ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 659-668

 ตอนที่ 659 ล่า


 


 


หลี่ว์ซู่วิ่งหายใจพลางหอบหนัก เขาใกล้จะหมดแรงแล้ว นี่ไม่ได้แสดงเลยนะ ของจริงเลย หลังจากวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดมากว่าสามชั่วโมง เป็นใครก็ต้องเหนื่อยกันทั้งนั้นแหละ


 


 


หลายคนอาจสงสัยว่าขนาดนักวิ่งมาราธอนยังวิ่งสี่สิบกิโลเมตรได้เลย แล้วทำไมผู้บำเพ็ญถึงได้มีร่างกายอ่อนแอกว่านักวิ่งล่ะ ที่จริงแล้วนั้นนักวิ่งมาราธอนก็เห็นการวิ่งเร็วหนึ่งร้อยเมตรเป็นเรื่องเหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกัน


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มหน้ามืดแล้ว เขาอยากสร้างภาพลวงตาขึ้นมาว่าเขาถูกไล่ล่าลงทะเลไปโดยไม่มีทางเลือก พวกระดับ B พวกนี้ต้องมีของมีค่าติดตัวมาบ้างแหละ!


 


 


เพราะฉะนั้น ถ้าทำตามแผนที่วางไว้ได้ก็คงจะคุ้มอยู่ เพราะเขาจะได้ฆ่าคนใต้น้ำยังไงล่ะ หลี่ว์ซู่เริ่มมีความหวังปรากฏในใจขึ้นมาหน่อยแล้ว…


 


 


แต่แล้วฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ ก็เริ่มลดความเร็วลง ฟรานเชสโก้เช็ดหน้าจนสะอาดแล้วพูดว่า “เก่งนี่ แต่พวกเรารู้หรอกว่ามีคนรอซุ่มโจมตีจากใต้น้ำ ไปเรียนการแสดงมาให้เนียนกว่านี้ดีกว่านะ”


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มเครียด ทำไมแผนที่วางไว้อย่างดีถึงได้ถูกเปิดโปงตลอดเลยล่ะ


 


 


ยิ่งกว่านั้นยังมาล้อกันเรื่องทักษะการแสดงของเขาอีก ไม่น่าให้อภัยที่สุด!


 


 


คลื่นข้างล่างซัดเข้ากระทบฝั่งเสียงดังจนแตกละอองออกเป็นฟองสีขาวบนแนวปะการัง หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองลงไปข้างล่างหน้าผา ทีนี้ทะเลกว้างใหญ่นี้จะกลายเป็นเวทีของเขา และเขาก็จะเป็นนักล่าอยู่ในน้ำ


 


 


ผู้มีพลังระดับ B ปลอมๆ อย่างเขาวางแผนล่าระดับ B ตัวจริงเนี่ยนะ กล้าเกินไปแล้ว


 


 


จนป่านนี้หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่กล้าสู้กับกลุ่มของฟรานเชสโก้บนบกเพราะเขาอยากรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ให้ดีที่สุด เขาเรียนรู้เรื่องนี้มาจากการสู้ครั้งก่อนๆ แล้ว


 


 


ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าหน้ากากนี้ไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจมากไปกว่าทุกคน ถ้าใช้ไม่ดีก็จะทำให้เกิดอันตรายได้ และนั่นก็ทำให้ข้อมูลต่างๆ ที่เครือข่ายฟ้าดินจัดหามาให้มีความสำคัญอย่างยิ่ง


 


 


เมื่อก่อนหลี่ว์ซู่คิดว่าเขาจะทำอะไรในยุโรปก็ได้ตามใจชอบด้วยการใช้หน้าการนี้ปลอมตัว แต่หลังจากมาถึงได้ไม่นาน เรื่องก็กลับกลายเป็นว่าเขาต้องเผชิญเหตุการณ์ที่เล่นเขาจนเกือบถึงแก่ชีวิต นี่คงเป็นเพราะเขาเตรียมตัวมาไม่มากพอ


 


 


ถ้าเขาไม่ได้มีความสามารถในการยับยั้งพลังไฟของฮาเวิร์ด ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คงตกอยู่ในอันตรายแล้ว


 


 


หลังจากที่เขาปลอมเป็นฮาเวิร์ดไปพบเบ็นเนตต์ เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงพิรุธน่าสงสัยต่างๆ ด้วยการสร้างตัวตนใหม่มาฆ่าฮาเวิร์ด การทำแบบนี้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้เร็วก็จริง แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน


 


 


คนเราเรียนรู้ได้จากอดีตที่ผิดพลาดนั่นแหละ


 


 


เขาเห็นคุณค่าของชีวิตตัวเองเพราะเขาต้องกลับไปเจอหลี่ว์เสี่ยวอวี๋แบบยังมีชีวิต เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ใช้เวลาวิ่งบนบกก่อนหน้านี้จนตอนนี้เขาก็พร้อมเต็มที่แล้ว


 


 


“จะเอาอย่างไรต่อดีล่ะท่าน”


 


 


“จะไปทำลายวังสวรรค์น่ะสิ”


 


 


“แล้วถ้ากลับมาไม่ได้ล่ะ”


 


 


“’ งั้นไม่ไปละ…”


 


 


ไม่บอกก็รู้ว่าที่พูดไปคือหลี่ว์ซู่ชัดๆ …


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มหน้ามืดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขามองลงไปบนผิวน้ำทะเล หน้าผานั้นห่างไปหนึ่งร้อยเมตร และไม่มีคนชอบเล่นกีฬาผาดโผนที่ไหนกล้ากระโดดจากความสูงขนาดนี้แน่ แต่เวลามันเปลี่ยนไปแล้วล่ะ


 


 


หลี่ว์ซู่หันไปมองฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ จากนั้นเขาก็อ้าแขนกว้างและกระโดดลงไปในทะเลอย่างไม่มีความลังเลใดๆ เขายิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยขณะกระโดดลงไป


 


 


เอาล่ะ การล่าเริ่มขึ้นแล้ว


 


 


ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ มองหลี่ว์ซู่กระโดดลงไปราวกับนกนางนวล ฟรานเชสโก้แน่ใจว่าเขาเห็นรอยยิ้มบนหน้าของหลี่ว์ซู่ เขาเอ่ยถาม “มีใครเห็นไอ้หมอนั้นยิ้มไหม”


 


 


“ไม่นะครับ”


 


 


ฟรานเชสโก้งงหนัก เขาดูผิดไปเหรอ!


 


 


ไม่มีทาง!


 


 


เขามั่นใจว่าที่เขาเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงแน่ เขารู้ว่าเขาถูก ‘ฮาเวิร์ด’ หลอกเข้าให้แล้วเมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น ‘ฮาเวิร์ด’ สร้างแผนนี้ขึ้นมาก็เพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเองนี่เอง เขาหลอกให้คิดว่ามีคนซุ่มรอโจมตีอยู่ในน้ำ จากนั้นพวกคนที่ไล่ล่ามาก็จะไม่กล้าตามต่อไป!


 


 


อีกอย่างฟรานเชสโก้คิดว่ารอยยิ้มนั่นมีไว้ให้เขาเห็นคนเดียวด้วย แล้วความจริงนั้นก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้


 


 


รอยยิ้มนั้นถูกเก็บซ่อนไม่ให้คนอื่นๆ เห็นได้ แต่ฟรานเชสโก้ก็แข็งแกร่งกว่าอยู่ดีนั่นแหละ!


 


 


“ตามฉันไปฆ่าเขาซะ!” ฟรานเชสโก้ตะโกนแล้วกระโดดตามลงไป คนอื่นๆ มองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะมีทางเลือกเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ทำตามคำสั่งก็จะถูกฝ่ายศรัทธาลงโทษเอา พวกเขาเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าหัวหน้าบาทหลวงระดับ A นั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน


 


 


ฟรานเชสโก้และผู้บำเพ็ญระดับ B อีกห้าคนก็กระโดดน้ำลงไป เงาสีดำก็ล้อมรอบตัวพวกเขาไว้เมื่อร่างพวกเขาอยู่ในน้ำ


 


 


ฟรานเชสโก้หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา อย่างที่คิดไว้เลยว่าไม่มีใครรอซุ่มโจมตีหรอก มีฮาเวิร์ดอยู่คนเดียว!


 


 


เสื้อคลุมสีขาวของฟรานเชสโก้โอบอุ้มร่างของเขาไว้ เขาเคลื่อนไหวในน้ำได้คล่องแคล่วกว่าที่คิดเพราะเสื้อคลุมของเขาเป็นอาวุธวิเศษด้วยนั่นเอง!


 


 


เขามั่นใจว่าตัวเองเคลื่อนไหวในน้ำได้ดีมากแน่ๆ และแน่ใจอีกว่าเขาเดาสถานการณ์ถูก ก็เลยทำให้เขาไม่คิดอะไรมากกับการกระโดดลงน้ำมานั่นเอง


 


 


แต่ปัญหาก็คือการหายใจในน้ำนี่แหละ อย่างไรก็ตามพวกยอดฝีมือระดับ B ก็กลั้นหายใจอยู่ได้ประมาณสิบนาทีแหละนะ


 


 


แต่แล้วในตอนนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นปลาสีม่วงเป็นร้อยๆ ตัวปรากฏขึ้น


 


 


เดี๋ยวนะ! นั่นไม่ใช่ปลานี่!


 


 


ฟรานเชสโก้ชะงักพูดอะไรไม่ออก พอดูดีๆ แล้วปลาพวกนั้นเป็นแสงสีม่วงจากอสนีบาตกว่าร้อยๆ เส้นนั่นเอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าฮาเวิร์ดจะทำอะไรแบบนี้ได้!


 


 


อสนีบาตสีม่วงนั้นส่องประกายใต้น้ำสวยงามและดูลึกลับ ฟรานเชสโก้ไม่เคยเห็นสายฟ้าที่สวยขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเขาเลย


 


 


ไม่นะ… นั่นมันไม้ตายของเขานี่!


 


 


ฟรานเชสโก้คิดอยากใช้เสื้อคลุมสีขาวของเขาหลบหนีออกไปแต่ก็สายไปเสียแล้ว สายฟ้าเดินทางได้เร็วกว่ามนุษย์มาก แล้วสายฟ้านี่ก็ไม่ใช่สายฟ้าธรรมดาด้วย แต่เป็นสายฟ้าที่ได้มาจากการลงโทษของสวรรค์!


 


 


ทันใดนั้นทุกๆ คนรวมถึงฟรานเชสโก้ก็สั่นไหวอย่างน่ากลัวจากสายฟ้าดูด มันแล่นระเบิดไปทั่วร่างจนทำให้ร่างกายของพวกเขานั้นขยับไม่ได้ไป


 


 


ฟรานเชสโก้ไม่รู้จะทำอย่างไร มีแต่สมองที่ยังทำงานได้อยู่ในตอนนี้ เขากำลังจะโดนฆ่าโดยง่ายเสียแล้ว…


 


 


แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีเงาสีดำข้างล่างสั่นไหวไปด้วยเหมือนกัน…


 


 


เดี๋ยวนะ นี่แกโดนสายฟ้าของตัวเองดูดไปด้วยเหรอเนี่ย!


ตอนที่ 660 เหมือนสาหร่ายทะเล 


 


 


เมื่อกระโดดลงมาในทะเล ฟรานเชสโก้ก็รู้สึกราวกับตัวเองกำลังนั่งอยู่บนโรลเลอร์โคสเตอร์ ก่อนที่เขาจะกระโดดลงมา เขาคิดว่าหลี่ว์ซู่คงจะหลอกให้พวกเขากระโดดตามลงไป แต่พอกระโดดลงมาแล้วก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครซุ่มโจมตีอยู่อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย 


 


 


ทว่าต่อมากลับกลายเป็นว่าเขาถูกกระบี่แสงเล่นงานเสียอย่างนั้น เขาไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว 


 


 


ระหว่างการต่อสู้กับยอดฝีมือคนนั้น เขาขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้เลย แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าไม่ได้มีแต่พวกเขาห้าคนเท่านั้นที่ติดกับ ยอดฝีมือคนนั้นก็ติดกับตัวเองด้วยเหมือนกัน… 


 


 


ทั้งหกคนรวมหลี่ว์ซู่ล้วนตกอยู่ในความสิ้นหวัง ช่างเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดอะไรแบบนี้ ฟรานเชสโก้ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น พวกเขาอยากจะปลิดชีพอีกฝ่ายให้มันจบๆ ไป แต่ ‘ฮาเวิร์ด’ คนนี้เหลือเกินไปมาก เขาหมดหวังจนทำอะไรเลยเถิดไปมาก 


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็หมดหวังแล้วเหมือนกัน เขาเป็นผู้มีพลังสายธาตุน้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวน้ำอยู่แล้ว และผู้มีพลังสายธาตุไฟก็ไม่ควรกลัวไฟ เมื่อได้แตะต้องธาตุที่ตัวเองมีพลังก็ไม่ควรเป็นอะไร 


 


 


เมื่อก่อนหลี่ว์ซู่คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นผู้มีพลังธาตุสายฟ้า เพราะเขาสามารถจับสายฟ้าได้ แต่สายฟ้าอันนี้ดูเหมือนจะไม่รับรู้ตัวตนของเขาเลย มันกลับเข้าโจมตีเขาโดยไม่มีการแบ่งแยกใดๆ 


 


 


หลี่ว์ซู่งงไปหมด ผู้มีพลังสายธาตุน้ำควบธาตุสายฟ้ามีแค่ในความฝันของเขาเท่านั้นเหรอ ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาก็คงใช้พลังน้ำออกไปก่อนแล้วค่อยปล่อยกระบี่แสงแล้ว 


 


 


ทุกคนร่างกายสั่นไหวอยู่ใต้น้ำ อสนีบาตสวรรค์นี่แข็งแกร่งมากเกินไป หลี่ว์ซู่รู้ว่าอาการสั่นนี้คงหยุดไม่ได้ไปอีกสักพัก พวกเขาสั่นกันเหมือนกับสาหร่ายทะเลเลย… 


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่ไม่ได้ห่วงว่าพวกเขาจะไม่หยุดตัวสั่นกันหรือเปล่า แต่ห่วงว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายของฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ นั้นจะมากกว่าเขาหรือเปล่า ถ้าพวกเขาหายตัวสั่นก่อนเขา แล้วเขาจะทำยังไงล่ะ 


 


 


นี่เป็นไปได้ทั้งนัน ถ้าฟรานเชสโก้ได้เคลื่อนไหวก่อนละก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น แต่โชคดีที่เขาใช้กระบี่แสงไปแค่หนึ่งในสามของที่มีอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาต้องนอนจมอยู่ในทะเลแน่ๆ 


 


 


เหมือนสำนวนที่บอกว่าฆ่าไปหนึ่งพันแต่เสียกำลังคนไปแปดร้อย น่าขำสิ้นดี ถ้าเป็นแบบนั้นจริงหลี่ว์ซู่ก็คงฆ่าหกร้อยหกสิบหก แต่เสียไปเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแน่ๆ 


 


 


คลื่นใต้น้ำยังคงซัดหน้าผาต่อไปไม่หยุดหย่อน พวกเขาโดนคลื่นใหญ่ซัดเข้าไป มันซัดเข้าหาหินและหายไปจากนั้นก็กลับมาใหม่เรื่อยๆ อยู่อย่างนี้ จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ 


 


 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ แต่คลื่นที่พัดไปพัดมาทำให้หลี่ว์ซู่มาอยู่ตรงกลางของกลุ่มเสียอย่างนั้น เขาชนเข้ากับฟรานเชสโก้ และภาพที่เห็นก็เหมือนกับหุ่นขี้ผึ้งของเขาทั้งสองคนกำลังทักทายกันในขณะที่ตัวสั่นแหง็กๆ 


 


 


เขาเริ่มอารมณ์เสียแล้ว ทีนี้เขาก็เสียโอกาสเหมาะที่จะซ่อนตัวอย่างลึกลับแล้วกลับกลายมาอยู่ตรงกลางของกลุ่มเฉยเลย… 


 


 


หลี่ว์ซู่พุ่งเข้าใส่ฟรานเชสโก้แล้วยิ้มให้ แต่หน้าของฟรานเชสโก้กลับไม่ญาติดีด้วย เพราะเขาขยับไปไหนไม่ได้และทำได้แค่เพียงปล่อยให้ตัวเองถูกคลื่นพัดไปพัดมาเท่านั้น จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เผลอไปเตะหน้าของฟรานเชสโก้เข้าอิท่าไหนก็ไม่รู้… 


 


 


พอร่างของฟรานเชสโก้ลอยเข้ามา หลี่ว์ซู่ก็เตะหน้าเขาเข้าให้อีกรอบ 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!] 


 


 


ฟรานเชสโก้คิดว่านี่เป็นวันที่น่าอัปยศอดสูที่สุดในชีวิตของเขาแล้วล่ะ! 


 


 


หลังจากผ่านไปห้านาที ความชาหนึบก็เริ่มบรรเทาลง หลี่ว์ซู่เดาไว้ว่าความชาจากกระบี่แสงนี้คงจะอยู่ประมาณสิบนาทีได้ 


 


 


ถ้านี่มันโจมตีเข้ากับแค่คนอื่นแล้วหลี่ว์ซู่ก็ชนะไปจากการใช้ท่าไม้ตายไปแล้วล่ะ 


 


 


เดี๋ยวก่อนนะ หลี่ว์ซู่เห็นปัญหาหนึ่งแล้ว เขาเพิ่งจะดูดซับพลังสายฟ้าจากกระบี่แสงไม่ใช่เหรอ แล้วมันจะเป็นเหมือนกับตอนที่เขาโดนด่านเคราะห์สวรรค์ไหมล่ะเนี่ย เขาจะใช้อสนีบาตสีม่วงนี้เพื่อเพิ่มกระบี่สายฟ้าต้นแบบได้ไหมนะ 


 


 


ถึงตอนนี้เขาจะมีกระบี่ต้นแบบอยู่หกร้อยยี่สิบสี่เล่มแล้ว แต่เขาก็ยังให้กำเนิดวิญญาณดาบได้อีก เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีกระบี่แสงอยู่ที่ประมาณสามร้อยเล่มนิดๆ นอกจากนั้นกระบี่แสงพวกนี้ยังทรงพลังมากด้วย! 


 


 


หลี่ว์ซู่ใช้โอกาสที่ไม่มีใครขยับตัวได้นี้เพื่อเป็นตรวจสอบจุดชี่ไห่สักหน่อย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเขาพบว่าจำนวนของกระบี่แสงไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย… 


 


 


เขาเสียใจมาก ทำไมกระบี่ต้นแบบของเขาไม่เพิ่มขึ้นเลยล่ะ ต้องอัญเชิญอสนีบาตมาเท่านั้นเหรอ 


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็ต้องตกใจ เพราะในตอนที่เขายังรู้สึกชาหนึบอยู่นั้น ฟรานเชสโก้กลับขยับได้แล้ว! 


 


 


ฟรานเชสโก้ดูเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวเหมือนกัน เขาอารมณ์เสียขึ้นมาทันที วันนี้เขาต้องอับอายมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้แหละคือจังหวะเหมาะที่จะฆ่าหลี่ว์ซู่! 


 


 


ไม่ใช่แค่ฟรานเชสโก้ที่ขยับตัวได้เท่านั้น แต่ยอดฝีมือระดับ B คนอื่นๆ ก็ค่อยๆ หายจากอาการชาไปเหมือนกัน พวกเขามองหลี่ว์ซู่ด้วยสายตาอาฆาต 


 


 


ทุกคนพยายามจะฝืนอาการชาและว่ายน้ำเข้าไปหาหลี่ว์ซู่ พวกเขาอยู่ไม่ห่างกันมาก ทำให้พวกเขาเข้าไปถึงตำแหน่งของหลี่ว์ซู่ในเวลาไม่ถึงนาที! 


 


 


หลี่ว์ซู่ทำหน้าสงบนิ่งมากเมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตรายแบบนี้ เขาต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นๆ กว่าจะหายจากอาการชา เขาคงต้องขอเวลาอีกสักสองนาทีกว่าจะหาย 


 


 


และสองนาทีนั้นไม่ได้นานเลย แต่ว่าก็นานพอที่ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ จะฆ่าเขาทิ้งได้ 


 


 


ยิ่งคิดออกแบบนี้เขาก็ยิ่งสงบนิ่งเข้าไปใหญ่ 


 


 


เมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้น พวกที่กล้าหาญก็จะโกรธด้วยโทสะ แต่พวกที่กล้าหาญกว่าจะไม่โกรธ ส่วนพวกที่กล้าหาญยิ่งกว่าจะนิ่งสงบ 


 


 


แต่สีหน้าของหลี่ว์ซู่กลับเป็นปกติ เพราะเขาเป็นพวกกล้าหาญกว่าคนประเภทไหนๆ 


 


 


เมื่อเวลาผ่านไป หลี่ว์ซู่ก็ถอนหายใจออกมา ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ เห็นสายฟ้าสีม่วงนับไม่ถ้วนถูกปล่อยออกมาจากร่างของหลี่ว์ซู่… 


 


 


อะไรวะเนี่ย! ตอนแรกก็เห็นเตรียมตัวตายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังมีแผนสำรองได้อีกเนี่ย! 


 


 


ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ รีบว่ายน้ำขึ้นไปบนผิวน้ำทันที แต่ก็สายไปเสียแล้ว… 


 


 


ทั้งหกคนเริ่มตัวสั่นแหง็กๆ เหมือนสาหร่ายทะเลอีกแล้ว… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สามารถปล่อยกระบี่แสงออกมาพร้อมกันเยอะๆ ได้ หลังจากที่กระบี่แสงออกมาจากจุดชี่ไห่แล้ว เขาก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป 


 


 


เขาต้องใช้กระบี่แสงจากหนึ่งในหกที่มี แต่มันก็พอที่จะควบคุมได้ประมาณห้านาที หลี่ว์ซู่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถ้าคนอื่นๆ ขยับได้ตอนที่เขายังขยับไม่ได้ เขาก็ต้องทำให้คนอื่นเป็นอัมพาตกันแบบนี้ให้หมดล่ะ 


 


 


ในสถานการณ์ที่ที่สุดจริงๆ เขาก็ตายไปเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเขาซื้อเวลาได้เขาก็จะทำ 


 


 


แต่ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็คิดไปถึงปัญหาอื่นออก พวกระดับ B อย่างฟรานเชสโก้กลั้นหายใจใต้น้ำได้อย่างนะ กรณีของหลี่ว์ซู่น่ะไม่เหมือนกัน เขาไม่จำเป็นต้องหายใจในน้ำ 


 


 


เขาซื้อเวลาให้ตัวเองได้ประมาณสิบห้านาทีโดยการใช้กระบี่แสง เขาสามารถต่อเวลาไปได้อีกสิบห้าทีด้วย จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาก็คงเอาชนะพวกฟรานเชสโก้ได้แล้ว 


 


 


ในที่สุดหลี่ว์ซู่หาข้อได้เปรียบของตัวเองเจอ กลับกันฟรานเชสโก้ก็เพิ่งตระหนักว่าตัวเขากำลังตกอยู่ในอันตรายขนาดไหน! 


ตอนที่ 660 เหมือนสาหร่ายทะเล 


 


 


เมื่อกระโดดลงมาในทะเล ฟรานเชสโก้ก็รู้สึกราวกับตัวเองกำลังนั่งอยู่บนโรลเลอร์โคสเตอร์ ก่อนที่เขาจะกระโดดลงมา เขาคิดว่าหลี่ว์ซู่คงจะหลอกให้พวกเขากระโดดตามลงไป แต่พอกระโดดลงมาแล้วก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครซุ่มโจมตีอยู่อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย 


 


 


ทว่าต่อมากลับกลายเป็นว่าเขาถูกกระบี่แสงเล่นงานเสียอย่างนั้น เขาไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว 


 


 


ระหว่างการต่อสู้กับยอดฝีมือคนนั้น เขาขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้เลย แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าไม่ได้มีแต่พวกเขาห้าคนเท่านั้นที่ติดกับ ยอดฝีมือคนนั้นก็ติดกับตัวเองด้วยเหมือนกัน… 


 


 


ทั้งหกคนรวมหลี่ว์ซู่ล้วนตกอยู่ในความสิ้นหวัง ช่างเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดอะไรแบบนี้ ฟรานเชสโก้ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น พวกเขาอยากจะปลิดชีพอีกฝ่ายให้มันจบๆ ไป แต่ ‘ฮาเวิร์ด’ คนนี้เหลือเกินไปมาก เขาหมดหวังจนทำอะไรเลยเถิดไปมาก 


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็หมดหวังแล้วเหมือนกัน เขาเป็นผู้มีพลังสายธาตุน้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวน้ำอยู่แล้ว และผู้มีพลังสายธาตุไฟก็ไม่ควรกลัวไฟ เมื่อได้แตะต้องธาตุที่ตัวเองมีพลังก็ไม่ควรเป็นอะไร 


 


 


เมื่อก่อนหลี่ว์ซู่คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นผู้มีพลังธาตุสายฟ้า เพราะเขาสามารถจับสายฟ้าได้ แต่สายฟ้าอันนี้ดูเหมือนจะไม่รับรู้ตัวตนของเขาเลย มันกลับเข้าโจมตีเขาโดยไม่มีการแบ่งแยกใดๆ 


 


 


หลี่ว์ซู่งงไปหมด ผู้มีพลังสายธาตุน้ำควบธาตุสายฟ้ามีแค่ในความฝันของเขาเท่านั้นเหรอ ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาก็คงใช้พลังน้ำออกไปก่อนแล้วค่อยปล่อยกระบี่แสงแล้ว 


 


 


ทุกคนร่างกายสั่นไหวอยู่ใต้น้ำ อสนีบาตสวรรค์นี่แข็งแกร่งมากเกินไป หลี่ว์ซู่รู้ว่าอาการสั่นนี้คงหยุดไม่ได้ไปอีกสักพัก พวกเขาสั่นกันเหมือนกับสาหร่ายทะเลเลย… 


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่ไม่ได้ห่วงว่าพวกเขาจะไม่หยุดตัวสั่นกันหรือเปล่า แต่ห่วงว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายของฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ นั้นจะมากกว่าเขาหรือเปล่า ถ้าพวกเขาหายตัวสั่นก่อนเขา แล้วเขาจะทำยังไงล่ะ 


 


 


นี่เป็นไปได้ทั้งนัน ถ้าฟรานเชสโก้ได้เคลื่อนไหวก่อนละก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น แต่โชคดีที่เขาใช้กระบี่แสงไปแค่หนึ่งในสามของที่มีอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาต้องนอนจมอยู่ในทะเลแน่ๆ 


 


 


เหมือนสำนวนที่บอกว่าฆ่าไปหนึ่งพันแต่เสียกำลังคนไปแปดร้อย น่าขำสิ้นดี ถ้าเป็นแบบนั้นจริงหลี่ว์ซู่ก็คงฆ่าหกร้อยหกสิบหก แต่เสียไปเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแน่ๆ 


 


 


คลื่นใต้น้ำยังคงซัดหน้าผาต่อไปไม่หยุดหย่อน พวกเขาโดนคลื่นใหญ่ซัดเข้าไป มันซัดเข้าหาหินและหายไปจากนั้นก็กลับมาใหม่เรื่อยๆ อยู่อย่างนี้ จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ 


 


 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ แต่คลื่นที่พัดไปพัดมาทำให้หลี่ว์ซู่มาอยู่ตรงกลางของกลุ่มเสียอย่างนั้น เขาชนเข้ากับฟรานเชสโก้ และภาพที่เห็นก็เหมือนกับหุ่นขี้ผึ้งของเขาทั้งสองคนกำลังทักทายกันในขณะที่ตัวสั่นแหง็กๆ 


 


 


เขาเริ่มอารมณ์เสียแล้ว ทีนี้เขาก็เสียโอกาสเหมาะที่จะซ่อนตัวอย่างลึกลับแล้วกลับกลายมาอยู่ตรงกลางของกลุ่มเฉยเลย… 


 


 


หลี่ว์ซู่พุ่งเข้าใส่ฟรานเชสโก้แล้วยิ้มให้ แต่หน้าของฟรานเชสโก้กลับไม่ญาติดีด้วย เพราะเขาขยับไปไหนไม่ได้และทำได้แค่เพียงปล่อยให้ตัวเองถูกคลื่นพัดไปพัดมาเท่านั้น จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เผลอไปเตะหน้าของฟรานเชสโก้เข้าอิท่าไหนก็ไม่รู้… 


 


 


พอร่างของฟรานเชสโก้ลอยเข้ามา หลี่ว์ซู่ก็เตะหน้าเขาเข้าให้อีกรอบ 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!] 


 


 


ฟรานเชสโก้คิดว่านี่เป็นวันที่น่าอัปยศอดสูที่สุดในชีวิตของเขาแล้วล่ะ! 


 


 


หลังจากผ่านไปห้านาที ความชาหนึบก็เริ่มบรรเทาลง หลี่ว์ซู่เดาไว้ว่าความชาจากกระบี่แสงนี้คงจะอยู่ประมาณสิบนาทีได้ 


 


 


ถ้านี่มันโจมตีเข้ากับแค่คนอื่นแล้วหลี่ว์ซู่ก็ชนะไปจากการใช้ท่าไม้ตายไปแล้วล่ะ 


 


 


เดี๋ยวก่อนนะ หลี่ว์ซู่เห็นปัญหาหนึ่งแล้ว เขาเพิ่งจะดูดซับพลังสายฟ้าจากกระบี่แสงไม่ใช่เหรอ แล้วมันจะเป็นเหมือนกับตอนที่เขาโดนด่านเคราะห์สวรรค์ไหมล่ะเนี่ย เขาจะใช้อสนีบาตสีม่วงนี้เพื่อเพิ่มกระบี่สายฟ้าต้นแบบได้ไหมนะ 


 


 


ถึงตอนนี้เขาจะมีกระบี่ต้นแบบอยู่หกร้อยยี่สิบสี่เล่มแล้ว แต่เขาก็ยังให้กำเนิดวิญญาณดาบได้อีก เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีกระบี่แสงอยู่ที่ประมาณสามร้อยเล่มนิดๆ นอกจากนั้นกระบี่แสงพวกนี้ยังทรงพลังมากด้วย! 


 


 


หลี่ว์ซู่ใช้โอกาสที่ไม่มีใครขยับตัวได้นี้เพื่อเป็นตรวจสอบจุดชี่ไห่สักหน่อย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเขาพบว่าจำนวนของกระบี่แสงไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย… 


 


 


เขาเสียใจมาก ทำไมกระบี่ต้นแบบของเขาไม่เพิ่มขึ้นเลยล่ะ ต้องอัญเชิญอสนีบาตมาเท่านั้นเหรอ 


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็ต้องตกใจ เพราะในตอนที่เขายังรู้สึกชาหนึบอยู่นั้น ฟรานเชสโก้กลับขยับได้แล้ว! 


 


 


ฟรานเชสโก้ดูเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวเหมือนกัน เขาอารมณ์เสียขึ้นมาทันที วันนี้เขาต้องอับอายมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้แหละคือจังหวะเหมาะที่จะฆ่าหลี่ว์ซู่! 


 


 


ไม่ใช่แค่ฟรานเชสโก้ที่ขยับตัวได้เท่านั้น แต่ยอดฝีมือระดับ B คนอื่นๆ ก็ค่อยๆ หายจากอาการชาไปเหมือนกัน พวกเขามองหลี่ว์ซู่ด้วยสายตาอาฆาต 


 


 


ทุกคนพยายามจะฝืนอาการชาและว่ายน้ำเข้าไปหาหลี่ว์ซู่ พวกเขาอยู่ไม่ห่างกันมาก ทำให้พวกเขาเข้าไปถึงตำแหน่งของหลี่ว์ซู่ในเวลาไม่ถึงนาที! 


 


 


หลี่ว์ซู่ทำหน้าสงบนิ่งมากเมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตรายแบบนี้ เขาต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นๆ กว่าจะหายจากอาการชา เขาคงต้องขอเวลาอีกสักสองนาทีกว่าจะหาย 


 


 


และสองนาทีนั้นไม่ได้นานเลย แต่ว่าก็นานพอที่ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ จะฆ่าเขาทิ้งได้ 


 


 


ยิ่งคิดออกแบบนี้เขาก็ยิ่งสงบนิ่งเข้าไปใหญ่ 


 


 


เมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้น พวกที่กล้าหาญก็จะโกรธด้วยโทสะ แต่พวกที่กล้าหาญกว่าจะไม่โกรธ ส่วนพวกที่กล้าหาญยิ่งกว่าจะนิ่งสงบ 


 


 


แต่สีหน้าของหลี่ว์ซู่กลับเป็นปกติ เพราะเขาเป็นพวกกล้าหาญกว่าคนประเภทไหนๆ 


 


 


เมื่อเวลาผ่านไป หลี่ว์ซู่ก็ถอนหายใจออกมา ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ เห็นสายฟ้าสีม่วงนับไม่ถ้วนถูกปล่อยออกมาจากร่างของหลี่ว์ซู่… 


 


 


อะไรวะเนี่ย! ตอนแรกก็เห็นเตรียมตัวตายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังมีแผนสำรองได้อีกเนี่ย! 


 


 


ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ รีบว่ายน้ำขึ้นไปบนผิวน้ำทันที แต่ก็สายไปเสียแล้ว… 


 


 


ทั้งหกคนเริ่มตัวสั่นแหง็กๆ เหมือนสาหร่ายทะเลอีกแล้ว… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สามารถปล่อยกระบี่แสงออกมาพร้อมกันเยอะๆ ได้ หลังจากที่กระบี่แสงออกมาจากจุดชี่ไห่แล้ว เขาก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป 


 


 


เขาต้องใช้กระบี่แสงจากหนึ่งในหกที่มี แต่มันก็พอที่จะควบคุมได้ประมาณห้านาที หลี่ว์ซู่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถ้าคนอื่นๆ ขยับได้ตอนที่เขายังขยับไม่ได้ เขาก็ต้องทำให้คนอื่นเป็นอัมพาตกันแบบนี้ให้หมดล่ะ 


 


 


ในสถานการณ์ที่ที่สุดจริงๆ เขาก็ตายไปเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเขาซื้อเวลาได้เขาก็จะทำ 


 


 


แต่ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็คิดไปถึงปัญหาอื่นออก พวกระดับ B อย่างฟรานเชสโก้กลั้นหายใจใต้น้ำได้อย่างนะ กรณีของหลี่ว์ซู่น่ะไม่เหมือนกัน เขาไม่จำเป็นต้องหายใจในน้ำ 


 


 


เขาซื้อเวลาให้ตัวเองได้ประมาณสิบห้านาทีโดยการใช้กระบี่แสง เขาสามารถต่อเวลาไปได้อีกสิบห้าทีด้วย จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาก็คงเอาชนะพวกฟรานเชสโก้ได้แล้ว 


 


 


ในที่สุดหลี่ว์ซู่หาข้อได้เปรียบของตัวเองเจอ กลับกันฟรานเชสโก้ก็เพิ่งตระหนักว่าตัวเขากำลังตกอยู่ในอันตรายขนาดไหน! 



 

 

 


ตอนที่ 661 วิญญาณกระบี่ที่สุดแสนจะเกร...

 

หลี่ว์ซู่เพิ่งคิดออกว่าตัวเองสามารถใช้พวกฟรานเชสโก้เป็นแหล่งปั๊มแต้มอารมณ์อย่างนับไม่ถ้วนได้ตอนกำลังรอให้กระบี่แสงปรากฏออกมา 


 


 


เขาขยับตัวจากกระบี่แสงของเขาไม่ได้เหมือนกัน หลังจากที่ปล่อยสายฟ้าออกไปแล้วพวกเขาก็ทำได้แค่แยกออกจากกันช้าๆ หลี่ว์ซู่ไม่สามารถควบคุมให้น้ำปกป้องไม่ให้เขาโดนไฟฟ้าดูดได้ 


 


 


ถึงเขาอยากจะปล่อยดาบแสงไปเพื่อปกป้องตัวเองก็ตาม แต่เขาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเขาหายจากอาการชาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ฟรานเชสโก้ก็ซวยแล้วล่ะ 


 


 


ปกติแล้วฟรานเชสโก้สามารถกลั้นหายใจในน้ำได้มากกว่าสามสิบนาที แต่เมื่ออยู่ในการต่อสู้แล้ว มันกลับต่างออกไป มีปัจจัยต่างๆ ทำให้เวลาที่เขาสามารถกลั้นหายใจได้น้อยลงไป อาการตื่นกลัวเองก็ใช่ อีกอย่างเขาไม่รู้ด้วยว่าหลี่ว์ซู่จะปล่อยกระบี่แสงออกมาอีกกี่รอบ เขาไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ในน้ำนานอีกแค่ไหน 


 


 


ถ้ามีถังออกซิเจนให้พวกเขา ชัยชนะก็คงตกมาอยู่ที่พวกเขา 


 


 


แต่จนป่านนี้ฟรานเชสโก้ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ฮาเวิร์ดเป็นผู้มีพลังสายธาตุไฟไม่ใช่เหรอ! แปลกจริง! ทั้งพลังธาตุไฟและธาตุสายฟ้าเป็นสุดยอดพลังธาตุที่สร้างความเสียหายรุนแรงเลยนี่ ฮาเวิร์ดโชคดีขนาดมีพลังน่าทึ่งแบบนี้จริงๆ งั้นเหรอ 


 


 


เดี๋ยวก่อนนะ! 


 


 


ฟรานเชสโก้คิดว่าถ้าฮาเวิร์ดเป็นผู้พลังธาตุสายฟ้าด้วยแล้วทำไมเขาถึงโดนสายฟ้าโจมตีเข้าให้ล่ะ ถ้าให้เดาแล้วละก็ เขาต้องใช้อาวุธวิเศษแน่นอน! 


 


 


คลื่นน้ำซัดพวกเขาทั้งหกคนไปด้วยกัน ฟรานเชสโก้เริ่มคิดอย่างหนักเมื่อเขาเห็นขาของหลี่ว์ซู่ลอยมาอยู่ตรงหน้าอีกแล้ว… 


 


 


หลี่ว์ซู่วิ่งมาสามชั่วโมง แล้วเพราะเขาวิ่งด้วยความเร็วขนาดนั้น รองเท้าของเขาจึงขาดวิ่นในเวลาไม่นาน ถึงเขาจะเอารองเท้าสิบคู่ไปไหนต่อไหนด้วย แต่เขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี น่าเศร้ามากที่ต้องเสียเงินไปกับการซื้อรองเท้าแบบนี้ 


 


 


ฟรานเชสโก้สังเกตเห็นนิ้วโป้งเท้าของหลี่ว์ซู่โผล่ออกมา รวมถึงเห็นฝุ่นที่ติดรองเท้ามาด้วย 


 


 


ตูม! หลี่ว์ซู่เตะหน้าฟรานเชสโก้ไปอีกรอบด้วยแรงที่ส่งมา ฟรานเชสโก้อึ้งไปเลย เขาเกือบระเบิดออกมาด้วยความโกรธ นี่น้ำก็โจมตีเขาด้วยงั้นเหรอ! 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!] 


 


 


ฟรานเชสโก้โกรธจนตัวสั่น ถ้าเขาหายชาเมื่อไหร่ละก็ เขาขอลองดูหน่อยว่าหลี่ว์ซู่จะทนไปได้สักกี่น้ำ 


 


 


เขาอยากเห็นด้วยว่าหลี่ว์ซู่จะใช้อาวุธวิเศษสายฟ้าไปได้อีกนานเท่าไหร่ การดูดจากสายฟ้าครั้งนี้ไม่ได้แรงเท่าครั้งก่อนด้วย 


 


 


ฟรานเชสโก้คิดว่าในเมื่อฮาเวิร์ดไม่ได้เป็นผู้มีพลังสายธาตุน้ำ เขาก็คงกลั้นหายใจในน้ำไม่ได้นานหรอก เขาน่าจะกลั้นหายใจได้น้อยว่าคนอื่นๆ ด้วยซ้ำเพราะเขากระโดดลงมาก่อนแล้ว และร่างกายของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคนอื่นๆ ด้วย 


 


 


แต่เมื่อเวลาผ่านไป คลื่นน้ำก็ซัดทุกคนกระจัดกระจายไปหมด เมื่อพวกเขาหายชากันแล้วก็เร่งว่ายน้ำเข้าไปหาหลี่ว์ซู่อีกครั้ง พวกเขาอยู่ห่างออกไปห้าเมตรจากจุดที่หลี่ว์ซู่อยู่ 


 


 


ครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวโดนสายฟ้ากันอีกรอบ แต่เท่าที่ผ่านมาแล้วพวกเขาก็ไม่ได้รับความเสียหายจากสายฟ้ามากเท่าไหร่ พวกเขายังมีเวลาอีกนิดหน่อยก่อนจะกลั้นหายใจต่อไปไม่ไหว จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ต้องโดนดูดด้วยเหมือนกัน 


 


 


แล้วทุกคนก็เริ่มฮึกเหิมขึ้นมา พวกเขาใกล้จะตายแล้วแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้นแหละ 


 


 


ถ้าพวกเขาช้ากว่านี้ไปอีกหน่อย หลี่ว์ซู่ก็คงหายจากการชาและใช้พลังน้ำไปแล้ว จากนั้นคนห้าคนพวกนี้ก็จะต้องเป็นแพะให้เขาตักตวงผลประโยชน์ไป 


 


 


แต่บังเอิญที่ร่างกายของพวกฟรานเชสโก้นั้นแข็งแรงกว่าหลี่ว์ซู่ และหลี่ว์ซู่เองก็ยังใช้พลังน้ำไม่ได้ 


 


 


แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่ตั้งใจจะฆ่าพวกเขาให้หมด ถึงจะต้องใช้กระบี่แสงจนหมด เขาก็อาจจะยังมีชีวิตรอดอยู่เพราะเขาได้เปรียบใต้น้ำ เขาอาจจะฆ่าอีกฝ่ายได้สักสองคนก็ได้ 


 


 


เมื่อฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ เห็นหลี่ว์ซู่เอากระบี่แสงออกมา พวกเขาก็ไม่สนใจ อ้อ มาอีกแล้วงั้นสิ 


 


 


ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้หนีไปไหนและทำท่าสบายๆ ขณะรออีกไม่กี่นาทีเท่านั้น 


 


 


และฟรานเชสโก้ก็ยิ่งกว่านั้นอีก เขาได้เข้าไปอยู่ประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว เขาใช้แขนทั้งสองข้างกวนน้ำเพื่อสร้างการเคลื่อนไหวขณะที่เขาขยับขาเพื่อเอียงตัวทำให้เขาไปหาหลี่ว์ซู่ได้เร็วขึ้น 


 


 


ฟรานเชสโก้ยกขาขึ้นไปเพื่อจะเตะคืนหลี่ว์ซู่เมื่อกี้ด้วย… 


 


 


ทุกคนรู้ว่าหลี่ว์ซู่คงจะมีแผนสำรองมาอีก แต่ที่สุดแล้วหลี่ว์ซู่ก็คงใช้กลเม็ดที่มีอยู่ไปหมดมุกแล้ว ทุกคนก็เลยรอให้ความชาหายไปและจะมีโอกาสฆ่าหลี่ว์ซู่สักที 


 


 


พวกเขากำลังบีบให้หลี่ว์ซู่เผยไต๋ออกมาอยู่! 


 


 


แต่ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ คงไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่นั้นสามารถปล่อยกระบี่อื่นๆ อย่างกระบี่ซือโก่วออกมาได้นอกจากกระบี่แสงได้อีก 


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่ควบคุมกระบี่โดยใช้พลังน้ำไม่ได้แล้ว เขาเกือบจะจนปัญญาแล้ว แต่แล้วเขาก็นึกถึงกระบี่ซือโก่ว มันสามารถใช้ประโยชน์อื่นๆ นอกจากฆ่าคนได้… 


 


 


หลังจากที่กระบี่ซือโก่วออกมาจากแผนภูมิดารา มันก็ไม่ได้พุ่งออกไปสังหารคนอื่น แต่กลับหยุดลงอยู่ตรงหน้าอกของหลี่ว์ซู่ บริเวณเสื้อของเขาแทน กระบี่ซือโก่วสูญเสียการควบคุมไปเมื่อโดนสายฟ้าฟาดใส่ 


 


 


ทันใดนั้นฟรานเชสโก้ก็ใช้พุ่งไปเพื่อจะเตะอัดหน้าหลี่ว์ซู่ ทว่าเขากลับเห็นอะไรบางอย่างสีขาวๆ ในกระเป๋าของหลี่ว์ซู่ ร่างนั้นว่องไวมาก และรูปร่างดูเหมือนมนุษย์ด้วยแต่เขามองหน้ามันไม่ชัด 


 


 


ฟรานเชสโก้คิดว่าเขาตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่าเนี่ย แล้วร่างนั้นคืออะไรกันล่ะ เกิดอะไรขึ้นกันนะ ฮาเวิร์ดเลี้ยงดูร่างนั้นไว้เหรอ 


 


 


จากนั้นทุกคนก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีเมื่อคนเดียวที่ขยับตัวได้ในตอนนี้ก็คือวิญญาณกระบี่! 


 


 


พวกเขาไม่รู้หรอกว่าวิญญาณกระบี่นี้เป็นอะไร แต่พวกเขารู้ว่าจะต้องมีอะไรน่ากลัวๆ เกิดขึ้นแน่! 


 


 


ก่อนที่ฟรานเชสโก้จะเตะหน้าหลี่ว์ซู่ เขาก็เห็นวิญญาณกระบี่ว่ายน้ำไปมาอย่างร่าเริง จากนั้นมันก็มาปรากฏตัวหน้าฟรานเชสโก้แล้วก็… 


 


 


เพียะ! 


 


 


“อะไรวะ!” ฟรานเชสโก้ตัวสั่น วิญญาณกระบี่ทำเขาหมุนอย่างเร็วในน้ำ และหน้าของเขาก็มีรอบตบสีแดงปรากฏขึ้นมา 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!] 


 


 


ฟรานเชสโก้พยายามควบคุมความโกรธไว้ แต่ตบเมื่อกี้นั้นทำเขาระเบิดออกมาด้วยความโกรธ เขาโกรธจัดมากๆ เลยตอนนี้! 


 


 


และวิญญาณกระบี่ก็ว่ายน้ำอย่างร่าเริงไปหาคนอื่นๆ พวกเขาไม่สามารถบรรยายความกลัวออกมาได้เลย ทำไมมันถึงแข็งแกร่งแบบนี้เนี่ย! 


 


 


เพียะ! ไปหนึ่ง 


 


 


แล้วก็ เพียะ! ไปอีกหนึ่ง 


 


 


จากนั้นทุกคนก็หมุนอย่างบ้าคลั่ง ถ้าสายฟ้าไม่ได้ทำให้พวกเขาชาแล้วหน้าก็คงแสบร้อนด้วยความเจ็บปวดไปแล้ว 


 


 


การต่อสู้นี้มันอะไรกันเนี่ย ตั้งแต่หลี่ว์ซู่พยายามจะเตะฝุ่นให้ฟุ้งแล้วนะ ไม่มีใครรู้เลยว่าการต่อสู้นั้นจะดำเนินอย่างไรต่อไป 


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่แอบเสียดายเล็กน้อยที่วิญญาณกระบี่ไม่ฟังคำสั่งเขา ถ้าวิญญาณกระบี่ออกไปฆ่าได้ งั้นพวกฟรานเชสโก้ก็คงจะตายไปเรียบร้อยแล้วตอนที่พวกเขายังขยับกันไม่ได้นี่แหละ 


ตอนที่ 662 โจมตีกลับ!  


 


 


ก้นทะเลตอนนี้มีแต่จิตสังหาร ทุกคนคิดแต่วิธีทำให้ศัตรูหลั่งเลือดออกมา พวกเขาไม่ทำให้ทะเลเปลี่ยนเป็นสีแดงหรอก แค่ให้มีเลือดสดๆ ไหลในทะเลเสียหน่อย 


 


 


การต่อสู้อื่นส่วนใหญ่นั้นดุเดือดเข้มข้น แต่การต่อสู้คราวนี้กลับเงียบสงัด… 


 


 


เดี๋ยวก่อนนะ ตอนที่วิญญาณกระบี่ตบหน้าฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ ถึงแม้เสียงจะไม่ได้ดังมากแต่ก็ยังมีเสียงอยู่นี่ 


 


 


ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ ไม่เข้าใจเลย ฮาเวิร์ดเป็นผู้รับผิดชอบการต่างประเทศของกลุ่มฟีนิกซ์และการต่อสู้ของเขานั้นมักจะทรงพลังและตรงไปตรงมา เขาได้วิญญาณนกฟีนิกซ์มาอีกด้วย ถึงนกฟีนิกซ์ไฟที่เขาสร้างขึ้นมาจะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่แต่มันก็ฉลาดมากๆ เลยไม่ใช่เหรอ 


 


 


แต่พอพวกเขาคิดเรื่องนี้แล้วก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่านกฟีนิกซ์ไฟของเขาหายไปไหนแล้วล่ะ 


 


 


พวกเขายังอยากเจอกับนกฟีนิกซ์มากกว่าวิญญาณกระบี่จิ๋วประหลาดนี่เสียอีก น่าอายขนาดไหนที่ต้องมาโดนตบหน้าเนี่ย! 


 


 


การโดนตบหน้านี่ถือเป็นเรื่องน่าอายในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ฟรานเชสโก้เป็นถึงคนสำคัญของฝ่ายศรัทธา แต่กลับต้องมาโดนตบแบบนี้น่ะเหรอ ตัวเขาหมุนติ้วๆ อย่างกับกระแสน้ำวน เขาโกรธมาก! 


 


 


แต่ถ้าจะสั่งให้วิญญาณกระบี่เหล่านี้มาตบหน้าพวกเขาแล้วละก็ ทำไมไม่สั่งให้ฆ่าพวกเขาทิ้งไปเลยล่ะ 


 


 


ตอนแรกฟรานเชสโก้ก็คิดว่าหลี่ว์ซู่แค่อยากทำให้คนอื่นอับอาย ถึงแม้ว่าเขาจะตัวสั่นแหง็กๆ เหมือนกันก็เถอะ… 


 


 


แต่ฟรานเชสโก้แน่ใจว่าหลี่ว์ซู่คงอยากทำให้พวกเขาอับอายก่อนฆ่าทิ้งเสีย สุดท้ายแล้วก็มีแต่วิญญาณกระบี่ที่สามารถขยับไปไหนมาไหนได้สินะ อีกอย่างมันก็แข็งแกร่งมากด้วย และมันก็คงฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดาย 


 


 


ถ้าพวกเขาเจอวิญญาณกระบี่ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ในสถานการณ์ปกติคงปวดหัวกันน่าดู แต่นี่ไม่ถึงตายหรอก 


 


 


แน่ล่ะว่าพวกเขาไม่รู้ว่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึตายได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่ถ้ารู้ว่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึนั้นตายตอนสู้กับหลี่ว์ซู่แล้ว พวกเขาก็คงระวังกันมากกว่านี้ 


 


 


ในโลกข้างนอกก็คงมีคนที่เก่งกว่านี้ หลี่ว์ซู่คิดว่าการเก็บความลับว่าเขาทำอะไรได้นั้นจะเป็นประโยชน์กับตัวเขา จะได้ทำให้ศัตรูตกใจและได้เปรียบในการต่อสู้ 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน เขาต้องเก็บงำเอาไว้เพื่อซ่อนจุดอ่อนของตัวเอง 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าวิญญาณกระบี่ของเขานั้นอยู่ในตำแหน่งแปลกๆ เหมือนกับว่ามันไม่เหมาะจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่านี้ แต่ก็ไม่พอใจที่ต้องลดตัวลงมาในตำแหน่งที่ต่ำกว่า ความสามารถของวิญญาณกระบี่นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเวลาจะผ่านไป เพราะฉะนั้นในการต่อสู้จริงจังถึงตายกับวิญญาณกระบี่ที่ความสามารถเท่ากันนั้น ต้องจัดการด้วยการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่คิดอะไรออกอีกอย่างแล้ว ถ้าเขารวบรวมวิญญาณกระบี่ได้เจ็ดดวง จะเกิดอะไรขึ้นนะ 


 


 


ถึงแม้จะเป็นผู้มีพลังระดับ C แต่ถ้ามีวิญญาณกระบี่เจ็ดดวงก็สู้กับระดับ B ได้ มีความเป็นไปได้ว่าจะชนะด้วย 


 


 


เขาไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการมีวิญญาณกระบี่ที่มากกว่าได้หรอก แต่หลี่ว์ซู่นั้นทำตัวเหมือนกับฟองน้ำ เขาจะดูดซับอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์มาใช้ หลี่ว์ซู่ได้ผลชี่ไห่มาอีกห้าผลขณะที่วิญญาณกระบี่ออกไปตบอีกรอบ 


 


 


ในขณะที่วิญญาณกระบี่ออกไปตบหน้าทุกคนอย่างร่าเริงอยู่นั้น ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ กลับคิดว่าหลี่ว์ซู่คงจะพอใจกับการทำให้พวกเขาอับอายขายขี้หน้าแล้ว และเขาก็เตรียมตัวจะโจมตีครั้งใหญ่เป็นการปิดท้าย พวกเขาเลยตื่นกลัวกันมากๆ 


 


 


แต่กลับไม่เป็นไปตามคาด เพราะวิญญาณกระบี่นั้นออกไปตบทุกคนอีกรอบ… 


 


 


ทั้งห้าคนที่เพิ่งจะได้หยุดนิ่งถูกตบจนหมุนอีกแล้ว ฟรานเชสโก้จะบ้าตายแล้วนะ! แกกำลังทำอะไรอยู่กันแน่! 


 


 


เมื่อไหร่จะเลิกตบ! 


 


 


หยุดได้แล้ว… เพียะ! 


 


 


บัดซบ! 


 


 


ถึงพวกเขาจะเป็นยอดฝีมือระดับ B แต่พวกเขาก็มึนงงจากการถูกตบมาก วิญญาณกระบี่ตัวเล็กๆ นี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ทำเอาหัวของพวกเขาเจ็บไปหมด! 


 


 


หลี่ว์ซู่มองด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นว่าวิญญาณกระบี่กำลังเล่นสนุกอยู่ เขารู้สึกได้ถึงความโกรธของฟรานเชสโก้ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี จะทำยังไงดีนะ… 


 


 


เขาพูดไม่ได้แต่เขาอยากอธิบายให้ฟรานเชสโก้รู้จริงๆ พวก…ฉันก็อยากจะฆ่าพวกนายให้ตายไปเร็วๆ เหมือนกันหรอกนะ แต่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยเนี่ย! พวกเขาถูกตบซ้ำไปซ้ำมาจนหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกไม่ดีไปด้วยแล้วเนี่ย! 


 


 


สำหรับฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ พวกเขาจะทนต่อไปในน้ำไม่ไหวแล้วเพราะโดนตบนี่แหละ! 


 


 


ออกซิเจนเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับมนุษย์ เมื่อออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่ทันแล้วก็คงตายภายในไม่กี่นาที พวกผู้มีพลังนั้นจะทนได้นานกว่า แต่พวกเขาก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน! 


 


 


ในตอนนี้ทุกคนรู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองได้กลับมากันบ้างแล้ว ฟรายเชสโก้และคนอื่นๆ ไม่ได้ไปทำอะไรกับหลี่ว์ซู่อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากฆ่าหลี่ว์ซู่นะ แต่พวกเขาไม่อยากให้มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกแล้ว 


 


 


ฮาเวิร์ดคนนี้โจมตีแปลกมาก พวกเขาไม่รู้ว่าจะปกป้องตัวเองยังไงแล้ว! 


 


 


ในตอนที่ฝ่ายศรัทธาแผ่ขยายอำนาจในยุโรป ก็มีฟรานเชสโก้นี่แหละที่เป็นคนนำหน้าทัพ เขาลงสนามรบบางครั้งก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนที่เขาคิดว่าเป็นผู้มีพลังสายธาตุไฟแต่ใช้พลังสายฟ้าจู่โจม และเผลอโจมตีใส่ตัวเองด้วย แถมเขาเพิ่งเคยเจอคนแปลกๆ ที่โจมตีศัตรูด้วยการตบหน้าด้วยนี่แหละ 


 


 


มีแต่ฟรานเชสโก้คนเดียวเท่านั้นที่มองหลี่ว์ซู่อย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่คนอื่นกำลังหนีไปที่ชายฝั่ง ฟรานเชสโก้กลับมองย้อนไปแล้วเห็นว่าหลี่ว์ซู่เริ่มมีความรู้สึกกลับมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการไม่มีอากาศหายใจ 


 


 


ความชานี้มาไวหายไว เมื่อฟรานเชสโก้รู้ว่าเขาสามารถใช้ความสามารถของเขาได้ เขาก็ใช้เสื้อคลุมสีขาวโอบรอบตัวแล้วดึงตัวเขาขึ้นไปเหนือน้ำ 


 


 


ฟรานเชสโก้ถึงกับเอาระดับ B อีกสองคนไปกับเขาด้วยได้! 


 


 


แต่คนระดับ B อีกสองคนไม่ได้โชคดีอย่างนั้น เมื่อหลี่ว์ซู่สามารถใช้พลังน้ำได้แล้ว เขาก็สั่งให้น้ำตกลงมาเหมือนกับน้ำตกใต้น้ำ 


 


 


ถึงคนระดับ B จากผิวน้ำจะมองไม่เห็น แต่พวกเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ร่างกายของพวกเขายังคงชาเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถว่ายน้ำขึ้นไปบนผิวน้ำได้ 


 


 


ฟรานเชสโก้ใช้ผ้าคลุมสีขาวของเขาป้องกันตัวเองจากคลื่นใต้น้ำ แต่ยอดฝีมือระดับ B อีกสองคนรู้สึกตัวว่าพวกเขาได้ลอยออกไปไกลเรื่อยๆ จากผิวน้ำแล้ว 


 


 


เมื่อพวกเขามองลงมาใต้น้ำก็เห็นหลี่ว์ซู่กำลังมองพวกเขาอย่างใจเย็น คลื่นใต้น้ำที่อยู่รอบๆ เขาทำให้เขาดูเหมือนเป็นเทพแห่งท้องทะเลเลย 


 


 


ผู้บำเพ็ญระดับ B คนหนึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่ถูกไล่ล่ามาก่อนถึงได้กลายเป็นคนคุมเกมและกลายเป็นตัวละครหลักในเกมไล่ล่าได้ แล้วทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นเป้าหมายไปได้ล่ะเนี่ย 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว เขาเอาเกราะทองแดงออกมา และหลังจากที่เกราะทองแดงนั้นแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ มันก็สร้างเกราะรอบตัวเขาเพื่อปกป้องแรงดันจากน้ำ เขาใช้โอกาสนั้นว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำ และเพื่อนของเขาที่รออยู่ก็ยื่นมือมาช่วยสุดแขน แต่เกราะที่เขาใช้กลับทำให้พวกเขาแยกกันออกไป 


 


 


มียอดฝีมือคนเดียวที่ยังอยู่ในน้ำ เขาโกรธมาก ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยอาวุธเหล็กแหลมนับไม่ถ้วนออกมาไปทางหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่กลับเคลื่อนไหวได้ว่องไวเหมือนปลาในน้ำ เขาหลบการโจมตีนั้นได้ง่ายๆ 


 


 


อาวุธเหล็กแหลมนั้นแทงลงไปในก้นทะเล และหลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ทั้งนั้น 


 


 


นี่เป็นถิ่นของหลี่ว์ซู่นะ! 


 


 


หลังจากที่ทนจากการโดนไฟฟ้าดูดไปได้นานกว่าสิบนาที หลี่ว์ซู่เองก็ถึงขีดจำกัดของตัวเองเหมือนกัน 


 


 


ยอดฝีมือต้องต่อสู้กับการขาดออกซิเจนและต้องไปเอาอาวุธที่ปล่อยลงก้นทะเลกลับมาอีก เขาปล่อยอาวุธออกไปอีกรอบทางหลี่ว์ซู่ พวกมันเหมือนกับฝูงปลาที่เกาะกันอย่างหนาแน่น แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าอาวุธเหล็กของเขาเริ่มช้าลงราวกับว่ามันเจอแรงต้านจากอะไรบางอย่าง 


 


 


รอบตัวหลี่ว์ซู่เหมือนมีป้อมปราการน้ำคอยดูดซับพลังของอาวุธเหล็กแหลมไว้ 


 


 


กระบี่ซือโก่วและกระบี่ฝูฉื่อปรากฏตัวด้วยเสียงคำราม กระบี่บินทั้งสองไม่ได้เจอกับแรงต้านในน้ำใดๆ และตรงเข้าไปคร่าชีวิตของผู้บำเพ็ญระดับ B คนนั้น เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องมาตายที่นี่ ทำไมพวกเขาทั้งห้าคนไม่สามารถฆ่าคนคนเดียวได้ แล้วเขาก็ต้องจบชีวิตอยู่ในทะเลดำมืดไม่มีที่สิ้นสุดนี้ 


 


 


ทะเลก็น่ากลัวเหมือนกับหุบเหวเลย 


 


 


ก่อนตาย ผู้บำเพ็ญระดับ B คนนั้นก็เข้าใจในที่สุดว่าหลี่ว์ซู่เป็นผู้มีพลังสายธาตุน้ำ เขาได้ปล่อยไพ่ตายมาตั้งแต่แรกในท้องน้ำแห่งนี้แล้ว 



 

 

 


ตอนที่ 663 วิกฤตกันทั้งสองฝ่าย

 

แล้วการไล่ล่ากันกว่าหลายชั่วโมงก็จบลงเสียที หลี่ว์ซู่ยืนอยู่บริเวณก้นทะเลและจ้องมองขึ้นไปบนผิวน้ำ ในขณะที่ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ เองก็มองกลับลงมาหาเขาเช่นกัน พวกเขาดูสับสนไปหมด 


 


 


จริงๆ แล้วการมองทะลุเห็นถึงใต้น้ำนั้นค่อนข้างยาก แต่ที่ทั้งสองกลุ่มรู้สึกถึงกันได้ก็เพราะความตึงเครียดในบรรยากาศนั่นเอง หัวใจของฟรานเชสโก้เต้นรัว การต่อสู้เมื่อครู่น่าจะเป็นการต่อสู้ที่ตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่เขาเคยสู้มาแล้ว 


 


 


หลี่ว์ซู่ที่อยู่ก้นทะเลเก็บอาวุธเหล็กแหลมที่ผู้บำเพ็ญระดับ B เพิ่งใช้ไป เหล็กพวกนี้มีส่วนประกอบเหมือนกับดาบทั่วไปสามารถเอาไปเป็นอาหารให้โกลาหลได้ 


 


 


หลี่ว์ซู่ผิดหวังนิดหน่อยที่ผู้บำเพ็ญระดับ B ไม่ได้ทิ้งที่เก็บของล่องหนเอาไว้เลย พอหลี่ว์ซู่เก็บทุกอย่างที่เหลือทิ้งไว้ทั้งหมดที่เขาเห็นแล้ว เขาก็สัมผัสถึงคลื่นพลังงานของสิ่งอื่นไม่ได้อีก น่าสงสารจัง มิน่าล่ะคนคนนั้นถึงต้องมาหวังพึ่งฝ่ายศรัทธาแบบนี้ 


 


 


คนอื่นๆ ที่ลอยตัวกันอยู่บนผิวน้ำก็สับสนอย่างที่สุดขณะมองหลี่ว์ซู่ พวกเขาคาดว่าหลี่ว์ซู่จะเคลื่อนไหวอะไรเพิ่มอีก ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่อยากยอมรับว่าแม้พวกเขาจะมีกันหลายคนแต่ก็ไม่สามารถล้มคนคนเดียวได้ 


 


 


แล้วพวกเขาก็สะดุ้งตกใจที่เห็นหลี่ว์ซู่ควานหาอะไรบางอย่างบนพื้นทะเลอย่างกับชาวนาพรวนดิน แต่เนื่องจากการหักเหของแสงในน้ำทำให้พวกเขาเห็นไม่ค่อยชัดว่าหลี่ว์ซู่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ รู้อย่างเดียวว่าสิ่งที่เห็นนั้นค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว 


 


 


“เขากำลังเก็บเหล็กอะไรสักอย่างอยู่ใช่ไหม” ใครบางคนถามขึ้นมาอย่างงงๆ 


 


 


ฟรานเชสโก้หัวเราะเสียงเย็น “ใครจะไปอยากได้ของพวกนั้นกัน เขาต้องมีเหตุผลอย่างอื่นแน่” 


 


 


ฝ่ายศรัทธานั้นมีอิทธิพลเรื่องของทรัพยากรและเงิน เพราะฉะนั้นฟรานเชสโก้เลยเห็นของพวกนั้นเป็นแค่ขยะดีๆ นี่เอง แล้วยอดฝีมือที่เพิ่งจะพลิกสถานการณ์มาโจมตีพวกเขากลับจะอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมกัน แล้วสิ่งที่เขาทำอยู่มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงต้องทำระหว่างสู้กันแบบนี้ 


 


 


เขามองหลี่ว์ซู่ผิดไปแล้ว 


 


 


หลังจากที่หลี่ว์ซู่เก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็มองขึ้นไปบนผิวน้ำและถอยไปอีกทางอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากกลับไปสู้กับยอดฝีมือระดับ B อีกสี่คนหรอกนะ เขาอ่านสถานการณ์และความสามารถของตัวเองออก 


 


 


เขายังรู้อีกด้วยว่าฟรานเชสโก้คงไม่เสี่ยงตายกลับมาสู้กับเขาอีกแล้ว 


 


 


ทั้งสองคนนั้นใจเย็นมากพอที่จะเข้าใจความสำคัญของการสงบศึกชั่วคราวเมื่อหลายๆ อย่างเริ่มซับซ้อนมากขึ้น 


 


 


หลี่ว์ซู่ว่ายน้ำใต้ทะเลไปไกลก่อนจะกลับไปบนบกอีกครั้ง สิ่งแรกที่เขาทำก็คือเอาโทรศัพท์ออกมาจากตราแผ่นดินเพื่อตรวจกับเครือข่ายฟ้าดินว่าการต่อสู้ระหว่างหัวหน้าบาทหลวงและนักบุญนั้นผลออกมาเป็นอย่างไร 


 


 


หลี่ว์ซู่กังวลว่าการแข่งขันแย่งการถือกรรมสิทธิ์แร่จะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ในครั้งนี้ 


 


 


ซึ่งตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของเขาแล้วที่จะแย่งชิงกรรมสิทธิ์แร่มาเป็นของเครือข่ายฟ้าดิน เขาสงสารพวกเด็กๆ ที่กำลังร้องไห้เพราะกังวลถึงความปลอดภัยของคนธรรมดา แต่เขาก็ไม่ได้มีจิตใจสูงส่งขนาดจะยอมเสียสละชีวิตของเขาเพื่อไปช่วยชีวิตคนตอนนี้ 


 


 


เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ถึงมันจะไม่ได้ผิดอะไรมากมายนักก็เถอะ 


 


 


จากนั้นเขาก็ได้ข้อความสามข้อความเข้ามาพร้อมกันทันทีที่เปิดโทรศัพท์ขึ้นมา 


 


 


ข้อความแรกบอกว่าฮาเวิร์ดโดนฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ ตามไล่ฆ่า ผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าฮาเวิร์ดถูกไล่ล่าไปจนถึงทะเล พิจารณาจากความสามารถของเขาแล้วเขาไม่น่ารอดกลับมาได้ 


 


 


ข้อความที่สองบอกว่านักบุญและหัวหน้าบาทหลวงต่างบาดเจ็บกันทั้งคู่จากการต่อสู้ และการต่อสู้ครั้งนี้ก็หนักหน่วงกว่าระหว่างนักบุญและปรมาจารย์หุ่นเชิดเสียอีก เพราะว่าหัวหน้าบาทหลวงนั้นใช้กลยุทธ์การต่อสู้ที่ทำลายล้างมากกว่า และความสามารถในการต่อสู้จริงๆ ของเขาก็เหนือกว่านักบุญด้วย 


 


 


และข้อความที่สามถามว่านายหายไปไหนน่ะ! 


 


 


ข้อความที่สามนั้นฟังดูเหมือนจะเป็นเนี่ยถิงพูดเลย ราชันฟ้าทำไมทำตัวว่างแบบนี้เนี่ย 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดนิดหนึ่งก่อนตอบข้อความออกไป 


 


 


[ขอบคุณสำหรับการสมัครรับข่าวสารจาก BBC ค่าธรรมเนี่ยสมัครสมาชิกรายเดือน: 3 หยวน โปรดตอบกลับมาว่า TD หากต้องการยกเลิกการสมัครสมาชิก] 


 


 


[TD] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากจงอวี้ถัง +199!] 


 


 


ฮ่าๆๆ หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมาทันที เป็นนายนี่เองสินะ 


 


 


แล้วจงอวี้ถังก็เพิ่งรู้จัวว่าเขาไม่ได้ใช้โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นปกติทุกวันนี่ เขารีบโทรหาหลี่ว์ซู่ทันที “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ดีแล้วล่ะที่นายไม่เป็นอะไร พวกเราติดต่อนายไม่ได้เลย หายไปไหนมาเนี่ย” 


 


 


หลี่ว์ซู่จะบอกความจริงกับเขาอยู่แล้ว คงไม่ดีนักถ้าเขาให้ข้อมูลผิดๆ ไปในเมื่อเขาได้ข้อมูลชั้นยอดจากพวกเขาอยู่ตลอด 


 


 


อีกอย่างเขาก็มั่นใจด้วยว่าถ้าพูดออกไปแล้วจะมีแค่จงอวี้ถัง สือเสวจิ้น และเนี่ยถิงเท่านั้นที่รู้ ความไว้ใจนี้เป็นสิ่งที่เครือข่ายฟ้าดินและเขาสั่งสมกันมาในการทำงานร่วมกัน 


 


 


“อย่างแรกก็คือฮาเวิร์ดตายไปแล้ว ตายจริงๆ เลย ผมไปโจมตีเขาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วก็ฆ่าเขาทิ้งไปแล้ว” หลี่ว์ซู่อธิบาย เขาข้ามพวกรายละเอียดเล็กน้อยไปเพราะอยากจะเก็บความลับเรื่องไฟในใจของเขาไว้ เหมือนเรื่องของแผนภูมิดารา 


 


 


เพราะฉะนั้นการเข้าไปโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวนั้นฟังดูเชื่อถือได้มากกว่าการให้ข้อมูลเรื่องความแตกต่างระหว่างความสามารถที่มี ก่อนหน้านี้แผนที่เขาหวังไว้ก็ล้มไม่เป็นท่าไปแล้ว 


 


 


จงอวี้ถังดูลังเล “อะไรนะ นี่นายไปซุ่มโจมตีเขาตอนที่เขาวิ่งหนีน่ะเหรอ” 


 


 


“ไม่ใช่ ผมฆ่าเขาก่อน” หลี่ว์ซู่พูด เขาไม่อยากทำให้ทุกอย่างมันชัดเจนเกินไป… 


 


 


จงอวี้ถังยังคงงุนงงเขา เขาถามต่อ “แต่นั่นมันไม่สมเหตุสมผลเลยนี่ นายจะบอกว่าเขาวิ่งหนีคนที่มาไล่ล่าเขากว่าสิบกิโลเมตรหลังจากนายฆ่าเขาไปงั้นเหรอ วิ่งไปตายไปแบบซอมบี้เนี่ยนะ” 


 


 


แต่หลังจากคิดอยู่นาน หลี่ว์ซู่ก็ตัดสินใจบอกความจริงไป “หลังจากที่ผมฆ่าฮาเวิร์ดไปแล้ว ผมก็เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเขาแล้วไปป่วนองค์กรอื่นต่อ แต่ก่อนจะไป ฟรานเชสโก้ก็มาเจอผมก่อน พวกเขาเลยไล่ล่าผม ไม่ใช่ฮาเวิร์ดหรอก” 


 


 


หลังจากหยุดไปนานพอควร หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะดังมาจากโทรศัพท์ หน้าเชาไม่สบอารมณ์ทันที “ถ้าอยากหัวเราะนักก็หัวเราะออกมาเลย” 


 


 


“ฮ่าๆๆ นี่จะบอกว่าพอเปลี่ยนเป็นฮาเวิร์ดก็เลยกลายเป็นแพะรับบาปเลยเหรอ” จงอวี้ถังเกือบโพล่งออกไปแล้วว่ากรรมตามทันหลี่ว์ซู่แบบติดจรวด… 


 


 


แต่เขารู้ดีว่าหลี่ว์ซู่คงฆ่าระดับ B อย่างฮาเวิร์ดได้ง่ายๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว จงอวี้ถังรู้ดีกว่าที่จะกวนอารมณ์เขาต่อ 


 


 


จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเครือข่ายฟ้าดินเลยนะ ถึงแม้ว่าเขาจะดังเรื่องนิสัยเสียและขี้เหนียวด้วยก็เถอะ ก็จะมีใครบ้างที่ปีนหน้าต่างมาดูว่าจงอวี้ถังจะรับโทรศัพท์ตัวเองหรือเปล่า พูดถึงเรื่องนั้นแล้วก็น่ากลัวชะมัด

 

 

 


ตอนที่ 664 ทุกอย่างก็มีผู้พิชิต

 

ถึงจงอวี้ถังจะตกตะลึงแต่เขาก็ยังไม่ลืมงานของตัวเอง เขายืนยันข้อมูลกับหลี่ว์ซู่ที่อุตส่าห์บอกความจริงเขาสุดความสามารถ


 


 


จงอวี้ถังกล่าว “ครั้งนี้ทั้งหัวหน้าบาทหลวงและนักบุญต่างก็เจ็บหนักทั้งคู่ แล้วที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์เริ่มถอยกันออกไปแล้ว เพราะกลุ่มฟีนิกซ์เชื่อว่าฮาเวิร์ดตายไปแล้ว ส่วนฝ่ายศรัทธายังสงสัยในตัวตนของนายหรือว่าของฮาเวิร์ดอยู่ หรือพูดให้ถูกก็คือพวกเขาอาจไม่คิดว่าเป็นนาย”


 


 


แต่ความสามารถที่หลี่ว์ซู่ใช้ในทะเลก็เพียงพอจะให้สงสัยแล้ว โชคดีที่เขายังไม่ได้แสดงอะไรออกไปมากต่อหน้ากลุ่มของฟรานเชสโก้ เขาไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นเพราะโดนไฟช็อตเข้าก่อน


 


 


พูดอีกอย่างก็คือพวกเขาไม่มีหลักฐานอะไรมาตัดสินความน่าสงสัยนั้น พวกเขาเลยยืนยันไม่ได้ว่าที่พวกเขาคิดนั้นถูกหรือเปล่า


 


 


“ยังไงก็เถอะ ครั้งหน้าก็ระวังหน่อยล่ะ วันนี้เซี่ยเหรินเซิงพบว่าผู้บำเพ็ญลับพยายามจะเอาข้อมูลในกลุ่มออกไปหารายได้ แล้วเขาก็รายงานข้อมูลเรื่องที่นายหายออกไปด้วย” จงอวี้ถังพูด “เราต้องทำตัวให้ชินหน่อยล่ะ ดีหน่อยที่คนทรยศนั่นถูกจับได้ก่อนที่เขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร และคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้ก่อเรื่องกวนใจเพิ่มในตอนนี้ แล้วที่จะไปยุโรปต่อก็ไม่ได้อยู่กันไม่กี่วันด้วย เป็นไปได้มากเลยนะที่นายจะถูกหักหลังน่ะ ต้องระวังให้มากๆ ล่ะ”


 


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ”


 


 


ที่จงอวี้ถังพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผล ถึงจะใช้งานพวกผู้บำเพ็ญลับได้ง่ายๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้จงรักภักดีหรอก


 


 


“ฉันบอกเซี่ยเหรินเซิงอย่างดีแล้วว่านายมีภารกิจอื่นที่ไม่ได้สำคัญมากนักต้องไปทำ เขาคงไม่สงสัยนายที่นายออกไปหรอก อีกอย่างพวกฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์ก็ถอยออกไปกันแล้วเพราะการต่อสู้นั่น เป็นโอกาสที่ดีของเราแล้วที่จะสะสางให้รวดเร็วและแม่นยำ ส่วนจะทำยังไงต่อไปก็รอให้กำลังเสริมมาถึงก่อนแล้วกัน เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของนายทั้งนั้น” พอพูดจบ จงอวี้ถังก็วางสายไป เขายังกังวลอยู่นิดๆ หลี่ว์ซู่จะติดใจอะไรที่เขาหัวเราะออกไปเมื่อครู่หรือเปล่า


 


 


น่าสนใจดีนี่ ดูเหมือนว่าเครือข่ายฟ้าดินจะเป็นผู้ได้ผลประโยชน์จากการต่อสู้ของฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์สินะ


 


 


เอาจริงๆ แล้วเครือข่ายฟ้าดินเนี่ยแหละที่จะเป็นคนกุมบังเ**ยนในการถอยทัพขององค์กรทั้งสองนี้ คนอย่างเบ็นเนตต์ไม่น่ากลัวอะไรเลยสักนิด


 


 


อีกอย่างเครือข่ายฟ้าดินก็มักจะเข้าหาพันธมิตรต่างประเทศด้วยวิธีที่นุ่มนวลกว่าด้วย เพราะแม้จะแข็งแกร่งอย่างไรก็ยังต้องการแรงสนับสนุนเมื่อต้องฟาดฟันกับองค์กรอื่นที่เป็นปรปักษ์ด้วย


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มเดินกลับไปที่วิลล่าช้าๆ ทางเดินกลับนั้นดูห่างไกลเหลือเกิน แต่ตอนที่เขาวิ่งหนีเพื่อรักษาชีวิตตัวเองกลับไม่คิดเลยว่าวิ่งไปไกลมากขนาดไหน


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มเหนื่อยจัดหลังจากการต่อสู้ เขาต้องการสงบสติอารมณ์ลงหน่อยจากเหตุการณ์เมื่อครู่


 


 


สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็ยังมีเลือดมีเนื้อ กว่าจะกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้งหลังผ่านการต่อสู้ที่หนักหน่วงก็คงอีกสักพักแหละ


 


 


กว่าหลี่ว์ซู่จะกลับมาถึงวิลล่าก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว พอเขาเปิดประตูออกมา เขาก็เห็นทุกคนนั่งอยู่ในห้องโถง ทุกสายตามองมาที่หลี่ว์ซู่


 


 


หลินกานอวี่หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูสิ ชีวิตดีเชียวนะ นายหายไปตอนที่คนอื่นเขากำลังทำงานหนัก รู้ไหมว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น แล้วยังมีหน้าออกไปทำอะไรคนเดียวตอนเกิดเหตุวิกฤตแบบนี้ได้ยังไง”


 


 


หลิวฝานพูดด้วยใบหน้ามืดคล้ำ “หัวหน้าครับ ผมว่าหลี่เถิงคนนี้มีอะไรแปลกๆ นะ”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สนใจพวกเขา เขาหันไปมองหลินกานอวี่แล้วถาม “เกิดอะไรขึ้นล่ะวันนี้”


 


 


“ก็มีสงครามระหว่างฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์น่ะสิ ตอนนี้พวกนั้นกลับกันไปหมดแล้ว” หลินกานอวี่ตอบ “เราทำงานของพวกเราได้ดีพอควรเลยล่ะ เราต้องได้กรรมสิทธิ์แร่จาก EO แน่ๆ!”


 


 


หลินกานอวี่ดูภูมิใจมาก เธอเน้นเต็มที่ว่าความดีความชอบทั้งหมดนั้นมาจากพวกเขาเอง คนอื่นๆ พลันลืมโกรธหลี่ว์ซู่ไปชั่วขณะ และทุกคนก็หัวเราะกันออกมากันอย่างจริงใจ


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจ “ทำงานได้ดีนี่คือยังไงนะ ทำอะไรกันบ้าง”


 


 


พวกเขาไม่ได้ทำอะไรกันเลยนี่! ฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์ตั้งใจสู้กันเอง ไม่ใช่เพราะคนในห้องนี้เสียหน่อย แล้วพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็ควรขอบคุณหลี่ว์ซู่มากกว่าที่ล่อหัวหน้าบาทหลวงออกมาด้วยรูปลักษณ์ของฮาเวิร์ดและทำให้นักบุญได้มีโอกาสต่อสู้ในครั้งนี้


 


 


หลี่ว์ซู่สงสัยว่าภารกิจของฮาเวิร์ดคือการล่อหัวหน้านักบุญออกมาแน่ๆ


 


 


แต่เรื่องพวกนั้นมันเกี่ยวอะไรกับคนในวิลล่านี้ด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าจะภูมิใจอะไรกัน…


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลินกานอวี่ +299!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +199!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…]


 


 


อารมณ์ในห้องถูกทำให้ห่อเ**่ยวกันหมด ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้นะ ทำไมจะต้องมาจี้จุดด้วย!


 


 


จากนั้นประตูก็ถูกใครบางคนเปิดออกอย่างทันที แล้วก็มีเสียงหัวเราะจริงใจแต่น่ารำคาญนิดๆ ตามมา “แปลกใจไหมล่ะ! พอฉันมาถึงแล้วพวกมันก็หนีหายกันไปหมด…”


 


 


หลี่ว์ซู่หายใจติดขัด ก็ว่าอยู่ว่าจงอวี้ถังพูดถึงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นี่หมายถึงใคร เขาเดาถูกแล้วจริงๆ นั่นแหละ หมายถึงหลี่อีเสี้ยวนี่เอง!


 


 


แล้วข้างๆ ยังมีน่าหลานเชวี่ยมาด้วย!


 


 


ก่อนหน้านี้ในหัวของน่าหลานเชวี่ยมีแต่เรื่องจะเป็นภรรยาที่ดีได้อย่างไร และเธอก็ไม่สนครอบครัวตัวเองด้วยซ้ำ…


 


 


ไม่รู้ทำไม แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเบ็นเนตต์ตายแน่ถ้าเห็นว่าหลี่อีเสี้ยวมา…


 


 


ปกติแล้วหลี่อีเสี้ยวจะถูกส่งไปตามโบราณสถานต่างๆ ไม่ได้ถูกส่งไปปฏิกิจเรื่องระหว่างประเทศ ส่วนเหตุผลก็น่าจะชัดเจนอยู่แล้ว เนี่ยถิงต้องการสื่อว่าการที่เขาส่งหลี่อีเสี้ยวมาก็เพื่อจะต่อสู้นั่นเอง


 


 


เป็นที่รู้กันว่าแร่นี้สามารถทำให้อาวุธธรรมดาแข็งแกร่งขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นคงเอาไปใช้ได้ดีเลยล่ะ


 


 


แต่ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะคิดออก หลี่อีเสี้ยวก็เรียกทุกคนในวิลล่า “จะรออะไรกันเล่า ตามฉันไปทำลายสำนักงานใหญ่ของ EO กัน แล้วค่อยไปฉลองกันต่อ!”


 


 


หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย นี่คือแผนเรอะ คงไม่ใช่ว่า…เขาอยากได้เงินจากสำนักงานใหญ่หรอกนะ


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าน่าจะเป็นเรื่องจริงเสียด้วยสิ หลี่อีเสี้ยวสนใจเรื่องภารกิจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาแค่อยากได้เงินเท่านั้นแหละ


 


 


เซี่ยเหรินเซิงเงียบต่อไป พวกเขาควรทำตามคำสั่งของราชันฟ้าอย่างเคร่งครัด แต่ก่อนที่จะออกไป น่าหลานเชวี่ยก็พูดออกมาเสียงเย็น “ฉันจะเก็บกระเป๋ามิติไว้ให้นะ”


 


 


เธอป้องกันไม่ให้หลี่อีเสี้ยวซ่อนเงินไว้ได้! ฉลาดมาก!


 


 


หลี่อีเสี้ยวหัวเราะกลบเกลื่อนเสียงดัง “ไม่ต้องรีบกันหรอก พวกเราไม่ต้องไปกันวันนี้ก็ได้ เดี๋ยวนอนเอาแรงกันสักหน่อยเนอะ โห เดินทางมาเหนื่อยมากเลย!”

 

 

 


ตอนที่ 665 รู้สึกจนไปชั่วขณะ

 

หลังจากที่หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยเดินทางมาถึง เซี่ยเหรินเซิงและคนอื่นๆ ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก ตอนแรกพวกเขาก็อิจฉาที่เห็นองค์กรอื่นๆ มียอดฝีมือระดับ B กันทั้งนั้น ตัดภาพมาที่พวกเขาที่มีผู้บำเพ็ญระดับ C ขั้นสูงอย่างเซี่ยเหรินเซิงคนเดียวเท่านั้น นี่ทำให้พวกเขารู้สึกย่ำแย่อย่างบอกไม่ถูก พวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว 


 


 


แล้วตอนนี้ผู้บำเพ็ญระดับ B ก็มาถึงแล้ว และไม่ใช่แค่หนึ่งเท่านั้น แต่มากันสองคน! 


 


 


ครู่ต่อมา หลี่ว์ซู่ก็เห็นว่าน่าหลานเชวี่ยไม่ยอมรับการยกโทษของเครือข่ายฟ้าดินหรอก หลี่อีเสี้ยวถูกส่งตัวมาที่นี่ ในขณะที่เธอเป็นฝ่ายร้องขออยากมาที่นี่ด้วยต่างหาก 


 


 


เนี่ยถิงวางแผนมาอย่างดีแล้ว เขาจ่ายเงินมอบหมายงานให้คนคนเดียว แต่ผลกลับได้ถึงสองคนมาช่วย คุ้มเงินที่เสียไปมากเลยล่ะ 


 


 


เอาจริงๆ แล้วเนี่ยถิงไม่คิดเลยว่าคนอย่างหลี่อีเสี้ยวจะมีน้ำยาหายอดฝีมือหญิงแบบนี้มาได้ 


 


 


ในขณะที่เซี่ยเหรินเซิงกำลังเตรียมห้องให้หลี่อีเสี้ยวอยู่นั้น เขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ราชันฟ้าหลี่ครับ ราชันฟ้าเนี่ยเป็นคนออกคำสั่งให้เราไปทำลายสำนักงานใหญ่ EO เหรอครับ” 


 


 


เมื่อหลี่อีเสี้ยวได้ยินอย่างนั้นแล้วเขาก็ชะงักครู่หนี่งก่อนตอบออกมา “ไม่เชิงหรอก เขาบอกให้เราทำงานกับ EO ให้นานที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้องค์กรอื่นมาล้อมเราได้ แต่ถ้าเราไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ละก็ เราต้องสวมตำแหน่งของพวกเขาแล้ว ฉันรู้สึกว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นหรอก!” 


 


 


“อะไรนะครับ…” เซี่ยเหรินเซิงอึ้งไป “งั้นคุณหมายความว่า…” 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงเข้าใจกลยุทธ์ของเนี่ยถิงแล้ว สุดท้ายแล้ว EO ก็เหมือนตัวกันชนไม่ให้องค์กรอื่นๆ เข้ามาทำร้ายเครือข่ายฟ้าได้โดยตรง ไม่เคยมีเหตุการณ์ไหนเลยที่ไม่เกิดการหลั่งเลือดขึ้นระหว่างการถกเถียงแย่งทรัพยากร 


 


 


แต่ก่อนที่เซี่ยเหรินเซิงจะทันได้พูดอะไรออกไป หลี่อีเสี้ยวก็หันมาจ้องเขา “ไม่เชื่อการตัดสินใจของฉันงั้นเหรอ” 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงอุทานด้วยความแปลกใจ “ฮะ อะไรนะครับ” 


 


 


เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ 


 


 


หลี่ว์ซู่ขี้เกียจพูดคุยกับคนอย่างหลี่อีเสี้ยว หลังจากนี้แล้วเขาก็ต้องไปยุโรปต่อ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ควรทำตัวคุ้นเคยกับหลี่อีเสี้ยวให้มาก ถ้าเขาปล่อยข้อมูลอะไรเล็ดลอดออกไปแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ก็คงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแน่ๆ 


 


 


แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรแร่ที่ EO มีแล้ว เมื่อหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยมาที่นี่แล้ว เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าพวกเขาจะใช้วิธีอะไรกันแบบไหน เมื่อองค์กรอื่นค่อยๆ ถอนตัวกันไปทีละกลุ่มสองกลุ่ม เดี๋ยวพวกเขาก็สามารถยึดเอาแร่นี้มาเป็นของพวกเขาได้ 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินกลับไปห้องตัวเองเงียบๆ และนั่งดูว่าตัวเองได้อะไรจากการต่อสู้ครั้งนี้มาบ้าง อย่างแรกเลยเขาได้อาวุธวิเศษมามากกว่าหนึ่งร้อยอัน 


 


 


หลี่ว์ซู่หยิบอาวุธชิ้นหนึ่งขึ้นมาดูใกล้ๆ พวกนี้ทำจากวัสดุที่ใช้หลอมดาบยาวธรรมดาซึ่งเข้ากันได้ดีกับพลังของคนใช้แต่มันก็ไม่ได้หายากอะไร แสดงให้เห็นว่ายอดฝีมือระดับ B ที่หลี่ว์ซู่เพิ่งฆ่าไปใต้ทะเลนั้นจนมากๆ เขาเพิ่งนึกออกด้วยว่าคนคนนั้นไม่ได้มีช่องเก็บของล่องหนอีกต่างหาก 


 


 


แต่ช่องเก็บของล่องหนก็ค่อนข้างหายากอยู่ เพราะการใช้ประโยชน์และราคาของมันนั่นแหละ 


 


 


จนถึงทุกวันนี้ ทั่วโลกก็ยังไม่มีโบราณสถานเปิดใหม่มากนัก แต่โบราณสถานที่เปิดก่อนหน้านี้ก็ถือว่ามีเยอะอยู่ มีบางแห่งที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลถูกเปิดขึ้นก่อนยุคพลังจิตวิญญาณเริ่มต้นเสียอีก แต่ก็ไม่มีใครหามันเจอ แล้วโบราณสถานทุกที่ก็ไม่ได้ดึงดูดผู้บำเพ็ญจากทั่วโลกให้ไปด้วย บางคนก็แอบเอาดวงตาค่ายกลออกมาจากโบราณสถานด้วย 


 


 


เครือข่ายฟ้าดินเคยให้ข้อมูลไว้ว่ามีโบราณสถานบางแห่งที่เปิดออกตอนช่วงเริ่มต้นของยุคพลังจิตวิญญาณ และสัตว์ประหลาดในโบราณสถานก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น บางคนถึงกับใช้อาวุธสมัยใหม่ในการจัดการกับมันก็มี 


 


 


แล้วช่องเก็บของล่องหนก็ถูกปล่อยออกมาแบบนี้แหละ มีอาวุธวิเศษที่ถูกทิ้งไว้แบบไม่มีใครสนใจด้วย หนึ่งในนั้นมีแหวนของแอนโธนี่ด้วย 


 


 


หน้ากากของหลี่ว์ซู่เองก็มีพื้นที่ในหน้ากาก สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วหน้ากากของเขายังดูใช้งานได้ดีกว่าช่องเก็บของล่องหนอีก 


 


 


เดี๋ยวนี้การมีช่องเก็บของล่องหนของผู้บำเพ็ญระดับ B ขึ้นไปกลายเป็นตัวตัดสินแล้วว่าคนคนนั้นรวยหรือจน หรือบางคนก็อาจคิดกระทั่งว่าผู้บำเพ็ญคนนี้แข็งแกร่งหรือเปล่า… 


 


 


หลี่ว์ซู่เอาแหวนมิติของฮาเวิร์ดออกมา เขาเปิดมันออกแล้วมองดูใกล้ๆ เขาใจอ่อนเลย ฮาเวิร์ดใจดีจริงๆ เขาเหลือของให้หลี่ว์ซู่ตั้งหลายอย่างแน่ะ! 


 


 


มีศิลาวิญญาณอยู่ประมาณร้อยกว่าเม็ดในแหวนมิติ และมีเงินสดเป็นปึกอยู่ประมาณโหลหนึ่ง เขาเตรียมตัวสำหรับเหตุฉุกเฉินเป็นอย่างดีเลยสิเนี่ย 


 


 


ส่วนสกุลเงินทั่วไปยังไม่ได้ล่มสลายลง ในความเป็นจริงแล้วพวกผู้บำเพ็ญก็ไม่ได้อยากให้ความเป็นไปของโลกล่มสลายลงไปด้วยหรอก ถ้ามันล่มสลายขึ้นมาก็หมายถึงความยุ่งเหยิงโกลาหล แถมยังต้องสร้างระบบขึ้นมาใหม่อีก 


 


 


ทุกคนก็ได้ประโยชน์จากระบบสกุลเงินอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องไปเปลี่ยนอะไรหรอก 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย สิ่งที่ทำให้เขาดีใจก็คือผลไม้มากมายในแหวนมิติของฮาเวิร์ดต่างหาก! 


 


 


ทุกคนรู้ดีว่าผลปะทุพลังนั้นสำคัญมาก เศรษฐีจากยุคก่อนๆ มักซื้อผลไม้นี้ให้กับทายาทของตัวเอง พวกเขาหวังจะใช้ทรัพยากรนี้เพื่อผลิตยอดฝีมือที่มีความสามารถในโลกแห่งการบำเพ็ญ 


 


 


ถึงจะใช้เงินสดในการซื้อผลไม้พวกนี้ไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังข้อได้เปรียบในเรื่องมรดก พวกเขาอาจจะมีอาวุธวิเศษเก็บไว้อยู่ก็ได้ 


 


 


ยิ่งกว่านั้นองค์กรใหญ่ๆ ก็ยินดีที่จะซื้อขายแลกเปลี่ยนของพวกนี้โดยเอาผลไม้ไปแลกด้วย 


 


 


ผลไม้ตั้งเยอะแน่ะ! ดวงตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกาย ต้องใช้อาวุธวิเศษกี่อันไปแลกถึงจะได้ผลไม้พวกนี้มากันล่ะเนี่ย แล้วก็ทำให้เขาอาจจะได้อาวุธวิเศษมาด้วยนะ! 


 


 


หืม แต่เดี๋ยวก่อนนะ มีบางอย่างแปลกๆ หรือเปล่า ทำไมเขารู้สึกว่าผลไม้พวกนี้ดูคุ้นตาแปลกๆ! 


 


 


เขาเอาผลไม้ทั้งหมดมาวางไว้บนโต๊ะ เขาเพิ่งมาเห็นว่าตัวเองไม่สามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานอะไรที่ควรจะแผ่ออกมาจากผลไม้พวกนี้เลย! 


 


 


หลี่ว์ซู่งงไปหมด หลังจากที่เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ถ่ายรูปส่งไปถามจงอวี้ถัง [ผลไม้พวกนี้คืออะไรน่ะ] 


 


 


จงอวี้ถังอึ้งไปเหมือนกัน [อะโวคาโดไม่ใช่เหรอ ช่วงนี้คนกินกันเยอะอยู่นะ] 


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปเลย เขารู้สึกจนไปชั่วขณะ มันเป็นแค่ผลไม้ธรรมดาเองเหรอ! 


 


 


ก็ไม่ต้องพูดมากอะไรหรอก ถ้าผลไม้พวกนี้ไม่มีพลังงานแผ่ออกมา มันก็เป็นแค่ผลไม้ธรรมดาเท่านั้นแหละ หลี่ว์ซู่คิดแล้วว่าผลไม้พวกนี้มันคุ้นๆ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นผลไม้ธรรมดาเลย เขาไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร 


 


 


แล้วทำไมฮาเวิร์ดต้องเอาผลไม้ตั้งเยอะติดตัวด้วยล่ะ ชีวิตมีมาตรฐานสูงขนาดนั้นเลยเหรอ 


 


 


หลังจากที่แยกผลไม้ตามประเภทแล้ว เขาก็พบว่าฮาเวิร์ดมีผลไม้ปะทุพลังในช่องเก็บของล่องหนของเขาแค่หกผลเท่านั้น มิน่าล่ะตอนที่เบ็นเนตต์ขอผลไม้ปะทุพลังสิบผลแล้วฮาเวิร์ดก็ไม่รีบตะครุบคำร้องขอนั้นไว้ เพราะเขาเองก็มีไม่เยอะนี่เอง 


 


 


หลี่ว์ซู่ยังมีผลไม้สีน้ำเงินอยู่อีกสองผล และผลสีเงินอีกสี่ผลจากโบราณสถานหลัวปู้พัว เขายังไม่รู้ว่าผลไม้พวกนี้ทำอะไรได้บ้าง 


 


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นอะไรบางอย่างในแหวนมิติ มันคือกิ่งไม้นั่นเอง 


 


 


กิ่งไม้นี่ไม่ได้ดูแปลกอะไร แต่ที่แปลกคือทำไมถึงมีของธรรมดาๆ หลายอย่างอยู่ในแหวนมิติของฮาเวิร์ดเยอะจัง เขาชอบแกะสลักไม้เหรอ แต่นี่ไม่ใช่อุปกรณ์แกะสลักไม้นี่ 


 


 


เมื่อหลี่ว์ซู่เอากิ่งไม้ออกมาดูด้วยความสงสัย เขาก็รู้สึกได้ว่ากิ่งไม้นี้นั้นร้อนผิดปกติ หลี่ว์ซู่ควรจะถูกไฟนี้ลวกแล้วสิ แต่ไฟในใจของเขากลับกดให้ไฟจากกิ่งไม้นี้มอดลงไป! 

 

 

 


ตอนที่ 666 ไม้อู่ถง

 

หลี่ว์ซู่เพิ่งมาเห็นว่ากิ่งไม้นี้ไม่ได้เป็นกิ่งไม้ธรรมดาอย่างที่เขาคิด มันน่าจะเป็นของวิเศษธาตุไฟ ถึงเขาจะเอาไปใช้อะไรไม่ได้ แต่เขาก็ศึกษาจากมันได้ล่ะนะ 


 


 


กิ่งไม้นี้หนาเท่าแขนของหลี่ว์ซู่และมีรอยสัญลักษณ์รูปไฟบนกิ่งไม้ด้วย เขารู้สึกได้ถึงพลังงานอันทรงพลังที่แผ่ออกมา ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่มีไฟในใจของเขาช่วยแล้วล่ะก็เขาคงถือกิ่งไม้นี้ไม่ได้แน่ อย่างน้อยเขาคงต้องสวมม่านเกราะประกายดาวก่อนที่จะจับมันได้ 


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบเสียงลงเพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอกประตู จากนั้นเขาก็เปิดหน้าต่างกระโดดออกไปและเขามุ่งหน้าวิ่งไปทางป่า 


 


 


ไม่มีใครเห็นหลี่ว์ซู่ได้ในความมืด และไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนหายไปจากวิลล่า 


 


 


หลังจากนั้นกว่าสิบนาทีให้หลัง หลี่ว์ซู่ก็นั่งยองๆ ลงในป่าเพื่อพิจารณากิ่งไม้อันนั้น เขาไม่สามารถใช้พลังดวงดาวเข้าถึงกิ่งไม้นี้ได้ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เขามองขึ้นไปเห็นนกฟีนิกซ์ไฟของฮาเวิร์ดห่างอยู่ออกไปประมาณห้าสิบเมตรได้ มันมองมาทางเขาอย่างเงียบๆ ในปากยังมีไก่ติดไฟสองตัวอยู่เลย… 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ เริ่มแปลกๆ เขาไม่รู้ว่านกฟีนิกซ์ไฟต้องการอะไร เหมือนมันก็ไม่ได้อยากจะมาหาเขาด้วย 


 


 


“เอ่อ…กินอะไรหรือยังล่ะ” หลี่ว์ซู่ทักทายด้วยคำถามทั่วไป เขาแน่ใจว่านกฟีนิกซ์นี่ฉลาดพอควร แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะมาแก้แค้นแทนฮาเวิร์ดหรือเปล่า 


 


 


นกฟีนิกซ์ไฟเอียงคอแล้วมองหลี่ว์ซู่ เขาไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ แล้วมันก็ไม่น่าจะให้แต้มอารมณ์ได้ 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป นกฟีนิกซ์ไฟไม่ได้มองเขานี่ แต่มันมองกิ่งไม้ในมือเขาต่างหาก! 


 


 


หลี่ว์ซู่เลยถามออกไป “อยากได้นี่เหรอ” 


 


 


นกฟีนิกซ์ไฟไม่ได้ตอบเหมือนว่ามันจะไม่เข้าใจเขา หลี่ว์ซู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง มันน่าจะเข้าใจภาษามนุษย์เพราะมันฉลาดนี่นา ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงถามเป็นภาษาอังกฤษ 


 


 


“อยากได้นี่เหรอ” นกฟีนิกซ์ไฟลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะผงกหัวตอบรับ 


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็อึ้งไป 


 


 


อย่างที่คิดไว้เลยว่าฟีนิกซ์ตัวนี้มาจากต่างประเทศ มันไม่เหมือนกับฟีนิกซ์ที่อยู่ในประเทศจีนมันเลยไม่เข้าใจภาษาจีน เหนื่อยแล้วสิ เขาต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเหรอเนี่ย 


 


 


นกฟีนิกซ์ไฟเองก็รู้สึกว่ามนุษย์คนนี้ค่อนข้างใจดี ถึงแม้ว่าหลี่ว์ซู่จะฆ่าฮาเวิร์ดไป แต่นกฟีนิกซ์ไฟก็ไม่ได้รู้สึกว่าฮาเวิร์ดเป็นเจ้านายของมันอยู่แล้ว มันก็เลยไม่รู้สึกแย่อะไรกับการตายของเขา เพราะฉะนั้นมันก็เลยไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต่อต้านหลี่ว์ซู่ อีกอย่างนกฟีนิกซ์ยังรู้สึกได้ว่ามันชอบหลี่ว์ซู่เข้าให้แล้ว แต่แล้วมันก็เห็นว่าหลี่ว์ซู่กำลังเก็บกิ่งไม้นั้นไปอย่างช้าๆ … 


 


 


มันไม่เข้าใจสักนิด 


 


 


[ได้แต้มจากฟีนิกซ์ +666…] 


 


 


หลี่ว์ซู่ชี้ไปที่นกฟีนิกซ์และเริ่มอธิบายกับมัน 


 


 


“รู้ไหมว่ากว่าฉันจะได้แค่กิ่งไม้นี้มามันมายากเย็นขนาดไหน ฉันต้องสู้กับฮาเวิร์ดตั้งสามวันสามคืน จะเอาไปง่ายๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง” นกฟีนิกซ์มองหลี่ว์ซู่กลับอย่างใจเย็น หลังจากการต่อสู้ระหว่างฮาเวิร์ดกับหลี่ว์ซู่ก็ยังไม่ผ่านไปวันหนึ่งเลยด้วยซ้ำ… 


 


 


“เอาอย่างนี้ดีกว่า” หลี่ว์ซู่โบกมือ “ฉันก็ไม่ได้เป็นคนขี้เหนียวอะไรหรอกนะ มาช่วยฉันสู้แล้วจะเอากิ่งไม้นี้ให้ ไม่ต้องห่วงเลย เดี๋ยวจะดูแลอย่างดี ถ้ามีของธาตุไฟอะไรโผล่มาอีกเดี๋ยวจะขายให้ราคางามๆ เลย!” ตอนแรกฟีนิกซ์ไฟก็คิดว่าหลี่ว์ซู่ไว้ใจได้นะ แต่หลังจากที่ได้ยินว่าเขาจะขายของให้มันก็เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว… 


 


 


[ได้แต้มจากฟีนิกซ์ +666…] 


 


 


ตอนแรกมันก็คิดว่ามนุษย์คนนี้ใจดีอยู่ล่ะ แต่ตอนนี้มันอยากจะหัวเราะออกมาแทน 


 


 


แต่แล้วไฟของฟีนิกซ์ที่เปล่งออกมาก็เริ่มจะหมองลง หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย ทำไมเขารู้สึกว่าฟีนิกซ์ตัวนี้กำลังจะตายล่ะ 


 


 


นกฟีนิกซ์ไฟบินโฉบไปที่หลี่ว์ซู่ด้วยปากที่คาบไก่ติดไฟอยู่อย่างนั้น หลี่ว์ซู่ตกใจมาก “บอกไว้ก่อนเลยนะว่าแกเอาชนะฉันไม่ได้หรอก!” 


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร นกฟีนิกซ์ไฟนี้ก็แปลงร่างเป็นแสงไฟและเข้าไปอยู่ในกิ่งไม้นั่น หลี่ว์ซู่ตะลึง มันไม่ได้อยากจะได้กิ่งไม้แต่มันอยากจะเข้าไปอยู่ในกิ่งไม้นี้ต่างหาก! 


 


 


ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเห็นปัญหา… 


 


 


ทุกๆ ครั้งที่ฮาเวิร์ดเรียกนกฟีนิกซ์ไฟมา เขาจะต้องชี้ขึ้นไปบนฟ้าอย่างกับเป็นซูเปอร์ฮีโร่ หลี่ว์ซู่ยังคิดเลยว่าคนที่รับผิดชอบเรื่องการต่างประเทศขององค์กรระดับบนๆ นั้นไม่ควรจะหลงตัวเองมากไป แต่ถ้าเขาเป็นแบบนั้นแล้วหลี่ว์ซู่จะทำไงได้ล่ะ 


 


 


เมื่อก่อนนั้นทุกคนอาจคิดว่าฮาเวิร์ดเรียกนกฟีนิกซ์ไฟมาจากร่างของเขาเอง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้ว 


 


 


เขาเรียกนกมาจากแหวนมิติที่อยู่บนนิ้วของเขา ฮาเวิร์ดดูน่าเกรงขามเพราะมีพลังไฟ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย 


 


 


เขาแสร้งแสดงละครตบตามาตลอดชีวิตเลยสินะ… 


 


 


เพราะฉะนั้นฮาเวิร์ดน่าจะมีไพ่ตายที่เป็นพลังไฟอยู่แต่เขาไม่ได้ใช้มัน เขามักจะซ่อนอะไรบางอย่างไว้ใต้แขนเสื้อเสมอ ก่อนที่เขาจะใช้ไม้ตายได้ ไฟของเขาก็ถูกหลี่ว์ซู่ยับยั้งให้มอดไปก่อนแล้ว ฮาเวิร์ดคงจะไม่พอใจมาก แน่ล่ะว่าหลี่ว์ซู่ไม่รู้ข้อมูลที่แน่ชัดหรอก คนอยู่ก็ได้แต่เดาความลับของคนตายเท่านั้นแหละ 


 


 


เมื่อนกฟีนิกซ์ได้เข้าไปในกิ่งไม้นั้นแล้ว หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกได้ว่าไก่ติดไฟสองตัวนั้นได้รวมเป็นร่างเดียวกันกับนกฟีนิกซ์ไฟ แล้วตอนนี้มันก็เหลือเพียงนกฟีนิกซ์ไฟตัวเดียว หลี่ว์ซู่คิดว่าไก่ติดไฟพวกนั้นเป็นตุ๊กตาของนกฟีนิกซ์เสียอีก 


 


 


ไม้ในมือหลี่ว์ซู่นี่อาจจะเป็นต้นอู่ถงในตำนานหรือเปล่านะ หลี่ว์ซู่มองไปที่ลายไม้ที่ส่องประกาย มันเป็นไม้จากต้นอู่ถงจริงๆ ด้วย กล่าวกันว่านกฟีนิกซ์จะเกาะอยู่บนต้นอู่ถงเท่านั้น หลี่ว์ซู่คิดว่าตำนานนั้นคงพูดไปเพื่อที่จะทำให้นกฟีนิกซ์ดูสูงส่งเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงเลย 


 


 


มีคนกล่าวกันว่าฮาเวิร์ดได้วิญญาณของนกฟีนิกซ์มา หรือนี่จะหมายถึงว่านกฟีนิกซ์ได้ใช้กิ่งไม้อันนี้เป็นที่พำนักกันนะ 


 


 


หลี่ว์ซู่พยายามจะใช้พลังดวงดาวของเขาเพื่อเรียกนกฟีนิกซ์ไฟออกมา แต่พลังดวงดาวของเขากลับไม่สามารถเข้าถึงกิ่งไม้นั่นได้ ในตอนนั้นเองเปลวไฟสีขาวในตัวของเขาก็โลดแล่นออกมา เขาเพิ่งสังเกตว่าครั้งนี้ไฟของเขาจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ 


 


 


เปลวไฟสีขาวนั้นปลดปล่อยของเหลวสีขาวหยดลงบนมือของเขา หยดของเหลวนั้นก็ซึมเข้าไปในไม้อู่ถงเหมือนกับหยดน้ำ แล้วไม้อู่ถงก็ส่องแสงประกายสีขาวออกมาราวกับว่ามันกำลังเผาไหม้ไม้อู่ถงอยู่! 


 


 


นกฟีนิกซ์ไฟในไม้อู่ถงนั้นคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด มันไม่อยากจะจำนนให้เขาเลย แต่ไฟสีขาวนี้แข็งแกร่งเหมือนกับเป็นราชาแห่งไฟ มันไม่ยอมปล่อยให้ฟีนิกซ์ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย 


 


 


ไม่นานไม้อู่ถงก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนไฟของเขา 


 


 


หลี่ว์ซู่มองเห็นเปลวไฟลุกโชนอยู่ในไม้อู่ถง นกฟีนิกซ์ไฟหลับใหลอยู่ภายใต้เปลวไฟสีขาวและปรากฏสัญลักษณ์เปลวไฟขาวนั้นอยู่ข้างลำคอ! 


 


 


เปลวไฟในใจหลี่ว์ซู่นั้นก็หลับใหลลงไปเช่นกัน ราวกับว่ามันได้ใช้พลังงานไปเยอะมากและไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป 

 

 

 


ตอนที่ 667 ตัวจริงเปิดเผยง่ายๆ เลยซะง...

 

ในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังมองนกฟีนิกซ์ไฟนอนสงบอยู่ในไม้อู่ถงอยู่นั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่านกฟีนิกซ์นี้เหมือนเจ้าโกลาหลเลยเพราะเขาสามารถสื่อสารกับมันผ่านจิตได้


 


 


และยังมีอีกอย่างที่เหมือนกับเจ้าโกลาหลก็คือหลี่ว์ซู่ไม่สามารถปลุกมันได้ถ้ามันกำลังหลับอยู่


 


 


ในเมื่อเขามีทั้งนกฟีนิกซ์ไฟและเจ้าโกลาหลแต่ทำไมเขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดีนะ! แถมไฟสีขาวของเขาก็หลับแน่นิ่งไปแล้วด้วย หลี่ว์ซู่ก็ไม่เห็นว่ามันจะกระทบพลังต่อสู้ของเขาเท่าไหร่นัก ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เป็นเจ้าของอาวุธพวกนี้มาก่อนอยู่แล้วนี่ แต่ทำไมเขายังรู้สึกว่ามันมีอะไรหายไปอยู่ดีนะ


 


 


ถึงเปลวไฟสีขาวของเขาจะไม่ได้แสดงตนโจ่งแจ้งว่าตัวเองมีตัวตนอยู่ แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่มีมันอยู่เหมือนกัน มันไม่เคยจะทำให้เขาเสียใจเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาปะทุพลังขณะโดนรถชน ตอนที่เหลียงเช่อพยายามจะฆ่าเขา หรือครั้งล่าสุดที่เขาเผชิญหน้ากับฮาเวิร์ดก็ตาม มันช่วยให้เขายับยั้งความสามารถของไฟอื่นๆ ได้ตลอด


 


 


แล้วตอนนี้ในตราแผ่นดินของเขาก็มีแต่เหตุการณ์ยุ่งๆ เต็มไปหมด หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าจะมีอัจฉริยะคนไหนที่ใช้ประโยชน์จากพวกมันได้


 


 


หลี่ว์ซู่เก็บไม้อู่ถงลงไปในตราแผ่นดิน ตอนนี้นกฟีนิกซ์ไฟก็กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาแล้ว เขาตัดสินใจว่าจะไม่ตั้งชื่อของมันเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเกิดวันหนึ่งเขาปลอมตัวเป็นเฉินไป่หลี่แล้วตะโกนออกมาว่า ‘ฟีนิกซ์’ จบแล้วเกิดตายขึ้นมาล่ะ


 


 


แล้วเขาจะเรียกมันว่าอะไรดีนะ หลี่ว์ซู่ใช้เวลาคิดประมาณสองวินาทีแล้วก็ตั้งชื่อให้มันว่าเยี่ยนหั่ว ชื่อเยี่ยนหั่วที่แปลว่าพลุไฟและกับฮุ่นตุ้นที่แปลว่าโกลาหลนี่ช่างดูเข้ากันจริงๆ แหม อย่างกับเป็นฝาแฝดแน่ะ


 


 


แล้วในขณะที่เขาเก็บไม้อู่ถงลงไปอยู่นั้น กระบี่เฉิงอิ่งและน้ำเต้าบิดคอก็เข้าไปใกล้กับไม้อู่ถงอย่างน่าพิศวง เหมือนกับว่าพวกมันเป็นญาติที่มาเฝ้าเด็กเกิดใหม่อย่างนั้นแหละ


 


 


น้ำเต้าบิดคอนั้นถึงกับพ่นไฟออกไปที่ไม้อู่ถงด้วย แต่ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ กลับมา…


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็ทำหน้าอารมณ์เสียขึ้นมา ปกติแกก็ไว้ใจอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้วนะ แค่มองเฉยๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมจะต้องขี้สงสัยมากขนาดนี้ด้วย! น้ำเต้าบิดคอนี่เริ่มจะทำตัวไม่สนใจหลี่ว์ซู่เข้าไปทุกวันแล้ว ตั้งแต่ที่หลี่ว์ซู่เอามันมาเป็นกำบังจากการลงโทษของสวรรค์แล้วหลี่ว์ซู่ก็เพิ่งเห็นมันจะกระตือรือร้นขึ้นมานี่แหละ


 


 


จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ปลอมตัวเป็นหลี่เถิงอีกรอบแล้วมุ่งหน้ากลับไป ถึงเวลาจะเที่ยงคืนแล้วแต่ไฟในวิลล่าก็ยังคงสว่างอยู่ ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีคนเข้านอนเลย


 


 


หลี่ว์ซู่เก็บรวบรวมของที่ได้จากแหวนมิติของฮาเวิร์ด และเขาก็นึกได้ว่าฮาเวิร์ดเก็บธนบัตรใบละยี่สิบดอลลาร์ไว้หมดเลยนี่นา!


 


 


ใบละยี่สิบดอลลาร์เนี่ยนะ เป็นถึงผู้รับผิดชอบองค์การต่างประเทศขององค์กรใหญ่แต่มีธนบัตรแค่นี้ บ้าไปแล้วหรือเปล่า


 


 


จะโทษหลี่ว์ซู่ที่เขาตกใจมากขนาดนี้ไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่เคยไปประเทศอเมริกามาก่อน เขาก็เลยเข้าใจว่าธนบัตรยี่สิบดอลลาร์นั้นมันก็แค่เงินพกติดตัวนิดหน่อย แต่แท้ที่จริงแล้วมันมีค่าเท่ากับร้อยหยวนเลยทีเดียว และพวกคนในท้องถิ่นก็ใช้ธนบัตรยี่สิบดอลลาร์กันทั้งนั้น


 


 


ถ้ากดเงินจากตู้เอทีเอ็มมาเป็นจำนวนห้าร้อยดอลลาร์แล้ว จะได้รับธนบัตรมาเป็นใบละยี่สิบดอลลาร์จำนวนยี่สิบห้าใบแทนที่จะได้มาเป็นธนบัตรใบละร้อยดอลลาร์จำนวนห้าใบ


 


 


แล้วถ้าจ่ายเงินสดด้วยธนบัตรใบละร้อยดอลลาร์ที่ร้านอาหารล่ะก็ คนรับเงินก็คงจะตกใจมากๆ เพราะมันเป็นธนบัตรที่ไม่ค่อยใช้กันทั่วไป


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่รู้เรื่องนี้เขาก็เลยดูถูกฮาเวิร์ดไป ขนาดจะหาคนที่ให้ธนบัตรใบละยี่สิบดอลลาร์ในวันปีใหม่ยังหายากเลย! องค์กรนี้มันอะไรกันเนี่ย!


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็ได้กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเตะจมูกเข้าอย่างจังมาจากในวิลล่า แต่ดูเหมือนบะหมี่นี้จะมีรสชาติแปลกๆ น่ะสิ


 


 


เมื่อสองปีก่อนตอนที่พวกเขายังจนอยู่หลี่ว์ซู่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อยมาก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ชอบกินบะหมี่สำเร็จรูปเหมือนกันเพราะมันอร่อย


 


 


หลี่ว์ซู่จำได้ว่าคืนที่เขาปะทุพลังนั้นเขาได้ออกไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ตอนนั้นการได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับพวกเขาก็เหมือนการได้ฉลองปีใหม่


 


 


พูดถึงอดีตแบบนั้นแล้วหลี่ว์ซู่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะร้องไห้หรือหัวเราะกับมันดี เขาไม่รู้เลยว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปไหนแล้ว เขาพยายามจะเสกร่างแยกของเขาออกมาแต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับไม่รับคำขอนั้น


 


 


วิธีนี้เป็นวิธีที่แปลกทีเดียว ทั้งหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะต้องยินยอมทั้งคู่เพื่อที่จะให้ร่างแยกมันทำงานได้ ถ้ามีใครคนหนึ่งปฏิเสธก็จะเสกมันขึ้นมาไม่ได้


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดี เพราะตอนนี้เริ่มมีชื่อแปลกๆ ปรากฏขึ้นมาในบันทึกแต้มอารมณ์ของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เป็นชื่อภาษาอังกฤษซึ่งไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ หลี่ว์ซู่อ่านชื่อไม่ค่อยออกด้วยซ้ำ เขาเอาชื่อไปเสิร์ชหาออนไลน์แต่ก็ไม่เจอ


 


 


มีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หายไปไหน


 


 


จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เดินมาในห้องโถงและเห็นกลุ่มคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ทุกๆ คนมีถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ในมือ หลิวฟ่านยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพวกนี้จะรสชาติแปลกๆ แถมยังน่าจะเป็นของปลอมอีก แต่พวกเราก็โชคดีมากที่ได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันในแอฟริกาแบบนี้นะ ถือว่าฉันเลี้ยงแล้วกันนะ ถ้าอยากกินกันอีกเดี๋ยวซื้ออีกได้ แต่พรุ่งนี้จะซื้อไม่ได้แล้ว เจ้าของร้านบอกว่าฉันซื้อไปเกลี้ยงเลย แล้วพวกเขาก็ต้องเติมของกันใหม่ด้วยล่ะ!”


 


 


หลี่ว์ซู่มองดูตัวหนังสือที่อยู่บนซองบะหมี่ ฮ่าๆๆ ของปลอมแน่เลยล่ะ


 


 


แต่เขาไปเดินรอบเมืองนี้มาแล้วและรู้ว่ามีแต่ร้านของจ้าวหย่งเฉินเท่านั้นที่ขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


 


 


งั้นอย่าบอกนะว่าหน่วยข่าวกรองในแอฟริกาขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปลอมน่ะ! นี่มันเหมาะสมแล้วเหรอ เครือข่ายฟ้าช่วยส่งคนดีๆ ไปต่างประเทศหน่อยได้หรือเปล่าเนี่ย!


 


 


แล้วพอหลิวฟ่านเห็นหลี่ว์ซู่เดินออกไปจากห้องเขาก็ยิ้มและพูดออกมา “ขอโทษทีนะหลี่เถิง บะหมี่มีพอสำหรับคนที่อยู่ที่นี่เท่านั้นน่ะ มีไม่พอสำหรับนายหรอก”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินกลับไปที่ห้องตัวเองแล้วเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาสองถ้วย ถ้วยแรกเป็นรสผักกาดขาวดอง และอีกถ้วยมีเนื้อวัวผสมอยู่ สุดท้ายแล้วพวกนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าของเขากันแน่


 


 


เมื่อกลิ่นของผักกาดขาวดองส่งกลิ่นไปทั่วห้อง หลี่ว์ซู่ก็เริ่มได้รับแต้มอารมณ์มาเรื่อยๆ แล้ว หลีอีเสี้ยวมองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปลอมในมือตัวเองแล้วเม้มปาก


 


 


“นี่น้องชาย ขอถ้วยหนึ่งได้ไหมล่ะ”


 


 


“ไม่ล่ะครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริงและปฏิเสธเขาออกไปอย่างเนียนๆ


 


 


[ได้แต้มจากหลีอีเสี้ยว +166…]


 


 


หลีอีเสี้ยวอารมณ์เสียขึ้นมาทันที เขาเป็นถึงราชันฟ้า แล้วเขาจะทำอย่างไรเมื่อเขาอยากกินบะหม่สำเร็จรูปสักถ้วยล่ะ


 


 


“น้องชาย นายมีบะหมี่ตั้งสองถ้วยนะ”


 


 


“ก็ผมชอบกินแบบหม้อไฟนี่ครับ มีปัญหาอะไรไหมครับ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างเริงร่า


 


 


หลิวฟ่านมองดูบะหมี่สองถ้วยในมือหลี่ว์ซู่ เขาพูดเรื่องหม้อไฟอะไรของเขากันนะ แต่ที่สำคัญก็คือเขาถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของจริงที่ไม่ใช่ของปลอมที่พวกเขากินกัน รสชาติมันก็ต้องแตกต่างกันสุดๆ อยู่แล้ว


 


 


ซุปบะหมี่แถบนี้มันก็อร่อยดีอยู่หรอก แต่บะหมี่น่ะไร้รสชาติ


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่พูดอยู่นั้นหลี่อีเสี้ยวก็ลากหลี่ว์ซู่เข้าไปในห้องทันที เขาล็อกประตูแล้วถามออกมา “หลี่ว์ซู่ นั่นนายใช่ไหม ช่วยฉันหาเงินหน่อย ตอนนี้จนไม่ไหวแล้วเนี่ย! รู้ไหมว่าน่าหลานเชวี่ยเขี้ยวมากขนาดไหน เงินเก็บที่ซ่อนไว้ของฉันถูกนายแล้วก็เสี่ยวอวี๋เจอจนหมด รับผิดชอบเลยนะ!”


 


 


ขณะที่หลี่อีเสี้ยวพูดออกไปนั้น เขาก็รู้ว่าเขาทายถูกแน่ๆ แล้ว เขาแน่ใจว่านี่ต้องใช่หลี่ว์ซู่มาตั้งแต่แรกแล้ว และเมื่อหลี่ว์ซู่ได้ยินก็เงียบไป


 


 


“นี่รู้ตัวจริงผมง่ายๆ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ!”

 

 

 


ตอนที่ 668 แผนใหม่

 

เมื่อหลี่ว์ซู่โดนหลี่อีเสี้ยวจับได้เขาก็เริ่มคิดว่าตัวเองเหมาะกับการเป็นสายลับปลอมตัวหรือเปล่า ทำไมถึงโดนจับได้ง่ายเสียเหลือเกิน


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าหลี่อีเสี้ยวนั้นรู้อยู่แล้วว่ามีหลี่ว์ซู่อยู่ในกลุ่ม และราชันฟ้าอย่างเขานั้นก็จำหลี่ว์ซู่ได้ตั้งแต่แรกเห็นด้วยซ้ำ อีกทั้งเขายังรู้อีกว่าคนกลุ่มนี้ได้เดินทางออกมาจากเมืองลั่วและมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ


 


 


กลุ่มผู้บำเพ็ญลับนั้นเป็นชาวเมืองลั่ว แต่พวกนักเจรจานั้นมาจากทางใต้ ฉะนั้นจึงต้องมีเหตุผลอธิบายว่าทำไมพวกคนกลุ่มนี้ถึงต้องเริ่มเดินทางออกมาจากเมืองลั่วที่เป็นเมืองเล็กๆ และมีเพียงสนามบินเล็กๆ อยู่ด้วย


 


 


ถึงคนอื่นจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่หลี่อีเสี้ยวรู้ว่าต้องมีคนสำคัญปลอมตัวมาด้วยแน่ แล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ ในเมื่อคำตอบมันชัดเจนขนาดนี้


 


 


เพราะฉะนั้นหลี่อีเสี้ยวเลยมองหาแต่ร่องรอยของหลี่ว์ซู่ในวินาทีที่เขาเปิดประตูเลยทีเดียว ตอนแรกเขาก็กลัวว่าจะหาหลี่ว์ซู่ไม่เจอเพราะหลี่ว์ซู่คงจะใส่หน้ากากปิดบังตัวเองไว้


 


 


แต่พอผ่านไปเขาก็เห็นว่าเขาไม่ควรจะกังวลไปเลย นิสัยส่วนตัวของหลี่ว์ซู่เหมือนกับแสงสว่างในความมืด ออกจะเด่นออกมาเสียขนาดนี้…


 


 


หลี่ว์ซู่เลยพูดอ้อมแอ้ม “แต่ในแอฟริกาไม่มีแหล่งทำเงินเลยนะครับ แถมน่าหลานเชวี่ยยังจับตาดูท่านอยู่อย่างใกล้ชิดเลยด้วย แล้วแบบนี้จะหาเงินกันยังไงล่ะครับ” แล้วหลี่อีเสี้ยวก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา


 


 


“ฉันว่าสำนักงานใหญ่ของ EO ต้องเต็มไปด้วยเงินสดจำนวนมากแน่ๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะฟังนายทำตามนายทุกอย่าง แล้วเรามาแบ่งเงินกัน 90 ต่อ 10 นายเก็บเงินไว้ก่อนแล้วฉันค่อยไปเอาจากนายตอนเรากลับถึงบ้านแล้ว!”


 


 


ฉลาดนี่ หลี่ว์ซู่คิด น่าหลานเชวี่ยยึดกระเป๋ามิติของหลี่อีเสี้ยวไป หลี่ว์ซู่เลยจะเป็นตู้เก็บเงินให้เขาไปพลางๆ ก่อน แต่ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะได้พูดอะไรหลี่อีเสี้ยวก็พูดขึ้นมาก่อน


 


 


“น้องชาย ช่วยฉันหน่อยเถอะ ช่วงนี้ฉันลำบากจริงๆ อย่าคิดเป็นหลักทศนิยมกันเลยครั้งนี้ ใจฉันจะทนไม่ไหวเอา”


 


 


“แหม ก็นะ” หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่าหลี่อีเสี้ยวจะพูดแบบนี้ออกมาก่อน แต่อย่างไรก็ตามแผนเดิมก็คือการไปตกลงกับ EO แบบสันติ ซึ่งนั่นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้แล้วล่ะในเมื่อหลี่อีเสี้ยวมาที่นี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเขาจะไปเอาเงินมาได้อย่างไรล่ะ พวกเขาต้องเตรียมการกันอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจออกไปสู้ หลี่ว์ซู่ก็อยากจะเตรียมกลยุทธ์ในการโจมตีแบบลับๆ ที่จะทำให้เขาได้เปรียบมากขึ้นด้วย


 


 


“รอฟังสัญญาณจากผมแล้วกันครับ เราค่อยเริ่มกันพรุ่งนี้” หลี่ว์ซู่พูดจบก็กระโดดออกไปทางหน้าต่าง


 


 


หลี่อีเสี้ยวทำหน้าดีใจมากเมื่อเห็นว่ามีบะหมี่สองถ้วยวางอยู่บนโต๊ะของหลี่ว์ซู่ เขาหยิบทั้งสองถ้วยนั่นไปที่ห้องกินข้าว เขาเห็นน่าหลานเชวี่ยและหลินกานอวี๋พูดคุยกันอย่างถูกคอ เมื่ออยู่กับพวกผู้ชายนานๆ แล้วหลินกานอวี๋ก็อยากจะคุยกับผู้หญิงด้วยกันบ้าง


 


 


เธอเอ่ย “คุณสองคนเป็นผู้บำเพ็ญเหมือนกันแล้วดูน่ารักมากเลย แล้วพวกคุณก็ได้ใช้ชีวิตน่าตื่นเต้นด้วยกันอีก”


 


 


ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเรื่องราวความรักของน่าหลานเชวี่ยและหลี่อีเสี้ยวนั้นเป็นเรื่องที่ซึ้งกินใจ ในเวลาสงบอย่างนี้มีแต่สาวๆ นับไม่ถ้วนฝันอยากจะร่วมรบกับคนรัก พวกเขาจะได้ต่อสู้ในเวลายากลำบากด้วยกัน ช่างแสนโรแมนติกและน่าตื่นเต้นอะไรอย่างนี้ อย่างกับเป็นคู่รักในตำนานเลย


 


 


แต่เมื่อน่าหลานเชวี่ยได้ยินอย่างนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ


 


 


“น่ารักงั้นเหรอ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเขารักฉันจริงๆ หรือเปล่า”


 


 


ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มตึงเครียดเล็กน้อยเมื่อหลี่อีเสี้ยวปฏิเสธที่จะมีลูกกับเธอ น่าหลานเชวี่ยไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าหลี่อีเสี้ยวเข้าใจที่เธอพูดและยังจะปฏิเสธเธออีก


 


 


หลินกานอวี่กระซิบตอบเธอ “ถ้าคุณอยากรู้ว่าผู้ชายรักคุณจริงไหมให้คุณมองเข้าไปในตาเขาสักสิบวินาที ถ้าเขาจูบคุณก่อนก็แปลว่าเขารักคุณจริงๆ ”


 


 


“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” น่าหลานเชวี่ยพูดอย่างเหลือเชื่อ


 


 


“ลองดูแล้วกันค่ะ” หลี่ก้านอวี๋พูดยิ้มๆ


 


 


ในขณะที่หลี่อีเสี้ยวเดินออกไปพร้อมกับถ้วยบะหมี่สองถ้วย เขาก็เห็นน่าหลานเชวี่ยมาปรากฏตรงหน้าและจ้องเขาไม่วางตา พอผ่านไปห้าวินาทีเขาก็ยื่นถ้วยบะหมี่สองถ้วยนั่นให้น่าหลานเชวี่ย “เอาไปสองถ้วยเลยก็ได้ ฉันยังไม่ได้กิน…”


 


 


น่าหลานเชวี่ยอึ้งไปเลย สรุปเขารักเธอหรือไม่รักล่ะเนี่ย…


 


 



 


 


หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปในร้านขายของของจ้าวหย่งเฉิน เขากำลังดูละครในโทรศัพท์มือถือไปพลางหัวเราะไปพลางจนตาเล็กๆ ของเขาเกือบหายไป จ้าวหย่งเฉินรีบเก็บโทรศัพท์เข้าไปเมื่อเขาเห็นหลี่ว์ซู่เดินเข้ามา


 


 


“ให้ผมช่วยได้อย่างไรบ้างครับ”


 


 


“ช่วยจัดชุดทหารแบบนายร้อย EO ให้หน่อยสิ” หลี่ว์ซู่ไม่พูดเป็นรหัสลับอีกแล้ว


 


 


“อะไรนะครับ” จ้าวหย่งเฉินถามอย่างไม่มั่นใจ แล้วหลี่ว์ซู่ก็ชี้ไปที่โค้กกระป๋อง


 


 


“อันนี้กระป๋องเท่าไหร่ ขอลดสัก 2.333 ดอลลาร์ได้ไหม”


 


 


จากนั้นจ้าวหย่งเฉินก็กลับมาพูดธรรมดาเหมือนเดิม เขาถามอย่างระมัดระวังออกไปว่า


 


 


“ได้สิ เอาไปหนึ่งดอลลาร์ก็ได้ แต่อย่ามาโทษกันล่ะ ก็รู้อยู่ว่างานผมต้องเข้มงวดกันหน่อย คุณเปลี่ยนหน้าตาได้ก็จริงแต่คนอื่นๆ ก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน งั้นเรามาทำตามขั้นตอนเดิมกันทุกครั้งจะดีกว่าไหม”


 


 


หลี่ว์ซู่เข้าใจ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของความเป็นมืออาชีพ ถ้าสายลับหน่วยข่าวกรองโดนจับได้ขึ้นมาคนคนนั้นจะโดนลงโทษอย่างหนักและคงจะโดนทรมานเพื่อเค้นเอาความจริงและจะทำให้หน่วยข่าวกรองทั้งหมดล่มไปด้วย ดังนั้นการที่จะเข้มงวดก็ไม่ได้ผิดหรอก หลี่ว์ซู่เรียนรู้มาแล้ว เขาเลยพูดออกไป


 


 


“เข้าใจแล้วล่ะ ขอบคุณนะครับ งั้นช่วยเตรียมชุดของนายร้อย EO ให้ผมหน่อยนะ”


 


 


แล้วเขาก็พยายามจะเปิดกระป๋องตรงแผ่นเหล็กข้างบนกระป๋อง แต่มันหลุดออกมาเสียก่อนก็เลยเปิดไม่ได้ หลี่ว์ซู่มองดูกระป๋องแล้วพบว่ามันคือยี่ห้อ ‘ค็อก’ อย่างที่คิดไว้เลย…


 


 


หลิวฟ่านคงจะมาซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่นี่ด้วยสินะ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไปจ้าวหย่งเฉินก็พูดเสียงจริงจัง “เคยได้ยินตำนานความเชื่อนี้ไหม ว่ากันว่าถ้าคุณเปิดกระป๋องไม่ออกแต่ดึงแผ่นเหล็กติดออกมาด้วยแปลว่าแผ่นเหล็กนั้นถูกพระเจ้าเลือกไว้แล้ว และคุณจะต้องสวมแผ่นเหล็กนั้นไว้เป็นแหวน อ้าว เดี๋ยวก่อนสิ”


 


 


หลี่ว์ซู่ยื่นหอกสามง่ามไปจ่อบนหน้าผากของจ้าวหย่งเฉินเรียบร้อยแล้ว


 


 


“จะเอากระป๋องใหม่มาให้หรือไม่ให้”


 


 


[ได้แต้มจากจ้าวหย่งเฉิน +666…]


 


 


จ้าวหย่งเฉินเลยยื่นกระป๋องโค้กของจริงให้หลี่ว์ซู่อย่างช้าๆ แถมยังมีของจริงให้อีกกล่องวางอยู่ข้างๆ ด้วย


 


 


หลี่ว์ซู่เม้มปาก “ทำไมคนค้าขายต่างประเทศของเครือข่ายฟ้าดินถึงเป็นคนไม่ดีเยอะจังนะ!”


 


 


“ก็นะ” จ้าวหย่งเฉินถูมือตัวเองด้วยความอาย “ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่าให้ทำดีกับคุณไว้เราจะได้เป็นเพื่อนกันและทำงานด้วยกันแบบไม่มีปัญหา”


 


 


“นี่ด่ากันชัดๆ!” หลี่ว์ซู่ทำหน้าขึงขังทันที


 


 


“ขอถามอีกอย่างหน่อยนะ” จ้าวหย่งเฉินเปลี่ยนเรื่องเพราะเขาไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของยอดฝีมือทั้งสองคน “คุณมาที่นี่เพื่อมาเอาของหลังจากที่ราชันฟ้าหลี่เพิ่งมาถึงเลยเนี่ยนะ มีแผนใหม่อะไรหรือเปล่า ผมช่วยอะไรได้ไหม”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม