เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 653-660
ตอนที่ 653 คุ้มกันส่งกลับจวน
อีกทั้งต้องเผชิญกับความรังเกียจของคนจำนวนมาก
ยามที่ลู่เหมียนเหมียนถูกเฉิงเค่อดึงทึ้งเสื้อผ้าเมื่อครู่ ในใจนั้นมีการตัดสินโดยไม่หวาดหวั่นต่อความตายแล้ว นางคิดในใจแล้วว่าหากวันนี้ถูกทำให้แปดเปื้อน นางใช้ได้แค่ความตายเป็นการแสดงเจตนา ถึงจะสามารถทำให้ทั้งสกุลลู่ไม่ถูกประณาม
คิดไม่ถึงซูหลีจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกกมา
ใช่แล้ว คนที่กระทำผิดคือเฉิงเค่อ มิใช่นาง…
เดิมมีความกดดันอยู่ในใจของลู่เหมียนเหมียนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากได้ยินคำพูดของซูหลีแล้ว เพียงชั่วขณะหนึ่งกลับทำให้นางผ่อนคลายลงไม่น้อย
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านั้น เรื่องในวันนี้แม่นางลู่คิดจัดการอย่างไร จะบอกคนในครอบครัวหรือไม่” ซูหลีหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยเรื่องที่สำคัญที่สุดออกมา
ลู่เหมียนเหมียนได้ยินดังนั้นก็อ้ำอึ้งไป จากนั้นผงกศีรษะ
เสื้อผ้านางฉีกขาด ทั้งร่างดูราวกับสุนัขจนตรอก กลับจวนสกุลลู่เช่นนี้นางจะสามารถปิดบังอะไรได้หรือ
กอปรกับในใจของลู่เหมียนเหมียนมีความละอายใจเป็นอย่างมาก เป็นเพราะบุรุษคนหนึ่ง นางกลับเอาใจออกหากจากทุกคนในครอบครัว ทว่าบัดนี้กลับได้การปฏิบัติเช่นนี้
นางไม่มีหน้ากลับหาบิดาและมารดา
“เช่นนี้แล้วกัน เรื่องในวันนี้ข้าก็จะเข้าไปมีส่วนรวมด้วย ข้าไปที่จวนพร้อมกับเจ้า ไปพบใต้เท้าลู่เสียหน่อย ลองดูความเห็นของใต้เท้าลู่ ทำตามที่ปรึกษาหารือก็แล้วก็แล้วกัน”
ลู่เหมียนเหมียนได้ยินดังนั้น จึงอดมองซูหลีด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้
ความรู้สึกที่นางมีต่อซูหลีก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมากเช่นกัน
ก่อนหน้านี้นางก็รู้สึกว่าซูหลีไม่เลวนะ อย่างไรซูหลีก็ช่วยกู้หน้านางหลายครา ทว่าหากพูดไปตามความเป็นจริง ทั้งสองคนไม่ได้สนิทขนาดนั้น โดยเฉพาะชื่อเสียงที่โด่งดังอยู่ภายนอกของซูหลีนั้น…ซูหลีเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มคุณชายเจ้าสำราญในเมืองหลวง!
ทว่าเมื่อฉุกคิด เฉิงเค่อผู้นั้นก็เป็นผู้นำหนึ่งในสี่อัจฉริยะแห่งฉยงสือ มีความประชดประชันพาดผ่านบนใบหน้าของลู่เหมียนเหมียน ทุกคนล้วนกล่าวว่าลูกผู้ดีที่ร่ำรวยนั้นน่ารังเกียจ เหล่าคุณชายเจ้าสำราญนั้นล้วนเป็นดังถุงสุราห่อข้าว[1] คอยยุแหย่ให้คนไม่มีความสุข
ทว่าสภาพสังคมนี้ช่างน่าขันนัก พวกที่ภายนอกมีชื่อเสียงดีเป็นพิเศษเหล่านนี้ มิหนำซ้ำคนที่ได้ตำแหน่งผู้นำที่มีความสามารถ กลับเป็นคนที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุด ทว่าเหล่าคุณชายเจ้าสำราญที่ไม่เป็นที่รู้จักของทุกคนมากนัก กลับเป็นคนช่วยนางจากสถานการณ์ที่ลำบาก
ในชั่วพริบตานี้ลู่เหมียนเหมียนมีความรู้สึกที่หลากหลายในใจ เพียงเห็นแววตาของซูหลีที่แปรเปลี่ยนจนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“วางใจเถิด” ซูหลีเห็นนางมองตนเช่นนี้ ยังคิดว่านางกังวลใจเรื่องการทำโทษของคนในครอบครัว ซูหลีจึงพูดปลอบโยนประโยคหนึ่ง “อีกสักครู่ยามข้าพบกับใต้เท้าลู่ ข้าจะอธิบายเขาอย่างละเอียดเอง”
ลู่เหมียนเหมียนได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ และเอ่ยขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ “ขอบพระคุณคุณชายซูมาก”
ซูหลีฉีกยิ้ม นี่เป็นคำพูดที่ซูหลีได้ยินลู่เหมียนเหมียนเอ่ยมากที่สุดในวันนี้ นางยิ้มบางแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องพิธีรีตองขนาดนั้นแล้ว พวกเราเป็นเพื่อนกันมิใช่หรือ”
ลู่เหมียนเหมียนได้ยินดังนั้น จึงแย้มยิ้มตาม
เอี๊ยด
“นายน้อยถึงแล้วขอรับ” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ หลังจากนั้นมองไปทางลู่เหมียนเหมียนปราดหนึ่ง ลู่เหมียนเหมียนหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ในเวลานี้ถึงได้ผงกศีรษะให้กับซูหลี ซูหลีเห็นนางพร้อมแล้ว จึงเดินออกมาจากในภายในรถม้าตามนางไปและไปที่จวนของสกุลลู่
การไปครั้งนี้ใช้เวลาอยู่ภายในจวนของสกุลลู่อยู่หลายชั่วยาม กว่าซูหลีจะออกมาจากจวนสกุลลู่ เวลาก็ล่วงเลยไปครึ่งราตรีแล้ว
“ไปเถอะ กลับจวนกัน” ซูหลีส่งเสียงเรียกชุยตาน ชุยตานที่กำลังนอนอยู่บนรถม้าเมื่อได้ยินคำพูดของซูหลี เขาจึงรีบรู้สึกตัวขึ้นมาทันที
“แล้วคนเหล่านั้นละขอรับ” ชุยตานลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เขามองที่รถม้าที่จอดอยู่ด้านหลัง แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา
ซูหลีได้ยินเขาถามถึงคนเหล่านั้นก็แค่นยิ้มเย็นออกมา จากนั้นเอ่ยว่า “พากลับไปด้วย อีกสักครู่ป้อนยาพวกเขาอีกครั้ง ก่อนฟ้าสว่างอย่าให้พวกเขาตื่นขึ้นมา”
ชุยตานไม่เข้าใจว่าซูหลีต้องการกระทำสิ่งใด ทว่าเขาก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ซูหลีกับคนสกุลลู่จักต้องปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลใจ เมื่อได้ยิน
——
[1] ถุงสุราห่อข้าว เป็นสำนวน ใช้เสียดสีคนที่ไร้ความสามารถ ว่าทำได้เพียงกินดื่ม ไม่มีปัญญาทำอะไรได้
ตอนที่ 654 ว่าราชกิจยามเช้าครั้งแรก
ช่วงเช้าของวันต่อมาท้องฟ้าที่สดใส ทว่าในเรือนของซูหลียังคงเงียบสงัด
“นายน้อย! เร็วเข้าเจ้าค่ะ หากไปร่วมประชุมราชกิจยามเช้าสายขึ้นมาจะทำอย่างไร!” ในมือของไป๋ฉินถือชุดขุนนางของซูหลีเอาไว้ ทั้งยังมองซูหลีที่นั่งพิงข้างเตียงด้วยท่าทีที่เกียจคร้านอย่างร้อนใจ ทว่าเป็นนางที่ร้อนใจ ซูหลีกลับไม่ร้อนรนเลยแท้แต่น้อย
“จะรีบอะไรกัน ค่อยๆ ทำสิ” ซูหลีเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นเดินลงจากเตียง เพื่อให้ไป๋ฉินสวมชุดขุนนางให้แก่นาง
ชุดขุนนางของราชวงศ์ต้าโจวนั้นเป็นสีน้ำเงินเข้ม ชุดขุนนางที่อยู่บนร่างซูหลีนั้นเพิ่งได้มาไม่นาน วันนี้เป็นวันแรกที่นางสวมใส่และเป็นวันที่นางประชุมราชกิจยามเช้าวันแรก
ในฐานะของคนที่ผ่านการสอบขุนนางเคอจวี่และถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง ดูเหมือนว่าคนทั้งเมืองหลวงคอยจับจ้องซูหลีอยู่
ดังนั้นไป๋ฉินถึงร้อนใจมาก ว่าราชกิจยามเช้ามีกฎเกณฑ์ต่างๆ หากมาเข้าร่วมสาย เช่นนั้นจักต้องถูกโบย อีกทั้งนายน้อยของพวกเขาเอวบางร่างเล็กขนาดนี้ แค่โดนโบยสองที่ก็คาดว่าคงจะหนังถลอกเนื้อแตกแล้ว จะทนการลงโทษเช่นนั้นได้ที่ไหนกัน!
“เข็มขัดมาแล้ว” ทั้งสองมือของเย่ว์ลั่วถือเข็มขัดหยกขาวเอาไว้ จากนั้นจึงส่งให้ไป๋ฉิน
เข็มขัดหยกขาวนี้เป็นเข็มขัดที่นางนำไปถวายเพื่อขอร้องฮ่องเต้ ทว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้วก็ไม่ได้ให้คนมานำเข็มขัดเส้นนี้กลับไป เข็มขัดเส้นนี้เขาเลยให้ไว้กับซูหลี
ครั้งแรกของการว่าราชกิจ ของกำนัลที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้เช่นนี้ จำเป็นต้องปรากฏบนร่างซูหลี
“เอวของนายน้อยบางเล็กโดยแท้!” ไป๋ฉินนำเข็มขัดหยกขาวรัดบนเอวซูหลี ทว่านางกลับอดเอ่ยขึ้นด้วยความหดหู่ไม่ได้ อะไรที่เรียกว่าเอวบางจนสามารถใช้แขนข้างหนึ่งโอบรอบได้ เอวของซูหลีก็เป็นเช่นนี้
“แม้แต่บริเวณนี้ยังอวบอิ่มขึ้น” สายตาของไป๋ฉินเคลื่อนไปที่ด้านบท และหยุดอยู่ที่บริเวณหน้าอกของซูหลี จากนั้นเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “น่าแปลกนัก แม่ของบ่าวกล่าวว่า บริเวณนี้หากอายุเกินสิบแปดแล้ว จะไม่เติบโตขึ้นอีก ทำไมถึง…”
“แค่กๆๆ!” เมื่อซูหลีได้ยินคำพูดของนางจึงไอออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าของนางแดงก่ำ หัวข้อสนทนาที่คลุมเครือเช่นนี้ไม่พูดออกมาจะได้หรือไม่ นี่มักทำให้นางนึกถึงภาพเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นมา
“พอแล้ว มิใช่เอ่ยว่านายน้อยจะสายแล้วหรือ หากยังล่าช้าต่อไป เกรงว่าในว่าราชกิจยามเช้าครั้งนี้ นายน้อยจะถูกลงโทษ!” เย่ว์ลั่วชำเลืองเห็นความแดงระเรื่อบนใบหน้าของซูหลี นางจึงฉีกยิ้มออกมาบางๆ และเบี่ยงเบนออกจากหัวข้อสนทนานี้
หลายวันมานี้ เย่ว์ลั่วจับตามองซูหลีก็รับรู้ได้ถึงควาแปลกประหลาดเช่นกัน
เดิมรูปโฉมของซูหลีนั้นค่อนข้างมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล ทว่าหลายวันมานี้ หลายวันมานี้ร่างกายของซูหลีดูสวยหยาดเยิ้มขึ้นกว่าเดิม มิหนำซ้ำยังดูมีเสน่ห์และอรชรอ้อนแอ้นเป็นอย่างมาก
ดูคล้ายกับ…
เย่ว์ลั่วผงะไปเล็กน้อย นางฉุกคิดถึงยามที่ทำงานอยู่กับสาวใช้ผู้หนึ่งตอนที่อยู่ในจวนจี้ในอดีต สาวใช้ผู้นั้นถูกส่งให้ไปแต่งงานกับเด็กรับใช้คนหนึ่ง หลังจากที่แต่งงานทั้งร่างก็เปลี่ยนไปเหมือนกับซูหลีในตอนนี้
ที่แปรเปลี่ยนไปเป็นสตรีที่ดูหน้าหลงใหลคนหนึ่ง!
เย่ว์ลั่วไม่กล้าคิดต่อไปอีก เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าได้!
“เรียบร้อยแล้ว!” หลังจากแต่งตัวซูหลีได้สำเร็จลุล่วง ไป๋ฉินก็ถอยออกมาก้าวหนึ่ง แล้วดูรูปโฉมของซูหลี พลันผงกศีรษะ
“เช่นนั้นข้าไปแล้ว พวกเจ้าอยู่รอข้าที่บ้านดีๆ ละ” ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นฉีกยิ้มชั่วร้ายให้พวกนางทั้งสองคน ทันทีที่นางแย้มยิ้ม กลับยิ่งน่าดึงดูดใจกว่าเดิม นางจ้องมองจนสาวใช้ทั้งสองมีใบหน้าแดงก่ำ พวกหน้าต่างไม่กล้าสบตากับซูหลี
นางสวมชุดขุนนางเช่นนี้ กลับไม่มีมาดเหมือนขุนนางเลยสักนิด ในทางกลับกันกลับดูไม่สุภาพเรียบร้อย ลักษณะขุนนางเช่นนี้ เกรงว่าทั้งเมืองหลวงจะมีแค่ซูหลีเท่านั้น
“นายน้อย อย่าสนใจพวกเราทั้งสองเลย ท่านรีบไปเสียเถอะ!” ไป๋ฉินผลักนางอออกไป ซูหลีเพียงฉีกยิ้มบางๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินด้วยจังหวะไม่ช้าไม่เร็วแล้วเดินออกไปจากจวนสกุลซู
เดิมทีวันนี้เป็นครั้งแรกที่นางเข้าร่วมประชุมราชกิจนางควรไปพร้อมกับซูไท่
ทว่านางกลับแจ้งให้ซูไท่ทราบก่อนหน้านี้แล้ว
ตอนที่ 655 ประชุมราชกิจยามเช้าพร้อมกัน
นางชัดเจนว่าในเวลานี้เป็นเวลาที่นางกำลังสะดุดตาผู้คน พ่อลูกทั้งสองกอดกันไปเป็นกลุ่มก้อน เกรงว่าจะได้รับผลกระทบที่ไม่ดีนัก ดังนั้นจึงให้ซูไท่ไปก่อน ไม่จำเป็นต้องสนใจนาง
ซูไท่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดมีเหตุผลจึงไม่ได้โต้แย้งอะไร ดังนั้นขณะที่นางยืนรออยู่ที่ด้านประตู มีเพียงรถม้าคันหนึ่งเท่านั้นที่ยัง…
“ซูหลี!” ทันทีที่เฉิงเค่อเห็นซูหลี ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเกลียดชัง เขาถึงขั้นอยากกระโจนเข้าไปกัดซูหลีสักสองสามทีเพื่อคลายความแค้นที่มีอยู่ในใจ
น่าเสียดายที่ในเวลานี้เขาถูกมัดอย่างแน่นหนา ส่วนเดียวที่สามารถขยับได้ก็คือเท้าของเขา เชือกที่มัดเขาไว้อยู่นั้น ปลายเชือกด้านหนึ่งนั้นถูกชุยตานจับไว้แน่น แม้เขาอยากจะขยับก็ขยับไม่ได้
ทั้งร่างถูกคนมัดไว้คล้ายกับวัวหรือแกะที่กำลังรอถูกเฉือดมิปาน
ซูหลีเดินออกมาเมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว พลันรู้สึกเบิกบานในทันที
“อ้าว คุณชายเฉิง อรุณสวัสดิ์!”
“บังอาจทำกับข้าเช่นนี้ ซูหลี เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วใช่หรือไม่” ขณะที่เฉิงเค่อเอ่ย ดวงตาของเขามีประกายความหวาดผวาพาดผ่าน
เขาเพิ่งจะตื่นขึ้นได้ไม่นาน เป็นเพราะมีคนกระชากเขาให้ตื่นขึ้น ส่วนคนที่กระชากเขาให้ตื่นขึ้นไม่ใช่คนอื่น นั่นก็คือชุยตานซึ่งเป็นเด็กรับใช้ข้างกายซูหลี
ชุยตานกระชากเขาจนตื่น ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค ชุยตานเพียงให้เขากลืนยาเม็ดหนึ่งลงไป หลังจากนั้นมัดร่างของเขาและนำมาทางนี้
ซูหลีเห็นดังนั้นจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางมองเขาด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คนที่ไม่ต้องการชีวิต คงจะเป็นเจ้ากระมัง”
นางพูดจบก็ไม่รอให้เฉิงเค่อตอบรับ นางเข้าไปภายในรถม้าทันที
“ไปเถอะ การว่าราชกิจยามเช้าจะสายแล้ว” ซูหลีออกคำสั่งด้วยเสียงเยียบเย็น
“ขอรับ” ชุยตานได้ยินดังนั้นจึงไม่รอให้เฉิงเค่อมีท่าทีตอบสนอง ชุยตานลากเฉิงเค่อขึ้นบนรถม้า แน่นอนไม่ว่าไม่ได้ให้เขาเข้าไปอยู่ด้านใน แต่กลับให้เขาอยู่กับชุยตานด้านนอก เป็นคนขับรถม้าให้กับซูหลี
“ซูหลี เจ้าคนชั่ว เจ้ากล้า…” เฉิงเค่อพูดพึมพำด่าซูหลีอยู่ตลอด บัดนี้เขาไม่หลงเหลือมาดอะไรเลยแม้แต่น้อย หาได้เหมือนสี่อัจฉริยะของสำนักฉยงสือไม่ แต่กลับเหมือนกันอันธพาลในเมืองนี้ก็มิปาน!
“ชุยตาน นำยาใบ้มาด้วยหรือไม่” ซูหลีที่อยู่ด้านในรถม้าทนฟังเขาบ่นพร่ำอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน
ชุยตานที่กำลังกวดม้าอยู่นั้นเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ จึงอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง ซูหลีไม่ได้มอบยาใบ้อะไรเขาไว้ เพียงแต่มอบยาเม็ดที่ทำให้คนไร้เรี่ยวแรงไว้ให้เท่านั้น และสั่งให้เขานำยาเม็ดนี้ยัดเข้าปากเฉิงเค่อเสีย
ทว่าในเมื่อซูหลีถามเช่นนี้ขึ้น ชุยตานจึงตอบตามน้ำว่า “นำมาขอรับ”
เฉิงเค่อที่ได้ยินคำพูดของนายบ่าวทั้งสองคนคุยกัน สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาอดกลั้นความโกรธและเอ่ยอย่างโมโหว่า “ซูหลี เจ้าต้องการกระทำสิ่งใด”
“ไม่มีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าเสียงดังรบกวนเกินไปแล้ว หากคุณชายเฉิงยังกล้าเอ่ยอะไรออกมา หลังจากนี้ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ฟังแล้วช่างน่ารำคาญเสียจริง” น้ำเสียงเกียจคร้านของซูหลีดังมาจากด้านหลัง
เฉิงเค่อได้ยินแล้วสีหน้าพลันย่ำแย่จนถึงที่สุด ทว่ากลับไม่กล้าเอ่ยคำพูดประชดประชันซูหลีอีก เพียงครู่หนึ่งก็เงียบลงทันที
ซูหลีที่อยู่ภายในรถม้าไม่ได้ยินของเขาพูดอะไรออกมา นางพลันหัวเราะเยาะออกมา
เฉิงเค่อผู้นี้ยังคิดว่าตนเองเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่งอยู่อีกหรือ เขากระทำเรื่องดีอะไรกันถึงได้กล้าแสดงท่าทางเช่นนี้และเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
ซูหลีส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา แล้วไม่สนใจเขาอีก หลับตาลงอย่างเกียจคร้านและพักผ่อนไปครู่หนึ่ง
อีกสักครู่ยังมีเรื่องสนุกสนานให้รับชมอีก นางจักต้องเตรียมกำลังวังชาให้ดี นี่ถึงจะสามารถสอนบทเรียนดีๆ ให้กับเฉิงเค่อ
ซูหลีนั้นไม่ใช่คนดีอะไรนัก ทว่าเมื่อพบเดนมนุษย์อย่างเฉิงเค่อ นางกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นอย่างมาก
พอดีเลย บัญชีความแค้นครั้งเก่ากับครั้งใหม่จะชำระแค้นกันในครานี้!
“หยุด!”
“นายน้อยถึงแล้วขอรับ”
ตอนที่ 656 เข้าวังหลวง
ซูหลีที่อยู่ในรถม้าปรือตาของตนขึ้นมา นางส่งเสียงขานรับแล้วเดินลงมาทางรถม้า
เฉิงเค่อถูกชุยตานดึงให้ลุกขึ้นทางด้านหนึ่ง
เมื่อมองไปยังวังหลวงที่โอ่อ่าหรูหรา ในที่สุดสีหน้าของเฉิงเค่อก็เปลี่ยนไป
“ซูหลี เจ้าพาข้ามาที่นี่คิดจะกระทำสิ่งใด” ในเวลานี้เขาไม่ใส่ใจคำขู่ที่ซูหลีกล่าวก่อนหน้านี้ทั้งนั้น เขารู้สึกกระสับกระส่ายในใจ จึงเอ่ยประโยคนี้ออกมา
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงกวาดตามองเขาปราดหนึ่ง ทว่านางกลับไม่คิดจะตอบเขา
ชุยตานเห็นซูหลีมองมา จึงส่งเชือกในมือให้ซูหลีอย่างนอบน้อม
“รออยู่ตรงนี้แล้วกัน” ซูหลีกระซิบสั่งชุยตานด้วยเสียงแผ่วเบา ชุยตานได้ยินดังนั้นจึงขานรับ จากนั้นออกไปพร้อมกับรถม้า
“ซูหลี เจ้า…” เฉิงเค่อยังต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทว่าซูหลีกลับไม่ให้โอกาสเขา นางเพียงดึงเชือกและจูงเขาไปด้วย มิผิดนางจูงเฉิงเค่อไปคล้ายกับจูงวัวก็มิปาน จากนั้นจึงเดินเข้าไปในวังหลวง
วังหลวงไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนจะเข้าไปได้ ทหารที่เฝ้ายามมองซูหลีที่สวมชุดขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง จึงไม่กล้าก้าวก่ายอะไรมาก เพียงแต่คนที่นางลากมาด้วยนั้น…
เดิมทีทหารที่เฝ้ายามอยากจะขัดขวางซูหลีเอาไว้ ทว่าคนที่อยู่ด้านข้างพูดเตือนสติเขาประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงเห็นเข็มขัดหยกขาวบนเอวซูหลี
เป็นเข็มขัดหยกขาวที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ ทั้งเมืองมีเพียงแค่จี้เหิงหรานกับซูหลีเท่านั้นที่มี ของสิ่งนี้แสดงถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้
ในชั่วขณะนี้ ทหารผู้นั้นไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก เขามองซูหลีที่กำลังดึงจูงเฉิงเค่อที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาเข้าไปในวัง ดูแล้วคล้ายกับจูงสัตว์เลี้ยงก็มิปาน
“ซูหลี ซูหลี!” ตลอดทางที่เข้าวัง สีหน้าของเฉิงเค่อก็เปลี่ยนไปในที่สุด ทว่าไม่ใช่ความโกรธแต่กลับเป็นความตื่นตระหนก
เดิมเขาคิดว่าทหารที่เฝ้าประตูคงจะไม่ปล่อยพวกเขาเข้ามา คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านั้นจะทำเหมือนแกล้งไม่เห็นพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
เขาเห็นซูหลีที่สวมชุดขุนนาง อีกทั้งในเวลานี้ยังปรากฏตัวที่วังหลวง เขาก็ทราบโดยปริยายว่าซูหลีกำลังไปว่าราชกิจยามเช้า ทว่าไยถึงพาเขาไปว่าราชกิจยามเช้าด้วยเล่า
“หุบปาก!” เฉิงเค่อต้องการจะถามอะไรบางอย่าง คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะหันศีรษะกลับมาและมองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น แววตานั้นดูนิ่งเฉย เฉิงเค่อดูแล้วในใจกลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นหลายส่วน
“คุณชายเฉิง ที่นี่เป็นวังหลวง ใครที่เข้ามาร้องแรกแหกกระเชอเช่นนี้ เจ้ามีศีรษะกี่หัวให้ตัดทิ้งกัน อีกทั้งวันนี้ทำไมข้าถึงนำเจ้ามาที่นี่ เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ” ซูหลีมองเฉิงเค่อด้วยสายตาเยียบเย็น หลังจากเอ่ยคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ออกมาก็หมุนกายเดินจากไป
ทันทีที่นางเดินไป เฉิงเค่อก็จำเป็นต้องเดินตามนาง
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นย่ำแย่จนถึงขีดสุด แน่นอนว่าเฉิงเค่อก็เข้าใจว่าซูหลีหมายความว่าอย่างไร
เขาเองก็ใจฝ่อ เมื่อวานนี้เขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไปแล้วถึงกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ หากลู่เหมียนเหมียนผู้นั้นเป็นชาวบ้านทั่วไปก็คงไม่เป็นอะไร ทว่านางเป็นถึงบุตรีของแม่ทัพลู่ ในครอบครัวของแม่ทัพลู่มีบุตรชายอยู่จำนวนไม่น้อย ทว่ามีบุตรีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ยามปกติ แม้รู้ว่าลู่เหมียนเหมียนจะมีชื่อเสียงไม่ดีนัก ทว่าผู้ที่คุ้นเคยกับสกุลลู่จะทราบอย่างแจ่มแจ้งว่าแม่ทัพลู่นั้นรักและทะนุถนอมลู่เหมียนเหมียนเป็นอย่างมาก
นี่…
เฉิงเค่อคิดเช่นนี้ กวาดมองซูหลีด้วยความเคียดแค้น หากไม่ใช่เพราะซูหลีผู้นี้เข้ามาวุ่นวาย เมื่อวานนี้ลู่เหมียนเหมียนยังไม่ได้ถูกเขาทำอะไร ไยถึงถูกลากมาที่หน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้เช่นนี้!
อีกทั้งยังลากเขาเข้าไปในวังหลวงคล้ายกับสัตว์เลี้ยงในช่วงว่าราชกิจยามเช้าเช่นนี้
เฉิงเค่อแทบจะเข้าไปขย้ำซูหลีให้ตาย!
ทว่าบัดนี้ร่างกายเขาไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่จะดิ้นรนก็ยังดิ้นรนไม่ไหว นับประสาอะไรกับกระทำอย่างอื่น เขาทำได้เพียงปล่อยให้ซูหลีลากเขาเดินเข้าไปหน้าประตูตำหนักอวิ๋นเซียว
บัดนี้ราชกิจยามเช้าได้เริ่มขึ้นแล้ว
ตอนที่ 657 ลงโทษตามกฎหมาย
ซูหลีออกมาจากจวนค่อนข้างช้า อีกทั้งยังเสียเวลาเล็กน้อย ดังนั้นจึงมาถึงสายไปบ้าง
บัดนี้ขุนนางทุกคนมาถึงแล้ว ฮ่องเต้ทรงประทับบนเก้าอี้มังกรบนพระที่นั่ง หากนางเข้าไปในเวลานี้ เกรงว่าจะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน!
ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ซูหลีกลับยังไม่ตื่นตระหนกและรีบร้อน ถึงขั้นริมฝีปากยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ นางก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในตำหนักอวิ๋นเซียว พร้อมทั้งลากเฉิงเค่อเข้าไปด้วย
ในตำหนักหวงเผยซานกำลังกลั้นหายใจและเตรียมจะเอ่ยคำว่า ‘ทรงว่าราชกิจ’ คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันเอ่ยอะไร ซูหลีก็เดินเยื้องย่างเข้ามาจากด้านนอก ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยลมที่กลั้นไว้ออกมา เขาแทบจะหายใจไม่ออก
“นี่…”
“นี่เกิดอะไรขึ้นกัน”
“ไม่แน่ใจ”
“นั่นไม่ใช่ซูหลีหรือ”
“คนที่ถูกมัดมาผู้นั้นเป็นใครเป็นกัน”
“คนผู้นั้นดูคุ้นตานัก ดูเหมือนจะเป็นบุตรของใต้เท้าเฉิง เฉิงเหว่ย ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่!”
…
ทันทีซูหลียืนสะเปะสะปะอยู่ในตำหนัก ก็ทำให้ทั้งตำหนักอวิ๋นเซียวเริ่มร้อนระอุขึ้นมาทันใด
เหล่าขุนนางที่รับชมอยู่ด้านข้างต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ เพียงชั่วพริบตาเดียวทุกตำแหน่งก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นดังมาก
ท่าทางของนางและความวุ่นวายที่นางก่อขึ้นนี้ ไม่เคยทำให้ซูหลีมีสีหน้าเปลี่ยนไป ในทางกลับกันรอยยิ้มบนใบหน้าของนางกลับลึกซึ้งมากกว่าเดิม นางเดินเข้ามายืนตรงกลางแล้วปล่อยมือออก จากนั้นคุกเข่าลงและเอ่ยว่า
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
เมื่อนางคำนับและทำความเคารพเช่นนี้ เฉิงเค่อที่อยู่ด้านข้างตะลึงค้าง หลังจากผงะไปครู่หนึ่ง เขาก็รีบคุกเข่าตามซูหลี
เฉิงเค่อเพียงรู้สึกตื่นตระหนก จึงไม่สังเกตเห็นว่าแถวขุนนางฝ่ายบู๊ที่อยู่ด้านข้างนั้น มีคนหนึ่งที่กำลังจ้องเขาด้วยความเคร่งขรึม สายตาของขุนนางผู้นั้นราวกับจะหั่นเฉิงเค่อเป็นชิ้นๆ ก็มิปาน!
“ลุกขึ้น” ฉินเย่หานหรี่ตาเล็กน้อยแล้วกวาดตามองที่ซูหลี จากนั้นจึงเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นยืน ทว่าเมื่อนางลุกขึ้นแล้ว เฉิงเค่อผู้นั้นกลับไม่กล้าลุกขึ้นยืน
ในเวลานี้เฉิงเค่อนั้นหลงเหลือความกล้าเหมือนกับตอนที่ก่นด่าซูหลีก่อนหน้านี้เสียที่ไหน ร่างทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดขาวจนถึงขีดสุด เขาครุ่นคิดอยู่ในใจว่าตนควรจะทำอย่างไรดี
อีกทั้งบิดาของเขา เฉิงเหว่ยยังอยู่ด้านข้างพอดี เมื่อเขาชำเลืองเห็นบุตรที่มิได้กลับบ้านมาหนึ่งราตรี แต่กลับถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาและปรากฏตัวที่ตำหนักแห่งนี้ด้วยท่าทางประหนึ่งสุนัขจนตรอก สีหน้าของเฉิงเหว่ยก็เปลี่ยนไปในทันที
ขณะที่ต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา ทว่ากลับเห็นซูหลีกวาดตามองเขาด้วยใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเสียก่อน เมื่อเฉิงเหว่ยถูกนางมองเช่นนี้ หัวใจก็รู้สึกตึงเครียดเกร็งไปหมด ร่างกายก็เปลี่ยนเป็นไม่สงบนิ่งนัก
“ใต้เท้าซู บนท้องพระโรงจักต้องรู้จักเจียมตัวและสำรวม นี่เจ้ากำลังกระทำสิ่งใดกัน” บิดาของเซี่ยอวี่เสียน ซึ่งถือเป็นอาจารย์ของซูหลีในอดีต บัณฑิตเซี่ย เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้จึงเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นอย่างอดไม่ได้
ซูหลีปรายตามองบัณฑิตเซี่ยผู้นั้นปราดหนึ่ง จากนั้นจึงหันศีรษะเผชิญหน้ากับฉินเย่หานที่อยู่บนพระที่นั่ง แล้วเอ่ยเสียงดังว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่พูดจบ ทั่วทุกสารทิศก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ซูหลีเป็นคนที่ไม่รู้จักสำรวม การที่นางลากคนที่มัดไว้หยุดอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เช่นนี้ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรก มีหลายคนที่รู้สึกว่าซูหลีใจกล้าบ้าบิ่น และมีคนบางส่วนพอจะมองออกว่ามีเงื่อนงำ พวกเขารอฟังคำพูดต่อไปของซูหลี
“พูดมา!” ฉินเย่หานกวาดตามองนางปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น
“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีขานรับ จากนั้นหมุนกายมองที่เฉิงเค่อด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แผ่นหลังเฉิงเค่อมีเหงื่อเย็นผุดเต็มไปหมด เมื่อถูกนางมองเช่นนี้ยิ่งรู้สึกอกสั่นขวัญหาย
“กระหม่อมต้องการฟ้องร้องเฉิงเค่อ บุตรของใต้เท้าเฉิง เฉิงเหว่ย ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ปล้นสวาทสตรี กระทำเรื่องที่ไร้คุณธรรม การกระทำเช่นนี้ช่างโหดเ**้ยม ใต้เท้าเฉิงนั้นเป็นถึงผู้บัญชาการของศาลต้าหลี่ บุตรชายแม้รู้กฎหมาย ทว่ากลับยังกระทำผิด ช่างน่ารังเกียจโดยแท้ ฮ่องเต้โปรดทรงตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ โปรดทรงนำคนชั่วที่โหดเ**้ยมเช่นนี้ลงโทษตามกฎหมายด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ตอนที่ 658 พยานอยู่ที่ใดกัน
ทั้งท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงฮือฮา
ทุกคนมองไปที่เฉิงเค่ออย่างไม่น่าเชื่อสายตา เชิงเค่อนั้นยังถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองหลวง
แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับจี้ฉินและเซี่ยอวี่เสียน เขาก็ถือเป็นคุณชายที่สง่างามมีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองหลวง โดยเฉพาะเขาขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำของสี่อัจฉริยะของสำนักฉยงสือ ในใจของหลายคนล้วนคิดว่าต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสูงส่ง ไยถึงสามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
“นี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“สกุลเฉิงเป็นสกุลที่มีคุณธรรมในเมืองหลวง ไยเฉิงเค่อถึงได้กล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้กัน”
“คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกระมัง…”
เพียงชั่วพริบตาเดียวทั้งท้องพระโรงก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทว่าคนส่วนมากดูแล้วยังมีความไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
“ใต้เท้าซู!” และในเวลานี้เองมีคนผู้หนึ่งยืนขึ้น
ซูหลีกวาดตามองคนนั้น ใบหน้าของคนผู้นี้เป็นคนที่นางไม่คุ้นเคย
“ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าใต้เท้าซูกับคุณชายเฉิงมีความขัดแย้งกันอยู่ วันนี้ใต้เท้าซูกลับกระทำเช่นนี้ออกมา หรือต้องการอาศัยเรื่องส่วนตัวมาแก้แค้น จึงอยากใช้วิธีเช่นนี้แก้แค้นคุณชายเฉิงกระมัง” ซูหลีไม่รู้จักว่าคนผู้นี้เป็นใครก็ช่างเถอะ แต่ทันทีที่เขาเปิดปากพูด ซูหลีก็รู้ทันคนผู้นี้พุ่งเป้าไปที่เฉิงเค่อ
นางไม่รู้จัก ทว่าคนรอบข้างนั้นรู้จักดี คนผู้นี้เป็นขุนนางในศาลต้าหลี่คนหนึ่ง เขานับว่าเป็นคนใต้อาณัติของเฉิงเหว่ย หากเขาออกตัวช่วยเฉิงเค่อก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฉิงเค่อ เฉิงเหว่ยจึงไม่สามารถออกมาโต้แย้งใดๆ ด้วยประการต่างๆ การให้คนใต้อาณัติเอ่ยปากถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“อีกประการหนึ่ง ทุกคนล้วนทราบด้านดีว่าคุณชายเฉิงนั้นเป็นสุภาพบุรุษ อีกทั้งชื่อเสียงทุกด้านของคุณชายในเมืองหลวงยังดีกว่าใต้เท้าซูอยู่มากโข จู่ๆ ใต้เท้าซูนำโทษอันใหญ่หลวงเช่นนี้มากล่าวหาผู้อื่น เลื่อนลอยไม่มีหลักฐาน ใครเขาจะเชื่อเจ้ากัน?”
อย่าพูดเลยว่า ฝีปากของเหล่าขุนนางเหล่านี้ช่างลื่นไหลโดยแท้ คำพูดแค่คำสองคำก็สามารถดึงเรื่องนี้มาไว้บนศีรษะนางแล้ว หากซูหลีไม่มีหลักฐานละก็ เกรงว่าวันนี้เฉิงเค่อคงจะไม่ได้รับโทษอะไร อีกทั้งยังทำให้นางถูกหางเลขและเสียหน้าที่เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ขุนนางในท้องพระโรงนั้นช่างจัดการได้ยากกว่าคนภายนอกอยู่มาก
ซูหลีเห็นภาพเหล่านี้ในสายตา สีหน้าของนางกลับไม่ร้อนรน ในทางกลับกัน นางก้มศีรษะกวาดตามองไปที่เฉิงเค่อปราดหนึ่ง
หลังจากเห็นคนผู้นั้นลุกขึ้นมา สีหน้าของเฉิงเค่อก็ดูดีขึ้นมาไม่น้อย ทว่า…
เฉิงเค่อกวาดสายตามองไปทางหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขายังกลัววว่าซูหลีจะมีหลักฐานอะไรขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้หากเล็ดลอดออกไปแม้แต่นิดเดียวคง เป็นเรื่องไม่น่าฟังนัก คนสกุลลู่คงจะไม่โง่เขลาขนาดนั้น หากชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนต้องเสียหาย พวกเขาก็ต้องให้เฉิงเค่อได้รับโทษเช่นกันกระมัง?
“ทูลฝ่าบาท บนท้องพระโรงไม่ควรให้อภัยคนที่เหิมเกริมเช่นนี้ แม้จะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ซูหลีก็ไม่สมควรมัดคนและนำเข้ามาสถานที่นี้และในเวลานี้ กระหม่อมคิดว่าไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ก็ควรเห็นเรื่องการบริหารบ้านเมืองเป็นเรื่องสำคัญพ่ะย่ะค่ะ”
ยังมีพวกที่พูดไกล่เกลี่ยออกมาลุกขึ้นยืนไม่พูดว่าใครผิดใครถูก เพียงแต่เอ่ยว่าไม่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้ในท้องพระโรงซึ่งประชุมราชกิจยามเช้า
ซูหลีเห็นอย่างชัดแจ้ง ใบหน้าของซูหลีมีรอยยิ้มเย็นชาอย่างอดไม่ได้ นางพลันแหงนศีรษะขึ้นมองไปที่ฉินเย่หานที่นั่งอยู่เบื้องบนโดยตรง แล้วเอ่ยเสียงสูงว่า
“ฝ่าบาท ในเมื่อกระหม่อมกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ไม่มีทางที่จะไม่เตรียมการล่วงหน้าอะไรทั้งสิ้น เรื่องทั้งหมดที่คุณชายเฉิงกระทำ แม้จะไม่มีหลักฐานอะไร ทว่ามีพยานบุคคล!”
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยจบ ทั้งท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
เมื่อเฉิงเค่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ใบหน้าก็ซีดขาวทันที หรือซูหลีและคนสกุลลู่จะบ้าไปแล้ว
“พยานอยู่ที่ใดกัน ใต้เท้าซูหากท่านหาสตรีมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วพูดว่าถูกคุณชายเฉิงล่วงเกิน พวกเราก็ต้องเชื่อท่านด้วยหรือ” ผู้ที่ลุกขึ้นมาพยายามทำให้เฉิงเค่อหลุดพ้นจากความผิดผู้นั้น เอ่ยคำพูดประโยคนี้เสริมขึ้นเพื่อจะได้ ให้คนอื่นเห็นตาม
ที่จริงแล้วคำพูดนี้ถือว่ามีการใช้เล่ห์เหลี่ยมช่วยพลิกแพลง อีกทั้งยังเป็นคำพูดที่ค่อนข้างน่ารังเกียจ
ตอนที่ 659 เจ้าเดรัจฉาน!
ทว่ามีคนจำนวนไม่น้อยได้ยินแล้ว ถึงกับผงกศีรษะ
ใครใช้ให้ซูหลีมีเรื่องบาดหมางใจกับเฉิงเค่อมาก่อน ช่วงฉลองปีใหม่ปีก่อนซูหลียังนำคนสำนักเต๋อซั่นทะเลาะวิวาทกับพวกเฉิงเค่ออยู่เลย
ดังนั้นคนที่นางหามา จึงไม่อาจทำให้คนอื่นๆ เชื่อถือได้อย่างสมบูรณ์!
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ สายตาของทุกคนในท้องพระโรงจึงจับจ้องไปที่ใบหน้าของซูหลี พวกเขาอยากจะรู้ว่าในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ซูหลีจะสามารถมีวิธีอะไรจัดการกับเรื่องนี้ได้!
และในเวลานี้เอง กลับมีคนที่ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึง ลุกขึ้นยืนและก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นเอ่ยว่า
“ทูลฝ่าบาท!”
ฉินเย่หานชะงักเล็กน้อยแล้วมองไปที่คนผู้นั้นปราดหนึ่ง จากนั้นสายตาก็มีความแข็งกระด้างเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ผงกศีรษะเบาๆ
คนที่ลุกขึ้นยืนมิใช่ใครอื่น นั่นก็คือบิดาของลู่เหมียนเหมียน แม่ทัพลู่!
แม่ทัพลู่ถือเป็นคนไม่มีปากมีเสียงในท้องพระโรงมาโดยตลอด ราชวงศ์ต้าโจวในเวลานี้อยู่ภายใต้การบริหารของฉินเย่หาน ถือเป็นช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด จึงไม่มีสงครามอะไรนัก
เมื่ออยู่ในช่วงที่สงบสุข แม่ทัพฝ่ายบู๊จึงไม่ปริปากเอ่ยอะไรในท้องพระโรง อีกทั้งภายในแม่ทัพฝ่ายบู๊ แม่ทัพลู่ถือว่าเป็นคนที่นิ่งเงียบที่สุด
ฉินเย่หานครองราชย์สมบัติมาสองปีแล้ว แม่ทัพลู่ไม่เคยเป็นฝ่ายลุกขึ้นและเอ่ยอะไรออกมาเลยสักครั้ง
บัดนี้เขาเปิดปากพูดกะทันหันเช่นนี้ จึงเป็นที่สะดุดตาผู้อื่นอย่างยิ่ง
“พยานที่ใต้เท้าซูเอ่ยมานั้น มิใช่ใครอื่น คือบุตรีคนเล็กของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพลู่ที่มีใบหน้าแข็งกระด้าง ในเวลานี้มีความทะมึนตึง ดูเหมือนสีหน้าของเขาคล้ำไม่น่ามองเท่าไรนัก
ทว่าเขายืนตัวตรง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ทว่านอกจากนี้ยังมีความกรุ่นโกรธแฝงอยู่ ทำให้คนที่มองรู้สึกกลัวอย่างไม่เป็นสุข
แม่ทัพลู่เอ่ยคำพูดนี้เออกมา ทำให้ทุกคนล้วนตกตะลึง
ไยสกุลลู่ถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
ตลอดหลายปีมานี้แม่ทัพลู่เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าคนที่มีหลักการล้วนทราบดีว่าเรื่องในกองทัพเขามีชื่อเสียง เขามีชีวิตการเป็นทหารมาครึ่งค่อนชีวิต เป็นคนที่มีวีรกรรมในการสู้รบเพื่อทั้งราชวงศ์ต้าโจว
นอกจากพวกที่คิดว่าตนเองเก่งกาจบางคนที่ดูถูกสกุลลู่ ทว่าคนในท้องพระโรงจำนวนมากล้วนไม่มีใครเป็นอริกับสกุลลู่
เดิมสกุลลู่เป็นนายทหาร จึงไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์อะไรกับขุนนายฝ่ายบุ๋น ผู้อื่นอยู่ว่างไม่ทำอะไร จะไปยุแหย่คนที่ทำสงครามมาตลอดหลายปีเพื่ออะไรกัน
“ใต้เท้าลู่ คำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไรกัน” ในขณะที่ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ ผู้ที่ลุกขึ้นยืนเพื่อช่วยให้เฉิงเค่อหลุดพ้นจากโทษนี้กลับเอ่ยถามประโยคนี้ด้วยเสียงแผ่วเบา
“หมายความว่าอย่างไร!?” ทันทีที่คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น สีหน้าของแม่ทัพลู่ก็เปลี่ยนไปถนัดตา เขาหมุนกายกลับมาอย่างรวดเร็ว ชี้ไปที่เฉิงเค่อที่นั่งตัวสั่นอย่างอดไม่ไหวที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า
“เจ้าเดรัจฉานนี่บังอาจกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ยังจะกลัวว่าผู้อื่นจะพูดถึงเรื่องนี้หรือ เมื่อวานหากใต้เท้าซูไม่ผ่านไปทางนั้นพอดี และช่วยบุตรีคนเล็กของข้าเอาไว้ เกรงว่าสิ่งที่รอข้าที่จวนในเวลานี้คงจะเป็นศพร่างหนึ่ง! เจ้ายังจะถามข้าว่าหมายความว่าอย่างไรอีกหรือ!?”
ชีวิตของใต้เท้าลู่มีความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม แม้ใบหน้าของเขาจะไม่ถือว่ารูปงาม อีกนั้นยังมีความเย็นชาแข็งกระด้าง โดยเฉพาะดวงตาดุจพยัคฆ์ ยามที่จ้องมองผู้อื่นนั้นมีแต่จะทำให้หัวใจคนที่ถูกจ้องมองรู้สึกสั่นสะท้าน
คนที่พยายามพูดแก้ตัวให้แก่เฉิงเค่อ ก็เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เขาจะเคยเห็นคนที่มีท่าทางเช่นนี้เสียที่ไหน ทันทีที่แม่ทัพลู่เอ่ยขึ้น คนผู้นั้นก็อ้าปากค้าง ผ่านไปนานแล้วก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เขาคล้ายกับถูกสะกดด้วยท่าทางของแม่ทัพลู่ ทำให้ตกใจกลัวแล้ว!
“แม่ทัพลู่ บนท้องพระโรงโปรดระวังคำพูดด้วย!” เมื่อแม้แต่แม่ทัพลู่ก็ยังปริปากเอ่ยแล้ว เฉิงเหว่ยที่อยู่ด้านข้างก็ทนต่อไปไม่ไหว เขายืนอยู่อีกทางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงถากถาง
“เหอะ!” แม่ทัพลู่กลับหัวเราะเยาะเย้ยด้วยความโมโหแล้วเอ่ยว่า “เพราะข้าต้องคำนึงถึงท้องพระโรงถึงไม่ก่อความวุ่นวายมากกว่านี้ มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเดรัจฉานนี่จะสามารถมีชีวิตได้ถึงบัดนี้หรือ!?”
ตอนที่ 660 พยานบุคคล
ทักษะศิลปะการต่อสู้ของแม่ทัพลู่นั้นเก่งกาจมาก ยามที่เขาเปล่งเสียงพูดออกมา เสียงของเขาก้องอย่างยิ่ง เสมือนกับทั่วทั้งท้องพระโรงสั่นสะท้าน
ขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านั้นตลอดสองปีมานี้ เป็นเพราะการโอนอ่อนของขุนนางฝ่ายบู๊ จึงทำให้พวกเขามีกิริยาท่าทางไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ทว่าทันทีที่ถูกแม่ทัพส่งเสียงไม่พอใจออกมาในเวลานี้ คนจำนวนมากถึงกับมีใบหน้าซีดเผือด ขาวซีดแล้วเขียวคล้ำ ช่างไม่น่ามองโดยแท้ อีกทั้งพวกเขานั้นพูดไม่ออกสักประโยค
โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ลุกขึ้นพูดล้างโทษให้กับเฉิงเค่อผู้นั้น สีหน้าดูไม่น่ามองมากที่สุด!
“ทูลฝ่าบาท!” แม่ทัพลู่ไม่พัวพันกับขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านั้นต่อ เขากุมมือทั้งสองและหันไปเอ่ยกับฉินเย่หานด้วยความเคารพ
“หากเฉิงเค่อไม่สิ้นมโนธรรมถึงขนาดนี้ กระหม่อมก็คงไม่คิดจะทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้น ทว่าทรงมีบางเรื่องที่ฝ่าบาททรงมิทราบพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ขอบตาของแม่ทัพลู่จึงแดงก่ำ แม่ทัพเก่าที่อยู่ในสนามนองเลือดท่านนี้ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล คนที่อยู่ท่ามกลางกองศพที่กลิ้งเกลื่อนตามพื้น จะมีท่าทางอ่อนแอเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน
หากไม่เพราะถูกคนรังแกซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่เป็นเช่นนี้
เรื่องนี้ในใจของฉินเย่หานเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ภายในใจของเหล่าขุนนางนั้นยิ่งเข้าใจมากกว่า
“ยามที่ใต้เท้าซูช่วยเหลือบุตรีคนเล็กของกระหม่อมในเวลานั้น ข้างกายเจ้าเดรัจฉานนี่ยังมีบุรุษอยู่อีกหลายคน!” เพียงแม่ทัพลู่หวนคิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกว่าทั้งร่างหนาวเหน็บ เขาแทบจะกระโจนเข้าไปสังหารเฉิงเค่อผู้นั้นเสียบัดนี้!
เขาไม่เอ่ยอะไรต่อ ถามคนที่ยืนอยู่ที่นี่ล้วนมิใช่คนเขลา
เดิมทีหลังจากแม่ทัพลู่เดินออกมาและเอ่ยเรื่องนี้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่ทุกคนก็เชื่อเรื่องนี้แล้ว แม้แม่ทัพลู่จะเป็นคนที่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ถึงกับขนาดใช้เรื่องเช่นนี้มาจัดการเฉิงเหว่ย
เขากับเฉิงเหว่ยไม่ได้คบค้าสมาคมกัน ถึงกับใช้เรื่องเช่นนี้ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของบุตรีของตนเสียหายไปเพื่ออะไรกัน
ทว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า เฉิงเค่อจะกล้าทำถึงขั้นนี้!
มีบุรุษหลายคนอยู่ข้างๆ เขา นั่นก็คือมีหลายคนที่พัวพันและต้องการข่มเหงลู่เหมียนเหมียนด้วยกัน! นี่มัน…
คนครอบครัวของขุนนางที่มีบุตรีนั้นมีจำนวนไม่น้อย พวกเขาย้อนทบทวนกับตัวเองว่า ถ้าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับบุตรีของตนเอง เกรงว่า…เกรงว่าในเวลานี้ตนคงจะอยากสังหารเฉิงเค่อผู้นั้นเสีย ถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปได้!
มิน่าแม่ทัพลู่ถึงไม่สนใจแม้แต่ชื่อเสียงของบุตรีของตนเอง จักต้องให้เฉิงเค่อชดใช้เรื่องนี้!
“ทูลฝ่าบาท” ซูหลีได้ยินแม่ทัพลู่เอ่ยเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง นางจึงก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “สหายที่ร่วมก่อเรื่องของเฉิงเค่อเหล่านั้นได้ถูกกระหม่อมกับจับตัวเอาไว้หมดแล้ว จะพูดก็ว่าแปลกนัก เป็นถึงคุณชายในสกุลขุนนางสูงศักดิ์อย่างศาลต้าหลี่ ทว่าคนที่คลุกคลีอยู่ด้วยนั้นกลับเป็นพวกไม่เอาไหน”
“คนเหล่านี้มีชื่อเสียงที่ไม่ดีในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก ล้วนเป็นพวกเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ไม่กระทำสิ่งใด หากฝ่าบาททรงต้องการไต่สวนคนเหล่านั้น กระหม่อมสามารถนำคนเหล่านี้มาได้ในเวลานี้!”
ซูหลีก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า ในยามปกติเห็นเฉิงเค่อที่มีท่าทางเอ้อระเหยไปวันๆ ไม่คิดว่าไม่ได้เจอกันหลายเดือน เฉิงเค่อจะเร่ร่อนเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้ได้!
“ใต้เท้าซู!” เรื่องดำเนินมาถึงบัดนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่เฉิงเหว่ยพูดเพียงคำสองคำก็สามารถปิดบังต่อไปได้
เนื่องจากฐานะของสกุลลู่ในเมืองหลวง อีกทั้งบัดนี้แนวโน้มที่ซูหลีจะได้หน้าต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิ คนของเฉิงเหว่ยก็ไม่ใช่คนที่เลอะเทอะ ใครจะกล้าลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นศัตรูกับทั้งสองคนนี้กัน
เฉิงเหว่ยจึงจนปัญญา จึงต้องลุกขึ้นมาด้วยตนเอง
“ใต้เท้าเฉิงยังมีอะไรที่พูดได้อีกหรือ” ทว่าซูหลีกลับไม่เกรงกลัวเขา เมื่อเห็นเขาใช้สายตากรุ่นโกรธจ้องมองนาง ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและอาฆาต นางเพียงเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย
คล้ายกับไม่กลัวเฉิงเหว่ยเลยสักนิด
ความจริงแล้วนางก็ไม่กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้า…” เฉิงเหว่ยมองนางที่มีท่าทางเช่นนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น