แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 655-661
บทที่ 655 แกล้งเป็นอะไรไม่เป็น ดันแกล้งเป็นคนโง่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” หลิงม่อหัวเราะ แล้วตอบกลับ
“เขาไม่ได้กำลังชมซักหน่อยนะนั่น!” มู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ อดพูดขึ้นไม่ได้
ในฐานะผู้บาดเจ็บ ถึงแม้เขาไม่ได้เข้าร่วมการลอบโจมตี แต่ตอนนี้พอเหลือแค่ซ่งจินเซินคนเดียว เขาเองก็ไม่กลัวที่จะออกมายืนอยู่ต่อหน้าสมาชิกนิพพานสำนักงานใหญ่คนนี้อีกต่อไป
และนี่ก็เป็นความตั้งใจของหลิงม่อเหมือนกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือ เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องให้มู่เฉินเป็นคนทำ
และพอซ่งจินเซินได้ยินประโยคนี้ก็แทบกระอักเลือด มือที่กำปืนไว้แน่นของเขาสั่นไม่หยุด
จำเป็นต้องยอมรับอย่างเสียมิได้ ว่าเขาประเมินหลิงม่อต่ำไป และประเมินเพื่อนของหลิงม่อต่ำยิ่งกว่า
พอคิดได้ว่านับตั้งแต่ที่หลิงม่อเดินออกมา เขาคงจะวางแผนในใจเรียบร้อยแล้วว่าจะรับมือกับพวกตัวเองอย่างไร จากนั้นก็ค่อยๆ ล่อให้พวกเขาเดินมาติดกับทีละก้าวๆ ซ่งจินเซินก็รู้สึกหนังศีรษะชาไปหมด
“ก้าวออกมาด้วยตัวคนเดียว แต่กลับไม่ปิดบังตัวตนของพวกพ้องตัวเอง เพื่อจงใจทำให้พวกเราเข้าใจผิดว่ามีแค่แกที่มีพลังต่อสู้ และมองข้ามพวกพ้องของแก ต่อมาก็อาศัยการโจมตีอันแปลกประหลาดเบี่ยงเบนความสนใจจากพวกฉัน จากนั้นก็ฉวยโอกาสนั้นให้พวกพ้องของแกแยกย้ายออกไปซ่อนตัวบริเวณใกล้ๆ และมองหาโอกาสจู่โจม ฉันเดานะ ไม่ว่าเมื่อกี้นี้ฉันจะนึกเรื่องฆ่าพวกพ้องของแกขึ้นมาได้หรือไม่ก็ตาม ยังไงแกก็คงจะหยุดการโจมตีกะทันหัน แล้วล่อลวงให้พวกฉันแยกย้ายออกไปค้นหาใช่ไหม?”
ซ๋งจินเซินถามด้วยสีหน้าขึ้งเคียด เขายังคงไม่อยากยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น
หลิงม่อพยักหน้า แล้วพูดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “มองได้ทะลุปรุโปร่งมาก เพียงแต่ช้าไปหน่อย”
ปึด!
ซ่งจินเซินกัดฟันกรอด ก้นบุหรี่ในปากถูกกัดจนขาด และร่วงลงพื้นพร้อมกับเศษผงสีเทา
“จากนั้น ก็ฉวยโอกาสตอนที่พวกฉันมัวแต่คิดจะฆ่าแก บวกกับพื้นที่บริเวณนี้ที่ไม่ได้กว้างอยู่แล้ว พวกฉันจึงเดินเข้าไปติดกับดักที่แกวางไว้อย่างง่ายดาย…แกวางแผนไว้อย่างนี้สินะ”
ครั้งนี้ไม่ต้องให้หลิงม่อพยักหน้ายืนยัน ซ่งจินเซินก็รู้ว่าตัวเองวิเคราะห์ไม่ผิดแน่
แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาวๆ เพราะเป็นอย่างที่หลิงม่อบอก สายไปเสียแล้ว
ความจริงแผนการนี้เป็นการหลอกใช้จิตวิทยาของแต่ละคน ทั้งที่เป็นแผนการที่มองออกได้ง่ายมาก แต่กลับสามารถตีทีมของพวกเขาจนพ่ายในพริบตา
แม้แต่ฝูงกา ก็ยังไม่แตกฝูงเร็วขนาดนี้เลย
ทว่ายังมีบางเรื่องที่ซ่งจินเซินคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หรือพูดอีกอย่างคือ…รับไม่ได้!
พลังที่พวกหลิงม่อแสดงให้เห็น บ่งบอกว่าพวกเขาสามารถสู้กันซึ่งๆ หน้าได้ แต่ทำไมต้องเลือกใช้วิธีนี้ด้วย?!
ซ๋งจินเซินคิดในใจ แล้วเขาก็ถามออกไปอย่างที่คิด
หลิงม่อคิดอย่างจริงจัง แล้วตอบว่า “ก็มันอันตรายน้อยที่สุด แล้วก็ลงแรงน้อยที่สุดไง”
น่าอับอายนัก! ช่างน่าอับอายที่สุด!
เขาแลกความอับอายที่สุดของซ่งจินเซินไปได้ด้วยการลงแรงเพียงน้อยนิด!
พอได้ยินอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเมื่อกี้เขาเป็นฝ่ายเดินลงไปตกหลุมพรางของหลิงม่อ ที่ด้านบนมีแค่ฟางข้าวไม่กี่เส้นปิดอยู่ ด้วยตัวเองน่ะสิ ยังมีเรื่องไหนน่าอับอายกว่านี้อีกไหม?!
เรื่องง่ายๆ แค่นี้ แต่เวลามันเกิดขึ้น เขากลับคิดไม่ถึงเลยแม้แต่นิดเดียว!
สีหน้าของซ่งจินเซินสับสนงุนงงไปหมด แต่สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่
วิธีของหลิงม่อ ง่ายและได้ผล แต่เขาก็เหมือนกับซ่งจินเซิน ที่ตอนเกิดเรื่องกลับคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งตอนที่เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินแยกย้ายกันออกไป และซย่าน่าก็พาเขากับสวี่ซูหานไปซ่อนตัว มู่เฉินก็ยังไม่รู้ว่าหลิงม่อตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
และความสามารถที่หลิงม่อแสดงให้เห็นเมื่อกี้ ก็ได้ทำให้มู่เฉินอึ้งด้วยเช่นกัน
เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน พลังของหลิงม่อก็อัพเกรดขึ้นอีกแล้วหรอ?
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้เข้าใจความสามารถพิเศษของหลิงม่อดี แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าพลังของหลิงม่อไม่ได้สูงเท่าตอนนี้
เขาอัพเกรดพลังตั้งแต่เมื่อไหร่?!
ทว่าสิ่งที่ทำให้มู่เฉินช็อกยิ่งกว่า กลับเป็นความสามัคคีในทีมของพวกเขา
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหลิงม่อสื่อสารกับพวกเธอด้วยวิธีไหน…เอาเป็นว่า มู่เฉินไม่มีทางเชื่อคำพูดไร้สาระอย่าง “กระแสจิต” อะไรนั่นแน่นอน
ทว่าเขาเองก็รู้ว่าหลิงม่อมีเรื่องน่าสงสัยอยู่มากมาย อย่างเช่นวัตถุสีใดที่ดูดเมล็ดพันธุ์พลังจิตในสมองของเขาออกไป เจ้าของสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่หลิงม่อค้นคว้าขึ้นมาได้อย่างไร…
แต่ในเมื่อถามแล้วก็มีแต่จะได้คำตอบซึ่งไร้ความจริงใจ และคำพูดไร้สาระกลับมา มู่เฉินคิดว่า เขาควรสะกดความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้เพื่อตัวเองจะดีกว่า
มองข้ามเรื่องวิธีการสื่อสาร สิ่งที่มู่เฉินเล็งเห็นคือ ความสามารถในการเคลื่อนไหวร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพของพวกเธอ รวมถึงความเชื่อใจที่พวกเธอมีให้กัน
เพราะมีสองข้อนี้ แผนการของหลิงม่อถึงได้สำเร็จอย่างงดงาม
และเหตุผลที่พวกซ่งจินเซินถูกพวกหลิงม่อเล่นงานสำเร็จ ก็เพราะพวกเขาขาดปัจจัยสำคัญสองข้อนี้ไป
“ถ้าหากสามารถสร้างทีมอย่างนี้ขึ้นมาได้อีก…หรือทำได้แค่หนึ่งในสองส่วนของพวกเธอ ก็มากพอที่จะเพิ่มความสามารถในการเอาตัวรอดได้แล้ว” มู่เฉินคิดอย่างคาดหวัง
แต่พอดึงสติกลับมา จู่ๆ มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่าตัวเองอินเกินไปแล้ว…
“บ้าจริง! น่าขายหน้าชะมัด!”
มู่เฉินแอบด่าตัวเองในใจ แต่ไม่นานเขาก็อดเผยสีหน้าแห่งความปรารถนาออกมาไม่ได้ “แต่ถ้าหากทำได้จริงๆ บางทีฉันอาจเจอเป้าหมายชีวิตที่มีความหมายมากกว่าเดิม เหมือนกับหลิงม่อก็ได้นะ…”
ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่มู่เฉินกลับจำต้องยอมรับว่า เขาได้เรียนรู้ว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าการใช้ชีวิตไปวันๆ มาจากหลิงม่อ
และเพราะเหตุนี้ ดังนั้นไม่ว่าหลิงม่อจะตัดสินใจทำเรื่องไร้สาระแค่ไหน แม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกสงสัยตามสัญชาตญาณ แต่เขากลับทำตามสิ่งที่หลิงม่อบอกมาโดยตลอด
อย่างเช่นในตอนนี้ ทั้งที่เขารู้ว่าสิ่งที่รอเขาอยู่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่ทีเดิมไม่ขยับไปไหน
ตายเป็นตายวะ!
“ยังไม่ลงมืออีก?” ซ่งจินเซินดวงตาแดงก่ำ เขาอ้าปากถุยก้นบุหรี่อีกครึ่งที่เหลือทิ้ง แล้วถามขึ้น
ถึงแม้มือทั้งสองข้างของเขาจะกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ก็ยังคงกำปืนสองกระบอกนั้นไว้แน่น “บอกตามตรง ตอนแรกฉันนึกว่าจะจัดการแกได้เพราะมีกำลังคนมากกว่า ปรากฏว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นฉันคนเดียวต้องเผชิญหน้ากับพวกแก 5 คนซะงั้น เหตุการณ์พลิกผันเร็วจริงๆ”
“เชี่ย เจ้าหมอนี้จนถึงตอนนี้ก็ยังพูดจาชวนเกลียดได้อีก ถึงขนาดไม่นับรวมสวี่ซูหานเข้าไปด้วย…” มู่เฉินสบถด่าสองสามประโยค แต่จู่ๆ กลับพบว่าซย่าน่ากำลังขมวดคิ้วจ้องตัวเองอยู่
เขามองตามสายตาของซย่าน่า แล้วก็หันไปสบตาเข้ากับสายตาบ้าคลั่งของสวี่ซูหานเข้าพอดี
ขณะเดียวกับที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ มู่เฉินก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ แล้วระเบิดอารมณ์ออกมา “โอ้โห บาดเจ็บแล้วไม่ใช่คนหรอวะ! ถึงฉันจะวิ่งไม่ไหวแต่ก็ยังสู้ตายกับแกได้นะโว้ย!”
“ที่จริงนายก็รู้อยู่แก่ใจใช่ไหมล่ะ” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างแฝงความนัย
ซ่งจินเซินชะงักค้างไปอย่างสับสนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ฉันยอมรับว่าพวกแกแข็งแกร่งมาก แต่ก็อย่าหยิ่งผยองให้มากนัก แกอยากล้วงความลับจากปากฉัน แต่ปัญหาจากสำนักงานใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่แกจะรับมือได้”
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แกควรห่วง” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างราบเรียบ
“แต่ถ้าแกล้มเหลว เรื่องที่ฉันปากโป้งบอกความลับของนิพพานก็จะถูกเปิดเผย ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะรอดพ้นจากการไล่ล่าของสำนักงานใหญ่ ฉันเป็นแค่คนคนหนึ่ง จะหนีไปได้ไกลแค่ไหนกันเชียว? แทนที่จะรอความตายจากซอมบี้หรือสำนักงานใหญ่ ระหว่างนั้นยังต้องรับกรรมมากมาย สู้วัดดวงกับแกตอนนี้ซะดีกว่า” ขณะที่ซ่งจินเซินพูดประโยคนี้ สีหน้าท่าทางของเขาดูใจเย็นมาก เหมือนเขาได้ตัดสินใจดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น
แต่ในความเป็นจริง ฝ่ามือของเขาตอนนี้กลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไม่มีใครมองเห็น
เขาแพ้แล้ว แต่ก็ต้องแพ้อย่างงดงามหน่อย
อย่างน้อยก็ต้องได้รับคำมั่นและประโยชน์จากหลิงม่อบ้าง เขาจึงจะไม่ถูกมองว่ามีค่าต่ำ
ดูจากท่าทีของหลิงม่อ ความภาคภูมิเพียงเท่านี้เขาน่าจะยังกู้กลับมาได้อยู่…
ซ่งจินเซินคิดในใจ แล้วเขาก็เห็นหลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
เขาลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง กำลังจะอ้าปากพูด แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกได้ถึงลมแรงที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าตรงๆ
หลังจากที่เขาเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ซ่งจินเซินก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้างลำคอ ต่อมาเลือดอุ่นๆ ก็ไหลลงในร่องคอเสื้อ
“โอ๊ยย!”
ซ่งจินเซินตกใจจนเหงื่ออาบไปทั้งตัว เขายังไม่ทันโต้กลับ หลิงม่อก็หายตัวไปแล้ว
ปากปืนเพิ่งจะถูกยกขึ้นยิง ความรู้สึกขนลูกก็พลุ่งพล่านไปทั้งตัว
ขณะเดียวกัน กระแสลมแรงหลายสาย พลันพุ่งเข้ามาหาเขาจากสี่ทิศรอบกาย!
ครั้งนี้ไม่ว่าเขาจะหลบยัง ก็หลบไม่พ้นอยู่ดี
ถ้าหากแลกด้วยชีวิต เขายังรีบเปลี่ยนเป้าหมายโจมตี และไม่แน่เขาอาจสามารถทำร้ายพวกพ้องหลิงม่อได้ซักคนสองคน แต่ถ้าทำอย่างนั้น เขาก็ต้องตายสถานเดียว…
“เดี๋ยวก่อน! ฉันยอมแพ้! ฉันยอมแพ้แล้วนี่ไง?!”
ซ่งจินเซินตะโกนเสียงดัง แล้วรีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้น
กระแสลมแรงพลันสลายตัว กลับเป็นเสียงหลิงม่อที่ดังมาจากด้านหลังเขา “แกจะเสแสร้งแกล้งทำไปทำไมกัน? เป็นคนโง่แล้วดีตรงไหน?”
—————————————————————————–
บทที่ 656 บางครั้งก็ต้องทุ่มสุดตัวบ้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซ่งจินเซินถอนหายใจโล่งอกออกมายาวๆ แต่สีหน้าของเขากลับสลดหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
คิดไม่ถึง ว่าสุดท้ายเรื่องต้องจบลงอย่างนี้…
คำพูดของหลิงม่อไม่น่าฟัง แต่เขากลับพูดไม่ผิดเลยซักนิด
ถ้าหากเขาไม่เสแสร้งแกล้งทำ อย่างน้อยเขาก็จะมีจุดจบที่ดีกว่าตอนนี้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ตอนนี้เขากลับกระตุกต่อมโมโหของหลิงม่อเข้าแล้วจริงๆ และได้ละทิ้งความภาคภูมิใจครั้งสุดท้ายในฐานะเชลยทิ้งไปกับมือ
ประโยชน์? ตอนนี้ยังกล้าคิดเรื่องผลประโยชน์อีกหรือ แค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็พอแล้ว…
“ฉัน…” ซ่งจินเซินสีหน้าสลด เขาเริ่มอ้าปากพูดด้วยแววตาสับสน
“บอกให้พูดแล้วหรอ?” หลิงม่อกลับตัดบทเขาอย่างไม่ไว้หน้า
ซ่งจินเซินชะงักไป สีหน้าบึ้งตึง แต่สุดท้ายก็ยอมหุบปากแต่โดยดี
“อย่าขยับ” เสียงของหลิงม่อดังมาอีกครั้ง
คอของซ่งจินเซินที่กำลังจะหันไปข้างหลังพลันชะงักค้าง เท้าของเขาหยุดกึกอยู่กับที่ทันที
เขาไม่กล้าขยับ การระเบิดอารมณ์เมื่อกี้ของหลิงม่อฝังรางแห่งความกลัวลึกลงไปในใจเขา แต่ขณะเดียวกันเขาก็กระวนกระวายใจไปด้วย
หลิงม่อคิดจะทำอะไรกันแน่…
ระหว่างที่เงียบไปช่วงสั้นๆ นี้ ซ่งจินเซินยืนนิ่งไม่ขยับอยู่อย่างนั้น เหงื่อเย็นจากศีรษะไหลผ่านแก้มและหยดลงจากคาง
แต่ในเวลานี้ด้านหลังซ่งจินเซิน หลิงม่อที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ได้กำลังแสยะยิ้มและคิดแผนจัดการกับเขาอย่างที่เขาคิด ตรงกันข้าม หลิงม่อสีหน้าซีดเซียว เขายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว ท่าทางเหนื่อยล้าเต็มที่
ก่อนหน้านั้นก็เบี่ยงเบนความสนใจของพวกนั้นโดยใช้วิธีการโจมตีประหลาดๆ เมื่อกี้ก็เพิ่งใช้เทคนิคลวงซ่งจินเซินให้หวาดกลัว หลิงม่อเผาผลาญพลังจิตไปมากจริงๆ
หลังจากที่เขาดูดกลืนพลังจิตของหมายเลข 0 ปริมาณโดยรวมเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ที่เขาเพิ่งใช้ไปเมื่อกี้ กลับเป็น “วิธีเผาผลาญพลังจิตขั้นสูง” ที่เขาคิดมาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยมีพลังจิตมากพอที่จะใช้ได้ตามใจ
อย่างเช่น “การโจมตีสร้างความวุ่นวาย” ที่ทำให้คนมากมายสับสน ความจริงแล้ว มันก็เป็นแค่พลังจิตก่อกวนบวกกับตาข่ายพลังจิตที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น
เมื่อรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ความเร็วในการเคลื่อนไหวของหลิงม่อก็เพิ่มขึ้นมา แล้วยังมั่นใจได้อีกว่าจะไม่ถูกมองเห็นได้อย่างง่ายดาย
คนที่พยายามตามจับวิถีการเคลื่อนไหวของเขา ก็จะถูกพลังจิตก่อกวนเล่นงาน
และคนที่คิดจะใช้พลังจิตจับเขา กลับตามวิถีการเคลื่อนไหวของเขาไม่ทัน
ทว่าวิธีนี้กลับมีผลเสียสองอย่าง หนึ่งคือต้องเผาผลาญพลังจิตมหาศาล สองก็คือต้องอาศัยการเพ่งพลังจิตระดับสูงรวมถึงการตอบสนองอันว่องไว ซึ่งหมายถึงการตอบสนองทั้งทางกายและทางจิต
ตอนนี้ระดับพลังจิตของหลิงม่อมากพอที่จะตอบสนองเงื่อนไขข้อที่หนึ่งได้แล้ว แต่ข้อหลังกลับต้องอาศัยการฝึกฝนมากกว่านี้จึงจะทำได้
หลิงม่อในตอนนี้ เพียงสามารถนำสองวิธีนั้นมาผสมผสานเพื่อใช้ “ซ่อนตัว” แล้วยังสามารถทำการจู่โจมในระหว่างนั้นครั้งสองครั้งครั้ง ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวมากแล้ว
แต่เพียงเท่านี้ กลับยังไม่อาจเติมเต็มความต้องการของหลิงม่อได้
ส่วนวิธีการที่เขาใช้กับซ่งจินเซินเมื่อกี้ คือ “ใช่หนวดสัมผัสหลายสิบเส้นทำการจู่โจมในระหว่างที่ซ่อนตัวไปด้วย” ซึ่งความจริงหากดูจากพลังของหลิงม่อในตอนนี้ เขายังไม่สามารถทำได้
แต่แสร้งยิงหลอกหนึ่งนัด เพื่อทำให้ซ่งจินเซินตกใจนั้นเขาทำได้สบายไม่มีปัญหา
เดิมหลิงม่อยังคิดว่าหากซ่งจินเซินฝืนต้านรับการโจมตีนี้ เขาก็คงทำได้เพียงสู้กับซ่งจินเซินอีกครั้ง จนกว่าซ่งจินเซินจะหมดแรงขัดขืน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะขี้ขลาดขนาดนี้…
ดูเหมือนว่าคำพูดที่ดูดีก็เป็นอีกเรื่อง แต่จะสามารถอดทนในช่วงเวลาคับขันได้หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากซ่งจินเซินที่ตกใจกลัวจนตัวสั่นอยู่กับจินตนาการของตัวเอง คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนเห็นสภาพของหลิงม่อในตอนนี้อย่างชัดเจน
แม้ว่าสีหน้าของพวกเย่เลี่ยนจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่พวกเธอกลับจ้องหลิงม่อตาไม่กระพริบอยู่อย่างนั้น
นั่นกลับทำให้ซ่งจินเซินเข้าใจผิดเข้าไปอีก เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสายตาเย็นชาหลายคู่จับจ้องอยู่ และอาจถูกพวกนั้นรุมโจมตีจนร่างพรุนเป็นรังผึ้งได้ทุกเมื่อ
สวี่ซูหานยังคงสติเลือนราง สีหน้าคลุ้มคลั่งไม่ต่างจากเดิมมากนัก กลับเป็นมู่เฉินที่สีหน้าฉายแววแปลกไปเล็กน้อย สายตาที่มองหลิงม่อเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
คนคนนี้ บางครั้งก็ทุ่มสุดตัวจริงๆ…
หลังจากผ่านไปนานกว่าสีหน้าจะมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง ในที่สุดหลิงม่อจึงอ้าปากพูดเพื่อดึงซ่งจินเซินออกมาจากความกลัวและตื่นตระหนก
“เป็นไง คิดดีแล้วหรือยัง?” หลิงม่อถาม
ซ่งจินเซินน้ำตานองหน้าทันที ที่แท้ก็ปล่อยให้เขาคิดเองหรอกหรอเนี่ย…
เขาอึกอักอยู่สองสามคำ หลิงม่อก็ตัดบทเขาอย่างใจร้อน พร้อมกับย่างสามขุมเข้าไปหาเขาช้าๆ “แกอยากให้ฉันเปลี่ยนวิธีถามแกจริงๆ น่ะหรอ?”
ถึงแม้น้ำเสียงของหลิงม่อจะราบเรียบมาก แต่ในดวงตาที่เปล่งประกายโดดเด่นคู่นั้น ซ่งจินเซินกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่ออกมาอย่างไม่ปิดบัง และแรงกดดันมหาศาลนี้ก็ทำให้เขาเย็นสะท้านไปทั้งตัว
“ฉันว่า…” ซ่งจินเซินกัดฟัน แล้วอ้าปากพูด
แต่หลิงม่อกลับกวักมือเรียกมู่เฉินเข้ามา “พูดกับเขา”
ซ่งจินเซินมองมู่เฉินอย่างประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าถามมาก เขาสังเกตสีหน้าของหลิงม่อไปพร้อมกับบอกเรื่องราวทั้งหมดที่ตัวเองรู้
ถึงอย่างไรก็เป็นสมาชิกเก่าแก่ของนิพพาน ดังนั้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานใหญ่ที่ซ่งจินเซินให้มา ย่อมต้องชัดเจนกว่าข้อมูลครึ่งๆ กลางๆ ผสมกับการคาดเดาส่วนตัวของมู่เฉินมากอยู่แล้ว และมีรายละเอียดมากมาย ที่แตกต่างไปจากที่หลิงม่อคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้
จากที่ซ่งจินเซินบอกมา ความจริงนิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ได้เป็นองค์กรลับที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ความจริงแล้ว มันเป็นเพียงค่ายผู้รอดชีวิตแห่งหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง X อย่างหลิงม่อ และคนของสาขาย่อยพวกนั้น นิพพานสำนักงานใหญ่ถือว่าลึกลับมากเท่านั้น
ส่วนจุดพิเศษ หลักๆ อยู่ที่ระบบการแบ่งระดับขั้นและการแบ่งสัดส่วนงานที่ชัดเจนของนิพพานสำนักงานใหญ่
อย่างซ่งจินเซิน ความจริงถูกเรียกว่าเป็นสมาชิกธรรมดา พวกเขาเหมือนผึ้งงาน ที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่งานภายนอกส่วนใหญ่ อย่างเช่นการค้นหาทรัพยากร ข่าวสารข้อมูล และจัดการสะสางภารกิจที่สำนักงานใหญ่มอบหมายลงมาให้เป็นต้น
ภารกิจเหล่านั้นไม่ได้ถูกถ่ายทอดลงมาในเชิงบังคับ แต่เป็นการเลือกรับโดยความสมัครใจ
และเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น พวกเขาจะได้รับความดีความชอบที่แตกต่างกันไปตามระดับความสำเร็จของภารกิจ และความดีความชอบเหล่านี้ก็คือคะแนนสะสมของพวกเขาแต่ละคน ซึ่งจะถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดในแฟ้มข้อมูลของแต่ละคน
เมื่อสะสมคะแนนได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะได้รับการเลื่อนระดับตามความเหมาะสม
“แล้วอย่างอื่นล่ะ?” หลังจากมู่เฉินได้ยินรายละเอียดเหล่านี้ ก็ถามอีกหนึ่งคำถามขึ้นมา
ซ่งจินเซินเหลือบมองหลิงม่อ พอเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร จึงพูดต่อว่า “กลุ่มของพวกเราถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในสำนักงานใหญ่ แต่กลับเป็นเพียงกลุ่มระดับต่ำที่สุด และไม่ใช่กลุ่มที่สำคัญที่สุด คนอีกกลุ่มในสำนักงานใหญ่ก็คือกลุ่มทดลอง พวกนี้รับผิดชอบทำการวิจัยทุกรูปแบบเกี่ยวกับเชื้อไวรัส ซึ่งจะมีระบบการเลื่อนขั้นอีกอย่างหนึ่ง”
“นอกจากนี้ก็ยังมีแผนกยิบย่อยอีกมากมาย ความรับผิดชอบของแต่ละแผนกนั้นแตกต่างกันออกไป วิธีการที่จะได้รับความดีความชอบก็ไม่เหมือนกัน แต่โดยสรุปแล้วก็คือ นิพพานสาขาใหญ่ก็เหมือนกับรังผึ้งรังหนึ่ง…” ซ่งจินเซินพยายามเปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพชัดที่สุด เพื่อสื่อว่าเขาไม่ได้ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเอง ในที่สุดหลิงม่อก็เปิดปาก “หัวหน้าสำนักงานใหญ่ของพวกแก…เป็นใครกันแน่?”
มู่เฉินเองก็ทำหน้าสงสัยออกมาทันที เพราะเขาเองก็อยากรู้เรื่องนี้มากเหมือนกัน!
“สภาพแวดล้อมยากลำบากอย่างนี้ แต่กลับสามารถรวมกำลังคนได้มากมาย และขยายอำนาจได้ถึงระดับนี้ ก็ทำให้คนตกตะลึงมากแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่ายังจะสามารถสั่งคนกลุ่มหนึ่งให้ทำงานได้อย่างมีระบบระเบียบ กระทั่งยังสร้างระบบแข่งขันอันสมบูรณ์แบบโดยการให้รางวัลและการลงโทษขึ้นมาอีกด้วย…ฉันล่ะอึ้งจริงๆ”
แต่สีหน้าของซ่งจินเซินกลับดูลำบากใจขึ้นมาทันที “ฉัน…ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากพูดนะ แต่ฉัน…ไม่รู้จริงๆ!”
“ล้อเล่นอะไรวะ?” มู่เฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
หลิงม่อเองก็ขมวดคิ้วเบาๆ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…
“ฉันไม่รู้จริงๆ!” ซ่งจินเซินกระวนกระวาย “แกต้องเชื่อฉันนะ! ฉันบอกไปตั้งหลายเรื่องแล้ว จะปิดบังเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร? ฉันไม่รู้จริงๆ คนที่ฉันรู้จักทุกคนก็ไม่รู้เหมือนกัน ส่วนเรื่องที่สำนักงานใหญ่รู้หรือไม่นั้น ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…”
“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงแน่?” หลิงม่อถามขึ้นอีก
“ก็ฉันไม่เคยเห็นเขา แล้วก็ไม่เคยได้ยินข่าวลืออะไรเลยด้วย แล้วตกลงสร้างโดยคนคนเดียว หรือสร้างโดยคนกลุ่มหนึ่ง เรื่องนี้ก็ไม่แน่ชัดเหมือนกัน รู้แค่ว่าหลังจากที่เกิดภัยพิบัติได้ไม่นาน นิพพานก็เริ่มก่อตั้งขึ้นมาแล้ว”
ซ่งจินเซินสีหน้าตื่นตระหนก ทว่าเขายังคงพูดได้ชัดเจนอยู่
หลิงม่อได้ยินแล้วก็แอบสงสัยในใจ ทำไมต้องทำตัวลึกลับขนาดนี้ด้วย?
—————————————————————————–
บทที่ 657 ทำให้ตกใจเล็กๆ น้อยๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่ท่าทางของซ่งจินเซินก็ไม่เหมือนคนที่จงใจปกปิดอะไรไว้ ถึงจะเค้นถามต่อไปอีก ก็คงไม่ได้อะไรเพิ่มเติมแน่นอน
ทุกคนเกรียบกริบ บรรยากาศก็ตึงเครียดตามไปด้วย
ซ่งจินเซินเหงื่อท่วมศีรษะ แขนของเขากระตุกสั่นเบาๆ ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาอ้าปากพูด “อย่า…”
เสียงพูดยังไม่ทันจบ สีหน้าของเขาก็ค้างเติ่งไปทันที
เมื่อรูแผลปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้วของเขา ร่างของเขาก็ล้มหงายหลังลงไปกับพื้น
พลั่ก!
เห็นศพของซ่งจินเซินล้มลงมาข้างเท้าตัวเอง มู่เฉินถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
เขามองหน้าหลิงม่ออย่างตะลึงเล็กน้อย แล้วถามว่า “ทำไมจู่ๆ ก็…”
หลิงม่อนั่งยองๆ ลงไปโดยไม่พูดอะไร เขาคว้าแขนของซ่งจินเซินพลิกออกมาไปด้านนอก เผยให้เห็นนิ้วมือที่วางอยู่บนไกปืน “เขาไม่ได้ซื่อตรงจริงๆ”
“สันดานโจรจริงๆ” มู่เฉินมุมปากกระตุก
“เขาก็รู้ตัวว่าจะไม่รอด ไม่อยากนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ก็เป็นเรื่องปกติ” หลิงม่อพูดไป ก็ลูบคลำค้นตามร่างกายศพไปด้วย
พอเขาเริ่มค้น ก็ได้สิ่งของที่ไม่สำคัญออกมาเป็นกอง
สิ่งที่ดูเหมือนพอจะมีประโยชน์มากที่สุด ก็คือยุหรี่สองซอง และกระดาษเนื้อแข็งที่ดูเหมือนเป็นของประเภทนามบัตรหนึ่งแผ่น
“มีระดับจริงๆ…”
มู่เฉินจ้องบุหรี่สองซองนั่นตาเป็นมัน “ยี่ห้อที่เมื่อก่อนแพงๆ นั่นใช่ไหม? นึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะมีของอย่างนี้ด้วย…ถ้าอย่างนั้นสมาชิกระดับที่สูงกว่าในสำนักงานใหญ่ จะได้รับอะไรบ้างนะ…”
แวบหนึ่ง เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของซ่งจินเซิน แต่ไหนแต่ไรคนเราก็ไม่รู้จักพออยู่แล้ว ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ ก็มีแต่จะทำให้เกิดความปรารถนาที่แรงกล้ากว่าเดิม จากนั้นก็เริ่มต่อสู้สุดชีวิตเพื่อเติมเต็มความปรารถนานั้น
อาจฟังดูไม่มีความหมาย แต่กลับมีคนไม่น้อยที่รู้สึกยินดีกับสิ่งนี้
“รับไว้” หลิงม่อโยนหนึ่งในบุหรี่สองซองนั้นให้เขา แล้วตัวเองก็ยัดอีกหนึ่งซองใส่กระเป๋ากางเกง
มู่เฉินยกมือรับไว้ สีหน้าดูตื่นเต้นดีใจมาก “นี่นายให้ฉันจริงหรอ?”
“ฉันไม่ได้อยากได้บุหรี่ มีก็ดี ไม่มีก็ได้” หลิงม่อตอบอย่างไม่ยี่หระนัก “อีกอย่างถ้าสูบเยอะกลิ่นจะติดตัว จะเป็นการล่อซอมบี้”
“เอาน่า ตอนนี้นอกจากมีชีวิตอยู่แล้วก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างไรก็ต้องมีความต้องการกันบ้างแหละน่า” มู่เฉินดึงบุหรี่ออกมาสูบหนึ่งมวนอย่างไม่ชักช้า จากนั้นเขาก็ลังเลไปเล็กน้อย แล้วพูดเสริมว่า “ขอบใจมากนะลูกพี่”
“เรียกหัวหน้าก็พอแล้ว” หลิงม่อหันไปสนใจกระดาษแข็งแผ่นนั้นแทน
“โอเค…” มู่เฉินพยักหน้า
พอพลิกด้าน ตัวหนังสือบรรทัดหนึ่งบนกระดาษแข็งแผ่นนั้นก็ปรากฏสู่สายตา
หลี่ย่าหลินยืนมองอยู่ข้างหลัง เธออ่านอย่างติดๆ ขัดๆ “ระดับภารกิจ : S รายละเอียดภารกิจ : ช่วยให้หมายเลข 1 กลายเป็นร่างสมบูรณ์ ภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่ทำให้ร่างกายของมันเสียหาย หมายเหตุ : มาตรฐานของร่างสมบูรณ์—ระดับความแกร่งของร่างกายเทียบเท่ากับระดับสูงสุดของซอมบี้ธรรมดา แต่ต้องใช้ความสามารถพิเศษตามคำสั่งเท่านั้น หากภารกิจไม่สำเร็จ ไม่ต้องรับบทลงโทษ”
“นี่มันอะไรกัน ฟังดูแปลกชะมัด” ซน่าน่าถามอย่างสงสัย
เย่เลี่ยนดึงสวี่ซูหานไว้ พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ด้วย
“ภารกิจที่นิพพานสำนักงานใหญ่มอบหมายให้” หลิงม่อบอก
เมื่อกี้แค่ได้ยินซ่งจินเซินพูด แต่ตอนนี้พอได้มาเห็นกับตาอย่างนี้ สัมผัสสมจริงขึ้นมากทีเดียว
กลไกการแข่งขันอันสมบูรณ์แบบ บวกกับระบบโคจรอย่างมีประสิทธิภาพที่ได้จากการประกาศภารกิจ รวมถึงการผลัดเปลี่ยนสมาชิกที่มีความกระตือรือร้น…สิ่งเหล่านี้ทำให้หลิงม่อสนใจในตัวหัวหน้าใหญ่ของนิพพานมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ถึงได้สร้างกองกำลังอย่างนี้ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
หากพูดถึงเรื่องการรวมกำลังคนเพื่อตั้งกลุ่ม นิพพานสู้ฐานทัพฟอลคอนซึ่งมีภูมิหลังเป็นกองทัพมาก่อนไม่ได้ แต่หากวัดกันเรื่องความเป็นระเบียบและการแข่งขัน นิพพานกลับเหนือชั้นกว่าฟอลคอนไปไกลโข
สองสถานที่นี้คือค่ายผู้รอดชีวิตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่หลิงม่อเคยเห็นมาจนถึงปัจจุบัน ทว่าหากเทียบกันแล้ว นิพพานกลับเหนือกว่าหนึ่งขั้น
อย่างน้อยหากมีกลไกอย่างนี้ ก็สามารถมั่นใจเรื่องพัฒนาการของนิพพานในอนาคตได้แล้ว
“หากเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าไม่มีใครบอกได้ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง” หลิงม่อยืดตัวตรง แล้วพูดขึ้น
เขาเบนสายตาไปทางมู่เฉิน “แล้วก็จะไม่มีใครเปิดโปงนายได้ด้วย”
“เรื่องที่นายจะให้ฉันไปทำ…” มู่เฉินทำหน้ายุ่ง เขาเดาได้รางๆ แล้ว
แต่ต้องเป็นคนบ้าขนาดไหน ถึงจะคิดเรื่องอย่างนี้ออกมาได้กัน…
“หลังจากที่นายหนีไปที่สำนักงานใหญ่โดยใช้ตัวตนของนาย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาไปซักพัก ถึงแม้พวกเขาจะสงสัยนาย แต่กว่าจะทำเรื่องสอบสวน ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ซึ่งในระหว่างนี้ พวกนั้นจะไม่ทำอะไรนายแน่นอน” หลิงม่อบอก
มู่เฉินเกาหัว แล้วบอกว่า “แต่คนของสาขาย่อยก็ไม่ได้ตายทุกคน…”
“แค่ทำเสียงโครมครามนิดหน่อยให้พวกนั้นตกใจ พวกนั้นก็คงจะหนีเตลิดไปไกลแล้ว ถึงแม้จะซ่อนตัวอยู่แค่ในเมืองนี้ก็ตาม” หลิงม่อพูดอย่างใจเย็น “พวกเขาไม่รู้ว่าสำนักงานใหญ่อยู่ที่ไหน ถึงแม้อยากตามหา แต่ก็คงทำไม่สำเร็จ”
มู่เฉินได้ยินกลับสับสน “ไอ้นิดหน่อยของนายนี่หมายถึงระดับไหนกันแน่…”
“สรุปคือ นายแค่ต้องซื้อเวลาให้พวกฉันนิดหน่อย แค่นั้นก็พอ นอกเหนือจากนี้นายก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว” หลิงม่อพูดอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย อย่าทำเป็นเมินคำถามฉันไปเฉยๆ นะเว้ย!” มู่เฉินโวยวาย
“คืนนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางแล้วกัน” หลังพูดจบ หลิงม่อก็หันไปมองสวี่ซูหาน
สถานการณ์ของเธอในตอนนี้ยังคงอยู่ในระหว่างกลายพันธุ์ หรือก็คืออยู่ในช่วงก้ำกึ่งที่จะกลายร่างก็ไม่กลายร่าง
เวลาส่วนมากเธอจะอยู่ในสภาวะดวงจิตสับสนยุ่งเหยิง นานๆ ครั้งจึงจะได้สติขึ้นมา
เมื่อใดที่เชื้อไวรัสในร่างกายขึ้นเป็นฝ่ายเหนือกว่า หรือไม่ก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว สวี่ซูหานก็จะกลายร่างโดยสมบูรณ์
และสิ่งที่หลิงม่อพอจะทำให้เธอได้ในเวลาสั้นๆ นี้ ก็คือสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางด้านดวงจิตของเธอไว้ ทันทีที่มันเกิดปัญหา ก็รีบเอาเชื้อไวรัสเพิ่มเติมให้เธอ เพื่อทำลายสมดุลอีกครั้ง
ทว่าวิธีนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลเสมอไป สวี่ซูหานยังคงมีเปอร์เซ็นต์กลายร่างได้ตลอดเวลา
แต่มีการเฝ้าระวังจากพวกเย่เลี่ยนอยู่ ถึงแม้เธอจะคลุ้มคลั่งกะทันหัน ก็ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะไปทำร้ายใคร
เปลวเพลิงลุกลามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กลิ่นเหม็นไหม้ยากจะต้านทานลอยตลบอบอวลไปทั่ว หลิงม่อเร่งให้ทุกคนไปจากที่นี่โดยเร็ว
ก่อนจะออกเดินทาง มู่เฉินถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก “นายจะทำให้พวกนั้นตกใจไม่ใช่หรอ?”
ปรากฏว่าหลิงม่อเพียงยิ้มเบาๆ แล้วบอกว่า “ทำไปแล้ว”
“หา?” มู่เฉินงง หมายความว่าไงอีกล่ะเนี่ย?
………..
“ว๊ากกกกก! ช่วยด้วย!”
ในถนนเส้นหนึ่งบริเวณประตูหลังของตึกใหญ่ มีคนสองคนกำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต
สองคนนี้สีหน้าซีดเผือด เหมือนกำลังตกใจมาก
หนึ่งในสองคนนั้นวิ่งหนีไปด้วย พลางหันหลังไปมองด้วย ส่วนอีกคนก็ถามอย่างหวาดกลัว “เป็นไง ตามมารึเปล่า?”
“มะ…ไม่มั้ง!”
สุดสายถนนฝั่งนั้นโล่งเปล่า แม้แต่เงาคนก็ไม่มีให้เห็น
สองคนนี้พลันโล่งใจ แล้วพากันชะลอฝีเท้าลงช้าๆ
“พักแป๊บ ฉันจะขาดใจตายอยู่แล้ว” หนึ่งในนั้นค่อมเอวลง ชันฝ่ามือกับเข่า พร้อมหอบหายใจแรง
ส่วนอีกคนหลับหันซ้ายหันขวาอย่างกังวล แล้วถามว่า “มันเป็นตัวอะไรกันแน่วะ?”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงวะ เอาเป็นว่าพวกเรารับมือไม่ไหวหรอก…” คนคนนั้นยังคงหอบหายใจแรง แล้วบอกว่า “อีกอย่างเมื่อกี้ได้ยินเสียงไหม? ดูเหมือนสถานการณ์ฝั่งนั้นก็ไม่ค่อยสู้ดีเหมือนกัน เดาว่าพวกนั้นคงลำบากมากแน่”
“ก็จริง” ชายคนที่หันซ้ายมองขวาเพิ่งจะหันหน้ากลับไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้าง
เขาอ้าปากกว้าง แล้วมองไปข้างหลังของชายอีกคนด้วยสีหน้าตื่นกลัว ขาทั้งสองข้างเหมือนไร้เรี่ยวแรงไปทันที
ชายคนนั้นเองก็กลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ ลูกตาของเขากลอกไปด้านข้างช้าๆ เพื่อพยายามเหลือบมองด้านหลังตัวเองด้วยหางตา
หางตาเขาเหลือยเห็นอะไรบางอย่างสีขาวๆ ขณะเดียวกันเงาดำขนาดใหญ่ ก็ได้ทาบทับเงาร่างของเขาจนมิด
ด้านบนของเงาดำขนาดใหญ่นี้ ยังมีขนยาวๆ ลอยไหวอยู่อีกหลายเส้นด้วย
“เอื้อก”
ชายคนนั้นกลืนน้ำลายด้วยความตระหนก จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เลื่อนสายตากลับมาข้างหน้า
สองคนนั้นมองตากันแวบหนึ่ง แล้วไม่นานก็ตะโกนเสียงดังออกมา พร้อมกับสาวเท้าวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
พวกเขาวิ่งหนีด้วยความเร็วโดยไม่คิดหันกลับมามอง และหายลับไปจากสายตาตรงสุดสายถนน
ณ จุดที่พวกเขาเพิ่งยืนกันอยู่เมื่อกี้ เงาดำนั้นยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
“เอาล่ะเสี่ยวป๋าย เรียบร้อยแล้ว” เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากบนร่างของเงาดำนั้น
ในที่สุดเงาดำนั้นก็ขยับเขยื้อน เส้นไหมสีเงินที่ฟูฟ่องอยู่บนหัวเหมือนไม้กวาดหดกลับไป
“เสี่ยวป๋ายทำได้ดีมาก พวกนั้นตกใจวิ่งหนีไปเร็วมาก” เด็กผู้หญิงเอ่ยชม
“แบ๊!” เงาดำที่ถูกขานชื่อว่าเสี่ยวป๋ายตอบรับเสียงเบา
เมื่อเงาดำนี้ค่อยๆ ย่างเท้าออกมายืนภายใต้แสงจันทร์ ภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งขี่คอหมีแพนด้ากลายพันธุ์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏชัดขึ้น
ทว่าสองคนนั้นวิ่งหนีไปจนไม่เห็นเงาแล้ว พวกเขาจึงไม่ทันได้เห็นภาพนี้…
—————————————————————————–
บทที่ 658 ปล้นบ้านที่เจ้าของไม่อยู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในเมืองตงหมิงลุกลามโดยใช้เวลาไปหนึ่งคืนเต็มๆ จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันที่สอง พวกหลิงม่อเดินออกมาจากโรงแรมขนาดเล็กสภาพเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ก็ยังมองเห็นควันดำโขมงที่ลอยคลุ้งอยู่แต่ไกล
ไม่เพียงท้องฟ้าเท่านั้นที่มืดจนเหมือนถูกสีดำย้อม ในอากาศ ยังมีกลิ่นเหม็นแทงจมูกปะปนอยู่จางๆ ด้วย
ไม่ว่าใครที่มองเห็นภาพนี้ผ่านอาคารก่อสร้างอันรกร้างและวังเวง คงจะรู้สึกไม่ต่างกันว่าโลกกำลังถูกกัดกร่อนทีละนิดๆ
“ไฟไหม้รุนแรงมาก ซอมบี้แถวๆ นี้ถูกดึงดูดเข้าไปหมดแล้ว”
มู่เฉินค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปอย่างระมัดระวัง แล้วมองสำรวจสองฝั่งถนนรอบหนึ่ง จากนั้นก็ทำหน้าคลายใจ พร้อมพูดขึ้น
หลิงม่อแบกกระเป๋าเป้ สองมือซุกกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกมาเลย หน้าตาเขาเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับยังคงเปล่งประกายดังเดิม เขายืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู แล้วเตือนเสียงเรียบว่า “อย่าลืมสิ ข้างกายพวกเรามีลูกครึ่งซอมบี้อยู่ตัวหนึ่งนะ ถ้านายอยากเห็นซอมบี้ หันกลับมาก็เห็นแล้วนี่”
“ห๊ะ?”
มู่เฉินหันกลับไปโดยอัตโนมัติ ปรากฏว่าพอหันกลับไป ก็สบตาเข้ากับดวงตาสีแดงจางๆ คู่หนึ่งเข้าพอดี
สวี่ซูหานที่ถูกซย่าน่าดึงตัวไว้กำลังพยายามยื่นแขนข้างหนึ่งออกมา ดวงตาเบิกกว้างคู่นั้น กำลังจ้องมาทางหลิงม่อและมู่เฉินพร้อมแยกเขี้ยวแยกเล็บใส่ ทว่าหลังจากที่เปล่งเสียงขู่อยู่สองสามครั้ง สายตาของเธอก็ฉายแววเลื่อนลอยอีกครั้ง แล้วเธอก็ค่อยๆ สงบลง
ทว่าทั้งหมดนั่นทำให้มู่เฉินตกใจจนแทบสำลัก เขารู้สึกหนังศีรษะชาไปหมด
ถ้าหากเป็นซอมบี้ทั่วไปก็ไม่เท่าไหร่ แต่คนตรงหน้ากลับเป็นคนที่เขาคุ้นเคยดี เขาจึงรู้สึกว่ามันน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า
พอเห็นสภาพของสวี่ซูหาน มู่เฉินก็รู้สึกเหมือนความหวังที่เธอจะหายดีเป็นปกติคงเป็นไปได้ยาก แต่คิดอีกที แม้แต่หลิงม่อยังไม่ยอมแพ้ แล้วตัวเองจะตัดใจง่ายดายขนาดนี้ได้อย่างไร…
คิดได้อย่างนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมขึ้นมา “จะว่าไป ทำไมยัยนั่นถึงได้ปองร้ายกับเราแค่สองคนล่ะ?!”
พูดไป เขาก็หันไปมองพวกเย่เลี่ยนสามคนด้วย
เด็กสาวสามคนนี้ยืนอยู่กับสวี่ซูหานโดยไม่มีท่าทีหลบเลี่ยง ซน่าน่าถึงขนาดรับหน้าที่ควบคุมความประพฤติของเธอด้วยซ้ำ แต่สวี่ซูหานกลับไม่สนใจเพื่อนร่วมเพศสามคนที่ยืนอยู่ห่างตัวเองแค่คืบ แต่ดันแสดงความปรารถนาอยากโจมตีใส่พวกเขาสองคนแทน
นี่มันไม่ถูกต้องนี่!
หลิงม่อครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วบอกว่า “แรงดึงดูดของเพศตรงข้ามมั้ง…”
“อย่ามาแถนะโว้ย!” มู่เฉินเคือง
“เอาน่า นำทางได้แล้ว ตอนนี้สาขาแยกไม่มีใครอยู่พอดี พวกเราจะเดินทางไปนิพพานสำนักงานใหญ่ในไม่ช้านี้ ไปหาของเพิ่มหน่อยดีกว่า” หลิงม่อบอก
มู่เฉินตาเป็นประกายขึ้นมา “ใช่แล้ว! ไปปล้นบ้านที่เจ้าของไม่อยู่ดีกว่า”
“แต่สาขาย่อยแบ่งออกเป็นสองส่วนนะ ส่วนหนึ่งคือที่พัก และอีกส่วนก็…ถือว่าเป็นที่ทำงานล่ะมั้ง” มู่เฉินพูด
หลิงม่อยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็พูดต่อ “ไปที่ทำงานดีกว่า ของส่วนมากจะถูกเก็บรวบรวมไว้ที่นั่น”
คราวนี้เขาไม่ต้องสางแผนพาพวกหลิงม่อเดินอ้อมอีกแล้ว เพียงหนึ่งชั่วโมงผ่านไป มู่เฉินก็พาพวกเขามาถึงหน้าประตูโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“ที่นี่เองหรอ?” หลิงม่อตะลึงเล็กน้อย
ก็ไม่แปลกที่เขาจะมีเครื่องหมายคำถามติดอยู่บนหน้า เพราะโรงพยาบาลแห่งนี้เก่ามาก
ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างราวกับถูกผลิตขึ้นเมื่อ 1 ศตวรรษที่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูวังเวงเข้าไปอีก
ม่านหน้าต่างเก่าขาดๆ ถูกลมพัดพลิ้วออกมาด้านนอกบานหน้าต่างที่ถูกเปิดแง้มทิ้งไว้ กำแพงอิฐสีแดงด้านนอกมีแต่พืชสีเหลืองเกาะก่ายเต็มไปหมด พืชไม้เลื้อยเหล่านี้ดูแตกต่างจากต้นตีนตุ๊กแกในสมัยก่อนเล็กน้อย ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่พวกมันยังแผ่กลิ่นอายประหลาดบางอย่างออกมาด้วย
พวกนี้ก็เป็นสิ่งที่เติบโตหลังจากติดเชื้อไวรัส มองแวบแรกเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อใดที่มันเลื้อยยาวจนเต็มผนังสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่ง ภาพที่เห็นก็จะเหมือนมีมือคนมากมายกำลังยืนออกมาจากด้านใน
ประตูใหญ่ของที่นี่มืดมิดและสภาพรกรุงรัง นั่นทำให้คนยากที่จะย่างเท้าเข้าไป ยิ่งยากจะคาดเดาได้ว่าที่นี่เกี่ยวข้องกับสาขาย่อยของนิพพาน
เสี้ยววินาทีหนึ่ง หลิงม่อคิดว่ามู่เฉินไม่จำเป็นต้องพาพวกเขาเดินอ้อมไปอ้อมมาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะพาพวกเขามาเดินอยู่แถวๆ นี้ เขาก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าที่นี่คือสาขาย่อยเมืองตงหมิงของนิพพาน
“ก็ที่นี่แหละ” มู่เฉินยืนยัน “นายอย่าสนใจสภาพข้างบนนี้สิ ที่ทำการจริงๆ อยู่ใต้ดินนู่น”
“ก็ใช่แหละ ซ่อนตัวได้บอดเยี่ยมมาก” หลิงม่อพยักหน้ารับ
ถึงแม้จะไม่ค่อยเหมือนกับที่คิดไว้ ทว่าทุกคนก็ยังคงเดินตามมู่เฉินเข้าไปข้างใน
เสี้ยววินาทีที่ก้าวข้ามประตูใหญ่ หลิงม่อรู้สึกได้ทันทีว่าอุณหภูมิลดลงไปหลายองศา
ด้านหลังประตูคือโถงทางเดินอันมืดมิด เนื่องจากครึ่งหนึ่งของผนังถูกทาด้วยสีเขียว พอเลือดถูกสาดใส่ผนังเป็นวงกว้าง จึงดูสะดุดตามากกว่าปกติ
ประตูไม้สองข้างทางถูกเปิดทิ้งไว้ทุกบาน สายลมพัดเข้ามาจากทิศใดทิศหนึ่ง แล้วลอยออกไปยังอีกทิศ ส่งผลให้ทั่วทั้งโถงทางเดินเต็มไปด้วยเสียงประตูขยับดัง “เอี๊ยดอ๊าด” และเสียง “หวีดหวิว” ของลม เมื่อสองเสียงดังผสมผสานกัน ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันขนลุกซู่
“นึกว่าที่ที่พวกนายอยู่จะดีกว่านี้หน่อย” หลิงม่อที่เดิมตามอยู่ข้างหลัง อดพูดขึ้นไม่ได้
ในเมื่อที่นี่เป็นสาขาย่อยของนิพพาน ย่อมต้องไม่มีซอมบี้อยู่แล้ว ทว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้กลับทำให้รู้สึกระแวงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ความปลอดภัยมาก่อนเป็นอันดับแรก” มู่เฉินพาพวกเขาเดินตรงเข้าไปในโถงทางเดิน แล้วเดินเลี้ยวไปทางบันไดซึ่งทอดลงไปข้างล่าง “ยิ่งไปกว่านั้นเงื่อนไขของที่นี่ ก็ดีกว่าที่พักผู้รอดชีวิตทั่วไปไม่รู้ตั้งกี่เท่านะ แต่ที่นี่กับสำนักงานใหญ่ เทียบกันไม่ติดหรอก ถึงฉันจะไม่เคยไปสำนักงานใหญ่ แต่จากที่นายจับสมาชิกของสำนักงานใหญ่ได้คนหนึ่งก็คงจะรู้แล้ว บอกไว้ก่อน ทรัพยากรของสำนักงานใหญ่ก็ได้มาจากการรวบรวมไปจากพวกสาขาย่อยอย่างพวกฉันนี่แหละ”
“อืม ความจริงพวกนายกำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อสำนักงานใหญ่สินะ” หลิงม่อพูดแทงใจดำ
มู่เฉินอ้าผากพะงาบๆ แต่สุดท้ายก็พูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ก็รนหาที่เองนี่นะ…แต่พอมาคิดดูตอนนี้ มันเหนื่อยมากจริงๆ”
ยากที่จะได้เห็นเขามีสีหน้าอย่างนี้ หลิงม่อเห็นแล้วอดแปลกใจไม่ได้
แต่เขาพูดจากใจจริง หลังพักผ่อนมาครึ่งค่อนคืน ในที่สุดจิตใจเขาก็สงบลงมาก
ตอนแรก เขามองว่าเรื่องที่จะช่วยหลิงม่อฝึกทีมปาฏิหาริย์เป็นแค่การแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกอยากทำด้วยใจขึ้นมาแล้ว
อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครแทงข้างหลังอีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องคอยกังวลเพราะการแข่งขันเหล่านี้อีก
ถึงแม้หลิงม่อจะเป็นคนที่มีความลับเยอะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่มู่เฉินมองออกอย่างชัดเจน
ขอเพียงไม่มีอันตรายคุกคามกับหลิงม่อ เขาย่อมอยู่รอดปลอดภัย
แต่ทันทีที่คิดจะทำเรื่องไม่ดีกับเขาและเหล่าแฟนสาวของเขา คนคนนี้ก็จะไม่ออมมือเด็ดขาด
“เรื่องราวทุกอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา เลยอยู่ด้วยกันได้ไม่ยาก” มู่เฉินคิดอย่างนี้
หลังจากเดินลงบันไดไป ก็เห็นประตูเหล็กบานใหญ่บานหนึ่งอยู่ตรงหน้า
หลิงม่อเงยหน้ามอง แล้วรู้สึกพูดไม่ออกทันที
ป้ายเนื้อไม้แผ่นหนึ่งแขวนไว้ด้านข้าง ด้านบนมีอักษรอยู่หนึ่งบรรทัด : ห้องเก็บศพเข้าทางนี้
มู่เฉินมองตามสายตาของหลิงม่อ แล้วนิ่งไปชั่วขณะ
เมื่อก่อนตอนที่เก็บป้ายนี้ไว้ ทุกคนต่างรู้สึกว่ามันน่าขำ
แต่ตอนนี้ กลับรู้สึกเหมือนการเสียดสีอย่างหนึ่ง…
“แกร๊กๆๆ…” มู่เฉินผลักประตูใหญ่ออกอย่างแรง
ห้องทำงานนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่เก็บรวบรวมสิ่งของ แต่เป็นห้องของหมายเลข 0 ด้วย
ทว่า ตอนนี้ในห้องกลับเต็มไปด้วยความมืดมิดไร้ที่เปรียบ บนพื้นมีสิ่งของที่ถูกทิ้งเรี่ยราดให้เห็นเป็นระยะๆ ประตูห้องส่วนมากก็ถูกเปิดทิ้งไว้ เห็นชัดว่าหลังจากเมื่อคืน คนที่อยู่ที่นี่ก็พากันหนีออกไปหมดแล้ว
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงแม้คนพวกนี้จะไม่รู้ว่าสาขาย่อยล่มสลายแล้ว แต่ก็เห็นว่าหมายเลข 0 ตายแล้วกับตาตัวเอง
ตอนเดินผ่านห้องทดลองห้องนั้น หลิงม่อได้เดินเข้าไปดูแวบหนึ่ง แล้วเขาก็เห็นศพที่เริ่มเขียวช้ำศพหนึ่งอยู่ในตู้อบ
สิ่งที่เขาเห็นแตกต่างจากที่คิด เด็กทารกนั่นดูปกติมาก เพียงแต่มีศีรษะที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่รู้ว่านิพพานสาขาย่อยไปหาเด็กทารกมนุษย์ผู้นี้มาจากไหน แต่แค่คิดว่าพวกเขาสละชีวิตอันไร้เดียงสาได้อย่างไม่ลังเล เพียงเพื่อการการทดลองหนึ่งแล้ว…
หลิงม่อขมวดคิ้วเบาๆ ในใจสาปส่งอย่างแค้นเคือง “สมควรตายนัก”
หมายเลข 0 ตัวเดียวยังต้องเสียสละมากมายขนาดนี้ การถือกำเนิดของหมายเลข 1 ก็คงต้องแลกมาด้วยชีวิตและความทุกข์ทรมานนับไม่ถ้วน
“พี่หลิง ดูนี่” หลิงม่อเรียกเขา
หลิงม่อหันไปมอง แล้วก็เห็นว่าสามสาวซอมบี้กำลังดึงตัวสวี่ซูหานและยืนอยู่หน้าตู้หลังหนึ่ง ซย่าน่าซึ่งอยู่ในกลุ่มหันหน้ามา แล้วกวักมือเรียกเขา
เขารีบเดินเข้าไปหา แล้วก็พบว่าลิ้นชักหลายอันถูกดึงออกมาแล้ว ในนั้นก็มีขวดและกระป๋องมากมายอยู่เต็มไปหมด
ทว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุด กลับเป็นสมุดที่เหลือเพียงครึ่งเล่มบนโต๊ะตัวนั้น
เห็นชัดว่าคนพวกนั้นตั้งใจจะเผาสมุดเล่มนี้ก่อนจะหนีไป แต่ในความเป็นจริงพวกเขากลับเผาไหม้ไปแค่มุมหนังสือเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังคงสมบูรณ์ดีอยู่
หลิงม่อขมวดคิ้วแล้วพลิกอ่านดู พลิกไปได้ไม่กี่หน้า ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
สมุดบันทึกของนักวิจัยพวกนั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น นึกไม่ถึงว่าเนื้อหาส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการวิจัยด้านพลังจิต…
—————————————————————————–
บทที่ 659 อุปกรณ์วางเพลิงต้องพกติดตัวไว้
โดย
Ink Stone_Fantasy
และในตอนนั้นเอง เสียงของมู่เฉินก็ดังมาจากนอกห้อง ฟังจากเสียงแล้วเหมือนเขาจะหาอะไรบางอย่างเจอ
หลังจากเห็นพวกเย่เลี่ยนไปช่วย หลิงม่อก็ก้มหน้ากลับมาอ่านสมุดเล่มนั้นใหม่อีกครั้งอย่างละเอียด
ดูจากวันที่ที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ ร่องรอยที่เก่าที่สุดคือครึ่งปีก่อน
ในตอนนั้นหลิงม่อมีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังจิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่รายละเอียดที่เขียนถึงพลังจิตในบันทึกเล่มนี้กลับมีทฤษฎีที่เป็นระบบแล้ว
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของหลิงม่อมากที่สุดก็คือ ตัวอักษรเหล่านี้ล้วนถูกเขียนขึ้นโดยคนคนเดียว…
ไหนว่าการริเริ่มวิจัยหมายเลข 0 เริ่มจากคนเป็นกลุ่มไง?
แต่ไม่ว่ามีคนเข้าร่วมมากน้อยเท่าไหร่ ยิ่งอ่านหลิงม่อยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อย บุคคลสำคัญของเรื่องนี้ จะต้องเป็นเจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากการวิจัยเกี่ยวกับพลังจิต คนคนนี้ยังมักเขียนหมายเหตุที่ดูบ้าคลั่งมากอีกด้วย
“ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตไม่ใช่แค่สมองที่กลายพันธุ์ คนธรรมดาแม้ไม่อาจกลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่หากนำพลังจิตของคนจำนวนมากมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว จะสู้ผู้มีความสามารถพิเศษไม่ได้เชียวหรือ? เรื่องนี้ควรค่าแก่การทดลองซักครั้ง”
หลิงม่ออ่านไปเพียงหนึ่งท่อน ในใจก็รู้แล้วว่าหมายเลข 0 ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร
เพียงคำว่า “ควรค่าแก่การทดลองซักครั้ง” นึกไม่ถึงว่าจะทำการทดลองนี้ขึ้นมาจริงๆ
ในกลุ่มนิพพาน คนคนนี้น่าจะมีตำแหน่งและชื่อเสียงในระดับหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่มีอำนาจในการดำเนินการอย่างนี้
“ถึงแม้จะรวบรวมเป็นหนึ่งเดียวกันสำเร็จแล้ว แต่คนส่วนมากกลับสู้คนเพียงหนึ่งคนไม่ได้ ทำไมกัน? หากสามารถสกัดพลังจิตให้กลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์ได้ แล้วจากนั้นก็ใส่พลังงานนั้นลงไปในสมองของคนคนหนึ่ง จะสามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าหมายเลข 0 หรือไม่?”
“พลังจิตก็เป็นเหมือนพลังแห่งความมุ่งมั่นอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้เลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ขนาดนั้น สิ่งที่ไม่เหมือนกับผู้มีความสามารถพิเศษด้านอื่นก็คือ พวกเขาควบคุมร่างกายของตัวเอง แต่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตควบคุมความคิดของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นหากฝึกฝนความคิดของตัวเองไปด้วย ในระหว่างที่อัพเกรดระดับพลังจิตของตัวเองล่ะ? ทำอย่างนี้จะอัพเกรดได้เร็วขึ้นหรือเปล่า? วิธีการอัพเกรด…”
ลายมือหวัดๆ เขียนลงมาจนถึงข้างล่างสุด หลิงม่อจึงพลิกอ่านหน้าต่อไป
แต่สิ่งที่ขัดใจเขาคือ ส่วนบนของหน้าที่สองถูกเผาจนเป็นรอยสีเหลืองหมด อย่าว่าแต่จะอ่านตัวหนังสือที่เขียนไว้ในนี้เลย แค่เอามือลูบเบาๆ มันก็คงแตกเป็นผุยผงแล้ว
“ตกลงต้องอัพเกรดยังไงกันแน่?” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด
ถูกต้อง เขาให้ความสำคัญกับเรื่องการอัพเกรดระดับพลังจิตมาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยใส่ใจเรื่องฝึกฝนความคิดเลย
ในขณะที่ใช้พลังจิต การควบคุมพลังงานทางจิตนั้น หลักๆ แล้วต้องอาศัยการเพ่งสมาธิอย่างสูงและการตอบสนองทางจิตอย่างรวดเร็ว และในการตอบสนองนี้ ก็หมายรวมถึงความคิดด้วยเช่นกัน
แต่ต้องฝึกฝนความคิดอย่างไรกันแน่ เรื่องนี้หลิงม่อยังนึกไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
วิธีที่ใช้กันโดยทั่วไปไม่น่าจะได้ผล แต่ในสมุดบันทึกกลับพูดถึงเรื่องนี้เพียงเท่านี้
หลิงม่อยังคงพลิกหน้ากระดาษอีกหลายหน้าอย่างคาดหวัง แต่กลับรู้สึกว่าเหมือนคนเขียนบันทึกไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก จนไม่ได้พูดถึงมันอีก
ทว่าคนที่สามารถสร้างหมายเลข 0 ขึ้นมาได้ จากความคิดที่แค่คิดเล่นๆ อย่างนี้ หลิงม่อรู้สึกสนใจในตัวเขาคนนี้ขึ้นมาทันที
ทฤษฎีและความรู้มาเต็ม ขณะเดียวกันคนคนนี้ยังมีความสามารถในการทำความคิดน่ากลัวเหล่านั้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ถือได้ว่าเป็นบุคคลอันตรายในกลุ่มนิพพาน
และหากดูจากด้านนี้ คนคนนี้จะต้องมีบทบาทสำคัญในกลุ่มนักทดลองของนิพพานสำนักงานใหญ่อย่างแน่นอน…
น่าเสียดายที่หลังจากพลิกหน้ากระดาษดูหนึ่งรอบ เขากลับไม่เห็นชื่อเจ้าของสมุดบันทึกแต่อย่างใด หลิงม่อจึงทำได้เพียงปิดสมุดบันทึกอย่างนึกเสียดาย
“หัวหน้าทีม”
เสียงตะโกนเรียกของมู่เฉินดังมาจากนอกห้อง หลิงม่อขานรับ พลางยัดสมุดบันทึกเล่มนี้ใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง
“ฉันเจออาหารกระป๋องแล้วก็น้ำขวดเยอะเลย แล้วยังมีกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง เอาให้แฟนสาวของนายคนนั้นหมดแล้ว” มู่เฉินเปิดประตู แล้วบอกเขา
เขาอดเหลือบมองไปทางตู้อบนั้นไม่ได้ พอเห็นก็ทำหน้าผวา แล้วจากนั้นก็มองหน้าหลิงม่ออย่างสงสัย
“ฉันขอดูขวดพวกนี้หน่อย” หลิงม่อยื่นมือออกไปคว้าขวดยาขวดหนึ่งมาโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วพูดขึ้น
“อ้อ ในนั้นมีของจำนวนมากที่เจ้าหน้าที่ห้องทดลองทิ้งไว้” มู่เฉินบอก
หลิงม่อทำหน้าตกตะลึง แล้วรีบเปิดขวดยาเพื่อดมกลิ่นของมัน
ขวดเหล่านี้มีกลิ่นประหลาดของยาติดอยู่ ทว่ามีอยู่สองขวดที่หลิงม่อได้กลิ่นอันคุ้นเคยดีจากมัน
เชื้อไวรัส!
อีกอย่าง มันยังเป็นสิ่งที่ได้จากการเจือจางเชื้อไวรัสซอมบี้แล้วด้วย…
ดูเหมือนว่านิพพานก็ใช้วิธีเจือจางเชื้อไวรัส แล้วนำมันมาเพิ่มความแกร่งให้ร่างกายมนุษย์เหมือนกัน แต่เดาว่าเชื้อไวรัสเหล่านี้ คงจะมีไว้เพื่อฉีดเข้าร่างภาชนะของหมายเลข 0
ถึงอย่างไรพลังจิตของเด็กทารกคนหนึ่งก็มีจำกัด ถึงแม้สามารถจำกัดขอบเขตให้หมายเลข 0 ได้ แต่ก็กักขังพลังของหมายเลข 0 ไว้ด้วยเช่นกัน
แต่หากมียาประเภทนี้ เรื่องก็จะต่างออกไป…
มันสามารถกระตุ้นความสามารถที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายเล็กๆ นี้ให้แสดงออกมาจนถึงที่สุด ผ่านการใช้ยากระตุ้นมันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อาจสามารถทำให้ศักยภาพร่างกายเปลี่ยนไปทีละนิดๆ ได้ด้วย
ทว่าตอนนี้ร่างนั้นได้กลายเป็นศพไปแล้ว ดังนั้นหลิงม่อจึงไม่อาจรู้ได้ว่ามันมีหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง และหากมี การเปลี่ยนแปลงนั้นได้ดำเนินไปจนถึงระดับไหนแล้ว
ตอนนี้ ยาประเภทนี้ไม่ได้ใช้อีกแล้ว แต่มันกลับมีประโยชน์กับสวี่ซูหานพอดี มันจึงถูกหลิงม่อยัดใส่กระเป๋าเป้ทันที
ภาพนั้นถูกมู่เฉินเห็นเข้าแล้ว เขาอดพึมพำในใจไม่ได้ : หลิงม่อจะเอาของอย่างนี้ไปทำอะไรน่ะ?
พอเห็นว่าในห้องทดลองไม่มีอะไรให้หยิบอีก หลิงม่อก็ยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณว่าให้ไปได้แล้ว
ก่อนจะออกจากอาคาร หลิงม่อได้ล้วงขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ สาดของเหลวในขวดใส่ประตูไม้หลายๆ บาน จากนั้นก็ทิ้งไม่ขีดไฟที่จุดแล้วตามลงไป
พรึ่บ!
ประกายไฟลุกพรึ่บ เปลวเพลิงได้ลุกลามประตูไม้แห้งๆ เหล่านี้จนกลายเป็นเหมือนกำแพงไฟในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
แสงสว่างจากเปลวเพลิงส่องวูบวาบอยู่บนใบหน้า สีหน้าของมู่เฉินดูสับสนขึ้นมาชั่วขณะ
เปลวเพลิงนี้ เหมือนกำลังเผาอดีตที่ผ่านมาของเขาให้ไหม้หายไปจนหมด…
“แต่ว่า ไม่คิดเลยว่านายจะพกอุปกรณ์วางเพลิงติดตัวไว้ด้วย…” มู่เฉินแอบขนลุกเล็กๆ
พวกเย่เลี่ยนเองก็จ้องเปลวเพลิงนั่นอยู่เหมือนกัน แต่กลับไม่รู้เลยว่าพวกเธอคิดอะไรอยู่
แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของพวกเธอในตอนนี้ ไม่เหมือนความคิดของมู่เฉินอย่างแน่นอน
สายตาของเย่เลี่ยนดูเหม่อลอย เธอรู้สึกได้เลือนรางว่าภาพที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตาวูบผ่านเขามาในสมองของเธอ
ภาพนั้นมีเปลวไฟเหมือนกัน แต่สถานที่ที่ตัวเธออยู่กลับเป็นห้องเล็กแคบห้องหนึ่ง ในมือของเธอยังถือช้อนคนน้ำซุป และกำลังค่อยๆ คนน้ำซุปอยู่
“เด็กโง่ ฉันจะหิวตายอยู่แล้ว” เสียงคุ้นเคยดังลอดเข้ามาจากข้างนอก
“จะเสร็จแล้ว ทนอีกนิดนะ พี่เนี่ยนะ ใครบอกให้ลืมทำกับข้าวกันล่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจหิวตายจริงๆ ได้เลยนะ…”
เสียงตำหนิเบาลงเรื่อยๆ และฟังดูเลือนรางมากขึ้น
“เด็กโง่?”
จู่ๆ เสียงที่ชัดเจนกว่าก็ดังอยู่ข้างหู เย่เลี่ยนม่านตาหดตัว พลันหันสายตาไปมองทางหลิงม่อ
หลิงม่อมองเย่เลี่ยนอย่างสงสัยเล็กน้อย แล้วถาม “เป็นอะไรไป?”
เย่เลี่ยนเบิกตากว้างมองหน้าหลิงม่อ จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ แต่กลับไม่พูดอะไร
“เอาล่ะอย่าดูอีกเลย รีบไปเถอะ ก่อนจะไปสำนักงานใหญ่ ต้องไปชุ่ยหูอีกนะ” หลิงม่อบอก
“ที่แท้นายก็ยังไม่ลืมชุ่ยหู…” มู่เฉินพูดอย่างผิดหวัง
ทว่าเห็นได้ชัดว่าความคิดเห็นของเขาถูกเมินอีกครั้ง เพราะไม่มีการตอบสนองใดๆ ตอบกลับมาเลย…
เมื่อพวกหลิงม่อหมุนกายเดินจาไป ตึกโรงพยาบาลสภาพเก่าทรุดโทรมแห่งนี้ก็ถูกทะเลเพลิงกลืนกินอย่างรวดเร็ว และเมืองตงหมิงแห่งนี้ก็ได้กลายสภาพเป็นเหมือนเมืองร้างไปในพริบตา…
พวกหลิงม่อเพิ่งจะไปจากเมืองตงหมิงได้ไม่นาน ในเวลาต่อมาก็ได้มีรถออฟโรดคันหนึ่งขับเข้ามาในเมืองแห่งนี้
ก่อนจะถึงด่านเก็บค่าผ่านทาง รถคันนั้นหักเลี้ยวอย่างแรง จากนั้นก็เหยียบเบรกดังเอี๊ยด แล้วจอดรถไว้ข้างซากรถยนต์มากมายเหล่านั้น
เมื่อประตูรถเปิด ก็มีเท้าคู่หนึ่งซึ่งสวมรองเท้าผ้าใบกันลื่นสีขาวก้าวลงมาจากรถ ต่อมาก็ปรากฏเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ค่อนข้างผอมบาง
เธอยกปีกหมวกแก๊ปขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปยุดตรงหน้ากองเลือดที่ยังถือว่าสดใหม่อยู่ แล้วนั่งลงไปเอามือลูบๆ ดู
“เป็นไงบ้าง?”
มีใครอีกคนยื่นหน้าออกมาจากรถ แล้วถามขึ้น
“จากกลิ่น ไม่น่าจะเกินสองวัน” เธอตอบ
“สัมผัสรู้ต่อได้อีกไหม?” คนในรถถามอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีซอมบี้โผล่ขึ้นมาด้านหลังซากรถคันหนึ่ง มันกระโดดขึ้นสูง แล้วพุ่งเข้าใส่ผู้หญิงคนนั้นจากกลางอากาศ
แต่เด็กสาวสีหน้าคงเดิม นึกไม่ถึงว่าร่างกายเธอโฉบไหวเพียงครั้งเดียว ก็พุ่งเข้าไปปะทะหน้ากับซอมบี้ตัวนั้นแล้ว ประกายของมีคมในมือส่องวาบ ทันใดนั้น หยาดเลือดมากมายพุ่งกระฉูดออกจากหน้าอกของซอมบี้ที่ยังคงลอยตัวอยู่กลางอากาศ
“พลั่ก!”
ซอมบี้ตัวนั้นร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง แต่แขนของมันยังคงยื่นไปทางเด็กสาวอย่างไม่ลดละ
แต่เด็กสาวเหมือนได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เธอไม่เพียงกระโดดขึ้นสูง แต่ยังทิ้งตัวลงบนแผ่นหลังของซอมบี้ตัวนี้ แขนถูกง้างขึ้นสูง เสี้ยววินาทีถัดมามีดได้ปักลงบนต้นคอของซอมบี้ที่กำลังดิ้นขัดขืนอยู่
คนในรถยื่นมืออกมาปรบมือให้เธอ “ฝีมือพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ”
เด็กสาวกลับยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ เธอพลิกมือเก็บมีดไว้ที่เอวเหมือนเดิม แล้วเดินไปทางรถออฟโรด “ไปเถอะ ไปตามหากันต่อ”
“เฮ้อ ยุ่งยากจริงๆ เลย…” ชายหนุ่มพูดขึ้น
“ไม่ต้องพูดมาก รีบไปเถอะ” เด็กสาวพูดขึ้นอย่างเอือมระอา
เมื่อรถออฟโรดเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นภายใต้หมวกแก๊ปของเด็กสาวกลับจับจ้องไปที่เลือดกองนั้น
หลิงม่อ เคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อน…
—————————————————————————–
บทที่ 660 จะนินทาก็ควรไปนินทาลับหลังคนอื่นเขาสิ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากบันทึกการใช้งานแอพฯ นำทางของเฉินเล่อ หลังจากที่ออกจากเมืองตงหมิง พวกหลิงม่อได้เดินเท้าในระยะหนึ่งเข้าไปเส้นทางที่ค่อนข้างลับตาคน
เมื่อก่อนถนนหลวงเส้นนี้ถูกทางด่วนเข้ามาแทนที่ ถึงแม้จะไม่ได้ถูกทิ้งร้างไปจริงๆ แต่จำนวนรถที่สัญจรไปมาก็ค่อนข้างน้อย จำนวนซอมบี้จึงมีไม่มากเพราะเหตุนี้
สิ่งที่ทำให้หลิงม่อประหลาดใจก็คือ ถนนเส้นนี้ยังเคยผ่านการทำความสะอาดมาก่อนแล้วด้วย
ซากรถที่มีไม่มากอยู่แล้วถูกลากไปกองรวมกันไว้ที่เดียว เผยให้เห็นถนนเส้นหนึ่งที่ถึงแม้คดเคี้ยว แต่ก็โล่งเปล่าไม่มีสิ่งกีดขวาง
งานนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ หากให้ผู้รอดชีวิตมาทำ ถึงจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ ก็เกรงว่าจะกินแรงไม่น้อย
ทว่าคิดดูอีกทีพวกนั้นมีตัวทดลองอย่างหมายเลข 1 อยู่ด้วย งานลำบากอย่างนี้ คงจะถูกสัตว์ประหลาดอย่างเจ้านั่นจัดการได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ หากดูจากร่องรอยบนพื้น ก็จะเดาได้ว่าเคยมีซอมบี้จำนวนหนึ่งถูกฆ่าที่นี่
และศพของซอมบี้พวกนั้น ก็ได้ล่อซอมบี้ฝูงใหม่เข้ามา
ซอมบี้เหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ อยู่บนถนนหลวง สายตามองไปข้างหน้า บางครั้งก็หันมองรอบๆ ตัว เพื่อมองหาเหยื่อที่อาจปรากฏตัวออกมา
แค่เส้นทางถูกทำความสะอาด ไม่ได้มีความหมายกับพวกหลิงม่อมากนัก
แต่หลิงม่อไม่นึกว่าในระหว่างที่ตัวเองเดินไปเดินมาอยู่ข้างทาง เขาจะเจอรถออฟโรดคันหนึ่งซึ่งเติมน้ำมันไว้เต็มถัง แถมยังบรรทุกอาหารจำนวนหนึ่งไว้ด้วย
ไม่ต้องเดาก็รู้ นี่คือรถที่สมาชิกนิพพานจอดไว้ที่นี่ ในช่องแคบๆ ด้านหลังรถออฟโรด มีกรงเหล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่หนึ่งกรง เดาว่านั่นคงจะเป็นที่คุมขังของหมายเลข 1
บนราวกั้นของกรงเหล็กมีร่องรอยมากมายที่เกิดจากการทุบตี บางทีตอนที่หมายเลข 1 พยายามขัดขืน คงจะถูกทุบตีและทรมานไม่น้อย
หลิงม่อจ้องกรงเหล็กนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ในจู่ๆ ภาพที่สวี่ซูหานนั่งอยู่ในกรงเหล็กนั้นก็ผุดขึ้นในสมองเขาอย่างไม่รู้ตัว
เขามองเห็นดวงตาสีแดงจางๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง และคอเสื้อที่เปิดอ้าออกเล็กน้อยอยู่ในกรงเหล็กนั่น…
“เดี๋ยวก่อน นี่เราคิดเรื่องนี้ทำไมเนี่ย…”
หลิงม่อสะบัดหัวไปมา ตอนที่เขามองสวี่ซูหาน ไม่นึกเลยว่าเหมือนเธอจะรู้สึกได้ จู่ๆ เธอก็คว้าแขนของซย่าน่า แล้วเข้าไปหลบอยู่หลังเธอ
“เอ่อ…” หลิงม่อกระอักกระอ่วน
ก่อนขึ้นรถ เขาหันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้ง
ถึงแม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่หลิงม่อรู้ดี ว่าสวี่ซูหานกับเสี่ยวป๋ายกำลังตามหลังมา
บทเรียนครั้งที่ผ่านมา ทำให้ครั้งนี้ซอมบี้โลลิไม่กล้าวิ่งซนไปทั่วอีกแล้ว
แต่อย่างไรครั้งนี้เธอก็ยังต้องตามหลังอยู่ห่างๆ กับเสี่ยวป๋ายอีกครั้ง
หากวัดกันเรื่องเดินทางด้วยเท้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วหรือความอึด เสี่ยวป๋ายไม่มีทางด้อยกว่าอย่างแน่นอน
แต่เรื่องที่มันติดเชื้อไวรัส กลับเหมือนระเบิดเวลาที่ไม่แน่นอน บางทีอาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกะทันหันได้ทุกเมื่อ
แต่เป็นห่วงก็ส่วนเป็นห่วง จากสถานการณ์ในตอนนี้ ก็ทำได้เพียงคอยสังเกตการณ์ต่อไปเท่านั้น
กลับเป็นซอมบี้โลลิน้อยอวี๋ซือหรานมากกว่า ตอนนี้เธอคงจะทำหน้าบึ้งตึงอารมณ์เสียอยู่อย่างแน่นอน…
พอคิดถึงเรื่องนี้ หลิงม่อเองก็รู้สึกจนใจขึ้นมาเล็กน้อย
ก็สถานการณ์มันบังคับนี่นา…
“หัวหน้าทีม ขึ้นรถสิ” มู่เฉินเร่งเร้า
เขาชื่นชอบรถออฟโรดคันนี้มาก ขณะที่เร่งเร้าหลิงม่อ สองมือยังไม่ลืมลูบไล้ฝากระโปรงหน้ารถ ปากก็ร้องจุ๊ๆ อย่างถูกใจ
แต่เพราะเขามัวเสียเวลาตรงนี้ กว่าจะรู้ตัว ก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่าตรงที่นั่งคนขับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เดี๋ยวนะ เธอขับเป็นหรอ?” มู่เฉินเบิกตากว้าง แล้วถาม
ซย่าน่าหัวเราะเย็นชา เธอขยับนิ้วมือทั้งสิบ และลูบไม้ลูบมือเล็กน้อยเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง “แน่นอนอยู่แล้ว”
“มั่นใจขนาดนี้เชียว…” มู่เฉินเพิ่งจะทำหน้ากึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อออกมา แล้วจู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นสีหน้าของหลิงม่อ
หัวหน้าทีมของเขากำลังนั่งหลังตรงอยู่ในตำแหน่งข้างที่นั่งคนขับ พร้อมทำหน้าดำคร่ำเครียด…
มู่เฉินใจเต้น “ตึกตัก” ทันที เขาเพียงอ้าปากพะงาบๆ แต่สุดท้ายกลับเดินคอตกไปขึ้นรถ โดยไม่ได้พูดอะไร
เรื่องที่หลิงม่อทำได้เพียงอดทน เขาก็ต้องอดทนไปอย่างนี้เหมือนกัน…
“ไม่ว่าจะขับแย่แค่ไหน ก็คงไม่แย่ไปกว่าขับเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาหรือไม่ก็ขับช้าเหมือนเต่าล่ะมั้ง…” มู่เฉินปลอบใจตัวเอง
แต่ในไม่กี่นาทีต่อมา เขาถึงได้ตระหนักว่า ตัวเองผิดมหันต์แล้ว!
ซย่าน่าขับรถปาดไปปาดมาอย่างเกรี้ยวกราด แถมยังขับเร็วจนน่ากลัวมากด้วย!!
เธอมักจะขับพุ่งเข้าไปหาซอมบี้ที่ปรากฏตัวบนถนนตรงๆ จนกระทั่งเมื่อใบหน้าของซอมบี้ใกล้จะแนบติดกระจก หรือในตอนที่พวกเขาสามารถมองเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวนั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว เธอถึงได้หักพวงมาลัยกะทันหัน แล้วพาตัวรถเฉี่ยวผ่ายร่างของซอมบี้ไปอย่างเฉียดฉิว
แค่นี้ยังไม่เท่าไหร่ เสี้ยววินาที่ที่ขับผ่านไป ซย่าน่าถึงขั้นแทงเคียวดาบออกไป และในระหว่างที่เลือดสดๆ ลอยกระจายไปพร้อมสายลม เธอกลับนับจำนวนด้วยสีหน้าจริงจัง “หนึ่งตัว…สองตัว…”
ผ่านไปไม่กี่ครั้ง มู่เฉินที่หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลมก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง : ฉันเดาตอนเริ่มของเรื่องถูก แต่กลับเดาเรื่องราวระหว่างนั้นไม่ถูก!
ขณะที่พวกหลิงม่อขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังนิพพานสำนักงานใหญ่อย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งได้ลงจอด ณ สนามบินของฐานทัพฟอลคอนที่ 2
เมื่อประตูเครื่องเปิดออก เงาร่างของคนสิบกว่าคนก็ทยอยเดินเรียงแถวออกมาราวกับฝูงปลา และด้านหลังบานหน้าต่างของตึกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ใครคนหนึ่งกำลังมองมาที่พวกเขา
หลังคนเหล่านั้นลงจากเฮลิคอปเตอร์ ก็รีบมุ่งหน้ามายังตึกที่เขาอยู่ทันที คนคนนี้เห็นแล้วอดยิ้มเย็นชาไม่ได้ “ไม่ทักไม่ทายกันซักนิด คิดจะมาก็มาเลย”
“เขาเคยบอกก่อนแล้วเหอะ…” ข้างหลังมีเสียงของใครอีกคนดังขึ้น
“อ้อ…ของแบบนั้น ฉันขี้เกียจอ่าน” คนข้างหน้าต่างพูดอย่างไม่สนใจ
“ก็ใช่…” นึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะเห็นด้วย แล้วพยักหน้าพูดว่า “ตอนนี้นายเป็นคนรับผิดชอบที่นี่ เป็นหัวหน้าตัวจริงของที่นี่ แต่พวกเขากลับแค่บอกล่วงหน้า แต่ไม่ได้ปรึกษาหารือก็มาเลย ซ้ำยังขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของเราที่ไปส่งของกลับมาอีก…”
คนข้างหน้าต่างหันหน้ากลับมากะทันหัน แล้วบอกว่า “ต่อไปกำชับแทนฉันด้วย หากไม่มีคำสั่งของฉัน ไม่ว่าใครหน้าไหนในฟอลคอนที่ 1 ต้องการจะขึ้นเครื่อง ให้ปฏิเสธให้หมด อ่อ…แล้วก็หากไม่มีคำสั่งของหลิงม่อด้วย”
“น้องเขยนายอยู่ที่ไหนไม่รู้ด้วยซ้ำ…” จางอวี่กลอกตามองบน
ถึงแม้จะพูดอย่างสบายๆ แต่จางอวี่ก็ยังอดทำหน้ากังวลไม่ได้
ในความเป็นจริง เป็นเพราะท่าทีอย่างนี้ของอวี่เหวินซวน ที่ทำให้คนกลุ่มนั้นมาถึงที่นี่
ตอนนี้ถึงขั้นถ่ายทอดคำสั่งเผด็จการอย่างนี้อีก ไม่แน่ว่า ซักวันหนึ่งพวกเขาอาจฟังแค่คำสั่งของอวี่เหวินซวนกับหลิงม่อจริงๆ ขึ้นมา…
แต่ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ ฐานทัพฟอลคอนจะยอมอยู่เฉยหรอ?
เขายังไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาจากนอกประตู
“ผมขอรายงานก่อน…พวกคุณจะเข้าไปเลยอย่างนี้ไม่ได้นะ!”
“รายงานอะไร! ในนี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนเก่าคนแก่ของฐานทัพที่ 1 ยังต้องรายงานให้อวี่เหวินซวนอีกรึ มากเกินไปแล้ว!”
“มัวเสียเวลากับเขาทำไม? พวกนาย ไสหัวไปซะ! คิดว่าเป็นตัวอะไรมาจากไหน ถึงได้กล้ามาขวางพวกเรา ตาบอดรึไง!”
เสียงเอะอะโวยวายดังลั่น พร้อมกับเสียงบานประตูที่สะเทือนดัง “ปึงปึง”
“นี่มันออกจะ…” จางอวี่ขมวดคิ้วพูดขึ้น
แต่เขาเพิ่งจะเปิดปากพูด อวี่เหวินซวนก็ดึงเสื้อให้เข้าที่ จากนั้นก็เดินไปยังประตูห้องอย่างรวดเร็ว และเปิดประตูดัง “แกร๊ก” “โอ๊ะ แขกพิเศษนี่นา”
นอกประตู เจ้าหน้าที่ยามเฝ้าประตูสองคนกำลังยื้อหยุดพวกนั้นไว้ด้วยสีหน้าลนลานและลำบากใจ และข้างหน้าพวกเขาก็คือคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง
หนึ่งในนั้นซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุดกำลังยกแขนขึ้นสูง ฝ่ามืออ้ากว้าง และจ้องหน้าเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูอย่างโกรธขึ้ง
พอประตูเปิดออก การเคลื่อนไหวของเขาก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น
“เป็นมิตรขนาดนี้เลยหรอ ฉันยังไม่ทันออกมาก็เตรียมโบกมือทักทายกันก่อนแล้ว? อุวะฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจมากหรอกน่า มารยาทดีเกินไปแล้ว คือว่า…เอ่อ ใช่สิ นายเป็นตัวอะไร ฉันต้องเรียกนายว่าไงนะ?”
อวี่เหวินซวนหรี่ตาเล็ก แล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มร่า
ตอนที่ได้ยินประโยคแรกๆ ชายคนที่ยกมือค้างอยู่เริ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่พอได้ยินจนจบประโยค สีหน้าของเขาพลันบึ้งตึงขึ้นมาทันที
เสียดสี ดูถูก พออวี่เหวินซวนอ้าปากพูด กลิ่นชนวนระเบิดก็เข้มข้นขึ้นทันที…
นิ้วมือของเขากระตุกเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ฟาดลงไปจริงๆ แต่กลับสะบัดแขนลงอย่างขุ่นเคือง แล้วชักสีหน้าพูดขึ้นว่า “ฉันเป็นรองหัวหน้าคณะตรวจสอบของฐานทัพที่ 1 เกาเวย ท่านนี้คือหัวหน้าคณะ”
พูดไป เขาก็เบนสายตาไปมองชายแก่ที่ยืนอยู่ข้างตัวเอง
ชายแก่คนนี้ผิวคล้ำมาก สีหน้าท่าทางเป็นคนเคร่งครัด หนังเหี่ยวย่นห้อยอยู่บนดวงตาหรี่เล็ก เขาเม้มปาก วางท่าว่าห้ามสิ่งมีชีวิตใดเข้าใกล้เด็ดขาด
“ฉันเป็นหัวหน้าคณะ มู่ถาน”
“น่าจะชื่อเมี่ยนทาน (หน้าตาย) มากกว่านะ…” อวี่เหวินซวนเม้มปาก แล้วหันไปพูดว่า “เกาเว้ยเมี่ยนทาน (โรคใบหน้าอัมพาตขั้นหนัก)…ช่างบังเอิญเข้ากันได้ดีจริงๆ”
รองหัวหน้าคณะคนนั้นหน้าบึ้งจนถึงขีดสุดแล้ว ส่วนสมาชิกในคณะที่อยู่ข้างหลัง แต่คนกำลังกลั้นหัวเราะจนหน้าแทบเขียว
ได้ยินมานานแล้วว่าหัวหน้าของฟอลคอนที่ 2 เป็นคนบ้า วันนี้ได้เจอกับตัวก็รู้ว่าเป็นดั่งคำร่ำลือจริงๆ…
คนอะไร นินทาคนอื่นต่อหน้าต่อตาเจ้าตัวก็ได้หรอ? แถมยังจงใจพูดให้ได้ยินชัดๆ อีก!
และจางอวี่ผู้ที่ถูกบังคับให้เป็นคู่สนทนากับเขา กลับยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบไว้ดังเดิม ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมองข้ามคำพูดของอวี่เหวินซวนไป และหันมาพูดกับมู่ถานว่า “หัวหน้าเมี่ยน…หมี่ ยินดีที่ได้ต้อนรับ เชิญทางนี้”
—————————————————————————–
บทที่ 661 ไหนล่ะหลักฐาน?
โดย
Ink Stone_Fantasy
มู่ถานพยักหน้าอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์ เขาเหลือบมองอวี่เหวินซวนหนึ่งที แล้วเดินผ่านเขาเข้าไปในห้อง
แต่เกาเวยกลับทำหน้าโกรธจัดขณะเดินผ่านอวี่เหวินซวน
เขาแอบยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเงียบๆ แล้วทำท่าท้าทายอวี่เหวินซวน
“นั่นหมายความว่าไง?” อวี่เหวินซวนหันไปถาม
จางอวี่กระเถิบเข้าไปข้างหูอวี่เหวินซวน แล้วบอกเสียงเบาว่า “เป็นกลอุบายที่คณะตรวจสอบใช้กันเป็นประจำ จะต้องมีคนหนึ่งตีหน้าเข้ม อีกคนอารมณ์ฉุนเฉียว คนแซ่เกานิสัยใจคอไม่ดีคนนี้ ทำหน้าที่สอบสวนเรา”
“แล้วถ้ามีคนตีหน้าเข้มทั้งสองคนล่ะ?” อวี่เหวินซวนเกาท้ายทอย แล้วถาม
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าพวกเขาไม่เพียงไม่ไว้ใจนายแล้ว…” จางอวี่ยืนตัวตรง แล้วบอก
เขามองส่งสมาชิกคณะเข้าห้องไปทีละคนๆ แล้วจู่ๆ ก็พูดอย่างแปลกใจว่า “น่าแปลก นึกไม่ถึงว่าวันนี้ผู้บัญชาการซูจะไม่มาด้วย ตอนแรกเธอเป็นคนสนับสนุนนายสุดความสามารถ ถึงแม้จะถูกบังคับอย่างช่วยไม่ได้ และทำไปเพื่อฐานทัพที่ 1 ก็ตาม แต่ถ้าหากรายงานที่คณะตรวจสอบทำออกมามีผลเสียกับนาย ก็เท่ากับว่าเป็นการโจมตีครั้งใหญ่สำหรับเธอเหมือนกันนี่”
อวี่เหวินซวนกระพริบตาปริบๆ จากนั้นก็โบกมือไปมาอย่างไม่สนใจนัก
เขาหมุนกายหมายจะเดินเข้าห้อง แต่ถูกจางอวี่ดึงไว้ก่อน และถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ฉันถามจริง นายคิดยังไงกันแน่?”
อวี่เหวินซวนครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ยังไงฉันจะทำตามที่หลิงม่อบอกไว้ก่อนแล้วกัน อย่างไรการอยู่ร่วมกับฐานทัพฟอลคอนอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ก็ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของพวกเราได้ดี แต่ถ้าหากเรื่องราวดำเนินไปในทิศทางที่เหนือความคาดหมายของฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะปกป้องที่นี่ไว้ให้หลิงม่ออย่างสุดความสามารถ”
“เพื่อหลิงม่อ? แต่เขา…” จางอวี่อยากพูดบางอย่าง แต่กลับเห็นอวี่เหวินซวนยิ้มประหลาด
“สองคนนั้นไปตามหาเขาแล้วไม่ใช่หรือไง?” พูดไป เขาก็ยกสองมือสอดเข้ากระเป๋าเสื้อ แล้วเดินเข้าห้องไปอย่างสบายใจ
จางอวี่ยืนอึ้งอยู่กับที่ แล้วสีหน้าของเขาก็ดูสับสนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ไม่น่าล่ะ…เจ้าหมอนี่มีเจตนาแอบแฝงตั้งแต่แรกแล้ว!
ตามหาหลิงม่อเจอ ก็เท่ากับว่าตามหาหลี่ย่าหลินเจอ…
บรรยากาศในห้องประชุมกดดันมาก คนสิบกว่าคนที่นั่งเต็มสองฝั่งโต๊ะประชุม กำลังจับจ้องไปยังที่นั่งซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุด
ด้านหน้าของคนเหล่านี้มีกระดาษและปากกาวางไว้ สายตาแฝงไปด้วยความจับผิดและเคลือบแคลง
ทว่าเมื่ออวี่เหวินซวนกระแอมเบาๆ แล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในแนวเฉียง ในสายตาเหล่านี้ก็มีความขุ่นเคืองเพิ่มขึ้นมา
สีหน้าของเกาเวยแสดงออกถึงความเกลียดชังชัดเจนที่สุด คิ้วของเขาแทบจะผูกันเป็นปมอยู่แล้ว
ถ้าหากมีความสามารถประเภทที่สามารถฆ่าคนด้วยสายตา ป่านนี้อวี่เหวินซวนคงจะร่างพรุน และตายอย่างไร้ที่ฝังไปนานแล้ว
กลับเป็นมู่ถานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะซึ่งยังคงใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ไว้ได้เหมือนเดิม เขากางเอกสารวางไว้บนมือด้วยท่าทางจริงจัง พร้อมกับจ้องหน้าอวี่เหวินซวนเขม็ง
คนทั่วไปหากถูกจ้องด้วยสายตาอย่างนี้ คงจะรู้สึกไม่เป็นตัวเองไปนานแล้ว แต่อวี่เหวินซวนยังคงพิงพนักเก้าอี้ แล้วมองหน้าเขากลับพร้อมยิ้มหน้าระรื่น
กลับเป็นเหล่าสมาชิกคณะตรวจสอบมากกว่าที่ถูกอวี่เหวินซวนจ้องจนรู้สึกหนังศีรษะชา แล้วสุดท้ายก็ต้องเบือนหน้าหนีอย่างทนไม่ไหว
เพิ่งเคยเห็นใครยิ้มได้น่ากลัวอย่างนี้…
เมื่อบรรยากาศประหลาดๆ และหนักอึ้งนี้ดำเนินต่อเนื่องไปถึงสองนาที ในที่สุดมู่ถานก็กระแอมหนึ่งเสียง แล้วเปิดฉากพูด “ครั้งนี้ผมผู้แซ่หมี่เป็นตัวแทนของฐานทัพฟอลคอน มาสอบถามปัญหาบางอย่างก่อน กรุณาตอบตามความจริง”
แล้วก็เงียบอีกครั้ง…
ในที่สุดจางอวี่ก็ทนไม่ไหว เขาดันอวี่เหวินซวนเบาๆ
แล้วอวี่เหวินซวนก็ตื่นจากภวังค์เหม่อลอยของเขา จากนั้นก็ลนลานตอบว่า “ตกลงๆ…”
ทุกคนถึงกับโมโหจนแทบมึน ที่แท้ที่เขายิ้มได้น่ากลัวขนาดนี้ เป็นเพราะกำลังเหม่อลอยหรอกหรอ!
คนแบบไหนถึงจะเหม่อลอยในสถานการณ์อย่างนี้ได้นะ! เป้าหมายไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกหมดแรงแล้วตอนนี้!
เกาเวยมองซ้ายมองขวา แล้วจู่ๆ ก็ตบโต๊ะเสียงดัง “ท่าทีอะไรกัน! การแสดงออกอย่างนี้ของคุณ ต้องถูกจดบันทึกไว้!”
“เขียนเถอะ เขียนเลย เขียนให้น่าฟังหน่อยแล้วกัน” อวี่เหวินซวนพูดอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่
“คุณ…” เกาเวยหมายจะบันดาลโทสะ แต่พอเขาเห็นสีหน้าจริงใจของอวี่เหวินซวนเข้า จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเวลาอย่างนี้ ใครจริงจังคนนั้นแพ้…
เจ้าหมอนี่มันคนบ้าจริงๆ!
“ตอบตามปกติ ไม่ต้องกังวล” มู่ถานยกหนังตาขึ้นมองอวี่เหวินซวน แล้วพูด
ทว่าพอคำนี้พูดออกไป ในสมองของทุกคนก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาอัตโนมัติ : หมอนี่เคยกังวลด้วยหรอ?!
เมื่อคำพูดเกรงใจหมดไป อาหารจานหลักก็ต้องถูกเสิร์ฟเป็นรายการต่อไป
ถึงแม้มู่ถานจะพูดช้า แต่ก็ฟังชัดเจนทุกคำ
ภายในห้องประชุมที่ไม่ใหญ่ เสียงพูดของเขาลอยกระทบโสตประสาทการได้ยินของทุกคนอย่างถ้วนหน้า
“เรื่องที่ฐานทัพที่ 2 มีปฏิสัมพันธ์กับกองกำลังภายนอก โดยไม่ผ่านฐานทัพที่ 1 เคยเกิดขึ้นจริงไหม?” มู่ถานอ้าปาก ก็โยนระเบิดลูกโตออกมาทันที
จางอวี่ได้ยินก็ใจเต้น “ตึกตัก” เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง…
แถมเริ่มคำถามแรกก็เป็นเรื่องร้ายแรงขนาดนี้เลย คำถามต่อๆ ไปคงจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน
ตาแก่คนนี้เห็นเงียบๆ แต่พลังทำลายล้างสูงไม่เบา
กลับเป็นเกาเวยที่เอาแต่แยกเขี้ยวแยกเล็บ พูดอะไรออกมาก็เหมือนปุบฝ้ายไร้น้ำหนัก
คนอย่างอวี่เหวินซวนหรือจะกลัวถูก “จดบันทึก”?
“คือว่า…” จางอวี่เพิ่งจะอ้าปาก สายตาของมู่ถานก็ตวัดมองมาทางเขา
พอถูกชายแก่จ้องอย่างนี้ จางอวี่รู้สึกตัวเกร็งไปชั่วขณะ
สายตาคู่นั้น คมเหมือนมีดจริงๆ!
“ฉันพูดเองมา” อวี่เหวินซวนออกปากรับหน้าที่แทน เขาตอบว่า “คำว่าไม่ผ่านนั้นไม่ผิด แต่พวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มความสัมพันธ์ กลับกันผมอยากจะถามอะไรบ้าง พวกเขาเคยคุยกับฐานทัพที่ 1 มาก่อนแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นมีใครแจ้งให้พวกเรารู้?”
งดงาม!
จางอวี่อดไม่ได้ที่จะแอบยกนิ้วโป้งให้อวี่เหวินซวนเงียบๆ
ตามคาด เจ้าทึ่มคนนี้เมื่อไหร่ที่ต้องทำเรื่องจริงจัง ก็กลายเป็นคนพึ่งพาได้ในพริบตาจริงๆ
คำถามโต้กลับนี้จี้จุดได้อย่างดี ทำให้สถานการณ์พลิกผันได้ในพริบตา
คนในคณะตรวจสอบพากันมองหน้ากัน คนที่เตรียมจะจดบันทึกก็ชะงักทันที
เกาเวยนั่งไม่ติดแล้ว เขาตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น “นี่มันคำถามประเภทไหนกัน! ฐานทัพที่ 1 จะตัดสินใจอย่างไร หากถึงเวลาดำเนินการ ย่อมต้องแจ้งให้ฐานทัพที่ 2 รู้อยู่แล้ว แต่นี่คุณลงนามในข้อตกลงกับคนอื่น โดยที่ไม่บอกฐานทัพที่ 1 ก่อน คุณทำเหมือนตัวเองไม่ใช่คนของฟอลคอนอย่างนี้ได้อย่างไร!”
“เป็นอย่างที่เขาพูด” มู่ถานพยักหน้า
อวี่เหวินซวนกลับเบ้ปาก แล้วบอกว่า “จะโยงเรื่องไร้สาระพวกนี้ขึ้นมาทำไมกัน ใครก็รู้กันถ้วนหน้าว่าผมมีอำนาจกึ่งอิสระ…”
“…”
บรรยากาศในห้องประชุมเงียบกริบไปทันที เกาเวยกับเหล่าสมาชิกคณะตรวจสอบต่างอึ้งไปตามๆ กัน
ถึงแม้เรื่องที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้เขากับคนระดับสูงต่างรู้ดีแก่ใจโดยไม่ต้องพูดออกมา แต่ไม่เห็นต้องพูดออกมาโต้งๆ อย่างนี้ก็ได้นี่! เหมือนขี้เกียจหาเหตุผลมาโต้แย้ง เลยพูดออกมาตรงๆ ซะเลย…
สมาชิกคณะตรวจสอบส่วนมากมาเพื่อสังเกตการณ์และจดบันทึกเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเจอคนอย่างนี้มาก่อน แต่ละคนจึงปากอ้าตาค้าง เดาว่าคงจะอึ้งไปอีกสักพักเลยทีเดียว
เกาเวยกลับได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เขากัดฟันกรอดแล้วรีบคิดหาทางรับมือทันที แต่ในเวลาอันสั้นเขากลับคิดหาถ้อยคำที่เหมาะสมมาโต้กลับไม่ได้
อีกฝ่ายเป็นคนหัวรั้นไม่ฟังใคร ใช้ไม้แข็งก็ไม่ได้ไม้อ่อนก็ไม่ดี แล้วเขาจะพูดอะไรได้อีก!
“อะแฮ่ม…” มู่ถานกระแอมอีกครั้ง เขายังคงดึงหน้าเข้ม จากนั้นก็พูดช้าๆ ด้วยเหตุและผล “แต่คุณเคยพูดไว้อย่างแน่นอน ว่าให้พวกเขาไปคุยกับคนที่ชื่อหลิงม่อใช่ไหม? ผมอยากถามคุณ หลิงม่อเป็นใครกันแน่ เขามีสิทธิตัดสินใจเรื่องในฐานทัพที่ 2 เชียวหรือ?”
จางอวี่นิ่งไปอีกครั้ง
เขารู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัว รีบหวนนึกถึงคนที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้น รวมถึงคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนในที่ประชุมแทบจะทันที
ขณะเดียวกันเขาก็มองอวี่เหวินซวนอย่างกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าเขาจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร
เกาเวยถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็มองอวี่เหวินซวนอย่างท้าทาย
คราวนี้คงไม่มีอะไรจะพูดแล้วสินะ?
อวี่เหวินซวนบีบคลึงข้อต่อนิ้วเล็กน้อย เขาก้มหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ขยับปากเหมือนลังเลเล็กน้อย
“พูดมาสิ! ดูซิว่าจะพูดอะไรได้อีก!” เกาเวยหัวเราะหยันในใจ
“มีเรื่องอย่างนี้ด้วย? หลักฐานล่ะ?” อวี่เหวินซวนเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่าสายตาที่แฝงแววบ้าคลั่งของเขา กลับฉายแววประหลาดใจจริงๆ
คราวนี้ไม่เพียงกลุ่มคนเท่านั้นที่ตะลึง แม้แต่มู่ถานก็ยังกระตุกคิ้วเล็กน้อย
เขาอุตส่าห์ใช้คำว่า “อย่างแน่นอน” แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับ…
ถ้าหากคนอื่นปฏิเสธข้อกล่าวหาก็ว่าไปอย่าง นี่เขาเป็นถึงหัวหน้าของฐานทัพที่ 2 แต่กลับทำตัวกลับกลอกเล่นลิ้นต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้…
จางอวี่ได้ยินก็หางตากระตุกยิกๆ คิดวิธีที่มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงวะ!
ขายหน้าหมดแล้ว…
“อวี่เหวินซวน คุณ…” เกาเวยโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ไม่รู้จะพูดอะไรดี
จะเอาหลักฐานมาจากไหน? หรือต้องให้พวกเขาชี้ตัวหนอนบ่อนไส้ที่พวกเขาส่งมา?
ทันใดนั้น อวี่เหวินซวนกลับเปลี่ยนสีหน้า น้ำเสียงพลันเย็นเยียบขึ้นมา “คุณเป็นใครมาจากไหน! กล้าเรียกชื่อผมตรงๆ ได้อย่างไร! กลับไปคิดดูนะ อยู่ที่ฐานทัพที่ 1 ผมก็เป็นถึงรองผู้บัญชาการเหมือนกัน!”
เกาเวยถูกตะคอกกลับ เขาถึงกับอึ้งงันไปทันที
ปกติจะเคยชินกับท่าทางและคำพูดบ้าๆ บอๆ ของอวี่เหวินซวน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเขาก็มีด้านที่อวดดีอย่างนี้ด้วย…
สิ่งสำคัญคือ เขาไม่อาจเถียงได้!
ถึงแม้จะโมโหจนต้องกัดฟันกรอดๆ แต่เกาเวยก็ต้องหุบปากอย่างช่วยไม่ได้
มู่ถานจ้องหน้าอวี่เหวินซวนด้วยแววตาลึกซึ้ง แล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น คำถามต่อไปคงไม่ต้องถามแล้ว มีโอกาส ก็หวังว่าจะได้เจอหลิงม่อซักครั้ง”
พูดไป เขาก็ลุกขึ้นยืน
สมาชิกคณะตรวจสอบก็ทยอยลุกตามกัน ทว่าพวกเขากลับทำหน้าสงสัย
จบแค่นี้หรอ? นี่เพิ่งจะเริ่มเองนะ!
“เดินทางปลอดภัยนะ” อวี่เหวินซวนนั่งโบกมืออยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม
มู่ถานพนักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หมุนกายเดินออกจากห้องไป
เกาเวยกลัวว่าหากมองหน้าอวี่เหวินซวนต่อแม้เพียงวินาทีเดียว ตัวเองอาจจะโมโหจนตาย จึงได้รีบเดินตามออกไป
เพิ่งจะเดินออกไป เขาก็อดถามเสียงเบาไม่ได้ “หัวหน้า เราจะจบเรื่องแค่นี้หรอ?”
“ท่าทีของเขาบ่งบอกชัดเจนแล้วไม่ใช่หรอ?” มู่ถานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“บอกชัด?” เกาเวยงุนงง เจ้าคนบ้านั่นนอกจากพูดจาไร้สาระแล้ว ยังทำอะไรอีกงั้นหรือ?
มู่ถานชะงักฝีเท้า แล้วหันไปมองเกาเวย สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำยากหยั่งถึงได้ทันที “เขาต้องการจะสื่อว่า ไม่อยากจะฉีกหน้าใคร และนี่ก็เป็นวิธีการหยั่งเชิงของเขาเหมือนกัน อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้”
พูดจบ เขาก็เอามือไพร่หลัง แล้วเดินตรงไปข้างหน้า “ไปเถอะ อย่าหวังว่าพวกเขาจะปรนนิบัติเราเลย”
“แม้แต่เรื่องอาหารการกิน?!”
เกาเวยอึ้งค้าง เป็นคนแบบไหนวะเนี่ย!
เขาหันหน้ากลับไปมองในห้องประชุมอีกครั้ง
ท่าทางของอวี่เหวินซวนที่กำลังนั่งห้อยขาโตงเตง ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง
“เป็นแบบนี้ สู้จัดการเจ้าหลิงม่อที่เป็นภัยแฝงนั่นทิ้งก่อนไม่ดีกว่าหรือ…”
เกาเวยอดคิดในใจไม่ได้
ทว่าไม่นานเขาก็ส่ายหน้า เรื่องนี้ เขาก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น…
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น