อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 669-675

 ตอนที่ 669 ตอนพิเศษวันคริสต์มาส (ซิงเฉิน และ เสี่ยวไป๋)

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนพิเศษวันคริสต์มาส


เพราะมีกิจกรรมวันคริสต์มาสร้านกาแฟของเซี่ยซิงเฉินเริ่มเข้าสู่ช่วงที่งานยุ่งที่สุด เธอกลับบ้านดึกติดต่อเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ถึงบ้านหลังสี่ทุ่มตลอด


กลับถึงบ้านอย่างแรกไปที่ห้องของลูกทั้งสองคนก่อน


ตั้งแต่คราวที่ถูกจับตัวไปพร้อมกับจิ่งอวี้ เซี่ยต้าไป๋มักฝันร้ายบ่อยครั้ง แม้ว่าเธอกับเย่ฉิงจะเชิญจิตแพทย์ที่ดีที่สุดมาให้เขา ได้ผลก็จริงแต่ก็ไม่อาจรักษาได้ถึงต้นตอของอาการได้


ตอนที่เซี่ยซิงเฉินเข้าไปในห้องของเขา เขากำลังกอดน้องสาวหลับอยู่โดยที่หัวคิ้วเล็กขมวดเข้าหากัน ใบหน้าขาวนิ่มเล็กๆ ชื้นด้วยเหงื่อบางๆ กำปั้นเล็กๆ บนเตียงที่กระชับแรงแน่นจนฝ่ามือก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ


เซี่ยซิงเฉินมองอย่างปวดใจ อุ้มน้องสาวจากอ้อมแขนเขาไปไว้บนเตียงเล็กถึงตบไหล่เขาเบาๆ เป็นการปลุก


เซี่ยต้าไป๋เริ่มแรกยังโบกกำปั้นท่ามกลางอากาศไปมา พอถูกเธอปลุกให้ตื่นอารมณ์ถึงคงที่ลงช้าๆ


“หม่ามี้” เซี่ยต้าไป๋ลากเสียงยาวเรียกเธออย่างเศร้าใจ เธอฟังแล้วเจ็บใจอย่างมาก อุ้มเด็กน้อยขึ้นจากเตียง สองมือตบหลังปลอบเขาแผ่วเบา “เด็กดี ไม่กลัวนะไม่กลัว แม่อยู่นี่!”


เซี่ยต้าไป๋ตาชุ่มฉ่ำแต่ไม่ยอมร้องไห้ออกมา สองแขนขาวเนียนเกี่ยวคล้องลำคอเซี่ยซิงเฉินไว้แน่น ห้อยติดบนเธอเหมือนหมีโคอาล่า “หม่ามี้ คืนนี้หม่ามี้นอนกับผม ได้ไหม?”


เซี่ยซิงเฉินดูลูกชายก่อนจะหันไปดูลูกสาวที่นอนดูดมืออยู่ พยักหน้า “ก็ได้ งั้นแม่ไปอาบน้ำก่อน อาบน้ำเสร็จค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนลูก”


เซี่ยต้าไป๋ถึงยิ้มออก ไถลลงจากตัวเธอ


……………………


เซี่ยซิงเฉินเปลี่ยนทิศทางไปที่ห้องนอน คุณไป๋เองก็ยังไม่นอน กำลังเปิดอ่านเอกสาร


“ทำไมยังไม่นอนล่ะคะ?” เซี่ยซิงเฉินเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนของตัวเองออกมาแล้วเดินไปห้องอาบน้ำพร้อมถามเขาไปพลาง “เดี๋ยวฉันไปนอนห้องลูกนะคะ จะนอนกับพวกเขา”


ไป๋เย่ฉิงหยุดท่าที่กำลังพลิกเอกสาร “แปลว่าคุณคิดจะปล่อยให้สามีของคุณนอนเฝ้าห้องคนเดียว?”


เซี่ยซิงเฉินหลุดขำออกเสียง “คุณไป๋ น้ำเสียงของคุณไม่ดีเลยนะ”


“หรือว่าคุณฟังไม่ออกว่าผมกำลังมีความต้องการ?” ไป๋เย่ฉิงก้าวขายาวไปที่ห้องอาบน้ำ


เซี่ยซิงเฉินคล้องลำคอเขาไว้ กล่อมเขาเสียงนุ่ม “ช่วยไม่ได้ ต้าไป๋นอนไม่หลับ ฉันเพิ่งเข้าไปเขาฝันร้ายอีกแล้ว ฉันเป็นห่วงว่าเขาจะกลัวเลยนอนเป็นเพื่อนเขา”


ไป๋เย่ฉิงยังหน้าบึ้งเหมือนเดิม “แล้วผมล่ะ? คุณเติมเต็มเขาแล้วคิดจะเติมเต็มผมยังไง?”


เขาว่าแล้วสอดมือเข้าใต้ร่มผ้าของเธอ เซี่ยซิงเฉินถูกลูบไล้จนตัวอ่อนแรงยั้งมือเขาเสียงหอบ “รอเดี๋ยว…ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ…”


ไป๋เย่ฉิงเองก็เริ่มหายใจหอบหนักขึ้น เสียงแหบแห้ง “งั้นก็อาบด้วยกัน”


“แต่…คุณอาบแล้วไม่ใช่เหรอ?”


“ผมไม่รังเกียจถ้าจะต้องอาบอีกครั้ง”


เซี่ยซิงเฉินยังอยากพูดบางอย่างต่อแต่ถูกชายหนุ่มประกบจูบ ตามด้วยเสื้อเชิ้ตบนตัวถูกเขาออกแรงกระชากทิ้งจนกระดุมเสื้อเด้งกระจายไปแต่ละที่ เซี่ยซิงเฉินกัดปาก “ไป๋เย่ฉิง นั่นเป็นชุดทำงานของฉันนะ!”


“รู้สึกไม่พอใจกับชุดคุณตั้งนานแล้ว!” ไป๋เย่ฉิงหายใจหอบหนักใช้สายตาราวกับมีไฟพ่นจ้องเธอ “ใส่เย้ายวนใจขนาดนี้ ผมอยากฉีกมันออกตั้งนานแล้ว…”


“คุณ…” เซี่ยซิงเฉินทุบไหล่เขาไปสองทีอย่างนึกโกรธ “นี่มันชุดทำงานของฉัน มันยั่วตรงไหน?”


“ยั่วทุกตรง!” ไป๋เย่ฉิงอุ้มเธอวางในอ่างอาบน้ำ มือหนึ่งถลกกระโปรงทรงเอสีดำของเธอโยนทิ้งไกลๆ อย่างหมดความอดทน “คุณใส่แบบนี้ทุกวัน ยิ้มต่อหน้าผู้ชายพวกนั้นจนตาหยี ผมไม่พอใจตั้งนานแล้ว!”


“คุณพูดเหลวไหล ฉันยิ้มตาหยีต่อหน้าผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่?” เซี่ยซิงเฉินรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้าย


“อย่าคิดว่าผมไม่รู้ ในร้านกาแฟมีผู้ชายมากขนาดไหนที่ไปเพราะคุณ? มีกี่คนที่ให้ดอกไม้คุณ? หืม? แล้วก็คราวก่อนที่ไปเรียนภาคค่ำ ผู้ชายที่ส่งคุณออกมาคนนั้น คุณกล้าบอกหรือว่าเขาไม่ได้สนใจคุณ?”


“…” เซี่ยซิงเฉินหลุดขำ โอบลำคอเขา “มีคนให้ดอกไม้ฉันจริงๆ แต่ฉันไม่ได้รับไว้สักคนเลยไม่ใช่เหรอ? ว่าแต่ ไม่สิ คุณรู้ได้ไงว่ามีคนให้ดอกไม้ฉัน?”


เธอเคยย้ำเตือนพนักงานไว้แล้วนี่นาว่าห้ามให้เรื่องนี้ถึงหูคุณไป๋! ทำไมเขาถึงรู้หมดล่ะ?


“คิดจะปิดบังผม ปิดได้เหรอ?” ไป๋เย่ฉิงจับปลายคางเธอ “ไม่ดูซะก่อนว่าพนักงานของคุณใครเป็นคนจ้างมา”


“…พวกคนทรยศ” ฮือๆ เธอเลี้ยงพวกเนรคุณไว้หรือ?


สุดท้ายเซี่ยซิงเฉินถูกไป๋เย่ฉิงถอดจนตัวเปลือยแล้วจัดการในอ่างอาบน้ำสองครั้งติด เนื่องจากว่าหลายวันนี้เธอกลับมาดึกมากเจ้าตัวค่อนข้างเหนื่อย คุณไป๋ไม่อยากทรมานเธอถึงได้อดทนไว้ตั้งหลายวัน ท้ายมาพอได้สัมผัสเธอในคืนนี้ก็กลั้นไม่ไหว


เซี่ยซิงเฉินอาบน้ำเสร็จออกมาทั้งที่สองขายังสั่นระริก เหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงทั้งตัวไปจนหมดสิ้น ยืนมองคุณไป๋แล้วโอดครวญตรงหน้าประตูห้องอาบน้ำเพราะเดินไม่ไหวจริงๆ


ไป๋เย่ฉิงไปอุ้มเธอขึ้นเตียงทันที “ดูเหมือนไม่ได้ออกกำลังกายนาน พละกำลังของคุณนายไป๋จะแย่ลง จากนี้ไปคงต้องหมั่นออกกำลังกายแล้ว”


เซี่ยซิงเฉินใช้กำปั้นทุบเขาที “เพราะคุณนั่นแหละ ระหว่างนั้นให้ฉันพักหน่อยไม่ได้หรือไง?”


ติดต่อกันสองครั้ง ครั้งละประมาณหนึ่งชั่วโมง ร่างกายเธอทนไหวสิแปลก


“ถูกคุณป่วนจนดึกขนาดนี้แล้ว งั้นฉันไปนอนห้องข้างๆ นะ”


ไป๋เย่ฉิงดึงเธอไว้ “นอนบนเตียงดีๆ นั่นแหละ นอนดีๆ”


พูดจบไม่รอเซี่ยซิงเฉินพูดอะไรเจ้าตัวก็เดินออกไป เซี่ยซิงเฉินรอสักพักเห็นไป๋เย่ฉิงมือหนึ่งอุ้มเซี่ยต้าไป๋ที่หลับสนิท อีกมืออุ้มลูกสาวของพวกเขาเข้ามาในห้อง


“ทำไมอุ้มมาที่นี่ล่ะคะ?” เธอถามเสียงเบา


“คืนนี้นอนที่นี่กันให้หมด” ให้เขาแยกนอนกับภรรยา เขาไม่เอาด้วยหรอก!


เขาวางเด็กทั้งสองบนเตียงแล้วลงทุนกลับไปยกเตียงสำหรับเด็กทารกของลูกสาวย้ายมาในห้องขนาดใหญ่ของพวกเขา วางเด็กไว้บนเตียงสำหรับเด็กทารกก่อนจะให้เซี่ยต้าไป๋นอนข้างๆ ถึงปิดไฟกอดเธอเข้าสู่ห้วงนิทรา


ทั้งอุ่นใจทั้งสบายใจ


เซี่ยซิงเฉินซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา “คุณทำงานยุ่งขนาดนี้ ฉันกลัวว่ากลางคืนลูกสาวจะร้องไห้ทำคุณตื่น”


“ผมจะยุ่งกว่าคุณเหรอ? ช่วงนี้กลับมาดึกทุกวัน ไม่ใช่แค่ผมเริ่มไม่พอใจ แม้แต่เซี่ยต้าไป๋ก็เริ่มไม่พอใจแล้ว”


“ตอนนี้คริสต์มาสเลยยุ่งนิดหน่อย”


“ผ่านคริสต์มาสไปก็เป็นวันปีใหม่ ต่อมาก็วันตรุษจีน คุณนายไป๋ ผมว่าคุณท่าจะงานยุ่งตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีเลยนะ”


เซี่ยซิงเฉินพูดอ้อน “งั้นต่อจากนี้ฉันพยายามทำงานให้เสร็จเร็วกว่านี้ รีบกลับมา คุณอย่าไม่พอใจสิ ได้ไหม?”


พอเธออ้อนเข้าไป๋เย่ฉิงย่อมหายโกรธในพริบตา ได้แต่หยิกแขนเธอ “ช่วงนี้คุณผอมลงอีกแล้ว! ถ้ายังดึกขนาดนี้ หุ้นส่วนใหญ่อย่างผมจะถอนเงินทุนแล้ว!”


เซี่ยซิงเฉินเลื่อนหน้าไปจูบเขา “ห้ามถอน!”


“ได้สิ งั้นรอคุณเสร็จจากงานช่วงนี้ก่อน ถ้าปรนนิบัติผมได้ดี ผมจะพิจารณาอีกทีว่าควรถอนเงินทุนไหม”


เซี่ยซิงเฉินกัดเขา “เมื่อกี้ไม่ได้ปรนนิบัติคุณได้ดีหรือไง?”


ไป๋เย่ฉิงเลิกคิ้ว “แน่ใจว่าเมื่อกี้คุณปรนนิบัติผม ทำไมผมรู้สึกว่าจะเป็นผมที่ปรนนิบัติคุณมากกว่าล่ะ? หืม?”


“…” เซี่ยซิงเฉินถูกเขาตอกกลับจนหน้าแดงหูแดง ดึงผ้าห่มขึ้นสูง “ไม่พูดกับคุณแล้ว ต้าไป๋ยังอยู่นะ!รีบนอน”


…………………


ตอนที่ 670 ระหว่างความใกล้ชิดที่แยกออกเป็นสองทาง (1)

โดย

Ink Stone_Romance

“บอกหรือไม่บอกแตกต่างกันตรงไหน ยังไงก็รู้แล้ว”


ไป๋หลางมองเธอตาปริบ “เมื่อคืนคุณนอนไม่หลับใช่ไหมครับ? ในตามีเส้นเลือดฝอย ใต้ตาก็มีขอบตาดำ”


“เจ็บแผล นอนไม่หลับ” ไป๋ซู่เย่บอกเหตุผลไปง่ายๆ ลากเก้าอี้เดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์เตรียมดูข้อมูลจากกล้องวงจรปิด เธอจะต้องให้ตัวเองงานยุ่งขึ้นมาให้ได้ ขณะนั้นเองที่ประตูห้องทำงานถูกเคาะดัง จากนั้นเลขาผลักประตูเข้ามา “รัฐมนตรี ท่านปลัดบอกว่ามีธุระให้คุณไปหาหน่อย”


“รู้ไหมว่าเรื่องอะไร?” ไป๋ซู่เย่ลุกไปถามไป


เลขาส่ายหัว “ไม่ได้บอกค่ะ แต่ฟังจากน้ำเสียงในสายแล้วตึงเครียดมาก คุณต้องเตรียมใจไว้ให้ดี”


“ไปก่อนค่อยว่ากันอีกที”


ไป๋ซู่เย่ติดเหรียญประดับหน้าอกให้ดี จัดเสื้อผ้าเสร็จถึงไปที่ชั้นบนสุด


บรรยากาศในกระทรวงความมั่นคงมักจริงจังและเข้มงวดเสมอมา ออกจากลิฟต์สัญลักษณ์นกอินทรีย์ตัวผู้ก็ปรากฏต่อหน้าตัวเอง เลขาของปลัดได้เดินมาอย่างสง่า โค้งตัวเล็กน้อย “รัฐมนตรี เชิญทางนี้”


“อืม” ไป๋ซู่เย่เดินตามเธอเข้าไปในห้องทำงานของปลัดกระทรวง ห้องทำงานของปลัดกระทรวงกว้างใหญ่มาก รอบด้านเป็นหน้าต่างตั้งพื้น ผ้าม่านเปิดออกให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา ท่ามกลางความตึงเครียดแฝงด้วยความอบอุ่นอยู่บ้าง


ปลัดกระทรวงยืนอยู่ริมหน้าต่างหันหลังให้เธอ


“ท่านปลัด!” เธอทำความเคารพทักทาย


ปลัดกระทรวงถึงหันหลังกลับมาดับบุหรี่ในมือ มองเธอแวบหนึ่ง “ได้ยินไป๋หลางบอกว่าคุณบาดเจ็บตรงหัว เกิดอะไรขึ้น?”


“แค่แผลเล็กน้อย ฉันไม่ทันระวังตัวเลยชนหลังหัวเข้า ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ”


“ไม่ทันระวัง?” สายตาของปลัดกระทรวงสื่อความหมายบางอย่าง “รัฐมนตรีไป๋ คุณไม่เหมือนคนที่ไม่ระวังตัวแบบนี้นะ”


ไป๋ซู่เย่มองเขานิ่งๆ “มีบางครั้งที่พลาดบ้าง”


“ในเมื่อบาดเจ็บก็อย่ายืนอีกเลย นั่งเถอะ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”


“ค่ะ” ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับแล้วนั่งหลังตรงบนโซฟา ปลัดนั่งตรงข้ามเธอ จ้องเธออยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยปากถาม “ช่วงนี้คุณมีความรักเหรอ?”


ไป๋ซู่เย่มองเขาอย่างไม่เข้าใจแวบหนึ่ง นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัว ปลัดกระทรวงไม่ใช่คนที่จะถามคำถามอย่างนี้


ปลัดกระทรวงล้วงซองเอกสารข้างๆ ขึ้นมาไว้ตรงหน้าไป๋ซู่เย่ “คุณดูสิ นี่เป็นข่าวที่ลูกน้องเอามาให้ตอนเช้าวันนี้ ผมต้องการคำอธิบายจากคุณ!”


ไป๋ซู่เย่เริ่มหายใจติดขัด


เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ


แต่รับซองเอกสารไปพร้อมล้วงรูปภาพข้างในออกมาอย่างไม่รอช้า


อย่างที่คิดไม่มีผิด…


ข้างในล้วนแต่เป็นรูปถ่ายของเธอกับเย่เซียว และเพิ่งถูกถ่ายมาเมื่อวานที่เย่เซียวเข้าประตูห้องพร้อมเธอ ต่อด้วยไปซื้อของที่ตลาด คนของกองข่าวมีความเชี่ยวชาญรอบคอบเสมอมา แฝงตัวอยู่ท่ามกลางคนทั่วไปเลยยากจะสังเกตได้ว่ากำลังถูกติดตามหรือถูกจับตามองอยู่


“คนของเราเดิมทีกำลังจับตามองเย่เซียว แต่ไม่คิดว่าจะถ่ายโดนคุณ ซู่เย่ อธิบายให้ผมทีได้ไหม พวกคุณสองคนมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ตอนนี้?”


สายตาของปลัดกระทรวงในตอนท้ายจริงจังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย


ไป๋ซู่เย่มองรูปภาพเหล่านั้นโดยไม่ได้ตอบกลับทันควัน


ปลัดปรับท่านั่ง สีหน้าจริงจังขึ้นกว่าเดิมมาก “คุณน่ารู้ว่าจากสถานะของคุณในตอนนี้ นอกจากว่าจะเป็นอย่างเมื่อสิบปีก่อนเพื่อปฏิบัติภารกิจ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางใกล้ชิดกับบุคคลอันตรายอย่างเย่เซียวได้ ผมเชื่อคุณ คุณเป็นลูกน้องที่เก่งกาจที่สุดของผมมาตลอด แต่ไม่ได้หมายความว่าคนทั้งกระทรวงจะยอมเชื่อคุณ คนทั้งประเทศจะยอมเชื่อคุณ กระทรวงความมั่นคงเราไม่ใช่หน่วยงานธรรมดา ข่าวทุกข่าวถูกส่งออกไปจากที่นี่ และเราต้องรับประกันห้ามไม่ให้ผิดพลาด! ซู่เย่ ถ้าเกิดว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นที่คุณ คุณน่ารู้ดีว่าไม่ใช่แค่มีผลกระทบต่อคุณเท่านั้น แม้แต่ท่านประธานาธิบดีในตอนนี้ก็ต้องเจอผลกระทบอันหนักหน่วง จุดนี้หวังว่าคุณจะจำให้ขึ้นใจ!”


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จากนั้นค่อยๆ เก็บรูปใส่ซองเอกสาร เชยตามองอีกฝ่าย “ขอบคุณที่ยอมเชื่อฉัน แต่ฉันไม่มีทางทรยศกระทรวงความมั่นคง ไม่มีทางทรยศประเทศ S ยอมเป็นหนอนบ่อนไส้ของเย่เซียว ส่วนฉันกับเย่เซียว…”


ว่าถึงตรงนี้ไป๋ซู่เย่ชะงักไปเล็กน้อย ค่อยๆ พูดออกมา “เรื่องสิบปีก่อน ฉันรู้สึกผิดต่อเขา แต่ตอนนี้เราสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก รูปพวกนี้ไม่มีทางให้เห็นอีกแล้ว”


“ที่คุณพูด ผมจำไว้แล้ว” ปลัดหยักหน้ารับเบาๆ มองเธอด้วยแววตาแฝงนัยยะ “เย่เซียวไม่ใช่คนใจดี จากการไล่บี้โยวหมิงตลอดหลายปีนี้ของเขาก็ดูออกว่าเขายังยึดติดกับเรื่องตอนนั้นอยู่ ถ้าคุณเจอเรื่องลำบากใจอะไรขอความช่วยเหลือจากเราได้”


“ลำบากคุณแล้ว แต่เขาไม่ได้ฆ่าฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ฉันคิดว่าเขาไม่น่าทำอะไรฉัน”


ปลัดพยักหน้า คิดดูแล้วก็ถูก หากเย่เซียวอยากฆ่าเธอคงไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ


ไป๋ซู่เย่ลุกยืน “ถ้าไม่มีเรื่องอื่น ฉันขอตัวก่อน”


“ไปเถอะ ต้องรักษาแผลให้ดีล่ะ หาคุณหมอดีๆ สักคน”


“ค่ะ”


…………………………


ไป๋ซู่เย่เดินออกจากห้องทำงานปลัดกระทรวงเพื่อกลับไปยังห้องทำงานตัวเอง รู้สึกอัดอัดจนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง


ไป๋หลางเห็นสีหน้าเธอผิดปกติจึงเดินตามเธอเข้าไป ถาม “ปลัดมีเรื่องสำคัญอะไรกับคุณเหรอ ทำไมทำหน้าแบบนี้?”


“ให้เลขาเทน้ำให้ฉันสักแก้ว”


ไป๋ซู่เย่ทิ้งตัวลงบนโซฟา เอียงหัวหน่อยๆ มองท้องฟ้าใสนอกหน้าต่าง


ระหว่างเธอกับเย่เซียวเหมือนคนหนึ่งอยู่กลางอากาศ อีกคนอยู่บนพื้นดิน คนหนึ่งคือกลางวัน อีกคนคือกลางคืน ระยะห่างระหว่างทั้งคู่นั้น มีเพียงให้ทั้งคู่ต้องแหงนหน้าทอดมอง…


ไป๋หลางเทน้ำเข้ามาด้วยตัวเอง “คุณรีบดื่มน้ำเร็ว ผมเทน้ำอุ่นมาให้ เห็นสีหน้าคุณแย่มาก”


ไป๋ซู่เย่รับคำ ‘อืม’ พลางจิบน้ำคำหนึ่ง


“รัฐมนตรี วันนี้คุณเห็นเวยป๋อของน่าหลันหรือยังไง? เช้ามาก็สีหน้าผิดปกติ” ไป๋หลางถามอย่างสงสัย


ไป๋ซู่เย่ชะงักท่วงท่าที่กำลังดื่มน้ำกึก “ฉันจะดูเวยป๋อเธอทำไม? ต่อให้ฉันสีหน้าแปลกไปก็ไม่เกี่ยวกับเธอ”


“ไม่เกี่ยวก็ดีที่สุด ถ้าไม่ได้ดูก็ไม่ต้องดูหรอก”


ไป๋ซู่เย่มองไป๋หลางแวบหนึ่ง สุดท้ายไม่ได้ถามอะไรออกจากปากแค่โบกมือให้เขาออกไปได้แล้ว


ไป๋หลางออกไปจากห้องทำงาน ไป๋ซู่เย่นั่งเหม่ออยู่ที่โซฟาพักหนึ่ง รอหลุดจากภวังค์อีกทีก็เปิดเวยป๋อแถมยังอยู่หน้าส่วนตัวของน่าหลัน


น่าหลันไม่ใช่คนที่ชอบโพสต์เวยป๋อ คราวก่อนที่โพสต์เวยป๋อคือวันเกิดของเธอ แต่ในเช้าวันนี้เธอได้โพสต์เวยป๋ออีกครั้ง


เนื้อหาที่ลงเวยป๋อยังคงเป็นประโยคสั้นกระชับและแฝงความในใจ


หวังว่าทุกเช้าลืมตาจะมองเห็นคุณเป็นคนแรก


…………………………


ตอนที่ 671 ระหว่างความใกล้ชิดที่แยกออกเป็นสองทาง (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เธอแนบรูปประกอบ


สองรูป


รูปแรกเป็นรูปที่ผู้ชายกับผู้หญิงนอนกุมมือ เห็นแค่มือข้างเดียวไป๋ซู่เย่ก็จำได้แม่นว่านั่นเป็นแขนของเย่เซียว


ส่วนรูปที่สอง…


เป็นรูปที่เธอนอนในอ้อมกอดของเย่เซียวในสภาพเปลือยเปล่า แขนเย่เซียวโอบเธอไว้ เธออยู่ใต้กล้องนอนคู้ตัวเหมือนเด็กน้อย หลับใหลในอ้อมแขนเขาอย่างมีความสุข


ไป๋ซู่เย่มองนิ่งๆ ภาพตรงหน้าพร่ามัว ทันใดนั้นเธอกดปิดคอมพิวเตอร์พร้อมกัน


สูดหายใจลึกหลับตาเพื่อกลั้นน้ำตาไว้


ภาพที่เธอนอนอยู่ในอ้อมแขนเย่เซียวคืนนั้น บัดนี้ได้ถูกพังทลายลงกลายเป็นผุยผง…


…………………………


สองวันต่อมาไป๋ซู่เย่พยายามให้ตัวเองมีสติในการใช้ชีวิต


เธอไปทำการตรวจแผลที่โรงพยาบาล


ไปแผนกสูตินรีเวชก่อน


“แผลหายเร็วดี ทายาทุกวัน ไม่เกินสิบวันน่าจะหายได้” คุณหมอแผนกสูตินรีเวชบอกเธอ


“ขอบคุณค่ะ” ไป๋ซู่เย่จัดเสื้อผ้าลงจากเตียงตรวจและตัดสินใจไปหาถังซ่งเพราะไม่อยากอยู่นานกว่านี้ ให้ถังซ่งดูแผลตัวเองสักหน่อย


ตอนนี้ถังซ่งกำลังเล่นปาเป้าในห้องทำงานอย่างเบื่อหน่าย


ตาเป็นประกายทันทีที่เห็นไป๋ซู่เย่


“รัฐมนตรีไป๋ ผมคิดว่าคุณจะไม่มาหาผมแล้วซะอีก!”


“ทำไมฉันต้องไม่มาหาคุณด้วย?” ไป๋ซู่เย่หยิบลูกดอกหนึ่งตัวปาใส่จุดแดงใจกลางเป้าอย่างง่ายดาย


“คุณทะเลาะกับเย่เซียวไม่ใช่เหรอ? ผมกลัวว่าคุณจะไม่อยากเจอหน้าผมไปด้วย”


เอ่ยถึงผู้ชายคนนั้นแล้วเธอชะงักไปชั่ววูบ ฉีกปากยิ้มจางๆ “เย่เซียวบอกคุณเหรอ?”


“ก็ไม่เชิงหรอก วันนั้นจู่ๆ เขามาหาผม สีหน้าดูไม่ได้เลย ผมเดาว่าพวกคุณต้องมีปัญหากันแน่ๆ อย่างที่คาดไว้ไม่ผิดพอผมพูดถึงคุณต่อหน้าเขาหน่อยก็เกือบตายเพราะคุณแหนะวันนั้น”


“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน?” ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าตรรกะของเขามีปัญหาอย่างมาก


“ถ้าไม่ใช่ว่าคุณทำเขาโมโหมา เขาจะขับรถเร็วอย่างไม่คิดชีวิตแบบนั้นเหรอ? ถ้าเกิดชนใครเข้า ผมตายแน่ๆ”


ไป๋ซู่เย่ไม่พูดอะไร


คืนนั้นเธอทำเขาโมโหตามที่คิดเลย นั่นสิ ผู้ชายเย่อหยิ่งอย่างเขาคนหนึ่งจะทนฟังคนที่เคยทรยศหักหลังเขาได้อย่างไร?


“ไม่พูดถึงเขาแล้ว วันนี้ฉันมารีเช็ค คุณช่วยฉันดูหน่อย” เธอไม่อยากคิดต่ออีก ค่อยๆ ค่อยๆ ให้กลายเป็นอดีตของกันและกันเถอะ…


“อืม แต่การตรวจในวันนี้อาจจะซับซ้อนหน่อยนะ คุณนั่งสิ ผมจะเขียนใบสั่งให้คุณไปทำการตรวจให้ครบทุกด้านนะ”


ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบ นั่งอยู่ตรงนั้นเปิดนิตยสารการรักษาพยาบาลข้างๆ นั่งรอเงียบๆ


หลายครั้งถังซ่งปรายตามองมาที่เธอและอดรู้สึกคร่ำครวญในใจไม่ได้ เทียบกับอาการเหนือการควบคุมของเย่เซียวในคืนนั้นแล้ว เธอกลับใจเย็นเหมือนคนที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าเย่เซียวตกอยู่ในกำมือเธอได้อย่างไรเนี่ย?


“แอบมองฉันตลอด ไม่เขียนใบสั่งของคุณเพราะมัวแต่คิดอะไรอีก?” ไป๋ซู่เย่ไม่ได้เงยหน้า เพียงแค่พลิกหน้ากระดาษอย่างสบายๆ ต่อ


ถังซ่งชะงัก


จากนั้น…


“ให้ตายสิ! คุณเหมือนเย่เซียวเลย มีดวงตาขึ้นอยู่ข้างๆ หรือไง!”


ไป๋ซู่เย่ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น แต่ท่วงท่าที่พลิกนิตยสารช้าลงมาก


“โอเค เสร็จแล้ว คุณไปจ่ายเงินได้” ถังซ่งยื่นใบสั่งให้ ไป๋ซู่เย่ลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปแต่ประตูก็ถูกคนผลักเข้ามาจากข้างนอกในเวลาเดียวกัน


“ผู้อำนวยการ คุณเย่เซียวมาแล้ว แล้วก็…”


คนที่ผลักประตูเข้ามาคือผู้ช่วยของถังซ่ง เห็นไป๋ซู่เย่ที่อยู่ข้างในพลางชะงักนิ่งไปที ไม่ได้พูดต่อ


ไป๋ซู่เย่ได้ยินคำว่า ‘เย่เซียว’ เองก็เผลอสติหลุดไปชั่ววูบ ชั่วขณะที่เหม่อลอยเย่เซียวก็เดินเข้ามา อีกทั้ง…มีใครอีกคนเดินขนาบข้างเข้ามาด้วย


น่าหลัน


ไป๋ซู่เย่กระชับแรงที่กำกระดาษแน่นขึ้น


ถังซ่งสบถในใจ พึมพำ “โลกมันแคบจริงๆ เลยนะ”


เห็นได้ชัดว่าเย่เซียวกับน่าหลันต่างไม่คิดว่าไป๋ซู่เย่จะปรากฏตัวที่นี่ น่าหลันทำหน้าตกใจชั่ววูบและแทบจะกระชับกอดแขนเย่เซียวโดยไม่รู้ตัว คล้ายกำลังประกาศความเป็นเจ้าของ


ส่วนเย่เซียวคงท่าทางเย็นชาเพียงแค่เหลือบมองไป๋ซู่เย่แวบหนึ่งก็ไม่มองเธออีก ราวกับคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน


ห้องทำงานกว้างใหญ่ดีๆ กลับดูเหมือนจะแคบลงและอึดอัดมากทันตา


ถังซ่งมองสีหน้าคนนี้ทีแล้วหันไปมองคนนั้นที ได้แต่ชิงพูดขึ้น “พวกนายมาเร็วขนาดนี้ได้ยังไง? อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นไม่ใช่เหรอ?”


“พอดีวันนี้เย่เซียวไม่ทำงานเลยมาก่อนเผื่อรถติดตอนเวลาเลิกงาน คุณคงไม่ได้ไม่ต้อนรับเราหรอกนะ?”


“พูดอะไรกัน ทั้งสองท่านยอมให้เกียรติมา ผมจะไม่กล้าต้อนรับได้ยังไงล่ะ” ถังซ่งหัวเราะเฮฮาเพื่อกระตุ้นบรรยากาศ


ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนี้แล้วเป็นส่วนเกินมาก เธอไม่อยากอยู่นานกว่านี้จึงกล่าวกับถังซ่ง “งั้นฉันไปตรวจก่อนล่ะ”


“อืม” ถังซ่งพยักหน้าเหมือนส่งเทพสักองค์เสด็จกลับ


ไป๋ซู่เย่เดินตรงไปที่ประตูและร่างของเย่เซียวกำลังยืนขวางประตูพอดี เธอเดินมาแต่เขาไม่คิดจะเบี่ยงตัวหลบสักนิด ไป๋ซู่เย่ออกไปไม่ได้ จิกปลายเล็บกับฝ่ามือเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลงหน่อย จากนั้นเงยหน้ายิ้มน้อยๆ “รบกวนช่วยหลีกทางหน่อย ได้ไหม?”


น้ำเสียงให้ความเกรงใจมากเหลือเกิน…


ห่างเหินเหลือเกิน…


ถังซ่งที่ยืนฟังข้างๆ ยังแอบใจกระตุกวูบ สังเกตสีหน้าเย่เซียว


อย่างที่คาดเย่เซียวทำหน้าเรียบตึงแต่มุมปากกลับจุดยิ้มเย็นชา เขาไม่ได้หลีกทางทันทีแค่ถามถังซ่ง “ค่าตรวจพวกนี้ ใช้เงินเท่าไหร่?”


“ให้ราคาพิเศษครอบครัว อย่างน้อยก็ต้องสองพันล่ะมั้ง”


เย่เซียวล้วงเงินปึกหนึ่งจากกระเป๋าแล้วยัดใส่มือที่กำแน่นของไป๋ซู่เย่


“รัฐมนตรีเจ็บตัวเพราะผม เงินนี่ก็ต้องผมจ่าย ถ้าไม่พอล่ะก็ไปเบิกเงินได้ที่ฝ่ายบัญชีบริษัทผม” ทุกถ้อยคำจากเขาให้ความเย็นชาอย่างมาก


หาฝ่ายบัญชี…


แต่ไม่ใช่หาเขา…


แบ่งแยกชัดเจนดี


เขาให้เงินเธอก็แบ่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้ชัดเจนแล้วเหมือนกัน


“ขอบคุณ ถ้าไม่พอล่ะก็ฉันจะให้คนของฉันไปเบิกเงินที่บริษัทคุณ” ไป๋ซู่เย่เองก็ยิ้มตอบรับเขา


เก็บเงินเบี่ยงตัวเดินจากไป


เดินสวนไหล่กับเขา…


ตัวเขาเกร็งแน่น


เธอเองก็เช่นกัน


ถังซ่งยืนกุมหน้าผากอยู่ข้างๆ ต้องยอมสองคนนี้จริงๆ! กำลังแข่งว่าใครดื้อกว่ากันหรือ? สมน้ำสมเนื้อเสียจริง!


…………………………


ไป๋ซู่เย่เดินออกจากห้องทำงานของถังซ่งโดยที่เจ้าตัวดูล่องลอย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ที่มาเจอเย่เซียวกับน่าหลันที่นี่ได้


“คราวก่อนเย่เซียวมาอยู่เป็นเพื่อนคุณไป๋ทั้งคืน ฉันคิดว่าเขาชอบคุณไป๋มากซะอีก! ตอนนั้นคุณไป๋บาดเจ็บต้องเย็บแผล เขาดูปวดใจมากเลยนะ สุดท้ายไม่คิดว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนคนใหม่ไปแล้ว”


……………………………


ตอนที่ 672 ระหว่างความใกล้ชิดที่แยกออกเป็นสองทาง (3)

โดย

Ink Stone_Romance

เดินผ่านเคาน์เตอร์บริการก็ได้ยินเหล่านางพยาบาลก่อนหน้านี้ซุบซิบกัน ปวดใจ? เย่เซียวกำลังปวดใจกับสภาพตัวเองหรือ? เธอไม่รู้ แต่เหมือนจะใช่ก็เหมือนจะไม่ใช่ ความคิดของเขายากจะหยั่งลึกเข้าถึง


“เปลี่ยนคนที่ไหนกันล่ะ? เธอมาใหม่ไม่รู้ล่ะสิ วันนี้คุณน่าหลันที่มาพร้อมกับเขา เมื่อก่อนผู้อำนวยการตอนล้อเล่นเรียกเธอว่า ‘พี่สะใภ้’ บ่อยเชียวล่ะ! คุณเย่เซียวได้ยินก็ไม่ปฏิเสธ พวกเขาสองคนคู่กันมาตั้งแต่แรกแล้ว”


เธอหายใจติดขัด


“หมายความว่าคุณไป๋ต่างหากที่มาทีหลัง?” เหล่าพยาบาลยังคงพูดต่อ


“แน่นอนสิ! เธอไม่สังเกตเห็นเหรอว่าคุณไป๋กับคุณน่าหลันหน้าตาคล้ายๆ กัน ฉันว่าที่คุณเย่เซียวดีกับคุณไป๋ขนาดนี้ก็น่าจะเพราะหน้าที่แอบคล้ายคลึงกับคุณน่าหลันมากกว่าเลยเผลอรักไปด้วยน่ะสิ”


ไป๋ซู่เย่คอยฟังทีละประโยคๆ ขณะเคลื่อนตัวเข้าไปในลิฟต์ช้าๆ ลงไปชั้นล่างโดยที่เจ้าตัวทำหน้าเรียบนิ่งไม่ให้คนอื่นจับอารมณ์ที่ผิดปกติได้ แต่เจ้าตัวกลับเย็นชาผิดแปลกไปจากเดิม เย็นชาจนน่ากลัวคล้ายว่าเป็นร่างว่างเปล่า ไร้วิญญาณ


…………………………


จากนั้นไป๋ซู่เย่ไม่ได้กลับไปที่ห้องทำงานของถังซ่งอีก


ผลตรวจออกมาก็มีคุณหมอท่านอื่นคอยดูให้ ยังดีที่ไม่มีอะไรหนักหนา


ทำการตรวจทุกอย่างเสร็จก็ใกล้เวลาเลิกงานของโรงพยาบาล ตอนออกมาอากาศค่อนข้างดี แต่ตอนนี้กลับฝนตก


วันนี้ไม่ได้ขับรถออกมาเพราะที่จริงแล้วหลายวันนี้เธอพยายามหลีกเลี่ยงไม่ขับรถ ด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่จึงไม่อยากล้อเล่นกับชีวิต เธอยืนโบกรถเมล์ด้านนอก


แต่ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ คนเลิกงานก็มากขึ้นเรื่อยๆ ยังคงไม่มีรถแท็กซี่ที่ว่าง เธอยกแขนไว้เหนือศีรษะเพื่อบังฝนแม้จะไม่ได้ผลอะไร…เริ่มเสียใจที่ตนไม่ได้ขับรถมา


รอพักใหญ่มีรถคันหนึ่งฝ่าฝนมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่ากำลังจะขวางทางที่เธอจะไปและรถคันนั้นกดแตรเสียงดังรัวๆ ไป๋ซู่เย่เผลอหันกลับไปมองก็เห็นป้ายรถทะเบียนที่แสนคุ้นตา รถคันที่คุ้นเคย…


มีหยาดน้ำฝนกับหน้าต่างบานหนากั้นไว้ เธอยังเห็นสายตาเย็นชาเรียบนิ่งของเย่เซียวคู่นั้นที่กำลังจดจ้องเธอนิ่งได้ชัดเจน น่าหลันนั่งอยู่ตรงข้างคนขับ สายตาของเธอแฝงด้วยความไม่สบายใจปนระแวงเช่นเคย


ไป๋ซู่เย่เบี่ยงตัวหลบโดยการที่เหยียบขึ้นไปยืนทางเท้าเดินข้างๆ


เดิมทีหลงคิดว่าพวกเขาน่าจะไปได้แล้ว กลับไม่คิดว่าเพิ่งออกมา


ขณะที่รถยนต์เคลื่อนผ่านข้างกายเธอไปกลับชะลอจอด กระจกรถเลื่อนลงช้าๆ ถังซ่งโผล่ครึ่งใบหน้ามาเชื้อเชิญเธอ “ขึ้นรถสิ ฝนหนักเกินไปแล้ว”


“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราไม่ได้ไปทางเดียวกัน” เธอไม่ได้ซื่อขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าคนในตำแหน่งคนขับกับข้างคนขับไม่ต้อนรับเธอ เย่เซียวยังคงเหยียดหลังตรงไม่หันข้างสักนิด น่าหลันกลับเบนหน้ามามองเธอแวบหนึ่งด้วยสายตาที่สื่อความหมายชัดเจน


“หัวคุณตากฝนไม่ได้ กลับไปถ้าติดเชื้อจะสาหัสมากเลยนะ!” ถังซ่งตักเตือนตามหน้าที่ในมุมของคุณหมอ


“อืม ฉันจะไปนั่งรถไฟใต้ดินเดี๋ยวนี้”


เพิ่งสิ้นคำของเธอไม่รอถังซ่งเลื่อนกระจกขึ้นรถยนต์ก็ถูกเหยียบคันเร่งจนพุ่งทะยานออกไปไกล น้ำกระเด็นไปรอบข้าง


…………………………


รอพวกเขาจากไปไป๋ซู่เย่ยืนรอข้างถนนอยู่ราวสิบนาทีจนเจ้าตัวเหมือนลูกหมาตกน้ำ แต่ก็ไม่มีรถมาสักที เธอได้แต่เดินไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ท่าทางวันนี้จะเรียกแท็กซี่ไม่ได้เสียแล้ว ถึงจะเรียกแท็กซี่ได้จริงๆ จากสถานการณ์รถติดแทบไม่เขยื้อนตัวในขณะนี้เกรงว่าถึงบ้านอีกทีน่าจะสามทุ่มกว่า


ปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินยังห่างจากโรงพยาบาลอยู่ระยะหนึ่ง อีกทั้งฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ นี่มันเป็นเรื่องที่แย่มากๆ! แต่จะทำอย่างไรได้? เดินต่อไปเถอะ!


เธอตัดสินใจไม่ใช้มือบังฝนอีก เหยียบรองเท้าส้นสูง เสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงสีเขียวเข้มเดินท่ามกลางสายฝนไปช้าๆ


ลมพัดมาให้ชายกระโปรงเธอพลิ้วไหว เธอเหมือนดอกฝิ่นที่กำลังเริงระบำกลางสายฝน ความสง่าของเธอเหมือนเป็นภาพทิวทัศน์แสนงดงามให้กับโลกที่แสนโกลาหลวุ่นวายนี้


“คุณ จะกางร่มด้วยกันไหม? ตัวคุณเปียกหมดแล้ว” เดินไปได้ครึ่งทางมีชายหนุ่มคนหนึ่งถือร่มวิ่งมาจากด้านหลัง สายตาเหนือศีรษะหายไป ไป๋ซู่เย่ยิ้มให้อีกฝ่ายจางๆ “ขอบคุณ”


ไม่ได้ปฏิเสธ


“คุณเองก็ทำงานแถวนี้เหรอ?” อีกฝ่ายเห็นหน้าเธอก็ตาวาว ชวนคุยด้วยความสนใจ


คนสวยนะ


ท่าทางเย็นชาโดยที่ใบหน้ายังมีน้ำฝนติดอยู่ ยิ่งขับให้คล้ายกับดอกแพร์ที่ปลิวตกบนผิวน้ำ เรียกให้คนพบเห็นใจสั่น


“เปล่า” ไป๋ซู่เย่ตอบกลับสั้นๆ ผู้ชายคนนี้ไม่คิดจะปกปิดความคิดตัวเอง เธอดูออก


“อา ผมรู้แล้ว คุณต้องมาโรงพยาบาลแน่ๆ ใช่ไหม? บนหัวยังมีผ้าพันแผลอยู่เลย บาดเจ็บเหรอ? บาดเจ็บอยู่ก็ยิ่งตากฝนไม่ได้ ก่อนออกจากบ้านคุณน่าจะดูพยากรณ์อากาศหน่อย”


“…” ไป๋ซู่เย่ไม่มีความเคยชินที่คุยกับคนแปลกหน้ามากนักจึงไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่าย


“ผมจะหยิบทิชชูให้คุณเช็ดหน้านะ” ชายหนุ่มก้มหัวค้นกระเป๋าตัวเอง


ทันใดนั้นไป๋ซู่เย่รู้สึกมีแรงจับตรงข้อมือ วินาทีถัดมาเจ้าตัวถูกคนกระชากออกจากใต้ร่มของคนแปลกหน้า เธอถูกกระชากตัวอย่างไม่ทันตั้งตัวจนตัวหมุนหนึ่งรอบก่อนจะกระแทกเข้ากับอกแกร่งของชายหนุ่มแรงๆ เหนือศีรษะกลายเป็นร่มสีเทาอีกคันที่มีพื้นที่กว้างกว่าเดิม ห้อมล้อมทั้งคู่เข้าด้วยกัน


กลิ่นอายคุ้นเคยเตะจมูก เธอแทบไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้ว่าใครคือคนกระชากตัวเอง


เขามาอยู่นี่ได้อย่างไร?


ตอนนี้ไม่ใช่ว่าควรอยู่กับน่าหลันและถังซ่งหรือ?


ความรู้สึกอยากร้องไห้ตีตื้นขึ้นมา ความเฉยชาที่เสแสร้งมาก่อนหน้าเริ่มประคองต่อไม่ไหว “คุณปล่อยฉัน”


น้ำเสียงของเธอไม่ได้ดีมาก แม้แต่ตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงโกรธ รู้แค่มีไฟนิรนามลุกโชนในใจและมันถูกกดทับไว้สองวันเต็มๆ


ตั้งแต่โทรศัพท์ในคืนนั้นมาถึงเวยป๋อของน่าหลัน แล้วก็เมื่อครู่…


น่าขำสิ้นดี


ตัวเองเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าอย่าโกรธ อย่าไปสนใจ ลืมไปแล้วหรือ? แล้วไหง…ถึงได้ลากน่าหลันมาเข้าเกี่ยว เธอไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกแล้ว? นี่มันสวนทางกับคุณสมบัติอาชีพเธออย่างสิ้นเชิง


“เพิ่งสองวัน คุณก็สูงส่งจนผมแตะต้องไม่ได้เชียวเหรอ?” เย่เซียวประชด กวาดสายตาดูถูกผ่านตัวเธออย่างไม่เกรงใจ “ทุกที่บนตัวคุณ มีตรงไหนที่ผมยังไม่เคยสัมผัสบ้าง?”


“…” มือคู่นั้นของเขาที่เคยสัมผัสเธอ ก็เคยใช้สัมผัสทุกตารางนิ้วบนตัวน่าหลันเช่นกัน


เพราะความคิดนี้ไป๋ซู่เย่เริ่มหายใจหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิมมาก


“เย่เซียว ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณกลางถนน คุณไปทางของคุณ ฉันไปตามทางของฉันเถอะ ลาก่อน” เธอไม่อยากคุยกับเย่เซียวไปมากกว่านี้ หันหลังเดินไปยืนใต้ร่มของชายแปลกหน้านั่นอีกครั้งแล้วบอกอีกฝ่าย “ต้องยืมร่มคุณอีกสักหน่อยนะ ขอโทษที”


………………………


ตอนที่ 673 ระหว่างความใกล้ชิดที่แยกออกเป็นสองทาง (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“เป็นเกียรติของผม เป็นเกียรติของผม!” ชายหนุ่มยินดีและดีใจอย่างมาก ยืนใกล้หญิงสาวจนสามารถได้กลิ่นหอมจากตัวเธอ


เย่เซียวหน้าเรียบตึง ก้าวเท้ายาวไปตรึงแขนเธอไว้ เธอหันหลังกลับมา เขาถลึงตาจ้องเธออย่างเย็นชา “ไป๋ซู่เย่ อย่าไม่รู้จักเจียมตัว! อย่าลืมนะว่าสัญญาของเรายังไม่จบ! ตอนนี้คุณยังเป็นของเล่นของผม ต้องโผล่หัวมาทุกครั้งที่เรียก!”


ประโยคท้ายเขากัดฟันพูดหนักๆ คล้ายอยากให้เธอจดจำให้ดี


หากพูดถึงสัญญาไป๋ซู่เย่ก็หมดคำจะถกเถียงเสมอไป หรืออาจพูดได้ว่าแค่อาศัยคำอ้างนี้ให้เธอได้ทำตามใจตัวเองบนความสัมพันธ์นี้สักหน่อยดี?


ชายแปลกหน้าเห็นท่าทางเธอเหมือนถูกคนรังแกก็อดที่จะเรียกร้องความยุติธรรมแทนไม่ได้ “คุณไม่เห็นหรือไงว่าเธอไม่ยอมกางร่มกับคุณ คุณ…”


“ไสหัวไป!” เย่เซียวตอบกลับผู้ชายคนนั้นเสียงเด็ดขาด


ตวัดสายตาดุดันที่เรียกให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกจากก้นบึ้งของหัวใจได้มากกว่าสายฝนลมหนาวนี้เสียอีก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนสองขาอ่อนแรง


ผู้ชายคนนี้แค่ดูก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา แค่ใบหน้าเย็นชาจนน่ากลัวนั่นก็แล้ว ขนาดตัวยังสูงกว่าเขาหนึ่งช่วงไหล่ หากต่อยกันจริงๆ ไม่มีความเป็นไปได้ที่เขาจะชนะสักนิด


คิดเท่านี้สุดท้ายชายแปลกหน้าได้แต่กางร่มเดินไปอย่างเชื่อฟัง


……………………


กลางสายฝน


เหลือแค่ไป๋ซู่เย่กับเย่เซียวสองคน


“คุณไปทานข้าวกับพวกเขาเถอะ ฉันไปนั่งรถไฟใต้ดิน” เสียงไป๋ซู่เย่อ่อนเพลียปนเหนื่อยล้า มีแผลบนหัวแล้วยังตากฝน ย่อมไม่มีทางรู้สึกดีอยู่แล้ว


เธอเหนื่อยมากจริงๆ ความเหนื่อยที่เหนื่อยมาจากใจ เธอไม่อยากทะเลาะกับเย่เซียวภายใต้สถานการณ์อย่างนี้อีก


เย่เซียวกลับทำเหมือนคร้านจะสนใจเธอ ดึงแขนเธอไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ไป๋ซู่เย่กลัวว่าจะเจอคนของกองข่าวแล้วโดนถ่ายรูปไว้อีก มันไม่มีผลดีต่อใครแต่ก็ไม่ได้ขืนตัวแต่อย่างใด สุดท้ายปล่อยให้เขากระชากเดินไปข้างหน้า เธอมองแผ่นหลังหนาของเขาอย่างล่อยลอย


พวกเขาดูเหมือนจะอยู่ใกล้กันเพียงคืบ ใกล้เสียจนยื่นมือก็จับต้องสัมผัสได้ แต่กลับห่างไกลกันเหลือเกิน…


ความอบอุ่น ความสวยงามที่พวกเขาเคยมีด้วยกัน เป็นเพียงแค่ฟองสบู่เท่านั้น


แตะเบาๆ ก็สลาย…ไม่เหลือให้เป็นที่จดจำ…


……………………


อีกฟากหนึ่ง


บนโต๊ะอาหารเหลือเพียงน่าหลันกับถังซ่งสองคน


น่าหลันมองไปนอกหน้าต่างนิ่ง สเต๊กเนื้อตรงหน้าเย็นชืดหมดแล้วแต่เธอกลับไม่ขยับมีดส้อมเลย


ถังซ่งแอบก่นด่าเย่เซียวว่าไอ้เลว เพิ่งนั่งลงไม่ถึงสองนาทีก็หยิบร่มเดินไปโดยไม่คิดจะพร่ำบอกกันสักนิด ทำให้เขาต้องมาปลอบน้องสาวที่เศร้าโศกอยู่ตรงนี้


“ผมไม่เห็นคุณทานอะไรเลย ไม่ชอบหรือเปล่า? ถ้าไม่ชอบหยิบเมนูมาเปลี่ยนใหม่เป็นไง?” ถังซ่งเอ่ยปากโบกมือจะเรียกพนักงานมา


น่าหลันส่ายหัว “ช่างเถอะค่ะ ความจริงทานอะไรก็เหมือนกัน”


ไม่มีอารมณ์ ต่อให้ได้ทานของที่อร่อยมากแค่ไหนความจริงก็มีแต่รสชาติเหมือนเคี้ยวเทียน


ถังซ่งเองก็รู้ว่าเธอไม่มีความสุขถึงได้พยายามกระตุ้นบรรยากาศ “หรือว่าผมเล่นมายากลให้คุณดี ว่าไงล่ะ? สนุกนะ ผมเพิ่งเรียนมา”


วิธีที่ห่วยแตกสิ้นดี! แต่ปกติใช้ปลอบหญิงสาวได้ผลนะ


น่าหลันมองเขาอย่างเศร้าใจ “งั้นคุณช่วยเสกให้เย่เซียวกลับมาให้ฉันทีได้ไหม?”


“…” ถังซ่งหมดคำพูด ถอนหายใจวางช้อนน้ำซุปในมือลง “น้องสาว คุณฟังผมนะ ผู้ชายน่ะบางครั้งก็อย่างนี้แหละ…ของบางอย่างเหมือนหนามที่ยอกในอก ถ้าคุณไม่ให้เขาดึงมันออก มันก็ตำอยู่ตรงนั้นให้เจ็บปวดไปตลอดชีวิต ฉะนั้น คุณต้องให้เวลาเขา”


“ให้เวลาเขา…ถ้าฉันยอมให้เวลาเขาจริงๆ หนามเสี้ยนนั่น จะดึงมันออกได้ไหม?” น่าหลันถามเสียงเบา เป็นการพึมพำเองเสียมากกว่า สิบปีแล้ว ยังดึงไม่ออกเลย…เขาต้องการเวลาอีกกี่สิบปี?


ถังซ่งทนมองผู้หญิงเสียใจไม่ได้เลย เห็นท่าทางเธอเช่นนี้จึงรีบพูดปลอบ “ได้สิ ต้องได้แน่ๆ คุณวางใจได้ ผมเข้าใจเขา เขาหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีทางอนุญาตให้ตัวเองตกอยู่ในกำมือไป๋ซู่เย่สองครั้งได้หรอก อีกอย่างคุณก็รู้ว่าต่อให้เขาอยากอยู่กับไป๋ซู่เย่ ก็ต้องดูว่าลูกน้องของเขายอมไหม นอกจากจะไปตาย พวกเขาสองคนถึงมีความหวังสักเสี้ยว”


พูดถึงสุดท้ายน้ำเสียงถังซ่งเองก็หนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม หากพูดขึ้นมานี่ต่างหากสิ่งที่เขากังวลที่สุด หากเย่เซียวปล่อยวางไป๋ซู่เย่ไม่ได้อย่างแท้จริง สุดท้ายยอมที่จะเลือก…


คิดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็ไม่กล้าคิดต่อไป ประสบการณ์ที่ถูกยิงทะลุไส้เมื่อสิบปีก่อน จนทุกวันนี้ก็ทำเอาเขาขนลุกทุกครั้งที่นึกถึง


……………………


เดิมทีไป๋ซู่เย่คิดว่าเย่เซียวจะกลับไปหลังส่งเธอถึงปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ไม่คิดว่าเขาเก็บร่มและไม่ได้ไปไหน


เธอเริ่มไม่เข้าใจเขาแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ


เย่เซียวไม่เคยนั่งรถไฟใต้ดิน อย่างน้อยเขาไม่เคยนั่งรถไฟใต้ดินในประเทศมาก่อน หลังจากถูกรับไปเลี้ยงในวัยเยาว์ก็ถูกพาไปต่างประเทศทันที ส่วนไป๋ซู่เย่เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินตั้งแต่เด็กจึงนับว่าคล่องพอตัว เธอไปยืนต่อแถวซื้อตั๋วก่อน ภายในสถานีรถไฟใต้ดินนี้เบียดอย่างเหลือเชื่อ เย่เซียวยืนอยู่หลังเธออย่างนั้น


เขาสูงมาก


มองผ่านไปไม่มีผู้ชายคนไหนในสถานีรถไฟใต้ดินที่สูงและกำยำกว่าเขา


ไป๋ซู่เย่หาเส้นทางไปยังใต้ตึกห้องของเธอได้ก็จองตั๋วหนึ่งใบ แต่ถูกเย่เซียวเปลี่ยนเป็นสองใบ ไป๋ซู่เย่หันกลับมามองเขา “คุณจะไปไหน?”


“คุณว่าไงล่ะ?”


“…” ไป๋ซู่เย่ไม่เข้าใจเย่เซียวมากไปอีก


รอได้ตั๋วมาถึงได้ยินเย่เซียวพูดขึ้นเสียงเรียบ “ผมลืมของไว้ที่บ้านคุณ ไม่ต้องคิดเหลวไหล”


“อ้อ” ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง


ความจริงไป๋ซู่เย่ก็รู้ว่าเขาลืมของไว้ที่บ้านเธอ เป็นเนกไทเส้นหนึ่ง น่าจะได้มาจากน่าหลันเพราะบนนั้นปักคำว่า ‘หลัน’ ไว้ เมื่อวานเธอเพิ่งสังเกตเห็นตอนจัดตู้เสื้อผ้า เดิมทีกำลังชั่งใจว่าควรไปส่งให้เขาหรือไม่ แต่พอคิดอีกทีเกรงว่าเขาจะจำของเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ได้


ถึงตอนนี้เพิ่งรู้ว่าที่แท้แล้วเขาจำได้แม่นยำ เห็นทีนั่นคงเป็นของสำคัญสำหรับเขามาก


ขณะที่กำลังเหม่อลอยรถไฟใต้ดินก็มาถึง เนื่องจากคนจำนวนมากทำให้เธอถูกกลุ่มคนเบียดเข้าไปในรถไฟทันทีที่เพิ่งยกเท้า เพียงครู่เดียวเธอกับเย่เซียวก็คลาดกัน


เข้าไปในโบกี้รถไฟใต้ดินโดยที่เธอถูกกลุ่มคนเบียดไปมาจนถึงมุมด้านในสุด ยืนพิงประตูอีกฟากและหวังจะเชิดตาตามหาเย่เซียวสักหน่อย กลับพบว่ากลุ่มคนเดิมที่เบียดอัดเป็นปลากระป๋องแยกออกเป็นสองทาง เย่เซียวหน้านิ่งเดินมายืนข้างเธอ ทั้งคู่สบตากันโดยไม่พูดอะไร


เย่เซียวที่เบียดอยู่ท่ามกลางผู้คน มันช่าง…ไม่เข้าเลยจริงๆ


ฉะนั้น คนในรถไฟใต้ดินแอบหันสายตามาทางพวกเขาด้วยความสงสัยเป็นระยะๆ


ไป๋ซู่เย่ยังรู้สึกว่านี่เป็นประสบการณ์ที่น่าวิเศษเสียจริง อยู่ดีๆ ก็มาเบียดในรถไฟใต้ดิน แถมยังอยู่กับเย่เซียวสองคน


…………………………


ตอนที่ 674 กลับมาเจอกันอีกครั้ง (1)

โดย

Ink Stone_Romance

รถไฟใต้ดินจอดในสถานีแล้วสถานีเล่า


เดิมทียังมีความห่างระหว่างเธอกับเย่เซียวอยู่สักก้าวสองก้าว แต่เพราะมีผู้โดยสารมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเขาจึงขยับมาใกล้เธอเรื่อยๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ…


ในสถานีของเมืองที่เจริญที่สุดมีฝูงชนหลั่งไหลเข้ามาทำให้เธอถูกคนข้างๆ เบียดไปมา เย่เซียวมองผู้ชายเหล่านั้นเสียดสีข้างกายเธอ ขณะที่เธอมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเดียว พอถูกฝนสาดเทใส่มันก็เริ่มโปร่งบาง ผู้ชายข้างๆ เหล่านั้นมักส่งสายตามาทางเธอเป็นระยะๆ!


เขาตวัดตาเย็นชาไปและในวินาทีถัดไปก็ยื่นมือรั้งเธอเข้ามาในอ้อมแขน


มือหนึ่งของเขายังถือร่มอยู่ อีกมือวางไว้หลังเอวของเธอให้เธอตัวแนบชิดกับอกตน


ไป๋ซู่เย่ชะงักเพราะความใกล้ชิดที่กะทันหันนี้ กลิ่นอายของเขาฟุ้งออกมาชวนให้เธอรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและแสบจมูก


เธออยากจมดิ่งอยู่ตรงนี้โดยไม่ต้องสนใจอะไร สัมผัสอุณหภูมิของเขา สูดดมกลิ่นอายของเขา ไม่ต้องสนใจถึงสถานะตัวเอง ไม่ต้องสนใจถึงความเป็นความตายของเขา…


แต่สติที่ยังมีอยู่กลับให้เธอเผลอขยับกายไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัวเพื่อรักษาระยะห่างกับเขา


“อย่าขยับ!” เขาพูดกระแทกเสียงสายตาจดจ้องกับกลุ่มคนข้างกายไม่ห่าง


“ฉันตัวเปียก”


“…” เย่เซียวกลับไม่สนใจเธอแค่โยนร่มในมือทิ้งเมื่อกลุ่มคนเบียดกระแทกตัวเข้ามา ใช้สองมือกอดเธอแน่นวาดพื้นที่ว่างที่ปลอดภัยออกมา


ชายหนุ่มกอดเธอแน่นจนเธอได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้น สัมผัสอุณหภูมิกายเขา ไป๋ซู่เย่ไม่เคยรู้สึกสบายใจขนาดนี้มาก่อน


เขาเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ฝังรากอยู่ตรงนี้ ช่วยบังลมบังฝนให้เธอ ให้เธออยู่รอดปลอดภัย แต่เพราะความสบายใจเช่นนี้ถึงสร้างความเจ็บปวดแก่เธอมากกว่าเดิม ถ้อยคำของปลัดกระทรวงรวมถึงภาพถ่ายที่ฝ่ายข้อมูลถ่ายไว้ แล้วก็ความเป็นความตายของเขา…


จุดจบที่เธอไม่กล้าคาดคิด


…………………………


รถไฟใต้ดินผ่านไปสิบกว่าสถานี


ไป๋ซู่เย่เกร็งตัวแน่นไม่อนุญาตให้ตัวเองหลงลืมไปว่ากำลังจมดิ่งในอ้อมกอดของเขา


ระหว่างทางโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาล้วงออกมาดูและหน้าจอที่ฉายว่า ‘น่าหลัน’ ไป๋ซู่เย่เองก็เห็นด้วยเช่นกัน สองมือกำแน่นขึ้นและเบี่ยงหน้าหันหนีเงียบๆ ไปยังนอกหน้าต่าง


ด้านนอกมืดสนิทเพราะอยู่ในอุโมงค์ เธอกลับจ้องตาไม่กะพริบ


จากนั้นได้ยินเสียงพูดของเขา


“อืม เดี๋ยวผมกลับไป พวกคุณสองคนรอผมอยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไร ผมแค่มาเอาของที่ลืมไว้หน่อย”


วางสาย


ไม่มีบทสนทนาอีก


ไป๋ซู่เย่ขยับตัวไปด้านหลังอีกก้าวเล็กๆ เย่เซียวเองรู้สึกได้


เขาก้มหน้ามองเธอเพราะหวังอยากค้นหาบางอย่างจากหน้าเธอได้บ้าง ความสนใจก็ยังดี ความหึงหวงก็ดี หรือจะความโกรธก็ยังได้ แต่มองอยู่พักใหญ่หน้าเธอกลับมีเพียงความเรียบนิ่งดั่งพื้นผิวน้ำที่สงบ!


จู่ๆ เย่เซียวก็รู้สึกว่าการกระทำที่ตนถือร่มพุ่งตัวออกมามันช่างน่าขัน


เขาคิดว่าเขาสนใจความรู้สึกเธอขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่พอใจ ไม่พอใจที่หลังจากเธอเล่นสนุกกับเขาแล้วตอนนี้ก็ทอดทิ้งเขาไปอย่างสมบูรณ์ แล้วยังรักเธออีกไหม? ไม่มีทาง! นอกจากเขาจะบ้าไปแล้ว!


ขณะที่เขาจมอยู่ในความคิดก็ถึงป้ายที่ต้องลง มีคนลงจำนวนมากจึงเกิดพื้นที่ว่างไปด้วยเช่นกัน ไป๋ซู่เย่ผละออกจากอ้อมแขนเขาและเดินนำลงไป


เย่เซียวเดินตามหลังเธอ


สุดท้ายเย่เซียวไม่ได้ขึ้นไป ไป๋ซู่เย่หยิบเนกไทเขาลงมา


“งั้นฉันขึ้นไปก่อนนะ”


เย่เซียวถือร่มพยักหน้ารับอย่างเย็นชา คอยมองเธอวิ่งฝ่าฝนเข้าไปในตึกอาคารผ่านม่านฝนหนาๆ ตลอดทางที่วิ่งไปไม่หันกลับมาสักนิด…


มือที่จับร่มอยู่กำแน่น


หยาดน้ำฝนกระเด็นใส่หน้าเขา เพิ่มความหนาวเหน็บแก่ใบหน้าเย็นชานั่น


…………………………


เย่เซียวไม่ได้ทานมื้อเย็น


กลับมาถึงร้านอาหารด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก


ถังซ่งกับน่าหลันก็หมดความอยากอาหาร ทั้งสามคนจึงชำระเงินกลับไปโดยที่เย่เซียวส่งถังซ่งกลับโรงพยาบาลก่อน


ถังซ่งให้น่าหลันรออยู่ในรถ เพื่อที่เขากับเย่เซียวจะไปสูบบุหรี่ในโรงพยาบาลก่อนสักมวน


“ฉันว่าครั้งนี้นายทำเกินไป ทิ้งเธอไว้กับฉันอย่างนั้น เธอเสียใจแทบตาย”


เย่เซียวดูดบุหรี่เฮือกใหญ่ไร้ข้อโต้แย้ง


ถังซ่งกล่าว “เย่เซียว นายเงียบไม่ตอบโต้ กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ? นายว่าถ้านายไม่ได้ชอบไป๋ซู่เย่ ทำไมนายถึงเห็นเธอเจ็บปวดไม่ได้? ไหนบอกว่าจะทรมานเธอไง เธอแค่ตากฝนนิดหน่อยนายก็รีบวิ่งไปกางร่มให้เธอ วิธีทรมานของนายนี่น่าสนใจดีจริงๆ นะ!”


เย่เซียวเกร็งหน้าจนตึงไปหมด “เธอได้แผลมาเพราะฉัน ฉันกางร่มไปส่งก็เพราะคุณธรรมทั้งนั้น”


“ถุย! คราวก่อนผู้หญิงที่โดนนายหักแขนตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลย ทำไมฉันไม่เห็นนายไปเยี่ยมดูสักนิด คุณธรรมของนายหายไปไหนหมด?”


เย่เซียวปรายตามองถังซ่งอย่างนึกรำคาญใจแวบหนึ่ง “นายพูดมากอะไร อยากพูดอะไรกันแน่!”


“ฉันอยากบอกว่าเย่เซียว นายสู้ไป๋ซู่เย่ไม่ได้หรอก ถ้านายเล่นกับเธอต่อไปอย่างนี้คนที่ถูกทรมานคงไม่ใช่เธอแต่เป็นนาย!”


“ฉันเล่นสู้เธอไม่ได้ตรงไหน?”


สีหน้าเย่เซียวบอกเลยว่าไม่ดีมากๆ


หากเป็นปกติถังซ่งไม่มีทางพูดต่อไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน


“เพราะนายรักเธอ รักเธอมากกว่าที่เธอรักนายมาก ฉะนั้นสิบปีที่แล้วนายสู้เธอไม่ได้ สิบปีหลังนายก็สู้เธอไม่ได้อย่างเดิม!”


เย่เซียวทิ้งก้นบุหรี่และกระชากคอเสื้อถังซ่ง “ถังซ่ง ฉันขอเตือนนายไว้ว่าอะไรพูดได้ อะไรพูดไม่ได้ นายคิดให้ดี!”


“ฉันรู้ดีกว่านายเยอะ! นายดูนายสิ หลายวันนี้นายกลายเป็นสภาพไหนไปแล้ว นายที่ไม่เคยเมามาก่อนยังมอมตัวเองให้เมาไม่ได้สติ แต่นายดูไป๋ซู่เย่! ไม่มีนายอยู่ เธอใช้ชีวิตสุขสบายดี! ข้างกายมีแฟนและรู้จักมาตรวจตามหมอนัดที่โรงพยาบาล ดูมีชีวิตชีวากว่านาย! ถ้าจะเล่น นายเล่นสู้เธอไหม? เย่เซียว สิบปีก่อนเรื่องที่นายถูกยิงทะลุไส้เพราะเธอ ฉันเคยเล่าให้เธอฟังตั้งนานแล้ว ฉันถามนาย เธอเคยถามนายสักประโยคบ้างไหม? เคยขอโทษนายเพราะเรื่องนี้บ้างไหม? แล้วเคยสงสารนายบ้างไหม? เคยเป็นห่วงนายบ้างไหม? เธอแค่ทำเหมือนไม่รู้เห็นอะไรอยู่ต่างหาก!”


คำถามเป็นพรวนทำให้เย่เซียวรู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลายออกเป็นชิ้นๆ


อารมณ์บางอย่างที่อัดอั้นในอกกำลังส่งเสียงคำราม พุ่งชนหัวใจเขาคล้ายไม่มีที่ให้ระบาย


เขายกกำปั้นขึ้นมาต่อยหน้าถังซ่ง


ถังซ่งไม่ได้หลบและยอมรับหมัดที่เหมือนได้ระบายอารมณ์ของเขาโดยดีจนมุมปากเปื้อนเลือด “นายกล้าทำแบบนี้กับฉันเท่านั้นแหละ! ถ้านายมีพลังงานเหลือก็ลองไปทำกับไป๋ซู่เย่ดูสิ! นายกล้าไหม?”


ตาเย่เซียวแดงก่ำเจ้าตัวดูบิดเบี้ยว เขากลับเก็บกำปั้นไม่ลงมืออีก


“เย่เซียว ฉันเป็นพี่น้องของนาย เคยช่วยนายมาจากขุมนรกครั้งหนึ่ง ฉันไม่อยากไปดึงนายกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง นายเข้าใจไหม?” ถังซ่งกัดฟันอยากจะด่าเขาให้ได้สติ “ไป๋ซู่เย่เป็นตัวกาลกิณีในชีวิตของนาย เคยทำให้นายตายมาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้านายฉลาดพอก็ควรออกห่างจากเธอให้ไกล ยิ่งไกลยิ่งดี!”


ออกห่าง?


ถ้าทำได้ เขาหวังอยากตีตัวออกห่างเธอให้ไกลกว่าทุกคน!


แต่ทุกครั้ง…ผลของทุกครั้งก็ล้วนเกิดขึ้นเพราะใจที่ห้ามไม่ได้! จบลงด้วยความแหลกเหลว!


………………………


ตอนที่ 675 กลับมาเจอกันอีกครั้ง (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวผลักถังซ่งออกอย่างแรงและไม่มีบทสนทนาใดๆ อีก


เขาหันหลังย่ำเท้าเดินออกไปท่ามกลางฝน


ทุกก้าว ล้วนหนักอึ้งกว่าก้าวก่อนหน้านัก…


แผ่นหลังที่อยู่ท่ามกลางสายฝนดูโดดเดี่ยว เหงา อ้างว้างและเจ็บปวด


ถังซ่งเห็นทุกอย่างในสายตาก็รู้สึกแย่มากเช่นกัน


ชาตินี้มันเวรกรรมจริงๆ ถึงทำให้เขาได้เจอกับไป๋ซู่เย่!


…………………………


สิบวันหลังจากนั้น


ไป๋ซู่เย่ตื่นเช้าตรู่เพราะเสียงปลุกจากโทรศัพท์


ไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกแต่เป็นเสียงเตือนของปฏิทิน


เวลาที่เซ็นสัญญาไว้กับเย่เซียว วันสุดท้าย


นับถอยหลังก่อนจะถึงวันสุดท้าย…


เธอนอนอยู่บนเตียงดูปฏิทินแล้วถึงสังเกตเห็นว่าที่แท้วันเวลาผ่านไปไวได้ถึงเพียงนี้ สิบวันนี้แผลของเธอหายดีแล้ว ไม่ว่าจะศีรษะหรือเบื้องล่าง ปล่อยผมลงมาก็ไม่เห็นรอยแผลตรงศีรษะสักนิด


ความจริงตั้งแต่ที่นั่งรถไฟใต้ดินด้วยกันในวันนั้น เย่เซียวไม่เคยติดต่อเธอมาอีก


หลายครั้งเธอเคยเข้าไปสอดส่องเวยป๋อของน่าหลันเหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ไม่อาจล่วงรู้ตารางงานของเย่เซียวจากในนั้นได้เลย


อารมณ์ในเมื่อนั้นซับซ้อนเหลือเกิน คล้ายผิดหวังแต่ก็แอบรู้สึกโชคดี โชคดีที่อย่างน้อยไม่เห็นเนื้อหาเวยป๋อของเธออย่างคราวก่อน


จู่ๆ เธอก็สังเกตว่าหากเย่เซียวไม่ติดต่อเธอ เจ้าตัวก็เหมือนจะหายไปจากโลกใบนี้ ในโลกของเธอไม่มีร่องรอยใดๆ ของเขา


ผ่านวันนี้ไป…


ระหว่างพวกเขาจะไม่มีแม้แต่สัญญาที่ใช้เป็นข้ออ้าง


ไม่เกี่ยวข้องกันอีกโดยแท้จริง…


เมื่อกำลังเหม่อลอยคุณหญิงไป๋ก็โทรมา


ไป๋ซู่เย่กดรับสายพร้อมเปิดลำโพงแล้ววางไว้บนแท่นอ่างล้างมือในห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันไปคุยกับคุณหญิงไป๋ไป


“วันนี้แต่งตัวดีๆ หน่อยนะ ตอนบ่ายสองลูกมารับแม่กับต้าไป๋ที่จงซัน รอเย่ฉิงทำงานเสร็จก็จะตามไปตอนค่ำด้วยเหมือนกัน”


ไป๋ซู่เย่เพิ่งนึกถึงเรื่องที่คุณหญิงไป๋เคยบอกว่าตระกูลอวิ๋นจะจัดงานคล้ายวันเกิดในวันนี้


“เฮ้ ลูกไม่พูด คงไม่ได้ลืมเรื่องนี้ไปหรอกนะ?” คุณหญิงไป๋ไม่ได้ยินเสียงจึงถามอีกที


“ก่อนหน้าหนูแค่บอกไปว่าขอคิดก่อน ไม่ได้บอกว่าจะไปแน่ๆ” ไป๋ซู่เย่ถอดชุดนอนออกและเดินตัวเปลือยไปใต้ฝักบัวเพื่ออาบน้ำ


คุณหญิงไป๋ไม่พอใจแล้ว “แม่บอกคนตระกูลอวิ๋นไปแล้วนะว่าลูกไปแน่ๆ ลูกไม่ไว้หน้าแม่แบบนี้ จากนี้ไปแม่จะจู้จี้จุกจิกกับลูกทุกวัน จะบอกให้ลูกหาแฟนทุกวัน ดูสิว่าจะรำคาญไหม!”


รำคาญสิ!


ตอนนี้ก็รำคาญจะแย่แล้ว!


ไป๋ซู่เย่ทั้งอยากร้องไห้ทั้งอยากขำ คุณหญิงไป๋ถ้างอแงขึ้นมาแม้แต่เย่ฉิงเองยังทำอะไรท่านไม่ได้


“ได้ หนูไปก็ได้ แต่แม่เองก็ต้องสัญญากับหนูก่อน เดี๋ยวไปที่บ้านพักแช่น้ำร้อน อย่ายุ่งเรื่องของหนูกับอวิ๋นช่วน เรื่องความรักแม่ให้หนูสานต่อเอง ได้ไหม?”


“ถ้าลูกสานต่อเองได้ แม่จะยุ่งทำไม? แม่กลัวลูกไม่สานต่อกับใครแค่นั้นแหละ!”


ไป๋ซู่เย่ยืนใต้ฝักบัวปล่อยให้น้ำร้อนไหลไปตามเรือนร่าง เธอใช่ว่าจะไม่รู้เหตุผลที่คุณหญิงไป๋กังวลขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะเย่ฉิงมีลูกแล้ว หรือปัญหาอายุที่เพิ่มขึ้นของตน แต่อาจเป็นเพราะท่านเองก็เริ่มได้รับข่าวคราวการกลับมาของเย่เซียวบ้างแล้ว


“หนูรู้ว่าแม่เป็นห่วงอะไร วางใจเถอะ หนูไม่ปล่อยให้แม่เป็นห่วงหรอก”


สิ้นคำกลับสร้างความตกใจแก่คุณหญิงไป๋ไปอึดใจหนึ่ง เธอไม่กล้าพูดชื่อ ‘เย่เซียว’ ต่อหน้าลูกสาว แต่ความจริงบัดนี้ทั้งคู่เองก็รู้อยู่แก่ใจแค่ไม่พูดออกมา


คุณหญิงไป๋ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น วางสายไปเสียแล้ว


ไป๋ซู่เย่อาบน้ำเสร็จออกมาก็ดูมีชีวิตชีวากว่าเดิม พอได้ออกไปวิ่งยามเช้าสิบกว่ากิโลเมตรถึงเปลี่ยนชุดเครื่องแบบขับรถไปที่กระทรวงความมั่นคง


“รัฐมนตรี ปลัดกระทรวงบอกให้คุณไปหาท่านที่ห้องทำงาน”


ไป๋ซู่ถึงเพิ่งถึงเลขาก็มารายงานเธอทันที


เธอตอบรับและจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย เดินขึ้นไปชั้นบนบรรยากาศบริเวณนี้เงียบมาก ปลัดนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ข้างในนอกจากจะมีปลัดกระทรวงแล้วยังมีทหารตำแหน่งพลเอกหลายนาย ทุกคนล้วนมีสีหน้าที่ย่ำแย่


“ท่านปลัด” เธอเคาะประตู


“เข้ามาเถอะ”


ไป๋ซู่เย่ผลักประตูเข้าไป


“เชิญนั่งตามสบาย” ปลัดบอกเธอ


ไป๋ซู่เย่นั่งลงบนโซฟาและทุกคนก็หันสายตามาทางเธออย่างพร้อมเพรียง เธอยิ้มจางๆ “วันนี้ทุกท่านมาพร้อมหน้ากันขนาดนี้ คิดว่าน่าจะมีเรื่องสำคัญสินะคะ?”


“ช่วงนี้คุณค่อนข้างอยู่ใกล้เย่เซียว ได้รู้ข่าวอะไรบ้างหรือเปล่า?” ปลัดถามมาตรงๆ โดยไม่มีคำเกริ่นใดๆ


ไป๋ซู่เย่คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับเย่เซียวอีกแล้ว


เธอส่ายหัวและตอบตรงๆ “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ ข่าวที่คุณว่าฉันไม่รับรู้อะไรจริงๆ ส่วนฉันกับเย่เซียว ก็ไม่ได้…”


“พอแล้วๆ เรื่องของคุณกับเย่เซียวตอนนี้ไม่ต้องอธิบายมากหรอก เราเชื่อคุณ” ปลัดพูดขัดเธอ


ไป๋ซู่เย่เริ่มงุนงง คราวก่อนบอกให้เธอมาอธิบาย บ่งบอกชัดเจนว่าขาดความเชื่อใจในตัวเธอ ท่าทางคราวนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


“ซู่เย่ ความสัมพันธ์ของคุณกับเย่เซียวไม่ธรรมดาส่วนนี้เราทุกคนรู้ดี แน่นอนว่าเราก็รู้ว่าคุณเคยเป็นสายลับที่เคารพหน้าที่ ให้เกียรติอาชีพและมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมาก จุดนี้ทุกคนชื่นชมคุณมาก” นายพลคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามตนเอ่ยปาก “แต่ช่วงนี้คุณเคยได้ยินเย่เซียวพูดถึงพ่อบุญธรรมของเขาไฟเรนเซ่บ้างไหม?”


ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง


ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “ฉันไม่มีการติดต่อใดๆ กับเย่เซียว”


“จริงเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าทุกคนทำท่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


เธอพยักหน้าอย่างหนักแน่นอีกครั้ง


ท่านรองนายพลถอนหายใจ “เราเพิ่งได้รับข่าวว่าช่วงนี้ไฟเรนเซ่อุกอาจมากในดินแดนโรมาน เขาลักลอบติดต่อกับสามประเทศเพื่อนบ้านเราเพื่อหวังจะได้เป็นผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ ถ้าการเจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญก็จะกระทบความปลอดภัยของประเทศทันที หรืออาจจะกระทบอำนาจอธิปไตยของประเทศเราได้ จุดนี้รัฐมนตรีไป๋น่าจะเข้าใจเป็นอย่างดี”


“พวกคุณเลยอยากหยุดการเจรจาในครั้งนี้?”


“ไม่ใช่อยาก แต่ต้องทำ!” สายตาทุกคนแน่วแน่ “ถ้าการเจรจาค้าอาวุธในครั้งนี้ของไฟเรนเซ่สำคัญจริงๆ ประเทศ S ของเราก็เหมือนถูกล้อมรอบด้วยระเบิดสามลูกจากสามทิศทางที่พร้อมจะทิ้งระเบิดมาในประเทศ S เราได้เสมอ!”


ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจหนักๆ “เรื่องนี้เรื่องใหญ่จริงๆ แต่ฉันกับเย่เซียวไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างที่พวกคุณคิด!”


ประโยคนี้เธอเน้นหนักอีกครั้ง


จากนั้นถึงเสริมอีกประโยค “แน่นอนว่าเราทุกคนมีหน้าที่ที่จะปกป้องความมั่นคงของประเทศ ถ้ามีตรงไหนที่ต้องการฉัน ฉันจะไม่ลังเลและปฏิเสธ”


ปลัดพยักหน้าที “งั้นคุณกลับห้องทำงานไปก่อน เรื่องนี้เรายังต้องขอเวลาปรึกษาวิธีแก้กัน แต่หวังว่าคุณจะเตรียมตัวให้พร้อมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”


ไป๋ซู่เย่หยักหน้ารับและผงกหัวให้ท่านนายพลท่านอื่นน้อยๆ ก่อนจะก้าวเดินออกไป


ชั่วขณะที่ปิดประตูความนิ่งสงบของเธอหายไปแทบทันที เรี่ยวแรงทั้งตัวเหมือนถูกสูบไปในหนเดียว มือจับลูกบิดประตูไว้แน่นทั้งที่ปลายเล็บยังสั่นระริก


เธอไม่สามารถและไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเมื่อสิบปีก่อน…


ฝันร้ายอย่างนั้นแค่ครั้งเดียวก็ทำเธอกับเย่เซียวเหมือนตายทั้งเป็น…


……………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม