ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 66.3-69.5

 ตอนที่ 66.3


มู่หรงไท่หัวเราะ “รัชทายาทสูงส่งเกินไป และมีเจี่ยงฮองเฮาคอยหนุนหลังอยู่ ไม่เหมาะสม ส่วนผู้ที่เหลือ ทั้งองค์ชายแปด องค์ชายเก้า สถานะของพระมารดาต่ำต้อยเกินไป มีอำนาจไม่เพียงพอ ฝ่าบาทย่อมไม่ให้ความสำคัญ ท่านอ๋องป้ายสีไปก็ไร้ประโยชน์ ส่วนองค์ชายสิบเอ็ด สิบสาม ก็เด็กเกินไป พอบอกว่าเด็กๆ ไม่รู้เรื่องก็รอดพ้นจากข้อกล่าวหา ผู้คนไม่มีทางคิดว่าเป็นการทำร้ายไทเฮาไปได้ จึงมีเพียง…”


 


 


พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุด จงใจให้เว่ยอ๋องคิดถึงคนผู้นั้นเอาเอง


 


 


ซึ่งเว่ยอ๋องกลับหัวแหลม เดาได้ฉับพลัน “เจ้าสาม? ฮาๆ! ไม่ผิดๆ! ข้าเกลียดชังเจ้าสามยิ่ง!”


 


 


นี่ดีมากจริงๆ ประการแรก ช่วยตนเบี่ยงเบนความสนใจ ประการที่สอง จู่โจมฉินอ๋องได้อย่างมีประสิทธิภาพ


 


 


มู่หรงไท่ปรึกษาหารือแบบปิดประตูกับเว่ยอ๋องต่อ พอเห็นว่าได้เรื่องพอสมควร ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก


 


 


วันนี้นับว่า เขากับเว่ยอ๋องลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต่อไปเขาจะกินรำข้าวหรือกินโจ๊ก ก็ต้องพึ่งเว่ยอ๋องแล้ว


 


 


สวรรค์ให้เขาเกิดใหม่ เพื่อให้เขามาจัดการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของฉินอ๋อง ใครใช้ให้หญิงสาวทอดทิ้งเพชรในตมอย่างเขาเล่า จะมาหาว่าเขาศิโรราบผู้อื่นไม่ได้หรอก


 


 


รอให้เว่ยอ๋องได้นั่งบัลลังก์มังกร เขาก็คือขุนนางผู้ช่วยอันดับหนึ่ง


 


 


ดังนั้น เขาต้องควบคุมเรื่องนี้ให้ดี จึงบอกให้เว่ยอ๋องฟังคำสั่งจากเขาทั้งหมด อย่าทำนอกเหนือจากที่เขาสั่ง พอคิดถึงตรงนี้ มู่หรงไท่ก็ยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย


 


 


“ท่านอ๋องดูสบายใจขึ้นมาก วันนี้ข้ายังนำของชิ้นหนึ่งมาฝาก วางไว้ข้างนอกอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว ตอนนี้มิสู้นำมาให้ท่านเลยจะดีกว่า”


 


 


“ได้สิ” เว่ยอ๋องยิ้มรับ


 


 


พอมู่หรงไท่ปรบมือสองครั้ง เด็กรับใช้ในจวนโหวก็ประคอง “ของขวัญ” ชิ้นนั้นเข้ามา


 


 


เมื่อเปิดผ้าคลุมหน้าออก ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาสวยสง่ากว่าหญิงสาวก็คุกเข่าลงบนพรมแดงในห้องแล้วเงยหน้าขึ้น เว่ยอ๋องสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำตาวาว


 


 


ชายหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้า ผิวขาวเนียนใสดุจน้ำนม ดวงตาสวยดูเจ้าชู้คล้ายปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ยิ่งพินิจก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวหวั่น จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวบางและนุ่มนิ่ม โดยเฉพาะคิ้วที่ดูเศร้าอยู่บ้าง แต่เป็นธรรมชาติ ดุจทิวทัศน์อันงดงาม ที่ทำให้คนชื่นชมโดยไม่กะพริบตาได้ครึ่งค่อนวัน


 


 


“เจ้าคือ…”


 


 


พอมู่หรงไท่เห็นเว่ยอ๋องมองจนลูกตาแทบจะถลนออกมา ก็หัวเราะในใจ เป็นไปตามคาด


 


 


จากที่ผู้คนลือกันว่าเว่ยอ๋องเป็นคนเจ้าชู้ เก็บสะสมสาวใช้และนางบำเรอสวยๆ ไว้ในจวนอ๋องมากมาย จนเกือบจะแซงหน้าสาวงามในวังหลังของหนิงซีฮ่องเต้ไปแล้วนั้น แต่เขากลับได้ข่าวซุบซิบเล็กๆ มาว่า นี่เป็นการพรางตาของเว่ยอ๋อง โดยความจริงแล้ว เว่ยอ๋องไม่แตะต้องผู้หญิง เขาเป็นชาวรักร่วมเพศ ที่สะสมสาวงามเพื่อปกปิดรสนิยมชอบผู้ชายของตนเอง


 


 


สืบเนื่องจาก แม้หนิงซีฮ่องเต้เอ็นดูเขาแค่ไหน ก็ไม่มีทางยอมให้ผู้ที่ชอบเพศเดียวกันอย่างเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้แน่ เพราะจะทำให้ไม่มีลูกหลานสืบราชสันตติวงศ์


 


 


และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้มู่หรงไท่ไม่ค่อยได้คบหาสมาคมกับเว่ยอ๋อง เพราะตัวเขาเองชอบผู้หญิง ย่อมไม่รู้สึกดีอะไรกับผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน


 


 


แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สำหรับเขานั้น เว่ยอ๋องเป็นหมากที่ดีมากๆ ตัวหนึ่งจริงๆ


 


 


ประการแรก สถานะของเว่ยอ๋องช่วยให้เขาต่อกรกับฉินอ๋องได้ ประการที่สอง ถ้าเว่ยอ๋องไม่แตะต้องผู้หญิงจริงๆ ก็เป็นไปได้สูงที่จะไร้ทายาทสืบราชสันตติวงศ์ พอขึ้นครองบัลลังก์ เขามู่หรงไท่ก็จะยิ่งมีโอกาส…เพราะในอดีต ฮ่องเต้ที่ไร้ทายาท สุดท้ายราชบัลลังก์จะถูกเปลี่ยนมือ และหนึ่งในนั้น ตกเป็นของขุนนางผู้มีผลงานสร้างชาติ


 


 


แต่ตอนนี้เขาต้องหยุดฝันหวานชั่วคราว เมื่อชายหนุ่มหัวแถวของลั่วหยางชุนที่เขาจ่ายไปสามพันตำลึงเงิน ได้เงยหน้าขึ้น จ้องมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้า ผู้สวมชุดผ้าไหมสีม่วงที่ดูสูงส่งและน่านับถือ ซึ่งก็คือองค์ชายห้าในปัจจุบัน หรือนายท่านในอนาคต ก่อนจีบปากจีบคอรายงาน


 


 


“บ่าวชื่อเยี่ยหนานเฟิง คุณชายรองมู่หรงเชิญให้บ่าวมาปรนนิบัติท่านอ๋อง”


 


 


สามพันตำลึงเงินไม่เสียเปล่าจริงๆ หัวแถวก็คือหัวแถว น้ำเสียงไม่สูงส่ง แต่ก็ไม่ต้อยต่ำจนเกินไป มีความละมุนจับใจผู้คนและไม่ดูถูกตนเอง โดยบอกว่ามู่หรงไท่เชิญมา มิใช่ซื้อมา


 


 


เว่ยอ๋องแม้เคยเห็นคนงามมาไม่น้อย แต่พอเห็นเยี่ยหนานเฟิง วิญญาณก็หลุดลอยไปแล้วครึ่งหนึ่ง รีบดึงเขาเข้ามา แล้วว่า


 


 


“ดีๆ ต่อไปก็ให้เจ้าปรนนิบัติอยู่ข้างกายนี่ล่ะ” แล้วจึงหันไปยิ้มให้มู่หรงไท่ “คุณชายรองสายตาแหลมคมจริงๆ! ข้าต้องขอบคุณล่วงหน้าแล้ว!”


 


 


มู่หรงไท่ส่งสายตาให้เยี่ยหนานเฟิง พร้อมรอยยิ้มแฝงความพอใจในอำนาจที่ได้มาส่วนหนึ่ง ก่อนออกจากประตูจวนอ๋อง


 


 


 


 


จวนรองเจ้ากรม


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้รับจดหมายจากมารดาว่าจะมาเมืองหลวง ก็รีบบอกให้บ่าวในบ้านเก็บกวาดเรือนปีกตะวันตกให้ถงฮูหยินพักอาศัย


 


 


เขาเคยเชิญมารดาให้มาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่อย่างไรถงฮูหยินก็ไม่ยอมมา ก็เพราะไม่ยอมจากบ้านโกโรโกโสหลังนั้น จะใช้ชีวิตอยู่ในชนบทกับพี่ชายและพี่สะใภ้ท่าเดียว


 


 


ซึ่งเช่นนี้ทำให้เขาลำบากใจยิ่ง เนื่องจากคนในต้าเซวียนเชิดชูความกตัญญู กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าอกตัญญู นับประสาอะไรกับขุนนางธรรมดาๆ เมื่อลูกชายได้เป็นขุนนาง บุพการีก็ควรได้ซึมซับเกียรติยศชื่อเสียงด้วย การทิ้งมารดาผู้ครองตนเป็นม่ายและเลี้ยงดูตนจนเติบใหญ่ไว้ในชนบท เกรงว่าอาจถูกผู้คนครหานินทา หรือพูดให้ร้ายแรงหน่อยก็คือ อาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งการงานในภายภาคหน้า


 


 


ทว่าเมื่อถงฮูหยินไม่ยอมมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย และเขาส่งคนไปจับตัวมารดามาดื้อๆ ไม่ได้ จึงได้แต่ส่งคนไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบบ่อยๆ เพื่อให้คนในราชสำนักรู้ว่า เขามิได้อกตัญญู แต่เป็นเพราะมารดาไม่ยอมมาเองจริงๆ


 


 


แต่ในที่สุดถงฮูหยินก็ยอมมาเมืองหลวงแล้ว โดยบอกว่าพอได้ยินข่าวเรื่องบ้านสวนโย่วเสียน ก็อยากจะมาเยี่ยมหลานสุดที่รักอวิ๋นจิ่นจ้งเสียหน่อย


 


 


แล้วเหตุไฉนอวิ๋นเสวียนฉั่งจะไม่อ้าแขนต้อนรับเล่า


 


 


ไม่เกินสองวัน เรือนของถงฮูหยินก็ถูกจัดการเรียบร้อย ปลอดโปร่ง กว้างขวาง สว่างไสว เหมาะสำหรับผู้สูงอายุยิ่ง อีกทั้งยังเลือกบ่าวที่คล่องแคล่วและปากหวานให้สามคน เป็นสาวใช้สองคนกับมอมอหนึ่งคน ให้ถงฮูหยินเรียกใช้ได้ตามความต้องการ


 


 


ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นฝากคำพูดไปกับบ่าวนั้น ได้จงใจปล่อยข่าวออกมานิดหน่อยว่า ก่อนหน้านี้คุณชายติดเชื้อจากฮูหยิน จึงไปพักฟื้นร่างกายที่บ้านสวน แต่ใครจะคิดเล่าว่าขณะเที่ยวเล่นบนภูเขา คุณชายไม่ทันระวัง ตกลงไปในหน้าผา และถูกคุณหนูใหญ่ช่วยขึ้นมา เดชะบุญที่คนดีฟ้าคุ้มครอง บรรพชนสกุลอวิ๋นปกป้อง สุดท้ายสองพี่น้องจึงก็ไม่เป็นอะไร


 


 


ตอนฟังข่าวนั้น ถงฮูหยินกำลังเก็บผักในแปลงด้วยตัวเองอยู่ พอได้ยินว่าหลานป่วยและคิดจะไปพักฟื้นที่บ้านสวน ก็ร้อนใจแล้ว พอได้ยินอีกว่าไปเที่ยวเล่นจนตกหน้าผา ก็คว่ำชะลอมผัก แล้วลุกขึ้นยืน


 


 


ถงฮูหยินก็เหมือนคนเฒ่าคนแก่ในชนบทส่วนใหญ่ ที่รักเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงมากๆ อวิ๋นจิ่นจ้งเป็นหลานชายคนโตของลูกชายคนที่สองซึ่งอายุย่างสี่สิบแล้ว แต่ก็มีหน่อเนื้อเชื้อไขแค่คนเดียว ทำไมถึงไม่ทะนุถนอมให้ดี พอได้ยิน จึงร้อนใจยิ่ง จับแขนบ่าวผู้นั้นไว้ พลางว่า


 


 


“จิ่นจ้งตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว หายป่วยหรือยัง ตกหน้าผาบาดเจ็บหรือเปล่า ขอสวรรค์คุ้มครอง เพิ่งอายุได้ไม่กี่ขวบ ก็ต้องมาแบกรับความผิดร้ายแรงเสียแล้ว!”


 


 


บ่าวทำตามที่เมี่ยวเอ๋อร์กำชับไว้ ค่อยๆ ตอบอย่างใจเย็น “เรียนท่านย่า คุณชายไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่บางครั้งเหงื่อออกกลางดึกเพราะฝันร้ายอยู่บ้าง แต่ท่านย่าวางใจ น่าจะเป็นเพราะตกใจ บำรุงร่างกายสักระยะ ก็น่าจะไม่มีปัญหา…”


 


 


ถงฮูหยินถลึงตามอง แบบนี้ยังเรียกว่าไม่มีปัญหาอีก! เด็กๆ ที่ผ่านเหตุการณ์รุนแรงมา ถ้าบอกว่ามีอาการซึมเศร้า ก็จะยิ่งซึมเศร้าลงไปอีก ในหมู่บ้าน ลูกชายของชาวบ้านหลายคน ตอนอายุสามขวบเดินออกจากประตูบ้าน แล้วถูกสุนัขตัวโตสีดำกัด พอกลับถึงบ้านก็ตัวร้อน แล้วหมดลมหายใจในเวลาต่อมา


 


 


ซึ่งถงฮูหยินลืมไปว่า หลานของนางกำลังจะสิบขวบแล้ว แต่ต่อให้โตแค่ไหน ก็ยังเป็นเด็กในสายตาของนางอยู่วันยังค่ำ!

 

 

 


ตอนที่ 66-4 ญาติชั้นเยี่ยมมาถึง

 

ถงฮูหยินโยนเคียวตัดผักทิ้ง ไม่ทงไม่ทำมันละแปลงผัก บ้านเจ้าลูกชายคนรองนี่ เลี้ยงลูกชายประสาอะไรกัน ก็รู้ว่าเป็นขุนนางงานยุ่ง แต่เมียก็มีมิใช่รึ เมียที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงน่ะ หรือนางไม่ใส่ใจหลานข้าจริงๆ? เรื่องแม่เลี้ยงทำร้ายลูกเลี้ยง ถงฮูหยินเห็นมาเยอะแล้ว


 


 


บ้านไหนที่ลูกไม่มีแม่ผู้ให้กำเนิดหรือผู้สูงอายุคอยดูแลจัดการ วางใจไม่ได้จริงๆ จึงกำชับให้บ่าวกลับไปรายงานนายที่จวนสกุลอวิ๋นว่า อีกสองสามวัน ตนจะไปหาที่เมืองหลวง


 


 


บ่าวจีงรีบรับคำ “เย่! ขอรับ เช่นนั้นบ่าวจะรีบกลับไปบอกนายท่าน ให้เตรียมรถม้ามารับท่านย่า!”


 


 


พี่ใหญ่สกุลอวิ๋นและพี่สะใภ้มีลูกด้วยกันสี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง พี่ใหญ่ไปด้วยไม่ได้ เพราะต้องเฝ้าบ้านบรรพบุรุษและที่ดินสิบกว่าไร่กับลูกชายคนโต แต่เขาก็วางใจ เมื่อแม่จะไปบ้านน้องชาย จึงเตรียมของล้ำค่าให้แม่เอาไปด้วย


 


 


เมื่อปีกลาย พี่สะใภ้เพิ่งคลอดลูกชายชื่ออาชิง ตอนนี้จึงยังไม่สองขวบดี ถงฮูหยินเลี้ยงเองกับมือแต่อ้อนแต่ออก เด็กน้อยจึงติดหนึบมาก ไปทำงานในไร่ยังต้องพาไปด้วย ถงฮูหยินจึงวางใจไม่ลง อยากจะพาเข้าเมืองไปด้วย


 


 


ส่วนพี่สะใภ้แซ่หวง ชื่อน้าสี่ โตมาจากท้องไร่ท้องนา ตั้งแต่รู้ว่าน้องเขยได้เป็นขุนนางในราชสำนัก กินตำแหน่งรองเจ้ากรมกลาโหมนั้น ก็ใฝ่ฝันที่จะไปเปิดหูเปิดตา เยี่ยมเยียนจวนรองเจ้ากรมที่เมืองหลวงมาโดยตลอด ครั้งนี้พอได้ยินว่าแม่สามีจะไป ก็จงใจลากลูกสาวคนโตกับลูกชายคนรองมาเล่าให้ฟังว่า ท่านย่ากำลังจะไปบ้านท่านอาในเมืองหลวงที่คึกคักและน่าสนุกมาก


 


 


พอเด็กทั้งสองรู้ว่าสามารถไปเมืองหลวงที่มีของดีๆ กินและมีที่ให้เที่ยวมากมาย ก็มาเกาะแกะท่านย่าไม่ยอมปล่อย ซึ่งถงฮูหยินที่เอ็นดูหลานอยู่เป็นทุนเดิม ไหนเลยจะปฏิเสธลง หวงน้าสี่จึงถือโอกาสบอกว่า เมื่อเด็กๆ ในบ้านไปกันหมด นางในฐานะแม่รู้สึกไม่ไว้วางใจ ขอไปด้วยคนดีกว่า ซึ่งนางยังสามารถดูแลท่านย่าได้อีกแรง ถงฮูหยินอ่านความคิดของลูกสะใภ้ออก จึงรับปาก


 


 


ดังนี้ สมาชิกครอบครัวสกุลอวิ๋นห้าคน ซึ่งประกอบด้วยเด็ก สตรีและคนชรา ก็เดินทางออกจากชนบทของไท่โจวอย่างห้าวหาญ…เร่งรีบไปยังบ้านบุตรชายคนรองในเมืองหลวง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งมารับมารดาที่หน้าบ้าน พอเห็นพี่สะใภ้พาหลานๆ มาด้วย ก็ผิดคาด แต่ก็ยังต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ก่อนบอกให้บ่าวไปเตรียมที่นอนเพิ่มในเรือนปีกตะวันตกอย่างฉุกละหุก


 


 


พอจัดการเสร็จ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็พูดจากับมารดาไม่กี่คำ จากนั้นก็กำชับให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูแลทุกอย่างให้ดี อย่าผิดพลาดเป็นอันขาด ก่อนขอตัวไปทำงานที่กรมกลาโหมต่อ


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยในฐานะแม่ของลูก จึงต้องทำการต้อนรับญาติฝ่ายสามีที่มาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งแรก ด้วยการพาถงฮูหยินกับพี่สะใภ้และครอบครัวไปยังเรือนตะวันตก จากนั้นก็เรียกบ่าวแต่ละคนให้เข้ามาแนะนำตัว สุดท้ายค่อยบอกให้สาวใช้นำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วอัลมอนด์ และตังเม มาวางไว้บนโต๊ะ


 


 


หวงน้าสี่มีลูกที่โตคลานตามกันมาสองคน ลูกสาวชื่ออาจู้ อายุเก้าขวบ ผิวค่อนข้างคล้ำ หน้าตาไม่เลว นิสัยเจ้ากี้เจ้าการคล้ายท่านย่า แก่นแก้วและปากจัด


 


 


อีกคนชื่ออาเม่า เพิ่งจะเจ็ดขวบ ซนเหมือนลิงพอกัน หลุกหลิกและอยู่ไม่สุข พอเข้ามาในจวนก็กวาดตามองไปทั่ว วิ่งไปวนมาและร้องเสียงดัง หรือไม่ก็โต้เถียงกับพี่สาว


 


 


ถงฮูหยินอุ้มอาชิงไว้ในอ้อมอก เพราะพอเข้าบ้านมา อาชิงก็ร้องไห้จ้า อาจเป็นเพราะหนทางขรุขระ ทำให้ระหว่างทางดูดนมได้ไม่อิ่ม รวมทั้งมาอยู่ในที่ที่แปลกตา แต่ก็ถูกกล่อมจนสงบลงจนได้


 


 


ลำพังแค่เด็กไม่กี่คนส่งเสียงดังลั่นบ้าน ทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหัวโตไม่ว่า แต่ถงฮูหยินกับพี่สะใภ้หวังน้าสี่นี่สิ ที่ทำให้นางอดดูหมิ่นไม่ได้


 


 


ถงฮูหยินเป็นหญิงสูงวัยตามบ้านนอกคอกนา ใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ มือเท้าหยาบใหญ่ เนื้อตัวมีกลิ่นผักดองและหัวไชเท้า เนื่องจากอายุมาก หูไม่ค่อยได้ยิน จึงพูดเสียงดัง เสียงพูดคล้ายเสียงฆ้องกลอง ทุกครั้งที่ฟังนางพูด ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นต้องขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่กล้าชักช้ารีรอ รับปากไปอย่างนุ่มนวล


 


 


ถ้านับว่าถงฮูหยินเป็นคนเจ้าระเบียบอยู่บ้าง เช่นนั้น พี่สะใภ้หวังน้าสี่ก็เป็นคนหยาบคาย ไร้ซึ่งการอบรมบ่มนิสัยดีๆ นี่เอง


 


 


หวังน้าสี่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ เนื่องจากทำงานในท้องไร่ท้องนามานานหลายปี จึงเอวหนาร่างใหญ่ ผิวพรรณหยาบกร้าน ท่าทางเด๋อๆ ด๋าๆ เห็นว่าเมืองหลวงมีคุณหญิงคุณนายมากมาย กลัวว่าตนจะดูไม่ดี จึงใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ แต่ก็ยังเป็นแบบเชยๆ ที่ตกรุ่นแล้ว พอยืนเทียบกับไป๋เสวี่ยฮุ่ย จึงต่างกันราวฟ้ากับเหว


 


 


พอสาวใช้ยกลูกกวาดและขนมเข้ามา พี่จู้กับน้องเม่าก็ตาลุกวาวทันที กระโดดเข้าหา แล้วกินกันอย่างมูมมาม คายเปลือกและเม็ดทิ้งเกลื่อนกลาด


 


 


ถงฮูหยินวางอาชิงไว้บนเตียง ให้เด็กคลานไปคลานมา แต่คลานไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ปัสสาวะ ทำให้ที่นอนและผ้าปูที่นอนชั้นดีราคาแพงเปียกแฉะ


 


 


หวังน้าสี่เข้าเมืองเป็นครั้งแรก จึงตื่นตาตื่นใจจนเหนื่อยล้า ไหนเลยจะมีแรงมาสนใจเด็กๆ ตนเองหาที่นั่งเหมาะๆ แล้วหยิบเมล็ดทานตะวันไปหนึ่งกำมือ นั่งแทะอย่างสบายอารมณ์


 


 


ภาพตรงหน้า สุดๆ จริงๆ เล่นเอาไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เดิมทีคิดว่าก็แค่ดูแลแม่เฒ่าจากบ้านนอกคนเดียว ไม่คิดว่า ต้องดูแลคนบ้านนอกครอบครัวหนึ่งไปอีกหลายวัน แต่ไม่มีทางเลือก การดูแลญาติผู้ใหญ่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของลูกสะใภ้ ผลักภาระให้ใครไม่ได้ ท่านพี่ก็กำชับแล้วว่า ถงฮูหยินนานๆ มาที คนรอบข้างจับตาดูอยู่มากมาย! ต้องดูแลให้ดี อย่าทำอะไรผิดพลาด ที่ทำให้คนนอกเอาไปนินทาได้


 


 


ขณะไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำลังคิด สาวใช้ก็นำที่นอนกันน้ำเข้ามาเปลี่ยนให้อาชิง


 


 


ถงฮูหยินบ่นสาวใช้ที่ทำอะไรชักช้า ด้วยเกรงว่าเด็กจะหนาวที่ไม่ได้ใส่กางเกง จึงอุ้มอาชิงไว้ พลางกวาดตามองไปรอบๆ พอเห็นพี่สะใภ้นั่งแทะเมล็ดทานตะวัน และเด็กสองคนก็เอาแต่วิ่งเล่น มีเพียงไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่สองมือยังว่างอยู่ จึงยกอาชิงให้อุ้ม แล้วแย่งที่นอนกันน้ำจากมือสาวใช้ มาปูเอง


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังไม่ทันตั้งตัว ในอกก็มีเด็กเพิ่มมาคนหนึ่ง กลิ่นปัสสาวะโชยเตะจมูก เท้าที่เปียกปัสสาวะของ


 


 


เด็ก เลอะโดนเสื้อผ้านาง จะทำท่ารังเกียจก็ไม่ได้


 


 


วันนี้นางอุตส่าห์แต่งตัวให้ดูสง่างามเป็นพิเศษ มาต้อนรับแม่สามีจากต่างเมือง เพื่อให้โดดเด่นสมกับเป็นนายหญิงของจวนรองเจ้ากรม เพื่อไม่ให้แม่สามีดูแคลนที่ตนเคยเป็นอนุมาก่อน


 


 


ชุดนี้เป็นเสื้อผ้าราคาแพงที่นางเลือกจากร้านขายเสื้อผ้าที่ดีที่สุดในเมืองหลวง เป็นชุดกระโปรงจีบรอบตัวสีหยกลายดอกไม้โปรยปราย สวมทับด้วยเสื้อกั๊กผ้าไหมห้าสีฝังพลอยไพลินเม็ดเล็กๆ แต่ตอนนี้เลอะไปด้วยปัสสาวะเด็ก เนื้อผ้าถูกทำลาย ใส่ซ้ำสองไม่ได้อีก ย่อมหงุดหงิดใจยิ่ง ในใจก่นด่า อีแก่บ้านนอก


 


 


พอหวังน้าสี่เห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ย ที่ไม่ว่ารูปร่างหน้าตา ลักษณะท่าทาง หรือการแต่งหน้าแต่งตัว ล้วนเหนือกว่าตนเอง เดิมทีก็รู้สึกอิจฉาอยู่ ด้วยในหมู่สะใภ้ด้วยกันเอง จะมากหรือน้อยก็ล้วนถูกนำมาเปรียบเทียบ ตอนนี้พอเห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยหน้ายุ่ง ก็รู้ทันทีว่านางรังเกียจลูกชายตน จึงเขวี้ยงเมล็ดทานตะวันลง แล้วว่า


 


 


“น้องสะใภ้ ฉี่อาชิงเป็นฉี่เด็ก ถ้าเลอะเสื้อผ้าถือว่าโชคดี เพื่อนบ้านพี่ ยังมาหาพี่เป็นประจำ เพื่อขอฉี่อาชิงไปทำยา!”


 


 


คลื่นไส้สิ้นดี พวกบ้านนอกชั้นต่ำ

 

 

 


ตอนที่ 66-5 ญาติชั้นเยี่ยมมาถึง

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนึกสะอิดสะเอียนในใจ แต่ไม่แสดงสีหน้าออกมา พอเห็นว่าหวังน้าสี่ยังไม่เข้ามารับลูกชายของนางไปอุ้มต่อ ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนพูดจาละมุนละม่อม


 


 


“พี่สะใภ้ ท่านดูสิ อาชิงกำลังร้องไห้ น่าจะอยากหาแม่แล้ว น้องเกรงว่าจะเอาไม่อยู่ อาจทำให้เด็กสะอึกได้ อย่างไร ท่านมาอุ้มดีกว่า จะได้ใส่ผ้าอ้อมให้ลูกด้วย”


 


 


หวงน้าสี่เห็นน้ำเสียงและท่าทีที่นุ่มนวลเช่นนี้ ก็รู้ว่าตนหัดไม่ได้ จึงอิจฉาและรังเกียจอยู่บ้าง ด้วยรู้ว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยเลื่อนชั้นขึ้นมาจากอนุ ข่าวว่าเดิมทีนางเป็นญาติห่างๆ ของฮูหยินน้องเขย และได้เสียกับน้องเขยก่อนที่จะมาเป็นอนุ ที่แท้ฮูหยินน้องเขยหรือสวี่ฮูหยินก็รังเกียจนางจนตรอมใจตายเช่นนี้นี่เอง เห็นทีตำแหน่งไป๋ฮูหยินที่ได้มา น่าจะเป็นการประเคนให้น้องเขยถึงที่มากกว่า แล้วตอนนี้จะมาอ่อนน้อมถ่อมตนให้ผู้หญิงด้วยกันเองทำไม ทำให้ใครดู ที่นี่ไม่มีผู้ชายสักหน่อย


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ หวงน้าสี่ก็พูดด้วยท่าทีกลางๆ “โอ๊ยโย๋ น้องสะใภ้ทำอย่างกับไม่เคยมีลูกมาก่อน แม้ยังไม่มีลูกชาย แต่ก็มีเฟยเอ๋อร์มาแล้วนี่ เคยเช็ดฉี่เช็ดอึ เลี้ยงเฟยเอ๋อร์จนกำลังจะออกเรือนอยู่รอมร่อ ทำไมถึงอุ้มเด็กน้อยอย่างอาชิงลูกพี่ไม่เป็นเสียล่ะ” 


 


 


เมื่อเชือดเสร็จ ค่อยยื่นมือทั้งสองข้างออกอย่างเกียจคร้าน รับลูกมาอุ้มต่อ


 


 


คำพูดนี้ทำให้ถงฮูหยินหันขวับ คิ้วขาวค้างนิ่ง จ้องไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่แรงแต่ก็ไม่เบา แววตาโดยรวมไม่พอใจ


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหน้าแดงไปถึงใบหู คำพูดของหวงน้าสี่ หนึ่ง ต้องการเย้ยหยันที่นางไม่มีลูกชาย สอง ต้องการถากถางที่ลูกสาวคนเดียวของนางกำลังจะแต่งไปเป็นอนุ


 


 


เรื่องอวิ๋นหว่านเฟยกำลังจะไปเป็นอนุในจวนโหว ถงฮูหยินกับหวงน้าสี่ได้ข่าวก่อนที่จะมาถึง เพียงแต่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องอื้อฉาวในจวนโหวของอวิ๋นหว่านเฟยเท่านั้น ซึ่งอวิ๋นเสวียนฉั่งบอกให้บ่าวปิดเป็นความลับ เพื่อไม่ให้มารดากลุ้มใจ ถ้าให้คนทั้งสองรู้ เกรงว่าหวงน้าสี่จะยิ่งพูดคำพูดดีๆ ออกมากลบฝังน้องสะใภ้แน่


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่อยากลดตัวลงไปเสวนากับหวงน้าสี่ จึงคร้านที่จะตอบโต้ แต่พอเห็นพี่จู้กับน้องเม่าทิ้งเปลือกเมล็ดทานตะวัน เปลือกถั่ว และคายเม็ดบ๊วย กลาดเกลื่อนเต็มพื้นห้อง ก็เรียกสาวใช้ให้เข้ามาตามความเคยชิน


 


 


“สกปรกจะตายชัก ไปเอาไม้กวาดมากวาดๆ หน่อยเร้ว”


 


 


หวงน้าสี่จ้องมองน้องสะใภ้ไม่วางตา พอได้ยินประโยคนี้ ก็ยิ้มเย็นชา “เรามันคนบ้านนอก อะไรก็ไม่รู้เรื่องหรอก รู้อยู่แต่ว่า ถ้ามีแขกมาบ้าน ต่อให้แขกทำสกปรกแค่ไหน เราในฐานะเจ้าบ้าน ก็ไม่มีทางกวาดทำความสะอาดต่อหน้าแขกแน่ เพราะการกวาดขยะ ถือเป็นการกวาดไล่แขก”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอึ้ง เริ่มไม่สบอารมณ์ “พี่สะใภ้ พื้นสกปรก ทำความสะอาดนิดหน่อย มันผิดตรงไหน น้องกลัวแต่ว่าท่านย่าจะหกล้ม”


 


 


“เอ๊ะ แต่เมื่อครู่น้องสะใภ้ไม่ได้พูดแบบนี้นี่ พูดว่า สกปรกจะตายชัก นะ”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนับว่าเข้าใจแล้ว หวงน้าสี่ตั้งแง่กับตน เพราะไม่ชอบขี้หน้าตน ช่างปะไร ขี้คร้านจะจุกจิกกับ


 


 


หญิงชาวบ้าน นางแสดงความริษยาให้เห็นจนหมดเปลือก เป็นผู้หญิงของบ้านสกุลอวิ๋นเหมือนกัน แต่นางแต่งกับพี่ใหญ่ที่เป็นชาวไร่ชาวนา ส่วนตนแต่งกับรองเจ้ากรมกลาโหม


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็เชิดหน้าใส่อย่างดูหมิ่น ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา ไม่พูดด้วยอีก


 


 


เมื่อหวงน้าสี่เห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยทำหน้าเย็นชาใส่ตน ก็เบ้ปากกลับ


 


 


เชอะ ยังมีหน้ามาทำเชิด ข่าวว่าเจ้าก็เป็นอีบ้านนอกเหมือนกันนี่ แค่หนีความยากลำบากมาเข้ากรุง แล้วอยู่ในกรุงมาสิบกว่าปี กับปีนขึ้นเตียงคนอื่นเขาก่อน ก็ถือว่าเก่งแล้วรึ นังจิ้งจอก!


 


 


ถงฮูหยินมิได้ใส่ใจการปะทะคารมของสะใภ้ทั้งสอง เปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลานเสร็จ ก็นั่งลง แล้วเหลือบตามองไป๋เสวี่ยฮุ่ย พอเห็นนางหน้าเขียว ก็นึกถึงเรื่องอวิ๋นจิ่นจ้ง ภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของนางฝังใจ ทำให้สงสัยในใจ


 


 


ตอนเห็นเมียของฉั่งเอ๋อร์ที่หน้าประตูจวนเป็นครั้งแรกนั้น นางแต่งตัวดึงดูดสายตามาก หาความเรียบง่ายไม่มี ก็รู้แล้วว่า เมียของลูกชายคนรองเป็นคนฟุ้งเฟ้อ ตอนนี้แค่อุ้มอาชิงเดี๋ยวเดียว เลอะฉี่เด็กหน่อยเดียว ก็หน้าดำแล้ว ไหนเลยจะทนความยากลำบากได้


 


 


แบบนี้เห็นที จะหวังให้นางเลี้ยงดูจิ่นจ้งให้ดีไม่ได้แล้วจริงๆ


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ ท่านย่าก็ถาม “นี่ ทำไมพวกจิ่นจ้งยังไม่มากันอีก”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหมือนโล่งใจ ได้โอกาสไปจากที่เหม็นๆ เสียที ในห้องมีแต่กลิ่นโคลนสาบควายแบบบ้านนอก จึงลุกขึ้นยืน “ลูกขอตัวไปดูหน่อยนะเจ้าคะ”


 


 


แต่พอเดินไปถึงธรณีประตู นอกเรือนก็มีเสียงฝีเท้าดังมา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกับอวิ๋นจิ่นจ้ง ยังมีอวิ๋นหว่านเฟย อวิ๋นหว่านถง และอนุฟางกำลังเดินเข้ามาพร้อมกัน


 


 


ทุกคนเข้ามาทักทายท่านย่า แล้วค่อยทักทายพูดคุยกับหวงน้าสี่ สาวใช้ยกเก้าอี้ผ้าแพรมาหลายตัว ลูกหลานบ้านสกุลอวิ๋นน้อยใหญ่นั่งล้อมวงท่านย่า


 


 


ด้วยต้องการเอาใจและตีสนิทแม่สามี ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงส่งสายตาให้ลูกสาว แล้วยิ้ม


 


 


“ท่านแม่ นี่คือเฟยเอ๋อร์ ท่านน่าจะยังไม่เคยเห็นนางมาก่อน”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยรีบก้าวเข้าหา สองมือประสานไว้ที่เอวข้างหนึ่ง ย่อตัวถอนสายบัว พลางพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านย่า”


 


 


ถงฮูหยินเห็นนางสวมเสื้อผ้าลักษณะเดียวกันกับสะใภ้ไป๋ รู้สึกเตะตาเกินไป จึงไม่ค่อยชอบ แต่หน้าตาก็จิ้มลิ้มดี อย่างไรก็เป็นหลานสาวตน จึงยิ้มให้แล้วจับมือไว้


 


 


“อ้อ คุณหนูที่กำลังจะแต่งเข้าจวนโหวใช่ไหม ดูดีมีสกุลแบบนั้นจริงๆ!” หวงน้าสี่พูดพลางยิ้มอยู่อีกด้าน


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหน้าซีด ตีหน้าขรึม นี่กำลังแอบเย้ยหยันลูกสาวตนที่กำลังจะไปเป็นอนุนี่!


 


 


พอถงฮูหยินได้ยิน รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าสูงวัยก็ชะงักค้าง ถอนหายใจออกมา คุณหนูจริงๆ ไหนเลยจะแต่งไปเป็นอนุได้


 


 


คนแก่หัวโบราณล้วนคิดว่าอนุมีชาติกำเนิดที่ต้อยต่ำ หรือไม่ก็ที่บ้านยากจน ไม่มีทางเลือก ส่วนบ้านที่มี


 


 


อันจะกินขึ้นมาหน่อย ลูกสาวย่อมแต่งไปเป็นฮูหยิน ถ้าตนกลับไท่โจวไป จะมีหน้าไปบอกใครได้เล่าว่า ตนมีหลานแต่งไปเป็นอนุ! ตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ลูกชายคิดอะไรอยู่


 


 


สีหน้าถงฮูหยินซีดลงไปบ้าง แต่ก็ยังพยายามพูดอย่างอ่อนโยน “ปกติอยู่บ้านทำอะไรจ๊ะ”


 


 


พออวิ๋นหว่านเฟยได้โอกาสพูด ก็รีบเชิดหน้ายืดอก แล้วตอบอย่างนอบน้อม


 


 


“ก็เหมือนคุณหนูทั่วไปเจ้าค่ะ หนังสือตำราต่างๆ อย่าง กฎระเบียบข้อห้ามสตรี สี่หนังสือห้าคัมภีร์ กวีนิพนธ์และปกิณกคดีขงจื่อ หลานไม่เพียงแต่อ่าน ยังท่องจำได้ด้วย”


 


 


ถงฮูหยิน “…..”       


 


 


ผู้เฒ่าผู้แก่ในชนบทไหนเลยจะเคยได้ยินชื่อหนังสือที่น่าปวดหัวเช่นนี้ แม้รู้ว่าเป็นหนังสือที่เหล่าคุณหนูอ่านกัน แต่แค่ชื่อก็ทำให้ตาลายแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดกับอวิ๋นหว่านเฟยอีก ฝืนยิ้มให้ พลางคลายมือออก


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยรู้สึกเสียหน้า ใบหน้าจึงบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว ขณะถอยกลับไปนั่งที่เดิม


 


 


อวิ๋นหว่านถงจึงเยื้องกรายเข้าไป แล้วย่อตัวลงต่ำ จนเกือบจะนั่งยองๆ ก่อนพูดอย่างนุ่มนวล


 


 


“คารวะท่านย่า”


 


 


เป็นเพียงลูกอนุ แต่เข้าตาคนแก่มากกว่า ถงฮูหยินจึงมองถงเอ๋อร์อีกครั้ง นางสวยสู้เฟยเอ๋อร์ไม่ได้ก็จริง แต่ก็แต่งเนื้อแต่งตัวได้เรียบง่ายดี ไม่ฉูดฉาดมาก ทว่ายังเด็กอยู่แท้ๆ แต่กลับเดินบิดเอวบิดบั้นท้าย จนดูตลกพิกล เห็นชัดว่าภายนอกดูอ่อนน้อมเชื่อฟัง แต่ภายในกระสับกระส่าย ไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ อนุเลี้ยงดูก็เช่นนี้ล่ะ…ถงฮูหยินไม่พูดสักคำ ส่งเสียงอ้อ ออกมาคำเดียว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้เข้าไปแย่งออดอ้อนท่านย่า เพียงยิ้มพลางผลักอวิ๋นจิ่นจ้งที่อยู่ข้างๆ ให้เข้าสู่อ้อมอกท่านย่า “ยังไม่เข้าไปคุยกับท่านย่าอีก”


 


 


ครั้งนี้ถงฮูหยินมาก็เพื่อกอดหลานชายคนโต พอเห็นหลานสาวคนโตพิถีพิถัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้กาลเทศะเช่นนี้ ก็ดึงแขนอวิ๋นจิ่นจ้งเข้ามา บีบซ้ายนวดขวา คุยกับหลานสุดที่รักอย่างชื่นมื่นอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยหันมามองอวิ๋นหว่านชิ่น เห็นนางใส่ชุดกระโปรงป้ายสีชมพู ท่าทางสบายๆ ไม่แย่งกับน้องๆ แต่งหน้าแต่งตัวไม่อ่อนไม่เข้มจนเกินไป ถูกใจคนแก่ยิ่ง จึงยิ้มแล้วว่า


 


 


“เจ้าคือชิ่นเอ๋อร์หรือ มามา มานั่งข้างๆ ย่านี่”

 

 

 


ตอนที่ 67-1 เหล่าสะใภ้ห้ำหั่นกัน

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงก้าวเข้าไป ย่อตัวลง “ท่านย่าเดินทางลำบากแล้ว”


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์โตขนาดนี้แล้วหรือ ตอนที่ย่าเห็นเจ้า เจ้ายังตัวเล็กเท่าเข่าย่าเอง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวที่ถงฮูหยินเคยเห็น ตอนนั้นเป็นช่วงตรุษจีน อวิ๋นเสวียนฉั่งอุ้มอวิ๋นหว่านชิ่นกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดด้วย


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ก็จำท่านย่าได้เจ้าค่ะ ก่อนท่านย่าจะมา ชิ่นเอ๋อร์ยังเคยคิดว่า ท่านย่าจะตัวกว้างขึ้น หรือตัวแคบลง ตอนนี้ดูไปแล้ว ก็ไม่อ้วนไม่ผอม ยังเหมือนเดิมเปี๊ยบ!” อวิ๋นหว่านชิ่นหยอดคำหวาน


 


 


ถงฮูหยินถูกเยินยอจนหัวเราะเสียงดังออกมา นี่มิใช่แฝงความนัยว่าตนนั้นยังไม่แก่ ยังสาวอยู่เลยหรอกหรือ จึงกอดหลานสาวไว้ในอ้อมอก หอมไปหนึ่งที แล้วจับมือไว้ ไม่ยอมปล่อย


 


 


“เทพธิดาตัวน้อยของย่า…”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูหมิ่นในใจ ตอนกลับบ้านนอก อวิ๋นหว่านชิ่นอย่างมากก็แค่สามขวบ จะจำได้อย่างไรว่าถงฮูหยินรูปร่างผอมหรืออ้วน จะโกหกทั้งที ก็น่าจะเนียนหน่อย! แย่ที่คนแก่อยู่มาจนปูนนี้แล้ว ยังเชื่อว่าจริงอีก


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็อดไม่ได้ที่จะเบะปากยิ้ม


 


 


จวนรองเจ้ากรมไม่มีผู้อาวุโสอาศัยอยู่ จุดแข็งของไป๋เสวี่ยฮุ่ยคือการปรนนิบัติบุรุษ นางจึงไม่เคยมีประสบการณ์ในการปรนนิบัติผู้สูงวัย โดยเฉพาะท่านย่าที่ค่อนข้างดื้อรั้นและรับมือยากเช่นนี้


 


 


เมื่อชาติที่แล้ว ช่วงที่ตนอยู่กับสิงฮูหยิน หรือฮูหยินท่านโหวอาวุโสนั้น ผู้สูงวัยมีนิสัยอย่างไร ตนชัดเจนดี ถึงคำหวานเป็นคำโกหก ก็ใช้เป็นกุญแจที่ไขประตูได้ทุกบาน


 


 


พอถงฮูหยินคุยกับหลานสาวคนโตได้สองสามประโยค ก็หันไปมองอวิ๋นจิ่นจ้งอีก ก่อนจับตัวเขาเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างละเอียดลออ ชนิดรักเท่าไหร่ก็ไม่รู้จบ


 


 


ท่านย่ามีหลานชายสามคน อาชิงยังเล็ก ส่วนน้องเม่าก็เป็นเด็กผู้ชายตามชนบทที่ชอบเที่ยวเล่นซุกซน แต่อวิ๋นจิ่นจ้งนั้นต่างออกไป เขาเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักไร้เดียงสา อ่อนโยน มีมารยาท และสง่างามแบบคุณชายน้อยในเมือง


 


 


วันนี้พอเห็นอวิ๋นจิ่นจ้ง ที่ผิวขาวเนียนนุ่มนิ่ม สะอาดสะอ้าน หน้าตาหล่อเหลา ก็รู้สึกว่าเขาเหมือนเด็กผู้ชายศิษย์รับใช้ข้างกายพระโพธิสัตว์กวนอิมอย่างไรอย่างนั้น เห็นชัดว่าถงฮูหยินรักเข้าเส้น จนน้ำตาไหลออกมา


 


 


“หลานที่น่ารักของย่า เจ้าเกือบทำให้ย่าหัวใจวายตายแล้วรู้ไหม ไปรักษาตัวอยู่ดีๆ ไหงตกเขาไปได้ล่ะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันมองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางขมวดคิ้ว


 


 


“ได้ยินว่าชิ่นเอ๋อร์เป็นคนเสนอให้ไปบ้านสวนรักษาตัวหรือ เฮ้อ…อย่าหาว่าย่ามาถึงก็ตำหนิเจ้าเลย รักษาตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ได้หรือ ทำไมต้องออกไปเที่ยวเล่นด้วย เจ้าเป็นผู้หญิงยิงเรือ อายุก็ไม่เท่าไหร่ ออกนอกบ้านไปโดยเฉพาะป่าลึกแบบนั้น ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา เจ้าจะรับมืออย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะ…โชคดีที่บรรพบุรุษเรา


 


 


ทำบุญไว้มาก ถึงได้ไม่เป็นไร ถ้าเกิดเป็นไรขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไร”


 


 


บรรยากาศในห้องพลันตึงเครียดขึ้น


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยลอบหัวเราะ เฮอะ ปากหวาน รู้จักเอาอกเอาใจคนแก่แล้วไง ในใจท่านย่า อย่างไรหลานชายก็มาก่อน หรือว่า กำลังจะถูกด่าแล้ว คิกคิก


 


 


“ท่านย่า” พออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นท่านย่ามีท่าทีว่าจะตำหนิพี่สาวต่อ ก็เกร็งกล้ามแขน ให้เห็นว่าตนนั้นแข็งแรง


 


 


“ท่านดูสิ ร่างกายหลานแข็งแรงดี ที่ท่านถามว่าจะรับมืออย่างไร นับว่าถามถูกทางแล้ว ท่านพี่รับมือได้สบายมาก! รีบติดต่อไปยังที่ว่าการอำเภอหลิงอวิ๋น เจ้าหน้าที่จึงขึ้นเขา กระจายกำลังกันค้นหา ประหยัดเวลาไปมาก ถ้าไม่ใช่ท่านพี่ หลานคงไม่ใช่แค่ผิวถลอกนิดหน่อยแล้ว แต่ท่านพี่กลับต้องตกลงไปเพราะช่วยหลาน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงต้องไปบ้านสวน นี่ก็ไม่ใช่เพราะท่านพี่ดึงดันจะไป แต่ท่านหมอบอกว่า ในจวนมีคนป่วย หลานยังเด็ก ร่างกายอ่อนแอ ถ้าอยู่รวมกัน อาจติดเชื้อได้ ไปรักษาตัวในสถานที่อีกแห่งจะดีกว่า ซึ่งถ้าอยู่ในจวน เกรงว่าตอนนี้อาจยังไม่หายป่วยด้วยซ้ำ!”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งพูดน้ำไหลไฟดับ คล่องแคล่วรื่นหู จนถงฮูหยินตะลึงงัน


 


 


นางก็ได้ยินมาก่อนเช่นกันว่า อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนดึงหลานขึ้นมา แต่ตนเองกลับตกลงไปแทน ผ่านไปสองสามวันถึงได้หาตัวเจอ ตอนนี้พอได้ยินหลานรักพูด ความคิดที่จะตำหนิอวิ๋นหว่านชิ่นก็มลายหายสิ้น แววตากลับเปลี่ยนเป็นชื่นชมและยกย่อง พลางยิ้มให้


 


 


พูดก็พูด เชื้อเพลิงก็คือไป๋เสวี่ยฮุ่ย ถ้าไม่ใช่เพราะนางป่วยเป็นโรคติดต่อ หลานทั้งสองไหนเลยต้องออกจากบ้านไป


 


 


ถงฮูหยินเม้มปาก ขมวดคิ้วขาว ก่อนพูดทำนองบ่นไป๋เสวี่ยฮุ่ย “เมื่อสะใภ้รองป่วยเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ก็น่าจะพักรักษาตัวอยู่แต่ในห้อง ถ้าคิดถึงผู้อื่น ก็ควรบอกก่อนว่า ไม่ต้องให้เด็กๆ มาเยี่ยม แล้วทำไมถึงเรียกจิ่นจ้งไปพบที่ห้องล่ะ”


 


 


พออนุฟางเห็นท่านย่าเริ่มอบรมไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็รู้สึกสะใจ เหมือนได้ระบายอารมณ์ไม่ดีในหลายวันนี้ออกมา จึงนั่งเงียบคอยดูฉากต่อไป


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกะพริบตาปริบๆ ด้วยคาดไม่ถึงว่า เชื้อเพลิงจะย้ายมาอยู่ที่ตนเองได้ จึงรู้สึกไม่เป็นธรรม รีบอธิบายเสียงออดอ้อน


 


 


“ท่านแม่ จะโทษลูกก็ไม่ได้ จิ่นจ้งเป็นคนไปหาลูกที่ห้องเอง”


 


 


เสียงออดอ้อนสั่นเครือเช่นนี้ อาจทำให้บุรุษเห็นใจ แต่สำหรับคนแก่ กลับให้ผลตรงข้าม


 


 


ถงฮูหยินเป็นคนตรงไปตรงมา ค่อนข้างปากจัด พอเห็นฮูหยินรองแสร้งทำตัวน่าสงสาร ก็รู้สึกขัดหูขัดตา จึงเอ็ดซ้ำ


 


 


“จิ่นจ้งสิบขวบ เจ้าล่ะกี่ขวบ เขาไม่รู้เรื่อง เจ้าก็พลอยไม่รู้เรื่องด้วยหรือ เขาไม่รู้อาการป่วยของเจ้า ถึงไปเยี่ยมเจ้าด้วยความกตัญญู แต่เจ้าในฐานะแม่ ทำไมไม่บอกเขาไปล่ะ ว่าไม่ต้องมา”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้แล้วว่า ตอนนี้ยิ่งพูดมากก็ยิ่งผิดมาก จึงกล้ำกลืนฝืนทน ไม่พูดจาอีก ก้มศีรษะลง คุ้นชินกับ


 


 


การเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตา แสดงให้เห็นว่าตนคือผู้บริสุทธิ์


 


 


หวงน้าสี่กำลังแทะเมล็ดทานตะวันอย่างเมามัน พอเห็นท่าทางนาง ก็ยิ้มแล้วว่า


 


 


“น้องสะใภ้ ถ้าท่านแม่อบรมพี่ พี่ต้องดีใจแทบไม่ทันแล้ว การที่ท่านแม่อบรมลูกหลาน ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถ้าท่านแม่ว่าผิด ลูกหลานก็ต้องผิด น้องสะใภ้จะร้องไห้ไปทำไม ท่านแม่พูดผิดหรือ อย่าทำเป็นอ่อนแอไปเลย มาๆ มาแทะเมล็ดทานตะวันกัน”


 


 


พอถงฮูหยินได้ยินคำพูดของสะใภ้ใหญ่ ก็ยิ่งไม่ชอบใจสะใภ้รอง แต่ก็คร้านที่จะสนใจ กลับดึงอวิ๋นจิ่นจ้งและอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปพูดคุยต่ออย่างสนิทสนม


 


 


 


 


แม่สามีมาวันแรก ก็อบรมตนไปหนึ่งรอบ ต่อหน้าบ่าว อนุ และเด็กๆ กระทั่งหวงน้าสี่ สะใภ้ชาวบ้านที่หยาบคายก็กำลังยิ้มเยาะตน คืนนั้นทั้งคืน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงนอนคิดฟุ้งซ่านจนรู้สึกไม่ค่อยสบาย


 


 


โดยไม่คิดว่า นี่เป็นเพียงวันแรกเท่านั้น


 


 


การเดินดูทั่วจวนของย่าถง ทำให้กฎระเบียบในจวนเปลี่ยนแปลงไปบ้าง


 


 


ทุกเช้า ก่อนอรุณรุ่ง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยต้องพาคนในบ้านไปเรือนตะวันตก คารวะผู้อาวุโส ช่วงพลบค่ำ ก็ต้องเข้าไปคารวะอีกรอบ และทุกวันนางก็ต้องเรียกบ่าวรับใช้ของเรือนตะวันตกมาถามดูว่า อาหารการกิน และการนอนหลับพักผ่อนของย่าถงเป็นอย่างไรบ้าง


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่เคยดูแลคนเฒ่าคนแก่ โดยเฉพาะถงฮูหยินที่มาจากชนบทและไม่คุ้นชินกับชีวิตประจำวันในจวนรองเจ้ากรม เช่น อาหารถ้าไม่ใส่พริกก็ไม่ถูกปาก หมาล่าใส่น้อยไป เตียงแข็งๆ ยังนอนสบายกว่า


 


 


เหล่านี้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยโต้แย้งไม่ได้ ได้แต่อำนวยความสะดวกให้ ไม่เปลี่ยนให้ใหม่ ก็เพิ่มเข้าไป หลายวันต่อมา นางจึงปวดเอวปวดหลัง เมื่อยล้าไปหมด จิตใจที่คิดไปปรนนิบัติสามีจึงหายไปครึ่งหนึ่ง


 


 


ถ้าดูแลเฉพาะคนแก่ยังพอไหว แต่นี่มีครอบครัวพี่ใหญ่ ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสาม ให้ต้องดูแลอีก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง

 

 

 


ตอนที่ 67-2 เหล่าสะใภ้ห้ำหั่นกัน

 

แม้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่ต้องดูแลหวงน้าสี่ด้วยตัวเอง แต่นับจากวันแรกที่ทั้งสองปะทะคารมกัน หลายวันต่อมา ก็ยังมองหน้ากันไม่ติด ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหงุดหงิดใจมาก พี่สะใภ้นั่น เหมือนเอาแต่ได้ ชี้นิ้วสั่งสาวใช้ทุกวันว่า อยากกินอยากดื่มโน่นนั่นนี่ ถ้าวันไหนได้ลิ้มลองขนมหรือผลไม้ที่มีความประณีตและเก็บไว้ได้นานหน่อย กินเสร็จก็จะสั่งให้สาวใช้ทำเพิ่มให้อีกชุด เพื่อนำกลับบ้านไปฝากสามีและลูกชายคนโตที่ไม่ได้มาด้วย


 


 


วันนั้น หวงน้าสี่ถูกใจปิ่นปักผมบนศีรษะไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็ไม่เกรงใจ ออดอ้อนไปตามตรงว่าอยากได้ และพอถงฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยพูด นางจึงต้องให้ไป


 


 


แม้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมิได้ชอบปิ่นปักผมอันนี้มากมาย แต่ก็เป็นเครื่องประดับส่วนตัวของนาง การแย่งเอาไปดื้อๆ เช่นนี้ ย่อมทำให้นางไม่สบอารมณ์ จึงสบถในใจ


 


 


อีบ้านนอก นอกจากไม่เคยเห็นโลกภายนอกแล้ว ยังหน้าด้านหน้าทนอีก ได้โอกาสมาบ้านญาติรวยๆ ทั้งที อะไรก็เอาหมด จากนั้นก็ทำหน้าบึ้งตึง


 


 


ถงฮูหยินย่อมปกป้องสะใภ้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี พอเห็นสะใภ้รองชักสีหน้า ก็พูดไปตามความเคยชิน


 


 


“คนกันเองทั้งนั้น สะใภ้บ้านเดียวกัน ยังจะแบ่งแยกอะไรอีก ข้าไม่ชอบคนเมืองอย่างพวกเจ้าที่ชอบวางท่า และคิดเล็กคิดน้อย พี่สะใภ้เจ้านานๆ มาที อย่าว่าแต่ปิ่นอันเดียวเลย คนที่รู้กาลเทศะ ไม่ต้องพูด ก็ยื่นให้เองแล้ว ไม่ได้ว่าเพราะอยากได้ปิ่นราคาแพงของเจ้าหรอก ก็แค่น้ำใจเท่านั้นเอง”


 


 


“หรือไม่ใช่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่ได้พบหน้าน้องสะใภ้ เราสองยากที่จะได้พบเจอกัน ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกันปีไหนเดือนไหนอีก พี่น่ะรักญาติพี่น้อง อยากได้เป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง แต่ถ้าน้องสะใภ้ไม่ชอบ พี่คืนให้ก็ได้ ไม่อยากกลายเป็นคนโลภในสายตาน้อง…”


 


 


ว่าแล้วหวงน้าสี่ก็ยกมือขึ้นจับมวยผม และแตะๆ ปิ่นอันนั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน มิได้ดึงออกมา


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยทั้งขันทั้งโกรธ จึงได้แต่พูดว่า “ถ้าพี่สะใภ้ชอบ ก็เอาไปเถิด”


 


 


ชั่วชีวิตนี้นางยังไม่เคยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับสะใภ้ด้วยกันเองต่อหน้าแม่สามี พอได้ยินแม่สามีกับสะใภ้บ้านนอกสองคนประสานเสียงรับส่งกันเพื่อให้ได้ของของตนไปครอง แล้วยังพูดเหน็บแนมตนอีก แม้รู้สึกโกรธ ก็ต้องข่มกลั้นไว้ ระบายออกไม่ได้ ขืนพูดมาก ก็จะกลายเป็นว่าตนไม่รู้จักกาลเทศะ จึงได้แต่ก้มหน้าลง ฟังคำชี้แนะ


 


 


ส่วนลูกๆ ทั้งสามที่หวงน้าสี่พามาด้วย ก็ไม่ต้องพูดถึง


 


 


อย่างไรก็มาจากชนบท และเด็กสองคนก็กำลังอยู่ในวัยซนพอดี ราวกับลูกลิงอย่างไรอย่างนั้น ไหนเลยจะก่อกวนอยู่แค่เรือนๆ เดียว คนหนึ่งซน อีกคนก็อยากเอาชนะ ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่ง วิ่งเล่นไปทั่วทั้งจวนเป็นประจำ


 


 


เหลือแต่เจ้าตัวเล็กที่ไม่วิ่งวุ่นวาย แต่ไม่รู้เป็นเพราะไม่ถูกกับสถานที่หรือเปล่า ถึงได้เอาแต่ร้องไห้ทั้งวี่ทั้งวัน แต่เหล่านี้ว่ากันไม่ได้เชียว มิเช่นนั้น หวงน้าสี่ก็จะรู้สึกว่าดูถูกลูกๆ ของนาง และนางก็จะทำตาขวาง มาเอาเรื่องไป๋เสวี่ยฮุ่ยอีก


 


 


ปกติไป๋เสวี่ยฮุ่ยติดนอนกลางวัน ทว่าตั้งแต่ครอบครัวแม่สามีมา นางก็มักจะนอนได้ไม่เต็มอิ่ม ต้องทรมานกับเสียงดังของเด็กๆ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเมื่อก่อนชีวิตสุขสบายแค่ไหน นางจึงเอาแต่นับวัน หวังให้แม่สามีกลับไปเร็วๆ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งออกจากบ้านไปทำงานทุกวัน ไม่ได้อยู่ในบ้านกว่าครึ่งค่อนวัน จึงไม่รู้สึกอะไรกับเสียงรบกวนดังกล่าว แต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอยู่บ้านตลอดทั้งวัน และยังต้องไปดูแลแม่สามีกับพี่สะใภ้ที่เรือนตะวันตกด้วยตัวเองอีก ขมขื่นสุดบรรยาย แต่ก็ไม่สามารถฟ้องอะไรกับสามีได้ เพราะสามีให้ความสำคัญกับการมาของมารดาในครั้งนี้มาก ซึ่งการปรนนิบัติแม่สามีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าฟ้อง ก็จะกลายเป็นว่า ตนเห็นแก่ตัว อกตัญญู ซึ่งตนเพิ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอวิ๋นเสวียนฉั่งได้หมาดๆ ถ้าทนไม่ได้ ก็ต้องหมางเมินกันอีก


 


 


ตรงนี้ต้องดูแลญาติจากชนบท ตรงนั้นก็ต้องเตรียมเรื่องออกเรือนของลูกสาว มีเรื่องให้จัดการมากมายจนไป๋เสวี่ยฮุ่ยแทบจะล้มป่วยอีกครั้ง


 


 


และในตอนนี้เอง นางก็ยื่นข้อเสนอว่า พี่เฉียวถูกขังไว้นานแล้ว ยอมรับผิดก็แล้ว โดนตีก็แล้ว ลงโทษก็แล้ว น่าจะปล่อยออกมาได้แล้ว


 


 


นี่มิใช่กินปูนร้อนท้องหรอกหรือ กลัวว่าถ้านานวันเข้า พี่เฉียวจะรับการทรมานไม่ไหว พูดความจริงออกมา ชูซย่าคิดว่าสบโอกาสพอดี จะได้ให้ท่านย่าได้รู้เสียทีว่าสะใภ้รองทำเรื่องอะไรไว้บ้าง พอคิดได้เช่นนี้ ก็รีบเสนอให้สอบสวนพี่เฉียว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดสักพัก กลับว่า “ถ้านางอยากให้ปล่อย ก็ปล่อยออกมาสิ คืนคนให้นางไป”


 


 


“คืนให้ฮูหยินหรือเจ้าคะ”


 


 


“หมู่นี้ท่านแม่มิใช่ยุ่งจนมือเท้าเป็นระวิงหรอกหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “ยกพี่เฉียวให้นางเอาไว้ใช้งานน่ะ ถ้านางถาม ก็บอกไปว่า แม้พี่เฉียวถูกลงโทษแล้ว แต่ถ้าให้อยู่ข้างกายคุณชาย ก็ยังไว้น่าไว้ใจ เราจึงไม่คิดใช้พี่เฉียวอีก”


 


 


ชูซย่าทำปากยื่นปากยาว ไม่ยอมอยู่บ้าง “คุณหนูเจ้าคะ แบบนี้เป็นการย้ายพี่เฉียวให้ห่างไกลจากคุณชายได้อย่างสมเหตุสมผลก็จริง แต่…จะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านกับคุณชายดวงแข็ง ก็คง…คิดแล้วไม่อยากยอมให้จริงๆ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “คืนให้นางก่อนค่อยว่ากันอีกที”


 


 


จะรีบร้อนไปทำไม เมื่อเชิญท่านย่ามา ใครจะคิดเล่าว่าท่านย่าจะช่วยตนพาผู้ช่วยแรงดีอย่างหวงน้าสี่มาอีกคน เมื่อเวทีสร้างเสร็จ จะดูงิ้วก่อน หรือดูทีหลัง ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ รอให้หาหลักฐานได้ครบ แล้วค่อยแล่เนื้อเถือหนังนางยังได้


 


 


 


 


ที่เรือนหลัก


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเพิ่งกลับจากเรือนตะวันตก วันนี้นางถูกสั่งให้ทำโน่นทำนี่เกือบทั้งวัน จนปวดเมื่อยไปทั้งตัว จึงเรียกอาเถากับมอมออีกคนมาบีบนวด


 


 


“ตรงนั้นอีกนิด กดลงไปอีก! ออกแรงหน่อยไม่ได้รึไง!” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยออกคำสั่ง


 


 


คนแก่จากบ้านนอกนี่ก็ไม่รู้ว่าร่างกายทำด้วยเหล็กไหลอะไร คึกยิ่งกว่าวัยรุ่นเสียอีก ตื่นแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ได้ทุกวัน ฟ้ายังทันไม่สางก็เรียกให้ทุกคนไปพบแล้ว ตัวเองต้องลำบากตื่นแต่เช้าจนเคยชิน ยังให้คนอื่นแหกขี้ตาตื่นตามอีก คนอื่นสามารถกลับไปหลับฝันดีต่อ แต่นางต้องอยู่ดูแลแม่สามีต่อจนเที่ยง จึงจะกลับไปกินข้าวได้


 


 


ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่ไหวจริงๆ ไม่รู้ว่าจะกลับกันเมื่อไหร่


 


 


ขณะกำลังด่าทอในใจ หน้าประตูก็มีบ่าวสองคนนำตัวคนคนหนึ่งเข้ามา เขาหยุดยืนตรงระเบียง แล้วตะเบ็งเสียง “ฮูหยิน”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก ก็เลิกผ้าม่านออกไปดู พอเห็นว่าเป็นพี่เฉียวก็อึ้ง


 


 


“ส่งมาให้ข้าทำไม ให้คืนคุณชายไปโน่น”


 


 


บ่าวผู้หนึ่งตอบ “คุณหนูใหญ่ว่า หมู่นี้ได้ยินฮูหยินบอกว่าขาดคน พอถงฮูหยินมา ก็มีเรื่องที่ต้องทำมากมาย จึงย้ายพี่เฉียวมาให้ฮูหยินใช้งาน”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเบะปาก นังตัวดีคืนหมอนี่มาให้ตนเองแล้ว


 


 


พี่เฉียวเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมา พอได้ยินว่าถูกคุณหนูใหญ่ย้ายให้ไปรับใช้ฮูหยิน ก็ดีใจออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่ตอนนี้พอเห็นฮูหยินเงียบ ก็เริ่มกลัวว่านางจะไม่รับตนไว้ เห็นตนเป็นลูกบอล เตะกลับคืนไปให้คุณหนูใหญ่อีก จึงร้องไห้ขี้มูกโป่ง คลานเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า


 


 


“ฮูหยินให้บ่าวรับใช้เถิด เรื่องใช้แรงงานบ่าวทำได้ทุกอย่าง…”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นว่าตามร่างกายเขายังมีรอยแผลจากการถูกไม้ฟาดอยู่ หลังจากที่เขาล่ออวิ๋นจิ่นจ้งขึ้นเขา อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ไว้ใจหมอนี่อีก จึงส่งต่อมาให้นาง เผื่อสักวันหมอนี่อาจพูดอะไรออกมาบ้าง


 


 


พลันโบกมือปราม แล้วพูดเสียงดัง


 


 


“ดีล่ะ เมื่อคุณหนูใหญ่กตัญญูเช่นนี้ เจ้าก็ทำงานจิปาถะอยู่นอกเรือนข้าก็แล้วกัน ต่อไป อย่าได้ทำอะไรผิดพลาดเช่นนั้นอีก”


 


 


พี่เฉียวโขกศีรษะ “ขอรับ ฮูหยิน!”


 


 


หลังจากบ่าวทั้งสองจากไป พี่เฉียวก็เหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่าไม่มีใคร ก็ถอยหลังออก


 


 


อาเถากับมอมอจึงปิดประตูลง พี่เฉียวค่อยพูดผ่านม่านกั้น


 


 


“ฮูหยิน บ่าวกลัวว่าท่านจะไม่เอาบ่าวแล้ว ถ้าบ่าวต้องกลับไปรับใช้ข้างกายคุณชายอีก ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถมีชีวิตกลับมาภักดีต่อฮูหยินหรือไม่”


 


 


“นี่ก็ไม่ใช่ให้เจ้าอยู่ต่อหรอกรึ” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองนิ่ง “เรื่องเล่นงานนังสารเลวอนุฟางกับคุณหนูใหญ่ เจ้าไม่ได้ซี้ซั้วพูดแน่นะ!”


 


 


“ฮูหยิน…ถ้าบ่าวพูด ตอนนี้คุณหนูใหญ่จะปล่อยบ่าวออกมาได้อย่างไร! บ่าวต้องกัดฟันทนเพื่อฮูหยิน


 


 


ยอมให้อนุฟางฟาดจนตาย ก็ไม่ยอมเผยอะไรสักคำเป็นอันขาด!” พี่เฉียวทุบหน้าอก


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยแค่นเสียง ‘เฮอะ’ 


 


 


“อย่ามาหาว่าข้าอยากให้ม้าวิ่งเร็ว แต่ไม่ให้ม้ากินหญ้าเสียล่ะ ถ้าเจ้าภักดีต่อข้า ข้าย่อมตอบแทนเจ้าอย่างงาม หนี้ที่บ่อนจี๋เล่อ ข้าก็ใช้ให้เจ้าหมด จนไม่มีใครตามทวงหนี้เจ้าอีก! ส่วนหงเยียนข้าก็ไถ่ตัวออกมาเรียบร้อย และส่งไปทำงานที่บ้านป้าสี่ของเจ้าชั่วคราวแล้ว…เจ้านี่มันจริงๆ คิ้วโจรตาหนู แต่สายตากลับไม่เลว สาวสวยที่สุดบนเรือสำราญว่านชุน ยังถูกเจ้าพบเห็นจนได้”


 


 


“ขอบคุณฮูหยิน ขอบคุณฮูหยิน!” พี่เฉียวดีใจจนโขกศีรษะติดต่อกันหลายครั้ง


 


 


ชีวิตกิน ดื่ม พนัน เคล้านารีเช่นนี้ ทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยส่ายหน้า ขณะมองตามหลังพี่เฉียวที่เดินตัวปลิวออกไป รู้สึกเสียดายอยู่บ้างว่า ถ้าให้เขาอยู่ข้างกายลูกเลี้ยงนานกว่านี้อีกสักหน่อย คงจะดีไม่น้อย ตนจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงมาก รับรองว่า ภายในสี่ห้าปี ก็สร้างลูกศิษย์สำมะเลเทเมาได้คนหนึ่งแล้ว ทว่าตอนนี้…


 


 


ช่างเถอะๆ แม้เรื่องที่บ้านสวน เขาทำไม่สำเร็จ แต่จะดีจะร้ายอย่างไร เขาก็ยังปากแข็ง ไม่เผยความจริงออกมาง่ายๆ ยังเห็นแก่ผู้หญิงและเงินอยู่ ถือว่าภักดีใช้ได้

 

 

 


ตอนที่ 67-3 เหล่าสะใภ้ห้ำหั่นกัน

 

ระหว่างที่หวงน้าสี่อาศัยอยู่ในบ้านอาเล็กของลูกๆ ก็ได้แนะลูกๆ ว่า ถ้าอยากออกไปเที่ยว ให้ไปรบเร้าท่านย่าเอาเอง


 


 


ยากนักที่จะได้มาเมืองหลวงสักครั้ง นางย่อมอยากออกเที่ยวไปทั่วเพื่อเปิดหูเปิดตา กลับไปที่บ้านจะได้กลายเป็นดาวเด่นในหมู่บ้าน


 


 


พอได้ยินว่าจะได้ออกไปเที่ยว พี่จู้กับน้องเม่าก็รีบไปวอแวท่านย่า ซึ่งท่านย่าอายุมากแล้ว ไม่อยากออกไปไหน แม้แต่พระราชวัง ก็ยังคร้านที่จะไปเดินดู แต่ก็ไม่อยากขัดใจหลานๆ


 


 


วันนี้ พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยมาดูแลในช่วงเช้า ท่านย่าจึงยกมือปราม แล้วว่า


 


 


“สะใภ้รอง วันนี้อากาศดีทีเดียว ข้าเห็นว่าเฟยเอ๋อร์กำลังจะออกเรือนแล้ว ยากที่จะมีชีวิตอิสระแบบคุณหนูอีก อย่างไรวันนี้เจ้าพาชิ่นเอ๋อร์ เฟยเอ๋อร์ ถงเอ๋อร์ พี่สะใภ้และเด็กทั้งสองไปเดินเล่นก็ดี เจ้าลองดูซิว่า ในเมืองมีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง แล้วพาพวกเขาไปเที่ยวหน่อย”


 


 


ปกติอยู่บ้าน รับมือภรรยากับลูกๆ ทั้งสามของพี่ใหญ่สกุลอวิ๋น ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว ยังถูกพี่สะใภ้จิกกัดเป็นประจำ และเรื่องปิ่นปักผม ก็ทำให้นางรังเกียจหวงน้าสี่สุดๆ ตอนนี้จะให้พาไปเที่ยว ย่อมไม่เต็มใจอย่างแรง จึงถอนหายใจออกมาสองครั้ง


 


 


พอหวงน้าสี่เห็นน้องสะใภ้มีท่าทีไม่ค่อยอยากจะไป ก็ยิ้มพลางว่า


 


 


“ทำไมล่ะน้องสะใภ้ กลัวว่าคนบ้านนอกอย่างเรา จะทำให้ขายหน้าหรือ”


 


 


คำพูดนี้ทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหน้าชา แต่พอเห็นท่านย่ามองมา นางก็ทำอะไรไม่ได้ ดูไปแล้ว วันนี้คงต้องยอมให้เขาข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า


 


 


จึงเงยคางแหลมๆ ขึ้นสำรวจมองสามแม่ลูก พลางยิ้มน้อยๆ พร้อมเจตนาเย้ยหยัน


 


 


“เมื่อพี่สะใภ้กับหลานๆ อยากเที่ยว ก็ไปสิ ยากนะกว่าจะมาเมืองหลวงได้สักครั้ง น้องจะบอกให้คนไปเตรียมรถม้าก็แล้วกัน อีกอย่าง” ชะงักเล็กน้อย “พี่สะใภ้ อาจู้ กับอาเม่าต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย”


 


 


หวงน้าสี่ฟังออกว่าคำพูดของไป๋เสวี่ยฮุ่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกดูหมิ่นเหยียดหยาม จึงก้มลงมองดูเสื้อผ้าตนเอง แล้วแค่นเสียงเย็นชาออกมา


 


 


“เฮอะ น้องสะใภ้ แม้เสื้อผ้าของเราสามแม่ลูกจะเทียบไม่ได้กับเสื้อผ้าราคาแพงของคนในบ้านขุนน้ำขุนนางอย่างพวกเจ้า แต่ก็ไม่มีรอยปะรอยเย็บใดๆ สะอาดสะอ้านมาก จะไปอายอะไร ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก”


 


 


“หึๆ ที่แท้เสื้อผ้าของพี่สะใภ้ก็ขอแค่ไม่ปะไม่เย็บ สะอ้านสะอ้านก็พอแล้วเท่านั้นหรือ มาตรฐานนี้ต่ำไปมั้ง” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยปิดปากหัวเราะ “จวนรองเจ้ากรมเรา แม้มิใช่จวนของเจ้าใหญ่นายโต หรือลูกท่านหลานเธอ แต่เวลาเราออกจากบ้าน ก็มีคนไม่น้อยที่เฝ้ามองเราอยู่ ถ้าแต่งตัวไม่เหมาะสม พวกเขาก็อาจเอาไปพูดต่อๆ กันไป และถ้าได้ยินไปถึงคนในราชสำนัก ท่านพี่ก็ย่อมขายหน้า”


 


 


พอถงฮูหยินได้ยินว่าอาจทำให้ลูกชายคนรองขายหน้า ก็รีบถลึงตามองสะใภ้ใหญ่


 


 


“เขาบอกให้เปลี่ยน ก็เปลี่ยนๆ ไปเถอะ มัวพูดไร้สาระไปทำไม เขาให้เสื้อผ้าใหม่เจ้า พาเจ้ากับลูกๆ เจ้าไปเที่ยว เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ”


 


 


หวงน้าสี่จึงเงียบเสียงลง เชื่อฟังแต่โดยดี


 


 


ยากนัก ที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ และทำให้พี่สะใภ้ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ จึงสะใจไปถึงทรวง ยิ้มพลางว่า


 


 


“เมื่อพี่สะใภ้ต้องการจะออกไปกะทันหันเช่นนี้ น้องก็เตรียมชุดใหม่ให้ไม่ทัน แต่จะพยายามหยิบชุดที่ดูสดใสหน่อยมาให้ พี่สะใภ้อย่าได้รังเกียจไปล่ะ”


 


 


พอเห็นนางเปลี่ยนท่าทีมาดีด้วย หวงน้าสี่ก็ยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยหันกายเดินออกมาด้านนอก ก็กำชับอาเถาไม่กี่คำ ให้นางกับสาวใช้อีกสองสามคนไปเอาเสื้อผ้ามา และบอกให้เด็กรับใช้อีกคนไปแจ้งตามเรือนต่างๆ ให้คุณหนูทั้งหลายเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้ใส่ออกนอกบ้าน แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย เตรียมไปเที่ยวเป็นเพื่อนป้าสะใภ้กับลูกๆ  


 


 


ไม่นานเกินรอ อาเถากับสาวใช้ ก็นำเสื้อผ้าหลายชุดเข้ามา


 


 


เสื้อผ้าทั้งสองแบบดูดีทีเดียว เป็นเสื้อและกระโปรงผ้าฝ้ายคอเปิด ชุดหนึ่งเป็นชุดผู้ใหญ่สีเขียวอ่อน อีกชุดเป็นชุดเด็กสีเหลืองอ่อนที่ดูสว่างกว่า และอีกชุดเป็นชุดยาวสีน้ำเงินเขียวของเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบ


 


 


หวงน้าสี่ไม่เคยเห็นเสื้อผ้าที่ผู้สูงศักดิ์สวมใส่ แต่อย่างไรก็ดูดีกว่าชุดที่ตนสวมใส่อยู่ เนื้อผ้าของเสื้อผ้าที่กองอยู่ตรงหน้านิ่มและลื่น แบบก็ดูทันสมัย จึงตื่นตาตื่นใจ อดไม่ได้ที่จะเรียกลูกๆ มาดู


 


 


มุมปากไป๋เสวี่ยฮุ่ยปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน แต่กลับพูดอย่างอ่อนโยน


 


 


“ขนาดน่าจะกำลังพอดี ชุดยาวผ้าแพรสีน้ำเงินเขียวนั่น เป็นชุดที่จิ่นจ้งใส่ตอนน้องเลี้ยงเขาอยู่ที่เรือน แม้เป็นชุดเก่า แต่ก็ใส่แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ส่วนชุดแบบผู้หญิงสองชุดของอาจู้กับพี่สะใภ้นั้น เป็นของใหม่ ไม่เคยใส่มาก่อน เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้ามาตลอด แต่โทษน้องไม่ได้นา ถ้าพี่สะใภ้บอกก่อนหน้านี้ น้องก็ไปซื้อชุดใหม่ให้แล้ว”


 


 


หวงน้าสี่คิดในใจ ทำไมวันนี้จู่ๆ น้องสะใภ้ก็ใจดีขึ้นมา หรือคิดดึงตนให้เข้าเป็นพวกด้วย ถึงได้มาผูกมิตรกับตนใหม่


 


 


ไม่มีเวลาคิดมาก หวงน้าสี่หอบเสื้อผ้า แล้วพาลูกทั้งสองเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านใน


 


 


ส่วนถงฮูหยิน เมื่อเห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยจัดการเรื่องในครั้งนี้ได้อย่างเหมาะสม ก็พอใจอยู่บ้าง


 


 


รอจนสามแม่ลูกแต่งตัวเสร็จ รถม้าและผู้ติดตามก็เตรียมพร้อมอยู่หน้าประตูแล้ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่น อวิ๋นหว่านเฟยและอวิ๋นหว่านถงสามพี่น้อง ต่างก็พาบ่าวของตนมาที่เรือนตะวันตก


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นกับบ่าวก้าวเข้าไปในห้อง หวงน้าสี่ก็พาลูกสาวเดินออกจากม่านมาพอดี


 


 


สีเสื้อของอาจู้เด่นสะดุดตา ผู้หญิงทุกคนต่างมองนางเป็นคนแรก


 


 


“ท่านย่า ดูให้หน่อยว่าดีหรือเปล่า” อาจู้หมุนตัวหนึ่งรอบ


 


 


ถงฮูหยินยิ้มจนเห็นรอยย่นบนใบหน้าชัดเจน


 


 


“ดีๆ ดูดีมากๆ ลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋นเรา มีขี้เหร่ด้วยหรือ เจ้าดูสิ สีนี้ สดสว่างแค่ไหน ถึงได้ขับให้อาจู้ของเราสว่างสดใสขึ้นทันตาเห็น!”


 


 


อวิ๋นหว่านถงคิดในใจ ผิวของอาจู้ค่อนข้างคล้ำ แต่ฮูหยินกลับหยิบชุดสีเหลืองสดมาให้ ซึ่งผู้ที่มีรสนิยมอยู่บ้าง ล้วนรู้ว่า ทำให้ดูคล้ำขึ้นและเชยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเห็นว่าท่านย่าชอบมาก ก็ว่าตามอย่างอ่อนโยน


 


 


“ใช่เลย ท่านย่าพูดถูก อาจู้ในตอนนี้เหมือนนางฟ้าไม่มีผิด”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยเคยเห็นเสื้อผ้าที่สองแม่ลูกสวมใส่อยู่ จึงรู้ว่ามารดาเป็นคนจัดให้ และพอหันไปมอง ก็สบตากับมารดา ทั้งสองยิ้มพร้อมกันโดยไม่ต้องพูด


 


 


วันนี้เป็นเมี่ยวเอ๋อร์ออกนอกบ้านเป็นเพื่อนอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


พอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นเสื้อผ้าของสองแม่ลูก ก็คุ้นตายิ่ง พลันนึกขึ้นได้ว่า เสื้อผ้าของคนทุกระดับชั้นในจวน เดิมทีฮูหยินของจวนคือผู้รับผิดชอบในการเลือกชนิดผ้าและลวดลาย ต่อมาค่อยให้ม่อไคไหลไปหาร้านตัดเสื้อที่เหมาะสมตัดเย็บออกมา สองชุดนี้นางเหมือนเคยเห็นที่ห้องของม่อไคไหล…เมี่ยวเอ๋อร์จึงดึงแขนเสื้อคุณหนู แล้วกระซิบเสียงต่ำที่ข้างหู


 


 


“ฮูหยินไม่ได้มีน้ำใจกับพี่สะใภ้จริงๆ…”


 


 


“ชู่” อวิ๋นหว่านชิ่นยกนิ้วชี้ขึ้นจุ๊ปาก


 


 


หลังจากคุยกับท่านย่าอีกสองสามคำ ทั้งหมดก็ก้าวออกจากจวน ขึ้นไปนั่งบนรถม้า


 


 


คนทั้งกลุ่มไม่นับบ่าว มีอยู่แปดคนด้วยกัน รถม้าคันเดียวย่อมนั่งไม่พอ จึงจัดมาสองคัน


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยแม่ลูก กับอนุฟางแม่ลูกนั่งคันหนึ่ง ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นพาหวงน้าสี่ อาจู้ อาเม่า ขึ้นไปนั่งบนรถม้าอีกคันหนึ่ง


 


 


บนรถม้า น้องเม่าเปิดม่านหน้าต่าง แล้วยื่นศีรษะออกไปชมทิวทัศน์ข้างทาง


 


 


หวงน้าสี่กับลูกสาวอย่างไรก็มีนิสัยรักสวยรักงามแบบผู้หญิง จึงตื่นเต้นกับเสื้อผ้าชุดใหม่ไม่หาย นั่งจับแขนเสื้อ ดูเนื้อผ้าและแบบเสื้อกันไปมา


 


 


ในสายตาของผู้เป็นแม่ ลูกสาวย่อมสวยที่สุดในปฐพี หวงน้าสี่ก็รู้สึกมาตลอดว่าอาจู้หน้าตาไม่เลว เสียดายก็แต่เกิดในชนบท ไม่เคยใส่เสื้อผ้าสวยงามเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้พอใส่แล้ว ก็รู้สึกว่านางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูอย่างไรก็สวยไปหมด จึงแย้มยิ้ม แล้วว่า


 


 


“อาจู้ของแม่นี่สวยจริงๆ เลย จากที่แม่เห็นนะ ไม่ได้เอาแต่ชมแตงตัวเองแบบแม่ค้าขายแตง นี่ถ้าอาจู้เกิดในเมือง แล้วแต่งตัวให้ดีอีกหน่อย ต้องไม่แพ้พวกคุณหนูผู้สูงศักดิ์แน่ สวยกว่าเฟยเอ๋อร์ของน้องสะใภ้ด้วยซ้ำ”


 


 


แล้วค่อยหันไปถามอวิ๋นหว่านชิ่น “เจ้าว่าจริงไหม ชิ่นเอ๋อร์”


 

 

 


ตอนที่ 67-4 เหล่าสะใภ้ห้ำหั่นกัน

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์นั่งตรงกันข้ามกับสามแม่ลูก กำลังมองหวงน้าสี่กับลูกสาวที่ยังตื่นเต้นไม่หายอยู่เงียบๆ และพอหวงน้าสี่ถามเช่นนี้ ก็เห็นชัดว่านางไม่ชอบไป๋เสวี่ยฮุ่ย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหัวเราะ ก่อนพูดเอาใจป้าสะใภ้


 


 


“อาจู้บุคลิกดี เพียงแต่ปกติไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัว วันนี้ใส่เสื้อผ้าชุดนี้ ทั้งแบบและสีสัน ก็ดูดี ขนาดก็


 


 


พอดีตัว ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป”


 


 


พอได้ยินคำชม หวงน้าสี่ก็ยิ้มหน้าบาน โดยไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงดังมาจากฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงฟังดูเบาสบาย คล้ายพูดไปเรื่อย


 


 


“แต่อย่างไร ก็ไม่เหมาะกับคุณหนูจู้”


 


 


เป็นเสียงของเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว ตีมือเมี่ยวเอ๋อร์ไปทีหนึ่ง “พูดซี้ซั้วอะไร!”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์แกล้งทำเป็นคับข้องใจ ก้มหน้าลง แล้วไม่พูดอีก


 


 


หวงน้าสี่เป็นคนความรู้สึกไว โดยเฉพาะเมื่อต้องมาอยู่ในเมืองหลวงที่มีแต่คนแต่งตัวหรูหรา ก็ยิ่งระมัดระวังทุกฝีก้าว กลัวว่าจะถูกคนดูถูกดูแคลน ตอนนี้พอได้ยิน ก็เป็นอันอึ้ง หมายความว่าอะไรกัน ทั้งแบบเสื้อ สีสัน ขนาด ล้วนเหมาะสม แล้วไม่เหมาะสมตรงไหน


 


 


“ไม่เป็นไร ให้นางพูดต่อเถอะ” หวงน้าสี่ขมวดคิ้ว


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เหลือบมองคุณหนูใหญ่ ก่อนว่า “พี่ชายของบ่าวคือพ่อบ้านม่อ พ่อบ้านประจำจวนสกุลอวิ๋น รับผิดชอบเรื่องการจัดซื้อ สองวันก่อนบ่าวเห็นชุดของป้าสะใภ้กับคุณหนูจู้วางอยู่ในห้องพี่ชาย”


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ อย่าพูดมาก” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ็ด “เรื่องของคนอื่น เจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้หรือ ถ้ารู้ถึงหูท่านแม่ว่าเจ้าพูดจาพร่ำเพรื่อ เจ้าต้องโดนตีแน่!”


 


 


แม้หวงน้าสี่ไม่มีการศึกษา แต่ก็มิได้โง่เขลาเบาปัญญา รู้ว่าเรื่องที่พูดยังมีต่อ ด้วยรู้สึกแต่แรกแล้วว่า การที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมาทำดีกับตนนั้น ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ จึงพูดเสียงสั่น


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องห้ามนางหรอก ให้นางพูดไป ป้ารู้ว่าเป็นบ่าวต้องทำตามกฎระเบียบ ไม่นินทานาย แต่ป้าเป็นคนจริง ไม่ทำร้ายใครซี้ซั้ว รับรองว่า ไม่มีทางบอกน้องสะใภ้ว่าใครเป็นคนพูดให้ฟังอย่างแน่นอน”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นลอบยินดี รีบหุบปากเชื่อฟังนาง


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์จึงพูดต่อ “ชุดของป้าสะใภ้กับอาจู้เป็นชุดใหม่ก็จริง แต่จริงๆ แล้วเป็นชุดที่ฮูหยินสั่งทำให้สาวใช้ในเรือนของนางใส่ ถ้าป้าสะใภ้ไม่เชื่อ ตอนกลับถึงจวนไปดูก็ได้ว่า เสื้อผ้าของสาวใช้ในเรือนหลักมีกี่ชุดที่เหมือนกับของพวกท่านเปี๊ยบ ต่างกันแค่สีสัน แต่จะโทษพวกท่านก็ไม่ได้ เพราะพวกท่านเพิ่งมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ย่อมไม่รู้เรื่องที่ว่า ที่นี่มีผู้สูงศักดิ์มากมาย ชุดของสาวใช้กับของนายจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตระกูลใหญ่ๆ บางบ้าน แม้ชุดของสาวใช้สวยแค่ไหน ถ้าคนที่ดูเป็น มองปราดเดียวก็แยกแยะออกว่าเป็นสาวใช้ เพราะ


 


 


ชุดของสาวใช้ จะเห็นช่องว่างระหว่างของเสื้อตัวในกับเสื้อตัวนอก แต่ของนายนั้นไม่เห็น กฎเกณฑ์เช่นนี้ มีไว้เพื่อแยกความแตกต่างของนายบ่าว และป้องกันไม่ให้บ่าวหลบหนีอะไรทำนองนี้”


 


 


หวงน้าสี่รีบก้มลงดู พอเห็นเสื้อตัวนอกกับตัวในของตนและลูกสาว มีช่องว่างเหมือนกันกับของเมี่ยวเอ๋อร์ แต่ของอวิ๋นหว่านชิ่นกับอาเม่าไม่มี จึงโมโหอย่างเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน


 


 


มิน่า มิน่าเล่า ถึงว่า ทำไมน้องสะใภ้จึงดีขนาดนี้ ที่แท้ก็เอาชุดสาวใช้มาให้ตนกับลูกสาวใส่นี่เอง เพราะรู้ว่าตนไม่รู้ว่าเสื้อผ้าของนายผู้สูงศักดิ์กับบ่าวนั้นต่างกัน จงใจชัดๆ!


 


 


นึกถึงก่อนเปลี่ยนชุด ที่นางกับลูกพากันชื่นชมเสื้อผ้าในมือไม่หยุด และพอเปลี่ยนแล้ว ยังเดินอวดคนในบ้านไปทั่ว สีหน้าของหวงน้าสี่แทบจะเปลี่ยนเป็นสีเลือดหมู ที่แท้สายตาของบ่าวในบ้านที่จ้องมองนางสองแม่ลูก ไม่ใช่ตกตะลึงในความสวย แต่กำลังหัวเราะเยาะอยู่แต่แรก


 


 


พอคิดเช่นนี้ หวงน้าสี่ก็เจ็บใจ กำหมัดแน่น แล้วจ้องรถม้าคันข้างหน้าที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนั่งเขม็ง


 


 


อาจู้ก็หน้าหงอย แม้นางอายุยังน้อย ก็รู้ว่าชุดของสาวใช้นั้นซี้ซั้วใส่ไม่ได้ สาวใช้คือใคร คือผู้ที่ถูกนายกุมชะตาชีวิตไว้ในมือ คล้ายไก่ คล้ายวัวตัวหนึ่ง นางเป็นคนบ้านนอกก็จริง แต่จะอย่างไรก็เป็นคนชั้นกลาง จะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องดูสีหน้านาย อย่าว่าแต่นี่ อยู่นอกบ้านด้วย แต่งตัวเช่นนี้ ไม่ขายหน้าเขาหมดหรือ จึงดึงทึ้งเสื้อผ้า พลางร้องไห้


 


 


“ข้าไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ออกไปนะ! เป็นสาวใช้ไม่ใช่หรือ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นย่ำเท้าแล้วหันไปเอ็ดเมี่ยวเอ๋อร์ “บอกแล้วไงว่าอย่าพูดจาพร่ำเพรื่อ ดูซิว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร! วันนี้เราออกมาเที่ยว ถ้าทุกคนหมดสนุก เจ้าจะสนุกได้อย่างไร!”


 


 


แล้วจึงหันหาหวงน้าสี่ “ป้าสะใภ้อย่าเพิ่งโมโห อาจเป็นเพราะวันนี้เรารีบร้อนออกจากบ้าน แล้วหาเสื้อใหม่ไม่ได้จริงๆ ท่านแม่จึงใช้แก้ขัดไปก่อน อาจไม่ได้คิดอะไรก็เป็นได้ อย่าเพิ่งโทษท่านแม่เลย”


 


 


หวงน้าสี่จึงพูดประชดน้องสะใภ้ไปสองสามประโยค ก่อนบอกว่าไม่มีอะไร แต่ในใจคิดว่า การล้างแค้นของน้องสะใภ้ในครั้งนี้ เป็นการทำให้ตนอับอายขายหน้า แสดงว่าไม่คิดนับญาติกับตน!


 


 


ถ้าอยู่ในบ้าน ยังมีฤทธิ์เดชของแม่สามีให้พึ่งพา แต่อยู่นอกบ้านเช่นนี้ ขืนแตกหักกับไป๋เสวี่ยฮุ่ยขึ้นมา ย่อมไม่มีใครช่วย เพราะบ่าวทุกคนล้วนเป็นคนในจวนสกุลอวิ๋น ถ้าตบกัน ตนต้องแพ้แน่นอน พอหันไปเห็นลูกชายมองตาละห้อยเหมือนอยากเที่ยวต่อ หวงน้าสี่จึงตัดสินใจข่มอารมณ์ แล้วว่า


 


 


“ช่างเถอะๆ ป้ามิได้ขาดคุณธรรมแบบแม่เจ้า รู้เรื่องแล้วก็พอแค่นี้ ไม่ลากสาวใช้ของเจ้าให้ลงน้ำไปด้วยหรอก ยังต้องขอบใจนางเสียอีก”


 


 


แล้วจึงหันไปปลอบลูกสาว


 


 


“กลับถึงบ้านค่อยว่ากันนะลูก อย่าเพิ่งพูดมากไป แม่เจ้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย”


 


 


พอรถม้าจอด คนจากรถม้าทั้งสองคันก็ก้าวลงจากรถ


 


 


ใกล้เที่ยงแล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงจัดให้กินข้าวเที่ยงที่เทียนซิ่งเหลาก่อน


 


 


ทั้งหมดเดินขึ้นชั้นสอง ไปนั่งยังที่ที่เหมาพิเศษ เสี่ยวเอ้อร์ส่งรายการอาหารมาให้


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหลือบมองสามแม่ลูก พลางคิดในใจ ปกติที่บ้านนอกไท่โจวไม่น่าจะได้กินอะไรดีๆ ขนาดอยู่ที่จวนรองเจ้ากรม พอเด็กทั้งสองเห็นลูกกวาดดอกหอมหมื่นลี้กับขนมปังธัญพืชไม่กี่ชิ้น ก็ตื่นเต้นไม่หยุดแล้ว ตอนนี้สั่งกับข้าวพื้นๆ ไม่กี่อย่างก็น่าจะพอ จึงสั่ง


 


 


“เสี่ยวเอ้อร์ พวกเนื้อสัตว์เอา อกไก่ม้วนผักรวม กระเพาะหมูผัดกระเทียม เซี่ยงจี๊ผัดพริกหยวก หมูผัดพริกไทยดำ ส่วนพวกผักก็ อืม ผัดผักสามสหาย ผัดเต้าหู้เหลืองต้นหอม ถั่วแขกผัดเนย แล้วก็น้ำแกงชามหนึ่ง”


 


 


ขณะยื่นรายการอาหารคืนให้เสี่ยวเอ้อร์ หวงน้าสี่ก็แย่งกลับมาดู


 


 


เฮอะ อกไก่ กระเพาะหมูอะไร นึกว่าตนไม่รู้รึ ของแพงๆ อย่างเนื้อวัว เนื้อแพะไม่เห็นมีสักอย่าง! ยังมีผัดผักสามสหายอะไรนั่นอีก ชื่อดูหรูหราดี แต่จริงๆ แล้วก็คือการนำมะเขือเทศ ถั่วงอก ผักกาดขาว ผักราคาถูกที่ไม่รู้จะถูกอย่างไร สามชนิดมาผัดรวมกันง่ายๆ เท่านั้นเอง


 


 


ชิ คนไม่เคยเห็นโลกภายนอก น่าอายจริงๆ ดูเสื้อผ้าที่ใส่สิ ก็เหมาะดีนี่ รู้หนังสือหรือเปล่า ดูซิจะสั่งอะไร ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหัวเราะหึ ปล่อยนางดูไป


 


 


หวงน้าสี่ไม่รู้ว่ากับข้าวอะไรดีไม่ดีหรอก ตัวหนังสือบนรายการอาหารก็เยอะแยะไปหมด แต่ไม่เป็นไร ชี้ไปถามไปก็ได้นี่ ถามแทนอาจู้กับอาเม่า


 


 


แล้วจึงสั่ง หอยเป๋าฮื้อน้ำแดง ครีบปลากระเบน พระกระโดดกำแพง ซุปหูฉลาม บวกของหวาน รังนกมรกต แล้วหันไปยิ้มกับลูกสาว


 


 


“อาจู้ รังนกนี่ดีนะ ได้ยินว่า คุณหนูบ้านคนใหญ่คนโตเขากินบำรุงกัน เจ้าดูผิวพรรณของพี่เฟยเอ๋อร์กับอาสะใภ้สิ กระจ่างใสเหมือนเด็กสิบสามสิบสี่ไม่มีผิด ต้องกินกันเป็นประจำแน่ๆ! มา เราสองแม่ลูกซัดกันคนละสองชามเป็นไง กินชามหนึ่ง เอากลับบ้านชามหนึ่ง!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยงุนงงสักพัก ดีล่ะ คำว่าเกรงใจสักนิดก็ไม่มี เพิ่งบอกว่านางบ้านนอกอยู่หลัดๆ ยังรู้จักสั่งของแพงๆ พวกนี้มากินด้วย! เห็นนางหรี่ตาทั้งสองข้างจนเป็นขีดๆ เดียว ขณะมองดูรายงานอาหาร ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


 


เทียนซิ่งเหลาแม้เป็นร้านอาหารเลิศรสเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใครในเมืองหลวง มีแขกสูงศักดิ์เข้ามากินดื่มมากมาย ทว่าผู้ที่สั่งอาหารอลังการอย่างหวงน้าสี่ วันๆ หนึ่ง นับว่ามีไม่มาก เสี่ยวเอ้อร์จึงยิ้มตาหยี พาดผ้าขนหนูไว้บนบ่า จดพลางขานรับ


 


 


“ขอรับ! หูฉลาม แล้วก็…รังนกมรกตสองชาม…ชามหนึ่งนำกลับบ้าน…อีกชามหนึ่งทานที่นี่”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นหวงน้าสี่สั่งอาหารน้ำไหลไฟดับ ก็ขมวดคิ้ว “พี่สะ…”


 


 


หวงน้าสี่รีบพลิกรายการอาหารต่อ ไม่ให้นางพูด ยิ้มแล้วว่า “พี่รู้ว่าน้องสะใภ้น้ำใจงาม เห็นว่าพี่นานๆ มาที จึงกังวลไปทุกเรื่อง อยากให้เรากินดื่มแต่ของดีๆ ไม่เป็นไร ตอนพี่ยังเด็กเคยตามพี่ชายไปเรียนหนังสือตามบ้าน จึงรู้หนังสืออยู่บ้าง รายการอาหารก็พอจะอ่านออก พี่สั่งเองได้!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจุก พอเห็นเสี่ยวเอ้อร์มองมา ไหนเลยจะพูดอะไรได้ นางมาทานอาหารที่เทียนซิ่งเหลาอยู่หลายครั้ง ก็มักสั่งแต่อาหารจานเด็ด เสี่ยวเอ้อร์ก็รู้ว่านางคือฮูหยินจวนรองเจ้ากกรม


 


 


ถ้าพูดปราม ก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าฮูหยินจวนรองเจ้ากรมตระหนี่ถี่เหนียว แต่พอเห็นว่าหวงน้าสี่ไม่


 


 


บันยะบันยัง ขืนไม่ปราม แม้อุ้งตีนหมีก็อาจสั่งได้ ในที่สุด จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แย่งรายการอาหารกลับขณะที่หวงน้าสี่ไม่ทันระวัง ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า


 


 


“พี่สะใภ้ อาหารมากพอแล้ว พ่อครัวต้องใช้เวลาในการทำ ถ้านานเกินไป จะกินเวลาเที่ยวของเรา ที่ที่เราอยากเที่ยวอาจไม่ได้เที่ยว กินก่อนเถิด ถ้าไม่พอ ค่อยสั่งเพิ่ม”


 


 


หวงน้าสี่แค่นเสียงเย็นชาพลางนึกในใจ เฮอะ อยากลองดีกับข้าไม่ใช่รึ!

 

 

 


ตอนที่ 67-5 เหล่าสะใภ้ห้ำหั่นกัน

 

กับข้าวแต่ละอย่างถูกยกมาวางลงบนโต๊ะ


 


 


อาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ เจิดจ้าดุจทอง เขียวดุจมรกต ขาวดุจครีมประทินผิว


 


 


นี่ไม่ใช่อาหาร แต่เป็นเงินทั้งสิ้น ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นแล้วก็ปวดใจ ค่อยๆ ละเลียดทีละนิด ด้วยเกรงว่าจะไม่รู้รส กับข้าวเหล่านี้ แม้แต่นางเองปกติก็ยังไม่ค่อยได้กิน


 


 


ทว่าหวงน้าสี่กลับไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กินอย่างมูมมามเหมือนตือโป๊ยก่ายอย่างไรอย่างนั้น คีบแต่คำใหญ่ๆ เข้าปาก เพราะถึงอย่างไรตนเองก็ไม่ใช่คนออกสตางค์ กับข้าวเหล่านี้แพงหูฉี่จริงๆ แต่ก็เรียกน้ำย่อยสู้พวกผักดองหัวไชเท้าไม่ได้ บางครั้งก็เงยหน้าขึ้น เหลือบมองน้องสะใภ้ แล้วยกกับข้าวราคาแพงมาไว้ตรงหน้าลูกๆ ก่อนว่า


 


 


“รีบกินเร็ว เย็นแล้วไม่อร่อย”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไหนเลยจะกินลง วางตะเกียบ ดื่มน้ำแกงไม่กี่คำ ก็ไม่ค่อยได้กินอะไรอีก


 


 


พอคนทั้งกลุ่มกินมื้อเที่ยงที่เทียนซิ่งเหลาเรียบร้อย ก็เดินลงชั้นล่าง ก้าวขึ้นรถม้าไป


 


 


การออกนอกบ้านในวันนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยคำนวณมาก่อนแล้วว่า ค่ากินค่ารถต่อหัวต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ เพิ่งเริ่มต้น ก็ถูกพี่สะใภ้ตีรวนแล้ว จึงรู้สึกไม่พอใจยิ่ง คิดไม่ถึงว่าหญิงบ้านนอกผู้นี้จะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย ข้าวมื้อหนึ่ง ผลาญเงินนางไปเต็มๆ สามสิบกว่าตำลึงเงิน


 


 


นางจึงพกความรู้สึกโกรธ ขณะพาคนทั้งกลุ่มไปยังวัดทางทิศตะวันออก


 


 


ผ่านถนนที่คึกคักจอแจ ซึ่งพอดีกับช่วงหลังอาหารกลางวัน ซึ่งผู้คนออกมาเดินย่อยมากที่สุดของวัน


 


 


อาเม่ารบเร้าจะลงไปให้ได้ หวงน้าสี่จึงบอกให้หยุดรถ แล้วพาลูกๆ ลงเดิน


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยทำอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกให้รถม้าหยุด แล้วพากลุ่มคนทั้งกระบิเดินตามไป


 


 


เห็นหวงน้าสี่พาลูกๆ ทั้งสองเดินตรงเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง


 


 


รอจนไป๋เสวี่ยฮุ่ยก้าวเข้าไปในร้าน ก็เห็นหวงน้าสี่หยิบชุดผ้าไหมมันวาวสีโอรสชุดหนึ่งขึ้นมาทาบตัว แล้วหยิบชุดกระโปรงเด็กเกาะอกพร้อมเสื้อคลุมพื้นขาวลายผีเสื้อห้าสีมาทาบตัวอาจู้


 


 


สองแม่ลูกมือเท้าว่องไวมาก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังไม่ทันตั้งสติ ทั้งสองก็ถือเสื้อผ้าไว้ในมือคนละชุด แล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนด้านใน


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหรี่ตามอง ต้องตำหนิตัวเองที่ดูเบาสะใภ้บ้านนอก ซึ่งไม่ไว้หน้าตนและหาความเกรงใจไม่มีสักนิดเลยจริงๆ


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรอจนพวกนางออกมา ก็เห็นหวงน้าสี่จับกระโปรงอาจู้ให้เข้าที่ ยิ้มพลางว่า “มามะ แบบนี้ถึงจะสวยนะ” แล้วจึงหันมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย


 


 


“น้องสะใภ้ดูสิ เหมาะกว่าชุดที่เจ้าเอาให้เราสองแม่ลูกใส่เสียอีก พี่เห็นเสื้อผ้าที่เหล่าคุณหนูในเมืองใส่แล้วตื่นตาตื่นใจจริงๆ จึงทนไม่ไหว เจ้าอย่าถือสาเลยนะ”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกัดฟัน ยิ้มแหยๆ “ไม่เป็นไร”


 


 


พอหวงน้าสี่เปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อย ก็พลอยหยิบของในร้าน พวกเครื่องประดับศีรษะและเอวที่เข้ากับชุดไปด้วย


 


 


สุดท้ายรวมเป็นเงินเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยย่อมเป็นคนควักกระเป๋า


 


 


วันนี้นางจ่ายไปไม่น้อย เกินเงินเดือนที่นางได้ในแต่ละเดือนมากต่อมาก แม้บอกว่าขอเบิกกับท่านพี่ได้ แต่ท่านพี่เป็นคนมัธยัสถ์ ถ้าเห็นนางใช้เงินมากขนาดนี้ ย่อมไม่ชอบ และไม่โทษพี่สะใภ้ จะโทษก็แต่นางที่ไม่รู้จักปราม ไม่รู้จักสะกิด


 


 


พอออกจากร้านขายเสื้อ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ชายตามองสองแม่ลูกที่หัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ด้านหลัง ช่างเถอะๆๆ ก็แค่เสื้อผ้าสองชุด ขนาดอาหารมื้อละสามสิบกว่าตำลึงเงินก็กินมาแล้ว


 


 


กลัวก็แต่หวงน้าสี่จะเล่นลูกไม้ต่อ ถนนคนเดินยาวสิบห้าลี้ สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยร้านรวงหรูหรา นางอาจทนไม่ไหว ซื้อนั่นซื้อนี่อย่างไม่ลืมหูลืมตาอีก


 


 


พอเห็นพี่สะใภ้มองซ้ายมองขวา ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ร้อนรน รีบจับแขนนางไว้ ยิ้มตาหยี แล้วว่า “พี่สะใภ้ นี่ก็สายมากแล้ว เรายังต้องไปวัดกันอีก วันหลังค่อยมาเดินก็ได้ ไม่รีบ ไปกันเถอะ”


 


 


หวงน้าสี่จับมือนางไว้ วางลง แล้วยิ้มยิงฟัน อย่างไรตนก็จะต่อกรกับนาง ถ้านางมาขวา ตนก็ไปซ้าย


 


 


“น้องสะใภ้ วัดไม่ต้องไปก็ได้ การจุดธูปไหว้พระและชื่นชมของโบราณเงียบๆ สูงส่งเกินไป เหมาะกับพวกผู้ดีอย่างพวกเจ้า แต่ไม่เหมาะกับเรา ชาวบ้านอย่างเราชอบความครึกครื้น ที่ไหนคึกคักก็ไปที่นั่น ร้านนั้นสีทองอร่ามสวยดี ไม่รู้ร้านอะไร ถ้าอย่างไร เราเข้าไปดูกันไหม”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยแทบกระอักโลหิต แต่พอมองตามไป ก็เห็นป้ายหน้าร้านสลักว่า “โรงละครว่านไฉ่”


 


 


โรงละคร?


 


 


เอ ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเข้าไปดูละคร สามแม่ลูกจะได้นั่งนิ่งๆ ไม่วิ่งพล่านไปทั่วให้อับอายขายหน้า


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยสั่งให้บ่าวเข้าไปจองที่นั่ง ส่วนพวกตนก็ยืนรออยู่หน้าโรงละคร


 


 


ปกติแล้ว โรงละครว่านไฉ่ต้อนรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปะการแสดงทั้งขาจรและขาประจำ กำหนดให้แสดงสองรอบในแต่ละวัน คือรอบเช้ากับรอบเย็น ส่วนช่วงเวลาอื่นๆ เป็นการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ถ้าวันไหนมีชนชั้นสูงมาดู ก็จะเหมาสถานที่ โดยไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้า หรือมิเช่นนั้นก็เชิญนักแสดงทั้งคณะไปแสดงที่บ้าน


 


 


เนื่องจากมีดาราดังหลายคน ธุรกิจโรงละครจึงเฟื่องฟู โดยในแต่ละวัน ล้วนมีคนชั้นสูงเข้ามาดูละคร


 


 


อีกทั้งคุณหนูสกุลใหญ่โตก็ชอบดูละครไม่น้อย โดยมักจองที่นั่งบนชั้นสองไว้ล่วงหน้า ประการแรกเงียบสงบ ลุกนั่งสบาย ประการที่สอง ชั้นล่างต้องนั่งปะปนกับคนส่วนใหญ่ที่มีสถานะไม่ชัดเจน จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกคนแปลกหน้าพบเห็นและทักทาย


 


 


ตอนหญิงสาวบ้านสกุลอวิ๋นก้าวเข้าไป ถึงได้รู้ว่าชั้นบนถูกเหมาทั้งชั้นแล้ว ไม่อนุญาตให้ขึ้นไป เหลือเพียงที่นั่งชั้นล่าง ที่มีคนเดินผ่านไปมานั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ มากกว่าครึ่งเป็นผู้ชาย ส่งเสียงดังจอแจ บวกกับเด็กรับใช้ที่คอยเดินบริการน้ำดื่มและขนมนมเนย จึงดูพลุกพล่านวุ่นวาย


 


 


ทว่าหวงน้าสี่และลูกๆ กลับไม่ถือสา สำหรับพวกเขาแล้ว ชั้นบนสนุกสู้ชั้นล่างไม่ได้ อากาศก็ถ่ายเทกว่า จึงเลือกโต๊ะกลมใหญ่สีแดง แล้วนั่งล้อมวงกัน


 


 


“ท่านแม่” อวิ๋นหว่านเฟยขมวดคิ้วขณะมองหวงน้าสี่อย่างเหยียดๆ พลางดึงแขนเสื้อของไป๋เสวี่ยฮุ่ย แล้วว่า “ชั้นล่างจะดูละครกันอย่างไรกัน หนวกหูจะแย่ แล้วถ้ามีใครมาเห็นว่าพวกเรานั่งดูละครปะปนกับคนเดินถนน จะไม่ถูกหัวเราะเยาะหรือ”


 


 


นางเองก็เคยมาดูละครที่นี่ และทุกครั้งที่มา ก็ต้องจองที่นั่งล่วงหน้า แล้วค่อยมานั่งดูละครอย่างสง่างามอยู่ชั้นบนแบบคนชั้นสูง ไหนเลยจะติดดินเช่นนี้


 


 


เมื่อลูกสาวกำลังจะแต่งเข้าจวนโหว ก็ไม่ควรเสี่ยงให้คนครหานินทาเพิ่ม พอเห็นลูกรักหน้าตาหงิกงอ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงกำชับสาวใช้ข้างกาย


 


 


“อาเถา คุณหนูรองปวดหัว ไม่ค่อยสบาย เจ้าพานางกลับไปก่อน”


 


 


คำพูดนี้โดนใจยิ่ง อวิ๋นหว่านเฟยจึงไม่พูดไม่จา รีบสาวเท้าก้าวตามอาเถาออกไป


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยบอกให้บ่าวจัดแจงเช็ดโต๊ะใหม่อีกรอบ ค่อยนั่งลง


 


 


“ชิ จะสูงส่งไปถึงไหน ขนาดแค่ฮูหยินจวนรองเจ้ากรมยังขนาดนี้ ถ้าได้เป็นแม่ยายจวนโหว มิต้องโบยบินขึ้นฟ้าไปหรอกรึ!” หวงน้าสี่แทะเมล็ดทานตะวันพลางพูดเองเออเอง


 


 


โรงละครชั้นล่างเสียงดัง หวงน้าสี่จึงไม่หรี่เสียง จงใจพูดเสียงดัง และไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ได้ยินอย่างชัดเจน จึงส่งเสียง ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่ง ก่อนเบือนหน้าไปอีกทาง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเลือกนั่งตรงมุมโต๊ะ อนุฟางกับอวิ๋นหว่านถงนั่งใกล้กับโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง


 


 


เด็กรับใช้เพิ่งยกน้ำชามา การแสดงบนเวทีก็เริ่มต้นขึ้น เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว กลบเสียงพูดคุยของผู้คนในพริบตา


 


 


แต่ทันใดนั้น อวิ๋นหว่านถงก็กรีดร้อง แล้วลุกขึ้นพรวดเสียงดัง ‘พรึบ’

 

 

 


ตอนที่ 68-1 โกรธแล้ว!

 

ยินดีด้วยที่ท่านได้ตั๋วชมการแสดงตลอดทั้งเดือน


 


 


ที่แท้อวิ๋นหว่านถงนั่งอยู่ริมทางเดิน และชายผู้ได้รางวัลต้องเดินไปรับรางวัลบนเวที ขณะเดินผ่านผู้ชมที่นั่งกันอย่างหนาแน่นตรงชั้นล่าง ทางก็แคบ ไม่ทันระวัง เสียดสีถูกนางเข้า นางจึงร้องออกมาคำหนึ่งอย่างตกใจ


 


 


ชายผู้นี้เป็นคนเดินถนนที่ดื่มสุรามาบ้าง จึงมึนเล็กน้อย เดิมทีกำลังจะด่ากลับ แต่พอเห็นแม่นางน้อยหน้าตาไม่เลว ก็ยื่นมือออกกะจะลูบหน้านางเพราะฤทธิ์สุรา


 


 


บ่าวในบ้านที่ติดตามมาก็รีบกระโจนเข้า รวบตัวไว้ บิดแขนไปด้านหลัง


 


 


เห็นชัดว่า อนุฟางแม้ไม่กล้าบ่นคนปากจัดอย่างไป๋เสวี่ยฮุ่ยและพี่สะใภ้ซึ่งหน้า แต่พอลูกสาวได้รับความไม่เป็นธรรม ก็อดรนทนไม่ไหว


 


 


“น้องว่าแล้ว โรงละครเป็นที่ที่แออัด ผู้คนที่ชั้นล่างก็ผสมปนเปกันไปหมด ล้วนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เรามันแต่งงานแล้วก็แล้วกันไป แต่คุณหนูใหญ่ยังไม่ออกเรือน ไม่ควรพามาที่นี่!”


 


 


แม้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่ชอบที่นี่ แต่พอเห็นอวิ๋นหว่านถงถูกแต๊ะอั๋ง แล้วอนุฟางโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก็ลอบดีใจ สมน้ำหน้า ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เจ้าเล่นข้าล่ะ


 


 


แต่พออนุฟางพูดจบ กลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าก็ส่งเสียงดังโหวกเหวก


 


 


ชายขี้เมาหลุดจากการถูกจับกุมเมื่อครู่ กระโจนกลับเข้ามาในโรงละคร


 


 


ตอนเขาถูกกุมตัวออกไป ถูกบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นด่าว่าสองสามคำ สุราก็ออกฤทธิ์ จึงฮึดสู้ขึ้นมา บวกกับเขาเป็นนักเลงอันธพาลในเมืองที่ไม่กลัวตาย พอเมาสุรา แรงก็ยิ่งมาก เหวี่ยงหมัดใส่บ่าวที่รูปร่างผอมบางไปสองหมัด แล้วกระโจนกลับเข้ามา ก้าวเข้าไปที่โต๊ะ จับข้อมืออวิ๋นหว่านถงไว้ พร้อมถลึงตามองนางด้วยดวงตาอันแดงก่ำจากฤทธิ์สุรา พลางด่าทอ


 


 


“มารดาเจ้า สูงส่งอะไรนักหนา! ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ลูกพี่ลองมาหมดแล้ว ขนาดนางโลมชั้นหนึ่งบนเรือสำราญว่านชุน ลูกพี่ก็ลองมาแล้ว! คุณหนูลูกผู้ดีแล้วไง หา เพราะลูกพี่ไม่ได้ให้เงินหรือไง! ถึงได้กล้าอัดลูกพี่!”


 


 


คำพูดหยาบโลนเช่นนี้ อวิ๋นหว่านถงที่ถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในเรือน ไหนเลยจะเคยฟังมาก่อน พอได้ยินนักเลงหัวไม้เอาตนไปเปรียบกับนางโลมในหอโคมเขียว ก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ รีบร้องตะโกน


 


 


“ใครก็ได้ มาลากตัวมันไปเร็ว…”


 


 


คนเมาพยศดั่งช้างสาร พอบ่าวที่ถูกต่อยเมื่อครู่ โถมตัวเข้าไป ก็ถูกโยนออกมาทันที


 


 


เสียงผู้คนในโรงละครหวีดร้อง เมื่อนักแสดงบนเวที ร้องเพลงได้ถูกใจ โดยไม่ทันสังเกตเห็นคนไม่กี่คนที่มีเรื่องกันอยู่ด้านล่าง หรือต่อให้สังเกตเห็น ในที่ที่ฝูงชนมารวมตัวกัน การชกต่อยเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเห็นกันชนชินตาแล้ว


 


 


ในเมืองหลวงที่หรูหราทันสมัย ใจคนกลับเย็นชา ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามสักคน


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถอยออกไปยืนอยู่อีกด้านแต่แรกแล้ว และกำลังจับหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ดีที่นาง


 


 


มองการณ์ไกล ส่งลูกสาวตัวเองกลับไปก่อน แต่พอเห็นลูกเมียน้อยถูกลบหลู่ นางผู้เป็นนายหญิงของบ้านจะนิ่งดูดายก็กระไรอยู่ แต่พอเหลือบตามองอนุฟางที่หน้าขาวซีดราวกระดาษ ก็แอบสะใจ ก่อนเอ็ดตะโรบ่าว


 


 


“แต่ละคนเลี้ยงเสียข้าวสุกหรือไง ยังไม่รีบเข้าไปช่วยคุณหนูสาม ลากเจ้าขี้เมาออกมาอีก!”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ออกมายืนขวางอยู่หน้าคุณหนูของตนแต่แรก ด้วยเกรงว่าชายขี้เมาจะกระโจนเข้ามา


 


 


อาจเพราะอวิ๋นหว่านถงสะอื้นไห้ไม่หยุด ชายขี้เมาจึงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ พอหันไปมองด้านข้าง ก็สะดุดตาแถวเมี่ยวเอ๋อร์ เนื่องจากเห็นว่าด้านหลังของนางมีแม่นางน้อยอีกคนหนึ่ง คล้ายโตกว่าและสูงกว่านิดหน่อย หน้าตาก็สมบูรณ์แบบ ดูใสและโดดเด่นมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ ยังสงบนิ่งได้ มิหนำซ้ำดวงตากลมโตยังจ้องมองมาที่ตนอย่างเยือกเย็น มีความระแวดระวังอยู่เจ็ดส่วน อีกสามส่วนกำลังดูแคลนตน น่าสนใจยิ่ง


 


 


ชายขี้เมาสะอึกไปทีหนึ่ง ดวงตาคล้ายติดตะขอ เกี่ยวกระหวัดอวิ๋นหว่านชิ่นขณะจ้องมอง


 


 


อวิ๋นหว่านถงตื่นตระหนกจนสติแตก พยายามหาวิธีสลัดตนเองให้หลุด จึงฉวยโอกาสขณะที่ชายขี้เมาจ้องมองพี่สาว ร้อง “อ๊าก” ออกมาคำหนึ่ง พลางดิ้นอย่างสุดแรงเกิด ผลักชายขี้เมาเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่น แล้ววิ่งเข้าหาอนุฟาง


 


 


ซึ่งจริงๆ แล้วชายขี้เมาสามารถขืนตัวให้ยืนอยู่ได้ แต่พอเห็นว่ากำลังจะได้ใกล้ชิดกับสาวงามตรงหน้า ก็จงใจปล่อยตัว แกล้งโผเข้าล้มทับ…


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นได้กลิ่นสุรารุนแรงอยู่ก่อนแล้ว จึงฉวยโอกาสก่อนชายขี้เมาโผเข้าหา ขยับร่างพร้อมลากเมี่ยวเอ๋อร์ไปด้วย เลี่ยงการถูกแต๊ะอั๋งไปได้


 


 


พอชายขี้เมาโผเข้าหาความว่างเปล่า ก็ยั้งตัวไว้ไม่อยู่ ศีรษะกระแทกเข้ากับเสาอย่างจัง ก่อนบวมปูดเท่าลูกซาลาเปา อับอายขายหน้ายิ่ง พอหันกายก็ตะโกนขึ้นอย่างโกรธแค้น


 


 


“ดีล่ะ…เมื่อพวกเจ้าลงมือก่อน…ก็จ่ายค่าเสียหายมา! มิเช่นนั้นก็ไปอำเภอกัน!”


 


 


อวิ๋นหว่านถงหลบตัวลีบอยู่หลังมารดา พอเห็นว่าจับนางไม่ได้ ชายขี้เมาก็หันมาจับอวิ๋นหว่านชิ่นแทน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงร้อง “ญาติผู้พี่!”


 


 


“เรียกลูกพี่ว่าญาติผู้พี่รึ? ต่อให้เรียกนายท่านก็ไร้ประโยชน์! สาวน้อย ต้องพูดว่า สามี…ข้าผิดไปแล้ว ลูกพี่ถึงจะยกโทษให้!” ชายขี้เมาถูจมูก พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์


 


 


แต่ยังไม่ทันหุบยิ้ม หลังศีรษะก็คล้ายมีของแข็งลอยมากระแทกดัง ‘โครม’


 


 


เก้าอี้ยาวตัวหนึ่งหล่นอยู่บนพื้น หักเป็นสองท่อน


 


 


ชายขี้เมาถูกคนขว้างเก้าอี้ใส่จนมึน หมุนตัวล้มลงกับพื้น ไม่ได้สติไปครึ่งค่อนวัน


 


 


สวี่มู่เจินยืนปรบมือตรงชานพักบันได ก่อนถกชุดยาวก้าวลงบันไดมา จับคอเสื้อด้านหลังของชายขี้เมาขึ้น แล้วหันไปบอก


 


 


“นางเรียกข้าว่าญาติผู้พี่ต่างหาก! เจ้าสะเออะมาทำไม”


 


 


ชายขี้เมาค่อยได้สติ “ช่างญาติผู้พี่ญาติผู้น้องเจ้า! วันนี้ตีเจ้าให้ตายก็สิ้นเรื่อง!” ว่าแล้วก็เหวี่ยงหลังหมัดไปด้านหลัง


 


 


สวี่มู่เจินปฏิกิริยาไว รับไว้ได้พอดี ทว่าแม้กันหมัดไม่ให้ต่อยถูกใบหน้าได้ แต่พลังหมัดยังคงพัดผ่านใบหน้า


 


 


กล้าชกใบหน้า เขตหวงห้ามข้ารึ!


 


 


สวี่มู่เจินหน้าเปลี่ยนสี คร้านที่จะเล่นสนุกแล้ว จึงบีบหมัดเขาไว้ ยืมพลังหมัดของเขา เหวี่ยงเขาไปด้านหลัง แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “รางวัลหมัดนี้ ส่งไปที่อำเภอ”


 


 


ชายสองคนรีบลงจากบันได มากุมตัวชายขี้เมาไว้ “ขอรับ คุณชายสวี่”


 


 


“อ้อ จริงสิ เวลาชก ต้องชกมาที่ใบหน้าให้มากหน่อย!”


 


 


สวี่มู่เจินเสริมทิ้งท้ายอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนใช้ง่ามนิ้วโป้งและนิ้วชี้จับใบหน้าขยับไปมา ตรวจดูว่าเสียหายตรงไหนหรือไม่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมองตามชายสองคนไป เครื่องแบบผู้คุ้มกันของพวกเขาสวยงามมาก กระทั่งแอบหรูด้วยซ้ำ หน้าตาแบบนี้ ไม่ใช่คนบ้านสกุลสวี่


 


 


คนทั้งสองสวมเครื่องแบบราคาแพง มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนของญาติผู้พี่ เพราะญาติผู้พี่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ นายของพวกเขาต้องเคารพนับถือญาติผู้พี่มาก…


 


 


ผู้ที่อยู่ชั้นบนคือ…


 


 


ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังขบคิด สวี่มู่เจินก็ก้าวเข้ามา


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงก้าวเข้าไป “ที่แท้ก็คุณชายน้องสวี่นี่เอง วันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก หาไม่แล้วคุณหนูใหญ่ก็ถูก…” แล้วจึงหันหาอวิ๋นหว่านชิ่น จับมือนางไว้ “ชิ่นเอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


สวี่มู่เจินไม่แม้แต่จะมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย ตอบอย่างเย็นชา “สตรีกลุ่มใหญ่ออกนอกบ้าน อีกทั้งยังมาสถานที่อึกทึกครึกโครมเช่นนี้อีก ควรพาคนคุ้มกันมามากหน่อย ลำพังบ่าวธรรมดาเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน! วันนี้ที่ออกจากบ้านมา ใครเป็นคนจัดการ ไม่รู้จักแยกแยะแม้แต่น้อย!”

 

 

 


ตอนที่ 68-2 โกรธแล้ว!

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นแม่เลี้ยงของอวิ๋นหว่านชิ่น ถ้าพูดถึงสายสัมพันธ์ ก็ถือว่าเป็นญาติอาวุโสของสวี่มู่เจิน แต่หมอนี่ แม้ไม่โอภาปราศรัยกับตน พอเห็นหน้าตน อย่างน้อยก็น่าจะเรียกตนว่าฮูหยินสักคำ แต่ตอนนี้ นอกจากไร้มารยาท ไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแล้ว ยังใช้วาทศิลป์ พูดเสียดสีตนกลายๆ อีก จึงหน้าเขียว แล้วว่า


 


 


“คุณชายน้องสวี่พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ในเมืองหลวงใต้ร่มพระบารมีเช่นนี้ ข้าไหนเลยจะรู้ว่า จะพบเจออันธพาลเข้า เวลาออกนอกบ้าน พาคนคุ้มไปมากมายทำไม ข้าไม่ใช่พระชายา ญาติผู้น้องเจ้าก็ไม่ใช่องค์หญิงสักหน่อย สกุลอวิ๋นเรา มิได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น กลับเป็นคุณชายน้องสวี่เองต่างหาก จะอย่างไรข้าก็เป็นผู้อาวุโส ไม่เคารพข้าก็แล้วกันไป หรือลูกชายที่สกุลสวี่อบรมมา ก็ล้วนไม่เคารพผู้ใหญ่แบบนี้ ขณะพูดยังไม่มองหน้าเลย!”


 


 


ไม่เคารพ? สวี่มู่เจินยกริมฝีปากขึ้นข้างหนึ่ง สตรีนางนี้ ทำร้ายอาหญิงของตน ใยตนต้องเคารพด้วย


 


 


สวี่มู่เจินทอประกายตา ก่อนหันหน้าหล่อๆ มามองนาง พลางกดเสียงลงต่ำ


 


 


“ข้ายังนึกเสียดายอยู่ว่า ตัวเองเป็นผู้ชาย ไม่สะดวกลงมือกับผู้หญิง หาไม่แล้ว ใบหน้าเจ้าน่าจะมีรอยมีดสักสองรอย! แต่ถ้าวันใด ข้าโหดเ**้ยมขึ้นมา คร้านที่จะเป็นวีรบุรุษลูกผู้ชายอะไรแล้วล่ะก็ อวิ๋นฮูหยิน อย่าหาว่าข้า…ยิ่งกว่าไม่เคารพผู้อาวุโสก็แล้วกัน”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตะลึงงัน ไม่รู้มาก่อนว่า เวลาที่คุณชายน้องสวี่ขู่คน จะตรงไปตรงมา ไม่คดเคี้ยวเลี้ยวลดสักนิดเช่นนี้!


 


 


ญาติผู้พี่ ท่านตรงเกินไปแล้ว ไม่อ่อนโยนแม้แต่น้อย อวิ๋นหว่านชิ่นอยากยกมือก่ายหน้าผาก


 


 


เมื่อไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นว่าดวงตายิ้มๆ ของสวี่มู่เจินเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน ก็ถอยหลังสองก้าว จับมุมโต๊ะไว้ พลางว่า “ไป ไป กลับจวน”


 


 


หวงน้าสี่กอดลูกๆ ทั้งสองไว้แล้วย้ายไปหลบด้านข้าง ตั้งแต่ชายขี้เมาอาละวาดแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นว่าปลอดภัย ก็จูงมืออาจู้กับอาเม่าออกมา พอได้ยินว่าจะกลับ ก็รู้สึกว่ายังเที่ยวได้ไม่จุใจ


 


 


“หา? จะกลับแล้ว?”


 


 


“ทำไงได้!” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองนิ่ง “เพิ่งถูกไอ้ขี้เมาก่อกวนไป หรือพี่สะใภ้ยังมีใจเที่ยวอีก ถ้ามีใครรู้ว่าเราเป็นคนของจวนรองเจ้ากรม มิขายหน้ารึ! เด็กๆ ไปเอารถม้ามา ไป!”


 


 


ทำไมจะไม่มีใจเที่ยว ยากนักกว่าจะออกมาได้สักครั้ง ก็กะอีแค่ไอ้ขี้เมาคนหนึ่ง ลากตัวออกไป ก็จบเรื่องแล้วนี่ หวงน้าสี่บ่นพึมพำ


 


 


และในตอนนี้เอง เด็กรับใช้ในชุดสีน้ำเงินก็วิ่งลงมาจากชั้นบน คล้ายมาส่งข่าว เขย่งเท้ากระซิบที่ข้างหูสวี่มู่เจิน แล้วสวี่มู่เจินก็ยกมือปรามกลุ่มคน “ช้าก่อน!”


 


 


กลุ่มคนชะงักฝีเท้า สวี่มู่เจินยืนมือไพล่หลังพูดกับไป๋เสวี่ยฮุ่ย


 


 


“ยากนักกว่าจะได้ออกจากบ้านสักครั้ง เพียงเจออันธพาลก่อกวนก็ล้มเลิกความคิดเสียแล้ว เสียดายแย่


 


 


ท่านที่อยู่ชั้นบนเชิญพวกเจ้าให้ขึ้นไปนั่ง ชั้นบนยังเหลือห้องพิเศษอีกหนึ่งห้อง มีที่นั่งพอสำหรับทุกคน รอบด้าน


 


 


ก็เงียบสงบ น้ำชาขนมนมเนยก็มีพร้อมไม่มีใครรบกวน ฮูหยินและคุณหนูสามารถดูละครได้อย่างสบายใจ”


 


 


“โอโห ดีจังเลย! น้องสะใภ้ ท่านเชิญเราขึ้นไปข้างบนน่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกก่อกวนแล้ว! เจ้าไม่ควรปฏิเสธน้ำใจของท่านนา”


 


 


หวงน้าสี่นั่งแหมะ ตัดสินใจไม่กลับไปก่อน เพราะหนึ่ง สามารถดูละครต่อ สอง สามารถขึ้นไปนั่งบนที่นั่งของชนชั้นสูง คนโง่เท่านั้นที่คิดกลับไป


 


 


ท่านที่อยู่ชั้นบน?


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหรี่ตา “ท่านไหนล่ะ”


 


 


สวี่มู่เจินเกิดในตระกูลค้าขาย จะรู้จักชนชั้นสูงอะไร อย่างมากก็หนีไม่พ้นพวกคนมีเงิน


 


 


ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นพอจะเดาสถานะของท่านผู้นี้ออกแปดเก้าส่วน แม้แปลกใจที่ท่านผู้นี้ไฉนลดตัวลงมาเที่ยวสถานที่เช่นนี้ได้ และยังเหมาทั้งชั้นอีก แต่ยังคงมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย พลางว่า


 


 


“เมื่อสหายของญาติผู้พี่เชื้อเชิญทั้งที ป้าสะใภ้ก็อยากดูละครด้วย น้ำใจจึงยากปฏิเสธ เรายังคงขึ้นไปชั้นบนเถิด เรื่องชายขี้เมา ความจริงก็ไม่มีอะไร เกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราวในโรงละคร ไม่มีใครคิดมากหรอก ถ้ารีบจากไปนี่สิ อาจทำให้คนสงสัยและคาดเดาไปต่างๆ นานาดูละครต่อ ถึงจะไม่เสียทีที่เป็นเรา”


 


 


“ยังคงเป็นญาติผู้น้องข้าที่มีเหตุมีผล รู้จักถนอมน้ำใจคน เร็วเข้าๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ไปกันเถอะ”


 


 


สวี่มู่เจินโบกมือ เรียกให้คนมาต้อนรับกลุ่มคน แล้วจึงหันมายิ้มให้อวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“ญาติผู้น้อง เจ้าเป็นผู้ใหญ่และมีสติกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย อย่างน้อยก็รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรายิ่งกว่าคนบางคนเสียอีก งานหลังเรือนบ้านเจ้าควรให้เจ้าดูแลมากกว่า!”


 


 


คำพูดนี้ก็ทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเคืองอีก


 


 


กลุ่มขึ้นขึ้นไปบนชั้นสอง


 


 


ชั้นสองมีห้องพิเศษอยู่ห้าห้อง มีทางเดินทอดยาว เงียบสงบและแคบ ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความคึกคักชั้นล่าง สภาพแวดล้อมต่างกันราวฟ้ากับเหว


 


 


เด็กรับใช้ชุดสีน้ำเงินเมื่อครู่พาผู้หญิงบ้านสกุลอวิ๋นไปดูห้องพิเศษที่ว่างอยู่


 


 


ภายในห้องอากาศถ่ายเท พื้นปูพรมแดง เก้าอี้ไม้แดงมีพนักพิงวางเรียงราย พร้อมฟูกรองนั่งบุผ้าต่วน ด้านหน้าของทุกที่นั่งมีชาชุดเล็กและขนมสีเขียวๆ แดงๆ วางเอาไว้ ผนังด้านหน้าเจาะเป็นช่องหน้าต่างกว้างราวหนึ่งจั้ง (ประมาณ 2.5 เมตร) มองลงไปเห็นเวทีด้านล่างอย่างชัดเจน ชัดกว่าชั้นล่างมาก


 


 


สักครู่ ก็มีคนยกชาร้อนหอมกรุ่นเข้ามา เด็กรับใช้บอกว่า ขนมและน้ำชาเหล่านี้ แขกห้องข้างๆ เลี้ยง


 


 


ห้องห้องนี้เดิมทีเขาก็เป็นคนจอง ตอนนี้ยังอาสาเลี้ยงขนมนมเนยอีก ตามหลักและมารยาทแล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยต้องเป็นผู้พาสตรีในกลุ่มไปขอบคุณเจ้าภาพด้วยตัวเอง และนอกจากขอบคุณแล้ว นางยังสงสัยในใจด้วย


 


 


ในเมืองมีคนทำการค้าจนมั่งคั่งร่ำรวยมากมาย เศรษฐีที่เหมาโรงละครว่านไฉ่ทั้งโรงก็มีอยู่มาก แต่ตามปกติ คนมีเงินในเมืองมักจองห้องห้องเดียวบนชั้นสองก็เพียงพอแล้ว ทว่าคนที่สวี่มู่เจินรู้จักนี้ จองทั้งชั้น แต่กลับใช้เพียงห้องเดียว ห้องที่เหลือล้วนว่างเปล่า จึงน่าสนใจอยู่บ้าง เดาไม่ออกว่าเป็น “ท่าน” ผู้ใดกันแน่ จึง


 


 


อยากไปเห็นด้วยตาตนเอง


 


 


พอเดินไปบนทางเดินไม่กี่ก้าว ก็เห็นผู้คุ้มกันคนหนึ่ง ยืนอยู่หน้าประตู


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นชุดของผู้คุ้มกัน เหมือนกับของชายสองคนที่กุมตัวชายขี้เมาออกไป ตอนอยู่ชั้นล่าง


 


 


ส่วนไป๋เสวี่ยฮุ่ยพอเห็นว่าประตูปิดมิดชิด โดยท่านผู้นั้นไม่มีวี่แววว่าจะออกมา ก็ลอบยิ้มเยาะ หันหน้าเข้าหาประตู แล้วพูดอย่างผู้สูงส่ง


 


 


“ข้าคือนายหญิงของบ้านสกุลอวิ๋น ต้องขอขอบคุณท่านมาก ที่มีน้ำใจกว้างขวาง แบ่งห้องให้เรา แล้วเชิญเราให้ขึ้นมาชั้นบน ตอนนี้ข้าได้แต่กล่าวขอบคุณท่านไว้ก่อน ไม่ทราบว่าท่านเป็นคุณชายบ้านไหน ถ้าข้ากลับถึงจวน จะได้บอกท่านพี่สามีข้า ขุนนางชั้นสาม รองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้าย ให้ส่งบ่าวไปขอบคุณท่านที่บ้านอีกครั้ง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่หน้าห้อง รู้ว่าประตูสลักลายก้านดอกไม้เกี่ยวกระหวัดนี้ กำลังกั้นระหว่างตนกับผู้ที่อยู่ด้านใน


 


 


นางเคยเตือนญาติผู้พี่แล้วว่า อย่าไปมาหาสู่กับคนผู้นี้ นางมิได้หวังว่าการพูดเพียงครั้งเดียวจะทำให้ญาติผู้พี่เชื่อ แต่พอพบว่า ญาติผู้พี่สนิทสนมกับคนผู้นี้มาก ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง


 


 


คำพูดของไป๋เสวี่ยฮุ่ยเน้นหนักที่คำว่า “ท่าน” เห็นชัดว่าดูแคลน ไม่เชื่อว่าสวี่มู่เจินจะรู้จักคนสูงส่งอะไร แถมยังพูดตำแหน่งหน้าที่การงานของบิดาออกมาเพื่อโอ้อวดและข่มขวัญคนผู้นี้อีก? อวิ๋นหว่านชิ่นจึงขมวดคิ้ว


 


 


เสียงตอบกลับจากในห้อง น้ำเสียงสดใสผิดปกติ ไม่เหมือนคนค้าขายที่มีความทะเยอทะยาน


 


 


“อวิ๋นฮูหยินเป็นคนมีน้ำใจ ข้ากับคุณชายสวี่ ญาติบ้านสกุลอวิ๋น สนิทสนมกัน ครั้งนี้ถือว่าแบ่งห้องให้พวกท่านใช้เท่านั้น ไม่นับเป็นอะไรได้ กล่าวขอบคุณก็เพียงพอแล้ว”


 


 


น้ำเสียงอบอุ่นเหมือนหยก ลื่นไหลเหมือนน้ำ สะท้อนไปมาอยู่บนทางเดินแคบๆ เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ไพเราะเสนาะหูยิ่ง


 


 


จากคำตอบของคนผู้นี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินน้ำเสียงที่ทั้งใสและเรียบง่าย ไม่เหมือนคนชอบวางท่าที นางจึงผ่อนคลายลง ความสงสัยก็ลดน้อยลง คนผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในสหายคุณชายที่อยู่แวดวงการค้าเดียวกับบ้านสกุลสวี่ จึงยิ้ม แล้วว่า


 


 


“ที่แท้ก็เป็นคุณชายท่านหนึ่ง คิดว่าต้องเป็นคุณชายในแวดวงการค้าเช่นเดียวกับคุณชายน้องสวี่ของเราเป็นแน่แท…”


 


 


แต่ยังไม่ทันพูดจบ ผู้คุ้มกันหน้าประตูก็ทำหน้าดุ “บังอาจ พูดจาไร้สาระ! กล้าดีอย่างไรนำนายท่านไปเปรียบกับคุณชายพ่อค้าวาณิช!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกพ่นน้ำลายใส่เต็มหน้า จึงหน้าแดงสลับเขียว ด้วยไม่เคยถูกคนชั้นล่างตะคอกใส่เช่นนี้

 

 

 


ตอนที่ 68-3 โกรธแล้ว!

 

อนุฟางกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา ยื่นให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยซับหน้า


 


 


“ท่านพี่ผู้คุ้มกันอย่าเพิ่งร้อนรน นายบ้านท่านเป็นใครกันหรือ ฮูหยินเราไม่รู้จริงๆ ถึงได้พูดผิดไป”


 


 


“รัชทายาทองค์ปัจจุบัน” ผู้คุ้มกันตอบเสียงเข้ม


 


 


นอกจากอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว ผู้หญิงคนอื่นๆ ล้วนยืนซึมกะทือ


 


 


รัชทา…ยาท? ไม่ใช่มั้ง!


 


 


อนุฟางยิ้มค้าง ผ้าเช็ดหน้าในมือร่วงหล่นลงบนพรมปูพื้น


 


 


แม้บอกว่าคนในราชวงศ์ทุกระดับคือผู้สูงศักดิ์ แต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ยังไม่เคยเห็นสักคน วันนี้บทจะได้เห็น ก็ได้เห็นรัชทายาทเลย จึงหน้าซีด พูดไม่ออกอยู่ครึ่งค่อนวัน กว่าจะเค้นออกมาได้คำหนึ่ง


 


 


“รัช…รัชทายาท…”


 


 


รัชทายาทคือญาติฝ่ายไหนของฮ่องเต้หรือ หวงน้าสี่สนใจอยู่แต่ละครร้องบนเวที ไหนเลยจะอยากเห็นตัวจริงเสียงจริงของใคร แต่พอรู้ว่า ท่านเป็นรองแค่คนคนเดียว แต่เป็นนายคนเรือนหมื่น และอยู่ใกล้แค่เอื้อม แม้รู้สึกกลัว แต่ก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง กอดลูกทั้งสองไว้แน่น นั่งยองๆ ลง แล้วพูดเสียงเบากับลูก


 


 


“ลูกแม่ คนที่อยู่ข้างใน คือองค์รัชทายาท คนที่จะเป็นฮ่องเต้ในวันข้างหน้าน่ะ! เร็ว เข้าไปใกล้ประตู รับโชคลาภหน่อย! แม้เห็นแค่นิดเดียว กลับบ้านเรา เพื่อนบ้านก็อิจฉากันจวนจะแย่ เพราะคนที่เราเห็นคือฮ่องเต้ในอนาคตตัวเป็นๆ เชียวนา!”


 


 


เด็กสองคนก็ช่างกล้า วิ่งเข้าไปใกล้ประตูจริงๆ


 


 


ผู้คุ้มกันจึงชักกระบี่ออก ยกขึ้นในแนวขวาง กั้นเด็กทั้งสองไว้ “บังอาจไม่เคารพองค์รัชทายาท!”


 


 


พอแสงสีเงินสว่างวาบ อาเม่าที่อายุน้อยหน่อย ก็ตกใจร้องไห้จ้า


 


 


และร้องนี้ ก็ทำให้สถานการณ์แย่ลง


 


 


ผู้คุ้มกันเกรงว่าจะทำให้นายผู้สูงศักดิ์ตกใจ จึงจับอกเสื้ออาเม่า แล้วยกอาเม่าขึ้นสูง เหมือนจะใช้แรงโยนออกไป


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเบิ่งตามองกบในกะลาอย่างพี่สะใภ้ ช่างเป็นคนโง่ดักดานที่กล้าหาญจริงๆ ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน เห็นรัชทายาทเป็นพระพุทธรูปให้โชคลาภไปได้ แต่ดันไม่รู้จะรับโชคอย่างไร สับสนไปชั่วขณะ ส่วนตน คนในราชวงศ์ใหญ่สุดที่เคยเห็นในระยะใกล้ ก็คือท่านโหวอาวุโส ไหนเลยจะเคยเห็นรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ปานฉะนี้!


 


 


หวงน้าสี่มึนงง ทำไมผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงถึงโหดร้ายเช่นนี้ เอะอะก็จะฆ่าจะแกงกันแล้ว พอเห็นลูกชายถูกจับตัวแล้วยกขึ้นสูง ก็พูดจาสะเปะสะปะ


 


 


“โอ้ว ท่านรัชทายาท อย่าได้ฆ่าลูกข้าเลย เด็กมันยังเล็ก ก็เลยรักสนุกเท่านั้น…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรีบเข้าไปอุ้มอาจู้ออกมา มอบใส่อ้อมอกป้าสะใภ้ ก่อนหันมาพูดจาปกติกับผู้คุ้มกัน


 


 


“ป้าสะใภ้ของหม่อมฉันเพิ่งมาจากชนบท ไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ ญาติผู้น้องก็ยังเล็กไม่ประสีประสา ถึงได้


 


 


ล่วงเกินรัชทายาทไป ขอทรงอภัย ไม่ถือโทษโกรธผู้ไม่รู้! หม่อมฉันขอรับผิดแทนญาติผู้น้องเอง!”


 


 


แล้วจึงหันไปเอ็ดหวงน้าสี่ “การที่รัชทายาทเชิญเราให้ขึ้นมาดูละครที่ชั้นบน ก็แสดงว่าท่านเป็นคนใจกว้าง จะประหารเด็กเล็กที่ร้องไห้งอแงได้อย่างไร แต่ถ้าป้าสะใภ้ยังพูดมั่วซั่วไม่หยุด ก็อาจทำให้รัชทายาทเสื่อมเสียชื่อเสียง!”


 


 


สักพัก ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านใน “ผู้พูดก็คือคุณหนูอวิ๋นคนนั้น คนที่เป็นญาติผู้น้องของสวี่มู่เจินใช่ไหม…เจ้ามีชื่อว่าอะไร”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นตอบเสียงเรียบ “ทูลรัชทายาท ญาติผู้พี่ของหม่อมฉันคือสวี่มู่เจินเพคะ”


 


 


ภายในห้อง ชายหนุ่มหันมองสวี่มู่เจิน “ญาติผู้น้องของเจ้าอายุแค่สิบสี่สิบห้า แต่กลับเหมือนผ่านชีวิตมามาก”


 


 


สวี่มู่เจินเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ท่านอ๋องต้องดูก่อนว่าญาติผู้พี่ของนางเป็นใคร”


 


 


ชายหนุ่มเลิกคิ้วมอง พลางคิด เด็กสาวเป็นคนฉลาดและมีสติคนหนึ่ง เพิ่งจะแก้ไขสถานการณ์ ช่วยชีวิตเด็กไปหยกๆ ตอนนี้ยังตอบคำถามได้นิ่ง แบบกุลสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการศึกษามา ไม่บอกชื่อตนให้กับชายแปลกหน้าง่ายๆ บอกเพียงสถานะ โดยไม่ตกหลุมพรางคำถามตน


 


 


เงียบไปพักหนึ่ง คนในห้องจึงว่า “ปล่อยเด็กเถิด”


 


 


พอผู้คุ้มกันคลายมือลง อาเม่าจึงล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้าสู่อ้อมอกของหวงน้าสี่ แล้วทุกคนก็ไม่กล้าพูดมากอีก ขณะกำลังคิดขอตัวลา ผู้ที่อยู่ด้านในก็ส่งเสียง


 


 


“คุณหนูอวิ๋นพอจะให้เกียรติเรา เข้ามาชมละครด้วยกันหรือไม่”


 


 


ชายหนุ่มเรียกแทนตนเองแบบเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของต้าเซวียน


 


 


พอได้ยินรัชทายาทเรียกญาติผู้น้องเข้ามา สวี่มู่เจินก็ดีใจยิ่ง การแต่งเข้าจวนกุยเต๋อโหวของนางถูกยกเลิกเรียบร้อย ตอนนี้นางจึงเป็นอิสระ แต่ถ้าได้แต่งเข้าจวนอ๋อง ย่อมดีกว่าจวนโหวไม่รู้กี่พันเท่า


 


 


เมื่อหญิงในสกุลอวิ๋นได้ยิน ความหวาดกลัวในใจเมื่อครู่ก็มลายหายสิ้น


 


 


เรียกอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปชมละครด้วย? ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นคนแรกที่กัดฟัน เหตุใดโชคถึงเข้าข้างยัยเด็กนี่เสมอ…คราวนี้เป็นถึงรัชทายาทเชียว ผู้ที่คุณหนูในเมืองล้วนหมายปอง ข่าวว่าคุณหนูจำนวนไม่น้อยถึงกับซื้อตัวคนข้างกายรัชทายาท เพื่อจะได้รู้กิจวัตรประจำวันของพระองค์


 


 


และพอรัชทายาทออกจากวัง พวกนางก็จะดักอยู่ตามถนนและสถานที่ที่เสด็จผ่าน แล้วแกล้งทำเป็นพบโดยบังเอิญ แบบนี้ก็มีอยู่มาก…


 


 


ทว่าชายหนุ่มจากฟากฟ้าที่เอื้อมไม่ถึง กลับเอ่ยปากขึ้นก่อน เรียกยัยตัวดีให้เข้าไปดูละครด้วย!


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม “วันนี้หม่อมฉันออกมาพร้อมท่านแม่ ทุกอย่างจึงต้องให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจ”


 


 


เมื่อนางยังไม่ออกเรือน เกรงว่าถึงตอนนั้นอาจถูกไป๋เสวี่ยฮุ่ยยกเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเล่นงาน แต่ถ้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นผู้ส่งเสียงอนุญาตเอง ก็ไม่มีปัญหา


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอึ้ง


 


 


“แล้วอวิ๋นฮูหยินล่ะ ว่าอย่างไร” เสียงคนในห้องยังคงอ่อนโยน แต่แฝงนัยว่าไม่อยากให้ปฏิเสธ


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงได้แต่ว่า “เมื่อมีญาติอย่างคุณชายน้องสวี่อยู่ด้วย หม่อมฉันจะไม่วางใจได้อย่างไร”


 


 


พอประตูเปิดออก อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์จึงก้าวเข้าไป


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยฉวยโอกาสชะเง้อมองด้านใน แล้วก็อ้าปากค้าง หุบไม่ลงอยู่อย่างนั้น


 


 


ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมยาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่สลักลายดอกไม้ สวมเครื่องประดับเอวสีม่วง สวมหยกครอบมวยผม หันหน้าเข้าหาผนังแบบเปิดกว้างครึ่งบน มองไปยังเวทีชั้นล่าง หน้าตาด้านข้างหล่อเหลาไร้ที่ติ คิ้วเรียวยาวเกือบถึงจอนผม หางตาโค้งลงเล็กน้อย อ่อนโยนตามธรรมชาติ ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ดวงตาทอประกายสดใส จะว่ายิ้มก็ยิ้ม จะว่าโกรธก็โกรธ


 


 


รัศมีที่เปล่งออกทั่วร่าง ไม่ให้ความรู้สึกเคร่งเครียดแบบผู้สืบราชบัลลังก์ แต่กลับมีความบ้าบิ่นและเรียบง่ายในตัว


 


 


เมื่อประตูปิดลง เมี่ยวเอ๋อร์ก็ถอยไปยืนอีกด้าน


 


 


“คุณหนูอวิ๋น นั่งสิ” ชายหนุ่มกะพริบขนตายาว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นทำตาม นั่งลงบนเก้าอี้สลักลายดอกไม้อีกตัวข้างๆ เขา พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นรัชทายาทยื่นน้ำชาถ้วยหนึ่งมาให้ด้วยตัวเอง หางตายังคงโค้งลงขณะมองนาง


 


 


“ชาต้าหงเผา เป็นชาดีที่สุดที่ใช้ดื่มขณะชมละคร”


 


 


ผู้มีสายโลหิตของผู้สูงศักดิ์จริงๆ ย่อมไม่เย่อหยิ่งจองหอง ดังเช่นเขาที่มีตำแหน่งใหญ่โต แต่กลับก้มลงมองทุกสรรพสิ่งอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน


 


 


ทว่า…เขาในฐานะรัชทายาท มายื่นถ้วยน้ำชาให้ด้วยตนเอง ไม่เป็นไรจริงหรือ ใกล้ชิดกับสามัญชนง่ายเกินไปแล้ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรีบรับไว้ “ลำบากรัชทายาทแล้ว หม่อมฉันรินเองจะดีกว่า”


 


 


แล้วจึงส่งสายตาให้สวี่มู่เจินที่นั่งอยู่อีกด้านของรัชทายาท อย่าเอาแต่นิ่งสิ ข้าไม่สนิทกับรัชทายาท พี่เข้ามาคุยด้วยกันหน่อย แบบนี้อึดอัดแย่


 


 


สวี่มู่เจินสบตากับญาติผู้น้อง กลอกตาไปมา แล้วเมินหน้าหนี หญิงสาวนางใดไม่อยากสัมผัสรัชทายาทบ้าง เจ้ามีโอกาสดีเช่นนี้ ยังไม่รีบฉวยไว้อีก เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่หยิบยื่นโอกาสให้


 


 


“เวลาพักผ่อนส่วนตัวขณะอยู่นอกวัง รัชทายาทไม่จำเป็นต้องมาก่อน แล้วหญิงสาวทีหลังหรอก ทำตัวตามสบายเถิด” รัชทายาทเอ่ย


 


 


“ตามสบาย?” จะตามสบายอย่างไร


 


 


รัชทายาทกลั้นหัวเราะ ก่อนพูดจริงจัง “เจ้าเรียกข้าว่าซื่อจุน ส่วนข้าก็เรียกเจ้าว่าชิ่นเอ๋อร์”


 


 


น้ำชาที่เพิ่งเข้าปาก เกือบพ่นออกมา อวิ๋นหว่านชิ่นรีบกลืนลงคอ จึงไอแรงๆ ออกมา


 


 


รัชทายาทจึงทำสีหน้าจริงจัง “เราล้อเล่นน่ะ”


 


 


ค่อยยังชั่ว อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งอก ปิดถ้วยน้ำชา อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาที่สง่างามจะมีอุปนิสัยเช่นนี้ คล้ายๆ กับญาติผู้พี่อย่างไรอย่างนั้น คบคนพาล พาลไปหาผิดจริงๆ มิน่าเล่าทั้งสองถึงไปไหนมาไหนด้วยกันได้

 

 

 


ตอนที่ 68-4 โกรธแล้ว!

 

“แต่จริงสิ ชิ่นเอ๋อร์…” รัชทายาทยิ้มตาหยี ก่อนพูดใหม่


 


 


โอ๊ะ รัชทายาทนี่ คำไหนจริง คำไหนหลอกกันแน่ เพิ่งจะบอกว่าล้อเล่นชัดๆ! อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า


 


 


“รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันเพิ่งพบพระองค์เป็นครั้งแรก ถ้าอยู่ในห้องส่วนตัว ทรงเรียกหม่อมฉันอย่างไรก็ไม่เป็นปัญหา แต่เกรงว่าจะทรงเรียกจนติดปาก พอคนนอกได้ยิน จะคิดกันไปใหญ่”


 


 


รัชทายาทส่งเสียง อ้อ ออกมาคำหนึ่ง ก่อนวางท่าทีเคร่งขรึม


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ใช้เรา แก้ไขปัญหาครอบครัวตัวเอง แต่กลับไม่ยอมสนิทกับเรา”


 


 


หา? อวิ๋นหว่านชิ่นคิดทบทวนไปรอบหนึ่ง ค่อยนึกถึงเรื่องลู่ชิงฝูขึ้นมา ตอนนั้น เพราะต้องการให้ลู่ชิงฝูร่วมมือด้วยในการเล่นงานอวิ๋นหว่านเฟย จึงหาโอกาสให้นางได้พบกับรัชทายาทในวัด…


 


 


จึงเหลือบมองญาติผู้พี่ สวี่มู่เจินกระแอมไอสองครั้ง ค่อยลุกขึ้น หันกาย เดินออกไป


 


 


ญาติผู้พี่นี่ก็ปากมาก บอกความจริงรัชทายาทอย่างหมดเปลือก    


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มแหะๆ “คุณหนูลู่งดงามยิ่ง รัชทายาทไม่เสียเปรียบหรอกเพคะ”


 


 


“แม่สาลิกาลิ้นทอง” ชายหนุ่มโน้มตัวเข้ามา โดยมีชุดชากั้นขวาง เขาจึงเท้าคางงามๆ มองนาง เห็นชัดว่า เขาไม่ถูกใจหน้าสวยๆ ของลู่ชิงฝู


 


 


ปลายจมูกของชายหนุ่มอยู่ในระดับเดียวกันกับแก้มนาง นางจึงแทบจะเห็นตัวเองในดวงตาทั้งสองข้างของเขา


 


 


ในแวววงคุณชาย นอกจากมู่หรงไท่ สวี่มู่เจิน และฉินอ๋อง สามบุรุษรูปงามแล้ว เขาหลุดวงโคจรไปได้อย่างไร? อาจเป็นเพราะตำแหน่งรัชทายาทสูงส่ง ไม่อนุญาตให้เอาไปทำอะไรพลการ ผู้คนจึงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ตามอำเภอใจ


 


 


และสมองของนางก็ปรากฏภาพของชายหนุ่มอีกคน


 


 


พวกเขาเป็นพี่น้องกัน หน้าตาบางส่วนจึงคล้ายกัน…แต่ดวงตากลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


 


รัชทายาทมีความใสที่ทำให้ผู้คนผ่อนคลายสบายใจ ความทะเล้นเล็กๆ ทำให้ผู้คนไม่มีอคติด้วย


 


 


ทว่าคนผู้นั้น ดวงตาใสแต่สงบนิ่ง เหมือนน้ำนิ่งในบ่อ ที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ


 


 


ถ้าบอกว่าหางตาที่โค้งลงของรัชทายาท สามารถควบคุมคนข้างกายให้พลอยทุกข์หรือสุขไปกับเขา


 


 


คนผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรมากลับไม่ไยดีว่าผู้อื่นจะทุกข์หรือสุขกับการกระทำของเขา


 


 


“กลับมาเรื่องรัชทายาทเสด็จมาดูละคร ไฉนจึงไม่เหมาโรงละครว่านไฉ่ทั้งโรงล่ะเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นดึงสติให้คืนกลับ


 


 


รัชทายาททำปากยื่นปากยาว ท่าทางที่ไม่เหมาะกับบุรุษเช่นนี้ กลับเหมาะกับเขามาก จากนั้นก็ยกนิ้วมือเรียวยาวขึ้น ส่ายไปมา


 


 


“ทำเช่นนั้นก็หมดสนุกสิ สนุกคนเดียว มิสู้ร่วมสนุกกับหลายๆ คน ดูละคร ก็เพราะต้องการความคึกคัก”


 


 


บนเวที เริ่มการแสดงชุดใหม่


 


 


พอดนตรีโหมโรง รัชทายาทก็นั่งตัวตรง สีหน้ากลับคืนดังเดิม คล้ายไม่สนใจที่จะคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นต่อ “ดีๆ เริ่มแล้ว!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นใบ้กิน แต่กลับเริ่มหวนรำลึกอดีต ถึงบทสรุปของรัชทายาทซย่าโหวซื่อจุนเมื่อชาติที่แล้ว


 


 


จากการที่ฉินอ๋องไต่เต้าจากอ๋องเป็นรัชทายาท แล้วขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ เหตุการณ์ระหว่างนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กินระยะเวลาสั้นมาก จนผู้คนแทบทำอะไรไม่ถูก รัชทายาทองค์ก่อน ซย่าโหวซื่อจุนถูกปลดออกจากตำแหน่ง ก่อนฉินอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาทเพียงสามเดือน โดยมิได้ประกาศสาเหตุให้รู้ทั่วกันอย่างชัดเจน แต่นางจำได้รางๆ ว่า ในพระราชโองการปลดออกจากตำแหน่งมีประโยคที่ว่า


 


 


“ไร้การยับยั้งชั่งใจ หยิ่งผยอง ไม่อยู่ในโอวาท อกตัญญูต่อมารดา ไม่เคารพบิดา ลูกสนมคิดก่อกบฏ”


 


 


คำเหล่านี้แม้ครอบคลุมวงกว้างและคลุมเครือมาก แต่ถ้าลูกของบ้านใดถูกกล่าวหา ย่อมเป็นความผิดร้ายแรงที่ผู้คนไม่อาจยกโทษให้


 


 


พอซย่าโหวซื่อจุนถูกปลด ฉินอ๋องก็ขึ้นแทนที่


 


 


หลังจากฉินอ๋องขึ้นครองราชย์ ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของรัชทายาทองค์ก่อนอีก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่รู้ว่าเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง หรือถูกปลดให้เป็นสามัญชน กระทั่ง…ได้รับโทษประหาร


 


 


จะว่าไป ชะตากรรมของรัชทายาทเป็นเรื่องน่าเศร้า…ทว่า อวิ๋นหว่านชิ่นเหล่ตามอง ท่าทางของเขาในตอนนี้ ไม่มีวี่แววว่าจะเศร้าแม้แต่น้อย…


 


 


“ดี!” รัชทายาทปรบมือรัวๆ “จอมยุทธ์คนนั้นตีลังกากลับหลังได้ยอดเยี่ยมมาก ว่องไวและเฉียบขาด ไม่ยืดยาด! เดี๋ยวเราต้องตกรางวัลให้อย่างงาม! เอ๊ะ…เจ้าว่า ทำไมเราหัดในตำหนักบูรพาตั้งนานก็ยังหัดไม่ได้ เราไม่เชื่อ! ไม่ได้การ วันนี้กลับไป ต้องฝึกซ้อมให้จริงจังมากกว่าเดิม!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่น “…..” ที่แท้รัชทายาทนี่ นอกจากชอบดูละครแล้ว ยังชอบแสดงละครเองอีก


 


 


รัชทายาทก็รู้สึกได้ว่า สีหน้าของหญิงสาวข้างกายเปลี่ยนไป จึงเอียงคอเล็กน้อย มองบน แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ


 


 


“ไม่ปิดชิ่นเอ๋อร์ดีกว่า เราตั้งคณะละครคณะหนึ่งขึ้นในตำหนักบูรพา ไม่ว่าฉากบู๊หรือฉากอารมณ์อะไรล้วนแสดงได้หมด เราอยากบอกชิ่นเอ๋อร์ว่า ละครใหม่ๆ ที่จัดแสดงระหว่างงานเลี้ยงในวังนั้น เราเป็นคนควบคุมเองทั้งนั้น”


 


 


แม้เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่เหมือนสนิทกันมานาน เขาเป็นคนที่สนิทกับใครๆ ได้เร็ว ไม่ได้หน้าตาดีอย่างเดียว แต่มีจินตนาการสูง แม้ดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้วเป็นศิลปินคนหนึ่ง!


 


 


ข้างต้น คือความประทับใจที่อวิ๋นหว่านชิ่นมีต่อรัชทายาทในตอนนี้


 


 


ก่อนหน้านี้นางยังคิดเตือนญาติผู้พี่ว่า อย่าเสียเวลาไปกับรัชทายาท แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว รัชทายาทกลับเป็นสหายที่ไม่เลวคนหนึ่ง


 


 


ขณะกำลังคิด หน้าประตูก็มีเสียงเล็กๆ ของพวกผู้หญิงดังมา


 


 


พวกไป๋เสวี่ยฮุ่ยเพิ่งเดินกลับไปดูละครในห้องต่อ


 


 


แต่อนุฟางกลับมีความคิดอะไรบางอย่าง ตอนแรก พอรู้ว่าท่านที่อยู่ชั้นบนคือองค์รัชทายาท ก็ตกตะลึงก่อน ค่อยดีใจทีหลัง ชำเลืองมองลูกสาวที่อยู่ข้างกาย แล้วรีบดีดลูกคิดในใจ


 


 


นางคิดมาตลอดว่า จะเป็นแม่สื่อหาผู้ชายดีๆ สักคนให้ถงเอ๋อร์ เผื่อทางหนีทีไล่สำหรับอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของตนกับลูก แต่คิดไปคิดมา ไหนเลยจะมีโอกาส จากสถานะลูกอนุของถงเอ๋อร์ ถ้าแต่งเข้าบ้านที่มีฐานะดีหน่อย ก็น่าจะเป็นได้แค่อนุ แต่ถ้าคิดเป็นฮูหยิน ก็ได้แต่หาเอาจากขุนนางชั้นล่างแล้ว…ซึ่งนางไม่อยากจริงๆ


 


 


วันนี้ พอออกจากบ้านมา ก็บังเอิญได้พบคุณชายน้องสวี่ และผู้ที่อยู่ข้างกายเขา ก็เป็นถึงรัชทายาทองค์ปัจจุบัน!


 


 


นี่นับเป็นโอกาสฟ้าประทานที่ดีเยี่ยม! ถ้าพลาดครั้งนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีอีกแล้ว!


 


 


รัชทายาทก็คือ ฮ่องเต้ในอนาคต ถ้าถงเอ๋อร์ของตนสามารถถวายตัวให้รัชทายาท เรื่องฮูหยินหรืออนุอะไรก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอีก ถ้าในวันข้างหน้า ลูกได้เข้าวัง ก็มีตำแหน่งสนม นางใน นางกำนัล ที่เป็นเจ้าคนนายคนรออยู่ ถึงตอนนั้น ตนก็จะพลอยได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย


 


 


หัวใจอนุฟางเต้นโครมคราม ดึงตัวอวิ๋นหว่านถงไว้ แล้วบอกไป๋เสวี่ยฮุ่ยว่า ปวดท้อง จะไปเข้าห้องน้ำ แต่กลัวหาไม่เจอ จึงให้ถงเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อน


 


 


บนเวที ละครกำลังสนุก…ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูอย่างใจจดใจจ่อ จึงคร้านที่จะสนใจ โบกมือ แล้วพูดแค่ว่า รีบไปรีบกลับ อนุฟางจึงลากอวิ๋นหว่านถงออกจากห้อง ก่อนหามุมหนึ่งตรงทางเดิน เล่าแผนให้ลูกสาวฟัง


 


 


อวิ๋นหว่านถงหน้าแดง ความจริงแล้ว ตอนที่ได้ยินว่าคนในห้องคือรัชทายาท นางก็มีความทะเยอทะยานขึ้นมา แต่ของสูงเช่นนี้ นางไหนเลยจะกล้าไขว่คว้า ต่อมาตอนพี่ใหญ่เข้าไป พอประตูเปิดออก นางก็เหลือบมองอย่างอกสั่นขวัญแขวน และพอเห็นรัชทายาทที่หน้าตาหล่อเหลา และยังหนุ่มยังแน่น ก็ชื่นชมทันที


 


 


พอได้ยินว่าท่านแม่มีแผน อวิ๋นหว่านถงก็ก้มหน้าลง บิดผ้าเช็ดหน้าอย่างเขินอาย


 


 


“ท่านแม่ นั่นคือรัชทายาทนา จะเห็นลูกอนุอยู่ในสายตาหรือ”


 


 


ก็เพราะว่าคนผู้นี้คือรัชทายาท เจ้าก็ยิ่งต้องสู้ตาย! เค้กที่ตกลงมาจากฟากฟ้าชิ้นนี้ ถ้าวันนี้ไม่กิน ก็ยากที่จะได้กินแล้ว อนุฟางตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จึงจับมือลูกสาวไว้ พลางว่า


 


 


“ทำไมจะไม่เห็น เจ้าอย่าได้ดูถูกตัวเองเชียว ลองดูสาวๆ ในวังหลังของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสิ มีลูกอนุไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ที่ได้เป็นนางสนมนางกำนัล อย่างมเหสีรองเหวย คนโปรดในตอนนี้ ก็เป็นลูกอนุในบ้านสกุลเหวยนะ ฮ่องเต้ในรัชสมัยก่อน แม้แต่นางโลมที่โด่งดังในหอโคมเขียวก็ยังถูกรับตัวเข้าวังเลย ส่วนเจ้าน่ะ ขาวใสบริสุทธิ์ เป็นคุณหนูจวนรองเจ้ากรมที่สง่าผ่าเผย ด้อยกว่าผู้อื่นที่ไหนกัน ชาติกำเนิดเจ้าดีเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกกว่า รัชทายาทเห็นแล้วจะรังเกียจเจ้า เดี๋ยวหลังจากเจ้าเข้าไป แม่จะสอนให้…”


 


 


พูดถึงตรงนี้ อนุฟางก็เบาเสียงลง แล้วกระซิบงึมๆ งำๆ ที่ข้างหูอวิ๋นหว่านถง


 


 


อวิ๋นหว่านถงฟังพลาง หน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ผลักมารดาเบาๆ


 


 


“เฮ้อ! น่าอายชะมัด ไม่ได้ๆ ถ้ามีคนเห็นเข้า จะทำอย่างไรดี…”


 


 


“โง่จริง!”


 


 


ทุกสิ่งที่ได้มา ต้องแลกกับอะไรบางอย่าง แม้เสียเปรียบอยู่บ้าง แต่เดิมพันยิ่งมาก ผลตอบแทนก็มากตาม โอกาสมีมาครั้งเดียว ต้องจู่โจมให้เข้าเป้าในทีเดียว จะทำพลาดไม่ได้! อนุฟางจึงพูดต่อ


 


 


“มีคนเห็นก็ยิ่งดีสิ เจ้าจะได้เป็นคนของรัชทายาทอย่างเลี่ยงไม่ได้! ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนี่ แค่ให้รัชทายาทเห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าเท่านั้น อย่างไรเสีย เจ้าทำตามวิธีของแม่ก็แล้วกัน ขอเพียงเป็นผู้ชาย ต้องถูกเจ้ากระชากวิญญาณออกจากร่างทั้งนั้น แล้วพอกลับถึงบ้าน แม่ค่อยเล่าให้พ่อเจ้าฟัง ถึงตอนนั้นบางทีเรื่องอาจสำเร็จลุล่วงไปแล้ว”


 


 


ปากบอกเขิน แต่พอได้ยินว่าสามารถเข้าตำหนักบูรพาเป็นผู้หญิงของรัชทายาทได้ อวิ๋นหว่านถงก็ยังคงกัดฟันสู้ หน้าแดงขณะพยักหน้าหงึกๆ


 

 

 


ตอนที่ 68-5 โกรธแล้ว!

 

พอสองแม่ลูกเดินมาที่หน้าประตู ผู้คุ้มกันก็ขวางทางไว้


 


 


อนุฟางจึงดึงลูกสาวเข้ามา แย้มยิ้มแล้วอ้างชื่อไป๋เสวี่ยฮุ่ย “ท่านพี่ ข้าเห็นละครเล่นจบไปเรื่องหนึ่งแล้ว คุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ออกมา ฮูหยินเกรงว่าจะรบกวนรัชทายาท จึงให้ข้ามาดูๆ หน่อย”


 


 


ผู้คุ้มกันเห็นว่านางเป็นญาติของสวี่มู่เจิน จะไล่ไปก็ไม่ดีนัก แต่ก็ยังไม่ปล่อยเข้าไป


 


 


“คุณหนูบ้านเจ้ากำลังดูละครอยู่ มีอะไรน่าดู”


 


 


ขณะที่อนุฟางกำลังตื๊อไม่เลิกอยู่นั้น คนในห้องก็เอะใจ


 


 


และเมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเงี่ยหูฟัง ก็พอจะรู้เจตนาของอนุฟาง โห…เล่นบทแม่สื่อเสียเอง พาลูกสาวมาแนะนำตัว


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์…เหมือนแม่เล็กบ้านเจ้ากับน้องสาวเจ้ามาหาน่ะ อยากให้พวกเขาเข้ามาไหม เราให้เกียรติเจ้าตัดสินใจ”


 


 


รัชทายาทเบือนหน้าจากเวที มามองอวิ๋นหว่านชิ่นสักพัก ก็หันกลับไปจ้องเวทีอย่างไม่วางตาต่อ เพราะละครกำลังสนุก พลาดไม่ได้เป็นอันขาด


 


 


เฮ้อ เรียกอย่างกับสนิทกันมาก แต่ก็คงแก้ไม่ได้แล้วล่ะ อวิ๋นหว่านชิ่นปล่อยเลยตามเลย ยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงเวลาพูดกับเขา


 


 


“คนเขามาถวายบังคมรัชทายาท ไม่ได้มาหาหม่อมฉันสักหน่อย รัชทายาทอยากพบก็พบ ไม่อยากพบก็แล้วกันไป หม่อมฉันจะเข้าไปข้องเกี่ยวอย่างไรได้”


 


 


พอดีบนเวที ถึงฉากพระเอกออกรบอย่างดุเดือดเลือดพล่าน รัชทายาทจึงยืนขึ้น เปล่งเสียงออกมา “ดี!” แล้วค่อยหันมามอง “หา? ชิ่นเอ๋อร์ว่าไงนะ ใครมาหาใคร เอาล่ะ ไม่สนใจละ ให้พวกนางเข้ามา”


 


 


แล้วจึงยกนิ้วส่ายไปมาให้อวิ๋นหว่านชิ่นอีก “ให้เกียรติเจ้าไง” ว่าแล้วก็หันหน้าเข้าหาเวทีต่อ ดูจนมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครแล้ว


 


 


เมื่อประตูเปิดออก อนุฟางกับอวิ๋นหว่านถงก็พุ่งเข้ามา ดุจนกกางเขนที่ได้บินออกจากกรงอย่างไรอย่างนั้น ส่ายหางดุ๊กดิ๊ก แล้วก้าวเข้ามาอย่างดีอกดีใจ


 


 


ทั้งสองถอนสายบัวแล้วกล่าวถวายบังคม แต่รัชทายาทไม่แม้แต่มอง สายตายังคงจ้องจับอยู่แต่เวทีด้านล่าง ขณะยกมือปราม “อืมๆ พวกเจ้าพี่น้องมีอะไรก็คุยกันได้เลย ไม่ต้องสนใจเรา”


 


 


ทำพอเป็นพิธีจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นขำ


 


 


ทว่าสองแม่ลูกกลับไม่ถือสา อนุฟางส่งสายตาให้ลูกสาว อวิ๋นหว่านถงจึงรีบรวบรวมความกล้า ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว ถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อยอีกครั้ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะคั้นเป็นน้ำได้


 


 


“หม่อมฉัน อวิ๋นหว่านถง บุตรีที่สามแห่งจวนรองเจ้ากรม วันนี้เกือบถูกคนเมาลวนลามที่ชั้นล่าง โชคดีที่ได้องค์รัชทายาทช่วยเอาไว้ ตอนนี้ยังมารบกวนพระองค์อีก”


 


 


อวิ๋นหว่านถงแอบมอง พลางปลื้มปีติ รัชทายาทดูอัธยาศัยดี ท่าทางเข้าถึงง่าย คิดว่าต้องเป็นคนเอาใจใส่ทะนุถนอมบุปผาคนหนึ่ง จึงเริ่มมั่นใจมากขึ้น


 


 


รัชทายาทตอบอืมๆ สองคำ เห็นชัดว่าได้ยินไม่ถนัดว่าอวิ๋นหว่านถงพูดอะไร


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพอจะฟังน้ำเสียงออกว่า เขาเริ่มไม่สบอารมณ์แล้ว ก็ละครบนเวที แสดงได้อย่างออกรสออกชาตินี่ ซึ่งกับผู้ที่หลงใหลและชื่นชมละครเวทีแล้ว ในฉากหนึ่ง ทุกอิริยาบถของตัวละคร ทั้งสีหน้าและท่าทาง ล้วนคลาดสายตาไม่ได้ทั้งสิ้น จะให้หันมาได้อย่างไรเล่า


 


 


ทว่าอวิ๋นหว่านถงไหนเลยจะรู้ว่า การที่รัชทายาทปลอมพระองค์ออกมาดูละครเวทีนอกวังเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการดูจริงๆ พอเห็นชายหนุ่มไม่มีท่าทีปฏิเสธ ใบหน้ารูปไข่เล็กๆ ก็ดีใจ ริอ่านก้าวเบาๆ ใกล้เข้าไปอีก โดยยืนห่างจากรัชทายาทไม่ถึงหนึ่งศอก จากนั้นก็ก้มหน้า พูดภาษาดอกไม้


 


 


“รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันเห็นถ้วยชาของพระองค์ไม่มีน้ำชาแล้ว ขออนุญาตรินให้เต็มนะเพคะ”


 


 


รัชทายาทกำลังไม่ต้องการให้ใครมารบกวน พอได้ยินเสียงจุ๊กจิ๊กของผู้หญิงที่ข้างหู สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยน จึงพูดเสียงแข็งขึ้นมา


 


 


“มีเด็กรับใช้รินน้ำชาอยู่ คุณหนูสามไม่จำเป็นต้องช่วยเขาหรอก”


 


 


“ไม่เป็นไรเพคะ” อวิ๋นหว่านถงดีใจเกินคาด คราวนี้รัชทายาทพูดกับตนมากขึ้น รวมแล้วสิบกว่าคำเชียว อืม ต้องพยายามอีกหน่อย “หม่อมฉันอยู่ใกล้กับกาน้ำชา รินได้…” ว่าแล้วก็ยกกาน้ำชาขึ้น รินใส่ถ้วย


 


 


พอรินจนเต็ม อวิ๋นหว่านถงก็หันไปเหลือบมองอนุฟาง


 


 


อนุฟางที่รู้กันอยู่ ก็ก้าวเข้าไป โค้งกาย แอบลากอวิ๋นหว่านชิ่นออกมา พูดเสียงเบาด้วย


 


 


“คุณหนูใหญ่มานานแล้ว ควรไปบอกฮูหยินสักคำก่อน เมื่อครู่ฮูหยินถามถึง คงเป็นห่วงน่ะ แม่เล็กกับน้องสามจะอยู่ปรนนิบัติรัชทายาทแทนเอง” ต้องเก็บกวาดพื้นที่ให้เหลือเพียงลูกสาวกับรัชทายาทสองต่อสอง


 


 


หึ อดใจรอไม่ไหวล่ะสิ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกลับอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน ว่า แม่ลูกคู่นี้จะมาไม้ไหน


 


 


ซึ่งนิสัยแปลกๆ ของรัชทายาท…นางก็เพิ่งรู้เมื่อครู่ แล้วสองแม่ลูกจะเอาอยู่หรือ


 


 


จึงหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน “เมื่อแม่เล็กพูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องไปหาแม่ใหญ่ละ”


 


 


ว่าแล้วก็หันไปถอนสายบัวให้รัชทายาท ก่อนหันกาย นำเมี่ยวเอ๋อร์เดินออกจากห้องไป


 


 


ช่วงเปิดเรื่องของละครสนุกมาก พลาดไม่ได้แม้แต่น้อย รัชทายาทจึงห่วงแต่ดูละครไม่วางตา แต่ก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง


 


 


“ไปแล้วหรือ เราไม่ส่งล่ะ เจ้ารีบไปรีบกลับก็แล้วกัน”


 


 


หลังจากเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นจากไปไม่นาน อนุฟางก็ตบหน้าอกตัวเอง


 


 


“อุ๊ย หม่อมฉันลืมเสียสนิทว่า มีเรื่องที่ต้องทำอีกนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะเพคะ หวังว่าจะทรงไม่ถือสา ถงเอ๋อร์จ๊ะ อยู่ปรนนิบัติรัชทายาทไปพลางๆ ก่อน”


 


 


รัชทายาทไหนเลยจะสนใจว่าแม่เล็กท่านนี้จะขึ้นเขาหรือลงห้วย อยากให้ออกไปให้หมดด้วยซ้ำ แต่ก็ปิด


 


 


ปากเงียบ จ้องมองแต่เวที ไม่พูดไม่จา


 


 


ในห้อง สะอาดเรียบร้อย


 


 


อวิ๋นหว่านถงจึงเริ่มส่งเสียงอ่อนเสียงหวาน “รัชทายาทเพคะ…”


 


 


ในห้องเงียบลงไปมาก เสียงนี้จึงดังเป็นพิเศษ


 


 


รัชทายาทถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างกายตนเหลือเพียงคุณหนูสามของบ้านสกุลอวิ๋น แม้กำลังดูละครอย่างตื่นเต้น แต่ก็ยังหันไปถามอย่างงุนงง “อะไร?”


 


 


อวิ๋นหว่านถงนึกถึงคำสอนของท่านแม่และคำพูดที่ร้อนแรง ก็รู้สึกว่าตนเหมือนกวางน้อยที่วิ่งเข้าชน ถ้ารัชทายาทไม่ชอบ จะดูแคลนตนไหม หรือ จะไล่ตนออกไปในทันที!


 


 


ไม่สนใจแล้ว ท่านแม่บอกว่า ถึงยากแค่ไหน ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด!


 


 


สนมคนโปรดหลายคนในรัชสมัยก่อน ก็ล้วนร้องเล่นเต้นระบำจนเข้าตาฮ่องเต้กันทั้งนั้น!


 


 


แล้วทำไมนางจะทำไม่ได้เล่า! อีกอย่างรัชทายาทก็ดูอ่อนโยนดี


 


 


จึงตัดสินใจ ลงดาบก่อนค่อยทูลทีหลัง อวิ๋นหว่านถงพลันดึงหน้าต่างบานใหญ่ที่ใช้ดูละครลง แล้วจับคอเสื้อเข้าหากัน ไขว้มือไว้ตรงหน้าอก ทำท่าน่าสงสารยิ่ง


 


 


“หม่อมฉันหนาวเพคะ หน้าต่างบานนี้รับลมจะจะ พัดจนหม่อมฉันขนลุกไปหมด ไม่ทราบว่าปิดก่อนดีหรือไม่”


 


 


นอกห้อง


 


 


ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะเดินเลี้ยวตรงมุมทางเดิน ก็บังเอิญเห็นอนุฟางที่หาข้ออ้างออกมาจากห้องจนได้ จึงดึงมือเมี่ยวเอ๋อร์ให้เดินย้อนกลับ


 


 


พอผู้คุ้มกันเห็นคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นเดินกลับมา ก็อ้าปากจะถาม แต่นางรีบส่งเสียง “ชู่” ขึ้นก่อน แล้วก็แนบหน้ากับประตู


 


 


ผู้คุ้มกันเห็นว่านางเป็นญาติผู้น้องของคุณชายสวี่ จึงปล่อย ไม่ว่าอะไรมาก เพียงสงสัย


 


 


“คุณหนูใหญ่กำลังทำอะไรขอรับ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันหันมาตอบ ก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังมาจากในห้อง!


 


 


ตามด้วยเสียงเก้าอี้เคลื่อน


 


 


ผู้คุ้มกันตกใจ บิดกลอนประตูแล้วพุ่งตัวเข้าไป “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้น”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นสบตากับเมี่ยวเอ๋อร์ ก่อนตามเข้าไป


 


 


ในห้อง อวิ๋นหว่านถงล้มอยู่กับพื้น พลางร้องไห้อย่างตื่นตระหนก น่าจะพัวพันกัน แล้วนางไม่ทันระวัง ล้มลงกระแทกพื้น หน้าผากปูดบวมเป็นซาลาเปาหนึ่งลูก


 


 


ตาสวยของรัชทายาทแดงก่ำ เป็นคนละคนกับผู้ที่ดูเข้าถึงง่าย อ่อนโยนและมีมารยาทเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ทรงชี้หน้าหญิงสาวบนพื้นอย่างเดือดดาล


 


 


“นางทำให้เราพลาด…ตอนที่สนุกที่สุดไป! พวกเจ้าควรรู้ไว้ว่า เรารอมานานมาก พวกเจ้าคิดว่าการที่เรา


 


 


ออกนอกวังมาดูละครนั้น ง่ายนักหรือ!”

 

 

 


ตอนที่ 69-1 แสดงเป็นนางจิ้งจอก

 

อวิ๋นหว่านชิ่นทอดถอนใจ แม่เล็กฟางไหนเลยจะคาดคิดว่า รัชทายาทที่นางชื่นชมนักชื่นชมหนา ความจริงแล้วเป็นเจ้านายที่ทำอะไรไม่เหมือนเจ้านายคนอื่น!


 


 


กับอิสตรี เขาย่อมอ่อนโยนละมุนละไมด้วย แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ห้ามรบกวนเวลาดูละครของเขา!


 


 


อวิ๋นหว่านถงร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ


 


 


รัชทายาทก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ จนใบหน้าแดงไปหมด และอดไม่ได้ที่จะทุบอกตนเอง


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเจ้าเป็นผู้หญิง เจ้าแหลกคามือเราแน่!”


 


 


เสียงร้องไห้ทำให้ผู้หญิงสกุลอวิ๋นที่อยู่ห้องข้างๆ ตื่นตระหนก


 


 


อนุฟางวิ่งออกมาก่อน พอเห็นประตูห้องข้างๆ เปิดอ้าซ่า เห็นลูกสาวของตนนั่งร้องไห้กระซิกๆ อยู่กับพื้น ส่วนรัชทายาทก็หน้าแดงถึงใบหู ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปีติยินดี คิดว่าเรื่องสำเร็จแล้ว จึงก้าวเข้าไปกอดลูกสาวไว้ แล้วแสร้งทำเป็นตกอกตกใจ “เป็นอะไรถงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับรัชทายาท…”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์หัวเราะเยาะ แล้วจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้อนุฟางฟังคร่าวๆ จากนั้นก็รอดูว่านางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร


 


 


และเมื่ออนุฟางฟังจบ สีหน้าของนางก็ราวกับดื่มน้ำปัสสาวะเข้าไป ทั้งม่วงทั้งเขียว อีกทั้งเต็มไปด้วยความเสียใจ แต่พอได้สติ ก็รีบดึงมือลูกสาวให้คุกเข่าลง พลางพูดวกไปวนมา


 


 


“รัชทายาทเพคะ คุณหนูสามไม่ประสีประสา ขอทรงอภัยให้นางด้วย รัชทายาทเพคะ!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูถึงตรงนี้ ก็เข้าใจเรื่องราวแล้ว จึงยิ้มเย็นชาออกมา ที่แท้ฟางเย่ว์หรงพาลูกสาวออกนอกห้อง ก็เพื่อมาทำเรื่องลับๆ ล่อๆ ที่น่าอายเช่นนี้นี่เอง ล่อลวงกระทั่งรัชทายาท สงสัยไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วมั้ง แต่ที่สำคัญคือ อนุฟางล่วงเกินรัชทายาท สกุลอวิ๋นย่อมปัดความรับผิดชอบไม่พ้น ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงยังคงถอนสายบัว แล้วพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก


 


 


“เป็นเพราะหม่อมฉันเข้มงวดกวดขันได้ไม่ดีพอ คุณหนูสามถึงได้ล่วงเกินรัชทายาท ขอทรงประทานอภัย หลังจากกลับถึงบ้าน หม่อมฉันต้องลงโทษนางตามกฎของบ้านแน่!”


 


 


หวงน้าสี่จูงมือเด็กทั้งสองยืนดูอยู่ห่างๆ คิดว่า กำลังดูละครสนุกๆ เรื่องหนึ่ง


 


 


รัชทายาทเหลือบมองอวิ๋นหว่านถงที่กำลังสะอึกสะอื้น แล้วจึงหันมองอวิ๋นหว่านชิ่น ความเดือดดาลในใจค่อยคล้ายน้ำในทะเลสาบที่กระเพื่อมเมื่อถูกลมพัด นับว่าสงบนิ่งลงบ้าง จึงนวดหน้าอกไปมา แต่ก็ยังไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เหมือนเด็กๆ ก็มิปาน ริมฝีปากบางๆ ยื่นยาวออกมาจนเกือบจะแขวนของได้


 


 


“คุณหนูอวิ๋นว่าอย่างไร เราก็อยากจะเห็นแก่มู่เจินและคุณหนูอวิ๋นเหมือนกัน แต่เราก็ยังรู้สึกไม่พอใจที่ไม่ได้ดูละครฉากนั้น!”


 


 


ปากตรงกับใจเสียจริงนะท่านรัชทายาท อวิ๋นหว่านชิ่นยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น


 


 


แต่ก็ยังดี ที่เขาดูตาม้าตาเรืออยู่บ้าง ไม่ได้เรียกตนว่าชิ่นเอ๋อร์ต่อหน้าผู้อื่น หาไม่แล้ว ต่อให้มีร้อยลิ้นก็ไม่


 


 


สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกลอกตากลมๆ ไปมา กวาดตามองอวิ๋นหว่านถง แล้วยิ้มบางๆ


 


 


“เมื่อคุณหนูสามทำให้รัชทายาทพลาดชมการแสดง ก็ต้องให้คุณหนูสามแสดงให้รัชทายาทดูแทน ไม่ทราบว่าเช่นนี้ พอจะทำให้รัชทายาทอารมณ์ดีขึ้นหรือไม่เพคะ”


 


 


“โอ้? เจ้าลองว่ามาซิ” พอรัชทายาทได้ยิน ก็สนใจทันที หน้าที่ดำอยู่ แดงกลับมาหลายส่วน ขณะบอกให้นางพูดต่อ


 


 


“ฮือๆ…หม่อมฉัน หม่อมฉันเล่นละครไม่เป็นเพคะ” อวิ๋นหว่านถงแอบอยู่ในอกอนุฟาง เหมือนกระต่ายน้อยที่ยังไม่หายตื่นตกใจ


 


 


“คุณหนูสาม ได้โอกาสทำคุณไถ่โทษให้รัชทายาทแล้ว ยังเลือกนั่นเลือกนี่อีก?” สวี่มู่เจินยืนพูดด้วยท่าทีสบายๆ อยู่ด้านข้าง


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถลึงตามองมา อวิ๋นหว่านถงจึงเงียบเสียงลง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นชี้ไปที่เวทีด้านล่าง “หม่อมฉันดูลำดับการแสดงในวันนี้แล้ว เรื่องต่อไปเหมือนจะเป็นเรื่อง สังหารปีศาจจิ้งจอก เช่นนั้นก็เพิ่มตัวละครตัวหนึ่ง แทรกเข้าไปให้คุณหนูสามเล่น”


 


 


“สังหารปีศาจจิ้งจอก? เรื่องนี้ดี! นักเขียนเขียนได้เก่งมาก บทละครก็สนุกน่าติดตาม! แต่…นางจะแสดงเป็นใครล่ะ” รัชทายาทลูบคางไปมาอย่างใจจดใจจ่อ


 


 


เรื่อง สังหารปีศาจจิ้งจอก เป็นนิยายยอดนิยมในยุคนี้ เริ่มมีชื่อเสียงเมื่อปีกลาย เป็นนิยายที่โรงละครทุกแห่งต้องนำมาทำเป็นละคร เพราะผู้คนแห่มาชมกันเต็มทุกรอบ บทละครก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน เสียดายที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง มิฉะนั้นเขาย่อมโด่งดังเป็นพลุแตก ชนิดเจ้าของโรงละครไม่รู้มากมายเท่าไหร่ต้องตามตัวให้มาเขียนบทละครกันวุ่นวาย


 


 


โดยนิยายประเภทเทพนิยายพื้นบ้านนี้ เล่าเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่แม้มีฐานะยากจน แต่ก็รักใคร่ปรองดอง พึ่งพาซึ่งกันและกัน ชายหนุ่มนั้น หน้าหนาวก็ห่มผ้าให้หญิงสาว หน้าร้อนก็จุดยากันยุงให้ ปีไหนที่แห้งแล้ง ก็ไม่สนใจตัวเอง ยกอาหารที่มีอยู่ให้หญิงสาวทั้งหมด สรุปก็คือ รักภรรยามาก ส่วนหญิงสาวก็พยายามเก็บเงินให้ชายหนุ่มนำไปใช้สอบขุนนางในเมืองหลวง เช้าออกไปทำงานในไร่ เย็นกลับมาทำงานบ้านต่อ เหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด


 


 


ทว่าขณะชายหนุ่มเร่งรีบเดินทางไปสอบ ก็ได้พบกับสาวสวยในคราบปีศาจจิ้งจอกแปลงกายมา นางมองออกว่าชายผู้นี้คือดาวนำโชคมาจุติ ต่อไปต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน นางอยากดื่มด่ำเกียรติยศชื่อเสียงและความมั่งคั่ง จึงเนรมิตภาพมายา พร้อมหว่านเสน่ห์ล่อลวง จนชายหนุ่มค่อยๆ หลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น ลบภาพทรงจำของความรักที่มีต่อภรรยาจนหมดสิ้น


 


 


หลังจากสอบผ่าน ชายหนุ่มก็ตั้งรกรากในเมืองหลวงเป็นขุนนางใหญ่ฝ่ายบุ๋น โดยไม่สนใจว่ายังมีภรรยาอีกคนหนึ่งในชนบทอยู่ ส่วนปีศาจจิ้งจอกก็สมปรารถนา กลายเป็นสาวงามเคียงข้างบัณฑิต หรือฮูหยินขุนนางที่ถูกต้องตามกฎหมาย


 


 


หญิงสาวเข้าเมืองตามหาสามี ถึงได้รู้ว่าสามีถูกเสน่ห์ยาแฝด ซ้ำตัวนางเองยังถูกปีศาจจิ้งจอกลอบสังหารในทุกวิถีทาง ทว่าด้วยความช่วยเหลือของนักพรตเฒ่า หญิงสาวจึงรอดพ้นภยันตรายมาได้ และสุดท้ายก็สังหารปีศาจจิ้งจอกสำเร็จ เผยร่างจริงของมันให้ทุกคนเห็น


 


 


สุดท้าย พอชายหนุ่มฟื้นคืนสติ ก็เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป จึงจัดเกี้ยวขนาดใหญ่ชนิดแปดคนหาม และบ่าวอีกนับร้อย ไปรับภรรยาให้มาอยู่ในจวนขุนนางด้วยกัน โดยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างยินดีปรีดา จบบริบูรณ์อย่างมีความสุข


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนตอบกลับรัชทายาท


 


 


“พระนางบทสนทนามากเกินไป ในระยะเวลาอันสั้น คุณหนูสามไหนเลยจะท่องจำได้ทั้งหมด ย่อมต้องแสดงเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว”


 


 


“ดี! ดี!” รัชทายาทปรบมือ ก่อนโบกมือเรียกคน “พานางไปแต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเอาขึ้นเวที!”


 


 


อวิ๋นหว่านถงยังไม่ทันแม้แต่จะร้อง ก็ถูกผู้คุ้มกันลากตัวออกไปแล้ว


 


 


“ไม่ได้นะเพคะ ไม่ได้” อนุฟางเพิ่งได้สติ จึงร้องขึ้น “คุณหนูจวนรองเจ้ากรมที่สง่างาม จะขึ้นเวทีไปเป็นนักแสดงได้อย่างไรกัน ถ้ามีคนรู้เข้า ต่อไปจะมีหน้าพบใครได้อีก!”


 


 


พลางคิด นี่มิสู้กลับบ้าน ปิดประตูเฆี่ยนตีไม่ดีกว่าหรือ! คนแสดงละครเป็นพวกเต้นกินรำกิน เป็นชนชั้นล่าง ระดับเดียวกับนางโลมหอโคมเขียว แต่อวิ๋นหว่านถงเป็น…เป็นความหวังหนึ่งเดียวของนาง ถ้าขึ้นเวทีแสดงละคร ต่อไปใครเขาจะแต่งงานด้วย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า “แม่เล็กคิดมากไปแล้ว ตอนอยู่บนเวที นักแสดงแต่ละคนแต่งหน้าแต่งตากันอย่างหนา ขอเพียงท่านไม่ตะโกนเรียกเปะปะ ก็ไม่มีใครดูออกหรอก”


 


 


อนุฟางรีบเอามือปิดปาก ไม่ส่งเสียงอีก


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหลือบมองฟางเย่ว์หรง ก่อนแค่นเสียงเย็นชา


 


 


หึ ถูกเด็กสาวอายุสิบกว่าขวบเล่นงานเสียจนอยู่หมัด ขายหน้าจริงๆ แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเหยียบซ้ำแล้ว จึงหันกาย กลับไปดูละครต่อที่ห้อง 

 

 

 


ตอนที่ 69-2 แสดงเป็นนางจิ้งจอก

 

เสียงฆ้องกลองดัง ละครดีๆ เปิดฉากขึ้น


 


 


อวิ๋นหว่านถงซึ่งแต่งตัวเป็นปีศาจจิ้งจอกต้องออกในฉากที่สาม และเนื่องจากปีศาจจิ้งจอกเป็นตัวร้าย ฉากเปิดตัวจึงต้องให้ผู้ชมเห็นว่าน่าเกลียด ใบหน้าอวิ๋นหว่านถงจึงถูกแต่งแต้มด้วยสีสันมากมาย ศีรษะมีหูแหลมๆ ประหลาดๆ ประดับไว้ทั้งสองข้าง ร่างกายสวมชุดหนังสัตว์ ดูแล้วก็อดขำไม่ได้


 


 


นางถูกคนหลังม่านผลักออกไป จึงตกใจหน้าซีด แต่ไม่กล้าส่งเสียงร้อง กลัวแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ต้องทำท่าหลังค่อม กางกรงเล็บออก ให้เข้ากันกับชุด แต่ดูๆ ไปก็สมบทบาทดี เก้ๆ กังๆ คล้ายสัตว์ป่าที่ยังกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ไม่สมบูรณ์แบบ


 


 


กลุ่มคนที่ดูอยู่ชั้นบน บ้างก็หัวเราะ บ้างอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ได้


 


 


“ว่าไม่ได้เชียว ถงเอ๋อร์แสดงได้เหมือนปีศาจจิ้งจอกจริงๆ ความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ” หวงน้าสี่ดูละครพลาง แทะเมล็ดทานตะวันพลาง นางปากจัดอยู่แล้ว ขนาดไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังไม่ไว้หน้า แล้วลูกสาวอนุฟางจะเหลือหรือ


 


 


ฉากสุดท้าย ปีศาจจิ้งจอกถูกนางเอกเชือดคอด้วยดาบ ม้วยมรณาในดาบเดียว!


 


 


อวิ๋นหว่านถงรีบล้มตัวลงนอน ก่อนถูกนางเอกใช้เท้าเหยียบจนขยับตัวไม่ได้


 


 


ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างปรบมือเสียงดังกึกก้อง เพราะตื่นเต้นสะใจ ต่างโห่ร้องตะโกน


 


 


“ดี! ดี! เชือดได้ดี! สมน้ำหน้า ใครใช้ให้เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอก! ยั่วยวนผัวเขาก่อนดีนัก! ยังทำร้ายเมียหลวงอีก! นางจิ้งจอกในใต้หล้าทุกตัวควรมีจุดจบเยี่ยงนี้! อย่าหาว่าคนเขาไม่เอาคืน ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก!”


 


 


เดิมทีไป๋เสวี่ยฮุ่ยนั่งดูอยู่อย่างสนุกสนาน แต่พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็หน้าเสีย เหงื่อตก รีบเบือนหน้าหนี


 


 


หวงน้าสี่เหลือบไปเห็นเข้า ก็แค่นหัวเราะออกมาสองที


 


 


ด้านรัชทายาท ก็รู้สึกสะใจเช่นกัน หันมาหัวเราะ “นี่ เรื่องนี้สะใจดีนะ ตอนนี้เราสบายใจขึ้นมาก ไม่โกรธแล้วล่ะ ฮาๆ!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “แต่ข้าว่า บทยังเขียนไม่เสร็จ ยังสะใจไม่มากพอ”


 


 


“เอ๋?” รัชทายาทยิ้มค้าง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกะพริบตา “นางจิ้งจอกควรถูกเชือดอยู่แล้ว แต่ผู้ชายที่นอกใจเมียนั่นล่ะ ไม่ถูกตบสักฉาด ถ้าเขารักมั่นจริง จะถูกนางจิ้งจอกยั่วยวนได้หรือ สุดท้าย เขาก็แค่รับเมียกลับมาใหม่ โดยไม่เสียหายอะไร เสียดาย เสียดาย!”


 


 


รัชทายาทเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง พลันเอ่ย


 


 


“หรือว่า เราจะลองเปลี่ยนตอนจบดู เผื่อผู้ชมจะสะใจยิ่งกว่า”


 


 


“หา?” อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง ไม่เข้าใจ หมายความว่าอะไร


 


 


รัชทายาทกะพริบตาปริบๆ “ละครเรื่องนี้ เราเป็นคนเขียนบทเอง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นอ้าปากค้าง “…..” มิน่าเล่า นิยายที่โด่งดังขนาดนี้ถึงได้หาตัวผู้แต่งไม่เจอ! ที่แท้ก็คือรัชทายาทที่อยู่ลึกเข้าไปในพระราชวังนั่นเอง!


 


 


ใช่แล้ว…เมื่อครู่รัชทายาทเหมือนเอ่ยปากชมว่าคนเขียนบทเขียนได้สนุก คนแต่งก็แต่งเก่ง…อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองรัชทายาท หน้าหนาใช่ย่อย


 


 


รัชทายาทไม่พูดมากอีก เริ่มเข้าสู่ภวังค์ความคิด ว่าจะให้เรื่องจบใหม่แบบไหนดี


 


 


ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นคิดหันไปซุบซิบกับเมี่ยวเอ๋อร์ ก็พบว่าเมี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย คล้ายไม่ได้ยินเรื่องที่ตนคุยกับรัชทายาทเมื่อครู่


 


 


กับอวิ๋นหว่านถงที่คิดไม่ซื่อ การถูกลงโทษเช่นนี้นับว่าสมควรแล้ว บวกกับก่อนหน้านี้ที่นางเห็นแก่ตัว เอาตัวรอดด้วยการผลักชายขี้เมาใส่อวิ๋นหว่านชิ่น ซึ่งปกติ ถ้าเมี่ยวเอ๋อร์เห็นเรื่องสนุกๆ เช่นนี้ ก็ต้องหัวเราะงอหายแต่แรกแล้ว ทว่าตอนนี้ กลับนั่งนิ่งดูละคร ไม่พูดไม่จา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่า ขณะเมี่ยวเอ๋อร์ดูละครเรื่อง สังหารปีศาจจิ้งจอกนั้น น่าจะนึกถึงมารดาตนเอง จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับหลังมือเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


ผิดคาด เมี่ยวเอ๋อร์มีอารมณ์ร่วมและสะเทือนใจมากกว่าที่นางคิด


 


 


หลังมือเมี่ยวเอ๋อร์เย็นเฉียบ พอนางหันมอง ก็เห็นเมี่ยวเอ๋อร์หลั่งน้ำตา


 


 


ดูหยาบกระด้างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่จิตใจกลับละเอียดอ่อนกว่าใคร ผู้ใดยืนยันได้บ้างว่า พอเมี่ยวเอ๋อร์รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตน จะไม่เอาผ้าห่มคลุมโปงแล้วร้องไห้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจความรู้สึกของเมี่ยวเอ๋อร์ดี จึงคล้องแขนนางเบาๆ คิดพานางออกจากห้อง แล้วรอให้ละครเล่นจนถึงครึ่งฉากสุดท้ายก่อน ค่อยเข้ามาใหม่


 


 


ห้องข้างๆ เป็นห้องเตรียมเครื่องดื่มเล็กๆ เด็กรับใช้สวมชุดสีน้ำเงินที่คอยรับใช้แขกชั้นบน พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินมาก็ทักทาย ก่อนเดินเฉียดไหล่นางออกไป


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นห้องเตรียมเครื่องดื่มเงียบดี จึงเดินเข้าไปกับเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


พอได้พักสักครู่ เมี่ยวเอ๋อร์ค่อยรู้สึกดีขึ้น จริงๆ แล้วก็แค่ภาพที่เห็นสะกิดบาดแผลในใจ ตอนนี้หายเป็นปกติแล้ว ตนยังมีคุณหนูใหญ่ที่อบอุ่นและเอาใจใส่อยู่ทั้งคน ยังจะมีอะไรให้ต้องเศร้าเสียใจอีก


 


 


คิดไปคิดมา ก็ยิ้มออกจนได้ จึงจับมือคุณหนูใหญ่พลางว่า “บ่าวไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ เราออกไปกันเถอะ…”


 


 


แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ จมูกของอวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้กลิ่นอะไรตุๆ จึงพยายามดม


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าได้กลิ่นอะไรไหม”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ดมตาม ไม่เห็นได้กลิ่นอะไร


 


 


กลิ่นนี้ บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร ไม่หอม แต่ก็ไม่เหม็น…เหมือนกลิ่นจุดประทัดฉลองวันตรุษจีน แต่ก็มี


 


 


อีกนิดที่เหมือนกลิ่นในวันไหว้บ๊ะจ่าง ใช่แล้ว วันไหว้บ๊ะจ่างต้องจิบเหล้าสงหวง[1] แล้วนำเหล้าสงหวงไปพรมตามลานบ้าน และห้องต่างๆ เพื่อป้องกันงู หนอน หนู มด แมลง…กลิ่นเหล้าสงหวงนี่เอง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเดาในใจ แต่ยังไม่กล้าฟันธง จึงพาเมี่ยวเอ๋อร์ไปยังจุดที่ตนได้กลิ่นแรงสุด


 


 


“เจ้าลองดมดูอีกครั้งสิ”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ตั้งใจสูดดม จึงได้กลิ่นแปลกๆ เล็กน้อย คุณหนูใหญ่นี่จมูกดีมากๆ ถ้าไม่บอก นางก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลยจริงๆ ดมแล้วก็นิ่ง “อี๋ กลิ่นนี้มัน คล้ายกลิ่น…”


 


 


“อะไร” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองนาง


 


 


“คล้ายกลิ่นดินประสิวอยู่บ้าง!” เมี่ยวเอ๋อร์ก็รู้สึกทะแม่งๆ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรีบถาม “ดินประสิว? ใช้ทำอะไร”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์อธิบาย “คุณหนูใหญ่ไม่ค่อยได้อยู่หน้าเตาไฟจึงไม่รู้ว่า ดินประสิวสามารถใช้แทนไม้ขีดไฟ ในการจุดไฟก่อฟืนหุงข้าว เมื่อก่อนตอนบ่าวอยู่บ้านนอกน่ะเคยใช้ แล้วก็ เด็กบ้านนอกยากจน ตอนตรุษจีนอยากจุดพลุ แต่ไม่มีเงินซื้อ ก็ชอบนำดินประสิวยัดเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ แล้วจุดไฟ กระบอกไม้ไผ่ก็จะพุ่งขึ้นฟ้า ใช้เล่นแทนพลุได้”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมือสั่น


 


 


เดี๋ยว เหล้าสงหวง ดินประสิว พลุไม้ไผ่ ของเหล่านี้ ถ้านำมารวมกัน…ก็ทำดินระเบิดได้นี่!


 


 


ทำไม…ทำไมในโรงละครถึงมีกลิ่นเช่นนี้ล่ะ!


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้กลิ่น แต่นางกลับได้กลิ่นอย่างชัดเจน แรงมากเสียด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว


 


 


โดยเฉพาะที่นี่ กลิ่นกระจายออกจากที่นี่ คล้ายต้นตอของกลิ่นอยู่ที่นี่! รอบห้องเป็นผนังสี่ด้าน ด้านข้างวางถังต้มน้ำร้อนไว้ พื้นปูด้วยหินปูพื้น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งยองๆ ลงเคาะพื้น แล้วจับผนัง


 


 


“คุณหนูใหญ่ มีอะไรหรือ…” เมี่ยวเอ๋อร์รู้ว่าเกิดปัญหาบางอย่าง จึงนั่งยองๆ ตาม


 


 


สมองอวิ๋นหว่านชิ่นวาบ เด็กรับใช้ชุดน้ำเงินที่เดินเฉียดไหล่นางเมื่อครู่ ร่างคล้ายมีกลิ่นเหมือนกลิ่นในห้องเตรียมเครื่องดื่มนี่ เพียงเบาบางกว่า นางจึงมิได้เอะใจ


 


 


รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา แต่ยังไม่อยากจะเชื่อ อาจไม่เคยพบเจอเรื่องเสี่ยงแบบนี้มาก่อน อีกอย่างเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดา


 


 


แต่ไม่ว่าอย่างไร อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงต้องบอกเรื่องที่คาดเดาในใจให้เมี่ยวเอ๋อร์ฟังว่า อาจมีคนวางระเบิดโรงละคร


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์หน้าซีด สะดุ้งโหยง “เป็นไปได้อย่างไร…”


 


 


นางกำชับเมี่ยวเอ๋อร์ “เจ้ากลับไปที่ห้อง บอกญาติผู้พี่ข้าก่อน แล้วข้าจะรีบตามไป”


 


 


ว่าแล้วก็หันกาย เคลื่อนแผ่นหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวออกจากห้องไปแล้ว


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ตั้งสติ แล้วรีบวิ่งกลับห้อง  


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหล้าสงหวง เหล้าโบราณชนิดหนึ่ง มีกำมะถัน สารหนู และเหล้าขาว เป็นส่วนผสม ไม่นิยมดื่ม ใช้ฆ่าเชื้อโรคและป้องกันสัตว์มีพิษต่างๆ

 

 

 


ตอนที่ 69-3 แสดงเป็นนางจิ้งจอก

 

ตรงชานพักบันไดระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นแผ่นหลังสีน้ำเงินที่คุ้นตา เด็กรับใช้หันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนก้าวลงบันไดไป


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” นางตะโกน


 


 


เป็นไปตามคาด เด็กรับใช้ในชุดสีน้ำเงินกินปูนร้อนท้อง พอได้ยินคนเรียกจากด้านหลัง ก็ไม่หันกลับมามอง เดินแหวกกลุ่มคนชั้นล่าง สาวเท้าโกยอ้าวหนีไป


 


 


เสร็จกัน มิใช่ตนเองขี้ระแวง แต่ห้องเตรียมเครื่องดื่มที่ชั้นบนมีพิรุธจริงๆ ความปลอดภัยต้องมาก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นรีบหันหลังกลับ ขณะจะก้าวขึ้นไปบอกรัชทายาทกับคนอื่นๆ ให้ลงมาชั้นล่าง ด้านหลังกลับมีลมสายหนึ่งเข้าประชิด ยังไม่ทันตั้งตัว มือของตนก็ถูกจับไพล่หลังแล้ว


 


 


ผู้มาคล้ายนั่งปะปนเร้นกายอยู่ในกลุ่มผู้ชมชั้นล่างแต่แรก พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามเด็กรับใช้ชุดน้ำเงินมา แล้วหันหลังกลับ กำลังจะขึ้นชั้นบน ก็รีบก้าวขึ้นบันไดทีเดียวหลายขั้น ตามนางจนทัน แล้วจับแขนนาง เพื่อหยุดนางไว้!


 


 


ชายหนุ่มสวมเสื้อกางเกงสีน้ำตาลเข้มแบบผู้ใช้แรงงาน ดูไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อค้าหาบเร่บนท้องถนน แต่ตอนนี้พ่อค้าคลุมผ้าจากศีรษะจรดเข่า เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่เย็นชาและสุกสกาว


 


 


นางถลึงตา กลั้นหายใจ ขณะจะส่งเสียงร้อง ชายหนุ่มกลับเปลี่ยนเป็นจับมือนาง พลางพูดด้วยเสียงตื่นๆ ปนวิตกกังวล คล้ายกำลังสอบสวนเด็กหนีเที่ยวอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“เจ้าทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”


 


 


แต่กลับไม่รอนางตอบ รีบตัดสินใจอย่างไม่ลังเล โอบเอวนาง แล้วกึ่งดึงกึ่งลากให้เดินแหวกกลุ่มคนที่ส่งเสียงดังจอแจ ผ่านฉากที่กำลังสนุกสนานบนเวที ก้าวออกจากโรงละครว่านไฉ่ด้วยกัน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นถูกจับให้เดินเลี้ยวเข้ามาในซอยด้านข้าง ชายหนุ่มค่อยคลายมือออก แล้วถอยหลังสองก้าว


 


 


พอเอวโล่ง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้สติ หันมาจ้องตาชายหนุ่ม ไม่มีเวลาพูดอะไรมาก นางรีบสาวเท้ากลับโรงละครว่านไฉ่ แต่แขนกลับถูกเขาจับไว้ ไม่ปล่อยอีก


 


 


“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอันตราย ยังจะขึ้นไปอีก?”


 


 


แรงที่ใช้จับในครั้งนี้มากกว่าเมื่อครู่ พอนางดิ้นไม่หลุด ก็ได้แต่โทษตัวเองที่เมื่อครู่พลาดท่า ด้วยเห็นว่าเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ จึงหวาดกลัวเกินไปชั่วขณะ ปล่อยให้เขาพาตนเองลงมาง่ายๆ


 


 


แต่พองอข้อศอกได้ ก็ทุ่มแรงที่มีอยู่กระทุ้งเข้าไปที่ท้องน้อยของเขา “ปล่อยข้า!”


 


 


อยู่ใกล้เกินไป เขาหลบไม่ทัน จึงจุก แต่ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ “เหตุใดเจ้าถึงอยู่กับรัชทายาทได้”


 


 


“ปล่อยข้า!” พอนึกถึงญาติผู้พี่ กับเมี่ยวเอ๋อร์ที่ยังอยู่ชั้นบน อวิ๋นหว่านชิ่นก็กระวนกระวายใจ


 


 


เขาอุตส่าห์รีบพานางลงมาแท้ๆ จึงพูดใส่ผมสวยที่ยุ่งเล็กน้อยใต้กราม


 


 


“เจ้าก็เหมือนข้า ไม่มีแม่ มีพ่อก็เหมือนไม่มี คนที่อยู่ชั้นบนเกี่ยวอะไรกับเจ้า จะขึ้นไปตายพร้อมพวกเขารึ


 


 


อย่าบอกนะว่า เจ้าคิดสู้ตายเพื่อช่วยแม่เลี้ยงเจ้าออกมา”


 


 


เป็นเขา เป็นเขาจริงๆ! เขาคิดทำร้ายรัชทายาท


 


 


ไม่แปลก! เขาลงมือกับเว่ยอ๋องแล้ว จะปล่อยรัชทายาทไปได้อย่างไร! ถ้าบอกว่าเว่ยอ๋องทำผิดกฎหมายอยู่แล้ว เขาแค่เปิดโปงมันออกมา เว่ยอ๋องได้รับโทษเพราะการกระทำของตัวเอง แล้วรัชทายาทที่อยู่ข้างบนล่ะ ทำผิดอะไร…เขาโหดเ**้ยมเกินไปแล้ว!


 


 


ผู้ก่อการร้าย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพูดเสียงเย็นชา


 


 


“ท่านเป็นคนวางดินระเบิดชั้นบนโรงละคร เพราะต้องการทำร้ายรัชทายาท ใช่หรือไม่!”


 


 


พอเขาก้มหน้าลง กลิ่นดอกมะลิของยาสระผมที่คุ้นเคยก็โชยเข้าจมูก ตอนที่เขากอดนางอยู่ในหมู่บ้านสกุลเกาที่เงียบสงบและห่างไกลนั้น เป็นยามค่ำคืนที่ฝนตกปรอยๆ ในหุบเขาลึก เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ไม่ว่าเขาใกล้ชิดนางในสภาพกึ่งเมากึ่งไม่เมา หรือแหย่ให้นางโกรธ นางก็โกรธเพราะเขิน ไม่ใช่โกรธจนชักกระบี่ออกมาฟาดฟันเขาเช่นนี้


 


 


เขาไม่ชอบเผชิญหน้ากับนางแบบนี้เลย


 


 


โดยเฉพาะ…เหตุใดต้องมีรัชทายาทเข้ามาแทรกกลาง นางรู้จักรัชทายาทได้อย่างไร หรือสวี่มู่เจินเป็นคนแนะนำให้ แล้วทำไมนางต้องทำเหมือนห่วงรัชทายาทมากด้วย


 


 


นี่ทำให้ซย่าโหวซื่อถิงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง


 


 


แต่เขาก็ยังพยายามทำเสียงเรียบแบบไม่รู้สึกอะไร “ถ้าข้าบอกว่าไม่ใช่ เจ้าจะเชื่อหรือไม่”


 


 


“เพ้อเจ้อ หลอกลวง” เชื่อกับผีสิ นางจะเชื่อได้อย่างไร


 


 


“ไม่ใช่จริงๆ” เขายกมือขึ้นทำท่าสาบานโดยไม่รู้ตัว แต่ก็รีบวางมือลง ดีที่นางมองไม่เห็น ขายหน้าจริง


 


 


ลมหายใจอันร้อนรนของชายหนุ่มรดใส่หลังต้นคอนาง นางพยายามหดตัวลง แต่ร่างของคนทั้งสองคล้ายคู่ฟ้าประทานที่สมบูรณ์แบบ นางยิ่งหลบหลีก ร่างอันแข็งแกร่งที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งแนบชิดติดแน่น


 


 


ไม่ใช่เขา…จริงหรือ แล้วทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ แถมยังทำลับๆ ล่อๆ อีก เห็นชัดว่า เขารู้ว่าชั้นบนมีปัญหา


 


 


แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด คำพูดเหล่านี้ถึงได้แต่วนเวียนอยู่ในท้อง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพูดไม่ออก…เข้าข้างเขาเข้าแล้ว คนอย่างเขาถ้าทำ จะไม่กล้ารับหรือ ไม่จำเป็นต้องโกหกนี่


 


 


แต่ถ้าไม่ใช่เขาแล้ว คือใคร


 


 


อีกอย่าง ทำไมเขาถึงอยู่ในที่เกิดเหตุ แล้วทำไมถึงรู้ว่าชั้นบนผิดปกติ


 


 


และในตอนนี้เอง เสียง ‘ปัง’ ก็ดังขึ้นที่โรงละครว่านไฉ่ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนในโรงละครและบนท้องถนน ผสมกับฝีเท้าเร่งรีบและสับสนวุ่นวาย


 


 


หัวใจแทบหยุดเต้น นางผลักเขาออกอย่างแรง


 


 


เมื่อระเบิดไปแล้ว ก็ถือว่าโรงละครปลอดภัย ซย่าโหวซื่อถิงจึงผละแขนทั้งสองข้างออก คล้ายปล่อย


 


 


กระต่ายที่จับไว้ไม่อยู่ ให้วิ่งหนีไป


 


 


โถงชั้นล่าง โรงละครว่านไฉ่


 


 


ผู้ชมไม่น้อยทยอยวิ่งกันออกมา ต่างพากันซุบซิบพลางหันกลับไปมอง แต่เด็กรับใช้ของโรงละครที่ยืนอยู่หน้าประตูก็พยายามดูแลความเรียบร้อย บอกให้ผู้ชมรีบออกไปกันก่อน


 


 


เจ้าหน้าที่จากที่ว่าการอำเภอเมืองมาถึงอย่างรวดเร็ว กำลังทำการปิดล้อมหน้าประตู และเดินเข้าๆ ออกๆ ตรวจตราและค้นหาผู้ต้องสงสัยและวัตถุต้องสงสัย


 


 


ไม่เห็นผู้บาดเจ็บ ดูไปแล้วผู้ชมชั้นล่างเพียงตื่นตกใจเท่านั้น


 


 


พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหน้าต่างบานเล็กของห้องที่ติดถนนชั้นบนเปิดทิ้งไว้ มีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาและมีเปลวไฟแทรกอยู่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นโครมคราม แต่พอขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กรับใช้ของโรงละครที่มีผ้าขนหนูเปียกพาดไว้บนบ่า ก็รีบยกมือขึ้นห้ามพัลวัน พลางไอไปพูดไป


 


 


“แม่นาง เขาปิดสถานที่แล้ว ไม่เห็นหรือ ชั้นบนไฟไหม้อยู่…”


 


 


“แล้วแขกที่เหมาชั้นบนล่ะ”


 


 


เด็กรับใช้น่าจะเพิ่งลงมาจากชั้นบน แล้วถูกรมควันจนไอไม่หยุด พอใช้ผ้าขนหนูเปียกอุดจมูกไว้ ก็ค่อยยังชั่ว “แขกชั้นบนลงมาก่อนไฟไหม้นานแล้ว…แค่กๆ…โชคดีที่ลงมาก่อน ชั้นล่างไม่มีอะไร ชั้นบนนี่สิพูดยาก…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยโล่งใจไปหนึ่งเปลาะ จึงกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยตัวสั่นเทิ้มขณะเกาะรถม้าเพื่อก้าวขึ้น ส่วนอนุฟางกับอวิ๋นหว่านถงที่ถอดเครื่องแต่งกายปีศาจจิ้งจอกออกแล้วกำลังกอดกันอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ยังหลอนไม่เลิก


 


 


ทว่าหวงน้าสี่สามแม่ลูกกลับมีขวัญที่กล้าแกร่ง ตอนลงมาชั้นล่าง พอได้ยินเสียงระเบิดที่ชั้นบนและเห็นเปลวไฟลุกไหม้ แม้ตื่นตระหนก แต่ก็ตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ สามแม่ลูกกำลังซุบซิบกันว่าเป็นอุบัติเหตุหรือฝีมือคน


 


 


แต่กลับไม่เห็นกลุ่มรัชทายาท


 


 


“คุณหนูใหญ่…” เมี่ยวเอ๋อรพุ่งเข้าหา “ท่านไปอยู่ที่ไหนมา บ่าวตกใจแทบแย่!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินเมี่ยวเอ๋อร์ร้องเสียงดัง จึงเลิกม่านขึ้น พอเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นไม่เป็นไร ก็คิ้วตก เอ็ดใส่คนบังคับรถม้า “ยังไม่รีบกลับบ้านอีก!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์จึงขึ้นรถม้าก่อน


 


 


ทว่าพริบตาที่ดึงม่านลง อวิ๋นหว่านชิ่นก็คล้ายรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ด้านหลัง จึงเหลียวหลังมอง เห็นเขากำลังยืนอยู่หน้าปากซอยเมื่อครู่ ใบหน้าด้านข้างครึ่งหนึ่งให้ความรู้สึกอ้างว้างเล็กน้อย ใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง จมูกที่โด่งเป็นสันสะท้อนแสงเงา เห็นเป็นเส้นโค้งได้รูป


 


 


และตรงหว่างคิ้วก็เห็นชัดว่า เขาคล้ายไม่พอใจอยู่บ้าง


 


 


ระหว่างทางกลับจวน มีหวงน้าสี่นั่งอยู่ในรถม้าด้วย อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์จึงพูดอะไรมากไม่ได้ แต่


 


 


ถ้าผู้หญิงสกุลอวิ๋นลงมาชั้นล่างก่อน คิดว่าก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรกับพวกรัชทายาทและญาติผู้พี่ มิฉะนั้นที่หน้า


 


 


ประตูโรงละครเมื่อครู่ ต้องโกลาหลกันใหญ่แล้ว   

 

 

 


ตอนที่ 69-4 แสดงเป็นนางจิ้งจอก

 

เมื่อกลับถึงจวน ต่างคนต่างก็กลับเรือนของตนเอง


 


 


พอบ่าวในบ้านรู้ว่าวันนี้นอกบ้านเกิดเรื่องขึ้น ก็ตกใจไปตามๆ กัน แม้กลุ่มผู้หญิงสกุลอวิ๋นโชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ก็ยังตื่นตระหนกไม่หาย บ่าวของแต่ละเรือนจึงรีบต้มน้ำ ให้นายได้อาบน้ำดื่มชา เพื่อให้อารมณ์ สงบ ส่วนม่อไคไหลก็ส่งคนไปกรมกลาโหม แจ้งข่าวให้นายท่านทราบ


 


 


ถงฮูหยินย่อมไม่ต้องพูดถึง ไหนเลยจะคิดว่าผู้หญิงในบ้านที่นานๆ จะออกนอกบ้าน กลับต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ แม้ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ก็อันตรายใช่ย่อย ปีนี้มีแต่เรื่องไม่ดีจริงๆ ต้องสวดมนต์อยู่ครึ่งค่อนวัน จิตใจถึงสงบลงได้ นางจับมืออาเม่ามากุมไว้แล้วถูไปมาไม่ปล่อย คนชราอารมณ์เปราะบาง บางครั้งก็หลอน


 


 


“เมืองหลวงเปลี่ยนแปลงเร็วจนคาดเดาไม่ได้จริงๆ โรงละครที่มีละครดีๆ ให้ดู กลับถูกระเบิดเสียนี่ ถ้าเด็กทั้งสองเป็นอะไรขึ้นมา ย่าอย่างข้าจะมีหน้ากลับไท่โจวไปบอกลูกชายคนโตหรือ พอกันที ต่อไปนี้พวกเจ้าไม่ต้องออกไปกันแล้ว ต่อให้น่าเที่ยวแค่ไหน ก็ไม่ต้องเที่ยว คนบ้านนอกอย่างเราไม่เหมาะกับเมืองหลวงอยู่แล้ว!”


 


 


หวงน้าสี่จึงได้โอกาสบ่นอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ต่อให้วันนี้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ต่อไปสะใภ้กับลูกๆ ก็ไม่กล้าออกจากบ้านแล้ว”


 


 


เสียงคร่ำครวญของหญิงชราพลันหยุด “ทำไมล่ะ”


 


 


หวงน้าสี่ผลักอาจู้ “เรื่องนี้แม่พูดเองไม่ค่อยดี เจ้าบอกท่านย่าเองดีกว่า”


 


 


เด็กหญิงอาจู้ความจำดี จึงอธิบายไปตามสิ่งที่เห็น “วันนี้เสื้อผ้าที่อาสะใภ้นำมาให้หลานและท่านแม่ใส่นั้น เป็นเสื้อผ้าที่ทำไว้ให้บ่าวในบ้านใส่ ก็คือตรงปกเสื้อจะมีช่องเล็กๆ ซึ่งเป็นแบบเสื้อที่บ่าวในเมืองหลวงใส่กัน ไม่เชื่อ ท่านย่าไปดูยังได้”


 


 


ถงฮูหยินขมวดคิ้วแน่น วันนี้ความรู้สึกดีๆ ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นกับสะใภ้รอง ไม่เหลือแม้แต่เงาอีกแล้ว สะใภ้รองนี่แสบสันจริงๆ!


 


 


ถงฮูหยินเองก็เคยเป็นสาวมาก่อน ระหว่างเมียๆ ด้วยกัน ไหนเลยจะไม่มีความขัดแย้ง โดยเฉพาะคนสองคนที่มีสถานะเหลื่อมล้ำกันมาก ก็มักไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่าย แต่นางเป็นคนบ้านนอกที่เป็นกันเอง ไม่คิดอะไรมาก ไหนเลยจะเหมือนไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่ชอบใช้วิธีสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ทำร้ายผู้อื่น ชนิดพอคิดถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจในตอนนั้น ก็จะกั้นกำแพงเปิดศึกระหว่างน้องสะใภ้กับพี่สะใภ้ไป


 


 


หลังจากฟังหลานสาวร้องเรียน หญิงชรารู้สึกไม่ชอบใจก็จริง แต่ด้วยความที่อายุมากแล้ว หวังให้ครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุข จึงไม่อยากให้สามแม่ลูกก่อเรื่องไม่จบสิ้นภายในบ้านอีก ตราบใดที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่ก่อเรื่องอย่างโจ่งแจ้ง ก็พอจะพูดจากันง่ายหน่อย


 


 


คิดแล้ว ถงฮูหยินก็ตีหลังมืออาจู้เบาๆ “ช่างเถอะ วันนี้ยังก่อเรื่องไม่พออีกหรือ เจ้ามิใช่ได้เสื้อผ้าชุดใหม่มาชุดหนึ่งหรอกหรือ ราคาก็มิได้ถูกๆ ได้เปรียบก็น่าจะพอแล้ว ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกัน”


 


 


แต่หวงน้าสี่มีหรือจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ นางแค้นฝังหุ่นไปแล้ว เพราะเป็นคนเมืองถึงไม่เอาเรื่องหรือไร


 


 


นางไม่ยอมเป็นเป้าให้อับอาย ไม่ยอมก้มหัวให้กับข้าวสารห้าโต่ว[1] หรอก คิดว่าคนบ้านนอกต่ำต้อยถึงเพียงนั้นจริงๆ ล่ะสิ คอยดูก็แล้วกัน ตอนนี้ข่มใจฟังคำชี้แนะของท่านแม่ไปก่อน จึงน้อมรับ


 


 


“จ๊ะ สะใภ้ฟังอยู่ ท่านแม่”


 


 


 


 


เมื่อกลับถึงเรือนฝูหยิง เมี่ยวเอ๋อร์ก็เล่าให้คุณหนูใหญ่ฟังว่า หลังจากรับคำกำชับจากคุณหนูใหญ่ นางก็รีบวิ่งไปบอกคุณชายสวี่…


 


 


พอสวี่มู่เจินได้ยินก็ตกใจ วิ่งเข้าไปดูในห้องเตรียมเครื่องดื่มกับผู้คุ้มกัน แม้ตรวจไม่พบอะไร แต่ในที่สุดก็ได้กลิ่นแปลกๆ สัญชาตญาณต่อดินระเบิดของพวกเขาย่อมไวกว่าอวิ๋นหว่านชิ่น รัชทายาทเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ จะเสี่ยงอันตรายไม่ได้แม้แต่น้อย จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเชิญรัชทายาทที่กำลังลุ้นละครจนตัวโก่ง ให้ลงไปด้านล่าง แล้วขึ้นรถม้ากลับวังทันที จากนั้นค่อยบอกพวกผู้หญิงสกุลอวิ๋นให้รีบลงไป สุดท้ายถึงส่งคนไปที่ทำการอำเภอแจ้งความ แต่ใครจะคิดเล่าว่า เพิ่งวิ่งลงชั้นล่าง ชั้นบนก็ระเบิดเสียงดังกัมปนาท เห็นควันขาวตลบอบอวล พร้อมประกายไฟ บันไดขึ้นชั้นบนพังไปครึ่งหนึ่ง เล่นเอาพวกสวี่มู่เจินตื่นตระหนกจนเหงื่อกาฬหลั่งไหล ฉิวเฉียดจริงๆ!


 


 


ห้องเตรียมเครื่องดื่มอยู่ข้างห้องชมละครของรัชทายาท ถ้าผู้ที่อยู่ชั้นบนลงมาไม่ทัน พอผนังห้องพังทลาย รัชทายาทย่อมบาดเจ็บ!


 


 


ขณะเล่า บ่าวในบ้านก็เข้ามาแจ้งว่า นายท่านเลิกงานกลับมาแล้ว และเรียกกลุ่มผู้หญิงที่ออกจากบ้านในวันนี้ ให้ไปรวมตัวกันที่โถงด้านหน้า


 


 


 


 


โถงด้านหน้า   


 


 


ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นมาถึง คนอื่นๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว


 


 


ใบหน้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีคราบน้ำตา นางนั่งอยู่ด้านขวาของเจ้าบ้าน คล้ายเพิ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาจากการร้องไห้ไปหมาดๆ ซึ่งอวิ๋นเสวียนฉั่งก็เพิ่งปลอบใจนางไปสองสามประโยค


 


 


อนุฟางกับอวิ๋นหว่านถงต่างยืนกันเงียบๆ คนละมุม ไม่พูดไม่จา


 


 


พอกลับถึงจวน อวิ๋นหว่านถงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ยังคงดูงงๆ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระเบิดที่โรงละคร แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะถูกลงโทษให้ขึ้นเวทีแสดงเป็นปีศาจจิ้งจอก ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง


 


 


ตอนอวิ๋นเสวียนฉั่งกลับถึงบ้าน ก็ไปที่เรือนหลักก่อน จึงพอจะรู้เรื่องราวตั้งแต่กลุ่มผู้หญิงได้พบรัชทายาทโดยบังเอิญในโรงละคร จนถึงเรื่องระเบิดจากปากของไป๋เสวี่ยฮุ่ยบ้าง ซึ่งเขาก็ตกใจว่า บ้านเมืองที่อยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมาภายใต้ร่มพระบารมีเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนออกนอกบ้านจะเจอระเบิด ใครกันริอาจคิด


 


 


ต่อต้าน แต่ถ้ารัชทายาทอยู่ในที่เกิดเหตุ ก็เห็นชัดว่า เป้าหมายคือรัชทายาท


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ครุ่นคิดอีกสักพัก ค่อยบอกให้บ่าวในบ้านไปตามคนมา


 


 


เมื่อเห็นคนมากันครบ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็เข้าประเด็น อธิบายเจตนารมณ์ให้ฟังทันที


 


 


“เราปิดประตูบ้าน พูดกันแบบบ้านๆ ข้าจึงไม่อยากพูดอ้อมค้อม เรื่องที่พวกเจ้าพบเจอรัชทายาทในโรงละครวันนี้ ห้ามพูดให้คนนอกได้ยินเป็นอันขาด ข้ารู้ว่าผู้หญิงอย่างพวกเจ้าชอบใส่สีตีไข่ เรื่องเล็กนิดเดียวก็เล่าขยายความให้ผู้อื่นฟังเสียใหญ่โต เรื่องพบเจอรัชทายาท อาจเอาไปคุยโม้โอ้อวดอย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้ เรื่องแบบนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่วงหน้า ถ้าไม่อยากให้บ้านสกุลอวิ๋นประสบเคราะห์กรรม พวกเจ้าต้องปิดปากให้มิด ให้คิดเสียว่าวันนี้ ไม่เคยพบเจอผู้ใดเลย ต่อให้มีคนเห็นว่าพวกเจ้าถูกเชิญให้ขึ้นไปดูละครที่ชั้นบน ก็ให้พูดแต่เพียงว่าไม่รู้จักคนคนนั้น ได้ยินหรือยัง”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งพูดอย่างเคร่งเครียดและเข้มงวดมาก คำพูดก็ชัดเจนยิ่ง กลุ่มคนที่ฟังแล้วคิดตาม ก็พอจะรู้ความหมายคร่าวๆ ว่า ระเบิดนั่นน่าจะมีคนประสงค์ร้ายต่อรัชทายาท ซึ่งตัวเขาเองรู้ทันว่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ปกติแล้วต้องส่งให้เจ้าหน้าที่ของที่ว่าการอำเภอ แผนกดูแลเรื่องในราชวงศ์โดยเฉพาะดำเนินการตรวจสอบ และก่อนที่จะหาตัวผู้ต้องสงสัยพบ จะไม่เปิดเผยให้คนนอกรู้ ซึ่งถ้าผู้หญิงบ้านสกุลอวิ๋นเอาเรื่องนี้ไปโม้ให้คนนอกฟัง สกุลอวิ๋นก็ต้องถูกเพ่งเล็ง โยงใยว่าเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารรัชทายาทไปโดยปริยาย


 


 


พวกนางจึงก้มศีรษะลงรับคำ “ได้ยินแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน”


 


 


เดิมทีไป๋เสวี่ยฮุ่ยคิดจะบอกเรื่องน่าอายให้สามีฟัง เรื่องที่อนุฟางแนะให้คุณหนูสามเข้าไปเสนอตัวให้รัชทายาท แต่สุดท้ายคุณหนูสามกลับถูกลงโทษให้ไปแสดงละครเวทีแทน แต่พอเห็นสามีเคร่งเครียด ก็ไม่พูดดีกว่า พูดปิดท้ายสองสามประโยค ก็บอกให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจงใจเดินออกเป็นคนสุดท้าย พอก้าวออกจากธรณีประตู และไม่เห็นเงาของแม่เลี้ยงและคนอื่นๆ แล้ว ก็หายใจเข้าลึกๆ กลับหลังหัน เดินกลับเข้าไปใหม่


 


 


“ท่านพ่อ ผู้ต้องสงสัยคือใคร มีเค้าโครงหน้าหรือยัง”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งสงสัย ก่อนโบกมือไล่ “เจ้าเป็นผู้หญิง ถามเรื่องเหล่านี้ไปทำไมกัน”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหลุบตาลง “วันนี้ตอนพบเจอรัชทายาทในโรงละคร เพราะลูกสนิทกับญาติผู้พี่ จึงได้นั่งดูละครร่วมกับรัชทายาท และถือว่าคุยกันได้ถูกคอทีเดียว จึงรู้สึกผูกพันและเป็นห่วงอยู่บ้าง”


 


 


“อ้อ?” เดิมทีอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่สนใจฟัง แต่พอได้ยินคำพูดนี้ ก็ลิงโลดขึ้นมา เลิกไล่ลูกสาวทันที


 


 


“รัชทายาทพูดคุยกับเจ้า แล้วยังนั่งดูละครด้วยกันอีก?”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า หึ นิสัยเดิมๆ คิดเข้าหาผู้สูงศักดิ์โดยการพึ่งพาลูกสาวอีกแล้ว


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งยิ้มมุมปาก ไม่พูดอะไรมาก อารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง


 


 


“ก่อนเลิกงาน สหายเก่าที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการอำเภอบอกว่า พบเจอที่ตั้งดินระเบิดแล้ว ถูกคนฝังไว้กับพื้นชั้นบน ใต้ถังต้มน้ำในห้องเตรียมเครื่องดื่ม เป็นดินดำ และตรวจพบว่าเด็กรับใช้ในโรงละครคนหนึ่งต้องสงสัยมากสุด เจ้าของโรงละครจึงถูกควบคุมตัวไว้ แต่ก็ให้การแค่ว่า เด็กรับใช้เป็นลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้อาศัยอยู่ที่ไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็กำลังออกตามหาไปทั่วเมือง ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครนั้น ในเวลาอันสั้น ไหนเลยจะสืบรู้ได้ จึงยังคงเป็นคดีที่ไม่มีเบาะแสใดๆ เพิ่มเติม”


 


 


ถ้าถามต่อ ก็เกรงว่าบิดาจะสงสัย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงโค้งกายลง “ลูกรับทราบเจ้าค่ะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] โต่ว คือหน่วยตวงข้าวชนิดหนึ่ง เป็นการอุปมาถึง คนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ที่เหนือกว่าเพราะเงินเพียงน้อยนิด

 

 

 


ตอนที่ 69-5 แสดงเป็นนางจิ้งจอก

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นกลับถึงเรือนฝูหยิง ก็เจออวิ๋นจิ่นจ้งที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนพอดี ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพราะเขาได้ยินเรื่องราวนอกบ้านในวันนี้ของพี่สาว จึงรีบวางตำรา แล้วบึ่งมาหาทันที


 


 


หลังจากเห็นว่าพี่สาวไม่เป็นไร อวิ๋นจิ่นจ้งค่อยเบาใจลง ขณะกำลังจะเดินกลับ อวิ๋นหว่านชิ่นก็รั้งตัวเขาไว้ ยิ้มพลางว่า “พี่อยากถามอะไรเจ้าเรื่องนึง”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งคิดว่าพี่สาวคงต้องการทดสอบอะไรเขา จึงรอรับฟัง


 


 


ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็คิดทดสอบเขาจริงๆ แต่มิใช่บทเรียนในตำรา นางกะพริบตา


 


 


“จิ่นจ้ง ดินดำเป็นดินระเบิดชนิดไหน”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งอึ้ง


 


 


ที่โรงเรียนมีวิชาหนึ่งชื่อ ความรู้ทางการทหาร เนื้อหาส่วนหนึ่งสอนเกี่ยวกับดินระเบิดชนิดต่างๆ แต่มิได้เป็นวิชาที่ใช้สอบแข่งขันเข้าเป็นขุนนาง อาจารย์จึงไม่ให้ความสำคัญ แต่เขากลับสนใจมาก และยากนักที่ท่านพี่จะเอ่ยปากถาม เขาจึงตอบด้วยความมั่นใจทันที


 


 


“ปัจจุบันต้าเซวียนมีดินระเบิดสามชนิด แบ่งเป็น ดินระเบิดแรงต่ำ ดินระเบิดแรงสูง และดินปืน ดินปืนคือดินระเบิดที่ต้องยัดเข้าไปในลำกล้องแล้วยิงออกมา เป็นอาวุธพิสัยไกล ปกติใช้ในสนามรบ ดินระเบิดแรงสูง คือดินระเบิดที่มีแรงทำลายล้างสูง กินพื้นที่ในวงแคบ ดินระเบิดแรงต่ำ อยู่กลางระหว่างสองชนิด แรงทำลายล้างต่ำกว่า แต่กินพื้นที่กว้างกว่า ส่วนดินดำ หรือพลุ เป็นดินระเบิดแรงต่ำชนิดหนึ่งที่มีราคาแพง เพราะส่วนผสมที่ใช้นั้นหายาก”


 


 


“อ้อ หมายความว่าดินดำนี่ คนธรรมดาไม่ค่อยใช้กัน”


 


 


“อืม” อวิ๋นจิ่นจ้งพยักหน้า “ส่วนผสมราคาแพง ทำก็ยาก สรุปแล้ว นอกจากดินปืน ก็มีดินดำนี่ล่ะ ที่ถือว่าราคาสูง อาจารย์ว่า ดินระเบิดชนิดอื่นๆ ชาวบ้านหลายคนพอจะหาซื้อมาใช้กำจัดหนูตามท้องไร่ท้องนาได้ แต่ดินดำนี่ ผู้ใช้มากกว่าครึ่ง เป็นพวกเล่นแร่แปรธาตุ…ท่านพี่ ท่านถามเรื่องพวกนี้ไปทำไม”


 


 


พวกเล่นแร่แปรธาตุ? คนมีเงิน มีเวลา ชอบคิดค้นสารแปลกๆ ก็มีแต่บรรดาเศรษฐีลูกผู้ดี หรือแม้แต่คนในราชวงศ์ อย่างในอดีต ฮ่องเต้ที่ปรารถนาอายุยืนยาวหลายพระองค์ ก็ล้วนชอบเล่นแร่แปรธาตุ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดสักพัก จึงยิ้ม แล้วว่า “ก็ทดสอบเจ้าไง”


 


 


ตกลงเป็นฉินอ๋องหรือเปล่า


 


 


หลังจากกลับมา นางก็ตรึกตรองให้ถ้วนถี่ แต่เหมือนไม่ใช่เขาอยู่ดี เพราะถ้าเป็นเขา เหตุใดถึงต้องมาที่โรงละครด้วย ส่งคนมาจัดการก็สิ้นเรื่อง ขืนใครพบเห็นเข้า จะยุ่งกันไปใหญ่


 


 


ทว่า…ถ้าเกิดเรื่องกับรัชทายาท ผู้ที่ได้ประโยชน์ ก็มีแต่ฉินอ๋องกับเว่ยอ๋อง


 


 


หรือจะเป็นเว่ยอ๋อง? แต่ข่าวว่าเรื่องเหมืองแร่ที่เขาชิงเหอ เว่ยอ๋องเองยังเอาตัวไม่รอด ได้แต่สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ในจวนทั้งวัน ด้วยเกรงว่าจะตกเป็นเป้าสายตาผู้อื่น ในเวลาเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าทำเรื่องแบบนี้อีก


 


 


แต่ ไม่ว่าจะเป็นฉินอ๋องหรือไม่ แค่เรื่องที่เขาสะกดรอยรัชทายาท ก็มั่นใจได้อย่างแน่นอนว่า เขาคือ


 


 


พยัคฆ์หรือสุนัขป่าตัวหนึ่งที่นั่งยองๆ ในที่มืด และพร้อมที่จะกระโดดออกมาตะครุบเหยื่อทุกเมื่อ


 


 


ถ้ามิใช่เพราะกลัวว่านางจะโดนระเบิดบาดเจ็บ เขาก็คงไม่ปรากฏตัวเพื่อดึงนางออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นก็คงไม่รู้ว่า นอกจากคอยจับตาดูขุนนางแล้ว เขายังจับตาดูรัชทายาทด้วย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชาติที่แล้ว ก่อนตนเสียชีวิต เคยติดหนี้บุญคุณเขาไว้หรือไร ชาตินี้ ระยะห่างระหว่างตนกับเขาถึงได้แคบเข้ามาเรื่อยๆ ราวกับว่าตัดกันไม่ขาด


 


 


วันต่อๆ มา คนในจวนก็ล้วนเก็บความคิดที่แตกต่างกันไว้ภายในใจ และเพราะตกใจจนขวัญเสียไปบ้าง ต่างคนต่างจึงอยู่แต่ในเรือนของตน บรรยากาศจึงเงียบสงบไปหลายวัน


 


 


เนื่องจากวันที่อวิ๋นหว่านเฟยต้องออกเรือนใกล้เข้ามาเต็มที ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงวิ่งวุ่นจนหัวปั่น เตรียมของที่ต้องใช้ในวันแต่งงานลูกสาว


 


 


เมื่อบ้านมีลูกสาวที่ต้องแต่งไปเป็นอนุของผู้อื่น ถ้าบ้านที่มีฐานะดีหน่อย ก็จะเตรียมข้าวของให้ลูกสาวนำติดไม้ติดมือไปด้วย แต่เช่นนี้ไม่เรียกว่าสินสอด โดยทั่วไป พิธีแต่งงานในต้าเซวียน ถ้าอนุนำของจากบ้านตนไปด้วย จะเรียก “สินส่วนตัว” ถ้าตำแหน่งสูงขึ้นมาอีกขั้น เป็นอนุคนโปรด ก็จะเรียก “สินสมรส” หมายถึง เพิ่มสินสอดให้ฝ่ายชาย ซึ่งการเรียกทั้งสองแบบก็ล้วนมีความหมายดูหมิ่นอยู่บ้าง


 


 


แต่สรุปแล้วก็คือ โดยทั่วไปบ้านฝ่ายหญิงจะไม่ยอมให้เอาอะไรไปมากมาย ด้วยรู้ว่าสถานะของลูกสาวต่ำต้อย ไปบ้านเขาก็ต้องตกอยู่ใต้อำนาจเขา ยิ่งเอาของไปมาก ก็ไม่แน่ว่าของนั้นจะตกอยู่กับลูกสาว อาจลงทุนไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ให้ผู้อื่นได้เปรียบอีก!


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็คิดเช่นนี้ แต่อวิ๋นหว่านเฟยกลับคิดแต่ว่าตนไปในสถานะพิเศษ ลดแลกแจกแถมหน่อยจะเป็นไรไป กลัวก็แต่เข้าบ้านเขาแล้ว จะถูกคนที่บ้านเขาละเลย จึงรบเร้าให้เพิ่มสินสมรสเข้าไปอีก


 


 


เดิมทีเมื่อสองปีก่อน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหมายปองบ้านสวนโย่วเสียน มรดกตกทอดของสวี่ฮูหยิน เตรียมฉวยโอกาสขณะอวิ๋นหว่านชิ่นยังไร้เดียงสา อ้อนวอนขอเอาจากนาง แต่ตอนนี้นังตัวดีกลับโตขึ้นในชั่วข้ามคืน อีกทั้งสมองใสกว่าลิงอีก เอ่ยปากขอไม่ได้แน่ จึงคิดเข้าทางท่านพี่ ลองดูว่าพอจะตอดเล็กตอดน้อยสมบัติเก่าของสวี่ฮูหยินได้หรือไม่


 


 


ทว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งที่ไม่พอใจให้ลูกสาวไปเป็นอนุของจวนโหวอยู่เป็นทุนเดิม พอเห็นว่าแม้แต่ของขวัญสักชิ้นจวนโหวก็ไม่ส่งมา เพียงเปิดประตูไว้รับคนเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรที่ตนต้องให้สินสมรสพร้อมลูกสาวด้วย ให้สกุลมู่หรงได้เปรียบเพิ่ม!


 


 


ดังนั้น อย่าว่าแต่มรดกของภรรยาผู้ล่วงลับเลย แม้แต่สิ่งของพื้นฐานติดตัวก็ไม่อนุญาตให้เอาไปมากมาย อวิ๋นเสวียนฉั่งปฏิเสธอย่างเดือดดาล


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตกอยู่ในสภาพ ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือ มิหนำซ้ำยังกล่อมลูกสาวไม่สำเร็จอีก จึงได้แต่แอบนำทรัพย์สินที่ตนเก็บสะสมไว้ทั้งหมดในสองสามปีมานี้ ให้เป็นสินสมรสแก่อวิ๋นหว่านเฟยไป และพอเตรียมของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย **บสมบัติของนางก็แทบจะว่างเปล่า


 


 


คิดๆ แล้วนางก็โมโหจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อก่อนมักคิดว่า สามารถพึ่งพาลูกสาว และได้กำไรจากการออกเรือนของลูกสาวบ้าง ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะต้องหมดเนื้อหมดตัวเช่นนี้! ลูกล้างลูกผลาญจริงๆ!


 


 


ส่วนอวิ๋นหว่านเฟย นางไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครเป็นผู้ให้สินสมรสมา อย่างไรแต่งเข้าไปแล้วไม่ขายหน้า นางก็ดีใจแล้ว เป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองอีกครั้ง


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยย้ำนักย้ำหนาว่า ให้นางเก็บรักษาไว้ให้ดี นี่เป็นสมบัติของนางเอง อย่าให้ผู้อื่นมาเอาเปรียบเป็นอันขาด แต่นางกลับตอบทำนองดูแคลน


 


 


“ท่านแม่ ลูกไม่ใช่เด็กสามขวบ ที่จะให้ใครมาเอาเปรียบได้สักหน่อย!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ว่าลูกสาวถูกตามใจจนเคยตัว จึงมักโอ้อวดเสมอ ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้เรื่อง จึงได้แต่เลือก ปี้หยิง สาวใช้ในบ้านที่คล่องแคล่วหน่อยให้ติดสอยห้อยตามไป บอกให้นางคอยจับตาดูคุณหนูรองตอนอยู่ในจวนโหวให้ดี อย่าให้คุณหนูรองหลงกลคนนอกได้ ปี้หยิงพยักหน้ารับคำหงึกๆ


 


 


และเนื่องจากไป๋เสวี่ยฮุ่ยต้องง่วนอยู่กับเรื่องเตรียมออกเรือนของอวิ๋นหว่านเฟย ถงฮูหยินจึงยกเว้น ไม่ต้องให้สะใภ้รองมาคารวะทั้งเช้าและเย็นในทุกๆ วัน ว่างตอนไหนก็ค่อยมา


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยิน ก็ดีใจยิ่ง รีบทำตามแทบไม่ทัน เพราะประการแรก นางจะได้ไม่ต้องรับใช้หญิงชรา ประการที่สอง นางจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับหวงน้าสี่ อารมณ์จึงค่อยๆ ดีขึ้น


 


 


พอหวงน้าสี่เห็นน้องสะใภ้อารมณ์ดี ก็รู้สึกไม่พอใจ เรื่องเสื้อผ้าในวันนั้น ตนยังไม่ได้คิดบัญชีกับนาง


 


 


บรรยากาศในจวนเพิ่งเงียบสงบได้ไม่กี่วัน อาเม่าก็ทนไม่ไหว ก่อเรื่องขึ้นจนได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม