ชายาเคียงหทัย 66.3-67.3

ตอนที่ 66-3 ความทะเยอทะยานและอำนาจ

 

เมื่อกลับเข้าเรื่องแล้ว ท่าทางของเฟิ่งจือเหยาดูจริงจังและดูสบายตาขึ้นมาก เขาพูดกับม่อซิวเหยาด้วยท่าทีรู้สึกผิดว่า “อาเหยา ขอโทษด้วยจริงๆ ดูเหมือนหลายปีนี้ข้าจะมองข้ามอันใดไปไม่น้อย” ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้นมองเขา “ทำไมหรือ มีข่าวเรื่องที่ตำหนักหลีอ๋องแล้วหรือ” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นเล่นงานหลีอ๋องด้วยคิดว่าตนฉลาด เพียงแต่เกรงว่านางจะไม่รู้ตัวว่าเป็นตัวนางเองที่ถูกคนเขาเล่นงานแทน”


 


 


“เรื่องเป็นอย่างไร”


 


 


“ได้ยินว่าตำหนักหลีอ๋องสืบจนได้ความแล้วว่า เครื่องหอมในห้ององค์หญิงซีสยาเป็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่สั่งให้คนนำไปไว้ และเป็นคนขององค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ปล่อยให้องค์หญิงซีสยาเข้าไปข้างใน เพียงแต่…สาวใช้ที่พระชายาพูดถึง ที่บอกว่าเป็นคนแรกที่บุกเข้าไปในห้ององค์หญิงซีสยานั้น ก็ไม่ใช่คนขององค์หญิงซีสยา แต่ไม่ใช่คนขององค์หญิงหลิงอวิ๋น แต่เป็น…สาวใช้ที่เสียนเจาไท่เฟยพาออกมาจากในวัง” เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยสีหน้าหนักใจ เยี่ยหลีขมวดคิ้วถามว่า “สาวใช้คนนั้น…” เฟิ่งจือเหยาตอบว่า “สาวใช้คนนั้นถูกสังหารอย่างลับๆ ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนั้นแล้ว ข้าให้คนคอยจับตาดูตำหนักหลีอ๋องและตำหนักองค์หญิงอยู่ตลอดทั้งวัน ตอนที่องค์หญิงซีสยามีคนมารับตัวกลับไปนั้น ไม่มีสาวใช้ข้างกายนางอยู่ด้วย จนเมื่อกลางดึกคืนนั้นจึงได้มีคนนำศพสาวใช้คนหนึ่งออกไปทิ้งไว้ยังสุสานนิรนามที่นอกเมือง แต่สาวใช้คนนั้นถูกทำให้เสียโฉมก่อนตาย บนตัวก็ไม่มีของอันใดที่สามารถยืนยันตัวตนได้


 


 


“เช่นนั้นท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนของเสียนเจาไท่เฟย” เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความแปลกใจ


 


 


เฟิ่งจือเหยาหัวเราะอย่างได้ใจ “ตอนชันสูตรพบน้ำมันใส่ผม คราบน้ำมันใส่ผมกลิ่นดอกม่อลี่อยู่ที่ซอกเล็บกับบนเส้นผมของนาง น้ำมันใส่ผมชนิดนี้ว่ากันว่าเป็นน้ำมันใส่ผมชนิดพิเศษที่ร้านเครื่องหอมแห่งแรกของเมืองหลวงทำขึ้นเป็นพิเศษ ซ้ำยังมีราคาแพงมาก เพียงกล่องเล็กๆ ก็สิบกว่าตำลึงแล้ว และในเมืองหลวงสามเดือนมานี้น้ำมันใส่ผมกลิ่นนี้ขายไปได้เพียงห้ากล่อง สองในห้ากล่องนั้นเป็นเสียนเจาไท่เฟยที่ให้คนไปซื้อ ดังนั้นข้าจึงเดาว่าสาวใช้คนนั้นคงจะเป็นสาวใช้ที่คอยหวีผมให้เสียนเจาไท่เฟย อีกอย่าง เมื่อเช้าวานนี้ เสียนเจาไท่เฟยเปลี่ยนทรงผมใหม่ ตามที่คนที่ชำนาญเรื่องแต่งองค์ทรงเครื่องที่ข้าส่งไปช่วยดูนั้น บอกว่าทรงผมใหม่ของเสียนเจาไท่เฟยนี้ไม่ได้เป็นฝีมือคนคนเดียวกันแน่นอน”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าให้อย่างเลื่อมใส “ดังนั้น เรื่องก็คือว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับม่อจิ่งหลี จึงได้คิดหาวิธีทางช่วยให้องค์หญิงซีสยาเข้าไปยังตำหนักหลีอ๋อง เพื่อให้ตนสามารถล้มเลิกการแต่งงานได้อย่างเต็มปากอย่างนั้นหรือ ซึ่งพอดีกับที่เสียนเจาไท่เฟยไม่ยินดีที่จะรับองค์หญิงหลิงอวิ๋นมาเป็นลูกสะใภ้ จึงคิดวางแผนให้องค์หญิงซีสยาสามารถเข้ามาแทนที่ได้ แต่ว่า…เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไร”


 


 


“ตรงไหนที่ไม่สมเหตุสมผลกัน” เฟิ่งจือเหยาไม่เข้าใจ


 


 


เยี่ยหลีตอบว่า “นอกเสียจากว่าเหลยเถิงเฟิงเองก็มีส่วนในเรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้วหาก ณ ตอนนั้น เหลยเถิงเฟิงไม่พาองค์หญิงหลิงอวิ๋นออกไปด้วยท่าทีแข็งขืนเช่นนั้น ต่อให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นอาละวาดอย่างไร สุดท้ายก็ต้องยอมแต่งงานอย่างเชื่อฟังอยู่ดีมิใช่หรือ หากเป็นเช่นนั้น แผนของนางไม่เพียงไม่สำเร็จ แต่ยังเป็นการเพิ่มศัตรูของตนในตำหนักหลีอ๋องอีกด้วย หรือว่า นางเพียงต้องการจับว่าหลีอ๋องกับองค์หญิงซีสยาทำเรื่องบัดสีกันเพื่อมาข่มขู่พวกเขา แต่หากหลีอ๋องกับองค์หญิงซีสยายินยอมที่จะเดิมพันกับความเป็นและความตายด้วยการกราบทูลแผนการของนางกับฮ่องเต้ เพราะต่อให้นางเป็นถึงองค์หญิงหลิงอวิ๋น แต่ก็คงยากที่จะรอดพ้นจากเรื่องนี้ได้กระมัง”


 


 


“อาหลีคิดว่าเหตุใดเหลยเถิงเฟิงจึงต้องรีบร้อนไปเช่นนั้นหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้นเบาๆ


 


 


เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อย “เหลยเถิงเฟิงรู้ว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นกำลังถูกคนเล่นงานหรือ”


 


 


เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “หากองค์หญิงหลิงอวิ๋นยังอยู่ที่เมืองหลวง และเรื่องนี้สืบจนรู้ความแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้ไม่อยากจัดการนางก็คงจะไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าตัวไม่อยู่แล้ว หากฮ่องเต้ไม่คิดอยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ก็คงต้องทำเหมือนไม่เคยมีอันใดเกิดขึ้น เพราะคงไม่อาจส่งทหารออกไปตีแคว้นซีหลิงด้วยเรื่องเพียงเท่านี้กระมัง เพียงแต่ เมื่อเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น การมาต้าฉู่ของเหลยเถิงเฟิงในครั้งนี้ก็คงเสียเปล่าแล้ว” แผนการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ถูกวางเอาไว้เสียดิบดี แต่มาถูกองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่แสนโง่เขลาทำพังเสียได้ เหลยเถิงเฟิงคงโกรธจนแทบกระอักเลือดเลยทีเดียว


 


 


เยี่ยหลีทอดถอนใจ หันหน้าไปถามม่อซิวเหยาว่า “ข้าควรยินดีหรือไม่ที่ข้าไม่มีค่าพอให้พวกเขาเปลืองแรงคิดหาทางเล่นงานข้า”


 


 


ม่อซิวเหยาหัวเราะน้อยๆ “ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ ที่ผ่านมาหลายปีนี้…จิ่งหลีทำให้ข้าต้องหันมามองเขาใหม่เสียแล้ว”


 


 


เฟิ่งจือเหยาเบ้ปาก “ข้าว่าไม่จำเป็นหรอก คนที่เก่งกาจจริงๆ คนคนข้างกายเขาคนนั้นเสียมากกว่ากระมัง หากเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนั้นจริงจะทิ้ง…แล้วไปแต่งงานกับเยี่ยอิ๋งหรือ”


 


 


ม่อซิวเหยาหัวเราะ “ชายาหลีอ๋องเป็นเช่นไร นางเป็นถึงลูกสาวสายหลักของเจ้ากรมกรมครัวเรือน และเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเยี่ยเจาอี๋เชียวนะ”


 


 


เฟิ่งจือเหยาพูดอย่างดูหมิ่นว่า “พี่สะใภ้ก็เป็นลูกสาวสายหลักของเจ้ากรมกรมครัวเรือน ทั้งยังเป็นหลานสาวของท่านชิงอวิ๋นเหมือนกัน”


 


 


“เฟิ่งซาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงได้วางใจให้ข้าแต่งงานกับอาหลี” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม


 


 


เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว ม่อซิวเหยาจึงตอบให้ว่า “คนตระกูลสวีไม่มีทางอาศัยใครเป็นที่พึ่งพิง และจะไม่ช่วยเหลือใครในการแย่งชิงบัลลังค์ ในเรื่องนี้ฝ่าบาทรู้ดี ข้าก็รู้ดี ซึ่งม่อจิ่งหลีเองก็คงรู้ดีเช่นกัน เขาไม่มีทางได้การสนับสนุนใดๆ จากตระกูลสวี ในทางกลับกัน หากเขามีแผนที่จะใช้ทหารออกสร้างความวุ่นวาย หรือคิดการกบฎจนทำให้ราษฎรเดือดร้อน ตระกูลสวีอาจถึงขั้นขัดแข้งขัดขาเขาได้เลยทีเดียว” ในตอนนั้นบรรพบุรุษตระกูลสวีได้สังหารผู้นำของตนเองกับมึอ ทั้งยังช่วยเหลือฮ่องเต้ในการปกครองต้าฉู่มาหลายยุคหลายสมัย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องที่คนเล่าขานกัน เพียงแต่ม่อจิ่งหลีคงเข้าใจไปว่าตระกูลสวีจงรักภักดีต่อองค์ฝ่าบาทกระมัง เพราะอันที่จริงความลับที่แท้จริงนั้นได้รับการถ่ายทอดต่อๆ กันเพียงแค่ระหว่างองค์ฮ่องเต้ ติ้งอ๋องและประมุขตระกูลสวีเท่านั้น


 


 


“ต่อให้เป็นเช่นนั้น หากตัดเรื่องตระกูลสวีทิ้งไป พวกนางต่างเป็นลูกสาวสายหลักของเจ้ากรมเยี่ยด้วยกันทั้งคู่ อย่างน้อยๆ คุณหนูสามก็เป็นผู้ที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้ น่าจะเป็นหน้าเป็นตาได้มากกว่ามิใช่หรือ” เฟิ่งจือเหยาพูด


 


 


เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “เรื่องนี้ข้าว่าข้าเดาถูก”


 


 


ทั้งสองหันไปมองเยี่ยหลีพร้อมๆ กัน เยี่ยหลีพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ท่านพ่อข้า…น่าจะเป็นคนของไทเฮา ท่านน่าจะรู้ถึงความคิดของหลีอ๋องและไทเฮา แต่หากแต่งงานกับข้า ท่านคงคิดว่าอีกหน่อยตระกูลที่หลีอ๋องจะให้ความสำคัญจะไม่ใช่ตระกูลเยี่ย แต่เป็นตระกูลสวีที่คอยสนับสนุนข้า แต่บ้านทางฝั่งมารดาของน้องสี่เป็นตระกูลเล็กๆ หากน้องสี่ได้เป็นชายาหลีอ๋องหรือ…ในอนาคตจะไม่มีอันใดเหมือนเดิม ตระกูลเยี่ยจะขึ้นเป็นใหญ่ได้ภายในก้าวเดียว ตอนนี้ในวังหลวงมีไทเฮาเป็นประมุขฝ่ายหญิง สนมทรงโปรดคือหลิ่วกุ้ยเฟย ทั้งยังมีพระโอรสอยู่อีกหลายพระองค์ หากท่านพ่อเป็นคนของไทเฮาจริง ท่านไม่มีทางไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพี่รองไม่เป็นพี่โปรดปรานเท่าไรนัก ดังนั้นหากมองจากมุมฝ่าบาทแล้ว…โอกาสที่ลูกของพี่รองจะ…มีไม่มากนัก อีกอย่างเด็กคนนั้นจะได้คลอดออกมาอย่างปลอดภัยหรือไม่นั้นก็ยังไม่แน่”


 


 


หลายวันนี้เมื่อลองนึกย้อนกลับไป เยี่ยหลีนึกนับถือท่านพ่อของตนเองไม่น้อย ใครๆ ต่างก็คิดว่าที่เขาให้เยี่ยอิ๋งแต่งงานกับหลีอ๋องก็เพื่อที่จะช่วยสนับสนุนเยี่ยเจาอี๋ที่อยู่ในวัง แต่กลับไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วเยี่ยเจาอี๋ต่างหากที่ถูกใช้เป็นหมาก ช่างเป็นแผนสร้างทางบนพื้นแต่ขุดอุโมงค์ไว้ใต้ดินที่ดีจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่หมากของเยี่ยอิ๋งนั้นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี หากมีเยี่ยเย่ว์สองคน ไม่แน่ว่าแผนการณ์ของเจ้ากรมเยี่ยอาจจะสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ได้ อันที่จริงไม่ใช่เพราะคนโบราณพวกนี้ไม่ฉลาด พวกเขาเพียงชอบดูถูกคนอื่นว่าโง่กว่าตนเองเท่านั้น ดูจากเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นคนหลักแหลมและเจ้ากรมเยี่ยที่เป็นคนละเอียดรอบคอบและสามารถเป็นใหญ่ขึ้นในทางราชการได้แล้ว เหตุใดนางจึงได้เข้าใจไปว่าทั้งสองคนได้ใจจนตัวลอยเพียงเพราะเยี่ยเจาอี๋ตั้งครรภ์


 


 


“ช่างเป็นการคาดเดาที่น่าตกใจจริงๆ” เฟิ่งจือเหยามองหน้าเยี่ยหลีแล้วพูดขึ้น “เหตุใดพระชายาถึงได้คิดว่าเจ้ากรมเยี่ยเป็นคนของไทเฮาหรือ” เรื่องนี้เกรงว่าแม้แต่คนที่นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกรก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน เพียงแต่ ชายาติ้งอ๋องไม่ได้คาดเดาผิดเสียด้วย


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เพราะท่านพ่อมักแสดงทีท่าไม่พอใจในตัวหลีอ๋องอยู่เป็นครั้งคราว แต่เอาเข้าจริงท่านก็ไม่เคยทำเรื่องอันใดที่จะส่งผลกระทบต่อหลีอ๋องเลยสักที ในเมื่อให้ลูกสาวที่ตนให้ความสำคัญที่สุดแต่งงานไปกับหลีอ๋องแล้ว เหตุใดยังต้องมักแสดงท่าทีไม่พอใจเขาเช่นนั้น ดูประหนึ่งกำลังแสดงให้ใครดูเสียมากกว่า การพระราชทานงานสมรสกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นครั้งก่อน ได้ยินว่าทั้งไทเฮาและหลีอ๋องต่างไม่พอใจ ท่าทีท่านพ่อก็ดูแข็งขืน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีความเป็นห่วงในอนาคตของน้องสี่รวมอยู่ด้วย แต่ในครั้งนี้ ด้วยความหลักแหลมของท่านพ่อ ไม่มีทางดูไม่ออกว่าอย่างไรคราวนี้องค์หญิงซีสยาจะต้องได้แต่เข้าตำหนักหลีอ๋องอย่างแน่นอน และต่อให้เปลี่ยนฐานะ แต่ต่อไปตำแหน่งองค์หญิงซีสยาในตำหนักหลีอ๋องก็ไม่มีทางเป็นตำแหน่งเล็กๆ แต่ครั้งนี้ท่านพอดูเหมือนจะไม่ได้พูดอันใดเลย แม้แต่ตอนที่น้องสี่กลับบ้านไปในวันนั้น ยังถูกท่านพ่อไล่กลับมาอีกด้วย น้องสี่บอกข้าว่า ท่านพ่อเตรียมที่จะส่งน้องห้าเข้าตำหนักหลีอ๋องไปเป็นอนุในหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ บอกว่าเพื่อช่วยรักษาความโปรดปรานของท่านอ๋องในตัวน้องสี่ไว้ เผื่ออีกหน่อยจะถูกองค์หญิงซีสยาแย่งไป”


 


 


ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีแล้วหัวเราะน้อยๆ “อาหลีพูดได้ไม่เลวทีเดียว ที่เจ้ากรมเยี่ย…สามารถขึ้นเป็นเจ้ากรมได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับไทเฮาอยู่หลายส่วน เพียงแต่ ข้าเห็นว่าน่าจะเป็นการตีสองหน้าเสียมากกว่า”


 


 


เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ “ท่านกำลังจะบอกว่า ท่านพ่อจะรอดูก่อนว่าฝ่ายไหนมีโอกาสชนะมากกว่ากัน แล้วจึงค่อยเข้ากับฝ่ายนั้นหรือ”


 


 


“ตอนนี้โรคหวาดระแวงอย่างหนักไม่ใช่คนธรรมดาจะสามารถเข้าใจได้ หากใต้เท้าเยี่ยไม่ได้มีความจงรักภักดีประมาณหนึ่งแล้ว เขาไม่มีทางไว้ใจเขาอย่างแน่นอน”


 


 


ถึงแม้ตอนเองจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ไปไม่น้อยแล้ว แต่เยี่ยหลีก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี คนนั้นของตนที่ดูว่าไหลลื่นนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นคนไหลลื่นจริงๆ เสียด้วย ท่านพ่อที่กับเรื่องในบ้านดูไม่เป็นโล้เป็นพายคนนี้ ถึงขั้นเล่นบทตีสองหน้าได้เลยเชียวหรือ


 


 


“แต่ว่า ไทเฮากับฝ่าบาทนี่มันเรื่องอันใดกันหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม


 


 


เฟิ่งจือเหยาถึงกับหัวเราะ “จะเรื่องอันใดได้ องค์ไทเฮาของพวกเราที่ใครๆ ต่างเรียกกันว่าเป็นยอดหญิงแห่งยุค หรือนักปราชญ์หญิงนี้ เดิมทีพระนางเป็นคนยกฮ่องเต้ขึ้นนั่งบัลลังค์ตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนตัวพระนางก็กุมอำนาจการปกครองไว้ทั้งหมด แต่ทว่า ฝ่าบาทของพวกเรานั้นก็ไม่ได้ถือศีลกินเจอันใด ชั่วระยะเวลาเพียงสามปี เขาก็รวบอำนาจกลับคืนมาอยู่ในมือตนเองได้หมด ทั้งยังได้เชิญให้ไทเฮากลับไปพักยังวังหลังเพื่อพักผ่อนร่างกาย ว่าด้วยเรื่องอำนาจพวกนี้…หากไม่เคยได้ลิ้มลองก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็ยากที่จะยอมปล่อยไปได้ ฝ่าบาทกับไทเฮารู้หน้าไม่รู้ใจกันมานานแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงต่างรู้กันดีแก่ใจแต่ไม่มีใครพูดออกมา ถึงแม้ตำแหน่งฮ่องเต้จะเปลี่ยนไม่ได้ แต่คนที่จะเป็นฮ่องเต้นั้นเปลี่ยนได้”


 


 


“ดังนั้น คนที่มีความทะเยอทะยานที่แท้จริงไม่ใช่ม่อจิ่งหลีแต่เป็นไทเฮาน่ะสิ”


 


 


“ม่อจิ่งหลีย่อมมีความทะเยอทะยานแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสเท่านั้น ตอนนี้เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เหตุใดเขาจะไม่ให้ความร่วมมือ ตำหนักหลีอ๋องเป็นตำหนักของเขา หากเขาไม่เห็นด้วยต่อให้เสียนเจาไท่เฟยคิดจะทำอันใดก็คงไม่ง่ายเช่นนั้น”


 


 


เยี่ยหลีพูดไม่ออก หรือว่าไทเฮาไม่สนใจว่าพี่น้องจะผิดใจกันหรือ ที่แท้พระนางก็เฝ้ารอให้บุตรชายของพระนางสองคนฆ่าฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่งอย่างนั้นหรือ


 


 


“อำนาจ…สำคัญเช่นนั้นเลยจริงๆ หรือ”


 


 


เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ตอบด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “สำหรับบางคนแล้วคงสำคัญมากทีเดียว” สีหน้าเขามืดครึ้มอยู่เพียงแวบเดียว ก่อนที่เฟิ่งจือเหยาจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มขึ้นมาอีกครั้ง แล้วหันไปกะพริบตาให้ม่อซิวเหยา “เป็นอย่างไรบ้างท่านอ๋อง สองท่านในวังนั้นในที่สุดก็เริ่มทิ้งไพ่กันแล้ว พวกเราจะต้องทิ้งไพ่ตามหรือไม่ หรือจะ…กินรวบเลยดี”


 


 


“กินรวบหรือ” ม่อซิวเหยาปรายตามองเขา “จากนั้นให้เจ้ามาคอยเก็บกวานหรือ แม่น้ำเลือดที่เกิดจากการเข่นฆ่าทั้งในวังและนอกวังเจ้าจะรับผิดชอบ หรือหากเกิดการจราจลขึ้นเจ้าจะเป็นคนทำให้มันสงบหรือ หากเป่ยหรงมารุกรานเจ้าจะออกไปขวางไว้หรือ หากแคว้นซีหลิงต้องการแหย่เท้าเข้ามาสอดด้วย เจ้าจะไปรักษาชายแดนไว้ให้หรือ”


 


 


เอ่อ…เฟิ่งจือเหยาลูบจมูกด้วยความประดักประเดิด ที่แท้ การฆ่าคนสามสี่คนตายนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ผลที่ตามมาจากการฆ่าคนสามสี่คนนั้นช่างยุ่งยากดีแท้ 

 

 


ตอนที่ 67-1 ล่องทะเลสาบในฤดูร้อน

 

          ไทเฮาผู้เป็นมารดา กับลูกชายสองพี่น้องจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างดุเดือดอยู่จริงหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เยี่ยหลีสามารถเข้าไปยุ่งด้วยได้ เพียงแต่หากมีคนจากจวนเยี่ยเชิญนางกลับไปด้วยเพราะมีเรื่องที่บ้านนั้น โดยปกตินางมักจะหาเหตุผลมาบอกปัดไปเสมอ ถึงแม้เจ้ากรมเยี่ยจะไม่ค่อยพอใจบุตรสาวที่ไม่ค่อยเชื่อฟังคนนี้นัก แต่ด้วยฐานะชายาติ้งอ๋องของเยี่ยหลี ต่อให้เขาไม่พอใจอย่างไร ก็ไม่อาจพูดหรือทำอันใดได้มากนัก อันที่จริงหากในสถานการณ์ปกติแล้ว หากไทเฮากับม่อจิ่งหลีคิดจะเปิดศึกชิงบัลลังค์ระหว่างสองพี่น้องขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องพยายามมาลากม่อซิวเหยาให้เข้าไปเป็นพวกด้วย แต่ทว่าในสายตาคนอื่น ม่อซิวเหยาเป็นเพียงคนพิการไร้สมรรถภาพคนหนึ่ง อีกอย่างเกรงว่าม่อจิ่งฉีคงคิดอยากกำจัดตำหนักติ้งอ๋องให้พ้นทางเสียตั้งนานแล้ว ดังนั้นในตำหนักติ้งอ๋องจึงยังคงเงียบสงบเช่นดังก่อน ไม่ว่าฝ่ายใดต่างก็คงไม่คาดว่าว่าม่อซิวเหยาจะไปเข้าเป็นพวกของตน และแน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างเชื่อว่าม่อซิวเหยาจะไม่ไปเข้ากันอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน่ 


 


 


           “ท่านอ๋อง พระชายา ญาติผู้น้องขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีวางงานเย็บปักในมือลง เงยหน้าขึ้นถามด้วยความแปลกใจ “ญาติผู้น้องหรือ หยาง…เชียนหรูหรือ นางมาที่เรือนหลักได้อย่างไร” ตำหนักติ้งอ๋องนั้นกว้างขวางมาก กว้างขวางมากจริงๆ อีกทั้งในตำหนักมีสถานที่อยู่หลายแห่งที่ไม่ใช่นึกว่าจะไปก็ไปได้ ดังนั้นต่อให้ในจวนมีคนที่ทำให้น่าอึดอัดใจอยู่สองคน แต่ปกติแล้วเยี่ยหลีก็ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของหยางไท่เฟยรองและญาติผู้น้องเลย เพราะตั้งแต่ที่มั่วซิวเหยาย้ายมาอยู่ที่เรือนหลักแล้ว การอารักขาเรือนแห่งนี้ก็ถูกยกระดับขึ้น อย่าว่าแต่เข้าประตูตำหนักหลักเลย หากไม่ได้รับการอนุญาตแม้แต่อาณาบริเวณโดยรอบนางก็เฉียดเข้ามาไม่ได้ หลังจากหาเรื่องใส่ตัวไปสองครั้ง และถูกหัวหน้าพ่อบ้านที่ถูกม่อซิวเหยาส่งไปอบรมอย่างเข้มงวดเสียหนึ่งยก หยางไท่เฟยรองก็ไม่เคยกลับมาท้าทายอำนาจชายาติ้งอ๋องหมาดๆ อีกเลย ม่อซิวเหยาดีกับตนมาก เยี่ยหลีย่อมรู้ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตนแต่งงานเข้ามาได้ไม่เท่าไหร่ ม่อซิวเหยาก็ให้อำนาจแก่นางอย่างใจกว้าง และต่อหน้าบ่าวทุกคนภายในจวนก็ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตนเองมีท่าทีกับพระชายาคนนี้อย่างไร มิเช่นนั้นอย่าว่าแต่ตำหนักติ้งอ๋องเลย ต่อให้เป็นเพียงตระกูลธรรมดาๆ บ่าวทั้งหลายก็คงไม่เชื่อฟังสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น ดังนั้น…มีคนถือหางนี่ช่างเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนผู้นั้นเป็นผู้ที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดของตำหนักอีกด้วย 


 


 


           “บ่าวไม่ทราบเพคะ เพียงแต่ญาติผู้น้องยืนอยู่นอกประตูเรือนอยู่นานพอดูแล้ว ดังนั้นองครักษ์ด้านนอกจึงขอให้คนเข้ามารายงานท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ” จิ้งเอ๋อร์ที่เข้ามารายงานเอ่ยตอบ ด้วยเพราะท่านอ๋องได้สั่งไว้แล้วว่า ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามารบกวนพระชายาที่ในจวนโดยพลการ ดังนั้นปกติแล้วพวกเขาจึงเชิญคนเหล่านั้นกลับไปทุกครั้ง เพียงแต่ไม่รู้ด้วยเห็นใด ญาติผู้น้องที่ถูกเชิญกลับไปอย่างง่ายดายก่อนหน้านี้หลายครั้ง มาวันนี้กลับไม่ยอมกลับออกไปง่ายๆ องครักษ์ทั้งหลายต่างไม่สามารถลงมือกับญาติผู้น้องได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นแขก จึงทำได้เพียงขอจิ้งเอ๋อร์ที่เดินผ่านมาพอทีช่วยเข้ามารายงานให้ 


 


 


           “ท่านอ๋อง ท่านว่าอย่างไร” เยี่ยหลีหันไปถามม่อซิวเหยาที่นั่งเอนหลังอ่านหนังสืออยู่ข้างหน้าต่าง 


 


 


           ม่อซิวเหยาไม่แม้แต่จะสนใจนาง เขาพลิกหน้าหนังสือก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากอาหลีอยากพบก็ให้นางเข้ามา หากไม่อยากก็ให้คนส่งนางกลับไป หรือว่า…ที่ตำหนักมีบ้างหลังเล็กอยู่ที่นอกเมือง จะให้นางไปอยู่ที่นู่นเป็นเพื่อนไท่เฟยรองสักสามสี่ปีก็ยังได้” 


 


 


           จุ๊ๆ…เยี่ยหลีถึงกับเดาะลิ้น ชายคนนี้นี่ไร้หัวใจพอดูเลยนะนี่ ถึงแม้นางจะพบหยางเชียนหรูในเวลาเพียงไม่นาน แต่จากการที่บังเอิญเจอกันสามสี่ครั้งโดยบังเอิญนั้น สายตาที่นางมองมายังเขานั้นกลับมีแววตัดพ้อต่อว่าอยู่ สายตาที่เจือแววรักใคร่นั่น เขายังพูดจาเย็นชาไร้เยื่อไยเช่นนั้นออกมาได้อีก แต่ว่า…นางชอบ 


 


 


           “เชิญนางเข้ามาเถิด” นางวางชุดที่เย็บใกล้จะเสร็จแล้วลง ก่อนเยี่ยหลีจะเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจว่า “ก่อนหน้านี้ไท่เฟยรองเคยพูดกับข้าเรื่องให้ช่วยหาคู่ครองที่ดีให้กับญาติผู้น้อง แต่ว่าข้า…” นางไม่เคยเป็นแม่สื่อแม่ชักมาก่อนเลยนี่นา ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องลำบากไป เจ้าหาไม่เจอหรอก” 


 


 


           “หมายความว่าอย่างไร” อันใดคือการบอกว่านางจะหาไม่เจอกัน 


 


 


           ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เรื่องนี้หัวหน้าพ่อบ้านม่อเคยพูดถึงแล้วเมื่อสามปีก่อน เพียงแต่คนที่คัดสรรมาให้นั้นไม่ถูกใจไท่เฟยรองและตัวนางเลย เจ้าไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหาตัวเลือกที่ดีกว่าที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อคัดมาให้ได้หรอก” เยี่ยหลีอดปาดเหงื่อไม่ได้ ที่แท้ม่อซิวเหยาก็เคยเป็นพ่อสื่อมาก่อนนี่เอง แต่เขาส่งให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อเป็นคนช่วยจัดการ ตัวนางนี่บื้อจริงเชียว ถึงได้ปวดหัวกับว่าจะต้องจัดงานเลี้ยงสักสองสามงานหรือไม่ “คนที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อหามาแย่เกินไปหรือ” ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองนางก่อนกล่าวว่า “รายชื่อที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อคัดมา ล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับฐานะของนางแล้ว อีกอย่างตอนนี้นางอายุสิบเจ็ดปีแล้ว คนที่อายุไล่เลี่ยกับนางแล้วยังไม่แต่งงาน ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก” ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนม่อซิวเหยา ม่อจิ่งหลีและสวีชิงเฉิน ที่อายุล่วงเลยเลขสองมาแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน ต่อให้ยังไม่แต่งงาน แต่ปกติทั่วไปก็จะต้องมีการหมั้นหมายกันไว้แล้วทั้งสิ้น 


 


 


           “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี” คงไม่อาจเสียเวลาไปทั้งชีวิตเช่นนี้กระมัง อีกอย่างไม่ใช่ว่าเยี่ยหลีไปคิดแทนพี่สาวอย่างนาง เพียวแต่นางนึกสงสัยจริงๆ ว่า หากเสียเวลาไปเรื่อยๆ เช่นนี้ สุดท้ายแล้วนางจะกลายเป็นภาระของม่อซิวเหยา 


 


 


           “หากนางอยากแต่งงานก็ให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อส่งรายชื่อไปให้ แต่หากไม่อยากแต่งงานก็ไม่ต้องไปยุ่งยากแล้ว หากนางอายุสิบแปดแล้วยังไม่แต่งงานออกไป ก็ให้ส่งไปอยู่ที่สำนักชีอู๋เย่ว์เป็นเพื่อนพี่สะใภ้” 


 


 


           เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ให้กับความรักอันมากล้มของแม่นางหยางคนนี้จริงๆ ม้าร้องเพียงหนึ่งครั้งญาติลูกพี่ลูกน้องนี้ก็ไปถึงสามพันลี้เสียแล้วหรือ แค่ดูท่าทีของม่อซิวเหยานางก็รู้แล้ว 


 


 


           ไม่นาน หยางเชียนหรูก็เดินอรชนอ้อนแอ้นเข้ามาตามสาวใช้ที่ออกไปรับ ข้างกายยังมีสาวใช้อีกสองคนตามมาด้วย ในมือของหนึ่งสาวใช้นั้นถือกล่องที่ดูไม่ออกว่าข้างในเป็นอันใดมาด้วย เมื่อเห็นหยางเชียนหรูมองไปทางด้านหลังนางด้วยสายตาตื่นเต้นแล้ว เยี่ยหลีหันมองชุดที่ยังทำไม่เสร็จดีของตน แล้วจู่ๆ ก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีขึ้นมา 


 


 


           “น้องสาว เชิญนั่งก่อน” เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมพยักหน้าให้หยางเชียนหรู 


 


 


           หยางเชียนหรูเหลือบมองเบื้องหลังเยี่ยหลีเร็วๆ ทีหนึ่ง ก่อนรีบร้อนส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณพระชายา ไม่…ไม่เป็นไร ข้ายืนจะดีกว่า” 


 


 


           เยี่ยหลีไม่ได้ว่าอันใด อันใดที่เรียกว่าเจ้ายืนจะดีกว่ากัน เจ้าเป็นแขกมาอยู่ที่ตำหนัก มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้อง จำเป็นต้องทำท่าทางเหมือนอนุเล็กๆ ที่ถูกรังแกหรือ นางกวาดตามองหยางเชียนหรู วันนี้นางอยู่ในชุดสีขาวนวลปักลายดอกหลันดูงามสง่า ทรงผมที่ได้รับการจัดแต่งมาอย่างดีมีปิ่นมุกระย้าเสียบประดับอยู่ ตั้งแต่เยี่ยหลีจัดการเก็บกวาดเสื้อสีอ่อนของม่อซิวเหยาไปแล้ว แม่นางคนนี้ก็ได้เวลาบอกลาชุดสีขาวอันพริ้วสยายของนานเสียที เพียงแต่ดูว่านางยังคงยึดแนวทางสูงส่งและงามสง่าอยู่ดี “น้องสาว เชิญนั่ง” เยี่ยหลีเสียงขรึมลงเล็กน้อย 


 


 


           หยางเชียนหรูนึกตกใจ สีหน้าดูมีความเกรงกลัวขึ้นมาทันที นางทำหน้าน่าสงสารพร้อมนั่งลงอย่างระมัดระวังภายใต้การจับตามองของเยี่ยหลี เมื่อเยี่ยหลีเห็นสีหน้าท่าทางน่าสงสารของนางแล้ว เยี่ยหลีได้แต่รู้สึกเหมือนมีเลือดขึ้นมาจุกที่อก ไม่ยอมขึ้นมาและไม่ยอมลงไป จะกระอักออกมาก็คลื่นไส้ จะกลืนลงไปก็ยิ่งน่าคลื่นไส้ นางไม่ได้รังแกอันใดนางสักหน่อย 


 


 


           “น้องสาวมาที่เรือนหลักในเวลานี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ” เยี่ยหลีกดความรู้สึกไม่พอใจลง ก่อนพูดกับนางด้วยสีหน้าเป็นมิตร 


 


 


           หยางเชียนหรูเงยหน้าขึ้น บิดผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับหน้าเรียวที่ซับสีเลือดขึ้น “ข้า…ข้า…” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มอย่างใช้ความอดทน หยางเชียนหรูเหลือบมองม่อซิวเหยา ในที่สุดดูเหมือนนางจะรวบรวมความกล้าจึงได้ “ข้า…พรุ่งนี้เป็นวันเกิดพี่ชาย ข้ามา…มอบของขวัญให้” 


 


 


            เยี่ยหลีเหลือบมองกล่องที่อยู่ในมือสาวใช้ข้างหลังนาง ก่อนหันไปปรายตามองม่อซิวเหยาที่ดูจะมีสมาธิกับการอ่านหนังสืออยู่ แล้วจึงยิ้มขึ้น “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง ลำบากน้องสาวแล้ว ข้าขอดูได้หรือไม่” 


 


 


           “คือ…” 


 


 


           “ไม่สะดวกหรือ เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องมาดูแล้วกัน” นางโบกมือส่งสัญญาณให้สาวใช้ผู้นั้นนำกล่องไปส่งให้ม่อซิวเหยา เมื่อได้ยินเยี่ยหลีกล่าวเช่นนั้น หยางเชียนหรูก็ตาเป็นประกายขึ้นทันที สายตาที่เต็มไปด้วยความเฝ้ารอถูกส่งไปยังคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างหน้าต่าง พอสาวใช้คนนั้นเดินไปถึงหน้าม่อซิวเหยา ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากนอกหน้าต่างมาคว้ากล่องนั้นไป อาจิ่นที่ไม่รู้มาปรากฏตัวที่นอกหน้าต่างตั้งแต่เมื่อใด นำกล่องมาเปิดออกดูด้วยสีหน้าจริงจังทันที พร้อมยื่นมือไปหยิบของข้างในออกมาพลิกดู จากมุมที่เยี่ยหลีนั่งอยู่ เห็นเป็นชุดสีม่วงอ่อนที่ดูหรูหรา ถึงแม้จะเห็นแค่เพียงมุมเดียว แต่งานเย็บปักบนชุดนั้นถือได้ว่าปราณีตและงดงามมากจริงๆ “ไม่มีพิษ” 


 


 


           “อาจิ่น หลบไป เจ้าบังแสงข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ 


 


 


           “อ้อ” อาจิ่นรับคำ ก่อนคว้ากล่องหายไปจากหน้าต่าง ตั้งแต่ต้นจนจบ ม่อซิวเหยาไม่ได้มองแม้แต่ปลายเสื้อ หยางเชียนหรูถึงกับอึ้งไป รีบเอ่ยถามว่า “เขาเอาไหนแล้วหรือ” 


 


 


           “เรื่องนี้…” เยี่ยหลีนึกไตร่ตรองว่าจะบอกนางดีหรือไม่ว่าของที่ม่อซิวเหยาไม่ต้องการจะถูกอาจิ่นเอาไปเล่น พอเล่นเสร็จก็เอาไปทิ้ง 


 


 


           ม่อซิวเหยาวางหนังสือในมือลงพร้อมเงยหน้าขึ้น หยางเชียนหรูมองเขาอย่างมีความหวังด้วยสายตารักใคร่ “ไม่มีอันใดแล้วก็กลับเรือนของเจ้าไปเสีย พรุ่งนี้ข้าจะให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อนำรายชื่อบุรุษที่เหมาะสมส่งไปให้ เจ้าเลือกมาสักคนก็แล้วกัน” ใบหน้าอันอ่อนโยนของหยางเชียนหรูเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ได้หยุด “ไม่…พี่ชาย ข้าไม่ต้องการ…ข้าไม่ต้องการไปจากที่ตำหนักนี้ ไม่ต้องการแต่งงาน…ท่านอย่าไล่ข้าไป…” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ย่อมได้ พรุ่งนี้เจ้าเก็บของแล้วไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ที่สำนักชีอู๋เย่ว์ก็แล้วกัน จัดการตามนี้ ส่งคุณหนูหยางกลับไปได้” สาวใช้ข้างกายของหยางเชียนหรูล้วนเป็นสาวใช้ของตำหนัก ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งม่อซิวเหยา ถึงแม้จะรู้ว่าคุณหนูของตนไม่ยินยอม แต่ก็ยังก้าวเข้าไปดึงตัวนางออกมา 


 


 


           “พี่ชาย…ฮือฮือ…ท่านอย่าไล่เชียนหรูไป…ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง ไม่ทำให้พี่ชายโกรธ…” หยางเชียนหรูร้องไห้เสียงดังระงม พร้อมขัดขืนสาวใช้ทั้งสองที่พยายามดึงนางออกมา 


 


 


           “เอาตัวออกไป” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ 


 


 


           ต่อให้หยางเชียนหรูขัดขืนอย่างไรแต่ก็ไม่อาจฝืนแรงสาวใช้สองคนที่ตัวสูงกว่านางได้ สุดท้ายจึงแทบจะเรียกว่าถูกลากออกไป เยี่ยหลีหันมองหน้าไม่สบอารมณ์ของม่อซิวเหยา หูก็ยังได้ยินเสียงหยางเชียนหรูที่ร้องให้ปริ่มจะขาดใจ ในใจอดนึกทอดถอนใจไม่ได้ว่า ชายคนนี้ช่างใจร้ายเสียจริง ผู้ชายธรรมดาทั่วไป หากมีหญิงสาวที่งดงามและบอบบางเช่นนี้มาร้องไห้คร่ำครวญให้เห็นตรงหน้า ต่อให้เป็นคนไร้หัวใจอย่างไรก็ต้องมีนึกสงสารกันบ้าง แต่แววตาของม่อซิวเหยานั้นกลับไม่มีความรู้สึกเอาเสียเลย ประหนึ่งว่าที่ถูกลากออกไปเมื่อครู่นั้นไม่ใช่หญิงสาวผู้บอบบาง แต่เป็นของที่เขาไม่ต้องการชิ้นหนึ่งเท่านั้น  

 

 


ตอนที่ 67-2 ล่องทะเลสาบในฤดูร้อน

 

“อาหลี เจ้าถอนใจอันใดหรือ” ม่อซิวเหยาถาม 


 


 


           เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมาอีกครั้ง “ใครที่หลงรักท่านคงเพราะชาติที่แล้วได้ทำบาปทำกรรมเอาไว้เป็นแน่ หรือไม่ก็ชาติที่แล้วติดหนี้ท่านไว้แล้วไม่คืน” แววตาม่อซิวเหยาวูบไหวเล็กน้อย จ้องมองแผ่นหลังเยี่ยหลีแล้วเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้” เยี่ยหลีตอบว่า “ยังต้องถามอีกหรือ แค่ดูจากหยางเชียนหรูก็รู้แล้ว” หลงรักคนที่เขาไม่รัก หรือจะเรียกว่าคนที่ไร้ซึ่งความรัก หากไม่ใช่เป็นการติดหนี้จากชาติที่แล้ว แล้วจะเรียกว่าอันใด เกิดมาก็ก็มีชีวิตอันแสนเศร้าเลยอย่างนั้นหรือ 


 


 


           “เช่นนั้น…อาหลีจะหลงรักคนประเภทใดหรือ” ม่อซิวเหยาถาม 


 


 


           ระหว่างที่เยี่ยหลีปักผ้าไปนั้น ปากก็ตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “รักหรือ ไม่รู้สิ อาจจะไม่รักใครเลยก็เป็นได้ เพราะต่อให้เป็นรักที่ดูดดื่มหวานชื่นเพียงใด นานวันเข้าก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ใช้ชีวิตให้ดีตั้งแต่แรกเล่า” ใครเลยจะสามารถรักกันได้อย่างดูดดื่มไปตลอดชีวิต เวลาผ่านไปนานเข้าก็เหลือเพียงอยู่กันไปวันๆ เท่านั้น 


 


 


           “นั่นเพราะอาหลียังไม่เคยรักใครหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา 


 


 


           เข็มในมือเยี่ยหลีสะดุดลงเล็กน้อย ก่อนขยับขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “อาจเป็นได้” แน่นอนว่านางย่อมเคยคบหาดูใจมาก่อน แต่หากพูดถึงความรักฝังลึกในใจอย่างแท้จริงนั้น ยังไม่เคยมีมาก่อน 


 


 


           “หากอาหลีรักใครสักคนจะร่วมเป็นร่วมตายกับเขาหรือไม่” 


 


 


           เยี่ยหลีหันมองชายหนุ่มที่นานๆ ครั้งจะนั่งเอนหลังบนเก้าอี้รถเข็นด้วยท่าทีสบายๆ ด้วยความแปลกใจ ก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องคงไม่ได้จะบอกว่า หากท่านรักใครสักคน ท่านจะร่วมเป็นร่วมตายไปกับนางหรอกกระมัง” 


 


 


           “อาจเป็นได้นะ” 


 


 


           “ตัวข้าคงไม่ หากข้าต้องตายแล้วจะต้องลากให้อีกคนลงไปร่วมฝังด้วยหรือ” เยี่ยหลีนึกไตร่ตรองตามความเป็นจริง “ต่อให้เป็นความชอบทั่วไปก็คงไม่ทำเช่นนั้น นั่นเป็นคนรักหรือเป็นคู่แค้นกันแน่” 


 


 


           ภายใต้แสงอาทิตย์ ม่อซิวเหยาดูเหมือนกำลังตั้งใจนึกใคร่ครวญอยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “เจ้าพูดถูก หากข้าตายไป ข้าก็ยังหวังให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป” พูดจบก็ไม่สนใจเยี่ยหลีอีก หยิบหนังสือที่ยังอ่านไม่จบขึ้นมาอ่านต่อไป เยี่ยหลีไม่คิดมาก่อนเลยว่า ม่อซิวเหยาที่นางคิดมาตลอดว่าเป็นคนนิ่งๆ และสุภาพจนบางครั้งถึงขั้นไร้ความรู้สึก จะอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้ เยี่ยหลียักไหล่ด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะปักผ้าของตนต่อไป ผ่านไปครู่ใหญ่ ไม่รู้เหตุใดคำพูดของม่อซิวเหยาจึงได้ผุดขึ้นในหัวนางอีกครั้ง ‘หากข้าตายไป ข้าก็ยังหวังให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป’ 


 


 


           นางหรือ! เยี่ยหลีนึกสะดุ้งจนเข็มที่ปักดอกไม้ในมือเกือบทิ่มเข้าที่ปลายนิ้ว ม่อซิวเหยามีคนที่เขาชอบแล้วหรือ 


 


 


           เยี่ยหลีอารมณ์ไม่ดีนัก ไม่ดีเอาเสียเลย แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดนางจึงอารมณ์ไม่ดี สรุปก็คือนางนึกหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล ตลอดอายุสิบกว่าปีของนางนี้ไม่ค่อยมีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น ต่อให้เป็นตอนที่เลิกกับแฟนคนแรกหรือตอนก่อนออกสนามรบจริงเป็นครั้งแรก นางก็ยังไม่เคยรู้สึกที่ย่ำแย่เช่นนี้ ดังนั้นนางจึงออกไปรีดเหงื่อที่สนามฝึก แต่เมื่อไม่ดีขึ้น เยี่ยหลีจึงตัดสินใจจะออกไปเดินเล่นข้างนอก 


 


 


           ก็พอดีได้จดหมายเชิญจากฮว่าเทียนเซียงที่ส่งมาเชิญให้นางไปชมดอกบัวแรกแห่งฤดูร้อนด้วยกัน ดังนั้นเยี่ยหลีจึงตัดสินใจตอบรับอย่างไม่ลังเล 


 


 


           เมืองหลวงของต้าฉู่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ดังนั้นสถานที่ที่มีดอกบัวให้ชมจึงมีไม่มากนัก ดังนั้นจึงเป็นอันรู้กันว่าในช่วงเดือนหกเดือนเจ็ดของทุกปีนั้น จะมีผู้คนแห่แหนกันมายังสถานที่ชมดอกบัวนี้ ดอกบัวแรกฤดูร้อนยังไม่ทันบานดี ก็มีคุณหนูและคุณชายแห่งเมืองหลวงให้พากันมาชมดอกบัวบ้างเป็นคู่บ้างเป็นหมู่คณะเสียแล้ว เมื่อม่อซิวเหยารู้ว่าเยี่ยหลีจะออกไปชมดอกบัว ทั้งยังไม่ได้ตั้งใจจะชวนตนออกไปด้วย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอันใด เพียงบอกเยี่ยหลีว่า ตำหนักติ้งอ๋องมีเรือลำใหญ่เป็นของตัวเอง เยี่ยหลีสามารถเชิญเพื่อนขึ้นเรือได้ สองวันนี้เยี่ยหลีไม่นึกอยากมองหน้าม่อซิวเหยานัก จึงพลอยทำให้ลืมถามเขาไปด้วยว่าอยากจะไปด้วยกันหรือไม่ เพียงพาสาวใช้ติดไปด้วยสามสี่คนแล้วออกจากตำหนักไปอย่างสบายใจ อาจิ่นมองท่านอ๋องของตนเงียบๆ ท่านอ๋องอยากไปกับพระชายาด้วยชัดๆ เหตุใดจึงไม่บอกพระชายาไปตรงๆ นะ 


 


 


           บนเรือลำใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่ข้างหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ฮว่าเทียนเซียงสำรวจการประดับตกแต่งบนเรือใหญ่ด้วยสายตาชื่นชม ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าอิจฉาว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเรือของตำหนักติ้งอ๋อง การประดับตกแต่งนี้…ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แต่จะว่าไปนะหลีเอ๋อร์ เรือรำนี้ท่านอ๋องตกแต่งไว้สำหรับเจ้าโดยเฉพาะหรือเปล่า ตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้ออกไปไหนมาไหนมาหลายปีแล้ว แต่เรือลำนี้ดูไม่เหมือนของเก่าเลยนะ” 


 


 


           เยี่ยหลีหันไปยิ้มให้นางอย่างเกียจคร้าน “เรือบ้านเจ้าก็ดูไม่แย่ไปกว่าเรือรำนี้สักเท่าไร จำเป็นด้วยหรือ” 


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงกรอกตาใส่นางอย่างไม่เห็นขัน “เจ้าจะไปรู้อันใด บ้านข้ามีกันตั้งกี่คน เบียดเสียดยัดเยียดเอะอะกันจะตาย เจ้าสิสบายเลย ตัวคนเดียวกับเรือทั้งลำ สงบดีออก ฮ่า…หากติ้งอ๋องอยู่บนเรือรำนี้ด้วยจะดี…ไม่สิไม่สิ เขาไม่อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว หากติ้งอ๋องอยู่ที่นี้ข้าคงเกรงใจไม่กล้าอาศัยเรือเจ้านั่งมาเช่นนี้” เยี่ยหลีมองเรือลำใหญ่สารพัดรูปแบบที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ก่อนเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ในทะเลสาบมีเรือตั้งมากมายเช่นนี้ นี่เขามาชมดอกบัวหรือมาชมเรือกันแน่” 


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงหัวเราะหึหึ “ก็ทั้งชมดอกไม้และชมคนนั่นล่ะ ใครใช้ในหลายวันนี้ดอกบัวเพิ่งบาน ซ้ำอากาศยังดีเช่นนี้อีกด้วยเล่า ก็ย่อมมีคนออกมามากหน่อยเป็นธรรมดา เจ้าไม่รู้หรือว่าทุกๆ ปี มีบัณฑิตหนุ่มกับหญิงงามได้จับคู่กันที่ทะเลสาบหญิงงามกันไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่แล้ว” 


 


 


           “ทะเลสาบหญิงงามหรือ” เยี่ยหลีเหลือบมองทะเลสาบอันกว้างใหญ่ทีหนึ่ง จากที่เคยเห็นทะเลสาบซีหู ทะเลสาบไท่หู และทะเลสาบเชียนต่าวมาแล้วนั้น ทำให้รู้สึกว่าทะเลสาบหญิงงามเล็กๆ นี้ช่างไม่เกี่ยวกับหญิงงามเอาเสียเลย 


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงได้แต่ส่ายศีรษะ “เจ้านี่ช่างไม่เข้าใจลมรักเอาเสียเลยใช่ไหม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดวันนี้เจิงเอ๋อร์จึงไม่มีเที่ยวเล่นกับพวกเรา” 


 


 


           “โปรดชี้แนะด้วย” 


 


 


           “ก็เพราะวันนี้นางไปกับคุณชายรองตระกูลสวีน่ะสิ” ฮว่าเทียนเซียงเช่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนปรายตามองเยี่ยหลี “จะว่าไปที่ข้ากับเจ้ามากันคนเดียววันนี้ก็ประหลาดอยู่ไม่น้อย ข้ายังคิดว่าเจ้าจะมาพร้อมท่านอ๋องเสียอีก ตอนแรกข้ายังคิดจะไปชวนมู่หรงเสียแล้ว” เยี่ยหลีสะบัดสายตาดุๆ ไปให้นาง “แล้วนี่ใครกันที่ชวนข้าออกมา” 


 


 


           “นั่นเพราะข้ากลัวเจ้าไม่รู้ จึงส่งไปเตือนหรอก ใครใช้ให้เจ้าหลบอยู่แต่ในบ้านทั้งวันกันเล่า” ฮว่าเทียนเซียงได้แต่ทำปากขมุบขมิบด้วยความไม่พอใจ พูดจบก็หันไปมองการประดับตกแต่งที่เหมือนใหม่นั้นต่อไป แล้วจึงพูดด้วยความเสียใจว่า “เจ้าต้องจำให้ได้นะ ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของติ้งอ๋องแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าต้องนัดเขาออกมาชมดอกบัวให้ได้นะ ข้าเดาว่าเรือรำนี้ต้องเป็นเรือที่เขาเตรียมไว้เพื่อชมดอกไม้กับเจ้าแน่ ไม่แน่ว่าตอนนี้ติ้งอ๋องอาจกำลังคิดหาทางฆ่าข้าอย่างไรให้ไร้ร่องรอยก็เป็นได้” 


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป มองสีหน้าเศร้าใจของฮว่าเทียนเซียงแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าคิดมากไปแล้ว” 


 


 


           “เทียนเซียง อาหลี” 


 


 


           วันนี้อากาศดี ไม่ว่าจะในทะเลสาบหรือริบทะเลสาบต่างมีผู้คนส่งเสียงกันจ๊อกแจ๊กจอแจเต็มไปหมด แต่คนที่จะเอะอะเอ็ดตะโรได้เช่นนี้ นอกจากมู่หรงถิงแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก เยี่ยหลีและฮว่าเทียนเซียงออกมาที่นอกระเบียงเรือก็เห็นเป็นมู่หรงถิงกำลังกระโดดเหยงๆ พร้อมโบกไม้โบกมืออยู่ที่เรือรำใหญ่อีกลำ ข้างกายจะมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่อีกด้วย และดูเหมือนเขาจะกำลังพูดอันใดกับมู่หรงถิงสักอย่าง แต่สีหน้ามู่หรงถิงดูออกจะรำคาญและไม่อยากจะสนใจเขา ฮว่าเทียนเซียงยืนอยู่หลังเยี่ยหลี ก่อนหัวเราะเบาๆ “นั้นคือคุณชายรองตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งเฮ่าอวี่” 


 


 


           “คู่หมั้นของมู่หรงน่ะหรือ” เยี่ยหลีถาม 


 


 


           “ใช่แล้ว ถิงเอ๋อร์ไม่ชอบขี้หน้าเขามาตั้งแต่เล็กๆ แต่เขากลับชอบทำตัวติดกับนาง ตอนหลังพอถิงเอ๋อร์ติดตามท่านพ่อของนางออกไปอยู่ชายแดน พอกลับมาเขาก็ยังชอบมาแหย่นางให้โกรธเสมอ” ฮว่าเทียนเซียงพูดยิ้มๆ ดูนางจะชอบเหลิ่งเฮ่าอวี่อยู่ไม่น้อย บนเรือทางฝั่งนู้น ทั้งสองเริ่มลงไม้ลงมือกันเสียแล้ว เพราะมู่หรงถิงอยากใช้วิชากำลังภายในกระโดดมาหาพวกนางที่ฝั่งนี้ แต่ดูท่าว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะไม่ยอม ทั้งสองยื้อยุดกันอยู่ที่ระเบียงจนมู่หรงถิงเกิดน้ำโห จึงเริ่มลงไม้ลงมือกับเขา 


 


 


           นอกจากพวกนางแล้ว รอบๆ ยังมีเรือลำใหญ่ของตระกูลอื่นอยู่อีกไม่น้อย เมื่อเห็นฝั่งนี้ดูเสียงดังคึกคักจะขยับใกล้เข้ามา คนที่รู้จัดมู่หรงถิงและเหลิ่งเฮ่าอวี่ดูจะมีอยู่ไม่น้อย ต่างส่งเสียงเรียกกันไม่ได้หยุด 


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงหัวเราะ “เจ้าลองเดาดูสิว่าคราวนี้เหลิ่งเฮ่าอวี่จะทนได้นานแค่ไหน” 


 


 


           เยี่ยหลีหันไปมองพวกเขาพักหนึ่ง “มู่หรงไม่มีทางสู้ชนะเหลิ่งเฮ่าอวี่ได้อยู่แล้ว” ถึงแม้เหลิ่งเฮ่าอวี่จะปัดไม้ปัดมือให้วุ่นเป็นพัลวัน แต่เท้าสองข้างของเขายืนได้มั่นคงกว่ามู่หรงถิงมากนัก ใบหน้าหล่อเหลาเจือแววขี้เล่น แต่สายตาที่มองมู่หรงถิงนั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง “เจ้าว่าเขายอมให้มู่หรงถิงหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม ท่านแม่ทัพมู่หรงรักบุตรสาวเท่าชีวิต เจ้าคิดว่าเขาจะยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับคุณชายที่ไม่เป็นอันใดเลยงั้นหรือ” 


 


 


           “เรื่องนี้…” ฮว่าเทียนเซียงนิ่งไป นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย  

 

 


ตอนที่ 67-3 ล่องทะเลสาบในฤดูร้อน

 

เมื่อดูเรื่องน่าสนุกจนพอล้ว เยี่ยหลีจึงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ให้พวกเขาพายเรือไปที่อื่นกันเถิด วันนี้เราอย่าไปเล่นกับมู่หรงถิงเลย”


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงดึงแขนเยี่ยหลีไว้ “อย่าเชียวนะ เจ้าเชื่อหรือไม่ หากทำให้ถิงเอ๋อร์โกรธขึ้นมาต่อให้พวกเราภายเรือออกไปนางก็กล้ากระโดดลงน้ำตามมานะ”


 


 


           เยี่ยหลีคิดถึงนิสัยของมู่หรงถิงแล้ว ก็ฟังดูเป็นไปได้ จึงได้แต่อมยิ้มแล้วหันไปตะโกนบอกเรืออีกฝั่งว่า “คุณชายรองเหลิ่ง มู่หรง ข้ามมาอยู่ด้วยกันดีไหม”


 


 


           มู่หรงถิงหยุดมือลงทันที ก่อนหันมาพูดกับนางว่า “อาหลี เข้าต่างหากที่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าไปเรียกเขามาด้วยทำไม”


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงหัวเราะ “เช่นนั้นเจ้าจะมาหรือไม่ หากไม่มาพวกเราจะพายเรือไปที่อื่นแล้วนะ”


 


 


           มู่หรงถิงหันไปถลึงตาดุให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ ก่อนกางแขนแล้วกระโดดลอยตัวขึ้น แตะเท้าลงบนผิวน้ำสองสามทีก่อนจะลอยตัวลงบนเรือของเยี่ยหลี เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มขื่นๆ ก่อนหันไปยกมือคารวะเยี่ยหลี “ขอบคุณพระชายา” แล้วจึงลอยตัวขึ้นจากเรือของตนไปยังเรือของเยี่ยหลี เยี่ยหลีหันไปสั่งให้นายท้ายให้พายเรือไปที่อื่น ก่อนหันมาเชิญทั้งสองเข้าไปด้านใน


 


 


           ทั้งสี่นั่งลง ก่อนพวกชิงหลวนจะยกขนมน้ำชาที่ต้มใหม่ๆ เข้ามาให้แล้วถอยออกไป ระหว่างที่มู่หรงถิงนั่งกินขนมอยู่ข้างเยี่ยหลีนั้น นางยังไม่ลืมหันไปถลึงตาใส่เหลิ่งเฮ่าอวี่ของนางเสียอีกหลายที เหลิ่งเฮ่าอวี่ทำเป็นไม่เห็นสายตาดุที่ส่งมองส่งมาทางเขา แต่หันไปพูดกับเยี่ยหลีว่า “วันนี้อากาศดีมาก เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่ออกมาพร้อมพระชายาด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ก่อนยิ้มมองเหลิ่งเฮ่าอวี่ “คุณชายรองเหลิ่งรู้จักสนิทสนมกับท่านของของข้าหรือ”


 


 


           ถ้วยน้ำชาในมือเหลิ่งเฮ่าอวี่สะดุดลง เขายิ้ม “ข้าน้อยเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญคนหนึ่ง จะมีโอกาสสนิทสนมกับท่านอ๋องได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           มู่หรงถิงย่นจมูก ก่อนพูดเสียดสีเขาว่า “เจ้ารู้ตัวด้วยหรือว่าตนเองเป็นคุณชายเจ้าสำราญ”


 


 


           “ถิงเอ๋อร์…” เหลิ่งเฮ่าอวี่มองเขาอย่างน่าสงสาร “คุณชายเจ้าสำราญแล้วมีอันใดไม่ดีหรือ มีกินมีเล่น แล้วข้ายังอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ทุกวันอีกด้วย เรื่องในตระกูลมีพี่ชายใหญ่คอยจัดการ ดีออกจะตาย”


 


 


           “เหอะ!” มู่หรงถิงแทบอยากจะกระโดดขึ้นมา “ข้าเกลีดยคุณชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายที่สุด ต่อไปเจ้าอยู่ให้ห่างข้าไว้เลยนะ มิเช่นนี้ข้าจะตีเจ้าทุกครั้งที่เจอหน้าเลย คอยดู”


 


 


           “ตอนนี้เจ้าเป็นเห็นหน้าข้าก็ต้องตีข้าทุกครั้งอยู่แล้วไม่ใช่หรือ…” เหลิ่งเฮ่าอวี่อุบอิบพูดเสียงเบา แต่ก็ดังพอให้คนทั้งเรือได้ยินอยู่ดี เยี่ยหลีและฮว่าเทียนเซียงจึงปิดปากลอบหัวเราะกันอย่างอดไม่อยู่ มู่หรงถิงโกรธจนหน้าแดงไปหมด นางส่งสายตาดุคมไปให้ตาบ้าที่ทำให้นางขายหน้าอย่างคับแค้นใจ เหลิ่งเฮ่าอวี่ทำประหนึ่งกลัวมู่หรงถิงเสียเต็มประดา ได้แต่เอ่ยขอโทษนาง เพียงแต่รอยขับขันบางๆ ในแววตาของเขานั้น ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเพียงล้อมู่หรงถิงเล่นเท่านั้น เยี่ยหลีกับฮว่าเทียนเซียงมองมู่หรงถิงที่หัวเสียจนแทบเต้น ก่อนหันมายิ้มให้กัน ต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้เช่นนี้ดูอยู่อย่างคนนอกจะเห็นอันใดได้ชัดเจนกว่า พวกนางเป็นเพื่อนของมู่หรงถิง ย่อมหวังให้มู่หรงถิงมีชีวิตที่มีความสุขในอนาคต แต่จะเลือกใครนั้นเป็นเรื่องของตัวมู่หรงถิงเอง


 


 


           “พระชายา เรือตำหนักหลีอ๋องอยู่ด้านหน้าพ่ะย่ะค่ะ” ชิงสยาเข้ามารายงานขณะที่ทั้งสี่กำลังพูดคุยกันอยู่


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที “หลีเอ๋อร์ เหตุใดพวกเราจึงได้เจอหลีอ๋องอีกแล้ว”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “ใครใช้ให้เจ้าไม่เลือกวันให้ดีเล่า หรือจะว่าเมืองหลวงนี้ไม่ใหญ่เอาเสียเลยดี”


 


 


           มู่หรงถิงเบ้ปาก “ข้าว่าศัตรูยากที่จะหลบเลี่ยงได้เสียมากกว่า”


 


 


           เยี่ยหลียังไม่ทันว่าอันใด ชิงหลวนก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้าขัดใจว่า “พระชายา หลีอ๋องกับชายาหลีอ๋องขอพบเพคะ”


 


 


           “เชิญพวกเขาเข้ามาเถิด” เยี่ยหลีพูดพร้อมถอนใจ


 


 


           ไม่นาน ม่อจิ่งหลีก็พาเยี่ยอิ๋งเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างกายม่อจิ่งหลีแล้ว ทำให้เยี่ยหลีถึงกับต้องขมวดคิ้ว หญิงสาวข้างกายม่อซิวเหยาถึงจะยังอยู่ในชุดสีขาวไข่นกกระจอกไม่เหมือนทุกที และมีการประดับตกแต่งช่วงใบหน้างาม ทั้งยังมีผ้าตาข่ายปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง แต่สำหรับเยี่ยหลีแล้ว การประดับตกแต่งนั้นไม่ได้ช่วยอันใดเลย เพราะไม่ว่าใครหากได้มามองใกล้ๆ แล้ว ก็คงจะดูกันออกว่าคือองค์หญิงซีสยาแห่งหนานจ้าว นี่ก็ผ่านมาเพียงไม่กี่วัน ม่อจิ่งหลีคิดจะงัดข้อกับเสด็จพี่ของเขาแล้วหรือ ในวังยังไม่ทันได้ออกประกาศว่าองค์หญิงซีสยาเสียชีวิตเลยนะ


 


 


           “คารวะหลีอ๋อง ชายาหลีอ๋อง” พวกฮว่าเทียนเซียงยืนขึ้นทำความเคารพ


 


 


           ม่อจิ่งหลีกวาดตามองคนบนเรือเสียรอบหนึ่ง สุดท้ายจึงได้เลื่อนสายตาจากเยี่ยหลีไปยังเหลิ่งเฮ่าอวี่ แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “เหลิ่งเฮ่าอวี่หรือ” เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้ม “ท่านอ๋องจำข้าน้อยได้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” แน่นอนว่าม่อจิ่งหลีย่อมรู้ถึงชื่อเสียงของเหลิ่งเฮ่าอวี่ เขาหันมองมู่หรงถิงที่อยู่ข้างกายเขาก่อนสีหน้าจะอ่อนลง เขาส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนหันไปถามเยี่ยหลีว่า “เหตุใดม่อซิวเหยาจึงไม่ออกมาเป็นเพื่อนเจ้าด้วย”


 


 


           “เกี่ยวอันใดกับหลีอ๋องหรือ” อารมณ์เยี่ยหลีไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาถามเช่นนี้ จึงตอบสวนกลับไปอย่างไม่เกรงใจทันที


 


 


           แล้วสีหน้าของม่อจิ่งหลีก็บึ้งลงทันทีอย่างที่คาดไว้ เขาพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้ามันคนไม่รู้อะไรควรไม่ควร!” เยี่ยหลีได้แต่กลอกตาในใจ คร้านจะไปใส่ใจเขา เหลิ่งเฮ่าอวี่มองสำรวจองค์หญิงซีสยาที่อยู่ด้านหลังม่อจิ่งหลี่ด้วยความตื่นเต้น “ท่านอ๋อง หญิงงามท่านนี้คือ…” เขาถูกมู่หรงถิงถองเข้าที่หนึ่ง ใบหน้าที่เดิมยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นหงอลงทันที ม่อจิ่งหลีถลึงตาใส่เขา “พี่ใหญ่เจ้าไม่เคยสอนเจ้าหรือ ว่าอันใดที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม” เหลิ่งเฮ่าอวี่แบบมือออกอย่างไม่สนใจ “พี่ใหญ่ข้ายุ่งจะตาย จะเอาเวลาที่ไหนมาสอนข้าเรื่องพวกนี้กัน”


 


 


           เยี่ยหลีถึงกับนวดขมับ แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “หลีอ๋อง น้องสี่ นั่งลงคุยกันเถิด”


 


 


           มู่หรงถิงส่งเสียงเหอะเบาๆ “ข้ากลับไม่อยากนั่งอยู่ร่วมกับคนบางคน อาหลี ข้ากับเทียนเซียงออกไปดูข้างนอกก่อนนะ” พูดจบ นางก็หันไปปรายตามองใส่ม่อจิ่งหลีก่อนดึงฮว่าเทียนเซียงให้ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก ท่าทางเช่นนั้นขาดเพียงไม่ได้พูดออกมาว่าข้าไม่ยินดีที่จะนั่งอยู่ร่วมกับท่านเพียงเท่านั้น ฮว่านเทียนเซียงส่งสายตาขอโทษไปยังเยี่ยหลี ก่อนยอมให้มู่หรงถิงลากตนเองออกไป นางเองก็ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับหลีอ๋องเช่นกัน เมื่อเหลิ่งเฮ่าอวี่เห็นมู่หรงถิงหนีออกไปแล้ว จึงหันไปมองเยี่ยหลีกับม่อจิ่งหลีด้วยท่าทีลังเล เยี่ยหลีอมยิ้ม “คุณชายเหลิ่งออกไปดูมู่หรงถิงเถิด อย่าให้นางพาเทียนเซียงไปทำอันใดแผลงๆ เลย” เหลิ่งเฮ่าอวี่พยักหน้า แล้วจึงได้เดินออกไป ไม่นานพวกชิงหลวนยกขนมน้ำชาเข้ามาให้ เมื่อวางลงเรียบร้อยแล้วต่างก็ยังรั้งอยู่ไม่ยอมออกไป ทุกคนต่างเข้ามุมไปยืนรอรับคำสั่งพระชายาอยู่ในห้องโดยสาร เยี่ยหลีเข้าใจความหมายของพวกนาง จึงเพียงลอบยิ้มแต่ไม่ได้พูดอันใด


 


 


           “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง” ม่อจิ่งหลีเอ่ยสั่ง


 


 


           เยี่ยอิ๋งกัดริมฝีปากก่อนลุกขึ้นเดินออกไปเงียบๆ องค์หญิงซีสยามองเยี่ยหลีด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ก่อนลุกยืนตามเยี่ยอิ๋งออกไปไม่ได้พูดอันใด แต่พวกชิงหลวนกลับไม่ได้เชื่อฟังพวกเขาเช่นนั้น ยังคงยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ที่มุมของตนประหนึ่งไม่ได้ยินที่ม่อจิ่งหลีสั่งกระนั้น ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าให้พวกเจ้าออกไปก่อน ไม่ได้ยินหรือไร” ชิงซวงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกังวานใสว่า “เรียนท่านหลีอ๋อง ได้ยินแล้วเพคะ เพียงแต่ท่านอ๋องของพวกบ่าวสั่งไว้ว่า ให้พวกบ่าวดูแลความปลอดภัยของพระชายาให้ดี พวกบ่าวย่อมต้องทำตามคำสั่งของท่านอ๋องเพคะ” ดวงตาม่อจิ่งหลีมีแววนิ่งเย็น จ้องชิงซวงด้วยสายตาอันเย็นชา “เจ้ากำลังบอกว่าข้าจะทำอันใดนางอย่างนั้นหรือ”


 


 


           ชิงซวงตอบ “บ่าวไม่ทราบ พวกบ่าวเพียงต้องระวังเอาไว้ก่อน ขอให้ท่านอ๋องโปรดเข้าใจด้วย”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หลีอ๋อง ระหว่างพวกเราดูเหมือนจะไม่มีเรื่องอันใดที่จะต้องคุยกันลับๆ พวกนางก็เป็นคนที่ข้าไว้ใจ หากมีเรื่องอันใดท่านสามารถพูดออกมาได้เลย” ม่อจิ่งหลีหน้าบึ้ง จ้องเยี่ยหลีตาไม่กะพริบ เยี่ยหลีก็ไม่ได้พูดอันใด ปล่อยให้เขาจ้องนางได้ตามสบาย ผ่านไปครู่ใหญ่ ม่อจิ่งหลีจึงเอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า “เยี่ยหลี เจ้าหลอกข้า!”


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป หลอกเขาหรือ ไปเอามาจากไหนกัน หรือว่าม่อจิ่งหลีรู้ว่านางไปหลอกอันใดเขาไว้แล้วหรือ


 


 


           “ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้ การใส่ร้ายป้ายสีข้าไม่ใช่นิสัยที่ดีเอาเสียเลย” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ


 


 


           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ “ที่เจ้าแกล้งทำเป็นคนไม่ได้เรื่องเช่นนั้นก็เพื่อให้ข้าเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่งงานใช่หรือไม่ เจ้าลอบคบหากับม่อซิวเหยามานานแล้วใช่หรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลียกมือจับแก้วชานิ่ง บังคับตัวเองไม่ให้สาดน้ำชาในหน้าชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม “ท่านอ๋อง ข้าเคยบอกท่านตั้งนานแล้วว่า การคิดเองเออเองเป็นโรคอย่างหนึ่ง รีบรักษาให้หายเถิด การที่ท่านอ๋องบอกพร่องด้วยศีลธรรมไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะต้องบกพร่องในศีลธรรมอย่างท่านด้วย” นางไม่พอใจกับการแต่งงานของตนก็จริง แต่การที่เขาบอกว่านางลอบคบหากับม่อซิวเหยานานแล้วนี่มันเรื่องอันใดกัน ตอนนี้พวกเขาต่างเป็นผู้บริสุทธิ์ถึงจะถูก ม่อซิวเหยาสีหน้ามืดครึ้มลงทันที แต่ครั้งนี้กลับไม่โกรธจัดเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับจ้องหน้าเยี่ยหลีอยู่นานก่อนยิ้มออกมาอย่างมาตรร้าย


 


 


           เยี่ยหลีจ้องตอบเขาอย่างไม่แสดงความรู้สึก ลอบเตือนในใจ


 


 


           เพียงได้ยินม่อจิ่งหลีกดเสียงต่ำพูดกลั้วหัวเราะว่า “เยี่ยหลี เจ้ากับม่อซิวเหยาคงยังไม่ได้ร่วมหอกันใช่หรือไม่ คงไม่ใช่ว่า…ม่อซิวเหยากลายเป็นคนไร้สมรรถภาพจนทำอันใดไม่ได้แล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจะฝืนใจ…”


 


 


           ผัวะ!


 


 


           ม่อจิ่งหลียังไม่ทันพูดจบ หมัดของอีกฝ่ายก็ต่อยเข้าที่จมูกเขาอย่างแม่นยำและหนักหน่วงทันที พร้อมกับเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากจมูกทั้งสองข้าง ม่อจิ่งหลีถลึงตาโตด้วยความตกใจ ยังไม่ทันตั้งสติได้ เยี่ยหลีก็ลุกขึ้นกดหัวเขาลงกระแทกกับโต๊ะเสียแล้ว


 


 


           “เยี่ยหลีเจ้าสมควรตาย!” ความเจ็บปวดตรงหน้าผากจากฝีมือของเยี่ยหลีทำให้ม่อจิ่งหลีตั้งสติขึ้นมาได้ “ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!” เยี่ยหลีส่งสายตาห้ามปรามไปยังชิงหลวนที่จะเข้ามาลงมือ มุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น เมื่อเห็นม่อจิ่งหลีพุ่งตัวมาทางตนจึงได้ยืนขึ้นก่อนถอยไปข้างหลังแล้วหมุนตัวหลบไปข้างหนึ่ง ตอนม่อจิ่งหลีพุ่งตัวมาถึงนางก็ไปอยู่ที่หน้าต่างอีกบานหนึ่งเสียแล้ว


 


 


           เมื่อคว้าตัวเยี่ยหลีพลาดไปถึงสองครั้ง กับคิดไปถึงที่ตนถูกเยี่ยหลีเล่นงานเมื่อสองครั้งก่อนหน้านี้ ทำให้ม่อจิ่งหลีเดาได้ว่าเยี่ยหลีไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแอ ครั้งนี้เขาจึงใช้วิชากังฟูหมายที่จะจับนางไว้ให้ได้ แต่กลับเห็นเยี่ยหลีย่อตัวลง พร้อมความรู้สึกเจ็บที่รักแร้ก่อนศีรษะจะชนเข้ากับหน้าต่างเรือ


 


 


           “ใครก็ได้เร็วเข้า! หลีอ๋องตกน้ำ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม