เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 661-668

 ตอนที่ 661 คิดไม่ถึง


 


 


ในใจเขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ทว่าเขาไม่สามารถทำอะไรกับซูหลีได้


 


 


ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นเพลิงโทสะไว้ เขาหมุนกายพยายามบังคับให้ตนเองเย็นลง จากนั้นเอ่ยกับฉินเย่หานที่ไม่ปริปากพูดอะไรมาโดยตลอดว่า


 


 


“ทูลฝ่าบาท หากบุตรของกระหม่อมกระทำเรื่องเช่นนี้จริง กระหม่อมไม่มีทางจะให้อภัย จักต้องลงโทษเขาอย่างเฉียบขาด ทว่าในใจของกระหม่อมมีเรื่องสงสัย หวังว่าใต้เท้าซูกับแม่ทัพลู่จะสามารถตอบคำถามได้อย่างละเอียด!”


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเย่หานจึงตวัดสายตามองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น และเอ่ยว่า “ถามมา”


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หลังจากเฉิงเหว่ยได้รับคำอนุญาตจากฉินเย่หาน เขาก็หมุนนกายจ้องมองที่แม่ทัพลู่ แล้วเอ่ยว่า “ขอถามแม่ทัพลู่ ท่านกล่าวว่าบุตรของข้าข่มเหงบุตรีของเจ้า ทว่าจากที่ข้าทราบมา บุตรีของท่านอยู่ข้างกายท่านตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังมีพลังยุทธ์”


 


 


“บุตรชายของข้าร่างกายอ่อนแอ เขาจะสามารถทำให้บุตรีที่เก่งกาจของท่านอ่อนแรงได้อย่างไรกัน?!” เฉิงเค่อนั้นพอจะขี่ม้าและยิงธนูเป็นบ้าง ทว่าไม่ได้ฝึกยุทธ์ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เฉิงเหว่ยอธิบายอะไรมาก


 


 


แม้แต่คนที่คุ้นเคยกับเฉิงเค่อ ก็ล้วนจะพูดออกมาเช่นนี้


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ลู่เหมียนเหมียนกลับมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนักในเมืองหลวง ล้วนกล่าวว่านางกล้าหาญไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป เรื่องเหล่านี้ทุกคนล้วนเคยได้ยิน


 


 


“อีกทั้ง! แม่ทัพลู่อย่าได้โทษว่าคำพูดข้าน้อยจะไม่ลื่นหูเท่าไหร่นัก ทว่าข้าน้อยจำได้ว่าบุตรีของท่านนั้นมีความสนใจต่อบุตรของข้ามาโดยตลอด นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งเมืองหลวงล้วนทราบดี ทุกท่านคงยังจะไม่ทราบว่า บุตรชายของข้าใกล้จะหมั้นหมายแล้ว ทว่าลู่เหมียนเหมียนผู้นั้นกลับมีใจชื่นชมต่อบุตรของข้ามาโดยตลอด หากนางรู้เรื่องหมั้นหมายของบุตรของข้า คงยากจะรับประกันได้ว่านางจะกระทำเรื่องอะไรขึ้นมา…”


 


 


“เฉิงเหว่ย!” คำพูดของเฉิงเหว่ยสามารถกระตุ้นความโกรธของแม่ทัพลู่ได้ในชั่วพริบตา


 


 


ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด[1] วาจาคำรบนี้ของเฉิงเหว่ยทำเรื่องที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนนี้บิดเบือนจนกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


 


 


หากอิงจากคำพูดของเขา นั่นหมายความว่าเป็นเพราะความรักที่ลู่เหมียนเหมียนมีต่อเฉิงเค่อแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น ดังนั้นถึงได้กระทำเรื่องนี้ออกมา เพื่อต้องการใส่ร้ายป้ายสีเฉิงเค่อ!


 


 


แม่ทัพลู่จะไม่โมโหได้อย่างไรกัน! เขาโมโหจนสีหน้าแดงก่ำไปหมด จากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงฮ่องเต้ที่ประทับอยู่เบื้องบน เกรงว่าเขาคงถลันเข้าไปตีเฉิงเค่อแล้ว


 


 


“แม่ทัพลู่อย่าโมโหเลย” สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือคนที่ออกมาปลอบใจแม่ทัพลู่กลับเป็นซูหลี


 


 


ซูหลีดึงร่างของแม่ทัพลู่เอาไว้ จากนั้นใช้สายตาจ้องมองเขา


 


 


เรื่องวันนี้ หลังจากที่ซูหลีส่งลู่เหมียนเหมียนกลับจวน นางก็ปรึกษากับคนสกุลลู่จนได้ผลออกมา


 


 


ที่จริงเรื่องนี้พูดออกมาแล้ว ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับลู่เหมียนเหมียนเท่าไหร่นัก เรื่องนี้เมื่อถูกเผยแพร่ออกไปชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์


 


 


เกรงว่าในสายตาของคนในเมืองหลวงนั้น จะไม่มีใครไปสู่ขอลู่เหมียนเหมียนอีก


 


 


ทว่าคนสกุลลู่นั้นล้วนเป็นคนมุ่งมั่นมาก พวกเขามุ่งมั่นที่จะทำให้เรื่องนี้เปิดเผยออกมา


 


 


ซูหลีไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่มีสิทธิ์ในการเปิดเผยเรื่องนี้ นางจึงสอบถามความคิดเห็นของคนสกุลลู่ วันนี้เรื่องถึงได้เป็นเช่นนี้


 


 


ทว่านางสามารถเข้าใจความรู้สึกของคนสกุลลู่ดี ลู่เหมียนเหมียนเกือบจะประสบกับเรื่องเช่นนี้แล้ว เดิมทีก็ทำให้คนสกุลลู่โมโหแล้ว กอปรกับพ่อลูกสกุลเฉิงนี้ไม่ใช่คนดีอะไรนัก


 


 


เรื่องนี้หากพวกเขาไม่เผยอะไรออกมา เกรงว่าในใจของเฉิงเค่อผู้นั้นคงคิดว่าสกุลลู่หวาดกลัวเขา จึงอยากจะใช้จุดอ่อนในมือนี้ข่มขู่สกุลลู่ นั่นเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก


 


 


ที่แย่กว่านั้นคือ หากเฉิงเค่อผู้นี้อยากจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ อันดับแรกจักต้องปัดความผิดไปให้อีกฝ่าย เขาจึงนำเรื่องไม่ดีทั้งหมดซัดสาดไปที่ลู่เหมียนเหมียน ถึงเวลานั้นชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนก็จะถูกทำลาย


 


 


ทว่าเฉิงเค่อกลับไม่ได้รับการลงโทษอะไรทั้งสิ้น


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการนำเรื่องนี้เปิดเผยออกมา แม้จะทำให้ลู่เหมียนเหมียนได้รับความเจ็บปวด ทว่าอย่างไรก็สามารถจัดการกับเฉิงเค่อได้


 


 


เพียงแต่พวกเขาคาดคิดไม่ถึง…


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด เป็นการเปรียบเปรย หมายถึงคนที่มีอายุ ยิ่งมากประสบการณ์


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 662 ยังมีหลักฐาน


 


 


คิดไม่ถึงว่าสองพ่อลูกสกุลเฉิงจะเป็นคนไร้ซึ่งยางอายขนาดนี้


 


 


เรื่องดำเนินไปถึงบัดนี้แล้ว เฉิงเหว่ยผู้เป็นบิดายังสามารถสาดโคลนใส่ลู่เหมียนเหมียนซึ่งเป็นสตรีได้อีก


 


 


ในเวลานี้ในใจแม่ทัพลู่ทั้งเต็มไปด้วยความแค้นและเกลียดชัง ทั้งเต็มไปด้วยความดีใจระคนกัน


 


 


ดีใจที่ตนเองตัดสินใจเช่นนี้ ไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องเช่นนี้ หากปิดบังเรื่องนี้เกรงว่าผ่านไปไม่ถึงวัน ลู่เหมียนเหมียนคงจะกลายเป็นคนสตรีที่ปล่อยตัว สำส่อนไปแล้ว


 


 


ทว่าเฉิงเหว่ยที่อยู่ตรงหน้ากลับเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกกมา เขาควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี


 


 


แม่ทัพลู่เชื่อมั่นฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณพระองค์นี้ ทว่าก็รู้สึกร้อนใจ หากวันนี้อธิบายไม่ชัดแจ้งและเรื่องนี้ถูกลือออกไป เกรงว่าชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนจะจบสิ้นแล้วจริงๆ


 


 


แม้ในเวลานี้มีชื่อเสียงไม่น่าฟัง ทว่าเมื่อเปรียบกันแล้วยังดีกว่าต้องขึ้นชื่อว่าเป็นคนโหดเ**้ยม มีแผนการที่ไม่อาจคาดคะเนได้!


 


 


“ใต้เท้าเฉิง” แม่ทัพลู่ชะงักไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ทว่าซูหลีกลับลุกขึ้นยืน


 


 


ใบหน้านางประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าในดวงตากลับไม่ปรากฏรอยยิ้มไปด้วย แต่กลับมีประกายเย็นชา นางมองที่เฉิงเหว่ยแล้วพลันเอ่ยว่า


 


 


“ใต้เท้าเฉิงเป็นถึงผู้บังคับบัญชาศาลต้าหลี่ หรือแม้แต่ยาที่ทำให้หลงเสน่ห์ก็ยังไม่รู้จักหรือ ช่างทำให้คนสงสัยโดยแท้ว่า หลายปีมานี้ใต้เท้าเฉิงจัดการเรื่องคดีได้อย่างไรกัน!” ขณะที่ซูหลีพูด ใบหน้านั้นดูเฉยเมยเป็นอย่างมาก


 


 


ทว่าความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ ทำให้เขาอดกลัวจนตัวสั่นไม่ได้


 


 


เฉิงเหว่ยเพียงเอ่ยว่าลู่เหมียนเหมียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทว่าซูหลีกลับพูดเกินเลยว่า เฉิงเหว่ยละเลยต่อหน้าที่ มิได้ทำหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาศาลต้าหลี่!


 


 


สีหน้าของเฉิงเหว่ยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อครู่เขาอยากที่จะอธิบายอะไรออกมา ทว่ากลับเห็นซูหลีดึงสิ่งบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อของตนเอง


 


 


“ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมพบบนร่างของคุณชายเฉิง ผงคลายเส้นเอ็นอีกทั้งยังมี…” ซูหลีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบของออกมาจากเสื้ออีกครั้งและเอ่ยว่า


 


 


“นี่เป็นใบสั่งยาที่จางย่วนพั่น[1]ตรวจอาการให้กับคุณหนูลู่ หากจำมิผิดวันนี้เป็นวันที่จางย่วนพั่นประจำการอยู่ ฝ่าบาทสามารถเรียกจางย่วนพั่นมาสอบถามได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ในที่แห่งนั้นพลันตกอยู่ในความเงียบงัน…


 


 


ซูหลีผู้นี้…


 


 


นางกล่าวว่ามีแต่พยานบุคคลหรือ


 


 


ทุกคนต่างพากันตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่านางยังเตรียมวิธีการอีกทางหนึ่ง ดังนั้นเรื่องทั้งหมดล้วนเตรียมการรอเอาไว้หมดแล้ว คล้ายกับรอให้สองพ่อลูกตระกูลเฉิงติดกับเรื่องนี้


 


 


ไม่เพียงเท่านั้น นางยังให้หมอหลวงเขียนใบสั่งยาเอาไว้อีก


 


 


ในใบสั่งยานั้น เกรงว่าเรื่องในวันนี้แม้เฉิงเหว่ยจะแก้ต่างให้กับบุตรเพียงใดก็ตาม ก็คงไม่มีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นเชื่อคำพูดทั้งสิ้น


 


 


ดวงตาของหวงเผยซานกวาดตามองอยู่ปราดหนึ่ง และมีขันทีผู้น้อยที่เฉลียวฉลาด เข้าไปรับของในมือทั้งสองข้างของซูหลีเอาไว้


 


 


“เมื่อวานตอนที่ช่วยเหลือแม่นางลู่เอาไว้ สีหน้าของนางดูไม่ดีเท่าไรนัก กระหม่อมคิดว่านางคงได้รับบาดเจ็บ สกุลลู่ถือว่าเรือนของสกุลลู่ตั้งอยู่ตรงถนนใหญ่ในเขตทางใต้ของเมืองหลวง เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านของจางย่วนพั่น”


 


 


“เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ กระหม่อมจึงเชิญจางย่วนพั่นมาตรวจอาการให้กับคุณหนูลู่ หลังจากจางย่วนพั่นได้ตรวจชีพจรของแม่นางลู่แล้ว ก็เอ่ยว่าแม่นางลู่ได้ถูกพิษจากผงคลายเส้นเอ็น ใบสั่งยานั้นได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว อีกทั้งยังมีชื่อของจางย่วนพั่นเขียนอยู่ ฝ่าบาททรงโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ตุบ! ทันทีที่ซูหลีเอ่ยจบ คนโดยรอบยังไม่ได้มีท่าทีตอบโต้อย่างใดๆ เฉิงเค่อที่คุกเข่าและไม่พูดไม่จามาโดยตลอด สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงไปที่พื้น บนใบหน้าซีดเผือดจนไม่มีสีเลือด


 


 


ท่าทางของเขานี้ จะมีใครมองไม่ออกอีก!


 


 


“ทูลฝ่าบาท” หลักฐานเหล่านั้นถูกส่งไปตรงหน้าฉินเย่หาน ฉินเย่หานมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดตามองไปทางซูหลี จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า


 


 


“เฉิงเค่อ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”


 


 


นี่เขากำลังจะคาดโทษเฉิงเค่อแล้ว!


 


 


เกิดการพลิกผันไปจนยากจะคาดเดา ทุกคนในที่นี่มองแล้วล้วนอ้ำอึ้ง


 


 


ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับจุดจบของเฉิงเค่อแล้ว


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ย่วนพั่น เป็นชื่อเรียกตำแหน่งขุนนางขั้นที่หก ของหมอหลวงในสำนักหมอหลวงของราชสำนัก


ตอนที่ 663 การลงโทษ


 


 


คนที่พวกเขาคาดคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ ซูหลีที่เข้าร่วมการว่าราชกิจยามเช้าในวันนี้เป็นวันแรก!


 


 


ความคิดของคนผู้นี้ช่างละเอียดรอบคอบ ความแข็งแกร่งภายในใจของเขาช่างเหนือความคาดหมายของทุกคน


 


 


เห็นได้ชัดว่าในมือเขากุมหลักฐานที่มีน้ำหนักเอาไว้อยู่ ทว่าเขากลับเก็บอาการเอาไว้ไม่แสดงอะไรออกมาทั้งสิ้น เขารอให้คนสกุลเฉิงพูดโต้แย้งทีละก้าว จากนั้นถึงหยิบสิ่งที่เตรียมเอาไว้ออกมา!


 


 


แผนการเช่นนี้ช่างล้ำลึกยิ่งนัก!


 


 


โดยเฉพาะการปฏิบัติทุกอย่างด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว ทำให้กระดานในครานี้กลายเป็นกระดานที่เข้าตาจน แม้กระทั่งเฉิงเหว่ยก็ยังถูกดึงเข้ามาในเรื่องนี้…


 


 


คนจำนวนไม่น้อยคิดได้เช่นนั้น ร่างกายก็สั่นเทิ้มด้วยความหนาวเหน็บอย่างห้ามไม่ได้


 


 


ช่างเป็นลูกวัวที่ไม่กลัวเสือ!


 


 


สกุลเฉิงล่วงเกินซูหลี ถึงได้ถูกคำพูดเลื่อนลอยและสิ่งของเพียงไม่กี่ชิ้นทำให้กลายเป็นเช่นนี้ได้!?


 


 


“ฝะ ฝ่าบาทโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ทันใดนั้นเฉิงเหว่ยก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาแทบจะแข้งขาอ่อนยวบลงไปทันใดและคุกเข่าลงไปเช่นนี้


 


 


มีทั้งหลักฐานและพยานเช่นนี้ เมื่อครู่เขายังสามารถเถียงข้างๆ คูๆ ได้ กล่าวว่าซูหลีมีความแค้นต่อเฉิงเค่อ กล่าวว่าลู่เหมียนเหมียนมีแผนการเช่นนี้เพราะรักแต่ไม่ได้ครอบครอง


 


 


ทว่าหลังจากผงยาคลายเส้นเอ็นกับใบสั่งยาที่จางย่วนพั่นเขียนด้วยตนเองเปิดเผยออก เขาก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว!


 


 


หลักฐานที่หนักแน่นดุจขุนเขาเช่นนี้ เขายังจะสามารถแก้ตัวอะไรได้อีก!?


 


 


ซูหลีชำเลืองเห็นสีหน้าของเฉิงเหว่ย ริมฝีปากจึงแสยะยิ้มเย็น


 


 


ศาลต้าหลี่เป็นสถานที่แห่งใดกัน ราชวงศ์ต้าโจวมีกรมอาญา กรมอาญานั้นมีหน้าที่ควบคุมกฎหมายทั้งราชวงศ์ ทว่าหากพบคดีพิเศษจะส่งมอบให้ศาลต้าหลี่จัดการ


 


 


ชีวิตคนสกุลหลี่หนึ่งร้อยสี่สิบสามชีวิต ไม่มีใครหลงเหลือสักคน


 


 


นี่เป็นผลสุดท้ายจากการตรวจสอบตลอดหลายเดือนของศาลต้าหลี่


 


 


แน่นอนว่าศาลต้าหลี่สามารถทำได้เพียงตรวจสอบคดีเท่านั้น ไม่สามารถลงโทษได้ การประหารชีวิตทั้งครอบครัวเป็นคำสั่งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนถ่ายทอดออกมา ทว่าหากพูดตามข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ที่ตรวจสอบว่าสกุลหลี่มีความผิดนั้นก็คือศาลต้าหลี่


 


 


ทว่าผ่านไปสองปีจนถึงวันนี้ คนภายนอกจะยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าสกุลหลี่กระทำสิ่งใดผิด เพียงรู้แค่ว่าเป็นโทษอันใหญ่หลวงที่ไม่สามารถละเว้นได้ ถึงถูกประหารทั้งสกุลเช่นนี้


 


 


ทว่ากลับไม่ได้รับเหตุผลของผู้บังคับบัญชาของศาลต้าหลี่ และนั่นก็คือเฉิงเหว่ย


 


 


เฉิงเหว่ยนั้นตรวจสอบคดีอย่างไร ซูหลีไม่อาจรับรู้ได้ ทว่านางรู้แค่ว่าเฉิงเหว่ยไม่ใช่บุคคลที่ไม่มีความผิด


 


 


ครั้นคิดถึงเรื่องของสกุลหลี่ สีหน้าของซูหลีก็เย็นชาไปหลายส่วน


 


 


ซูไท่ยืนอยู่ภายในกลุ่มขุนนาง เขาจับตามองที่บุตรของตนปราดหนึ่ง พลันรู้สึกว่าซูหลีในเวลานี้ดูเหมือนคนแปลกหน้าเป็นอย่างมาก


 


 


ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือความประพฤติ ล้วนไม่เหมือนบุตรที่ไม่ฟังคำสั่งสอนของเขาคนนั้นเลยสักนิด


 


 


“ถ่ายทอดคำสั่งของเราออกไป”


 


 


ฉินเย่หานที่นั่งอยู่เบื้องบนพลันเอ่ยปากขึ้น ซูหลีหวนสติกลับคืนมา และตั้งใจฟังคำพูดของฉินเย่หานอย่างละเอียดถี่ถ้วน


 


 


“เฉิงเค่อ บุตรของเฉิงเหว่ยผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ พยายามปล้นสวาทสตรี ทำตัวเหลวไหลตามอำเภอใจ ถือว่าเป็นโทษร้ายแรง นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถูกเพิกถอนออกจากตำแหน่งชื่อเสียง ไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้ตลอดชีวิต ลงโทษสถานหนักโดยการโบยแปดสิบครั้ง!”


 


 


กฎหมายของราชวงศ์ต้าโจว โทษของการมั่วโลกีย์จักต้องลงโทษด้วยการโบยแปดสิบครั้ง ฉินเย่หานจัดการลงโทษเขาอย่างยุติธรรม ซูหลีจึงไม่อาจพูดอะไรออกมาได้


 


 


“เฉิงเหว่ย ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ สั่งสอนบุตรอย่างไม่ถูกวิธี ทั้งยังปล่อยให้บุตรกระทำผิดโดยไม่ห้ามปรามจนทำผิดเช่นนี้ ความผิดร้ายแรง ดังนั้นลงโทษลดเบี้ยหวัดหนึ่งปี และลดขั้นเป็นรองผู้บัญชาการขั้นห้า!”


 


 


ในเวลานี้ช่างดีนัก เฉิงเหว่ยพยายามมาครึ่งชีวิตเพิ่งจะไต่ขึ้นไปอยู่ตำแหน่งผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ได้ เพียงชั่วพริบตาเดียวเขากลับถูกลดตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการเท่านั้น


 


 


สีหน้าของเฉิงเหว่ยซีดเผือด เขาเกือบจะทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้นเหมือนบุตรของตนจนลุกขึ้นมาไม่ไหวแล้ว!


 


 


ทว่าเขาทราบดี การลงโทษเช่นนี้ถือว่าเป็นโทษสถานเบาแล้ว ลู่เหมียนเหมียนเป็นถึงบุตรีของสกุลขุนนาง ซึ่งแตกต่างจากชาวบ้านสามัญชนทั่วไป ฉินเย่หานไม่คร่าชีวิตของเฉิงเค่อ นั่นก็ถือว่าเป็นพระกรุณาของฮ่องเต้แล้ว


 


 


“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท!” เมื่อรับคำลงโทษ เขายังต้องเอ่ยขอบคุณในพระกรุณา สีหน้าของเฉิงเหว่ยย่ำแย่จนถึงขีดสุด


 


 


ซูหลีที่ยืนอยู่ด้านข้างฉีกยิ้มที่มุมปากบางๆ จะรีบร้อนไปทำไม นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น


 


 


เมื่อเอ่ยว่าจะคิดบัญชีกับพวกเขา นางก็ไม่พูดเพียงลมปากเท่านั้น


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 664 ดวงตาเผยความรู้สึก


 


 


“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้จบลงเช่นนี้แล้ว จู่ๆ พลันมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนจากด้านข้าง


 


 


ซูหลีเหลือบตามองปราดหนึ่ง จากนั้นจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย คนที่ลุกขึ้นยืนกลับเป็นคนที่นางคาดไม่ถึง


 


 


“เรื่องนี้เป็นความผิดของใต้เท้าเฉิงกับคุณชายเฉิง ทว่าใต้เท้าซูมัดคนเข้ามาในท้องพระโรง อากัปกิริยาที่เหิมเกริมเช่นนี้เป็นการไม่เห็นผู้อื่นในสายตา ไม่เคารพฮ่องเต้ไม่นับถือท้องพระโรง หากปล่อยเรื่องนี้เลยตามเลย จะเป็นตัวอย่างไม่ดีเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าราชสำนักคงจะวุ่นวาย”


 


 


ป๋ายไต้ซือพูดจบก็เดินออกมาด้านหน้าก้าวหนึ่งและคำนับอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมอยากจะขอร้องให้ฝ่าบาทลงโทษใต้เท้าซูที่ปฏิบัติตัวไร้มารยาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


มิผิด คนที่ลุกขึ้นยืนขอร้องให้ฮ่องเต้ลงโทษซูหลี ก็คือป๋ายไต้ซือ บิดาของป๋ายถานและป๋ายเฮ่อ!


 


 


ซูหลีกวาดตามองเขาด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปราดหนึ่ง ดูเหมือนว่าการเข้ามาในท้องพระโรงครั้งแรกของนางจะดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อย บัดนี้ยังมีคนเริ่มใช้อำนาจข่มขู่นางแล้ว


 


 


น่าเสียดาย…


 


 


หากในยามปกติคงจะเห็นผลดั่งที่คาดไว้ อย่างไรป๋ายไต้ซือก็เป็นขุนนางอาวุโสที่อยู่มาสองรัชสมัย อำนาจในการพูดบนท้องพระโรงจึงไม่ใช่สิ่งที่ซูหลีจะเทียบได้ ทว่า…


 


 


ซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมา เกรงว่าจะทำให้พวกเขาผิดหวังเสียแล้ว!


 


 


“กระหม่อมคิดว่าที่ป๋ายไต้ซือกล่าวมาถูกต้องที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ไม่ปฏิบัติตามกรอบธรรมเนียม ควรจะลงโทษเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เมื่อไป๋ใต้ซือเอ่ยเช่นนี้ เนื่องจากเขาเป็นผู้นำของคนจำนวนมาก ขุนนางทางด้านนั้นจึงต่างผุดขึ้นขอร้องให้ลงโทษซูหลี


 


 


ใบหน้าของฉินเย่หานยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แววตาของเขาเย็นยะเยือกกวาดมองซูหลีปราดหนึ่ง เขาเห็นซูหลีไม่มีอาการตื่นตระหนกเพียงเพราะคำพูดของป๋ายไต้ซือ มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าที่เบาบางลงไปบ้างเท่านั้น


 


 


เช้าวันนี้ทั้งท้องพระโรงวุ่นวายเป็นอย่างมาก มีเพียงไม่กี่คนไม่สะทกสะท้านกับเรื่องนี้


 


 


คนหนึ่งคือผู้มีรูปโฉมหล่อเหลาอย่างไหวอ๋อง ฉินม่อโจว อีกคนหนึ่งคือคนสนิทของฮ่องเต้ จี้เหิงหราน


 


 


ฉินม่อโจวไม่รู้ว่าซูหลีคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาไม่อาจมีส่วนร่วมได้ ส่วนจี้เหิงหรานนั้น…ความรู้สึกของเขานั้นซับซ้อนมาก เพียงแต่ครานี้เขาไม่ได้เข้าช่วย แต่ก็ไม่ได้เข้าไปเหยียบย่ำซ้ำเติม กลับทำให้ผู้อื่นมองไม่ออกว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่


 


 


นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีพวกสกุลเซี่ย


 


 


เซี่ยเก๋อเหล่ากับบัณฑิตเซี่ยยืนอยู่ด้วยกัน ทว่ากลับยืนก้มหน้าก้มตามาโดยตลอด อยู่ในท่าทางที่คล้ายดั่งไม่สนใจเรื่องทางโลก


 


 


เซี่ยอวี่เสียนกลับรู้สึกเป็นห่วงซูหลีมาก น่าเสียดายที่บัดนี้เขายังไม่เป็นขุนนางอย่างเป็นทางการ ที่สามารถเข้าร่วมการว่าราชกิจ ก็แค่อาศัยชื่อเสียงของบัณฑิตจอหงวนในการสอบเอินเคอเท่านั้น ยามอยู่ในท้องพระโรงเขาไม่มีอำนาจในการพูดยิ่งกว่าซูหลีเสียอีก


 


 


เขาทำได้เพียงร้อนใจ ทว่าไม่สามารถช่วยอะไรซูหลีได้


 


 


เป็นประจวบที่ซูหลีที่ถูกป๋ายไต้ซือร้องเรียนจึงหันศีรษะมาพอดี ถึงได้สบเข้ากับแววตาที่เป็นกังวลของเซี่ยอวี่เสียนพอดี


 


 


นางผงะไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกอบอุ่นในใจ จากนั้นจึงฉีกยิ้มให้กับเซี่ยอวี่เสียน


 


 


เซี่ยอวี่เสียนถึงกับอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าซูหลีจะสามารถฉีกยิ้มในเวลานี้ได้ เมื่อคิดดูแล้วนางคงจะสามารถรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้ เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แววตาที่มองนางก็อ่อนโยนลงไปด้วย


 


 


ทว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ทราบว่า อากัปกิริยาของพวกเขาทั้งสองคนนั้นถูกฉินเย่หานมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว


 


 


แม้ใบหน้าของฉินเย่หานจะไม่แสดงอาการออกมา ทว่ารังสีรอบร่างกายของเขานั้นเปลี่ยนเป็นหนาวยะเยือก


 


 


หวงเผยซานที่ยืนอยู่เบื้องหลังฉินเย่หาน ถึงกับขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้


 


 


นะ…นี่จู่ๆ ฮ่องเต้ทรงเป็นอะไรไปแล้ว


 


 


“ซูหลี!” ทางด้านหวงเผยซานยังไม่เข้าใจ ก็ได้ยินเสียงเยียบเย็นของฉินเย่หานเอ่ยชื่อของซูหลี


 


 


ภายในท้องพระโรงพลันเงียบลงทันใด ทุกคนต่างพากันมองไปทางซูหลี


 


 


“…กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีผงะไปทันที ใบหน้ามีความตื่นตระหนก นี่ฉินเย่หานคงจะไม่ใช่เชื่อคำพูดของป๋ายไต้ซือกระมัง


 


 


เป็นไปไม่ได้กระมัง!?


ตอนที่ 665 หรือเสียสติไปแล้ว


 


 


เป็นสามีภรรยาวันเดียวความสัมพันธ์แน่นแฟ้น แม้พวกเขาจะไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ ทว่าก็เคยผ่านเรื่องอะไรนั่นแล้ว


 


 


ฮ่องเต้จะลงโทษอย่างไร้เมตตาได้จริงๆ หรือ


 


 


“เจ้ารู้ถึงความผิดหรือไม่” ฉินเย่หานมองนางอย่างเคร่งขรึม น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยียบ


 


 


ป๋ายไต้ซือที่ลุกขึ้นยืนเพื่อร้องเรียนซูหลีเป็นคนแรก เมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉินเย่หาน มุมปากจึงยกขึ้นเล็กน้อย


 


 


หลายวันมานี้ป๋ายถานให้คนส่งจดหมายกลับบ้านหลายต่อหลายครั้ง เนื้อความในจดหมายกล่าวว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาต้องจับตามองซูหลีผู้นี้เอาไว้ อย่าให้ซูหลีไต่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสูงได้


 


 


เดิมทีป๋ายไต้ซือยังไม่คิดจะใส่ใจ แม้ซูหลีจะฉลาดถึงอย่างไร ในสายตาของเขาก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น ไม่มีค่าพอที่เขาจะกังวลใจแม้แต่น้อย


 


 


ทว่าวันนี้เขาเห็นลูกไม้ที่ซูหลีจัดการพ่อลูกสกุลเฉิงแล้ว ป๋ายไต้ซือจึงจำเป็นให้ความสนใจคำพูดทั้งหมดของบุตรีแล้ว


 


 


เพียงแต่…


 


 


ดูเหมือนฝ่าบาททรงมิได้โปรดปรานซูหลีถึงขนาดนั้น อย่างน้อยบัดนี้ก็ยังเทียบกับจี้เหิงหรานไม่ได้


 


 


แม้ซูหลีกับจี้เหิงหราน คนหนึ่งจะเป็นเซ่าซือ อีกคนจะเป็นเซ่าฟู่ ฟังดูแล้วตำแหน่งขุนนางนั้นมิต่างอะไรกันมาก ทว่าจากอากัปกิริยาของฮ่องเต้แล้ว นั่นยังถือว่าต่างกันอีกมากโข


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะเสียเวลาจัดการซูหลี


 


 


“กระหม่อม…” ซูหลีคิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะต้องการลงโทษนางจริงๆ ในเวลานี้นางถึงกับอ้ำอึ้งไปบ้าง หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง จึงคุกเข่าลงอย่างยอมรับชะตากรรมแล้วเอ่ยว่า


 


 


“กระหม่อมทราบถึงความผิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ลากคนเข้ามาภายในคล้ายกับลากสัตว์เลี้ยงเข้ามา เป็นนางก็ไม่สามารถกล่าวปฏิเสธออกมาได้ ในเมื่อฮ่องเต้ถามหาความรับผิดชอบ นางก็ทำได้เพียงยอมรับความผิด


 


 


ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาเฉยเมย สมองพลันผุดภาพที่นางยิ้มให้เซี่ยอวี่เสียนเมื่อครู่ หัวใจยิ่งเต็มไปด้วยความอัดอั้น


 


 


กับบุรุษอื่นนางกลับพูดและยิ้มให้กับเขา พอเป็นเขา นางกลับยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมา!


 


 


นางเห็นคำพูดของเขาเป็นคำพูดที่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา!


 


 


“ทว่า…” ในขณะที่ฉินเย่หานมีสีหน้าคลุมเครือและบรรยากาศภายในกำลังตึงเครียด จู่ๆ ซูหลีเอ่ยขึ้นมา “ก่อนฝ่าบาทจะทรงลงโทษกระหม่อม กระหม่อมมีเรื่องที่อยากจะรายงานฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฉินเย่หานแสดงสีหน้าเยียบเย็น แล้วเอ่ยว่า “พูดมา!”


 


 


น้ำเสียงของเขาเย็นชามากกว่าเดิมอีกหลายส่วน


 


 


ในชั่วขณะนี้ซูหลีถึงกับอ้ำอึ้งไป เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านข้างก็อึ้งไปเช่นกัน


 


 


ไยจู่ๆ ฮ่องเต้ถึงเปลี่ยนเป็นอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ได้


 


 


ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้คิดว่าซูหลีทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ทว่าซูหลีกลับรู้สึกว่าตนบริสุทธิ์ นางไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น นางเพียงแค่เอ่ยว่ามีเรื่องต้องการรายงานเขาเท่านั้น ไยถึงทำให้ฉินเย่หานโมโหกัน


 


 


ป๋ายไต้ซือที่อยู่ด้านข้างแค่นยิ้มเย็นออกมา ฮ่องเต้ผู้ซึ่งมิเคยแสดงท่าทีโมโหหรือดีใจกลับถูกยั่วยุให้โกรธเช่นนี้เสียแล้ว


 


 


มีอะไรที่ต้องหวาดกลัวอีกกัน


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้จักกับคุณชายเฉิงถือว่านานพอสมควร แม้จะมีเรื่องที่ไม่มีความสุขเท่าไรนัก ทว่ากระหม่อมทราบดีกว่า แท้จริงแล้วคุณชายเฉิงมิใช่คนเช่นนี้” ซูหลีก็เป็นอีกคนที่ไม่เข้าใจโทสะของฉินเย่หาน ทว่านางกลับไม่คิดอะไรมาก เพียงเอ่ยในสิ่งที่ตนต้องการจะเอ่ยออกมา


 


 


หมายความว่าอย่างไรกัน


 


 


ทันทีที่นางพูดจบ ก็ทำให้ทุกคนหันมองไปทางนาง


 


 


เมื่อครู่นางยังมีทั้งพยานและหลักฐาน ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ก็เพื่อต้องการให้ฮ่องเต้ทรงลงโทษเฉิงเค่อผู้นี้ บัดนี้กลับเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา นี่ซูหลีต้องการร้องขอความเมตตาให้แก่เฉิงเค่อหรือ


 


 


คนที่ไม่ทราบยังคิดว่า นี่นางเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!


 


 


ทว่าสีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย ยังอยู่ท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น ไม่เหมือนคนเสียสติเลยสักนิดนี่นา!


 


 


แม้แต่เฉิงเค่อที่หมดอาลัยตายอยาก ในเวลานี้เขาก็ยังมองไปทางซูหลีอย่างห้ามไม่ได้


 


 


นี่ซูหลีเตรียมจะกระทำสิ่งใดกัน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 666 ใครเสียสติ


 


 


ซูหลีไม่วางแผนกระทำสิ่งใด นางเพียงพูดตามความจริงเท่านั้น


 


 


“คุณชายเฉิงเป็นถึงผู้นำของสี่อัจฉริยะสำนักฉยงสือ มีชื่อเสียงที่ดีในเมืองหลวงมาโดยตลอด” ช่างเถิด ในตอนแรกคนอื่นนำคำพูดนี้มาโต้แย้งคำพูดของนาง นางนี่ช่างดีโดยแท้ ยังหยิบยกคำพูดนี้ขึ้นมาพูดอีก


 


 


ในเวลานี้ทุกคนไม่เข้าใจว่านางต้องการกระทำสิ่งใดกัน


 


 


แม้แต่จี้เหิงหรานที่ไม่สนใจเรื่องนี้มาโดยตลอด ก็ยังอดมองซูหลีอยู่หลายปราดไม่ได้


 


 


“ใต้เท้าซู สรุปเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน เมื่อครู่ยังเอ่ยว่าคุณชายเฉิงต้องโทษอันใหญ่หลวง บัดนี้กลับช่วยคุณชายเฉิงในหลุดพ้นจากเรื่องนี้ จาก…” มีบางคนที่มองเรื่องนี้ไม่ออก จึงถามซูหลีตามตรง


 


 


หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสม เกรงว่าคนผู้นี้คงจะเอ่ยถามนางว่า… ‘หรือเจ้าจะสมองไม่ดีแล้ว’


 


 


ไม่สิ ซูหลีนั่นมีสติดีมากและรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่


 


 


“จากที่ข้าทราบมา เมื่อวานนี้คุณชายเฉิงดื่มสุราเข้าไปแล้ว ทว่าความสามารถในการดื่มสุราของคุณชายเฉิงไม่เหมือนกับกระหม่อม ความสามารถในการดื่มสุราของเขานั้นไม่เลวมาโดยตลอด ใช่หรือไม่ใต้เท้าเฉิง”


 


 


สีหน้าของเฉิงเหว่ยเปลี่ยนไป เขาไม่เข้าใจว่าซูหลีต้องการกระทำสิ่งอันใดกันแน่ เขาได้ยินดังนั้นจึงผงกหัวตามคำพูดของซูหลี


 


 


ปัญหาเรื่องความสามารถในการดื่มเหล่าเช่นนี้ แม้จะหาใครสักคนมาตอบคำถามก็สามารถตอบได้ เขานั้นไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้


 


 


อีกทั้ง เฉิงเหว่ยมองท่าทางเช่นนี้ของซูหลี เขาก็ไม่เข้าใจว่าซูหลีต้องการกระทำสิ่งใด ไม่แน่ซูหลีอาจต้องการช่วยเฉิงเค่อให้หลุดพ้นจริงๆ ก็ได้!


 


 


“คนทั่วไปดื่มสุราไม่มากนัก ทั้งยังเป็นบัณฑิตที่สอบผ่านขุนนางและมีชื่อเสียงที่ดีในเมืองหลวงมาโดยตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงลงมือกระทำเช่นนี้กับบุตรีของขุนนางในราชสำนักได้ ทุกท่านไม่รู้สึกประหลาดใจหรือ”


 


 


ประหลาดนัก!


 


 


ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คำพูดของซูหลีกลับประหลาดเสียยิ่งกว่า


 


 


นี่นางต้องการกระทำสิ่งใดกัน


 


 


แม้ผู้อื่นจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ ทว่าฉินเย่หานที่นั่งอยู่เบื้องบนนั้นกลับขมวดคิ้วขึ้นทันใด


 


 


คาดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะแสดงอารมณ์ออกมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เหล่าขุนนางใหญ่รู้สึกประหลาดใจในขณะเดียวกัน พวกเขาจึงครุ่นคิดในคำพูดของซูหลีอย่างละเอียด


 


 


ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังจมอยู่ในความคิดของตนเองจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่า หลังจากได้ยินประโยคคำถามของซูหลี สีหน้าของเฉิงเค่อก็เปลี่ยนไปถนัดตา


 


 


สีหน้าของเขานั้นดูย่ำแย่เสียยิ่งกว่าได้ยินคำตัดสินโทษของฮ่องเต้เมื่อครู่นี้อยู่หลายส่วน


 


 


สีหน้าของเฉิงเค่อกลับอยู่ในสายตาของเซี่ยอวี่เสียนที่ยืนอยู่ด้านข้างพอดี ในเวลานี้เขาถึงกับผงะไปเล็กน้อย


 


 


“นักปราชญ์ล้วนรักในชื่อเสียงของตน กระหม่อมคิดว่า คุณชายเฉิงก็ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะคุณหนูลู่เป็นถึงบุตรีของแม่ทัพในราชสำนักนี้ หากแม้จะคิดไม่ได้ในทันทีก็ไม่ควรจะลงมือกับคุณหนูลู่เช่นนี้ นอกเสียจาก…”


 


 


ซูหลีพูดถึงตรงนี้พลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ยามที่นางหยุดชะงักไปนี้ สามารถดึงดูดทุกคนให้สนใจคำพูดของนางได้สำเร็จ


 


 


“นอกจากว่าในเวลานั้น เขาจะมีสติเลือนราง!” จี้เหิงหรานที่ไม่ปริปากพูดตั้งแต่แรก ทันทีที่เอ่ยขึ้นก็ตรงเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา


 


 


ทว่าในที่สุดสายตาที่เขามองซูหลีก็เปลี่ยนไป เขาไม่ได้มีสายตาที่มองอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นนั้นแล้ว ในทางกลับกันยังมีความรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่งแฝงอยู่


 


 


ที่จริงแล้วนี่ก็แค่เรื่องกลั่นแกล้งกันแบบง่ายๆ ก็เท่านั้น หากคนโดยทั่วไปเมื่อประสบกับเรื่องเช่นนี้ ก็คงยืนกรานที่จะจัดการทุกอย่างเช่นนั้นก็เท่านั้น


 


 


ทว่าซูหลีกลับคิดไปถึงขั้นนี้


 


 


มิน่า ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงต้องการเก็บนางเอาไว้


 


 


เมื่อครู่หากนางไม่เอ่ยขึ้น แม้แต่จี้เหิงหรานก็ยังไม่คิดถึงขั้นนี้ แน่นอนว่าจี้เหิงหรานกับเฉิงเค่อไม่สนิทกัน นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหนึ่ง ทว่าเมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนจะพบว่าเรื่องนี้ทะแม่งๆ


 


 


ถึงแม้จะเป็นคนเขลาถึงอย่างไร ก็ทราบว่าหากแตะต้องบุตรีของขุนนางจะมีจุดจบอย่างไรกระมัง


 


 


หากเฉิงเค่อที่ทราบแล้วแต่ยังกระทำ เขาเสียสติไปแล้วหรือ


ตอนที่ 667 สารพิษ


 


 


คำตอบย่อมเป็นประโยคปฏิเสธ เฉิงเค่อสามารถสอบผ่านการสอบขุนนางได้ จะดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนเสียสติ


 


 


เช่นนั้นก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น…


 


 


ซูหลีกวาดสายตามองจี้เหิงหรานอย่างเฉยเมยปราดหนึ่ง นางกลับไม่ถือสาอะไรกับเขาอีก เพียงค่อยๆผงกศีรษะและเอ่ยว่า “ที่ใต้เท้าจี้กล่าวมานั้นมิผิด นอกเสียจากคนผู้นี้จะไม่มีสติหรือตื่นเต้นในเวลานั้น สภาพเช่นนี้มีผลกระทบถึงเขาโดยตรง อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถแยกแยะเบื้องหลังของเรื่องนี้ได้”


 


 


“เขาเพียงอาศัยอุปนิสัยของตนเองในเวลานั้นไปกระทำเรื่องต่างๆ”


 


 


ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา เหล่าขุนนางก็ตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาจำต้องเห็นด้วย คำพูดของซูหลีนั้นมีเหตุผลเป็นอย่างมาก


 


 


โดยเฉพาะคนที่รู้จักเฉิงเค่อ ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดออกมานั้นถูกต้อง


 


 


ในเวลานี้เซี่ยอวี่เสียนก็รู้สึกเช่นนี้


 


 


เขาผงะเล็กน้อย จากนั้นมองไปที่เฉิงเค่ออย่างห้ามไม่ได้ ทว่าบัดนี้ใบหน้าของเฉิงเค่อซีดจนไร้สีไปแล้ว คล้ายกับสูญเสียความหวังทั้งหมดไปแล้วมิปาน


 


 


เซี่ยอวี่เสียนขมวดคิ้ว สรุปแล้วภายในเรื่องนี้มีสาเหตุอะไรกันแน่ เพราะเหตุใดเฉิงเค่อถึงรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้


 


 


“ใต้เท้าฉาง” จู่ๆ ซูหลีก็เรียกชื่อคนผู้หนึ่งขึ้น


 


 


ฉางลู่ยืนอยู่ด้านข้าง เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน อาการของเฉิงเค่อนี้ทำให้เกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยมาก ทว่าเขาพูดไม่ถูกว่าความคุ้นเคยนี้เคยเห็นที่ใด


 


 


ทันใดนั้นเมื่อเขาถูกซูหลีขานชื่อขึ้น เขายังรู้สึกตกใจอยู่บ้างทว่าก็รู้สึกตัวทัน เขาก้าวไปทางด้านหน้าแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าซู”


 


 


ฉางลู่เป็นขุนนางชำระประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าโจว ทั้งยังเป็นขุนนางที่ค่อนข้างจะมีชื่อในราชสำนัก


 


 


“ขอถามใต้เท้าฉาง เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ในปีที่ยี่สิบเอ็ดของราชวงศ์ต้าโจวหรือไม่” ซูหลีฉีกยิ้มและเอ่ยคำถามเช่นนี้ออกมา ทันทีที่เปิดปากพูดก็ถามถึงเรื่องราวเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ฉางลู่ได้ยินดังนั้นจึงตะลึงงัน จากนั้นในสมองคล้ายดังมีประกายแสงบางอย่างพาดผ่าน


 


 


เขาแหงนศีรษะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองไปที่ซูหลีด้วยความเหลือเชื่อ


 


 


ซูหลีเห็นอากัปกิริยาของเขาจึงผงกศีรษะเล็กน้อย


 


 


“สรุปเกิดเรื่องอะไรกันแน่” เรื่องราวเปลี่ยนผันเป็นเช่นนี้ แม้แต่คณะเสนาบดีอาวุโสเหล่านั้นก็ยังนั่งไม่ติด พวกเขาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้


 


 


สีหน้าของฉางลู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงเอ่ยออกมาว่า “…ปีที่ยี่สิบเอ็ดของราชวงศ์ต้าโจว มีสารพิษตัวหนึ่งแพร่กระจายเข้ามาในเมืองหลวง หากสูดดมและกินของสิ่งนี้เข้าไป จะสามารถทำให้คนเกิดอาการหลอน จิตใจจะตื่นตัว มีความรู้สึกเลื่อนลอย ทว่าหลังจากสูดหรือกินของสิ่งนี้เข้าไป จะกัดกร่อนจิตวิญญาณของคนผู้นั้น ทั้งยังสามารถทำให้เสพติดของสิ่งนี้…”


 


 


“ในปีนั้นเป็นเพราะของสิ่งนี้แพร่กระจ่ายไปทั่ว ผู้คนจำนวนมากในเมืองหลวงติดของสิ่งนี้ พวกเขาจะดูบ้าคลั่ง คนที่ปกติเป็นอย่างมากกลับทำเลวสารพัดชนิด ในเวลานั้นทั้งราชวงศ์วุ่นวายไม่สงบสุข หลังจากนั้นจักรพรรดิเกาจู่ตรวจสอบจนพบของสิ่งนี้ พระองค์จึงใช้กฎหมายห้ามใช้ของสิ่งนี้เป็นอันขาด และยังทรงลงโทษเหล่าขุนนางและราษฎรที่เสพติดของสิ่งนี้…”


 


 


เลือดนองเป็นแม่น้ำ


 


 


คำพูดประโยคที่เหลือนี้ ฉางลู่มิได้เอ่ยออกมาทว่าบนท้องพระโรงล้วนเป็นบุคคลผู้เจนโลก ไฉนจะต้องให้เขาเอ่ยออกมาอีกกัน


 


 


เป็นเพราะของสิ่งนี้เกือบจะทำให้ทั้งราชวงศ์ต้าโจวล่มสลาย ดังนั้นฮ่องเต้เกาจู่จึงได้ลงมืออย่างรุนแรง หรือว่า…


 


 


“ของสิ่งนี้ เป็นผลของพืชชนิดหนึ่ง แล้วนำมาบดเป็นผง สิ่งนี้เรียกว่า…” หลังจากฉางลู่หยุดชะงักก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ผงฝิ่น!”


 


 


มิผิด!


 


 


ดวงตาของซูหลีมีประกายมืดหม่นพาดผ่าน เมื่อวานนี้ครั้งแรกที่นางเห็นเฉิงเค่อก็รู้สึกได้ว่าหน้าตาเฉิงเค่อดูแปลกไปจากเดิมมาก หลังจากเข้าใกล้เขาและตรวจชีพจรเขาด้วยตนเอง นางถึงได้มั่นใจยิ่งนัก


 


 


ในวันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ของสิ่งนี้ ทำลายคนไม่น้อย


 


 


ที่นี่เรียกของสิ่งนี้ว่าผงฝิ่น ทว่าไม่ว่าของสิ่งนี้จะมีชื่อเรียกว่าอย่างไร ก็เป็นสิ่งของที่คนเกลียดเข้ากระดูกดำ คิดไม่ถึงว่าของสิ่งนี้จะเริ่มแพร่กระจายในเมืองหลวงอีกครั้ง นี่จะไม่ให้ซูหลีตกใจได้อย่างไร


 


 


นี่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใด นางจึงต้องนำเฉิงเค่อเข้ามาในท้องพระโรงแห่งนี้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 668 ตรวจอาการ


 


 


มีขุนนางที่อายุค่อนข้างมากอยู่บนท้องพระโรงจำนวนมาก อีกทั้งยังจำเรื่องเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนได้ เพราะผงฝิ่นเป็นตัวกระพือลมที่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด


 


 


ในเวลานี้ของสิ่งนี้กลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง…


 


 


ทุกคนต่างทราบดีว่า ผงฝิ่นไม่มียาที่สามารถถอนพิษได้ หากเสพติดแล้วทั้งร่างกายก็ถูกทำลาย ในอดีตยามที่ท่านหมอเทวดาโจวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งใต้หล้ายังมีชิวตอยู่ ก็ยังจนปัญญากับของสิ่งนี้


 


 


คิดไม่ถึงว่า บัดนี้ผงฝิ่นจะปรากฏในท้องพระโรงอีกครั้ง!


 


 


นี่จะไม่ให้ผู้คนตื่นตระหนกได้อย่างไร!?


 


 


“นี่…สามารถยืนยันว่าเป็นผงฝิ่นใช่หรือไม่” หลังจากเกิดความวุ่นวายในระยะสั้นๆ ก็มีคนลุกขึ้นและถามขึ้นอย่างสงสัย


 


 


ฮ่องเต้เกาจู่ใช้วิธีเด็ดขาดโดยการห้ามนำผงฝิ่นเข้ามา ไยบัดนี้ผงฝิ่นถึงเข้ามาในเมืองหลวงได้


 


 


“มิผิด!” หลังจากได้ยินคำว่าผงฝิ่น เฉิงเหว่ยที่ถูกทำให้ตื่นตกใจ ในเวลานี้เขาหวนสติกลับคืนมาแล้วมองไปที่ซูหลีและเอ่ยว่า


 


 


“สัตว์เดรัจฉานนี้กระทำเรื่องเช่นนี้ได้ ก็สมควรที่จะได้รับการลงโทษ ทว่าใต้เท้าซูมิอาจอาศัยการคาดคะเนมากล่าวหาว่าเขาเสพผงฝิ่นเข้าไป ของที่ทำร้ายผู้คนอย่างผงฝิ่นนั้น ทำไมถึง…”


 


 


“ใต้เท้าเฉิงจะรีบร้อนไปทำไมกัน” ซูหลีไม่อยากจะเสวนากับเฉิงเหว่ยแล้ว นางไม่รอให้เขาพูดจบก็ขัดจังหวะในทันที


 


 


เมื่อเห็นนางยื่นมือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อของตนเองครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบขวดเครื่องเคลือบสีม่วงอ่อนขวดเล็กออกมา


 


 


หลังจากที่เห็นนางหยิบขวดใบเล็กออกมา สีหน้าของเฉิงเค่อที่อยู่ด้านข้างจึงซีดเผือดจนไม่เห็นสีเลือด เห็นได้ชัดว่าเขาถูกทำให้ตกใจ


 


 


“ทูลฝ่าบาท ในเมื่อกระหม่อมกล้าพูด เช่นนั้นแสดงว่ากระหม่อมมีหลักฐาน นี่เป็นผงฝิ่นที่เก็บรวบรวมมาจากร่างของเฉิงเค่อ” ขณะที่ซูหลีเอ่ย ก็นำของสิ่งนั้นถวายให้กับฮ่องเต้อย่างนอบน้อม


 


 


นางหยิบของสามสิ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนมองไปที่แขนเสื้อของนางอย่างไม่รู้ตัว นี่ในแขนเสื้อนี้ไยถึงคล้ายกับถุงเก็บสมบัติ ต้องการอะไรก็มีสิ่งนั้น!


 


 


มีคนจำนวนไม่น้อยมองซูหลีด้วยแววตา ประหลาดใจ อีกทั้งขวดใบเล็กสีม่วงอ่อนนั้นก็ถูกส่งไปตรงหน้าของฉินเย่หานเรียบร้อยแล้ว


 


 


ฉินเย่หานตวัดตามองไปยังของสิ่งนั้นอยู่หลายปราด สีหน้าดูไม่น่ามองนัก


 


 


ซูหลีเป็นคนสร้างปัญหาอื่นๆ จำนวนไม่น้อย ทว่านางไม่ใช่คนชอบพูดปด สิ่งของก็ถวายขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้ยังจะเป็นเรื่องโกหกได้อีกหรือ


 


 


“อีกประการหนึ่ง ต้องมีคนสงสัยว่ากระหม่อมใช้ผงฝิ่นนี้ใส่ร้ายป้ายสีเฉิงเค่อ ดังนั้นกระหม่อมอยากขอร้องฝ่าบาทให้ทรงเรียกหมอหลวงทั้งหมดมาตรวจอาการของเฉิงเค่อ คนที่เคยเสพผงฝิ่นจะมีผงฝิ่นหลงเหลืออยู่ในร่าง เฉิงเค่อเคยแตะต้องของสิ่งนี้หรือไม่ เพียงตรวจสอบก็ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ซูหลีแสดงความใจกว้างออกมา นางแม้กระทั่งเอ่ยคำพูดนี้ออกมาอย่างไม่หวาดหวั่น


 


 


“ทหาร ตามหมอหลวงเข้ามา!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญ จึงไม่กล้าเอ่ยอะไรมาก เขารีบเรียกหมอหลวงเข้ามา


 


 


เดิมทียังมีคนที่อยากเอ่ยอะไรออกมา แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วจึงพูดไม่ออก หากเฉิงเค่อไม่ได้เสพผงฝิ่นจริง แน่นอนว่าหมอหลวงจะเป็นคนล้างมลทินเขาเอง


 


 


เฉิงเหว่ยก้มศีรษะมองเฉิงเค่ออย่างห้ามไม่ได้ ทว่ากลับเห็นแววตาไร้จิตวิญญาณและใบหน้าสิ้นหวังของเขา


 


 


เมื่อมองอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเฉิงเหว่ยก็เปลี่ยนไป


 


 


บุตรของเขา เขาก็เข้าใจมากที่สุด เรื่องของเฉิงเค่อเห็นได้ชัดว่ามีปัญหาจำนวนมาก…


 


 


ทว่า!


 


 


ผงฝิ่นไม่สามารถเปรียบเทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้ได้ หากถูกหมอหลวงตรวจพบจริง ชีวิตของเฉิงเค่อก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน!


 


 


ในปีนั้นฮ่องเต้เกาจู่ใช้กำลังและสมองจำนวนมากถึงจะสามารถควบคุมสิ่งนี้ได้ บัดนี้เฉิงเค่อนำของสิ่งนี้มาไว้ถึงตรงหน้าของทุกคน แค่ครุ่นคิดก็ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง


 


 


นี่เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้มิมีทางให้อภัยอย่างเด็ดขาด!


 


 


ทว่า…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม