล้วพยายามชี้แจ้งตัวเองหรอก จะชี้แจ้งอะไร การออกมาโต้ตอบแบบโจ่งแจ้งอย่างนี้มันไม่ยิ่งทำให้น่าสงสัยงั้นเหรอ]


 


 


[แต่เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้… ไม่มีทางที่ใครจะมาอ้างเอาตัวตนของคนอื่นได้ไม่ใช่เหรอ]


 


 


ทุกคนในโลกออนไลน์ต่างออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ มันน่าตื่นเต้นกว่าข่าวชู้สาวของคนดังคนไหนๆ เสียอีก ที่จริงมันดูราวการติดละครโทรทัศน์ที่ทุกคนไม่อาจละลายตาออกมาได้


 


 


[ถ้าฮว่าเหวินเฟิ่งออกมาพิสูจน์ตัวเอง คุณไป๋จะต้องโต้ตอบแน่ๆ มารอดูกันดีกว่า]


 


 


[ใช่ๆ มารอดูกัน]


 


 


ในเมื่อพวกเขาเป็นคนดัง ทั้งโม่ถิงและถังหนิงต่างพร้อมที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวต่อสาธารณะอยู่แล้วในระดับหนึ่ง และเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในฐานะคนดัง พวกเขายังต้องยอมรับการตกเป็นเป้าสายตาของสาธารณะด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


 


 


ไม่นานนัก วันแถลงข่าวของฮว่าเหวินเฟิ่งก็มาถึง


 


 


ในห้องแถลงข่าวชั้นห้าของโรงแรมฮิลตัน ฮว่าเหวินเฟิ่งได้เชิญสมาชิกจากสื่อค่างๆ และพร้อมจะกลืนกินไป๋ลี่หวาทั้งตัว


 


 


คุณพ่อโม่อยู่เคียงข้างเธอในฐานะแรงสนับสนุนที่มั่นคงที่สุด แต่นอกจากเขาแล้ว เธอไม่มีสมาชิกครอบครัวคนอื่นที่อยู่ข้างเธอเลย… ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนสักคน


 


 


“ต้องขออภัยกับเรื่องน่าขันที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์อันไม่ดีนักระหว่างฉันกับถังหนิงด้วยนะคะ” ฮว่าเหวินเฟิ่งพลันฟังดูมีมารยาทและสง่างาม เธอถึงขนาดโค้งต่อหน้าสื่อต่างๆ


 


 


“เรื่องภายในครอบครัวเช่นนี้ไม่สมควรออกมาสู่สาธารณะและสร้างความไม่สงบให้สังคม แต่ฉันไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งพูดด้วยเสียงสะอื้นพลางหยิบผลตรวจดีเอ็นเอออกมา “ก่อนหน้านี้ ถังหนิงเคยพูดกับฉันเป็นการส่วนตัวว่าฉันไม่ใช่แม่ของโม่ถิง ในขณะนั้นฉันรู้สึกหงุดหงิดมากและได้ไปทำการตรวจดีเอ็นเอมา ผลที่ได้เป็นอย่างที่ทุกท่านเห็น ฉันเป็นแม่ของโม่ถิงอย่างไม่มีข้อสงสัย


 


 


“แต่เมื่อฉันเอาผลตรวจนี้ไปแสดงต่อถังหนิง เธออ้างว่าตัวอย่างดีเอ็นเอไม่ได้เป็นของโม่ถิงแต่เป็นของแม่บ้านของเธอเอง เธอถึงขนาดอ้างว่าฉันติดสินบนเจ้าหน้าที่! ฉันรู้สึกผิดอย่างที่สุด


 


 


“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถังหนิงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เธอยังเพิกเฉยไม่รับรู้ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ฉันเอือมระอากับเรื่องนี้แล้ว!


 


 


“เธอช่างน่าทึ่งจริงๆ ฉันต้องคำนับให้เธอเลย!


 


 


“ดังนั้น ในวันนี้ ฉันแสดงหลักฐานนี้เพื่อตำหนิทุกคำกล่าวอ้างที่ว่าฉันสวมรอยเป็นคนอื่นและเป็นจอมลวงโลก นี่ไม่ใช่ละครโทรทัศน์ หากฉันไม่ใช่ตัวจริง แล้วคนที่อยู่เคียงข้างฉันจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร


 


 


“มันไร้สาระมาก!”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้นทุกครั้งที่เธอพูด สุดท้ายเธอขว้างเอกสารในมือของเธอลงกับพื้น


 


 


“นี่มันไร้สาระสิ้นดี!”


 


 



 


 


“เธอต่างหากที่ไร้สาระ” เสียงแหบแห้งพลันดังมาจากทางเข้าห้องแถลงข่าว เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ลำคอเมื่อครั้งเหตุเพลิงไหม้ ทำให้เวลาที่ป๋ลี่หวาเปล่งเสียงออกมา ความเสียหายนั้นสามารถได้ยินอย่างแจ่มชัด


 


 


บรรดานักข่าวรีบหันไปมองที่ทางเข้า และพบผู้หญิงสวมผ้าปิดหน้าคนหนึ่ง ผู้หญิงในข่าวลือได้มาปรากฏตัวต่อหน้ากล้องของทุกคนและมีเฉินซิงเยียนเดินตามหลังมาเพื่อปกป้องทุกอย่างก้าว


 


 


“เธอมาได้เวลาพอดีเลย ฉันอยากจะรู้ว่าเธอเป็นคนวางแผนเรื่องไร้สาระพวกนี้หรือถังหนิงเป็นคนทำกันแน่” ฮว่าเหวินเฟิ่งเดินอาดๆ ลงจากเวทีไปหาไป๋ลี่หวา “เราเหมือนกันตรงไหนไม่ทราบ”


 


 


“ไม่มีใครวางแผนอะไรทั้งนั้น เธอมันเลวเกินไป” ไป๋ลี่หวาจ้องมองฮว่าเหวินเฟิ่งด้วยความเกลียดชังและความโกรธแค้นขณะที่ดวงตาของเธอเริ่มแดงก่ำ น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้น “เธอลืมเรื่องเหตุระเบิดที่ศูนย์วิจัยเมื่อสิบกว่าปีก่อนไปแล้วหรือไง”


 


 


“เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ”


 


 


ไป๋ลี่หวายิ้มเยาะพลางถอดผ้าปิดหน้าออก เผยให้สาธารณะได้เห็นแผลเปื่อยเน่าของเธอ “นี่เป็นผลจากการระเบิดในครั้งนั้น”


 


 


“น่าหัวเราะ! เธอมีหลักฐานอะไรไหมล่ะ ฉันจะแสดงแผลอะไรบนตัวแล้วอ้างว่ามันเกิดจากการระเบิดก็ได้เหมือนกัน”


 


 


ไป๋ลี่หวารู้ว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ เธอจึงหยิบหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งออกมา “ฉันรู้ว่าเรื่องมันนานมาแล้วและหลักฐานส่วนใหญ่ก็ถูกทำลายไปจนหมด แต่ดูสิว่าฉันมีอะไร”


 


 


“อะไรล่ะ คราวนี้เธอพยายามจะหันเหความสนใจของสื่อยังไงอีก” ฮว่าเหวินเฟิ่งยักไหล่ทั้งสองข้างให้สื่อพลางหัวเราะออกมา


 


 


“นี่เป็นผลตรวจดีเอ็นเอระหว่างเธอกับฉัน” ไป๋ลี่หวาประกาศ จากนั้นเธอก็แสดงผลตรวจต่อสื่อต่างๆ “ในฐานะที่เราเป็นแฝดเหมือน เราจึงดูเหมือนกันแทบทุกอย่าง เพราะสิ่งนี้ เธอก็เลยได้โอกาสสวมรอยเป็นฉัน


 


 


“นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอมั่นใจมากจนออกมายืนอยู่ตรงนี้และบอกทุกคนว่าเธอเป็นแม่ของโม่ถิงเพราะเธอรู้ว่าฝาแฝดจะแสดงผลดีเอ็นเอออกมาเหมือนกัน ในขณะที่สิ่งเดียวที่แยกเราสองคนได้คือลายนิ้วมือของฉัน ซึ่งถูกทำลายไปจากเพลิงไหม้”


 


 


“พูดง่ายๆ คือเธอกำลังจะบอกว่าเธอไม่มีหลักฐานอะไรมาพิสูจนว่าฉันสวมรอยเป็นเธอ ถ้าเรามองจากมุมต่าง ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่พยายามเป็นฉันไม่ใช่เหรอ” ฮว่าเหวินเฟิ่งหัวเราะ “ก็ได้ ในเมื่อเธอเรียกฉันว่าลวงโลก ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์พูดเรื่องนี้ทั้งนั้น คนเดียวที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดคือสามีของฉัน โม่หลินหย่วน”


 


 


ไป๋ลี่หวามองไปที่โม่หลินหย่วน เธอรู้ดีว่าโอกาสที่เขาจะช่วยเธอนั่นแทบเป็นไปไม่ได้


 


 


“ฉันจะให้เวลาเธอนาทีหนึ่ง ในเมื่อเธออ้างว่าเป็นเมียโม่หลินหย่วน… ก็พิสูจน์มาสิ”


 


 


ไป๋ลี่หวากัดปากอย่างหวาดวิตก ในขณะที่เธอกำลังจะพูด โม่หลินหย่วนกลับพูดตัดบทขึ้นมา “เธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น เธอไม่ใช่เมียฉัน ฮว่าเหวินเฟิ่งต่างหากที่เป็นเมียของฉันมาตลอด ฉันไม่รู้ว่าเธอมีวัตถุประสงค์อะไร แต่ฉันมีแค่คำเดียวให้เธอ ชิ้ว! คนอัปลักษณ์นี่ชอบสร้างแต่ปัญหา…”


 


 


“ไหนแกลองพูดอีกทีซิ” เฉินซิงเยียนเตือนอีกฝ่ายพลางชี้ไปที่โม่หลินหย่วน “ไอ้โง่ แกจำเมียตัวเองไม่ได้แถมยังถูกสวมเขามาเป็นปีๆ โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย แกมันก็แค่ไอ้กาก ถ้าแกพูดอีกที ฉันจะหักกระดูกสันหลังแกทิ้งซะ!”


 


 


คุณพ่อโม่พูดอะไรไม่ออก


 


 


“ดูโม่ถิงแล้วมาดูแกสิ ฉันว่าแม้แต่แกก็เป็นคนลวงโลกด้วยละมั้ง!”


 


 


“แก…”


 


 


“นังเด็กบ้านนอก! อย่ามาเที่ยวปั่นหัวทุกคนแบบนี้นะ แกคิดว่าแกจะช่วยแม่แกทำเรื่องพวกนี้ได้งั้นเหรอ” ฮว่าเหวินเฟิ่งดึงบทสนทนากลับมา “ตระกูลเป่ยไม่เคยมีฝาแฝด และฉันไม่เคยมีพี่น้องฝาแฝด หยุดหลอกทุกคนได้แล้ว”


 


 


“ดูเหมือนเธอจะไม่รู้วิธีกลับหลังก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปสินะ…” ไป๋ลี่หวาจ้องมองไปที่ฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


“ถ้ามีหลักฐานก็เอาออกมาโชว์สิ!” ฮว่าเหวินเฟิ่งกล่าวท้าทายอย่างหยิ่งผยอง 

 

 


ตอนที่ 678 เธอเป็นคนลวงโลก

 

“คุณถามหาหลักฐานใช่ไหม” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากทางเข้า สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาสื่อ


 


 


“นั่นถังหนิง!”


 


 


“ถังหนิงจริงด้วยๆ ถังหนิงอยู่ที่นี่!”


 


 


“ว่าแต่ทำไมถังหนิงถึงนั่งรถเข็นล่ะ”


 


 


ไม่มีใครคาดคิดว่าถังหนิงจะเป็นส่วนหนึ่งในโชว์ครั้งนี้ และยิ่งคาดไม่ถึงเข้าไปอีกที่เธอปรากฏตัวพร้อมรถเข็น


 


 


เมื่อเห็นถังหนิงปรากฏตัว ฮว่าเหวินเฟิ่งก็ขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว เธอรู้ดีว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เมื่อใดก็ตามที่ถังหนิงปรากฏตัว ถังหนิงไม่เคยแพ้ พูดง่ายๆ คือไป๋ลี่หวาจะไม่แพ้ในศึกครั้งนี้


 


 


จะต้องไม่เป็นอย่างนั้น


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งแอบกำหมัดแน่น


 


 


เป็นไปไม่ได้ที่ไป๋ลี่หวาจะแสดงหลักฐานใดๆ แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งรู้ดีว่าเธอแค่ต้องกัดฟันและยืนหยัดต่อไปอีกสักพักแล้วทุกอย่างสำหรับเธอก็จะคลี่คลาย


 


 


ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจโจมตีก่อนโดยการชี้ไปที่ถังหนิง “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ นังปีศาจสารเลว เธอคิดว่าการวางแผนเรื่องชั่วๆ ทั้งหมดนี่ เธอจะชนะฉันได้งั้นเหรอ”


 


 


ถังหนิงไม่เหมือนไป๋ลี่หวา เธอยังคงสงบนิ่งเช่นทุกครั้ง ที่จริงเธอมองดูฮว่าเหวินเฟิ่งราวกับเธอกำลังสนุกอยู่กับการแสดงบางอย่างด้วยซ้ำ


 


 


“คุณฮว่า คุณประเมินตัวเองสูงไปนะคะ อย่าแสดงอะไรเพิ่มมากไปกว่าเดิมเลย” ถังหนิงกล่าวอย่างใจเย็น “ฉันไม่มีเวลาว่างมาใส่ร้ายคุณหรอก…”


 


 


“งั้นทำไมถึงหาคนมาพยายามสวมรอยเป็นฉันล่ะ”


 


 


“ฮว่าเหวินเฟิ่ง อย่างที่ฉันเคยบอกก่อนหน้านี้ โลกนี้เวรกรรมมีจริง ทั้งเสมอภาคและเท่าเทียม หากคนทำอะไรไม่ดีเอาไว้ จะต้องมีร่องรอยเกิดขึ้นแน่นอน” พูดจบ ถังหนิงก็มองไปที่หลงเจี่ยซึ่งอยู่ด้านหลัง ก่อนส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายแสดงหลักฐานที่มี “คุณถามหาหลักฐานใช่ไหม


 


 


“ฉันจะเอาหลักฐานให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งมองดูวัตถุในมือถังหนิงและยิ้มอย่างหยิ่งยโส “หลักฐานอะไรกัน ฉันก็มีของฉันเหมือนกัน!”


 


 


“นี่เป็นผลตรวจดีเอ็นเอที่จัดทำโดยองค์การที่น่าเชื่อถือที่สุด คุณคงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะระบุแม่ที่แท้จริงระหว่างฝาแฝดสินะ แต่คุณคิดผิด มันแค่ต้องเสียเวลามากหน่อย… หรือบางทีอาจจะเงิน…


 


 


“หลังใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มและหลายชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่ทุ่มเทในศูนย์วิจัย ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบความแตกต่างอันน้อยนิดในดีเอ็นเอของคุณ พวกเขายังพบลำดับดีเอ็นเอที่เหมือนกันอีกมากกว่ายี่สิบจุดในดีเอ็นของไป๋ลี่หวากับดีเอ็นเอของโม่ถิงซึ่งไม่ปรากฏในของคุณ


 


 


“คุณบอกว่าฉันหลับหูหลับตาให้กับความจริง แล้วคุณล่ะ” ถังหนิงถามพร้อมหันไปมองหลงเจี่ย “ไห่รุ่ยจะปล่อยตารางเปรียบเทียบให้ทุกท่านในอีกสักครู่ หากใครมีข้อสงสัยอะไร สามารถไปติดต่อที่ศูนย์ทดสอบดีเอ็นเอในปักกิ่งได้เลย”


 


 


“นี่เป็นผลที่ได้รับการรับรองระดับประเทศ มันจึงถูกต้องอย่างแน่นอน


 


 


“ฉันเรียนหมอมาก่อนและฉันรู้วิธีอ่านตารางพวกนี้ ดูจากลำดับดีเอ็นเอพวกนี้ เราจะเห็นได้ว่าประธานโม่กับคุณไป๋มีคู่ดีเอ็นเอที่เหมือนกันมากที่ฮว่าเหวินเฟิ่งไม่มี เมื่อเป็นแบบนี้หลายครั้ง ก็ชัดเจนว่าใครเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด”


 


 


“นี่เป็นหลักฐานสำคัญ!”


 


 


หลักฐานสำคัญ!


 


 


การได้ยินคำคำนี้ทำให้ท่าทีของฮว่าเหวินเฟิ่งเปลี่ยนไป เธอรีบคว้าผลตรวจจากมือของถังหนิง หลังได้เห็นการเปรียบเทียบอย่างชัดเจนในดีเอ็นเอ ฮว่าเหวินเฟิ่งก็จ้องมองถังหนิง แม้เธอจะเชื่อว่าผลตรวจนี้เป็นของจริงและริมฝีปากของเธอเริ่มสั่นด้วยความกลัว แต่เธอก็ยังตะโกนเสียงด้วยใส่ถังหนิง “นี่เป็นไปไม่ได้! ถังหนิง อย่ากล้าเอาหลักฐานปลอมๆ นี่มาปั่นหัวสื่อนะ”


 


 


“ฉันคิดว่าสื่อดูออกว่าฉันกำลังปั่นหัวพวกเขาอยู่หรือเปล่า” ถังหนิงเบนความสนใจได้อย่างช่ำชอง


 


 


“ถูกต้อง คุณคิดว่าพวกเราโง่หรือไง นี่มันสถาบันที่ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดนะ” บรรดานักข่าวเริ่มพูดขัดจังหวะ


 


 


“ไม่อยากจะเชื่อ ตอนแรกฉันคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะกลับตาลปัตรแบบนี้ กลับกลายเป็นว่าไป๋ลี่หวาต่างหากที่เป็นคุณนายโม่ตัวจริง”


 


 


“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถังหนิง คุณช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟังโดยละเอียดได้ไหม”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งสังเกตว่าสื่อเริ่มคล้อยตามอีกฝ่าย เธอจึงรีบห้ามไม่ให้ถังหนิงพูด “ถังหนิง ฉันไปหาเรื่องเธอตอนไหน ทำไมเธอถึงได้ใส่ร้ายฉันแบบนี้”


 


 


ถังหนิงไม่ได้สนใจเสียงฮว่าเหวินเฟิ่ง เธอชำเลืองตามองไปที่ไป๋ลี่หวาอย่างมาดมั่นแล้วกล่าวกับสื่อ “ฉันว่าเรื่องนี้ ฉันไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น มีแค่คุณไป๋ลี่หวาเท่านั้นที่จะสามารถหให้คำตอบทุกคนได้”


 


 


“พวกแกโกหก! พวกแกทุกคนโกหก!” ฮว่าเหวินเฟิ่งพยายามที่จะหยุดไป๋ลี่หวาไม่ให้เดินขึ้นไปบนเวที แต่เฉินซิงเยียนกลับผลักเธอออกไปได้อย่างง่ายดาย


 


 


หลังจากนั้น ไป๋ลี่หวาก็เดินขึ้นไปบนเวทีและมองบรรดานักข่าวจำนวนมากที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาเจนโลก


 


 


“บ่ายวันหนึ่งเมื่อสิบเก้าปีก่อน ฉันกำลังทานอาหารกลางวันอยู่ในห้องวิจัยตอนที่การระเบิดเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และตัวฉันกระเด็นออกไปจากห้อง เมื่อฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันก็อยู่ระหว่างถูกส่งไปโรงพยาบาลแล้ว คนที่ช่วยฉันไว้บอกฉันว่าตัวฉันเต็มไปด้วยเลือดตอนที่เขาพบฉันนอนอยู่กลางป่าอันห่างไกลในอเมริกา


 


 


“ฉันอยู่ในโรงพยาบาลนานแปดเดือนและได้รับการรักษาต่อเนื่องอีกแปดเดือน แต่เมื่อฉันได้ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด ศูนย์วิจัยก็ได้ถูกย้ายไปยังสถานที่อื่นแล้วและตัวตนของฉันถูกสวมรอยโดยใครบางคนที่มีหน้าตาเหมือนกับฉัน


 


 


“ฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร และไม่รู้วัตถุประสงค์ของเธอด้วย ผู้หญิงคนนั้นกับสามีของฉันกำลังมีความรัก เธอใช้ชื่อของฉันและครอบครองทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของฉัน แต่เนื่องจากใบหน้าฉันผิดรูปไป ทำให้ฉันไม่อาจปรากฏตัวต่อหน้าใครและไม่อาจเผยตัวตนของตัวเองได้


 


 


“หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เริ่มความสัมพันธ์กับชายจิตใจดีที่ช่วยฉันเอาไว้และให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารัก เดิมทีฉันคิดว่านี่เป็นลิขิตของสวรรค์ แต่… ฉันไม่เคยนึกว่าฮว่าเหวินเฟิ่งจะใช้ตัวตนของฉันคุกคามลูกชายและลูกสะใภ้ของฉัน


 


 


“ฉันไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ เธอมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนั้น


 


 


“เธอเป็นจอมลวงโลก เธอมีสิทธิ์อะไร


 


 


“นี่คือเหตุผลที่ฉันกำลังยืนอยู่ที่นี่ในวันนี้ แม้ใบหน้าของฉันจะถูกทำลาย แต่ฉันก็ยังต้องการทวงตัวตนและทุกสิ่งที่เป็นของฉันคืนมา”


 


 


“ฉันเป็นลูกสาวตระกูลเป่ยและเป็นแม่ของโม่ถิง เธอล่ะเป็นใคร เธอมันก็แค่คนลวงโลก!”


 


 


“แกโกหก!” ฮว่าเหวินเฟิ่งโต้แย้งในทันที “แกต่างหากที่ลวงโลก แกอยากจะขโมยสามีและทุกอย่างที่เป็นของฉัน”


 


 


“ฉันไม่สนใจสามีของเธอหรอก ฉันแค่ต้องการให้ลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันปลอดภัย” ไป๋ลี่หวากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ในเมื่อฉันยืนอยู่ตรงนี้ในวันนี้ ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจอ้างอะไรโดยไม่มีหลักฐานได้ ดังนั้นเมื่อครู่ทุกคนไม่สงสัยเหรอว่าทำไมถังหนิงถึงต้องปรากฏตัวบนรถเข็น


 


 


“ฉันจะบอกคำตอบให้ เพราะมีบางคนวางยาถังหนิงในซุปไก่ด้วยควินิดีน ทำให้เธอและลูกเกือบเสียชีวิต!”


 


 


“ไป๋ลี่หวา อย่าลืมนะว่าเธอเป็นคนดูแลอาหารของถังหนิง” ฮว่าเหวินเฟิ่งยิ้มเยาะ “เธอกำลังพยายามจะใส่ร้ายฉันงั้นเหรอ ไม่มีทาง!”


 


 


ถังหนิงรู้ว่าฮว่าเหวินเฟิ่งจะปฏิเสธความเกี่ยวข้องทุกอย่าง เธอจึงทักไป๋ลี่หวาทันที “คุณแม่คะ ฉันจะอธิบายเรื่องของฉันกับสื่อเอง”


 


 


“งั้นที่ถังหนิงนั่งรถเข็น ก็เพราะสิ่งที่ชั่วร้ายมากน่ะสิ”


 


 


“ควินิดีนคืออะไร”


 


 


“ยาอะไรกันที่สามารถฆ่าเด็กที่ยังไม่เกิดได้แถมยังทำให้แท้งได้ด้วย”


 


 


บรรดานักข่าวที่อยู่ด้านล่างเวทีพากันออกความเห็น 

 

 


ตอนที่ 679 คุณมันสวะ!

 

“ทุกคนคงเห็นได้ว่าฉันใจเย็นกับคุณฮว่ามาตลอด” ถังหนิงกล่าวกับสื่อขณะที่เธอนั่งอยู่บนวิลแชร์ “เราเพิ่งได้พบกันครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้และฉันมั่นใจว่าสื่อได้เห็นทุกอย่างที่เธอทำกับฉันตลอดช่วงเวลาดังกล่าว เธอพยายามใส่ร้ายว่าฉันทำร้ายร่างกายเธอ อ้างว่าลูกที่ยังไม่เกิดของฉันผิดปกติ เธอมาปรากฏตัวที่บ้านของฉันหลายต่อหลายครั้งเพื่อสบประมาทฉัน สร้างข่าวลือว่าฉันกับอันจือเฮ่าคบชู้กัน และเมื่อวานนี้ เธอวางยาในซุปของฉัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำเอาฉันขนลุกไปทั้งตัว


 


 


“ตลอดการตั้งครรภ์ของฉัน ฉันอยู่โดยใช้หลักศีลธรรมที่จะสร้างตัวอย่างที่ดีให้ลูกของฉัน ฉันจึงตัดสินใจไม่จัดการการเรื่องต่างๆ อย่างเปิดเผย แต่ทางกลับกัน ฮว่าเหวินเฟิ่งได้ใช้โอกาสนี้ในการทดสอบขอบเขตของตัวเอง


 


 


“แต่ความอดกลั้นก็มีขีดจำกัดของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีใครพยายามทำร้ายลูกของฉันกับโม่ถิง


 


 


“วันนี้ ฉันไม่เพียงแต่จะทวงความยุติธรรมให้คุณไป๋ซึ่งเป็นแม่สามีของฉันเท่านั้น แต่ฉันต้องการให้ฮว่าเหวินเฟิ่งอธิบายกับฉันด้วย คุณจะยอมรับไหมว่าคุณใส่ควินิดีนลงในซุปไก่ของฉัน”


 


 


“ตอนนี้เธอถือไพ่เหนือกว่านี่ เธอจะพูดอะไรก็ได้” ฮว่าเหวินเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงพ่ายแพ้ ที่จริงเธอแสร้งทำเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังถูกข่มขู่


 


 


เธอมั่นใจว่าถังหนิงไม่มีหลักฐาน


 


 


เป็นไปไม่ได้ที่ถังหนิงจะพิสูจน์ว่าเธอมีความผิด


 


 


“คุณถึงขนาดหักล้างคำสารภาพของตัวเอง แต่ฉันไม่เคยคาดคิดว่าคุณจะสารภาพหรอก” ถังหนิงจ้องมองฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างเยือกเย็นด้วยท่าทีล้อเลียน “ควินิดีนไม่ใช่ยาสามัญทั่วไป ไม่ใช่ยาที่จะสามารถหามาได้ง่ายๆ และในฐานะนักวิจัยด้านชีววิทยา การขอใช้ควินิดีนจำเป็นต้องลงบันทึก ฉันไปที่ห้องแล็บของคุณและได้รับเอกสารที่คุณกรอกเพื่อขอใช้มัน คุณบอกฉันได้ไหมว่าคุณเอายานั่นไปใช้ที่ไหน”


 


 


“แน่นอนว่าฉันเอาไปใช้ในการทดลอง”


 


 


“การทดลอง?” ถังหนิงหัวเราะอย่างล้อเลียน “แต่จากที่ฉันเห็น คุณลาหยุดจากห้องทดลองไปหลายวัน แล้วคุณจะไปทำการทดลองที่ไหนได้ล่ะ คุณไม่ได้เอาอุปกรณ์การทดลองอะไรมาด้วยเลย คุณแค่เอาควินิดีนออกมา บังเอิญจังเลยนะคะ!”


 


 


“เธอกำลังอ้างว่าฉันเป็นคนร้ายเพียงเพราะฉันขอใช้ควินิดีนงั้นเหรอ ฉันว่ามันเอามาใช้เป็นหลักฐานไม่ได้หรอกนะ” ฮว่าเหวินเฟิ่งพยายามปกป้องตัวเองอย่างที่สุด


 


 


“แต่คุณก็ไม่สามารถล้างชื่อของตัวเองไม่ให้มีมลทินด้วยการบอกพวกเราว่าคุณเอาควินิดีนไปใช้ที่ไหนได้เช่นกัน” ถังหนิงยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “คุณจะไปถามหมอคนไหนก็ได้ว่า เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะไม่รู้ว่ายาแบบนี้หายไปไหน ถ้าคุณบอกเราไม่ได้ว่าคุณเอามันไปใช้ที่ไหน นอกจากใช้มันอย่างผิดกฎหมายแล้ว มันจะหายไปไหนได้อีก”


 


 


“ฉัน…”


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ในวันเกิดเหตุ มีไฟไหม้เกิดขึ้นในสวนหย่อมหลังบ้านของฉัน กล้องวงจรปิดไม่สามารถบันทึกภาพสาเหตุของไฟไหม้ได้ แต่อย่าบอกฉันนะคะว่าในสภาพอากาศแบบนี้ สวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้จะสามารถติดไฟได้เอง ดังนั้นเรื่องนี้จึงพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่าคนวางเพลิงจะต้องคุ้นเคยกับระบบกล้องวงจรปิดในไฮแอทรีเจนซี่ ถึงได้เลี่ยงมันได้อย่างสมบูรณ์แบบแบบนี้”


 


 


“ทุกอย่างที่แกพูด ไป๋ลี่หวาก็ทำได้เหมือนกัน” ฮว่าเหวินเฟิ่งรีบลากไป๋ลี่หวาเข้ามาในบทสนทนาทันที “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกสองคนไม่ได้รวมหัวกันมาใส่ความฉัน”


 


 


“คุณคิดว่าด้วยประวัติคดีต่างๆ ของคุณ คนจะเชื่อคุณหรือฉัน” ถังหนิงมองไปยังบรรดาสื่อด้วยความคาดหวัง


 


 


เพื่อสนับสนุนความยุติธรรม สื่อจึงเลือกอยู่ข้างเหยื่อเป็นธรรมดา


 


 


ไม่ว่าจะเป็นไป๋ลี่หวาหรือถังหนิงก็ตาม


 


 


“ถ้าเรื่องนี้เกิดก่อนที่ฉันจะท้อง อ้างอิงจากอารมณ์ของฉัน คุณคงถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว ฉันคงไม่ยอมให้คุณยืนอยู่ตรงนี้แล้วสร้างเรื่องให้ตัวเองถูกหรอก


 


 


“คนจอมปลอมที่เอาชีวิตของคนอื่นไปอยู่ในความเสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและลาภยศมีสิทธิ์อะไรมาพูด”


 


 


ผลสุดท้าย ฮว่าเหวินเฟิ่งไม่อาจเอาชนะถังหนิงในการโต้เถียงได้ และเธอไม่อาจต้านทานสายตาเยาะเย้ยของสื่อได้เช่นกัน


 


 


ดังนั้นเธอจึงส่งสายตาจนตรอกไปที่คุณพ่อโม่และวิ่งไปคว้าเขาเอาไว้ “ตาโม่ เราแต่งงานกันมานานหลายปี บอกพวกมันสิว่าฉันเป็นใคร!”


 


 


คุณพ่อโม่เฝ้าดูทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ทำให้เขารู้สึกจนลุกไปทั้งตัว


 


 


“ที่จริง ผมไม่รู้จักคุณดีพอ” คุณพ่อโม่ตอบ


 


 


“ตาโม่ นี่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ ถังหนิงกับ ‘นังผู้หญิงคนนั้น’ กำลังใส่ร้ายฉัน…”


 


 


“ผลตรวจดีเอ็นเอก็ออกมาแล้ว คุณยังจะปฏิเสธอีกงั้นเหรอ” คุณพ่อโม่ปัดฮว่าเหวินเฟิ่งลงไปกองกับพื้น


 


 


“ผมสงสัยว่าคุณทำอะไรกับควินิดีนนั่น ผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณใช้มันกับถังหนิง! คุณรู้รึเปล่าว่านี่มันเจตนาฆาตกรรม”


 


 


หลังจากถูกปัดลงด้านข้าง ฮว่าเหวินเฟิ่งก็รีบคลานกลับไปอยู่ข้างคุณพ่อโม่และคว้าขาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ “ตาโม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไม่ใช่…”


 


 


“ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเราอย่างชัดเจน คุณแสร้งเป็นภรรยาของผมมาตลอด คุณมันโสโครก!


 


 


“ผมไม่อยากเชื่อว่าผมปกป้องคุณและช่วยคุณต่อกรกับถังหนิง ตอนนี้ผมคิดว่ามันน่าตลกสิ้นดี”


 


 


“ตาโม่ คุณต้องเชื่อฉันนะ เราแต่งงานกันมานานหลายปีนะ”


 


 


“พอแค่นี้ คุณกำลังทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง” คุณพ่อโม่ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ตลอดมา ผมคิดว่าถังหนิงไม่มีสัมมาคารวะและเล็งเป้าคุณโดยไม่มีเหตุผล แต่กลับกลายเป็นว่าคุณมันชั่วช้าที่พยายามทำร้ายเด็กอายุแปดเดือนในท้องของเธอ


 


 


“ถังหนิง แจ้งตำรวจเถอะ ฉันจะเป็นพยานให้ ฮว่าเหวินเฟิ่งเอาควินิดีนมาจริงและถึงขนาดนำมาที่บ้านด้วย”


 


 


ได้ยินดังนั้น ฮว่าเหวินเฟิ่งก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีก เธอทรุดลงกับพื้นและร้องไห้ “ตาโม่ คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ ฉันทำทุกอย่างเพราะฉันกลัวจะเสียคุณไป”


 


 


“แย่หน่อยนะ ฉันแจ้งความเรื่องนี้กับตำรวจไปแล้ว” ถังหนิงมองดูฮว่าเหวินเฟิ่งที่อยู่ในภาพจนตรอก แต่เธอได้เตรียมส่งอีกฝ่ายไปสู่จุดจบแล้ว “ฮว่าเหวินเฟิ่ง ในเมื่อคุณชอบอธิบายมากนัก คุณไปอธิบายให้ตำรวจฟังแล้วกัน”


 


 


“ไม่ ไม่นะ…” ฮว่าเหวินเฟิ่งหวาดกลัวมาก เธอรีบลุกขึ้นจากพื้นและพร้อมที่จะหนี แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้มีเธอไม่มีทางได้หนีไปอย่างที่ใจต้องการ “ฉันไม่อยากไปสถานีตำรวจ ฉันไม่ไป!”


 


 


ณ เวลานั้น ถังหนิงมองดูฮว่าเหวินเฟิ่งและบรรดานักข่าวตกอยู่ในความอลม่าน เธอไม่คิดจะหยุดพวกเขา และไม่ได้โทรเรียกตำรวจในทันที การแก้แค้นของเธอยังไม่จบแค่การเปิดโปงฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


ขณะเดียวกัน คุณพ่อโม่ก็มองไปที่ไป๋ลี่หวา ในขณะที่เขาเอื้อมแขนทั้งสองข้างออกไปเพื่อดึงอีกฝ่ายเข้าหา ไป๋ลี่หวาก็หลบเลี่ยงเขาอย่างรวดเร็ว “คุณไม่มีค่าพอ”


 


 


คุณพ่อโม่มองด้วยความผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกผิด


 


 


แต่ไป๋ลี่หวาไม่ให้โอกาสเขาได้สำนึก


 


 


“ในเมื่อคุณเป็นสามีของฮว่าเหวินเฟิ่งมานานหลายปีและพยายามปกป้องเธอด้วยชีวิตของคุณ คุณก็ควรตามผู้หญิงคนนั้นไปซะ


 


 


“ฉันอาจจะอัปลักษณ์ แต่ฉันยังเป็นลูกสาวของตระกูลเป่ยและเป็นแม่ของโม่ถิง


 


 


“โม่หลินหย่วน คุณมันสวะ!” พูดจบไป๋ลี่หวาก็ก้าวลงจากเวทีไปและเดินไปอยู่ข้างถังหนิง


 


 


คุณพ่อโม่มองพวกเธอด้วยสายตาโศกเศร้า โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาเคยทำกับไป๋ลี่หวาก่อนหน้านี้…

 

 

 


ตอนที่ 680 อย่าดูถูกความสามารถของสื่อในการเหยียบย่ำใครสักคน

 

แต่ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างพวกเขามานานถึงสิบเก้าปีจะกลับกลายเป็นคนลวงโลก ในขณะที่ภรรยาตัวจริงได้ฟื้นคืนมาจากหลุมศพและประสบกับการทรมานอันแสนสาหัสหลังถูกขโมยทุกอย่างไป!


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจคุณพ่อโม่ปวดร้าว เพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เห็นหน้าไป๋ลี่หวาอีก


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งถูกบรรดานักข่าวรุมล้อมและไม่อาจหลีกหนีออกมาได้ แต่ถังหนิงและคนของเธอออกจากโรงแรมฮิลตันได้อย่างง่ายดายภายใต้การคุ้มครองของเฉินซิงเยียนและเหล่าบอดีการ์ด


 


 


ถังหนิงในขณะนั้นยังไม่สงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ฮว่าเหวินเฟิ่งถึงได้ลงมือจู่โจมหลังจากเงียบหายไปพักใหญ่ จนเมื่อถึงตอนที่เธอรู้สึกตัว สถานการณ์ในปักกิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว…


 


 



 


 


ความโด่งดังของซ่งซินเพิ่มสูงขึ้นเพราะไห่รุ่ยยังคงป้อนงานให้เธออย่างต่อเนื่อง แม้เธอจะมีชื่อเสียงมากขึ้น เธอก็ยังเทียบถังหนิงไม่ได้


 


 


หลังการแถลงข่าวของฮว่าเหวินเฟิ่ง ซ่งซินได้เห็นภาพที่บันทึกไว้จากผู้ช่วยของเธอ เธอเอนหัวไปด้านหลังและหัวเราะเยาะ “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฮว่าเหวินเฟิ่งจะพ่ายแพ้ได้ง่ายแบบนี้ ฉันคิดว่าผู้หญิงนั่นจะอยู่ต่อไปได้อีกสักหน่อย


 


 


“น่าสมเพชจริงๆ”


 


 


“ทีนี้เราควรทำยังไงดี เรื่องนี้ทำอะไรถังหนิงไม่ได้เลย” ผู้ช่วยคนนั้นเอาภาพที่บันทึกได้ออกไปและจ้องมองไปที่ซ่งซินอย่างระมัดระวัง “เธอยังอยากจะแข่งกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหม”


 


 


“ถังหนิงเป็นคนท้อง รับงานตอนนี้ยังไม่ได้ ในเมื่ออาชีพของฉันกำลังรุ่ง ฉันจำเป็นต้องคว้ามันเอาไว้อีกสองสามเดือน เมื่อถึงตอนที่ถังหนิงประกาศหวนคืนวงการ ยุคสมัยของมันก็จะจบลงไปแล้ว” ซ่งซินยิ้มอย่างมั่นใจก่อนจะหลับตาลงพักสายตา “จับตาดูมันไว้ พวกเราซุ่มอยู่ในที่มืด มันอยู่ในที่สว่าง เราจะต้องหาโอกาสโจมตีมันได้อย่างแน่นอน ระหว่างนั้นเพื่อไม่ให้ฮว่าเหวินเฟิ่งจำเธอได้ เธอรักษาระยะห่างจากฉันไว้ดีกว่า หรือบางทีก็ไปแปลงโฉมสักหน่อย”


 


 


ผู้ช่วยพยักหน้าและวางแทบเล็ตไว้ข้างๆ


 


 


อย่างไรก็ตามต่อให้ซ่งซินไม่เคลื่อนไหว นั่นจะหมายความว่าถังหนิงจะไม่สังเกตเห็นความเกี่ยวโยงของเธออย่างนั้นหรือ


 


 


ไม่จำเป็น…


 


 


หลังการแถลงข่าว ถังหนิงและคนอื่นๆ กลับไปยังไฮแอทรีเจนซี่ แต่ไป๋ลี่หวาสงสัยว่าถังหนิงจัดการเอาหลักฐานออกมาในเวลาอันพอเหมาะพาเจาะได้อย่างไร “ผลเปรียบเทียบดีเอ็นเออะไรเหรอ เสี่ยวหนิง พวกเธอไปตรวจมาตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


ถังหนิงนั่งลงบนโซฟาโดยมีเฉินซิงเยียนคอยช่วยเหลือ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ฉันหลอกผู้หญิงคนนั้น… ผลตรวจที่ฉันแสดงถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต”


 


 


ไป๋ลี่หวาตัวแข็งทื่อ เธอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ถ้าสื่อพวกนั้นเกิดโทรไปที่ศูยน์ทดสอบดีเอ็นเอในปักกิ่งเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ล่ะ”


 


 


“ฉันแค่บอกว่ามันมาจากศูนย์ทดสอบดีเอ็นเอในปักกิ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าที่ไหน สื่อเข้าใจทั้งหมดไปเอง ฉันไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”


 


 


หลังได้ยินคำพูดของถังหนิง ไป๋ลี่หวาต้องยอมแพ้ให้กับคำตอบของเธอ


 


 


“สื่อไม่ต้องการความจริงหรอก พวกเขาแค่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น และทุกอย่างที่พวกเขาเห็นในวันนี้ก็มากพอที่พวกเขาจะเอาไปเขียนเรื่องราวทั้งหมดแล้ว…”


 


 


นี่คือความชาญฉลาดของถังหนิง เธอเข้าใจความคิดของฮว่าเหวินเฟิ่งและเธอยังสามารถควบคุมสื่อได้อีกด้วย


 


 


“เราจะปล่อยมันไปทั้งอย่างนี้งั้นเหรอ” เฉินซิงเยียนถามขณะที่เธอยืนอยู่ข้างถังหนิง “มันทำร้ายแม่แล้วก็ทำร้ายพี่ด้วย!”


 


 


“อย่าดูถูกความสามารถของสื่อในการเหยียบย่ำใครสักคนสิ” ถังหนิงตอบ “แค่กล้องจำนวนมากมายก็เพียงพอที่จะบีบให้ฮว่าเหวินเฟิ่งพังพินาศได้แล้ว”


 


 


แน่นอนว่าถังหนิงไม่คิดจะบอกเฉินซิงเยียนว่าเธอมีแผนการหลังจากนี้อีก เพราะนี่เป็นเรื่องระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับโม่ถิง


 


 


“เสี่ยวหนิง ฉันต้องขอบคุณคุณในเรื่องนี้จริงๆ” พูดจบ ไป๋ลี่หวาก็ดึงแขนเสื้อของเฉินซิงเยียน “ทักทายพี่สะใภ้สิลูก…”


 


 


ใบหน้าเฉินซิงเยียนแดงซ่าน


 


 


เฉินซิงเยียนเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองมีญาติพี่น้อง เฉินซิงเยียนเกาหัวตัวเอง เพราะเธอไม่อาจพูดคำว่า ‘พี่สะใภ้’ ออกมาได้ หรือต่อให้โม่ถิงยืนอยู่ต่อหน้าเธอ เธอก็ไม่อาจเรียกเขาว่า “พี่ชาย” ได้เช่นกัน


 


 


“ยัยลิงน้อย กลับไปกองถ่ายได้แล้ว หยุดสร้างปัญหาให้อันจื่อเฮ่าตามแก้สักที” ถังหนิงหยอกล้อ


 


 


“ฉันเคยขอให้หมอนั่นแก้อะไรให้เมื่อไหร่กัน” เฉินซิงเยียนไม่รู้เลยว่าอันจื่อเฮ่าแอบทำหลายสิ่งหลายอย่างให้เธอ


 


 


กระนั้นเฉินซิงเยียนก็ไม่ได้รีรอที่จะกลับไป แม้เธอจะอยากจะหาวิธีดีๆ ซัดฮว่าเหวินเฟิ่ง แต่เธอจำคำมั่นที่อันจื่อเฮ่าให้ไว้กับผู้กำกับได้ เธอจึงมองไปที่อันจื่อเฮ่า “ไปกันเถอะ”


 


 


“เธอแน่ใจนะ ฉันคิดว่าหลังจากเธอได้เป็นทายาทแล้วเธอจะหัวสูงแล้ววางมาดเสียอีก”


 


 


“นายประสาทหรือไง” เฉินซิงเยียนเดินเข้าหาอันจื่อเฮ่าและลากเสื้อเชิ้ตของเขา


 


 


ขึ้นรถแล้วเธอก็อดถามไม่ได้ “ถ้าฉันอยากซัดใครสักคน พอเป็นไปได้ไหม”


 


 


“เธอคิดว่าไงล่ะ” อันจื่อเฮ่าถามพลางคาดเข็มขัดนิรภัย


 


 


“แต่… ฉันคันมือจริงๆ นะ!”


 


 


“ฉันกลัวว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้ลงมือหรอก” พูดจบ อันจื่อเฮ่าก็สตาร์ตรถและเร่งความเร็วกลับไปยังกองถ่าย เพราะความเสียหายใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นในระหว่างการถ่ายทำอยู่ในความรับผิดชอบของเขา


 


 


เฉินซิงเยียนไม่เข้าใจสิ่งที่อันจื่อเฮ่าสื่อ แต่อันจื่อเฮ่าเข้าใจถังหนิงดี ถังหนิงเป็นประเภทตาต่อตาฟันต่อฟัน


 


 


ขณะซุ่มซ่อนอยู่ภายใต้อากาศยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ฮว่าเหวินเฟิ่งก็พยายามหาที่ซ่อน หลังพยายามอย่างหนักในที่สุดเธอก็สามารถหนีจากสื่อมาได้ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เธอก็คลานออกมาจากกองขยะ


 


 


ณ เวลานั้น เธอทั้งหนาวทั้งหิว รูปลักษณ์ภายนอกของเธอดูน่าอดสูอย่างมาก เธอไม่มีที่ให้กลับไปอีกแล้ว…


 


 


หลังจากนั้นสักครู่ บอดีการ์ดร่างสูงใหญ่สองคนก็ปรากฏตัวขึ้นและลากเธอขึ้นรถก่อนขับพาเธอไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก…


 


 


“พวกแกเป็นใคร จะทำอะไรฉัน”


 


 


“อธิบายทุกขั้นตอนที่คุณใช้วางยาถังหนิงมาซะ ไม่งั้น…ผมจะทำให้คุณได้ใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดอยู่ในความมืดมิด”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งมองไปที่บอดีการ์ดทั้งสองคนและคิดว่าคนพวกนี้เป็นคนของถังหนิง ดังนั้นร่างกายของเธอจึงเริ่มสั่นเทิ่มด้วยความกลัว “อย่าทำร้ายฉันนะ”


 


 


“ไม่หรอก ตราบใดที่คุณให้ความร่วมมือ”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งไม่อาจหนีและเธอกลัวว่าบอดีการ์ดพวกนี้จะทำร้ายเธอ เธอจึงอธิบายวิธีที่เธอทำร้ายถังหนิงโดยละเอียด จากคำอธิบายของเธอ ถังหนิงสามารถหาที่อยู่ของขวดยาที่บรรจุควินิดีนได้


 


 


กลับกลายเป็นว่า ฮว่าเหวินเฟิ่งซ่อนมันรวมไว้กับขวดบรรจุเครื่องปรุงอาหารอื่นๆ ในห้องครัว หากเธอไม่พูดเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่ามันอยู่ในนั้น


 


 


“เป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์จริงๆ”


 


 


แน่นอนว่าระหว่างการซักไซ้ของบอดีการ์ด ฮว่าเหวินเฟิ่งได้พูดบางสิ่งที่เธอไม่ควรพูดออกมาด้วย


 


 


รวมถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจวางยาพิษถังหนิง


 


 


“ผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งบอกฉันว่าได้ยินมาจากในไห่รุ่ยว่าถังหนิงต้องการใช้อวัยวะของฉันในการรักษาลูกของมัน ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลงมือ”


 


 


ถังหนิงบอกบอดีการ์ดให้ถามชื่อและภาพของคนคนนั้น แต่เมื่อพวกเขาค้นพาพนักงานทุกคนของไห่รุ่ยกลับไม่พบคนคนนี้


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งได้อธิบายรูปพรรณสัณฐานของผู้หญิงคนนั้น แต่ไห่รุ่ยไม่มีพนักงานคนไหนหน้าตาแบบนั้นเลย


 


 


แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ…


 


 


…ฮว่าเหวินเฟิ่งโจมตีเธอเพราะถูกใครบางคนปั่นหัว!

 

 

 


ตอนที่ 681 ผมคิดว่าผมควรให้คุณได้เจออะไรที่มันตาต่อตาฟันต่อฟัน

 

บอดีการ์ดพวกนั้นถึงขนาดพาฮว่าเหวินเฟิ่งไปยังไห่รุ่ยเพื่อระบุตัวผู้หญิงคนนั้น แต่กระนั้น หลังจากฮว่าเหวินเฟิ่งมองดูทุกคนอย่างละเอียด ก็ยังไม่อาจหาคนที่ปั่นหัวเธอเจอ


 


 


หลังการซักถามจบลง ฮว่าเหวินเฟิ่งก็คาดว่าพวกบอดีการ์ดจะปล่อยเธอไป เพราะดูไม่เหมือนว่าถังหนิงจะต้องการเอาชีวิตของเธอ


 


 


แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งคิดผิด…


 


 


เธอคิดจริงอย่างนั้นหรือว่าหลังจากทรมานไป๋ลี่หวามานานหลายปีและเป็นสาเหตุให้ถังหนิงและลูกเกือบเสียชีวิต เธอจะถูกปล่อยไปได้ง่ายๆ


 


 


พวกบอดีการ์ดพาฮว่าเหวินเฟิ่งกลับไปยังบ้านหลังเล็กอันมืดสนิทที่ซึ่งพวกเขากักคุมตัวเธอไว้ก่อนหน้านี้ ภายในบ้านหลังนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากหน้าต่างที่ถูกเปิดแง้มไว้เล็กน้อย…


 


 


“ปล่อยฉันนะ พวกแกกำลังทำเรื่องผิดกฎหมาย!” ฮว่าเหวินเฟิ่งตะโกนพลางมองไปรอบๆ แต่ไม่ว่าเธอจะตะโกนมาเพียงใดก็ไม่มีเสียงใดตอบรับ ซ้ำร้ายในขณะที่ความมืดมาเยือน ฮว่าเหวินเฟิ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นและพลันได้กลิ่นไหม้ ชั่วครู่หลังจากนั้น เปลวไฟก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเธอ ทำให้เธอร่างกายของเธออ่อนเปลี้ยด้วยความหวาดกลัว เธอรีบลุกขึ้นและเริ่มตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ “มีใครอยู่ไหม ไฟ… มีบางอย่างกำลังไหม้!”


 


 


ไม่มีใครสนใจเธอ แต่ไฟยังคงลุกโหมแรงขึ้น ฮว่าเหวินเฟิ่งรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาขณะที่ร่างกายของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทว่าในพื้นที่ปิดเช่นนี้ เธอทำได้เพียงขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งและร้องไห้


 


 


“ช่วยด้วย… ช่วยด้วย! ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ ได้โปรด” ฮว่าเหวินเฟิ่งอ้อนวอนแต่เธอไม่รู้เลยว่าในเวลานั้นใครจะช่วยเธอได้…


 


 


ขณะที่เปลวเพลิงเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เธอก็นึกสงสัยว่าเธอจะต้องตายในวันนี้ใช่ไหม


 


 


อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะที่ไฟกำลังจะถึงเท้าของฮว่าเหวินเฟิ่ง กลอนที่ล็อกประตูเอาไว้ได้ถูกเปิดออกและบอดีการ์ดสองคนได้เข้ามาลากเธอออกไป จากนั้นจึงโยนเธอลงกันพื้น


 


 


“ขอบคุณ…” ฮว่าเหวินเฟิ่งนอนกองอยู่กับพื้นอย่างอ่อนแรงขณะที่เธอพยักหน้าด้วยความขอบคุณ ทว่าเสียงอันเยือกเย็นดังก้องมาจากด้านบนตัวเธออย่างฉับพลัน


 


 


“ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งตัวสั่นขณะที่ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วไขสันหลังของเธอ เธอเพิ่งจะถูกลากออกมาจากกองเพลิงและร่างกายของเธอยังคงร้อนระอุ แต่… ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเธอได้ยินเสียงนี้ เธอรู้สึกหนาวเย็น


 


 


เพราะคนที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเธอ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ‘ลูกชายแสนดี’ ของเธอเอง โม่ถิง!


 


 


“บทเรียนที่คุณเพิ่งได้เจอเป็นการเอาคืนจากเหตุระเบิดที่คุณก่อเมื่อสิบเก้าปีก่อน แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่คุณเจอมันเทียบไม่ได้กับหนึ่งในพันของที่แม่ผมต้องเจอ…


 


 


“แน่นอน อย่ามารื้อฟื้นความหลังกันดีกว่า แต่… เรื่องที่ถังหนิงถูกวางยาพิษ…”


 


 


เมื่อได้ยินคำว่ายาพิษ ฮว่าเหวินเฟิ่งรีบถอยหนีทันที เธอพอเดาคร่าวๆ ได้ว่าโม่ถิงต้องการจะทำอะไร


 


 


“ผมคิดว่าผมควรให้คุณได้เจออะไรที่มันตาต่อตฟันต่อฟัน!”


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งส่ายศีรษะด้วยความกลัว “ไม่ ไม่! ไม่นะได้โปรด”


 


 


กระนั้นฮว่าเหวินเฟิ่งกลับได้ยินเพียงแค่เสียงหัวเราะที่เย็นชา “เหอะ!”


 


 


จากนั้นบอดีการ์ดสองคนเดินเข้าหาฮว่าเหวินเฟิ่ง คนหนึ่งคว้าตัวเธอไว้ ส่วนอีกคนจับขาเธอทั้งสองข้าง จากนั้นก็มีเสียงของน้ำที่สาดกระเซ็นแล้วร่างกายครึ่งบนของฮว่าเหวินเฟิ่งก็ชุ่มโชกไปด้วยน้ำ


 


 


“โม่ถิง… โม่ถิง! ถ้าฆ่าฉัน แกจะต้องติดคุก” ฮว่าเหวินเฟิ่งกรีดร้องด้วยเสียงแหบแห้งขณะที่เธอนอนกองอยู่กับพื้น


 


 


“ฆ่าคุณงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!” โม่ถิงย่อตัวลงมองฮว่าเหวินเฟิ่งด้วยสายตาอันทิ่มแทง “ผมทนคุณมานานแค่ไหนแล้ว แต่คุณกลับไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง! คุณจะทำร้ายใครก็ได้ แต่คุณก็ยังเลือกที่จะทำร้ายถังหนิง…”


 


 


ว่าแล้วโม่ถิงก็ลุกขึ้นยืนและปัดเศษฝุ่นออกจากร่างกาย “ไม่ต้องห่วง ผมทำธุรกิจในวงการบันเทิง แต่ไม่ใช่แก๊งใต้ดิน ผมจะไม่ทำอะไรคุณ แต่ก่อนที่คุณจะไปอยู่ในมือตำรวจ เรายังมี ‘เรื่องสนุก’ แบบที่เราเล่นวันนี้อีกเยอะแยะเลย


 


 


“ผมอยากจะเห็นว่าคุณจะเลือกถูกผมทรมานหรือเลือกที่จะไปอยู่ในคุก!”


 


 


พูดจบ โม่ถิงก็หันกลับไปออกคำสั่งพวกบอดีการ์ด “ปล่อยมันไป พรุ่งนี้เราจะเล่นเกมสนุกๆ กันใหม่”


 


 


บอดีการ์ดทั้งสองคนไม่ได้ติดตามโม่ถิงมาเป็นระยะเวลานาน แต่เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นเขาโกรธขนาดนี้ กระนั้นพวกเขาก็เข้าใจดีว่าฮว่าเหวินเฟิ่งได้ทำร้ายคนที่สำคัญที่สุดของโม่ถิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งรู้สึกราวกับอยู่ในนรก โดยเฉพาะเมื่อเธอคิดว่าตัวเองเกือบจะถูกเผาและถูกราดด้วยตัวยาบางอย่างไปทั่วตัว ณ เวลานี้ เธอได้แต่หวังให้ตัวเองวิ่งเอาหัวกระแทกผนังแล้วสิ้นสุดความเจ็บปวดนี้เสีย


 


 


“คุณฮว่า เราแนะนำให้คุณไปมอบตัวเถอะ วิธีนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องถูกทรมาน”


 


 


“โม่ถิง แกมันโหดเ**้ยมอำมหิต”


 


 


ที่จริงไม่มีใครเคยเห็นด้านที่โหดเ**้ยมเช่นนี้ของโม่ถิง แม้เขาจะบอกทุกคนอยู่เสมอว่าเขาไม่ใช่คนอ่อนโยนก็ตาม


 


 


แต่แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับว่าฮว่าเหวินเฟิ่งผลักเขาไปไกลแค่ไหน…


 


 



 


 


คืนนั้น ถังหนิงไม่ได้สังเกตว่าโม่ถิงไม่ได้อยู่ข้างกายเธอชั่วขณะหนึ่งในเวลากลางดึก สิ่งที่เธอรู้คือในวันตอนมาเมื่อเธอตื่นนอน เธอได้รับข่าวว่าฮว่าเหวินเฟิ่งได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ


 


 


เธอยอมแพ้!


 


 


ฮว่าเหวินเฟิ่งจะทำอะไรแบบนี้อย่างนั้นหรือ อยู่ๆ เธอจะสำนึกได้ได้อย่างไร


 


 


แม้ฮว่าเหวินเฟิ่งจะไม่อาจหาตัวคนที่ปั่นหัวเธอพบ… อย่างน้อยเธอก็ได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำ


 


 


ถังหนิงรู้สึกว่าโม่ถิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เธอไม่อาจระบุได้ว่าเขาทำมันได้อย่างไร


 


 


เช่นเดียวกับคนที่กำลังซุ่มตัวอยู่ในเงามืด…


 


 


…ถังหนิงระวังตัว แต่เธอรู้ว่าความจริงจะต้องถูกเปิดเผยในที่สุด!


 


 


การยอมแพ้ของฮว่าเหวินเฟิ่งไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน ดังนั้นสื่อจึงไปรายล้อมอยู่รอบสถานีตำรวจ แต่เนื่องจากเป็นสถานที่ราชการ แม้สื่อจะรีบไปเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจได้เห็นฮว่าเหวินเฟิ่งแม้แต่เงา โดยเฉพาะเมื่อเธอจะต้องใช้เวลาที่เหลืออีกหลายปีอยู่หลังกำแพงเรือนจำ


 


 


กระนั้นก็ตาม การมอบตัวของฮว่าเหวินเฟิ่งกระตุ้นให้ผู้ช่วยของซ่งซินรีบทำการแปลงโฉม


 


 


ตำรวจเข้าสืบสวนในไห่รุ่ย แต่ผู้ช่วยของซ่งซินนั้นเจ้าเล่ห์และสงบนิ่งอยู่ตลอดช่วงเวลานั้น ดังนั้นเธอจึงรอดพ้นข้อสงสัยทั้งหมดอย่างง่ายดายและติดตามซ่งซินทำงานชิ้นต่อไป


 


 


“ฮว่าเหวินเฟิ่งนี่มันทำอะไรไม่ได้เรื่อง ใช้ไม่ได้จริงๆ!” ซ่งซินบ่น “ถึงขนาดทิ้งเรื่องวุ่นวายให้ฉันต้องมาจัดการอีก”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก คนพวกนั้นแค่เข้ามาสอบสวนครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีทางสงสัยอะไรพวกเราอีก” ผู้ช่วยพูดปลอบ “ไปกันเถอะ การสัมภาษณ์กำลังจะเริ่มแล้ว เราไม่ควรเสียเวลามาโกรธคนแบบนั้น”


 


 


แน่นอนว่าโม่ถิงและถังหนิงไม่มีทางยืนยันได้ว่าคนที่พวกเขากำลังตามหานั้นมาจากไห่รุ่ยจริง แต่ด้วยนิสัยอันเข้มงวดของโม่ถิง ตราบใดที่มีร่องรอยน่าสงสัย เขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไปได้ เขาเพียงแต่ต้องรองและดูว่าคนร้ายจะซ่อนตัวไปได้อีกนานแค่ไหน…


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน ตัวตนของเฉินซิงเยียนในฐานะ ‘เจ้าหญิงแห่งไห่รุ่ย’ ได้ถูกเปิดเผย


 


 


เธอได้กลายเป็นน้องสาวของนายใหญ่แห่งวงการบันเทิงโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ดังนั้นทุกคนที่อยู่รอบตัวเธอจึงมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป


 


 


กระนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด


 


 


เป้าหมายสูงสุดของเธอคือการได้เป็นสตันต์


 


 


แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนมันแทบจะเป็นไปไม่ได้


 


 


หลินเซิงสังเกตเห็นความไม่สบายใจของเฉินซิงเยียนได้จากระยะไกล จึงคลี่ยิ้มขณะเดินเข้าไปหาเธอ “อะไร ไม่ดีใจหรือไงที่ได้เป็นน้องสาวของโม่ถิง”


 


 


“ทำไมฉันต้องดีใจด้วย จากนี้ไปเวลาคนพูดถึงชื่อฉัน ทุกคนก็จะชี้มาที่ฉันแล้วถามว่าฉันเป็นน้องสาวของโม่ถิงใช่ไหมน่ะสิ” เฉินซิงเยียนกลอกตา “ฉันชอบทำตัวติดดินมากกว่า”


 


 


“ดูเหมือนอันจื่อเฮ่าจะทุ่มเทหัวใจช่วยเธอโดยเปล่าประโยชน์สินะ…” หลินเซิงถอนหายใจ 

 

 


ตอนที่ 682 ฉันถูกเปลี่ยนตัวออก

 

“หมอนั่นมาทุ่มเทหัวใจทั้งหมดช่วยฉันด้วยวิธีไหนกัน” เฉินซิงเยียนถามขณะที่เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย


 


 


“ฉันจะไปรู้ได้ไง เธอไปถามเอาเองสิ!” หลินเซิงตัดสินใจที่จะไม่เฉลยปริศนา ให้อันจื่อเฮ่าได้เจ็บสักหน่อย


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน อันจื่อเฮ่าตั้งใจที่จะชดใช้ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกองถ่าย ขณะที่ผู้กำกับมองดู เขาก็รู้สึกเจ็บใจแทนอีกฝ่าย “ต้องปวดหัวมากแน่ที่ต้องดูแลคนแบบนี้”


 


 


อันจื่อเฮ่ามองเฉินซิงเยียนและส่ายศีรษะ “เธอเป็นต้นอ่อนที่ดี แต่ต้องการเวลาเติบโตและพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง”


 


 


“นายเป็นคนเดียวที่นี่ที่คิดว่าเด็กนั่นมีความสามารถไร้ขีดจำกัด” ผู้กำกับถอนหายใจ


 


 


อันจื่อเฮ่ายิ้มอย่างไม่เห็นด้วย


 


 


“หมู่นี้นายเจอปัญหาเรื่องเงินใช่ไหม ถ้าต้องการเงินก็มาหาฉันก็ได้ ฉันแนะนำงานให้นายได้” ผู้กำกับเสนอด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น แต่เขาเพียงแต่ต้องการโชว์เส้นสายอันกว้างขวางของตัวเองเท่านั้น


 


 


อันจื่อเฮ่ายิ้มพลางพยักหน้าอย่างขอบคุณ แต่เขายังไม่อยู่ในจุดนั้น


 


 


แม้เฉินซิงเยียนจะไม่ได้ทำงานหนักมากพอ แต่เธอก็มีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ บางครั้ง อันจื่อเฮ่าต้องตกอยู่ในสภาวะลำบาก เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะทำให้อีกฝ่ายเจิดจรัสหรือปล่อยให้อีกฝ่ายได้เป็นตัวของตัวเองดี


 


 


หลังจากนั้น อันจื่อเฮ่าก็เดินทางออกจากกองถ่าย ขณะเดียวกัน เฉินซิงเยียนก็ถ่ายทำต่อไปจนถึงกลางดึก เพื่อให้การถ่ายทำต่อเนื่องจากวันก่อน ที่จริงเธอต้องถ่ายฉากที่ต้องจมอยู่ในน้ำ


 


 


แต่เฉินซิงเยียนไม่เคยกลัวอะไรนอกจากน้ำ ดังนั้นหลังจากผ่านไปนับสิบเทก เธอจึงทำพลาดทุกครั้ง


 


 


นี่ทำให้ผู้กำกับที่ตัวเปียกชุ่มตะโกนมาจากฝั่ง “เธอเล่นเป็นไหมเนี่ย”


 


 


ร่างกายเฉินซิงเยียนตึงเครียดขึ้นมา เธอไม่อาจแสดงความเจ็บปวดของตัวเองออกมาได้ เธอทำได้เพียงยืนอยู่ในน้ำและสั่นเทา


 


 


แต่เพราะความกลัวน้ำของเธอเอง ทำให้เป็นเรื่องยากที่เธอจะจดจ่ออยู่กับอารมณ์


 


 


“ผู้กำกับคะ ขอโทษด้วยค่ะ ขอลองอีกครั้งนะคะ”


 


 


ผู้กำกับระงับความโกรธและกลับไปที่กล้อง กระนั้นการแสดงของเฉินซิงเยียนในครั้งนี้กลับแย่ยิ่งกว่าเดิม


 


 


“หยุดถ่าย! ฉันไม่เคยเจอนักแสดงคนนั้นห่วยแตกขนาดนี้ เธอทำให้คนทั้งกองไม่ได้นอน…”


 


 


เฉินซิงเยียนก้มหน้าก้มตาก้าวออกมาจากน้ำและเดินไปหาผู้กำกับทั้งที่น้ำยังหยดจากตัว


 


 


“อย่าทำตัวน่าเวทนา ฉันก็ไม่ต่างจากเธอหรอก อันจื่อเฮ่ายอมเสียทุกอย่างไม่จบไม่สิ้นเพื่อเธอ ก็น่าเวทนาเหมือนกัน” ผู้กำกับกล่าวพลางชี้ไปที่เฉินซิงเยียน “ฉันรู้ว่าเธอเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบไร้กังวลและการเป็นสตันต์ แต่ตอนนี้เธอเป็นนางเอก อย่าทำตัวเห็นแก่ตัวได้ไหม เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างสิ


 


 


“เพื่อแก้แค้นผู้กำกับแมตต์ให้เธอ อันจื่อเฮ่าแทบหมดตัว แล้ววันนี้เขายังต้องมาจ่ายเงินให้กับนิสัยไม่รู้จักโตของเธออีก เขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่อนาคตไกล แต่เพราะเธอ เขาเกือบล้มละลาย เธอไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง”


 


 


ผู้กำกับแทบจะตวาดในประโยคสุดท้าย


 


 


เฉินซิงเยียนยืนอึ้ง


 


 


“ไปๆๆ … คืนนี้ฉันไม่ถ่ายอะไรแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเซิงกับอันจื่อเฮ่า ฉันคงไล่เธอออกไปแล้ว”


 


 


เฉินซิงเยียนอ้าปากเพื่อพูด แต่ขณะที่คำพูดของเธอกำลังจะถูกเปล่งออกมานั้น เธอพลันรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เธออยากพูดล้วนฟังดูเหมือนข้อแก้ตัว


 


 


อันจื่อเฮ่า…


 


 


เขาเกือบล้มละลายเพราะเธออย่างนั้นหรือ


 


 


เฉินซิงเยียนรู้สึกสับสน เธอไม่รู้เลยว่าอันจื่อเฮ่าแอบทำอะไรให้เธอมากมาย


 


 


“ผู้กำกับคะ ถ่ายกันอีกรอบเถอะนะคะ”


 


 


“ไม่ อันจื่อเฮ่าทำเพื่อเธอมากมายแต่การแสดงของเธอในคืนนี้แสดงให้ฉันเห็นว่าเธอดูถูกความเชื่อมั่น ความเสียสละและหัวใจของเขา” ผู้กำกับเดินจากไปหลังพูดจบ ขณะที่ทีมงานคนอื่นๆ ในกองถ่ายต่างมองไปที่เฉินซิงเยียนด้วยความผิดหวังอย่างมาก


 


 


“พี่เซิง คำพูดของผู้กำกับออกจะแรงไปหน่อยนะ” ผู้ช่วยของหลินเซิงกล่าวที่ข้างหูของหลินเซิง “เฉินซิงเยียนน่าจะกลัวน้ำ”


 


 


“ในเมื่อเธออยากจะเป็นนักแสดงที่ทุกคนจับตามอง ก็ไม่มีอะไรที่เธอจะก้าวข้ามไม่ได้ เธอมีปากนี่ เธอสามารถขอคำแนะนำจากใครก็ได้ แต่เธอยังเด็ก ประมาทและมั่นใจเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร” หลังพูดจบ หลินเซิงก็ส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยของเขากลับไปที่ห้องและพักผ่อน


 


 


“ถ้าเป็นเรื่องการแสดง เฉินซิงเยียนพันคนก็สู้ถังหนิงคนเดียวไม่ได้”


 


 


เฉินซิงเยียนคุ้นเคยกับการที่เรื่องต่างๆ ไม่เป็นไปดังหวัง แต่เธอไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดเท่านี้มาก่อน กระนั้นการเจ็บปวดในครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่า


 


 


เพราะเธอได้รู้สึกถึงความรู้สึกผิดจริงๆ เสียที


 


 


ใช้เวลาไม่นานเฉินซิงเยียนก็เดินทางกลับมาที่ห้องของเธออย่างหมดสภาพ แต่ในครั้งนี้ ผู้กำกับได้โทรหาอันจื่อเฮ่า


 


 


“ฉันไม่คิดว่าฉันจะถ่ายทำกับต้นอ่อนของนายต่อไปได้อีก ในเมื่อเรายังไม่ได้ถ่ายไปมากนัก ฉันอยากหาใครสักคนมาแทนที่เด็กคนนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะยุ่งยากเกินไป”


 


 


จากน้ำเสียงของผู้กำกับประกอบกับเวลาที่เขาโทรมา อันจื่อเฮ่าบอกได้ว่าผู้กำกับได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่เช่นนั้นทำไมอีกฝ่ายถึงต้องโทรหาเขากลางดึกเพื่อบ่นแบบนี้


 


 


อันจื่อเฮ่านิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนที่เขาจะตอบ “ถ้าอย่างนั้น ผู้กำกับ ผมมีแผน ถ้าเธอยังคงทำไม่ได้อีกหลังจากพยายามอีกครั้ง คุณเปลี่ยนตัวเธอออกได้เลย ถึงเวลานั้นผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะดื้อดึงอีก”


 


 


ผู้กำกับสูดหายใจลึก เขาดูสงบนิ่งลงกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด “ถ้างั้นก็ได้ บอกแผนนายมาสิ แต่นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเด็กนั่นนะ”


 


 


“ตกลงครับ” อันจื่อเฮ่าพยักหน้า


 


 



 


 


คืนนั้น เฉินซิงเยียนนอนหลับไม่สนิท ในหัวเธอยังคงคิดถึงคำพูดที่ผู้กำกับพูดกับเธออย่างต่อเนื่อง


 


 


อันจื่อเฮ่าทำอะไรให้เธอมากมายจริงหรือ


 


 


หลังจากการอดนอนทั้งคืน ขณะที่เธอลุกจากเตียงในวันรุ่งขึ้น เธอก็ได้รับการแจ้งข่าว “ผู้กำกับโทรหาผู้จัดการของคุณเมื่อคืน เขาตัดสินใจจะเปลี่ยนตัวคุณออก” ผู้ช่วยผู้กำกับกล่าวหลังเคาะประตูห้องของเธอตั้งแต่เช้าตรู่


 


 


“ผู้กำกับไม่อาจทำงานกับคนที่ไม่เข้าใจการทำงานเป็นทีมและไม่สำนึกบุญคุณได้ คุณควรกลับบ้านไปหาอันจื่อเฮ่าดีกว่านะ”


 


 


เฉินซิงเยียนหนังตาห้อยเนื่องจากการนอนไม่พอ เดิมทีสติของเธอยังไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้กำกับกำลังจะเปลี่ยนตัวเธอออก เธอก็นิ่งอึ้งไปราวกับถูกฟ้าผ่า


 


 


ผู้ช่วยผู้กำกับพูดจบ ก็เดินกลับไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เฉินซิงเยียนได้ปกป้องตัวเอง


 


 


แต่เธอจะถูกเปลี่ยนตัวออกทั้งๆ แบบนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ


 


 


หลังยืนอึ้งอยู่สองสามนาที เฉินซิงเยียนก็นึกขึ้นได้ว่าเธอควรโทรหาอันจื่อเฮ่า “ฉันถูกเปลี่ยนตัวออก”


 


 


“ฉันรู้” อันจื่อเฮ่าตอบด้วยเสียงนิ่ง “ก็ดีสำหรับเธอแล้วนี่ ตอนนี้เธอจะได้กลับไปเป็นสตันต์ได้แล้ว”


 


 


“ฉัน…” คำพูดของอันจื่อเฮ่าทิ่มแทงเฉินซิงเยียนอย่างเจ็บปวด


 


 


“กลับบ้านเองก่อนแล้วกัน ฉันยังมีเรื่องต้องทำที่นี่”


 


 


ว่าแล้วอันจื่อเฮ่าก็กดวางสาย


 


 


เฉินซิงเยียนนั่งลงบนเตียงด้วยความไม่สบายใจขณะที่เธอเริ่มตื่นตระหนก


 


 


นี่เธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดแบบนี้อย่างนั้นหรือ เธอจะยังดึงคนอื่นมาติดร่างแหแล้วตกต่ำไปด้วยอย่างนั้นหรือ


ตอนที่ 683 แบกภาระ

 

เฉินซิงเยียนไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจ เธอแต่ลุกออกจากเตียง ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยก่อนจะกลับไปที่กองถ่าย เธอไม่อาจกลับไปทั้งแบบนี้!


 


 


เมื่อเห็นทีมงานกำลังยุ่งอยู่กับการจัดฉาก เธอรีบตรงเข้าไปช่วย “ให้ฉันทำนะ ฉันแข็งแรง…”


 


 


“คุณเฉิน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณถูกผู้กำกับเปลี่ยนตัวออกไปแล้วนี่” คนออกแบบแสงกล่าวขณะที่เขาจ้องมองไปที่เฉินซิงเยียน “ทางที่ดีคุณกลับบ้านไปเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ขณะไปรบเร้าคนอื่นๆ ทว่าทัศนคติที่ทุกคนมีต่อเธอกลับเปลี่ยนไปในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน


 


 


ที่สำคัญไปกว่านั้น เมื่อผู้กำกับเดินทางมาถึงในที่สุด เขาทำกับเธอเหมือนเธอไม่มีตัวตน ไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ


 


 


เฉินเซิงเยียนไม่เคยอับอายเช่นนี้มาก่อน


 


 


แต่การรู้ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอเอง เธอจึงทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกและกลั้นน้ำตาเอาไว้


 


 


“ผู้กำกับคะ ได้โปรดให้ฉันอยู่ต่อเถอะนะคะ คราวนี้ฉันจะทำให้ดี”


 


 


“ให้เธออยู่ต่อ ฉันไม่ได้เกลี้ยกล่อมอันจื่อเฮ่าเพื่อเขี่ยเธอออกได้ง่ายๆ นะ เธอคิดว่าฉันจะให้เธออยู่ต่องั้นเหรอ” ผู้กำกับหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาฟังดูเสียดสีเป็นพิเศษ “ก่อนหน้านี้ฉันเคยให้โอกาสเธอแล้ว แต่เธอไม่เห็นค่าของมัน เธอทำตัวโง่ๆ ทั้งวัน ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แล้วยังคิดว่าการเป็นสตันต์เป็นเป้าหมายหลักในชีวิต งั้นตอนนี้เธอก็ไปทำอะไรที่เธออยากทำแล้วกัน ไม่มีใครรั้งเธอไว้ทั้งนั้น”


 


 


เฉินซิงเยียนอดทนกับคำพูดเย้ยหยันของผู้กำกับและพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างสิ้นหวัง หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น “ฉันจะช่วยงานที่กองถ่ายโดยไม่คิดค่าตัว…”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้กำกับก็มองเฉินซิงเยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “สุดท้ายเธอก็มีแต่แค่ทำงานระดับแรงงานสินะ อยากทำอะไรก็ทำ แค่อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”


 


 


เฉินซิงเยียนสัมผัสได้ถึงประกายความหวังขณะที่เธอรีบฟื้นฟูพลังและเริ่มช่วยงานในกองถ่ายทันที


 


 


หลินเซิงเห็นเฉินซิงเยียนกำลังยุ่งจากระยะไกล และรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าเขาอย่างควบคุมไม่ได้ “ถ้าเธอฉลาดพอ เธอจะรู้วิธีเปลี่ยนสถานการณ์”


 


 


“ใช่ เด็กคนนั้นควรเรียนรู้การแสดงของคุณอย่างละเอียด” ผู้ช่วยของหลินเซิงหัวเราะ


 


 


แม้แต่ในอดีต ถังหนิงเองก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการสังเกตหลินเซิงและเพิ่มพูนความรู้ได้มากมาย


 


 


เขาเป็นถึงผู้ครองรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมถึงสามรางวัล ถ้าเป็นเรื่องของการแสดง เขาอยู่เทียบเท่าเป่ยเฉินตงและมีประสบการณ์สูงมาก


 


 


“ไปกันเถอะ ได้เวลาเริ่มแล้ว”


 


 


ที่จริง นี่เป็นสิ่งที่เฉินซิงเยียนวางแผนไว้ เธอจะเฝ้าดูหลินเซิงแสดงขณะที่เธอช่วยงาน


 


 


ขณะที่เธอมองดูหลินเซิงแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างง่ายดายและไหลลื่น ในที่สุดเธอก็ได้พบกับความน่าตกใจในการแสดง


 


 


บางครั้ง หลินเซิงจะขอผู้กำกับว่าให้เขาแสดงบทบาทในลักษณะอื่นๆ ได้หรือไม่ ผู้กำกับอนุญาตให้เขาทำเพราะเขาอยากรู้ว่าหลินเซิงจะแสดงออกมาเป็นอย่างไร ทว่ามีเพียงผู้ช่วยของหลินเซิงเท่านั้นที่รู้วัตถุประสงค์ของเขาที่ต้องการแสดงให้เฉินซิงเยียนเห็นว่าบทแต่ละบทควรแสดงออกมาอย่างไร


 


 


ยามค่ำมาถึง หลังทำงานมาตั้งวัน อันจื่อเฮ่าก็กลับมา และพบว่าเฉินซิงเยียนไมได้อยู่ที่นั่น ดังนั้นกลางดึกคืนนั้นเขาจึงโทรหาอีกฝ่าย “ทำไมยังไม่กลับมาอีก”


 


 


เฉินซิงเยียนกำลังยืนอยู่ข้างทะเลสาบที่ซึ่งเธอได้ทำการถ่ายทำเมื่อคืนก่อน ลึกๆ เธออยากจะก้าวความกลัวของเธอ แต่เธอยังคงขาดความกล้า


 


 


“ฉันกำลังช่วยงานที่กองถ่าย” เฉินซิงเยียนตอบ “ฉันต้องหาเงินจะได้เอาไปคืนนาย”


 


 


“โอเค ในเมื่อเธอไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำ อย่างน้อยอยู่ที่นั่นก็แก้เบื่อเธอได้” ทำพูดของอันจื่อเฮ่านั้นเย็นชาแต่สุภาพ ทำให้เฉินซิงเยียนรู้สึกไม่ดี


 


 


ดูเหมือนเป็นคำตอบที่แฝงไปด้วยความผิดหวัง


 


 


“อันจื่อเฮ่า…”


 


 


“ว่า”


 


 


“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เฉินซิงเยียนอยากรู้ว่าเธอทำให้เขารู้สึกรำคาญหรือเปล่า แต่เธอไม่อาจทำใจพูดออกมาได้


 


 


นับตั้งแต่เธอยังเด็ก ทุกคนต้องฟังเธอและเธอเคยชินที่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างด้วยความอิสระมาตลอดและไม่เคยเข้าใจการทำงานเป็นทีม หนำซ้ำเธอมักรู้สึกว่าตราบใดที่เธอมีความสุข คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่เธอไม่เคยรู้ว่ามีคนอย่างอันจื่อเฮ่าอยู่ในโลกนี้


 


 


เธอชอบตัวเธอที่เป็นอิสระ แต่…


 


 


ในจุดนี้ เฉินซิงเยียนหยุดตัวเองไม่ให้คิดไกลไปกว่านั้น เธอพลันวางโทรศัพท์ลงข้างๆ และกระโดดลงไปในน้ำ


 


 


จากนั้นเธอก็ทำตามสิ่งที่เธอได้อ่านจากอินเทอร์เน็ตและพยายามอย่างดีที่สุดที่จะยืนอย่างสงบอยู่ในน้ำ เธอค่อยๆ ทำได้อย่างช้าๆ ท้ายที่สุดเธอใช้เวลาทั้งคืนในการกระโดดลงไปในน้ำและเดินกลับขึ้นมาบนฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมือทั้งสองข้างของเธอซีดเป็นสีขาวร่างกายสั่นเทา


 


 


เช้าวันต่อมา ทันทีที่เฉินซิงเยียนเห็นผู้กำกับ เธอก็วิ่งไปหาและหยุดเขาเอาไว้ “ผู้กำกับคะ ฉันไม่กลัวน้ำแล้ว เราถ่ายกันต่อได้แล้วค่ะ”


 


 


แต่สายตาอันเฉียบคมของเขามองเธอและกล่าว “แค่เพราะเธอกลัวน้ำ ฉันต้องให้เวลาพิเศษกับเธอในการฝึกฝน แล้วถ้าต่อไปเธอกลัวภูเขา ฉันไม่ต้องทุบภูเขาให้เธอหรือไง ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ใช่เรื่องทั้งนั้น แล้วการแสดงของเธอล่ะ เธอแสดงได้ไหม”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรแต่เธออดทนกับมันเหมือนเช่นทุกครั้ง อย่างน้อยเธอก็ได้ก้าวข้ามอุปสรรคที่เลวร้ายที่สุดของตัวเองมาได้แล้ว


 


 


แม้ผู้กำกับจะตะโกนใส่เธอ แต่เขาก็ยังได้ให้ข้อยกเว้นมากมาย ปกติในระหว่างการถ่ายทำ ฉากจะถูกเก็บจนเรียบร้อย แต่เขาก็ยังให้เธอได้อยู่ในฉาก


 


 


เฉกเช่นทุกครั้ง หลินเซิงยังคงชอบเล่นเป็นบทอื่นๆ หลังผ่านไปสองครั้ง เฉินซิงเยียนก็เริ่มเข้าใจวัตถุประสงค์ของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ดังนั้นเธอจึงเริ่มจดบันทึก


 


 


ผู้กำกับยิ้มเยาะทุกครั้งที่ได้เห็นเธอจดบันทึกเมื่อมีเวลาว่าง


 


 


ผู้ช่วยผู้กำกับมองไปที่เฉินซิงเยียนและหัวเราะเยาะ “ดื้นด้านน่าดู หลังจากคุณตะโกนด่าก็ยังไม่ไปไหน”


 


 


“ถ้าเด็กนั้นหนีไปทั้งแบบนั้น อันจื่อเฮ่าคงต้องฆ่าตัวตายแล้วล่ะ” ผู้กำกับตอบอย่างเสียดสี “ต่อให้เด็กนั่นดูจริงจังแค่ไหน การแสดงก็ไม่ได้พัฒนาขึ้นมาได้หรอก เราแค่ต้องรอดู”


 


 


ผลที่ได้ เฉินซิงเยียนยุ่งมากเมื่ออยู่ที่กองถ่าย ด้านหนึ่งเธอจำเป็นต้องพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับทีมงาน อีกด้านหนึ่งเธอก็จำเป็นต้องศึกษาการแสดงของหลินเซิง ตกกลางคืนเธอจะฝึกฝนและในระหว่างวันเธอจะทำงานในแรงงานทุกอย่าง แต่การฝึกแบบนี้ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างได้ผล


 


 


แม้ผู้กำกับจะยังปฏิเสธไม่ให้เธอได้แสดงก็ตาม


 


 


ไม่นานนักนางเอกคนใหม่ก็มาปรากฏตัวที่กองถ่าย เฉินซิงเยียนรู้สึกว่าเธอล้มเหลว เธอทุ่มเททำงานอย่างหนัก แต่ผู้กำกับก็ยังไม่ใจอ่อนกับความทุ่มเทของเธอ


 


 


“ซิงเยียน นางเอกคนใหม่มาถึงแล้ว ตอนนี้เธอควรกลับบ้านได้แล้วนะ” ทีมงานกลัวว่าเธอจะเจ็บปวด ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมเธอ “เรื่องนี้ตัดสินใจไปแล้ว เธอเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก”


 


 


เฉินซิงเยียนผิดหวัง แต่…


 


 


…เธอยังคงยืนกราน “ไม่เป็นไร พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าหลอดไฟพวกนี้มันหนักมาก ให้ฉันยกให้นะ”


 


 


“แต่นี่มันหนักเกินไปสำหรับเธอนะ”


 


 


ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะหนักหนาแค่ไหน ก็เป็นเพราะเธอพยายามไม่มากพอ!


 


 


เธอไม่อาจโทษใครได้


 


 


เฉินซิงเยียนอยากโทรไประบายและขอคำแนะนำจากถังหนิง แต่ถังหนิงกำลังใกล้คลอด เธอไม่ต้องการสร้างปัญหาให้คนอื่นอีก


 


 


พวกเขาได้นางเอกคนใหม่แล้วไง


 


 


ถ้างั้นเธอจะต้องได้เห็นก่อนว่าคู่แข่งของเธอแข็งแกร่งแค่ไหน 

 

 


ตอนที่ 684 ตกกระป๋องแล้วงั้นเหรอ

 

คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในไห่รุ่ยช่วงระยะหลังมานี้คงหนีไม่พ้นซ่งซิน


 


 


เพลงของเธอทำยอดขายอันดับหนึ่ง บทละครที่เธอดัดแปลงดังเป็นพลุแตก และเธอก็ทำตัวน่ารักสุดๆ ในรายการวาไรตี้ต่างๆ ใช้เวลาไม่นานชื่อของซ่งซินก็ดังไปทั่วปักกิ่ง ที่จริงวงการเพลงได้มอบฉายาให้เธอว่า สุดยอดอัจฉริยะ!


 


 


ไห่รุ่ยได้เตรียมการสำหรับระยะแรกในการผลักดันเธอเอาไว้แล้ว พวกเขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ ความนิยมของเธอจะต้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่อาจประเมินค่าได้ อย่างไรก็ตาม จุดด้อยเพียงอย่างเดียวของเธอคือเธอไม่ค่อยมีเรื่องน่าสนใจให้พูดถึงนัก


 


 


แน่นอนว่าเธอโด่งดัง แต่เธอยังไม่อาจเทียบกับความน่าประทับใจที่ถังหนิงเลยทิ้งเอาไว้


 


 


ดังนั้นหากเธอต้องการก้าวข้ามถังหนิงไปให้ได้ เธอยังต้องเดินไปอีกไกลโข


 


 


หลังเหตุการณ์ของฮว่าเหวินเฟิ่ง ถังหนิงก็เก็บตัวอยู่ในบ้านมากกว่าเดิม แม้แต่ในงานอีเวาต์สำคัญ เธอก็เลี่ยงที่จะเข้าร่วมเพื่อปกป้องลูกในท้องของเธอ


 


 


เธอยังคงสืบหาตัวคนที่ปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่แม้แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งก็ยังจำไม่ได้ แล้วถังหนิงจะไปหาคำใบ้หรือข้อมูลได้จากที่ไหนอีก


 


 


ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมา โม่ถิงออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่และกลับดึก ทั้งคู่แทบไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันเลย แม้แต่การพูดคุยกันเพียงเล็กน้อยก็แทบเป็นไปไม่ได้ ทุกครั้งที่ถังหนิงตื่นขึ้น เธออยากพูดคุยกับโม่ถิง แต่ทุกครั้งที่เธอเห็นใบหน้าอันเหนื่อยล้าของอีกฝ่าย เธอก็ทำใจรบกวนเขาได้ไม่


 


 


เมื่อเห็นเช่นนั้น ไป๋ลี่หวาจึงอดถามไม่ได้ “ฉันไม่เคยเห็นคุณบ่นเรื่องโม่ถิงทำงานหนักเกินไปเลยนะ คุณไม่รู้สึกว่าเขาให้เวลากับคุณไม่พออย่างงั้นเหรอ”


 


 


เพราะการถูกวางยาด้วยควินิดีน ทำให้ถึงหนิงใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับหนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับยา ทันทีที่เธอได้ยินคำถามของไป๋ลี่หวา เธอส่ายศีรษะ “บ่นเรื่องอะไรล่ะ ฉันรู้จักเขาดีกว่าใครทั้งนั้น”


 


 


“ถ้าเขากำลังแอบทำอะไรลับหลังคุณล่ะ ฉันสังเกตว่าหมู่นี้เขาไปที่บ้านหลังข้างๆ บ่อยขึ้นนะ คุณไม่สังเกตเหรอ” ไป๋ลี่หวาถามอย่างมีนัย “ฉันเห็นเขาเมื่อเข้า หลังจากที่เขาออกจากบ้านก็ไม่ได้ตรงไปไห่รุ่ย แต่กลับไปที่บ้านหลังข้างๆ แทน”


 


 


ถังหนิงวางหนังสือในมือลงและยืดคอมองไปด้านนอก “เป็นไปได้ยังไง”


 


 


“ทำไมเราสองคนไปลองไปดูด้วยกันล่ะ บางทีเราอาจจะบังเอิญเจอเขาก็ได้”


 


 


แม้ถังหนิงจะไม่เชื่อไป๋ลี่หวา แต่เธอก็ยังอยากรู้ว่าโม่ถิงกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นจากโซฟาและเดินออกไปจากบ้านพร้อมไป๋ลี่หวาก่อนตรงไปที่บ้านหลังข้างๆ


 


 


ที่นั่น กลุ่มคนงานจำนวนมากกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำงาน ทันทีที่พวกเขาเห็นถังหนิง พวกเขารีบบอก “คุณผู้หญิงมาที่นี่จะเป็นการขัดขวางการทำงานของพวกเรานะครับ”


 


 


“ไม่มีใครอยู่ที่นี่งั้นเหรอ” ถังหนิงถามด้วยความสงสัย


 


 


“แต่เดิมมีครับ แต่ตอนนี้บ้านหลังนี้ถูกขายให้ใครสักคนไปแล้ว บางทีนายใหญ่คนไหนสักคนอาจจะอยากได้บ้านให้เมียของเขาก็ได้” คนงานคนหนึ่งถอนหายใจก่อนที่เขาจะกลับไปทำงาน ทว่าสีหน้าไป๋ลี่หวาไม่พอใจนัก แม้จะไม่มีใครเห็นก็ตาม


 


 


“เสี่ยวหนิง ทำไมไม่โทรไปถามโม่ถิงเรื่องนี้ล่ะ”


 


 


ถังหนิงส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่จำเป็น ปกติถ้าเขาอยากบอกเขาจะบอกฉันเอง”


 


 


จากนั้นถังหนิงกลับไปที่บ้านของตนเอง หลังจากที่เธอกลับไปแล้ว เหล่าคนงานต่างพากันพูดถึงถังหนิง “นั่นมันถังหนิงเมียของโม่ถิงไม่ใช่เหรอ นี่หมายความว่าถังหนิงตกกระป๋องแล้วใช่ไหม ไม่งั้นทำไมเขาต้องซื้อบ้านหลังติดกันทั้งที่ก็มีบ้านอยู่แล้วด้วยล่ะ เขาต้องแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ แน่ แบบนี้เขาจะได้เก็บเมียน้อยได้สะดวกในขณะที่เมียตัวเองกำลังท้อง”


 


 


“หุบปากไปเลย หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วกลับไปทำงานซะ” หัวหน้าผู้คุมงานเขกหัวคนงานคนนั้นเป็นการเตือน


 


 


“เห็นถังหนิงท้องแบบนั้นก็รู้สึกเห็นใจเหมือนกันนะ”


 


 


“นายพูดแบบนั้นโต้งๆ ไม่ได้นะ”


 


 


ไป๋ลี่หวาเพิ่งได้อยู่กับโม่ถิงและถังหนิงมาได้ไม่นาน สิ่งที่เธอรู้มีเพียงแค่ทั้งคู่แต่งงานกับแบบสายฟ้าแลบและไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าทั้งคู่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร และไม่รู้ว่าถังหนิงและโม่ถิงมีความเชื่อใจกันในระดับไหน


 


 


โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เป็นช่วงเวลาอ่อนไหวก่อนการคลอด


 


 


“เสี่ยวหนิง ฉันเชื่อว่าโม่ถิงมีเหตุผลที่ทำแบบนี้”


 


 


ถังหนิงเพียงแค่ตอบรับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน


 


 



 


 


บ่ายวันนั้น นางเอกคนใหม่ได้เดินทางมาถึงกองถ่ายของเฉินซิงเยียน


 


 


นี่เป็นการเปลี่ยนตัวในนาทีสุดท้าย ผู้กำกับไม่อาจหานักแสดงหญิงชื่อดังคนไหนมารับบทแทนเนื่องจากปัญหาด้านตารางเวลา กระนั้นก็ตาม หลินเซิงยังเป็นตัวสำคัญที่สุด ตราบใดที่นางเอกคนใหม่ไม่ทำตัวเหมือนเฉินซิงเยียน แค่นั้นก็พอแล้ว


 


 


ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเดินทางมาถึงกองถ่าย เธอก็เลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ให้ทีมงานทุกคนในกอง ท่าทางอันใจกว้างของเธอบดบังน้ำใจเล็กน้อยที่เฉินซิงเยียนเคยทำไว้ได้อย่างง่ายดาย


 


 


ที่สำคัญกว่านั้น ผู้กำกับตัดสินใจใช้เธอหลังจากได้เห็นเธอแสดงแค่ฉากเดียวและยืนยันว่าเธอจะแสดงแทนฉากทั้งหมดที่เฉินซิงเยียนเคยถ่ายไว้


 


 


เฉินซิงเยียนยังคงอยู่ช่วยงานในกองถ่ายแม้ทุกคนจะมองเธอด้วยความเวทนา บางคนถึงกับถามเธอว่าทำไมเธอถึงยังยืนกรานที่จะไม่กลับไป


 


 


เฉินซิงเยียนไม่รู้จะตอบอย่างไร รู้แค่ว่าเธอไม่อยากยอมแพ้


 


 


ทว่าค่ำคืนวันนั้นจะเป็นคืออันยากลำบากสำหรับเธอ…


 


 


“ช่างไฟรีบปรับไฟเร็วเข้า ส่วนนักแสดงอื่นๆ ไปพักได้” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้กำกับ เฉินซิงเยียนก็เดินตามทีมงานคนอื่นๆ ไปยังกองถ่าย ทันทีที่นักแสดงหญิงคนใหม่เห็นเฉินซิงเยียน เธอก็ถามขึ้น “เธอคือนางเอกคนก่อนใช่ไหม ฉันได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอแล้วนะ ขอโทษด้วยที่เอาบทของเธอมา”


 


 


ผู้หญิงคนนั้นห่อตัวด้วยผ้าห่มพร้อมท่าทางสบายๆ เธอไม่ได้ดูเสียใจเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเธอพูดเหน็บแนมเฉินซิงเยียนเล็กๆ ด้วย


 


 


“ฉันเข้าใจเธอนะ เธอเป็นสตันต์มาตลอด อยู่ๆ จะให้มาจดจ่ออยู่หน้ากล้องก็คงยากหน่อย” ผู้หญิงคนนั้นหยุดพูดกลางคันและมองไปที่เสื้อผ้าซึ่งวางอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ “ช่วยเอาเสื้อผ้าพวกนั้นมาให้ทีสิ ตอนนี้เธอเป็นแต่ทีมงานคนหนึ่ง ฉันมั่นใจว่าเธอคงไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องทำงานแบบนี้ใช่ไหมล่ะ”


 


 


หากนี่เป็นเมื่อก่อน คงไม่มีทางที่เฉินซิงเยียนจะทนถูกกระทำแบบนี้ได้ แต่ตอนนี้เธอเป็นแค่เม่นที่ถูกถอนหนามออกไปจนหมดแล้ว ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดเพียงใด เธอก็ต้องควบคุมความโกรธและส่งเสื้อผ้าพวกนั้นให้ผู้หญิงคนนี้


 


 


“ผู้ช่วยของฉันไม่สบายเพราะการเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างลำบาก ตอนนี้กำลังพักอยู่ ทำไมคืนนี้เธอไม่อยู่ช่วยฉันล่ะ บอกค่าจ้างมาได้เลย… ฉันไม่ทำไม่ดีกับเธอหรอก”


 


 


“ฉัน…”


 


 


“ผู้กำกับคะ…”


 


 


“ก็ได้” เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นจะเรียกผู้กำกับ เฉินซิงเยียนก็รีบตอบตกลงทันที “ฉันจะเป็นผู้ช่วยให้เธอ”


 


 


“เป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้ว ฉันกำลังจะถ่ายฉากต่อไป ช่วยตามช่างแต่งหน้ามาให้ที ฉันคงไม่ต้องสอนเธอเรื่องนี้ใช่ไหม”


 


 


เฉินซิงเยียนกลืนความโกรธของตัวเองเองและวิ่งออกจากกองถ่ายไปตามช่างแต่งหน้า แต่ไม่ว่าเธอจะไปตามหาที่ไหน เธอก็หาช่างแต่งหน้าไม่เจอ หลังกลับมาหานักแสดงหญิงคนนั้น เฉินซิงเยียนกลับถูกตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ “เธอเป็นผู้ช่วยภาษาอะไร ฉันบอกแล้วไงว่าการถ่ายทำกำลังจะเริ่ม เธอเสียเวลาสิบนาทีไปตามหาช่างแต่งหน้าได้ยังไง”


 


 


ทุกคนอึ้ง


 


 


ผู้หญิงคนนี้หยิ่งยโสเกินไปแล้ว ตบหน้าเฉินซิงเยียนแบบนั้นได้ยังไงกัน


 


 


“ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอเป็นน้องสาวของโม่ถิงหรือเปล่า ในเมื่อเธออยู่ในกองถ่าย เธอก็เป็นแค่ทีมงานคนหนึ่ง และ ‘ไม่สำคัญ’ อะไรทั้งนั้น”


 


 


เฉินซิงเยียนหันกลับมามองหน้าผู้หญิงคนนั้น แววตาอาฆาตที่ปรากฏในดวงตาของเธอดูราวกับพร้อมจะฉีกอีกฝ่ายเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ


 


 


“อยากจะทำอะไรล่ะ”


 


 


“เธอคิดว่าฉันจะต่อยเธอหรือไง” เฉินซิงเยียนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะดูว่าเธอจะถ่ายฉากต่อไปโดยไม่มีสตันต์ได้ยังไง”


 


 


“ต่อให้ฉันถ่ายฉากนี้ไม่ได้ บทนี้ก็ไม่กลับไปหาเธอหรอก!” 

 

 


ตอนที่ 685 แอบลิ้มรสสักนิด

 

อันจื่อเฮ่าเดินทางมาถึงได้ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป เขามาถึงทันเห็นผู้หญิงคนนั้นตบหน้าเฉินซิงเยียนพอดี


 


 


เขาเคยสัญญาว่าเขาจะไม่ช่วยเธอ แต่เมื่อเห็นเฉินซิงเยียนถูกทำให้ขายหน้าแบบนี้ ขาขวาของเขาก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่เชื่อฟังคำสั่ง แต่หลังจากก้าวไปได้ก้าวหนึ่ง เขาก็รีบดึงขากลับมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจทำให้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เฉินซิงเยียนจะได้เติบโตต้องสูญเปล่าเพราะถูกปกป้องมากเกินไป


 


 


เพราะความคล่องแคล่วว่องไวของเฉินซิงเยียนทำให้ผู้กำกับไม่ได้จ้างสตันต์ไว้สำหรับบทของเธอ แต่เมื่อเขาเปลี่ยนตัวเธอออก เขาก็ได้หาสตันต์สำหรับหน้าที่นี้เอาไว้ ดังนั้นทุกอย่างจึงออกมาตรงกันข้ามกับสิ่งที่เฉินซิงเยียนพูด เพราะผู้หญิงคนนี้มีสตันต์คอยช่วยเธอ


 


 


ผู้หญิงคนนั้นมองหน้าเฉินซิงเยียนด้วยท่าทีเยาะเย้ย เธอดูเหมือนจะคิดว่าเฉินซิงเยียนทั้งโง่เง่าและปัญหาอ่อน “คนที่ไม่มีสตันต์น่ะมันเธอ ไม่ใช่ฉัน”


 


 


ดังนั้นเธอซิงเยียนจึงเฝ้ามองผู้หญิงคนนั้นจดจ่ออยู่กับการแสดงให้ออกมาดูดีที่หน้ากล้อง ขณะปล่อยให้สตันต์รับหน้าที่ดูแลฉากแอกชั่นทั้หงมด


 


 


นี่มันไม่ยุติธรรม!


 


 


เฉินซิงเยียนไม่อาจระงับไฟที่ลุกโชนอยู่ภายในตัวได้อีกต่อไป เธจจึงเดินออกไปพูดกับผู้กำกับ “ผู้กำกับคะ ให้ฉันแสดงฉากนี้ได้ไหม ฉันแค่อยากลองดูสักครั้งหนึ่ง…”


 


 


“ออกไปซะ หยุดทำให้ฉันเสียเวลาสักที” ผู้กำกับมองเฉินซิงเยียนด้วยความรำคาญ


 


 


“ผู้กำกับ คุณก็รู้ว่าความคาดหวังของหลินเซิงสูงแค่ไหน ถ้าเทียบกับคนที่ต้องใช้สตันต์แล้ว ฉันแน่ใจว่าเขาต้องการแสดงกับคนที่สามารถเล่นฉากนั้นได้ด้วยตัวเองมากกว่า” เฉินซิงเยียนเดินตามผู้กำกับ พยายามขอโอกาสให้ตัวเธอเอง


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้กำกับก็หันกลับมาจ้องเฉินซิงเยียน จากนั้นเขาจึงพยักหน้า “ฟังดูมีเหตุผล บางครั้งเพื่อให้ได้ความสมจริงก็ต้องดูจากการโต้ตอบกันระหว่างนักแสดงนี่แหละ


 


 


“เอาอย่างนี้ไหม ทำไมเธอไม่เข้าฉากกับหลิงหลงดูล่ะ”


 


 


เข้าฉาก?


 


 


เข้าฉากอะไร? มันฟังดูเหมือนบอกให้เธอยอมโดนทำร้ายมากกว่าอีก


 


 


“อะไร เธอกลัวหรือไง ถ้าไม่อยากทำงั้นก็ลืมมันไปซะ”


 


 


“ฉันจะทำค่ะ” เฉินซิงเยียนคว้าแขนผู้กำกับเอาไว้และพูดด้วยน้ำเสียงหนักเล่น “ถ้าฉันแสดงได้ดีพอๆ กับผู้หญิงคนนั้น คุณจะให้ฉันได้ลองเล่นในฉากของเธอใช่ไหม”


 


 


“เอาเลย!”


 


 


อันจื่อเฮ่ายืนมองจากระยะไกลขณะที่เฉินซิงเยียนคว้าแขนของผู้กำกับเอาไว้ เธอดูไม่เหมือนเด็กกะโปโลเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้วเพราะชัดเจนว่าเธอทุ่มเทมากจริงๆ


 


 


ไม่แปลกใจที่เมื่อผู้กำกับขอให้เธอถูกซ้อมในบทคนเดินผ่านไปผ่านมา เธอจึงตอบรับ


 


 


เมื่อเห็นความท้าทายที่จริงจังของเฉินซิงเยียน ผู้หญิงคนนั้นกลัวว่าเฉินซิงเยียนจะฉกบทกลับไปจากเธอ หญิงสาวจึงไม่ใช้สตันต์และตัดสินใจเล่นฉากนั้นด้วยตัวเอง


 


 


แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในฉากนั้นคือเฉินซิงเยียนยอมรับที่จะถูกซ้อมโดยไม่มีการตอบโต้


 


 


“มาหลิงหลง ระวังความปลอดภัยเอาไว้ด้วย เริ่มกันได้แล้ว” ผู้กำกับย้ำขณะที่เขาโบกมือเรียกผู้หญิงที่ชื่อหลิงหลง จากนั้นเขาส่งสัญญาณไปที่ผู้ช่วยกองให้ตีสเลตคัตฉาก เขาไม่ได้คาดหวังว่าเฉินซิงเยียนจะสามารถยืนทนรับการถูกเตะต่อยได้


 


 


ทว่าหลังจากการถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างช็อก ไม่เพียงแค่เฉินซิงเยียนจะทนถูกหลิงหลงทำร้าย แต่เธอยังเข้าถึงบทอย่างมากอีกด้วย


 


 


ที่จริง ถ้าเป็นฉากต่อสู้ ผู้กำกับยังคงมั่นใจในตัวเฉินซิงเยียน แต่เมื่อเป็นฉากที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ เฉินซิงเยียนก็ยังคงน่าเป็นห่วง


 


 


เพราะถึงยังไงฉากต่อสู้ก็เป็นความถนัดพิเศษของเธอ


 


 


แต่นอกจากเฉินซิงเยียนเองแล้ว แม้แต่คนดูก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อได้เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา เพราะหลิงหลงทั้งต่อยซ้าย ต่อยขวาและต่อยตรงๆ แต่ละหมัดนั้นรุนแรงกว่าที่ใครจะสามารถทำได้


 


 


อันจื่อเฮ่ามองดูเฉินซิงเยียนอดทนกับการถูกซ้อมจากระยะไกล เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดในทุกๆ หมัดราวกับกำลังโดนด้วยตัวเอง


 


 


แต่เฉินซิงเยียนอดทนกับทุกสิ่ง ไม่เพียงแค่ไม่ปริปาก แต่เธอยังถ่ายทำฉากนี้ได้อย่างมืออาชีพอีกด้วย


 


 


“ผู้กำกับ คุณคิดอะไรอยู่”


 


 


ผู้กำกับไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่หันหลังกลับ ขณะนั้นเอง ในที่สุดทีมงานส่วนใหญ่รวมถึงหลิงหลงก็สังเกตเห็นอันจื่อเฮ่าจากระยะไกล


 


 


ผู้กำกับเดินตรงไปหาเขาและกล่าว “นายได้เห็นฉากนั้นแล้วเมื่อกี้ ทำไมนายไม่เซ็นสัญญากับหลิงหลงให้เป็นศิลปินของนายด้วยล่ะ”


 


 


อันจื่อเฮ่ารู้ดีว่าผู้กำกับกำลังจงใจพยายามปั่นหัวเฉินซิงเยียน ดังนั้นเฉินซิงเยียนจึงมองอันจื่อเฮ่าอย่างเป็นกังวล เมื่อเห็นเขาไม่ตอบอะไร ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเริ่มหมองลง…


 


 


แต่ขณะที่เขาคิดถึงการที่หลิงหลงจงใจปั่นหัวเฉินซิงเยียน อันจื่อเฮ่าก็เดินไปหาเฉินซิงเยียนก่อนถอดเสื้อแจ็กเกตของเขาคลุมตัวเธอแล้วพูดกับทุกคน “เฉินซิงเยียนคนเดียวก็พอแล้ว”


 


 


ว่าแล้วอันจื่อเฮ่าก็พยายามจะดึงตัวเฉินซิงเยียนกลับ


 


 


เฉินซิงเยียนขัดขืนเล็กน้อยขณะที่เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น จากนั้นเธอก็กล่าวพร้อมขมวดคิ้วมุ่น “ฉันยังอยากถ่ายต่อ”


 


 


“มันเป็นแค่เกมเด็กเล่น ยังมีอะไรให้ถ่ายอีก” อันจื่อเฮ่ากดอีกฝ่ายไว้ใต้แขนและลากเธอกลับไปที่ห้อง จากนั้นเขาก็นั่งลงบนโซฟาและเริ่มดึงเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายขึ้น


 


 


“เฮ้ย…” เฉินซิงเยียนโต้ตอบ


 


 


“ฉันแค่กำลังเช็กดูว่ามีรอยชำตรงไหนบ้าง” อันจื่อเฮ่าอธิบาย “เธอคิดจะยุ่งวุ่นวายกับบทของเธอต่อไปเรื่อยๆ หรือไง ถ้าได้บทคืนแล้วเธอจะเล่นได้งั้นเหรอ”


 


 


“ฉันเล่นได้แน่นอน” เฉินซิงเยียนตอบด้วยความมั่นใจ แต่เธอไม่เข้าใจว่าอันจื่อเฮ่าหมายความว่าอย่างไร


 


 


“เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปเจอนักกายภาพ”


 


 


“นาย… นายหมดเงินไปกับฉันเยอะเลยเหรอ” ในห้องอันว่างเปล่า เฉินซิงเยียนกระวนกระวายเป็นอย่างมากจนเธอรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองแทบจะเต้นออกมานอกหน้าอก แต่ถ้าเธอไม่ถามตอนนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะมีโอกาสได้ถามอีกเมื่อไหร่


 


 


“ใช่ ฉันหมดไปนิดหน่อย” อันจื่อเฮ่ายอมรับพลางพยักหน้า


 


 


“ฉันจะจริงจังกับการแสดงให้มากขึ้น จะได้ช่วยนายหาเงินคืนกลับมา”


 


 


อันจื่อเฮ่ามองเฉินซิงเยียนจากด้านหลังขณะวางมือทั้งสองข้างลงบนไหล่หญิงสาว เขาอยากจะกอดเธอมาก…


 


 


อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นร่วมกันของทั้งคู่ เฉินซิงเยียนจึงอดไม่ได้ที่จะเอนหลังไปพิงแผ่นอกของอันจืนเฮ่า “ฉันเหนื่อย…”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่ได้สัมผัสตัวอีกฝ่าย เขาเพียงแค่ปล่อยให้เธอพิงอกเขาอย่างเงียบๆ “ถ้าเธอทำให้คนอื่นๆ สบายใจได้เหมือนอย่างถังหนิง จะดีแค่ไหนนะ”


 


 


เฉินซิงเยียนหลับตาลง นึกถึงคำพูดที่ครั้งหนึ่งอันจื่อเฮ่าเคยกล่าวไว้ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก…


 


 


ดังนั้นเธอจึงสงสัยว่าเธอควรควบคุมตัวเองมากกว่านี้ไหม อะไรจะเกิดขึ้นถ้า…


 


 


เมื่อคิดเช่นนั้น เฉินซิงเยียนก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน แต่อันจื่อเฮ่ารั้งเธอไว้และดึงเธอมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ถ้าเธออยากจะพิงฉัน ก็พิง อย่าขยับไปไหน”


 


 


“แต่… นี่มันไม่ใกล้ชิดไปหน่อยเหรอ”


 


 


“เธอชอบความใกล้ชิดแบบนี้ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้” อันจื่อเฮ่าพูดที่ข้างหูของเฉินซิงเยียน


 


 


ใบหูทั้งสองข้างของเฉินซิงเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอรีบปิดแก้มที่เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ของเธอทันทีและกล่าว “ฉันคิดว่า… นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอะไรกับใครบางคน ฉันว่าฉันชอบนาย”


 


 


“ฉันด้วย” อันจื่อเฮ่าตอบอย่างรวดเร็ว


 


 


“นายก็ด้วยเหรอ” เฉินซิงเยียนหันกลับไปมองหน้าอันจื่อเฮ่า “นายเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”


 


 


“ฉันไม่คิดว่าคำพูดพวกนั้นใช้กับเธอได้” อันจื่อเฮ่ายอมแพ้ให้แก่ตัวเองและเฉินซิงเยียน เขาช่วยเหลือเธอจนถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีเหตุผลอะไรอื่นได้อีก เขาชอบเธอและเป็นห่วงเธอจริงๆ


 


 


“ต่อจากนี้ไปเราควรทำยังไงดี”


 


 


อันจื่อเฮ่ามองท่าทีจนปัญญาของเฉินซิงเยียนและยอมแพ้ให้กับแรงกระตุ้นของตัวเอง เขาคว้าศีรษะของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือเดียวและจูบลงบนริมฝีปากหญิงสาวโดยปราศจากการหักห้ามใจ


 


 


เขาไม่สนใจอนาคตอีกแล้ว เขาจะขอแอบลิ้มรสอันหอมหวานนี้สักหน่อยก่อน


 


 


เขาเซ็นสัญญากับเฉินซิงเยียนในฐานะศิลปินของเขาและทำงานอย่างหนักเพื่อฝึกฝนเธอ ไม่ใช่ว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพื่อทำให้เธอกลายเป็นแฟนเขาหรอกหรือ 

 

 


ตอนที่ 686 สืบลึก

 

ในช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมา อาการฮั่วจิงจิงดีขึ้นมาก หลังจากถังหนิงได้ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลและได้เห็นว่าอีกฝ่ายดูดีขึ้น เธอก็เริ่มรู้สึกคลายกังวล


 


 


“ทำไมเธอถึงเอาแต่ยืนอยู่ที่ประตูแบบนั้นล่ะ ไม่เหนื่อยหรือไง เจ้าตัวเล็กในท้องเธอไม่บ่นเอาเหรอ” ฮั่วจิงจิงสังเกตเห็นท่าทีจริงจังบนใบหน้าของถังหนิง ดังนั้นเธอจึงพยายาทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ


 


 


“ฟังอวี้อยู่ไหน”


 


 


“เขาไปส่งฟังเย่ว์ไปโรงเรียน แต่เดี๋ยวโรงเรียนก็จะหยุดหลายวัน ฉันกลัวว่าฟังอวี้จะไม่มีเวลาดูแลลูก ฉันว่าจะโทรถามเธอว่าเราจะฝากฟังเย่ว์ไว้กับเธอสักพักได้ไหม” ฮั่วจิงจิงส่งสัญญาณให้ถังหนิงเข้ามานั่งด้านใน


 


 


“ไม่มีปัญหา” ถังหนิงนั่งลงที่ขอบเตียงของฮั่วจิงจิงและเผลอมองที่เรียวข้างทั้งสองข้างที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล “พักนี้…”


 


 


“เธอไม่พูดอะไรก็ได้ ฉันรู้อยู่แล้วละ” ฮั่วจิงจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ฉันไม่ได้พักผ่อนแบบนี้มานานหลายปี บางที การบาดเจ็บก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายขนาดนั้น


 


 


“ฉันรู้ว่าเธออยากพูดอะไรกับฉัน หลังจากที่ฉันหายดี ฉันรู้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง แต่ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ ฉันอายุปูนนี้ บางทีอาจจะทำได้แค่เลียนแบบเธอและถอนตัวออกจากวงการ ฉันจะได้สามารถทุ่มเทให้กับการดูแลฟังอวี้กับเสี่ยวเย่ว์ได้”


 


 


“เธอจะไม่คิดถึงมันหรือไง”


 


 


“ฉันรักฟังอวี้และรักครอบครัวของฉัน ตราบใดที่ฉันยังมีครอบครัว ก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิดถึง” ฮั่วจิงจิงยักไหล่ทั้งสองข้างอย่างจริงใจ “ฉันไม่ได้มีค่าแค่บนรันเวย์นะ”


 


 


ฮั่วจิงจิงผ่านประสบการณ์มามากมายนับตั้งแต่อดีต หากเธอไม่สามารถเข้าใจเรื่องง่ายๆ ได้ ประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาของเธอก็ไร้ประโยชน์


 


 


“แต่ก่อน ฟังอวี้ไม่เคยใส่ใจที่ใครจะพากันเรียกฉันว่าเป็นรองเท้ามือสอง เขารักฉันและเคารพในตัวฉันโดยไม่สนใจว่าคนพวกนั้นจะพูดอะไร ดังนั้นฉันเองก็อยากทำอะไรเพื่อครอบครัวตัวเองเหมือนกัน โดยเฉพาะเพื่อเขาที่ทุ่มเทมามาก”


 


 


ได้ยินฮั่วจิงจิงกล่าวเช่นนั้น ถังหนิงก็พยักหน้า “ถ้าการตัดสินใจของเธอทำให้เธอมีความสุขก็ดีแล้ว”


 


 


“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ แล้วเธอล่ะ หลังจากฟังอวี้ออกไปได้แป๊บเดียว คุณป้าก็โทรมาขอให้ฉันช่วยให้กำลังใจเธอ คุณป้ากลัวว่าเธอจะคิดไปไกล เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับประธานโม่งั้นเหรอ ประธานโม่มีเมียน้อยจริงๆ เหรอ”


 


 


ถังหนิงนิ่งเงียบ


 


 


“ถังหนิง แม้แต่ฉันก็เชื่อใจประธานโม่นะ เธอคงไม่เชื่อเรื่องไร้สาระพรรค์นี้หรอกใช่ไหม อีกอย่าง ต่อให้มีผู้หญิงคนอื่นมาพยายามให้ท่าเขาจริง ใครจะไปมีคุณสมบัติเพียงพอมาแข่งกับเธอ”


 


 


“คุณแม่ไม่ได้เห็นเวลาเราสองคนอยู่ด้วยกัน เขาคงกังวลมากไปหน่อย” ถังหนิงอธิบาย โดยไม่รู้ว่าตนเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


 


 


ถังหนิงอยู่เป็นเพื่อนฮั่วจิงจิงระหว่างรอให้ฟังอวี้กลับมาที่โรงพยาบาล ขณะเดียวกัน ถังหนิงก็บอกให้ฟังอวี้พาฟังเย่ว์ไปที่ไห่รุ่ยหลังจากรับเด็กหญิงจากโรงเรียนในบ่ายวันนั้น


 


 


เพื่อต้อนรับเด็กน้อย ถังหนิงมุ่งหน้าตรงไปยังไห่รุ่ยหลังจากนั้นและอ่านหนังสือรออยู่ในห้องทำงานของโม่ถิง


 


 


ในระหว่างนั้น เธอแอบมองโม่ถิงเป็นระยะ เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอะไรที่ผิดแผกจากปกติ เธอจึงหัวเราะออกมา “คุณแม่เห็นคุณไปข้างบ้าน ทำไมคุณถึงซื้อบ้านของเพื่อนบ้านล่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินคำถามของถังหนิง โม่ถิงจึงเงยหน้าขึ้น “ผมซื้อไว้ให้เจ้าตัวน้อยของเรา ผมวางแผนจะเชื่อมบ้านสองหลังเข้าด้วยกัน”


 


 


“คุณวางแผนจะให้ลูกของเราอยู่บ้านหลังข้างๆ งั้นเหรอ” ถังหนิงสรุปเอง แม้ผู้ชายของเธอจะไม่ได้มีเมียน้อยอย่างที่ไป๋ลี่ฮวาคาดเดา แต่เขาก็มีบางอย่างแปลกไปจริงๆ


 


 


“ผมถามคนรอบข้างหลายคน ทุกคนบอกว่าหลังจากที่ผู้หญิงคลอดลูก ความสนใจทั้งหมดของเธอจะทุ่มเทให้กับลูกในขณะที่สามีจะกลายเป็นแต่ตัวประกอบอยู่ข้างหลัง”


 


 


“งั้น ท่านประธานโม่กลัวว่าจะกลายเป็นแค่ตัวประกอบฉากงั้นเหรอคะ” ถังหนิงหัวเราะ “คุณไม่ทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยเหรอ


 


 


“ว่าแต่ ท่านประธานโม่ คุณไม่คิดบ้างเหรอคะว่าคุณอาจจะใช้เวลากับลูกมากกว่าอยู่กับฉันหลังจากที่เขาคลอดออกน่ะ” ถังหนิงพูดแหย่อีกฝ่าย “ทางที่ดีคุณควรหยุดทำเรื่องตลกพวกนี้ได้แล้วนะ คุณกำลังทำให้คุณแม่เข้าใจผิดอยู่รู้ไหม”


 


 


“เข้าใจผิดเรื่องอะไร”


 


 


“เข้าใจผิดว่าคุณแอบมีเมียน้อยลับหลังฉันน่ะสิ” ถังหนิงอธิบายอย่างใจเย็น


 


 


“แล้วคุณคิดยังไงล่ะ คุณคิดยังไงหลังจากได้ยินสิ่งที่แม่พูด”


 


 


“ความคิดแรกของฉันคือถ้าสามีของฉันเป็นคนสำส่อนแบบนั้น เขาคงแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นไปก่อนหน้าฉันแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าฉันมั่นใจนะ แต่ฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางแบ่งสายตาไปมองผู้หญิงคนอื่นหรอก” ถังหนิงยิ้ม “ที่จริงฉันบอกได้ว่าสามีของฉันใส่ใจดูแลฉันมากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ…


 


 


“…เพราะเขากลัวว่าเจ้าตัวแสบในท้องฉันจะมาแย่งความรักไปจากเขา เขาเลยอิจฉา!”


 


 


นี่เป็นความหึงหวงแบบเฉพาะตัวของโม่ถิง เขาถึงขนาดระแวงลูกของตัวเอง


 


 


แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน


 


 


ในใจของเขาแล้วถังหนิงมีความสำคัญมากที่สุด


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ฟังอวี้ก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของโม่ถิงพร้อมกับฟังเย่ว์ ทันทีที่เขาเห็นถังหนิง เขากล่าวขอบคุณเธอด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “ผมไม่มีเวลาดูแลเธอจริงๆ ขอโทษด้วยที่รบกวนคุณ”


 


 


“ดูแลจิงจิงให้ดีๆ นะ!” ถังหนิงขู่ก่อนที่เธอจะรับช่วงต่อฟังเย่ว์จากมือของผู้เป็นพ่อ เด็กหญิงมารยาทดีเดินตามเธอไปยังโซฟาอย่างว่าง่าย


 


 


“เสี่ยวเย่ว์ หนูชอบที่นี่ไหมจ๊ะ”


 


 


ฟังเย่ว์มองไปรอบๆ ก่อนพยักหน้า “ค่ะ…”


 


 


ในขณะที่ถังหนิงกำลังจะเอาลูกอมที่เธอเตรียมมาให้ฟังเย่ว์ เด็กน้อยพลันคว้าชายเสื้อของเธอและพูดขึ้น “คุณอา… คุณอาคะ… เมื่อกี้นี้ เสี่ยวเย่ว์เห็น…”


 


 


“หนูเห็นอะไรจ๊ะ” ถังหนิงตั้งใจฟังฟังเย่ว์ที่พูดอย่างตะกุกตะกัก


 


 


“หนูเห็นคุณน้าคนนั้น”


 


 


“คุณน้าคนไหนเหรอ”


 


 


“คน… คนที่…” ฟังเย่ว์ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เธอจึงถึงถังหนิงออกไปจากห้อง ถังหนิงเดินตามหลังเด็กหญิงด้วยความสงสัยขณะที่เด็กน้อยเดินพาเธอไปยังห้องพักรับรองสำหรับศิลปิน


 


 


“มีอะไรเหรอ เย่ว์เอ๋อร์”


 


 


ฟังเย่ว์ชี้ผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อยไปยังกระเป๋าทรงกลมลายกวางใบหนึ่ง “วันที่คุณแม่ถูกกัด หนูเห็นกระเป๋าใบนั้น…”


 


 


ถังหนิงอึ้งขณะเอ่ยถาม “หนูหมายถึงคืนที่จิงจิงโดยหมากัดงั้นเหรอ”


 


 


“อือฮึ วันนั้นมีคุณน้าคนหนึ่งถือกระเป๋าใบนั้นเดินผ่านทางเข้า ตอนที่หนูเห็นหนูคิดว่ามันสวยดี หนูชอบ เมื่อกี้นี้หนูเห็นคุณน้าคนเดิมถือกระเป๋าใบนั้นเข้ามาในห้องนี้…”


 


 


ถังหนิงระงับอารมณ์เอาไว้โดยไม่มองดูอะไรอีก กลับกัน เธอกลับเดินพาฟังเย่ว์กลับออกมาอย่างใจเย็น เพราะถึงอย่างไร ที่ประตูหน้าห้องนั้นได้ติดป้ายระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ซ่งซิน’


 


 


เมื่อเด็กชอบอะไรบางอย่าง มันจะตราตรึงอยู่ในใจของเด็กๆ เหล่านั้น พวกเขาอาจไม่สามารถอธิบายรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ได้ แต่พวกเขาสามารถจดจำช่วงเวลาที่พวกเขาเห็นมันได้อย่างชัดเจน


 


 


หลังกลับมายังห้องทำงานของโม่ถิง ถังหนิงเล่าทุกอย่างที่ฟังเย่ว์พูดให้เขาฟัง


 


 


“ก่อนเกิดเหตุของจิงจิง เธอพูดกับฉันผ่านทางโทรศัพท์ว่าเธอสงสัยว่ามีใครบางคนกำลังวางแผนการชั่วร้ายใส่เธอ ดังนั้นหลังจากที่เธอได้รับบาดเจ็บ ฉันจึงมุ่งมั่นที่จะหาความจริง ตอนนั้นทุกอย่างที่น่าสงสัยกลับถูกปัดตกไปจนหมด แต่ถึงจะใช้เวลาไปมาก ฉันก็ไม่เสียเวลาเปล่า


 


 


“ก่อนหน้านี้ฮว่าเหวินเฟิ่งบอกว่าคนที่ปั่นหัวเธอมาจากไห่รุ่ย ฉันคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องสืบเรื่องนี้โดยละเอียดแล้วล่ะ”


 


 


โม่ถิงปิดแฟ้มงานชิ้นสุดท้ายและเดินตรงไปหาถังหนิง จากนั้นเขาอุ้มฟังเย่ว์ไว้ในอ้อมแขน “กลับบ้านกันเถอะ…”


 


 


ซ่งซินอาจไม่เคยคิดว่าความยุติธรรมนั้นอาจล่าช้าแต่แน่นอน ไม่ว่าผู้ช่วยของเธอจะแปลงโฉมไปอย่างรวดเร็วเพียงใด สุดท้ายเธอกลับถูกเปิดโปงด้วยกระเป๋าธรรมดาๆ เพียงใบเดียว


 


 


บางคนอาจคิดว่ากระเป๋าใบนั้นอาจเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ


 


 


แต่มันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น 

 

 


ตอนที่ 687 การโต้กลับของถังหนิง

 

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าผู้หญิงคนนั้นใช่ผู้ช่วยของซ่งซินหรือไม่


 


 


ด้วยการสืบอย่างลับๆ ถึงตำแหน่งที่อยู่ของเธอและแอบดูการพฤติกรรมต่างๆ ของเธอ ทำให้ข้อมูลที่ไม่คาดคิดมากมายถูกเปิดเผยออกมา


 


 


“ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่าต้วนจิ่งหง เป็นเพื่อนเก่าแก่ของซ่งซิน ทั้งสองทำงานร่วมกันมานานหลายปีแล้ว ที่จริงการที่ซ่งซินรุ่งโรจน์ขึ้นมาในวงการได้โดยใช้เวลาอันสั้นได้นั้นไม่ใช่เพียงเพราะไห่รุ่ยปูทางให้เพียงอย่างเดียว ผู้ช่วยที่ทำงานหน้าที่ควบตำแหน่งผู้จัดการด้วยคนนี้เองก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก ผู้หญิงคนนี้รู้จักวิธีใช้จุดแข็งของซ่งซินให้เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องภูมิหลังของซ่งซิน เธอยังสามารถคว้าโอกาสต่างๆ ได้อย่างง่ายดายอีกทั้งยังเป็นคนระแวดระวังและวางแผนอีกด้วย


 


 


“ด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้รับความไว้วางใจจากซ่งซินเป็นอย่างมาก และทั้งคู่ต่างช่วยเติมเต็มจุดแข็งให้กันและกัน ดังนั้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น พวกเธอจึงสามารถควบคุมวงการบันเทิงมากกว่าครึ่งได้อยู่หมัด


 


 


“อีกอย่าง ผู้หญิงคนนี้เคยไว้ผมสั้น แต่ผมไม่แน่ใจว่าเธอเริ่มสวมวิกและมีดั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมได้ยินมาว่าเธอเพิ่งไปทำศัลยกรรมจมูกมา”


 


 


นี่คือข้อมูลที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลค้นพบจากการสืบค้นภายในไห่รุ่ย ส่วนเรื่องของตำแหน่งที่อยู่ของเธอนั้น เขาทำได้เพียงสรุปว่าเธออยู่ตามตารางงานของซ่งซิน


 


 


เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมาบ้างในช่วงเวลาส่วนตัว


 


 


“ส่วนเรื่องกระเป๋าที่คุณของให้ผมไปสืบ มันเป็นสินค้ารุ่นลิมิเต็ดในโอกาสพิเศษของวาเลนติโนซึ่งมีเพียงห้าใบในโลกเท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่คนอื่นจะมีกระเป๋าแบบเดียวกันนั้นมีน้อยมาก”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของผู้จัดการฝ่ายบุคคล ถังหนิงก็คิดไตร่ตรองถึงสถานการณ์อย่างละเอียดและถาม “ต้วนจิ่งหงเริ่มใส่วิกตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


“เมื่อไม่กี่วันก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด เป็นช่วงเดียวกับที่ฮว่าเหวินเฟิ่งจัดงานแถลงข่าว”


 


 


มิน่าล่ะตอนที่ฮว่าเหวินเฟิ่งมาที่ออฟฟิศจึงหาคนที่เธอเคยพบไม่เจอ


 


 


แม้แต่กระต่ายเจ้าปัญญายังรู้จักสร้างทางเข้าโพรงถึงสามทาง นับประสาอะไรกับสุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์


 


 


“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ให้ทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น อย่าให้ใครรู้เรื่องที่ฉันถามเกี่ยวกับต้วนจิ่งหงเป็นอันขาด”


 


 


“ไม่ต้องห่วงครับคุณผู้หญิง ผมจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”


 


 


ถังหนิงพยักหน้าและโบกมือให้ผู้จัดการออกจากห้องไป ทว่าท่าทีของเธอกลับดูไม่ยินดีนัก ถ้าการมีตัวตนของเธอทำให้ซ่งซินรู้สึกเป็นศัตรูแล้วละก็ ฮั่วจิงจิงไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นได้อย่างไร ขาทั้งสองข้างของฮั่วจิงจิงเกือบจะต้องถูกตัดทิ้งเพราะสุนัขที่ดุร้ายเพียงตัวเดียว ที่เลวร้ายที่สุดคือต้วนจิ่งหงเลือกใช้เด็กตัวเล็กๆ ในการทำเรื่องแบบนี้…


 


 


ต้วนจิ่งหงต้องมีจิตใจโหดเ**้ยมถึงได้ใช้เด็กตัวเล็กๆ เป็นเครื่องมือแบบนี้!


 


 


“ฟังอวี้จะจัดการเรื่องของฮั่วจิงจิงเอง สิ่งที่ผมอยากรู้คือใครเป็นคนปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่ง…” โม่ถิงกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา กระนั้นถังหนิงก็ยังสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่แทรกออกมาในน้ำเสียงเขา


 


 


ถังหนิงไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้ เธอรู้ดีว่าฮว่าเหวินเฟิ่งได้รับการสั่งสอนในคืนก่อนที่เธอจะเข้ามอบตัวกับตำรวจแม้โม่ถิงจะไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังด้วยตัวเองก็ตาม


 


 


หากต้วนจิ่งหงมีส่วนเกี่ยวข้องจริง ชายที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานคนนี้จะไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่อย่างสงบ…


 


 


ในเมื่อต้วนจิ่งหงทำงานให้ซ่งซิน ซ่งซินจะต้องมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องทั้งหมดอย่างแน่นอน ที่จริงมีความเป็นได้อย่างสูงที่เธอจะเป็นคนต้นคิดเรื่องทั้งหมด


 


 


ใครบางคนดูเหมือนจะกำลังท้าทายอำนาจโม่ถิง ดังนั้นเขาจึงโทรหาฟังอวี้ “ทำให้ทุกงานที่กำลังจะเข้ามาของซ่งซินมีปัญหา”


 


 



 


 


ซ่งซินไม่รู้เลยว่าเธอได้ตกเป็นเป้าของถังหนิงแล้ว กลับกัน เธอยังคงฝันหวานถึงการได้เขี่ยถังหนิงให้ตกกระป๋องในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เธอเป็นผู้ชนะในหลายการแข่งขันและสนุกที่ได้ดูถูกเยียดหยามคนอื่น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นที่หนึ่งได้เสมอไป


 


 


หลังจากฟังอวี้ได้รับสายของโม่ถิง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าซ่งซินไปทำอีท่าไหนให้โม่ถิงโกรธ


 


 


กระนั้นเขาก็ยังทำตามที่ได้รับคำสั่ง


 


 


คืนนั้นซ่งซินควรจะต้องไปปรากฏตัวในรายการทอร์กโชว์รายการหนึ่ง ซึ่งเป็นรายการที่มีแฟนๆ จากทั่วโลกคอยติดตาม ดังนั้นมันจึงเป็นโอกาสสำคัญที่เธอจะได้เพิ่มความโด่งดังและชื่อเสียง


 


 


แต่สิ่งที่ซ่งซินไม่คาดคิดเลยคือ เธอได้รวมในการบันทึกรายการจริง แต่การปรากฏตัวหน้ากล้องนั้นกลับ…


 


 


…น้อยนิด!


 


 


เกิดอะไรขึ้น เธอกำลังดังนะ ผู้จัดการการตาบอดหรือไง


 


 


หลังการบันทึกรายการ ต้วนจิ่งหงก็เดินไปหาผู้จัดรายการ แรกเริ่มนั้นน้ำเสียงของเธอสุภาพมาก “ผู้จัดคะ ฉันสงสัยว่าซ่งซินไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า”


 


 


“ไม่นี่” ผู้จัดรายการอายุราวสี่สิบกว่าๆ ส่ายศีรษะ


 


 


“งั้น… คุณไม่คิดว่าซ่งซินออกกล้องน้อยไปหน่อยงั้นเหรอคะ”


 


 


“อ๋อ นี่เธอจะบ่นว่ามันน้อยไปงั้นเหรอ งั้นเราตัดมันออกหมดเลยก็แล้วกัน” ผู้จัดรายการคนนั้นกล่าวก่อนที่เขาจะเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะสบตากับต้วนจิ่งหง


 


 


ต้วนจิ่งหงเดือดดาลจนแทบจะกระอักเลือด แต่ชายคนนั้นเป็นผู้จัดตัวท็อปของวงการ ไม่ว่าเธอจะกล้าหาญเพียงใด ก็ไม่กล้าไปมีเรื่องกับเขา เว้นเสียแต่ซ่งซินจะไม่อยากมีชีวิตรอดอยู่ในวงการนี้อีกต่อไป


 


 


กระนั้น ไม่ว่าเธอจะคิดเรื่องนี้เพียงใด เธอก็ไม่อาจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้!


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ต้วนจิ่งหงก็กลับไปอยู่ข้างซ่งซินและอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง กระนั้นซ่งซินไม่ได้มีทีท่าโมโหแต่อย่างใด เธอเพียงแค่ถาม “เธอได้พูดถึงพื้นเพบ้านฉันหรือเปล่า”


 


 


“เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันพูดน่ะสิ”


 


 


“โทร.หาไห่รุ่ยแล้วพูดกับฟังอวี้!”


 


 


ซ่งซินนั้นเป็นคนมีความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย ที่จริงแล้วความสามารถของเธอนั้นถือว่าไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่โชคไม่ดีที่เธอไม่ได้ถ่อมตนในเรื่องนี้


 


 


แม้แต่ในช่วงเวลากลางดึกเช่นนี้ หากเธอต้องการพบฟังอวี้ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและเขาจะต้องจัดการกับปัญหาของเธอในทันที


 


 


แต่แน่นอนว่าขณะนั้นฟังอวี้อยู่ที่โรงพยาบาลและปิดเครื่องโทรศัพท์ เขาเดาไว้แล้วว่าซ่งซินจะต้องถามหาตัวเขา ดังนั้นซ่งซินจึงเปลี่ยนไปโทรหาลู่เช่อแทน ทว่าลู่เช่อกำลังอยู่ระหว่างการขับรถไปส่งโม่ถิงและถังหนิงที่บ้าน ทันทีที่เขาได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ เขาหยิบมันขึ้นมาวางข้างๆ ก่อนรับสายโทรศัพท์


 


 


“ผู้ช่วยลู่เช่อคะ… คืนนี้ซ่งซินของเราได้รับการปฏิบัติอย่างแย่มากๆ ไห่รุ่ยจะต้องจัดการกับเรื่องนี้นะคะ”


 


 


ลู่เช่อต้องการจะขับรถต่อ เขาจึงไม่สะดวกคุยโทรศัพท์ แต่ถังหนิงได้ยินสิ่งที่ต้วนจิ่งหงพูด จึงบอกกับลู่เช่อ “ส่งโทรศัพท์มาให้ฉัน นายจะได้ขับต่อได้”


 


 


ลู่เช่อส่งโทรศัพท์ให้ถังหนิงทันที หลังจากมองหน้าโม่ถิง ถังหนิงก็ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เธอถูกปฏิบัติไม่ดียังไงงั้นเหรอ”


 


 


“นั้นใครน่ะ”


 


 


“ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นคนสอนกฎให้เธอ เธอข้ามหน้าฟังอวี้แล้วมาติดต่อท่านประธานโดยตรงได้ยังไง” น้ำเสียงถังหนิงนั้นสงบนิ่ง แต่ทรงอำนาจ


 


 


“ฉัน…”


 


 


“ซ่งซินคิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหนถึงสามารถเรียกร้องความสนใจจากท่านประธานได้”


 


 


หลังฟังอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดต้วนจิ่งหงก็จำเสียงถังหนิงได้ เธอจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงใจเย็น “คุณนายโม่คะ คุณเป็นแค่ศิลปินคนหนึ่งของไห่รุ่ย อย่าบอกฉันนะคะว่าท่านประธานขอให้คุณรับสายแทนเขาเพราะไห่รุ่ยเป็นแค่ของเล่นให้คุณมาเล่นได้ง่ายๆ”


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือเธอกำลังบอกถังหนิงว่าเธอไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายเรื่องของเธอ


 


 


“ถ้าโม่ถิงรับสาย ชะตากรรมของเธอจะแย่ยิ่งกว่านี้อีก…” ถังหนิงตอบตามตรง


 


 


“แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”


 


 


ถังหนิงยิ้มเยาะพลางส่งโทรศัพท์ให้โม่ถิง แต่โม่ถิงไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองโทรศัพท์เครื่องนั้นและเพียงแค่พูดว่า “บอกเจ้านายของเธอให้มาพบฉันที่ออฟฟิศพรุ่งนี้ ดื้อด้านจริงๆ!” 

 

 


ตอนที่ 688 ซ่งซินกับความพ่ายแพ้!

 

ที่ปลายสาย สีหน้าต้วนจิ่งหงซีดเผือด…


 


 


เธอสัมผัสถึงคำเตือนของโม่ถิงได้อย่างชัดเจน…


 


 


หากไห่รุ่ยสามารถผลักดันให้ซ่งซินสูงขึ้นได้ พวกเขาก็สามารถลากเธอลงมาได้เช่นกัน นี่คือพลังอันทรงอำนาจที่โม่ถิงมี เขาสามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดได้ตราบใดที่คนคนนั้นไม่คิดท้าทายอำนาจเขา


 


 


นั่นคือเหตุผลที่ทำไมศิลปินทุกคนในไห่รุ่ยต่างเคารพโม่ถิงและเกรงกลัวในเวลาเดียวกัน


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกต่อไปเพราะกลัวว่านั่นอาจเป็นการทำลายอนาคตของซ่งซิน ดังนั้นเธอจึงรีบระงับความโกรธของตัวเองอย่างรวดเร็ว


 


 


โชคยังดีที่เธอไม่ได้บอกว่าเธอโทรมาตามที่ซ่งซินสั่ง ไม่เช่นนั้นสถานการณ์อาจเลยเถิดไปจนเกินกว่าจะแก้ไขได้


 


 


หลังเดินกลับไปยังรถตู้ของศิลปิน ต้วนจิ่งหงก็มองหน้าซ่งซินและกล่าวปลอบโยนอีกฝ่าย “ฟังอวี้บอกว่าพรุ่งนี้เขาจะดูเรื่องนี้ให้”


 


 


“ทำคืนนี้เลยไม่ได้หรือไง”


 


 


“เธอก็รู้ดีนี่ว่าเมียเขา…”


 


 


“ใช่ มันเป็นแบบนั้นเพราะฉันไง!” ซ่งซินไม่พูดอะไรอีก เธอเพียงแค่หลับตาลงพักผ่อน ต้วนจิ่งหงเข้าใจว่าอีกเดี๋ยวอีกฝ่ายคงจะลืมเรื่องทั้งหมดแต่ในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แต่ซ่งซินลากต้วนจิ่งหงไปถึงห้องทำงานของฟังอวี้ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ของเขาและเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกับรายการทอร์กโชว์เมื่อคืนนี้คะ


 


 


“คนพวกนั้นไม่รู้จักตัวตนของฉันหรือไง”


 


 


ฟังอวี้ทำงานภายใต้คำสั่งของโม่ถิง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแน่นอนที่เขาจะรู้ว่าซ่งซินกำลังพูดถึงอะไร ดังนั้นเขาจึงยิ้มเล็กน้อยก่อนถาม “ตัวตนอะไร”


 


 


“ปู่ของฉัน…”


 


 


“ตอนนี้น้องชายของโปรดิวเซอร์คนนั้นได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งสำคัญของรัฐบาล แล้วคุณยังจะอ้างปู่ที่เกษียณอายุไปแล้วของคุณอยู่อีกเหรอ” ฟังอวี้ต่อว่า “ซ่งซิน คุณไม่คิดว่าคุณล้ำเล้นไปหน่อยหรือไง”


 


 


ทั้งซ่งซินและต้วนจิ่งหงต่างพากันอึ้ง ฟังอวี้ตอกกลับซ่งซินด้วยท่าทีไม่ไว้หน้าแบบนี้ได้อย่างไร


 


 


ที่สำคัญกว่านั้นคือซ่งซินกำลังถูกบังคับให้ยอมรับว่ามีคนที่อยู่เหนือเธอเสมอ


 


 


เธอเกลียดความรู้สึกถูกข่มเหง เธอรังเกียจมันที่สุด!


 


 


“เรื่องในครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายใหญ่โตอะไรให้คุณ คุณแค่ได้ออกหน้ากล้องน้อยกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้น ศิลปินหลายๆ คนก็เคยโดนแบบนี้ แล้วคุณจะเดือดร้อนทำไมกัน แล้วเมื่อคืนคุณยังโทรหาประธานโม่อีก คุณรู้หรือเปล่าว่าประธานโม่เกลียดอะไรมากที่สุด


 


 


“เขาเกลียดพวกอีโก้สูง แล้วพวกอีโก้สูงที่ผมว่าคือคนแบบไหนงั้นเหรอ ก็พวกคนที่คิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น…


 


 


“ถ้าพวกคุณไม่มีเรื่องอะไรอื่นอีกก็ออกไปได้แล้ว”


 


 


ซ่งซินไม่เคยต้องอับอายแบบนี้มาก่อนในชีวิต หลังจากถูกฟังอวี้ต่อว่า ดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็บวมแดง หากเธอทำได้ เธอจะสับฟังอวี้ให้เป็นพันๆ ชิ้น


 


 


“ซ่งซิน ออกไปกันก่อนเถอะ” ต้วนจิ่งหงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะมีปัญหากับเอเจนซี่ในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะถึงยังไงตอนนี้ซ่งซินก็กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและไห่รุ่ยเองก็เป็นที่ที่ดีที่สุดในวงการ


 


 


หากพวกเธอมีเรื่องกับไห่รุ่ย แล้วซ่งซินจะมีโอกาสไขวคว้าอะไรได้อีก


 


 


“จำคำที่คุณพูดวันนี้เอาไว้ให้ดี!”


 


 


พูดจบ ซ่งซินก็เดินตึงตังด้วยความโกรธนำหน้าต้วนจิ่งหง ทำให้พนักงานของไห่รุ่ยรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง


 


 


เมื่อกลับมาถึงห้องของตัวเอง ซ่งซินนั่งเงียบที่เก้าอี้ของเธอ ต้วนจิ่งหงปล่อยให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลง ก่อนที่เธอจะตบลงบนบ่าของอีกฝ่าย “อย่าโกรธไปเลยนะ… เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”


 


 


“ทำไมพวกมันถึงทำกับฉันแบบนี้”


 


 


“ถ้าเธอคิดดีๆ ไห่รุ่ยไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ประธานโม่เองก็เป็นคนดุแถมไร้ความปรานีมาตลอด เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ไว้หน้าเธอ เพราะอย่างนี้เธอถึงเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในไห่รุ่ยตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ ส่วนฟังอวี้ ถึงเขาจะพูดไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่ก็มีเหตุผล พื้นเพของเธออาจจะยิ่งใหญ่แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่มีพื้นเพใหญ่โต คิดซะว่าวันนี้นับเป็นบทเรียนก็แล้วกันนะ


 


 


“อีกอย่าง… อย่าลืมว่าเราเป็นคนทำให้เมียเขาบาดเจ็บ ตอนนี้ก็ทนๆ ไปก่อนแล้วกัน”


 


 


หลังจากได้ยินคำแนะนำของต้วนจิ่งหง ซ่งซินก็พยายามระงับความโกรธที่ปะทุอยู่ภายใน


 


 


“สักวันฉันจะทำให้มันต้องมาคุกเข่าต่อหน้าฉัน…”


 


 


“แน่นอน ซ่งซินของเราไร้เทียมทานอยู่แล้ว”


 


 


การมีความมั่นใจนั่นเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ควรมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป


 


 


ที่จริงแล้วฟังอวี้เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ เมื่อดูจากความก้าวหน้าของซ่งซินแล้วไม่ต้องสงสัยว่าตอนนี้เธอกำลังดัง ถึงเธอจะเป็นคนเห็นแก่ตัวและหยิ่งยโส แต่โม่ถิงไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งไม่ให้อีกฝ่ายได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วยตัวเองเลย


 


 


แต่ถังหนิงไม่คิดจะเปิดเผยความจริงในทันทีเพราะเธอไม่รู้ว่าฟังอวี้จะทำอะไรเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด


 


 


แม้เธอจะสามารถยืนยันได้แล้วในระดับหนึ่ง แต่มันก็เป็นเพียงลางสังหรณ์เท่านั้น


 


 


ในเมื่อซ่งซินชอบเล่นเกมแมวจับหนู… ถังหนิงก็จะเล่นด้วย


 


 


เช้าวันนั้น ไป๋ลี่หวากลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเป่ย หลังจากที่ตัวตนของเธอได้รับการยืนยันแล้ว ผู้อาวุโสเป่ยก็ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งหมดที่ไป๋ลี่หวาต้องประสบพบเจอและพร้อมที่จะต้อนรับลูกสาวที่แท้จริงของเขากลับบ้าน


 


 


ถังหนิงเดินทางไม่สะดวกนัก เธอจึงไม่ได้ไปเป็นเพื่อนไป๋ลี่หวา แม้เธอจะอยากพบคุณตาของโม่ถิงก็ตาม


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่วันที่เฉินซิงเยียนและอันจื่อเฮ่าสารภาพความในใจต่อกัน คำพูดจาของเฉินซิงเยียนก็ฟังดูราวกับสาวน้อยที่กำลังมีความรัก


 


 


ในช่วงเวลานี้ การแข่งขันระหว่างเธอกับหลิงหลงยิ่งทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ขณะที่ผู้กำกับเริ่มปรารถนาที่จะให้โอกาสเธอมากขึ้นเรื่อยๆ และเธอต้องเข้าฉากที่มีความยากและจริงจังมากขึ้นเช่นกัน เมื่อการแข่งขันเกิดขึ้น ความท้าทายก่อให้เกิดความรู้สึกทั้งรักและเกลียดแต่เธอพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ผู้กำกับไม่ได้บอกเธอว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนของอันจื่อเฮ่า และเขาไม่ได้บอกเธอด้วยว่าทุกฉากที่เธอลองแสดงนั้นได้รับการถ่ายเก็บไว้อย่างครบถ้วน


 


 


ในตอนแรก หลิงหลงเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ในฐานะผู้ช่วยให้เฉินซิงเยียนพัฒนาตัวเอง ก็เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าเฉินซิงเยียนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ


 


 


คืนนั้น เฉินซิงเยียนยังคงถ่ายทำจนถึงกลางดึก แต่อันจื่อเฮ่าจำเป็นต้องกลับไปยังกองถ่ายของ ‘ชายาหนิง’ ในเช้าวันต่อไป


 


 


อันจื่อเฮ่าอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกมาก แต่นี่เป็นความสัมพันธ์ครั้งแรกของเฉินซิงเยียน


 


 


เธอฝันที่จะได้อยู่เคียงข้างคนรักของเธอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่นาทีเดียว


 


 


ส่งผลให้อันจื่อเฮ่าต้องอยู่ค้างในคืนนั้น แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องของเฉินซิงเยียน แต่เลือกที่จะนอนกับพื้นที่กองถ่ายแทน ทั้งสองไม่อาจปล่อยให้ใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองกันและกันอยู่เสมอ ช่างเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเสียจริง…


 


 


จนกระทั่งเช้าวันต่อมา ขณะที่ไม่มีใครทันสังเกต ในที่สุดเฉินซิงเยียนก็ได้โอกาสโน้มเข้าหาใบหน้าอันจื่อเฮ่าและหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็วก่อนที่เธอจะรีบกลับมาอยู่ที่เดิม


 


 


อันจื่อเฮ่าอดยิ้มไม่ได้ “เธอยังเด็กอยู่จริงๆ นั่นแหละ ฉันคงเริ่มแก่ไปแล้วสินะ…”


 


 


“อะไร นายไม่ชอบหรือไง”


 


 


“เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอก” อันจื่อเฮ่าพูดพลางยันหน้าผากของเด็กสาว


 


 


“เราเป็นแฟนกันนี่ ทำไมทำไม่ได้ล่ะ”


 


 


“เพื่อปกป้องตัวเธอเอง” อันจื่อเฮ่าลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางนวดแขนที่เป็นเหน็บของตัวเอง “ฉันต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”


 


 


“นายจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ” เฉินซิงเนียนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง


 


 


“ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเธอ…” อันจื่อเฮ่าตอบก่อนหันหลังเดินออกไป


 


 


บางครั้ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้เลือกแฟนสาวที่ทั้งเด็กและเป็นตัวป่วนอีกแล้ว


 


 


หรืออาจเป็นเพราะ…


 


 


…เขาเกิดมาชอบโดนรังแกกันนะ 

 

 


ตอนที่ 689 คุณกำลังประกาศสงครามงั้นเหรอ

 

หลังจากนั้น งานต่างๆ ของซ่งซินต่างไม่ราบรื่นอย่างที่เธอหวัง หากไม่ได้ออกกล้องมากนัก ก็จะถูกจัดไปอยู่ขอบๆ อย่างไม่แยแส


 


 


หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้ง เธอก็อาจจะยังพอปล่อยผ่านไปได้ แต่หลังจากพลาดโอกาสไปหลายต่อหลายครั้ง เธอก็เริ่มคลางแคลงใจว่าอาจมีใครบางคนชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้


 


 


“ดึกแล้วนะ ทำไมเธอยังไม่นอนอีกล่ะ” ต้วนจิ่งหงเห็นซ่งซินกำลังสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงนอกห้องก่อนรีบนำถาดรองเถ้าบุหรี่ไปให้


 


 


“เธอไม่สังเกตหรือไงว่าช่วงนี้งานของฉันไม่ค่อยดี”


 


 


“ฉันไม่เห็นอะไรที่เป็นปัญหาใหญ่นะ” ต้วนจิ่งหงตอบ ซ่งซินยังคงปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์และตารางงานของเธอก็ยังแน่นขนัด ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นคือผลที่ออกมานั้นไม่เป็นอย่างที่หวัง


 


 


“ฉันรู้สึกมาตลอดว่าไห่รุ่ยจงใจกดฉันเอาไว้” ซ่งซินกล่าวพลางเหม่อมองไปไกล


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีเหตุผลที่ไห่รุ่ยจะทำแบบนั้น”


 


 


“อย่าลืมสิว่าไห่รุ่ยไม่ได้มีแค่โม่ถิงแต่ยังมีถังหนิงอยู่อีกคน กว่าถังหนิงจะมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับฉันที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแย่งความสนใจไป ผู้หญิงคนนั้นต้องเกลียดฉันมากแน่” ซ่งซินไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าถังหนิงได้ล่วงรู้ถึงการกระทำอันเลวทรามของเธอแล้ว เธอเพียงแค่ทึกทักไปเองว่าถังหนิงมองเธอเป็นคู่แข่งคนหนึ่ง


 


 


เป็นคู่แข่งที่น่าหวาดกลัว!


 


 


“ตอนนี้เราควรทำยังไงกันดี” ต้วนจิ่งหงรู้สึกว่าคำพูดของซ่งซินนั้นก็ไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว


 


 


“ในเมื่อไห่รุ่ยเลือกทางนี้ พวกมันจะมาโทษที่ฉันตอบโต้ไม่ได้” ซ่งซินขยี้ก้นบุหรี่ด้วยสายตาเยือกเย็น เธอเป็นคนมีพรสวรรค์แต่… เธอสำคัญตัวเองมากเกินไป


 


 


เธอคิดถูกเรื่องที่ไห่รุ่ยกดเธอลง แต่นั่นไม่ใช่เพราะความสามารถต่างๆ ที่เธอภูมิใจนักหนา


 


 


เช้าตรู่วันต่อมา ข่าวได้เริ่มแผ่กระจายออกมาว่าไห่รุ่ยสกัดงานของซ่งซิน ในเมื่อถังหนิงทำเรื่องเลยเถิดเช่นนี้ เธอก็ไม่อาจโทษซ่งซินที่เอาปัญหานี้ออกสู่สื่อได้


 


 


หลังได้ยินข่าวดังกล่าว ฟังอวี้ก็รีบตรงไปเคาะประตูห้องทำงานประธานบริษัทและนั่งลงตรงข้ามถังหนิง “ข่าวลือเริ่มออกมาแล้ว”


 


 


“ข่าวลือต่างๆ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เอง ซ่งซินเป็นคนปล่อยข่าว” ถังหนิงกล่าวอย่างใจเย็นขณะที่เธอยังคงจดจ่ออยู่กับบทละครตรงหน้า “ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้ถิงกับฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะยอมถูกใครมากดขี่ได้ง่ายๆ”


 


 


“พูดถึงเรื่องนี้ ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าซ่งซินไปหาเรื่องประธานโม่อีท่าไหน” ฟังอวี้สับสน “พูดตามหลักแล้ว ซ่งซินอาจจะผยองแต่สุดท้ายผมเป็นคนตามเก็บกวาดทุกครั้ง”


 


 


ถังหนิงเงยหน้าขึ้นมองฟังอวี้ เธอไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที หลังจากเรียบเรียงคำพูดได้แล้ว เธอจึงตอบ “เรามีเหตุผลของเรา”


 


 


“ถังหนิง คุณไม่เคยทำตัวขี่ช้างจับตั๊กแตนแบบนี้นี่” ฟังอวี้ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า “ผมไม่ค่อยอยากยุ่งกับการกระทำคุณสักเท่าไหร่หรอกนะ”


 


 


“คนที่ปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่งคือผู้ช่วยของซ่งซินที่ชื่อต้วนจิ่งหง” ถังหนิงจงใจข้ามเรื่องของจิงจิงไปและบอกฟังอวี้เกี่ยวกับกรณีของเธอแทน “ฉันมั่นใจว่าคุณเข้าใจว่าทำไมถิงถึงทำแบบนี้”


 


 


“คุณแน่ใจนะ” ฟังอวี้ยังคงข้องใจ


 


 


“ก่อนหน้านี้ฮว่าเหวินเฟิ่งมาที่ไห่รุ่ยเพื่อชี้ตัวคนที่ปั่นหัวเธอ แต่เธอมองหาทั่วทั้งบริษัทแต่กลับไม่เจอตัวการ ตอนนั้นพวกเราต่างคิดว่าตัวการต้องไม่ได้มาจากไห่รุ่ยแน่ แต่ผลปรากฏตัวผู้หญิงคนนั้นแปลงโฉมตัวเอง” ถังหนิงอธิบายโดยไม่เปิดเผยส่วนที่เสี่ยวเย่ว์จำกระเป๋าที่ผลิตจำนวนจำกัดใบนั้นได้


 


 


“คุณจะทึกทักว่าเป็นฝีมือของต้วนจิ่งหงด้วยเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้หรอกนะ…”


 


 


“เพราะอย่างนั้นโม่ถิงก็เลยเอารูปของต้วนจิ่งหงตอนที่ผมสั้นและไม่แต่งหน้าไปให้ฮว่าเหวินเฟิ่งดู คุณเดาได้ไหมว่าผลออกมาเป็นยังไง”


 


 


ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อเพราะความจริงที่ถังหนิงถามนั้นหมายความว่าเธอได้ยืนยันเป้าหมายของเธอแล้ว


 


 


“ผู้หญิงสองคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก พวกเธอเกือบจะหนีรอดไปได้แล้ว…


 


 


“แต่ไม่ว่าโลกนี้จะกว้างใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีอะไรสามารถเล็ดลอดผ่านรอยร้าวไปได้”


 


 


ในที่สุดฟังอวี้ก็เข้าใจและพยักหน้า “ทำไมคุณถึงไม่เรียกตำรวจล่ะ”


 


 


ถังหนิงวางบทละครในมือลง ก่อนยกแก้วนมของเธอขึ้นและตอบอย่างแฝงความหมาย “เพราะมันยังไม่ถึงเวลา”


 


 


เธอต้องการให้ต้วนจิ่งหงและซ่งซินได้พบกับความรู้สึกตอนที่ถูกสุนัขขย้ำและถูกวางยาพิษเสียก่อน


 


 


“แต่ตอนนี้ข้างนอกกำลังพูดไปต่างๆ นานา…”


 


 


“ใช้ศิลปินคนอื่นดึงความสนใจของประชาชนสิ” ถังหนิงออกคำสั่งอย่างนุ่มนวล “ฟังอวี้ ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ซ่งซินมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก แต่การที่คนมีพรสวรรค์แล้วมาแอบทำร้ายคนอื่นลับหลังมีแต่จะทำร้ายคนบริสุทธิ์เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ”


 


 


“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่”


 


 


เพราะถังหนิงเข้าใจนิสัยของฟังอวี้ดี เธอจึงไม่อาจบอกเขาเรื่องเกี่ยวกับฮั่วจิงจิงได้


 


 


อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้


 


 


ฟังอวี้ลุกขึ้นออกจากห้อง แต่หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับมาที่ห้องประธานก่อนกล่าวกับโม่ถิงและถังหนิง “ซ่งซินต้องการพบพวกคุณ คุณจะเจอเธอหน่อยไหม ถ้าไม่ ผมจะได้ปฏิเสธไปให้”


 


 


“ฉันจะคุยกับเธอที่ออฟฟิศ เธอทำอะไรฉันไม่ได้ถ้าฉันอยู่ที่นี่” ไห่รุ่ยมีระเบียงที่เปิดโล่งและมีผู้คนอยู่มากมาย ดูจากความคิดของซ่งซินแล้ว ไม่ว่าเธอจะโง่เขลาเพียงใด ก็จะไม่มีวันทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าในที่แบบนี้แน่


 


 


ชั่วครู่ต่อมา ถังหนิงก็ลุกขึ้นจากโซฟา แม้โม่ถิงจะไม่พูดอะไรเลย แต่เขาก็ส่งสัญญาณให้เหล่าบอดีการ์ดคอยจับตาดูถังหนิงเอาไว้


 


 


ไม่นานนัก ถังหนิงก็เดินทางมาถึงที่ระเบียงโดยมีซ่งซินนั่งรอเธออยู่ที่นั่นแล้ว


 


 


“ฉันไม่คิดว่าคุณจะยอมตกลงมาพบฉันจริงๆ”


 


 


“ว่ามาสิ เธอต้องการอะไร” ถัหงนิงกล่าวขณะนั่งลงตรงข้ามซ่งซิน หลังกวาดตามองซ่งซินแล้ว ถังหนิงก็พูดเสริม “ผู้จัดการของเธอไปไหนล่ะ”


 


 


“ฉันสังเกตว่าคุณไม่ได้เก่งแค่บนรันเวย์กับการแสดงเท่านั้น พักหลังคุณยังพัฒนาทักษะอีกอย่างขึ้นมาด้วยนี่ ทักษะการขี้ฟ้องบนเตียง” ซ่งซินกล่าวพลางคนกาแฟในแก้วของเธอและหัวเราะ “คุณรู้สึกว่าโดนฉันกดดันอย่างนั้นเหรอ ถึงได้ใช้ประธานโม่มากดดันฉันแบบนี้”


 


 


ถังหนิงเองก็หัวเราะออกมาเช่นกันขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองซ่งซิน “เราไม่ได้อยู่ในสายงานเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีการแข่งขันใดๆ ระหว่างเราสองคน ทำไมฉันจะต้องมองเธอเป็นคู่แข่งด้วยล่ะ


 


 


“เธอเขียนเพลงได้ดีแถมบทละครที่เธอเขียนก็นับว่าไม่เลว แต่เธอไม่มีเรียวขาให้น่าอิจฉา แถมไม่มีทักษะทางการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำไมฉันถึงต้องสนใจเธอด้วย”


 


 


ซ่งซินอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เธอตอบกลับด้วยเสียงแข็งขึ้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว “ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นทำไมคุณต้องให้ประธานโม่มากดดันฉันด้วย


 


 


“ก็จริงที่ฉันไม่มีขายาวๆ หรือมีทักษะในการแสดง แต่ฉันยังสาว พอถึงตอนที่ฉันอายุเท่าคุณ จะยังมีอะไรที่ฉันมีไม่ได้อีกหรือไง”


 


 


“เธออาจจะมีไม่ได้ถึงครึ่งของที่ฉันมีด้วยซ้ำ” ถังหนิงตอกกลับอย่างสงบนิ่ง “อย่าพยายามใช้คำพูดมาปั่นหัวฉันเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ซ่งซิน ระวังสิ่งที่เธอทำไว้ให้ดี ไม่งั้นเธออาจจะถึงฆาตเพราะตัวเอง”


 


 


หลังได้ยินคำขู่เช่นนี้ ซ่งซินก็พลันหัวเราะออกมาอย่างหยิ่งผยอง “คุณกำลังประกาศสงครามกับฉันงั้นเหรอ ด้วยสภาพแบบนี้เนี่ยนะ


 


 


“ถังหนิง ไม่ใช่แค่คุณกำลังท้อง แต่ยังอายุปาเข้าไปยี่สิบเจ็บแล้ว ต่อให้คุณสาวเท่าฉัน คุณก็ไม่ใช่คู่แข่งที่คู่ควรกับฉันหรอก คุณคิดว่าการใช้ประธานโม่มากดดันฉันเป็นสัญญาณแทนความสำเร็จหรือไง


 


 


“ฉันจะบอกให้นะ คุณยังห่างอีกไกล”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม