เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 669-676

 ตอนที่ 669 ให้เขาพูดต่อไป


 


 


เฉิงเค่อเป็นบุตรคนเดียวของเฉิงเหว่ย หรือเขาจะต้องมองเฉิงเค่อตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้


 


 


เฉิงเหว่ยทำไม่ได้


 


 


ทว่าท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย แม้เขาต้องการจะทำอะไรก็ไม่สามารถทำได้


 


 


เขาได้แต่นำความหวังทั้งหมดไว้ที่หมอหลวง หวังว่าหมอหลวงจะได้ผลวินิจฉัยที่แตกต่างออกไป ถึงเวลานั้นเขาก็จะแว้งกัดซูหลี ดูกันว่าซูหลีจะยังอวดดีเช่นตอนนี้หรือไม่!


 


 


“กระหม่อมและคนอื่นๆ ถวายบังคับพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” หมอหลวงมาถึงอย่างรวดเร็ว


 


 


จางย่วนพั่นผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของหมอหลวง หลังจากที่ได้รับข่าวก็รีบมาที่นี่อย่างรวดเร็ว ขันทีที่ไปเรียกเขามานั้นได้นำเรื่องมาเล่าให้พวกเขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ หมอหลวงทั้งสามท่านที่มาในวันนี้ ล้วนเป็นหมอหลวงที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งในสำนักหมอหลวง อีกทั้งอายุอานามไม่น้อยแล้ว


 


 


โดยปกติพวกเขานั้นทราบดีว่า ผงฝิ่นนี้สามารถก่อให้เกิดอันตรายอะไรได้บ้าง


 


 


สีหน้าของจางย่วนพั่น ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าเฉิงเค่อผู้นี้จะมีจิตใจชั่วร้าย ในเวลานี้ยังกล้าพัวพันกับของต้องห้ามเช่นนี้ สกุลเฉิง…นี่เป็นการรนหาที่ตาย!


 


 


“จางย่วนพั่น รบกวนท่านตรวจอาการบุตรของข้าอย่างละเอียดด้วย!” ในที่สุดเฉิงเหว่ยก็ทนต่อไปไม่ไหว เมื่อเห็นจางย่วนพั่นจึงเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา


 


 


จางย่วนพั่นมองเขาปราดหนึ่งแต่กลับไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น เพียงขมวดคิ้วจากนั้นยื่นมือไปจับชีพจรของเฉิงเค่อ


 


 


ในเวลานี้ทั้งตำหนักอวิ๋นเซียวตกอยู่ในความเงียบงัน ความเงียบงันเช่นนี้ช่างประหลาดนัก ให้ความรู้สึกไม่สงบสุขปกคลุมอยู่ในใจของทุกคน


 


 


“ทูลฝ่าบาท” หลังจากผ่านไปนาน จางย่วนพั่นก็ดึงมือของตนเองกลับมา มองไปทางฉินเย่หานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเอ่ยว่า “คุณชายเฉิงได้เสพผงฝิ่นเข้าไปจริง อีกทั้ง…ยังเสพเป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว!”


 


 


ตุบ!


 


 


ทันทีที่คำพูดนี้พูดออกมา เฉิงเหว่ยก็ถอยไปด้านหลังหลายก้าวอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ สีหน้านั้นซีดเผือดไปหมด และในเวลานั้นเองก็ทรุดตัวล้มลงนั่งลงในตำหนัก ไม่รักษามารยาทอะไรแม้แต่นิดเดียว!


 


 


คนในท้องพระโรงได้ยินดังนั้นต่างก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเฉิงเค่อผู้นี้จะใจกล้าบ้าบิ่นจนถึงจุดนี้ได้!


 


 


“พูดต่อ!” สีหน้าของฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนเย็นยะเยือก จากนั้นเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างเย็นชา


 


 


หมอหลวงอีกสองคนได้ยินดังนั้น จึงเดินเข้าไปเตรียมจะตรวจชีพจรของเฉิงเค่อ


 


 


“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิด ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิด!” คาดไม่ถึงว่าเฉิงเค่อผู้นั้นจะผลักคนที่อยู่ด้านข้างออก จากนั้นคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ จากนั้นก็เริ่มโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ปัง! ปัง! ปัง! เสียงนี้ทำให้คนได้ยินแล้วรู้สึกใจหาย


 


 


ท่าทางของเขาดูบ้าคลั่งและโขกหัวลงพื้นอย่างรุนแรง คล้ายกับจะโขกศีรษะของตนจนปริแตกก็มิปาน


 


 


“จับเขาไว้! อาการอยากเสพพิษนี้กำเริบแล้ว!” ซูหลีขมวดคิ้วและมองที่เฉิงเค่ออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบสิ่งผิดปกติ นางจึงรีบเอ่ยออกมาเสียงดัง


 


 


โดยรอบตำหนักอวิ๋นเซียวเป็นบริเวณที่ไม่ขาดแคลนทหารมากที่สุด เพียงแต่ซูหลีไม่ใช่ฮ่องเต้ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์อย่างโจวเว่ยมองที่ฮ่องเต้ปราดหนึ่ง หลังจากเห็นฮ่องเต้ทรงผงกเศียร เวลานี้เขาถึงได้สั่งให้คนกดร่างของเฉิงเค่อไว้


 


 


“อุก! ฟู่ๆ!” หลังจากเฉิงเค่อถูกคนกดร่างไว้ ทั้งร่างของเขาก็เกิดอาการชัก แม้กระทั่งมุมปากยังมีฟองสีขาวไหลย้อยออกมาเต็มไปหมด ทำให้ในใจของผู้ที่เห็นรู้สึกหนาวสะท้าน


 


 


ผงฝิ่นนี้ สามารถทำให้คนผู้หนึ่งกลายเป็นคนเสียสติไปอย่างสมบูรณ์ นี่ถึงได้ถูกจัดเป็นของต้องห้าม!


 


 


“ทูลฝ่าบาท!” ในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องให้ซูหลีพิสูจน์อะไรแล้ว ทุกคนมีดวงตาก็เห็นสภาพของเฉิงเค่อในตอนนี้แล้ว ยังจะมีสิ่งใดที่มองไม่ออกอีกหรือ!?


 


 


ซูหลีเดินเข้าไปด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “กระหม่อมอยากจะขอร้องให้ฝ่าบาททรงนำผงฝิ่นที่เหลืออยู่ให้เฉิงเค่อเสพเข้าไปให้หมดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ทันทีที่คำพูดนี้พูดจบ ทั่วทุกแห่งในท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน


 


 


นะ นางเอ่ยไรออกมากัน!?


 


 


คนจำนวนไม่น้อยมองยังซูหลีอย่างประหลาดใจ ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ


 


 


ฉินเย่หานได้ยินเช่นนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมองซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้ง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 670 ใจโหดมือเ**้ยม


 


 


“ผงฝิ่นเป็นสิ่งที่สลัดออกมาจากพืชที่เรียกว่าต้นฝิ่น ที่จริงแล้วของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เลี้ยงดูได้ง่ายๆ ต้องเสียทั้งเวลาทั้งเสียทั้งกำลัง ทว่าของสิ่งนี้หากคนเสพเข้าไปแล้วครั้งหนึ่งจะทำให้เสพติด” สีหน้าของซูหลีเรียบเฉย คล้ายกับนางไม่เห็นท่าทางตื่นตกใจที่ปรากฏบนสีหน้าของคนเหล่านั้น นางกลับเปิดปากอธิบายขึ้น


 


 


“เฉิงเค่อเป็นบุตรคนโตของผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ในเมื่อของสิ่งนี้สามารถทำให้คนฐานะเช่นเขาเสพติดได้ นี่จึงยืนยันได้ว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้จะต้องมีอะไรบางอย่าง อาจจะต้องการใช้ผงฝิ่นแสวงหาประโยชน์ หรืออาจ…”


 


 


ความเป็นไปได้นี้ซูหลีกลับไม่พูดออกมา ทว่าหลังจากนางพูดคำพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าของคนบนท้องพระโรงต่างก็เปลี่ยนไป


 


 


และมีบางคนที่พอจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดซูหลีถึงต้องการให้เฉิงเค่อเสพผงฝิ่นนี้ต่อ


 


 


“ทูลฝ่าบาท ที่ใต้เท้าซูกล่าวมานั้นมิผิดพ่ะย่ะค่ะ หากต้องการจับคนที่สร้างผงฝิ่นขึ้นมา และสืบเบื้องหลังของผู้นำผงฝิ่นเข้ามาในเมืองหลวง อีกทั้งกำจัดผู้เสพให้หมดไป เฉิงเค่อก็จำเป็นต้องมีชีวิตต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” คนที่เอ่ยออกมาคนแรกก็คือบัณฑิตเซี่ย


 


 


เรื่องดำเนินจนถึงบัดนี้แล้ว เหล่าขุนนางอาวุโสเหล่านี้ก็รู้สึกถึงสิ่งที่สำคัญของเรื่องนี้แล้วเช่นกัน


 


 


หากปล่อยไปโดยไม่จัดการอะไร ผงฝิ่นนี้มีความเป็นได้สูงที่จะทำลายราชวงศ์ต้าโจวจนสูญสิ้น เช่นนั้นก็สู้ใช้เงื่อนงำที่เผยออกมาในตอนนี้ สืบสวนเรื่องนี้จนถึงที่สุด!


 


 


ในเมื่อจะต้องสืบสวนจนถึงที่สุด เฉิงเค่อก็ถือเป็นเบาะแสสำคัญ


 


 


เช่นนั้นเขาไม่สามารถตายไปเช่นนี้ได้!


 


 


เพียงแต่


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิธีของซูหลีเป็นวิธีที่ทำให้คนทั้งท้องพระโรงตกใจ


 


 


นางสามารถเอ่ยคำพูดคำรบนี้ได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใครๆ ก็ทราบดีว่าคนที่เสพผงฝิ่นเข้าไปจะไม่มีสติสัมปชัญญะอะไรแล้ว นี่ซูหลีต้องการใช้ผงฝิ่นควบคุมเฉิงเค่อผู้นี้ไว้


 


 


เพื่อให้เฉิงเค่อจับคนที่อยู่เบื้องหลังให้กับพวกเขา


 


 


นี่เป็นวิธีที่ไม่เลว ทั้งเป็นวิธีที่ประหยัดเวลาและประหยัดกำลังคง


 


 


ทว่า…


 


 


เฉิงเค่อคนนี้ เกรงว่าจะต้องถูกทำลาย


 


 


ยี่สิบกว่าปีก่อน คนที่เสพติดผงฝิ่นและเป็นคนที่สามารถควบคุมสติของตนได้สูง ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถหลุดพ้นจากการถูกผงฝิ่นครอบงำได้


 


 


ทว่าคำพูดของซูหลี เป็นการไม่เหลือช่องทางการมีชีวิตอยู่ต่อไปให้แก่เฉิงเค่อทั้งสิ้น เฉิงเค่อชื่นชอบของสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้เขาเสพเสีย!


 


 


วิธีการนี้ช่างทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ


 


 


“แต่กระหม่อมคิดว่า แม้เรื่องผงฝิ่นจะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่เลวร้ายสมควรจะทำลายให้สิ้นซาก ไยถึงจะปล่อยให้ผู้อื่นเสพเข้าไปกัน…”


 


 


“กระหม่อมรู้สึกว่าวิธีของใต้เท้าซูไม่เหมาะสมเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


และในเวลานี้เองเหล่าสุภาพบุรุษที่มีคุณธรรมของราชวงศ์ต้าโจวก็ก้าวออกมาแล้ว


 


 


ซูหลีมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเฉยเมย นางอดที่จะยกมุมปากขึ้นยิ้มมิได้ เพียงแต่รอยยิ้มของนางนี้แฝงไปด้วยความเย้ยหยันอย่างบอกไม่ถูก


 


 


“ใต้เท้าซู เจ้ายิ้มอะไร” มีขุนนางท่านหนึ่งเห็นรอยยิ้มของซูหลีพอดี ขุนนางผู้นั้นขมวดคิ้ว เขารู้สึกขัดหูขัดตากับการกระทำซูหลี เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น


 


 


“ไม่มีอะไร” ซูหลีหุบยิ้มใบหน้าของนางยังคงนิ่งเฉย เพียงเอ่ยว่า “ใต้เท้าทุกท่านล้วนเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตากรุณา เมื่อเปรียบกันแล้วซูหลีกลับกลายเป็นคนที่มีใจโหดมือเ**้ยม ในเมื่อทุกท่านต้องการเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเสพผงฝิ่นเข้าไปแล้ว”


 


 


“ทว่า…ซูหลีขอเอ่ยเตือนสติทุกท่านประโยคหนึ่ง กฎหมายของราชวงศ์ต้าโจว ผู้ที่แตะต้องของต้องห้าม โทษคือตัดหัว!”


 


 


สีหน้าของซูหลียังคงเรียบเฉย แต่น้ำหนักในคำพูดที่นางเอ่ยออกมานั้นค่อนข้างจะหนักแน่น


 


 


เหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นโต้แย้งนางนั้น ในชั่วขณะนี้สีหน้าต่างเปลี่ยนไปตามๆ กัน มิผิด แม้จะไม่ให้เฉิงเค่อเสพผงฝิ่นเข้าไป ตามกฎหมายของราชวงศ์ต้าโจว เฉิงเค่อจำเป็นต้องตาย


 


 


“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หากไม่ใช้วิธีนี้ ข้าคิดว่าทุกท่านคงจะมีวิธีจัดการที่ดีกว่านี้ นั่นคือการจับคนหลังจากตายไปแล้วหรือ!?”


ตอนที่ 671 ฮ่องเต้ผู้ปรีชาชาญ!


 


 


กริบ…


 


 


ทั้งตำหนักอวิ๋นเซียวตกอยู่ในความเงียบงัน


 


 


เมื่อครู่ยังพูดกันฉอดๆ กล่าวว่าวิธีของซูหลีไม่เหมาะสมอยู่เลย บัดนี้กลับเงียบคล้ายกับเป็นใบ้ก็มิปาน อะไรก็ไม่เอ่ยออกมาทั้งสิ้น


 


 


มิผิด หากไม่ใช่วิธีเช่นนี้ ต้องการตามหาเส้นสนกลในจนหาคนที่มอบผงฝิ่นให้แก่เฉิงเค่อจนพบ ช่างเป็นเรื่องยากโดยแท้


 


 


เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่ในเมืองหลวงก็มีคนอยู่จำนวนมากมายแล้ว


 


 


ค้นหา?


 


 


จะหาอย่างไรกัน?


 


 


นี่เป็นดั่งการงมเข็มในมหาสมุทรโดยแท้!


 


 


ซูหลีมองดูแล้วจึงแค่นยิ้มเย็นออกมาอย่างอดไม่ได้ วิธีของนางแม้จะดูเย็นชาไม่ใส่ใจจิตใจของผู้อื่น ทว่าเรื่องของจิตใจ นั่นก็ต้องปฏิบัติให้ถูกคนด้วย คนอย่างเฉิงเค่อ ไม่เรียกเขาว่าสัตว์เดรัจฉานก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว


 


 


เขาเสพผงฝิ่นเข้าไปก็ไม่มีใครบังคับเขา ทว่าเขากลับนำผลจากการเสพผงฝิ่นมาระบายที่ลู่แหมียนเหมียน


 


 


หากเมื่อวานนี้นางไม่ได้ผ่านเข้าไปในตรอกนั้น เช่นนั้นใครจะเป็นผู้ตัดสินใจช่วยลู่เหมียนเหมียนกัน


 


 


“กระหม่อมคิดว่าวิธีของใต้เท้าซูนั้นดีมาก เดิมเฉิงเค่อก็ต้องโทษประหาร และสามารถตัดหัวของเขาได้ทันที หลังจากเขาได้รับโทษประหารเช่นนี้ ฝ่าบาทยังทรงเมตตาให้เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายวัน นี่ก็ถือเป็นพระคุณอันใหญ่หลวงของฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ที่น่าแปลกก็คือในบรรดาคนส่วนมากที่ขัดแย้งกับซูหลี คนที่ยืนฝั่งซูหลีเป็นคนแรกกลับเป็นจี้เหิงหราน


 


 


ซูหลีอดไม่ได้ที่จะมองจี้เหิงหรานปราดหนึ่ง หากพูดด้วยจิตใจที่สงบ จี้เหิงหรานผู้นี้แม้นางจะไม่ชื่นชอบสักเท่าไรนัก ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สติปัญญาของเขานั้นกลับมีความเข้าใจหลายอย่างมากกว่าเหล่าขุนนางอาวุโสที่คร่ำครึในเรื่องศีลธรรมเหล่านั้นอยู่มาก อีกทั้งต้องแยกแยะเรื่องส่วนรวมและส่วนตัวอย่างชัดเจน เมื่อทราบว่าเรื่องนี้สำคัญมากและไม่ใช่เพราะความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับซูหลี แม้จะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาก็ต้องลุกขึ้นมาพูดอยู่ดี


 


 


มิน่าเล่า เขาถึงเป็นคนสนิทของฉินเย่หาน มิน่าเล่าแม้เขากระทำเรื่องเช่นนั้นออกมา ฉินเย่หานก็ปกป้องเขา


 


 


“เสด็จพี่ กระหม่อมก็รู้สึกเห็นด้วย” ฉินม่อโจวผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้น


 


 


“อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า!” ทันใดนั้นเฉิงเค่อที่ถูกจับเอาไว้ เขาอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง และอ้าปากโหวกเหวกโวยวายออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


 


“ฝะ ฝ่าบาท!” ฉินเย่หานผงะเพียงเล็กน้อย เตรียมจะพูดอะไรออกมา ทว่ากลับเห็นเฉิงเหว่ยปีนและพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างสั่นเทิ่ม จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า


 


 


“สัตว์เดรัจฉานกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ถึงตายก็ไม่สมกับความผิดที่กระทำไป กระหม่อมคิดว่าวิธีของใต้เท้าซูดีที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้สัตว์เดรัจฉานผู้นี้…” เดิมเฉิงเหว่ยจะกล่าวว่าให้ตายเป็นคุณงามความดี ทว่าหลังจากเขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ให้สัตว์เดรัจฉานผู้นี้ตายอย่างคุ้มค่า!”


 


 


“ความผิดนี้กระหม่อมยินยอมที่จะส่งตัวสัตว์เดรัจฉานให้ฮ่องเต้ทรงจัดการตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ เหอะ เฉิงเหว่ยผู้นี้สมกับคนที่ทำการใหญ่โดยแท้


 


 


เขาคงจะพอรู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถรักษาชีวิตเฉิงเค่อเอาไว้ได้ ในเวลานี้จึงตัดสินใจกระทำเช่นนี้


 


 


แม้ในพระทัยของฮ่องเต้ จะทรงมีความไม่พอใจต่อพวกเขาพ่อลูกเป็นจำนวนมาก ทว่าเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ออกมา เป็นการโยนเรื่องผงฝิ่นให้พ้นตัวเอง


 


 


ยอมพลีชีพบุตรของตน เพื่อปกป้องตนเองไว้


 


 


“หึ!” ซูหลีหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นยกทั้งสองมือขึ้นปรบมือเสียงดังและเอ่ยว่า “ดี เพื่อผดุงความเป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ ก็สามารถลงโทษได้แม้เป็นญาติมิตร ใต้เท้าเฉิงช่างเป็นคนที่รู้จักเข้าใจกฎเกณฑ์อย่างแท้จริง!”


 


 


คำพูดของนางนั้นประหลาดมาก ใบหน้าของเฉิงเหว่ยถึงกับกระตุกเล็กน้อย ทว่าเขากลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพียงรับฟังอย่างเงียบๆ เท่านั้น


 


 


“หวงเผยซาน” ฉินเย่หานที่อยู่เบื้องบนพลันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็น


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” หวงเผยซานก้มศีรษะขานรับ


 


 


“นำของสิ่งนี้ลงไป” ฉินเย่หานกวาดตามองที่ขวดใบเล็กที่อยู่บนโต๊ะ


 


 


นี่หมายความว่าเขายอมรับวิธีการของซูหลีแล้ว


 


 


“ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาชาญ! ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงฉีกยิ้ม และทำเคารพเป็นคนแรก!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 672 ไปห้องทรงอักษรอีกครั้ง


 


 


ทันทีที่นางทำความเคารพ ขุนนางทุกคนจึงทำได้เพียงทำความเคารพตาม


 


 


เฉิงเหว่ยที่หมอบอยู่บนพื้น มีประกายความอาฆาตและเกลียดชังพาดผ่านในดวงตาคู่นั้นของเขา ความแค้นในวันนี้เขาจะจดจำเอาไว้ ต้องมีสักวันที่ซูหลีผู้นี้ต้องชดใช้เป็นพันเท่าหมื่นเท่า!


 


 


สงสารบุตรชายของเขานัก…


 


 


เฉิงเหว่ยกวาดตามองไปยังเฉิงเค่อที่ร่างกระตุกอย่างไม่หยุดหย่อน จากนั้นจึงหลับตาของตนลง


 


 



 


 


ก่อนการว่าราชกิจยามเช้าจะจบลง ฉินเย่หานรับสั่งให้ซูหลีตรวจสอบเรื่องผงฝิ่นอย่างละเอียด โดยเฉพาะ ทั้งท้องพระโรงไม่มีใครมีความคิดอื่น ซูหลีจึงขานรับไว้


 


 


ทว่าวันนี้ในฐานะของคนที่ว่าราชกิจเป็นวันแรก ซูหลีนั้นถือว่าคนที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก


 


 


ทันทีที่จบการว่าราชกิจ นางก็ถูกขุนนางบางส่วนห้อมล้อมไว้


 


 


“ใต้เท้าซูช่างเป็นวีรบุรุษวัยหนุ่มโดยแท้ เป็นผู้ที่ทำการทุกอย่างมีการวางแผน!”


 


 


“ใช่แล้ว หากใต้เท้าซูไม่ได้ช่วยเหลือคุณหนูสกุลลู่ไว้ เกรงว่าคงจะไม่ใส่ใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้แน่!”


 


 


“ใช่แล้วๆ!”


 


 


บัดนี้อยู่ท่ามกลางเสียงพูดประจบสอพลอ นางเลิกคิ้วแต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา


 


 


นางกระทำเรื่องนี้เช่นนี้ ประการที่หนึ่งเป็นเพราะยาเสพติดของสิ่งนี้ ควรเป็นของต้องห้ามอย่างแท้จริง ของสิ่งนี้ทำร้ายคนจำนวนไม่น้อย นางไม่ต้องการลากคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ประการที่สองเป็นเพราะในฐานะที่นางเข้าร่วมการว่าราชกิจครั้งแรก นางก็ควรให้ของขวัญกับคนในอดีตอย่างนั้นเสียหน่อย


 


 


นางก็ไม่รู้ว่าของขวัญนี้ จะทำให้เฉิงเหว่ยมีความสุขหรือไม่


 


 


ซูหลีมองเห็นคนผู้หนึ่งที่อยู่ไกลออกไป เงาร่างของเขาดูค่อมอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินกะโผลกกะเผลกออกไปทางประตูของตำหนัก


 


 


คนผู้นั้นก็คือเฉิงเหว่ยนั่นเอง


 


 


แม้เฉิงเหว่ยเป็นผู้ผดุงความเป็นธรรม เขาก็สามารถลงโทษได้แม้เป็นญาติมิตร การใช้วิธีเช่นนี้เพื่อปกป้องตนเองและชีวิตเล็กๆ ของคนทั้งสกุล ทว่าตำแหน่งขุนนางนี้กลับเป็นต่อไปไม่ได้ ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสอะไร เพียงแต่ตรัสว่าเขาอบรมสั่งสอนบุตรไม่เคร่งขรัด ทรงรับสั่งให้เขากลับไปคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองที่จวน


 


 


ทว่าทุกคนล้วนทราบดีว่า การคิดทบทวนนี้เกรงว่าทั้งชีวิตนี้เฉิงเหว่ยคงไม่มีโอกาสเข้ามาเหยียบในท้องพระโรงแม้แต่ครึ่งก้าวแล้ว


 


 


เรื่องนี้เฉิงเหว่ยไม่ทราบก็จริง ทว่าในฐานะที่เขาเป็นบิดาของเฉิงเค่อ อีกทั้งยังไม่สังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติของบุตร แม้กระทั่งปล่อยให้เกิดความผิดเช่นนี้


 


 


เพียงแค่ความผิดเหล่านี้ เขาก็ไม่เหมาะจะอยู่ท้องพระโรงแห่งนี้แล้ว


 


 


“ครานี้ใต้เท้าซูสร้างคุณูปการครั้งใหญ่ให้แก่แผ่นดิน ต่อไปจักต้องเลี้ยงสุราพวกเราสักจอกนะ!”


 


 


ซูหลีถูกเสียงของคนที่ล้อมรอบดึงสติกลับคืนมา นางหัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบาครู่หนึ่งและพูดรับมือเพียงสองสามประโยคด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


ฉินม่อโจวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักเห็นท่าทางมั่นใจเช่นนี้ของนางแล้ว ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความงุนงงและรู้สึกสับสน


 


 


คนตรงหน้านี้หาได้เหมือนกับคนที่เคยคุกเข่าต่อหน้า ทั้งกอดท่อนขาของเขาและเอ่ยว่าจะแต่งงานกับเขาเมื่อปีก่อนเสียที่ไหนกัน


 


 


เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดที่สุด มีการวางแผนการล่วงหน้า และเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างไม่ขาดสาย


 


 


เกรงว่าต่อไปวันข้างหน้าท้องพระโรงแห่งนี้คงจะครื้นเครงน่าดู


 


 


“ใต้เท้าซู” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด นางพลันเห็นหวงเผยซานก้าวเท้าเข้ามาหาตนเองอย่างรีบร้อน และเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ฝ่าบาททรงเรียกใต้เท้าซูเข้าไปพบขอรับ”


 


 


ซูหลีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นถึงผงกศีรษะให้แก่เขา


 


 


เหล่าขุนนางที่อยู่ใกล้ซูหลีเมื่อเห็นหวงเผยซานปรากฏตัวขึ้น ต่างพากันปลีกตัวออกไปอย่างรู้งาน


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบซูไท่ผู้ซึ่งเป็นบิดาของซูหลีกลับยังไม่ได้เอ่ยอะไรกับซูหลีสักประโยค จากนั้นเขาก็เห็นซูหลีเดินตามหวงเผยซานออกไป


 


 


มุมปากของซูไท่กระตุกขึ้นเล็กน้อย บัดนี้หากตนเองต้องการพูดคุยกับบุตรของตนเพียงสองสามประโยค ก็กลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว!


 


 


อีกด้านหนึ่ง ความรู้สึกในการไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ของซูหลีในครานี้ นางรู้สึกผ่อนคลายลงมาก


 


 


เรื่องของผงฝิ่น ในเมื่อฝ่าบาทมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องรับสั่งนางเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเดินเข้าไปในห้องทรงอักษรโดยไม่ใจสั่น


 


 


อีกทั้งยังเดินเข้าด้วยท่าทางอกผายไหลผึ่ง


 


 


“ฝ่าบาทอยู่ด้านในขอรับ” หวงเผยซานที่นำนางเดินมาตลอดทาง เมื่อถึงประตูของห้องทรงอักษรก็ไม่เดินเข้าไป กลับบอกให้ซูหลีเดินเข้าไปคนเดียว


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงะไปเล็กน้อย


ตอนที่ 673 ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยอวี่เสียน


 


 


ทว่าเพียงพริบตาเดียวนางก็ปล่อยวางแล้ว ฉินเย่หานคงจะมีความลับอะไรที่ต้องการสั่งนางเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ให้หวงเผยซานตามเข้ามาด้วยกระมัง


 


 


กระมัง…


 


 


ซูหลีได้แต่พูดโน้มน้าวจิตใจตัวเองเท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นนางยังสามารถทำอย่างไรได้กัน


 


 


ซูหลีสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงผลักประตูห้องทรงอักษรเข้าไป


 


 


แกรก หลังจากนางเดินเข้าไป ประตูก็ถูกปิดจากทางด้านนอกอย่างรวดเร็ว


 


 


ทันทีที่เข้าไป ซูหลีก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง


 


 


นางมาที่ห้องทรงอักษรหลายต่อหลายครา นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นฮ่องเต้มิได้ประทับอยู่หน้าโต๊ะมังกร ทว่ากลับยืนเอามือไขว้หลังหันหลังมาทางนาง และทอดพระเนตรไปทางด้านนอกหน้าต่าง


 


 


มองจากทางด้านนอกของห้องทรงอักษรดูว่างเปล่า นอกจากทางที่ซูหลีเดินมาไม่มีทิวทัศน์อะไรทั้งสิ้นแม้แต่ต้นไม้ต้นหนึ่งก็ไม่มี และไม่มีอะไรที่น่ามองเท่าไรนัก


 


 


แน่นอนว่าคำพูดนี้ต่อให้ซูหลีมีความกล้าเป็นร้อยๆ ซูหลีก็ไม่กล้าพูดออกมา


 


 


นางเพียงกวาดตาไปทางนั้นอยู่นาน จากนั้นจึงเดินเข้าไปแล้วโค้งคำนับและเอ่ยว่า


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


 


 


ฉินเย่หานหมุนกายกลับมา เมื่อมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม บนร่างสวมชุดขุนนางสีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์ต้าโจวเอาไว้ ดวงตาของเขาพลันปรากฏความลุ่มลึก


 


 


เพียงแต่ซูหลีก้มศีรษะลงจึงมองไม่เห็นแววตาของเขา


 


 


“นั่งลง” ตั้งแต่เข้ามาในห้องทรงพระอักษร นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่หานสั่งให้นางนั่งลง กลับไม่ใช่การเอ่ยปากพูดอะไรออกมา


 


 


ซูหลีตะลึงไปครู่หนึ่ง หลังจากรู้สึกตัวจึงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แดงที่ฉินเย่หานชี้ให้นางนั่งลง


 


 


“ฝ่าบาท เรื่องในวันนี้…”


 


 


“เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับบุตรคนโตของสกุลเซี่ย?” ในขณะที่ซูหลีต้องการเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา นึกไม่ถึงว่าทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นจะเห็นฉินเย่หานเดินเข้ามา จากนั้นเขาจึงโน้มตัวใช้มือวางบนพนักเก้าอี้ด้านหลังซูหลี เช่นนี้เป็นการโอบร่างทั้งร่างของซูหลีไว้ในอ้อมแขน


 


 


ซูหลีตะลึงงัน


 


 


ในชั่วขณะนี้แม้แต่คิดว่าตนเองต้องการพูดอะไรออกมายังจำไม่ได้ ตรงหน้าของตนนั้นมีแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาหมดจดของฉินเย่หาน อีกทั้งยังมีดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้น ดวงตาที่ดำสนิทสะท้อนให้เห็นภาพซูหลีที่ดูทึมทื่อ


 


 


ฝ่าบาทนี่คือท่าทางอะไรกัน…


 


 


ยังมีเรื่อง…


 


 


เซี่ยอวี่เสียน?


 


 


“ข้า ข้าน้อย…กระหม่อมเป็นสหายกับบัณฑิตจอหงวน” เขาเข้าใกล้นางอย่างกะทันหัน ทำให้ลมหายใจของซูหลีเปลี่ยนเป็นติดขัด ผ่านไปพักหนึ่งถึงสามารถรวบรวมสติสัมปชัญญะ จากนั้นจึงพูดอธิบายประโยคหนึ่ง


 


 


“เป็นเพียงสหาย?” ฉินเย่หานจ้องมองนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซูหลีกลับรู้สึกว่า ยามตกอยู่ภายใต้สายตาของเขาเช่นนี้ หัวใจของนางแทบจะเต้นออกมาจากนอกอก


 


 


นางค่อยๆ ผงกศีรษะ


 


 


หลังจากนางผงกศีรษะ ความเย็นยะเยียบบนใบหน้าของฉินเย่หานลดน้อยลงไปบ้าง เพียงแต่สิ่งที่ตามก็คือ…


 


 


“เสื้อผ้าบนร่างนี้ ช่างขัดตานัก” เขาตวัดตามองที่ชุดอาภรณ์บนร่างซูหลี แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


ซูหลี…


 


 


นี่เป็นถึงชุดขุนนาง ขัดตา!


 


 


แควก! ผลก็คือยังไม่รอให้นางตำหนิเขาในใจ นางก็รู้สึกว่าร่างของตนนั้นเย็นวาบ นางแหงนศีรษะขึ้นก็พบว่ามือใหญ่ของฉินเย่หานกำลังยกขึ้น


 


 


“ฝ่าบาท!” น้ำเสียงของซูหลีสั่นคลอน


 


 


นี่ไม่ใช่ควรจะพูดจาเรื่องผงฝิ่นกันดีๆ หรือ นี่เป็นเรื่องสำคัญถึงขนาดนี้เชียวนะ!


 


 


“กะ กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องเอ่ยพ่ะย่ะค่ะ!” นางมึนงงไปหมด นางยื่นมือต้องการจะผลักเขาออกไป คิดไม่ถึงว่านางจะถูกเขาใช้กำลังกุมมือของนางเอาไว้ ดวงตาลุ่มลึกจับจ้องที่นางและเอ่ยว่า


 


 


“เดี๋ยวค่อยว่ากัน!”


 


 


“แต่ว่า…อื้อ!” ต่อจากนั้นนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาทั้งสิ้น คำพูดทั้งหมดถูกบุรุษผู้นี้บีบบังคับให้กลับเข้าไป นางพยายามอย่างสุดชีวิตก็สามารถเพียงส่งเสียงอู้อี้ออกมา


 


 


นี่ยังไม่ถือว่าเป็นอะไร เรื่องตื่นเต้นยังรออยู่ด้านหลัง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 674 มาส่งน้ำแกง


 


 


“ไม่ได้ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” ใบหน้าเล็กๆ ของซูหลีแดงระเรื่อ เชือกผูกผมที่มัดเส้นผมบนศีรษะเอาไว้ล้วนหลุดรุ่ยออกมาหมดแล้ว ทำให้ผมสีดำสลวยกระจายจรดช่วงเอว ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก


 


 


ทว่าไม่ว่านางจะขอร้องอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น บุรุษควรกระทำอะไรก็ยังกระทำสิ่งนั้นอยู่


 


 


ฉินเย่หานเหลือบตามองนาง เขาเห็นเพียงความแดงก่ำที่ปรากฏทั่วใบหน้า ใบหน้าจิ้มลิ้มขาวดุจเครื่องเคลือบของนางยังเปื้อนไปด้วยน้ำตา หาได้มีท่าทางองอาจห้าวหาญเหมือนยามที่อยู่บนท้องพระโรง


 


 


ยามอยู่บนท้องพระโรงก่อนหน้านี้เขายังเห็นนางพูดจาฉะฉาน ยามเห็นนางที่มีรอยยิ้มที่มีความมั่นใจ เขาก็อยากจะทำเช่นนี้แล้ว


 


 


“เราสอนเจ้าว่าอย่างไร” เขาหายใจเข้าลึกจรดลงบริเวณช่วงคอของนาง ทำให้ร่างของนางสั่นเทิ้ม


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนี้ทั้งร่างจึงสั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง นางถูกสายตาที่ลุ่มลึกของเขาทำให้ตกใจ และถูก…


 


 


นางไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ซูหลีเพียงต้องการหลุดพ้นออกจากเรื่องตื่นเต้นตรงหน้านี้ นางได้แต่ยอมรับความโชคร้าย นางร้องไห้แล้วเอ่ยว่า “นายท่าน… หลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์ไม่เอาแล้ว!”


 


 


พอพูดจบก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ฉินเย่หานเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของสาวงาม ดวงตายิ่งดูลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม หาได้มีความคิดที่จะปล่อยนางไป


 


 


ซูหลีเพียงรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจ นางอยากจะส่งเสียงหยุดยั้งเขาไว้ ทว่าก็เป็นกังวลถึงคนที่อยู่ด้านนอก


 


 


นางเพียงหวังว่าความเคร่งครัดของหวงเผยซานผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องภายในและภายนอกจะสามารถขัดขวางคนด้านนอกเอาไว้ได้ อย่าให้พวกเขาเข้ามาภายใน!


 


 


……


 


 


ภายในห้องทรงอักษรเต็มไปด้วยความงามชดช้อย หวงเผยซานที่รออยู่ด้านนอก ที่ริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มตลอดเวลา


 


 


สุดท้ายแล้วก็มีแต่ใต้เท้าซูที่ดึงดูดฝ่าบาทให้ชื่นชอบ ดูสิ หลังจากที่ฝ่าบาทได้ลิ้มลองรสชาติของสิ่งนี้เข้าไปแล้ว ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้จะเคยกระทำเรื่องเช่นนี้ภายในห้องทรงอักษรเสียที่ไหนกัน


 


 


เกรงว่าหากเขาเอ่ยขึ้นเรื่องนี้ คงจะถูกฉินเย่หานประหารชีวิต!


 


 


“หวงกงกง” ใบหน้าของหวงเผยซานเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ คล้ายกับเขาเป็นผู้ที่ค้นหาวสันตฤดูจนพบมิปาน ในขณะที่เขากำลังอารมณ์ดี พลันได้ยินเสียงเช่นนี้ดังขึ้น


 


 


หวงเผยซานชะงักไปทันที ทันทีที่แหงนศีรษะขึ้นก็พบกับสาวงามสะคราญ ในมือของนางถือกล่องอาหารสีแดงเอาไว้และหยุดอยู่ตรงหน้าเขา


 


 


“หวงกงกงรบกวนแล้ว” ป๋ายถานเดินเข้ามา จากนั้นถอนสายบัวให้แก่หวงเผยซานด้วยรอยยิ้ม ที่จริงแล้วหากอิงจากตำแหน่งของนางแล้ว นางไม่จำเป็นทำความเคารพผู้ดูแลภายในและภายนอกอย่างหวงเผยซาน


 


 


ในเวลาแรกหวงเผยซานก็รู้สึกตัวไม่ทัน หลังจากเขาจึงสะดุ้งตกใจอย่างรุนแรง จากนั้นเขาปลีกตัวออกมาและเอ่ยว่า “นี่เล่อผินเหนียงทรงกระทำสิ่งใดกัน บ่าวรับเอาไว้มิได้พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ป๋ายถายเห็นอากัปกิริยาของหวงเผยซาน นางเพียงฉีกยิ้มบางออกมา ทันทีที่นางแย้มยิ้มก็ราวกับดอกกล้วยไม้บานสะพรั่งมิปาน จากภายในถึงภายนอกแผ่ซ่านกลิ่นอายของสตรีที่สง่างามออกมา


 


 


จะว่าไปแล้ว ป๋ายถานกับซูหลีมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงโดยแท้ คนที่อยู่ภายในนั้นหวงเผยซานเคยเห็นนางแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นสตรีแล้ว นั่นราวกับเป็นปีศาจสาว!


 


 


“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่หรือ” ทางด้านป๋ายถานกวาดตามองไปที่ประตูใหญ่ที่ปิดสนิท นางจึงฉีกยิ้มอย่างเขินอายครู่หนึ่ง


 


 


เดิมรอยยิ้มของนางนี้งดงามเป็นอย่างมาก ทว่าในสายตาของหวงเผยซานในเวลานี้ดูแล้วคล้ายโดนฟ้าฝ่าตอนกลางวันก็มิปาน


 


 


จบแล้ว จบแล้ว นี่จะเป็นเรื่องได้อย่างไร


 


 


ป๋ายถานเข้ามาอยู่ในวังหลวงนานมากแล้ว ทว่านางยังไม่เคยถูกฮ่องเต้โปรดปรานมาก่อน ก่อนหน้านี้นางเคยไปเข้าในห้องทรงอักษรครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นหวงเผยซานรายงานฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้จึงทรงอนุญาตให้ป๋ายถานเข้าไป


 


 


ทว่าเรื่องของการโปรดปราน ฮ่องเต้กลับทรงไม่ใส่พระทัยในตัวนางเลย


 


 


หวงเผยซานสามารถเข้าใจความร้อนใจของป๋ายถานดี อย่างไรก็กลายเป็นเหนียงเหนียงแล้ว ทว่ากลับยังบริสุทธิ์อยู่ หากพูดออกไปคงจะถูกคนหัวเยาะจนฟันร่วง


 


 


ทว่าเข้าใจก็ถือว่าเข้าใจ


ตอนที่ 675 สรุปแล้วมีอะไรกันแน่


 


 


หวงเผยซานทราบเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี นั่นก็คือหากวันนี้เขาปล่อยให้ป๋ายถานผู้นี้เข้าไป ตำแหน่งผู้ดูแลทั้งภายในภายนอกของเขาก็ไม่สมควรเป็นแล้ว ทั้งยังจะถูกตัดคอต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อีกด้วย!


 


 


“เล่อผินเหนียงเหนียง นี่คือ?” ใบหน้าของหวงเผยซานแข็งค้างไป เขาหวนคืนสติกลับมา จากนั้นก็แสร้งถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ


 


 


ป๋ายถานได้ยินดังนั้นจึงตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “หลายวันมานี้ฮ่องเต้ทรงยุ่งกับเรื่องของบ้านเมือง ข้ากลับใช้ชีวิตอย่างดีอยู่ในตำหนัก ในใจจึงรู้สึกละอายนัก ทว่าข้าก็เป็นเพียงสตรีในวังหลัง มิอาจทำให้ฝ่าบาทปลดเปลื้องความทุกข์ได้ ดังนั้นข้าจึงเข้าครัวด้วยตนเอง ตุ๋นน้ำแกงเนื้อแพะด้วยความตั้งใจมาถวาย”


 


 


“อยากจะให้ฝ่าบาททรงชิมดู” ป๋ายถานพูดถึงตรงนี้ ก็คล้ายกับรู้สึกละอาย นางยกมือขึ้นกุมใบหน้างามของตนครู่หนึ่ง


 


 


หวงเผยซานได้ยินคำพูดนี้ สีหน้ากลับมีความกลัดกลุ้มใจ


 


 


นี่เป็นช่วงเวลาที่ไม่เช้าและไม่เย็นนัก ซูหลียังอยู่ภายในห้องทรงอักษร เมื่อครู่เขายังได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากภายใน ดูเหมือนจะไม่สามารถจบสิ้นได้ในเวลานี้


 


 


นี่…


 


 


“หวงกงกง?” ป๋ายถานเห็นเขาไม่โต้ตอบ นางจึงถามขึ้นอย่างสงสัย


 


 


หวงเผยซานดึงสติกลับมาฉีกยิ้มให้กับนางครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นมือไปรับกล่องอาหารนั้นไว้


 


 


“เล่อผินเหนียงเหนียง กล่องนี้ให้พวกเรารับไว้เถิด อีกครู่พวกเราจะนำไปถวายฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ทันทีที่ป๋ายถานได้ยินดังนั้นพลันขมวดคิ้วขึ้น นางเจาะจงมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อให้หวงเผยซานนำสิ่งของเข้าไปส่งให้กับฉินเย่หาน หากไม่ใช่เพราะต้องการพบหน้าฉินเย่หาน นางจะมาที่นี่ทำไมกัน


 


 


ทว่าป๋ายถานไม่ทราบว่า ฉินเย่หานในเวลานี้กำลังกอดสตรีนางหนึ่งไว้ในอ้อมแขน กำลังรักและทะนุถนอมนางอย่างสุดซึ้ง


 


 


“ฝ่า…อื้อ!” เสียงสนทนาจากด้านนนอกนั้นดังไม่น้อย ทว่าซูหลีได้ยินอย่างแจ่มแจ้งเพียงแต่ทันทีที่นางส่งเสียงร้องออกมา กลับรู้สึกว่าเสียงของตนนั้นผิดปกติเป็นอย่างมาก นางจึงยกมือขึ้นปิดปากตนเอง เพื่อไม่ให้นางส่งเสียงดึงดูดความสนใจจากคนภายนอก


 


 


ดวงตาคู่นั้นของฉินเย่หานจ้องนางตาเขม็ง เขาไม่มีความคิดที่จะหยุดพักเลยสักนิด


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นจึงร้อนใจอย่างอดไม่ได้ หากนางถูกป๋ายถานจับได้ในห้องทรงอักษรวันนี้ นางจะต้องเสียชื่อเสียงขึ้นมาโดยแท้ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังด้านไม่ดีเสียด้วย


 


 


ซูหลีไม่กล้าจิตนาการ ถึงเวลานั้นสิ่งที่รอนางอยู่จะเป็นสิ่งใดกัน


 


 


แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ ทว่ากลับไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ นางเป็นคนรูปร่างเล็ก บัดนี้กลับถูกฉินเย่หานแสดงความรักไปหนึ่งคำรบ ยามเช้าก็ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรหลงเหลืออยู่แล้ว นางยังจะสามารถผละออกจากบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเสียที่ไหนกัน


 


 


และเป็นเพราะภายนอกมีคนอยู่ ทำให้นางเกิดความรู้สึกตื่นเต้น ร่างกายจึงไวต่อความรู้สึกยิ่งกว่าเดิม


 


 


เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ดวงตาของฉินเย่หานยิ่งลึกซึ้งกว่าเดิม และเขายิ่งไม่อยากปล่อยนางไป


 


 


ซูหลีแทบจะตาลีตาเหลือกและเป็นลมพับไป


 


 


“ฝ่าบาท ด้านนอก…มีคนนะพ่ะย่ะค่ะ!” นางสูดอากาศเข้าไปและพยายามอดกลั้นเสียงของตนให้แผ่วเบาลง นางเอ่ยประโยคนี้ออกมาพร้อมกับต้องการยกมือผลักคนตรงหน้า


 


 


ทว่าฉินเย่หานกลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงของนางก็มิปาน เขาไม่รู้จักเหนื่อยล้าเลยสักนิด


 


 


ซูหลี…


 


 


“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!” ซูหลีไม่มีวิธีอื่นนอกจากส่งเสียงเล็กอ้อนวอนเขา หวังว่าเขาจะสามารถหยุดการกระทำนี้ลง


 


 


“อ้าย!” ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ตอบแทนนางกลับเป็นการลงโทษที่หนักหน่วงกว่าเดิม


 


 


ทั้งร่างของซูหลีสั่นเทิ้ม นางส่งเสียงร้องออกมาและเสียงนี้ทำให้ป๋ายถานที่อยู่ด้านนอกได้ยิน


 


 


คนอย่างป๋ายถานหลังจากได้ยินเสียงประหลาดเช่นนี้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างห้ามไม่ได้


 


 


นางมองหวงเผยซานด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยว่า “หวงกงกง สรุปแล้วมีอะไรกันแน่ ที่นี่คือห้องทรงอักษรเป็นสถานที่ที่ฝ่าบาททรงใช้จัดการเรื่องของบ้านเมือง!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 676 ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้


 


 


“ทำไมข้าถึงเข้าไปไม่ได้” หากเมื่อครู่นางฟังไม่ผิดเสียงนั้นคงจะเป็นเสียงของสตรีอีกทั้งยังเป็นเสียงที่มีเสน่ห์เย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง


 


 


สีหน้าของป๋ายถานเปลี่ยนไปอย่างถนัดตา นางไม่มีทางจิตนาการออกเลยว่า ฝ่าบาทผู้ซึ่งไม่เคยมีความสนใจต่อนาง จะสามารถกระทำเช่นนั้นต่อสตรีอีกคนได้…


 


 


เพียงแค่คิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกควบคุมตนเองไม่อยู่ และต้องการถลาเข้าไปฉีกหน้าคนที่อยู่ด้านใน!


 


 


“เหนียงเหนียง วันนี้ฝ่าบาททรงว่าราชกิจตลอดทั้งช่วงเช้า บัดนี้ทรงกำลังเหนื่อยล้า เหนียงเหนียงอย่าได้เข้าไปเลย ของสิ่งนี้มอบให้พวกเราเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานก็รู้สึกรำคาญใจเช่นกัน


 


 


เขาได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่านี่ฉินเย่หานไม่คิดที่จะรามือ ฮ่องเต้ทรงเป็นเช่นนี้ เขาเป็นเพียงแค่บ่าวยังจะสามารถทำอะไรได้กัน


 


 


อีกทั้ง ป๋ายถานที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ไม่ใช่คนที่เขาสามารถสั่งการได้อย่างง่ายดาย อย่างไรป๋ายถานก็เป็นนายส่วนเขาเป็นบ่าว


 


 


ทะ ทว่า…


 


 


สีหน้าของป๋ายถานเขียวคล้ำ นางมองไปที่หวงเผยซานด้วยความโกรธ


 


 


ที่จริงแล้วหากนางประสบกับเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในวังหลวง อย่างไรนางก็คงสามารถมีความอดกลั้นได้บ้าง ทว่าบัดนี้นางเข้าวังมาหลายเดือนแล้ว ยังไม่เคยได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้สักครา


 


 


ป๋ายถานคิดว่าตนนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างมีความอดกลั้น ทว่าต่อให้มีความอดกลั้นถึงเพียงใด ก็รับเรื่องเช่นนี้ไม่ได้!


 


 


ดังนั้นในเวลานี้ นางยิ่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้


 


 


“หวงกงกง นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่!?” ป๋ายถานวางมาดเย็นชา จากนั้นพูดตำหนิหวงเผยซาน


 


 


หวงเผยซานอ้ำอึ้งไปเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงปรากฏรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้า


 


 


ดูเหมือนว่าวันนี้เขาต้องกล้ำกลืนฝืนทนความลำบากเสียแล้ว


 


 


ก็เพื่อเรื่องเหล่านั้นของฮ่องเต้!


 


 


หวงเผยซานกัดฟัน เรื่องนี้เขาก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ว่ากันไปตามเหตุผล ป๋ายถานก็ถือว่าเป็นสาวงามไม่มีข้อบกพร่อง อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ได้รับการอบรบมาอย่างดี มิหนำซ้ำยังเป็นสตรีผู้มากความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อฮ่องเต้ทรงมิโปรดปราน ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานผู้ที่อยู่ด้านในท่านนั้น


 


 


อีกทั้งยังยินยอมกระทำเรื่องเช่นนี้กับนางผู้นั้น เขาจะสามารถทำอะไรได้


 


 


“เหนียงเหนียงโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซายหลับตาลงและทรุดตัวคุกเข่าลงไปที่ด้านข้างของป๋ายถาน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ป๋ายถานก้าวเข้าไปภายในห้องทรงอักษรแม้แต่ก้าวเดียว


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาท! ได้โปรด! อย่า!” ทว่าซูหลีที่อยู่ภายใน ส่วนหนึ่งคอยสังเกตการณ์เคลื่อนไหวจากภายนอก และอีกด้านหนึ่งก็คอยสังเกตฉินเย่หาน ทั้งร่างของนางคล้ายกับมีชีวิตอยู่ในน้ำและไฟในเวลาเดียวกัน นางเพียงรู้สึกว่าทุกวินาทีนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากเกินจะเปรียบ


 


 


นางอ้อนวอนฉินเย่หานด้วยเสียงแผ่วเบา ฉินเย่หานเงยหน้ามองนาง ทว่ากลับเห็นใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา นี่เป็นครั้งแรกที่นางแสดงความอ่อนแอเช่นนี้ต่อหน้าเขา


 


 


อย่ามองท่าทางที่นางแสร้งทำเป็นกลัวเขามากในยามปกติ ทว่าในใจเขานั้นเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่ยำเกรงต่อสิ่งใด


 


 


คาดไม่ถึงว่า จะเห็นความอ่อนแอของนางเพราะเรื่องเช่นนี้ ในใจของฉินเย่หานกลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจ


 


 


เมื่อในใจมีความพึงพอใจแล้ว เขาก็ไม่เคี่ยวกรำนางอีกต่อไป


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเย่หานก็หยุดการกระทำของเขาลง


 


 


“เฮือก!” แม้ในที่สุดฉินเย่หานจะหยุดลงมือ ทว่าซูหลีกลับยังต้องอดกลั้นไม่ให้เสียงของตนเล็ดลอดออกมา


 


 


นางกลัวว่าน้ำเสียงที่ประหลาดของตน จะเผยอะไรบางอย่างออกมา


 


 


ทันทีที่เขาเดินออกไป ร่างทั้งร่างของซูหลีก็พิงลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังอย่างไร้เรี่ยวแรง คล้ายกับคนที่กลั้นใจจนจะขาดใจใกล้ตายแล้ว เมื่อได้สัมผัสกับอากาศ นางจึงรีบสูดหายใจเข้าลึกๆ


 


 


“หวงกงกง วันนี้เจ้ากล้าปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่ไว้หน้าแล้วหรือ!?” เสียงเยียบเย็นของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากด้านนอก ทำให้ซูหลีหวนสติกลับคืนมาและอยากที่จะหนีออกไป


 


 


ทว่าทันทีที่นางก้มศีรษะลง ก็พบกับเศษผ้าขาดเต็มพื้น และนางไม่รู้ว่าชุดขุนนางไปยั่วโมโหฉินเย่หานหรืออย่างไร ถึงได้ถูกเขาดึงทึ้งจนกลายเป็นเช่นนี้!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม