แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 669-675
บทที่ 669 สัมผัสเย็นๆ ขณะตาลาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปึงปึง!
ยานประตูสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเสียงที่ดังออกมาพร้อมกัน คือเสียงคำรามอย่างอัดอั้นของเหล่าซอมบี้สาว
“เฮ้อ…”
หลิงม่อนั่งลงไปอีกครั้ง สองมือประสานวางบนเข่า คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
พอเห็นท่าทางเขาร้อนใจ เสี่ยวป๋ายจึงยื่นหัวเข้ามาถูไถกับตัวหลิงม่อสองสามที
“เรียนท่าทางพวกนี้มาจากเฮยซือสินะ” หลิงม่อยกมือลูบหัวมันเบาๆ แล้วพูดขึ้น
ถึงแม้จะต่างกันไม่มาก แต่หลังจากวิวัฒนาการ เสี่ยวป๋ายดูฉลาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นั่นกลับทำให้หลิงม่อรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย…
เวลานี้ หนึ่งในห้องนั้น หลี่ย่าหลินกำลังยืนพิงผนัง สีเหลืองอำพันในดวงตาดูเข้มกว่าเวลาไหนๆ
เธอยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เหมือนนางพญางูที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด ที่จ้องมาที่อีกฝ่าย ด้วยดวงตาที่ทั้งเย็นชาและดึงดูดภายใต้แสงสลัว
ขณะเดียวกันร่างกายของเธอกำลังกระตุกสั่นเบาๆ เหมือนมีบางสิ่งในร่างกายกำลังปั่นป่วนอยู่
ทันใดนั้น เธอก็เบิกตากว้าง ดวงอำพันสีเหลืองในม่านตาค่อยๆ ขยายตัว สุดท้ายก็กลืนกินส่วนสีแดงในดวงตาจนมิด ดวงตาคู่นี้สะท้อนความเย็นชาชัดเจน เหมือนดวงตาของอสรพิษจริงๆ แต่ขณะเดียวกันกลับมีแรงดึงดูดที่อันตรายถึงชีวิตแฝงอยู่ด้วย
ขณะเดียวกันนั้น ปากของหลี่ย่าหลินก็อ้าออกเบาๆ สายตาของเธอดูสับสนงุนงงขึ้นมาทันที
ในสมองของเธอ ภาพความทรงจำมากมายกำลังแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว
มีทั้งภาพหลังจากที่เธอกลายเป็นซอมบี้แล้ว และภาพตอนที่เธอยังเป็นมนุษย์อยู่
ภาพความทรงจำที่ผสมปนเปอยู่ด้วยกันเหล่านี้ เหมือนเส้นด้ายมากมายพันกันเป็นปมอยู่ตรงหน้าหลี่ย่าหลิน
เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะ คิ้วงามขมวดมุ่นเบาๆ “น่ารำคาญชะมัด มันเยอะมาก…”
“คลื่นดวงจิตของรุ่นพี่…”
สายตาหลิงม่อเปลี่ยนไป แต่ไม่นานเขาก็ห้ามใจไม่ให้ตัวเองวู่วามเข้าไปดู
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ ทั้งไม่สามารถรบกวน และไม่อาจห้ามได้…
พอคลื่นดวงจิตของหลี่ย่าหลินรุนแรงขึ้น หลิงม่อก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทันทีเหมือนกัน
ความรู้สึกที่เหมือนเธออาจสลัดหลุดจาสายสัมพันธ์ทางจิตได้ทุกเมื่อเกิดขึ้นอีกครั้ง หลิงม่อหัวใจกระตุกวูบ
“ห้ามเสียสมาธิ ต้องรวบรวมพลังจิตเข้าไว้…”
เขาพึมพำในใจ แล้วรีบรวบรวมสมาธิทันที
แต่กว่าเขาจะสงบจิตใจได้อีกครั้ง ทางซย่าน่าก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาอีกคน
การอัพเกรดของซย่าน่าค่อนข้างซับซ้อนกว่า สถานการณ์ของเธอกับอวี๋ซือหรานค่อนข้างเหมือนกัน เพราะพวกเธอต้องวิวัฒนาการพร้อมกัน “สองคน”
ตอนนี้เฮยน่ารับหน้าที่ดูแลร่างหลัก ส่วนร่างดวงจิตอย่างน่าน่าก็ได้แยกร่างออกมา
เงาร่างหนึ่งดำหนึ่งแดง หนึ่งจริงหนึ่งปลอมยืนอยู่ด้วยกัน และทั้งสองก็กำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
ร่างดวงจิตได้รับผลกระทบด้านวิวัฒนาการมาจากร่างหลัก ความจริงทั้งสองเชื่องโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่ความรู้สึกของร่างดวงจิตน่าน่าและร่างหลักเฮยน่า กลับแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
สิ่งที่น่าน่าต้องเผชิญ คือการเปลี่ยนแปลงด้านดวงจิต และเฮยน่าต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
แต่การทำอย่างนี้ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาอะไร กลับกันยิ่งเป็นการกระตุ้นพวกเธอรุนแรงกว่าเดิม
“อดทนไว้นะ อีกครึ่งหนึ่งของฉัน” ตอนนี้ “ร่างกาย” ของร่างดวงจิตน่าน่าสั่นไหวไม่หยุด ขณะเดียวกันก็ตะโกนก้องในใจขึ้นมา
ตอนแรกร่างหลักที่ถูกเฮยน่าควบคุมไว้ยกมือทั้งสองข้างตะครุบผนัง เล็บมือที่คมดั่งมีดข่วนผนังจนเป็นรอยขึ้นมาสิบรอย พอได้ยินประโยคนี้ นึกไม่ถึงว่าเธอจะได้สติขึ้นมาชั่วคราว
“ใช่แล้ว ร่างดวงจิตน่าน่าทีสัญชาตญาณมนุษย์ ดังนั้นเธอจะไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกปลุกสัญชาตญาณซอมบี้ มีเธอคอยช่วยเหลือตัวเอง ซย่าน่าก็ไม่มีปัญหาแล้ว…”
หลิงม่อผ่อนลมหายใจ ไม่ว่าจะก้าวข้ามสำเร็จหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ยังมีวัฒนาการด้านอื่นๆ บ้าง
เขาลองสัมผัสรู้ด้านเฮยซือ สิ่งมีชีวิตลึกลับตัวนี้ที่ไม่อาจเรียกว่าเป็นสุนัขกลายพันธุ์ได้อีกแล้ว ตอนนี้กำลังวิวัฒนาการไปพร้อมกับอวี๋ซือหราน ร่างร่วมของมัน
วิวัฒนาการของเฮยซือนั้นแปลกประหลาดมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น
นอกเหนือจากรับรู้ว่าสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงมีอยู่ ก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก
ทว่าหลิงม่อเดาได้เลยว่าตอนนี้ในห้องห้องนั้น จะต้องมีหนอนดักแด้ตัวใหญ่อยู่แน่นอน
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หลิงม่อได้มีภูมิต้านทานต่อการกลายพันธุ์ประหลาดๆ ของเฮยซือแล้ว
เขาถึงกระทั่งอดคิดไม่ได้ว่า ครั้งนี้ไม่รู้จะแปลกและพิสดารขนาดไหน…
และสุดท้ายเมื่อหลิงม่อพุ่งสมาธิไปทางเย่เลี่ยน เขากลับนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
นี่มัน…
เขาลุก “พรวด” แล้วจ้ำเท้าไปที่ประตูห้องเย่เลี่ยน จากนั้นก็เปิดประตูทันที
แสงสว่างที่ส่องเข้ามาในห้องพร้อมกับการปรากฏตัวของหลิงม่อ สาดใส่ร่างของเย่เลี่ยนพอดี
เธอยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้าหลับตา ท่าทางเหมือนกำลังซึมซับความสดชื่นจากสายลมแผ่วเบา
ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างของเธอแบออก นิ้วมืองอเข้าหากันเล็กน้อย ถึงแม้ดูเรียวยาวและบอบบาง แต่พลังอันมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในนิ้วมือเหล่านั้น กลับทำให้รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบได้เป็นอย่างดี
กลิ่นอายเชื้อไวรัสเข้มข้นลอยโชยอยู่รอบตัวเย่เลี่ยน ตอนนี้ เธอดูเหมือนส่วนผสมอันแปลกประหลาดแต่ลงตัวระหว่างความบ้าคลั่งและความงดงามอ่อนช้อย
ทั้งสามารถรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตของซอมบี้จากตัวเธอ แต่พอมองดวงหน้าอันสงบนิ่ง และท่วงท่าอันเป็นธรรมชาติแต่กลับเต็มไปด้วยความสวยงามของเธอ ก็ทำให้รู้สึกอีกว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวหน้าตาสะสวยธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
การผสมผสานที่ขัดแย้งกันอย่างนี้พอมาอยู่บนตัวเธอ มันกลับไม่ได้ดูแปลกแยกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม หลิงม่อถึงขั้นตะลึงงันไปทันทีด้วยซ้ำ
ไม่รู้เพราะอะไร สีหน้าท่าทางของเย่เลี่ยนในตอนนี้ ทำให้หลิงม่อรู้สึกเหมือนเธอไม่ใช่ซอมบี้ทั่วไปอีกแล้ว แต่กลับเป็นซอมบี้อีกแบบหนึ่งที่มีสติปัญญาที่แท้จริง รู้จักคิด แล้วเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์จริงๆ มากกว่า…
“หรือว่า…”
หลิงม่อจ้องเย่เลี่ยนตาไม่กระพริบ
ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง แตกต่างจากเย่เลี่ยนที่อยู่ในความสงบนิ่ง
กังวล ตื่นเต้น…
เขากลั้นหายใจ รอลุ้นผลอย่างทรมานใจ
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่…เขาก็ยังหวังว่าตัวเองจะเดาถูก!
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเย่เลี่ยนก็ค่อยๆ ก้มหน้าลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นช้าๆ
เสี้ยววินาทีที่เธอลืมตา แวบหนึ่งหลิงม่อรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวจ้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น
แรงกดดันมหาศาลโจมตีหัวใจเขาอย่างแรง หลิงม่อกระทั่งค้นพบอย่างน่าตกใจ ว่ตัวเองขยับตัวไม่ได้แล้ว!
ไม่ ไม่ใช่ใช่ขยับไม่ได้ แต่เป็นเพราะกดดันมากเกินไป โดยรู้สึกว่าหากขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกฉีกร่างในชั่วพริบตา
ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ แต่พอหลิงม่อได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง บนหน้าผากก็มีแต่เหงื่อเต็มไปหมด
“ฟู!”
หลิงม่อถอนหายใจยาวๆ
ความอันตรายที่เขาสัมผัสได้จากตัวเย่เลี่ยนเมื่อกี้ น่ากลัวมากจริงๆ!
ไม่เพียงเท่านี้ ถึงแม้สีหน้าท่าทางและรูปลักษณ์ภายนอกของเย่เลี่ยนเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่หลิงม่อกลับรู้สึกว่า สายตาเหม่อๆ ของเธอคู่นั้นมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
ในดวงตาสีแดงคู่นั้นของเธอ มีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา…
แต่ว่า แล้วอะไรล่ะที่เพิ่มขึ้นมา?
ตอนนี้หลิงม่อไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าใกล้ เขารู้สึกได้ว่า วิวัฒนาการของเย่เลี่ยนยังไม่เสร็จสมบูรณ์!
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้ต่างหากที่เป็นช่วงเวลาสำคัญของเธอ!
เชื้อไวรัสจะสามารถกระตุ้นไวรัสนางพญาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และวิวัฒนาการจนสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับก้าวนี้แล้ว!
แม้เย่เลี่ยนจะลืมตาแล้ว แต่เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
เดิมดวงตาของเธอเหมือนซอมบี้ชนชั้นสูงทั่วไป ซึ่งก็คือแดงขาวแยกชัด
แต่เวลานี้ ดวงตาของเย่เลี่ยนกลับแดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดย้อยออกมา ยิ่งไปกว่านั้น สีของมันก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของหลิงม่อ ดวงตาของเย่เลี่ยนค่อยๆ กลายเป็นสีแดงอมม่วง ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ชวนให้ขนลุกซู่
ขณะเดียวกัน ร่างกายของเธอพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว ริมฝีปากเปิดออกเล็กน้อย พร้อมกับเปล่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “อ๊ะ!”
เสียงไม่ดัง แต่นั่นกลับทำให้หลิงม่อยืนเกร็งไปทั้งตัวทันที
เสียงคำรามของสัตว์ดุร้ายนั้นมีความแตกต่างกัน สัตว์ร้ายที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นหวาดกลัวมากที่สุด ก็คือเสียงคำรามดุดันของเสือและสิงโต
และเสียงร้องของเย่เลี่ยน ก็คล้ายๆ กัน…
สิ่งที่ไม่เหมือนคือ เสียงของเธอนุ่มนวลและน่าฟังกว่ามาก
สามารถใช้เสียงอย่างนี้สร้างเสียงคำรามที่ทำให้คนขนลุกได้ ก็มีแค่เผ่าพันธุ์ซอมบี้นั้นที่จะทำได้…
เสี้ยววินาทีที่เธอร้องลั่นออกมา หลิงม่อก็ครางเจ็บปวดออกมาอย่างทนไม่ไหวเช่นกัน
ไม่เพียงผลกระทบที่ส่งต่อกันก่อนหน้านั้นเท่านั้นที่ชัดเจนขึ้นหลายเท่า ความรู้สึกคลุ้มคลั่งที่ถูกหลิงม่อกดข่มไว้ตลอดเวลา ได้พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมต้องเป็นเวลานี้ด้วย…ยัยแม่หม้ายดำนั่น!”
ดวงตาของหลิงม่อพลันพร่ามัว หากไม่ใช่ว่าเขากัดฟันอดทน ตอนนี้คงจะล้มพับไปแล้ว
ท่ามกลางความทรมาน เขามองเห็นภาพที่เย่เลี่ยนเดินเข้ามาหาตัวเองรางๆ
ดวงหน้างามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ สัมผัสนุ่มๆ และเย็นเฉียบก็ได้ประกบเข้าที่ริมฝีปากหนาของเขา
“หื้ม?”
หลิงม่อเบิกตากว้าง ซอมบี้ที่ควรจะสูญเสียสติปัญญาในระหว่างวิวัฒนาการ ทำไมถึงกลายเป็นฝ่ายชิงจูบเขาก่อนล่ะ?
—————————————————————————–
บทที่ 670 อย่าเพิ่งมาน้ำลายไหลเอาตอนนี้สิ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางความอึ้ง หลิงม่อรู้สึกเพียงว่าสัมผัสเย็นๆ นั่นได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดหลิงม่อก็ตื่นจากภวังค์งุนงง
สมองเขาตื่นตัวขึ้นมาก อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็น้อยลงมาก
แม้แต่ผลข้างเคียงที่ราชินีแมงมุมทิ้งไว้ให้ ก็ทุเลาลงมากภายในชั่วพริบตา
พอลืมตา เขาก็สบเข้ากับดวงตาสีนิลที่ดูเหม่อลอยเล็กน้อย แต่กลับทำให้คนใจสั่นของเย่เลี่ยนเข้าพอดี
“คือว่า…”
หลิงม่ออึ้งงันไปครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็ได้สติ
เขาจับไหล่เย่เลี่ยนแน่น แล้วพยายามควบคุมความปรารถนาอันแรงกล้า เพื่อจะสงบจิตอย่าสุดความสามารถ “นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?”
เย่เลี่ยนกระพริบตาปริบๆ เอียงคอ “หือ? อะ…อะไร…”
เอ๋?!
หลิงม่ออึ้งไปอีกครั้ง ยังติดอ่างอยู่เลยนี่?
ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ข้อบกพร่องด้านสรีระ แต่กลับเป็นการแสดงให้เห็นว่าความคิดและการตอบสนองไม่เป็นหนึ่งเดียวกันมากพอ
หรือพูดตรงๆ ก็คือ เธอตอบสนองค่อนข้างช้า…
แต่ว่า…
“เด็กโง่ เธอวิวัฒนาการแล้ว ใช่ไหม?”
สายตาคาดหวังของหลิงม่อจับต้องไปที่เย่เลี่ยนเขม็ง ขณะเดียวกันนั้นเขาก็เขย่าแขนแล้วถามขึ้น
เย่เลี่ยนตัวสั่นเพราะแรงเขย่า แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสา “ไม่…ไม่ล้มหรอก…”
“เราไม่ได้กำลังเล่นตุ๊กตาล้มลุกกันอยู่นะ!” หลิงม่อตบหน้าผากตัวเองดังป๊าบ
ในเมื่อถามแล้วไม่ได้เรื่อง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องตรวจดูด้วยตัวเอง
หลิงม่อดึงตัวเย่เลี่ยนให้หันซ้ายหันขวาเพื่อสังเกตดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ และเย่เลี่ยนเองก็หมุนตัวตามเขาอย่างว่าง่าย
ดูแค่ภายนอก ยังดูอะไรไม่ออก…
ความจริงแล้ว มีสองเรื่องที่หลิงม่อค่อนข้างใส่ใจเป็นพิเศษ
หนึ่งคือ คลื่นดวงจิตของเย่เลี่ยน เนื่องจากพวกเขามีสายสัมพันธ์ทางจิตเชื่อมกันอยู่ ดังนั้นจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างตอนที่เขาใช้พลังสำรวจกับซอมบี้เจ้าเมืองพวกนั้นแน่ แต่ก็มีจุดที่คล้ายกันอยู่บ้าง
อย่างเช่นตอนที่หลิงม่อรวบรวมสมาธิไม่พอ ก็จะรู้สึกได้ว่าด้านนอกดวงแสงแห่งจิตของเย่เลี่ยน เหมือนมีม่านบางๆ กั้นอยู่ ทำให้เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงคลื่นดวงจิตของเย่เลี่ยน
ส่วนอีกเรื่องคือ ดวงตาของเย่เลี่ยน
ถึงแม้จะยังคงดูเลื่อนลอยเหมือนเดิม แต่ในความเหม่อลอยนั้น กลับมีบางอย่างซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ชัด…
แต่การแสดงออกของเย่เลี่ยน กลับทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก
“ตกลงว่าก้ามข้ามแล้ว หรือยังไม่ก้าวข้ามกันแน่ล่ะเนี่ย?”
นอกจากปัญหานี้แล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่กวนใจหลิงม่อก็คือ ทั้งที่เย่เลี่ยนมีระดับวิวัฒนาการที่ต่ำที่สุด แต่ทำไมพอถึงเวลาอย่างนี้ เธอกลับเป็นคนแรกที่ก้าวเหยียบธรณีประตูระดับเจ้าเมืองกันล่ะ?
“อาจเป็นเพราะยังอยู่ในระหว่างวิวัฒนาการก็ได้มั้ง…”
หลิงม่อครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปที่พวงแก้มเย่เลี่ยน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นค่อนข้างกะทันหัน อีกอย่างสายตาของหลิงม่อก็แปรเปลี่ยนเป็นแหลมคมในชั่วพริบตา
เย่เลี่ยนหันหน้าหนีไปอีกทางแทบจะทันทีอย่างเป็นธรรมชาติ
“ตามคาด!”
หลิงม่อที่กำลังตื่นเต้นไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ฝ่ามือที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศพลันพุ่งลงไปที่ไหล่ของเย่เลี่ยนทันที “ระวังเท้า!”
เย่เลี่ยนที่กำลังจดจ่ออยู่กับฝ่ามือของหลิงม่อ พอได้ยินเขาตะโกนออกมาอย่างนี้โดยไม่ทันตั้งตัว เธอก็ก้มหน้ามองทัน “ห๊ะ?”
“มีช่องโหว่แล้ว” หลิงม่อยกยิ้มมุมปาก นิ้วมือของเขาใกล้จะแตะโดนหัวไหล่ของเย่เลี่ยนเต็มที
หลังจากก้มหน้า เย่เลี่ยนกลับพบว่าไม่มีอะไร แล้วเธอก็รู้ตัวทันทีว่าถูกหลอก
ศักยภาพร่างกายของหลิงม่อไม่เลว การตอบสนองด้านดวงจิตยิ่งยอดเยี่ยมกว่า คราวนี้หากเป็นซอมบี้ชนชั้นสูงต้องหลบไม่ได้แน่ อย่างน้อยก็ต้องมีเฉียดๆ บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่เย่เลี่ยนเงยหน้าขึ้น หลิงม่อยังโน้มตัวไปข้างหน้ากะทันหัน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ถึงการตอบสนองจะเร็วอีกแค่ไหนก็ต้องมีชะงักไปซักศูนย์จุดวินาทีบ้างล่ะ และในเสี้ยววินาทีนั้น ก็มากพอที่จะทำให้การ “จู่โจม” ของหลิงม่อสำเร็จลุล่วง
พลังจิตได้รับการอัพเกรด บวกกับเมื่อกี้ศักยภาพร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน หลิงม่อรู้สึกว่าการตอบสนองทางร่างกายและดวงจิตของตัวเองสามัคคีกันมากขึ้นแล้ว
อย่างน้อย เขาก็เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและลื่นไหลกว่าเมื่อก่อนมาก
ความแตกต่างนี้ คนรอบข้างอาจไม่รู้สึก แต่พอมายืนอยู่ในมุมมองของหลิงม่อ ก็จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมาก
ในขณะที่ปลายนิ้วมือใกล้จะแตะโดนร่างกายของเย่เลี่ยน ม่านตาของเย่เลี่ยนกลับหดตัวทันใด จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายตัวอีกครั้ง เหมือน “ภาพลานตา” อย่างไรอย่างนั้น
แล้วทันใดนั้น เธอก็เบี่ยงตัวหลบออกไปด้านข้างในมุมที่พลิกแพลงสุดๆ และนึกไม่ถึงว่ามือของหลิงม่อจะโจมตีพลาดจริงๆ
“เอ๋?”
หลิงม่อตะลึงค้าง ถึงแม้เขาจะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น และตามความเร็วของเย่เลี่ยนทัน แต่เขากลับจัดการกับการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ทัน
เย่เลี่ยนเลือกมุมที่เขาคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย เพื่อหลบการจู่โจมของเขาจนสำเร็จ
นี่แหละคือการหลบที่สมบูรณ์แบบ 100%!
ถึงแม้หลิงม่อจะรู้ว่าตัวเองต้องคว้าพลาดแน่นอน และเขาก็มีเวลาเปลี่ยนท่าโจมตีต่อ แต่ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ กลับไม่สามารถจัดท่าโจมตีไปตามทิศทางที่เย่เลี่ยนหลบได้
ถ้าเป็นเวลาปกติ หลิงม่อจะคิดว่านี่เป็นเพียงความบังเอิญ
แต่เมื่อกี้เขาเห็นดวงตาของเย่เลี่ยนอย่างชัดเจน…
นี่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการด้านดวงตาหรือเปล่า?
ซอมบี้ไม่เหมือนกับผู้มีความสามารถพิเศษ การกลายพันธุ์เฉพาะส่วนของซอมบี้ไม่ใช่ว่าอวัยวะส่วนนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอด เมื่อวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าสุดท้ายอาจกลายเป็นอวัยวะที่แตกต่างไปจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้
ถึงแม้หลิงม่อจะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่พอเห็นซอมบี้สาวข้างกายตัวเองมีการกลายพันทางด้านร่างกายเข้าจริงๆ เขาก็ยังคงรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่ดี
“พี่หลิง…พี่หลอกฉันทำไม…” เย่เลี่ยนเบ้ปากเล็กน้อย
“ระดับเจ้าเมือง…”
หลิงม่อกลับเข้าสู่ภวังค์ช็อกค้างไปเรียบร้อยแล้ว กว่าเขาจะได้สติก็ผ่านไปครู่ใหญ่ แล้วจู่ๆ เขาก็ดึงตัวเย่เลี่ยนเข้าไปกอด
“เด็กโง่!”
หลิงม่อมีคำพูดมากมายล้นอยู่ในใจ แต่พอมาถึงริมฝีปาก สิ่งที่พูดออกมา กลับมีแค่สองคำนี้
เย่เลี่ยนเกยคางไว้บนไหล่หลิงม่อ เธอเบิกตากว้าง แล้วจ้องไปข้างหน้า
เธอนิ่งอยู่อย่างนั้นไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยยกมือขึ้นช้าๆ แล้วตบเบาๆ บนแผ่นหลังกว้างของหลิงม่อ
“ฟืดด~~”
เย่เลี่ยนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วมุดหน้าลงกับหัวไหล่หลิงม่ออย่างตะกละ
ช่วงเวลานี้เหมือนแสนสั้น แต่ก็เหมือนดำเนินไปอย่างยาวนานเช่นกัน
จนกระทั่งหลิงม่อรู้สึกเหมือนไหล่ตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ จึงปล่อยเย่เลี่ยนออก แล้วยกมือขึ้นเช็ดปากเธอเบาๆ พร้อมหัวเราะบอกว่า “อย่ามาน้ำลายไหลใส่ฉันตอนนี้สิ…”
ขณะเดียวกัน ดวงตาทั้งคู่ของเขากลับจ้องเย่เลี่ยนอยู่อย่างนั้นไม่วางตา
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ตอนนี้พอมองดูเย่เลี่ยน แทบไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเลย…
ทว่าถึงอย่างไรคำว่า “แทบ” ก็หมายความว่าไม่ใช่ทั้งหมด หากมองดูดีๆ ก็จะสังเกตเห็นจุดที่ทำให้คนตาลายได้เหมือนกัน
และนี่ก็คือจุดที่แตกต่างกันที่สุดของซอมบี้และผู้มีความสามารถพิเศษ ผู้มีความสามารถพิเศษนั้นเวลาไม่ใช้พลัง จะดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา และการใช้พลังก็เกิดขึ้นเพียงเวลาสั้นๆ
ในสภาวะปกติ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อที่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายระเบิดออกมาในพริบตา หรือพลังจิตที่อยู่ในสมองของผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตก็ตาม ล้วนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่การกลายพันธุ์ของซอมบี้ กลับปรากฏอยู่บนสรีระร่างกาย ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังแสดงให้เห็นอยู่อย่างนั้น
“โชคดีที่ไม่ได้สะดุดตาขนาดนั้น…”
หลิงม่อมองซ้ายมองขวา แล้วก็แอบถอนหายใจโล่งอกเบาๆ
เขาเคยลองจินตนาการถึงสถานการณ์ต่างๆ นานา แต่เหตุการณ์ตรงหน้ากลับดีกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก
“แต่ว่าการกลายพันธุ์อย่างนี้เกิดขึ้นจากอะไร? การสุ่มของเชื้อไวรัส? หรือว่า…”
หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วทันใดนั้นเขาก็คิดออก
หรือเป็นเพราะปกติเย่เลี่ยนมักใช้ปืนไรเฟิลตลอดงั้นหรือ?
ไม่ว่าเธอจะยิงปืนแม่นแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยดวงตาในการเล็งเป้า
เมื่อใช้การมากเข้า สัญชาตญาณเลยเลือกส่วนนี้อย่างนั้นหรอ?
มีความเป็นไปได้ เพราะถึงอย่างไรการอัพเกรดการกลายพันธุ์ทั้งหมดก็เพื่อวิวัฒนาการต่อไป
และการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ ก็เพื่อเพิ่มอัตราการอยู่รอดและอัตราการแข่งขันให้สูงขึ้น
“ใช่แล้ว เป็นอย่างนี้แหละ…”
หลิงม่ออดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาดึงตัวเย่เลี่ยนให้หันซ้ายหันขวาเพิ่งสังเกตอีกหนึ่งรอบ “ตั้งชื่อว่าอะไรดี? ดวงตาละลานชวนหลงใหล? ดวงตาละลาน?”
“ไม่…ไม่เอา” เย่เลี่ยนรีบส่ายหน้าแรงเหมือนกลองป๋องแป๋ง
แม้มองจากมุมมองสุทรียศาสตร์ของซอมบี้ ชื่อนี้ก็ยังน่าเกลียดเกินทน!
ไม่นึกเลยว่าความสามารถในการตั้งชื่อของตัวเองจะถูกเย่เลี่ยนผู้มีหน้ามึนที่สุดดูถูกซะแล้ว หลิงม่อถึงกับกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก…
“ถ้างั้นก็ได้…ค่อยคิดอีกทีแล้วกัน แต่ดวงตานี่ หลักๆ แล้วสามารถมองเห็นได้ทุกองศา และเลือกองศาที่เหมาะสมกับเธอมากที่สุดอย่างรวดเร็วใช่ไหม?” หลิงม่อถามหยั่งเชิงอีกครั้ง
เย่เลี่ยนทำหน้ามึนพร้อมครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ
“จริงด้วยสินะ…” หลิงม่อมองเธออย่างครุ่นคิด ตอนนี้เขาได้เห็นความสามารถในการหลบหลีกของดวงตาคู่นี้แล้ว แต่ด้านการโมตีจะเป็นอย่างไรกลับยังไม่แน่ใจ
แต่ช่วงเวลานี้ไม่ใช่โอกาสดีในการทดลอง เย่เลี่ยนนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีซอมบี้หญิงอีกสามตัวและสัตว์กลายพันธุ์พ่วงมาอีกหนึ่งตัวที่ยังคงพยายามอัพเกรดกันอย่างยากลำบากอยู่ในห้อง
—————————————————————————–
บทที่ 671 นี่เป็นความลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าพวกเธอจะเป็นยังไงบ้าง…”
หลิงม่อหันหลังไปมอง แล้วหันกลับมามองเย่เลี่ยนอีกครั้ง
สิ่งที่เขาสนใจ คือดวงตาคู่นั้นของเธอ
ความจริงสิ่งที่หลิงม่อพูดไปเมื่อกี้ เป็นเพียงสถานการณ์คร่าวๆ หลังจากที่จิตใจสงบลงแล้ววิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง ก็ได้ใจความว่าดังนี้—
ดวงตาทั้งคู่ของเย่เลี่ยน เหมือนเลนส์กล้องที่สามารถซูมเข้าซูมออกได้ตามสถานการณ์
ขอเพียงอยู่ในครรลองสายตาของเธอ หรือการโจมตีที่อยู่ในขอบเขต 180 องศา เธอล้วนสามารถจับจุดรายละเอียดและองศาได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นจึงทำให้เธอสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำที่สุด
แน่นอนว่านั่นคือมโนภาพที่สูงสุด จากการพิสูจน์ดูของหลิงม่อเมื่อกี้ ถึงแม้เขาจะวิเคราะห์ได้ถึงขั้นนี้ แต่กลับรู้ว่าปัจจุบันเย่เลี่ยนยังทำได้ไม่ถึงขั้นนั้น
แต่ถึงอย่างไรเธอก็เพิ่งก้าวข้ามผ่านชนชั้นสูงมา ยังมีเวลาให้พัฒนาอีกมาก
“เอาล่ะ พักผ่อนก่อนเถอะ ตอนนี้เธอต้องทำจิตใจให้มั่นคงก่อนนะ”
หลิงม่อประคองเย่เลี่ยนไปหาที่นั่งพัก แต่ทันใดนั้น หางตาเขากลับเหลือบไปเห็นอะไรสีขาวๆ
เขาชะงักเท้าทันที แล้วหันไปมองตรงนั้นอย่างสงสัย
อาจเป็นเพราะเมื่อกี้ระหว่างที่พิสูจน์กัน เย่เลี่ยนเคลื่อนไหวตัวค่อนข้างมาก ดังนั้นของสิ่งนี้จึงโผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อเธอครึ่งหนึ่ง
มองแวบแรก เหมือนจะเป็นสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ
นั่นทำให้หลิงม่อถึงกับตะลึงไปทันที หากเจอก้อนเหนียวหนืด กระทั่งเศษเนื้อ หรือไม่ก็สิ่งของแปลกประหลาดอย่างอื่นในกระเป๋าเสื้อซอมบี้ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก
แต่ดันเป็นสมุดบันทึก นี่มันออกจะ…
ถ้าสมุดเล่มนี้อยู่กับซย่าน่า หลิงม่อก็ยังพอทำใจให้เข้าใจได้บ้าง
แต่สมุดเล่มนี้กลับมาอยู่กับเย่เลี่ยนเนี่ยนะ!
เย่เลี่ยนเห็นสีหน้าหลิงม่อแปลกไป ตอนแรกก็มองหน้าเขาอย่างงงๆ จากนั้นก็มองตามสายตาของเขาลงมาที่ร่างกายตัวเอง
“ว๊าย!”
เย่เลี่ยนรีบปิดกระเป๋าตัวเองทันที
“นั่นอะไร?”
หลิงม่อยังคงอยู่ในภวังค์ตกตะลึง แต่อย่างน้อยก็ยังมีสติมากพอที่จะถามออกไป
เขาเบิกตากว้างจ้องเย่เลี่ยน เย่เลี่ยนเองก็เบิกตากว้างจ้องมองเขา
ทั้งสองมองตากันครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดเย่เลี่ยนก็เป็นฝ่ายพูดก่อน
เธอยังคงกุมกระเป๋าเสื้ออยู่อย่างนั้น แล้วเลียปากแผล็บๆ จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเชื่องช้า “คะ…ความลับ…”
“ห๊ะ?” หลิงม่ออึ้งค้างไปอีกรอบ
แต่อึ้งก็ส่วนอึ้ง พอได้สติกลับคืนมา หลิงม่อกลับยิ้มแล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้ดีๆ เมื่อกี้เกือบตกแล้ว”
พูดไป เขาก็แอบชำเลืองมองผ่านกระเป๋าเสื้อที่ถูกเย่เลี่ยนกุมไว้แน่น
น่าสงสัยจริงๆ…
“ถ้า…ถ้าหาก” จู่ๆ เย่เลี่ยนก็พูดขึ้น “ถึง…เวลา จะเอาให้พี่…ดู”
“ได้สิ” หลิงม่อพยักหน้า
“อื้ม!” เย่เลี่ยนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พร้อมกับพยักหน้าแรงๆ
หลังจากบอกให้เย่เลี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ เสี่ยวป๋าย หลิงม่อก็เริ่มเดินไปเดินมาอย่างอยู่ไม่สุข
“ไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว…”
………..
ขณะเดียวกัน ณ ถนนสี่แยกที่ห่างออกไปหลายพันเมตร
ที่นี่เต็มไปด้วยกองซากรถยนต์ที่ชนกันเอง บนแผ่นป้ายบอกทางถนนหลวงที่ขึ้นสนิม ยังสามารถมองเห็นชื่อสถานที่ได้อย่างชัดเจน : เมืองชุ่ยหู เดินหน้าอีก 35 กิโลเมตร
และรอบๆ ซากรถยนต์เหล่านั้น ก็มีซอมบี้หลายสิบตัวกำลังเดินวนเวียนไปมา
ในป่าสีเขียวข้างทางก็มีเงาร่างของซอมบี้พุ่งผ่านเป็นครั้งเป็นคราว ด้านหลังหญ้ารกและกิ่งไม้รุงรังเหล่านั้น บางครั้งก็ยังบังเอิญเหลือบเห็นประกายสีแดงอันดุดันเหล่านั้น
ถนนทั้งเส้นบรรยากาศเงียบกริบ ราวกับว่าซอมบี้ทุกตัวกำลังเดินร่อนเร่ไปมาอยู่ในฉากหนังใบ้อย่างไรอย่างนั้น
แต่หนังใบ้เรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยความน่ากลัวและความประหลาด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยว หรือดวงตาแดงเลือดอันดุร้ายเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและติดขัดเหมือนหุ่นยนต์ของพวกมัน ล้วนเต็มไปด้วยรังสีเข่นฆ่าทั้งนั้น
“โครม!”
ทันใดนั้น เงาร่างของใครคนหนึ่งก็กระโดดลงมาจากข้างบน
ขณะเดียวกับที่ขาทั้งสองข้างเหยียบหลังคาซากรถยนต์ สายไฟที่ถูกกระชากจนขาดก็ตกลงบนพื้น ส่งเสียงดัง “เพี๊ยะ”
ขณะเดียวกัน พอสายไฟฟาดพื้น เศษดินและฝุ่นก็คลุ้งกระจายขึ้นมาอีกระลอก
ซอมบี้ตัวหนึ่งเพิ่งจะหันหน้ามา เงาร่างนั้นก็พุ่งเข้าไปหามันทันที
ซอมบี้ตัวนี้ถูกโบกจนปลิวออกไปกระแทกเข้ากับกระถางดอกไม้ข้างทางดัง “โครม”
คราบเลือดปรากฏบนกระถางดอกไม้…
แต่กลับไม่มีซอมบี้ตัวไหนขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
สัตว์ร้ายเหล่านี้ที่พอเห็นสิ่งมีชีวิตและเลือดเนื้อเมื่อไหร่ก็จะเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งทันที เวลานี้กลับยืนอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน
ในดวงตาดุร้ายของพวกมัน สัมผัสได้ถึงความเกรงกลัวรางๆ
“พลั่ก!”
เงาร่างที่อยู่บนหลังคารถกระโดดลงมาอย่างสง่างาม จากนั้นก็พุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หลังจากกระโดดผ่านระยะทางสิบห้าเมตรอย่างสบายๆ เงาร่างนี้ก็ยกมือขึ้นยันรั้วกั้นแล้วตีลังกาข้ามไป จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนพื้นข้างถนน
ต่อมา เมื่อเงาร่างเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง ก็กำลังมองไปยังสุดถนนอีกฝั่งหนึ่ง
และบนศีรษะของเงาร่างนี้ ก็มีแผ่นป้ายบอกทางห้อยอยู่ : ด้านหน้า ถนนใหญ่ใจกลางอำเภอซินหลาน
“อึกอึก…”
เสียงที่เหมือนทั้งกำลังหัวเราะ และเหมือนกำลังแค่นเสียงเย็นในเวลาเดียวกัน ถูกเปล่งออกมาจากลำคอของเงาร่าง
“วูบ!”
เสียงยังไม่ทันจบ เงาร่างก็ได้พุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้ว
เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง จนกระทั่งมองเห็นได้เพียงเงารางๆ เงาร่างนี้กำลังพุ่งผ่านกระถางดอกไม้ และซากรถยนต์ไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนน โดยทำเหมือนสิ่งกีดขวางเหล่านี้ไร้ตัวตน…
“เฮ้อ…”
หลิงม่อกอดอกเดินไปเดินมา แล้วสุดท้ายก็เดินมาตรงหน้าประตูร้าน พร้อมทอดมองออกไปข้างนอก
ที่นี่คือซอยเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับถนนเส้นหลักที่อยู่ข้างนอกนั่น ร้านค้าน้อย ซอมบี้ก็น้อยด้วย
เหล่าซอมบี้ที่มีจำนวนไม่มากอยู่แล้วถูกลากไปกองรวมกันในร้านค้าแห่งหนึ่ง และประตูร้านค้าก็ยังถูกหลิงม่อเอาเสื้อผ้าเห่าอุดรูไว้ด้วย
เขาไม่รู้ว่าวิวัฒนาการของเหล่าซอมบี้สาวจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อย่างไรก็ระวังไว้ก่อนดีกว่า
ทว่าโชคดี ที่การล่าเหยื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ปลอดภัยมาโดยตลอด
และเมื่อกี้ตอนที่เย่เลี่ยนก้าวข้ามสู่ระดับเจ้าเมือง ก็ไม่ได้มีอุบัตอะไรเหตุเกิดขึ้น…
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนขมับถูกกระตุกหนึ่งครั้ง
“หื้ม?”
เขาลองสัมผัสรู้ดูอย่างละเอียด แต่กลับไม่พบอะไร
ประตูห้องเหล่านั้นยังคงปิดสนิทดังเดิม ความรู้สึกกะทันหันเมื่อกี้ก็ไม่เหมือนผลข้างเคียงที่เกิดจากการอัพเกรดของพวกเธอด้วย…
และในตอนที่หลิงม่อตัดสินใจจะเดินไปตรวจสอบดู เขากลับต้องชะงักเท้าทันที
เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาจากหน้าผากของเขา
“อย่าขยับ”
หลิงม่อเหลือบมองไปทางเย่เลี่ยนกับเสี่ยวป๋ายด้วยหางตา แล้วพูดเสียงเบา
“อย่าหันไป”
เขากำชับเสริมอีกรอบ
เย่เลี่ยนที่กำลังจะหันกลับไปมองตามจิตใต้สำนึกพลันนิ่งไปทันที แต่ในวินาทีนี้ ดวงตาของเธอได้กลายเป็นสีแดงขาวไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนเสี่ยวป๋ายยังคงนอนหมอบอยู่กับพื้นทั้งตัว หากมองดูดีๆ จะเห็นว่าตัวมันกำลังสั่นเบาๆ
เหงื่อเย็นซึมจนแผ่นหลังเปียกชุ่ม หลิงม่อรู้สึกได้ถึงความเกร็งของร่างกาย รวมถึงอาการตัวสั่น
“ทำไม? ทำไมถึงสัมผัสอะไรไม่ได้เลยล่ะ?”
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังสัมผัสไม่ได้
แต่ความรู้สึกอันตรายนี้ หลิงม่อผู้ที่ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วนกลับไม่มีทางสัมผัสพลาดอย่างแน่นอน
เขากลั้นหายใจ แล้วค่อยๆ หมุนตัวช้าๆ แล้วเบนสายตามองไปยังกระจกบานหนึ่งในร้าน
เสี้ยววินาทีที่มองกระจก สายตาของหลิงม่อก็สบเจ้ากับดวงตาคู่หนึ่งพอดี
มันเป็นดวงตาที่หลิงม่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่ใช่สีแดงสด แต่เป็นสีม่วง
เป็นสีม่วงแบบที่น่าหลงใหล ราวกับสีที่เกิดจากเลือดสดๆ มากมายแข็งตัวรวมกัน แล้วถึงจะเกิดสีอย่างนี้ขึ้นมาได้
และสายตานั่น ก็ทำให้หลิงม่อรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แทรกลึกเข้าไปยังกระดูกดำตั้งแต่หัวจรดเท้าทันที
เขาแทบจะรู้สึกถึงความหวาดผวาทันที โดยไม่ทันตั้งตัว
ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเลย!
“หนะ…หนี…”
หลิงม่ออ้าปาก แล้วเค้นคำพูดสองคำออกมาจากลำคออันแห้งผาก
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะยื้อได้นานเท่าไหร่ แต่อย่างน้อย เขาจะปล่อยให้เย่เลี่ยนที่เพิ่งก้าวข้าม และยังมีพื้นฐานไม่มั่นคง ลงมือตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าซอมบี้สาวที่อยู่ในห้องพวกนั้นเลย…
ไม่ หนีไม่ทันแล้ว…
หลิงม่อจ้องดวงตาคู่นั้นอยู่ตลอด และเขาก็รู้สึกได้ว่าดวงตาคู่นั้นก็กำลังจ้องเขาอยู่เหมือนกัน
ทำไมต้องมองเขา? เพราะแปลกใจที่เจอมนุษย์อยู่ท่ามกลางกลุ่มซอมบี้งั้นหรอ?
แค่ดูจากสายตาคู่นั้น หลิงม่อก็มองออกแล้ว ว่าอีกฝ่ายมีสติปัญญา…
“พาพวกเธอหนีไป”
หลิงม่อหอยหายใจหนักหน่วงอย่างยากลำบาก แล้วหมุนกายกลับไปทันที
จะตกใจกลัวเพราะสายตาคู่เดียวไม่ได้ ตอนนี้พลังจิตของเขาพัฒนาขึ้นจนถึงระดับที่แน่นอนแล้ว
ความสามารถในการต้อสู้ครั้งนี้ เขามี!
เสี้ยววินาทีที่เขาหมุนกายหันไป เขาก็อ้าปากตะโกนเสียงดัง “ไป!”
คำสั่งผ่านกระแสจิตพลันถูกส่งออกไปพร้อมกัน เย่เลี่ยนลุกพรวด แต่กลับแสดงท่าทีต่อต้านออกมาทันที
สีหน้าของเธอซีดขาว ดวงตาแดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา นิ้วมืองุ้มเข้าหากันเหมือนกรงเล็บเหยี่ยว
ถูกความรู้สึกอันตรายนี้กดดันจนถูกบังคับให้แสดงสัญชาตญาณออกมา แต่เย่เลี่ยนกลับไม่อยากหนี
—————————————————————————–
บทที่ 672 แข่งฝีปากกับมนุษย์ ไม่เท่ากับรนหาที่?
โดย
Ink Stone_Fantasy
แค่เห็นดวงตาคู่นั้น ก็สามารถมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาในตอนนี้ ก็คือสัตว์ประหลาดในร่างคนที่ถูกกองทัพอากาศบันทึกไว้ในเอกสาร โดยถูกตั้งชื่อชั่วคราวว่า “ซอมบี้ระดับความแกร่งสูงสุด” นั่นเอง
เวลานี้พอมองผ่านกระจก สิ่งที่หลิงม่อเห็นมีเพียงดวงตาคู่เดียว
และเงาร่างที่ดูเหมือนไม่ได้สูงมากนักก็กำลังหันหลังให้กับแสง ทำให้ร่างกายถูกปกคลุมอยู่ในความมืด
ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ?
หลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นพวกเขาเอะอะโวยวายใหญ่โต ก็ไม่เห็นว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะถูกดึงดูดมา แต่ตอนนี้กลับวิ่งมาถึงนี้อย่างเหนือความคาดหมาย…
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพลัง แค่ความสามารถที่หลบเลี่ยงพลังจิตสำรวจของหลิงม่อได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็มากพอที่จะทำให้หลิงม่อระแวดระวังหมื่นส่วนแล้ว
สัตว์ประหลาดนั่นแค่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับสามารถไร้ตัวตนได้เหมือนตอนที่ซอมบี้ตัวอื่นใช้พลังอำพรางกายอย่างไรอย่างนั้น
และสถานการณ์อย่างนี้ หลิงม่อเพิ่งเคยเจอครั้งแรก
“ไปสิ!”
หลิงม่อพยายามส่งสายตาให้เย่เลี่ยน
ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุด ก็คือให้เขาเป็นคนถ่วงเวลา และให้เย่เลี่ยนพาพวกซย่าน่าหนีไป
สู้ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที แต่ความมั่นใจในการเอาชีวิตรอดหลิงม่อยังพอมีอยู่
หากเป็นเมื่อก่อน เย่เลี่ยนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในเวลาแบบนี้
แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ได้สร้างแรงกดดันให้เธออย่างใหญ่หลวงเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้เธอจึงลังเล
ในระหว่างนี้ สัตว์ประหลาดตัวนั้นยังคงจ้องมองมายังหลิงม่ออย่างสงสัย และไม่ขยับเขยื้อนซักนิด ราวกับไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ
“มองจนติดใจรึไง…”
หลิงม่อกำหมัดแน่น แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงเหงื่อที่เปียกชุ่มฝ่ามือ
และในที่สุดเย่เลี่ยนก็เริ่มขยับแล้ว เธอโฉบกาย แล้วพุ่งไปยังบานประตูที่ใกล้ที่สุด
ขณะเดียวกัน เงาร่างในกระจก ก็หายไปพร้อมกัน!
โครม!
เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น หลิงม่อก็ร้องครางออกมา
เขารู้สึกเหมือนถูกไม้เบสบอลฟาดหัวเข้าอย่างจัง ไม่เพียงเจ็บมาก แต่ยังมีเสียง “วิ้งๆๆๆ” ดังอยู่ในหูด้วย สายตาก็พร่ามัวไปทันที
ถึงแม้ว่าสีหน้าจะย่ำแย่ไปทันที แต่หลิงม่อก็ยังรีบหันหลังกลับไป
ตอนนี้ในจุดที่ห่างจากตัวเขาไม่ถึง 30 เมตร เงาร่างเลือนรางนั่น กำลังยืนอยู่ตรงนั้น
มองแวบแรก ทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันโดยมีอากาศคั่นกลางเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่หลิงม่อเห็นใน “ดวงตา” อีกคู่ กลับเป็นภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ตาข่ายสีเลือดซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยหนวดสัมผัสมากมายตรงหน้าเขากำลังสลายหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นาน หนวดสัมผัสอีกหลายเส้นก็พุ่งออกมาจากดวงแสงแห่งจิตของเขา พุ่งเข้าไปเติมเต็มส่วนที่เสียหายด้วยความเร็วที่เท่ากัน
ดวงตาสีดำลึกล้ำคู่หนึ่ง และดวงตาสีม่วงน่าหลงใหลคู่หนึ่ง ถูกคั่นกลางด้วยกลุ่มพลังงานทางจิตขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนม่านหมอกสีแดง
สัตว์ประหลาดตาม่วงถูกต้านทาน แต่ร่างกายยังคงยืดตรงเหมือนแท่งดินสอ ในสายตาพร่าเลือนของหลิงม่อ เขามองเห็นเพียงผมยาวยุ่งเหยิงสยายอยู่ด้านหลังสัตว์ประหลาดตัวนี้
แต่ดวงตาสีม่วงคู่นั้น เขากลับมองเห็นมันอย่างชัดเจน…
“ปึง!”
ตอนนี้เย่เลี่ยนได้ถีบประตูบานหนึ่งออกแล้ว และเข้าไปคว้าตัวหลี่ย่าหลินซึ่งกำลังโฉบเฉี่ยวร่างไปมาไม่หยุดอยู่ในห้องแคบๆ นั้นให้ออกมา
ตอนนี้หลี่ย่าหลินกำลังอยู่ในสภาวะสัญชาตญาณถูกปลุกตื่น ม่านตาสีแดงคู่นั้น ตอนนี้ดูเหมือนดวงตาของงูไปแล้วจริงๆ ไม่เพียงมีประกายเหลืองอำพัน ตรงกลางก็ยังเป็นสีเดียวกันอีกด้วย
การแบ่งสัดส่วนอย่างนี้ ดูประหลาดมาก
และความเร็วในการเคลื่อนไหวของเธอเมื่อกี้ ก็ยังเร็วกว่าปกติถึง 1 – 2 ส่วน ถ้าหากไม่ใช่ว่าดวงตาของเย่เลี่ยนผ่านการกลายพันธุ์มาแล้ว บวกกับขนาดห้องก็เล็กจนน่าสงสาร ไม่แน่เธออาจคว้าตัวหลี่ย่าหลินไว้ไม่ได้
ขณะที่เย่เลี่ยนคว้าตัวเธอ การวิวัฒนาการของหลี่ย่าหลินก็ใกล้จะจบแล้ว
เห็นได้ชัดว่า เธอก้าวข้ามไม่สำเร็จ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ ร่างกายเธอก็มีจุดที่มีพัฒนาการอยู่เหมือนกัน
ทว่าตอนนี้หลิงม่อกลับไม่มีเวลาหันไปดู เขาไม่มีแม้กระทั่งเวลายกมือขึ้นปาดเหงื่อด้วยซ้ำ
ในที่สุดสายตาของสัตว์ประหลาดตาม่วงก็มองผ่านหลิงม่อไปยังหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยน
“อึกอึก…”
หลังเปล่งเสียงหัวเราะอันน่าสยองออกมา สัตว์ประหลาดตาม่วงก็เปล่งเสียงพูดที่ฟังเข้าใจยากออกมาว่า “น่าสนใจ…น่าสนใจมาก”
“เพื่อนตัวน้อยที่เพิ่งวิวัฒนาการสำเร็จว่าน่าสนใจแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังมีเผ่าพันธุ์เดียวกันประเภทนี้อยู่ด้วย หรือเรียกว่ากึ่งเผ่าพันธุ์เดียวกัน?”
เสียงของสัตว์ประหลาดตาม่วงแหบแห้งฟังยาก ไม่แน่ใจว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่ท่ามกลางภาพเลือนรางกลับเผยให้เห็นฟันที่ขาวจนแทบจะส่องประกาย
เห็นได้ชัดว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังหัวเราะ
แต่เพราะภาพที่เห็นนี้ กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกขนลุกแทบจะทั้งตัวแล้ว
น่าสนใจกับผีสิวะ!
คำพูดน่ากลัวขนาดนี้ไม่เห็นจะน่าดีใจเลย!
“แต่ว่า…”
สัตว์ประหลาดตาฟ้ากำลังจะพูดต่อ แต่เย่เลี่ยนกลับถีบประตูอีกหนึ่งบานออก
ซย่าน่าถูกลากออกมาจากห้อง ทว่าตอนนี้คนที่กำลังควบคุมร่างหลัก กลับไม่ใช่ทั้งเฮยน่า และไม่ใช่ร่างดวงจิตน่าน่าด้วย
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ซย่าน่าที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่มีบางจุดที่แตกต่างไปจากเดิม
ดวงตา! เป็นดวงตา!
ดวงตาของซย่าน่าในตอนนี้ ข้างหนึ่งเป็นสีดำ อีกข้างหนึ่งเป็นสีแดง
ตาดำนั้นดูเจ้าเล่ห์ เย็นชา ส่วนตาแดงกลับดูเรียบเฉย และมั่นคง
เหมือนสไตล์ของทั้งสองถูกสับเปลี่ยน แต่กลับเป็นเพราะการสลับสับเปลี่ยนนี้ที่ทำให้รู้สึกน่าดึงดูด
สถานการณ์ของซย่าน่าคล้ายกับหลี่ย่าหลิน และเธอก็ดึงดูดความสนใจของสัตว์ประหลาดตาม่วงเหมือนกัน
สัตว์ประหลาดตัวนั้นเอียงคอทันที รอยยิ้มมุมปากก็ยิ่งดูชัดเจนกว่าเดิม
แต่มุมปากที่แข็งกระด้าง และฟันที่ขาวจนน่ากลัวนั่น กลับดูน่าสยดสยองมากกว่า
“เดี๋ยวนะ…”
ทันใดนั้นหลิงม่อก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติยางอย่าง สัตว์ประหลาดตัวนี้คงไม่ได้กำลังรอให้เย่เลี่ยนพาเหล่าซอมบี้สาวออกมาจนครบทุกตัวหรอกนะ?
ลากออกมาให้มันสังเกต?
ความรู้สึกอย่างนี้มัน…ทำไมเหมือนสั่งอาหารอยู่ในร้านอาหารเลยล่ะ!
ยิ่งความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลิงม่อก็รู้สึกว่าตัวเองจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว
เขากำหมัดแน่นทันที แล้วพลันรวบรวมพลังจิตภายในพริบตา
ทันใดนั้น หนวดสัมผัสหลายสิบเส้นก็แยกตัวออกมาจากตาข่ายหนวดสัมผัสที่กางขวางอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็พุ่งเข้าไปทางสัตว์ประหลาดตาม่วง
นอกจากนี้ ก็ยังมีหนวดสัมผัสอีกหลายสิบเส้นที่เลื้อยตามพื้นไปยังเท้าของสัตว์ประหลาดตาม่วง
การลอบโจมตีนี้ของเขาไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า สัตว์ประหลาดตาม่วงเองก็เหมือนจะไม่มีพลังจิตสัมผัสรู้
จนกระทั่งตอนที่หนวดสัมผัสใกล้สัมผัสถูกสัตว์ประหลาดตาม่วง หลิงม่อจึงค่อยเปิดเผยรังสีอำมหิตของตัวเอง
พูดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยาก
การโจมตีของหนวดสัมผัสนั้นใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาทีนี้ เขาต้องควบคุมให้ตัวเองอยู่ในสภาวะสงบนิ่ง จากนั้นก็ค่อยระเบิดออกมาในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย
หลิงม่อทำอย่างนี้ได้เพราะการฝึกซ้อมล้วนๆ
“มนุษย์?”
สัตว์ประหลาดตาม่วงตอบสนองเร็วดังคาด ในขณะที่หนวดสัมผัสหลายเส้นกำลังกลายสภาพเป็นสสาร มันก็สัมผัสได้แล้ว
สัตว์ประหลาดตัวนี้โฉบร่าง ถอยไปข้างหลังหลายเมตรโดยที่เท้าทั้งสองข้างของมันเหมือนไม่ได้ยกสูงจากพื้นเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างที่ถอยหลังด้วยความเร็วสูง ร่างกายของสัตว์ประหลาดตาม่วงยังโยกไปโยกมาได้ด้วย!
การซิกแซ็กหลบเป็นรูป Z สำหรับหลิงม่อถือว่ารับมือได้ยากมาก
ถ้าหากอีกฝ่ายเคลื่อนไหวช้าจะไม่ว่าเลย เพราะด้วยพลังตอบสนองทางจิตของเขาต้องตามทันแน่
แต่สัตว์ประหลาดตัวที่อยู่ตรงหน้านี้เร็วเกินไปแล้ว!
“เล่นอย่างนี้ใช่ไหม!”
หลิงม่อเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก ถึงม้เขาจะยืนอยู่กับที่ไม่ไหวติง แต่ดวงจิตของเขากลับไม่ได้ว่างงานอยู่
ด้านหนึ่งเขาใช้พลังจิตสำรวจตรวจจับวิถีเคลื่อนไหวของดวงแสงแห่งจิตของมัน ในอีกด้านก็พยายามควบคุมให้หนวดสัมผัสพุ่งตามไปให้ทัน แต่กลับพลาดเป้าทุกครั้ง
หลิงม่อไม่ได้รู้สึกพ่ายแพ้อย่างนี้มานานแล้ว แถมอีกฝ่ายก็ดูเหมือนกำลังจงใจใช้วิธีนี้โฉบเฉี่ยวไปมาอยู่บริเวณเดิม
หนวดสัมผัสนับร้อยพุ่งออกไปแล้ว แต่กลับแตะต้องไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นขนของสัตว์ประหลาดตาม่วง!
หลิงม่อที่จิตใจร้อนรุ่มพึมพำในใจไม่หยุด “เร็วอีกหน่อย! เร็วอีก!”
ความจริงการมองเห็นด้วยตาเปล่าของเขาแทบไม่ได้ผลแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่จับวิถีเคลื่อนไหวเลย แม้แต่เงาร่างของมันก็ยังเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ
เหมือนดวงตาถูกม่ายบางอย่างเคลือบทับหนึ่งชั้น สิ่งที่มองเห็นได้ก็มีเพียงเงาวูบวาบที่ทับซ้อนกันมากมาย
ถ้าไม่ใช่ว่าพลังจิตยังถือว่าแข็งแกร่ง หลิงม่อเดาว่าหากอีกฝ่ายพุ่งเฉี่ยวหน้าเขาไป ตัวเองก็คงจะนึกว่าแมลงวันบินผ่านเท่านั้น
ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้!
“เป็นแค่มนุษย์ แต่กล้าลงมือ…”
เสียงแหบแห้งนั่นลอยมากระทบหูหลิงม่อ
“ก็มากัดฉันเซ่!” หลิงม่อได้ยินก็เดือดดาล จึงตอกกลับทันที
พอรู้สึกว่าหลิงม่อ “จับ” ตัวเองไม่ได้ ซอมบี้ตาม่วงตัวนี้กลับจงใจลดความเร็วลงเล็กน้อย
การต้องรักษาความเร็วสูงอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่กดดันสำหรับสัตว์ประหลาดตัวนี้เหมือนกัน
ทว่าคำว่า “ลดความเร็ว” ก็แค่พูดไปอย่างนั้น ถึงจะช้าลง แต่ก็ยังเร็วกว่าซอมบี้ระดับสูงหลายเท่า แม้แต่เทียบกับหลี่ย่าหลินก็ยังถือว่าเหนือกว่าหนึ่งขั้น
ความสามารถพิเศษหลักของหลี่ย่าหลินคือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่ซอมบี้ตัวนี้…
ตอนนี้หลิงม่อเห็นชัดแล้ว ขาคู่นั้นเหมือนติดตั้งสปริงไว้ มันก้าวเล็กๆ และวิ่งได้เร็วมาก!
หลังถูกหลิงม่อตอกกลับ มันกลับเถียงไม่ออกไปชั่วขณะ
แข่งฝีปากกับมนุษย์ ไม่เท่ากับรนหาที่หรอ?
ปรากฏว่าหลังจากเงียบไปนาน สัตว์ประหลาดตาม่วงก็เค้นเสียงพูดว่า “เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง…”
“เพิ่มมาแค่สองคำจะมีประโยชน์อะไรวะ!”
ฉวยโอกาสขณะที่อีกผ่ายไขว้เขว สายตาของหลิงม่อกลับเฉียบคมขึ้นในชั่วพริบตา
—————————————————————————–
บทที่ 673 มุ่งโจมตีฝ่าเท้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่เขาพูด ก็เพื่อจะทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิเท่านั้น
สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง กลับเป็นไพ่ลับที่หลิงม่อเตรียมไว้ตั้งนานแล้ว
ในขณะที่สัตว์ประหลาดตาม่วงเค้นสมองเพื่อคิดหาประโยคโต้กลับ ทันใดนั้น กลับมีหนวดสัมผัสหลายสิบเส้นพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน
พลังงานทางจิตเหล่านี้ “พุ่งทะลุ” ปูนซีเมนต์ขึ้นมาอย่างง่ายดาย และห่อหุ้มพื้นที่รัศมีสิบเมตรรอบตัวซอมบี้ตาม่วงอย่างเงียบเชียบ
เวลานี้ ซอมบี้ตาม่วงยังคงโฉบเฉี่ยวไปมาอยู่อย่างนั้น แทบจะในขณะเดียวกับที่หนวดสัมผัสโผล่ออกมา หางตาของหลิงม่อกระตุอย่างควบคุมไม่ได้
โดนแล้ว!
และในแทบจะทันที ที่คำสั่งของหลิงม่อถูกส่งผ่านกระแสจิตไป
หนวดสัมผัสทางจิตที่โดนตัวซอมบี้ตาม่วงพลันกลายสภาพเป็นสสารทันใด มันเลื้อยพันแข้งข้างหนึ่งของซอมบี้ตาม่วงเหมือนเถาวัลย์ และเกาะติดแน่นไม่ปล่อย
ซอมบี้ตาม่วงถูกจู่โจมกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว มันจึงรีบตอบสนองอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ถูกพันแข้ง ซอมบี้ตัวนี้ก็พยายามดิ้นขลุกขลักสุดแรง
พละกำลังมหาศาลถูกส่งมาจากอีกด้านหนวดสัมผัส ทว่าหลิงม่อได้เตรียมการรับมือไว้ก่อนแล้ว
ขณะเดียวกับที่อดกลั้นต่อความปวดหัว หลิงม่อรีบเพิ่มระดับการถ่ายเทพลังงานทางจิตอย่างรวดเร็ว
แต่พละกำลังของซอมบี้ตัวนี้ ก็ยังคงเหนือกว่าที่หลิงม่อจินตนาการไว้มาก
ระดับความเร็วที่เขาเขาถ่ายเทพลังงานทางจิตออกไป กลับเร็วสู้พลังทำลายล้างที่เกิดจากการดิ้นขัดขืนของซอมบี้ตัวนี้ได้
พอเห็นหนวดสัมผัสเส้นนั้นเริ่มเลือนราง หลิงม่อก็ขมวดคิ้วแน่น
“มนุษย์ผู้โง่เขลา”
เสียงของซอมบี้ตาม่วงแฝงไปด้วยความกระด้างและเย็นชาของซอมบี้ ได้ยินแล้วเสียดแทงแก้วหูมาก
ซอมบี้ตัวนี้แม้มองไม่เห็นหนวดสัมผัสของหลิงม่อ แต่กลับสามารถรับรู้ได้ว่าพลังงานและกลิ่นอายที่มาจากแหล่งเดียวกับมนุษย์คนนั้นกำลังพยายามฉุดรั้งตัวเองไว้
ทว่าระดับพลังเท่านี้ กลับไม่ทำให้ซอมบี้ตาม่วงรู้สึกถึงความอันตรายและแรงกดดัน
“น่าใจอยู่ แต่อ่อนแอเกินไป” ตอนนี้ซอมบี้ตาม่วงกลายเป็นพูดเก่งขึ้นมา แต่พอฟังดูดีๆ มันกลับใช้คำว่า “น่าสนใจ” ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
เห็นชัดว่าซอมบี้ตัวนี้มีโอกาสใช้ภาษาสื่อสารกับคนหรือพวกเดียวกันไม่มาก ถึงจะพูดคล่องกว่าซอมบี้ระดับสูงตัวอื่นมาก แต่คำศัพท์ที่ใช้ได้คล่องก็ยังคงมีน้อยมาก
แต่ตอนนี้หลิงม่อไม่มีเวลามาดูถูกอีกฝ่ายแล้ว เพราะตาของเขาแทบจะมองไม่ชัดอยู่แล้ว
และอาการนี้ ก็เกิดจากการที่พลังจิตถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว
“อย่าเพิ่งย่ามใจเร็วไป…”
หลิงม่อกัดฟันกรอดในใจ ทันใดนั้นสายตาเขาก็มุ่งมั่นขึ้นมา
เสี้ยววินาทีที่หนวดสัมผัสทางจิตเส้นนั้นกำลังจะหายไป หนวดสัมผัสอีกหลายเส้นก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นใต้เท้าของซอมบี้ตาม่วง
เห็นชัดว่าซอมบี้ตาม่วงเองก็คาดไม่ถึง ทั้งที่หลิงม่อใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วแท้ๆ แต่ทำไมยังลอบโจมตีได้อีกล่ะ?!
แถมยังเล็งโอกาสได้ยอดเยี่ยมสุดๆ!
หนวดสัมผัสที่รัดแข้งของซอมบี้ไว้แน่นยังไม่หายไป แล้วตอนนี้ก็ยังมีหนวดสัมผัสมาตรึงมันไว้กับที่เพิ่มขึ้นอีกในพริบตา
ขณะที่หนวดสัมผัสหลายสิบเส้นโผล่พ้นพื้นดินมา อาจดูเหมือนพวกมันโผล่ขึ้นมาพร้อมกัน แต่ความจริงแล้วกลับมีความแตกต่างเรื่องเวลาอยู่เล็กน้อย
หนวดสัมผัสทางจิตรูปสสารเหล่านี้ล้วนพุ่งเข้ามาในจุดเดียวกัน และจุดดังกล่าว ก็คือคือฝ่าเท้าของซอมบี้ตาม่วงนั่นเอง!
ซอมบี้ที่เหนือกว่าระดับเจ้าเมืองจะมีผิวที่เหนียวและแข็งแกร่งขนาดไหน ถึงแม้หลิงม่อจะยังไม่เคยพบเห็นกับตัว แต่ก็พอเตรียมใจมาบ้างแล้ว
แต่ฝ่าเท้า จุดนี้ถือเป็นจุดอ่อนอย่างแน่นอน!
ทว่าถึงจะหาจุดอ่อนเจอก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนอื่นจะต้องโจมตีให้โดนก่อน
และการจะโจมตีซอมบี้ตาม่วงตัวนี้ ก็ยากที่จะจับโอกาสได้
ถ้าหากหลิงม่อตรึงมันไว้กับที่ได้ แล้วพุ่งเข้าไปโจมตีทันที นึกออกเลยว่าเขาจะต้องเจอกับการขัดขืนที่รุนแรงกว่าเดิมของมันอย่างแน่นอน แลพอถึงเวลานั้นก็อาจเป็นไปได้มากว่า ไม่เพียงโจมตีพลาดเป้า ศัตรูหลุดจากพันธนาการ แต่ดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อจะยังได้รีบบาดเจ็บอีก
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน แม้ว่าปฏิกิริยาของซอมบี้ตัวนี้จะไวอีกแค่ไหน ในสถานการณ์ที่ถูกทำให้ไขว้เขว ก็คงไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติใต้ฝ่าเท้าตัวเองหรอก!
และกว่ามันจะรู้สึกได้ ก็สายเกินไปแล้ว
เพราะระยะห่างระหว่างเท้ากับผิวพื้น เท่ากับ 0!
ในขณะที่หนวดสัมผัสเส้นที่หนึ่งแทงทะลุพื้นรองเท้า แล้วสัมผัสโดนฝ่าเท้าของซอมบี้ตาม่วง หลิงม่อก็สัมผัสได้ถึงพลังป้องกันอันยอดเยี่ยมทันที
แทงไม่เข้าเลย!
อย่าว่าแต่แทงทะลุเลย หลิงม่อถึงขั้นรู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับด้วยซ้ำ
และผลกระทบต่อดวงแสงแห่งจิต ก็ทำให้เขาตาพร่ามัวอีกครั้ง
แต่เส้นหนึ่งล้มเหลว ก็ไม่ได้แปลว่าการเคลื่อนไหวต่อไปของหลิงม่อจะชะงักลง
หนึ่งครั้งไม่สำเร็จ ก็เอาซักสิบครั้งเป็นไง?!
และในทุกๆ ครั้ง พลังจิตที่หลิงม่อถ่ายเทออกไป ก็เพิ่มขึ้นเยอะกว่าเมื่อกี้มาก!
ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวินาที หนวดสัมผัสทางจิตของหลิงม่อโจมตีฝ่าเท้าของซอมบี้ตาม่วงซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่ค่อนข้างอ่อนครั้งแล้วครั้งเล่า
ซอมบี้ตาม่วงคาดไม่ถึงซักนิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น กว่ามันจะเริ่มดิ้นขัดขืนอีกครั้ง การโจมตีของหลิงม่อก็ดำเนินไปถึงครั้งที่ 15 แล้ว
“อะ…อะ…ไอ้มนุษย์เลว!”
ซอมบี้ตาม่วงอยากจะด่ากราด แต่ระหว่างนั้นดันติดอ่างเสียก่อน
ถึงแม้มันจะด่าคนได้ไม่เจ็บแสบ แต่พละกำลังของซอมบี้ตาม่วงกลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
มันบิดตัวหนึ่งที หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนเส้นประสาทในสมองกำลังถูกดึงออกมาข้างนอกอย่างไรอย่างนั้น
เขาเบิกตากว้างทันที ความผิดปกติที่เคยถกเขาข่มทับไว้ก่อนหน้านี้ ก็เหมือนซัดสาดกลับมาที่ตัวเขาอีกครั้ง แถมยังเหมือนทวีความรุนแรงขึ้นไม่เพียงหนึ่งเท่า
“ของขวัญ” ที่ราชินีแมงมุมทิ้งไว้ให้หลิงม่อเริ่มแผลงฤทธิ์ ภาพยุ่งเหยิงมากมายผุดขึ้นมาตรงหน้าหลิงม่ออย่างต่อเนื่อง เขากระทั่ง “มองเห็น” แมงมุมตัวเล็กๆ ที่ร่างกายท่อนบนและศีรษะเป็นราชินีแมงมุมตัวหนึ่ง ไต่ขึ้นไปตามขนคิ้วของเขา
“อา…”
หลิงม่อกับซอมบี้ตาม่วงตัวนั้นครางออกมาพร้อมกัน
ฝ่ายหนึ่งยืนกุมเท้าอยู่กับที่ อีกฝ่ายกลับกำลังสะบัดศีรษะอย่างแรง
หลิงม่อกระพริบตาแรงๆ สองที กว่าภาพตรงหน้าจะชัดเจนขึ้นเล็กน้อยในที่สุด
ซอมบี้ตาม่วงตัวนั้นกำลังสำรวจฝ่าเท้าของตัวเอง ปากก็พูดว่า “ไม่นึกเลยว่าจะถูกมนุษย์…ไม่นึกเลย…”
หลิงม่อหรี่ตาเล็ก เขายังรู้สึกมึนหัวอยู่เล็กน้อย
เขาลองสัมผัสรู้ข้างหลังตัวเองครู่หนึ่ง ตอนนี้เย่เลี่ยนกำลังย้ายหนอนดักแด้ของอวี๋ซือหรานกับเฮยซือไว้บนหลังเสี่ยวป๋าย
และตอนนี้ข้อดีของการที่เสี่ยวป๋ายมีร่างกายขนาดใหญ่ก็แสดงออกมาให้เห็น มันไม่เพียงแบกกระเป๋าเป้กองพะเนิน แต่ยังแบกร่างเหล่าซอมบี้สาวยกเว้นเย่เลี่ยนไว้บนหลังทั้งหมด…
“ยังมีอีก?”
ซอมบี้ตาม่วงหันไปมองดักแด้แวบหนึ่ง แล้วรีบวางเท้าลง
พอมันวางเท้าข้างนั้นลง เลือดก็ไหลออกมาทันที
“ฟืดด~”
เย่เลี่ยนรีบย่นจมูกขึ้นลง
ซย่าน่าและหลี่ยาหลินที่นอนหมอบอยู่บนหลังเสี่ยวป๋ายก็แงยหน้าขึ้นแล้วสูดดมจมูกเช่นเดียวกัน แม้แต่ดักแด้ตัวใหญ่ก็ยังดิ้นขลุกขลักเล็กน้อย
บรรยากาศแปลกไปชั่วขณะ ซอมบี้ตาม่วงเบิกตากว้างจ้องทีมที่เกิดจากการรวมตัวกันอย่างแปลกๆ ของซอมบี้ มนุษย์ และสัตว์กลายพันธุ์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ โดยเฉพาะซอมบี้สาวที่แตกต่างไปจากพวกสามคนนั้น
และซอมบี้สาวสามตัวนี้ ก็ได้ถูกกลิ่นเลือดซึ่งมีส่วนผสมของเชื้อไวรัสอยู่สูงมาก ดึงดูดซะแล้ว…
“รีบไปสิ!”
หลิงม่อโบกมือให้พวกเธอโดยไม่หันมามอง
มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะตะกละกันอยู่อีก นั่นมันกินได้ที่ไหน?!
กัดไปก็มีแต่ก้างทั้งนั้น!
เย่เลี่ยนรีบดึงสติทันที เธอเบิกตากว้างมองฝ่าเท้าของซอมบี้ตาม่วงแวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบกระโดดขึ้นบนหลังเสี่ยวป๋าย เพื่อเตรียมหนีอย่างรวดเร็ว
ซอมบี้ตาม่วงเห็นเข้า ก็เริ่มร้อนรน
หลิงม่อขวางอยู่ตรงหน้ามันไม่ยอมถอย เจ้ามนุษย์คนนี้ทุ่มสุดตัวจนทำให้มันบาดเจ็บที่ฝ่าเท้า ถึงแม้ไม่ได้เจ็บหนัก แต่เลือดกลับไหลไม่ยอมหยุด
“มนุษย์…” ซอมบี้ตาม่วงเดือดดาล
“ไม่ต้องเตือนก็รู้ว่าเป็นมนุษย์” หลิงม่อกระพริบตาปริบๆ แล้วพูดขึ้น
“…” ซอมบี้ตาม่วงเงียบไปอีกครั้ง เห็นชัดว่ามันไม่รู้ว่าควรตอกกลับอย่างไรดี
ซอมบี้ตาม่วงค่อยๆ เดินออกมาจากแสงอาทิตย์เจิดจ้าที่แยงตา
และท่ามกลางสายตาอันพร่ามัวของหลิงม่อ ก็ปรากฏรูปร่างหน้าตาของซอมบี้ตาม่วงอย่างชัดเจนในที่สุด
ทว่าเพิ่งจะเห็นแวบแรก หลิงม่อก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นไม่น้อย
นี่…นี่มันไม่ถูกต้องแล้ว!
เงาร่างที่ยืนอยู่ในเงามืดนี้ มีผิวที่ขาวมาก ผมยาวหยิกฟูเล็กน้อยถูกปล่อยไว้ข้างหลัง บนตัวสวมเสื้อผ้าหลวมโคร่งไว้
มองแวบแรก มันดูไม่ต่างจากซอมบี้ที่เดินเร่ร่อนอยู่ตามถนนพวกนั้นซักนิด
แต่หากมองดูที่แขนมันดีๆ ก็จะรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
แล้วหลิงม่อก็รู้ว่าทำไมมันถึงได้เร็วขนาดนั้น เพราะสิ่งที่ซอมบี้ตัวนี้ใช้ ไม่ใช่แค่เพียงเท้าเท่านั้น
มองจากมุมของหลิงม่อ ระหว่างแขนและร่างกายของซอมบี้ตัวนี้ มีเยื่อบางๆ ที่แทบจะโปร่งใสกั้นอยู่หนึ่งชั้น
และแขนของมันก็มีรูปร่างที่พิสดารเล็กน้อย เหมือนกระดูกข้างในเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ บางอย่างขึ้น
ทว่าหากมองดูอย่างละเอียด ก็จะพบว่าไม่ได้มีแค่เพียงกระดูกเท่านั้น แม้แต่ผิวและเส้นชีพจร ก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวมากด้วย
เมื่อมันกางแขนออกเล็กน้อย เยื่อบางๆ นั่นก็กางออกตามด้วย
เส้นชีพจรบนเยื้อบางๆ นั่นมองเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วยังมีเส้นเลือดเล็กๆ อีกมากมายอยู่บนนั้นด้วย
“นั่น…นั่น…”
หลิงม่อเบิกตากว้าง “มนุษย์นกนี่นา!”
—————————————————————————–
บทที่ 674 รูปร่างหน้าตาดูแปลกใหม่ดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่ใช่สิ ถ้าเป็นปีกจริงๆ เมื่อกี้ทำไมมันไม่บินล่ะ?”
หลิงม่อได้สติกลับคืนมาจากความช็อกอย่างรวดเร็ว และนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
แต่ในเมื่อเป็นสินค้าที่ผ่านการวิวัฒนาการกลายพันธุ์มาแล้ว มันต้องมีประโยชน์ต่อซอมบี้ตาม่วงตัวนี้อย่างแน่นอน
แต่หากอาศัยแค่ดูด้วยตาเปล่า ก็ยากจะตัดสินได้ว่าเยื่อบางๆ นั่นมีไว้ใช้ทำอะไรกันแน่
นอกจากนี้ รูปร่างของซอมบี้ตาม่วงตัวนี้ก็…พิเศษมาก
มองแค่ภายนอก ยังคงยกจะแยกแยะเพศของมันได้
ทว่าหากวัดกันเรื่องแยกแยะรูปร่าง ซอมบี้ตัวนี้ต้องได้คะแนนสูงแน่นอน
ผิวที่ขาวซีดเหมือนคนตายนั่น หุ้มติดกระดูกและกล้ามเนื้อของมัน
และกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เหล่านั้นก็เหมือนถูกยัดแยกเข้าไป ไม่เพียงดูขัดแย้งกัน แต่ด้านบนยังมีเส้นเอ็นที่ปูดโปนขึ้นมาราวกับไส้เดือนอยู่ด้วย
การผสมผสานกันระหว่างความผอมแห้งกับความแข็งแรงนี้ ช่างเป็นที่ตราตรึงต่อผู้พบเห็นจริงๆ
ทว่าสิ่งที่พิเศษที่สุด ยังคงเป็นรูปลักษณ์ภายนอกอยู่ดี
แก้มที่ซูบตอบ ดวงตาที่ปูดโปน ฟันสีขาวและเหงือกสีแดงที่เผยให้เห็นเมื่อมันอ้าปาก ผมที่ยาวสยายอยู่ข้างหลัง กลับทำให้ศีรษะของมันดูเล็กลง
นอกจากนี้ มือคู่นั้นของมัน มองแวบแรกดูไม่ต่างจากศพแห้งเลยแม้แต่น้อย
บนเล็บมือที่แทบจะเป็นสีใสของมัน เต็มไปด้วยคราบเลือดสีน้ำตาลเข้ม ราวกับถูกสีเลือดย้อมเล็บมาอย่างไรอย่างนั้น
“รูปร่างหน้าตาดูแปลกใหม่ดี…” หลิงม่อคิดโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
เขามีภูมิคุ้มกันเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกสูงพอสมควร อะไรบ้างล่ะที่ซอมบี้ไม่มี?
เพียงแต่ว่าซอมบี้ระดับสูง…โดยเฉพาะซอมบี้ที่ระดับสูงสุดเท่าที่รู้ตอนนี้กลับมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ มันจึงทำให้เขาเหนือความคาดหมายเล็กน้อยเท่านั้น
“มองอะไร?” เจ้ามนุษย์นกตัวนี้คงจะรู้สึกแปลกใจมาก เมื่อไหร่กันที่มนุษย์เป็นฝ่ายมองมันด้วยสายตาอย่างนั้น?
แถมสายตาที่ไร้ซึ่งความกลัวอย่างนี้ ก็ทำให้มนุษย์นกรู้สึกไม่เป็นตัวเองมาก
เหมือนแกะตัวเล็กๆ กำลังจ้องหน้าหมาป่าผู้หิวโหยอย่างไม่เกรงกลัว นี่มันไม่ถูกต้องนะ!
“ไอ้นั่นของแกมันอะไรน่ะ?” หลิงม่อถึงขั้นออกปากถามไปตรงๆ เขาชี้ไปที่แขนของมนุษย์นก แล้วถามมัน
คราวนี้มนุษย์นกอึ้งไปจริงๆ มันไม่เคยเจอเหยื่อแบบนี้มาก่อนเลยซักครั้ง!
ไม่ ความจริงแล้ว ในสายตาของมัน มนุษย์อย่างหลิงม่อ ไม่ถือว่าเป็นเหยื่อด้วยซ้ำ อย่างมากก็เป็นได้แค่อาหารว่างจานเล็กๆ เท่านั้น
แต่ก็เจ้าอาหารว่างในร่างคนจานนี้แหละ ที่ไม่เพียงออกมาขวางทางมัน ทำให้มันบาดเจ็บที่เท้า แต่ยังกล้าชี้มาที่ร่างกายที่ผ่านการวิวัฒนาการขั้นสูงของมัน แล้วยังมีหน้ามาถามว่ามันคืออะไร
แต่มนุษย์นกอ้าปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายตัวเองก็ตอบไม่ได้
ใช่สิ…แล้วสิ่งนี้มันเรียกว่าอะไรล่ะ?
“ไม่ใช่แล้วมั้ง แกก็ไม่รู้?” หลิงม่อกระพริบตาปริบๆ แล้วถาม
เขาแอบโบกมือที่ไขว้ไว้ข้างหลังเบาๆ แล้วเร่งอย่างเงียบๆ “รีบไปต่อ”
ตอนนี้เขากำลังเผาผลาญพลังจิตในปริมาณมาก และเนื่องจากเพ่งสมาธิเกินไป จึงส่งผลให้เขาอ่อนแอมาก แต่เมื่อกี้ที่โจมตีฝ่าเท้ามันจนสำเร็จ กลับทำให้หลิงม่อมีความมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
ความเร็วและพละกำลังของสัตว์ประหลาดตัวนี้น่าทึ่งมาก แล้วมันยังมีของที่คล้ายปีกนี่อีก แต่ถ้าหากแค่ถ่วงเวลา ก็ไม่แน่ว่าจะทำไม่ได้
และมันก็เหมือนจะมีความอยากรู้อยากเห็นสูงอยู่เหมือนกัน ถ้าหากใช้จิตวิทยาตรงนี้ให้ดี เขาก็จะถ่วงเวลาได้นานกว่านี้
รอจนกว่าสถานการณ์หลังวิวัฒนาการของพวกเย่เลี่ยนคงที่ก่อน ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสชนะขึ้นมาก็ได้!
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น หลิงม่อจะไม่ปล่อยให้เจ้ามนุษย์นกที่แยกแยะเพศไม่ออกตัวนี้แตะต้องพวกเย่เลี่ยนเด็ดขาด!
เย่เลี่ยนเหลือบเห็นการกระทำเล็กๆ ของหลิงม่อทันที เธอจ้องมนุษย์นกอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่ามนุษย์นกถูกหลิงม่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจนหมด จึงพาเสี่ยวป๋ายเดินไปตามแนวกำแพง แล้วค่อยๆ อ้อมไปข้างหลังหลิงม่อ
หลิงม่อยังคงจ้องตากับมนุษย์นกอยู่อย่างนั้น ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ขยับกาย เพื่อกันพวกเย่เลี่ยนไว้ข้างหลังตลอด
“ถ้าไงฉันช่วยแกตั้งชื่อไหมล่ะ?” หลิงม่อพูดขึ้นอีกครั้ง
เจ้ามนุษย์นกกลอกตาไปมา “ชื่อ? ฉันไม่ต้องการของๆ มนุษย์”
“อย่างนั้นหรอ? ถ้างั้นฉันเรียกแกว่าเฮ้ย หรือไม่ก็ไอ้ซอมบี้ก็ได้” หลิงม่อพยักหน้า “แต่ชื่อซอมบี้น่ะมีเกลื่อนถนนเลยนะ ไม่เจ๋งเลยซักนิด”
เจ้ามนุษย์นกเหมือนจะแอบไตร่ตรองอยู่ในใจ แล้วจู่ๆ ก็ส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้”
“ถ้างั้นก็ชื่อซอมบี้นกแล้วกัน แล้วแกก็ยังตั้งชื่อเล่นให้ตัวเองได้ด้วย อย่างเช่น…นกน้อย” หลิงม่อพูดไร้สาระ พลางสัมผัสรู้ตำแหน่งของพวกเย่เลี่ยนไปด้วย
เมื่อเย่เลี่ยนอ้อมไปถึงข้างหลังหลิงม่อแล้ว หลิงม่อก็เพิ่มความระมัดระวังจนถึงขีดสูงสุด
“นกน้อย…” เห็นได้ชัดว่าเจ้ามนุษย์นกไม่มีสุนทรียศาสตร์เลยแม้แต่น้อย หลังจากที่มันพูดทวนหนึ่งรอบ นึกไม่ถึงว่ามันจะเงียบและยอมรับชื่อนี้จริงๆ!
“ไม่นึกเลยว่าจะใจง่ายขนาดนี้…รู้งี้เลือกชื่อที่น่าเกลียดกว่านี้ก็ดี…”
หลิงม่อรู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย
ซอมบี้นกคุยไร้สาระกับหลิงม่อแค่เพียงไม่กี่ประโยค ก็เหมือนจะเริ่มติดลมขึ้นมา
มันเริ่มไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าแล้ว แต่กลับถามขึ้นอย่างสนอกสนใจว่า “มนุษย์ ทำไมแกอยู่กับซอมบี้? แล้วก็เผ่าพันธุ์เดียวกันพวกนั้น เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอกันแน่?”
ตามคาด!
นอกจากเย่เลี่ยนที่ดูเหมือนซอมบี้ปกติที่สุด ซอมบี้หญิงตัวอื่นล้วนดูแตกต่าง
และสำหรับซอมบี้นกที่มีสติปัญญาในการไตร่ตรอง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก
รูปแบบพฤติกรรมของมันก่อนหน้านี้ ก็ไม่เหมือนท่าทางของซอมบี้ที่คิดจะพุ่งเข้ามาสู้ทันที แต่กลับเหมือนกำลังสังเกตและสำรวจอย่างอยากรู้อยากเห็น
พอคิดถึงตรงนี้ ความมั่นใจที่หลิงม่อเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อกี้ก็ลดลงไปทันที
อีกฝ่ายยังไม่ได้สู้เต็มที่เลย…
แต่ว่า เขาเองก็ยังไม่ถึงขีดจำกัดเหมือนกัน
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับแกด้วย?” หลิงม่อพูดอ้อมค้อม
เขาเองก็อยากรู้ว่าซอมบี้นกมีจุประสงค์อะไรแน่ คงไม่ได้มาเพื่อจะดูอะไรสนุกๆ แค่นั้นหรอกใช่ไหม?
ซอมบี้นกหัวเราะด้วยน้ำเสียงประหลาด แล้วบอกว่า “ตอนแรกฉันได้กลิ่นอาหารรสเลิศ แต่พอมาถึงนี่กลับเจอมนุษย์อยู่ด้วยคนหนึ่ง แล้วยังมีอาหารที่แปลกยิ่งกว่าอีก”
“ใครเป็นอาหารแปลกวะ!”
หลิงม่อรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
ที่แท้เจ้าซอมบี้นกก็คิดว่าตัวเองเห็นอาหารหน้าตาแปลกใหม่ และเกิดสงสัยใคร่รู้อย่างหนักนี่เอง!
พอซอมบี้นกพูดมาถึงตรงนี้ มันก็เหลือบไปมองพวกเย่เลี่ยนตามจิตใต้สำนึก
ผลปรากฏว่ามันเพิ่งจะสบตากับเย่เลี่ยน เสี่ยวป๋ายก็รีบหมุนกายออกวิ่งไปทางปากซอยอย่างบ้าคลั่งทันที
ซอมบี้นกเบิกตากว้างทันที แล้วก็หันมามองหน้าหลิงม่ออย่างโมโห “มนุษย์ แกหลอกฉัน!”
พูดไป มันก็เปล่งเสียงคำรามแปลกๆ ออกมาจากลำคอ จากนั้นร่างกายมันก็พุ่งตามไปทันที
หลิงม่อรู้สึกเพียงภาพตรงหน้าเกิดขึ้นเร็วมาก กระทั่งมองอะไรไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ
โชคดีที่เขาเตรียมการไว้นานแล้ว ขณะเดียวกับที่ซมอบี้นกหายตัวไป เขาก็เพ่งสมาธิจนถึงระดับสูงสุดทันที
“ปึง ปึง ปึง!”
ภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวินาที หลิงม่อเห้นเพียงเงาวูบวาบมากมายอยู่ตรงหน้า ไอสีแดงที่เกิดจากตาข่ายหนวดสัมผัสอันแน่นหนาถูกโจมตีระเบิดขึ้นเป็นจุดๆ
ขณะเดียวกันก็เหมือนมีคนกำลังถือค้อนเล็กๆ ทุบหัวเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่อาการตาพร่ามัวอย่างต่อเนื่อง และความรู้สึกเหมือนศีรษะหนักอึ้งเท้าเบาหวิวอย่างนั้น กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เร็วเกินไปแล้ว!
หลิงม่อใช้ไม้เดิม แต่ครั้งนี้ผลที่ได้กลับแย่กว่าเดิมมาก
อีกฝ่ายได้บทเรียนจากครั้งที่แล้ว ทุกครั้งที่เกือบจะถูกหลิงม่อคว้าตัวไว้ได้ มันก็จะรีบหนีไป ซ้ำยังเร็วกว่าเมื่อกี้ถึงหนึ่งในสามส่วนอีกด้วย
เมื่อเป็นอย่างนี้ความเร็วของหลิงม่อก็ตามมันไม่ทันแล้ว แต่เขาจะไม่มีทางมองดูซอมบี้นกตัวนี้ก้าวข้ามด่านป้องกันของเขาไปต่อหน้าต่อตาอย่างแน่นอน
ถึงแม้หนวดสัมผัสจะจับมันไว้ไม่ได้ แต่หลิงม่อยังมีวิธีอื่น
แม้ได้ยินเสียงหัวเราะแหลมๆ ของซอมบี้นกในระหว่างที่มันกำลังหลบหลีกด้วยความเร็วสูง แต่หลิงม่อกลับมีสายตาที่สงบนิ่งมาก
“จะคอยดูว่าแกจะหัวเราะไปได้นานอีกแค่ไหน!”
ทันใดนั้น เขาก็ยื่นมือทั้งสองข้างพุ่งออกไปทางเจ้าซอมบี้นก
และขณะเดียวกัน ตาข่ายหวดสัมผัสที่มองไม่เห็นนั่นก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที
พลังงานทางจิตมหาศาลถูกถ่ายเทออกไป แทบจะในเวลาเดียวกัน ที่หนวดสัมผัสได้ทั้งหมดพุ่งเข้ามาโจมตีสิ่งที่อยู่กลางวงล้อม!
ตาข่ายหนวดสัมผัสไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันอย่างเดียว เดิมทีมันมีหน้าที่ทั้งโจมตีและป้องกันอยู่แล้ว!
ถึงแม้ซอมบี้นกจะเร็วอีกแค่ไหน แต่หนวดสัมผัสพุ่งเข้ามาพร้อมกันแปดทิศสี่ทิศอย่างนี้ ถึงมันจะเร็วอีกแค่ไหนก็หลบไม่พ้น
นอกจากนี้ท่ามกลางหนวดสัมผัสเหล่านี้ ยังมีพลังก่อกวนทางจิตปะปนอยู่อีกด้วย
ในระหว่างที่ “ห่าฝนธนู” โจมตีซ้ายทีขวาที สะเก็ดไฟก็กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง
และในที่สุด ท่ามกลางสะเก็ดไฟเหล่านั้น ก็มีหยดเลือดโผล่ขึ้นมาแล้ว!
“อ๊ากก!”
ซอมบี้นกเปล่งเสียงคำรามเจ็บปวด แล้วก็ปรากฏร่างกายออกมาให้เห็นทันที
บนใบหน้าที่เหมือนเหลือแต่กะโหลกของมัน ปรากฏรอยแผลเปื้อนเลือดอยู่หนึ่งรอย ซึ่งลากยาวจากใต้ตามาจนถึงตำแหน่งแก้มพอดี
ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บ ความจริงเป็นผิวส่วนที่ค่อนข้างบอบบางซึ่งอยู่ใต้ดวงตา
ขณะเดียวกันลูกตาของมันก็แดงก่ำไปบางส่วน ตรงส่วนตาขาวของมันเหมือนถูกต่อยจนเส้นเลือดแตก
และเสี้ยววินาทีที่มันสะดุดกึกไปนี้ ก็เป็นโอกาสดีของหลิงม่อ
หนวดสัมผัสมากมายพุ่งไปทางซอมบี้นกอย่างบ้าคลั่ง ในเสี้ยววินาทีนั้นซอมบี้นกก็ยกแขนขึ้นบังทันที
“เกร๊ง เกร๊ง เกร๊ง!”
เสียงคล้ายโลหะกระทบกันดังอย่างต่อเนื่อง!
—————————————————————————–
บทที่ 675 ฉันมีเกราะป้องกันเฉพาะเป็นของตัวเอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะเดียวกับที่สะเก็ดไฟมากมายกระจายไปทั่ว หยดเลือดจำนวนหนึ่งก็ผสมรวมอยู่ในนั้นด้วย
แต่นึกไม่ถึงว่าในเวลาอย่างนี้ ปีกบางๆ คู่นั้นของซอมบี้นกจะใช้เป็นโล่ป้องกันได้ด้วย
พอมันยกแขนขึ้น ร่างกายท่อนบนทั้งหมดรวมถึงศีรษะของมัน ก็ถูกป้องกันไว้อย่างมิดชิด
การโจมตีในรูปแบบสสารของหลิงม่อแทบจะไม่ส่งผลใดๆ เลย ทุกครั้งเหมือนหนวดสัมผัสพุ่งปะทะกับแผ่นเหล็ก ไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์ แต่กลับยังทำให้สมองของตัวเองสะเทือนจนมึนไปหมด
“อึกอึกอึกอึก!”
ซอมบี้นกยังคงยกแขนคลุมหัวไว้อย่างนั้น ปากก็เปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาไม่หยุด
การที่เห็นมนุษย์ที่เอาแต่กระโดดขึ้นกระโดดลงคนนี้ถูกบีบบังคับให้ยอมรับความพ่ายแพ้ ทำให้ซอมบี้นกรู้สึกมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
ท่าทีของมันในตอนนี้เหมือนกำลังหาเรื่องสนุกทำมากกว่า ไม่ได้กำลังรีบกินอาหารแต่อย่างใด
แต่ความรู้สึกที่เหมือนหนูถูกแมววิ่งไล่อย่างนี้ หลิงม่อไม่ชอบเอาเสียเลย
เพิ่งจะดีใจได้ไม่ถึงสองวินาที เสียงหัวเราะแหลมๆ ของซอมบี้นกก็หายไปทันที และสิ่งที่ดังขึ้นมาแทนก็คือเสียงลั่นร้อง “อ๊ากก!”
ขณะเดียวกัน ร่างกายของมันก็สั่นคลอนไปมา แขนทั้งสองข้างพลันทิ้งลงข้างลำตัวอย่างควบคุมไม่ได้
แทบจะในเสี้ยววินาทีเดียวกับที่มันเผยใบหน้าออกมา ประกายไฟมากมายก็ระเบิดบนหน้ามันทันที
ภาพที่เห็นนี้ เหมือนมีคนขว้างดอกไม้ไฟที่ใกล้จะระเบิดแล้วใส่หน้ามันอย่างไรอย่างนั้น
“ถูกมนุษย์นกหัวเราะเยาะ จะทนได้ยังไง?”
หลิงม่อแค่นเสียงเย็น ด้วยใบหน้าที่ซีดไปทั้งดวง
หนวดสัมผัสรูปสสารแทงเยื่อหุ้มบางๆ นั่นไม่เข้า แต่พลังงานทางจิตไร้รูปกลับสามารถทำได้
ดวงแสงแห่งจิตของซอมบี้นกนั้นยากที่จะแทงทะลุเข้าไปได้ แต่ขอเพียงจับจังหวะเล็งช่องโหว่ให้ดี ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยซะทีเดียว
อย่างเช่นเมื่อกี้ หลิงม่อจับจังหวะเสี้ยววินาทีที่ซอมบี้นกเผลอได้พอดี เขาจึงเปลี่ยนหนวดสัมผัสรูปสสารให้กลายเป็นพลังงานทางจิตบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว
และเมื่อพลังโจมตีทางจิตส่งผลให้การเคลื่อนไหวของซอมบี้นกผิดปกติไป หนวดสัมผัสรูปสสารกลุ่มใหญ่ที่เตรียมไว้นานแล้วก็พุ่งเข้าไปโจมตีอย่างทันที
โจมตีด้วยวิธีนี้ติดๆ กันถึงสองครั้ง ซอมบี้นกไม่เพียงเกิดอาการมึนหัว แต่ยังรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วใบหน้า
มันถอยกรูดไปข้างหลัง ดึงระยะห่างออกไปสิบกว่าเมตรอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบหน้า
พอเห็นเลือดสดๆ เลอะอยู่บนฝ่ามือ กอปรกับความรู้สึกเจ็บแสบบนใบหน้า สีหน้าของซอมบี้นกพลันแปรเปลี่ยนไปทันที
มันเงยหน้าขึ้นมา แล้วเบิกตาที่แทบจะถลนออกจากเบ้ากว้าง มุมปากสองข้างฉีกออก เผยให้เห็นฟันที่ขาวจนน่ากลัว
“อ๊ากกกกกก!”
ขณะที่ซอมบี้นกลั่นร้องเสียงดัง หลิงม่อก็เผลอเหลือบไปมองช่องลำคอของมันอย่างไม่รู้ตัว
เห็นลิ้นเล็กๆ ที่กำลังสั่นระรัวไม่หยุดนั่นแล้ว หลิงม่อรู้สึกเหมือนมันต้องเปล่งเสียงออกมาจากช่องลำคอดำๆ นั่นแน่ๆ…
แค่เสียงร้อง ก็ทำให้หลิงม่อรู้สึกหนังศีรษะชาได้แล้ว
และสิ่งที่มันคล้ายกับจอมกรีดร้องก็คือ เสียงของมันกลับสร้างผลกระทบบางอย่างได้ด้วย
ได้ยินเสียงกรีดร้องนั่นเพียงไม่นาน หลิงม่อก็รู้สึกขาอ่อนทันที
เขาลองพยายามก้าวเท้า แต่กลับค้นพบอย่างน่าตกใจว่าตัวเองขยับไม่ได้แล้ว…
“แย่แล้ว ถึงแม้ดวงจิตจะต้านทานได้ แต่เรากลับไม่สามารถควบคุมร่างกายได้…”
นี่ขนาดว่าศักยภาพร่างกายของเขาไม่เลวมากแล้ว แค่ลองนึกว่าหากเป็นคนธรรมดาที่ศักยภาพร่างกายทั่วไป ป่านนี้คงจะคุกเข้าล้มลงไปกับพื้นแล้ว
“หน้าของฉัน!”
ซอมบี้นกกำหมัดจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือตัวเอง แล้วลูบไล้ขึ้นลงบนแก้ม เสียงเกา “แกร๊กๆ” ดังเสียดแทงแก้วหู
“หน้าอย่างกับกระดาษทราย ยังจะหวงอีก”
หลิงม่อยืนเกร็งตัวตรง เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ พลางใช้หางตาเหลือบมองเท้าตัวเอง
อาการอย่างนี้ยากที่จะอธิบาย เดาว่าน่าจะเหมือนกับการที่ร่างกายเปิดโหมดกลไกฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ เมื่อใดที่สัมผัสได้ถึงอันตรายรุนแรง ร่างกายก็จะสร้างปฏิกิริยาตอบสนองบางอย่างออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง
อย่างเช่นการปิดและรีสตาร์ทใหม่—หมดสติ หรือไม่ก็เข้าสู้โหมดจำศีล—สมองขาวโพลน เป็นต้น
แต่อาการตัวอ่อนไปหมดอย่างนี้ หลิงม่อก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก…
นี่ไม่ใช่การป้องกันตัวเอง แต่กำลังแกล้งกันชัดๆ!
“หรือพอเกินขีดจำกัดที่ร่างกายของมนุษย์จะรับได้ เสียงกรีดร้องนี่จะทำให้เส้นเลือดแตก ร่างระเบิดตาย?”
หลิงม่อเดาสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วสายตาของเขาก็เหลือบมองไปข้างหลังอีกครั้ง
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที ร่างกายขนาดใหญ่ของเสี่ยวป๋ายก็วิ่งออกไปไกลจนแทบมองไม่เห็นแล้ว
หากสัมผัสรู้ดูก็จะรู้ว่า พวกเธอได้วิ่งไปถึงถนนใหญ่แล้ว
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยทางแยกมากมาย และมีแต่ซอมบี้เต็มไปหมด ด้วยความสามารถของพวกเธอ หากคิดจะหนีก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ที่เย่เลี่ยนถูกเจอตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะตอนที่เธอก้าวข้ามสู่ระดับเจ้าเมือง กลิ่นอายของเธอได้กระจายออกไปข้างนอก
ถ้าหากตั้งใจปกปิดให้ดี เปอร์เซ็นต์ที่จะถูกเจอตัวคงน้อยลงมาก
แต่หากทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่มาก อย่างนั้นก็คงพูดยากแล้ว
“จะถ่วงเวลาได้อีกนานแค่ไหน?”
ฝ่ามือของหลิงม่อเริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง เขายังไม่ถึงขีดจำกัด แต่ก็อีกไม่นานแล้วล่ะ
โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้สภาพร่างกายไม่เป็นดั่งใจ ยากที่จะเดาได้ว่าเขาจะถ่วงเวลาไปได้อีกนานแค่ไหน
ตอนแรกซอมบี้นกมาเพราะอาหาร ถึงแม้มันจะเกิดความอยากรู้อยากเห็นเพราะความพิเศษของ “อาหาร” แต่เดาว่าตอนนี้ความโมโหคงเข้ามาแทนที่หมดแล้ว
“มนุษย์! แกทำร้ายใบหน้าฉัน!” ซอมบี้นกยังคงกรีดร้องอย่างโกรธแค้น
เมื่อเล็บมืออันแห้งเหี่ยวของมันที่วางไว้บนใบหน้าซูบผอม บวกกับสีหน้าบิดเบี้ยวนั่นแล้ว เป็นภาพที่ชวนหวาดกลัวมากจริงๆ
“ฉันทำไปเพื่อความประโยชน์ส่วนรวมนะ!”
หลิงม่อโต้กลับด้วยคำพูดสองแง่สองง่าม
ในเมื่อจะถ่วงเวลา ถ้าอย่างนั้นก็ดึงความสนใจทั้งหมดของมันมาที่ตัวเองเลยแล้วกัน!
นิ้วมือของหลิงม่อนวดคลึงไปที่ต้นขาตัวเอง สายตาเหลือบมองร่างกายตัวเองเป็นพักๆ “เร็วสิ มีปฏิกิริยาหน่อยสิวะ! อย่ามาหยุดทำงานเอาตอนนี้ได้ไหมเนี่ย?”
การให้กำลังใจตัวเองเชิงสะกดจิตอย่างนี้จะได้ผลหรือไม่ หลิงม่อเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรล่ะ!
ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ…หลิงม่อเหลือบมองขาตัวเองอีกครั้ง แล้วสายตาของเขาก็มั่นคงขึ้นทันที
ซอมบี้นกเช็ดคราบเลือดที่เลอะเต็มหน้า ความรู้สึกเคียดแค้นถูกหลิงม่อกระตุ้นให้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ทำเพื่อส่วนรวม? ใบหน้าของฉันน่าเกลียดมากนักรึไง?”
ซอมบี้นกกลับจำคำนี้ได้ แถมยังใช้ได้คล่องทีเดียว
“อืม” หลิงม่อพยักหน้า
“น่าเกลียดตรงไหนกัน!” ซอมบี้นกแยกเขี้ยวแยกฟันเค้นเสียงถามอย่างดุดัน
พูดไป เล็บของมันก็ยังคงไม่หยุดขูดผิวหน้า
กรงเล็บอันแหลมคมของมันหากเปลี่ยนไปเป็นเกาหน้าคนอื่นแทน เดาว่าใบหน้าของอีกฝ่ายคงจะหายไปในพริบตาแล้ว
คงมีแค่ผิวหน้าของมันเท่านั้น ที่จะทนรับแรงเกาจากกรงเล็บอันแหลมคมของตัวเองได้
หลิงม่อได้ยินเสียงเกา “แกร๊กๆ” นั่นแล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
มนุษย์นกที่สภาพเหมือนศพแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดแถมตอนนี้ก็กำลังเกาผิวหยาบกร้านของตัวเองไม่ยอมหยุดอยู่อย่างนั้น…
ควรถามว่าไม่น่าเกลียดตรงไหนมากกว่า!
ซอมบี้นกหมดความอดทนในที่สุด ทันใดนั้นมันก็กรีดร้อง “อ๊าก” ออกมา แล้วกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ด้วยความเร็วของมัน หลิงม่อเพียงกระพริบตาเพียงครั้งเดียว ก็มองเห็นเงาร่างนั้นใกล้เข้ามาด้วยความเร็วสูงแล้ว
“วูบ!”
ลมแรงปะทะหน้า ฟังจากเสียงหากถูกกระแทกเข้า เดาว่าคงจะกลายเป็นศพไร้หัวตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัย
หลิงม่อรู้สึกความเย็นแผ่ซ่านไปทุกอณูขุมขนทันที หัวใจพลันหยุดเต้นไปชั่วขณะ
ขายังขยับไม่ได้!
แต่เงาร่างของมันเพิ่งจะพุ่งมาถึงตรงหน้า หลิงม่อก็ได้เบี่ยงหน้าหลบออกไปด้านข้าง จากนั้นก็ไถลตัวถอยหลังอย่างรวดเร็ว
เท้าของเขายังคงติดอยู่กับพื้น แต่ความเร็วในการไถลถอยหลังกลับน่าทึ่งมาก เพียงพริบตาเดียวเขาก็ทิ้งระยะห่างออกไปไกลแล้ว
ไม่มีการสะดุดพักใดๆ ทั้งสิ้น ทันใดนั้นเขาก็ “กระโดด” ขึ้นข้างบนโดยไม่คิดล่วงหน้า แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงบนป้ายร้านของร้านค้าที่อยู่ด้านข้าง หลังชะงักไปเล็กน้อยเขาก็กระโดดลงไป แล้วหายเข้าไปด้านหลังมุมผนังด้านนั้น
การโจมตีของซอมบี้นกล้มเหลว ยิ่งไปกว่านั้นเพียงชั่วพริบตาหลิงม่อก็หายตัวไปอย่างไรร่องรอย มันจึงเบิกตากว้างด้วยความตะลึง
ทว่าครั้งนี้สงสัยก็ส่วนสงสัย แต่ฝีเท้าของมันกลับไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย
หลิงม่อใช้หนวดสัมผัสลากตัวเองให้เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง พร้อมกับขมวดคิ้วทิ้งตัวไปข้างหลัง
เงาร่างของซอมบี้นกผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ข้างหลังเขา แถมยังมีแนวโน้มว่าจะใกล้เข้าเรื่อยๆ แล้วด้วย
“หมกมุ่นอะไรอย่างนี้…”
หลิงม่อลองคำนวณการเผาผลาญของตัวเองในตอนนี้ รวมถึงคำนวณว่าตัวเองยังสามารถใช้พลังงานทางจิตได้อย่างปลอดภัยอยู่หรือไม่
ผลสรุปที่ได้ไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากต้องรักษาความเร็วระดับนี้ไปเรื่อยๆ อย่างมากเขาก็ยืนหยัดไปได้อีกแค่สิบนาทีเท่านั้น
ถ้าหากต้องหนีอย่างเดียวก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่เขายังต้องรักษาระยะห่างกับพวกเย่เลี่ยนไว้ด้วย
หากเป็นอย่างนี้ การจะสลัดซอมบี้นกทิ้งก็ยิ่งยากขึ้นอีกหลายเท่า
“มนุษย์ หนีไปก็ไม่มีประโยชน์! อึกอึกอึกอึก…”
ซอมบี้นกเริ่มเปล่งเสียงหัวเราะแหลมๆ ออกมาอีกครั้ง เลือดบนแผลตรงฝ่าเท้าและใบหน้าของมันเริ่มหยุดไหลด้วยตัวเองแล้ว
แต่เพราะถูกเลือดสดๆ กระตุ้น น้ำเสียงของมันตอนนี้จึงยิ่งฟังดูคลั่งและคึกหนักกว่าเดิม
“ไม่ให้หนีแล้วจะให้รอความตายรึไงวะ?”
หลิงม่อตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า แต่กลับไม่ได้เสียสมาธิไปแต่อย่างใด
การใช้หนวดสัมผัสเกี่ยวของประเภทเสาไฟข้างทางหรือเสาไฟฟ้า แล้วโหนตัวข้ามไป ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่การต้องเล็งหาเป้าหมายต่อไปในระหว่างที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง และต้องตอบสนองทันทีที่พบเป้าหมายต่อไปนั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ทันทีที่ไขว้เขว ก็ต้องพบกับโศกนาฏกรรม…
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น