เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 65.3-66.4

ตอนที่ 65 - 3 เป็นตายร่วมเผชิญ

 

สายฝนดุร้ายครู่หนึ่งนี้คล้ายไม่ดำรงอยู่อีก ทุกผู้คนต่างหลงลืมความเจ็บปวดและเหน็บหนาวที่น้ำฝนตกกระทบ มองดูฝนตกหนักค่อยๆ ชะล้างเลือดเนื้อของซังเชี่ยวที่แขนขาดกับอาวุธวิเศษที่แตกละเอียดนั้นสูญสลายไปอย่างมึนงง


 


 


คล้ายมองเห็นการเพิ่มแผลลึกแผลหนึ่งบนสิ่งใหญ่มหึมา บาดแผลที่ใกล้สิ้นชีพ


 


 


การดิ้นรนครั้งสุดท้ายถาโถมสู่การพังพินาศที่ยิ่งลึกล้ำ ก้นบึ้งหัวใจของแทบจะทุกผู้คนต่างพวยพุ่งด้วยความหวาดผวาที่ยากจะควบคุมและความโศกศัลย์ด้วยเห็นใจซึ่งกันและกัน


 


 


แม้แต่กงอิ้นที่เยือกเย็นที่สุด ยังเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง


 


 


เขาตกอยู่ในสายฝน มองย้อนกลับไปหาจิ่งเหิงปัว สตรีบนสันกำแพงงามวิจิตรดุจขวดหยก ส่งรอยยิ้มงามวิจิตรประหนึ่งลูกปัดหยกเช่นกันให้กับเขา


 


 


แสงพิลาศของสตรีเจือจางโลหิตกับความหนาวสะท้านครู่หนึ่งนี้ ทว่ายิ่งทำให้คนประหวั่นพรั่นพรึง บุปผาสวยสดงดงามเช่นปกติผลิแย้มกลางสนามรบ งดงามจนเคร่งขรึม


 


 


เหยียลี่ว์ฉีร่วงลงตรงสันกำแพงอีกมุมหนึ่ง ค่อยๆ หันหน้ามาจ้องมองจิ่งเหิงปัวคล้ายไม่เชื่อสายตา


 


 


เขารู้ว่าการลอบสังหารล้มเหลวแล้ว


 


 


เดิมทีนึกว่าเป็นการจัดการของกงอิ้น นับว่าไม่มีเรื่องใดแปลกประหลาด ทว่ายามนี้เขากลับเริ่มสงสัยขึ้นมา


 


 


ราชินีที่แลคล้ายเกียจคร้านตามใจตนนางนี้ ยังจะทำให้คนประหลาดใจเพียงใดกันแน่?


 


 


สายตาของเหล่าขุนนางทั้งหลายยังคงอยู่ในความงงงวย คนส่วนใหญ่ไม่อาจเข้าใจความนัยซึ่งฉากหนึ่งนี้แสดงออกมา พวกเขายังคงครุ่นคิดว่ามหาอาวุธสังหารในตำนานที่ไร้สิ่งเทียบเทียมนั้น ตระกูลซังอาศัยมันสั่นสะเทือนโลกหล้า อาวุธวิเศษที่ไม่ได้ออกโรงนับร้อยปี เหตุใดพลันระเบิดขึ้นแล้ว


 


 


หลังจากราชินีปรากฏกาย ระเบิดแล้ว


 


 


ความคิดหนึ่งเฉียดผ่านในใจของคนมากมาย ได้ตำแหน่งแล้วไม่ยึดคุณธรรม แว้งกัดเจ้านาย ลิขิตสวรรค์หวนคืน ร้อยพิษไม่กัดกลืน


 


 


เสียงเสียงหนึ่งพลันทำลายความเงียบสงัด เคียงคู่ด้วยเสียงปรบมืออย่างแรงดังแปะๆๆ


 


 


“ทำได้ดีมาก! ทำได้อัศจรรย์! อาวุธวิเศษหรือ? อาวุธวิเศษกระไร! นี่ถึงเป็นความมหัศจรรย์ที่แท้จริง! คู่ควรที่จะเป็นภรรยาข้า!”


 


 


อีชีควบอยู่บนม้าของซังเชี่ยวกลางฝนตกหนัก ทั้งหัวเราะทั้งกระโดด โบกมือให้จิ่งเหิงปัวต่อเนื่อง


 


 


พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นเขาก็รู้สึกเบิกบาน อดจะยิ้มแย้มไม่ได้ โบกมือให้เช่นกัน


 


 


“กินข้าวหรือยัง?” นางถาม


 


 


“ยังไม่ได้กินเลย” เขาตะโกนว่า “ได้ยินว่าทางเจ้านี้มีปัญหาจึงพลีชีวิตตนรีบตามมา วิ่งจนรองเท้าหุ้มข้อขาดหมดแล้ว จะยังมีเวลาว่างกินข้าวได้อย่างไร…”


 


 


คนกลุ่มหนึ่งฟังสองคนนี้ทักทายกันในครู่สำคัญนี้ด้วยสีหน้าออกเขียว อภิปรายปัญหาอาหารเช้าเบื้องหน้าโลหิตทั่วพื้น…


 


 


“ยังไม่ได้กินก็ลงมา ประเดี๋ยวกินด้วยกัน…” เสียงวาจาของจิ่งเหิงปัวถูกเสียงเยือกเย็นของกงอิ้นขัดจังหวะคำหนึ่ง


 


 


เขายกมือเพียงครั้ง ชี้ไปยังอีชี


 


 


“มาเร็ว จับกุมมือสังหารที่บุกรุกวังหลวงผู้นี้ไว้!”


 


 


“เฮ้ยๆ!” จิ่งเหิงปัวรีบร้อนจะห้ามปราม มองเห็นสีหน้าดำคล้ำของมหาเทพกงแวบหนึ่ง


 


 


จิ๊จ๊ะ โมโหแล้ว? ทำไมโมโหอีกแล้ว?


 


 


“ไปเถิดไปเถิดเจ้า!” นางสะบัดมือ “คราวหน้าข้าเลี้ยงข้าวเจ้า!จะซื้อรองเท้าหุ้มข้อคืนเจ้าด้วย!”


 


 


“ได้สิได้สิ!” อีชีหลบหนีไปข้างหลังพลางโบกมือ ร้องว่า “กีบเท้าอบน้ำแดงของเรือนรุ่ยเซียงที่ถนนใหญ่จิ่วกงไม่เลวนัก…”


 


 


“แต่ไหนแต่ไรมา ราชสำนักของพวกเราไม่เคยติดหนี้ผู้ใด” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “มาเร็ว ฟันเท้าสองข้างของเขาทิ้ง ภายหลังเขาจะได้ไม่ต้องวิ่งจนรองเท้าหุ้มข้อขาดอีกแล้ว!”


 


 


อีชีหนีเร็วยิ่งกว่าเดิมแล้ว…


 


 


สลัดพลไล่ล่าทิ้งอย่างยากลำบาก หันสู่มุมกำแพงผืนหนึ่ง พลันมีเงาคนสายหนึ่งเฉียดผ่าน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เขาฟันขาของเจ้า ข้าคืนรองเท้าหุ้มข้อให้เจ้า!” มือยกขึ้นเพียงครั้ง แสงนิลสองจุดพุ่งสู่กลางฝ่าเท้าอีชี


 


 


“โอ๊ยซุ่มโจมตี!” อีชีโวยวายเสียงหนึ่ง เหินขึ้นไปบนฟ้า ยามลุกขึ้นพื้นรองเท้าหุ้มข้อหายไปแล้ว เหลือเพียงฝ่าเท้าเตียนโล่งคู่หนึ่ง หากช้าไปเพียงก้าวเดียว กลางฝ่าเท้าของเขาคงจะถูกแทงทะลุแล้ว


 


 


“เอารองเท้าข้าไปกินเสีย!” อีชีสะบัดเท้าทั้งเช่นนั้น รองเท้าหุ้มข้อพี่ไม่มีพื้นรองเท้าพุ่งไปทางเหยียลี่ว์ฉีที่ลงมือ ฉวยโอกาสยามเขาหลบหลีก เขาหัวเราะฮ่าๆ หลบหนีออกไปเนิ่นนานแล้ว


 


 


เสียงของเขาแว่วสะท้อนมาในเสียงฝนว่า “ชิบ ข้าไปล่ะ ไม่ต้องส่งแล้ว ศัตรูหัวใจมากเกินไปมีน้ำใจไมตรีเหลือเกิน ครั้งหน้าข้าจะมาเยี่ยมเจ้าตามลำพัง…”


 


 


“คราวหน้าเหลือเท้าให้เจ้าคู่หนึ่ง เจ้าจะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา” เหยียลี่ว์ฉีโยนคู่หนึ่งรองเท้าหุ้มข้อทิ้ง แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง มองกงอิ้นจากไกลโพ้นปราดหนึ่ง กลับสู่สำนักเจาหมิงของเขาอย่างแช่มช้าแล้ว


 


 


กงอิ้นไร้ซึ่งสีหน้า สายตาเยือกเย็นกว่าสายฝนนี้


 


 


เขาโบกมือ หลังกำแพงลูกธนูน้าวอยู่บนสาย เปล่งเสียงดังแกร๊กผืนหนึ่ง ฟังแล้วน่าหวาดกลัว


 


 


เหล่าองครักษ์กองเซ่นไหว้ผุดเผยสีหน้าตื่นตระหนก


 


 


“ตระกูลซังละเมิดทำนองคลองธรรมจึงถูกสวรรค์ทอดทิ้ง เปิ่นจั้วให้เวลาพวกเจ้าครึ่งเค่อ ถอนกำลังจากพระราชวัง ออกห่างตระกูลกองเซ่นไหว้ แล้วจะไม่สืบหาเรื่องราวก่อกบฏในวันนี้” กงอิ้นปริปาก เสียงแว่วออกไปไกลโพ้นท่ามกลางฝนกระหน่ำ


 


 


เหล่าองครักษ์ผุดเผยสีหน้าตื่นกลัว


 


 


องครักษ์เหล่านี้เดิมทีต่างเป็นองครักษ์ที่มีจิตใจจงรักภักดีต่อตระกูลซัง ทว่าจิตใจจงรักภักดีส่วนมากมาจากหมอบกราบกับเคารพเลื่อมใสจากเบื้องลึกภายในจิตใจที่มีต่อตระกูลซัง ความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อ “พลังปฎิหาริย์” ยิ่งลึกล้ำ ยาม “พลังปฎิหาริย์” สูญสลาย เสาแห่งจิตวิญญาณพังพินาศรวดเร็วยิ่งกว่า หอคอยสูงพินาศ อาวุธวิเศษทำร้ายเจ้าของ สิ่งสำคัญสองสิ่งที่ตระกูลซังพึ่งพาให้อยู่รอดถูกทำลาย คนเหล่านี้ตกสู่ท่ามกลางความงงงวยหวาดกลัวฉับพลัน


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นซังเชี่ยวบาดเจ็บสาหัสสลบไสล ฝูงมังกรไร้เศียร กงอิ้นบารมีลึกล้ำ ไอสังหารเคร่งขรึม หลังจากทุกคนงงงวยขี้ขลาดตาขาวระลอกหนึ่ง มีคนเริ่มถอยไปข้างหลัง


 


 


ร่นถอยหนึ่งก้าวเท่ากับพังทลายทั้งแถว แทบจะในพริบตา องครักษ์กองเซ่นไหว้ที่อาวุธเพียบพร้อมไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บทุกนายต่างหันกายวิ่งห้อ กลัวเพียงวิ่งได้ไม่เร็วพอ ไม่อาจถอนกำลังออกจากพระราชวังภายในครึ่งเค่อ


 


 


ยามคนกำลังหลบหนีคือยามที่การป้องกันอ่อนแอที่สุด


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูคนที่วิ่งห้อดุจฟ้าแลบเหล่านั้น หัวใจเกร็งแน่นเล็กน้อยเช่นกัน คนเหล่านี้สวมเกราะหนักถืออาวุธยังวิ่งได้เร็วขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกนายต่างเป็นผู้ยอดเยี่ยม กองทัพเช่นนี้อยู่ฝ่ายใครล้วนเป็นทหารทรงพลังที่สามารถสร้างคลื่นลูกใหญ่ออกมาได้ วันนี้พวกเขาหลบหนีคือการตอบสนองต่อความเครียดหลังจากความเสียหายไม่คาดคิดหนักหนาครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าพักผ่อนปรับปรุงกำลังได้ ไม่แน่ว่าตระกูลซังจะจัดพวกเขาสู่ใต้บัญชาอีกครั้งได้ พอถึงตอนนั้น คนที่เกลียดนางเข้ากระดูกขนาดนี้จะก่อปัญหาให้นางมากแค่ไหน…


 


 


นางถอนหายใจเล็กน้อย ให้เป็นแบบนี้ล่ะ เรื่องบางเรื่องรู้ชัดว่าไม่เหมาะสมแต่ก็ไม่สามารถทำได้ หรือว่าจะกงอิ้นถอดใจลงมือสังหารคนที่ต่อต้านเหล่านี้เหรอ? เรื่องนี้จะนำพาปัญหามากมายขนาดไหนมาให้เขากัน


 


 


กำลังครุ่นคิดว่าภายภาคหน้าจะรับมืออย่างไร สายตามองดูคนเหล่านั้นกำลังจะหลบหนีออกจากทัศนวิสัย นางได้ยินเสียงเย็นชาและเด็ดขาดยิ่งนักเสียงหนึ่งกะทันหัน


 


 


“ยิง”


 


 


แทบจะครู่นั้น ลูกธนูได้คำรามผันผ่านบนศีรษะของคนเหล่านั้นแทนฝนกระหน่ำ!


 


 


เหล่าขุนนางตื่นกลัวแหงนหน้าขึ้น กลางนัยน์ตาที่เบิกกว้างสะท้อนฝนธนูสีครามคล้ำเหินว่อน!


 


 


อีกพริบตาต่อมา ในทัศนวิสัยก็คือฉากกั้นสีโลหิตผืนใหญ่!


 


 


ดอกไม้โลหิตที่เหยียดยาวระเบิดออกมาจากร่างกายมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ดอกไม้บานรวดเร็วยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วถูกสายฝนกลางนภาพัดพาไป แผ่ขยายกลายเป็นคลื่นสีโลหิตทะลักล้นลูกหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวเกือบจะร่วงลงไปจากบนกำแพงอีกครั้ง


 


 


นางหันหลังกลับฉับพลัน เผชิญกับนัยน์ตาของกงอิ้น


 


 


เขายืนอยู่กลางฝนกระหน่ำ สงบเงียบไม่แปดเปื้อนละอองโลหิต นัยน์ตาคู่หนึ่งคล้ายถูกฝนคลั่งชำระล้างผ่านเช่นกัน บริสุทธิ์สว่างประดุจผลึกน้ำแข็ง เปล่งประกายระยิบระยับด้วยแสงรุ่งโรจน์สีน้ำเงินจางที่บริสุทธิ์ยวดยิ่ง


 


 


นั่นมิใช่นัยน์ตากระหายเลือด…


 


 


ท่ามกลางฝนกระหน่ำเขามองนางอย่างเฉยชาเฉื่อยเนือยปราดหนึ่ง จากนั้นกลับสู่สนามสังหาร คนหลายร้อยโหยหวนเวียนวน สีโลหิตย้อมพื้นดินให้แดงฉาน ร่องน้ำสีแดงนับมิถ้วนไหลรินดังซู่ซู่ รวมสู่ร่องระบายน้ำของทางหลักสองฝั่ง


 


 


ผู้มีอำนาจช่วงชิงชีวิตคนดุจตัดหญ้า หลายครั้งความตายไม่ใช่ด้วยเพราะบาปกรรม ทว่าด้วยเพราะเลือกข้างผิด


 


 


“อ๊ากๆๆ…”


 


 


องครักษ์ที่ถูกธนูปักทั่วร่างพลันดิ้นรนหันหน้ากลับมา ตะโกนลั่นวิ่งห้อไปทางกงอิ้น สองมือของเขายกกระบี่เปื้อนโลหิตขึ้นสูง รองเท้าหุ้มข้อหนักหน่วงพาน้ำฝนเจือโลหิตกระเซ็นสู่หัวเข่าของคนนับมิถ้วน


 


 


อวี่ชุนหันกายครั้งหนึ่งจะขวางอยู่เบื้องหน้ากงอิ้น มือของกงอิ้นสะบัดเพียงครั้ง


 


 


เขาเพียงยืนอย่างเยือกเย็นอยู่ตรงนั้น มองคนใกล้ตายผู้นั้น ความเ**้ยมโหดดิ้นรนที่ฟื้นคืนก่อนสิ้นลม


 


 


สองจั้ง หนึ่งจั้ง ครึ่งจั้ง…


 


 


ดวงใจของทุกคนเต้นดังตึ่กตัก แม้ว่าแน่ใจว่าคนผู้นี้ไร้หนทางสร้างความเสียหายต่อกงอิ้น ทว่ายังมีผู้แอบเฝ้ารอคอยปาฏิหาริย์


 


 


กงอิ้นยืนตระหง่านไม่เคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ถึงขนาดค่อยๆ เอามือไพล่หลัง


 


 


เขามองสีหน้าของชายชาตรีที่พุ่งเข้ามาหวังสังหารประดุจมองซากศพหลายร้อยที่กองทับถมเบื้องหน้าตำหนักก่อนหน้านี้


 


 


สามก้าว สองก้าว หนึ่งก้าว…


 


 


“พลั่ก” ร่างมนุษย์ร่วงพื้นรุนแรง พาน้ำฝนกระเซ็นขึ้นมาครึ่งตัวคน คนนับมิถ้วนถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง มีทั้งความปีติยินดีหรือยังมีความผิดหวัง


 


 


กงอิ้นก้มหน้าลง


 


 


ผู้ที่ร่วงลงพื้นยังไม่สิ้นชีพ ยังคงไม่ยอมถอดใจดิ้นรน เคลื่อนย้ายมาเบื้องหน้าทีละชุ่น ข้างหลังกายลากเป็นเส้นโลหิตทอดยาวเส้นหนึ่งออกมา พริบตาถูกน้ำฝนแต่งแต้มพัดพาหาย


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูเส้นโลหิตคดเคี้ยวดุจร่องน้ำบนแผ่นดินสูญสิ้น รู้สึกเพียงในใจสะท้านเล็กน้อย


 


 


แผ่นดินสีโลหิตผืนนี้ กลอุบายไร้สิ้นสุด ต้องใช้โลหิตมากเพียงไหนมาฝังกลบกันแน่?


 


 


นิ้วมือที่ยื่นออกมาค่อยๆ กำลังจะแตะชายผ้าสีขาวราวหิมะของกงอิ้น


 


 


กงอิ้นพลันโค้งกายเล็กน้อย


 


 


ทุกผู้คนกลั้นลมหายใจ มองเขาโค้งกาย ดีดนิ้ว


 


 


“เพียะ”


 


 


เสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ หยาดฝนเนิ่นนานพลันหยุดลง มองเห็นสุญญากาศโปร่งแสงสายหนึ่งปรากฏก่อนปลายนิ้วที่ยื่นออกมาของผู้นั้นด้วยตาเปล่า ตัดขาดความหวังสุดท้ายที่จะลงมือดั่งฉากกำบังโปร่งแสง


 


 


มือข้างนั้นถูกขวางไว้ห่างจากชายผ้าของกงอิ้นเสี้ยวหนึ่ง ไร้หนทางขยับเข้ามา


 


 


ใกล้เพียงเศษเสี้ยว ไกลเพียงสุดขอบฟ้า


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูฉากหนึ่งนี้พลันรู้สึกหนาวเหน็บในใจให้ความเมินเฉยทุกสิ่งในโชคชะตา คล้ายมองเห็นครึ่งค่อนชีวิตหลังของตนเองผ่านม่านพิรุณ ความหวังที่ใกล้เพียงประชิด การปฏิเสธที่ไกลเพียงขอบมหาสมุทร


 


 


หลังจากดิ้นรนถึงเส้นทางช่วงสุดท้าย สุดท้ายแล้วสองมือนั้นร่วงหล่นไร้เรี่ยวแรง


 


 


เสียงร้องเศร้าโศกเสียงหนึ่งประหนึ่งสุนัขป่า ทว่าพลันดังก้องทั่วตำหนักวังหลวง


 


 


“กงอิ้น! เจ้าต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ร่วงหล่นเหวลึก ผู้คนตีตนออกห่าง เนรเทศจากต้าฮวงชั่วกาล!”


 


 


เสียงร้องตะโกนทั้งโศกศัลย์ทั้งโกรธแค้น หยาดน้ำตาโลหิตเร่าร้อนคล้ายจะพุ่งถึงท้องนภา พุ่งทลายการปิดล้อมของฝนกระหน่ำ นำวาจาสลักลงบนสวรรค์ รอคอยโชคชะตาเวียนวนอย่างควรจะเป็น


 


 


ยามนี้เหลือเพียงเสียงจากฝนตกหนัก


 


 


กงอิ้นยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน แข็งทื่อเย็นชาดุจน้ำแข็งสลักคงอยู่หมื่นปี เหล่าขุนนางข้างกายเขาต่างถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว


 


 


เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวปรากฏกายข้างกายเขา หันข้างมองดูสีหน้าเขา


 


 


กงอิ้นสะบัดหน้าไป จิ่งเหิงปัวหันตามไปด้วย กงอิ้นหันกลับมา จิ่งเหิงปัวหันกลับตามมาอีกครั้ง


 


 


หลายครั้งหลายคราว กงอิ้นไม่ได้หันอีกแล้ว หลุบตาต่ำมองดูนางอย่างแน่วแน่


 


 


จิ่งเหิงปัวเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา พลันจัดแต่งเส้นผมดำขลับที่แนบตรงขมับให้เขาแล้วยิ้มแย้ม


 


 


“เห็นเจ้าไร้ซึ่งสีหน้า รู้เลยว่าในใจเจ้าวุ่นวายดั่งพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรแล้ว” นางยิ้มพริ้มพราย กล่าวว่า “กระไรกัน วาจาสาปแช่งประโยคเดียว ไม่สบายใจขึ้นมาแล้วหรือ?”


 


 


กงอิ้นสะบัดมือของนางออก แต่จิ่งเหิงปัวไม่ได้ถอย หงายมือกุมนิ้วมือเขาไว้


 


 


นิ้วมือสองคนประสานกัน ยกขึ้นมาครึ่งหนึ่งกลางสายฝน


 


 


กงอิ้นก้มหน้ามองดู แลมิได้สะบัดออกอีก แลมิได้เอ่ยวาจาใดอีก


 


 


เขาคงจะไม่บอกนาง เอ่ยกันว่าผู้ที่สามารถเป็นถึงตำแหน่งขุนนางผู้บัญชาการตระกูลซัง ส่วนใหญ่มาจากลุ่มน้ำเป้ยพั่นที่ลึกลับที่สุดของต้าฮวง ความมหัศจรรย์เพียงหนึ่งเดียวของเผ่าหนึ่งนั้นคือเชี่ยวชาญการสาปแช่ง โดยเฉพาะวาจาสาปแช่งที่หล่อหลอมด้วยโลหิตก่อนสิ้นลม ตั้งแต่ไหนแต่ไรเป็นจริงดุจคำมั่นสัญญาของสวรรค์


 


 


แต่จิ่งเหิงปัวรับรู้คำตอบจากดวงตาของเขาและท่ามกลางสายตาของทุกคน 

 

 


ตอนที่ 65 - 4 เป็นตายร่วมเผชิญ

 

นางเพียงแค่ยักไหล่ยิ้มแย้ม


 


 


“ตนเองเอาชีวิตไม่รอดแล้วยังจะสาปแช่งผู้อื่นอีกหรือ?” นางจ้องดวงตาของเขาเขม็ง จูงมือของเขา กล่าวว่า “เป็นหนี้ต้องจ่ายเป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม กงอิ้น วาจาสาปแช่งนี้ ข้ารับไว้แล้ว! ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”


 


 


แววตาของกงอิ้น ค่อยๆ ทอดลงจากนิ้วมือสู่บนใบหน้าของนาง


 


 


ดวงพักตร์ที่ถูกน้ำฝนชะล้าง สีสันบริสุทธิ์สดใส เปียกชื้นยิ่งสวยงามสดใสขึ้น ขนตาแน่นขนัดพรมด้วยธารหยาดน้อยละเอียดนับมิถ้วน มองนัยน์ตาแน่วแน่มัวสลัวของนางผ่านหยดน้ำ กระเพื่อมด้วยแสงวสันต์ทั่วนภาทั่วพสุธา


 


 


ท่วงท่าสะท้านใจเช่นนี้ ไม่อาจต้านทาน


 


 


ก้นบึ้งของหัวใจคล้ายพวยพุ่งด้วยความร้อนระลอกหนึ่ง ที่ซึ่งความร้อนผันผ่าน ทะยานทะลุผ่าน ชำระล้างคำราม เส้นลมปราณคล้ายผลิหลุมเล็กออกมานับมิถ้วน ลมเหน็บหนาวที่ทะลุผ่านแทงกระดูก แลคล้ายพังทลายดังครืน หอบหิมะนับพันกองขึ้นมา เขาทนขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ท่ามกลางการพังทลายและทะลุผ่านเช่นนี้ ทว่าอีกทั้งมุมปากอดจะกระหวัดโค้งเล็กน้อยไม่ได้


 


 


จิ่งเหิงปัวเชิดสายตามองดูเขา สีหน้าครู่หนึ่งนี้ของเขาแปลกประหลาดเช่นนี้ คล้ายทั้งเจ็บปวดคล้ายทั้งดีใจ หรือเกิดความปีติยินดีท่ามกลางความเจ็บปวด บ่มเพาะเจ็บปวดท่ามกลางความปีติยินดี คิ้วขมวดแทบชนกัน ทว่ารอยยิ้มมุมปากหลั่งรินดุจธารวสันต์


 


 


แต่นางรู้สึกว่าน่าประทับใจขนาดนี้รู้สึกเพียงครู่หนึ่งนี้ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแน่นอน นางเกลียดตนเองที่ไม่ได้พกโพลารอยด์มาด้วย จะได้บันทึกรอยยิ้มมหัศจรรย์ครู่หนึ่งนี้ให้คงอยู่ตลอดกาล


 


 


สายฝนโปรยปราย หมู่หญ้าสดใส จ้องมองซึ่งกันและกันกลางสายฝน ต่างรู้สึกว่าอีกฝ่ายนิ้วเย็นดวงใจร้อนผ่าว รัศมีโค้งมุมปากงดงามที่สุดในโลกนี้


 


 


ไม่รู้ตั้งแต่ยามใด เหล่าขุนนางต่างค่อยๆ หลีกถอยหลบลี้สู่ฝั่งหนึ่ง


 


 


ข้างหลังแว่วเสียงฝีเท้าถี่กระชั้น กงอิ้นชะงักไปชั่วครู่ ปล่อยมือของจิ่งเหิงปัวอย่างคล้ายตัดใจไม่ได้เล็กน้อย


 


 


“เจ้ากองเซ่นไหว้ซังออกจากวังแล้ว” องครักษ์ที่ส่งออกไปไล่จับซังต้งรายงาน


 


 


ทุกคนเคร่งขรึม ซังต้งตัดสินใจเด็ดขาดเพียงพอ รู้ว่าทางนี้กระทำไม่สำเร็จจึงหลบหนีโดยพลัน เพียงแต่ใจร้ายเกินไปหน่อย ซังเชี่ยวน้องสาวของนางยังไม่รู้เป็นตายร้ายดีอยู่ในวังอยู่เลยนะ


 


 


กงอิ้นเพียงพยักหน้า ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ไม่ต้องเรียกว่ากองเซ่นไหว้อีก”


 


 


พอวาจานี้ออกมา แทบจะทุกผู้คนต่างก้มหน้าโดยพลัน


 


 


วาจาประโยคเดียว อำนาจของตระกูลหนึ่งสิ้นสุด


 


 


สายฝนค่อยๆ จางหาย ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างเช่นกัน จิ่งเหิงปัวมองดูแสงนภาขาวโพลนเส้นเดียวสาดส่องบนใบหน้าซีดเผือดของผู้สิ้นลมเหล่านั้น รู้สึกเพียงก้นบึ้งของหัวใจเจือจางด้วยความเหน็บหนาว ถลกแขนเสื้อขึ้นเชื่องช้า


 


 


ลมแรงฝนคลั่งคืนหนึ่งนี้ บางครั้งเป็นเพียงการเริ่มต้นล่ะมั้ง


 


 



 


 


เหล่าองครักษ์ของตำหนักอวี้จ้าวกำลังเก็บกวาดสนามรบ ยามนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งรู้สึกถึงความหนาวเย็น กอดแขนสองข้างหันหลังจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า


 


 


ข้างหลังพลันมีผู้เอ่ยว่า “ขอฝ่าบาททรงรอก่อน”


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา มองเห็นว่าเป็นเซวียนหยวนจิ้ง สายตาของเซวียนหยวนจิ้งท่วมท้นด้วยความโกรธแค้น แตกต่างจากแววตาหวาดกลัวระแวดระวังเล็กน้อยของผู้อื่นในยามนี้


 


 


ไม่น่าแปลกใจ พันธมิตรที่แข็งแกร่งถูกทำลายในวันเดียว เท่ากับเสียแขนไปข้างหนึ่ง เขาย่อมไม่พอใจ


 


 


“มีเรื่องใดก็รีบเอ่ยมา ข้าหนาวยิ่งนัก” ผู้อื่นไม่มีสีหน้าดี แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวไม่ดียิ่งกว่า


 


 


“คำสาบานของฝ่าบาทเพิ่งสมบูรณ์เพียงครึ่ง” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยว่า “คำพยากรณ์ฟ้าผ่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ของพระองค์ แลตรัสว่าจะสะสมสายฟ้าไว้ในกระเป๋าของพระองค์ เพื่อพิสูจน์ว่าเทพสวรรค์ได้เลือกพระองค์แล้ว ยามนี้ สายฟ้าเล่า?” เขาเอ่ยอย่างเสียดสีว่า “คงมิใช่ซุกซ่อนอยู่ในแขนฉลองพระองค์ของพระองค์กระมัง?”


 


 


“เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มอย่างเกียจคร้าน สายตาเฉียดผ่านสีหน้าตกตะลึงของทุกคนแวบหนึ่งแล้วยิ้มแย้มหยอกล้อ กล่าวว่า “ทว่ามิใช่ยามนี้”


 


 


“ฝ่าบาท!” เซวียนหยวนจิ้งที่ถูกหลอกไปรอบหนึ่งอับอายจนโกรธแค้น


 


 


จิ่งเหิงปัวโบกมือแล้ว หันหลังเดินจากไป


 


 


“ข้าต้องอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ ยังต้องนอนพักผ่อน มิฉะนั้นเกิดริ้วร้อยใดขึ้นมาพวกเจ้าผู้ใดชดใช้ไหวหรือ? รอข้านอนเต็มอิ่มแล้ว ข้าจะนำสายฟ้าที่ข้าสะสมไว้ให้พวกเจ้าดู หากพวกเจ้าอยากดูจริง จงรอไปเถิด!”


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์ทรงคิดจะเบี้ยวสัญญาหรือ!” เซวียนหยวนจิ้งเปล่งเสียงเย็นชาดุดัน


 


 


“คืนนี้เจ้าไม่ได้ดูค่อยเอ่ยว่าข้าเบี้ยวสัญญายังไม่สาย” จิ่งเหิงปัวไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ รีบก้าวข้ามประตูข้างแล้ว เซวียนหยวนจิ้งไม่อาจเดินตามไป สีหน้าเขียวคล้ำ หันหน้ากดดันกงอิ้นว่า “ทหารสองฝ่ายสู้รบกัน ไม่สังหารเชลยศึก นี่เป็นกฎเกณฑ์แห่งต้าฮวงของเรา ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดราชครูถึงหลอกลวงผู้บริสุทธิ์ ออกคำสั่งยิงธนูสังหารองครักษ์กองเซ่นไหว้ที่ถอดใจต่อต้านแล้วเหล่านั้น!”


 


 


กงอิ้นไม่ได้มองเขาแม้แต่ปราดเดียวด้วยซ้ำ ยืนมือกวักเพียงครั้ง บอกใบ้อวี่ชุนพาเหมิงหู่ที่ได้รับบาดเจ็บเข้ามาในตำหนัก


 


 


คราวนี้ทุกคนจึงสังเกตว่าเหมิงหู่เปรอะโลหิตไปครึ่งร่าง ไหล่ด้านหน้ามีเพียงบาดแผลถลอกเป็นชั้น ไหล่ด้านหลังแทบจะเป็นหลุมโลหิตหลุมหนึ่ง นี่คือบาดแผลที่เกิดจาก “อาวุธวิเศษ” น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ทุกคนมองดูกองหนึ่งนั้นที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าซีดเผือด ยิ่งคิดไม่ออกว่าราชินีใช้พลังเคลื่อนย้ายทำลายอาวุธสังหารที่ร้ายกาจสมคำเล่าลือนี้อย่างไร


 


 


หรือว่ามีสิ่งที่เรียกว่าพลังปฎิหาริย์อยู่จริง?


 


 


“เคลื่อนพลทหารองครักษ์เกินจำนวนโดยไม่ได้รับอนุญาต ถืออาวุธบุกรุกวังหลวง วางแผนลอบสังหารราชินีต่อหน้าเหล่าขุนนาง ทำร้ายเหมิงหู่ซึ่งเป็นผู้นำราชองครักษ์จนบาดเจ็บสาหัส” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ทุกข้อที่เอ่ยมา แทบจะนับได้ว่าเป็นโทษสถานหนักเช่นประหารเก้าชั่วโคตร หากขุนนางที่ปรึกษายังยืนกรานจะเห็นต่าง คงนับเป็นผู้อยู่ภายในเก้าชั่วโคตรได้พอดี”


 


 


เซวียนหยวนจิ้งมีสีหน้าซีดเผือด เอ่ยคัดค้านว่า “ข้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดกับพวกเขา จะเอ่ยว่าเป็นญาติเก้าชั่วโคตรได้อย่างไร!”


 


 


กงอิ้นชำเลืองมองเขาปราดเเดียว พ่นออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนสองคำว่า “โคตรสหาย”


 


 


เสร็จแล้วเขาไม่สนใจเซวียนหยวนจิ้งอีก สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ทุกคนถูกอำนาจบาตรใหญ่กับไอสังหารที่แฝงอยู่ในสองคำนี้พาให้สั่นเทิ้ม เคร่งขรึมไม่กล้าเอ่ยวาจา เซวียนหยวนจิ้งมีสีหน้าซีดเผือด ยังคงทำเข้มแข็งพึมพำว่า “โคตรสหายกระไร…ในเก้าชั่วโคตรมีโคตรสหายที่ใดกัน…” ทว่าไม่กล้าเอ่ยเสียงดังแล้ว


 


 


อวี่ชุนประคองเหมิงหู่ให้หมอหลวงที่รีบตามมา เดินเข้ามา มือที่เปื้อนคราบโลหิตท่วมท้นตบไหล่ของเขา ยิ้มแย้มเอ่ยเสียดสีเสียงดังว่า “ไม่มีโคตรสหาย แลยังมีโคตรวงศ์ตระกูลนะ ขุนนางที่ปรึกษามีคุณธรรมสูงส่ง กล้าทำกล้ารับ ปกป้องผู้ทรยศที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อยเหล่านี้ขนาดนี้ สนิทชิดเชื้อเสียยิ่งกว่าโคตรวงศ์ตระกูลโดยแท้ ฝืนนับเข้าไปด้วยคงจะได้”


 


 


เซวียนหยวนจิ้งมีสีหน้าเขียวคล้ำร่นถอยก้าวหนึ่ง สะบัดมือของเขาออกอย่างรุนแรง เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “หลีกไป! อย่านำมือสกปรกของเจ้ามาแตะข้า! องครักษ์ต่ำต้อยผู้หนึ่งยังกล้าถากถางผู้ชรา!”


 


 


อวี่ชุนแค่นเสียงยิ้มเยาะ มองด้วยหางตาเขาปราดหนึ่ง ฉวยโอกาสนำมือเปื้อนโลหิตเช็ดบนกำแพงรอบข้าง เอ่ยว่า “คงสกปรก!” ไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำเดินก้าวใหญ่ไปแล้ว


 


 


เหลือไว้เพียงเซวียนหยวนจิ้งที่มีสีหน้าชราทั้งเขียวทั้งขาว หน้าอกหอบขึ้นลง


 


 


ทุกคนที่เหลือเก็บตัวสงบเงียบ ต่างออกห่างจากเขาเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ หางตาของเซวียนหยวนจิ้งมองกวาดรอบด้าน ในใจพลันพวยพุ่งด้วยความรู้สึกเศร้ารันทด ตระกูลซังกับตระกูลเซวียนหยวนกลายเป็นพันธมิตร แต่ก่อนคนเหล่านี้ประจบสอพลอมากหลาย บัดนี้มองเห็นตระกูลซังพลาดท่า คนเหล่านี้ก็รีบเร่งขีดเส้นเขตแดน พอสิ้นอำนาจ คนเหล่านี้ก็หลงลืมกันรวดเร็วเกินไปแล้ว


 


 


พลันมีผู้ก้าวเดินเชื่องช้า หัวเราะเสียงแผ่วข้างหูเขา เอ่ยว่า “เหตุใดผู้ชราจิ้งต้องหดหู่เช่นนี้? แม้ตระกูลซังล่มสลาย ทว่าไม่เคยมิใช่โอกาสของข้ากับท่านนะ”


 


 


เซวียนหยวนจิ้งหันหน้า มองเห็นมุมปากเจือรอยยิ้มแย้มของเฟยหลัว


 


 


หัวคิ้วของเซวียนหยวนจิ้งขมวดเพียงน้อย เขาไม่มีความประทับใจที่ดีต่อเสนาหญิงแคว้นเซียงท่านนี้เพียงใดนัก บุคคลที่มีอำนาจที่แท้จริงของหกแคว้นแปดชนเผ่า เอ่ยจนที่สุดแล้วไม่ใช่พวกเดียวกันกับขุนนางใหญ่ในราชสำนักโดยสิ้นเชิง ทุกปีพวกเขาจะหมุนเวียนรับสนองโองการไปรายงานการปฏิบัติหน้าที่ที่ตี้เกอ ฉวยโอกาสช่วงนี้สร้างความสัมพันธ์อันดีต่อขุนนางสำคัญในราชสำนักและเข้าร่วมเสนอคำแนะนำระดับหนึ่งต่อการเมืองในราชสำนัก ทว่าเอ่ยจนที่สุดแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขายังคงพัฒนาอำนาจของแคว้นใต้อาณัฐตนและชนเผ่าตน คนเหล่านี้ต่างมีความทะเยอทะยานมากล้น ที่ซึ่งแววตากวาดไปถึงคือตำแหน่งสูงสุดที่แท้จริงของต้าฮวงเช่นเดียวกัน เอ่ยให้ชัดเจน ทุกผู้คนต่างเป็นคู่แข่ง มอบความเชื่อถือซึ่งกันและกันได้อยากยิ่ง


 


 


ยิ่งกว่านั้นหมู่นี้เขาได้ยินมาว่าภายในแคว้นเซียงแย่งชิงอำนาจกันดุเดือดยิ่งนักเช่นกัน เสนาหญิงที่แต่ก่อนกุมอำนาจสำคัญมาโดยตลอดท่านนี้มารายงานการปฏิบัติหน้าที่ที่ตี้เกอในยามนี้ ไม่แน่ว่าตำแหน่งในแคว้นคงอันตรายอย่างยิ่งแล้ว คราวนี้คงคิดจะฉวยโอกาสยามชุลมุน ถอยหลังกลับไปตั้งหลักที่ตี้เกอ จะได้จัดการจากภายนอกสู่ภายใน แล้วค่อยสู้รบกับแคว้นเซียง?


 


 


นางดีดลูกคิดรางแก้วมา ทว่ายามนี้เซวียนหยวนจิ้งไม่มีความคิดที่จะทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน!


 


 


“ตระกูลซังพ่ายแพ้แล้ว จะมีโอกาสอีกได้อย่างไร?” ด้วยเหตุนี้เขาไม่มีสีหน้าดีกระไรเช่นกัน เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “อีกทั้งต่อให้มีโอกาสดี คงไม่มีความเกี่ยวข้องกระไรกับเสนาหญิงกระมัง?”


 


 


เฟยหลัวคล้ายไม่ได้สนใจท่าทางหัวเสียของเขาด้วยซ้ำ ยังคงยิ้มแย้มอย่างนุ่มนวลสุขุม


 


 


“ผู้ชราจิ้งจะเอ่ยเช่นนี้มิได้” นางยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ตระกูลซังเป็นขุนนางหลายยุคสมัยมาหลายร้อยปี กระทำการมาหลายสิบรุ่น จะล่มสลายในวันเดียวได้อย่างไร? แม้จะพ่ายแพ้หรือเพลี่ยงพล้ำแต่พลังอำนาจยังคงอยู่ ต่อให้วันนี้ผู้ยอดเยี่ยมในวังสูญสิ้น ทว่าเครือข่ายพี่น้องของตระกูลซังที่กระจายอยู่ในต้าฮวงมีเพียงหลายพันเสียที่ใด? พี่น้ององครักษ์ที่อยู่ในเครือข่ายรวมกันแล้วมีเพียงหลายหมื่นเสียที่ใด? สุดท้ายแล้วพลังเหล่านี้จะตกอยู่ในมือของผู้ใด? ว่ากันว่าเติมบุปฝาบนแพรพรรณไม่สู้ส่งถ่านกลางหิมะ บัดนี้ซังต้งกำลังตกอยู่ในยามที่มีปัญหาทั้งภายในและภายนอก หากผู้ชราจิ้งยื่นมือช่วยเหลือในยามนี้ สิ่งที่จะได้รับในภายภาคหน้าจะเป็นตระกูลซังเพียงตระกูลเดียวหรือ?”


 


 


ขนคิ้วของเซวียนหยวนจิ้งขยับเพียงครั้ง วาจาของเฟยหลัวนับว่าตรงกับแผนการส่วนหนึ่งในใจเขาเช่นกัน เพียงแต่ยังตัดสินใจไม่ได้เล็กน้อย


 


 


แววตาของเขาข้ามผ่านจิ้งถิง มองไปยังพระราชอุทยานของราชินีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ชุ่ยเจี่ย ยงเสวี่ยและจิ้งอวิ๋นตื่นนอนกันแล้ว กำลังยุ่งงานอยู่ข้างนอก แววตาของเขาทอดไปทิศทางนั้นชั่วครู่แล้วเบนกลับมา


 


 


“แน่นอนว่าบัดนี้ตระกูลซังได้รับบาดแผลฉกรรจ์ ขั้นต่อไปกงอิ้นต้องไม่ปล่อยโอกาสตัดรากถอนโคนอย่างแน่นอน การสนับสนุนตระกูลซังในยามนี้ เกรงว่าตระกูลเซวียนหยวนเพียงตระกูลเดียวไม่แน่ว่าจะแบกรับไหว” สายตาสุกสกาวของเฟยหลัววูบไหว เอ่ยว่า “สตรีน้อยเลื่อมใสในตระกููลขุนนางอาวุโสมาเนิ่นนานแล้ว เสียดายว่าไม่ได้มีโอกาสเดินร่วมทางกับทุกท่านมาโดยตลอด สตรีน้อยเองนับว่ามีความสามารถเล็กน้อย ไม่แน่ว่าไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดแด่สองท่าน ผู้ชราจิ้ง มิเคยได้ยินหรือว่ามีสหายเพิ่มมาผู้หนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาผู้หนึ่ง? หรือเอ่ยได้ว่าศัตรูของศัตรูย่อมเป็นสหาย?”


 


 


เซวียนหยวนจิ้งนิ่งเงียบ มองดูสายฝนค่อยๆ เลือนหาย สายรุ้งสีขาวเลือนรางสายหนึ่งตรงขอบฟ้ามองไม่เห็นสีสัน


 


 


สถานการณ์ในราชสำนักและอนาคตของต้าฮวง ด้วยเพราะการปรากฏกายของราชินีองค์ใหม่องค์นี้ ผุดเผยสภาพการณ์ประหลาดนอกเหนือความคาดหมายบางส่วนประหนึ่งสายรุ้งนี้เช่นกัน


 


 


“เจ้าดูสิ สายรุ้งตรงขอบฟ้านี้” เขาพลันเอ่ยว่า “ในตำราเอ่ยไว้ว่าสายรุ้งสีขาวบังอาทิตย์ โลหิตท่วมบันไดหยก บัดนี้จะไม่ตอบรับได้อย่างไร?”


 


 


“ใช่แล้ว” เฟยหลัวกับเขายืนอยู่เคียงข้างกัน เงยหน้ามองสายรุ้งนั้นแผ่ขยายตรงขอบฟ้านิ่งเงียบ เอ่ยว่า “ได้มองเห็นชัดเจนแล้วนะ มิฉะนั้นบังดวงอาทิตย์คราวหน้า โลหิตท่วมบันไดจวนท่านจวนข้า คงไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างไร”


 


 


“หลันปี้ถิงในจวนผู้ชรา อยู่ที่สูง ข้างหวาหลาน คือหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่สูงสุดในตี้เกอ เป็นสถานที่ดีที่จะชมทิวทัศน์” เซวียนหยวนจิ้งคล้ายกำลังสนทนาไร้สาระ


 


 


“ได้ยินชื่อเสียงมานาน เสียดายว่ายังไม่ได้ได้รู้จัก” เฟยหลัวมีสีหน้าเลื่อมใส


 


 


“คราวนี้ผู้ชราเสียมารยาท มีโอกาสขอเชิญเสนาหญิงเยี่ยมชม” เซวียนหยวนจิ้งยิ้มแย้มจริงใจ เอ่ยว่า “บางครั้ง ชมสายรุ้งสีขาวบนหลันปี้ถิง อาจมีทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง”


 


 


“ในความปรารถนา ไม่มากกว่าการผูกสัมพันธ์”


 


 


หลังจากบทสนทนาสั้นกระชับ สองคนไม่เอ่ยวาจามากความอีก ต่างคนต่างหันกายให้กัน


 


 


เหล่าขุนนางใหญ่ที่อยู่ข้างหนึ่ง ถึงขนาดไร้ผู้พบว่าเพียงครู่หนึ่งที่ไม่น่าสนใจนี้ พันธมิตรกลุ่มหนึ่งซึ่งเพียงพอจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตของต้าฮวง ได้ก่อเป็นรูปร่างอย่างเงียบเชียบแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 66 - 1 เปล่งประกายให้ตาเจ้าบอด

 

ฟ้าสว่างแล้ว มืดอีกครั้งแล้ว


 


 


เมื่อจิ่งเหิงปัวตื่นขึ้นมาบนเตียง มองดูท้องฟ้ามืดมิดข้างนอกด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความงงงวย นึกไม่ออกว่าตนเองอยู่ที่ไหนไปชั่วขณะและจำไม่ได้ว่านี่คือคืนวันไหนหรือยามเช้าไหน


 


 


หลังจากกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า การหลับสนิทครั้งหนึ่งโดยไร้ซึ่งความคิดแม้แต่น้อยของนาง ไม่ได้ฝันด้วยซ้ำ


 


 


หลังเหม่อลอยไประลอกหนึ่ง นางได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยๆ นอกประตูคล้ายมีคนกำลังเดินกลับไปกลับมา ฝีก้าวถี่กระชั้น เดินไปยังระเบียงเบื้องหน้าตำหนักนางบ่อยครั้ง สถานที่ซึ่งใกล้ที่สุด จิ่งเหิงปัวรอคอยเสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ


 


 


นางคล้ายเข้าใจขึ้นมา ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ดึงเชือกเคาะระฆังเรียกหา


 


 


ประตูเปิดออกแทบจะฉับพลัน เผยให้เห็นใบหน้าเจือด้วยความร้อนใจขององครักษ์ปากประตู จิ่งเหิงปัวจำได้ว่านี่คือองครักษ์ข้างกายผู้หนึ่งของกงอิ้นชื่อว่าซานฉง


 


 


“ฝ่าบาท” ซานฉงเอ่ยว่า “เหล่าขุนนางใหญ่คอยพระองค์อยู่โดยตลอด”


 


 


จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้า โอ้ ห้องหนังสือของจิ้งถิงจุดเทียนสว่างจ้า ยังมีเสียงเอะอะแว่วมารำไร


 


 


ลำบากให้พวกเขารอคอยอยู่โดยตลอด คงรอคอยอยากดูนางปล่อยไก่ล่ะมั้ง?


 


 


“เร่งเจ้าแล้วหรือ?” นางถาม


 


 


ซานฉงผุดเผยสีหน้าฝืนยิ้ม เอ่ยว่า “เร่งกระหม่อมสิบแปดครั้งแล้ว วิวาทกันในห้องหนังสือโดยตลอด หากมิใช่พวกเราห้ามเอาไว้ อาจจะพุ่งเข้ามาเคาะประตูของพระองค์แล้ว”


 


 


“ราชครูเอ่ยว่าอะไร?”


 


 


“ราชครูเอ่ยว่านอนหลับสำคัญ อาหารสามมื้ออย่าได้ขาด”


 


 


“ราชครูกำลังทำสิ่งใด?”


 


 


“นอนหลับ”


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะออกมาดัง “เหอะ” อารมณ์ดีอย่างยิ่ง


 


 


“เอ่ยได้ถูกต้อง นอนหลับสำคัญ อาหารสามมื้ออย่าได้ขาด” จิ่งเหิงปัวบิดขี้เกียจด้วยท่าทางสดชื่น กล่าวต่อไปว่า “นอนมาหนึ่งวันแล้ว ข้าหิวแล้ว ยกอาหารขึ้นโต๊ะ!”


 


 


“เอ่อ…” ซานฉงเตือนนางอย่างระมัดระวังยิ่งว่า “เหล่าขุนนางใหญ่ยังคงรอคอย…”


 


 


ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้ราชินีกินข้าว เพียงแต่ขุนนางใหญ่เหล่านั้นไม่กล้าเร่งกงอิ้น ต่างพามาบีบบังคับเขาน่ะสิ


 


 


“จักรพรรดิไม่ใช้งานทหารยามหิวโหย ผู้ใดมีคุณสมบัติใช้งานจักรพรรดิยามหิวโหย?” จิ่งเหิงปัวนั่งลงข้างโต๊ะอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวว่า “รอคอยกันมาวันหนึ่งแล้ว คงจะไม่ว่าหากต้องรอข้าวสักมื้อ ยกอาหารขึ้นโต๊ะ!”


 


 


ซานฉงฝืนยิ้มถอยออกไปอีกทางหนึ่งแล้ว เหล่าขุนนางใหญ่ต่างไม่ได้กินข้าวมาวันหนึ่งแล้ว…


 


 


จิ่งเหิงปัวกินอย่างเอร็ดอร่อย ตั้งใจอย่างยิ่ง ชิมและวิจารณ์อาหารทุกจาน จนกระทั่งท้องกลมดิก


 


 


ห้องหนังสือของจิ้งถิงยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้นแล้ว กลิ่นหอมของอาหารทางนี้โชยเข้าไปแล้ว เหล่าขุนนางใหญ่หิวจนท้องร้องโครกคราก หากไม่ใช่เพราะองครักษ์สองฝั่งขวางไว้ เกรงว่าคงมีผู้พุ่งเข้าไปซักถามแล้ว。


 


 


ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่ากงอิ้นไม่ได้เลี้ยงอาหารสามมื้อ เพียงแต่น้อยนักที่จะมีผู้กินข้าวลงเบื้องหน้ามหาราชครูกงได้…เหนือศีรษะมีมหาเทพน้ำแข็งหิมะผู้ไร้ซึ่งสีหน้าองค์หนึ่ง ยามทานอาหารเงียบงันไร้สรรพสิ่งเสียง กระตุ้นความอยากอาหารไม่ได้โดยแท้


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นอาหารของกงอิ้นแตกต่างจากผู้อื่น ปกติแล้วมีอาหารร้อนน้อยมาก ส่วนมากเป็นอาหารเย็น ขุนนางใหญ่ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ร่างกายอ่อนแอเหล่านี้บริโภคไม่ไหว ฉะนั้นพอเวลาผ่านไปนาน กงอิ้นเลี้ยงอาหารน้อยครั้ง เหล่าขุนนางใหญ่ไม่คาดหวังจะทานอาหารของตำหนักอวี้จ้าวเช่นกัน


 


 


ยามนี้ผู้ที่หิวโหยมาวันหนึ่งแล้ว ได้กลิ่นหอมที่พลังทำลายล้างเกรียงไกรทางนั้น ยั่วเย้าใจไม่น้อยไปกว่าขันทีเข้าหอคณิกา


 


 


ทางนั้นยิ่งทะเลาะกัน จิ่งเหิงปัวยิ่งกินช้าลง กินเสร็จอย่างเรียบร้อย วางตะเกียบไว้ ผลักนางในที่เดินทางมาเชิญออก กล่าวว่า “เปลี่ยนอาภรณ์”


 


 


นางไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเอง เมื่อออกมา ผู้คนทั่วตำหนักต่างร้อง “อา” เสียงหนึ่ง


 


 


นางถอดชุดทั่วไปของราชินีที่สวมอยู่ทิ้ง สวมใส่ชุดกระโปรงของตนเอง


 


 


ชุดกระโปรงผูกหน้าคอวีลึกสีแดงสดแนบเนื้อ การตัดเย็บที่เรียบง่ายแต่เซ็กซี่ที่สุด เกาะติดแนบแน่นดุจผิวกายชั้นที่สอง กระหวัดรัดรูปร่างงดงามโดยกำเนิดของนางจนไม่อาจเพิ่มหรือลดเลยแม้แต่น้อย แววตาของทุกคนพร่ามัว สายตาวูบไหวทุกหนทุกแห่ง ไม่รู้ว่าควรมองหรือว่าไม่ควรมอง ไม่รู้ว่าควรมองที่ใดถึงจะหยุดยั้งเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงที่พุ่งถึงคอหอยเสียงหนึ่งนั้นได้ จากนั้นรู้สึกตัวว่ามองไปที่ใดล้วนถูกกำหนดไว้แล้วว่าคงอดกลั้นอุทานอย่างตื่นตะลึงเสียงหนึ่งนั้นไว้ไม่ได้…มีทรวดทรงของบางคน คล้ายสวรรค์รักใคร่ พาให้ผู้ที่มึนชาที่สุดยังอดจะหมอบกราบไม่ได้ ไม่เจือด้วยความหยาบโลน เพียงเพื่อความงามที่หาได้ยากปานนั้น


 


 


สุดท้ายแล้วแววตาของทุกผู้คนทอดลงบนขาของจิ่งเหิงปัว ขาท่อนล่างและข้อเท้างามประณีตเรียวบางขาวบริสุทธิ์ที่ยื่นออกมาใต้ชุดกระโปรงผูกหน้าทรงหางปลา เท้าสวมใส่รองเท้าส้นสูงเปิดนิ้วเท้าสีเดียวกันคู่หนึ่ง


 


 


ไม่เคยพบเห็นการแต่งกายเช่นนี้ ทุกคนเหม่อลอย หลงลืมแม้แต่วาจาตักเตือน


 


 


จื่อหรุ่ยได้เตรียมใจไว้หน่อยแล้ว ยังอดจะสูดลมหายใจเหน็บหนาวเฮือกหนึ่งไม่ได้ อยากเอ่ยอะไรหน่อย ทว่ามองเห็นสีหน้าของจิ่งเหิงปัว พลันก้มหน้าลง


 


 


ภายในสายตาของราชินี ไม่ใช่สีหน้าหยอกเย้าตามใจตนยามปกติ นัยน์ตานางแน่วแน่แลสุขุม คล้ายได้เตรียมพร้อมต่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้เนิ่นนานแล้ว


 


 


ทุกผู้คนรู้สึกรำไรว่าคล้ายตั้งแต่ยามกลางฝนกระหน่ำคืนวาน ราชินีเหินกายเผชิญหน้าอาวุธวิเศษ สะบัดมือเพียงครั้งทำให้อาวุธวิเศษระเบิดตนเอง ราชินีที่ลึกลับแลมหัศจรรย์นางนี้คล้ายมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปแล้ว


 


 


บนแขนของจิ่งเหิงปัวถือกระเป๋าสีดำใบน้อย มองไปยังจิ้งถิง ยิ้มแย้มคล้ายได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว


 


 


“ไปเถิด ไปเปล่งประกายให้ตาพวกเขาบอดกัน”


 


 



 


 


เหล่าขุนนางใหญ่รอคอยมาหนึ่งวันแล้ว


 


 


ความกระสับกระส่ายเหนื่อยล้าหิวโหยพัวพันจิตใจมนุษย์ไว้ดุจเชือก ยิ่งมัดยิ่งแน่น จวบจนอดกลั้นไม่ไหวระเบิดออกมา


 


 


“ราชินีไปทำอะไรอยู่กันแน่!”


 


 


“นางกำลังทานอาหาร!”


 


 


“ก่อนหน้านี้นอนหลับ! จากนั้นกินข้าว! ต่อไปนางจะทำสิ่งใด? มิใช่ค่ำแล้ว นอนอีกสักตื่นหรือ? นางเห็นพวกเราขุนนางสำคัญในราชสำนักเหล่านี้เป็นสิ่งใดกันแน่?”


 


 


“นางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ยังกล้าหยอกล้อมองข้ามฝูงขุนนางเช่นนี้ หากได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ คงจะไม่เห็นพวกเราเป็นสุกรสุนัขหรือ?”


 


 


“ข้าว่านางคงกำลังหลบหนีกระมัง? นางไร้หนทางใช้สอยสายฟ้าด้วยซ้ำ ยามนี้เป็นเพียงแผนการถ่วงเวลา ให้พวกเรารอจนทนไม่ไหวแล้วถอดใจไปเอง?”


 


 


“เอ่ยได้ถูกต้องยิ่งนัก เมื่อคืนนางไม่ได้ไปหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ด้วยซ้ำ แลไม่ได้ร่ายคาถาใด จะนำสายฟ้ามาได้อย่างไร? อีกทั้งสายฟ้านั้นคือสิ่งที่เคลื่อนไหวบนสวรรค์ จะถูกมนุษย์ธรรมดาควบคุมได้อย่างไร? วาจาเหลวไหลเต็มปากโดยแท้!”


 


 


“นั่นสิ พวกเราควรจะ…อ๊ะ เหตุใดแสงเทียนพลันดับหมดแล้ว?”


 


 


“องครักษ์! องครักษ์! เหตุใดเทียนถึงดับหมดแล้ว! รีบไปหาเชื้อเพลิง!”


 


 


“คงจะลมแรงพัดเทียนดับ รีบเร่งจุดเทียน…ขุนนางร่วมสำนักทุกท่านอย่าเพิ่งวู่วาม…ผู้ชรารู้สึกว่า…พวกเรายิ่งควรจะรอคอยต่อไป นางคงไม่อาจหลบลี้ไม่โผล่หน้าตลอดไป! ขอเพียงนางปรากฏกาย พอไร้หนทางพิสูจน์วาจาพิกลพิการของนาง ผู้ชราจะ…”


 


 


“จะสมควรตาย!”


 


 


“เปรี๊ยะ!”


 


 


สิ่งที่เคียงคู่เสียงหัวเราะเจือด้วยความเกียจคร้านคือแท่งไฟสว่างราวหิมะแท่งหนึ่ง!


 


 


ท่ามกลางความมืดมิดผืนหนึ่ง แท่งไฟสีหิมะแท่งหนึ่งทะลุผ่านชั้นเมฆหมื่นลี้ดั่งมาจากเหนือท้องนภามืดมน พลันสาดส่องบนใบหน้าของขุนนางที่กำลังต่อว่าด้วยความโกรธเคืองผู้นั้นดุจอสนีบาตฟาดเปรี้ยงสายหนึ่ง!


 


 


“โอ๊ย!”


 


 


ท่ามกลางความมืดมิดแสงเล็กน้อยยังสว่างไสวเป็นพิเศษ ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงแท่งสว่างเจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์แท่งหนึ่งนี้ แท่งไฟสว่างราวหิมะที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดแทบจะทำให้ทุกผู้คนสูญเสียการมองเห็นในพริบตา เบื้องหน้าทุกคนคือแสงขาวโพลนผืนหนึ่ง รีบเร่งยกแขนเสื้อบังหน้า ขุนนางที่ถูกแท่งไฟส่องกลางใบหน้าผู้นั้นกรีดร้องเสียงหนึ่ง ถอยหลังตึ่กๆๆ ต่อเนื่องสามก้าว ยื่นมือคว้ามั่วซั่วลุกลี้ลุกลนท่ามกลางความมืดมิด เสียงร้องตะโกนเจือด้วยเสียงร้องไห้ว่า “ข้ามองไม่เห็นแล้ว! ข้ามองไม่เห็นแล้ว!”


 


 


พอทุกคนได้ฟังยิ่งตื่นตระหนกขึ้น หลบหนีวุ่นวายคิดจะหลบหลีกสู่ความมืดมิด กระดกก้นเหยียบย่ำชุดคลุมมั่วซั่วชั่วขณะ เสียงเบียดเสียดโวยวายไม่สิ้น ในความวุ่นวายครั้งใหญ่ยังได้ยินเสียงสั่นไหวจากที่ไกลโพ้นเลือนรางคล้ายเป็นเสียงอสนีบาต ทุกคนตื่นตะลึงหันหน้ากลับมา พบว่าแท่งแสงสว่างราวหิมะเมื่อครู่นั้นหายไปแล้ว เบื้องหน้ายังคงเป็นความมืดมิดผืนหนึ่ง เพียงแต่ดวงตาถูกกระตุ้นด้วยจุดสว่าง ยามนี้มองสิ่งใดล้วนเป็นความพร่ามัวขาวผืนหนึ่งดำผืนหนึ่ง กำลังจะวางใจขึ้นมา อยากถามหาสาเหตุ พลันได้ยินเสียงอสนีบาตทึมทึบ กระเบื้องมุงหลังคาดัง “เพล้ง” เพียงครั้งคล้ายถูกของหนักใดกระแทกใส่ เสียงกระเบื้องแตกร่วงพื้นไม่สิ้นสุด ทุกคนเดี๋ยวตื่นเต้นเดี๋ยวตกใจ อยากจะไปดูทว่าไม่กล้า พลันได้ยินเสียง “เปรี๊ยะ” เสียงหนึ่งอีกครั้ง


 


 


แสงหิมะปรากฏโดยพลัน ตรงแน่วเส้นหนึ่ง พุ่งตรงจากปากประตูดำมืดมิดสู่ใจกลางฝูงชน สาดส่องก้นที่กระดกซุกมั่วซั่วของหลายคน ยังมีเสียงร้องกระหืดกระหอบของเฟยหลัวดังขึ้นรำไรว่า “ผู้ใดดึงกระโปรงข้า! หลีกไป!”


 


 


“อ๊าก” เสียงหนึ่งตะโกน ขุนนางที่ประชิดใกล้แท่งไฟที่สุด หมอบศีรษะลงบนพื้น ร้องว่า “สว่างเหลือเกิน! สว่างเหลือเกิน ! อย่าผ่าข้า! อย่าผ่าข้า!”


 


 


ทุกคนตกตะลึง ในสมองคล้ายได้พลันถูกสายฟ้าผ่าเช่นกัน…เสียงฟ้าร้องทุ้มต่ำ แสงรุ่งโรจน์สว่างราวหิมะที่แสงหนึ่งแสงใดที่ไร้หนทางอธิบายต่างไม่อาจเปรียบเทียบ กระเบื้องมุงหลังคาที่ถูกผ่าแหลกละเอียด ขุนนางที่เมื่อครู่เอ่ยวาจาไร้มารยาทถูกแสงสว่างโจมตีจากนั้นมองไม่เห็น…นี่ไม่ใช่สายฟ้าที่ราชินีสะสมหรือ!


 


 


นางสะสมสายฟ้าจริงแท้ นำมาลงโทษผู้ที่กล้าสงสัยนาง!


 


 


คนผู้นั้นที่ถูกนางเอ่ยว่า “สมควรตาย” ยามนี้กำลังปิดดวงตาไว้กลิ้งเกลือกทั่วพื้น ร้องตะโกนน่าเวทนาเอ่ยว่ามองไม่เห็นแล้ว มิใช่ถูกฟ้าแลบที่ยืมมาผ่าจนตาบอดแล้วหรือ? ฟ้าแลบบนท้องนภา พลังอำนาจระดับใด ไม่มีเรื่องใดง่ายดายมากกว่าผ่าคนธรรมดาผู้หนึ่งจนตาบอดแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 66 - 2 เปล่งประกายให้ตาเจ้าบอด

 

ทุกคนหลบอยู่หลังโต๊ะใต้เก้าอี้ ปิดดวงตาไว้อย่างหวาดหวั่น มองไปข้างนอกจากในร่องนิ้ว ดวงตาด้วยเพราะตอบสนองฉับพลัน ยังคงกะพริบด้วยจุดแสงสีขาวสีดำ พวกเขามองดูความดำขลับเบื้องหน้า นึกถึงแท่งไฟนั้น แน่ใจว่าบนโลกนี้ไม่มีแสงเทียนใดมีความสว่างปานนี้ได้ ฉะนั้นยิ่งอกสั่นขวัญแขวนขึ้น กลั้นหายใจเกร็ง กลัวว่าพอเปล่งเสียงจะถูกฟ้าแลบนั้นผ่าเข้ามาในดวงตา 


 


 


ภายในห้องที่เดิมทีสับสนวุ่นวายเงียบสงัดดุจสิ้นชีพชั่วขณะ ยิ่งขับให้เสียงเพล้งพลั้งจากกระเบื้องมุงหลังคาร่วงหล่นสะเทือนวิญญาณมากขึ้น 


 


 


ในความเงียบเชียบกับความมืดมิดประหนึ่งความตาย พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น 


 


 


เสียงฝีเท้าสุขุม เชื่องช้า สดใสไพเราะ ก้าวเข้ามาทางปากประตูทีละก้าว จรดเท้ามีเรี่ยวแรงยิ่งนัก ทว่าคาดคะเนจากความดังของเสียง น่าจะเป็นของสตรีเรียวบาง รองเท้านั้นคล้ายแตกต่างจากปกติเช่นกัน เสียงกระทบพื้นผิวก้องกังวานยิ่งนัก ทำให้คนนึกถึงความเกลี้ยงเกลาประหนึ่งกระเบื้องเคลือบ ความงามล้ำค่าประหนึ่งหยก 


 


 


ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ทุกคนต่างนึกถึงราชินี 


 


 


หลบอยู่ในความมืดมิด กลั้นลมหายใจไว้ ฟังเสียงฝีเท้าสดใสไพเราะแตกต่างจากปกตินั้นประชิดเข้ามาทีละเสียง กระทบบนดวงใจทีละเสียง ดวงใจของทุกคนแลคล้ายถูกเหยียบย่ำครั้งแล้วครั้งเล่า ก้าวหนึ่ง เต้นครั้งหนึ่ง 


 


 


“เปรี๊ยะ” 


 


 


เป็นเสียงคุ้นเคยน่าหวาดกลัวนั้นอีกครั้ง ทุกผู้คนต่างอดจะเปล่งเสียงร้องเศร้าโศกออกมาไม่ได้ กุมศีรษะหมอบลงบนพื้น 


 


 


เหนือศีรษะเงียบสงบยิ่งนัก ล่องลอยด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เจือด้วยภาคภูมิใจหลายส่วนรังเกียจหลายส่วน 


 


 


ทุกคนไม่กล้าขยับเขยื้อน มีเพียงเฟยหลัวรู้สึกว่าผิดปกติ กัดฟันกรอดเงยหน้าฉับพลัน จากนั้นหน้าถอดสี 


 


 


ไม่มีฟ้าแลบ ไม่มีฟ้าผ่า จิ่งเหิงปัวยืนเอนกายพิงปากประตู ถือเชิงเทียนอันหนึ่งในมือ แสงเทียนสว่างไสวเนิบนาบ สาดย้อมแสงสลัวสีเหลืองอ่อนบริเวณดวงพักตร์สวยสดงดงามผ่องใสของนาง 


 


 


แววตานางหลุบต่ำ เผชิญกับแววตาของเฟยหลัวพอดี 


 


 


จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้ว นึกไม่ถึงว่าท่ามกลางเหล่าขุนนาง ยังคงเป็นเฟยหลัวที่เงยหน้าขึ้นมาก่อนใคร ดูท่าสตรีนางหนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งสูงได้ ย่อมมีสิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่นในตนเอง 


 


 


เฟยหลัวกลับโกรธแค้นอับอายจนอยากสิ้นชีพ 


 


 


นางก้มหน้ามองดูตนเอง เบียดเสียดอยู่ท่ามกลางชายชราฝูงหนึ่ง นั่งยองอยู่หลังโต๊ะ ไม่รู้ตั้งแต่ยามใดกระโปรงถูกดึงขาดไปเล็กน้อย ประทับด้วยรอยเท้าใหญ่เปื้อนโคลนเลนเต็มไปหมด… 


 


 


ส่วนสตรีฝั่งตรงข้ามนางนั้น เพียบพร้อมหรูหรา ระยิบระยับคล้ายส่องแสง 


 


 


สำหรับสตรีแล้ว ความอัปยศจากความแตกต่างราวฟ้ากับดินครู่หนึ่งนี้ เพียงพอให้นางจดจำโกรธแค้นชั่วชีวิต 


 


 


ยามนี้เหล่าขุนนางรู้สึกตัวว่าผิดปกติเช่นกัน ต่างค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา มองเห็นข้างหลังจิ่งเหิงปัว เหล่าองครักษ์เดินเป็นแถวยาวเหยียดเข้ามา จุดเชิงเทียนให้สว่างไสวพอดี 


 


 


ความสว่างไสวนำพาความกล้าหาญมาให้คนได้เสมอ ทุกคนรู้สึกอุ่นใจขึ้น ต่างยืนขึ้นทีละคน ปัดชุดคลุมพลางเอ่ยเองตอบเอง แก้ความขวยเขินอย่างสุขุมยิ่งนัก 


 


 


“ใต้เท้าเฉิงระวังหน่อย” 


 


 


“ใต้เท้าหวังระวังฝ่าเท้า” 


 


 


“ใต้เท้าหลี่พวกเรานั่งตรงนี้กัน…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นพวกเขาฟื้นคืนสภาพปกติในพริบตา ใบหน้าชราไม่แดงซ่านขึ้นมาด้วยซ้ำ รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง 


 


 


พริบตาเดียวมองเห็นกงอิ้นปรากฏกายไม่รู้ตั้งแต่ยามใด กำลังจ้องนางอย่างลึกล้ำ นางกระหวัดมุมปาก ทำสัญญาณมือ “ชัยชนะ” ให้เขา 


 


 


แววตากงอิ้นค่อยๆ นุ่มนวล นั่งลงตามอารมณ์ 


 


 


รู้แล้วว่าไม่ต้องกังวลแทนนาง จิ่งเหิงปัวกำเริบเสิบสานตามใจตน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกระทำการมั่วซั่ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวตบกระเป๋าสีดำใบน้อยของตนเองด้วยรอยยิ้มจนตาหยี ภายในคือของวิเศษ “ฟ้าแลบ”ของนาง 


 


 


ไฟฉายแรงสูงขนาดเล็กกระบอกหนึ่ง 


 


 


ไฟฉายที่ออกมาจากสถาบันวิจัยสว่างยิ่งกว่าไฟฉายแรงสูงตามท้องตลาดหลายเท่า บรรยายเป็นอสนีบาตฟาดเปรี้ยงในสายตาคนปกติคงไม่เกินไป อีกทั้งจิ่งเหิงปัวให้พวกอวี่ชุนช่วยดับแสงเทียน ผลลัพธ์ของการเปิดไฟฉายนี้ในความมืดมิดผืนหนึ่ง ไม่แตกต่างจากฟ้าแลบสายหนึ่งผ่าลงมาเท่าไร 


 


 


ฉะนั้นนางระวังไม่ให้ไฟฉายนี้ทำร้ายคนด้วย แท่งไฟแค่ส่องส่วนล่างของใบหน้าขุนนางใหญ่นั้น ไม่ได้ส่องเข้าไปในดวงตา เจ้าผู้นั้นร้องไห้ลั่นว่ามองไม่เห็น คงจะด้วยเพราะถูกทำให้ตกใจไม่น้อย 


 


 


“ฝ่าบาท” มีผู้ต่อต้านนางโดยพลัน คือเฟยหลัว เอ่ยด้วยสีหน้าเขียวคล้ำว่า “นี่คือสายฟ้าที่พระองค์ทรงใช้วิธีเทพมารยืมมาหรือ? ตามความเห็นของหม่อมฉัน สิ่งนี้อาจจะมิใช่สายฟ้าบนท้องฟ้า เกรงว่าเป็นเพลิงวิญญาณแห่งยมโลก! แปลกประหลาดเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดเช่นนี้ มีสภาพการณ์ของสวรรค์เสียที่ใด!” 


 


 


“เสนาหญิงแคว้นเซียงจะเอ่ยเช่นนี้มิได้” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ยังมิต้องเอ่ยถึงสายฟ้ามาจากที่ใดกันแน่ เพียงพระราชดำริแลพระทัยของฝ่าบาทนี้ได้ทำให้คนหนาวเหน็บ ใ ต้เท้าถูเพียงล่วงเกินด้วยความไม่รู้ ฝ่าบาทก็ทรงใช้สายฟ้าส่องดวงตาทำให้เขาสูญเสียการมองเห็น โหดร้ายทารุณเช่นนี้จะเป็นพฤติกรรมของกษัตริย์ได้อย่างไร?” 


 


 


ทุกคนฟังอยู่ต่างพยักหน้า ตระกูลเซวียนหยวนกับเสนาหญิงแคว้นเซียงไม่ถูกกัน วาจานี้คล้ายไม่ถูกกันเช่นเคยเลยไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าผิดปกติ 


 


 


กงอิ้นพลันเงยหน้ามองเฟยหลัวกับเซวียนหยวนจิ้งปราดหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าคาง ยิ้มแย้มมองเซวียนหยวนจิ้งกับเฟยหลัว นางไม่ได้คิดมากมาย แต่รู้สึกว่าคราวนี้สองคนเอ่ยวาจาก่อนหลังต่อกันขนาดนี้ รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย คล้ายเรื่องนี้เดิมทีควรเป็นงานของซังต้ง พริบตาเดียวเฟยหลัวรับทำแทนแล้ว? 


 


 


ยิ้มแย้มครู่หนึ่ง ไม่ได้สนใจสองคน นางจรดฝีก้าวเช่นแมวเดินเข้ามาอย่างสุขุม เดินผ่านเจ้าคนที่ยังคงร้องไห้กลิ้งเกลือกเอ่ยว่ามองไม่เห็นนั้นแล้วยกเท้าขึ้นเตะ 


 


 


“ข้ามองไม่เห็นแล้วข้ามองไม่เห็นแล้ว…” เจ้าผู้นั้นยังคงร้องไห้โฮ 


 


 


“เฮ้ รองเท้าข้างดงามหรือไม่?” จิ่งเหิงปัวเตะบนใบหน้าเขาเท้าหนึ่ง ประชิดคางเขาไว้ 


 


 


“เอ่อ…” เจ้าผู้นั้นเงยหน้ามีคราบน้ำตาเปียกชุ่มขึ้น เอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นว่า “นี่มันรองเท้าอะไร…แปลกจริงแท้…อ๊ากข้ามองไม่เห็นแล้ว…” 


 


 


“ไปตายเสีย” จิ่งเหิงปัวเตะเขากลิ้งไปในเท้าเดียว หันกายครั้งหนึ่งนั่งลงตรงเก้าอี้ประจำตำแหน่ง 


 


 


เหล่าขุนนางอยากหัวเราะทว่าหัวเราะไม่ออก กลับสู่ที่นั่งเดิมอย่างเขินอาย เซวียนหยวนจิ้งยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว เฟยหลัวกลับยังอิ่มเอิบเต็มเปี่ยมกว่าเขาอยู่บ้าง ยิ้มเยาะเสียงหนึ่งประหนึ่งไม่ได้เอ่ยวาจาเมื่อครู่ นั่งลงไปอย่างสุขุมเช่นกัน 


 


 


เพียงแต่หลังจากนั่งลงแล้ว ช่วงเอวพลันตรงดิ่ง เรือนร่างโน้มไปข้างหน้า เบิกตากว้าง 


 


 


ยามนี้ทุกคนต่างรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ทยอยเปล่งเสียงสูดลมหายใจ 


 


 


ท่านนั้นข้างบน…สวมอาภรณ์อะไรกัน! 


 


 


แนบเนื้อขนาดนี้! เปิดเผยทรวดทรงขนาดนี้ได้อย่างไร! 


 


 


สั้นขนาดนี้! สั้นจนเผยให้เห็นขาท่อนล่าง! 


 


 


อีกทั้งรองเท้านี้…แววตาทุกคนมองดูเท้าของจิ่งเหิงปัวอย่างงงงัน นางนั่งอยู่บนที่สูง ปลายเท้าเตะครั้งแล้วครั้งเล่า เตะเฟิร์นโปร่งฟ้ากระถางหนึ่งเบื้องหน้าอย่างเกียจคร้านเบื่อหน่าย รองเท้าสีแดงแปลกประหลาดยิ่งนัก พื้นรองเท้ามีของแหลมเรียวที่เหยียบย่ำคนจนสิ้นชีพได้ รัศมีโค้งงดงามยวดยิ่ง ไม่มีปลายรองเท้า ผุดเผยนิ้วเท้าสีขาวราวหิมะสองข้าง บนเล็บเท้ายังทาด้วยน้ำมันทาเล็บสีแดงสด สวยสดงดงามเกลี้ยงเกลา ถูกเฟิร์นโปร่งฟ้าเขียวขจีขับจนงามเพริศแพร้ว คล้ายบนทุ่งหญ้าแวววาวมีดอกเทียนบ้านร่วงหล่นหลายดอก 


 


 


ละเมิดกฎเกณฑ์มากมายเหลือเกิน แรงโจมตีมากเกินไป ทุกคนตาพร่าตาลาย ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรด้วยซ้ำไปชั่วขณะ 


 


 


สิ่งที่จิ่งเหิงปัวต้องการก็คือผลลัพธ์แบบนี้ ฉวยโอกาสที่จิตใจทุกคนสูญเสียการควบคุมครู่หนึ่งนี้ ให้พวกเขาได้รู้จักการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ของตนเองสักหน่อย นับเป็นลูกไม้การลงมือช่วงชิงอิสระทุกประการของราชินีแซ่จิ่ง 


 


 


“ฝ่าบาท สิ่งนี้…” เหล่าบุรุษเชยชมเพียงพอแล้ว นึกถึงกฎเกณฑ์ในที่สุด มีผู้อยากจะเอ่ยปาก 


 


 


จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยกมือชี้ไปยังท้องฟ้า คนผู้นั้นหุบปากโดยพลัน สีหน้าซีดเผือด 


 


 


“ต้าฮวงพายุฝนฟ้าคะนองมากนัก สายฟ้าที่เจิ้นยืมมาเมื่อครู่ยังใช้ไม่หมด” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวประโยคหนึ่ง ให้ทุกผู้คน。 


 


 


“หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกฟ้าผ่าแล้ว สายฟ้าบนท้องฟ้าข้าก็ยืมมาแล้ว” นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวกระทบพนักแขนเก้าอี้อย่างแผ่วเบา กล่าวว่า “วาจาที่ข้าเคยเอ่ยไว้ได้พิสูจน์จนสิ้นแล้ว เทพเลือกข้าเป็นผู้สืบทอดโองการคนใหม่ ยามนี้ พวกเจ้าเลือกได้ว่าจะทำตามคำมั่นสัญญาของพวกเจ้าหรือไม่” 


 


 


เงียบสงัด เซวียนหยวนจิ้งมองรอบด้าน อยากจะเอ่ยปากทว่าถูกเฟยหลัวจูงแขนเสื้อไว้แผ่วเบา 


 


 


นางใช้สายตาบอกใบ้เซวียนหยวนจิ้งตั้งใจฟัง คราวนี้ตาเฒ่าถึงได้ยินว่าภายในห้องมีเสียงเปรี๊ยะๆ 


 


 


ฟังแล้วคล้ายเสียงยามฟ้าแลบปรากฏยิ่งนัก 


 


 


ทุกคนสร้างการโต้ตอบแบบมีเงื่อนไขต่อเสียงนี้ ภายใต้ความหวาดกลัว ไร้ผู้เกิดความคิดต่อต้าน 


 


 


มือของจิ่งเหิงปัวอยู่ข้างหลัง กดปุ่มเปิดปิดของไฟฉายแรงสูงสลับไปสลับมาบ่อยครั้ง เมื่อครู่นำถ่านออกจากไฟฉายแล้ว แสงจะไม่เล็ดลอดออกมา 


 


 


“เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ” 


 


 


เสียงดังที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฟังแล้วทุกคนตกใจจนเนื้อเต้น คล้ายได้ยินฝีเท้ามารร้ายประชิดใกล้ ไม่รู้ว่าครู่ต่อไปแสงสว่างน่ากลัวที่พอจะทำให้คนตาบอดได้นั้นจะพุ่งเข้าสู่ดวงตา มีผู้เริ่มขาสั่น อดจะมองไปทุกหนทุกแห่งไม่ได้ อยากจะหาสถานที่สักแห่งหลบซ่อนขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“ฟ้าแลบเมื่อครู่ ข้าเพียงบังคับให้ยิงไปที่คางของใต้เท้าถูนะ…” จิ่งเหิงปัวพึมพำคล้ายไม่ได้ตั้งใจ 


 


 


“กระหม่อมพร้อมจะปฏิบัติตามพระประสงค์ของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางหน้ากลมผู้หนึ่งพลันก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว หมอบคำนับจรดพื้น 


 


 


มีผู้เริ่มต้นแล้ว ผู้คนพลันทยอยกระทำตาม 


 


 


“เรื่องนี้เป็นถึงลิขิตสวรรค์ ฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์นับว่าอัปมงคล! ในเมื่อสวรรค์เลือกราชินีของเราเป็นเจ้านาย คือบุญวาสนาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าฮวงของเรา จะฝ่าฝืนความปรารถนาของสวรรค์ได้อย่างไร!” 


 


 


“ใช่แล้วๆ! อสนีบาตสวรรค์ลงโทษหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ประทานพลังควบคุมสายฟ้าให้ราชินีของเรา พอจะอธิบายได้แล้วว่าราชินีลิขิตสวรรค์ทรงหวนคืน ไม่เพียงฟังการเมืองเล็กน้อย เหล่าขุนนางย่อมรักษาคำมั่นสัญญาให้แน่วแน่ แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องในกฏหมายแคว้นถึงจะถูกต้อง” 


 


 


“สัญญาเดิมพันในยามแรกเอ่ยชัดเจนแล้วว่า ขอเพียงหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกฟ้าผ่า ราชินีทรงสะสมสายฟ้าได้ จะถวายอำนาจฟังการเมืองให้แด่ราชินี ลูกผู้ชายเอ่ยวาจาหนักแน่นน่าเชื่อถือ หากพวกเราบ่ายเบี่ยงขัดขวางอีก วันหน้าเผชิญหน้ากับอาณาประชาราษฎร์ทั่วโลกหล้า จะเอ่ยวาจาต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร?” 

 

 

 


ตอนที่ 66 - 3 เปล่งประกายให้ตาเจ้าบอด

 

จิ่งเหิงปัวมองดูพวกเห็นด้วยไม่ขาดปากเหล่านั้น สีหน้าท่าทางวาจาจริงจังเปี่ยมเหตุผล นึกถึงเมื่อสองวันก่อนตอนพวกเขาต่อต้าน ต่อต้านไม่ขาดปาก วาจาจริงจังเปี่ยมเหตุผลขนาดนี้เช่นกัน 


 


 


วงการข้าราชบริพารเป็นสถานที่ดีดังคาดการณ์ หน้ากากใบหนึ่งสามารถพลิกแพลงออกมาได้หลากหลาย 


 


 


ทว่ามหาปราชญ์ฉังฟังตาเฒ่าตรงไปตรงมาคนนั้น พึมพำกับตนเองอีกทางหนึ่งว่า “ฟังการเมืองกระหม่อมรู้สึกว่าดียิ่งนัก ราชินีได้ลงแรงเพื่อราษฎร สำหรับสิ่งที่มากกว่านี้อีกคงไม่ได้ ไม่อาจให้ทำลายกฎเกณฑ์มากเกินไป อีกทั้งฉลองพระองค์นี้…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังแล้วแม้ว่าไม่รื่นหู แต่รู้สึกว่าตาเฒ่านับว่าเป็นคนตรงไปตรงมาที่หาได้ยากท่ามกลางวงการข้าราชบริพารผู้มีประสบการณ์ฝูงนี้ หันหน้ายิ้มให้เขาครั้งหนึ่ง 


 


 


รอยยิ้มหนึ่งเกือบจะเจิดจ้าจนดวงตาของผู้เฒ่าพร่ามัว เขารีบเร่งหันหน้าไป แลหลงลืมเอ่ยเรื่องฉลองพระองค์แล้ว 


 


 


“ช่างเถิด เช่นนั้นตามนี้แล้วกัน เรื่องเล็กเรื่องน้อยใช่หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวเตะเท้าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยท่าทางยิ้มแย้ม เล็บเท้าสีแดงสดคล้ายกลีบดอกไม้ปลิวว่อน เจิดจ้าพาดวงเนตรชราของทุกคนพร่ามัว 


 


 


อัสนีบาตกับความงามมาเคียงคู่ ดวงใจดวงน้อยของทุกคนถูกบดขยี้จนสับสนว้าวุ่น ท่ามกลางความเลอะเลือนแลไม่รู้ว่าตนเองเอ่ยอะไรไป ถูกองครักษ์ของจิ้งถิงส่งออกมาอย่างเลอะเลือน จวบจนยืนอยู่กลางลานตำหนักของพระราชวังที่เปียกชื้น มองดูหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ที่ถูกรื้อถอนดังโครมครามอยู่ไกลโพ้น ถึงได้รู้สึกตัวว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ อดจะถลกแขนเสื้อขึ้น ยืนอยู่ในสายฝนยามสารทสายลมเหน็บหนาว ถอนใจเสียงหนึ่งไม่ได้ 


 


 


“สวรรค์นี้ เอ่ยว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนเสียแล้วเอย…” 


 


 


… 


 


 


ข่าวใหญ่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วมากเสมอ 


 


 


เพียงวันเดียว ทั่วทั้งตี้เกอต่างรู้เรื่องหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ที่ตั้งตระหง่านหลายร้อยปี แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเทพแห่งต้าฮวงถูกฟ้าผ่า ราชินีแสดงพลังปฎิหาริย์สะสมสายฟ้า 


 


 


ข่าวสารสะเทือนทั่วพื้นปฐพีเช่นนี้แทบจะพลิกตี้เกอคว่ำไปอีกด้าน แม้ว่าหลายวันต่อมาคือสภาพอากาศที่มีพายุฝนทอดยาวไม่สิ้นสุด ยังคงกั้นขวางความกระตือรือร้นในการนินทาของผู้คนไม่ได้ ในโรงน้ำชา ในร้านเหล้า แม้กระทั่งในหอคณิกาต่างมีคนนับมิถ้วนเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน เอ่ยถึงเรื่องมหัศจรรย์ที่ราชินี “ฟ้าร้องผ่าหอคอยสูง ฟ้าแลบโทษฝูงขุนนาง” คืนนั้นอย่างไม่มีจบมีสิ้น 


 


 


สำหรับราชินีที่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการเช่นจิ่งเหิงปัวนี้ มีชื่อเสียงดังระเบิดในตี้เกอ หากจะจัดอันดับความแพร่หลายของชื่อเสียงในหมู่นี้ นางคงได้ลำดับหนึ่งโดยไม่มีอะไรต้องละอายใจ 


 


 


บนม้านั่งของโรงน้ำชา คนฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งกำลังเอ่ยวาจาจนน้ำลายกระเซ็น 


 


 


…ราชินีองค์นี้ยืนอยู่ที่สูง ยกมือสะบัดเพียงครั้ง บนท้องฟ้ามีเมฆดำชุมนุมกันฉับพลัน ฟ้าผ่าฟ้าร้อง ราชินียกคทาขึ้น ชี้ไปยังเบื้องหน้า เสียงไพเราะตะโกนว่าดูสิ! เห็นเพียงฟ้าแลบสายหนึ่ง วูบไหวเชื่อมต่อกับส่วนยอดคทา แสงรุ่งโรจน์เปล่งประกายระยิบระยับดุจลูกไฟ ราชินีคทาชี้เพียงครั้ง แล้วตะโกนเสียงหนึ่งว่าไป! ลูกไฟลูกนั้นพุ่งไปยังหอคอยสูงอย่างรุนแรงประหนึ่งมีชีวิต ระหว่างครู่นั้น หอคอยสูงพังทลายดังตูมตามไปครึ่งหนึ่ง…” 


 


 


“ว้าว…” เสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงผืนหนึ่ง 


 


 


ในซอกมุมมีคนหลายคนนั่งอยู่โต๊ะหนึ่ง ต่างสวมใส่ชุดคลุมสีดำธรรมดา สวมผ้าคลุมหน้า ฟังอยู่อีกทางหนึ่งโดยตลอด ทุกคนแลมิได้สนใจ รู้ว่าคงจะเป็นสตรีชนชั้นกลางในต้าฮวง ปกติแล้วแต่งกายเช่นนี้ทั้งนั้น 


 


 


คนชุดดำผู้หนึ่งในนั้น พิงโต๊ะ เท้าแก้ม มือที่ทับซ้อนกันขาวปานหยกมันแพะ 


 


 


ข้างกายนางมีนกแก้วตัวหนึ่งกำลังจิกข้าวผัดและยังมีแมวที่ขนออกสีม่วงตัวหนึ่งกำลังแทะกระดูกขาแพะ ส่งเสียงแกรกกรากทำให้คนเสียวฟันระลอกหนึ่ง สิ่งที่แปลกประหลาดคือตั้งแต่เริ่มต้นจนจบมองไม่เห็นว่ามีกระดูกถูกพ่นออกมาจากปากแมวดาวตัวนั้น 


 


 


“คทาหรือ?” สตรีถามคนข้างกายแผ่วเบา “ฟังแล้วยิ่งใหญ่สูงส่งจัง เฮ้ ภายหน้าข้ามีคทาหรือไม่?” 


 


 


“ไม่มีเพคะ” คำตอบทำให้คนผิดหวังยิ่งนัก 


 


 


ทว่าสตรีไม่ได้หมดกำลังใจ แววตาแพรวพราว กล่าวว่า “ไม่เป็นไร เกิดจากความว่างเปล่าได้ ข้าสร้างขึ้นสักอันย่อมได้” ฉวยมือตบนกแก้วที่หวังจะแอบดื่มน้ำชาของนางครั้งหนึ่ง ร้องว่า “นี่แน่ะ!” คว้าแมวดาวที่หวังจะซุกมายังหน้าอกนาง ร้องว่า “ไป!” 


 


 


… 


 


 


“พอตระกูลซังเห็นหอคอยสูงถูกฟ้าผ่า รีบเร่งหมอบคลานแทบเข่าของราชินีขอร้องให้ยกโทษให้ ราชินียยกมือสะบัดอีกครั้ง อาวุธวิเศษของตระกูลซังพลันถูกระเบิดบนหอเซ่นไหว้…” 


 


 


“เอ๊ะ ถูกระเบิดแล้วหรือ?” 


 


 


“ผิดแล้ว อาวุธวิเศษของตระกูลซังไม่ใช่ควรจะเซ่นไหว้บูชาอยู่ภายในคฤหาสน์ของตระกูลซังหรือ? ราชินีอยู่ห่างขนาดนั้นยังทำให้อาวุธวิเศษถูกระเบิดได้หรือ?” 


 


 


“เจ้าจะไปรู้อะไร พลังปฎิหาริย์ของราชินีไร้ขอบเขต!” 


 


 


… 


 


 


“วาจาศิลป์ท่อนนั้นเมื่อครู่แต่งแต้มได้ดียิ่งนัก ทว่าท่อนนี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมเพียงใด” สตรีชุดดำยื่นนิ้วมือสีขาวราวหิมะออกมา วิจารณ์ว่า “ยามนั้นกลางความเป็นความตายโดยแท้ ข้าเองกล้าหาญไม่กลัวความตาย โผล่ออกไปกลางสายฝน ระหว่างที่ยกมือขึ้น ทำให้อาวุธวิเศษนั้นระเบิด…เฮ้ๆ พวกเจ้าว่าข้าต้องเขียนหนังสือสักเล่มหรือไม่ เล่าเรื่องนี้ให้เต็มที่เสียหน่อย? ไม่แน่ว่าจะเป็นหนังสือขายดีนะ” 


 


 


… 


 


 


“ฝ่าบาทลงโทษตระกูลซังเสร็จ เดินเข้าพระราชวังเผชิญหน้ากับฝูงขุนนางที่รอคอยอยู่ที่นั่น ยกมือวางเพียงครั้ง ไอ้หยา ฟ้าแลบสีขาวหิมะผืนใหญ่ผืนโต สลับซับซ้อนอยู่ภายในตำหนักใหญ่ ฉลองพระองค์ของฝ่าบาทลอยล่อง แสงรุ่งโรจน์เปล่งประกายระยิบระยับประดุจเทพธิดา เหล่าขุนนางใหญ่ก้มศีรษะกราบกราน ปากร้องว่าทรงพระเจริญหมื่นปี…” 


 


 


“ความรู้สึกในฉากไม่เลว…เฮ้อ หากเป็นเช่นนี้จริงคงดีสิ ปีศาจชราที่ชอบทรมานผู้อื่นฝูงนั้นมักจะไม่ยอมร่วมมือทุกสิ่ง น่ารำคาญนัก…” เล็บมือเป็นประกายของสตรีชุดดำดีดแล้วดีดเล่า คล้ายอยากจะดีด “ปีศาจชราที่ชอบทรมานผู้อื่น” เหล่านั้นออกไปนอกอวกาศให้สิ้น 


 


 


… 


 


 


“ข้าว่านะ นี่น่ะเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง! หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้เพียงไม่ถูกฟ้าผ่าหลายร้อยปีก็ครอบครองตำแหน่งสูงส่งในต้าฮวงหลายปีนี้ ควบคุมอำนาจการเมืองโดยตลอด ราชินีองค์นี้ยกมือก็ทำลายเสาใหญ่สองต้นของตระกูลซัง ทว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดขึ้นในต้าฮวง! ในใจข้านี้ ฟังเรื่องเหล่านี้แล้ว รู้สึกว่าทั้งฮึกเหิมทั้งไม่สบายใจ มักรู้สึกว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นกระนั้น…” 


 


 


ทุกคนพยักหน้าต่อเนื่อง ต่างบอกว่าพวกเขารู้สึกเช่นเดียวกัน ต้าฮวงไม่นับว่าสงบสุขมากนัก ทว่าราษฎรเคยชินกับไม่ค่อยสงบเหล่านั้นก่อเกิดจากราชครูหรือผู้นำของหกแคว้นแปดชนเผ่า ในคัมภีร์เฟิงอวิ๋นที่ปรากฏบทบาทเด่นชัดของต้าฮวง แต่ไหนแต่ไรราชินีคือบทบาทจืดจางมีหรือไม่มีย่อมได้ พลันบทบาทที่ได้ถูกเคยชินว่าไร้ซึ่งตัวตนบทบาทหนึ่งนี้ ก่อกวนสถานการณ์ความไม่สงบอย่างรุนแรงยิ่ง ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมต่างรู้ว่าเรื่องนี้คงจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การเมืองและสถานการณ์แคว้น อนาคตของต้าฮวงจะเปลี่ยนแปลงจนไม่อาจคาดการณ์ได้ด้วยเพราะเหตุนี้… 


 


 


ในโรงน้ำชาพลันเงียบสงบลง คนบางส่วนทยอยเดินออกมา คนเหล่านี้มากกว่าครึ่งเป็นสายสืบที่ตระกููลขุนนางตระกูลใหญ่โตทั้งหลายส่งออกมารับฟังความคิดเห็นของราษฎร แน่นอนว่าราษฎรธรรมดาไม่รู้เรื่อง 


 


 


ทุกผู้คนพลันหยุดฝีเท้าหยุดวาจาสนทนา มองไปข้างนอกอย่างเคร่งขรึม 


 


 


ทหารเกราะครามชุดดำกำลังรีบก้าวจัดแถววิ่งไปบนถนนทีละกอง ท่ามกลางม่านพิรุณใบหน้าที่อ่อนวัยแลเย็นยะเยือกแต่ละใบหน้า บนเกราะเหล็กสีครามเกาะผนึกด้วยหยาดธารที่หลั่งริน สะท้อนแสงครามมัวสลัวผืนหนึ่ง 


 


 


เสียงหนักแน่นดัง “พลั่ก พลั่ก พลั่ก” ของรองเท้าทหารวิ่งผ่านไปโดยพร้อมเพรียง คล้ายโจมตีบนหัวใจทุกคน 


 


 


“ทิศตะวันตกของเมือง…นั่นคือทิศทางไปยังตระกูลซัง…” มีผู้พึมพำประโยคหนึ่งนี้ออกมาแล้วพลันหุบปาก 


 


 


ทั่วทั้งโรงน้ำชาผนึกแน่นด้วยความเงียบสงัด เรื่องบางเรื่องทุกผู้คนรู้ดีอยู่แก่ใจ ในใจเกิดความเหน็บหนาวด้วยเพราะเข้าใจ 


 


 


ตระกูลใหญ่โตล่มสลายอีกตระกูลหนึ่ง แฝงนัยถึงการเริ่มต้นชำระล้างอีกรอบหนึ่ง แลการเริ่มต้นจัดสรรของคลื่นอำนาจลูกหนึ่ง 


 


 


บนโต๊ะที่ซอกมุม นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวเคาะบนผิวโต๊ะอย่างแผ่วเบา 


 


 


เคลื่อนไหวทหารคั่งหลงเยอะขนาดนี้ ด้วยเพราะตระกูลซังยังต่อต้านอย่างดื้อรั้นล่ะมั้ง? 


 


 


“เปรี้ยง!” 


 


 


เสียงหนึ่งดังสนั่นโดยพลัน สะเทือนจนโต๊ะเก้าอี้ทั้งโถงสั่นสะท้าน สะเทือนจนคนนับมิถ้วนลุกนั่งไม่ได้ต้องกระโดดขึ้นมา สะเทือนจนข้าวผัดของเจ้าหมาโง่พลิกคว่ำ สะเทือนจนเนื้อแพะในปากเฟยเฟยลอยล่อง 


 


 


โถงร้าน กระทั่งถนนทั้งสายต่างตกอยู่ในความเงียบสงบครู่หนึ่ง 


 


 


แววตาของจิ่งเหิงปัวนิ่งงัน นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างแข็งทื่อ หูของนางดังหวึ่งๆ โดยตลอด…สายฟ้านี้ดังเกินไปแล้ว! คล้ายว่าดังอยู่ข้างหู 


 


 


สายฟ้าใกล้ขนาดนี้ คงจะอยู่แถวนี้ คงจะผ่าลงสิ่งของ… 


 


 


ตอนที่กำลังครุ่นคิด พลันมีตะโกนร้องเสียงหนึ่งบนถนน 


 


 


“ไฟไหม้แล้ว!” 


 


 


ดังครืนเสียงหนึ่ง คนทั่วทั้งโรงน้ำชาต่างวิ่งออกไปแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวย่อมไม่ช้ากว่าผู้อื่น มือหนึ่งคว้าสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง เบียดเสียดกลางฝูงชนม้วนกายออกไป ชุ่ยเจี่ย จื่อหรุ่ยพวกนางอยากปกป้องต่างมาไม่ทัน 


 


 


ผู้คนบนถนนวิ่งไปวิ่งมาต่างกำลังตะโกนร้องอย่างตื่นตะลึง ทว่ามองไม่เห็นว่าของสิ่งไหนถูกฟ้าผ่า จิ่งเหิงปัวกลับมองไปทางพระราชวังอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย 


 


 


นางแค่เป็นห่วงที่นั่น 


 


 


แวบหนึ่งนี้อดจะตกตะลึงไม่ได้ 


 


 


เป็นไฟไหม้พระราชวังจริงด้วย! 


 


 


“กลับไป! กลับไปเดี๋ยวนี้!” จิ่งเหิงปัวไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียววิ่งไปยังรถม้าที่จอดอยูข้างถนน 


 


 


วันนี้นางและจื่อหรุ่ยชุ่ยเจี่ยพวกนางแอบออกจากวัง เพื่อมองดูผลลัพธ์การเสแสร้งแสดงเมื่อหลายวันก่อน และฉวยโอกาสหาแผงทำเลดีสักแผงบนถนนใหญ่จิ่วกง วางแผนจัดตั้งสาขาห้างสรรพสินค้าผู้หญิงร้านแรกของนาง 


 


 


ขณะนี้ย่อมไม่มีความคิดนั้นแล้ว 


 


 


ทว่าเพียงแวบเดียวรถม้าไปไม่ได้แล้ว ทหารคั่งหลงเริ่มภาวะฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว รถม้าของจิ่งเหิงปัวติดอยู่ตรงที่ซึ่งห่างจากพระบรมมหาราชวังสองช่วงถนน 


 


 


แน่นอนว่านางสามารถหายตัวออกไปได้ แต่ว่าไม่วางใจทิ้งชุ่ยเจี่ยจื่อหรุ่ยหลายนางอยู่บนถนนที่วุ่นวายนี้ ได้แต่ลุกออกมาจากห้องโดยสารมองดูทิศทางที่ควันหนาลอยออกมาโดยละเอียด คล้ายอยู่บริเวณจิ้งถิง อดจะร้อนใจดั่งไฟแผดเผาไม่ได้ 


 


 


พลันมีทหารกองหนึ่งก้าวเดินรวดเร็วออกจากพระบรมมหาราชวัง กวาดผ่านใกล้เข้ามาตลอดทาง จิ่งเหิงปัวมองเห็นจากไกลๆ ว่าพวกเขาคล้ายคุ้มกันรถม้าคันหนึ่งออกไป ในใจกระตุกวูบ รีบเร่งกะพริบเรือนร่างตามขึ้นไปตามติดอยู่ข้างหลังกองทัพนั้น ได้ยินพวกเขาเอ่ยว่า “สำนักเจาหมิงถูกทำลาย…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจยืดยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนทันที อีกเดี๋ยว มือไพล่หลังเดินกลับไปเชื่องช้า 


 


 


สำนักเจาหมิงถูกฟ้าผ่าก็ผ่าไปสิ ถึงอย่างไรภัยพิบัติแบบเหยียลี่ว์ฉีนั้นผ่าตายไปหลายๆ คนจะดีที่สุด 

 

 


ตอนที่ 66 - 4 เปล่งประกายให้ตาเจ้าบอด

 

เดินไปหลายก้าว นางหยุดยืนกะทันหัน 


 


 


ผิดปกติ 


 


 


มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเสียที่ไหน สายฟ้านี้เพิ่งผ่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ แล้วผ่าสำนักเจาหมิงอีก? 


 


 


แน่นอนว่าด้วยเพราะหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกฟ้าผ่าก่อน ฉะนั้นการถูกฟ้าผ่าของสำนักเจาหมิงแลดูไม่สะดุดตาขนาดนั้น คล้ายว่าบรรลุผลสำเร็จ แต่นางยังคงรู้สึกว่าผิดปกติ 


 


 


ขนทั่วร่างนางลุกขึ้นมากะทันหัน…สำนักเจาหมิงถูกฟ้าผ่าครั้งนี้ คงจะไม่ใช่เหยียลี่ว์ฉีเล่นเองกำกับเองล่ะมั้ง? 


 


 


ทางนางนี้เพิ่งจะขโมยกระบี่ล่อสายฟ้าไป ทางเขานั้นก็ล่อสายฟ้ามา? คงจะไม่ใช่ว่านางสร้างแรงบันดาลใจให้เขาล่ะมั้ง? 


 


 


จิ่งเหิงปัวเคยพบเห็นสติปัญญาของเหยียลี่ว์ฉี รู้สึกว่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง ฟ้าผ่าครั้งหนึ่งบนหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้สำหรับคนอื่นแล้วเป็นเพียงเรื่องราวหนึ่งหรือคำนินทาหนึ่ง สำหรับเขาแล้วอาจจะเป็นการเริ่มต้นของความคิดเฉียบแหลม โอกาสดีที่จะหลุดพ้นจากความลำบาก 


 


 


“เฮ้ หลังจากเจ้าขโมยสายล่อฟ้าที่หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้มาแล้ว นำไปวางไว้ที่ใด?” สุดท้ายแล้วนางนึกขึ้นมาได้ว่าต้องถามเฟยเฟย 


 


 


เฟยเฟยล้วงซาลาเปาเนื้อที่ไม่รู้ว่านำมาจากที่ใดออกมาจากในหาง ประคองไว้ค่อยๆ เคี้ยว ดวงตากลมโตกะพริบอย่างเชื่องช้าคล้ายกำลังหวนคิด หวนคิดจนจิ่งเหิงปัวแทบอดรนทนไม่ไหหวแล้ว ส่ายหน้า…อย่างเชื่องช้าในที่สุด 


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากจะกดศีรษะใหญ่โตที่มีสีหน้าไร้เดียงสานั้นของมันเข้าไปในซาลาเปาอย่างมาก 


 


 


ตั้งใจขโมยไม่ตั้งใจฝัง ทำไมเหล่าสัตว์เลี้ยงของนางถึงไว้ใจไม่ได้สักตัว 


 


 


แต่ในเมื่อไม่ใช่จิ้งถิงเกิดเรื่อง นางเองก็ไม่คิดจะกลับวังทันทีแล้ว ถึงอย่างไรเหยียลี่ว์ฉีจะกระทำความคิดชั่วร้ายอะไรย่อมมีกงอิ้นคอยรับไว้ ในความเห็นของนาง การประลองฝีมือของสองมหาเทพลึกล้ำจะตาย นางน่ะไม่เชื่อว่ากงอิ้นไม่มีปัญญาฆ่าเหยียลี่ว์ฉีและไม่เชื่อว่าเหยียลี่ว์ฉีกระทำการตายกันไปข้างหนึ่งไม่ได้ เพียงแต่การประลองฝีมือของสองคนนี้คล้ายดำรงอยู่ภายในขอบเขตหนึ่งอย่างรู้ซึ่งกันและกันอย่างยิ่งตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ บางครั้ง การต่อสู้ของผู้มีอำนาจจำเป็นต้องครุ่นคิดให้มากยิ่งขึ้น ถ่วงน้ำหนักสร้างความสมดุลล่ะมั้ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดว่าเซลล์สมองล้ำค่าของตนเองไม่เหมาะสมจะใช้ครุ่นคิดเรื่องน่าเบื่อหน่ายเหล่านี้ นางตัดสินใจว่าอย่างไรก็ไปตรวจตราร้านค้าสักหน่อยดีกว่า 


 


 


“หน้าร้านร้านนั้นไม่เลว” จิ้งอวิ๋นพลันชี้ไปยังหน้าร้านแห่งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูหน้าร้านนั้น คนเยอะแยะมากมายวุ่นวายเล็กน้อยคล้ายกำลังย้ายของ ตำแหน่งหน้าร้านทำเลดีอย่างยิ่ง ตั้งอยู่ใจกลางถนนใหญ่จิ่วกงทั้งสี่ทิศพอดี เส้นทางเชื่อมต่อทั่วถึงกัน บริเวณโดยรอบฝูงชนแน่นขนัด เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำการค้าขาย 


 


 


“ร้านค้าดีขนาดนี้ ดูท่าทางกลับคล้ายจะเลิกกิจการ?” จื่อหรุ่ยกลับพึมพำอย่างประหลาดใจเสียงหนึ่ง 


 


 


“ไปดูหน่อย” จิ่งเหิงปัวเกิดความรู้สึกสนใจ 


 


 


พอถึงปากประตู ลูกจ้างที่อยู่ภายในต่างยกของย้ายไปไปข้างนอกดังคาดการณ์ ของใช้**บห่อทั่วพื้น ซ้ำยังมีคนแต่งกายมาปะปนด้วยบางส่วน ฉวยโอกาสยามคนมากปะปนเข้าไปก่อเรื่องยามชุลมุนบ่อยครั้ง หยิบสิ่งของแล้วไปก็ไม่มีใครสนใจ 


 


 


“ทำต่อไม่ไหวหนีไปแล้วหรือ?” จิ่งเหิงปัวประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ทำเลทองที่ดีขนาดนี้ หลับหูหลับตาทำยังหาเงินได้เลย” 


 


 


นางอดจะชะเง้อไปยังปากประตูไม่ได้ ครุ่นคิดว่าในเมื่อร้านนี้ทำต่อไม่ไหวแล้ว คงฉวยโอกาสคว้าเอาไว้ได้ใช่ไหม 


 


 


“เจ้าของร้านของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?” นางถามลูกจ้างข้างกายคนหนึ่งซึ่งยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดสิ่งของ 


 


 


เจ้าผู้นั้นไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “หนีไปแล้ว!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยังจะถามต่อ ข้างหลังแว่วเสียงเสียงตะโกนดุดันมากะทันหัน 


 


 


“หลีกไปๆ!” 


 


 


“ไสหัวไป! ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้ามาปล้น?” 


 


 


“ร้านค้าของตระกูลซัง พวกเจ้ายังกล้าปล้น?” 


 


 


เดิมทีจิ่งเหิงปัวจะหลีกทาง ได้ยินวาจาประโยคนี้ ฝีเท้าหยุดชะงัก 


 


 


นางหันหน้ากลับมา มองเห็นชายชาตรีชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ขับไล่คนที่ฉวยโอกาสยามชุลมุนภายในร้านออกไประลอกหนึ่ง รีบร้อนเข้าไปในบริเวณส่วนลึกภายในร้าน ผ่านไปไม่นาน ผู้ชรากลุ่มหนึ่งกรูกันออกมา หิ้วห่อผ้าขนาดใหญ่หลายห่อกะพริบวูบออกมาจากประตู 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูห่อผ้าหลายห่อนั้น ดวงตากำลังเปล่งแสงสีเขียว…ข้างในนี้เป็นเงินทั้งหมดเลย! ทรัพย์สินในร้านค้าที่ทำเงินที่มีค่าที่สุดของตระกูลซังชิ้นหนึ่งนะ! 


 


 


ทุกหนทุกแห่งใต้ผืนฟ้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนแผ่นดินของกษัตริย์ เงินพวกนี้เป็นเงินของนางทั้งหมดนะ! 


 


 


จะถูกตระกูลซังหอบหนีไปแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ร้านค้าร้านหนึ่งหอบหนีไปมากขนาดนี้ กิจการมากมายขนาดนั้นของตระกูลซังจะหอบหนีไปเท่าไรแล้ว? หอบเงินหนีไปเตรียมจะทำอะไร? เกณฑ์ทหารซื้อม้ามาแก้แค้นนางเหรอ? 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่อยากยอมรับว่าที่จริงแล้วนางกำลังเงินขาดมือ 


 


 


เป็นราชินีดูคล้ายทรงเกียรติร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ราชินีที่ไม่มีอำนาจทางทรัพย์สินกับอำนาจการใช้ชีวิตนางหนึ่ง อำนาจในการควบคุมกับการใช้สอยที่มีต่อเงินทองย่อมมีจำกัด นางไม่มีอะไรตรงไหนให้ต้องใช้เงิน การจัดสรรทุกสิ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของกองตรวจการวัง ฉะนั้นนางไม่มีสิ่งของประเภทเงินรายเดือน เงินที่สามารถใช้สอยได้ทุกครั้งเพียงพันตำลึงเล็กน้อย ยังต้องผ่านกองตรวจการวังรายงานให้ราชครูอนุญาต 


 


 


นางอยากเปิดสาขาห้างสรรพสินค้าสำหรับผู้หญิง พันตำลึงย่อมไม่พอใช้ หากขอเงินบ่อยครั้งจะต้องทำให้ราชสำนักตกใจอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่นางไม่อยากมองเห็น 


 


 


เดิมทีนึกว่าอัญมณีที่นางแย่งมาจากในมือของต้าฮวงองครักษ์นั้นมีค่า ผลลัพธ์คือถูกบอกว่านอกจากมรกตที่หาได้ค่อนข้างยากแล้ว อัญมณีที่เหลือด้วยเพราะต้าฮวงผลิตมากเกินไปจึงลดมูลค่าลงในพื้นที่นี้ นางแบกมาอย่างลำบากยากเข็ญตลอดทางโดยเสียแรงเปล่า! 


 


 


จิ่งเหิงปัวกัดฟันถลึงตากำหมัดอยู่ปากประตูร้านค้าเขา ตัดสินใจว่าจะนำเงินพวกนี้เก็บกลับสู่ท้องพระคลังให้หมด 


 


 


จะลงมือต้องรีบหน่อย การดำเนินการของกงอิ้นรวดเร็วเช่นกัน ทหารที่เขาจัดสรรให้ตรวจสอบอายัดกิจการของตระกูลซังกำลังแข่งกับเวลาเช่นกัน ถ้าที่หนึ่งนี้ถูกพบเข้า คงไม่มีส่วนของนางแล้ว 


 


 


“ดูสิทางนั้นมีผี!” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังด้านข้างตะโกนเสียงหนึ่งทันที 


 


 


ทุกคนมองไปทางนั้นด้วยจิตสำนึก เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ ทุกคนที่ไม่ได้สิ่งใดเลยสักอย่างหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ร้องว่า “อ๊ะ คนล่ะ?” 


 


 


พวกจื่อหรุ่ยทยอยค้นหาทุกหนทุกแห่ง ไม่ได้สิ่งใดเลยสักอย่าง 


 


 


อวี่ชุนที่อวบอ้วนเบียดออกมาจากมุงดูกลางฝูงชน ขมวดหัวคิ้วมองดูสตรีที่ตะลีตะลานหลายนางนั้น ถอนหายใจเสียงหนึ่ง 


 


 


เฮ้อ องค์ราชินีองค์นี้ เหตุใดแต่ไหนแต่ไรมาถึงไม่ยอมหยุดพักเล่า? 


 


 


เขาล้วงไข่มุกเม็ดหนึ่งออกมาจากในอ้อมแขน ใจกลางไข่มุกผุดเผยเส้นโลหิตเส้นหนึ่ง ลอยล่องเชื่องช้ากลางไข่มุก 


 


 


“นางยังอยู่แถวนี้…อ๊ะไม่ใช่แล้ว!” 


 


 


อวี่ชุนเบิกตากว้าง พบว่าความเคลื่อนไหวของเส้นโลหิตในไข่มุกเริ่มจางลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


“ซวยแล้วไปแล้ว!” 


 


 


อวี่ชุนถือไข่มุกไว้ตามไปข้างหน้าหลายก้าว เหลียวซ้ายแลขวามองดูความเปลี่ยนแปลงของเส้นโลหิต เส้นโลหิตเผยให้เห็นว่าคนยังอยู่แถวนี้ ทว่าระยะทางไกลออกไปอย่างรวดเร็ว องค์ราชินีน่าจะกำลังเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว 


 


 


ทว่า! 


 


 


แววตาของอวี่ชุนสืบค้นกลางฝูงชนหลายรอบ หน้าผากค่อยๆ มีเหงื่อซึมออกมา 


 


 


คนอยู่ที่ใดกันแน่? 


 


 


ในรถม้าตระกูลซัง ผู้ชราหลายคนกำลังเก็บกวาดห่อผ้าอย่างตึงเครียด นำสิ่งของที่มีมูลค่าแยกประเภทบรรจุห่อตามลำดับ 


 


 


“ประเดี๋ยวพวกเราจะไปที่ใด? เฟิงหลิงตู้หรือ? เตรียมเรือไว้แล้วหรือยัง? มีคนมารับหรือไม่?” คนผู้หนึ่งเอ่ยปากด้วยสีหน้าท่าทางระมัดระวัง 


 


 


“ไม่…เฟิงหลิงตู้เป็นเพียงแผนการที่ใช้หลอกล่อกงอิ้น พวกเราไม่ต้องไปที่นั่น ประเดี๋ยวพวกเรากับผู้นำตระกูล…” ผู้ที่เอ่ยวาจาก้มหน้าลง พลันมองเห็นผ้าแดงชายหนึ่ง ยังนึกว่าเป็นผ้าห่อผืนใดที่ร่วงลงมา ยื่นมือเตรียมคว้าเอามาห่อสิ่งของ คว้ามาครั้งหนึ่งไม่ขยับ จากนั้นได้ยินเสียงหัวเราะเยาะ 


 


 


เสียงเกียจคร้าน 


 


 


พอเขาเงยหน้า ขนลุกขึ้นมาฉับพลัน เปล่งเสียงสั้นๆ ดัง “อ๊าก!” เสียงหนึ่ง 


 


 


ไม่รู้ตั้งแต่ยามใดเบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา กระโปรงสีแดงกรอมพื้น แย้มยิ้มดุจมวลผกา 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มนั่งยองอยู่เบื้องหน้าเขา ไพล่มืออยู่ข้างหลัง กล่าวทักทาย ”ไฮ สวัสดีตอนบ่ายนะ” 


 


 


สองคนรีบร้อนกระโดดขึ้น กำลังจะกรีดร้อง 


 


 


“พลั่กๆ” สองเสียง ก้อนอิฐที่เตรียมไว้นานแล้วสองก้อน ซ้ายข้างหนึ่งขวาข้างหนึ่งตบบนหน้าผากสองคนอย่างรุนแรง 


 


 


ลูกน้องตระกูลซังสองคนไม่ได้แค่นเสียงแม้แต่เสียงหนึ่งด้วยซ้ำ อ่อนยวบล้มลงบนพื้นแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิ โยนก้อนอิฐทิ้ง ปรบมือ หิ้วห่อผ้าหนักหน่วงสองห่อนั้นขึ้น แบกไว้บนไหล่อย่างยากลำบาก เพิ่งคิดจะหายตัว ขมวดคิ้วทันที 


 


 


รถม้าเตี้ยเกินไป นางยืนตัวตรงไม่ได้ ไร้หนทางหายตัวออกไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับไม่ค่อยกังวลเท่าไร รอให้รถม้าหยุดลง นางมุดออกไปแล้วหายตัวทันที คิดแล้วคงไม่มีปัญหา 


 


 


ความเร็วรถม้าเพิ่มมากขึ้น จิ่งเหิงปัวแอบเลิกผ้าม่านรถมองออกไปข้างนอกพบว่ารถม้าคล้ายไม่ได้ออกไปนอกเมือง แต่กลับแล่นไปยังเขตราษฎรยากจนทางทิศเหนือของนครหลวง 


 


 


ในใจจิ่งเหิงปัวรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง กล่าวกันตามตรงขณะนี้ตระกูลซังคือเหมือนสุนัขไม่มีเจ้าของ กงอิ้นกำลังสืบค้นบ้านของกลุ่มนี้ ถ้าตระกูลซังฉลาดสักหน่อยควรจะหนีออกนอกเมืองไปนานแล้ว กล่าวกันว่าตระกูลซังค่อนข้างมีอำนาจในเผ่าใดเผ่าหนึ่งเช่นกัน ขอเพียงหนีออกไปได้ ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่อาจกลับมามีอำนาจอีกครั้ง 


 


 


ตอนนี้ไปทางในเมืองจะก่อปัญหาอะไรอีก? หรือว่าลูกน้องตระกูลซังสองคนนี้คือคนทรยศ ไม่คิดจะวางแผนหนีตามไป นำทรัพย์สินออกไปเตรียมหลบหนีด้วยตนเอง? 


 


 


แบบนี้ยิ่งดี 


 


 


จิ่งเหิงปัวนั่งลงอย่างสบายอกสบายใจ ตระเตรียมตรวจนับทรัพย์สินของตนเองสักหน่อย จมูกได้กลิ่นทันทีอกระซิบว่า “กลิ่นรถม้านี้แปลกๆ นิดหน่อยแฮะ’ 


 


 


รถม้ามีกลิ่นประหลาดที่บรรยายไม่ได้ ฉุนเล็กน้อยเหม็นเล็กน้อย เดิมทีนางนึกว่ามาจากร่างของผู้ชราสองคน ภายหลังรู้สึกตัวว่าคล้ายมีกลิ่นนี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง คล้ายเป็นกลิ่นที่คันรถม้าเองปล่อยออกมา 


 


 


สำรวจรถม้านี้โดยละเอียด คล้ายว่าเก่าไปหน่อย บนตัวรถมีรอยแตกเล็กๆ บางส่วนรำไร มองเห็นข้างในเป็นวัตถุสีดำชั้นหนึ่ง ไม่เหมือนท่อนไม้ กลิ่นหอบนั้นเข้มข้นอย่างยิ่งในรอยแตกเหล่านั้น 


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลซัง ต่อให้เป็นพ่อบ้านธรรมดาคล้ายคงไม่ควรใช้รถม้าที่ผุผังขนาดนี้มั้ง 


 


 


รถม้าสะท้านครั้งหนึ่งกะทันหัน หยุดลงแล้ว 


 


 


เอ๊ะ ทำไมเร็วขนาดนี้? 


 


 


จิ่งเหิงปัวยกห่อผ้าไว้มั่น รออยู่ข้างรถม้า เตรียมว่าพอรถม้าถูกเปิดออก นางจะพุ่งออกไป 


 


 


ทว่ารถม้าไม่มีใครเปิดประตูเสียที รอบด้านมีฝีเท้าสับสนวุ่นวายคล้ายมีคนมากมาย มีผู้กำลังเอ่ยวาจาแผ่วเบา เสียงสะท้อนหวึ่งๆ ลำแสงมืดลงมาแล้ว รถม้าคล้ายแล่นเข้าสู่ห้องกว้างโล่งขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง 


 


 


จากนั้นจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงล้อรถดังกุกกักอีก คล้ายมีรถม้าแล่นเข้ามาอีก จากนั้นมีคนลงรถ เสียงน้อมคำนับสับสนวุ่นวายผืนหนึ่ง นางฟังงอยู่ ในใจพลันมีความรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี 


 


 


คนที่ลงมาจากรถม้าคันหลังคล้ายระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ยามแรกเริ่มไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว เดินไปสองก้าวถึงเอ่ยว่า “มากันครบแล้วหรือยัง?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเกือบจะอุทานอย่างตกตะลึง 


 


 


ซังต้ง! 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม