จารใจรัก 65.2-68.1
ตอนที่ 65-2 โหดร้ายทารุณ
เซี่ยฟางหวากลับมาที่ห้อง พบว่าฉินเจิงตื่นแล้วและกำลังมองมาที่หน้าประตู เห็นได้ชัดว่าบทสนทนาระหว่างนางกับซื่อฮว่าเมื่อครู่ปลุกเขาตื่นขึ้นมา นางยื่นจดหมายในมือให้เขาอ่าน “หลังหลินอันประสบอุกทกภัยใหญ่ก็เกิดโรคห่าระบาด”
ฉินเจิงเลิกคิ้วก่อนรับจดหมายมาอ่าน
เซี่ยฟางหวานั่งข้างเขา รอเขาอ่านจดหมายจนจบแล้วค่อยคุยกัน
“ฉินอวี้อยู่ที่หลินอัน พี่ภรรยา เหยียนเฉิน ชูฉือต่างอยู่ที่หลินอันกันทั้งหมด หรือว่าจะควบคุมโรคห่าระบาดนี้ไม่ได้” ฉินเจิงอ่านจบแล้วก็ย่นหัวคิ้ว
“ถึงอย่างไรเหยียนเฉินก็เป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี ไม่ค่อยสะดวกนัก” เซี่ยฟางหวาบอก
“มีองค์รัชทายาทอยู่ด้วยทั้งคน หรือว่ายังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้” ฉินเจิงแค่นเสียงเย็น “นับวันฉินอวี้ยิ่งไร้ประโยชน์ขึ้นทุกที”
เซี่ยฟางหวามองเขา “ท่านพี่กับน้องก็อยู่หลินอัน เราจะนั่งเฉยโดยไม่ทำอันใดเลยไม่ได้ โรคห่าระบาดไม่อาจดูถูกได้เลย ในอดีตกาลก็เคยมีบันทึกว่าโรคห่าได้ทำลายเมืองทั้งเมืองลง หากควบคุมไม่อยู่ ผลลัพธ์คงยากจินตนาการได้ ยิ่งไปกว่านั้นเกิดอะไรขึ้นกับหลินอันกันแน่ ข้าคิดว่าควรไปสำรวจดู” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “นอกจากนี้ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาเจ้า”
“หืม” ฉินเจิงมองนาง “ยังมีเรื่องอื่นอีก”
“เดิมทีข้ามีความคิดว่าจะเดินทางไกลในภายภาคหน้า ตอนนี้ในเมื่อเกิดโรคห่าระบาดที่หลินอัน เช่นนั้นก็เดินทางเสียล่วงหน้าเลยก็ดี” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก
ฉินเจิงหรี่ตาลง
“ในเมื่อฉือเฟิ่งได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่า หากข้าไม่ยอมมอบตำราเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีให้ก็จะทำให้ข้า จวนจงหย่งโหว และตระกูลเซี่ยต้องเห็นดีกัน ตอนนี้ข้าส่งท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีออกเดินทางไปอย่างลับๆ ทว่าก็ไม่ใช่ความลับอีกแล้ว เช่นนั้นระหว่างทางจะต้องมีคนลอบสังหารพวกเขาแน่นอน แม้ข้าเตรียมการรับมือไว้แล้ว แต่หากไม่ออกจากเมืองไปสำรวจดูเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยสบายใจนัก” เซี่ยฟางหวาบอก “ต้องเดินทางไปสำรวจดู”
“ไม่อนุญาต” ฉินเจิงปฏิเสธทันที
“ฉินเจิง วันนี้ข้าคิดแล้วคิดอีก ข้าถูกเจ้าปกป้องไว้ในเรือนลั่วเหมยนั้นปลอดภัยไร้กังวลก็จริง แต่ข้าไม่อาจอยู่ภายใต้การปกป้องของเจ้าอย่างสบายใจได้ ปณิธานของข้าคือการปกป้องจวนจงหย่งโหว ปกป้องตระกูลเซี่ย ปกป้องคนใกล้ชิด ตอนนี้ราชสำนักสั่นคลอน ทั้งในและนอกเมืองตกอยู่ในความโกลาหล ตราบใดที่สถานการณ์ไม่สงบสุข ข้าก็ไม่อาจสงบใจได้ สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ปัญหาทางใจต้องใช้ยาใจรักษา ตอนนี้ในเมื่อข้าหาต้นตอบางส่วนเจอแล้ว ย่อมปล่อยหลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด” เซี่ยฟางหวามองเขาพร้อมกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“แม้เจ้าจัดกำลังคนคุ้มกันท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีแล้ว ข้าเองก็มีเตรียมการอื่นไว้รองรับแล้วเช่นกัน เจ้าวางใจเถอะ พวกเขาไม่เป็นไรแน่นอน ส่วนเรื่องหลินอัน หากฉินอวี้ควบคุมแม้แต่โรคห่าระบาดในเมืองไม่ได้ เช่นนั้นอนาคตเขาจะปกครองบัลลังก์บ้านเมืองให้มั่นคงได้อย่างไร เจ้าอยู่รักษาตัวในจวนให้หายดีก็พอแล้ว” ฉินเจิงย่นหัวคิ้วมองนาง
“ข้าสัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย” เซี่ยฟางหวากุมมือเขา
“เช่นนั้นก็ไม่ได้” ฉินเจิงปฏิเสธเด็ดขาด
“วันนี้เจ้าออกไปตั้งแต่เช้า ได้กำชับสี่ซุ่นไว้ว่าถ้าเกิดเรื่องใดหรือใครมาหาข้าก็ไม่ต้องปิดบัง ตอนนี้เจ้ากำลังทำสิ่งใดอีกแล้ว” เซี่ยฟางหวามองเขา
“เซี่ยฟางหวา ครั้งก่อนจินเยี่ยนไปอารามลี่อวิ๋น ข้าอนุญาตให้เจ้าไป ทว่าข่าวที่ข้าได้รับกลับมาคือสิ่งใดรู้หรือไม่ คือเกิดเหตุดินถล่มโคลนไถลที่อารามลี่อวิ๋น เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนหาเจ้าพบที่ล่างหุบเขานั้นข้ารู้สึกเช่นไร” ฉินเจิงมองนาง “ตอนนั้นเจ้าดึงเซี่ยอวิ๋นหลานกระโดดจากหน้าผา ตอนฟังเจ้าเล่าเรื่องนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเจ็บปวดใจเพียงใด ตอนที่เจ้าหมดสติไปแล้วเอาแต่พร่ำเรียกหาเซี่ยอวิ๋นหลาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าทุกข์ใจแค่ไหน ตอนนี้เกิดโรคห่าระบาดที่หลินอัน มีฉินอวี้อยู่ด้วย พี่ภรรยาก็อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเหยียนเฉินกับชูฉือซึ่งมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมก็อยู่ด้วยเช่นกัน เจ้ายังกังวลอะไรอีก”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขาทันที
“อีกอย่างเดิมทีเจ้าคิดหาโอกาสออกจากจวนอยู่แล้ว เจ้าก็รู้ว่ามีคนต้องการตัวเจ้า เจ้าอยากใช้ตัวเองล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกมา เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอันตรายเพียงใด เจ้ากะจะให้ข้าตายเลยหรือ” ฉินเจิงบอก “ต้องให้ข้าตระหนกตกใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่ ต่อให้ไม่แตะต้องอาหาร เจ้าก็ไม่สนใจใช่หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาอ้าปากพะงาบ เอ่ยคำใดไม่ออก
“ข้าเฝ้าคอยเจ้ามาหลายปี รอเจ้ากลับเมือง ทั้งทุ่มเทความคิดกักขังเจ้าไว้ในจวนอ๋อง คิดหาทางเพื่อได้ครอบครองหัวใจของเจ้า จากนั้นก็ไม่สนว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดบ้างเพื่อได้แต่งงานกับเจ้า เราเพิ่งสมรสกันกี่วันเอง แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน เจ้าลองทบทวนให้ดีว่าจนถึงตอนนี้ เราได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสักวันหรือยัง” ฉินเจิงยกมือไล้ใบหน้านาง
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยิงธนูสามดอกใส่เจ้า” ฉินเจิงพลันถามขึ้น
เซี่ยฟางหวามองเขา
ฉินเจิงจับจ้องใบหน้านางพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดมาตลอดว่าตั้งแต่วันนั้นข้าได้เปลี่ยนไป หลังยิงธนูสามดอกใส่เจ้า ข้าก็เกิดปมในใจขึ้นมา ถูกต้อง ข้ามีปมในใจ แต่จนถึงตอนนี้เจ้าคงยังไม่เข้าใจใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยิงธนูสามดอกใส่เจ้า” พูดจบเขาก็ลดเสียงแผ่วเบาแทน “เซี่ยฟางหวา เจ้าอาจคิดหาเหตุผลมากมาย แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ เคยมีวูบหนึ่งที่ข้าคิดปล่อยเจ้าไป”
“เจ้า…เจ้าพูดอะไร” เซี่ยฟางหวาผุดลุกขึ้นยืนทันที มองฉินเจิงอย่างไม่อยากเชื่อ
“ตอนยิงธนูสามดอกใส่เจ้า ตอนนั้นข้ามีความคิดจะปล่อยเจ้าไป” แววตาฉินเจิงนิ่งสงบ สะท้อนความเจ็บปวดและความอ้างว้างออกมา
“เจ้า…” เซี่ยฟางหวามองเขา เนิ่นนานถึงเอ่ยขึ้น “เพราะ…เหตุใด”
“เพื่อให้เจ้ากับเซี่ยอวิ๋นหลานสมหวัง” ฉินเจิงพลันยิ้มออกมา
เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเปลี่ยนไป “พี่อวิ๋นหลานเขาเป็นเพียงแค่…”
“เขาเป็นเพียงแค่พี่ชายที่สนิทสนมเสียยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าน่ะหรือ” ฉินเจิงเอ่ยขัด คลี่รอยยิ้มเย็นชา “เป็นเช่นนี้จริงหรือ หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่นึกถึงเขา”
เซี่ยฟางหวาลนลาน “นั่นเป็นเพราะความทรงจำชาติก่อน ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ความทรงจำนั้นสุดล้ำลึก กระทั่ง…”
“ความทรงจำนั้นสุดล้ำลึก กระทั่งเชื่อมมาถึงชาตินี้ ชีวิตนี้เจ้าจะโยนความทรงจำนั้นทิ้งไปไม่ได้เลยใช่หรือไม่ กระทั่งเจ้าสลักเขาลงในก้นบึ้งหัวใจ” ฉินเจิงกล่าว น้ำเสียงพลันดุดันขึ้น “แล้วข้าเล่า ข้าเป็นใคร”
“เจ้าย่อมไม่เหมือนกัน” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินเจิงฝืนยิ้มด้วยความรวดร้าว “ข้าไม่เหมือนกัน” หยุดชั่วครู่แล้วหัวเราะออก ก่อนเลิกคิ้วกล่าวต่อ “เทียบกับเขาแล้ว ข้าไม่เหมือนเขาตรงไหน เป็นเพราะเจ้าชอบข้าหรือ หรือว่าเจ้าไม่ชอบเขา ไม่สิ พูดว่าชอบไม่ได้ ต้องบอกว่ารักต่างหาก ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้าคือรัก แล้วที่มีต่อเขาไม่ใช่หรือ หากคำว่ารักมีขอบเขต เจ้าก็ลองแบ่งแยกด้วยตัวเองดู เจ้ามีความทรงจำต่อเขาสลักลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ แล้วความรักที่มีต่อข้าเล่าลึกซึ้งเพียงใด พอจะสะเทือนถึงเขาที่อยู่ในใจเจ้ามากน้อยแค่ไหน”
“ฉินเจิง ไฉนเจ้าถึงเปรียบเทียบเช่นนี้” เซี่ยฟางหวาเซถอย เบ้าตาแดงก่ำ
“เช่นนั้นเจ้าบอกมาสิว่าข้าควรเปรียบเทียบอย่างไร เจ้ารักข้า ออกเรือนกับข้า ข้าคิดว่าสวรรค์ทรงเมตตาต่อข้าจึงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าเลือกข้าแล้ว เช่นนั้นก็ต้องยอมรับข้าไปตลอดชีวิต” ฉินเจิงมองนาง “แต่หลังสมรสกัน ผู้ที่เจ้าคะนึงหากลับไม่ใช่ข้า สิ่งที่อยู่ในใจเจ้ามีมากเกินไป ข้าผู้เป็นสามีนั้นครอบครองพื้นที่ในใจเจ้าได้มากน้อยแค่ไหนกัน ไหนเจ้าลองบอกมาสิ”
เซี่ยฟางหวาพลันหันหลังให้เขา น้ำตาไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว เอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “ฉินเจิง เจ้าบอกว่าสิ่งที่อยู่ในใจข้ามีมากเกินไป แต่เจ้าเล่า หรือว่าสิ่งที่อยู่ในใจเจ้าก็มีไม่มากอย่างนั้นหรือ เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าทั้งหัวใจเจ้านั้นรักแค่ข้าเพียงผู้เดียว”
“ข้ากล้าพูด” ฉินเจิงตอบฉะฉาน
เซี่ยฟางหวาเช็ดน้ำตาทันที ก่อนกล่าวเสียงเย็น “ความรักของเจ้าหนักแน่นเพียงใด ชาติก่อนกับชาตินี้แตกต่างกันหรือไม่”
ฉินเจิงมองนางด้วยความมึนงง
“เจ้าบอกข้าว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ชาติก่อนเราไม่รู้จักกัน เจ้าพูดถูกแล้ว ชาติก่อนเราเคยรู้จักกันแน่นอน แต่ชาติก่อนพี่อวิ๋นหลานตายเพราะคำสาปเผาใจกำเริบ ข้าเฝ้าเขาอยู่ข้างเตียงและเสียเลือดจนตาย ที่มีจุดจบเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” เซี่ยฟางหวาพลันหันกลับมา
ฉินเจิงย่นหัวคิ้ว
“เจ้าบอกว่าช่วงนี้ข้ากังวลมากเกินเหตุ ทรมานหัวใจจนกระทบกับม้าม เป็นเพราะเหตุใด ย่อมเป็นเพราะภาพความทรงจำเมื่อชาติก่อนคอยแล่นขึ้นในสมองข้าไม่หยุดหย่อน มันรบกวนใจข้าตลอดเวลา ยากทำความเข้าใจ ยากไตร่ตรองให้แน่ชัด แต่ตอนนี้เมื่อได้สงบใจสองวัน ข้าจึงเข้าใจบางสิ่งปรุโปร่ง” เซี่ยฟางหวามองเขา “ชาติก่อนเราเคยรู้จักกัน ไม่ใช่แค่รู้จักกันเท่านั้น ความสัมพันธ์ของเราในชาติก่อนไม่ต่างอะไรกับเราในชาตินี้เลย”
ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“ฉินเจิง เจ้าเป็นท่านอ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง ข้าเป็นคุณหนูทายาทจวนจงหย่งโหว ตอนที่เต๋อฉือไทเฮายังทรงมีชีวิตอยู่ได้ออกพระราชเสาวนีย์สมรสพระราชทานให้” เซี่ยฟางหวามองเขา “หลังข้าถึงวัยปักปิ่นก็รอออกเรือนในจวนตลอดมา รอให้เจ้ามารับข้า ทว่าสิ่งที่ข้าได้รับกลับมาคือสิ่งใด เจ้ารู้หรือไม่”
ฉินเจิงมองนาง นิ่งฟังนางพูดต่อ
“สิ่งที่ข้าได้รับคือจวนจงหย่งโหวล่มสลายลง ตระกูลเซี่ยถูกประหารเก้าชั่วโคตร ท่านปู่กับท่านพี่ตาย กระดูกกองพะเนินเป็นภูเขา โลหิตไหลรินเป็นสายธารา” เซี่ยฟางหวาน้ำตานองหน้า “ข้าได้พี่อวิ๋นหลานช่วยไว้ เราได้แต่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ อาศัยอยู่ในหุบเขาลึกที่ไร้ผู้ใดอาศัย ทว่าก็ยังได้ยินงานมงคลในเมืองหลวงหนานฉินแว่วมา เจ้ารู้หรือไม่ว่างานมงคลที่ว่าคือสิ่งใด”
ฉินเจิงเงียบ
“คือเจ้าซึ่งเป็นท่านอ๋องน้อยไปสู่ขอสตรีอื่น ขบวนอาภรณ์แดงยาวสิบลี้ งานมงคลที่เป็นงานสมรส”
เซี่ยฟางหวาบอกเสียงดัง
ตอนที่ 65-3 โหดร้ายทารุณ
“เป็นไปได้อย่างไร” ฉินเจิงรีบเอ่ยขึ้น
เซี่ยฟางหวาฝืนยิ้ม “เป็นไปได้อย่างไร” นางถอยหลังก้าวหนึ่ง “ข้าเองก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้” หยุดชั่วครู่แล้วมองฉินเจิงพร้อมกล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋องน้อยเจิง แต่นี่เป็นความจริง”
“เป็นไปไม่ได้!” ฉินเจิงกล่าวเด็ดขาด
“อยากรู้หรือไม่ว่าผู้ที่เจ้าสมรสด้วยคือใคร” เซี่ยฟางหวามองเขาพร้อมถามด้วยความนิ่งสงบ
“อย่าพูดเหลวไหล” ฉินเจิงกล่าวเสียงเย็น
“เป็นหลี่หรูปี้ คุณหนูหลี่หรูปี้แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา น้องสาวของหลี่มู่ชิง บุตรีแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ชาติก่อนคล้ายกับว่านางก็ได้หมั้นหมายกับฉินอวี้ก่อน ต่อมาผู้ที่สมรสกับนางกลับกลายเป็นเจ้า ชาตินี้แม้ข้าออกเรือนกับเจ้าแล้ว แต่ดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ในเมืองหลวงหนานฉิน ไม่ได้แตกต่างอันใดกับเมื่อชาติก่อนเลย ก่อนตระกูลเซี่ยกับจวนจงหย่งโหวล่มสลายลง ข้าจำได้ว่าชาติก่อนก็เกิดคดีใหญ่ขึ้นมากมายในเมืองเช่นเดียวกัน พัวพันกันไปมาจนโยงมาถึงจวนจงหย่งโหว เมื่อตระกูลเซี่ยถูกลากเข้าไปพัวพันลุกลามต่อกันเป็นทอดๆ จะมีจุดจบน่าเวทนาเพียงใด ตอนนั้นข้ากับเจ้าเพิ่งหมั้นหมายกัน ตอนนี้แม้ได้สมรสกันแล้ว แต่บางทีประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยอีกครั้ง แม้มีจุดคลาดเคลื่อนไปบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มีจุดจบแบบเดียวกัน”
เซี่ยฟางหวาฉีกยิ้มมุมปาก
“เพ้อเจ้อสิ่งใด ข้าฉินเจิงพูดคำไหนคำนั้น ขอเพียงยอมรับผู้ใดแล้ว ต่อให้จักรพรรดิหรือท่านพ่อมาพรากเราแยกจากกันก็เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อข้ารับปากเสด็จย่า เจ้ากับข้าหมั้นหมายกัน ข้าย่อมไม่ทอดทิ้งเจ้าแล้วไปแต่งกับสตรีอื่น ต่อให้จวนจงหย่งโหวล่มสลายลง ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้า ไฉนถึงกลายเป็นหลี่หรูปี้ได้” ฉินเจิงกล่าวด้วยโทสะ
“ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน” เซี่ยฟางหวาหลับตาลง น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด “ดังนั้น เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นได้ข้าถึงหมดสติไป ระหว่างหมดสติมีภาพความทรงจำไหลวนเข้ามาในสมอง เจ้าบอกว่าข้าสลัก
พี่อวิ๋นหลานลงในก้นบึ้งหัวใจ ยากลืมเลือนได้ นั่นก็ถูกต้องแล้ว แต่ฉินเจิง หากข้าบอกเจ้า ต่อให้ข้าเฝ้าอยู่ข้างเตียง มองพี่อวิ๋นหลานตายไปต่อหน้าต่อตา ข้าไม่อาจใช้ร่างกายช่วยเหลือเขาได้ ได้แต่ยอมเสียเลือดตายไปพร้อมเขา นี่เป็นเพราะเหตุใด เป็นเพราะเจ้า เพราะคนที่ข้ารักก็คือเจ้า”
ฉินเจิงถอยหลังก้าวหนึ่ง
“สองวันนี้ข้าทบทวนตลอดเวลา ชาติก่อน ในภาพความทรงจำนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ความรักที่ท่านอ๋องน้อยเจิงมีต่อข้าไม่ได้ด้อยกว่าในชาตินี้เลย แต่เหตุใดถึงทอดทิ้งข้าไปแต่งกับสตรีอื่น ข้าครุ่นคิดแล้วก็หาคำตอบไม่ได้” เซี่ยฟางหวาลืมตามองเขา “แต่หลังไตร่ตรองมาสองวัน ในที่สุดข้าก็พอเข้าใจแล้ว”
“เจ้าเข้าใจอะไร” สีหน้าฉินเจิงไม่สู้ดีนัก
“เข้าใจว่าหัวใจของท่านอ๋องน้อยเจิงนั้น ต่อให้รักสตรีผู้นั้นมากเพียงใด แต่ก็ยังน้อยกว่าบ้านเมืองอยู่ดี” เซี่ยฟางหวามองเขา “เจ้าโตมาในวังหลวง อดีตฮ่องเต้กับเต๋อฉือไทเฮาทรงรักเจ้ามาก ให้ความรักและอบรมสั่งสอนเจ้าผู้เป็นหลานชายแท้ๆ อย่างลึกซึ้ง เทียบกับฉินอวี้ ย่อมถ่ายทอดหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองหนานฉินให้เจ้ามากยิ่งกว่า เหมือนกับอิงชินอ๋อง”
ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด นิ่งมองนาง
“ชาติก่อนก็คงเหมือนชาตินี้ ไม่ใช่ราชสำนักหนานฉินที่คิดประหารจวนจงหย่งโหวเก้าชั่วโคตร แต่ยังมีคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอยู่เบื้องหลัง บางทีอาจเป็นปรมาจารย์จากภูเขาลับที่ข้าพอทราบมาบ้าง บางทีอาจเป็นคนกลุ่มอื่น แต่สุดท้ายราชสำนักหนานฉินก็ควบคุมต่อไปไม่ไหว ถ้าต้องเลือกระหว่างตระกูลเซี่ยกับบ้านเมืองหนานฉิน เจ้าย่อมเลือกบ้านเมือง เพราะนี่เป็นรากฐานบรรพบุรุษสกุลฉินของเจ้า ดังนั้นต่อมาตระกูลเซี่ยถึงถูกประหารเก้าชั่วโคตร หนานฉินแม้เสื่อมอำนาจลง แต่โชคดีที่รักษารากฐานบ้านเมืองไว้ได้ ส่วนนี้มีคุณงามความดีของท่านอ๋องน้อยเจิงด้วย” เซี่ยฟางหวากล่าว “เจ้าอาวรณ์ข้า อาวรณ์จวนจงหย่งโหว แต่ช่วยราชสำนักกับบ้านเมืองหนานฉิน ความสำเร็จนี้ ไม่เสียแรงที่อดีตฮ่องเต้กับเต๋อฉือไทเฮาทรงสั่งสอนและโปรดปรานเจ้า”
“เจ้าใจเย็นก่อน นี่เป็นการคาดการณ์ของเจ้า ไม่ใช่ความจริง” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเข้ม
“ฉินเจิง เจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร เดิมทีข้าไม่อยากพูดออกมาตอนนี้ แต่วันนี้เจ้าเป็นคนเริ่มพูดเรื่องพวกนั้นกับข้า เช่นนี้ก็ดี พูดแล้วก็พูดออกไปให้หมด ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้าต้องคิดเรื่องข้าจนเหลือทนแล้ว ข้าเองก็ทนตัวเองไม่ไหวแล้วเช่นกัน” เซี่ยฟางหวาเดือดดาล หยิบแก้วบนโต๊ะมาปาลงพื้น
แก้วตกลงบนพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง
เสียงดังกังวาน
ฉินเจิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาก้าวขึ้นมาจับตัวนาง “ข้าแค่อยากให้เจ้าอยู่รักษาตัวในจวน ไม่ใช่ทนเจ้าไม่ได้ ข้าเป็นห่วง…”
“เก็บความเป็นห่วงเจ้าไปเสีย!” เซี่ยฟางหวาพลิกมือปัดมือเขาออกไป มองเขาด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ฉินเจิง เจ้าเหนื่อยมากแล้วใช่ไหม หมดแรงมากแล้วใช่ไหม เพื่อแต่งงานกับข้า ต้องทุ่มเทความคิดไปไม่น้อยเลยใช่ไหม ตอนนี้ภาระที่ต้องแบกรับบนบ่าคงหนักหนามากสินะ เจ้าบอกว่าเคยยิงธนูสามดอกใส่ข้าเพราะอยากปล่อยข้าไป ผลักไสข้าให้กับพี่อวิ๋นหลาน ทว่าหลังจากนั้นก็วางแผนแต่งงานกับข้า เป็นเพราะข้าตัดสินใจเลือกเจ้า รู้ว่าข้ารักเจ้า จึงปล่อยข้าไปไม่ได้ใช่หรือไม่ ก่อนเจ้าได้แต่งกับข้าก็ต้องลำบากตลอดมา หลังได้แต่งแล้วก็ยิ่งลำบากทุกย่างก้าว ข้ามันตัวซวย ทำให้เจ้าต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วเหตุใดยังต้องทนอยู่ต่ออีก”
“อย่าเหลวไหล ข้าพูดไปเพราะโมโห ไม่ได้…” ฉินเจิงโกรธ
“เจ้าไม่ต้องพูด!” เซี่ยฟางหวาตวัดฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
ฉินเจิงหุบปากทันที
“ฉินเจิง สองชาตินี้ไม่นึกเลยว่าข้าจะตกหลุมรักเจ้า ตลอดสองชาติคงทำให้เจ้าเหนื่อยล้าและลำบากมาพอแล้ว หากไม่มีข้าเซี่ยฟางหวา เจ้าคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยสีหน้าเย็นชามาก
“เจ้าอยากพูดสิ่งใดกันแน่” ฉินเจิงเม้มปากแน่น
“สิ่งที่ข้าอยากพูดก็คือ เมื่อไม่มีเซี่ยฟางหวา เจ้าย่อมมีชีวิตที่ดีกว่านี้” เซี่ยฟางหวามองเขา “บ้านเมืองหนานฉินอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า วันหนึ่งเมื่อข้ากับจวนจงหย่งโหวเข้าไปมีส่วนพัวพันก็ต้องเป็นภาระของเจ้าอีก ในเมื่อช้าเร็วต้องมีวันนั้น วันที่จะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ เช่นนั้นเหตุใดยามนี้ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปด้วยเล่า”
“เจ้าคิดจะ…ไปจากข้า” ฉินเจิงจ้องมองนาง
“ข้าเมินเฉยจวนจงหย่งโหวไม่ได้ และไม่อาจลืมพี่อวิ๋นหลาน เจ้ามีหน้าที่ของเจ้า ข้ามีความยืนหยัดของข้า บางทีคงตรงกับประโยคที่ว่า ปณิธานต่างกันไม่อาจหารือด้วยกันได้” เซี่ยฟางหวามองเขา “ฉินเจิง ถึงเจ้ารักข้าเพียงใด แต่ทนมองดูบ้านเมืองหนานฉินล่มสลายลงได้หรือ ถึงข้ารักเจ้าเพียงใด แต่ข้าจะทนมองจวนจงหย่งโหวและญาติพี่น้องตายไปได้ลงหรือ ตอนนี้เมื่อไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรดึงดันที่จะออกเรือนกับเจ้า แต่ตอนนั้นข้ายังฟื้นฟูความทรงจำกลับมาไม่ได้ ตอนนี้…เป็นเช่นนี้เถอะ”
“เช่นนี้อะไร” ฉินเจิงรั้งกายนาง
เซี่ยฟางหวาลงมือก่อนเขาก้าวหนึ่ง นางใช้วิชาประหลาดยิ่ง เห็นเพียงเส้นพลังสีดำมัดตัวเขาจนขยับไม่ได้ นางมองใบหน้าโกรธจัดของเขาแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “ฉินเจิง ข้าอยากมีชีวิตเรียบง่ายกับเจ้าให้มากกว่านี้ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ทว่าสุดท้ายแล้ว ถึงเจ้ากับข้ามีความรักให้กันลึกซึ้งหากแต่ไร้วาสนา ข้าไปแล้ว เจ้าก็ดูแลตัวเองด้วย”
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ฉินเจิงตาแดง ทั้งลนลานทั้งโมโห “เจ้าใช้วิทยายุทธ์ใด”
“วิชาลับเผ่าภูตผี แม้วิทยายุทธ์เจ้าสูงกว่าข้า แต่หากไม่เข้าใจวิชาลับเผ่าภูตผีย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้า” เซี่ยฟางหวาหันตัวกลับเชื่องช้าแล้วตอบเสียงเบา
“เจ้าส่งท่านปู่ ท่านลุง พี่หลินซี กระทั่งป้าฝูออกเดินทางลับๆ ก็เพื่อไปจากเมืองหลวง ไปจากข้า สองวันนี้เจ้าเตรียมการสิ่งนี้เอาไว้หรือ” ฉินเจิงถามขึ้น
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ “ใช่แล้ว วันนั้นข้าฟื้นขึ้นมาก็จดจำเรื่องราวได้มากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้” หยุดชั่วครู่แล้วหันหลังเดินออกไป ขณะเดียวกันก็กล่าวเสียงเบา “ฉินเจิง ข้าส่งคนไปเตรียมการไว้พร้อมแล้ว ขอให้ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ มีคำสั่งให้เจ้าออกหนังสือหย่าให้แก่ข้า ถึงอย่างไรข้าก็ยังไม่ได้อยู่ในผังราชนิกุลสกุลฉิน หนังสือหย่าก็เหมือนกับสมรสพระราชทาน ล้วนขึ้นอยู่กับพระราชโองการฉบับเดียวเท่านั้น ง่ายดายอย่างยิ่ง”
ตอนที่ 66-1 ถึงตายก็ไม่แต่ง
“ข้าไม่ยอม!” ฉินเจิงเห็นเซี่ยฟางหวาออกจากห้อง ม่านมุกไหวส่งเสียงแผ่วเบาเมื่อนางเดินผ่าน เขาตะโกนเสียงดัง
เซี่ยฟางหวาแสร้งไม่ได้ยิน ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เมื่อออกมาข้างนอกแล้วก็ตะโกนเรียก “ซื่อฮว่า!”
“คุณหนู” ซื่อฮว่าขานรับพร้อมปรากฏตัวขึ้น
“เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” เซี่ยฟางหวาถาม
ซื่อฮว่ามองเข้าไปข้างในแวบหนึ่งก่อนพยักหน้าเชื่องช้า
“ในเมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางประเดี๋ยวนี้” เซี่ยฟางหวาพูดพลางก็ข้ามธรณีประตูออกไป
“คุณหนู ท่านกับท่านอ๋องน้อย…” ซื่อฮว่าเดินตามนาง เอ่ยถามเสียงเบาอย่างลังเล
นางได้ยินเหตุการณ์ในห้องเมื่อครู่อยู่บ้าง
“เขาจะมอบหนังสือหย่าให้ข้า” น้ำเสียงของเซี่ยฟางหวาติดเย็นชา “ต่อไปเราไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว เว้นเสียแต่เหตุการณ์จำเป็น ห้ามเอ่ยถึงเขาต่อหน้าข้าโดยเด็ดขาด”
“คุณหนู” ซื่อฮว่าสีหน้าเปลี่ยนไป หลุดอุทานด้วยความตกใจ
เซี่ยฟางหวาไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอีกราวกับไม่อยากเหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย เร่งฝีเท้าออกจากเรือนลั่วเหมย
“เซี่ยฟางหวา เจ้าหยุดประเดี๋ยวนี้!” เมื่อนางเดินมาถึงทางเข้าเรือนลั่วเหมย ฉินเจิงก็ตะโกนขึ้นอีก น้ำเสียงเจือความเสียใจอย่างยิ่ง
เซี่ยฟางหวาหันกลับไปมองก่อนตวัดฝ่ามือแผ่วเบา หมอกสีทะมึนลอยเข้าไปในห้องผ่านทางหน้าต่าง
เสียงของฉินเจิงอื้ออึงอยู่ในลำคอ เอ่ยคำใดไม่ออกอีกแล้ว เขาดิ้นรนสุดความสามารถ แต่ไม่ว่าออกแรงอย่างไร วิทยายุทธ์ที่มีก็ไม่อาจทำลายมันได้ ควันสีทะมึนกลุ่มนั้นมัดตัวเขาจนขยับเขยื้อนมิได้
เขาลนลานจนนัยน์ตาแดงก่ำ ไฟโทสะแล่นโจมตีหัวใจ ร่างกายล้มลงกับพื้นดัง ตึง!
ร่างเขาชนกับโต๊ะเก้าอี้พอดี โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดตามแรงชน เกิดเสียงดังสนั่นลั่น
“คุณหนู ท่านอ๋องน้อยเขา…” ซื่อฮว่าสะดุ้งโหยง รีบเอ่ยขึ้น
เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเรียบเฉย หันหลังเดินออกจากเรือนลั่วเหมย
ซื่อฮว่ายังอยากพูดต่อ ทว่าเห็นเซี่ยฟางหวาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว นางหันกลับไปมองพวกซื่อม่อที่ตามหลังมา ซื่อม่อส่ายหน้าให้นาง สื่อว่าให้เชื่อฟังคุณหนู นางจึงได้แต่เงียบลงแล้วเดินตามเซี่ยฟางหวาออกจากเรือนลั่วเหมย
อวี้จั๋วกับหลินชีได้ยินเสียงก็วิ่งออกมา เห็นหลังไวๆ ของเซี่ยฟางหวาที่เดินออกไป ทั้งสองมองหน้ากัน รับรู้ได้ถึงความผิดปกติจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้อง
เมื่อมาถึงห้องกลางก็พบโต๊ะล้มระเนระนาด ฉินเจิงสลบอยู่บนพื้น
ทั้งสองรีบรุดหน้าเข้าไป คนหนึ่งเรียก “ท่านพี่” คนหนึ่งเรียก “ท่านอ๋องน้อย” ทว่าเรียกเท่าไรก็ไม่มีการตอบสนอง
“เจ้าเฝ้าท่านพี่ไว้ก่อน ข้าจะไปตามพี่สะใภ้” อวี้จั๋วสั่งงานหลินชีแล้วรีบวิ่งออกไป
เขาวิ่งออกจากเรือนลั่วเหมยไปยังหน้าประตูจวน ตามมาหาเซี่ยฟางหวาที่กำลังขึ้นม้าทัน วิ่งกระหืดกระหอบไปขวางทาง “พี่สะใภ้ ท่านพี่ล้มลงไปกับพื้น สลบไม่ได้สติ พวก…พวกท่าน…”
“เขาแค่หมดสติไปชั่วคราว ไม่น่าร้ายแรงนัก ถ้าเจ้าไม่สบายใจก็ไปตามหมอหลวงมาตรวจดูได้” เซี่ยฟางหวามองเขาพร้อมกล่าวเสียงเรียบ
“พี่สะใภ้ แล้วท่าน…ท่านจะไปไหน” อวี้จั๋วแม้อายุน้อย แต่ก็สัมผัสได้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ปกติ
“ข้าจะไปเมืองหลินอัน” เซี่ยฟางหวาพลิกกายขึ้นม้า นั่งหลังตรงสง่า กวาดตามองประตูใหญ่สีแดงเข้มของจวนอิงชินอ๋องและป้ายเดินทอง จากนั้นก็กล่าวกับเขา “ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็ช่วยไปบอกพระชายาแทนข้าด้วยว่า ข้ากับฉินเจิงมีความรักลึกซึ้งทว่าวาสนาน้อย ได้เป็นลูกสะใภ้ของนางไม่กี่วัน ถือว่าเป็นบุญวาสนาที่ข้าได้สะสมมาหลายชาติ พระราชโองการหย่าร้างของฝ่าบาทน่าจะใกล้มาถึงจวนอิงชินอ๋องแล้ว เมื่อมีการเผยแพร่พระราชโองการ ขออย่าให้พระชายาขัดขวาง ข้าตัดสินใจดีแล้ว”
“หย่า…หย่าร้าง” อวี้จั๋วตกใจจนหน้าซัดทันที
เซี่ยฟางหวาไม่พูดมากความ หนีบขาสองข้างเข้ากับท้องม้า ม้าใต้ร่างยกเท้าทั้งสี่มุ่งหน้าออกจากหน้าจวนอิงชินอ๋องทันที
พวกซื่อฮว่า ซื่อม่อ ผิ่นจู๋ ผิ่นเซวียนแปดคนขี่ม้าตามนางออกไป
เสียงกีบเท้าม้าดังต่อเนื่องตลอดถนนทั้งสาย ยิ่งเป็นช่วงกลางคืนยิ่งกังวานมาก
“พี่สะใภ้!” อวี้จั๋วตะโกนเรียกไล่หลัง ทว่าเซี่ยฟางหวาไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เพียงชั่วพริบตาก็ไปจากถนนเส้นนี้ เสียงกีบเท้าม้ามุ่งไปยังประตูเมืองและยิ่งไกลออกไป เขาทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ ตั้งสติได้แล้วก็คว้าตัวคนเฝ้าประตูมาตะโกนบอกด้วยความลนลาน “รีบไปตามหมอหลวงมา”
คนผู้นั้นก็ทราบว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจึงรีบพยักหน้า ก่อนวิ่งไปยังสำนักหมอหลวง
อวี้จั๋ววิ่งแจ้นไปยังเรือนหลัก
เหตุการณ์เซี่ยฟางหวาออกจากเรือนลั่วเหมยมุ่งไปยังหน้าประตูจวนอิงชินอ๋อง อิงชินอ๋องกับพระชายาที่อยู่เรือนหลักย่อมทราบข่าวแล้ว ทั้งคู่ที่เตรียมตัวพักผ่อนพลันลุกขึ้นออกมานอกห้อง
พระชายาอิงชินอ๋องเปิดประตูเรียกชุนหลัน “รีบไปถามดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชุนหลันขานรับ ทว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว อวี้จั๋วก็วิ่งกระหืดหระหอบมายังเรือนหลัก เมื่อเห็นพระชายาอิงชินอ๋องก็รีบตะโกนขึ้น “พระชายา รีบไปดูเถิด ท่าไม่ดีแล้ว”
“ท่าไม่ดีอย่างไร เจ้าค่อยๆ พูด” พระชายาอิงชินอ๋องรีบถาม
อวี้จั๋วหอบหายใจ ก่อนเล่าเรื่องฉินเจิงสลบไปในห้อง เขารีบตามออกไป และคำพูดที่เซี่ยฟางหวาฝากตนมาบอกให้พระชายาอิงชินอ๋องฟัง
“อะไรนะ! ฝ่าบาทจะทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง เพราะเหตุใด หวาเอ๋อร์…นางบอกเช่นนี้จริงหรือ เกิดอะไรขึ้น” พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็ตัวสั่น ใบหน้าก็ซีดขาว
อวี้จั๋วส่ายหน้า เขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงพูดว่า “ข้ากับหลินชีอยู่ข้างนอก ได้ยินท่านพี่กับพี่สะใภ้ทะเลาะกันด้วยเรื่องใดมิทราบดังแว่วมาจากในห้อง จากนั้นท่านพี่ก็สลบไป พี่สะใภ้นำสาวใช้ทั้งหมดออกไปแล้ว”
“เร็วเข้า! สั่งคนตามหวาเอ๋อร์ไป” พระชายาอิงชินอ๋องรีบกล่าว
“พระชายา บ่าวคิดว่าช่วยท่านอ๋องน้อยแล้วสอบถามเรื่องราวก่อนดีกว่า ท่านอ๋องน้อยมิได้ห้ามพระชายาน้อย ถึงเราส่งคนไปแล้วจะห้ามได้หรือ หรือพระชายาจะไปตามเอง” ชุนหลันเองก็ตกใจเมื่อได้ยินว่าฉินเจิงสลบไป นางเห็นฉินเจิงมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ย่อมเป็นห่วงไม่น้อยจึงรีบเอ่ยขึ้น
“ข้าไปตามเองก็ย่อมได้” พระชายาอิงชินอ๋องยกกระโปรงเดินออกไป พลางออกคำสั่งด้วยความรีบร้อน “เตรียมม้า ข้าจะไปตามเอง”
“เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน ชุนหลันพูดถูกแล้ว ช่วยฉินเจิงฟื้นขึ้นมาก่อนเถิด ดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยว่ากัน” อิงชินอ๋องเดินตามหลังมาแล้วคว้าแขนพระชายาไว้
“ท่านอ๋อง หวาเอ๋อร์ชอบเจิงเอ๋อร์ ข้าเป็นสตรีนั้นเข้าใจดีอย่างยิ่ง แม้เจิงเอ๋อร์ยิงธนูสามดอกใส่นาง นางก็ยังยืนกรานที่จะออกเรือนกับเขา ความรักเช่นนี้ สตรีใดในใต้หล้ากล้าทำบ้าง จะต้องเกิดเรื่องใดขึ้นเป็นแน่ วันนี้นางยังปกติดีอยู่เลย ไม่มีทางพูดเช่นนี้แล้วจากไปอย่างไร้เหตุผลแน่นอน” พระชายาดึงมืออิงชินอ๋องออก “เจ้ารอที่จวน รีบตามหมอหลวงมาช่วยเจิงเอ๋อร์ ข้าจะนำคนไปตามหวาเอ๋อร์เอง หากยังช้าไปกว่านี้ นางคงออกจากเมืองไปแล้ว ฟ้ามืดเช่นนี้ หากเกิดเรื่องขึ้นจะทำเช่นไร”
“ข้าไปตามเองดีกว่า” อิงชินอ๋องเสนอตัวแทน
“หวาเอ๋อร์สนิทใจกับข้า ถ้าท่านเป็นคนไปตาม ถึงนางมีเรื่องใดก็คงไม่ยอมบอกท่าน ข้าไปเองดีกว่า”
พระชายาอิงชินอ๋องพูดพลางก็ออกจากเรือนหลัก ขณะเดียวกันก็สั่งงาน “รีบไปเตรียมม้า นำตงชิงม้าเร็วที่สุดในโรงม้าออกมา”
“ขอรับ” สี่ซุ่นรีบวิ่งออกไป
ชุนหลันเป็นคนสนิทประจำตัวพระชายาอิงชินอ๋อง เมื่อพระชายายืนกรานว่าจะไปตามเอง นางก็รีบตามออกไปเช่นกัน ขณะเดียวกันก็เอ่ยบอกอิงชินอ๋อง “ท่านอ๋อง ท่านรีบไปเรือนลั่วเหมยเถิด ช่วงนี้ท่านอ๋องน้อยร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ท่านสอบถามให้ทราบแน่ชัดก็พอแล้ว อย่าพาลโมโหใส่ท่านอ๋องน้อยอีกคนเลย”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าดูแลพระชายาด้วย” อิงชินอ๋องโบกมือไล่
ชุนหลันพยักหน้าแล้วรีบออกไป
ไม่นานพระชายาอิงชินอ๋องก็ขี่ม้าเร็วออกจากจวน ผู้คุ้มกันจวนกองหนึ่งติดตามอารักขาอยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
จวนอิงชินอ๋องเคลื่อนไหวโดยไม่ปิดบัง ในเวลาไม่นานจวนต่างๆ ก็ทราบข่าว
ชั่วเวลานั้นหลายคนเกิดคำถามคาใจ มิทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่จวนอิงชินอ๋อง เกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยฟางหวาและฉินเจิง
ตอนที่ 66-2 ถึงตายก็ไม่แต่ง
ไม่นานหมอหลวงก็ถูกเชิญมาที่จวนอิงชินอ๋อง หลังผ่านประตูจวนเข้ามาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดพักหายใจแม้แต่ครู่เดียว ถูกลากไปยังเรือนลั่วเหมยด้วยความรีบร้อน
เวลานี้หลินชีนำร่างฉินเจิงขึ้นมานอนบนเตียงแล้ว เมื่อเห็นอิงชินอ๋องกับหมอหลวงเดินตามกันเข้ามาก็รีบหลีกทางให้ด้วยใบหน้าซีดขาว “ไม่ว่าข้าเรียกท่านอ๋องน้อยเช่นไร ท่านอ๋องน้อยก็ไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเลยขอรับ”
“หมอหลวงรีบตรวจเขาเถอะ” อิงชินอ๋องบอก
หมอหลวงท่านนี้อยู่เข้าเวรในสำนักหมอหลวงวันนี้ แม้ไม่ได้มีวิชาแพทย์ดีเยี่ยมเหมือนหมอหลวงซุน แต่ก็มิได้อ่อนด้อย มักเรียนรู้จากหมอหลวงซุนด้วยความถ่อมตัวเสมอ หลังหมอหลวงซุนเสียชีวิต งานของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเป็นกอง การถวายการรักษาฝ่าบาทและพระสนมต่างตกอยู่ในความรับผิดชอบของเขา เขาจึงต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น ยามนี้เห็นว่าฉินเจิงสลบไปจึงรีบมาตรวจชีพจรให้
พักต่อมาเขาก็ถอนหายใจยาว ประสานมือกล่าวกับอิงชินอ๋อง “เรียนท่านอ๋อง ท่านอ๋องน้อยมีอาการกระวนกระวายแล่นโจมตีหัวใจทำให้สลบไปชั่วเวลาหนึ่ง ภายในช่องท้องมีเลือดออก สร้างความเสียหายเล็กน้อย มิได้ร้ายแรงขอรับ”
“เขาจะฟื้นเมื่อไร” อิงชินอ๋องโล่งอก
“แค่ฝังเข็มก็ฟื้นแล้ว ต้องแล้วแต่ท่านอ๋อง หากมิรีบร้อน อยากให้ท่านอ๋องน้อยฟื้นช้าหน่อยก็อีกสามชั่วยามให้หลัง เขาน่าจะฟื้นขึ้นมาเอง แต่หากท่านอ๋องรีบ เช่นนั้นข้าก็จะฝังเข็มให้ เพียงหนึ่งก้านธูป ท่านอ๋องน้อยก็ฟื้นแล้วขอรับ” หมอหลวงตอบ
“เช่นนั้นเจ้าฝังเข็มเถอะ รีบให้เขาฟื้นมา” อิงชินอ๋องบอก
หมอหลวงพยักหน้าแล้วหยิบเข็มออกมาจากกระเป๋ายา ก่อนฝังเข็มบนจุดฝังเข็มให้ฉินเจิง
“ฝังเข็มครั้งนี้ไม่อันตรายต่อร่างกายเขาใช่ไหม” อิงชินอ๋องถาม
หมอหลวงส่ายหน้า “มิอันตรายขอรับ ท่านอ๋องโปรดวางใจเถิด” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวเพิ่มเติม “แต่กระหม่อมตรวจชีพจรให้ท่านอ๋องน้อย พบว่าอาการบาดเจ็บภายในยังไม่หายสนิท ทั้งมีเลือดออกเพิ่มขึ้น ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก ต้องถนอมร่างกายให้มากกว่านี้ ค่อยๆ บำรุงรักษาไป ห้ามชะล่าใจโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นหากลมปราณไม่สมบูรณ์จะยิ่งร้ายแรงขึ้น”
อิงชินอ๋องผงกศีรษะ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
หลินชีฟังอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแม้แต่จะถอนหายใจ
เวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา ฉินเจิงก็ลืมตาขึ้น
“ฟื้นแล้ว ท่านอ๋องน้อยฟื้นแล้วขอรับ” หมอหลวงดึงเข็มออกแล้วเอ่ยกับฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อยรู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนหรือไม่”
นัยน์ตาของฉินเจิงที่เพิ่งลืมตาขึ้นสว่างสุกใส เขากวาดตามอง เห็นอิงชินอ๋อง หมอหลวง หลินชี รวมถึงโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น ทันใดนั้นก็ราวกับนึกบางสิ่งได้ ประกายในแววตาหม่นลงคล้ายกับปกคลุมด้วยเมฆครึ้มชั้นหนึ่ง
“คงไม่มีปัญหาใด รบกวนเจ้าแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าวกับหมอหลวง
หมอหลวงเองก็ทราบว่าคงเกิดบางอย่างขึ้นในจวนอิงชินอ๋อง ดังนั้นฉินเจิงถึงได้สลบไปเพราะความกระวนกระวายแล่นโจมตีหัวใจ ในเมื่อคนป่วยฟื้นแล้ว อยู่ต่อไปคงไม่ดีนักจึงถือโอกาสขอตัวลา “มิรบกวน ข้าขอตัวก่อน”
“หลินชี ส่งหมอหลวง ตกรางวัลหนักให้ด้วย” อิงชินอ๋องสั่งหลินชี
หลินชีขานรับแล้วรีบมอบทองคำหนักให้พร้อมส่งหมอหลวงออกจากจวน หมอหลวงปฏิเสธก่อน สุดท้ายก็รับเอาไว้แล้วออกจากเรือนลั่วเหมย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดหวาเอ๋อร์ถึงรีบร้อนออกจากจวนไปกลางดึกเช่นนี้” เมื่อภายในห้องเหลือแค่อิงชินอ๋องกับฉินเจิง อิงชินอ๋องก็เอ่ยถามขึ้น
ฉินเจิงไม่ตอบ
“เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่ เจ้ายิงธนูสามดอกใส่นางไม่พอ ยามนี้ยังทำสิ่งใดให้นางเสียใจอีก ในเมื่อวางแผนแต่งเข้ามาด้วยความลำบาก เหตุใดถึงไม่ทะนุถนอมนางให้ดี” อิงชินอ๋องเริ่มโมโห
ฉินเจิงหลับตาลง ไม่ส่งเสียงใด
“เจ้าพูดอะไรบ้างสิ!” อิงชินอ๋องเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ทั้งร้อนใจทั้งโมโห “แม่เจ้าออกไปตามแล้ว นางขี่ม้าตงชิงออกไป ไม่รู้ว่าจะไล่ตามทันหรือไม่”
ฉินเจิงยังคงเงียบ
อิงชินอ๋องจ้องมองเขาพร้อมเอ่ยถามซ้ำแล้วซ้ำอีก ทว่าเขายังไม่ยอมปริปากตอบ เมื่อจนปัญญาแล้วก็ได้แต่กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว มีเรื่องใดไฉนถึงไม่คุยกันดีๆ เอาแต่ทรมานจนอยู่ในสภาพนี้ กว่าพวกเจ้าจะได้สมรสกันไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนหน้านี้ยังดีๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้ทำอะไรลงไปอีก”
ทว่าจู่ๆ ฉินเจิงก็ไอออกมา ตะแคงตัวกระอักเลือดลงบนขอบเตียง
“ฉินเจิง” อิงชินอ๋องตกใจ ส่งเสียงเรียกเขา
ฉินเจิงลืมตาขึ้นเชื่องช้า นัยน์ตาคู่นั้นอับแสง มีเพียงความมืดครึ้ม เขาตวัดตามองอิงชินอ๋องแล้วเอ่ยทั้งลำคอแห้งผาก “ท่านพ่อ ข้าสาบานว่าถึงตายก็จะไม่แต่งกับหลี่หรูปี้”
อิงชินอ๋องเห็นเขากระอักเลือดออกมา ทำขอบเตียงและพื้นเปื้อนเลือดกองใหญ่ ประกอบกันได้ยินเขาบอกเช่นนั้นก็แปลกใจทันที “เจ้า…เจ้าพูดอะไร หลี่หรูปี้ คุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาน่ะหรือ นางเป็นอะไรรึ”
“ข้าสาบานว่าถึงตายก็จะไม่แต่งกับหลี่หรูปี้” ฉินเจิงมองเขาแล้วพูดซ้ำ
“เกี่ยวข้องกับหลี่หรูปี้หรือ ใครให้เจ้าแต่งกับนาง นาง…ไม่ใช่ว่าหมั้นหมายกับฉินอวี้แล้วหรือ หรือว่าเกิดเรื่องใดขึ้น” อิงชินอ๋องค่อนข้างสับสน
“ข้าสาบานว่าถึงตายก็จะไม่แต่งกับหลี่หรูปี้” ฉินเจิงพูดขึ้นอีก
อิงชินอ๋องมองเขา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อน ต่อให้ยิงธนูสามดอกใส่เซี่ยฟางหวา เขาก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง แม้สลบไปเช่นเดียวกัน แต่เมื่อฟื้นมาก็ค่อนข้างเยือกเย็นและสงบนิ่งขึ้นบ้างเท่านั้น บุตรชายคนนี้มีนิสัยต่างจากคนทั่วไปมาตั้งแต่เด็ก ไม่สนใจประเพณีนิยม กระทำตามอำเภอใจ ทว่าสภาพในตอนนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เขามีลมหายใจอ่อนโหยราวกับถูกดูดจิตวิญญาณจนดูอ่อนแอไปบ้าง ทำเอาตนผู้เป็นบิดาที่เดิมทีเตรียมจะพาลโมโหใส่เขา กลับเอ่ยคำใดไม่ออกอีกเลย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะฝ่าบาท หรือรัชทายาท หรือว่ายังมีคนอื่นอีก” เขาถอนหายใจออกมาแล้วลดเสียงอ่อนลง
แววตาฉินเจิงคล้ายหาจุดวางสายตามิได้ มีแต่ความมืดครึ้ม ไม่ตอบอิงชินอ๋อง
อิงชินอ๋องยืนอยู่หน้าเตียง เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็เริ่มร้อนใจ
ผ่านไปพักหนึ่งก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากข้างนอก “มีพระราชโองการ”
อิงชินอ๋องตกใจ ฟ้ามืดดึกดื่นเช่นนี้แล้วนึกไม่ถึงว่ายังมีพระราชโองการมาอีก เขาหันไปมองฉินเจิง
ฉินเจิงพลันนึกบางสิ่งได้ ผุดลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากเตียง สาวเท้าออกไปข้างนอก
“เจิงเอ๋อร์” อิงชินอ๋องตะโกนเรียก
ฉินเจิงไม่แม้แต่หยุดชะงัก ไม่แม้แต่จะหันมามอง ชั่วพริบตาก็รุดออกจากห้อง ออกจากเรือนลั่วเหมย
อิงชินอ๋องได้แต่สาวเท้าตามเขาไป
สายลมยามราตรีพัดเส้นผมฉินเจิงจนยุ่งเหยิง พัดเอาคราบเลือดที่มุมปากและปกเสื้อแห้งสนิท
เขามุ่งไปยังประตูใหญ่ พบว่าอู๋เฉวียนยืนถือพระราชโองการอยู่ตรงนั้น
“ท่านอ๋องน้อย” ทันทีที่อู๋เฉวียนเห็นฉินเจิงก็ตกใจ สงสัยว่าตนตาฝาดหรือไม่
“พระราชโองการใด” ใบหน้าฉินเจิงเย็นชาจนน่ากลัว จ้องมองพระราชโองการในมือเขาแล้วเอ่ยถาม
อู๋เฉวียนเห็นสภาพเขาราวกับแค่สายตาก็สังหารคนได้ เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง พูดตะกุกตะกักอย่างลำบากใจ “พระราชโองการที่ฝ่าบาท…พระราชทานให้ท่าน”
“เอามาให้ข้า” ฉินเจิงแบมือขอ
“ท่านอ๋องน้อย พระราชโองการ…ยังมิได้อ่าน” อู๋เฉวียนมือสั่น
“ส่งมา” ฉินเจิงดึงพระราชโองการมา
อู๋เฉวียนได้แต่มอบพระราชโองการให้เขา ขณะเดียวกันก็ถอยห่างออกไปหลายก้าว
ฉินเจิงรับพระราชโองการมาเปิดอ่านอย่างว่องไว เมื่ออ่านจบก็เงยหน้ามองอู๋เฉวียนอย่างดุดัน น้ำเสียงเยือกเย็นเสียจนแช่แข็งคนได้ “นี่เป็นพระราชโองการที่เสด็จอาเป็นผู้ออกจริงหรือ”
“เรียนท่านอ๋องน้อย นี่เป็นพระราชโองการของฝ่าบาทจริงขอรับ” อู๋เฉวียนเห็นอิงชินอ๋องตามออกมาก็คล้ายกับเห็นผู้ช่วยชีวิต เปลี่ยนเรื่องด้วยใบหน้าขมขื่น “ท่านอ๋อง ท่าน…แข็งแรงขึ้นแล้วหรือ”
“อู๋กงกง พระราชโองการใดหรือ ไฉนถึงมาประกาศดึกขนาดนี้” อิงชินอ๋องก้าวขึ้นมา เอ่ยถามอู๋เฉวียนด้วยความสุขุมอย่างที่สุด
อู๋เฉวียนมองฉินเจิงแวบหนึ่ง ไม่กล้าตอบคำถาม
“เสด็จอาทรงเห็นพระราชโองการเป็นสิ่งใด ไร้หลักการเช่นนี้เชียวรึ เช้าประกาศตกเย็นก็แก้ไข พระองค์จะมอบสมรสพระราชทานให้ใครก็ออกพระราชโองการ พออยากให้มีการหย่าร้าง เพียงออกพระราชโองการก็หย่าร้างได้แล้วหรือ ถึงเป็นจักรพรรดิ ใต้หล้าไหนเลยจะมีหลักการเช่นนี้ ข้าว่าเสด็จอาทรงประชวรหนักไม่เบา” ฉินเจิงบันดาลโทสะฉับพลัน
“อะไรนะ! นี่เป็นพระราชโองการหย่าร้างรึ” อิงชินอ๋องตกใจ รีบก้าวขึ้นไปดูพระราชโองการในมือฉินเจิง
ฉินเจิงไม่รออิงชินอ๋องอ่านจบ เขาตวัดฝ่ามือทำลายพระราชโองการแหลกเป็นจุณ จากนั้นก็ตะโกนขึ้น “ใครก็ได้! ไปนำม้ามา”
“เจิงเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไร” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“เข้าวัง” ใบหน้าฉินเจิงดุจน้ำแข็ง ตอบคำถามสั้นๆ
อิงชินอ๋องเห็นเขามีท่าทางหมายจะสังหารคน ทราบดีว่าคงห้ามไม่อยู่จึงรีบเอ่ยขึ้น “ใครก็ได้ ไปนำม้ามาให้ข้าด้วยตัวหนึ่ง”
มีคนรีบขานรับแล้วทำตามคำสั่ง
“ท่านอ๋องน้อยกับท่านอ๋อง…จะเข้าวังหรือ” อู๋เฉวียนมองสองพ่อลูกด้วยความระวัง
ฉินเจิงชำเลืองมองเขาด้วยแววตาดุดัน ทันใดนั้นก็ตวัดฝ่ามือปัดเขาออกไปให้พ้น
ร่างกายของอู๋เฉวียนคล้ายกับว่าวที่สายป่านขาด ถูกลมฝ่ามือของฉินเจิงปัดกระเด็นออกไปไกล กระแทกเข้ากับกำแพงจนเกิดเสียง ‘ปัก’ กระอักเลือดกองใหญ่ออกมาแล้วสลบไปทันที
ขันทีน้อยที่มาเผยแพร่พระราชโองการกับอู๋เฉวียนด้วยต่างตกใจจนหน้าถอดสี ขาแข้งอ่อนแรง คุกเข่าลงกับพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน
เวลานี้มีคนจูงม้าออกมา
ฉินเจิงไม่แยแสขันทีน้อยเหล่านั้น เขาพลิกกายขึ้นม้า มุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันที
อิงชินอ๋องขึ้นม้าทีหลัง ทว่าไม่รวดเร็วเท่าเขา ถูกเขาทิ้งห่างราวครึ่งถนน
จวนอิงชินอ๋องกับวังหลวงมีการเคลื่อนไหวไล่หลังกัน ทำเอาเมืองหลวงดั่งน้ำเดือดปะทุขึ้นชั่วเวลาหนึ่ง
กระแสข่าวประหนึ่งก้อนหิมะกลิ้งตกจากภูเขา ทุกคนในจวนใหญ่ต่างเกิดความประหลาดใจ
ตอนที่ 67-1 ป่าวประกาศต่อใต้หล้า
ฉินเจิงควบม้ามาถึงหน้าประตูวังหลวง ทว่าประตูวังถูกขัดดาลปิดสนิทแล้ว
“เปิดประตู!” เขาดึงเชือกบังเ**ยน ตะโกนบอกคนอารักขาประตูวัง
คนอารักขาประตูวังชะโงกหน้าผ่านกำแพงวังหลวง เห็นว่าเป็นฉินเจิง ใบหน้าเขาเยือกเย็นอึมครึมท่ามกลางราตรี สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกดุจกระบี่ที่ออกจากฝัก เขาสะดุ้งตกใจจนหดตัวกลับเข้าไปเพื่อรายงานต่อหัวหน้าองครักษ์
“เปิดประตู!” ฉินเจิงตะโกนอีกครั้ง
“เรียนท่านอ๋องน้อย วังหลวงขัดดาลแล้ว ฝ่าบาทเพิ่งทรงมีพระบัญชาเมื่อครู่ว่า นับจากนี้สามวันงดว่าราชการยามเช้า ไม่เปิดประตูวังหลวง ให้ขุนนางทั้งหมดพักผ่อนสามวันขอรับ” ไม่นานหัวหน้าองครักษ์อารักขาประตูวังก็ชะโงกหน้าออกมาแล้วรีบเอ่ยขึ้น
“อะไรนะ” ฉินเจิงหรี่ตาลง
“นับจากนี้สามวัน ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ปิดประตูวังหลวง มิขอพบผู้ใดทั้งนั้น” หัวหน้าองครักษ์กล่าว
“เพราะเหตุใด” ใบหน้าฉินเจิงดุจน้ำค้างแข็งแตกร้าวทันที
“ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยมิแข็งแรงขอรับ” หัวหน้าองครักษ์ตอบ “หากท่านอ๋องน้อยมีธุระใด ฝากข้าน้อยไปทูลรายงานก็ได้”
ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “เสด็จอาทรงมีสุขภาพไม่แข็งแรงรึ ไม่แข็งแรงแล้วยังว่างมาก้าวก่ายเรื่องคนอื่นอีกหรือ ยังว่างมาออกพระราชโองการหย่าร้าง” เขาพูดพลางก็คว้าคันธนูข้างหน้ามาง้างคันธนูออก เอ่ยเตือนหัวหน้าองครักษ์เสียงเย็น “เปิดประตู มิฉะนั้นเจ้าก็ใช้ตัวต้านคำสั่งเสีย!”
“ท่านอ๋องน้อย วังหลวงเป็นอาณาเขตสำคัญของโอรสสวรรค์นับแต่โบราณกาล แม้ท่านมีฐานะเป็นท่านอ๋องน้อย โตมาในวังหลวง ทว่าก็มิอาจขัดพระบัญชาขององค์จักรพรรดิได้ ข้าน้อยตายก็มิเป็นไร แต่ท่านอ๋องน้อยจะแบกรับคำครหาว่าก่อกบฏไว้บนบ่าหรือ” หัวหน้าองครักษ์มีสีหน้าเปลี่ยนไป มองฉินเจิงด้วยความเกรงกลัว
“ก่อกบฏหรือ” ฉินเจิงหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็ปล่อยลูกธนูในมือยิงออกไป
เกิดเสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น ลูกธนูปักลงบนหน้าอกข้างซ้ายของหัวหน้าองครักษ์บนกำแพงวัง เขาล้มลงไปบนพื้นทันที
องครักษ์บนกำแพงสะดุ้งโหยง มองมายังฉินเจิงด้วยความตื่นกลัว
“ให้เวลาพวกเจ้าครึ่งถ้วยชา รีบเปิดประตูประเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าไม่สนว่าวันนี้จะต้องถูกตราหน้าว่าหมิ่นอำนาจราชสำนัก หรือต้องข้อหาใช้โลหิตอาบประตูวัง” ฉินเจิงบอกเสียงเย็นชา
“ท่านอ๋องน้อย หนึ่ง…หนึ่งถ้วยชา จะรีบไปทูลรายงานต่อฝ่าบาทประเดี๋ยวนี้” รองหัวหน้าพูดเสียงสั่นก่อนรีบลงจากกำแพงวังหลวง วิ่งไปยังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ด้วยความรีบร้อน
หลายปีนี้ต้องเปลี่ยนคนอารักขาบนกำแพงวังหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินฉินเจิงเลย ที่ผ่านมาฉินเจิงนึกจะเข้าวังหลวงก็เข้า นึกจะออกจากวังก็ออก สำหรับคนทั่วไปแล้ววังหลวงเป็นสถานที่อันน่าเกรงขาม แต่สำหรับเขาแล้วก็เสมือนบ้านของตนเอง ความน่าเกรงขามของอำนาจราชสำนักเป็นเหมือนมูลเปื้อนดินโคลนในสายตาเขามาตั้งแต่เล็กจนโต
สภาพฉินเจิงในตอนนี้บอกว่าจะก่อเหตุนองเลือดเปื้อนประตูวัง เขาต้องทำจริงโดยไม่ต้องสงสัยเลย
ลูกธนูที่ฉินเจิงยิงออกไป หากไม่ใช่ว่าไว้ชีวิตหัวหน้าองครักษ์นายนั้น ลูกธนูคงไม่ได้ปักลงบนหน้าอกข้างซ้าย แต่ตำแหน่งหัวใจแทน
ไม่นานอิงชินอ๋องก็ขี่ม้าไล่มาทัน เห็นฉินเจิงยืนหน้าประตูวังด้วยใบหน้าเย็นชาอึมครึม เขาจึงส่งเสียงเรียก “ฉินเจิง!”
ฉินเจิงหันมามองอิงชินอ๋องแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใด
“ในเมื่อประตูวังขัดดาลแล้ว มีธุระใดไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้เถอะ!” อิงชินอ๋องเห็นท่าทางของฉินเจิงแล้วก็กลัวว่าเขาจะก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินขึ้นมา
“วังหลวงจะปิดประตูสามวัน ข้ารอสามวันไม่ไหวหรอก” ฉินเจิงบอกเสียงเย็น
“ปิดประตูวังสามวัน เพราะเหตุใด” อิงชินอ๋องแปลกใจ
“นี่ต้องทูลถามเสด็จอาแล้ว ฟังว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์เอง” น้ำเสียงฉินเจิงเย็นยะเยือก “สุขภาพไม่แข็งแรง แต่ยังออกพระราชโองการหย่าร้างได้ ข้าก็อยากรู้นักว่าเสด็จอาทรงประชวรหนักถึงขั้นใดกันแน่ ถึงได้ไร้เหตุผลจนเลอะเทอะเช่นนี้”
“เจิงเอ๋อร์!” อิงชินอ๋องกดเสียงทุ้มต่ำ “ปลาหมอตายเพราะปาก ห้ามดูหมิ่นฝ่าบาทเช่นนี้”
“ในเมื่อพระองค์ทรงกระทำไปแล้ว ยังกลัวเสียงต่อว่าอีกหรือ ข้าไม่เพียงแต่จะต่อว่า หากวันนี้พระองค์ไม่ยอมเปิดประตูให้ข้าพบ ข้าก็จะใช้เลือดย้อมประตูวังเสีย!” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ ใบหน้าซีดขาว เร่งม้าเข้าไปหาเตือนอย่างลนลาน “ห้ามทำเช่นนั้น!”
ฉินเจิงเม้มปากเงียบ ราวกับตัดสินใจแล้ว ใบหน้าเยือกเย็นดุจผนึกน้ำแข็ง
อิงชินอ๋องร้อนใจ บอกองครักษ์บนกำแพงวังหลวงว่า “ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท รีบไปทูลรายงาน!”
“เรียนท่านอ๋อง ไปทูลรายงานแล้วขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งรีบตอบ “ท่านกับ…ท่านอ๋องน้อยโปรดรอสักครู่”
อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ละสายตามากล่าวกับฉินเจิง “เจ้าใจเย็นๆ ก่อน คงมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นแน่ ฝ่าบาทถึงทรงทำเช่นนี้ มิฉะนั้นสมรสพระราชทานที่พระองค์ทรงมอบให้เอง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้ง เดิมก็น่าแปลกใจพอแล้ว พวกเจ้าเพิ่งสมรสกันกี่วันเอง พระองค์ก็ทรงออกพระราชโองการหย่าร้างอีกครั้ง หากทำเพื่อความสนุกสนาน เผยแพร่ออกไปคงสะเทือนทั่วบ้านเมือง หากถูกบันทึกในบันทึกประวัติศาสตร์ อนุชนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ แท้จริงไม่อาจคาดการณ์ได้เลย ฝ่าบาททรงสนพระทัยเรื่องการวิจารณ์จักรพรรดิลงบันทึกประวัติศาสตร์ตลอดมา”
ฉินเจิงไม่พูดจา
อิงชินอ๋องเห็นว่าแม้เขาไม่รับคำ แต่คงรับฟังบ้างแล้วมากน้อย ครั้นแล้วก็หยุดพูด
เวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมาก็มีคนตะโกนขึ้น “ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้เปิดประตูวัง เชิญท่านอ๋องกับท่านอ๋องน้อยเข้ามาข้างใน”
เมื่อพระราชโองการออกมา องครักษ์อารักขาประตูวังก็ถอนหายใจโล่งอกโดยพร้อมเพรียงกัน ประหนึ่งรอดพ้นจากเคราะห์ภัยครั้งนี้ รีบเปิดประตูให้ทันที
ทันทีที่ประตูเปิด ฉินเจิงก็ไม่ลงจากม้า หากแต่ขี่ม้าตรงเข้าไปข้างใน
อิงชินอ๋องตกใจยกใหญ่ ขณะจะเอ่ยห้ามฉินเจิงก็เข้าไปข้างในแล้ว เขากลัวว่าหากตนเองลงจากม้าจะตามไปห้ามเขาไม่ทัน ครั้นแล้วก็ได้แต่ขี่ม้าตามเข้าไปข้างใน
ฉินเจิงตรงไปยังตำหนักบรรทมฮ่องเต้ พลิกกายลงจากม้า โยนเชือกบังเ**ยนทิ้ง เอ่ยถามคนอารักขาหน้าตำหนักด้วยใบหน้าเย็นชา “เสด็จอาเล่า อยู่ข้างในรึ”
“เรียนท่านอ๋องน้อย ฝ่าบาททรงประทับอยู่ข้างในขอรับ” มีคนรีบตอบ
ฉินเจิงสาวเท้าเข้าไปข้างในโดยไม่มีผู้ใดห้าม
มาถึงตำหนักบรรทม กลิ่นยาลอยคลุ้งปะทะจมูก ฮ่องเต้ทรงพิงหมอนอิงอยู่ข้างในม่านสีเหลืองอร่าม เมื่อทรงเห็นว่าฉินเจิงมาแล้วก็ปรายพระเนตรมองเขาด้วยพระพักตร์นิ่งขรึม “เจ้าจะบุกเข้าวังเพื่อพบเราให้ได้ เพราะเรื่องโองการรึ”
“ผู้ใดเล่าเคยตรัสไว้ว่าเมื่อออกพระราชโองการแล้วก็ห้ามข้าหย่าร้างตลอดชีวิต ทว่าเพิ่งผ่านมากี่วันเอง ท่านก็ทรงออกพระราชโองการหย่าร้างแล้ว ไหนท่านบอกข้าสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉินเจิงยืนข้างหน้าต่าง มองพระองค์ด้วยใบหน้าเยือกเย็น
“เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงไม่ลองถามตัวเองเล่า เจ้าทำอะไรลงไป ถึงทำให้การหย่าร้างตกเป็นหน้าที่เรา บังคับให้เราออกโองการหย่าร้างให้ได้” ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะ ปรายพระเนตรมองเขา พระพักตร์แฝงด้วยโทสะ
“ผู้ใดจะบังคับท่านได้ ท่านเป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งมิใช่หรือ กลับนำพระราชโองการมาล้อเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก” ฉินเจิงหรี่ตามอง
“ผู้ใดบังคับเราได้” ฮ่องเต้ทรงทุบแท่นบรรทมด้วยโทสะ “ตอนนี้เราเป็นฮ่องเต้ แค่ตำแหน่งนี้ยังมีความคับอกคับใจไม่พอรึ เราเป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งอย่างนั้นหรือ ตอนนี้เป็นแค่ลูกแกะที่รอวันถูกฆ่าในคอกเท่านั้นเอง ใครนึกจะขู่เราก็ขู่ได้ทั้งนั้น ใครเห็นค่าวาจาดุจทองคำของเราบ้าง เจ้าหรือ ถ้าเจ้าเชื่อฟัง วันนี้คงไม่บุกเข้ามาโดยไม่สนคำสั่งปิดประตูวังของเรา ไม่สนด้วยว่าจะก่อเหตุนองเลือดเปื้อนประตูวัง”
“เช่นนั้นท่านบอกข้ามา ผู้ใดบังคับท่าน” ฉินเจิงมีสีหน้ามืดครึ้ม
“ยังมีผู้ใดอีก แน่นอนว่าต้องเป็นภรรยาของเจ้า!” ฮ่องเต้ทรงทุบแท่นบรรทมอีกครั้งด้วยความโกรธเกรี้ยวจนเกิดเสียงดังสนั่น “เจ้ายังกล้ามาตำหนิเราอีกรึ ไฉนเจ้าถึงไม่ลองถามนางว่านางทำสิ่งใดลงไป”
“นาง…ทำสิ่งใดลงไป” ฉินเจิงมองพระองค์ ตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย
“นางส่งคนบุกเข้ามาในวังหลวง บอกให้เรารีบออกโองการหย่าร้างให้แก่นาง แล้วเผยแพร่ไปยังจวนอิงชินอ๋อง หากเราไม่ทำ นางจะใช้อำนาจทั้งหมดที่มีในตระกูลเซี่ยตัดขาดชีพจรหนานฉิน ตั้งแต่เสบียงอาหารไปจนถึงกิจการร้านค้า ตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงทุกพื้นที่ในหนานฉิน แหล่งผลิตใดใดที่อยู่ในการครอบครองของตระกูลเซี่ยจะถูกตัดขาดทั้งหมด เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าผลที่ตามมาเป็นเช่นไร ตอนนี้ฝนเพิ่งหยุดตกไปไม่กี่วัน หลายพื้นที่ในหนานฉินประสบอุทกภัย โดยเฉพาะเกิดโรคห่าระบาดขึ้นที่หลินอันอีก หากตอนนี้ชีพจรเลี้ยงดูหนานฉินถูกตัดขาด จะยิ่งกลายเป็นผีซ้ำด้ำพลอย เช่นนั้นหนานฉินจะตกอยู่ในวิกฤตระดับใด!” ฮ่องเต้ตรัสด้วยโทสะ
ตอนที่ 67-2 ป่าวประกาศต่อใต้หล้า
“นาง…ทำเช่นนี้จริงหรือ” ฉินเจิงค่อนข้างไม่อยากเชื่อ
“เจ้ายังไม่เชื่ออีกรึ” เส้นเอ็นบนพระนลาฏฮ่องเต้เต้นตุบด้วยความโกรธ “นางยังบอกอีกว่า แทนที่จะให้คนอื่นทำลายบ้านเมืองหนานฉิน เพื่อหาข้ออ้างว่าตระกูลเซี่ยก่อกบฏ ทำให้ตระกูลเซี่ยต้องหลบหนีจนไร้ที่ซุกหัวนอน ถูกบีบบังคับทุกทาง ประสบหายนะโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน จนกระทั่งถูกประหารชีวิตทั้งตระกูล ต้องแบกรับคำครหาว่าทรยศจนพันปี กล้ำกลืนฝืนรับความอยุติธรรม เช่นนั้นมิสู้ทำให้เป็นจริงเสีย จะได้ไม่ต้องถูกใส่ความจนตัวตาย ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง นางไม่สนว่าใต้หล้าผืนนี้เป็นบ้านของใคร นางสนใจเพียงจวนจงหย่งโหวและชีวิตของคนใกล้ชิดเท่านั้น”
ฉินเจิงเม้มปากแน่น
“นางตัดสินใจเช่นนี้ เจ้าจะให้เราไม่ยอมออกโองการได้อย่างไรไหว” ฮ่องเต้ทรงกริ้ว “หรือเจ้าจะให้เรามองดูหนานฉินล่มสลายลงทั้งแบบนี้ด้วยมือของเราเอง หรือจะปล่อยให้นางตัดขาดชีพจรเศรษฐกิจทั้งหมดในหนานฉินจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น หนานฉินเกิดความสั่นคลอน ราษฎรตกอยู่ในความหวาดระแวง เรายังไม่ทันตาย บ้านเมืองก็ยุ่งเหยิงเสียแล้ว”
ฉินเจิงตัวสั่นระริก
“เราไม่รู้ว่าระหว่างพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! แต่เรารู้ว่านางตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ลังเลที่จะใช้บ้านเมืองหนานฉินมาขู่บังคับเรา มั่นใจว่าเราจะต้องออกโองการเป็นแน่” ฮ่องเต้ทรงมองเขาด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม “นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังกล้ามาขู่เราอีกคน เจ้าคิดว่าเราอยากออกโองการมากหรือ”
นัยน์ตาฉินเจิงแดงก่ำ เดิมเคยเต็มไปด้วยความโกรธ ยามนี้กลับไร้เรี่ยวแรง ตัวเซราวทรงตัวไม่อยู่
“เราดูถูกเซี่ยฟางหวาเกินไป! ตอนนี้จวนจงหย่งโหวถูกทิ้งร้าง นางเองก็ออกจากเมืองไปแล้วใช่หรือไม่ จวนจงหย่งโหวคิดก่อกบฏจริงหรือ” ฮ่องเต้ทรงเห็นสภาพเขาเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่ลดโทสะลง
ฉินเจิงไม่ส่งเสียงใด
ฮ่องเต้ยังทรงอยากตรัสต่อ ทันใดนั้นก็ทรงหายใจติดขัด ทรงพระกาสะขึ้นอย่างรุนแรง ครู่ต่อมาผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองทองก็เปื้อนคราบโลหิต
ฉินเจิงมองพระองค์ หลายวันนี้ฮ่องเต้ทรงผอมซูบลงไปมาก สภาพในตอนนี้คล้ายกับเป็นเพียงตาเฒ่าคนหนึ่ง คราบโลหิตบนผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองทองสะดุดตาอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้ทรงหยุดกาสะ หาได้ปิดบังฉินเจิงไม่ พระองค์ทรงโยนผ้าเช็ดหน้าลงในกระถางธูป ไม่นานมันก็ลุกไหม้แผดเผาส่งกลิ่นแสบจมูกโชยมา
พระองค์ทรงพระกาสะขึ้นอีก ทว่าครู่เดียวก็ระงับไว้ได้ ไม่สำลักโลหิตออกมาอีกแล้ว
ฉินเจิงมองกระถางธูปแวบหนึ่ง ความสิ้นหวังในแววตาชัดเจนขึ้น “คนที่นางส่งมาเป็นใคร อยู่ที่ใด”
“ไม่รู้ว่าเป็นใคร! ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน!” ฮ่องเต้ทรงตอบ
“วังหลวงเป็นอาณาเขตของท่าน แม้แต่เป็นใครยังมิทราบหรือ แถมยังจับมิได้” ฉินเจิงมองพระองค์
“วังหลวงเป็นอาณาเขตของเราก็จริง แต่นั่นเป็นเมื่อก่อน เมื่อก่อน! หากเรารู้ว่าเป็นใครและจับตัวได้ คงแยกร่างเขาไปตั้งนานแล้ว! คงไม่รอให้เจ้าถามถึงหรอก” ฮ่องเต้ทรงกริ้วขึ้นอีก ดึงหมอนบนแท่นบรรทมมาขวางใส่เขา ขณะเดียวกันเส้นเอ็นบนพระนลาฏก็เต้นตุบต่อเนื่อง
ฉินเจิงมิได้หลบ หมอนกระแทกใส่ตัวเขาอย่างจัง ตัวเขาเซไปเล็กน้อย
“เจ้าไสหัวไปให้พ้น! เราไม่อยากเห็นหน้าเจ้าแล้ว!” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ไล่
ฉินเจิงยืนนิ่ง
“เจ้านิ่งเฉยคิดจะทำสิ่งใดอีก เราไม่มีเรื่องใดจะบอกเจ้าแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสด้วยโทสะ
“ข้าทราบว่ามีเอกสารสายลับในภูเขาลับทั้งสามลูกอยู่ในราชสำนัก ทุกคนที่ถูกส่งไปที่ภูเขาลับ จนกลายเป็นสายลับ ต่างถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมด ตอนนี้ในเมื่อท่านสังขารไม่อำนวย คิดว่าตนเองเป็นลูกแกะที่รอวันถูกฆ่าอยู่ในคอก ถึงซ่อนเอกสารพวกนั้นต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้ยกให้ข้า!” ฉินเจิงเงียบลงพักหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเย็น
“อะไรนะ” ฮ่องเต้ทรงอุทานเสียงสูง “เจ้าอยากได้เอกสารสายลับภูเขาลับ”
ฉินเจิงพยักหน้า
“ไม่ได้!” ฮ่องเต้ทรงปฏิเสธทันควัน
“เสด็จอา หากท่านไม่อยากให้บ้านเมืองหนานฉินตกอยู่ในความโกลาหลจริง เช่นนั้นก็นำเอกสารพวกนั้นมาให้ข้า” ฉินเจิงกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น
“ถ้าเราไม่มอบให้เจ้า บ้านเมืองหนานฉินจะตกอยู่ในความโกลาหลรึ” ความพิโรธของฮ่องเต้ยังไม่ลดลง
“เกิดโรคห่าระบาดในหลินอัน ฉินอวี้ปลีกตัวจากหลินอันมิได้ ตอนนี้ในเมืองเหลือแค่ข้ากับฉินชิง ฉินชิงยังเด็กและอ่อนประสบการณ์ ท่านน่าจะทราบดีว่าเขารับตำแหน่งสำคัญมิได้ หากตอนนี้ข้าออกจากเมืองไปอีกคน ไม่สนใจกิจราชสำนักอีก ท่านคิดว่าเมืองหลวงจะวุ่นวายอย่างไร” ฉินเจิงกล่าวเสียงเย็น “คดีต่อเนื่องยังไม่คลี่คลาย หมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานถูกสังหารติดต่อกัน สร้างความหวาดผวาต่อทั้งราชสำนัก กองทัพ และประชาชน ตอนนี้สังขารท่านไม่อำนวย หากข้าวางมือไม่ข้องเกี่ยว ท่านคงทราบผลลัพธ์ดีกระมัง ถ้าเมืองหลวงวุ่นวาย หนานฉินก็ต้องโกลาหลตาม สายลับภูเขาลับของราชสำนักกลายเป็นเนื้อร้ายแล้ว หากท่านยังทรงอ่านสถานการณ์ไม่ออก ยังเก็บพวกเขาเอาไว้ ตัดพระทัยทิ้งไม่ลง เช่นนั้นหรือว่าต้องรอให้บ้านเมืองล่มสลายลงก่อน ท่านถึงค่อยไปหาบรรพบุรุษตระกูลฉินในยมโลก”
ฮ่องเต้ทรงมองฉินเจิงด้วยความพิโรธ ทว่าทรงแย้งมิได้
ฉินเจิงรอพระองค์ตัดสินพระทัย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงระงับความโกรธ ตรัสถามเสียงเข้ม “เจ้ากับเซี่ยฟางหวายังดีๆ กันอยู่เลยไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา!” ฉินเจิงตอบ
“เรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าหรือ” ฮ่องเต้แค่นเสียงในลำพระศอแล้วทุบแท่นบรรทม “เรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าพัวพันมาถึงบ้านเมืองหนานฉินแล้ว! ยังเรียกว่าเรื่องส่วนตัวอีกรึ”
“นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวเช่นกัน!” ฉินเจิงเม้มปาก
“ดูสภาพเจ้าสิ ไม่อยากหย่ากับนางใช่หรือไม่ แต่ในเมื่อเราออกโองการไปแล้ว ย่อมเรียกคืนมามิได้ ตอนนี้ติดประกาศต่อใต้หล้าไปทั่วทุกพื้นที่แล้ว” ฮ่องเต้ทรงมองเขา
“นึกไม่ถึงว่าท่านต้องประกาศต่อใต้หล้าด้วย” ฉินเจิงเผยสีหน้าเยือกเย็น
“นี่เป็นความต้องการของเซี่ยฟางหวา!” ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะ “นางบอกว่าหากไม่เห็นประกาศก็เท่ากับว่ายังไม่ได้ออกโองการ เช่นนั้นนางก็จะตัดชีพจรในหนานฉินเช่นกัน”
ฉินเจิงหน้าซีด
“ใบประกาศคงติดในคืนนี้! ดังนั้นไม่เกินพรุ่งนี้ ทั่วหนานฉิน กระทั่งเป่ยฉี เกรงว่าคงทราบโดยทั่วกันว่าเจ้าฉินเจิงหย่ากับเซี่ยฟางหวาแล้ว แต่เป็นโองการที่เราออกเอง ใต้หล้าไม่มีใครทราบว่าเซี่ยฟางหวาเป็นผู้บังคับให้หย่า คงคาดเดากันว่าเราจะทำสิ่งใด!” ฮ่องเต้คล้ายพิโรธขึ้นอีกครั้ง “เซี่ยฟางหวาคงเกลียดเราอย่างยิ่ง ทราบดีว่าเราให้ความสำคัญกับบ้านเมืองหนานฉิน ให้ความสำคัญกับคำวิจารณ์ของอนุชนในบันทึกประวัติศาสตร์ นางจึงเลือกใช้วิธีการนี้ ไม่รู้ว่าอนุชนจะวิจารณ์ว่าเราอย่างไร ต่อว่าเรากลับสัตย์ เปลี่ยนใจง่าย เช้าออกคำสั่งเย็นก็แก้ไข เห็นโองการเป็นเรื่องล้อเล่น”
ฉินเจิงไม่พูดจา
“เจ้ากำเริบเสิบสาน จองหอง กระทำตามใจตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมาไม่ทำตามประเพณี ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หากเจ้าครองที่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าครองที่สอง แต่นั่นเป็นเมื่อก่อน เซี่ยฟางหวาในตอนนี้ เจ้าเห็นหรือยังว่านางอวดดีเช่นไร ทำตามใจตัวเองเช่นไร จองหองแค่ไหน ใช้อำนาจมากเพียงใด ไม่ว่าจุดใดก็เหยียบหัวเจ้าได้! เดิมเราเคยคิดว่าจนกว่าจะตาย ชาตินี้คงไม่มีใครควบคุมเจ้าได้แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมีคนเช่นนาง เหนือความคาดหมายยิ่งนัก!” ฮ่องเต้ทรงระงับความโกรธเชื่องช้า ก่อนมองฉินเจิงด้วยความเย้ยหยัน
ฉินเจิงเม้มปากแน่น ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ไม่เอ่ยคำใด
ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ถ้าเราไม่เห็นเจ้าโตมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเจ้าไม่มีเจตนาแย่งชิงอำนาจ ต่อให้เมืองหลวงวุ่นวายเท่าไรก็จะไม่ยอมมอบเอกสารสายลับภูเขาลับให้เจ้าเด็ดขาด” หยุดครู่หนึ่งแล้วตรัสเพิ่ม “แต่เจ้าต้องสาบานก่อน เมื่อเรามอบเอกสารให้เจ้าแล้ว เจ้าจะได้อ่านมันแต่เพียงผู้เดียว ห้ามมีไปยังคนที่สองโดยเด็ดขาด เจ้าทำได้หรือไม่”
“ได้!” ฉินเจิงสาบานทันที
ฮ่องเต้ทรงรอให้เขาสาบานตนก่อน จากนั้นก็เคาะแท่นบรรทมแผ่วเบา ครู่ต่อมาก็มีตราคำสั่งสีดำไถลออกมา พระองค์ทรงยื่นมันให้ฉินเจิง “นี่เป็นตราคำสั่งลับของสายลับภูเขาลับ ตอนนี้เราเองก็ไม่รู้ว่ายังควบคุมสายลับได้อีกมากน้อยแค่ไหน แต่องครักษ์เงากลุ่มหนึ่งในราชสุสานเป็นกลุ่มที่อดีตฮ่องเต้ทรงเหลือไว้ น่าจะยังใช้งานได้ เราจะมอบให้เจ้าชั่วคราว เจ้านำสิ่งนี้ไปที่ราชสุสาน หลังเปิดราชสุสานแล้ว ใต้ป้ายของอดีตฮ่องเต้มีช่องลับซ่อนอยู่ ข้างในเก็บเอกสารสายลับภูเขาลับที่ผ่านมาในแต่ละราชวงศ์เอาไว้”
ฉินเจิงมองฝ่าบาทก่อนยื่นมือรับไว้
“ท่านพี่เข้าวังมากับเจ้าด้วยใช่ไหม รออยู่นอกตำหนักรึ เจ้าออกไปแล้วให้เขาเข้ามาด้วย” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ไล่เขา
ฉินเจิงพยักหน้าแล้วเดินออกไป
เมื่อออกจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ อิงชินอ๋องรออยู่ข้างนอกจริงดังคาด เมื่อเห็นเขาออกมา อิงชินอ๋องก็รีบเข้ามาหาแล้วถามเสียงเบา “เจ้าไม่ได้ทำอะไรฝ่าบาทใช่ไหม”
ฉินเจิงพบว่าบนจอนผมของอิงชินอ๋องมีหงอกขึ้นแล้ว ทว่าเมื่อเทียบกับผู้เป็นน้องชายที่เด็กกว่าเขาหลายปีข้างในตำหนักบรรทมนั้น เขายังดูเด็กกว่ามาก ตำแหน่งจักรพรรดิเป็นดั่งดาบคร่าชีวิตคน อิงชินอ๋องแม้ช่วยเหลือบ้านเมืองหนานฉิน ทำงานหนัก เป็นกังวลต่อบ้านเมือง ทว่าสุดท้ายแล้วก็เทียบผู้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิมิได้ เขาบอกไม่ได้ว่าภายในใจกำลังรู้สึกเช่นไร จึงส่ายหน้าตอบ “เปล่า”
อิงชินอ๋องโล่งอก
“เสด็จอาทรงให้ท่านเข้าไปข้างใน!” ฉินเจิงบอกแล้วเดินออกจากตำหนัก
“เจ้าจะไปไหน” อิงชินอ๋องรีบถาม
ฉินเจิงชะงักฝีเท้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “กลับจวน!”
ตอนที่ 68-1 หากพบอีกจะสังหาร
ฉินเจิงออกจากตำหนักบรรทม ไม่รออิงชินอ๋องก็ขี่ม้าออกจากวังหลวงทันที
ทหารอารักขาประตูวังมิได้ยินการเคลื่อนไหวใดดังมาจากข้างในตำหนักของฝ่าบาทก็พากันถอนหายใจโล่งอก พวกเขายินดีจะล่วงเกินภูตผีปีศาจมากกว่าฉินเจิงผู้ซึ่งเป็นดั่งเทพแห่งภัยพิบัติ ธนูดอกนั้นที่ยิงโดนหัวหน้าองครักษ์เป็นเพียงการเตือนตำหนิ โชคร้ายรับเคราะห์เปล่า เพราะไม่มีผู้ใดกล้าเอาความเขา
หลังออกจากวังหลวง ฉินเจิงหาได้มุ่งไปยังราชสุสาน หากแต่ตรงกลับจวนอิงชินอ๋อง
ระหว่างทางพลันมีม้าตัวหนึ่งกระโจนมาจากด้านข้าง ขวางทางเขาเบื้องหน้า
ฉินเจิงดึงเชือกบังเ**ยน ตวัดตามองพบว่าเป็นหลี่มู่ชิง จึงมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เกิดอะไรขึ้น” หลี่มู่ชิงถามด้วยความร้อนใจ
ฉินเจิงเม้มปากเงียบ
“ข้าได้ยินฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้า…หย่าร้าง ฟังว่าต้องประกาศต่อใต้หล้าด้วย มีพระบัญชาให้คนติดประกาศทั่วทุกแห่งภายในคืนนี้” หลี่มู่ชิงมองเขา “เป็นเรื่องจริงหรือ เพราะเหตุใดกัน”
“ข้าก็อยากรู้ว่าเพราะเหตุใด” ฉินเจิงตอบเสียงเย็น
“ข้าได้รับข่าวรายงานว่า พระชายาน้อยออกจากเมืองไปตอนกลางคืน” หลี่มู่ชิงถามอีก “เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเพราะเหตุใด นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ออกจากเมืองตอนกลางคืนเช่นนี้ หากเกิดเรื่องขึ้นจะทำเช่นไร ช่วงนี้ทั้งในและนอกเมืองวุ่นวายถึงเพียงนี้…”
ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด
หลี่มู่ชิงกล่าวอีกด้วยความลนลาน พบว่าเขายังคงเงียบเฉย จึงกล่าวอย่างใส่อารมณ์ “เจ้าพูดอะไรบ้างสิ! หรือแม้แต่ข้าเจ้าก็บอกไม่ได้ วันนั้นหากไม่ใช่เพราะเห็นว่าใจนางมีเจ้า ต้องการเพียงแค่เจ้า ข้าไหนเลยจะยอมหลีกทางให้ ไม่ร่วมแย่งชิงด้วย ให้นางได้ออกเรือนกับเจ้าสมปรารถนา พวกเจ้าอยู่กันดีๆ มาตลอดไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้าทำสิ่งใดลงไปอีก”
“ข้าทำสิ่งใดหรือ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ มองหลี่มู่ชิงด้วยความเย้ยหยัน “เหตุใดพวกเจ้าทุกคนเอาแต่ซักถามข้า ถามว่าข้าทำสิ่งใดลงไป เหตุใดถึงไม่ไปถามนางบ้าง ว่าที่นางทิ้งข้าจากไปนั้นคิดทำสิ่งใดกันแน่”
“นาง…ทิ้งเจ้า” หลี่มู่ชิงมึนงง
“ในเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกให้ เป็นนาง นางส่งคนไปหาเสด็จอา ใช้อิทธิพลตระกูลเซี่ยและชีพจรทั้งหมดในหนานฉินขู่บังคับเสด็จอา ให้พระองค์ยอมออกพระราชโองการหย่าร้างแล้วประกาศต่อใต้หล้าว่าข้าหย่ากับนางแล้ว” ฉินเจิงพูดพลางน้ำเสียงก็ยิ่งเยือกเย็น “คราวนี้นางอยู่ห่างไกล ไม่ความเกี่ยวข้องกับข้าอีก”
“อะไรนะ” หลี่มู่ชิงทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“เจ้าไม่เชื่อใช่หรือไม่” ฉินเจิงมองเขา ใบหน้าเยือกเย็นภายใต้ราตรี คล้ายเยาะเย้ยคล้ายถากถาง “ข้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่นี่เป็นความจริง ข้าบุกวังหลวงเพื่อทูลถามเสด็จอา ถึงรู้เหตุผลที่ออกพระราชโองการหย่าร้างจากพระองค์ ข้าคิดจะใช้โลหิตชะล้างวังหลวงด้วยซ้ำ แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้แล้ว นางตัดสินใจเด็ดขาด ไม่เหลือทางเลือกให้ข้าสักทาง”
“เพราะเหตุใด” หลี่มู่ชิงยังไม่อยากเชื่อ “เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางรักเจ้า ถึงเจ้ายิงธนูสามดอกใส่นาง นางก็ยังยืนกรานว่าจะออกเรือนกับเจ้า ก่อนหน้านี้ยังดีๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้…ไฉนถึงกลับตาลปัตรในชั่วพริบตา”
แววตาฉินเจิงสงบเยือกเย็น ทันใดนั้นก็สะท้อนจิตสังหารออกมา “หลี่หรูปี้น้องสาวเจ้า ทางที่ดีเจ้าควรดูแลนางให้ดี ชาตินี้ขอเพียงนางมาให้ข้าเห็นหน้าเมื่อไร ข้าจะสังหารนางด้วยมือข้าเอง”
หลี่มู่ชิงชะงักมองฉินเจิง ตอนเขาพูดประโยคนี้ไม่ได้ปิดบังจิตสังหารอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวเขาแม้แต่น้อย ตนรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก หากน้องสาวตนยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาจะต้องสังหารนางดังที่พูดไว้โดยไม่ต้องสงสัย เขาไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด ตั้งแต่น้องกลับจากวังหลวงก็อยู่สวดมนต์กินเจกับท่านแม่ตลอดเวลา สงบเสงี่ยมอย่างมาก หรือลับหลังนางได้ทำสิ่งใดลงไประหว่างที่ข้าไม่รู้ เรื่องระหว่างพวกเจ้าเกี่ยวข้องกับนางหรือ”
“ชาตินี้ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับนางแม้แต่น้อย! เจ้าควรกลับไปบอกนาง บอกจวนเสนาบดีฝ่ายขวา! ถ้านางอยากตายนักก็ขอให้มายืนตรงหน้าข้า” ฉินเจิงเอ่ยทิ้งท้ายด้วยความโหดเ**้ยม ไม่พูดสิ่งใดกับหลี่มู่ชิงอีก ขี่ม้าอ้อมเขากลับไปยังจวนอิงชินอ๋อง
หลี่มู่ชิงสับสน ส่งเสียงเรียกเขาอีกครั้งทว่าฉินเจิงขี่ม้าออกไปไกลแล้ว ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง เขาขมวดคิ้วเป็นปม หันม้ากลับไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายขวา
เมื่อเข้ามาในจวนพบว่าห้องหนังสือยังจุดตะเกียงสว่างอยู่ เขาตรงไปยังห้องหนังสือทันที
เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนเคาะประตูสามครั้งแผ่วเบา
“เข้ามา” เสียงของเสนาบดีฝ่ายขวาดังขึ้นจากข้างใน
หลี่มู่ชิงผลักประตูเปิดออก ทว่ามิได้รีบเข้าไปทันที หากแต่ยินอยู่ข้างนอกแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ”
“ไฉนถึงไม่เข้ามา” เสนาบดีฝ่ายขวากำลังอ่านเอกสารราชการ เห็นว่าเขาไม่ยอมเข้ามาก็เงยหน้ามอง
“ลูกมีไอความเย็น พูดตรงนี้ดีกว่า จะได้ไม่ติดไปยังท่านพ่อ” หลี่มู่ชิงยื่นมือปิดประตู
“เจ้าเพิ่งกลับมาไม่ใช่หรือ ออกไปข้างนอกอีกแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาพินิจมองหลี่มู่ชิงก่อนถามขึ้น “เรื่องจวนอิงชินอ๋องหรือ เกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่”
หลี่มู่ชิงพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “ฉินเจิงเพิ่งกลับจากวัง ลูกขวางเขาระหว่างทาง แต่ก็มิทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเพียงแต่พูดเรื่องแปลกมาก ลูกไม่เข้าใจจึงกลับมาถามท่านพ่อ”
“แปลกอย่างไร” เสนาบดีฝ่ายขวาถาม
“เขาบอกให้ข้ากลับมาบอกท่านพ่อและจวนเสนาบดีฝ่ายขวาว่า ชาตินี้ไม่อยากข้องเกี่ยวใดใดกับน้อง ขอให้ข้าดูแลน้องให้ดี ชาตินี้อย่าได้ให้นางเจอเขา หากเขาเห็นหน้านางเมื่อไร เขาจะสังหารนางด้วยตัวเอง” หลี่มู่ชิงตอบ
“เพราะเหตุใด น้องสาวเจ้าไปล่วงเกินเขาไว้รึ” เสนาบดีฝ่ายขวาตกใจ ถามด้วยความแปลกใจทันที
“ข้าเองก็มิทราบ ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใด ดังนั้นจึงกลับมาถามท่านพ่อดู ระหว่างที่ข้ายุ่งกับเรื่องคดีในเมืองหลวง น้องได้ทำสิ่งใดลับหลังไปหรือไม่ ปลุกปั่นให้เขาเกิดโทสะ” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า
“ตั้งแต่น้องสาวเจ้ากลับจากวังหลวงก็สวดมนต์กินเจกับแม่เจ้าในจวนตลอดเวลา สงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง ช่วงนี้แม่เจ้าก็กังวลใจอยู่เช่นกัน กลัวว่าต่อไปน้องสาวเจ้าจะสงบเช่นนี้ ยิ้มไม่เป็นอีก กังวลจนไม่รู้จะทำเช่นไรดีแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า
“เช่นนั้นเพราะเหตุใด” หลี่มู่ชิงก็เกิดข้อข้องใจเช่นกัน
เสนาบดีฝ่ายขวาเองก็สับสน “จวนเสนาบดีฝ่ายขวากับจวนอิงชินอ๋องมีความสัมพันธ์อันดีเสมอมา ไร้ความอาฆาตพยาบาทต่อกัน น้องสาวเจ้าชอบฉินเจิงก็จริง ทว่าตั้งแต่ฉินเจิงแต่งงาน นางก็ดูถอดใจหมดหวังไปแล้ว นางใช่ว่าจะไร้เหตุผลจนก่อเรื่องนอกลู่นอกทางซ้ำอีก” หยุดชั่วครู่แล้วนึกทบทวน “ยิ่งไปกว่านั้น หลายเดือนก่อน ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงวางพิษกามารมณ์กับฉินเจิง ระหว่างความเป็นความตาย ฉินเจิงก็ไม่ได้ญาติดีกับน้องสาวเจ้า ต่อมาเซี่ยฟางหวาเข้าวัง น้องสาวเจ้าจึงตัดใจตั้งแต่ตอนนั้น”
“แต่ข้ารู้จักฉินเจิงมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ใช่คนที่จะพูดลอยๆ โดยไร้สาเหตุ ตอนเอ่ยถึงน้องนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า กลับไม่บอกเหตุผล หากไม่ใช่ว่าน้องทำสิ่งใดให้เขาไม่พอใจจนเกิดความเคียดแค้น เขามีหรือจะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้หลูเสวี่ยอิ๋งที่ทำให้เขารังเกียจอย่างยิ่งตอนนั้นก็ยังไม่เคยแสดงจิตสังหารเช่นนี้” หลี่มู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึม
“อยู่ในเมืองเดียวกัน ถึงไม่อยากพบหน้า แต่มีหรือจะทำได้” เสนาบดีฝ่ายขวาเคร่งขรึมตาม
หลี่มู่ชิงเม้มปาก
เสนาบดีฝ่ายขวาไตร่ตรองพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าเซี่ยฟางหวาออกจากเมืองตอนกลางคืน พระชายาอิงชินอ๋องตามออกไปแล้ว เมื่อพระราชโองการของฝ่าบาทไปเผยแพร่ที่จวนอิงชินอ๋อง ฉินเจิงกับท่านอ๋องก็รีบเข้าวังทันที ฟังว่าประตูวังขัดดาลแล้ว ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้งดเข้าราชการสามวัน ทว่าฉินเจิงยิงธนูใส่หัวหน้าองครักษ์แล้วบุกเข้าไป” หยุดชั่วครู่ แล้วกล่าวด้วยความสงสัย “เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงออกพระราชโองการหย่าร้างกะทันหันเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเพิ่งสมรสกันไม่กี่วันเอง! ข้าอยู่ในราชสำนักมายี่สิบปี นี่ไม่คล้ายกับเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทจะทรงทำ”
“ลูกก็มิทราบว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงออกพระราชโองการ” หลี่มู่ชิงหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า
“ฉินเจิงบุกวังเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฟังว่านอกจากยิงธนูใส่หัวหน้าองครักษ์แล้ว พอเข้าไปข้างในก็หารือกับฝ่าบาทในตำหนักโดยไม่สร้างการเคลื่อนไหวใหญ่ ท่านอ๋องที่ตามไปด้วยรออยู่ข้างนอก ฉินเจิงเข้าไปในตำหนักเพียงลำพัง” เสนาบดีฝ่ายขวามองหลี่มู่ชิง “ตอนเจ้าขวางฉินเจิงไว้ ไม่ได้ถามเหตุผลเขาหรือ หากเป็นความผิดของฝ่าบาท ฉินเจิงจะต้องไม่ยอมเลิกราเป็นแน่ ด้วยนิสัยของเขาต้องก่อกวนวังหลวงจนวุ่นวาย”
“สีหน้าเขาย่ำแย่มาก เพียงเตือนเรื่องน้อง ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นก็กลับจวนแล้ว” หลี่มู่ชิงยังส่ายหน้า
“ไม่ไปตามเซี่ยฟางหวารึ” เสนาบดีฝ่ายขวาถามอีก
“เปล่า” หลี่มู่ชิงส่ายหน้าตอบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น