ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 669-678

ตอนที่ 669 จะบ้าไปแล้วเหรอ!

 

“ไม่เป็นไรหรอก” หลี่ว์ซู่โบกมือแล้วเก็บไม้สามง่ามเข้าไปในตราแผ่นดิน “มันอันตรายเกินไป เดี๋ยวได้ตายเอาที่นี่หรอก”


 


 


จ้าวหย่งเฉินก็เงียบไปครู่หนึ่ง “ขอบคุณครับ”


 


 


งานของสายลับหน่วยข่าวกรองนั้นเสี่ยงเสมอ พวกเขารู้ว่าต้องยอมสละชีวิตเพื่อชาติถ้าต้องทำภารกิจอย่างนั้นจริงๆ แต่จะมีใครกันที่อยากตายล่ะ


 


 


จ้าวหย่งเฉินและคนอื่นๆ กังวลกันอยู่พอควรว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการต่างประเทศ แล้วถ้าคนคนนั้นไม่สนใจว่าชีวิตพวกเขาจะเป็นอย่างไรเลยล่ะ อย่างน้อยคนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นคนจิตใจดี ทำให้จ้าวหย่งเฉินยังรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนคนหนึ่งที่มีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่แค่สิ่งของ


 


 


“นี่คุณเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าหรือเปล่าครับเนี่ย” อยู่ๆ จ้าวหย่งเฉินก็ถามขึ้นมา


 


 


หลี่ว์ซู่ชะงักกลางคันตอนกำลังจะผลักประตูออกไป “ไม่ใช่”


 


 


“หวังว่าคุณจะได้เป็นนะ โชคดีครับ” พอพูดจบเขาก็หันกลับไปดูละครต่อ เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกได้ถึงความคาดหวังอยู่ในนั้น


 


 


หลี่ว์ซู่เดินออกไปจากร้าน ได้เวลาเล่นกันแล้ว เขาและหลี่อีเสี้ยวจะโค่นผู้นำของ EO ได้ง่ายๆ ก็ต่อเมื่อได้ต่อสู้ด้วยกัน ซึ่งจะทำให้คนแอฟริกาหน้าใหม่ๆ ได้เข้ามาดูแลเรื่องกรรมสิทธิ์แร่ แล้วเครือข่ายฟ้าดินค่อยตกลงร่วมงานกับพวกเขา


 


 


จริงๆ แล้วนี่เป็นแผนดั้งเดิมของเครือข่ายฟ้าดิน พวกเขาต้องการให้ใครสักคนมาเป็นกันชนให้ระหว่างพวกเขาและองค์กรอื่นๆ และก็ต้องเป็นคนของพวกเขาเองด้วย และในขณะเดียวกันนั้นเบ็นเนตต์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่จุดไหนหรือกำลังทำงานให้ใครกันแน่ ก่อนหน้ายุคของคลื่นพลังชี่นั้น พวกทหารรับจ้างของ EO ได้เข้ามาทำลายโรงงานของคนจีนไป เมื่อเวลาผ่านไปคนส่วนใหญ่ก็ลืม แต่เนี่ยถิงกลับจำเรื่องนั้นได้ขึ้นใจ


 


 


เบ็นเนตต์ถูกกลุ่มแก่นความเชื่อกดดันและทำให้เขาต้องอยู่ในความเสี่ยง แต่เขาไม่คาดคิดหรอกว่าคนระดับ B สองคน รวมถึงตัวเขาเองนั้นจะเป็นตัวอุปสรรคขององค์กรอื่นๆ เพราะทั้งสองคนไม่เคยได้แสดงความจงรักภักดีกับใครเลย


 


 



 


 


 


 


ตกกลางวันต่อมาเบ็นเนตต์ก็จัดประชุมในคฤหาสน์ซึ่งตอนนี้ได้ถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่ชั่วคราวเนื่องจากพวกเขามีอำนาจเรื่องคู่เจรจาธุรกิจ บรรยากาศทุกอย่างดีไปหมด แล้วคนระดับ B อีกคนหนึ่งก็พูดพลางหัวเราะออกมา “ไม่คิดเลยนะว่ากลุ่มแก่นความเชื่อและกลุ่มฟีนิกซ์จะต่อสู้กันแบบนั้น ดูเหมือนว่าที่เบ็นเนตต์คิดจะถูกต้องนะ เราจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้ายและเราจะทำให้องค์กรใหญ่แตกกันได้”


 


 


“องค์กรเดียวที่เราจะต้องระวังในตอนนี้ก็คือเครือข่ายฟ้าดินแล้ว แต่ที่ผ่านมาพวกเขาก็ดูเป็นมิตรดี ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ให้เราสักเท่าไหร่” เบ็นเนตต์ยิ้มตอบอย่างมั่นใจ


 


 


“จริงทีเดียว เราน่าจะยืดเวลาออกไปสักเดือนหรือสองเดือนนะ จะได้โอนถ่ายทรัพย์สินบางส่วนออกไปได้ จากนั้นเราก็คงจะจัดการอะไรๆ ได้ง่ายขึ้นถ้ามีเหตุฉุกเฉินอะไร พวกเราน่ะเป็นทหารรับจ้าง เราเอาตัวรอดได้ในทุกๆ ที่อยู่แล้ว” ใครอีกคนหนึ่งเสริมขึ้นมา


 


 


ที่จริงแล้วพวกเขาวางแผนจะโอนทรัพย์สินออกไปตั้งนานแล้ว ตอนแรกพวกเขาก็กะว่าจะทำกำไรจากการถือกรรมสิทธิ์แร่ แต่หลังจากนั้นก็เพิ่งมาเข้าใจว่าพวกเขาไม่มีอะไรไปต่อรองกับพวกองค์กรใหญ่ๆ ได้หรอก


 


 


และ EO เองก็เป็นองค์กรใหญ่เหมือนกัน พวกเขาสามารถย้ายองค์กรไปตั้งที่อื่นได้อยู่แล้วถ้ามันมีความปลอดภัยกว่า


 


 


แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งเร่งเข้ามาในห้องประชุมและตะโกน “มียอดฝีมือสองคนที่ห่างออกไป 500 เมตรกำลังตรงเข้ามาหาเราครับ!”


 


 


“จากองค์กรไหน” ทุกๆ คนได้ยินอย่างนั้นก็นั่งกันไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป


 


 


“น่าจะเป็นเครือข่ายฟ้าดินครับ พวกเขาหน้าเหมือนคนเอเชีย” ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน


 


 


. หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยกำลังมุ่งหน้าเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด พวกเขาถือเสาหินอันใหญ่ยักษ์มากันคนละอัน แต่ไปเอามาจากไหนก็ไม่มีใครรู้


 


 


เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับรัวกลองรบอย่างไรอย่างนั้น!


 


 


ระยะทาง 500 เมตรสำหรับคนระดับ B นั้นถือเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว พวกเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น! กว่าเบ็นเนตต์จะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว!


 


 


การเคลื่อนไหวของหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว น่าหลานเชวี่ยตะโกนออกมา “ไปเลย!”


 


 


เสาหินทั้งสองบินตัดอากาศออกไปด้วยแรงเคลื่อนไหวอันทรงพลัง แล้วเบ็นเนตต์ก็เห็นว่าอยู่ๆ ข้างนอกหน้าต่างก็มืดลงไปทันที จากนั้นอยู่ๆ ห้องประชุมก็ถูกโค่นด้วยเสาหินจนพังลงมา!


 


 


เบ็นเนตต์และคนระดับ B อื่นๆ หลบได้ทัน แต่พวกลูกน้องไม่ได้โชคดีแบบนั้น เสาหินทั้งสองได้เจาะทะลุเข้าไปในกำแพงใหญ่ก่อนที่ค่อยๆ ลดความเร็วและหยุดลงในที่สุด!


 


 


หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยย่อเข่าลงเล็กน้อยก่อนที่จะกระโจนเข้าไปในห้องประชุม ทั้งคฤหาสน์เต็มไปด้วยเสียงร้องจากผู้บาดเจ็บ


 


 


เบ็นเนตต์และคนระดับ B คนอื่นๆ เตรียมตัวที่จะต่อสู้เมื่อหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยพุ่งเข้าไปในห้องเร็วอย่างกับจรวด แต่ผู้บุกรุกสองคนกลับไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลย พวกเขาเตรียมตัวจะโจมตีด้วยความดุร้ายและปัดป้องการโจมตีที่จะเข้ามาด้วยการป้องกันที่ไม่สามารถทำลายได้!


 


 


และเมื่อพวกทหารของ EO วิ่งออกไปจากคฤหาสน์ หลี่ว์ซู่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายนั้น เขาอยู่ในชุดทหารของ EO และมองไปรอบๆ อย่างสบายๆ เหมือนกับว่าเขาอยู่บ้านตัวเอง


 


 


พวกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ของเบ็นเนตต์ไม่ได้มีช่องเก็บของล่องหน เพราะฉะนั้นเบ็นเนตต์จึงไม่ได้เก็บทรัพยากรต่างๆ ไว้ในช่องเก็บของส่วนตัวของเขาเองเพื่อแสดงให้เห็นความใจกว้างและความยุติธรรม


 


 


นอกจากนั้นแล้วช่องเก็บของของเบ็นเนตต์ไม่ได้มาจากดวงตาแห่งค่ายกลด้วย มันจึงมีพื้นที่จัดเก็บที่จำกัด


 


 


ข้อมูลนี้จ้าวหย่งเฉินเป็นคนบอกหลี่ว์ซู่มาเอง ภารกิจของหลี่ว์ซู่ในวันนี้ก็คือใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในวันนี้ไปเพื่อเอาตู้นิรภัยออกมา หลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ยสองคนก็เอาชนะเบ็นเนตต์ได้ง่ายๆ ด้วยการต่อสู้ร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นพวกเขาค่อยเอาทรัพยากรไปได้ตามใจ


 


 


แต่คนที่หลี่ว์ซู่กับหลี่อีเสี้ยวต้องระวังไม่ใช่เบ็นเนตต์หรอก คนที่พวกเขาต้องระวังคือน่าหลานเชวี่ยไว้…


 


 


หลี่ว์ซู่เข้ามาถึงในตู้นิรภัยแล้ว แต่ประตูกลับเปิดออกก่อนที่เขาจะได้แตะเสียอีก หลี่ว์ซู่มองพวกทหารที่กำลังขนกระเป๋าไว้บนบ่าออกไปอย่างอึ้งๆ พวกทหารพวกนี้กะจะปล้นเงินออกไปลับหลังเบ็นเนตต์แบบนี้เลยสินะ!


 


 


พวกเขาตกใจมากที่เห็นหลี่ว์ซู่ หนึ่งในพวกนั้นตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด


 


 


“ออกไปซะ! ไม่งั้นแกตายแน่!” พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าหลี่ว์ซู่เป็นใครเพราะทหารรับจ้างที่เป็นคนเอเชียใน EO นั้นมีเยอะอยู่เหมือนกัน เห็นแบบนี้ใจของหลี่ว์ซู่เจ็บไปหมด


 


 


“รู้ไหมว่าถ้าขโมยเงินของฉันไปแล้วจะจบยังไง”


 


 


“ในนี้ไม่มีเงินซะหน่อย” หัวหน้ากลุ่มนั้นดูสับสน หลี่ว์ซู่ได้ยินอย่างนั้นก็เลยเปิดกระเป๋าดู แล้วเขาก็รู้สึกอนาถใจเหลือเกินเมื่อรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน


 


 


“จะบ้าไปแล้วเหรอ! จะเก็บยาหม่องไว้ในตู้นิรภัยทำไมเนี่ย!”

 

 

 


ตอนที่ 670 แล้วฉันจะไปอธิบายยังไงละเน...

 

หลี่ว์ซู่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในคลังเก็บของขององค์กรใหญ่แบบนี้จะมียาหม่องมากมายขนาดนี้ เขาอาจจะคิดแบบเด็กๆ ไปหน่อย ตอนแรกเขาคิดว่ามันน่าจะเป็นยาหม่องปลอมก็เลยลองดมเข้าไป แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นของจริงซะงั้น


 


 


เขาพอรู้มาบ้างว่ายาหม่องนั้นเป็นที่ต้องการอย่างมากในแอฟริกา แต่พวกเขาก็ไม่น่าจะใช้ยาหม่องเป็นทรัพยากรนี่นา


 


 


หลี่ว์ซู่สงสัยว่าเบ็นเนตต์อาจจะเป็นผู้ร้ายในครั้งนี้ เขาอาจจะเก็บทรัพยากรสำคัญไว้ในแหวนมิติแล้วก็ได้ จากนั้นก็ปล่อยให้คลังสินค้าโล่งๆ ไว้ ตอนนี้หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี


 


 


แล้วองค์กรทหารรับจ้างใหญ่ๆ ที่มีความทะเยอทะยานสูงและอยากจะควบคุมโลกขนาดนี้จะปล่อยให้ทรัพยากรไปอยู่ในมือของคนอื่นได้เหรอ


 


 


ปัญหาก็คือเขาจะไปบอกหลี่อีเสี้ยวอย่างไรดีเนี่ย!


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายวีดิโอไว้ ขณะเดียวกันเขาก็เอาหอกสามง่ามจ่อไปที่พวกทหารด้วย เขาเตะกำแพงให้เป็นรูไปหนึ่งทีเพื่อขู่พวกทหารพวกนั้น “ตอบมาดีๆ ว่าของในคลังมีแต่ยาหม่องอย่างเดียวใช่ไหม”


 


 


พอพวกทหารเห็นหลี่ว์ซู่เตะกำแพงเป็นรู พวกเขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาจนต้องถ่มน้ำลายออก พวกเขาเพิ่งเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ได้มาจาก EO!


 


 


“ใช่ครับ มีแต่ยาหม่องอย่างเดียว ของมีค่าอื่นๆ อยู่ในแหวนมิติของท่านเบ็นเนตต์หมดแล้ว” ทหารคนหนึ่งพูด


 


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้าด้วยความพอใจ เขาฆ่าทหาร EO ทั้งสามคนทันทีโดยไม่พูดอะไร พวก EO นี่ใช้อำนาจข่มในแอฟริกามานานแล้ว อีกอย่างพวกทหารพวกนั้นก็บอกเองว่าถ้าหลี่ว์ซู่ไม่ยอม พวกมันจะฆ่าเขาทิ้ง ถ้าคิดจะฆ่าเขาได้ก็ต้องเตรียมใจหน่อยล่ะ


 


 


หลี่ว์ซู่เก็บยาหม่องทั้งหลายเข้าไปในตราแผ่นดินแล้วก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา ถ้าขายยาหม่องพวกนี้ในแอฟริกาก็คงจะได้เงินเยอะเลยนะเนี่ย แต่เขาไม่มีเวลามาเปิดธุรกิจขายยาหม่องตอนนี้น่ะสิ เอากลับไปก็คงไม่ได้กำไรมากเท่าไหร่ด้วย!


 


 


การต่อสู้ข้างบนนั่นเกือบจะมาถึงจุดจบแล้ว เมื่อหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยร่วมมือกันก็ทำให้พวกศัตรูปวดหัวไปตามๆ กัน


 


 


ทั้งสองคนนั้นเป็นนักสู้ที่ช่ำชอง พวกเขามีผิวหนังที่หนาเป็นยางแถมยังมีพลังโจมตีที่น่ากลัวอีกด้วย ถึงน่าหลานเชวี่ยจะเป็นผู้หญิงและดูไม่น่ากลัวนัก แต่เธอก็มีความสามารถที่สวนทางกับรูปร่างหน้าตาของเธอ


 


 


พวกเบ็นเนตต์และคนระดับ B คนอื่นๆ บาดเจ็บหนัก ถึงพวกเขาจะร่วมต่อสู้ด้วยกันมาหลายสนามแต่เคมีก็ยังไม่เข้ากันสุดๆ เหมือนของหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยอยู่ดี


 


 


พอผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เบ็นเนตต์ก็ตะโกนขึ้นมา “มาร่วมมือกันฆ่าผู้หญิงคนนั้นดีกว่า!”


 


 


พวกระดับ B มุ่งหน้าเข้าไป แต่ก็เห็นว่าเบ็นเนตต์ไม่ได้ตามพวกเขามา แต่เขากลับกระโดดออกไปที่อื่นแล้ววิ่งหนี!


 


 


แต่ก่อนที่พวกคนระดับ B จะได้พูดอะไร หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยก็เข้าไปล้อมเบ็นเนตต์เสียแล้ว พวกเขาโกรธมากจนอยากจะให้เบ็นเนตต์ตายไปด้วยกัน แต่พวกเขารู้ว่าสู้เบ็นเนตต์ไม่ไหว


 


 


เบ็นเนตต์เป็นทหารรับจ้างที่มีชีวิตอยู่มานานด้วยเหตุผลนี้แหละ เขาใช้ความโหดร้ายเป็นหลักที่ยึดประจำใจ เขาขว้างลูกโลหะกลมๆ สองลูกก่อนที่จะกระโดดหนีจากคฤหาสน์พังๆ นี่ไป


 


 


ลูกโลหะกลมๆ สองลูกปล่อยคลื่นพลังงานออกมาอย่างมาก น่าหลานเชวี่ยรีบรุดออกไปคว้ามันมาก่อนจะขว้างมันออกไปอีกรอบ


 


 


ตู้ม! ลูกโลหะกลมสองลูกนั้นทำให้พื้นเป็นรูใหญ่ ขนาดน่าหลานเชวี่ยเองยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าลูกกลมๆ นั่นทำมาจากอะไร ถ้ามันระเบิดในมือเธอแล้วเธอคงเสียแขนไปได้เลย


 


 


แต่ทั้งหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยกลับมีความคิดเหมือนกัน พวกเขาจะเชื่อในสัญชาตญาณและดูสถานการณ์ในระหว่างการต่อสู้ เรื่องเสี่ยงอันตรายนี่เอาไว้คิดทีหลัง


 


 


ทันใดนั้นหลี่อีเสี้ยวก็มือสั่นขึ้นมา อยู่ๆ ก็มีหอกมังกรดำปรากฏขึ้นมากลางอากาศด้วยเสียงดังหึ่งๆ หอกนั้นพุ่งเข้าไปหาเบ็นเนตต์เหมือนลูกกระสุน เบ็นเนตต์หันมาเตะหอกมังกรดำออกไป แต่ทันใดนั้นมังกรดำก็กระโดดออกมาจากหอกและกดร่างเบ็นเนตต์ลงไปกับพื้น!


 


 


ทั้งหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยจัดการพวกระดับ B จนหมอบ จากนั้นพวกเขาก็ละเป้าหมายพวกนั้นแล้วรีบมุ่งหน้าไปหาเบ็นเนตต์ในเวลาเดียวกัน!


 


 


ถ้าคนอื่นๆ มาเห็นแล้วคงชื่นชมการทำงานร่วมกันของสองคนนี้ ไม่ใช่แค่พลังโจมตีที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่เคมีของทั้งคู่นั้นดูเป็นธรรมชาติมากๆ และเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตรียมการมาก่อนด้วย


 


 


เบ็นเนตต์ล้มลงไปขณะพยายามจะขัดขืนมังกรดำนั่น หลี่อีเเสี้ยวยืนขึ้นตรงริมหลังคาแล้วขว้างน่าหลานเชวี่ยไปทางเบ็นเนตต์ เธอใช้เท้าทั้งสองยันหน้าอกของหลี่อีเสี้ยวเพื่อส่งแรงถีบออกไปขณะพุ่งเข้าหาเบ็นเนตต์ด้วย หลี่อีเสี้ยวถึงกับเซไปข้างหลังเล็กน้อยตอนที่น่าหลานเชวี่ยพุ่งตัวออกไป แต่เขาก็ไม่ได้โกรธอะไรเธอเลยสักนิด เพราะพวกเขาได้คุยเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว


 


 


น่าหลานเชวี่ยใช้ข้อศอกเป็นอาวุธตอนที่เธอทิ้งตัวลงบนตัวเบ็นเนตต์ พอเบ็นเนตต์มองขึ้นมาเห็นน่าหลานเชวี่ยก็สายไปเสียแล้วที่จะหลบ


 


 


จากนั้นก็มีเสียงระเบิดและตามมาด้วยพายุฝุ่นตรงนั้น เบ็นเนตต์บาดเจ็บหนักและหมอบอยู่บนพื้น และมีรอยแตกพื้นปูนอีกต่างหาก


 


 


หลี่อีเสี้ยวก็กระโดดตามลงมาอย่างมีความสุข “สวยงามมาก สวยจริงๆ ”


 


 


“นี่จะชมกันว่าฉันสวยหรือว่าฉันทำดีกันล่ะ” น่าหลานเชวี่ยมองเขา


 


 


“ก็พูดไปว่าสวยตั้งสองรอบนี่ รอบแรกน่ะให้เธอ ส่วนรอบสองชมว่าเธอโจมตีสวย” หลี่อีเสี้ยวอึ้ง แล้วน่าหลานเชวี่ยก็กลอกตาให้หลี่อีเสี้ยว เธอถอดแหวนมิติมาจากนิ้วของเบ็นเนตต์และพูดกับหลี่อีเสี้ยว


 


 


“อยากได้นี่หรือเปล่า”


 


 


“เดี๋ยวต้องเอาไปให้เครือข่ายฟ้าดินน่ะสิ” หลี่อีเสี้ยวพูดอย่างคนรักความยุติธรรม “เรามาทำภารกิจกัน แล้วจะเห็นแก่ตัวขโมยของได้ยังไง คิดว่าหลี่อีเสี้ยวคนนี้เป็นคนแบบนั้นเหรอ”


 


 


น่าหลานเชวี่ยได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ตกใจไปเลย นี่หลี่อีเสี้ยวตัวจริงใช่ไหมเนี่ย


 


 


“กินเยอะไปหรือเปล่าช่วงนี้” น่าหลานเชวี่ยมองหลี่อีเสี้ยวอย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


“ทำไมมาเข้าใจผิดกันแบบนี้ล่ะ” หลี่อีเสี้ยวพูดเหมือนกับว่าไม่พอใจ แต่ใจจริงแล้วเขาดีใจลิงโลดอยู่ข้างในต่างหาก เขารู้ว่าเขาเชื่อใจหลี่ว์ซู่ได้ และไม่มีทางเลยที่แหวนมิตินี่จะตกมาอยู่ในมือของเขาได้หากน่าหลานเชวี่ยยังอยู่ใกล้ๆ แต่เขายังมีหลี่ว์ซู่!


 


 


ฮ่าๆ ผู้หญิงคนนีรังแกเขาเรื่องเงินมาเยอะแล้ว และหลี่ว์ซู่ก็มาอยู่ฝั่งเขาแล้ว


 


 


หลี่อีเสี้ยวเริ่มคิดจินตนาการแล้วว่าเงินเก็บของเขาจะมากขนาดไหน ถ้าเขากลับบ้านแล้วเขาจะกินแซนด์วิชเนื้อสไลด์ให้หมดเกลี้ยงเลย!


 


 


แต่น่าหลานเชวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา หลี่อีเสี้ยวเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ น่ะเหรอ!


 


 


จากนั้นหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยก็ไม่ได้อยู่ต่อในสนามต่อสู้อีกนานมากนัก พวกเขายังจะต้องไปถล่ม EO อยู่ ส่วนเรื่องอื่นๆ พวกเขาจะปล่อยให้คนท้องถิ่นจัดการ แล้วหลังจากนั้นค่อยหาทางสร้างพันธมิตรกันกับพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 671 ส่วนแบ่งไม่เท่ากัน

 

“หลี่อีเสี้ยว อย่าถอยเพื่อที่จะได้ก้าวหน้า อย่าปล่อยบังเ**ยนแล้วค่อยกลับมาคว้ามันทีหลัง อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากเลยถ้าขอแหวนจากฉันไปตอนนี้ฉันให้เลยก็ได้ แต่ต้องสัญญากันอย่างหนึ่งก่อน” น่าหลานเชวี่ยลองถามดูอีกครั้งตอนเดินกลับไป


 


 


“พวกผู้หญิงนี่เป็นอะไรกันมากไหมเนี่ย!” หลี่อีเสี้ยวพูด “เราจะต้องเอาแหวนนี่ไปให้คนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่า แล้วจะให้เรายึดเอามาเป็นของตัวเองได้ไง ไม่เข้าใจเหรอ อย่ามาเอาความคิดสกปรกๆ มาแปดเปื้อนคุณธรรมของฉันนะ!”


 


 


หลี่อีเสี้ยวไม่ได้สนใจเรื่องแหวนเลย และเขาก็ใช้โอกาสนี้ทำเป็นเข้มต่อหน้าน่าหลานเชวี่ย เขาก็ไม่เห็นจะต้องอารมณ์ไม่ดีเลยนี่!


 


 


“ฮ่าๆ ” น่าหลานเชวี่ยหัวเราะ “ขอโทษนะที่ฉันทำให้ความคิดของเธอแปดเปื้อน อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ!”


 


 


พอหลี่อีเสี้ยวกลับมาที่วิลล่าแล้วเขาก็นั่งไม่ติดและไม่เข้านอนจนเวลาเข้าเที่ยงคืน เขาบอกน่าหลานเชวี่ยว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่เขาแอบออกมาหาหลี่ว์ซู่ในห้อง เขาถามออกไปเบาๆ


 


 


“เป็นไงบ้างน้องชาย ได้มาเยอะเหมือนกันใช่ไหม”


 


 


“ก็ไม่แย่นะครับ” หลี่ว์ซู่ตอบอย่างใจเย็น “เราพูดเรื่องการร่วมงานกันมานานแต่ไม่เคยได้ร่วมงานกันเลยจริงๆ ท่านต้องรับผิดชอบมากมายตอนที่เราไปที่โบราณสถานเกาะช้างก็เลยไม่ได้อะไรมามาก พอเราเปิดตลาดมืดด้วยกัน เนี่ยถิงก็เอาเงินพวกเราไปอีก ครั้งนี้ผมก็เลยจะทำตามสัญญา แบ่งให้ท่าน 90% แล้วผมจะเอาแค่ 10%”


 


 


“เดี๋ยวก่อน น้องชาย นายได้ 90% ส่วนฉันได้ 10% ไม่ใช่เหรอ” หลี่อีเสี้ยวอึ้งไป


 


 


“ฟังถูกแล้วครับ ส่วนแบ่งท่าน 90% แล้วของผม 10%” หลี่ว์ซู่พูดอย่างสบายๆ


 


 


“เดี๋ยวก่อน ความคิดฉันตีกันไปหมดแล้ว” หลี่อีเสี้ยวพูด “อย่ามาล้อกันเล่นนะน้องชาย ฉันกะว่าจะเอา 10% เท่านั้นแหละ”


 


 


“ผมไม่ใช่คนใจดีหรอกเหรอ จะให้ผมเอาตั้ง 90% ตอนท่านออกไปต่อสู้เนี่ยนะ ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก” หลี่ว์ซู่เริ่มอารมณ์เสีย แล้วหลี่อีเสี้ยวก็รู้สึกว่าเขาได้เห็นคุณธรรมที่ตัวเองมีเมื่อตอนกลางวันอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่ได้คิดอะไรมากเพราะหลี่ว์ซู่น่าจะเป็นคนที่ไม่เหมือนกับเขาหรอก สุดท้ายแล้วมันก็กำไรของเขาเองนี่นา เขาจับมือกับหลี่ว์ซู่


 


 


“น้องชาย หลังจากนี้เราจะเป็นพี่น้องที่แท้จริง หลี่อีเสี้ยวคนนี้ขอรับน้ำใจ ฉันติดหนี้นายละ ไหนรีบๆ เอาของที่ได้มาให้ดูหน่อยสิ”


 


 


หลี่ว์ซู่เทเอายาหม่องที่ได้มาบนเตียง มันกองพะเนินเป็นภูเขาลูกเล็กๆ หลี่ว์ซู่ไม่รอช้าที่จะเปิดวีดิโอให้หลี่อีเสี้ยวดู เขากลัวว่าหลี่อีเสี้ยวจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ เขาก็เลยแปลให้หลี่อีเสี้ยวไปด้วยขณะทั้งสองดูวีดิโอ หลี่อีเสี้ยวมองกองยาหม่องสลับกับมองหลี่ว์ซู่และกลับไปดูวีดิโออีกรอบ แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมา


 


 


“พอๆ ไม่ต้องแปลแล้ว ฉันเริ่มปวดหัวละ”


 


 


[ได้แต้มจากหลี่อีเสี้ยว +999…]


 


 


“เรื่องก็เป็นแบบนี้เองสินะ” หลี่อี่เสี้ยวหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ เขาก็พูดออกมา “งั้นนายเอาไป 90% ฉันเอาแค่ 10% ไหมล่ะ แล้วนายก็เป็นหนี้ฉันรอบหนึ่งไง! เอาแบบนั้นไหม”


 


 


“แบบนั้นไม่ได้หรอกครับ เราคุยกันแล้วนี่ ท่านเอา 90% ผมเอา 10% จะให้ผมเอาเปรียบท่านไม่ได้หรอกนะครับ!” หลี่ว์ซู่พูดอย่างร่าเริง หลี่อีเสี้ยวดูเหมือนจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา เขาคิดถึงตอนที่คุยกับน่าหลานเชวี่ยตอนกลางวันที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจเร็วเกินไปแล้วสินะ!


 


 


[ได้แต้มจากหลี่อีเสี้ยว +999…]


 


 


แล้วการแข่งขันเอากรรมสิทธิ์แร่ก็มาถึงจุดสรุปกันแล้ว แล้วบางคนก็กล่าวไว้ว่าเหตุการณ์ที่กลุ่มแก่นความเชื่อและกลุ่มฟีนิกซ์ต่อสู้กันนั้นเริ่มจุดชนวนเหตุการณ์ประหลาดๆ ในโลกแห่งการบำเพ็ญนี้


 


 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็คิดว่าเขาจะตามกลุ่มของเขาไปที่ยุโรปด้วย แต่เขาไม่คาดคิดว่าเครือข่ายฟ้าดินจะสั่งการมาอย่างกะทันหันให้ทุกคนกลับไปประเทศจีนตามเดิมแบบนี้


 


 


แต่นั่นก็เป็นคำสั่งสำหรับคนอื่นๆ หลี่ว์ซู่ได้รับคำสั่งที่ต่างออกไป เขาจะต้องไปอีกแห่งหนึ่งในเวลาที่กำหนด เพื่อไปร่วมงานกับอีกกลุ่มใหม่


 


 


เขาไม่คาดคิดเลยนะเนี่ย ตอนที่หลี่กานอวี่กับทุกๆ คนมาที่นี่ก็เพื่อมาเป็นตัวแทนของเครือข่ายฟ้าดินทำการเจรจากับ EO ทุกๆ คนนั้นใจจดจ่อกับพลังของตัวเองมาก ถึงแม้ว่าองค์กรใหญ่ๆ อื่นๆ จากทั่วโลกจะไม่ได้มาร่วมด้วย พวกเขาก็สนใจแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในแอฟริกาอย่างเดียวอยู่ดี


 


 


ทุกๆ คนประหลาดใจมากเมื่อเครือข่ายฟ้าดินตั้งใจตักตวงผลประโยชน์จากสถานการณ์นี้ แล้วผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจกับจุดยืนของพวกเขาแล้ว


 


 


จริงๆ แล้วพวกคนในกลุ่มควรที่จะใช้ตัวตนที่ไม่เป็นทางการเพื่อเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับองค์กรอื่นๆ แต่กลุ่มที่มีเซี่ยเหรินเซิงเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้กลับกลายเป็นเป้าสายตาที่ทุกคนสนใจและกลายเป็นตัวแทนของเครือข่ายฟ้าดินไปโดยปริยาย


 


 


เพราะฉะนั้นถ้าพวกเขาจะต้องไปยุโรปต่อ กลุ่มอื่นๆ จะต้องเข้ามาทำหน้าที่แทนแล้ว


 


 


เครือข่ายฟ้าตัดสินใจจากสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากที่เจอนักบุญมาให้ทรัพยากรจากแอฟริกาแล้ว กลุ่มแก่นความเชื่อก็คงจะส่งผลเป็นลูกโซ่ไปทั่วยุโรปเป็นการใหญ่ สถานการณ์ในยุโรปก็เลยยิ่งบานปลายไปมากเรื่อยๆ การส่งกลุ่มผู้บำเพ็ญออกไปที่นั่นก็เหมือนส่งพวกเขาไปตาย เครือข่ายฟ้าดินเลยไม่อยากจะเป็นโจมตี พวกเขาคงจัดการการโจมตีจากรอบทิศไม่ได้ในความวุ่นวายครั้งนี้


 


 


สถานการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดแต่ก็เข้าใจได้ ขนาดหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยยังต้องยอมถอนตัวออกมาเลยถ้าหากจะมีใครคิดเข้ามาต่อสู้ด้วยกับพวกเขาขึ้นมา ที่ทำไปก็เพื่อไม่ให้ถูกล้อมโจมตีจากทั่วทิศทาง


 


 


เครือข่ายฟ้าดินให้ข้อมูลมาว่ามีระดับ B สามคนตามมาที่แอฟริกาหลังจากหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยฆ่าเบ็นเนตต์ไป ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามาทำไม แต่พวกเขามาในเวลาเหมาะเจาะเหลือเกิน แถมพวกเขายังมีชื่อเสียงในความอำมหิตอย่างมากในโลกของการบำเพ็ญอีก หลี่ว์ซู่คงเดาได้ประมาณ 80% ว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม


 


 


ดูเหมือนว่าการล่าที่แท้จริงจะเริ่มต้นในโลกแห่งการบำเพ็ญแล้วสินะ


 


 


หลี่อีเสี้ยวนำกลุ่มไป พวกเขาต้องนั่งเรือสินค้ากลับไปในคืนนั้น หลี่อีเสี้ยวยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือและโบกมือลาใครบางคนไกลๆ ในความมืด มีคนแอบมองไปเหมือนกันว่าเขากำลังโบกมือให้ใครแต่ก็ไม่เห็นอะไร แต่แล้วก็มีใครบางคนถามขึ้นมา


 


 


“หลี่เถิงไปไหนล่ะ! เมื่อกี้ยังอยู่กับพวกเราเลยไม่ใช่เหรอ”


 


 


หลี่ว์ซู่อยู่กับกลุ่มจนกระทั่งพวกเขาเข้าไปในท่าเรือ เขาสบโอกาสตอนไม่มีใครสนใจและหนีออกมา ไม่ว่าหลี่กานอวี่จะมองหาหลี่ว์ซู่ขนาดไหนก็ไม่เจอเขาหรอก แล้วจู่ๆ พวกเขาก็เริ่มคิดว่าหลี่เถิงนั้นทำตัวลึกลับเหลือเกิน เขาไม่ได้แยแสอะไรเลยตลอดภารกิจครั้งนี้ พอคิดแล้วก็น่าสงสัยจริงๆ


 


 


จงอวี้ถังเคยเจอเซี่ยเหรินเซิงมาก่อน และเมื่อเซี่ยเหรินเซิงเห็นหลี่อีเสี้ยวโบกมือแล้วเขาก็เข้าใจว่าในกลุ่มของเขามียอดฝีมือแฝงตัวอยู่มาตลอดและเขาก็ไม่รู้ตัวเลย ยอดฝีมือคนนี้คงจะมีฝีมือขั้นสูงมากกระทั่งเขาเองก็ไม่สามารถรู้เรื่องอะไรของยอดฝีมือคนนั้นได้เลย


 


 


หลี่ว์ซู่ยืนอยู่ในความมืดและมองดูเรือสินค้าแล่นออกไป เขาหันหลังและวิ่งเข้าไปในป่า ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนได้เกิดขึ้น พวกราชันฟ้าก็เป็นเป้าหมายการโจมตีของพวกยอดฝีมือที่กระหายเลือดกันทั้งนั้น ถ้าทำได้ก็คงเป็นความสำเร็จบางอย่างในชีวิต แต่ก็ยังไม่มีใครทำได้


 


 


พอหลี่ว์ซู่ได้ยินอย่างนั้นเขาก็โกรธขึ้นมา


 


 


และในขณะเดียวกันที่บ้านบนถนนหลิวไห่นั้น เนี่ยถิงก็ส่งข้อความเข้ารหัสไปให้จ้าวหย่งเฉินที่อยู่ในแอฟริกา


 


 


“ได้บอกหลี่ว์ซู่ไปแบบที่ฉันพูดไปหรือเปล่า”

 

 

 


ตอนที่ 672 จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง

 

“ผมบอกไปแล้วครับ บอกตามที่คุณสั่งตามนั้นเลย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นะครับ” 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นคนอย่างนี้ล่ะ จะให้พูดแค่สองสามประโยคก็ยังไม่เข้าหัวเขาหรอก แล้วสองวันที่ผ่านมานี่เขามีปฏิกิริยาอะไรบ้างหรือเปล่า” เนี่ยถิงถาม 


 


 


“เขาให้ผมไปหาว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนที่เพิ่งมาในแอฟริกาเป็นใครครับ” จ้าวหย่งเฉินตอบ 


 


 


“งั้นไปทำตามนั้น” เนี่ยถิงพูดเสร็จก็หยิบชามข้าวต้มลูกเดือยที่สือเสวจิ้นเตรียมไว้ขึ้นมาวางข้างหน้าเขา “แล้วเขาพูดอะไรอีกหรือเปล่า” 


 


 


“คืนนี้เขาเพิ่งพูดว่าเนี่ยถิงเป็นตัวการอยู่เบื้องหลังคำพูดที่ผมพูดไว้แน่ๆ วันหลังอย่าไปทำตามใจคนที่ชอบแกล้งคนอื่นแบบนี้อีก” จ้าวหย่งเฉินพูดออกไปอย่างลังเล 


 


 


“เขาเรียกฉันว่าคนชอบแกล้งคนอื่นอย่างนั้นเหรอ!” เนี่ยถิงเลิกคิ้ว 


 


 


[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +599…] 


 


 


“แล้วเขาพูดอะไรอีก” เนี่ยถิงถามและนวดขมับตัวเอง จ้าวหย่งเฉินหยุดไปครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา 


 


 


“มาสู้กันเถอะ! เขาบอกไว้ตามนี้เลยครับ” 


 


 


[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +599…] 


 


 


ทันใดนั้นจ้าวหย่งเฉินก็เห็นผู้ชายมีเคราปรากฏขึ้นมาในจอกล้องวงจรปิดที่เขาซ่อนไว้ใต้เคาน์เตอร์ กล้องถูกติดตั้งไว้ในรังนกบนต้นไม้ห่างออกไปจากซุปเปอร์มาร์เก็ตประมาณห้าร้อยเมตร ตรงนั้นมีเสาไฟสีเหลืองอยู่ 


 


 


รังนกที่ว่านั้นเป็นของปลอม แต่บางครั้งก็มีนกมาอยู่ในรังใกล้ๆ และมีขี้นกมาเปื้อนกล้องบ้าง จ้าวหย่งเฉินอารมณ์เสียและคิดเสียใจที่ไปตั้งกล้องวงจรปิดไว้ตรงนั้น อย่างไรก็ตามเขาก็หาที่เหมาะๆ ซ่อนกล้องที่อื่นไม่เจอแล้ว 


 


 


จ้าวหย่งเฉินเบิกตาจ้องมองไปที่ผู้ชายผิวขาวมีเคราคนนั้น เขาเงยหน้าแล้วยิ้มให้กับกล้อง รอยยิ้มนั้นช่างดูมั่นใจราวกับว่าเขากำลังยิ้มให้จ้าวหย่งเฉินเอง รอยยิ้มของเขาดูหยิ่งยโสและเ**้ยมโหด 


 


 


เขาไม่สนใจจ้าวหย่งเฉินที่กำลังมองเขาอยู่หลังกล้องนี้เลย ผู้เชี่ยวชาญระดับ B มีทั้งหมดด้วยกันสามคน และหนึ่งในนั้นมีชื่อว่ากรีเออร์ คุก 


 


 


ทันใดนั้นก็มีเมฆสีเทาก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าและฝนก็เริ่มตกลงมาห่าใหญ่ เนี่ยถิงได้ยินจ้าวหย่งเฉินหายใจเสียงดัง 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” 


 


 


“ราชันฟ้าเนี่ยครับ ผมโดนจับได้แล้ว” จ้าวหย่งเฉินพูดเบาๆ “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ห้าปีแล้วตั้งแต่กลับจีนไปครั้งนั้น ตอนนี้ที่จีนเข้าฤดูใบไม้ผลิหรือยังครับ ที่แอฟริกานี่ร้อนอย่างกับอยู่ในนรกเลย” 


 


 


“อยู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว กำลังจะเข้าฤดูร้อน จักจั่นเริ่มร้องกันแล้ว” เนี่ยถิงเผลอขยี้ถ้วยข้าวต้มลูกเดือยไปข้างตัว ข้าวต้มถ้วยนั้นหล่นลงไปบนพื้นและข้าวต้มลูกเดือยที่อยู่ข้างในก็หกเลอะเทอะ 


 


 


“แล้วต้นวอลนัทในหลิวไห่ก็กำลังมีดอกไม้บานแล้วใช่ไหมครับ ผมไม่ได้ไปที่นั่นมานานเลย” 


 


 


จ้าวหย่งเฉินออกมาจากที่เครือข่ายฟ้าดินได้ห้าปีแล้ว ตอนที่ถนนหลิวไห่ยังเต็มไปด้วยอันตราย จากนั้นเขาก็อยู่แอฟริกาคนเดียวมาห้าปี ตอนที่เขาจากมานั้นเมืองหลวงยังเป็นฤดูใบไม้ร่วงอยู่ 


 


 


ตอนที่เขาออกมาจากเมืองหลวงนั้นเขาได้หันมามองเมืองนี้อีกครั้ง มันรู้สึกเหมือนว่านี่จะเป็นการจากลาตลอดไป เหมือนกับว่าเขาจะต้องล่องเรือไปในทะเลคนเดียวโดยไม่มีวันกำหนดกลับ 


 


 


เขานึกถึงว่ามีม้าที่กำลังวิ่งช้าๆ บนถนนเก่าแก่ของฉางอัน มีเสียงจักจั่นร้องเรไรมาจากต้นหลิว มีลมเย็นๆ ของฤดูใบไม้ร่วงพัดมาใต้แสงตะวันยามเย็น เขามองออกไปจนสุดขอบฟ้าและเห็นพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไป 


 


 


เนี่ยถิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองดูต้นวอลนัทข้างบนศีรษะของเขา ดอกของต้นวอลนัทนั้นสวยงามกว่าของต้นไหนๆ 


 


 


“วิ่งหนีออกมาซะ นายได้รับอนุญาตให้เปิดเผยตัวตนของนายแล้ว” 


 


 


“หนีไม่ได้แล้วล่ะครับ ดูแลตัวเองดีๆ นะครับราชันฟ้าเนี่ย” หลังจากเขาพูดจบแล้วก็วางหูโทรศัพท์ไปทันที 


 


 


จากนั้นฝั่งจ้าวหย่งเฉินก็มีแต่ความเงียบ เขาเอาห่อบุหรี่ของปลอมออกมาสูบแล้วสำลักไป “สมควรโดนแล้วสินะฉัน ก็หลอกขายของปลอมมาได้ตั้งนานนี่” 


 


 


จ้าวหย่งเฉินกดปุ่มหนึ่งบนโทรศพท์มือถือของเขา แล้วก็มีหน้าต่างใหม่ปรากฏขึ้นมาบนจอ มันเป็นนาฬิกาจับเวลาถอยหลังเป็นเวลาหนึ่งนาที เขากดส่งข้อความออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


[ระบบการส่งข้อความถูกเปิดใช้งานแล้ว ขอให้ทุกคนรายงานสถานะของตัวเอง] 


 


 


[ปลอดภัย] 


 


 


[ปลอดภัย] 


 


 


[ปลอดภัย] 


 


 


ทุกคนที่ได้รับข้อความนี้รู้ว่าเมื่อระบบการส่งข้อความถูกเปิดใช้งานแล้วแปลว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ทันใดนั้นทุกคนก็เงียบกันหมด มีเวลาเหลือเพียงหนึ่งนาทีเพื่อให้สื่อสารกันเท่านั้น จ้าวหย่งเฉินส่งข้อความไปอีกหนึ่งข้อความ 


 


 


[อีกหนึ่งเดือนให้หลังจะมีคนมาทำงานแทนฉัน ขอให้ทุกคนอยู่ประจำที่ด้วยความสงบ] 


 


 


[รับทราบ] 


 


 


[รับทราบ] 


 


 


[รับทราบ] 


 


 


[ขอบคุณทุกคนสำหรับการร่วมงานด้วยใจจริงเป็นเวลาผ่านมาหลายปี แล้วเจอกันจนกว่าจะพบกันอีกครั้ง] 


 


 


[จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง] 


 


 


[จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง] 


 


 


[จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง] 


 


 


เวลาหนึ่งนาทีได้หมดลงแล้ว มีควันสีเขียวพวยพุ่งออกมาโทรศัพท์ของจ้าวหย่งเฉิน ระบบทำลายตัวเองได้สำเร็จแล้ว 


 


 


เขาทิ้งบุหรี่ของปลอมลงบนพื้นแล้วใช้เท้าขยี้มัน เขาไม่มีไฟล์ให้ทำลายทิ้ง อะไรที่ควรจะลบออกไปก็ได้ถูกกำจัดหมดเรียบร้อย เขาเรียนรู้ที่จะจำข้อมูลไว้ในหัวเอาหลังจากมีประสบการณ์ทำงานมาหลายปี 


 


 


หน้าของจ้าวหย่งเฉินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงและพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างคงที่ ในเครือข่ายฟ้าดินชอบพูดกันเล่นๆ ว่าการเพิ่มพลังของตัวเองเพื่อเลื่อนขั้นระดับนั้นเป็นสิ่งประเสริฐมากในโลกแห่งการบำเพ็ญ แต่สำหรับจ้าวหย่งเฉินแล้วการทำแบบนี้ไม่ได้เป็นการเผาชีวิตตัวเองทิ้ง แต่เป็นการเผาศักดิ์ศรีครั้งสุดท้ายของตัวเองต่างหาก 


 


 


และการเลื่อนเป็นระดับ B เป็นปลอมๆ นี่ก็ถือเป็นขีดจำกัดขั้นสูงสุดของจ้าวหย่งเฉินแล้ว 


 


 


ก๊อก ก๊อก ก๊อก มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา แล้วจ้าวหย่งเฉินก็หัวเราะ 


 


 


“ตลกจัง ก็รู้นี่ว่าใครอยู่ข้างในแล้วจะเคาะประตูทำไมกัน” 


 


 


ทันใดนั้นจ้าวหย่งเฉินก็ปล่อยกระบี่บินออกมา กระบี่คมๆ นั้นบินพุ่งไปที่คนที่อยู่ข้างนอกประตู เขาถือหอกยาวแล้วรุดไปข้างนอกด้วยเหมือนกัน 


 


 


กระบี่สีแดงบินออกทะลุออกไปจากกระจกของซุปเปอร์มาร์เก็ต มันบินฝ่าฝนไปราวกับว่าเวลาได้หยุดลงชั่วขณะ กระบี่บินนั้นตัดผ่านฝนไปปรากฏที่กรีเออร์ 


 


 


แล้วเม็ดฝนที่ตกลงมาก็ดูเหมือนจะมีชีวิต มันรวมตัวเข้าด้วยกันเป็นเกราะกำบังให้กรีเออร์ และเหมือนกับว่าจิตสังหารนั้นจะถูกส่งออกมาใต้เม็ดฝนพวกนั้น 


 


 


กรีเออร์ยิ้มออกมา เขาก้าวไปข้างหลัง เม็ดฝนยังคงรวมตัวกันเรื่อยๆ เป็นม่านน้ำไม่ให้กระบี่บินสีแดงเข้ามาโจมตีได้ 


 


 


แล้วหลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา จ้าวหย่งเฉินชักกระบี่ออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง อุณหภูมิของเขาลดลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายฝน พื้นที่ถูกแดดส่องมาทั้งวันพอโดนฝนตกใส่ก็มีไอน้ำลอยขึ้นมา 


 


 


จ้าวหย่งเฉินฟาดกระบี่ออกไปข้างหน้า เขาทำลายม่านน้ำนั่นได้แล้วเข้าไปประชิดตัวกรีเออร์จนตัดหนวดกรีเออร์ขาดออกไป 


 


 


กรีเออร์ที่ยิ้มมาตลอดกลับมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที “ไม่กลัวตายอย่างนั้นสินะ” 


 


 


“จะกลัวตายหรือไม่กลัวตายก็ไม่สำคัญหรอก ฉันจะตายคืนนี้ก็ไม่สำคัญเหมือนกัน แต่โลกอันกว้างใหญ่นี้จะไม่มีที่เหลือให้นายอยู่ในคืนนี้แน่นอน” จ้าวหย่งเฉินพูดช้าๆ 


 


 


“แกประเมินค่าเครือข่ายฟ้าดินสูงเกินไปแล้ว” 


 


 


“แล้วแกก็ประเมินค่าตัวเองสูงไปด้วย” 


 


 


แล้วกระบี่บินพุ่งออกไปในอากาศราวกับมังกรบิน! 


 


 


ขณะที่กรีเออร์พยายามปกป้องตัวเองอยู่นั้นเขาก็เห็นกระบี่สีแดงแยกออกเป็นสองเล่ม ทั้งสองเล่มบินไปข้างหลังกรีเออร์อย่างเร็ว หลายๆ คนรู้ว่ากระบี่บินของเครือข่ายฟ้าดินนั้นหาใครเทียบได้ยาก กระบี่พวกนี้ฆ่าคนสิบคนได้ในการต่อสู้ที่สูสี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมแอนโธนีได้แอบไปหลบตอนที่เฉินไป่หลี่ใช้กระบี่บินแม้เฉินไป่หลี่จะเหนื่อยมากแล้วก็ตาม ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน กระบี่บินก็จะเอาชนะพวกเขาได้ในที่สุด 

 

 

 


ตอนที่ 673 การไว้อาลัยของโลก

 

เป็นที่รู้กันดีว่าสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินนั้นสามารถรองรับกระบี่บินได้เพียงอันเดียวเท่านั้นเพราะมีพลังที่จำกัด แต่จ้าวหย่งเฉินนั้นต่างออกไป เขาได้กำไรจากการขายของปลอมมาเยอะ เลยเอาไปลงทุนซื้อพวกอาหารเสริมเพื่อเพิ่มพลังร่างกายตัวเอง เขาจึงได้กระบี่บินสองเล่มมา


 


 


เขามักพูดเสมอว่าเขายอมเป็นคนค้าขายที่ไม่มีคุณธรรมเพื่อที่จะมีโอกาสได้อยู่รอดในโลกนี้


 


 


“พอพูดถึงเครือข่ายฟ้าดินแล้วเนี่ย ฉันเกรงว่านายจะไม่คุ้นเคยกับกระบี่ของเราหรือว่ามีดของเนี่ยถิงเท่าไหร่นะ” จ้าวหย่งเฉินพูดยิ้มๆ


 


 


จากนั้นกระบี่บินสีแดงก็แยกตัวออกจากกันกระทั่งกรีเออร์เองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว


 


 


เขารีบเสกน้ำขิ้นมาป้องกันเขาไว้ข้างหน้า แต่ก็ถูกกระบี่เข้าโจมตีทางด้านหลังแทน กรีเออร์รีบเพิ่มพลังของตนเองทันที ในพริบตาเดียวพลังวิญญาณชี่ก็พุ่งท่วมท้นออกมา


 


 


แล้วกรีเออร์ก็ควบคุมเม็ดฝนให้ยิงออกไปด้วยความเร็วเหมือนแสงพุ่งในทันใดเหมือนหยุดเวลาได้ มันเข้าไปปะทะกับกระบี่บินแดงอย่างจัง ส่วนเขาเองก็เปลี่ยนตัวเองให้เป็นมนุษย์น้ำที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในสายฝนเพื่อหลีกเลี่ยงกระบี่บินแดง กระบี่บินของจ้าวหย่งเฉินเข้าไปกดดันกรีเออร์ทางด้านขวา และกรีเออร์ก็ไม่สามารถหลบการโจมตีนั้นได้!


 


 


“ฉันประมาทแกไปหน่อย” กรีเออร์พูด เขากลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ปกติแล้ว มีเลือดไหลออกมาจากหน้าอกและหลังของเขา เขาไม่คิดเลยว่าจะบาดเจ็บเป็นแผลจากการโจมตีของสายลับระดับ C แบบนี้ได้ มันไม่ง่ายเลยที่จะแปลงร่างเป็นมนุษย์น้ำเพราะเขาต้องใช้พลังจิตวิญญาณสูงมากในการป้องกันไม่ให้จิตใจของตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งกับน้ำไป เมื่อก่อนมีผู้มีพลังสายน้ำที่ชื่อว่าเอิร์ลได้สละร่างมนุษย์ของเขาไปตลอดกาลเพื่อการแปลงร่างเป็นมนุษย์น้ำ แต่กรีเออร์ยังไม่อยากทำแบบนั้น


 


 


หัวใจของเขาคงถูกตัดขาดด้วยกระบี่บินสองเล่มนั้นไปแล้วถ้าเขาหลบช้ากว่านี้ไปอีกหน่อย!


 


 


แต่จ้าวหย่งเฉินไม่ได้โชคดีอย่างนั้น เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝนและจับกระบี่ยาวไว้ในมือด้านขวา จากนั้นเม็ดฝนของกรีเออร์ก็เข้าไปโจมตีทั่วทิศทางและทำลายชุดเกราะวิญญาณชี่ของจ้าวหย่งเฉินด้วย


 


 


“วันนี้ไม่ใช่วันของฉันสินะ ไม่น่าขายของปลอมเยอะเลยเรา น่าจะขายของจริงบ้าง…” จ้าวหย่งเฉินถอนหายใจและมองดูท้องฟ้า เลือดพวยพุ่งออกมาทั่วร่าง “โธ่เอ๊ย ทำไมจะต้องมาฝนตกตอนนี้ด้วยนะ ลาก่อนนะพี่น้องทั้งหลาย ฉันจะไม่เสียใจกับการเดินทางข้างๆ พวกนายเลย”


 


 


จากนั้นร่างของเขาก็ล้มไป


 


 


กรีเออร์ยืนเงียบอยู่ในสายฝน เขาเกือบตายแล้ว จริงๆ แล้วเขาผิดเองที่ไปประมาทให้กับเครือข่ายฟ้าดิน แต่ดูเหมือนมันก็จะสายไปเพราะราชันฟ้าสองคนได้ออกจากประเทศไปแล้ว น่าเบื่อน่าดู เขายังไม่ได้เพลิดเพลินกับการฆ่าเลย


 


 


ทันใดนั้นกรีเออร์ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารรอบตัวเขาขณะเมื่ออุณหภูมิลดลง


 


 


เขาหันขวับไปเจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงสุดถนน เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังมองร่างไร้ชีวิตของจ้าวหย่งเฉินอยู่ สายตาของเขานั้นราบเรียบท่ามกลางสายฝน


 


 


หลี่ว์ซู่อยากจะกล่าวอำลาจ้าวหย่งเฉินหลังจากที่ไปส่งหลี่อีเสี้ยวแล้ว แต่เขาไม่คิดเลยว่าการกล่าวลาในครั้งนั้นจะเป็นการกล่าวลาครั้งสุดท้าย มันน่าเศร้าจริงๆ ที่การกลับมาของเขาต้องกลับกลายมาเป็นแบบนี้


 


 


คลื่นพายุลูกที่หลบอยู่ในส่วนลึกในใจหลี่ว์ซู่โหมหระหน่ำราวกับว่าสัตว์ร้ายที่อยู่ใต้น้ำนั้นอยากจะออกมาทำลายทุกสิ่งให้สิ้นซาก


 


 


เขารู้มาเสมอว่าสัตว์ร้ายตัวนั้นได้ถูกอยู่ขังในใจเขามาเนิ่นนาน และไม่เคยได้ถูกปล่อยออกมาเลยสักครั้ง


 


 


“อยากตายอีกคนสินะ” กรีเออร์ยิ้ม เขาก้าวออกมาหาหลี่ว์ซู่ท่ามกลางน้ำที่ขังอยู่ตามทาง แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าม่านน้ำสุดโปรดที่เขาชอบใช้นั้นได้เปลี่ยนกลายเป็นกรงขังเขาไว้


 


 


“ฉันเคยคิดมาตลอดว่าโลกนี้ยังมีแสงสว่างอบอุ่นอยู่ถึงแม้ว่าจะหนาวเย็นไปบ้างบางทีก็ตาม” หลี่ว์ซู่พูดเสียงเรียบ “ทำไมเราอยู่กันแบบสงบๆ ไม่ได้เลยนะ ทำไมจะต้องต่อสู้และฆ่ากันด้วย”


 


 


“อะไรกันล่ะเนี่ย” กรีเออร์เลิกคิ้ว จริงๆ แล้วเคราของเขาขยับได้เหมือนกับคิ้ว แต่จ้าวหย่งเฉินได้ตัดเคราครึ่งหนึ่งของเขาไปแล้ว


 


 


“ตอนนี้ฉันอยากจะฆ่าใครบางคนแล้วล่ะ” หลี่ว์ซู่แสยะยิ้มออกมาเห็นฟันสีขาวสะท้อนมาในสายฝน มันหนาวบาดใจเหมือนกับมีดน้ำแข็ง


 


 


ทันใดนั้นเองแผนที่ดวงดาวในใจของหลี่ว์ซู่ก็หมุนอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ดวงดาวดวงที่เจ็ดปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้าในแผนที่ดวงดาวระดับที่สาม มันส่องแสงประกายเจิดจ้าไปทั่วทั้งห้วงอวกาศ แล้วดวงดาวที่เหลืออยู่ก็เริ่มหมุนเหมือนกัน ราวกับว่าโลกใหม่ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว


 


 


ความโศกเศร้านั้นก็เหมือนฝนตกปรอยๆ หรือเป็นเส้นไหมจางๆ เมื่อได้เปิดเผยใจที่เศร้าชั้นนอกออกมาแล้วก็จะเห็นว่าชั้นในนั้นเป็นความเศร้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


กระบี่เฉวียอินโผล่ออกมาจากแผนที่ดวงดาวระดับสาม ถ้าจะพูดให้ชัดๆ ก็คือกระบี่เฉวียอินนั้นเป็นเหมือนหนามที่เต็มไปด้วยรอยแตกมากกว่าจะเป็นกระบี่ธรรมดา


 


 


เมื่อดูใกล้ๆ แล้วเส้นพวกนั้นกลับไม่ใช่รอยแตก กระบี่เฉวียอินประกอบไปด้วยด้ายบางๆ สามสิบหกเส้นถักทอเข้าด้วยกันอย่างละเอียดลออเป็นระเบียบ เมื่อหลี่ว์ซู่เรียกกระบี่เฉวียอินมา มันก็ถอดแยกชิ้นส่วนออกอย่างสวยงามและบินเข้าไปในแผนที่ดวงดาวของเขา


 


 


ทันใดนั้นความเศร้าก็เกาะกินหัวใจกรีเออร์ก่อนที่เขาจะได้เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ น้ำตาของเขาก็ไหลออกมา


 


 


หมาจรจัดที่กำลังคุ้ยหาอาหารที่ถังขยะใกล้ๆ อยู่ๆ ก็หมอบลงและส่งเสียงสะอื้นไห้


 


 


ผู้คนที่หลับใหลอยู่ในบริเวณนั้นก็ตื่นมาร้องห่มร้องไห้เหมือนกัน ทั่วพื้นที่นี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังเลื่อนระดับ ตอนที่หลี่ว์ซู่เปิดจุดชี่ไห่เสวี่ยซานออกก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเหมือนกัน และมันก็กำลังเกิดขึ้นอีกครั้งตอนที่เขาปลดล็อกแผนที่ดวงดาวขั้นที่สาม


 


 


ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกอพยพกันไปแล้วหลังจากการต่อสู้กับ EO ในตอนบ่ายที่ผ่านมา ดังนั้นก็เลยไม่มีคนเห็นเหตุการณ์มากนัก


 


 


กรีเออร์ประหลาดใจมาก สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้คล้ายกับเบิกเนตรสวรรค์เมื่อมีคนเลื่อนขึ้นเป็นระดับ A!


 


 


แล้วกระบี่เฉวียอินก็บินออกมาเงียบๆ จากแผนที่ดวงดาวของหลี่ว์ซู่ มันเกือบจะผสมเข้ากับสายฝนในยามเย็นเลยทีเดียว


 


 


ตามความสามารถและพลังแล้ว กรีเออร์สามารถเห็นสิ่งรอบตัวผ่านเม็ดฝนได้ แต่ตอนนี้เขากลับเสียการควบคุมฝนไปอย่างสิ้นเชิง


 


 


สายฝนหลักของเขาถูกขโมยไปเรียบร้อยแล้ว ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักซึ่งเคยเป็นเวทีต่อสู้ของเขาได้กลายเป็นกรงขังเขาแล้ว


 


 


น้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว


 


 


มีเม็ดฝนตกลงมาที่ไหล่ของกรีเออร์หยดหนึ่ง มันย้อมสีเสื้อของเขาให้กลายเป็นสีแดงทันที เขาตกใจอย่างมากที่สายฝนพวกนี้กลายเป็นสิ่งแหลมคมอย่างไม่น่าเชื่อ


 


 


หลีเสียนอีสามารถใช้ใบไม้กวัดแกว่งแทนกระบี่ได้ เพราะเขาสามารถรวมพลังกระบี่ให้มาอยู่ในใบไม้ และผู้มีพลังสายน้ำอย่างหลี่ว์ซู่ก็สามารถเปลี่ยนสายฝนให้กลายเป็นอาวุธที่จะใช้พลังกระบี่เขาได้ดีที่สุดเหมือนกัน


 


 


ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่สายฝนธรรมดา แต่เป็นกระบี่สายฝนที่เขาคิดมาเพื่อกรีเออร์โดยเฉพาะ เอาให้มันรู้สึกว่าเหมือนฟ้ากำลังถล่มลงมา


 


 


กระบี่สายฝน ชื่อเพราะขนาดนี้เชียว มาคิดๆ ดูแล้วตอนนี้หลี่ว์ซู่ชอบฝนแล้วล่ะ


 


 


คืนนี้หลี่ว์ซู่ได้เลื่อนระดับเป็นระดับ B อย่างเป็นทางการแล้ว พื้นที่รอบๆ ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรของหลี่ว์ซู่กำลังโศกเศร้าอาดูร และห่าฝนที่กำลังตกลงมาก็กลายเป็นกระบี่สายฝน


 


 


กรีเออร์ได้แต่คิดว่าคืนนี้เขาไม่น่ามาอยู่ที่นี่เลยจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 674 กรรมตามสนอง

 

น้ำที่กรีเออร์สามารถควบคุมได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในรัศมีไม่เกินสามเมตรเท่านั้นซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ข้างบนหัวของเขายังมีกระบี่สายฝนกว่าร้อยเล่มรอจู่โจมอยู่และพร้อมที่จะโฉบลงมาได้ทุกเมื่อ


 


 


คำอธิบายสำหรับเหตุการณ์นี้ที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดก็คือผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้นั้นมีระดับที่สูงกว่าเขามาก แต่กรีเออร์ก็ไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์เบิกเนตรสวรรค์หรือเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้ได้อยู่ดี


 


 


อีกอย่างการเลื่อนระดับของผู้ชายคนนี้ก็สูงกว่าระดับ B ขั้นต้น แต่ก็ยังไม่ถึงระดับ A เสียทีเดียว


 


 


กรีเออร์พยายามที่จะทำให้ตัวเองหลุดออกจากม่านน้ำฝนนี้ราวกับว่าตัวเองเป็นสัตว์ร้ายที่ติดกับดัก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขาไปเลยด้วยการใช้พลังน้ำที่เหนือกว่า


 


 


จากนั้นเขาจึงเข้าใจว่าศัตรูยังไม่อยากจะฆ่าเขาให้ตายง่าย ๆ นี่เอง


 


 


เขาเกือบจะทนไม่ไหวกับความยโสของผู้ชายคนนี้แล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มั่นใจกับความแข็งแกร่งของตัวเองนักนะ!


 


 


สิ่งที่น่าสนใจในโลกของการบำเพ็ญก็คือมีแต่เรื่องปาฏิหารย์เกิดขึ้นอยู่ตลอด และพลังที่มนุษย์ครอบครองในตอนนี้นั้นมาถึงจุดสูงสุดแล้ว อาจมีวันหนึ่งที่คนคนเดียวจะเอาชนะคนทั้งประเทศด้วยพลังของเขาก็ได้


 


 


แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นก็ต้องฆ่าไปมากมายไม่รู้กี่ศพ แต่เมื่อมีใครได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายและเขียนบันทึกมันลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะที่ตัวเองเป็นตำนานแล้ว คนอื่น ๆ จะจบลงด้วยการเป็นหินกรุยทางให้ผู้ชนะก้าวข้ามไปเท่านั้นแหละ


 


 


จากนั้นกรีเออร์ก็เข้าใจแล้วว่าเขาหลีกเลี่ยงความตายของตัวเองในคืนนี้ไม่ได้เสียแล้ว


 


 


เส้นสีเทาบาง ๆ ปรากฏออกมาจากกระบี่เฉวียอินด้วยเสียงขู่เบา ๆ ท่ามกลางสายฝนยามเย็น มันเจาะผ่านเข้าไปในไหล่ของกรีเออร์เหมือนกับงูฉกทันทีโดยไม่รีรอ


 


 


เส้นใยทั้งสามสิบหกเส้นของกระบี่เฉวียอินเข้ากับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยจิตสังหารในคืนนี้ กรีเออร์ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเส้นใยที่จะเข้ามาโจมตีต่อไปนั้นจะมาจากทิศทางไหน


 


 


หลี่ว์ซู่ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางพื้นที่เปียกโชก “การตายของจ้าวหย่งเฉินจะไม่ใช่การตายครั้งสุดท้ายของคืนนี้ และการตายของแกก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดูว่าจ้าวหย่งเฉินรู้สึกยังไงก่อนตาย”


 


 


กระบี่เฉวียอินเจาะผ่านร่างของกรีเออร์ซ้ำ ๆ เลือดของเขาสาดกระเซ็นและเจือจางไปกับหยดน้ำฝน ทำให้เกิดเป็นแอ่งน้ำเลือดบนพื้น


 


 


ร่างกายของกรีเออร์มีสามสิบเอ็ดแผลด้วยกัน เป็นแผลที่เดียวกับที่กรีเออร์โจมตีจ้าวหย่งเฉินไปด้วยหยดน้ำฝน เอาเข้าจริงแล้วแผลของกรีเออร์นั้นบาดลึกมากกว่า เพราะมันเจาะเข้าไปข้างในร่างกาย ส่วนเม็ดฝนของกรีเออร์ไม่ได้โจมตีแบบนั้น


 


 


ร่างของกรีเออร์ค่อยๆ ทรุดลงบนพื้นและเขาก็กระอักเลือดออกมาไม่ขาดสาย ฟองเลือดที่เขากระอักออกมาท่ามกลางแอ่งน้ำจากสายฝนนั้นดูร้ายแรงถึงตายทีเดียว


 


 


“พอแกฆ่าฉันเสร็จแล้วจะเอายังไงต่อล่ะ” กรีเออร์หัวเราะ “มีคนตั้งมากมายอยากจะฆ่าคนของเครือข่ายฟ้าดิน แกจะหยุดพวกมันไหวเหรอ!”


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดไปสักพักแล้วพูดต่อ “ทำไมแกยังไม่ตายอีก”


 


 


การบาดเจ็บของกรีเออร์สาหัสกว่าของจ้าวหย่งเฉินมาก แล้วทำไมหมอนี่ยังรู้สึกตัวอยู่ล่ะ ดูจากแผลแล้วอาจจะไม่ถึงตายก็จริง แต่เมื่อจ้าวหย่งเฉินโดนโจมตีไปแบบนั้นแล้วเขาก็นอนตายแน่นิ่งเลยนะ!


 


 


แต่แล้วก็มีเสียงไอตามมา


 


 


ใครไอกันนะ หลี่ว์ซู่มองกรีเออร์ กรีเออร์ก็มองเขากลับมาแบบงงๆ กรีเออร์ก็ไม่ได้ไอเหมือนกัน


 


 


หลี่ว์ซู่หันไปมองจ้าวหย่งเฉินที่กำลังยันตัวขึ้นมานั่ง “ให้ตายเหอะวะ เจ็บแผลชะมัด…”


 


 


หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย


 


 


ชาติที่แล้วเขาเป็นแมลงสาบหรือเปล่าเนี่ย ทำไมบาดเจ็บขนาดนั้นยังมีชีวิตอยู่ได้อีก! ทั้งหลี่ว์ซู่และกรีเออร์ก็คิดว่าจ้าวหย่งเฉินตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นหลี่ว์ซู่ก็คงไม่ได้กระบี่เฉวียอินมาจากความโศกเศร้าหรอก!


 


 


งั้นที่เขาหลั่งเลือดออกมามากขนาดนั้นก็กลายเป็นเรื่องตลกแล้วงั้นสิ


 


 


อันที่จริงแล้วส่วนสำคัญของร่างกายจ้าวหย่งเฉินนั้นมีชุดเกราะวิญญาณชี่ปกป้องไว้อยู่อย่างหนาแน่น ถึงเกราะจะไม่ค่อยหนาแน่นเท่าไหร่ในบริเวณอื่น ๆ แต่ก็มากพอที่จะให้เขารอดมาได้


 


 


หลี่ว์ซู่ตัดสินใจเข้าไปช่วยจ้าวหย่งเฉิน กรีเออร์ก็เลยพยายามใช้โอกาสนั้นหนีออกมา แต่เขาก็โดนกระบี่สายฝนที่ลอยอยู่บนหัวโฉบลงมาโจมตีทันที สายฝนพวกนั้นโจมตีเข้าไปในเลือดเนื้อ กระดูก และกระทั่งวิญญาณของเขาด้วย


 


 


กรีเออร์ทรุดลงบนพื้นอีกรอบ ครั้งนี้เขาไม่รอดจริงๆ แล้ว


 


 


เมื่อมาถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต กรีเออร์ก็คิดได้ว่าตัวเองมาเจอราชันฟ้าแห่งเครือข่ายฟ้าดินเข้าเสียแล้ว พวกเขาเคยสาบานว่าจะตามล่าราชันฟ้าให้ได้ แต่กลับกลายว่าตัวเองต้องมาเป็นเหยื่อเสียเอง


 


 


สุดท้ายแล้วพวกราชันฟ้าก็ถือว่าเป็นพวกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญแล้วสินะ


 


 


หลี่ว์ซู่เข้าไปช่วยให้จ้าวหย่งเฉินลุกขึ้นเดินกลับไปที่ร้านค้า “นายโชคดีมากนะเนี่ย…”


 


 


จ้าวหย่งเฉินยังไม่ตายเพราะไม่ได้มีบาดแผลอะไรฉกรรจ์อะไร เขาใช้พลังรักษาของระดับ C รักษาอาการบาดเจ็บพวกนี้ได้ นี่เป็นหนึ่งในข้อดีของการเป็นผู้บำเพ็ญ เดี๋ยวพวกเขาก็จะหายดีในอีกไม่ช้า


 


 


แต่อย่างไรก็ตามฐานพลังจิตวิญญาณของจ้าวยงเฉินนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว เขาใช้พลังของตนเองไปจนหมด ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่สามารถเลื่อนระดับมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว


 


 


จ้าวหย่งเฉินพยายามฉีกยิ้มออกมาบางๆ “กรรมตามสนองผมแล้วล่ะ ดูเหมือนว่าพวกความผิดเล็ก ๆ ที่ผมเคยทำไปเมื่อปีที่แล้วจะอันตรายเกินไปสินะ ผมไม่ระวังเอง”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร หลี่ว์ซู่ช่วยเขาให้นอนลงบนเก้าอี้และพูดว่า “พักผ่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นแล้ว”


 


 


“ขอบุหรี่สักตัวกับ ‘ค็อก’ กระป๋องหนึ่งสิครับ” จ้าวหย่งเฉินพูด “ผมเพิ่งรอดตายมานะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงไม่กล้าดื่มเครื่องดื่มอะไรแบบนี้หรอกเพราะผมคิดว่ามันเป็นเครื่องดื่มของคนหนุ่ม ๆ สาว ๆ แต่ตอนนี้ช่างมันเถอะ เดี๋ยวผมก็ตายแล้ว ถ้าไม่สนุกไปกับชีวิตที่เหลืออยู่ตอนนี้แล้วจะไปสนุกตอนไหนล่ะ”


 


 


หลี่ว์ซู่ไปหยิบกระป๋องค็อกมาเงียบๆ แล้วก็ดึงแผ่นเหล็กขึ้นมา แต่มันกลับหักคามือเขา กระป๋องนั้นยังไม่ทันจะถูกเปิดเลย


 


 


[ได้แต้มจากจ้าวหย่งเฉิน +666!]


 


 


“กรรมแน่ๆ กรรมตามสนองผมแล้ว!” จ้าวหย่งเฉินเห็นรู้สึกมันทั้งน่าอายทั้งน่าขำ ต้องโทษวันเวลาเก่าๆ ที่เขาเคยขายของปลอมมาสินะ


 


 


“เอ่อ ก็นะ” หลี่ว์ซู่รู้สึกเขินเล็กน้อยเหมือนกัน “เดี๋ยวจะมีคนมาทำงานแทนหรือเปล่า”


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ ผมสบายดี เดี๋ยวจะมีคนมาตรวจดูพรุ่งนี้ตอนสิบโมงเช้า แล้วเขาก็จะมารับผมตอนนั้นเองแหละ” จ้าวหย่งเฉินตอบ “แล้วคุณล่ะ มีแผนจะไปไหนหรือเปล่า”


 


 


“ฉันจะไปฆ่าคน” หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาทีก่อนตอบ


 


 


จ้าวหย่งเฉินเองก็เงียบไปเหมือนกัน เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่จะไปกำจัดคนระดับ B อีกสองคนให้สิ้นซาก แต่มันยังอันตรายเกินไปอยู่ดี


 


 


เขาเลยถามออกไป “แล้วจะไปทำยังไงล่ะครับ”


 


 


หลี่ว์ซู่ชะงักไป จากนั้นก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ก็จะไปสร้างความเสียหายในวังสวรรค์หน่อยน่ะสิ”


 


 


“ถ้าคุณกลับมาไม่ได้อีกล่ะครับ”


 


 


“ก็ให้มันเป็นอย่างนั้นแหละ” หลี่ว์ซู่เดินออกไปในความมืดอย่างรวดเร็วด้วยความมั่นใจ ร่างของเขาค่อย ๆ ลับหายไปในสายฝนยามค่ำคืน

 

 

 


ตอนที่ 675 ฉันประมาทไปหน่อย

 

ฝนตกลงมาทั้งคืนและดูราวกับว่าหลี่ว์ซู่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งกับมันไปแล้ว กระบี่เฉวียอินยังคงพุ่งไปมาในสายฝนอย่างปราดเปรียวและมีจิตสังหารแฝงอยู่ด้วย


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาถึง วันที่เขาแก้แค้นให้กับเพื่อนของเขาและกลับมาพร้อมกับโทสะในคืนฝนตก เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าโลกจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้


 


 


การที่จ้าวหย่งเฉินยังมีชีวิตนั้นทำให้หลี่ว์ซู่มีความสุขมาก เขายังไม่รู้สึกมีความสุขเท่านี้เลยตอนที่เขาได้เลื่อนไปเป็นระดับ B แล้วอยู่ๆ เขาก็อยากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมา พอเขาเปิดกระป๋องออกเขาก็คงจะพูดกับจ้าวหย่งเฉินว่า ‘นี่รู้ไหม คนบางคนพูดไว้ว่าถ้านายดึงแผ่นเหล็กจากกระป๋องออกมาได้…’


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปท่ามกลางความมืดมิดและเริ่มการสังหารหมู่


 


 


เสียงฝีเท้าของหลี่ว์ซู่ดังสวบสาบในสายฝน และไฟสีเหลืองบนถนนก็กะพริบเหมือนจะดับอยู่ตลอดเวลา สิ่งก่อสร้างรอบๆ ถูกทำลายไปเกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้ ดูเหมือนกับว่าเมืองนี้เป็นกลายเมืองร้างอย่างไรอย่างนั้น


 


 


อยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็หยุดอยู่ใต้แสงไฟบนถนน และเขาก็เงียบไปนานพอควร


 


 


“เดี๋ยวนะ อีกสองคนนั้นหายไปไหนกัน” หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปดูบนไฟถนน เขาเริ่มจะรู้สึกเศร้าขึ้นมาแล้ว “ฉันก็ประมาทไปหน่อย ลืมถามจ้าวหย่งเฉินเรื่องข้อมูลนี้ไปเสียสนิท”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่อยากจะเดินกลับไปเท่าไหร่ ตอนเขาเดินออกมาท่ามกลางสายฝนนั้นดูดีมากเสียจนถ้าเดินกลับไปแล้วมันจะไม่เท่เหมือนเดิมน่ะสิ


 


 


หรือเขาจะเดินกลับไปถามจ้าวหย่งเฉินดีนะ หลี่ว์ซู่ไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อดีเลย


 


 


แต่แล้วโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้นมาในกระเป๋าเสื้อ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อดูข้อมูลที่เพิ่งได้ [พวกมันจะเข้ามาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอีก 20 นาที]


 


 


หลี่ว์ซู่เก็บโทรศัพท์กลับเข้าไป ข้อมูลที่ได้จากเครือข่ายฟ้าดินนั้นเชื่อถือได้เสมอแหละ


 


 



 


 


เมืองหลวง บนถนนหลิวไห่


 


 


เนี่ยถิงที่อยู่ในชุดจีนสีดำกำลังยืนอยู่ในสวน สือเสวจิ้นก็เอาผ้าคลุมสีดำออกมาสวมใส่เหมือนกัน “ฉันตรวจสอบดูแล้ว กรีเออร์ คุก เป็นคนของโจรสลัดในคาบสมุทรแคริบเบียน หลังจากที่เขาปะทุพลังแล้วเขาก็ช่วยพวกโจรสลัดเผาทำลายที่ต่างๆ และฆ่าคน จากนั้นก็ขโมยของ เขามีพลังสายน้ำซึ่งเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ในทะเล เดี๋ยวฉันจะส่งที่อยู่ของพวกโจรสลัดแบบชัด ๆ ให้อีกที รอข้อความของฉันด้วยล่ะ”


 


 


เนี่ยถิงพยักหน้ารับรู้และกำชุดของตัวเองไว้ ต้นวอลนัทกำลังสั่นไหว เนี่ยถิงบินขึ้นไปในอากาศและมุ่งหน้าไปทางตะวันออกด้วยความรวดเร็ว!


 


 


เขาอยากจะให้หลี่ว์ซู่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ในเมื่อตอนนี้หลี่ว์ซู่กำลังต่อสู้อยู่คนเดียวในแอฟริกา ก็เลยทำให้เนี่ยถิงคันไม้คันมืออยากจะฆ่าคนขึ้นมาด้วย!


 


 


 


 


 


 


หลี่ว์ซู่พิงเสาไฟบนถนนตรงทางเข้าเมืองที่ทรุดโทรมนี้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และเสาไฟที่เขาพิงนั้นก็ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อเขาเอนกายพิงมัน และคงทำให้คนได้ยินรู้สึกไม่ค่อยดีนัก


 


 


เขาได้ยินเสียงคนสองคนเดินออกมาจากม่านน้ำไกลๆ พวกเขามองหลี่ว์ซู่ด้วยสีหน้าจริงจัง และหลี่ว์ซู่ก็ฉีกยิ้มให้พวกเขา


 


 


“มาสักทีนะ ฉันอยากจะถามคำถามพวกแกมาตลอดเลย แกตามล่าหาราชันฟ้าเพื่อเกียรติยศของตัวเอง แล้วเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง”


 


 


เขาอยากจะรู้ว่าคนพวกนี้รู้จักกลัวกันบ้างไหม แต่พูดกับคนบ้าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก หลี่ว์ซู่ค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นมาช้า ๆ


 


 


มีเสียงอะไรบางอย่างถูกฉีกขาดออกจากกัน และไฟบนนถนนก็มืดดับไป


 


 


คนระดับ B คนแรกเริ่มเคลื่อนไหวก่อน ราวกับว่าพื้นข้างล่างนั่นแยกออกจากกันทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน


 


 


หลี่ว์ซู่เห็นแล้วว่าผู้มีพลังคนนี้นั้นมีอะไรพิเศษอยู่ เขาเป็นผู้มีพลังสายพละกำลังนั่นเอง


 


 


ทุกวันนี้นั้นมีการถกกันอย่างเผ็ดร้อนเรื่องที่ผู้มีพลังสายพละกำลังไม่ได้จะเก่งขนาดนั้นแล้ว หลี่ว์ซู่เคยเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกนี่แหละ คนคนนี้ไม่ได้ตัวใหญ่หรือสูงอะไรเลย แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าเขามีพลังที่ไร้ขีดจำกัดแล่นไปทั่วร่างกาย


 


 


เขารีบดึงมีดสั้นสองเล่มออกมาอย่างรวดเร็วอย่างกับสายฟ้า ข้อได้เปรียบของการเป็นผู้มีพลังสายพละกำลังก็คือความเร็วและความแข็งแกร่ง เขาตั้งใจจะเข้าประชิดตัวหลี่ว์ซู่อย่างรวดเร็ว


 


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เอากระบี่เฉิงอิ่งออกมา แผนที่ดวงดาวที่หลี่ว์ซู่มีนั้นทำให้เขามีร่างกายเหมือนกับผู้มีพลังสายพละกำลัง ก่อนหน้าที่เขาจะเลื่อนระดับนั้นเขาเป็นรองระดับ A ไปแค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่พอเลื่อนระดับขึ้นมาแล้วเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก


 


 


พอได้มาเจอผู้มีพลังสายพละกำลังแบบนี้แล้วหลี่ว์ซู่ก็อยากรู้ว่าเขาจะสู้ด้วยความแข็งแกร่งบวกกับความสามารถการใช้กระบี่ของตัวเองได้ขนาดไหน!


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่กำลังมุ่งมั่นอย่างเต็มที่แล้ว วินาทีที่พวกเขาเข้าปะทะกัน หลี่ว์ซู่ก็ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อหลบมีดสั้นที่โจมตีเข้ามา เขาฟาดกระบี่ของเขาไปและมันตัดมีดสั้นพวกนั้นออกอย่างกับงูพิษที่เข้าฉกโจมตีระดับ B คนนั้นบริเวณกรามด้านล่าง เขาตั้งใจจะโจมตีทะลุเข้าในกะโหลกเลย!


 


 


ผู้มีพลังระดับ B คนนั้นคิดว่าตัวเองจะได้เปรียบถ้าเข้าไปประชิดตัวหลี่ว์ซู่ แต่เขาก็เข้าใจผิดไป เพราะหลี่ว์ซู่รวดเร็วกว่าเขา เขาเป็นถึงผู้มีพลังสายพละกำลังระดับ B แม้แต่คนระดับ B ขั้นสูงยังไม่รวดเร็วเท่าเขาเลย!


 


 


เขามองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในมือหลี่ว์ซู่ แต่เขารู้สึกได้ว่ากำลังมีอันตรายตามมา!


 


 


เมื่อกระบี่นั้นเกือบจะสัมผัสกรามของเขา เขาก็ต้องเลี่ยงหลบไปด้านหลังอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่กล้าจะเดาด้วยซ้ำว่าในมือของหลี่ว์ซู่มีอะไรอยู่!


 


 


หลี่ว์ซู่เป็นยอดฝีมือในการใช้กระบี่ เมื่อได้ใช้กระบี่เฉิงอิ่งแล้วยิ่งทำให้ผู้มีพลังสายพละกำลังคนนี้กดดันอย่างมาก


 


 


ผู้มีพลังสายพละกำลังคนนี้ชื่อวัทลีย์ ตอนนี้เขาก็เห็นกระบี่ในมือหลี่ว์ซู่อย่างชัดเจนเมื่อได้ถอยหลังออกมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเม็ดฝนก็ถูกหั่นเป็นสองท่อนด้วยกระบี่ล่องหน เม็ดฝนที่โดนหั่นนั้นอาจจะกลายเป็นหัวของเขาก็ได้ เขาตกใจมาก หลี่ว์ซู่มีอาวุธอยู่ในมือจริงๆ ด้วยสินะ!


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็ไม่คิดจะปล่อยวัทลีย์ไปหรอก เขาก้าวมาข้างหน้าอีกนิดหน่อยจนน้ำกระเซ็น จากนั้นเขาก็ย่อตัวลงพร้อมกับยกขาขึ้น เขาเล็งไปที่หน้าอกของวัทลีย์และส่งแรงทั้งหมดที่มีออกไป!


 


 


วัทลีย์สร้างได้เพียงบาดแผลเล็กๆ สองแผลบนขาของหลี่ว์ซู่ด้วยการโจมตีด้วยมีดสั้นของเขาเท่านั้น ก่อนที่จะตัวของเขาจะปลิวไปเหมือนกับว่าว


 


 


จังหวะที่หลี่ว์ซู่กำลังจะไล่ล่าเขาไปต่อนั้น หลี่ว์ซู่ก็เห็นว่าทั้งเสาไฟบนถนนสองข้างทางและซากเหล็กจากสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ พุ่งตรงเข้ามาหาหลี่ว์ซู่ เป็นฝีมือของผู้มีพลังสายโลหะอีกคนนี่เอง!


 


 


แต่ก่อนที่เหล็กพวกนั้นจะเข้ามาถึงตัวหลี่ว์ซู่ได้ กระบี่เฉวียอินก็พุ่งเข้าใส่และกลุ่มโลหะพวกนั้นก็กลายเป็นฝุ่นผงไปในพริบตา


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดไล่ล่าและหันมามองคนสองคนนั้นท่ามกลางสายฝน


 


 


วัทลีย์ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาและเช็ดเลือดออกจากปากตัวเอง ตอนแรกเขาคิดว่าจะจัดการกับหลี่ว์ซู่ได้ง่าย ๆ เสียอีก แต่ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บหน้าอกไปหมด ถ้าเขาไม่ได้เป็นผู้มีพลังสายพละกำลังลูกเตะเพียงครั้งเดียวนั่นคงได้หักอะไรที่ที่มากกว่ากระดูกซี่โครงของเขาแน่ ๆ!


 


 


ชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่กลางสายฝนพร้อมกับกระบี่ในมือ เขาดูแข็งแกร่งอย่างกับภูเขาและไม่มีใครสามารถขยับเขาได้


 


 


เลือดยังไหลออกมาจากขาของหลี่ว์ซู่อย่างไม่ขาดสาย มันก็ไหลจากขาของเขาลงไปสู่พื้น เหมือนกับว่าเป็นสีย้อมที่ถูกเจือจางลงด้วยน้ำ กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็ยังมีสีหน้าใจเย็น “ฉันจะถามพวกแกอีกครั้งนะ พวกแกไล่ล่าราชันฟ้าเพื่อเกียรติของตัวเองอย่างกับหมาบ้า แล้วพวกแกได้คิดถึงผลที่จะตามมาบ้างไหม”

 

 

 


ตอนที่ 676 สายฝนกระหน่ำ

 

ฝนนั้นเป็นข้อได้เปรียบของผู้มีพลังสายน้ำ อาจกล่าวได้ว่าทั้งโลกนี้ก็อาจเป็นถิ่นที่เหมาะแก่การต่อสู้ของผู้มีพลังสายน้ำทั้งหมดเลยก็ได้


 


 


ตอนแรกทั้งวัทลีย์และกรีเออร์ก็รู้สึกว่าตัวเองเตรียมตัวมาอย่างดี วัทลีย์แฝงตัวอยู่กับโจรสลัดมานานหลายปี เขาไม่เคยอ่านเรื่องดินฟ้าอากาศผิดไปสักครั้ง


 


 


เพราะฉะนั้นพวกเขาก็รู้ว่าจะมีฝนตกหนักที่นี่ แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่ากรีเออร์ที่เป็นผู้มีพลังสายน้ำจะมาตายลงแบบนี้


 


 


เมื่อหลี่ว์ซู่ถามพวกเขาว่าได้คิดเรื่องผลที่จะตามมาบ้างไหม พวกเขาทั้งสองก็ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งมาก แต่ทำไมเขาถึงคิดว่าจะเอาชนะคนระดับ B สองคนได้ล่ะ


 


 


แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดจากบ้านที่อยู่รอบๆ ในรัศมีร้อยเมตรขึ้นมา เป็นเสียงที่ผู้มีพลังสายโลหะดึงเหล็กออกมาจากโครงบ้านนั่นเอง แต่เมื่อเหล็กพวกนั้นอยู่กลางอากาศมันก็เหมือนกับเวลาหยุดไปเสียอย่างนั้น


 


 


“สงสัยจะไม่เข้าใจที่พูดไป เดี๋ยวพูดใหม่ให้ฟังอีกรอบนะ” หลี่ว์ซู่ยิ้ม “อยากตายกันใช่ไหม”


 


 


วัทลีย์ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีกระบี่ล่องหนบินตรงออกมาจากจุดชี่ไห่มาปรากฏอยู่ที่ด้านหลังของหลี่ว์ซู่ กระบี่พวกนั้นลอยอยู่กลางอากาศและเริ่มรวมเป็นหนึ่งเข้ากับสายฝน กระบี่สายฝนได้ก่อตัวขึ้นแล้ว!


 


 


กระบี่แสงกำลังสั่นหึ่งๆ อยู่กลางจุดชี่ไห่ ตอนที่หลี่ว์ซู่อยู่ระดับ C เขารับมือกับคู่ต่อสู้กับระดับ C ห้าคนได้ เมื่อตอนนี้เขาได้เลื่อนระดับเป็นระดับ B กลิ่นอายของเขาได้รวมเข้ากับพลังแห่งฟ้าดิน เขากำลังยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ


 


 


ตอนที่หลิวซิ่วตายไปหลี่ว์ซู่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง และเขาก็เกือบเสียเจ้าหย่งเฉินไป หลี่ว์ซู่อยากจะให้ทั้งคนอย่างหลิวซิ่วและจ้าวหย่งเฉินนั้นกลับไปยังที่ที่พวกเขาฝันอยากจะกลับไป เขาอยากให้พวกเขาได้เห็นต้นไม้ที่ยังเขียวชอุ่ม สายน้ำที่ยังคงใสสะอาดและผู้คนที่เป็นมิตรเหมือนเดิม


 


 


ที่หลี่ว์ซู่อยู่อย่างสงบมาได้ตลอดสิบแปดปีก็เพราะมีคนจัดการอะไรให้เขาตั้งเยอะ แต่ตอนนี้เขาจะต้องแบกรับภาระนั้นไว้เอง


 


 


ไม่เสียใจเลยที่เกิดมาเป็นคนจีนงั้นเหรอ หรือเป็นสหายร่วมรบกันในชาติหน้างั้นเหรอ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรอก เพราะกว่าชาติหน้าจะมาก็อีกนาน ต้องสู้กันแค่ในวันเดียวเท่านั้นแหละ


 


 


แต่หลี่ว์ซู่รู้ว่าตัวเองเป็นหัวหน้าคนไม่ได้ เขาไม่มีความสามารถนั้น สันดอนขุดได้ แต่สันดานขุดยาก เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นคนใหญ่คนโตได้เลย เขาไม่อยากเป็นด้วย เขาก็อยากเป็นแค่คนธรรมดาๆ


 


 


เขาเลยไม่อยากเอาเรื่องการเป็นราชันฟ้ามาคิดในตอนนี้ ตอนนี้เขาอยากฆ่าคนเท่านั้นแหละ!


 


 


ฝนตกลงมากระหน่ำและสายฟ้าก็ฟาดลงมา พวกคนทรยศจะต้องตาย นี่แหละเป็นหนทางของโลกใบนี้


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่มีแต่จิตสังหาร เมื่อแท่งเหล็กพวกนั้นพุ่งตรงมาหาเขา หลี่ว์ซู่ก็ก้าวออกไปข้างหน้าและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว น้ำกระเซ็นไปทุกที่ทุกทางเมื่อเขาย่ำเท้าลงไป และแท่งเหล็กพวกนั้นก็พร้อมจะส่งเขาไปนรกแล้ว!


 


 


วัทลีย์ใช้พละกำลังของตัวเองถือมีดสั้นไว้ปะทะกับหลี่ว์ซู่ ผู้มีพลังสายโลหะนั้นยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนและควบคุมแท่งโลหะจำนวนนับไม่ถ้วนพวกนั้นไว้


 


 


วัทลีย์ร่วมต่อสู้กับผู้มีพลังสายโลหะมาหลายรอบแล้ว ในการต่อสู้กับศัตรูหลายๆ คน เขาจะใช้พลังของเขาปกป้องผู้มีพลังสายโลหะและให้พวกนั้นใช้พลังการโจมตีฆ่าพวกศัตรูให้สิ้นซาก


 


 


ต้องมีคนหนึ่งที่แข็งแกร่งพอที่จะสู้ระยะประชิดได้ และอีกคนหนึ่งจะต้องมีการโจมตีหลายๆ แบบที่มีพลังทำลายล้างสูง พวกเขาทำงานด้วยกันอย่างเข้าขา เลยมีแผนการไล่ล่าหาราชันฟ้าขึ้นมาได้นี่แหละ!


 


 


ผู้มีพลังสายโลหะคนนั้นยิ้มออกมา และลูกเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนก็หล่นลงมาจากแขนเสื้อเขาสู่พื้น แผ่นเหล็กพวกนั้นก่อตัวเข้ากับสายฝนและกลิ้งมาทางหลี่ว์ซู่ นี่แหละเป็นไพ่ตายของเขา!


 


 


แต่ทันใดนั้นเองกระบี่สายฝนก็โฉบลงมาโจมตีเหมือนกับเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์


 


 


ผู้มีพลังสายโลหะคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเก่งแค่การต่อสู้ระยะประชิดและมีกระบี่เฉวียอินเป็นตัวป้องกันพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขาไม่คิดว่าการโจมตีหลี่ว์ซู่นั้นจะเหนือความคาดหมายของพวกเขาขนาดนี้!


 


 


เขายังไม่ได้ใช้กระบี่ล่องหนกว่าร้อยเล่มในการฆ่ากรีเออร์เลยนะ หลี่ว์ซู่ปล่อยกระบี่ที่เหลือออกมา เขาอยากจะเปลี่ยนพื้นดินที่ผู้มีพลังสายโลหะยืนอยู่ให้กลายเป็นฝุ่นผงไปซะ!


 


 


แล้วผู้มีพลังสายโลหะก็เพิ่งรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติในน้ำฝน เพราะมันดูจะเจาะผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไปได้เลยน่ะสิ!


 


 


พวกแท่งเหล็กพวกนั้นควรจะใช้ฆ่าหลี่ว์ซู่ แต่พวกมันกลับรวมตัวเป็นป้อมปราการเหล็กกันบนศีรษะของเขา ดัง ตึ๊ง ติ๊ง ติ๊ง


 


 


ดูเหมือนว่ามันจะเป็นน้ำฝนธรรมดา แต่มันกลับส่งเสียงใสกังวานชัดเจนเมื่อสัมผัสกับแท่งเหล็ก ผู้มีพลังสายโลหะเริ่มคันหนังศีรษะของเขาขึ้นมา ถ้าเขาไม่ได้ตอบโต้ไปอย่างรวดเร็วเขาคงตายไปแล้ว!


 


 


ป้อมปราการเหล็กนั้นดูราวกับว่าเจอระเบิดหนักมาหลักจากโดนกระบี่สายฝนไป เป็นพลังของกระบี่สายฝนเองสินะ


 


 


เมื่อเขามองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นเขาก็เห็นกระบี่บินสองเล่มรวมเข้ากับแผนที่ดวงดาวด้วยเสียงคำราม และมันก็บาดลึกเข้าไปในใจของวัทลีย์ วัทลีย์ป้องกันอะไรตัวเองไม่ได้เลย


 


 


พวกเขาทั้งสองไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะมีการโจมตีมากมายขนาดนี้ ถึงเขาจะเป็นยอดฝีมือจากเครือข่ายฟ้าดินเขาก็ไม่ได้ใช้กระบี่บินตั้งแต่แรก เมื่อวัทลีย์เข้าไปประชิดแล้วเขาก็คิดว่าหลี่ว์ซู่คงจะไม่ใช้กระบี่บินหรอก ถึงแม้ว่าทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วจะเหนือกว่าเขาก็ตาม


 


 


เมื่อพวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่ได้ใช้การโจมตีไปหมดแล้ว เมื่อพวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่คงเป็นนักกรบี่ที่ถนัดสู้นระยะประชิด จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ค่อยแสดงกระบี่สายฝนให้พวกเขาเห็น!


 


 


แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดหรอก เขายังควบคุมกระบี่บินในเวลาเดียวกันอีกด้วย!


 


 


ชายหนุ่มคนนี้มีหลายอย่างให้ตกใจจริงๆ ตอนแรกพวกเขาก็ไม่เข้าใจว่ากรีเออร์ที่เป็นผู้มีพลังสายน้ำนั้นจะตายในสายฝนได้อย่างไร แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าไอ้คนบ้าแบบนี้ไปอยู่ในเครือข่ายฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาสู้คนระดับ B สองคนแบบไม่สนใจอะไรเลยนะ!


 


 


วัทลีย์ล้มลงไปบนพื้นเสียงดัง หลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่กลางสายฝนนั้นมองผู้มีพลังสายโลหะอย่างเงียบๆ และเม็ดฝนใดก็ตามที่สัมผัสโดยกระบี่เฉิงอิ่งจะแตกออกเป็นสองส่วน


 


 


ทันใดนั้นลูกเหล็กสองอันที่ก็กลิ้งมาหาหลี่ว์ซู่ก็ลอยขึ้นมากลางอากาศ พวกมันเล็งเป้าไปที่ข้อเท้าของหลี่ว์ซู่ ลูกเหล็กพวกนั้นใช้โอกาสที่หลี่ว์ซู่กำลังจะชนะวัทลีย์เข้าโจมตีหวังฆ่าเขา!


 


 


พวกระดับ B สองคนนั้นต่อสู้มามาก พวกเขาไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะฆ่าศัตรูให้ลอยผ่านไปสักครั้ง และผู้มีพลังสายโลหะก็รู้ดีว่าเขามาถึงที่ตายเสียแล้ว หลี่ว์ซู่ทั้งรวดเร็วกว่าเขาและวัทลีย์ แถมยังไม่มีทางจะหนีไปได้แน่นอน


 


 


ทันใดนั้นเองกระบี่แสงกว่าร้อยอันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมเสียงคำรามต่ำๆ พวกมันได้ก่อตัวกันเป็นตาข่ายไฟฟ้ารอบตัวหลี่ว์ซู่ และลูกโลหะที่เข้ามาสัมผัสก็เสียการควบคุมไป


 


 


หลี่ว์ซู่ตั้งใจเอากระบี่สายฟ้านี้ห่างออกจากตัวเพราะว่าฝนกำลังตกอยู่ ถึงแม้ว่ากระบี่สายฟ้าจะยังไม่โดนน้ำแต่เขาก็ต้องระวังไว้


 


 


เมื่อผู้มีพลังสายโลหะเห็นว่าไม้ตายของตัวเองล้มเหลวไปเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังทันที หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมา “จะถามอีกเป็นครั้งสุดท้ายนะ พวกแกไล่ล่าราชันฟ้าเพื่อเกียรติยศของตัวเอง แล้วเคยคิดถึงผลที่จะตามมาว่าอาจตายบ้างไหม!”


 


 


เสียงฟ้าร้องดังไปทั่ว และกระบี่ก็ฟันเข้าไปที่ร่างของผู้มีพลังสายโลหะ


 


 


ฤดูใบไม้ผลินี้มีนักกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดปรากฏตัวขึ้นแล้วสินะ

 

 

 


ตอนที่ 677 ปกป้องคอรัล

 

ทะเลทรายบิลมา แอฟริกา


 


 


บรรยากาศรอบข้างทั้งร้อนและแห้งถ้ามองจากที่ไกลๆ แล้วก็จะเหมือนมีคนยัดกระดาษแก้วไว้ในอากาศจนทำให้ในอากาศบิดเบี้ยวไปหมด


 


 


รถวิ่งทางไกลกำลังวิ่งอยู่ในความเร็วระดับสูงสุด ล้อรถปัดทรายไปตามทาง ทางที่พวกเขามานี้แทบไม่มีใครมาเลย ขนาดพวกคนแอฟริกาท้องถิ่นเองยังไม่ค่อยมีให้เห็น มีใครคนหนึ่งสวมแว่นกันแดดนั่งอยู่บนเบาะโดยสารและเขากำลังถืออาวุธวิเศษทั่วๆ ไปอยู่ในมือ เหมือนกับว่าเขากำลังดูการเคลื่อนไหวรอบ ๆ อย่างระมัดระวังขณะลาดตระเวน


 


 


ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นว่ามีคนกำลังเดินอยู่ในทะเลทรายบิลมาแห่งนี้ ทั้งหน้าและศีรษะของเขาถูกทรายปกคลุมไปทั่วอย่างกับว่าเขาเดินเท้าในทะเลทรายอย่างนั้นแหละ คนคนนั้นสวมชุดทหารที่ดูคล้าย ๆ กับที่พวกเขาใส่อยู่ แต่นี่มันกลางเดือนพฤษภาคมนะ ความร้อนในตอนนี้ไม่ปรานีใครเลย แล้วใครกันจะสามารถเดินเท้าในทะเลทรายบิลมาในตอนนี้ได้ ทั้งสองคนบนรถเป็นผู้มีพลังระดับ E พวกเขาไม่อยากจะคิดถึงว่าความร้อนในทะเลทรายบิลมาตอนนี้จะเป็นอย่างไรเลย


 


 


พวกเขาเดากันว่าชายหนุ่มที่สวมชุดทหารคนนี้น่าจะเดินตามชายขอบของทะเลทรายมา


 


 


ชายหนุ่มคนนั้นหยุดอยู่ที่ชายแดนทะเลทราย เขามองดูพืชพรรณเขียวชอุ่มที่อยู่ไกล ๆ “ในที่สุดก็ออกมาซะที่นะเนี่ยถิง ท่านนี่มันเกินไปจริง ๆ ให้ผมเดินมาตั้งไกลเพื่อมาร่วมกับกลุ่มใหม่เนี่ย”


 


 


รถวิ่งทางไกลหยุดห่างจากหลี่ว์ซู่ไปประมาณห้าสิบเมตร ทหารทั้งสองคนลงมาจากรถเพื่อมาสอบปากคำหลี่ว์ซู่ เพราะพวกเขาเห็นว่าหลี่ว์ซู่ใส่ชุดคล้าย ๆ กับพวกเขา “แกเป็นสายลับหรือเป็นเจ้าหน้าที่สืบราชการลับของศัตรูกันแน่”


 


 


“แล้วมันต่างกันตรงไหนเนี่ย” ชายหนุ่มคนนั้นดูงง ๆ


 


 


“….ก็ต่างเยอะอยู่” ทหารสองคนนั้นดูงง ๆ เหมือนกัน แต่พวกเขาก็ถามต่อ “อย่าเปลี่ยนเรื่อง นายเป็นใครกัน”


 


 


“ฉันก็เป็นผู้สืบทอดของระบบสังคมนิยมไง เดี๋ยวนะ ขอถามอะไรหน่อยสิ ตอนนี้ฉันอยู่ไหนน่ะ อยู่ตรงส่วนไหนของทะเลทรายบิลมากันแน่” ชายหนุ่มคนนี้เงียบไปสักพักก่อนพูดออกมา


 


 


ชายหนุ่มคนนี้ไม่เข้าใจเลยว่าเขาไปเป็นสายลับหรือเจ้าหน้าที่สืบราชการลับของศัตรูตอนไหน คนพวกนี้เข้ามาซักไซ้เขาเองนี่ เขาไม่อยากจะไปกวนโมโหอะไรคนพวกนี้หรอก เขาก็แค่คนเดินผ่านมาเท่านั้น


 


 


แต่ทหารทั้งสองคนดูจะงงกว่าเดิม ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้สนใจอะไรพวกเขาเลย ถึงพวกเขาจะมีอาวุธอยู่ในมือแต่ชายหนุ่มคนนี้ก็ยังดูมีท่าทีสบาย ๆ พวกเขาไม่รู้จะรู้สึกอย่างไร “ตอนนี้พวกเราอยู่ทางเหนือ แล้วนายเป็นใครกัน”


 


 


“มาถูกทางแล้วสินะเรา ขอติดรถไปด้วยได้ไหมครับ” หลี่ว์ซู่เช็ดหน้าของเขาแล้วถามต่อ “ส่งผมตรงที่ทะเลก็ได้”


 


 


ทหารสองคนนั้นมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตา นี่เขาไม่ได้มองพวกเราเป็นศัตรูเลยเหรอ “แล้วนายเป็นใคร ทำไมพวกเราต้องไปส่งนายที่ทะเลด้วย”


 


 


ขณะที่พูดพวกเขาก็ถอยกันไป ทหารสองคนนี้ไม่ได้โง่นะ ชายหนุ่มคนนี้ดูไม่กลัวพวกเขาเลยเพราะมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่น่ะสิ


 


 


เขาอาจจะร้ายขึ้นเมื่อผ่านไปสักพักก็ได้ เพราะฉะนั้นไอ้หมอนี่มีคนหนุนหลังแหงๆ


 


 


พวกเขาสองคนคงเอาชนะเขาไม่ได้ด้วย พวกเขาจะต้องรีบกลับฐานเพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยกำลังเสริม การถอยทัพบางครั้งก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีและไม่น่าอายหรอก


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มเสียใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเลือกแล้ว เขาน่าจะใช้พลังน้ำของตัวเองเดินทางใต้น้ำตั้งแต่แรก เขาน่าจะถามไปว่าจะมีใครไปส่งเขาไปยุโรปหรือเปล่าตอนได้รับข้อความมา และมีแต่ราชันฟ้าเท่านั้นที่จะได้รับอะไรแบบนี้


 


 


เขาทนอายต่อไปไม่ไหวแล้ว พวกเครือข่ายฟ้าดินต้องการจะทำให้ใครอับอายกันนะ เขาเลยเริ่มเดินเท้าด้วยความโมโห อยากจะขับรถก็ขับไม่ได้เพราะเขาจนเกินไป


 


 


เขาก็คิดว่าเรื่องนี้มันผิดถนัด เขาน่าจะลงไปใต้น้ำแต่แรก ถึงจะต้องเดินทางไกลกว่านี้เป็นสองเท่าแต่อย่างน้อยเขาก็ไปเร็วกว่าเดิมได้ เขาไม่อยากจะถูกปกคลุมใต้ทรายตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้หรอก เขาต้องเดินในทะเลทรายบิลมานี้ตั้งสามวันสามคืนเลยนะ แต่ดีที่เขายังไม่ต้องคิดมากเรื่องอากาศ น้ำ และอาหารในตอนนี้


 


 


เขาโดนหลอกมาตลอดเลย!


 


 


แล้วพอสองคนนี้กำลังจะกลับไปขึ้นรถ หลี่ว์ซู่ก็รีบเดินไปตรงหน้ารถ เขาชี้หอกสามง่ามไปที่ศีรษะของคนขับ “อย่าทำแบบนี้เลย ไม่อยากอยู่อย่างสงบๆ เหรอ เข้าใจความหมายของความสงบใช่ไหม นี่ฉันเพิ่งฆ่าคนไป อย่าให้ฉันได้ฆ่าไปมากกว่านี้เลย ดูสิ พวกนายไม่ได้ปฏิบัติต่อฉันอย่างเป็นธรรมเลยนะ ฉันเสียใจนะเนี่ย ไม่อยากจะแก้ตัวกันหน่อยเหรอ”


 




 


ทหารสองคนนั้นพูดไม่ออก เขาพ่นว่าฆ่าคนออกมาเรื่อย ๆ แบบนั้นได้อย่างไรกัน บ้าหรือเปล่า


 




 


แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าชายคนนี้เข้ามาประชิดรถได้เร็วขนาดไหน พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่ควรจะปฏิเสธเขาดีกว่า


 




 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่จะใช้กระบี่เฉิงอิ่งเพื่อขู่ แต่ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรมากเพราะกระบี่นั้นเป็นกระบี่ล่องหน เขาเดินไปที่เบาะหลังและถอดเครื่องแบบ EO ที่เขาใส่อยู่จนทรายร่วงกราวไปทั่ว


 




 


พอเขาเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดแล้วก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาหน่อย เขามองขึ้นไปดูพระอาทิตย์ก่อนที่จะเอาหอกสามง่ามออกมาอีกรอบแล้วสั่งออกไป “ขับขึ้นเหนือ อย่าได้กล้าพาฉันอ้อมเชียวล่ะ”


 




 


พวกทหารกำลังจะเอาหลี่ว์ซู่กลับไปที่ฐาน แต่หลี่ว์ซู่รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะทำอะไร “พวกนายคิดจะไปไหนไม่ทราบ ขึ้นไปทางเหนือสิ จากนั้นเราก็จบกัน” หลี่ว์ซู่รู้ว่าถ้าเขาขึ้นไปทางเหนือแล้วจะต้องไปเจอทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแน่ ๆ แล้วถ้าเขาข้ามทะเลทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปได้เขาก็จะเข้าไปสู่เขตแดนของยุโรป


 


 


“ไปขออนุญาตจากพวกเขาเองสิ เดี๋ยวเราก็ต้องเดินทางกลับแล้วถ้าเวลาหมด เราเอารถออกมานานไม่ได้หรอก” คนขับพูดอย่างระมัดระวัง


 


 


“งั้นเดี๋ยวขอถามก่อนนะ” หลี่ว์ซู่พูดขึ้นมาและบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นกันเองทันที หลี่ว์ซู่เลยส่งข้อความไปเล่น ๆ


 


 


[ผมต้องไปเจอกับกลุ่มใหม่ที่ไหนนะครับ]


 


 


[ซาร์ดิเนีย]


 


 


หลี่ว์ซู่หาสถานที่นี้ในแผนที่ ซาร์ดิเนียเหรอ มันอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนี่ อยู่ทางเหนือของตูนิเซีย


 


 


[ส่งข้อมูลของสมาชิกคนอื่น ๆ มาด้วยครับ] หลี่ว์ซู่ส่งข้อความไปอีก


 


 


[ข้อมูลนี้เป็นความลับสุดยอด มีแต่ราชันฟ้าเท่านั้นถึงจะเข้าถึงข้อมูลได้]


 


 


[จงอวี้ถัง คุณไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อนเลยนะครับ] หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย เขารู้เลยว่าเนี่ยถิงอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นจงอวี้ถังคงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก


 


 


เนี่ยถิงคิดว่าเขาอยากเป็นราชันฟ้าหลังจากฆ่าระดับ B ไปถึงสามคนงั้นเหรอ


 


 


[ฉันไม่ใช่จงอวี้ถัง] ข้อความถูกตอบกลับมาแล้ว อ้าว งั้นก็เปลี่ยนคนดูแลเรื่องนี้แล้วสิ หลี่ว์ซู่ไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นเป็นใคร


 


 


แล้วเขาคิดอะไรออก เขาเลยส่งข้อความตอบกลับไป [อ๋อ]


 


 


[???]


 


 


[ได้รับแต้มจากโยวหมิงอวี่ +666…]


 


 


[ฮ่าๆๆ คุณเองสินะ] หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชา ครั้งนี้มีแต่เนี่ยถิง ฉือสเวจิ้น จงอวี้ถัง โยวหมิงอวี่ และหลี่อีเสี้ยวเท่านั้นที่รู้ข้อมูล ถ้ามีคนว่างส่งข้อความมาหาเขานอกจากจงอวี้ถังก็คงเป็นโยวหมิงอวี่นี่แหละ


 


 


แล้วทหารทั้งสองคนก็ตัวสั่นเมื่อได้ยินหลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชา แต่พวกเขาไม่เข้าภาษาจีนเลยสักนิด


 


 


ส่วนโยวหมิงอวี่นั้นก็รู้ตัวแล้ว [รู้ได้ไงว่าเป็นฉัน]


 


 


[รีบ ๆ หน่อยสิครับ จะมีคนประเภทไหนมาอีกล่ะเนี่ยรอบนี้ ผมสงสัยจะแย่]


 


 


[ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่านายรู้จักคนพวกนี้แน่ แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะส่งข้อมูลไปด้วย] โยวหมิงอวี่ตอบกลับ


 


 


หลี่ว์ซู่ก็เข้าใจได้ในทันที งั้นก็ต้องเป็นคนที่เขารู้จักดีน่ะสิ ถ้าไม่อย่างนั้นเนี่ยถิงก็คงไม่พูดอะไรอย่างนี้หรอก


 


 


[ขอข้อมูลภารกิจในยุโรปด้วยได้ไหมครับ] หลี่ว์ซู่ส่งคำถามไป


 


 


[ปกป้องคอรัลและพันธมิตรคนอื่นๆ]

 

 

 


ตอนที่ 678 ต้นไม้แห่งโลก

 

เซี่ยเหรินเซิงและคนอื่นๆ ก็ยังอยู่กลางทะเล สมาชิกคนอื่นได้กลับไปหมดแล้ว ยกเว้นแต่หลี่ว์ซู่ที่รีบกลับไปในแอฟริกา


 


 


เอาจริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ผิดหวังกับการมาที่แอฟริกามาก ถ้าไม่พูดถึงเรื่องการเลื่อนเป็นระดับ B แล้วเขาเข้าไปบุกตู้นิรภัยและไปเจอแค่ยาหม่องเป็นกองเท่านั้น มันอะไรกันล่ะเนี่ย!


 


 


ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าหลี่อีเสี้ยวอาจจะไม่อยากได้ยาหม่องก็ได้ แต่หลี่อีเสี้ยวก็เอายาหม่องกว่า 90 เปอร์เซ็นไปอยู่ดี เขาไม่เห็นว่าการที่ราชันฟ้าขายยาหม่องที่ตลาดมืดจะดูมีศักดิ์ศรีอะไรเลย เขาอาจจะขายยาหม่องในราคาขายส่งก็ได้ ถ้าทำอย่างนั้นก็คงได้เงินมาประมาณพันหยวนได้ล่ะมั้ง


 


 


ส่วนภารกิจของกลุ่มนี้ตอนแรกจะต้องไปที่ยุโรปเพื่อหาพันธมิตรจากองค์กรต่างๆ แต่จากข้อมูลล่าสุดตอนนี้ภารกิจพวกนั้นก็ได้ล้มเลิกไปหมดแล้ว พวกเขาจะเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเทวาเท่านั้น


 


 


แต่ปัญหาก็คือทำไมจะต้องไปปกป้องคอรัลด้วย เธออยู่ในอันตรายงั้นเหรอ


 


 


[เกิดอะไรขึ้นกับคอรัลครับ ทำไมต้องปกป้องเธอด้วย] หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย


 


 


[ก็ได้แค่เดากันเท่านั้นแหละ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่าฐานพลังจิตวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวงแห่งกลุ่มแก่นความเชื่อได้พังทลายไปเหมือนของเฉินไป่หลี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเลื่อนขึ้นเป็นระดับ A ได้อย่างไรเหมือนกัน] โยวหมิงอวี่ตอบ


 


 


[ผมคิดว่าเมื่อฐานพลังจิตวิญญาณพังทลายไปแล้วจะไม่สามารถเลื่อนขั้นได้เสียอีก] หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ


 


 


[ก่อนหน้าที่เขาจะเลื่อนขึ้นก็มีคนไปเจอว่าฟรานเชสโก้ปรากฏตัวอยู่แถวๆ สวนฝังศพศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มแก่นความเชื่อเหมือนกัน แล้วก็เห็นว่ามีหลุมศพหลุ่มหนึ่งไม่ได้ถูกปิดผนึกไว้ พวกเราก็เลยคิดว่าฟรานเชสโก้นี่จะเอาอะไรออกไปจากสวนฝังศพศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยให้หัวหน้าบาทหลวงเลื่อนขั้นได้ แต่เอาอะไรไปก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน] โยวหมิงอวี่ตอบมาเพิ่ม [ฉันก็เลยรู้สึกว่าหัวหน้าบาทหลวงไม่เข้าร่วมการต่อสู้กับปรมาจารย์นักเชิดหุ่นและไปโจมตีนักบุญอ้อม ๆ ก็เพราะยังมีข้อบกพร่องในการโจมตีของเขาอยู่]


 


 


[เดี๋ยวก่อนนะครับ] หลี่ว์ซู่หยุดเขา [การวิเคราะห์ของคุณนี่สมเหตุสมผลจริงๆ ผมเข้าใจที่คุณพูดมานะ แต่มันเกี่ยวอะไรกับคอรัลด้วยล่ะครับ]


 


 


[คอรัลมีต้นไม้แห่งโลกไว้ครอบครองอยู่] โยวหมิงอวี่พูดอย่างมั่นใจ [ซึ่งก็คือหอกกุงเนียร์ของเธอนั่นแหละ ตั้งแต่คอรัลปะทุพลังในสายเลือดของโอดินแล้วชักเอากุงเนียร์ออกมาจากไขสันหลังของเธอ พวกสมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อก็ไปเฝ้าอยู่ใกล้ๆ รัศมีอิทธิพลของกลุ่มเทวาเลยล่ะ มันไม่น่าจะบังเอิญแน่ๆ เราคิดว่าพวกกลุ่มแก่นความเชื่ออยากจะได้กุงเนียร์ไปน่ะสิ]


 


 


[แล้วพวกเขาจะเอากุงเนียร์ไปทำไมล่ะครับ] หลี่ว์ซู่ถามอย่างโกรธๆ [ทำไมจะต้องขโมยอาวุธของคนอื่นด้วย]


 


 


[เรื่องลึกลับเกี่ยวกับต้นไม้แห่งโลกถูกจารึกไว้ในบันทึกเก่าแก่หลายฉบับน่ะสิ มันไม่ใช่แค่อาวุธอย่างเดียว] โยวหมิงอวี่อธิบาย [ราชันฟ้าสือวิเคราะห์มาว่าต้นไม้แห่งโลกนั้นน่าจะมีความสามารถบางอย่างในการช่วยให้หัวหน้าบาทหลวงฟื้นฟูฐานพลังจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ไม่มีใครเคยเห็นต้นไม้แห่งโลกมาก่อน ก็เลยไม่ค่อยมั่นใจกันนัก]


 


 


[งั้นแก่นความเชื่อก็อยากได้ต้นไม้แห่งโลกไป] หลี่ว์ซู่ทำท่าทีสบายๆ แล้วถามต่อ [แล้วถ้าคอรัลเสียกุงเนียร์ไปจะเกิดอะไรขึ้นล่ะครับ พวกมันแค่เอากุงเนียร์ไปแบบนั้นน่ะเหรอ]


 


 


[เธอจะตายน่ะสิ]


 


 


พอหลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็เงียบไป [เข้าใจแล้วครับ]


 


 


กดดันอะไรอย่างนี้เนี่ย หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ กลุ่มแก่นความเชื่อมีคนระดับ A แล้ว ถึงจะไม่ได้แข็งแกร่งแต่ก็ถือว่าเป็นระดับ A ล่ะนะ


 


 


ไม่มีใครกล้ามาต่อกรกับเครือข่ายฟ้าดินซึ่งๆ หน้าเพราะเครือข่ายฟ้าดินมีระดับ A หลายคนนี่แหละ


 


 


ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็คงไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วย แต่พอเป็นคอรัลแล้วเขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ


 


 


เพราะอะไรน่ะเหรอ หลี่ว์ซู่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน


 


 


ชีวิตก็เหมือนข้อสอบที่มีหลายตัวเลือก แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ดูเหมือนจะเลือกอะไรไม่ได้


 


 


[เราก็ได้แค่เดากันไปล่ะนะ] โยวหมิงอวี่ส่งมาอีกหนึ่งข้อความ [ราชันฟ้าสือพูดแบบนี้ก็เพราะอยากให้นายกับคอรัลปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น]


 


 


หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย นี่จะบ้ากันไปแล้วเหรอ ทำไมมาหักมุมจบแบบนี้ล่ะ เครือข่ายฟ้าดินเป็นองค์กรใหญ่ พวกเขาจะให้สมาชิกไปหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นแบบนี้ได้เหรอ หลี่ว์ซู่รู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้ได้ข้อมูลมาด้วยการหว่านเสน่ห์หรอกนะ


 


 


ไม่ยอมให้ผู้หญิงไปหว่านเสน่ห์ แต่คิดจะปล่อยให้ผู้ชายหวานเสน่ห์ดูเนี่ยนะ นี่มันเป็นการเลือกปฏิบัติหรือเปล่าเนี่ย


 


 


[งั้นที่พูดมาทั้งหมดก็เป็นเรื่องไร้สาระสินะครับ] หลี่ว์ซู่ส่งข้อความกลับไปด้วยสีหน้าน่ากลัว


 


 


[ก็ไม่ได้ไร้สาระไปทั้งหมดหรอก สมมติฐานบางอย่างก็มาจากความจริงทั้งนั้น แต่ถ้าจากที่เราดูแล้วพวกแก่นความเชื่อคงไม่บุ่มบ่ามเข้ามาหรอก] โยวหมิงอวี่ตอบ


 


 


[โอเคครับ เข้าใจแล้ว] หลี่ว์ซู่ถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างใจลอย


 


 


เขาก็คงต้องไปอยู่ดีนั่นแหละ ถ้าเขาไม่ไปก็คงทำใจสบายๆ ไม่ได้ ถึงเขาจะไม่สามารถเอาชนะระดับ A ได้แต่ก็ต้องลองพยายามให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามคอรัลก็รวยอยู่ดี…


 


 


รถวิ่งทางไกลกำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือ และทหารสองคนก็นั่งตัวตรงเพราะมีหอกสามง่ามจ่อคอพวกเขาไว้อยู่ พวกเขาไม่กล้าขยับกันเลย


 


 


ไม่กล้าแม้แต่จะไปหยิบโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมตอนมันดังด้วยซ้ำ หลี่ว์ซู่เลยหยิบเอาไปใส่ไว้ในตราแผ่นดิน


 


 


หลังจากรถขับไปได้แปดชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงทะเลกันแล้ว ทหารทั้งสองคนดูเชื่อฟังมาตลอดทาง และสุดท้ายคนขับก็หยุดที่ทะเลให้ “เรามาถึงกันแล้วครับ”


 


 


“อ้าวเหรอ ขอบคุณนะ เท่าไหร่ล่ะ” หลี่ว์ซู่ที่นั่งจมไปกับความคิดรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพูดออกไป


 


 


“เราไม่ได้มีมิเตอร์หรอกนะครับ” คนขับได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไป


 


 


บรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที หลี่ว์ซู่เลยรู้ตัวว่าตัวเองได้ถามออกไปผิดเสียแล้ว ทหารทั้งสองคนเกือบกระอักเลือด ใครจะขับรถแท็กซี่ตอนโดนเอาหอกสามง่ามจ่อคอคนขับแบบนี้ล่ะ!


 


 


นี่มันมากเกินไปแล้วนะ เขาไม่ใช่คนขับรถแท็กซี่นะ! ถึงเขาจะใช่จริงๆ แล้วใครมันจะกล้าเปิดมิเตอร์ล่ะ บ้าเอ๊ย!


 


 


[ได้รับแต้มจากเอิร์ค สมิธ +666]


 


 


[ได้แต้มจากจากอัลวา +…]


 


 


ทหารรับจ้างทั้งสองคนรู้สึกกังวลมาก พวกเขาเชื่อฟังมาตลอดทางเพราะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก ก็เลยกลัวว่าจะโดนฆ่าตายตอนถึงที่หมายแล้ว


 


 


“ไปได้แล้วทั้งสองคน” หลี่ว์ซู่รอจนพวกเขากลับไปแล้วจากนั้นค่อยกระโดดลงไปในทะเล


 


 


แต่ทั้งสองคนนั้นก็ไม่กล้าขยับเขยื้อน หลี่ว์ซู่เงียบไป แล้วเขาก็พูดขึ้นมา “ถ้าไม่เปิดมิเตอร์ก็ไม่จ่ายเงินหรอกนะ…”


 


 


ทหารรับจ้างทั้งสองคนรีบหันหลังกลับ พวกเขาเจอคนบ้าเข้าให้แล้ว!


 


 


[ได้รับแต้มจากเอิร์ค สมิธ +666]


 


 


[ได้แต้มจากจากอัลวา +…]


 


 


พอทหารสองคนกลับไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็กระโดดจากหน้าผาลงไปในทะเล เขาดำดิ่งลงไปให้น้ำทะเลสีครามและว่ายไปทางซาร์ดิเนียเหมือนกับปลา


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกถึงความอิสระที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในใต้น้ำนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาว่ายน้ำด้วยความเร็วแบบนี้หลังจากที่เขาได้เลื่อนระดับเป็นระดับ B


 


 


เขาเคยเห็นความเร็วที่เฉินไป่หลี่และเนี่ยถิงบิน และหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเขาช้ากว่าสองคนนั้นแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม