แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 662-668
บทที่ 662 ดอกไม้เลือดที่เบ่งบานระหว่างทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นึกไม่ถึงเลยนะ ว่านายจะยับยั้งชั่งใจได้ด้วย” หลังจากมองส่งคณะตรวจสอบออกจากห้องไป จางอวี่ก็มองอวี่เหวินซวนด้วยหน้ายุ่งเหยิง พลางพูดขึ้น
“แค่ยับยั้งชั่งใจหรอ?” อวี่เหวินซวนถามกลับ
“รับมือได้ดีมากด้วย…แต่ฉันไม่อยากชมนายหรอกนะ!” จางอวี่กลอกตาขาว จากนั้นก็ถามอย่างจริงจัง “พูดจริงนะ ถ้าเมื่อกี้พวกเขามีท่าทีแข็งขืน นายคิดจะทำอย่างไร?”
อวี่เหวินซวนบิดเอวขี้เกียจ แล้วหัวเราะคิกคัก “จะทำไงได้เล่า? ตอนนี้พวกนั้นทำอะไรเราไมได้ แล้วยังต้องการการช่วยเหลือทางอากาศที่เราเสนอให้อีก ส่วนพวกเราน่ะ…ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยอาหารธัญพืชจากพวกนั้น แต่ธัญพืชปลูกเอาใหม่ได้ แต่เครื่องบินจะสร้างอย่างไร? ใครอยู่เหนือกว่า มองแวบเดียวก็รู้แล้วไม่ใช่หรอ?”
“มันก็ใช่…” จางอวี่พยักหน้า แต่หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็อดถามขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ “ความจริงนายแค่อยากจะรอให้หาหลิงม่อเจอก่อน แล้วค่อยให้เขามาตัดสินใจใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่แล้ว!” อวี่เหวินซวนรับคำ
ไม่คิดปิดบังซักนิด!
จางอวี่ตบหน้าผากตัวเอง แล้วพูดขึ้นอย่างปวดหัวว่า “ถึงจะเดาเหตุผลได้บ้าง แต่ฉันก็ยังอยากถามอยู่ดี…ทำไมนายต้องทำอย่างนี้กับหลิงม่อด้วย? นายมีสนามบิน มีทีมเป็นของตัวเอง มีอำนาจเหนือน่านฟ้าหนึ่งเดียวในเมืองเป็นของตัวเอง แต่เขาเป็นเพียง…”
“หัวหน้ากองกำลังเล็กๆ ใช่ไหม?” อวี่เหวินซวนพูดแทน
จางอวี่กระอักกระอ่วน แต่ก็ยังคงกัดฟันพยักหน้า “ใช่น่ะสิ ฉันไม่ปฏิเสธว่าเขามีความสามารถ แล้วก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนมอบสนามบินแห่งนี้ให้นาย แต่ตอนนี้เราเป็นคนก่อสร้างและขยับขยายที่นี่ ถ้าหากจู่ๆ เขากลับนายก็ให้เขา…”
จางอวี่ได้พูดคำพูดที่เหลือออกมา แต่เขารู้ว่าอวี่เหวินซวนจะต้องเข้าใจ
ความดีความชอบเป็นของหลิงม่อ แต่หากจู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวหน้ากะทันหัน คนภายใต้บังคับบัญชาจะจิตใจระส่ำระสายเอาได้
ยิ่งไปกว่านั้น อ้อยเข้าปากช้าง ไม่ว่าใครก็ยากจะปล่อยมือได้ง่ายๆ
ความคิดนี้เห็นแก่ตัวมาก จนถึงขั้นร้ายกาจเลยก็ว่าได้ แต่จางอวี่ต้องพูดออกไป
อวี่เหวินซวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ความจริงเหตุผลง่ายมาก ข้อหนึ่ง หากมีเขา ก็มีย่าหลิน ส่วนข้อสองน่ะ ฉันขอเก็บเป็นความลับให้นายลุ้นต่อไปแล้วกัน บางทีนายอาจไม่มีวันเข้าใจ แต่นายจะต้องจำเรื่องหนึ่งไว้ให้ดี ว่าสิ่งที่หลิงม่อมี มันมากกว่าที่นายจินตนาการไว้หลายเท่า”
หลังพูดจบ อวี่เหวินซวนก็หรี่ตาลงอย่างมีความหมายแฝง แล้วเขาก็เหม่อลอย
ความเชื่อใจโดยไร้เงื่อนไขที่เขามีให้หลิงม่อ คนอื่นไม่เข้าใจ และเขาก็จะไม่อธิบายด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อคนคนหนึ่งสามารถอยู่ร่วมกับซอมบี้ได้อย่างสันติสุข เพียงข้อนี้ ก็ทำให้เขาคนนั้นมีคุณค่าที่สูงมากแล้ว
จางอวี่นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็มองอวี่เหวินซวนอย่างครุ่นคิด
เขาเชื่อว่าคนบ้าอย่างอวี่เหวินซวนจะไม่พูดส่งๆ ในเรื่องแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพลังของหลิงม่อก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว ถ้าหากจะบอกว่าเขายังมีความลับที่น่ากลัวซ่อนอยู่มากกว่านี้ ก็น่าจะพอฟังขึ้นอยู่…
“นี่นายแอบงีบหลับอยู่ไม่ใช่รึไง!” จางอวี่ตะคอกอย่างเดือดดาล
………..
ขณะเดียวกัน บนถนนหลวงเส้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากฟอลคอนที่ 2 ไปประมาณหลายร้อยเมตร มีรถออฟโรดคันหนึ่งกำลังขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงอยู่
ซอมบี้ที่อยู่กลางถนนหรือไม่ก็ข้างถนน กระโจนเข้าใส่รถออฟโรดคันนี้ตัวแล้วตัวเล่า ราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
ทว่าในขณะที่พวกมันใกล้จะกระแทกโดนรถออฟโรด ซอมบี้พวกนี้ก็จะกระโจนขึ้นสูงกะทันหันอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ไม่เพียงหลบการพุ่งชนจากรถยนต์ได้ แต่พวกมันยังสามารถกระโดดเกาะหลังคาหรือไม่ก็ท้ายรถได้พอดี
แต่รถออฟโรดคันนี้มักหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางในช่วงเวลาคับขันเสมอ และนั่นทำให้ซอมบี้พวกนั้นกระโจนใส่อากาศ และร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง
หากไม่มีความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจและประสบการณ์อันช่ำชอง ก็ยากที่จะทำอย่างนี้ได้
การเคลื่อนไหวของซอมบี้นั่นทั้งเร็วและแม่นยำ คนทั่วไปมักตอบโต้ไม่ทัน
หากอย่างหลีกเลี่ยงพวกมัน วิธีที่ดีที่สุดคือรักษาระยะห้างไว้
“ฮ่าฮ่า ล้มไปอีกหนึ่งตัวแล้ว” หลี่ย่าหลินยื่นหน้าออกนอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้น พลางมองไปหลังรถ
หลังจากที่ร่วงกระแทกพื้น ซอมบี้ตัวนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วอีกครั้ง มันเดินขาเป๋แขนห้อยโตงเตง แล้ววิ่งตามท้ายรถอย่างไม่ยอมลดละ
ทว่ามันยังไม่ทันเร่งความเร็ว รูแผลรูหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามัน ทำเอาปากและจมูกของมันหายไปในพริบตา
เท้าทั้งสองข้างของมันยังคงก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว แล้วจึงค่อยล้มตึงลงไปกับพื้น
เหล่าซอมบี้ที่วิ่งตามหลังมาเหมือนกัน รีบวิ่งไปหาศพศพนั้น พวกมันนั่งลงไปแล้วเริ่มฉีกทึ้งศพ เพียงพริบตาภาพที่เห็นคือซอมบี้ที่จับตัวกันเป็นกลุ่ม และเลือดสดๆ ที่พุ่งออกจากกลางวงอย่างต่อเนื่อง
ในรถ เย่เลี่ยนเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่ปากปืนซึ่งยังคงมีควันจางๆ ลอยอยู่ สีหน้าของเธอไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
แต่ซย่าน่าที่กำลังขับรถอยู่กลับตื่นเต้นจนดวงตาประกายแดงจางๆ โดยเฉพาะเมื่อข้างหน้ามีซอมบี้เพิ่มมากขึ้น รอยยิ้มของเธอก็ยิ่งดูประหลาดมากขึ้น
หลังจากขับหลบซอมบี้สำเร็จมาหลายตัว ในที่สุดก็มีซอมบี้ตัวหนึ่งอาศัยการเสียสละของพวกเดียวกัน กระโดดเกาะกระจกมองหลังได้สำเร็จ จากนั้นมันก็แกว่งตัว หมายจะกระโจนขึ้นมาบนรถ
แต่ตอนที่มันกำลังจะกระโดดขึ้นรถมา กลับเหมือนถูกใครบางคนกระชากหลัง ร่างของมันปลิวออกไป จากนั้นก็กระแทกพื้นอย่างแรง
“พี่หลิงให้ความร่วมมือได้ไม่เลวเลยนี่!” ซย่าน่าเอ่ยชม
หลิงม่อที่นั่งตำแหน่งข้างที่นั่งคนขับมองเธอด้วยสีหน้างอง้ำ แล้วก็หันกลับไปมองที่นั่งแถวสามของรถ
มู่เฉินกำลังนั่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้น เขาทำท่าทางเหมือนจะตายได้ทุกเมื่อ
“ให้ขับช้าหน่อยไหม?” ซย่าน่าสังเกตเห็นการกระทำของหลิงม่อ จึงถามขึ้น
“ขอเลือกแบบเจ็บแต่จบเร็วดีกว่า…” หลิงม่อพูดอย่างจริงจัง
“…นายมันไอ้เลว…อึก!” มู่เฉินเพิ่งจะค้านได้ครึ่งประโยค แต่จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบยกมือขึ้นอุดปาก
หลิงม่อมองข้ามสายตาไม่พอใจของเขา แล้วเอามือถือออกมาเช็คดูอีกครั้ง ถามว่า “ใกล้จะถึงเมืองชุ่ยหูแล้วใช่ไหม?”
“ต้องถึงซินหลานก่อน แต่ก็เหมือนกันแหละ ยังไงก็อยู่เขตเมืองชุ่ยหูเหมือนกัน” ซย่าน่าตอบ
“ซินหลาน…” หลี่ย่าหลินพึมพำเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
หลิงม่อรีบหันกลับไปถาม “ทำไม รุ่นพี่จำอะไรได้งั้นหรอ?”
“อืม…คุ้นมาก” หลี่ย่าหลินขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่สุดท้ายกลับส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ยังคิดไม่ออกอ่ะ”
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ คิด” หลิงม่อบอก ด้วยความจุสมองอันน่ากลัวของซอมบี้ จะให้หาความทรงจำเล็กๆ เจอท่ามกลางความทรงจำมหาศาลในเวลาสั้นๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
สำหรับซอมบี้ ความทรงจำไม่ได้แบ่งว่าสำคัญมากหรือน้อย ยิ่งไม่มีความทรงจำลึกซึ้ง โหยหา หรือเสียใจ
พวกเธอแค่แบ่งว่าความทรงจำเหล่านั้นมีประโยชน์หรือไม่ และสำหรับหลี่ย่าหลิน อำเภอซินหลานก็ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ความทรงจำที่ไม่มีประโยชน์
กลับเป็นเรื่องที่หลี่ย่าหลินมีปฏิกิริยาต่อซินหลาน ที่ทำให้หลิงม่อประหลาดใจ
ลองนึกย้อนดูแล้ว เขาไม่ค่อยรู้จักรุ่นพี่ของเขาคนนี้ดีเท่าไหร่
คนหนึ่งเป็นรุ่นพี่สาวสวยที่ได้รับความนิยมชมชอบ ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายที่ไม่มีอะไรสะดุดตา ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมาบรรจบกันเดิมก็มีไม่มากอยู่แล้ว
แต่ปัจจุบันพวกเขาเป็นคู่ครองกันแล้ว หลิงม่อจึงสนใจเรื่องราวของหลี่ย่าหลินในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ หากไม่เข้าใจอดีตของเธอ แล้วจะช่วยเธอวิวัฒนาการให้เป็นอย่างที่เธออยากได้อย่างไรล่ะ?
ทว่าเรื่องอย่างนี้ทำได้เพียงต้องใจเย็น บางทีหลังจากเข้าไปในอำเภอซินหลานจริงๆ แล้ว เธออาจนึกเรื่องเมื่อก่อนออกก็ได้…
“เอี๊ยดด!”
เสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนดังลั่นอีกครั้ง เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันยังมีเสียงหัวเราะของซย่าน่าและหลี่ย่าหลินด้วย รวมถึงเสียงร้องแปลกๆ ของสวี่ซูหานที่ตอบสนองช้าไปครึ่งก้าว
“ถ้าหากไม่ใช่ว่าพลังควบคุมอัพเกรดแล้ว คงจะรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตในขณะเคลื่อนที่เร็วขนาดนี้ไม่ได้แน่” หลิงม่อมองไปข้างหลัง แล้วอดคิดในใจไม่ได้
และในตอนนี้ ห่างออกไปประมาณ 1,500 เมตร เงาร่างกลมสีขาวขนาดใหญ่กำลังแบกเงาร่างเล็กๆ คนหนึ่งไว้บนคอและกำลังทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ถึงแม้เงาร่างกลมเหมือนลูกบอลสีขาวนี้จะดูเทอะทะ ขาโก่งๆ ของมันก็เหมือนจะทำตัวเองล้มได้ทุกเมื่อ แต่ความเร็วของมันกลับสูงจนน่าตกใจ
ระหว่างทาง เหล่าซอมบี้ที่กำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่เต็มถนน ส่วนมากจะวิ่งตามรถออฟโรดไปแล้ว ส่วนตัวที่คลาดกับเป้าหมายก็เดินวนเวียนอยู่กับที่ตามเดิม
เงาร่างกลมสีขาวนั้นไม่คิดจะหลบซักนิด มันพุ่งเข้าไป และในเสี้ยววินาทีที่กำลังจะเข้าปะทะกับซอมบี้เหล่านั้น มันก็ยกอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งขึ้น แล้วเหวี่ยงลงไปดัง “ป๊าบ”
อุ้งเท้าปุกปุยนั่นตบซอมบี้เหมือนตบแมลงวันตัวเล็กๆ ซอมบี้ตัวนั้นกระเด็นปลิวออกไปอย่างง่ายดาย
และกว่าซอมบี้ตัวนั้นลุกขึ้นมา เงาร่างกลมสีขาวนั้นก็ได้วิ่งออกไกลแล้ว
“กรร!”
ซอมบี้ที่ได้รับบาดเจ็บเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกซอมบี้อีกสองตัวกระโดดพุ่งชนข้างหลังจนล้มลงไป ยังไม่ทนได้ขัดขืน แขนข้างหนึ่งก็ถูกกระชากออกมาทั้งเป็น หน้าท้องเองก็ถูกควักจนเป็นรูโหว่ใหญ่
เมื่อเลือดไหลซึมเป็นวงกว้าง พริบตาเดียวบนถนนหลวงอันวังเวง ก็เหลือเพียงเสียงขบเคี้ยวอาหารของซอมบี้ และเสียงกลืนเลือดดัง “อึก อึก”…
“เสี่ยวป๋าย วิ่งให้เร็วที่สุดเลย! ไม่ไม่…อย่าวิ่ง! ไม่สิ ยังไงก็ยังต้องวิ่ง! โอ๊ย ตกลงควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย!!”
อวี๋ซือหรานที่นั่งอยู่บนหลังเสี่ยวป๋ายขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงออกถึงความสับสนสุดขีด
—————————————————————————–
บทที่ 663 ปัญญาอ่อนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
วูบ!
เมื่อสายลมพัดผ่านไประลอกหนึ่ง ป้ายโฆษณาที่ห้อยโตงเตงอยู่ข้างทางก็สั่นไหวดัง “พั่บพั่บ” เบาๆ ขึ้นมาทันที
และด้านล่างป้ายโฆษณา คือทางเดินเท้าเส้นหนึ่งซึ่งเงียบและวังเวงมาก
ร้านรวงที่มีคนแวะเวียนกันมาไม่ขาดสายเมื่อวันวาน เวลานี้ประตูร้านกลับเปิดอ้าซ่า ข้างทางเต็มไปด้วยเศษกระจกจากตู้โชว์ที่แตกละเอียดเป็นกองๆ ซึ่งในนั้นมีเลือดสีน้ำตาลเข้ม หรือกระทั่งเศษชิ้นส่วนน่าขยะแขยงปะปนอยู่ด้วย
ในร้านมืดมิด สินค้ามากมายถูกทิ้งเกลื่อนกลาดเต็มพื้น
รองเท้าส้นสูงข้างหนึ่งถูกห้อยไว้ข้างประตูของหนึ่งในร้านค้าพวกนั้น ของประดับตกแต่งบนร้องเท้าขึ้นสนิมไปนานแล้ว มันเหมือนกำลังรอให้เท้าคู่นั้นที่เคยสวมใส่มัน แต่เห็นชัดว่าเธอคนนั้นคงไม่มีวันหวนคืน…
“ปั๊ก!”
ทันใดนั้น มีก้อนหินก้อนหนึ่งถูกโยนเข้ามาและหล่นกระทบกับพื้นใกล้ๆ รองเท้าส้นสูงข้างนั้น
“อึก อึก…”
ซอมบี้สองตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบหันมา พวกมันตวัดสายตามองไปยังทิศทางที่ก้อนหินกระทบกับพื้น
และในตอนนั้นเอง ก็มีก้อนหินอีกก้อนหล่นลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับห่างออกไปเล็กน้อย
ซอมบี้สองตัวที่รู้สึกเหมือนเป้าหมายหายไปแล้วรีบหันกลับมาอีกครั้ง แล้วพวกมันก็วิ่งพุ่งเข้าไปแทบจะพร้อมกัน
“พลั่ก! พลั่ก!”
ทันใดนั้น ซอมบี้สองตัวนี้ล้มลงไปพร้อมกัน และนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่กับพื้น ราวกับว่าพวกมันได้สูญเสียเรี่ยวแรงในการเคลื่อนไหวไปแล้ว
ไม่กี่วินาทีต่อมา จู่ๆ ซอมบี้สองตัวนี้ที่กำลังนอนหน้าจิ้มดินอยู่ก็ขยับตัว จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนไปทางด้านข้าง สุดท้ายพวกมันก็ถูกพลังงานที่มองไม่เห็นลากกลับหัวกลับหางเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง
“จัดการได้อีกสองตัว”
ในร้าน หลิงม่อกำลังยกมือนวดหว่างคิ้ว พร้อมกับพูดขึ้น
หลังจากที่ซอมบี้สองตัวนี้ถูกลากเข้ามา ก็ถูกเอาไปกองรวมไว้อีกด้านหนึ่ง
และบนพื้นทางนั้น ก็เต็มไปด้วยศพของซอมบี้มากมาย…
“เอื๊อก”
เย่เลี่ยนที่กำลังเบิกตากว้างจ้องมองศพเหล่านี้อยู่ อดกลืนน้ำลายดังเอื๊อกไม่ได้
ส่วนซย่าน่านั้นทำเป็นมองออกไปข้างนอก แล้วก็เหลือบมองศพเหล่านั้นเป็นครั้งคราว
หลี่ย่าหลินเองก็จ้องตาไม่กระพริบ แต่คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุดเห็นจะเป็นสวี่ซูหาน
มนุษย์กึ่ง “ซอมบี้” ตัวนี้กำลังพยายามสลัดตัวเองให้หลุดจากการจับกุมของซย่าน่า ดวงตาสีแดงจางของเธอจ้องไปที่ศพเหล่านั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ปากก็เปล่งเสียงงับฟันอย่างต่อเนื่อง
แต่บางครั้งบางคราว จู่ๆ เธอก็ผงะถอยหลัง เหมือนกับขยะแขยงและเกลียดชังศพเหล่านั้นเต็มที
บางครั้งก็มองเห็นแววตาโหดเหี้ยมที่แฝงอยู่ในดวงตาเธอ ถึงแม้จะเป็นแค่เวลาสั้น แต่กลับเห็นได้อย่างชัดเจน
มู่เฉินนั้นยืนหลบอยู่ในมุมร้าน สายตาที่เขามองไปที่สวี่ซูหานดูสับสนยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด
เขาเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก ถ้าเป็นเมื่อก่อนสำหรับเพื่อนร่วมงานที่ติดเชื้อแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อความปลอดภัยของคนในกลุ่ม หรือเพื่อเป็นการปลดปล่อยอีกฝ่าย พวกเขามักจะฆ่าคนที่ติดเชื้อไวรัสทันที
คนที่ยอมรับความตายอย่างเด็ดเดี่ยวนั้นมีไม่มาก แต่เสียงร้ำไห้เหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไรเล่า?
แต่กรณีของสวี่ซูหานในตอนนี้ กลับยากที่จะตัดสินได้ว่าเธอติดเชื้อแล้ว หรือยังหลงเหลือสติรู้คิด และยังถือว่าเป็นมนุษย์อยู่
“ดูจากสีหน้าและดวงตา น่าจะใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่านะ แต่สภาวะนี้มัน…”
ความคิดนั้นเพิ่งจะผุดขึ้นมาได้เพียงเสี้ยววินาที มู่เฉินก็รีบส่ายหัวสลัดมันทิ้งไป
ในเมื่อหลิงม่อบอกแล้วว่าจะลองช่วยสวี่ซูหานดู เขาจะต้องไม่คืนคำแน่นอน
แต่ไหนแต่ไรมาสำหรับพวกเขาการติดเชื้อก็หมายถึงการกลายพันธุ์ 100% ตอนนี้แค่มีความหวังแม้เพียงน้อยนิด ก็ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างที่สุดแล้ว
มู่เฉินคิด ถ้าหากตอนนี้สวี่ซูหานยังมีสติและคิดได้ ก็คงจะรู้สึกขอบคุณหลิงม่อมากเหมือนกัน…
แล้วก็เป็นไปได้เหมือนกันว่า ยัยคนนี้อาจสติแตกเพราะตัวเองเผยด้านที่ “ขี้เหร่” ของตัวเองให้หลิงม่อเห็น…
“แต่ว่า ทำไมไม่ออกไปฆ่าซอมบี้พวกนั้นตรงๆ เลยล่ะ?” จู่ๆ มู่เฉินก็ถาม
เขาทำหน้าปวดสมอง ถึงแม้ด้วยความเร็วของหลิงม่อ การฆ่าซอมบี้ทีละตัวสองตัวอย่างนี้จะไม่ถือว่าช้า แต่ความจริงอาศัยความสามารถของเขา ขอเพียงเลือกจุดใดจุหนึ่งบนถนนเส้นนี้ที่ค่อนข้างเงียบหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะผ่านไปได้
ขอเพียงหนีไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ซอมบี้ตัวอื่นจะถูกดึงดูดเข้ามาก็พอ
ที่นี่คือจุดศูนย์กลางของอำเภอซินหลาน และหลังจากที่เดินทะลุทางเดินหลายเส้นนี้ไป พวกเขาก็จะเข้าไปในเขตของเมืองชุ่ยหูแล้ว
เวลาอย่างนี้ ควรจะเร่งความเร็วไม่ใช่หรอ!
ความจริงหลังจากที่เข้ามาในอำเภอซินหลาย มู่เฉินเพิ่งจะพบว่า เขาได้ประเมินความยากลำบากที่จะต้องเจอบนเส้นทางที่ตัวเองเลือกต่ำไปมาก
หลังจากขับรถมาถึงจุดศูนย์กลางของอำเภอซินหลาน พวกเขาก็ไม่อาจขับต่อไปได้ ที่จริงหลิงม่อได้ดูแผนที่และให้ซย่าน่าขับอ้อมไปอ้อมมาจนฝืนขับมาถึงตรงนี้ได้ด้วยซ้ำ
คิดไปคิดมา เดิมพวกซ่งจินเซินก็หารถออฟโรดคันนี้มาได้จากแถวนี้เหมือนกัน พอถึงเขตที่รถยนต์สามารถสัญจรไปมาได้ พวกเขาก็คงจะเจอรถที่พวกนั้นทิ้งไว้อีก
ทว่าเส้นทางที่ต้องเดินเท้าในระหว่างนี้ กลับมีปัญหายุ่งยากไม่น้อย
เขตพื้นที่ที่พวกเขาเลือกเดินก็ไม่ใช่ทางที่พวกซ่งจินเซินเคยใช้ ในอำเภอใหญ่อย่างนี้ เส้นทางที่ผ่านการทำความสะอาดมาแล้วกลับจะยิ่งดึงดูดซอมบี้ให้เข้ามามากกว่าเดิม
“อ้อ เรื่องนี้หรอ? ทำแบบนี้ปลอดภัยกว่า” หลิงม่อให้คำตอบที่มู่เฉินได้ยินแล้วอยากจะเอาหัวโขกกำแพงอีกครั้ง
ทีเวลาอย่างนี้มาเรียกร้องความปลอดภัย เมื่อก่อนไม่เห็นจะดูออกว่าสนเรื่องนี้ด้วย!
แต่ครั้งนี้หลิงม่อไม่ได้ตอบแบบส่งๆ เขาทำไปเพื่อรักษาความปลอดภัยในการเดินทางจริงๆ
ในรายงานของกองทัพอากาศที่เขาค้นเจอ ได้ระบุระดับความอันตรายของเมืองชุ่ยหูไว้อย่างชัดเจน
อำเภอซินหลานอยู่ติดกับเมืองชุ่ยหู ถึงแม้จะไม่ได้ถูกพูดถึงในรายงาน แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าระดับความอันตรายอยู่ในระดับใด
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานฉบับนั้นเป็นของหลายเดือนก่อน เนื้อหาย่อมต่างจากสถานการณ์จริงในปัจจุบันมากอยู่แล้ว
แม้เป้าหมายในการมาเมืองชุ่ยหูของเขา ก็เพื่อจะทำให้พวกเย่เลี่ยนได้รับการวิวัฒนาการและอัพเกรดให้มากที่สุด ก่อนที่จะต้องเผชิญหน้ากับนิพพานสาขาใหญ่ แต่ในสถานการณ์ที่ยังไม่แน่ชัด อย่างไรก็ทำอะไรอย่างระมัดระวังไว้ก่อนดีกว่า
ความจริงวิธีที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ เป็นการตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบไปในตัวด้วย
เสียงการเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาอย่างนี้ ไม่มีทางที่ซอมบี้ทั่วไปจะได้ยิน แต่กลับมีความเป็นไปได้มากกว่าเสียงเหล่านี้จะไม่รอดพ้นประสาทสัมผัสด้านกลิ่นและการได้ยินของซอมบี้ระดับสูง
ในอีกด้าน ตอนนี้ยิ่งอยู่ในอำเภอซินหลานนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้หลี่ย่าหลินจำอะไรได้มากขึ้น
นับตั้งแต่เข้ามาในอำเภอซินหลาน เขาก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของหลี่ย่าหลินเป็นระยะๆ
รุ่นพี่ของเขาเอาแต่มองไปทั่วทิศด้วยท่าทางฉงนสงสัย เมื่อไหร่ที่เดินผ่านสิ่งก่อสร้างที่ค่อนข้างโดดเด่นหรือเป็นสิ่งก่อสร้างเชิงสัญลักษณ์เธอมักจะหยุดเดินแล้วจ้องมอง แต่ทุกครั้งเหมือนว่าความรู้สึกแปลกใหม่ที่ซอมบี้มีต่อสิ่งของหรือเรื่องใหม่ๆ จะมีมากกว่า
หลิงม่อเอ่ยปากถามเป็นบางครั้ง แต่สิ่งที่เธอตอบกลับไม่เกี่ยวข้องกับความทรงจำเลยแม้แต่น้อย
“ใจเย็น อย่าใจร้อน…” หลิงม่อปลอบใจตัวเองในใจ แล้วหันไปพูดกับมู่เฉินที่ตอนนี้ทำหน้าเบื่อเต็มทน “ถนนเส้นนี้เป็นเส้นที่ซอมบี้น้อยที่สุดแล้ว ก่อนหน้านี้นายไม่อยากไปสำนักงานใหญ่ไม่ใช่หรอ? ตอนนี้กลับมาเร่งเร้าเอาๆ”
“แล้วนายไม่กลัวโดนกัดบ้างรึไงล่ะ! ตอนนี้เธอใกล้จะกลายร่างเป็นเสือสาวอยู่แล้วนะ!” คนที่มู่เฉินพูดถึงคือสวี่ซูหาน
เสียงคำรามต่ำของเขา กระตุ้นสวี่ซูหานให้ดิ้นพล่านอีกครั้ง เธอแยกเขี้ยวแล้วหมายจะพุ่งเข้ามาหาเขา
ถึงแม้จะไม่สามารถหลุดพ้นจากการจับกุมของซย่าน่าได้ แต่สายตาอันคลุ้มคลั่งนั่นก็ยังคงทำให้มู่เฉินสะดุ้งตกใจอย่างแรง
“ดูสิ นายนินทาเธอ เธอยังมีปฏิกิริยาอยู่เลยนะ” หลิงม่อบอก
“นายก็เป็นเสือเหมือนกัน เสือที่กินคนแล้วไม่คายออกมาแม้แต่กระดูก!” มู่เฉินเดือด สองคนนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกันแท้ๆ แต่นึกไม่ถึงว่าจะยัง “ร่วมมือ” กันโจมตีเข้าได้สำเร็จอีกแล้ว
“พวกเธอก็เป็นเสือเหมือนกันนั่นแหละ!” มู่เฉินมองพวกเย่เลี่ยนอย่างขุ่นเคือง แล้วพูดขึ้น
ซย่าน่าร้อง “ชิ” หนึ่งที ส่วนหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนนั้นมีปฏิกิริยาที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
“เสือ? กินได้ไหม?”
“เสือ…เสือ…?”
มู่เฉินกลอกตาขาว คนพวกนี้แอบไปคุยกันลับหลังว่าจะยั่วโมโหเขาให้ตายสินะ? ทำไมอยู่ไปอยู่มา กลับกลายเป็นว่าเขาคือคนที่ปกติที่สุดในกลุ่ม 6 คนนี้ได้ล่ะ?
ระหว่างที่พูดคุย หลิงม่อก็มองเห็นซอมบี้กลุ่มหนึ่งถูกล่อเข้ามาอีกครั้ง จึงได้จัดการสังหารพวกมัน
เขาโยนก้อนหินก้อนสุดท้ายกลับเข้าไปในตู้ปลาอันแห้งเหือดของร้านค้า จากนั้นก็สะบัดมือ “ไปกันเถอะ”
ตอนนี้ถนนทั้งสายโล่งเปล่าไร้เงาคน ไม่มีกลิ่นคาวเลือด มีเพียงร้านค้าแห่งนั้นเท่านั้นที่มีศพนอนกองอยู่เต็มไปหมด
หลังออกมา หลิงม่อก็พลิกมือปิดประตูร้าน เพื่อขังกลิ่นเลือดไว้ข้างในอย่างมิดชิด
สิบนาที ไม่มีอะไรถูกดึงดูดออกมา อย่างน้อยก็แสดงว่าถนนส้นนี้ปลอดภัยแล้ว
แต่มู่เฉินที่เห็นเหตุการณ์กลับสงสัย แต่พอคิดไปคิดมา เขากลับนึกออกเพียงคำตอบเดียว
ยอดฝีมือก็ยังคงเป็นยอดฝีมือวันยังค่ำ วิธีการที่ใช้ก็แตกต่างกัน แม้แต่การจัดการศพก็ยังระวังขนาดนี้…
แต่พอคิดดูดีๆ หลิงม่อในตอนนี้ กลับเหมือนกำลังกลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างถูกดึงดูดออกมาเลยนี่!
ยิ่งคิด มู่เฉินก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ และหลังจากตระหนักเรื่องนี้ได้ จู่ๆ เขาก็พบว่า เหมือนตัวเองจะถูกลากลงไปในหลุมกับดักอีกคน…
“โอ๊ยยย ฮึ่ยยยย!”
เย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลินกระตุกเสื้อซย่าน่าพร้อมกัน แล้วถามว่า “เขาเป็นอะไรไป?”
ซย่าน่าเหลือบมองหลิงม่อที่เดินนำอยู่หน้าสุดแวบหนึ่ง แล้วหันไปมองมู่เฉินที่กำลังจ้องแผ่นหลังของหลิงม่อ พร้อมกับเกาหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นจึงตอบเสียงเบาว่า “น่าจะลืมกินยาล่ะมั้ง? ฉันจำได้ว่ามนุษย์มีโรคอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ปัญญาอ่อน” อยู่ด้วย…”
“อา…รักษษได้ไหม?” หลี่ย่าหลินถามอย่างอยากรู้
ซย่าน่าส่ายหัว “ไม่มีทางหายขาด…”
—————————————————————————–
บทที่ 664 ควรชี้แนะวิธีล่าเหยื่อให้ซอมบี้อย่างไร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราหาที่พักก่อน”
หลิงม่อมองสำรวจหน้าหลัง แล้วจู่ๆ ก็แสนอขึ้นมา
พวกเย่เลี่ยนไม่ได้มีความเห็นอะไร แต่มู่เฉินกลับรู้สึกฉงน
“ยังไม่มืดเลยนะ…” เขาลองค้าน
“ตกลงตามนี้แหละ” หลิงม่อกลับพยักหน้าแล้วพูดขึ้นเหมือนไม่ได้ยินเขา
“รีบเดินทางดีกว่า…”
“พอดีเลย ข้างหน้ามีโรงแรมอยู่พอดี!” ซย่าน่าตาเร็ว เธอยกมือชี้ไปทางสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป
มองออกไปไกลๆ ด้านบนของโรงแรมแห่งนั้นเป็นแผ่นป้ายโฆษณาที่ไม่ค่อยใหญ่ ทว่าด้วยความสามารถในการมองเห็นของหลิงม่อในตอนนี้ เขาสามารถมองเห็นได้คร่าวๆ ส่วนมู่เฉิน เขาหรี่ตาเล็กๆ แล้วพยายามเพ่งมอง แต่กลับมองเห็นเพียงเค้าโครงของป้ายโฆษณาแผ่นนั้น
“อย่างนั้นก็ดี ไปที่นั่นแหละ” หลิงม่อตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินแทบจะกัดลิ้นตัวเอง “ยังเห็นไม่ชัดเลยนะ! จะไปเลยจริงหรอ!”
ระหว่างทางหลิงม่อก็ยังอธิบายให้เขาฟังถึงเหตุผลที่ตัดสินใจทำแบบนี้—
ต้องให้สวี่ซูหานพักผ่อนก่อนซักครู่หนึ่ง
เดินทางโดยไม่หยุดพักเลยอย่างนี้ ระหว่างทางเธอเห็นแต่การต่อสู้นองเลือดกับซอมบี้ กว่าจะถึงนิพพานสำนักงานใหญ่ สวี่ซูหานก็คงอดทนไม่ไหวแล้ว
“อย่างนี้เองหรอ?!”
มู่เฉินรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทำไมเขาถึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยล่ะ…
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ระหว่างที่เธอพักผ่อน ฉันจะพาพวกเด็กโง่ไปเคลียร์เส้นทางก่อน” หลิงม่อพูดต่อ
“ได้สิ” ยังพูดไม่ทันจบ มู่เฉินก็รีบพยักหน้าแรงๆ ทันที!
เขาพูดมีเหตุผลนะ! หายากนะที่หลิงม่อจะคิดรอบคอบอย่างนี้…
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำหน้าที่เฝ้าเธอไว้แล้วกัน” หลิงม่อพูดต่อ
“ได้เลย!…ห๊ะ? เดี๋ยวนะ!” มู่เฉินเพิ่งจะพยักหน้า แต่จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง
ภารกิจที่เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ ทำไมถึงได้มอบหมายให้เขาเล่า!
อีกอย่างตัวเองก็ตกปากรับคำ โดยไม่คิดก่อนเลยซักนิด!
“เดี๋ยวๆๆๆๆ…” มู่เฉินทำหน้าเหมือนอยากจะวิ่งเอาหัวโขกกำแพงให้ตาย
“พูดแล้วคืนคำไม่ได้นา…” หลิงม่อตบไหล่มู่เฉิน
ด้วยความเร็วของทุกคน บวกกับซอมบี้ส่วนใหญ่ถูกหลิงม่อลากไปกองรวมกันในร้านค้าแห่งนั้นหมดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาในการเดินไปที่โรงแรมเพียงแค่ 4 – 5 นาทีเท่านั้น
หลิงม่อผลักมู่เฉินให้เข้าไปข้างใน แล้วดึงสวี่ซูหานไปให้เขา “สู้เขาล่ะ…”
“ฉันจะสู้ได้…” มู่เฉินน้ำตานองหน้า
“ตอนนี้เธอสงบลงมากแล้ว” หลิงม่อเหลือบมองสวี่ซูหาน แล้วบอกว่า “อีกอย่างฉันจะอำนวยความปลอดภัยให้นายเอง”
ตอนนี้เธอสงบลงมากแล้วจริงๆ นอกจากถลึงตากว้างแล้ว โดยรวมเหมือนเธอได้ฟื้นคืนสติแล้ว แต่ดวงตาคู่นั้นเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่า ห้ามสิ่งมีชีวิตใดเข้าใกล้
หันมองรอบกาย พบว่าโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในที่ลับตาคน น่าจะไม่มีซอมบี้เลยซักตัวด้วยซ้ำ
แต่กว่ามู่เฉินจะได้สติกลับมาอีกครั้ง ตรงหน้าเขาก็เหลือแค่สวี่ซูหานคนเดียวแล้ว
“คือว่า…”
มู่เฉินกลืนน้ำลายอย่างตื่นตระหนก เขาพูดเสียงเบาอย่างเอาใจ “พวกเรามาตกลงอะไรกันหน่อยดีไหม?”
“ฮื่ออ…” แต่ทันใดนั้น สวี่ซูหานกลับอ้าปากคำรามเสียงต่ำ
มู่เฉินตกใจจนตัวสั่น หลังตกใจกลัวจู่ๆ เขาก็พบว่า มือทั้งสองข้างของสวี่ซูหานไม่รู้ถูกมัดไพล่หลังไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“โชคดี…” มู่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ผ่านไปไม่กี่วินาที เขากลับเริ่มบ่นกระปอดประแปดขึ้นมาอีกครั้ง “นี่หรอ สิ่งอำนวยความปลอดภัยที่ทิ้งไว้ให้ฉัน?!”
ในซอยเล็กๆ เส้นหนึ่งนอกโรงแรม หลี่ย่าหลินเพิ่งละสายตาออกจากโรงแรม ปากก็ถามว่า “หลิงม่อ มนุษย์คนนั้น…”
ซย่าน่าถามแทรกขึ้นมา “พี่หลิง พี่ไม่ได้จะแค่เคลียร์เส้นทางใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” หลิงม่อพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
“ก้อนเหนียวหนืดหมดแล้วหรอ?” หลี่ย่าหลินพูดไปก็เลียปากแผล็บๆ พร้อมทำหน้าหิวกระหาย
หลิงม่อส่ายหน้าไปมา “ส่วนแบ่งต่อวันน่ะยังพอมีอยู่ แต่…ฉันอยากให้พวกเธออัพเกรด”
ก้อนเหนียวหนืดที่กินปกติทุกวัน เหมือนการเติมน้ำมันให้ร่างกายของพวกเธอ เพื่อส่งเสริมการเผาผลาญของพวกเธอในแต่ละวันมากกว่า
ถึงแม้ในนั้นจะมีเชื้อไวรัสปริมาณน้อยให้ดูดกลืนได้ และหากผ่านการสะสมนานแรมเดือนพวกเธอก็จะได้รับวิวัฒนาการ แต่ขั้นตอนนี้ช้าเกินไปสำหรับหลิงม่อ
ตอนนี้พวกเธอทั้งสามเป็นชนชั้นสูงกันหมดแล้ว และพวกเธอก็คงอยู่ในระดับเดิมมานานมากแล้วเหมือนกัน พื้นฐานที่ควรปูให้แน่นก็ถือว่าแน่นพอแล้ว
ถึงแม้จะไม่สามารถก้าวข้ามระดับชนชั้นสูงไปได้ แต่จะให้ดีก็ทำให้พวกเธอมีพลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ
หากเป็นอย่างนั้น ยามต้องเผชิญหน้ากับนิพพานสำนักงานใหญ่ หลิงม่อจึงจะมีความมั่นใจมากกว่าเดิม
เขาอาจไม่พูดออกมา แต่ความจริงแล้ว ในใจเขาก็รู้สึกหวาดกลัวนิพพานสำนักงานใหญ่ไม่น้อย
อีกฝ่ายเป็นกองกำลังใหญ่โตที่มีจำนวนคนมากมาย เมื่อเทียบกันแล้วเขาเป็นเพียงผู้มีความสามารถพิเศษธรรมดาเท่านั้น
การเปรียบเทียบพลังของทั้งสองฝ่าย มองแวบแรกเหมือนฝ่ายหนึ่งถือดาบ ส่วนอีกฝ่ายก็ถือไม้จิ้มฟัน
ทว่าถึงแม้จะเป็นไม้จิ้มฟัน หากจิ้มถูกจุด ก็อาจก่อให้เกิดประมิทธิภาพที่ไม่คาดคิดได้เลยทีเดียว…
“แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น ต้องทำให้ไม้จิ้มฟันนี้กลายเป็นไม้จิ้มฟันคุณภาพดีให้ได้ก่อน” หลิงม่อคิดในใจ
แต่ว่า หากจะคาดหวังให้สามสาวซอมบี้อัพเกรดพร้อมๆ กัน นั่นออกจะเกินความจริงไปหน่อย
ขอเพียงพลังโดยรวมของพวกเธอเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น อย่างน้อยก็ขอให้มีความสามารถในการป้องกันตัวเองก็พอ…
“ยอดเยี่ยมไปเลย!”
ซย่าน่ารีบหยักหน้า พลางถูไม้ถูมือไปมา
หลี่ย่าหลินกับเย่เลี่ยนมองหน้ากันแวบหนึ่ง เหมือนพวกเธอไม่ค่อยเข้าใจนัก
เห็นพวกเธอคนหนึ่งตื่นเต้นดีใจ ส่วนอีกสองคนยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างนี้ หลิงม่อก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“มนุษย์ไส้กรอก!”
เพิ่งจะเลี้ยว เงาร่างสีเงาก็พุ่งเข้ามาทันที ตามมาด้วยเสียงร้องเรียกของเด็กผู้หญิง
ขณะที่อยู่ห่างจากหลิงม่อไม่ถึงสองเมตร เงาร่างสีขาวขนาดใหญ่นั้นก็รีบเบรก และหยุดทันทีอย่างไม่มีสะดุด
“แบ๊!”
หมีแพนด้ากลายพันธุ์ส่ายหัวไปมา พยายามใช้หน้าตัวเองไปถูกับหลิงม่อ
“ภาพลักษณ์ของสัตว์สมบัติแห่งชาติถูกแกทำลายจนป่นปี้หมดแล้ว” หลิงม่อหัวเราะแล้วยื่นมือออกไปตบหัวมันเบาๆ
“แบ๊!” เสี่ยวป๋ายส่ายหัวไปมาอย่างย่ามใจ แต่จู่ๆ มันก็ล้มตัวนั่งลงทันที จากนั้นก็เอียงหัวไปด้านหนึ่ง
“จะทำอะไรน่ะ?” หลิงม่อเห็นก็นิ่งไป แล้วเขาก็เริ่มเป็นห่วงกับการเคลื่อนไหวของมัน
มันจะ…ทำได้หรอ?
“บอกแล้วไงว่าแกกลิ้งไม่ไหวหรอก!”
อวี๋ซือหรานตะโกน พร้อมกระโดดลงมาจากตัวเสี่ยวป๋าย
ต้องวิ่งตามหลังมาตลอดทาง ตอนนี้อวี๋ซือหรานดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด
เห็นเธอยืนตาแดงก่ำอยู่ตรงหน้าหลิงม่อ ก็รู้เลยว่าคงจะเตรียมคำพูดไว้พร้อมบ่นเขาชุดใหญ่อย่างแน่นอน
แต่พอถึงเวลาเธอกลับเม้มปากเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดอยู่นานสองนาน สุดท้ายกลับถามออกไปอย่างลังเลเล็กน้อย “ทำไม?”
ซอมบี้โลลิน้อยตัวนี้ไม่รู้จะเปิดฉากพูดอย่างไร…
หลิงม่อพูดความคิดของตัวเองให้เธอฟังหนึ่งรอบ ก่อนจะพูดจบก็ปรบมือแล้วบอกว่า “ตอนนี้ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ถ้างั้นก็เริ่มได้เลย กฎมีอยู่แค่ข้อเดียว ห้ามทำตัวเองเลือดท่วมตัว”
พอพูดจบ แม้แต่เขาเองก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
มนุษย์คนหนึ่งกำลังอบรมเหล่าซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ ว่าควรล่าเหยื่ออย่างไร…
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ทุกคนก็เคยชินมานานแล้วไม่ใช่หรอ?”
หลิงม่อรีบส่ายหน้าไปมา จากนั้นก็โบกมือไปมา “เริ่มได้!”
เทียบกับหลิงม่อ ซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์เหล่านี้มีสัญชาตญาณนักล่าและความสามารถในการลอบทำร้ายสูงกว่ามาก
พวกเธอสามารถหาตัวซอมบี้ที่เชื้อไวรัสจับตัวเป็นก้อนแล้วได้เร็วกว่าหลิงม่อ จากนั้นก็จะเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างไม่ให้ซุ่มเสียง และฉวยโอกาสตอนเห็นช่องโหว่พุ่งเข้าไปแทงคอหอยของอีกฝ่ายในเสี้ยววินาที
ขอเพียงนิ้วทั้งห้าออกแรงพร้อมกัน ซอมบี้ที่ทำให้คนธรรมดาหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือดตัวนั้น ก็จะกลายเป็นแกะน้อยที่ไร้ทางสู้ในกำมือของมือสวยเนียนนุ่มเหล่านี้
จากนั้นเพียงต้องลากศพซอมบี้พวกนั้นเข้าไปในร้านค้าใกล้ๆ และควักก้อนเหนียวหนืดที่อยู่ในสมองของพวกมันออกมาด้วยความเร็ว เท่านั้นก็เรียบร้อยแล้ว
ตอนแรกหลิงม่อยังคิดว่าคงต้องเสียเวลาค่อนข้างมากแน่นอน แต่เมื่อพวกเย่เลี่ยนเริ่มลงมือ หลิงม่อก็พบว่าตัวเองประเมินพวกเธอต่ำไปจริงๆ
อย่างไรก็เป็นถึงชนชั้นสูง ถึงแม้จะไม่ได้ดุร้ายเหมือนซอมบี้สัตว์ป่า แต่กลับลงมือได้หมดจดงดงามกว่ามาก
หลิงม่อเพิ่งจะประกาศเริ่มลงมือได้ไม่นาน ในมือก็มีก้อนเหนียวหนืดซึ่งขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน และความบริสุทธิ์ต่างกันเพิ่มขึ้นมาถึง 6 ก้อนแล้ว
“ด้วยพัฒนาการระดับนี้…ซอมบี้ระดับสูงในย่านนี้ไม่พอให้ล่าจริงๆ”
หลิงม่อกระชับก้อนเหนียวหนืดในมือ เขาทอดมองออกไปข้างหน้า พลางคิดในใจ
……….
“วูบ!”
หลี่ย่าหลินโฉบร่างไปปรากฏตัวอยู่ข้างหลังซอมบี้ตัวหนึ่ง มือขวายื่นไปข้างหน้าในองศาที่เหลือเชื่อ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันตั้งตัว เธอรีบฉวยโอกาสบีบคออีกฝ่ายแน่น
ซอมบี้ตัวนี้เพิ่งจะเหวี่ยงแขนขึ้นมา หลี่ย่าหลินก็รีบบิดข้อมือทันที
ดูเหมือนเธอไม่ได้ออกแรง แต่คอของซอมบี้ตัวนั้นกลับงอไปด้านข้าง และห้อยหัวลงไปอย่างประหลาดทันที ดวงตาสีแดงที่กำลังเบิกกว้าง กลับไร้ซึ่งวี่แววของพลังชีวิต
—————————————————————————–
บทที่ 665 ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่ประสงค์ดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทว่า ขณะที่หลี่ย่าหลินลากซอมบี้ตัวหนึ่งเข้าไปในร้านเสื้อผ้า แล้วเตรียมจะควักก้อนเหนียวหนืดเหมือนอย่างเคย จู่ๆ มือของเธอกลับชะงักอยู่บนหัวของซอมบี้ตัวนั้น
ในดวงตาสีแดงขาวผสมสีเหลืองอำพันของเธอ กำลังฉายแววแปลกไปจากปกติ
“ดูเหมือน…”
หลี่ย่าหลินเอียงคอ ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง
และแล้วเธอก็เจอความทรงจำที่เกี่ยวข้องอยู่ในคลังความจำอันยุ่งเหยิงอย่างยากลำบาก—
“อืม…ไม่ใช่”
หลังจากส่ายหน้าไปมา มือของหลี่ย่าหลินก็พุ่งลงไป
“ฉึก!”
เพียงศูนย์จุดวินาที เมื่อมือของหลี่ย่าหลินพุ่งลงไปและชักกลับขึ้นมา บนจูบอสรพิษของเธอ ก็มีก้อนเหนียวหนืดก้อนเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาหนึ่งก้อน…
ขณะเดินออกจาร้านเสื้อผ้า หลี่ย่าหลินก็อดหันกลับไปมองซอมบี้ตัวนั้นอีกครั้งไม่ได้
และในตอนนี้สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของเธอ กลับเป็นเงาร่างเลือนรางของใครอีกคนหนึ่ง
สิ่งที่เงาร่างในสมองของเธอเหมือนซอมบี้ตัวนี้คือ เขาสวมเสื้อออกกำลังกายที่คล้ายๆ กัน
“แต่ว่า เป็นใครกันแน่นะ?” หลี่ย่าหลินพยายามครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วเงาร่างในสมองของเธอเงานั้นก็ชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เธอเพิ่งจะมองเห็นผมหางม้าสูงๆ เงาร่างนั้นกลับเริ่มเลือนรางขึ้นมาอีกครั้ง
ภาพตัดความทรงจำมากมายผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย และไม่นานภาพเหล่านี้ก็กลบความทรงจำเกี่ยวกับเงาร่างจนมิด
สายตาของหลี่ย่าหลินกลับมาดูเหม่อลอยอีกครั้ง เธอชะงักเท้าเล็กน้อย แล้วจากนั้นก็เดินออกจากร้านค้าแห่งนี้ไปอย่างไม่ลังเลซักนิด…
ไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ แม้แต่หลิงม่อก็ยังสัมผัสถึงคลื่นดวงจิตในเสี้ยววินาทีนั้นของหลี่ย่าหลินไม่ได้
………..
ณ เวลานี้ในโรงแรม มู่เฉินที่เพิ่งจะกำจัดซอมบี้ที่มีอยู่ไม่กี่ตัวในชั้นหนึ่งเสร็จ กำลังนั่งอยู่บนโถงทางเดินในสภาพเหงื่อท่วมหัว
ชั้นบนมีซอมบี้เยอะกว่านี้ แต่เขาขี้เกียจจะไปยุ่งด้วยแล้ว
และคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ก็คือสวี่ซูหานที่ดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความวุ่นวายเลยทำให้เธอไม่อาจใช้ความคิดได้ หรือเธอกำลังตกอยู่ในโลกของตัวเองที่คนรอบข้างไม่อาจรบกวนได้กันแน่
มู่เฉินรู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากว่า แต่สายตาที่แปรเปลี่ยนไปมาอยู่เสมอของสวี่ซูหาน กลับทำให้มู่เฉินสงสัยในการตัดสินใจของตัวเองอีกครั้ง
เขามองผิดไปเองล่ะมั้ง?
มู่เฉินยื่นมือออกไปข้างหน้าสวี่ซูหาน แล้วโบกไปโบกมาอย่างระมัดระวัง
“กรร!”
สวี่ซูหานชะโงกคอมาข้างหน้าทันที ท่าทางเธอเหมือนเตรียมพร้อมจะกระโจนเข้าทุกเมื่อ
มู่เฉินหนังศีรษะชา เขารีบหดตัวถอยกลับตามจิตใต้สำนึก
หลังจากที่ทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่ละสายตาอยู่สองนาทีผ่านไป มู่เฉินก็พบว่า ขอเพียงตัวเองไม่ขยับ สวี่ซูหานก็ดูเหมือนจะสงบมากเหมือนกัน
ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยของซอมบี้ หรือเป็นเพราะหากเขาไม่ขยับเขยื้อน สวี่ซูหานก็จะไม่รู้สึกถึงภัยอันตราย?
มู่เฉินเค้นสมองคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่กล้ายืนยันการคาดเดาของตัวเองอยู่ดี
เขาพบว่าตัวเองกับหลิงม่อมีข้อแตกต่างเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างแล้ว — ความมั่นใจ
เมื่อคนธรรมดาเผชิญหน้ากับซอมบี้ นอกเหนือจากความกลัว ก็คือความไม่รู้
ไม่รู้ว่านอกจากการโจมตี ซอมบี้ยังมีรูปแบบพฤติกรรมแบบใดอีก ยิ่งไม่รู้ว่าซอมบี้แต่ละตัว ล้วนมี “นิสัยเฉพาะตัว” ที่แตกต่างกันออกไป
และเพราะอยากอยู่ในระดับที่รู้เขารู้เรา นิพพานถึงได้เริ่มทำการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัส
แต่หลิงม่อล่ะ? เขาเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร?
ไม่เพียงเข้าใจ เขายังมีความมั่นใจอย่างหนึ่งต่อการตัดสินใจของตัวเอง
และเพราะความมั่นใจนี้ ที่ทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง อย่างเช่นการช่วยสวี่ซูหาน
ทว่าอย่างน้อยพอรู้หากตัวไม่ขยับก็จะไม่มีเรื่องอะไร มู่เฉินก็คลายใจได้ชั่วคราว
เขาจ้องสวี่ซูหาน ในสมองคิดว่าพวกหลิงม่อไปถึงไหนกันแล้ว แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นว่าในสายตาของสวี่ซูหานฉายแววดิ้นรนขัดขืนอยู่เป็นพักๆ
“อึก…”
สวี่ซูหานอ้าปาก เสียงเบาๆ ถูกเปล่งออกมาจากลำคอของเธอ
ดวงตาเริ่มแดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จู่ๆ สีหน้าของเธอกลับดูทุกข์ทรมานขึ้นมา
ทันใดนั้น เธอก็หลับตาลง เม้มปากแน่น มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น
สิบกว่าวินาทีผ่านไป นิ้วมือของเธอค่อยๆ คลายออก พร้อมกับลืมตาขึ้นช้าๆ
ตอนนี้สีแดงเลือดในตาของเธอ กลับจางลงเล็กน้อย
“อึก…มู่…”
สวี่ซูหานขยับปากด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังพยายามต่อสู้ เสียงที่เปล่งออกมาของเธอแหบแห้งมาก เหมือนกับไม่ได้ดื่มน้ำมาเป็นเวลานานจนคอแทบลุกเป็นไฟ
ตอนแรกมู่เฉินยังเหม่อลอยอยู่ แต่หลังนิ่งไปสองวินาที เขาก็ได้สติทันใด “เธอพูดแล้วหรอ?!”
ขณะเดียวกับที่ถาม เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ตัว
อาจเป็นเพราะการแสดงออกและเสียงที่ดังเกินไป ดวงตาของสวี่ซูหานจึงแดงขึ้นครู่หนึ่ง แล้วเธอก็มุดหน้าลงเหมือนปวดหัวมาก จากนั้นก็ส่ายหัวพูดว่า “อย่า…เสียงดัง…”
สายตาของเธอยังคงจับจ้องมาที่มู่เฉิน แต่มู่เฉินในเวลานี้ ร่างกายกลับเต็มไปด้วยรอยเลือดมากมาย
หัวใจมนุษย์ดวงนั้นเหมือนกำลังเต้นอยู่ตรงหน้าเธอ กลิ่นอายของมนุษย์ลอยโชยเข้ามาในจมูกของเธอไม่ขาดสาย
สวี่ซูหานกลืนน้ำลาย แล้วพูดอย่างทรมานอีกครั้ง “อย่า…เสียงดัง…”
“ได้…ได้ ฉันจะไม่เสียงดัง” มู่เฉินยกมือทั้งสองข้างขึ้น เขาพยายามควบคุมอาการช็อก พลางพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปตามหลิงม่อ บอกเขาว่าเธอดีขึ้นมากแล้ว”
“เดี๋ยว…” สวี่ซูหานเบิกตากว้าง สายตาดุดันนั่นทำให้มู่เฉินต้องชะงักเท้าทันที
ตอนนี้ก็มีสติจนพูดได้แล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมยังน่ากลัวขนาดนี้ล่ะ…
“ฉันแค่ได้สติ…ชั่วคราวเท่านั้น” สวี่ซูหานพูด พร้อมกับสะบัดหัวไปด้วย ความจริงเธอไม่เหมือนได้สติแล้ว แต่เหมือนอยู่ในสภาวะกึ่งตื่นมากกว่า
ทว่าแค่เธอเปิดปากพูดได้ ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่น่าทึ่งมากแล้ว ขณะเดียวกับที่รู้สึกทึ่งในตัวหลิงม่อ มู่เฉินก็ฉงนสงสัยเกี่ยวกับอาการในตอนนี้ของสวี่ซูหานมาก และอาการในตอนนี้บ่งบอกถึงอะไร ก็มีเพียงหลิงม่อคนเดียวเท่านั้นที่รู้…
“ถึงจะแค่ชั่วคราว แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี! ไม่ได้การ ยังไงฉันก็ต้องไปหาหลิงม่อ ไปตามเขามาช่วยดูเธอ” มู่เฉินพูดก็ส่วนพูด แต่เขากลับไม่กล้าเดินผ่านสวี่ซูหานไปตรงๆ
สวี่ซูหานเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลีกทางให้แต่อย่างใด กลับส่ายหัวแล้วบอกว่า “ไม่…ไม่ต้องรีบร้อน ฉันมีเรื่อง…จะพูด…”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ในหูของสวี่ซูหานก็มีเสียงพูดของซย่าน่าในตอนนั้นดังขึ้น
“พอถึงเวลา เธอจะนึกขึ้นมาได้เอง”…และตอนนี้ สวี่ซูหานก็จำได้แล้ว
และตอนนี้ ในสถานการณ์ที่มีแค่มู่เฉินอยู่ตรงนี้คนเดียว ก็เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียว…
คำพูดประโยคหนึ่งติดอยู่ตรงริมฝีปากของสวี่ซูหานเนิ่นนาน…
“เด็กสาวสามคนนั้นที่อยู่กับหลิงม่อ ไม่ใช่คน…”
แต่ภายใต้สายตาสงสัยของมู่เฉิน สุดท้ายสวี่ซูหานกลับพูดไม่ออก
พวกเธอไม่ใช่คน แล้วตัวเองใช่หรอ?
ในความคิดอันยุ่งเหยิงของสวี่ซูหาน บางครั้งเธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นสวี่ซูหานคนก่อน ที่มักจะถือเครื่องอัดเสียง และเล็งปืนไรเฟิลอยู่เสมอ
แต่ความคิดที่ว่า “พวกเย่เลี่ยนเป็นซอมบี้” กลับมักจะแทรกขึ้นมาในความคิดอยู่เสมอ
สวี่ซูหานเคยช็อก และเคยกลัวมาก่อน
แต่เมื่อเธอมองเรื่องนี้ในฐานะซอมบี้ เธอกลับรู้สึกเกรงกลัว และปรารถนาที่จะเป็นอย่างพวกเธอ…
และตอนนี้พอได้เห็นสายตาอย่างนั้นจากดวงตาของมู่เฉิน สวี่ซูหานก็เข้าใจ
“เป็นอะไรไป?” มู่เฉินถาม
เขากังวลว่าสวี่ซูหานจะคลั่งขึ้นมากะทันกัน ถึงแม้ตอนนี้เธอจะพูดได้ แต่สีหน้าท่าทางกับสายตากลับยังแสดงออกถึงลักษณะของซอมบี้อยู่
“ช่วย…ช่วยบอกกับ…”
สวี่ซูหานพยายามขยับปาก “กับหลิงม่อ ว่าฉัน…ขอบคุณมาก…”
นึกไม่ถึงว่าเสี้ยววินาทีที่พูดจบ เธอก็ดูผ่อนคลายลงมาก
แม้แต่ในสมองอันยุ่งเหยิง ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรมากมายในเวลาสั้นๆ
ตัวเองกลายพันธ์แล้ว ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่เธอไม่มีทางรับได้
แต่พอลองนึกถึงพวกเย่เลี่ยนแล้ว สวี่ซูหานกลับรู้สึกว่า บางทีเรื่องอาจไม่ได้แย่มากอย่างที่คิดก็ได้
ขอเพียงเธอควบคุมตัวเองได้ เหมือนอย่างที่ซย่าน่าบอก…
และหากอยากควบคุมความปรารถนาไปพร้อมกัน วิธีที่ดีที่สุด ก็คือห้ามปล่อยให้เชื้อไวรัสกัดกร่อนความคิดและความทรงจำของตัวเอง…
“มะ…มู่เฉิน” สวี่ซูหานเอนตัวพิงผนัง แล้วบอกว่า “นายช่วย…เล่าเรื่องให้ฉันฟังหน่อย”
“หา?”
มู่เฉินอึ้ง ให้ช่วยบอก “ขอบคุณ” น่ะยังพอเข้าใจได้ แต่ให้เล่าเรื่อง…นี่มันอะไรกัน?!
แต่เขาก็ยังฝืนถามออกไป “เล่าเรื่องอะไร?”
“ความ…ทรงจำ…” สวี่ซูหานพูดต่อ
“อย่างนี้เองหรอ” ถึงแม้จะไม่เข้าใจนัก แต่มู่เฉินก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเริ่มเล่าจากเรื่องของเธอแล้วกันนะ? ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ…”
“ไม่…” สวี่ซูหานส่ายหน้า “เล่า…เรื่องหลิงม่อแล้วกัน แล้วก็…เรื่องพวกนาย”
หลิงม่อนิ่งไปหลายวินาที “ทำไมจู่ๆ ฉันถึงสัมผัสได้ถึงความไม่ประสงค์ดีล่ะ?”
หลังบ่นจบ มู่เฉินก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที พร้อมขมวดคิ้ว แล้วเริ่มพูดโดยทำสีหน้าเหมือนกลืนแมลงวันหัวเขียวลงไป “สองวันก่อน หลิงม่อพาพวกเรา…”
ระหว่างที่มู่เฉินเล่าเรื่องให้ฟัง สีหน้าของสวี่ซูหานเริ่มดูอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด…
—————————————————————————–
บทที่ 666 ใกล้แล้ว!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฮัดเช้ย!”
หลิงม่อยกมือปิดปากพร้อมจามเสียงดัง จากนั้นก็บี้จมูกสองสามครั้ง “ใครนินทาฉันอยู่นะ?”
เขาคิดในใจ พลางยกมือขึ้นรับวัตถุก้อนหนึ่งที่หล่นลงมาบนหัวอย่างแม่นยำ และยัดใส่ถุงถนอมอาหารโดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ
ตอนนี้ในถุงมีก้อนไวรัสเหนียวหนืดถึงครึ่งถุงแล้ว มองแวบแรกมีแต่สีแดงสดผิดปกติ มันดูสวยสดจนประหลาด
กลิ่นเชื้อไวรัสฉุนๆ ลอยโชยออกมาจากในถุง ทำให้หลิงม่ออดสูดจมูกไม่ได้
ถึงแม้การที่เขาเกิดความรู้สึกอย่างนี้ทั้งที่เป็นมนุษย์จะเป็นเรื่องแปลก แต่กลิ่นนี้มัน….
หอมมาก!
“ดูจากพัฒนาการ อีกสองชั่วโมง ก็น่าจะพอแล้ว…”
ตอนนี้เวลาในการล่าเหยื่อได้ผ่านไปสามชั่วโมงกว่าแล้ว ขอบเขตในการล่าก็ได้ขยายไปทั่วเขตใจกลางของเมือง
หาก้อนไวรัสเหนียวหนืดได้มากขนาดนี้ ก็ทำให้หลิงม่อประหลาดใจมากแล้ว
นี่ก็เป็นผลของการวิวัฒนาการของผ่าพันธุ์ซอมบี้ หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน แม้จะเก็บก้อนเหนียวหนืดแค่สิบก้อนก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย และตอนนี้ก็มีซอมบี้กลายพันธุ์ปรากฏตัวขึ้นมากมาย ซอมบี้วิวัฒนาการก็มีไม่น้อย
ชนชั้นสูงแม้ว่าจะยังมีน้อยมาก แต่ความเป็นไปได้ที่อาจบังเอิญเจอก็เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนมาก
สำหรับผู้รอดชีวิต วิวัฒนาการอันรวดเร็วของซอมบี้ก็เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แต่สำหรับพวกเย่เลี่ยน กลับถือเป็นเรื่องดี
คิดไปคิดมา หลิงม่อยังรู้สับสนในตัวเองอยู่
ด้านหนึ่งในฐานะมนุษย์ เขาไม่อยากเห็นจุดจบอย่างนี้
แต่ในอีกด้าน เขากลับเคยชินที่จะคิดเผื่อพวกเย่เลี่ยน เขามักจะเผลอตัวไปยืนอยู่ในจุดยืนของพวกเย่เลี่ยนแล้วมองดูมาที่ปัญหาเหล่านี้
นานไปๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ ว่าควรจะเอนเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน
“ไม่คิดแล้วๆ…”
หลิงม่อส่ายหน้า แล้วจู่ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมา
ก้อนเหนียวหนืดที่ไม่รู้พุ่งเข้ามาจากทิศใดถูกเขารับไว้อย่างแม่นยำ และยัดใส่ถุงอีกครั้ง
นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ว่าง หนวดสัมผัสหลายเส้นแผ่ออกไปทั่วทิศทำหน้าที่เป็นกล้องวงจรปิด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกะทันหัน
ถึงแม้จากการสำรวจก่อนหน้า หลิงม่อได้วางใจลงไม่น้อยแล้ว แต่จะลดการระวังตัวลงไม่ได้เด็ดขาด
แค่ดูพวกเย่เลี่ยนก็รู้แล้ว ว่าความสามารถในการลอบทำร้ายของซอมบี้น่ากลัวขนาดไหน…
เมื่อพวกเธออยู่ข้างกายหลิงม่อก็ยังควบคุมตัวเองบ้าง แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางการต่อสู้กับซอมบี้พวกเธอกลับปลดปล่อยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกพวกเธอยังดูไม่ “ป่าเถื่อน” มากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การลอบทำร้ายของพวกเธอ ก็เริ่มใกล้เคียงเหล่าซอมบี้ระดับสูงที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการสังหารทุกวันเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับพวกเธอนี่ถือเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง แต่หลิงม่อรู้สึกว่าการที่พวกเธออยู่กับมนุษย์อาจไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป
ในด้านของสัญชาตญาณอาจด้อยกว่าซอมบี้ป่าเถื่อน ความเร็วในการวิวัฒนาการก็ตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเธอกลับรู้จักใช้เคล็ดลับและกลอุบายเล็กๆ เหล่านั้นได้ดีกว่าซอมบี้ทั่วไป
และแค่กับดักง่ายๆ เพียงกับดักเดียว ก็ทำให้พวกเธอเป็นฝ่ายเหนือกว่าได้ในพริบตา
ทว่าในกลุ่มสาวๆ ซอมบี้ เย่เลี่ยนกลับเป็นกรณียกเว้น
รูปแบบการโจมตีของเธอจะพื้นฐานกว่า และใกล้เคียงการโจมตีของซอมบี้ป่าเถื่อนมากที่สุด
หลิงม่อคิดว่า เรื่องนี้อาจเกี่ยวกับที่สติปัญญาของเธอฟื้นคืนกลับมาได้น้อยที่สุด…
และไม่แน่อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เธอถึงได้สามารถแสดงวิชายิงปืนได้ขั้นเซียนขนาดนี้ โดยอาศัยแค่สัญชาตญาณเท่านั้น
แต่สวี่ซูหานที่ตั้งใจเกินไปทั้งที่มีความสามารถพิเศษที่เกี่ยวข้องกัน แต่กลับสู้เย่เลี่ยนไม่ได้
พอเปรียบเทียบกันอย่างนี้ ความจริงก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าวิธีไหนดีกว่ากัน
นี่ไม่ใช่เรื่องที่หลิงม่อจะกำหนดได้ ทำได้เพียงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้นหลิงม่อคิดว่า สำหรับซอมบี้ ชนชั้นสูงเหมือนเป็นช่วงเวลาของการก้าวผ่านเข้าสู่ระดับสูงที่แท้จริงมากกว่า
ทิศทางวิวัฒนาการที่แท้จริง เกรงว่ากว่าจะดูออกก็คงต้องรอให้ถึงระดับเจ้าเมืองก่อน…
“พึ่บ!”
ก้อนเหนียวหนืดอีกก้อนถูกขว้างเข้ามา พร้อมกับเงาร่างของหลี่ย่าหลินที่กำลังโฉบหายไปอยู่ไกลๆ
了。
ทว่าคุณภาพของก้อนนี้ต่ำลงมาก ดูเหมือนว่าเหยื่อดีๆ ที่พวกเธอล่าได้ จะมีน้อยลงเรื่อยๆ แล้วล่ะ
และในจำนวนก้อนเหนียวหนืดที่หลิงม่อได้รับมาทั้งหมด กลับไม่มีของเสี่ยวป๋ายเลยซักก้อนเดียว
แต่พอคิดได้ว่ามันเป็นเพียงหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวหนึ่ง วิธีการแบบนี้ทำให้มันลำบากไม่น้อยจริงๆ…
นานๆ ทีถึงจะมีโอกาสปลดปล่อยสัญชาตญาณเต็มที่อย่างตอนนี้ เสี่ยวป๋ายท่าทางคึกคักและตื่นเต้นเต็มที่
ความน่ากลัวและดุร้ายของมันในฐานะสัตว์กลายพันธุ์ได้ถูกแสดงออกมาให้เห็น การจู่โจมอันดุดันราวปีศาจร้าย ทำให้หลิงม่อตระหนักได้อีกครั้ง ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงหมีแพนด้าขนปุกปุยที่พยายามจะกลิ้งตัวไปมาให้ได้ แต่มันเป็นปีศาจที่ทำให้ผู้พบเห็นหน้าเปลี่ยนสีเพราะความหวาดกลัว
ยิ่งสู้เสี่ยวป๋ายก็ยิ่งฮึกเหิม ในสามชั่วโมงที่ผ่านไป มันกลืนก้อนเหนียวหนืดไปไม่น้อย
มันถึงขั้นลากสุนัขกลายพันธุ์ตัวหนึ่งออกมาจากมุมตึก อาศัยความได้เปรียบเรื่องร่างกายที่ใหญ่ยักษ์กว่า โรมรันพันตีอย่างบ้าคลั่งอยู่ซักพัก จากนั้นมันก็ฉวยโอกาสใช้กระบวนท่าแพนด้าล้มทับจัดการสุนัขกลายพันธุ์ตัวนั้นจนตายคาที่
ทว่าหลังจากที่ก้อนเหนียวหนืดของสัตว์กลายพันธุ์ก้อนนี้ถูกกลืนลงท้องไป เสี่ยวป๋ายก็ดูมึนๆ ไปทันที
“แบ๊~”
มันร้องครวญคราง แล้ววิ่งโซซัดโซเซกลับมาหาหลิงม่อ
หลิงม่อในตอนนี้กำลังนับจำนวนก้อนเหนียวหนืดด้วยตาที่เป็นประกายอยู่ แต่พอเงยหน้าแล้วเห็นหมีแพนด้ากลายพันธุ์เดินเซไปเซมาอย่างนี้ ก็ถึงกับอึ้งไปทันที
“เสี่ยวป๋าย?” เขารีบวิ่งเข้าไป แล้วใช้มือพยุงหัวของมันไว้
เสี่ยวป๋ายพยายามยกเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ค่อยๆ หมอบลง
ซอยเส้นนี้เดิมก็ไม่ได้กว่างมากอยู่แล้ว พอเสี่ยวป๋ายนอนหมอบลงไป ก็ขวางทางเดินจนมิด
“เป็นอะไรไป?”
หลิงม่อลูบหัวมันเบาๆ พร้อมมองสำรวจร่างกายของมันขึ้นลง
เสี่ยวป๋ายถึงขั้นทิ้งหัวนอนลงกับพื้น เปลือกตายังคงห้อยอยู่อย่างนั้น ปากก็เปล่งเสียงครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์
พอเห็นหลิงม่อตรวจดูแล้วไม่เจออะไร จู่ๆ เสี่ยวป๋ายก็ยกอุ้งเท้าขึ้นมาข้างหนึ่งขึ้นมากุมหัวตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ ลออุ้งเท้าข้างนั้นลง
“แกคงไม่ได้กำลังปวดหัวอยู่หรอกนะ?”
หลิงม่อหางตากระตุก แล้วถามขึ้น
“แบ๊…” สายตาอ่อนแรงของเสี่ยวป๋ายทอดมองไปข้างหน้า ขอบตาดำๆ ของมันเหมือนขยายวงกว้างขึ้นมาอีกหนึ่งรอบอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันดูหน่อย” หลิงม่อประคองหัวของมันไว้ จากนั้นก็ยื่นหน้าผากของตัวเองเข้าไปแตะ
หลังจากลองสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็ขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “คลื่นดวงจิตไม่มีปัญหานี่นา หรือเกิดจากปัญหาด้านร่างกาย?”
พอนึกขึ้นได้ว่าในร่างกายของมันยังมีเชื้อไวรัสที่ติดมาแฝงอยู่ รวมถึงเมื่อกี้มันก็เพิ่งกลืนก้อนไวรัสเหนียวหนืดไปจำนวนมาก จู่ๆ หลิงม่อก็กระจ่างขึ้นมา
“หรือว่าแกกำลังจะวิวัฒนาการกลายพันธุ์แล้ว? แต่ปฏิกิริยาอย่างนี้ไม่ค่อยเหมือนกับซอมบี้เลย…”
เสี่ยวป๋ายยังคงนอนอ่อนแรงอยู่บนพื้น “แบ๊…”
หลิงม่อรีบยื่นมือเข้าไปกดตรงลำคอของเสี่ยวป๋าย ตามคาดผิวกายภายนอกมีปฏิกิริยาร้อนๆ หนาวๆ เล็กน้อย
เขารู้สึกลุ้นและตื่นเต้นขึ้นมาทันที เฮยซือวิวัฒนาการมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาได้เห็นอย่างมากสุดยังไม่ถึงหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ…
แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้เห็นขั้นตอนวิวัฒนาการกลายพันธุ์ของสัตว์กลายพันธุ์กับตาตัวเองแล้ว
ทว่าพอคิดถึงเชื้อไวรัสที่แฝงอยู่ในตัวของมัน หลิงม่อก็อดร้อนใจไม่ได้
เชื้อไวรัสมากมายมายผสมปนเปกันไปหมดอย่างนี้ เสี่ยวป๋ายจะวิวัฒนาการไปในทิศทางไหนกันแน่นะ?
“อะไรก็ดีหมด แต่ไม่เอาตัวเล็กเท่ากระเป๋าเสื้ออีกแล้วนะ!”
เขาคิดอย่างนี้ก็จริง แต่วิวัฒนาการของเสี่ยวป๋ายไม่ใช่สิ่งที่หลิงม่อจะกำหนดได้
หลายนาทีผ่านไป ท่ามกลางสายตารอคอยของหลิงม่อ ปฏิกิริยาของเสี่ยวป๋ายก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มันกระตุกไปทั้งร่าง พร้อมกับเปล่งเสียงที่ฟังดูคล้ายทรมานมากอยู่ตลอด
หลิงม่อลูบหัวของมันเบาๆ เพื่อพยายามทำให้มันสบายตัวขึ้นบ้าง พลางทนรับแรงกดดันทางจิตที่เกิดจากการวิวัฒนาการของเสี่ยวป๋าย
และเมื่อคลื่นดวงจิตระลอกนี้โจมตีเข้ามา หลิงม่อก็รู้สึกโชคดีขึ้นมาทันที
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งได้รับการอัพเกรดมาครั้งหนึ่ง เกรงว่าคงจะรับการจู่โจมที่รุนแรงขนาดนี้ไว้ไม่ได้
แถมการจู่โจมเหล่านี้ก็แข็งแกร่งขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่เปิดโอกาสให้หายใจหายคอกันเลยแม้แต่น้อย
อันตรายที่เกิดขึ้นกับสายสัมพันธ์ทางจิตในระหว่างที่หุ่นซอมบี้วิวัฒนาการ คือจุดบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของพลังควบคุมหุ่น
เมื่อใดที่ความสามารถของตัวเองไม่แกร่งพอ ก็ง่ายที่หันไปพึ่งพิงหุ่นซอมบี้ทั้งหมด
แต่ทันทีที่หุ่นซอมบี้วิวัฒนาการ ร่างกายของผู้ใช้พลังก็จะได้รับบาดเจ็บอย่างใหญ่หลวง หรือกระทั่งอาจถูกหุ่นซอมบี้ทำลายสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างที่สองฝ่ายเลยทีเดียว
หากสูญเสียอำนาจในการควบคุมหุ่นในสถานการณ์แบบนั้น ก็คงทำได้แค่รอถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆ เท่านั้น
หลิงม่อย่อมไม่มีปัญหานี้แน่นอน แต่ความรู้สึกปวดขมับหนึบๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้ดีนัก
ทว่ามันก็ช่วยฝึกฝนและขัดเกลาพลังจิตของเขา และมีประโยชน์เรื่องการเพิ่มพลังจิตของเขาไม่น้อยเหมือนกัน
แต่สติปัญญาของสัตว์กลายพันธุ์นั้นมีการอัพเกรดที่จำกัด ประโยชน์ที่มีต่อหลิงม่อจึงจำกัดตามไปด้วย ดังนั้นหลิงม่อจึงไม่ค่อยสนใจนักว่าพลังจิตจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เขาสนใจเพียงวิวัฒนาการของเสี่ยวป๋ายเท่านั้น
หมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้นอนคอตกอยู่กับพื้น สภาพเหมือนเหน็ดเหนื่อยมาก ร่างกายอ้วนท้วนของมันกำลังดิ้นขลุกขลักอยู่กับพื้นเบาๆ
หลิงม่อสังเกตเห็นว่าบนพื้นมีหยาดเหงื่อเพิ่มขึ้นมา ในขณะที่เสี่ยวป๋ายปิดๆ เปิดๆ หนังตา ดวงตาคู่นั้นของมันก็แดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา
“…” หลิงม่อพึมพำในใจ
เมื่อเสี่ยวป๋ายดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆ สายตาของหลิงม่อก็ยิ่งจดจ่อมากขึ้น
ใกล้แล้ว! ใกล้แล้ว!
—————————————————————————–
บทที่ 667 แบบหดตัวได้
โดย
Ink Stone_Fantasy
อาการกระตุกสั่นของหมีแพนด้ากลายพันธุ์เหมือนอาการที่จู่ๆ ร่างกายก็ถูกติดตั้งเครื่องยนต์พลังงานสูง แต่ร่างกายรับแรงขับเคลื่อนอย่างนี้ไม่ไหว
ทว่าภายใต้การกัดกร่อนของเชื้อไวรัส ร่างกายของมันกำลังปรับตัว เพื่อให้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ใหม่เครื่องนี้ได้
หลิงม่อจดจ่อสมาธิทั้งหมดไปที่เสี่ยวป๋าย เหมือนกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็กๆ ไป
“กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ…”
เสียงที่เหมือนกระดูกกำลังเปลี่ยนรูป ดังมาจากทุกจุดของร่างกายเสี่ยวป๋าย
เสียงครางของเสี่ยวป๋ายทรมานกว่าเดิม ร่างกายก็เริ่มกระตุกสั่นรุนแรงขึ้น
“เป็นเพราะวิวัฒนาการไปพร้อมกับกลายพันธุ์เพราะติดเชื้อ เลยมีปฏิกิริยารุนแรงอย่างนี้งั้นหรอ?” หลิงม่อยื่นมือไปลูบขนยาวปุกปุยของเสี่ยวป๋าย จากนั้นก็ก้มหน้ามองหยาดเหงื่อบนฝ่ามือตัวเองอย่างครุ่นคิด
เสียงกระดูกเคลื่อนดังมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อบนร่างของเสี่ยวป๋ายก็เริ่มพองขึ้นด้วย
ขนาดตัวที่เดิมก็ใหญ่มากแล้วของมัน ตอนนี้ใหญ่กว่าเดิมถึงหนึ่งรอบ
“ถึงฉันจะไม่อยากให้แกตัวเล็กลง แต่ก็ไม่ได้อยากให้ตัวใหญ่เกินไปนะ…” หลิงม่ออดทอดถอนใจไม่ได้
หากใหญ่กว่านี้ไปเรื่อยๆ มันจะเป็นที่สะดุดตาเกินไปแล้ว
ถึงแม้จะรักษาระยะห่างจากหลิงม่อ แต่ก็ยังต้องแบกรับความเสี่ยงที่อาจถูกคนอื่นจับได้
แต่ตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนี่นา!
เขาทำได้เพียงปลอบประโลม เพื่อบรรเทาความทรมานให้เสี่ยวป๋ายเท่านั้น
ในอีกด้าน ยิ่งมันทรมาน พลังจู่โจมที่มีต่อหลิงม่อก็ยิ่งรุนแรงขึ้น หลายครั้งที่สายสัมพันธ์ทางจิตเกือบขาดสะบั้น แต่หลิงม่อกลับดึงสถานการณ์กลับมาได้ทันเวลา
หลังจากที่ร่างกายมีปฏิกิริยารุนแรง คลื่นดวงจิตของเสี่ยวป๋ายก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ทว่าความจริงนี่เป็นปฏิกิริยาที่แกติอยู่แล้ว ทุกครั้งที่วิวัฒนาการหรืออัพเกดร นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย สติปัญญาก็จะมีพัฒนาการขึ้นในระดับหนึ่ง
แต่หลิงม่อไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องสัตว์กลายพันธุ์เท่าซอมบี้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองดูเฉยๆ
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ร่างกายเสี่ยวป๋ายที่เดิมกระตุกสั่นเบาบ้างแรงบ้างเริ่มคงที่มากขึ้น
เสียงกระดูกเคลื่อนในร่างกายของมันดังอยู่อย่างนั้นตลอดไม่เคยหยุด จนหลิงม่อกลัวว่ามันจะตัวใหญ่ขึ้นอีกรอบหนึ่ง
แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากเสียง “กร๊อบ” ดังขึ้นหนึ่งครั้ง หมีแพนด้ากลายพันธ์ตัวนี้กลับตัวเล็กลงหนึ่งรอบ และกลับไปมีร่างกายขนาดเท่าเดิมอีกครั้ง
“เอ๋?”
หลิงม่อขยี้ตาสองสามที เขานึกว่าตัวเองตาฝาดไป
คิดไม่ถึงว่าหลายวินาทีต่อมา ร่างกายเสี่ยวป๋ายจะกลับเข้าสู่กระบวนการเดิมอีกครั้ง
คราวนี้หลิงม่อถึงกับช็อกค้างไป ที่แท้มันก็หดตัวได้!
ความลึกลับของสัตว์นั้นมีไม่น้อยอยู่แล้ว หลังจากถูกปรับโครงสร้าง ผลของการวิวัฒนาการยิ่งทำให้เหนือความคาดหมายเข้าไปอีก
หลังจากที่ลิ้มลองกระบวนการนี้หลายรอบเข้า ร่างกายของเสี่ยวป๋ายก็เหมือนจะเริ่มคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
มันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล จากนั้นร่างกายของมันก็พองขึ้นเหมือนถูกเป่าลมใส่เข้าไปอย่างไรอย่านั้น
เมื่อร่างกายของมันพองโตขึ้นถึงสองเท่าเต็มๆ เสี่ยวป๋ายก็ร้อง “แบ๊” พร้อมทำสีหน้าทรมาน ไม่นานขนาดร่างกายของมันก็กลับไปเท่าเดิมอีกครั้ง
หลิงม่อเบิกตากว้างรอลุ้นถึงหนึ่งนาทีเต็ม กว่าจะแน่ใจได้ว่าเสี่ยวป๋ายไม่มีแนวโน้มตัวเล็กลงอีก
“ถ้าใหญ่ขึ้นกว่านี้ได้ ก็คงจะแสดงข้อดีของมันออกมาได้เต็มที่กว่า”
หลิงม่อนึกถึงท่าแพนด้าล้มทับ ซึ่งเป็นท่าไม้ตายของหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้
ไม่เพียงเท่านี้ หลิงม่อสังเกตเห็นว่าขนของเสี่ยวป๋ายมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
อย่างเช่นสีขนตรงขอบตาดำของมัน ที่เริ่มเข้มขึ้นอีก จนตอนนี้มันดูใกล้เคียงกับหมีแพนด้าทั่วไปมาก ถ้าหากไม่ใช่ว่าดวงตาแดงก่ำคู่นั้นโดดเด่นสะดุดตาเกินไป หากมองแค่ภายนอก มันดูไม่ต่างจากหมีแพนด้าทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
ทว่า…รูปร่างชัดเจนกว่า!
พอเสี่ยวป๋ายยกอุ้งเท้าเกาหัวตัวเอง หลิงม่อก็พบว่า การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของมันไม่ได้มีเพียงเท่านี้
กรงเล็บแหลมๆ นั่นตอนนี้ดูคมกริบกว่าเดิม และซ่อนได้มิดชิดมากขึ้นอีกด้วย
ถึงแม้จะไม่ได้วิวัฒนาการอะไรมาก แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงไปแค่รายละเอียดเล็กน้อย ก็มากพอที่จะทำให้พลังของเสี่ยวป๋ายเพิ่มขึ้นอีกระดับแล้ว
และผลของวิวัฒนาการครั้งนี้ก็ทำให้หลิงม่อพอใจมากด้วย…
“แบ๊!”
เสี่ยวป๋ายคำรามเสียงต่ำ พลางพยายามสะบัดหัวไปมาอย่างแรง
หลิงม่อเห็นก็ถึงกับมึนงง แต่ทันใดนั้นเขาก็ทำหน้าตะลึงงันขึ้นมา
เสี่ยวป๋าย…หายไปแล้ว!
ถึงแม้มันจะอยู่ตรงหน้าเขา แต่เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขากลับสัมผัสรู้ถึงตัวตนของมันไม่ได้!
สายสัมพันธ์ทางจิตของทั้งสองคนยังอยู่ แต่เขากลับไม่สามารถรับรู้ถึงตำแหน่งของเสี่ยวป๋ายได้
ความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกับตอนที่มันและอวี๋ซือหรานอยู่ชั้นใต้ดินกับศพน้ำเหล่านั้น และพลังจิตสัมผัสรู้ของหลิงม่อก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้ไม่มีผิด
แต่ความรู้สึกในตอนนี้กลับรุนแรงยิ่งกว่า เพราะหลิงม่อคิดว่าสายสัมพันธ์ทางจิตของตัวเองกับเสี่ยวป๋ายถูกตัดขาดไปแล้ว
โชคดีที่ความรู้สึกนี้หายไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานเสี่ยวป๋ายก็กลับมาเป็นปกติ
หลังจากที่มันส่ายตัวไปมา เพื่อสะบัดเหงื่อบนตัวออก มันก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
หลิงม่ออึ้งไปหลายสิบวินาทีกว่าจะได้สติกลับคืนมา แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่า เสี่ยวป่ายเปลี่ยนไปจริง…
แต่การกลายพันธุ์ของมัน กลับมีลักษณะเด่นบางอย่างคล้ายกับศพน้ำเหล่านั้น
พวกมันสามารถสกัดกั้นพลังจิตสัมผัสรู้…
และพอหลิงม่อลองนึกดูอย่างละเอียด ก็เข้าใจว่าที่เขารู้สึกได้ชัดเจนกว่าปกติ ก็เป็นเพราะตัวเองและเสี่ยวป๋ายมีสายสัมพันธ์ทางจิตเชื่อมกันไว้ บวกกับเมื่อกี้เขาไม่ทันตั้งตัว…
ความจริงแล้ว เมื่อ “ความสามารถ” นั้นของเสี่ยวป๋ายหายไป หลิงม่อก็ค้นพบว่า ประสิทธิภาพพลังสกัดกั้นของเสี่ยวป๋าย เมื่อเทียบกับเหล่าศพน้ำจำนวนมากที่ใช้พลังร่วมกันยังคงแตกต่างกันอยู่มาก
แต่ถ้าหากฉวยโอกาสใช้ในตอนที่ต่อสู้กับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตในตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว จะต้องให้ผลที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
และนับตั้งแต่ที่เสี่ยวป๋ายเริ่มมีปฏิกิริยาของการวิวัฒนาการจนถึงตอนนี้ เวลาได้ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกว่าแล้ว รอบกายหลิงม่อมีก้อนเหนียวหนืดถูกขว้างเข้าเต็มพื้น หลังจากที่แอบมองอยู่ไกล เหล่าซอมบี้สาวก็จะเดินจากไปอย่างเงียบๆ เพื่อทำการล่าเหยื่อต่อ
สำหรับซอมบี้ เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ที่อยู่ในระหว่างวิวัฒนาการ ถือว่ามีแรงดึงดูดอันมหาศาล
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงที่พลังควบคุมของหลิงม่อมีผลต่อเสี่ยวป๋ายต่ำที่สุด อิทธิพลร่วมที่ได้รับผ่านสายสัมพันธ์ทางจิตก็จะอ่อนลงตามไปด้วย
แม้แต่อวี๋ซือหรานก็ยังทำแค่มองอยู่ห่างๆ อยู่ครู่เดียว จากนั้นก็ชูกำปั้นเล็กๆ ใส่หลิงม่อ แล้วเดินจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
“คราวนี้เธอคงพอใจแล้ว” หลิงม่อคิดในใจ
แต่คนที่พอใจที่สุดยังเป็นตัวเขาเอง เดิมเขาเป็นกังวลว่าเสี่ยวป๋ายจะมีพัฒนาการที่แปลกประหลาดหรือไม่ แต่เรื่องจริงได้ยืนยันแล้วว่าเฮยซือคือกรณีพิเศษที่พิสดารไม่เหมือนใคร…
“แต่ว่า แกคายอะไรออกมาถึงได้มีพลังอย่างนั้นได้?”
หลิงม่อเดินสังเกตรอบๆ ตัวเสี่ยวป๋ายอย่างละเอียดหนึ่งรอบ และทำการทดสอบดูอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า : เหงื่อ…
ผลที่ได้นี้ทำให้หลิงม่อเหงื่อแตกพลั่ก เพราะนั่นหมายความว่าเมื่อใดที่เสี่ยวป๋ายต้องการใช้ “ความสามารถ” ประเภทนี้ เสี่ยวป๋ายก็ต้องกระโดดอยู่กับที่อย่างบ้าคลั่ง จึงจะได้ผลไม่ใช่หรอ?
หลิงม่อมองเสี่ยวป๋ายอย่างเห็นใจ แล้วจู่ๆ ก็พูดอย่างมีความหมายแฝงขึ้นมาว่า “ลำบากแล้ว…”
“แบ๊!”
เสี่ยวป๋ายที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นดีใจพยายามกลิ้งตัวไปมากับพื้น ปรากฏว่าพอมันกลิ้งตัว เสาไฟข้างทางที่ถูกกระแทกเข้าส่งเสียงครวญคราง จากนั้นเสาไฟก็เปลี่ยนรูปร่างไปตามการกลิ้งตัวอันยากลำบากของเสี่ยวป๋าย ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้…
“แบ๊…แบ๊…”
เสี่ยวป๋ายยังคงกลิ้งเบียดต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
หลิงม่อถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “ยอมแพ้เถอะ…”
………..
ขณะเดียวกับที่เสี่ยวป๋ายกำลังวิวัฒนาการ หลี่ย่าหลินเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ยิ่งเธอเดินผ่านสถานที่มากขึ้น ภาพความทรงจำประหลาดๆ เหล่านั้นก็เริ่มผุดเข้ามาในสมองเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกหลี่ย่าหลินไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกนี้คืออะไร แต่เมื่อภาพเหล่านั้นเริ่มฉายผ่านเข้ามาหลายครั้งเข้า หลี่ย่าหลินก็ตระหนักได้ว่า บางทีตัวเองอาจจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…
ความทรงจำเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่เธอเป็นซอมบี้ แต่เกิดขึ้นตอนที่เธอยังเป็นมนุษย์อยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกแบ่งไปอยู่ในหมวดหมู่ “ไร้ประโยชน์” อย่างนี้
แต่ควรจะเก็บมาคิดอย่างละเอียดไหม หรือว่า…ควรบอกหลิงม่อดีล่ะ?
หลี่ย่าหลินดูไม่ค่อยมั่นใจ ด้วยระดับสติปัญญาของเธอในตอนนี้ ยังไม่สูงพอที่จะคิดเรื่อง “ซับซ้อน” อย่างนี้ได้
“บอก…หรือไม่บอกดี?”
หลี่ย่าหลินครุ่นคิด
“ลองเก็บมานึกดูดีกว่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่หยุดโผล่มากวนใจฉันซักที” หลี่ย่าหลินไม่ชอบความทรงจำที่ผุดออกมาไม่ยอมหยุดนี่ และนั้นส่งผลให้เธอตัดสินใจอย่างนี้
แต่ถ้าเอาแต่เดาสุ่มสี่สุ่มห้าก็คงไม่ได้ เพราะไม่มีคำใบ้เลยนี่นา!
“อ๊ะ ใช่แล้ว!”
หลี่ย่าหลินฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ผมหางม้านั่น!”
เบาะแสที่เธอพอจะจับได้ในตอนนี้ ก็มีแค่แผ่นหลังของเด็กสาวผมหางม้าอันเลือนรางนั่นเท่านั้น
แต่หลี่ย่าหลินกลับไม่รู้เลยว่าเงาร่างนั้นเป็นใคร และเกี่ยวข้องอย่างไรกับเธอ
ความรู้สึกเหมือนได้หนังสือเล่มใหม่ที่ไม่มีสารบัญมา หากไม่พลิกอ่านหน้าสำคัญ ก็จะไม่มีทางเดาเนื้อเรื่องได้เลย
สถานการณ์ของหลี่ย่าหลินในตอนนี้ก็เป็นแบบนี้ ดังนั้นหากเธอต้องการนึกเรื่องราวให้ได้มากกว่านี้ เธอก็ต้องหาเบาะแสเพิ่มเติม
—————————————————————————–
บทที่ 668 ฝึกฝนเทคนิครวมร่างให้ดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้ การล่าเหยื่อได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว หลิงม่อรวบรวมก้อนเหนียวหนืดไว้ด้วยกัน ปรากฏว่าได้เกินครึ่งถุงใหญ่เลยทีเดียว
เขาแกว่งถุงหนักๆ ไปมา แล้วจ้องหน้าสาวๆ ซอมบี้ที่ตอนนี้ดวงตากำลังแดงก่ำ บอกว่า “ถ้าอย่างนั้น…พวกเรามาแบ่งกันดีไหม?”
สาวๆ ซอมบี้พากันแลบลิ้นเลียปากแผล็บๆ พร้อมพยักหน้ารัว “ดี…”
การแบ่งก้อนเหนียวหนืดก็ต้องใช้ทักษะพิเศษเหมือนกัน หนึ่งคือระวังตัวทุกเวลา คอยป้องกันไม่ให้พวกเธอกพุ่งเข้ามากะทันหัน สองคือต้องแบ่งตามความเหมาะสมของซอมบี้แต่ละตัว โดยวัดจากพลังในปัจจุบันของพวกเธอ
ก่อนจะแบ่งกัน หลิงม่อมองอวี๋ซือหรานอย่างลังเลเล็กน้อย
ซอมบี้โลลิที่น้ำลายแทบจะไหลยืดจนถึงหน้าอกนิ่งงันไปก่อน จากนั้นก็ตะโกนลั่นเหมือนนึกออก “ไม่อนุญาตให้ยกเว้นส่วนของฉัน! ฉันเป็นร่างร่วมของเฮยซือนะ วิวัฒนาการของฉันก็เป็นวิวัฒนาการของเฮยซือ!”
“ชิ จู่ๆ ก็ฉลาดขึ้นมาซะงั้น…” ซย่าน่าแค่นเสียงพูด
อวี๋ซือหรานโมโหขึ้นมาทันที แต่เนื่องจากความภักดีของเฮยซือที่มีต่อซย่าน่า เธอในฐานะร่างร่วมจึงทำได้เพียงกระโดดโหยงเหยงอยู่กับที่ “ฉันได้ยินนะยะ!”
“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกันได้แล้วนะ” หลิงม่อยื่นมือไปกดศีรษะอวี๋ซือหรานเบาๆ อย่างนึกปวดหัว “ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกันอย่างยุติธรรมแล้วกัน เฮ้อ…”
“เฮ้ออะไรยะ! มันก็เป็นเรื่องถูกต้องอยู่แล้วไม่ใช่หรอ? เวลาแบบนี้แล้วยังจะมาสร้างกฏไม่ยุติธรรมกันอีก…” อวี๋ซือหรานยังคงบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่พอใจ
ถึงแม้เรื่องที่หลิงม่อกำลังคิดอยู่จะไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เสี้ยววินาทีที่แล้ว เขาคิดจะแบ่งให้อวี๋ซือหรานน้อยกว่าจริงๆ ตอนนี้เธอและเฮยซือเป็นร่างเดียวกัน หากคิดแบบนี้พลังต่อสู้ของเธอก็ไม่ได้เป็นสอง
แทนที่จะวิวัฒนาการต่อไป สู้ดึงความสามารถที่เกิดขึ้นหลังจากเธอและเฮยซือรวมเป็นร่างเดียวแล้วออกมาใช้ให้เต็มที่ไม่ดีกว่าหรือ
ทว่าตอนนี้พอลองคิดดูอีกที เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องแยกอวี่ซือหรานกับเฮยซือออกจากกลุ่ม
จากประสบการณ์ในปัจจุบันของหลิงม่อ ระหว่างที่จะชนชั้นสูงจะวิวัฒนาการไปถึงเจ้าเมือง เงื่อนไขสำคัญที่พวกเธอต้องการไม่ใช่การสะสมเชื้อไวรัสในร่างกาย แต่เป็นโอกาส…
ไม่ใช่ซอมบี้ชนชั้นสูงทุกตัวที่จะชิงก้าวข้ามสู่ระดับเจ้าเมืองจนสำเร็จ ก่อนที่จะกลายเป็นก้อนหินปูทางสู่ความสำเร็จของซอมบี้ตัวอื่นๆ
ทว่าซอมบี้ป่าเถื่อนมีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติในเรื่องของวิวัฒนาการ แต่ก็มีข้อด้อยที่ชัดเจนเช่นกัน และสาเหตุหนึ่งเดียวที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ก็คือสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
หากไม่เร็วเท่าซอมบี้ตัวอื่น หรือมีความสามารถไม่เท่าซอมบี้ตัวอื่น ก็จะต้องถูกกำจัดทิ้ง
นี่คือสนามรบที่อาศัยสัญชาตญาณในการวิวัฒนาการเท่านั้น…
ดังนั้นหลิงม่อคิดว่า หากมีตัวเองอยู่ ซักวันพวกเย่เลี่ยนก็จะต้องก้าวข้ามอุปสรรคด่านนี้ไปได้อย่างแน่นอน
ยิ่งตอนนี้ พลังจิตของเขาก็เตรียมการไว้พร้อมแล้ว
เขาสามารถควบคุมซอมบี้เจ้าเมืองหนึ่งตัวได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว…
“ฝึกฝนเทคนิครวมร่างให้มากๆ หน่อย” หลิงม่อลูบหัวอวี๋ซือหราน แล้วพูดขึ้น
อวี๋ซือหรานเบิกตากว้างแล้วครุ่นคิด จากนั้นก็เหลือบไปมองหลี่ย่าหลิน สุดท้ายก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ถามอย่างสงสัยอีกครั้ง “แบบนั้นจะได้ผลจริงๆ หรอ? ไส้กรอก…”
“นี่เรียกฉันย่อๆ ว่าไส้กรอกแล้วหรอ…”
หลิงม่อใช้นิ้วมือกดคลึงขมับ แล้วพูดยืนยัน “แน่นอนสิ ทำไมจะไม่ได้ผล? ทันทีที่เธอฝึกฝนเทคนิครวมร่างสำเร็จ พลังของเธอจะเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนนี้ไม่เพียงหนึ่งเท่า รอให้มีเวลาว่างแล้วฉันจะให้คำแนะนำเธอ”
“ให้คำ…แนะนำ?” อวี๋ซือหรานบิกตากว้าง
หลายวินาทีผ่านไป เธอก็รับคำอย่างเหม่อๆ “ใน…ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เอางั้น…ก็ได้”
เธอพูด พร้อมอดหันไปมองหลี่ย่าหลินกับซย่าน่าไม่ได้ สุดท้ายลูบๆ นิ้วมือตัวเอง “เทคนิครวมร่างหรอ…”
หลิงม่อหันกลับไปสนใจเรื่องการแบ่งก้อนเหนียวหนืดแล้ว พอคิดว่าอีกเดี๋ยวจะได้เห็นวิวัฒนาการของพวกเธอ เขาก็อดตื่นเต้นไม่ได้
ทว่าความรู้สึกที่มากกว่ายังคงเป็นความกังวลใจ…ถ้าเกิดไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ?
เขาหันไปจ้องไวรัสนางพญาสองก้อนนั้นของซอมบี้เจ้าเมืองซึ่งอยู่ในกระเป๋าครู่หนึ่ง ถ้าหากแม้แต่ของอย่างนี้ยังไม่อาจผลักดันให้พวกเธอก้าวข้ามด่านนั้นไปได้ ถ้าอย่างนั้นเขาคงต้องพุ่งเป้าไปที่ “ซอมบี้ความแกร่งสูงสุด” แทนแล้วจริงๆ
“ระดับอันตรายสูง…ไม่รู้ว่าแกร่งไปจนถึงระดับไหนแล้ว ถึงขั้นทำให้กองทัพอากาศให้ความสำคัญได้ขนาดนั้น…”
หลิงม่อใจลอยนึกไป แต่ไม่นานก็ดึงสติกลับมา จากนั้นก็ยื่นก้อนเหนียวหนืดจำนวนหนึ่งซึ่งถูกนับไว้แล้วให้เย่เลี่ยน “เอ้า”
หลังจากเย่เลี่ยนยื่นมือออกมารับไป เขาก็ล้วงไวรัสนางพญาออกมา หนวดสัมผัสกลายสภาพเป็นสสารเส้นเล็กๆ แล้วสับลงไปกลางฝ่ามือของเขา
ไวรัสนางพญาที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในฝ่ามือเขาเงียบๆ พลันถูกแบ่งออกเป็นสองก้อนภายในพริบตา
ขณะที่เอาหนึ่งในสองก้อนนั้นให้เย่เลี่ยน หลิงม่อจ้องดวงตาสีดำสนิทที่ลึกล้าดั่งบ่อน้ำของเธอ จากนั้นก็ลูบแก้มเธอเบาๆ นิ้วมือสัมผัสลูบไล้ไปตามลำคอยาวระหง แล้วสุดท้ายก็หยุดที่กระดูกไหปลาร้าของเธอ
“อย่าฝืนกำลังตัวเองมากไป” หลิงม่อบอก แล้วโน้มคอเธอเข้ามาทางตัวเอง ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากกลมมนของเธอ
เย่เลี่ยนเบิกตากว้าง แล้วยิ้มออกมาอย่างซื่อๆ
หลี่ย่าหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบยกมือ “ฉันเอาด้วย!”
“รู้แล้วๆ…” หลิงม่อทำหน้าหงิก แล้วรีบยื่นมือไปหาเธอ
คิดไม่ถึง รุ่นพี่ทำหน้าตกใจแล้วบอกว่า “ฉันจะเอาก้อนเหนียวหนืดต่างหาก!”
“…”
ปกติก้อนเหนียวหนืดที่กลืนกิน มีประโยชน์แค่ในเรื่องเติมพลังงานทางกายภาพที่ถูกเผาผลาญไปเท่านั้น
แต่ครั้งนี้หลังจากกลืนกินภายในครั้งเดียว เชื้อไวรัสปริมาณมากจะสร้างแรงกระตุ้นที่รุนแรงแก่ร่างกาย
สำหรับซอมบี้ชนชั้นสูงเหล่านี้ การกระตุ้นที่เชื้อไวรัสส่งผลต่อไวรัสนางพญษในสมองจะรุนแรงกว่าระดับหนึ่ง
ในระหว่างหลอมรวมและต่อสูกัน ไวรัสนางพญาที่อยู่ในสมองจะได้รับวิวัฒนาการเพราะเหตุนี้
แต่จะสามารถก้าวข้ามก้าวสำคัญนี้ไปได้ไหม กลับต้องดูที่ความเป็นไปได้
ไม่นาน เหล่าซอมบี้สาวก็พากันพิงตัวกับผนังด้วยสีหน้าทรมาน
และหลิงม่อถึงแม้ไม่ได้กลืนกินก้อนเหนียวหนืด แต่สีหน้าของเขากลับดูทุกข์ทรมานที่สุด
ให้พวกเธอเริ่มวิวัฒนาการพร้อมกันทั้งหมด แรงกดดันทั้งทางร่างกายและดวงจิตที่เขาจะต้องแบกรับ ก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าในพริบตา
บวกกับเมื่อกี้หลังจากที่เสี่ยวป๋ายวิวัฒนาการ พลังจิตที่เขาเผาผลาญไปยังไม่ฟื้นคืนมาทั้งหมด ตอนนี้เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะลำบากหน่อย
หลิงม่อเหงื่อท่วมศีรษะ เขานั่งลงหน้าประตูร้านขายของที่หาได้ชั่วคราว แล้วกำหมัดแน่น
เหงื่อบนฝ่ามือเริ่มทำให้ฝ่ามือเขาเหนียวเหนอะหนะ ความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องตรงขมับ รวมถึงความรู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายกำลังสูบฉีดเร็วกว่าเดิม ทำให้หลิงม่อหน้ามืดตาลาย
เวลาอย่างนี้หากหมดสติไป กว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าสิ่งที่ต้องเผชิญ คือเรื่องจริงที่ว่าหุ่นซอมบี้ทั้งหมดได้สลัดสายสัมพันธ์ทางจิตออกหมดแล้ว
ดังนั้นหลิงม่อยังคงกัดฟันอดทนต่อไป พร้อมกับพยายามเบิกดวงตาอันหนักหน่วงให้กว้างอยู่ตลอดเวลา
เสี่ยวป๋ายที่วิวัฒนาการเสร็จแล้วนอนหมอบอย่างสงบเสงี่ยมอยู่อีกทางหนึ่ง บางครั้งบางคราวมันก็ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นอยู่กับที่ แล้วเล่นเกม “ฉันหายไปแล้ว” อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เหมือนมันจะรู้ตัวว่าตัวเองสามารถหนีจาก “สายตา” ของหลิงม่อพ้น ดังนั้นมันจึงวิ่งไปซ่อนอยู่ในซอกตึกหลายครั้ง
แต่ปรากฏว่าหลิงม่อยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งเก่าๆ ตัวนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะไปตามหามันซักนิด
“แบ๊~~”
เสี่ยวป๋ายกลับมานอนหมอบอยู่ที่เดิมอีกครั้ง หลังเปล่งเสียงร้องหนึ่งเสียง มันก็ยกเปลือกตาอย่างเกียจคร้าน แล้วมองหลิงม่อเป็นระยะๆ
“คงไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ?”
หลิงม่ออดหันไปมองในร้านไม่ได้ จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที
พลังจิตถูกกระตุ้น และเห็นได้ชัดว่ากำลังอัพเกรดอย่างช้าๆ เช่นกัน ศักยภาพร่างกายเองก็เหมือนกำลังพัฒนาขึ้นด้วยเหตุนี้เหมือนกัน
ปฏิกิริยาเหล่านี้ของเขา บ่งบอกว่าตอนนี้เหล่าซอมบี้สาวในร้านกำลังอยู่ระหว่างวิวัฒนาการ แต่ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ตอนนี้เขายังไม่อาจยืนยันได้
ในมุมมองของหลิงม่อ คนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะก้าวข้ามสำเร็จ คงจะเป็นหลี่ย่าหลินและซย่าน่าที่อยู่ในระดับบนสุดของชนชั้นสูงแล้ว
และหลังจากผ่านการสั่งสมมาในระยะเวลาหนึ่ง พื้นฐานของพวกเธอก็แน่นมากแล้ว
เปรียบเทียบกันแล้ว เย่เลี่ยนที่วิวัฒนาการถึงชนชั้นสูงเป็นคนสุดท้าย ดูล้าหลังกว่าอย่างเห็นได้ชัด
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่หลิงม่อบอกเธอว่าไม่ต้องฝืนตัวเองมาก หลิงม่อคิดว่า เธอแค่ต้องอัพเกรดให้เต็มที่เท่านั้นก็พอ
ถึงอย่างไรเธอก็เป็นซอมบี้รูปแบบดั้งเดิม ถึงแม้ระดับวิวัฒนาการจะต่ำไปเล็กน้อย แต่เรื่องพลังก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
“กรร!”
เสียง “โครม” ดังมาจากประตูบานหนึ่งในร้าน หลิงม่อใจเต้น “ตึกตัก” เขารีบยกมือจับขอบประตูแล้วพยุงตัวเองลุกขึ้น
เสียงดังโครมครามดังมาจากบานประตูห้องอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งบอกว่าพวกเธอได้เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งแล้ว
ในการวิวัฒนาการเป็นหมู่อย่างนี้ หลิงม่อไม่มีทางปลอบประโลมทีละคนได้
อีกอย่าง การกระตุ้นซึ่งกันและกันอย่างนี้ ก็จะทำให้เชื้อไวรัสในร่างกายพวกเธอทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น และนั่นก็จะทำให้เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการก้ามข้ามเพิ่มมากขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลิงม่อคิดมานานแล้ว และตอนนี้เขาก็ได้โอกาสทดลองพอดี
ทว่าตอนที่ทำจริงๆ ขั้นตอนเหล่านี้สำหรับหลิงม่อ ช่างทรมานเหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลย…
หลิงม่อกำหมัดแน่น จ้องบานประตูเหล่านั้นด้วยสีหน้าซีดเซียว สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรน
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น