วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 651-668

ตอนที่ 651 ใครเป็นคนถ่ายรูปนี้

เวลารุ่งสางท้องฟ้ายังไม่สว่างนัก แต่มีแสงอาทิตย์เริ่มส่องรำไรให้เห็นผ่านกลีบเมฆ ในขณะที่บ้านเรือนในระยะใกล้เคียงยังคงอยู่ภายใต้ความมืดสลัว


 


 


ไห่รุ่ยเป็นเจ้าแรกที่ได้รับข้อมูลข่าวฉาวของอันจื่อเฮ่า ทันทีที่ถังหนิงทราบเรื่อง เธอก็รีบมองหน้าป้าไป๋โดยไม่รู้ตัว


 


 


ไป๋ลี่หวายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทันทีที่เธอมองไปที่โทรศัพท์ของถังหนิงและเห็นภาพเกมพิศวาสลูกสาวของเธอกับอันจื่อเฮ่ากำลังด้วยกันอยู่นั้น ใบหน้าเธอก็ซีดอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเธอจึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาโทรหาอันจื่อเฮ่า แต่เพราะอันจื่อเฮ่าใช้เวลาทั้งคืนในการดูแลเฉินซิงเยียน ทำให้ขณะนั้นเขากำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนโซฟา


 


 


ไป๋ลี่หวาเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายใจอยู่ในห้องนั่งเล่น ถังหนิงจึงเดินเข้าไปปลอบ “ป้าไป๋ ฉันรับรองว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่เห็นหรอก”


 


 


“แต่…” ไป๋ลี่หวาเริ่มพูดตะกุกตะกัก “แต่…”


 


 


“เชื่อฉันเถอะ นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ” ถังหนิงดึงไป๋ลี่หวาให้ลงมานั่งข้างเธอ


 


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นเสี่ยวซิงจะอยู่ต่อไปได้ยังไง” ไป๋ลี่หวาไม่สนใจว่าเฉินซิงเยียนจะโด่งดังหรือไม่ เธอแค่ต้องการให้ลูกสาวของเธอยังคงความบริสุทธิ์และไม่ต้องแบกชื่อเสียไปตลอดชีวิต “ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดหลังจากที่เธอเพิ่งจะเซ็นสัญญารับบทใหญ่ด้วย คุณอันไม่น่าจะ…”


 


 


“ไม่ต้องห่วง เขาไม่ทำหรอก” ถังหนิงมีสิทธิ์ที่จะรับรองพฤติกรรมและนิสัยของอันจื่อเฮ่า


 


 


ไป๋ลี่หวามองหน้าถังหนิงด้วยความจริงจังก่อนที่เธอจะผ่อนคลายลง เธอไม่รู้จักอันจื่อเฮ่าดีนัก ดังนั้นเธอจึงไม่อาจเชื่อใจเขาได้ แต่ถ้าเป็นถังหนิง เธอเชื่อถังหนิงอย่างแน่นอน…


 


 


ถังหนิงมองดูสีหน้าเป็นกังวลของไป๋ลี่หวาแล้วก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


 


ถ้าไป๋ลี่หวาเป็นแม่ที่แท้จริงของโม่ถิง นั่นหมายความว่าเฉินซิงเยียนคือน้องสาวต่างพ่อของโม่ถิง


 


 


เพิ่มเติมด้วยความจริงที่เธอชอบนิสัยของเฉินซิงเยียน ทำให้ถังหนิงตัดสินใจว่าเธอจะไม่นั่งดูเรื่องนี้อยู่เฉยๆ


 


 


เมื่อคิดดังนั้น ถังหนิงรีบโทรหาฟังอวี้ทันที “ช่วยหาให้ฉันทีว่าใครเป็นทีมผู้จัดและผู้กำกับของ ‘The Savage Wars’ ”


 


 


ถังหนิงไม่ได้คิดจะใช้ไห่รุ่ยจัดการกับเรื่องในครั้งนี้ ข้อแรก เธอเป็นเพียงนักแสดงมีสังกัด และข้อสอง โม่ถิงเป็นแค่สามีและผู้จัดการของเธอ ในเวลาเช่นนี้ เธอต้องการขีดเส้นให้ชัดเจนระหว่างตัวเธอกับไห่รุ่ย


 


 


ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไห่รุ่ยจะต้องมาเสียแรงและเวลาในการช่วยนักแสดงที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัท


 


 


“เสี่ยวหนิง…”


 


 


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่นิ่งดูดาย” ถังหนิงรับประกัน


 


 



 


 


ในที่สุดอันจื่อเฮ่าก็ตื่นขึ้นจากเสียงของแอนนี่ เธอกำลังตื่นตระหนกและส่งโทรศัพท์ของเธอให้เขาดู “คุณอัน ดูนี่สิ!”


 


 


อันจื่อเฮ่าลุกขึ้นนั่งบนโซฟาและตื่นเต็มที่หลังจากได้เห็นข่าว “นี่มันอะไรกันเนี่ย”


 


 


“ฉันไม่แน่ใจ ฉันเพิ่งเห็นข่าวนี้เมื่อเช้าหลังจากตื่นนอนขึ้นมา”


 


 


อันจื่อเฮ่ารีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู ก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับเกือบสามสิบสาย และมีสายจากไป๋ลี่หวารวมอยู่ในนั้นด้วย


 


 


อันจื่อเฮ่าเดินเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น หลังจากรวบรวมสติได้แล้ว เขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างถี่ถ้วนและตระหนักได้ว่า… มีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถถ่ายรูปพวกนั้นได้…


 


 


ดังนั้นเขาจึงรีบออกจากห้องน้ำและคว้าข้อมือของแอนนี่ทันที “ทำแบบนี้ทำไม”


 


 


แอนนี่ตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจ “คุณอันหมายความว่ายังไงคะ ฉันไม่ได้ทำนะ…”


 


 


“นอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีใครหน้าไหนที่จะสามารถถ่ายรูปได้ชัดเจนขนาดนั้นอีก”


 


 


“คุณอัน ไม่ใช่ฉันจริงๆ นะคะ ถ้าเป็นฉัน ป่านนี้ฉันคงหนีไปนานแล้ว ทำไมฉันต้องนั่งรอให้คุณมาจับฉันแบบนี้ด้วย ไม่ใช่ฉันจริงๆ …” ท่าทางของแอนนี่นั้นทั้งจริงใจและใสซื่อ


 


 


สีหน้าที่เธอแสดงออกมาทำเอาอันจื่อเฮ่าสงสัยขึ้นมาจริงๆ ว่าในอะพาร์ตเมนต์นี้มีผีอยู่หรืออย่างไร


 


 


หลังจากนั้น อันจื่อเฮ่าก็เหวี่ยงแขนแอนนี่ทิ้งและพูดขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าฉันรู้ว่าเธอเป็นคนแทงข้างหลังพวกเรา ฉันจะทำกับเธอแบบเดียวกับที่เธอทำกับเฉินซิงเยียนในวันนี้”


 


 


แอนนี่มองอีกฝ่ายกลับด้วยดวงตาที่เอ่อนองไปด้วยน้ำตาราวกับเธอกำลังหวาดกลัว ขณะที่เธอนั่งขดตัวอยู่ข้างๆ เฉินซิงเยียนก็ปรากฏตัวออกมาจากห้องนอนของตัวเองและพูดกับคนทั้งสอง “เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”


 


 


อันจื่อเฮ่ามองหน้าเฉินซิงเยียนโดยไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่หยิบแจ็กเกตของตัวเองขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินออกไปพร้อมคำเตือน “ทางที่ดีวันนี้เธออย่าออกไปจากอะพาร์ตเมนต์จะดีกว่า”


 


 


“มีอะไรงั้นเหรอ”


 


 


อันจื่อเฮ่าเดินออกไปโดยไม่ตอบ


 


 


เฉินซิงเยียนยังคงอยู่ในอาการสับสนขณะที่แอนนี่ทำท่าทางให้เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แน่นอนว่าขณะที่เฉินซิงเยียนกำลังดูโทรศัพท์อยู่นั้น แอนนี่ก็พยายามพูดปกป้องตัวเอง “ไม่ใช่ฉันจริงๆ นะ ฉันไม่มีทางทำหรอกยกเว้นฉันจะรนหาที่ตายเท่านั้น”


 


 


เฉินซิงเยียนชำเลืองตามองแอนนี่โดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว หลังจากเธออ่านบทความทั้งหมดเกี่ยวกับข่าว เธอหันมามองหน้าแอนนี่ด้วยความจริงจัง “บอกฉันมา เธอคิดว่าข่าวฉาวนี่จะทำลายอาชีพของอันจื่อเฮ่าได้ไหม”


 


 


แอนนี่ส่ายศีรษะแสดงท่าทีว่าเธอไม่แน่ใจถึงผลที่จะตามมา


 


 


“ถ้างั้นฉันมั่นใจว่าเธอจะตอบคำถามต่อไปของฉันได้ ใครเป็นคนถ่ายรูปนี้ แล้วมันหลุดออกไปได้ยังไง”


 


 


“ฉันไม่รู้จริงๆ”


 


 


“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าเธอแสดงเป็นบทใสซื่อเก่ง ถ้างั้นเราจะทำอย่างที่ฉันบอก ถ้าไม่ใช่ฝีมือเธอ งั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าเธอจะออกไปยืนยันความบริสุทธิ์ของอันจื่อเฮ่าจริงไหม”


 


 


แอนนี่ดูไม่พอใจนัก หลังจากเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็ตอบ “เมื่อคืนหลังจากที่เธอดูเหมือนจะเป็นไข้ ฉันเองก็อาเจียนไปหลายครั้ง ฉันโทรขอความช่วยเหลือจากคุณอัน แต่ก่อนเข้าจะมาถึง ฉันก็เข้าห้องนอนหลับไปแล้ว แล้วฉันจะช่วยยืนยันให้เขาได้ยังไงล่ะ”


 


 


เฉินซิงเยียนชำเลืองตามองแอนนี่และพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้กำลังคิด


 


 


แต่เธอไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่


 


 


“ถ้าฉันจับได้ว่าเธอเป็นคนทำ ฉันจะลากเธอลงหลุมไปกับฉันด้วย”


 


 


พูดจบ เฉินซิงเยียนก็เดินไปที่ประตู เดิมทีเธอตั้งใจจะเดินออกไปดูสถานการณ์ภายนอก แต่อะพาร์ตเมนต์กลับถูกรายล้อมไปด้วยบรรดานักข่าวจำนวนมาก


 


 


แล้วอันจื่อเฮ่าแอบออกไปโดยไม่มีใครรู้ได้ยังไงเนี่ย


 


 


“ก็ได้ ฉันจะออกไปยืนยันความบริสุทธิ์ให้คุณอัน” อาจเป็นเพราะเธอต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง หรืออาจเป็นเพราะเธอต้องการช่วยอันจื่อเฮ่าจริงๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แอนนี่พูดกับเฉินซิงเยียน “ฉันจะยืนยันความบริสุทธิ์ให้คุณอัน ว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเธอสองคน แล้วฉันก็จะได้ทำให้มันกระจ่างทั้งเรื่องของเธอสองคนแล้วก็ตัวฉันเองด้วย”


 


 


มีคนอีกคนที่ต้องการทำให้ตัวเองกระจ่าง…


 


 


“เธอพูดเองนะ รอให้อันจื่อเฮ่าจัดการทุกอย่างแล้วกัน” เฉินซิงเยียนกล่าว


 


 


แอนนี่พยักหน้าก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อรวบรวมสติ


 


 


แต่เธอคิดจะออกไปยืนยันความบริสุทธิ์ให้อันจื่อเฮ่าจริงๆ งั้นเหรอ


 


 


เธอกำลังจะให้คนพวกนั้นได้เห็นอะไรดีๆ ต่างหาก


 


 


เฉินซิงเยียนไม่ได้เชื่อใจแอนนี่ เธอจึงรีบโทรไปที่ไฮแอทรีเจนซี่และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ถังหนิงฟัง


 


 


หลังได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ถังหนิงหัวเราะออกมา “ทำไมเธอถึงขอให้แอนนี่ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้เธอล่ะ”


 


 


“พี่หมายความว่ายังไง”


 


 


“คำพูดของแอนนี่ไม่มีผลอะไรกับสาธารณะทั้งนั้นแหละ”

 

 

 


ตอนที่ 652 เธอไม่คิดว่าเขาลำเอียงเข้าข้างเธออย่างนั้นหรือ

 

“ในเมื่อเธอเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นฝีมือของแอนนี่ แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมรับสารภาพ คำตอบก็ง่ายนิดเดียว เพราะทางนั้นยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการไงล่ะ


 


 


“ถ้าผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรที่เลวร้ายมากกว่านี้ก็เป็นเพราะเธอยังเก็บผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ใกล้ตัว แล้วปล่อยให้เขาได้เห็นทุกการเคลื่อนไหวของตัวเธอเอง”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของถังหนิง เฉินซิงเยียนก็ถึงกับเข่าอ่อน แม้เธอจะเคยเห็นเหตุการณ์มากมายในวงการนี้ แต่เมื่อต้องมาเป็นฝ่ายรับมือเอง เธอกลับไม่รู้เลยว่าจะต้องจัดการอย่างไร


 


 


เธอเป็นคนขวานผ่าซากและผยอง แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เธอกลับอ่อนแอและไร้ประโยชน์


 


 


“ฉันควรทำยังไงดี” เฉินซิงเยียนถามถังหนิง “ฉันจะป้องกันไม่ให้อันจื่อเฮ่าโดนลากเข้ามาเกี่ยวด้วยได้ยังไง”


 


 


“อะไรเนี่ย นี่เธอเริ่มคิดว่าก่อนหน้านี้ตัวเองทำไม่ดีกับจื่อเฮ่าเอาไว้งั้นเหรอ” ถังหนิงหัวเราะเบาๆ


 


 


ถังหนิงถามคำถามที่กระทบจุดอ่อนของเฉินซิงเยียนเนื่องจากเธอดันเริ่มตั้งคำถามที่เกิดจากความกังวลใจของตัวเอง


 


 


เธอตระหนักดีว่าอันจื่อเฮ่าเป็นคนมีความสามารถ ในขณะที่เธอเป็นแค่สตันต์ที่ทำงานไปวันๆ อย่างไร้ความทะเยอทะยาน หากชื่อเสียงของอันจื่อเฮ่าต้องเสียหายเพราะข่าวฉาวในครั้งนี้ เธอคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เธอไม่ชอบความรู้สึกติดค้างกับคนอื่นแบบนี้


 


 


“พี่หนิง บอกหน่อยได้ไหมว่าฉันจะช่วยอันจื่อเฮ่าได้ยังไง”


 


 


“เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่รออย่างใจเย็นแค่นั้นก็พอแล้ว” ถังหนิงตอบ “อย่าเปิดโอกาสให้แอนนี่โจมตีเธอหรือจื่อเฮ่าอีก”


 


 


“ฉันควรจะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยอย่างงั้นเหรอ”


 


 


“ในเวลาแบบนี้เธอทำอะไรไม่ได้หรอก”


 


 


ถังหนิงเป็นคนตรงไปตรงมา คำพูดของเธอเหมือนเป็นคำเตือนโดยตรงถึงนิสัยเห็นแก่ตัวของเฉินซิงเยียน หากเธอยังคงทำตัวเช่นนี้ ไม่เพียงแต่อันจื่อเฮ่าเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่คนอื่นๆ ก็จะพลอยติดร่างแหไปด้วย


 


 


“งั้นก็ได้ ฉันจะไม่ทำอะไร” เฉินซิงเยียนกล่าวตอบก่อนกดวางสาย จากนั้นเธออยากจะโทรหาอันจื่อเฮ่าแต่เธอดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วและรู้ตัวว่าสิ่งที่เธอทำไม่ได้มีประโยชน์อะไร


 


 


ดังนั้นเธอจึงกลับไปที่ห้องนั่งเล่นและคิดสะระตะอะไรไปเรื่อยๆ แทน ดูจากมุมที่ภาพฉาวพวกนั้นถูกถ่าย คนคนนั้นจะต้องยืนอยู่ตรงประตูห้องของแอนนี่อย่างแน่นอน


 


 


เฉินซิงเยียนพยายามระงับความโกรธและเดินไปเคาะประตูห้องนอนของแอนนี่อย่างใจเย็น


 


 


ด้านหลังประตูบานนั้น แอนนี่กำลังดูโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เธอยื่นโทรศัพท์ให้เฉินซิงเยียน “สถานการณ์เริ่มไปกันใหญ่แล้ว ผู้กำกับเฉินเฟิงประกาศว่าเขาจะยกเลิกสัญญาของคุณอันเรื่อง ‘ชายาหนิง’ ดูจากความรุนแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ ฉันกลัวว่าคุณอันจะต้องไม่มีงานไปอีกนานแน่ๆ”


 


 


หลังจากอ่านบทความข่าวล่าสุดจบ เฉินซิงเยียนจึงยื่นโทรศัพท์กลับไปให้แอนนี่ก่อนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อซักถามอีกฝ่าย “มีแค่มุมนี้และส่วนสูงระดับนี้เท่านั้นที่คนบางคนถึงจะถ่ายรูปพวกนั้นออกมาได้แบบนี้ ฉันพูดถูกไหม”


 


 


แอนนี่มองดูรูปเปรียบเทียบที่เฉินซิงเยียนถ่ายจากประตูห้องของเธอและได้แต่เงียบ


 


 


“ต่อให้เธอไม่ยอมรับ ฉันก็หาหลักฐานอื่นมาได้อยู่ดี เธอหยุดเล่นละครเถอะแอนนี่”


 


 


แอนนี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของเธอแดงก่ำราวกับเธอพยายามอดกลั้นอะไรบางอย่าง แต่ชั่วครู่หลังจากนั้น…


 


 


…เธอพยักหน้าและหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเธอฟังดูโอหังอย่างมาก “ถ้าฉันเป็นคนทำแล้วมันทำไมเหรอ ใครเป็นคนเปิดโปงแล้วมันยังจะมีผลอะไรอีกหรือไง


 


 


“บางทีเธออาจจะจัดแถลงข่าวแล้วบอกทุกคนว่าฉันเป็นคนวางแผนทุกแล้วก็ได้นี่ เธอคิดว่าจะมีใครเชื่อเธอไหมล่ะ”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่มอบกำปั้นเน้นๆ เข้าที่ใบหน้าของแอนนี่จนอีกฝ่ายลงไปกองกับพื้น “ฉันรู้ว่าเธอเกลียดชั้น แต่ทำไมเธอถึงทำกับอันจื่อเฮ่าแบบนี้”


 


 


แอนนี่นั่งกับพื้นพลางลูบใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บของตัวเองก่อนจะพูดอย่างเยาะเย้ย “เธอไม่คิดว่าเขาลำเอียงเข้าข้างแต่เธอหรือไง”


 


 


“ไม่เลยสักนิด!”


 


 


“นั่นเพราะเธอมันโง่ไง ไม่รู้หรือไงว่าอันจื่อเฮ่าพาฉันมาที่นี่แค่เพื่อปั่นหัวเธอให้ทำงานหนักขึ้นเท่านั้นแหละ ก่อนหน้านี้ตอนที่ ‘The Savage Wars’ คัดตัวนักแสดง เธอปฏิเสธข้อเสนอและอันจื่อเฮ่าสัญญาว่าเขาจะยกบทนั้นให้ฉัน แต่ท้ายที่สุดเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม เขาไม่เคยพูดถึงฉันกับผู้กำกับด้วยซ้ำ เขาแค่รอเวลาให้เธอเปลี่ยนใจ


 


 


“ทั้งหมดที่เขาพูดว่าเราสองคนมีโอกาสเท่ากันและต้องปล่อยให้ผู้กำกับเป็นคนตัดสินใจน่ะ มันเรื่องโกหกทั้งเพ โอกาสเป็นของเธอมาตลอดและฉันไม่เคยได้รับมันเลย!


 


 


“เธอรู้ไหมว่าเรื่องนี้มันเลวร้ายกับฉันมาแค่ไหน


 


 


“ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ฉันคิดว่าฉันจะได้ก้าวหน้าและจะได้เปิดตัว แต่ดูสิว่าสุดท้ายมันเป็นยังไง


 


 


“ต่อให้เขาพยายามแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้นหลังจากนั้น เขาก็ยังเพิกเฉยกับความจริงที่ว่าฉันเองก็ต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและอยากพัฒนาอาชีพไปในระดับโลก ทันทีที่เขารู้ว่าฉันไม่ผ่านออดิชั่น เขาไม่แม้แต่จะพยายามสู้เอาโอกาสนั้นมาให้ฉัน เธอยังคิดว่าเขาไม่ลำเอียงอยู่อีกเหรอ”


 


 


เมื่อได้ฟังคำโต้แย้งของแอนนี่ เฉินซิงเยียนก็ชะงักไป เธอไม่เคยรู้เลยว่าอันจื่อเฮ่าทำอะไรให้เธอบ้างโดยที่เธอไม่รู้


 


 


“ตอนที่เธอบอกว่าเครื่องเล่มเกมนั่นต้องเอาไปซ่อม เขารีบเอากลับบ้านและซ่อมมันด้วยตัวเอง ภายนอกเธอดูเหมือนเสียเปรียบ แต่ในความเป็นจริง เธอนั่นแหละที่เป็นคนโปรดของเขา


 


 


“แล้วเธอคิดว่าทำไมฉันถึงทำกับเขาแบบนี้งั้นเหรอ ก็เพราะเขาสมควรได้รับไงละ!”


 


 


เฉินซิงเยียนคุกเข่าลงกับพื้นและคว้าเสื้อของแอนนี่ จากนั้นเธอชูกำปั้นขึ้นและพร้อมที่จะต่อยอีกครั้ง แอนนี่ไม่คิดจะหลบ เธอเพียงแค่ยืดคอพร้อมรับกำปั้นนั้น แต่ทว่าในเวลานั้นเอง ประตูอะพาร์ตเมนต์ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง…


 


 


ชายฉกรรจ์ห้าหกคนกรูเข้ามาภายในบ้านและทันทีที่พวกเขามาถึงตัวเฉินซิงเยียน พวกเขาเริ่มรุมทำร้ายเธออย่างรุนแรงทันที


 


 


เฉินซิงเยียนไม่อาจต่อกรกับบอดีการ์ดมืออาชีพห้าคนในคราวเดียวได้ เธอจึงทำได้เพียงขดตัวอยู่กับพื้นโดยไม่เคลื่อนไหว…


 


 


หัวหน้าบอดีการ์ดช่วยดึงแอนนี่ขึ้นจากพื้นและถาม “คุณเป็นอะไรไหม”


 


 


“จับมันไว้!” แอนนี่พูดโดยไม่ใส่ใจกับอาการบาดเจ็บของตัวเอง


 


 


บรรดาบอดีการ์ดทำตามที่เธอสั่งและจับตัวเฉินซิงเยียนเอาไว้ เมื่อแอนนี่เห็นเช่นนั้น เธอก็รีบเดินไปต่อยหน้าอีกฝ่ายทันที “หมัดนี้ถือว่าเอาคืน” จากนั้นเธอจึงต่อยเข้าไปอีกหมัด “ส่วนหมัดนี้ถือเป็นโบนัส”


 


 


จากนั้นแอนนี่ยืนตัวตรงและปัดฝุ่นออกจากตัว ท่าทีของเธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะที่เธอก้มลงมองเฉินซิงเยียนอย่างโอหัง


 


 


“แกคิดว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้งั้นเหรอ ที่จริงฉันเป็นคนขโมยบทของแกจากเรื่อง ‘The Savage Wars’ ไปเองแหละ ฉันจะไม่มีวันพอใจตราบใดที่แกยังไม่ถูกเปลี่ยนตัวออก แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากเป็นสตันต์ แกเป็นคนไม่แยแสอะไรไม่ใช่หรือไง จากนี้ไปแกก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างไม่แยแสอย่างที่แกต้องการไง…


 


 


“โชว์มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น! คราวนี้ถ้าไม่มีอันจื่อเฮ่า ฉันอยากจะรู้ว่าใครจะยังช่วยแกได้อีก”


 


 


พูดจบ แอนนี่ก็เดินออกไปจากห้อง ขณะที่เธอเดินออกไปนั้น เธอบอกกับหัวหน้าบอดีการ์ด “สั่งสอนบทเรียนของวงการบันเทิงให้มันซะ”


 


 


“ได้ครับ ก้าวระวังด้วยครับคุณแอน”


 


 


สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่เฉินซิงเยียนต้องการลบออกไปจากความทรงจำของเธอ


 


 


สิ่งที่เรียกว่า ‘บทเรียนของวงการบันเทิง’ นั่นคือการถูกล้อมด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์และคนพวกนั้นปัสสาวะรดตัวเธอจนทั่ว


 


 


กลิ่นอันน่ารังเกียจคละคลุ้งไปทั่วตัวเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า


 


 


ความคิดนั้นทำให้เฉินซิงเยียนต้องการจะฆ่าคน เธอยินดีสละชีวิตตัวเองเพื่อให้ได้ฆ่าแอนนี่

 

 

 


ตอนที่ 653 นี่คือความทรงอำนาจอย่างที่แม่ของโม่ถิงควรจะมี

 

แม้จะไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าแอนนี่เป็นคนต้นเรื่องของข่าวฉาวในครั้งนี้ แต่ทุกคนต่างรู้ดีโดยไม่มีข้อสงสัยว่าเธอเป็นคนทำ


 


 


ถังหนิงขอให้หลงเจี่ยช่วยสืบเรื่องนี้โดยใช้เส้นสายในช่องทางเล็กๆ น้อยๆ ผลที่ได้คือหลงเจี่ยกลับมาพร้อมข้อมูลว่าแอนนี่ได้มีความสัมพันธ์อันไม่เหมาะสมกับบอสของเอเจนซี่เจ้าใหม่ในวงการบันเทิง ที่จริงทั้งสองถูกพบว่าจองโรงแรมอยู่ด้วยกัน!


 


 


“ฉันถามเพื่อนให้ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับประธานหวังคนนั้นแล้วค่ะ ขอเวลาฉันคืนหนึ่งแล้วฉันจะรีบบอก” หลงเจี่ยแจ้งความคืบหน้า


 


 


“เวลามีเศรษฐีหน้าใหม่ตัดสินใจเปิดเอเจนซี่ คนพวกนั้นมีเจตนาแค่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ คือพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้นอนกับพวกนักแสดงหน้าใหม่ที่กระหายชื่อเสียงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเขาได้ทั้งเรื่องอย่างว่าและผลประโยชน์ รู้นะว่าฉันหมายถึงอะไร” ถังหนิงกล่าวอย่างมีนัยแอบแฝง “จัดการกับคนพวกนั้นอย่างเงียบๆ แล้วเธอจะได้หลักฐานที่มีประโยชน์มาไว้ในมือ”


 


 


“เข้าใจแล้วค่ะ” หลงเจี่ยตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่ยากจะปิดบัง เธอไม่ได้ใช้ทักษะของเธอในวงการนี้มาพักใหญ่แล้ว


 


 


เมื่อถึงคราวต้องจัดการกับคนอย่างประธานหวัง ถังหนิงไม่จำเป็นต้องปรากฏตัว แต่เธอสามารถพบกับผู้กำกับของ ‘The Savage Wars’ ได้แน่นอน


 


 


“เธอช่วยนัดหมายฉันกับผู้กำกับอเมริกันคนนั้นหน่อยได้ไหม ฉันอยากจะถามอะไรเขาสักหน่อย”


 


 


“ไม่มีปัญหา” หลงเจี่ยตอบ


 


 


หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งดีและร้ายรวมกับถังหนิงมาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเธอก็คุ้นเคยกับวิธีการของถังหนิง เมื่อไหร่ก็ตามที่ถังหนิงปรากฏตัว ฝ่ายตรงข้ามก็ได้แค่ภาวนาขอให้โชคคุ้มครองเท่านั้น


 


 



 


 


อันจื่อเฮ่าไม่มีทีมงานที่เขาทำงานด้วย ดังนั้นข่าวที่ถูกปล่อยออกมาในครั้งนี้จึงเป็นผลเสียกับเขาเท่านั้น แต่เขาก็ไม่มีใครช่วยสื่อสารกับทุกคนให้


 


 


ในส่วนของผู้กำกับเฉินเฟิงนั้น อันจื่อเฮ่าได้พยายามอธิบายทุกอย่างกับอีกฝ่ายแล้ว แต่ผู้กำกับได้บอกกับเขาอย่างชัดเจนว่าหากเขายังไม่สามารถจัดการกับข่าวฉาวนี้ได้ เขาก็ควรถอดใจออกจากฐานะผู้ช่วยผู้กำกับ อันจื่อเฮ่าเป็นชายที่มีเกียรติ เขาจึงให้คำมั่นกับผู้กำกับว่าเขาจะทำให้อีกฝ่ายพอใจกับผลที่ออกมา


 


 


ครั้นเขาพิจารณาถึงข่าวฉาวที่เกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ระวังเพียงพอ ในเวลาแบบนี้ เขาควรรู้ดีกว่าใครว่าการก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่กระนั้นเขากลับโอ๋เฉินซิงเยียนและทำให้เกิดความพลาดครั้งใหญ่


 


 


เมื่อคิดถึงเฉินซิงเยียน เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้อธิบายสถานการณ์ให้อีกฝ่ายฟังอย่างชัดเจนในเช้าวันนั้น ดูจากอารมณ์ของเธอแล้ว วันนี้เธอจะสร้างปัญหาอะไรอีกกันนะ


 


 


ด้วยความกังวล อันจื่อเฮ่าจึงตัดสินใจยังไม่ตรงกลับบ้านแต่เลือกที่จะไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเฉินซิงเยียน แต่ทันทีที่เขาก้าวออกจากลิฟต์ ก็สังเกตเห็นว่าประตูด้านหน้าไม่ได้ล็อก


 


 


อันจื่อเฮ่ารีบเปิดประตูและเข้าไปภายในทันที ภายในห้อง เขาพบเฉินซิงเยียนนอนกระตุกด้วยความโกรธอยู่กับพื้นและปกคลุมไปด้วยของเหลวกลิ่นเหม็น


 


 


อันจื่อเฮ่าตกใจ รีบวิ่งเข้าไปช่วยอีกฝ่ายให้ลุกจากพื้น แต่เฉินซิงเยียนพลันตะโกนออกมาอย่างฉับพลัน “ฉันจะฆ่าแอนนี่!”


 


 


“เกิดอะไรขึ้น” อันจื่อเฮ่าถามขณะที่เขาสังเกตเห็นบาดแผลที่ปรากฏอย่างชัดเจนบริเวณใบหน้าและลำคอของอีกฝ่าย


 


 


เฉินซิงเยียนสะบัดตัวเองออกจากอันจื่อเฮ่าและผลักเขาออกไป “ไม่ใช่เรื่องของนาย! บอกฉันมาว่าแอนนี่อยู่ที่ไหน!”


 


 


คำตอบสำหรับคำถามของอันจื่อเฮ่านั้นชัดเจน เขาพอเดาได้คร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่


 


 


การได้เห็นเฉินซิงเยียนที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างที่ขวางทาง อันจื่อเฮ่านึกสงสัยว่าความเจ็บปวดแบบไหนที่ทำให้เธอมาถึงจุดนี้ได้


 


 


เมื่อเขามองดูที่พื้น จึงตระหนักได้ว่าของเหลวกลิ่นเหม็นพวกนั้นคือปัสสาวะ…


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่อาจจินตนาการได้ว่าแอนนี่ทำอะไรลงไปบ้าง


 


 


“บอกฉันมาว่ามันอยู่ไหน!”


 


 


“สงบสติก่อน โกรธไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ มีแต่จะสร้างปัญหาให้เธอมากขึ้น” อันจื่อเฮ่ากอดเฉินซิงเยียนแน่น


 


 


“ฉันไม่สน!”


 


 


“ฉันสน!” อันจื่อเฮ่าตะโกน “ตอนนี้อดทนไว้ก่อน ฉันจะทำให้แอนนี่ต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำลงไปเป็นร้อยเท่า ไม่สิ ต้องพันเท่า!”


 


 


ดวงตาเฉินซิงเยียนแดงก่ำ เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการอดทนกับความเจ็บปวดและความโกรธที่เธอกำลังรู้สึก


 


 


อันจื่อเฮ่าใช้โอกาสนี้อุ้มเฉินซิงเยียนไว้ในอ้อมแขนและเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำ จากนั้นเขาก็วางเธอลงในอ่างอาบน้ำและล้างตัวอีกฝ่ายด้วยน้ำอุ่น


 


 


“เชื่อฉันนะ เชื่อฉัน!”


 


 


เมื่อได้ยินอันจื่อเฮ่าพูดย้ำคำสองคำนี้ เฉินซิงเยียนก็พลันเงยหน้ามองอีกฝ่ายราวกับเด็กน้อย อันจื่อเฮ่าได้เห็นเช่นนั้นเขายิ่งรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม “ฉันไม่ควรปล่อยให้เธออยู่ที่นี่ด้วยตัวเองเลย จากนี้ไปฉันจะพาเธอไปด้วยทุกที ฉันจะไม่ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวอีกแล้ว”


 


 


เฉินซิงเยียนได้วางเจตนาที่จะล้างแค้นเดี๋ยวนั้นลงไว้ก่อนแต่กำปั้นของเธอยังคงกำแน่น “ฉันจะทำลายมัน ฉันจะทำ!”


 


 


เมื่อมองจากมุมนี้ เฉินซิงเยียนดูคล้ายกับถังหนิงเป็นอย่างมาก เธอไม่เคยทำตัวอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น เผยให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับผู้หญิงคนอื่นๆ อย่างชัดเจน


 


 


แต่กระนั้นความแตกต่างระหว่างเฉินซิงเยียนกับถังหนิงนั้น คือความจริงที่ว่ายิ่งถังหนิงเงียบเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น เพราะยิ่งเธอเงียบ เธอก็ยิ่งคิดคำนวณสิ่งที่เธอจะทำกับศัตรู ในขณะที่เฉินซิงเยียนนั้นมุทะลุกว่ามาก


 


 


หากแอนนี่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าเฉินซิงเยียนจะลงมือฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ โดยไม่ลังเล


 


 


อันจื่อเฮ่ารู้สึกปวดใจ เหตุการณ์ในครั้งนี้ย้ำเตือนถึงความที่เขาไม่อาจปกป้องอวิ๋นซินได้ในอดีต ดูเหมือนเขามีแต่จะทำให้คนที่อยู่รอบกายต้องเจ็บปวด


 


 


“ไปกันเถอะ ฉันจะพาเธอไปพัก” หลังช่วยเฉินซิงเยียนล้างตัว อันจื่อเฮ่าก็อุ้มเธอกลับไปยังห้องนอน “หลับให้สบายแล้วสงบสติตัวเองนะ”


 


 


“ไปทำธุระของนายเถอะ ฉันจะไม่เพิ่มงานอะไรให้นายอีก” เฉินซิงเยียนกล่าวขณะที่เธอนั่งอยู่บนเตียง


 


 


อันจื่อเฮ่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขากลับถูกขัดด้วยสายเรียกเข้าจากไป๋ลี่หวา อันจื่อเฮ่ารีบกดรับสายทันทีและส่งให้เฉินซิงเยียน


 


 


เฉินซิงเยียนก้มหน้าและร้องออกมา “แม่…”


 


 


คำพูดง่ายๆ นี้กลับทำให้หัวใจของทั้งไป๋ลี่หวาและอันจื่อเฮ่าแตกสลาย


 


 


“เอาโทรศัพท์ให้อันจื่อเฮ่าซิ” ไป๋ลี่หวากล่าวด้วยความโกรธ


 


 


อันจื่อเฮ่าได้ยินก็รีบคว้าโทรศัพท์จากมือของเฉินซิงเยียน เขาพร้อมที่จะถูกต่อว่า


 


 


“คุณควรจะออกมาพูดแก้ต่างให้ลูกสาวของป้า ไม่งั้นป้าจะไม่เอาเธอไว้”


 


 


“ป้าไป๋ครับ ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม ผมจะช่วยทำให้เสี่ยวซิงกลับมาเป็นปกติให้ได้”


 


 


“ทำให้ได้อย่างที่พูดเถอะ” ไป๋ลี่หวาขู่ “ถึงบ้านเราจะไม่มีผู้ชายเลยสักคน ก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะมารังแกพวกเราได้ง่ายๆ ถ้าคุณปกป้องลูกสาวป้าไม่ได้ ก็ส่งลูกสาวป้ากลับมา ป้าจัดการเรื่องนี้เองได้”


 


 


“เชื่อผมเถอะครับป้าไป๋”


 


 


“ไปปลอบลูกสาวป้าแทนเถอะ”


 


 


ไป๋ลี่หวากดวางโทรศัพท์หลังพูดจบ แน่นอนว่าถังหนิงยิ้มเมื่อเธอได้ยินบทสนทนาทั้งหมดจากห้องนั่งเล่น


 


 


แม่ของโม่ถิงควรจะเป็นแบบนี้สิ นี่คือความทรงอำนาจอย่างที่แม่ของโม่ถิงควรจะมี


 


 


เธอไม่มีอะไรเหมือนกับฮว่าเหวินเฟิ่งที่ไร้ยางอาย


 


 


แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถปั่นหัวคนในตระกูลโม่ได้ ในเมื่อมีคนกล้าทำ คนพวกนั้นก็ต้องเตรียมรับผลที่จะตามมา


 


 



 


 


หลังวางโทรศัพท์ อันจื่อเฮ่าก็เอื้อมมือไปลูบหัวเฉินซิงเยียนอย่างอ่อนโยน “เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ปกป้องเธอให้ดี”


 


 


“ทำไมนายต้องแอบทำอะไรให้ฉันลับหลังตั้งเยอะแยะ” เฉินซิงเยียนถามด้วยความสับสน “ทั้งบท ทั้งเครื่องเล่นเกม แล้วก็เรื่องต่างๆ อีกมากมาย ทำไมนายถึงทำแบบนั้น”

 

 

 


ตอนที่ 654 ฆาตกรเงียบ

 

“เธอเป็นศิลปินในสังกัดของฉัน แล้วฉันทำแบบนั้นมันผิดตรงไหน”


 


 


เฉินซิงเยียนมองลึกเข้าไปในดวงตาของอันจื่อเฮ่า เพราะเธอไม่ต้องการพลาดแม้แต่ท่าทีเล็กๆ ที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “แอนนี่ยอกว่านายลำเอียงเข้าข้างฉันมาตลอด”


 


 


“เธอเป็นศิลปินในสังกัดของฉัน ถ้าฉันอยากจะลำเอียง แล้วผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรได้งั้นเหรอ” ขณะที่อันจื่อเฮ่าพูด น้ำเสียงของเขาก็เริ่มฟังดูเหมือนนายทหารซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยากที่จะเข้าใจเหตุผลที่เอามาอ้าง


 


 


เฉินซิงเยียนมองหน้าอันจื่อเฮ่าด้วยความจริงจัง ก่อนจะถอนหายใจออกมาโดยไม่พูดอะไรและเอนตัวลงบนเตียง “ไปทำธุระของนายเถอะ ฉันจะงีบสักหน่อย”


 


 


เดิมทีอันจื่อเฮ่าตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในเวลาแบบนี้ เขาไม่อาจประมาทได้เพราะมีเรื่องดราม่ามากมายเกิดขึ้นอยู่ภายนอก


 


 


เฉินซิงเยียนตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้านหนึ่งเธอรู้สึกผิดหวังเพราะความอับอายที่ได้รับ แต่อีกด้านหนึ่งหัวใจเธอก็หวั่นไหวเล็กน้อยกับสิ่งที่อันจื่อเฮ่าทำให้เธอทั้งหมด


 


 


เป็นเรื่องปกติหรือเปล่าที่คนทั่วไปจะเสนอความช่วยเหลือให้คนอื่นโดยไม่มีเหตุผล และเป็นเรื่องปกติหรือเปล่าที่ใครบางคนจะลำเอียงเข้าข้างเธอจากก้นบึ้งของหัวใจ


 


 



 


 


เช้าวันต่อมา


 


 


ในที่สุดหลงเจี่ยก็มีความคืบหน้ามาให้ถังหนิง เธอได้จัดการให้ถังหนิงได้พบกับผู้กำกับแมตต์จากเรื่อง ‘The Savage Wars’ โดยยืนยันสถานที่นัดพบเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจะพบภายในห้องส่วนตัวของโรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนทัล


 


 


นอกจากเพื่อนสนิทในวงการที่มีอยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว ก็มีคนไม่มากนักที่สามารถเชิญถังหนิงไปร่วมงานอีเวนต์ได้ ไม่ว่างานนั้นจะใหญ่โตสักแค่ไหนก็ตาม แต่เพื่อเฉินซิงเยียน ถังหนิงถึงกับเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คงไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ถังหนิงเป็นใคร และเฉินซิงเยียนเป็นใครก็เห็นความต่างอย่างชัดเจน


 


 


“คุณอยากให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม” โม่ถิงถามขณะสวมชุดสูทลายทาง ก่อนจะได้เวลาที่ถังหนิงจะออกไปตามนัด


 


 


ถังหนิงเลือกเสื้อผ้าออกมาชุดหนึ่งและส่ายหน้า “คุณไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรอกค่ะ”


 


 


“ฟังนะ ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุดคือร่างกายของคุณ”


 


 


ถังหนิงหัวเราะคิกคักพลางสวมกอดโม่ถิงจากด้านหลัง แม้จะเป็นเพียงอ้อมกอดอันแผ่วเบาก็ตาม “คุณรู้ไหม ฉันชอบกอดคุณจากด้านหลังที่สุดเลย กอดแบบนี้ฉันสามารถหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังไหล่หนาๆ ของคุณราวกับมันเป็นกำแพงที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลก”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น โม่ถิงก็ยืนนิ่งและปล่อยให้ถังหนิงกอดเขาขณะที่เขาทำให้เธอสัมผัสได้ถึงปลอดภัยที่สุด


 


 


“พวกอเมริกันรับมือได้ยาก ถ้าคุณเจอปัญหาอะไรละก็อย่าลืมโทรหาผมนะ”


 


 


“โอเคค่ะ” ถังหนิงพยักหน้า


 


 


หลังจากนั้นสักครู่ ถังหนิงเดินออกจากคฤหาสน์ เมื่อเธอเดินออกมา ก็บังเอิญพบกับลู่เช่อที่เธอไม่ได้เห็นหน้ามานาน


 


 


“กลับมาแล้วเหรอ”


 


 


“คุณผู้หญิง ขึ้นรถเถอะครับ ท่านประธานขอให้ผมขับไปส่งคุณที่โรงแรม” ลู่เช่อกล่าวขณะที่เขาเปิดประตูรถให้เธอ


 


 


ถังหนิงพยักหน้ารับและก้าวขึ้นนั่งบนรถ แต่หลังจากที่ประตูรถปิดลง เธอก็ถาม “นายได้อะไรที่เป็นประโยชน์จากการไปสืบที่ต่างประเทศบ้างไหม”


 


 


“ไม่มีเลยครับ ทุกอย่างดูเป็นปกติ ฮว่าเหวินเฟิ่งรอดจากเหตุเพลิงไหม้เหมือนสิบกว่าปีก่อนและมีหลักฐานว่าเธอใช้เวลารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลระยะหนึ่งจากเหตุการณ์นั้น เมื่อเธอตื่นขึ้นมา บุคลิกของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่หมอบอกว่ามันเกิดจากความผลกระทบทางจิตใจหลังการช็อก นอกจากนั้นผมก็ไม่พบอะไรอีก” ลู่เช่อตอบ


 


 


เหตุเพลิงไหม้…


 


 


ด้วยข้อมูลนี้ ถังหนิงนึกถึงแผลไฟไหม้ตามตัวของไป๋ลี่หวา ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องการระบุตัวตนของทั้งสองจะเริ่มต้นขึ้นจากตอนนั้น


 


 


แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาสะสางปัญหานี้ เพราะคนที่เธอจำเป็นต้องช่วยเป็นอันดับแรกคือลูกสาวของไป๋ลี่หวาซึ่งเป็นน้องสาวของโม่ถิง


 


 


ไม่นานนัก ถังหนิง ลู่เช่อและทีมบอดีการ์ดได้เดินทางมาถึงโรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนทัล ในขณะเดียวกัน ผู้กำกับของ ‘The Savage Wars’ และคนที่มีส่วนรับผิดชอบสำคัญได้นั่งรออยู่ที่โซฟาอย่างสบายใจอยู่ก่อนแล้ว


 


 


“ถังหนิง!” ผู้กำกับแมตต์ยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นถังหนิง เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเธอจากหลายที่มา “ผมไม่คิดเธอว่าผมจะได้มีโอกาสพบกับผู้หญิงที่เป็นตำนานอย่างคุณ ผมรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเลย”


 


 


ถังหนิงยิ้มขณะจับมือกับชายทั้งสอง ก่อนตอบรับเป็นภาษาอังกฤษอย่างสมบูรณ์แบบ “เป็นเกียรติที่ได้พบคุณสองคนเช่นกันค่ะ”


 


 


“แต่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำไมคุณถึงอยากพบพวกเราล่ะ” แมตต์ถามพลางเอามือมารองที่คางของตนเอง


 


 


ถังหนิงยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาวางลงบนโต๊ะและแสดงให้ชายทั้งสองคนเห็น “เพราะเธอคนนี้”


 


 


เฉินซิงเยียนยิ้มอย่างสดใสอยู่ในรูปบนมือถือของถังหนิง แต่เธอกลับต้องมาปวดหัวเพราะชายอเมริกันสองคนนี้


 


 


“ผู้หญิงคนนี้อีกแล้วเหรอ เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา เราเปลี่ยนตัวเธอออกไปแล้ว”


 


 


“ฉันทราบเรื่องนั้นดีค่ะ ไม่เพียงแค่ผู้กำกับแมตต์จะเปลี่ยนตัวเฉินซิงเยียนออก แต่คุณยังถึงขนาดใช้ข่าวฉาวของเธอมาเป็นข้ออ้างในการทำแบบนั้นด้วย” ถังหนิงกล่าวพร้อมความหมายแฝง “ฉันจะพูดเข้าประเด็นเลยนะคะ ฉันมาที่นี่เพื่อเฉินซิงเยียนโดยเฉพาะ”


 


 


“เดี๋ยวก่อน ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนี้”


 


 


“ไม่ว่าเราจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เธอก็ไม่ใช่คนที่คุณจะมาหาเรื่องได้” น้ำเสียงของถังหนิงแข็งขึ้นเล็กน้อย


 


 


“แต่… ฉันรู้ว่าเธอถูกเปลี่ยนตัวออก และคนที่มาแทนที่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับผู้จัดการของตัวเอง ฉันมั่นใจว่าพวกคุณรู้เรื่องนี้ดี” ถังหนิงเริ่มถกเถียงกับชายทั้งสองคน “คุณรู้ไหมว่าได้ทำการตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล ผู้กำกับแมตต์ ข้อแรก เฉินซิงเยียนเป็นนักแสดงบทบู๊ระดับท็อปและคุณเองก็มีวัยวุฒิพร้อมกับหนังมากมายอยู่ในมือ แต่มีกี่ครั้งที่คุณได้รับรางวัล


 


 


“โปรดักชั่นระดับสามไม่เพียงพอที่จะได้รับรางวัลอะไร คุณคงไม่อยากเสียเวลาในวัยสูงอายุไปกับการทำหนังขยะเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหรอกจริงไหมคะ


 


 


“อีกอย่าง เฉินซิงเยียนเป็นศิลปินในสังกัดของอันจื่อเฮ่าและอันจื่อเฮ่าเป็นคนสนิทคนหนึ่งของฉัน แค่เรื่องความสัมพันธ์นี้ คุณก็ไม่ควรตัดสินใจโดยใช้เงินเป็นหลักแล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของถังหนิง แมตต์ก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ผมไม่คิดว่าผมจำเป็นต้องให้คุณมาสอนว่าผมต้องทำอะไร ข่าวฉาวของเฉินซิงเยียนกับผู้จัดการเป็นความจริง ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลที่ผมจะเปลี่ยนตัวเธอออก คุณถังหรือคุณนายโม่ ผมรู้ว่าสามีของคุณเป็นนายใหญ่ของวงการบันเทิงในปักกิ่ง แต่คุณจะมาพูดแบบนี้กับวงการบันเทิงของอเมริกาไม่ได้หรอกนะ”


 


 


“ก็ได้ ดูเหมือนคุณแมตต์จะต้องการได้ยินอะไรที่ชัดเจนสินะ” ถังหนิงไม่ได้โมโหขณะเอามือมากอดออกแล้วเอนหลังกับเก้าอี้ด้วยท่าทีใจเย็นและให้อภัยอีกฝ่าย


 


 


“เฉินซิงเยียนผ่านการออดิชั่นของคุณ แต่คุณกลับเปลี่ยนตัวเธอออกก่อนข่าวฉาวพวกนั้นจะถูกเปิดเผยเสียอีก แล้วยังคนใหม่ที่คนจ้าง ต่อให้คุณยังไม่ประกาศ คุณก็ซ่อนฉันไม่มิดหรอก ฉันรู้ว่าคุณเปลี่ยนตัวเฉินซิงเยียนออกและใช้แอนนี่ซึ่งเป็นศิลปินอีกคนของอันจื่อเฮ่าแทน


 


 


“ถ้าคุณไม่พอใจที่อันจื่อเฮ่ากับศิลปินของเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนต่อกัน งั้นคุณก็ไม่ควรพิจารณาแอนนี่เช่นกัน ทำไมคุณถึงเลือกเปลี่ยนเฉินซิงเยียนเป็นแอนนี่ล่ะ


 


 


“อีกอย่าง มีสิทธิ์อะไรที่แอนนี่จะมาแทนที่เฉินซิงเยียน


 


 


“เพราะประธานหวังจ่ายเงินให้คุณก้อนโตใช่ไหม


 


 


“ผู้กำกับแมตต์ เอเจนซี่ของคุณนี่น่าอัศจรรย์จริงๆ คุณรับผลประโยชน์ทุกอย่างแต่กลับทิ้งปัญหาให้คนอื่นตามล้างตามเช็ด คุณนี่เหมือนกับฆาตกรเงียบเลย”


 


 


“คุณกำลังพูดอะไรไร้สาระน่ะ” แมตต์ถามด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว


 


 


“ฉันมั่นใจว่าคุณรู้ดีว่าฉันกำลังพูดเรื่องไร้สาระหรือเปล่า แต่ต่อให้คุณไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อประนีประนอมอะไรอยู่แล้ว” ถังหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ฉันแค่มาบอกให้พวกคุณรู้ว่าฉันวางแผนจะทำอะไร…


 


 


“คุณจะรังแกใครก็ได้ แต่ถ้าเป็นเฉินซิงเยียนละก็…


 


 


“ฉันไม่อนุญาต!”

 

 

 


ตอนที่ 655 เปลี่ยนแอนนี่ให้เป็นเศษขยะที่ไม่มีใครต้องการ

 

จากจุดนั้น ท่าทีของแมตต์เริ่มบูดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม แต่เขาพยายามที่จะซ่อนมันไว้ “พูดตามตรง คุณอาจจะโด่งดังแต่คุณก็ช่างสำบัดสำนวนมากด้วยนะ ถ้าผมปล่อยถึงคุณเสียๆ หายๆ นิดหน่อยในอเมริกา ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะไปรอดกับอาชีพในระดับโลกหรอก”


 


 


“ฉันไม่สนใจ” ถังหนิงตอบ “แต่แน่นอนว่าก่อนคุณจะทันได้ทำแบบนั้น คุณต้องมีโอกาสได้ทำเสียก่อน


 


 


“คุณเอาแต่คิดไปเองว่าอันจื่อเฮ่าเป็นเหยื่อที่จะรังแกได้ง่ายๆ เพราะเขาเป็นมือใหม่และไม่มีอิทธิพลหรือสถานะอะไร แต่คุณต้องไม่รู้แน่ว่าอันจื่อเฮ่ามีเส้นสายอยู่กับทีมที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ดีที่สุดของอเมริกา ฉันมั่นใจว่าคุณคงเคยได้ยินชื่อดาร์ซี่ใช่ไหม”


 


 


แมตต์ตัวแข็งทื่อ ไม่แน่ใจว่าทำไมถังหนิงถึงพูดถึงชื่อนี้


 


 


ดาร์ซี่เป็นทนายความที่ได้รับใบอนุญาตจากบริษัททนายความที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของอเมริกาที่ไม่เคยแพ้ในการว่าความใดๆ มาก่อน แต่เขามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอันจื่อเฮ่า


 


 


“เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของอันจื่อเฮ่า” ถังหนิงพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเพื่อลดแรงกระทบต่ออีกฝ่าย “ฉันมั่นใจว่าดาร์ซี่จะสามารถหาจุดอ่อนของบริษัทคุณและเรื่องผิดศีลธรรมต่างๆ ที่พวกคุณเคยทำเพื่อแลกกับเงิน…


 


 


“และเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น… ฉันแน่ใจว่าบริษัทของคุณจะต้องล้มละลาย!”


 


 


“ผมไม่รู้…”


 


 


“แน่นอน คุณไม่รู้หรอก เพราะคุณมันเห็นแก่เงินไง” ถังหนิงพูดต่อ “คุณคิดว่าหลังจากคุณใส่ร้ายอันจื่อเฮ่าแล้ว เขาจะปล่อยคุณไปงั้นเหรอ


 


 


“ไม่เพียงแค่ใส่ร้ายเขาเท่านั้น คุณยังเปลี่ยนตัวศิลปินของเขาด้วย ฉันว่าแค่เรื่องหมางใจแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจปิดบริษัททั้งหมดของคุณแล้วล่ะ”


 


 


แมตต์เริ่มอยู่ไม่สุข นั่งไม่ติดราวกับกำลังถูกฝูงมดกัดที่หน้าอก แต่… ถังหนิงยังไม่หยุดแค่นั้น


 


 


“ฉันคือประเทศของฉัน เราพูดเสมอว่าพวกคุณไม่ควรตัดสินใจจากเปลือกนอก นอกจากคำนี้จะใช้กับอันจื่อเฮ่าแล้ว ยังใช้กับเฉินซิงเยียนได้ด้วย ภายนอกเธออาจดูเหมือนสตันต์ธรรมดา แต่… ในขณะเดียวกัน เธอก็เป็นสมบัติอันล้ำค่าของตระกูลโม่


 


 


“ถ้าคุณทำให้เธอไม่พอใจ เท่ากับคุณทำให้ทั้งสามีและฉันไม่พอใจด้วยเช่นกัน


 


 


“สามีกับฉันไม่อาจทนเห็นคนที่อยู่รอบตัวเราถูกทำร้ายได้ เพื่อเป็นการโต้ตอบ วิธีการต่างๆ ของเราก็ไร้ความปรานี ฉันมั่นใจว่าคุณจะเคยได้รับการเตือนมาก่อนว่าอย่าคิดมาหาเรื่องพวกเรา”


 


 


ถังหนิงนั้นทรงอำนาจและเป็นที่ยำเกรง


 


 


แต่ทุกสิ่งที่เธอพูดล้วนเป็นความจริง


 


 


หากมีคนถามว่าใครที่พวกเขาไม่ควรไปยุ่งเมื่อต้องหางานในเอเชีย คำตอบนั้นคือไห่รุ่ยอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


“ขอฉันดูหน่อย… ฉันคิดว่าทีมทนายของอันจื่อเฮ่าน่าจะมาถึงในไม่อีกชั่วโมงข้างหน้า…”


 


 


“คุณนายโม่…” แมตต์หวาดวิตกขณะที่น้ำเสียงของเขาลีบเล็กลง “ถ้ามีปัญหาอะไร เรามาค่อยๆ คุยกันก็ได้”


 


 


“ไม่มีอะไรต้องคุยอีกแล้ว คุณต้องคืนคำพูดที่ประกาศต่อสาธารณะและยอมรับว่าพวกคุณเป็นฝ่ายผิด และนอกจากนั้น คุณต้องกำจัดแอนนี่ออกไปด้วย ถ้าไม่ทำสองอย่างนี้ ฉันจะไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น” ถังหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคงในทันที “คุณคิดว่าที่นี่คืออเมริกาที่พวกคุณจะทำอะไรก็ได้อย่างงั้นเหรอ


 


 


“คำขอพวกนั้นมันมากเกินไป”


 


 


หากพวกเขายอมรับว่าทำผิด ก็เท่ากับฆ่าตัวตาย…


 


 


แล้วพวกเขาจะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร


 


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ทำอะไรให้พวกคุณไม่ได้แล้ว” พูดจบ ถังหนิงก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวกลับ แต่แมตต์รีบเข้ามาขวางทางเธอ


 


 


“เดี๋ยวก่อนคุณนายโม่ เรามาต่อรองอะไรกันสักนิดได้ไหม นอกจากเงื่อนไขข้อแรกของคุณ เราสามารถประนีประนอมเป็นแนวทางอื่นได้… ผมยินดีที่จะเขี่ยแอนนี่ทิ้งและทำอย่างอื่นแทน แต่ผมไม่อาจทำคำขอข้อแรกของคุณได้”


 


 


ถังหนิงหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของอีกฝ่าย พลางกลับไปนั่งที่เดิม “ฉันจะสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรพวกคุณ แต่คุณต้องทำตามที่ฉันบอก”


 


 


“ว่ามาเลย…”


 


 


“ฉันต้องการให้พวกคุณรอจนกว่าจะถึงวันที่คุณจัดแถลงข่าวเรื่อง ‘The Savage Wars’ ก่อนที่คุณจะทำให้แอนนี่กลายเป็นเศษขยะที่ไม่มีใครต้องการต่อหน้าทุกคน”


 


 


เมื่อได้ยินคำสั่งของถังหนิง แมตต์ก็ตอบรับด้วยการทำท่าโอเค


 


 


“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเลยครับ”


 


 


“งั้นฉันจะรอฟังข่าวดี”


 


 


“ง่ายๆ แค่นี้เองเหรอ” แมตต์ถาม


 


 


“ใช่ ง่ายแค่นี้แหละ” ถังหนิงตอบ เพราะเธอไม่ใช่เหยื่อของเหตุการณ์นี้ เธอเพียงแค่ปรากฏตัวออกมาเท่านั้น คนที่ต้องการแก้แค้นจริงๆ ยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา


 


 


ในเมื่ออเมริกาต้องการเล่นกับพวกเธอ พวกเธอก็จะเล่นด้วย


 


 


เนื่องจากแมตต์ไม่ได้เป็นคนกำหนดความบริสุทธิ์ของอันจื่อเฮ่ากับเฉินซิงเยียน เขาจึงเป็นเพียงตัวประกอบตัวหนึ่งเท่านั้น


 


 


หมากตัวสำคัญในเรื่องนี้คือประธานหวังต่างหาก!


 


 


แต่สำหรับคนที่อยู่ในระดับนั้น… จำเป็นด้วยหรือที่ถังหนิงจะต้องลงมือ


 


 


ในระหว่างนี้ แอนนี่คงกำลังกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข


 


 


เธอคงคิดว่าเธอได้ทุกอย่างที่เธอต้องการแล้ว แต่เธอลืมความจริงไปข้อหนึ่ง ว่าสถานะของเธอแค่เปลี่ยนจากนักแสดงหน้าใหม่ไปเป็นเมียเก็บ และประธานหวังก็ไม่ได้มีเมียเก็บแค่คนเดียว


 


 


ด้วยจำนวนบ้านเล็กบ้านน้อยและโรงแรมอีกมากมาย ประธานหวังเคยนอนกับผู้หญิงมามากมายจนเกินกว่าจะจินตนาการได้


 


 


ในเวลาเช่นนี้ หนึ่งในบรรดาเมียเก็บของประธานหวังรู้เรื่องที่แอนนี่เป็นคนโปรดของเขาและรู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นแน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นหมากตัวสำคัญสำหรับหลงเจี่ย


 


 


“ที่รัก เธอคิดมากเกินไปแล้ว แอนนี่เป็นคนดาราหน้าใหม่เท่านั้นแหละ ถ้าเทียบกับเธอแล้วผู้หญิงคนนั้นเทียบอะไรเธอไม่ได้หรอกนะ”


 


 


“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก ยกเว้นคุณจะพิสูจน์ให้ฉันเห็น” ผู้หญิงคนนั้นบูดบึ้งขณะนั่งบนตักประธานหวัง


 


 


“ผู้หญิงคนนั้นแค่อยากเป็นดารา เพื่อแลกกับชื่อเสียงเธอถึงขนาดทรยศผู้จัดการของตัวเอง เธอไม่เห็นหรอกว่าผู้หญิงคนนั้นมาเซ็นสัญญากับฉันลับหลังอันจื่อเฮ่า


 


 


“อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นยังเจ้าเล่ห์ เพื่อให้ได้แก้แค้น หล่อนถึงกับล่ออันจื่อเฮ่าไปที่อะพาร์ตเมนต์แล้วจงใจถ่ายรูปเพื่อทำลายชื่อเสียงของหมอนั่นทั้งที่ความจริงแล้วเขาแค่กำลังดูแลเฉินซิงเยียนที่เมาไมได้สติเท่านั้น…


 


 


“ผู้หญิงแบบนั้นมีค่าพอแค่เอาไว้นอนด้วยเท่านั้นแหละ ฉันไม่กล้าเก็บไว้ข้างตัวหรอก” ประธานหวังพูดปลอบโยนขณะที่เขาโอบกอดผู้หญิงคนนั้นไว้ในอ้อมแขน


 


 


“หมายความว่าข่าวฉาวเกี่ยวกับอันจื่อเฮ่าเป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ”


 


 


“แหงอยู่แล้ว ทั้งหมดเป็นแผนแก้แค้นของแอนนี่” ประธานหวังหัวเราะ


 


 



 


 


จากนั้นไม่นาน วิดีโอที่มีเพียงประธานหวังมาอยู่ในมือของหลงเจี่ย และเธอรีบโอนเงินก้อนหนึ่งไปให้เมียเก็บคนนั้นอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงสองคนได้ทำการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม


 


 


หลังจากลากยาวมาทั้งวันทั้งคืน ก็ได้เวลาที่เรื่องวุ่นวายพวกนี้จะได้รับการสะสางเสียที


 


 


ทีมงานที่เล่นไม่ซื่อของ ‘The Savage Wars’ แอนนี่จอมหลอกลวง และประธานหวังผู้มักมากในกาม ทั้งสามคนกำลังจะได้พบจุดจบ


 


 


ในขณะเดียวกัน อันจื่อเฮ่าก็ออกไปพบดาร์ซี่ตามที่ถังหนิงคาดคะเนไว้ แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันจริงๆ อันที่จริงพวกเขาเป็นเพียงเพื่อนธรรมดาและถังหนิงจงใจหลอกแมตต์


 


 


แน่นอนว่าอะไรก็สามารถปลอมแปลงได้ทั้งนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน…


 


 


…คืออันจื่อเฮ่าไม่มีทางปล่อยแมตต์ออกจากเงื้อมมือ


 


 


เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย


 


 


ที่จริงแล้วจะไม่มีใครในทีมผู้จัดที่จะรอดไปได้!

 

 

 


ตอนที่ 656 ความรู้สึกเมื่อถูกกลั่นแกล้งจริงๆ!

 

คืนนั้น เฉินซิงเยียนเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของเธอเอง


 


 


ทุกครั้งที่เธอหลับตา เธอจะคิดถึงภาพที่เธอถูกกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นรุมเหยียดหยาม เธอพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่คิดหาทางแก้แค้นแอนนี่และมันทำให้เธอทรมาน ทำให้กลางดึกคืนนั้นเธอเกิดไข้แตกขึ้นมา


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่รู้เลยว่าเฉินซิงเยียนอาการไม่ดีจนกระทั่งรุ่งเช้าวันต่อมา เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวันและเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะหิว เมื่อเข้ามาภายในห้อง ชายหนุ่มก็คว้าข้อมือของเธอและพบว่าเขาทำผิดพลาด


 


 


เฉินซิงเยียนตัวสั่นอย่างรุนแรงเพราะพิษไข้


 


 


“ให้ฉันพาเธอไปโรงพยาบาลนะ” อันจื่อเฮ่าเอื้อมมือออกไปเพื่ออุ้มเฉินซิงเยียนแต่เฉินซิงเยียนขัดขืน


 


 


“ฉันไม่อยากไป”


 


 


“นี่ไม่ใช่เวลามาดื้อนะ” อันจื่อเฮ่ากล่าวขณะที่เขาอังมือลงบนร่างกายที่ร้อนด้วยพิษไข้ “ตอนนี้เธอกำลังมีไข้ เธอต้องใช้ยาช่วย”


 


 


“ถ้าฉันบอกว่าไม่ไปก็คือฉันไม่ไป” เมื่อเฉินซิงเยียนไม่ต้องการ ก็ไม่อาจมีใครหยุดเธอได้ “ออกไปจากห้องฉันนะ ฉันแค่มีไข้เพราะฉันหยุดโกรธไม่ได้มันเลยทำให้ฉันทรมาน”


 


 


อันจื่อเฮ่าพลันตกอยู่ในความเงียบงัน เขารู้ดีว่าเขาไม่อาจเข้าใจความรู้สึกอับอายที่ถังหนิงต้องเผชิญได้ และเขารู้ว่านั่นเป็นเพราะเขาที่ทำให้เด็กสาวที่ไม่เคยต้องกังวลใจกับอะไรต้องมาเจ็บปวดเช่นนี้


 


 


ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะดึงเฉินซิงเยียนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง “ฉันขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง”


 


 


“ฉันไม่สนหรอกว่าเป็นความผิดของใคร ฉันแค่ต้องการให้แอนนี่ชดใช้ในสิ่งที่มันทำ!”


 


 


“ฉันเข้าใจ ฉันจะต้องให้เธอมีโอกาสนั้นอย่างแน่นอน!” อันจื่อเฮ่าให้คำมั่น “หยุดทรมานตัวเองได้แล้ว ฉันรับมือมันไม่ไหวหรอกนะ เมื่อก่อนอวิ๋นซินทะเลาะกับฉันแบบเดียวกันนี้แล้วหลังจากนั้นเธอก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกแล้ว”


 


 


“นายต้องมองให้ออกสิ ฉันไม่ใช่แฟนเก่าที่ตายไปแล้วของนายสักหน่อย หรือต่อให้ฉันตาย ฉันก็จะลากใครสักคนไปด้วยเพื่อให้ตายอย่างสบาย”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่ใช่คนที่จะยอมให้คนอื่นมารุกราน นั่นเป็นจุดแข็งในคุณลักษณะของเธอที่เห็นได้อย่างง่ายดาย


 


 


อันจื่อเฮ่าเข้าใจดีว่าเฉินซิงเยียนเป็นอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้คือกอดเธอไว้แน่น และไม่ปล่อยอีกฝ่ายไป “ปล่อยให้คนอื่นตายและรับผลกรรมที่พวกมันทำไว้เถอะนะ”


 


 


เฉินซิงเยียนกอดอันจื่อเฮ่ากลับขณะที่เธอตัวสั่นเทิ่มด้วยความโกรธ หลังจากนั้นสักพัก ในที่สุดเธอก็พูดกับอันจื่อเฮ่า “ฉันคิดถึงแม่…”


 


 


“พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปไฮแอทรีเจนซี่”


 


 


ดังนั้นเอง อันจื่อเฮ่าจึงพาเฉินซิงเยียนไปยังไฮแอทรีเจนซี่ตามที่ได้สัญญาเอาไว้


 


 


เมื่อได้เห็นลูกสาวของตัวเอง ไป๋ลี่หวารีบวิ่งเข้าไปกอดเธอพร้อมกับรู้สึกเจ็บปวดในใจ “ทำไมลูกดูไม่ค่อยดีเลย”


 


 


“แม่ ช่วยนอนอยู่ข้างฉันหน่อยได้ไหม…” มีเพียงต่อหน้าไป๋ลี่หวาเท่านั้นที่เฉินซิงเยียนจะยอมเปิดเผยด้านที่เป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ออกมา


 


 


“ได้สิ แม่จะพาไปที่ห้องนะ…” ไป๋ลี่หวาชำเลืองตามองถังหนิงก่อนจะเดินนำเฉินซิงเยียนไปที่ห้องนอนแขก


 


 


อันจื่อเฮ่ามองหญิงสองคนหายเข้าไปในห้องอย่างหมดหนทาง จากนั้นเขาก็หันเหความสนใจมาที่ถังหนิง “ถังหนิง ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วย”


 


 


“ฉันไม่คิดว่าคุณเคยทำอะไรให้ฉันมาก่อนนะ” ถังหนิงกล่าวพลางปิดบทละครในมือลง “ว่ามาสิ ถ้าฉันทำได้ ฉันจะทำให้แน่นอน”


 


 


“ผมไม่สะดวกออกมาพูดหรือทำอะไรได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเฉินซิงเยียนไม่เชื่อใจผมแบบนี้ ดังนั้นผมได้แต่หวังพึ่งคุณ…” อันจื่อเฮ่ากล่าวก่อนที่เขาจะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันก่อนให้เธอฟัง “ระหว่างทางมาที่นี่ ผมได้หาข้อมูลมาบ้าง ประธานหวังจะพาแอนนี่ไปที่งานอีเวนต์หนึ่ง งานนี้อาจจะเป็นงานเดียวที่มีค่าพอให้คุณไปร่วม…


 


 


“ก่อนที่ผมจะเคลื่อนไหว ผมหวังจะสร้างโอกาสให้แอนนี่ได้พบกับเฉินซิงเยียน เฉินซิงเยียนจะได้มีโอกาสแก้แค้นด้วยตัวเอง!”


 


 


“งานอีเวนต์อะไร” ถังหนิงถาม


 


 


ท้ายที่สุด การปกป้องเฉินซิงเยียนก็เป็นความรับผิดชอบของตระกูลโม่ ในเมื่ออันจื่อเฮ่าเป็นเพียงเหยื่ออีกคนหนึ่ง เขาไม่ควรถูกบังคับให้รับมือทุกอย่างด้วยตัวเอง


 


 


“งานปฐมทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง ‘มนุษย์หมาป่า’ หลินเซิงเป็นแสดงนำชาย ดังนั้นคุณควรไปที่นั่นเพื่อแสดงความสนับสนุนสักหน่อย”


 


 


“แต่เฉินซิงเยียนอาจจะไม่อยากไปกับฉันก็ได้” ถังหนิงชี้ประเด็น


 


 


“ผมจะคุยกับป้าไป๋เรื่องนี้ ให้ช่วยเกลี้ยกล่อมให้อีกทาง” อันจื่อเฮ่าตอบ “ถังหนิง ผมไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้ว”


 


 


เมื่อได้เห็นความจริงจังของอันจื่อเฮ่า ถังหนิงจึงพยักหน้ารับ “ทำไมคุณถึงได้ใส่ใจกับเรื่องของเฉินซิงเยียนมากขนาดนี้”


 


 


“เพราะเธอทำให้ผมนึกถึงอวิ๋นซิน ผมรู้สึกผิดที่สุดที่ไม่ได้ปกป้องอวิ๋นซินให้มากพอ ดังนั้นผมจะไม่ปล่อยให้เฉินซิงเยียนต้องเจ็บปวดอีกต่อไป” อันจื่อเฮ่าเปิดใจกับถังหนิง “อีกอย่าง เฉินซิงเยียนเหมือนลูกหมาป่าตัวเล็กๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ผมกลัวว่าถ้าผมไม่ช่วยเธอแก้แค้น เธอจะทำอะไรที่คาดไม่ถึง…”


 


 


“ฉันจะจัดการให้”


 


 


ในความเป็นจริง ถังหนิงรู้สึกว่าอันจื่อเฮ่าปกป้องเฉินซิงเยียนมากเกินไป เธอยังรู้สึกด้วยว่าเขาใส่ใจอีกฝ่ายมากโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ


 


 


เพราะถึงยังไง ลูกหมาป่าก็มีความกล้าหาญ และไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้าย


 


 


และด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อะพาร์ต์เมนต์ ถังหนิงเห็นด้วยว่าแอนนี่สมควรตายเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ทำลงไป


 


 


“ขอบคุณนะ” เมื่อเห็นถังหนิงยินดีที่จะช่วย อันจื่อเฮ่าก็รู้สึกราวกับน้ำหนักที่แบกไว้ถูกยกออกจากบ่า แต่เขารู้สึกว่าเขายังทำอะไรให้เฉินซิงเยียนไม่มากพอ


 


 


“ฉันรู้ว่าคุณมีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในหัว ไปทำธุระของคุณเถอะ” ถังหนิงสัมผัสได้ถึงความอาฆาตพยาบาทที่ลุกโชติช่วงออกมาจากตัวอันจื่อเฮ่า เพราะเฉินซิงเยียน คราวนี้เขารู้สึกโกรธอย่างจริงจังและพร้อมที่จะถล่มบริษัทของผู้กำกับแมตต์ให้สิ้นซาก


 


 


อันจื่อเฮ่ารู้สึกวางใจที่จะปล่อยให้เฉินซิงเยียนอยู่ในมือของถังหนิง ดังนั้นเขาจึงลุกและกลับไป


 


 


ส่วนการให้เฉินซิงเยียนได้ไปปรากฏตัวที่งานปฐมทัศน์อย่างสะดวกนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ต้องทำมีเพียงแค่เกมจิตวิทยาเท่านั้น


 


 



 


 


“ถังหนิงจะไปร่วมงานปฐมทัศน์คืนนี้ แต่คุณโม่ยังไม่อาจละมือจากงานได้ บอดีการ์ดเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในงาน ทำไมลูกไม่ไปเป็นเพื่อนถังหนิงในฐานะผู้ติดตามแล้วช่วยคุณโม่ดูแลเธอเสียล่ะ” ไป๋ลี่หวาโน้มน้าวหลังจากที่เฉินซิงเยียนเพิ่งตื่นจากการงีบหลับ “ตอนนี้ลูกคงสังเกตเห็นสินะว่าดูภายนอกแม่เหมือนเห็นแค่แม่บ้านในไฮแอทรีเจนซี่ แต่ในความเป็นจริงพวกเขาดูแลแม่เป็นอย่างดี ถ้าลูกไม่ช่วยเขาสักหน่อย แม่คงรู้สึกแย่มาก”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่คิดอะไรมาก และจิตใจเธอก็ยังไม่อยู่ในสภาพที่จะคิดอะไรเรื่องนี้ ขณะที่เธอยังเอนตัวนอนอยู่บนเตียง เธอเพียงแค่พยักหน้ารับ “ฉันจะทำตามที่แม่ว่า”


 


 


“ดี ถ้างั้นแม่จะช่วยเตรียมเสื้อผ้าให้นะ”


 


 


ที่จริงรายชื่อแขกที่เข้าร่วมงานได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นถังหนิงจึงต้องให้ลู่เช่อติดต่อผู้จัดการของหลินเซิง


 


 


ทันทีที่ผู้จัดการได้ยินว่าเป็นถังหนิง เขาก็ดีใจสุดขีด จึงเพิ่มชื่อของถังหนิงเข้าไปในรายชื่อแขกพิเศษที่จะมาเซอร์ไพรส์ภายในงาน


 


 


ย้อนกลับไปถึงครั้งที่ถังหนิงแสดงร่วมกับหลินเซิง เธอยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่บัดนี้ เธอเป็นนักแสดงหญิงที่ทุกคนต่างให้ความยอมรับ


 


 


“ถังหนิง การมาร่วมงานของคุณจะเป็นการแสดงความสนับสนุนให้หลินเซิงอย่างมากเลย เขาจะต้องจดจำมันไปตลอดชีวิตแน่ๆ”


 


 


ชายคนนั้นไม่รู้เลยว่าถังหนิงมีเจตนาและภารกิจสำคัญในการเข้าร่วมงานปฐมทัศน์ในครั้งนี้ เธอกำลังจะแสดงให้แอนนี่ให้รู้สึกว่าการถูกกลั่นแกล้งจริงๆ มันเป็นอย่างไร!


 

 

 


ตอนที่ 657 แอนนี่ผู้น่าอับอาย

 

งานปฐมทัศน์จะเริ่มขึ้นตอนสองทุ่ม ณ โรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในปักกิ่ง


 


 


ในฐานะหนึ่งในนักแสดงชายที่ทรงอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง จึงไม่ต้องสงสัยว่าจะมีคนมาร่วมงานปฐมทัศน์ในครั้งนี้มากเพียงใด ซึ่งรวมไปถึงเพื่อนร่วมวงการ คนใหญ่คนโตจากค่ายหนังและช่องโทรทัศน์ เช่นเดียวกับประธานหวังซึ่งใช้เส้นสายจนได้บัตรเชิญมาไว้ในมือ


 


 


ถังหนิงไม่ได้เดินบนพรมแดงและไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อใดๆ เพราะเธอกำลังตั้งท้องและเป็นแขกพิเศษของงาน เธอจึงถูกพาเข้าไปในงานผ่านทางเข้าลับ


 


 


ทว่าในคืนนี้มีบางอย่างแปลกออกไป คนที่มาเป็นเพื่อนเธอไม่ใช่สามีของเธอแต่กลับเป็นหญิงสาววัยรุ่นที่คล่องแคล่วว่องไวนามว่า เฉินซิงเยียน


 


 


เพื่อให้เข้ากับถังหนิง เฉินซิงเยียนมาในชุดราตรีสั้นสีดำ แม้เธอจะไม่เจิดจรัสเท่าถังหนิง แต่ภายใต้ชุดหลวมโคร่งที่เธอใส่อยู่เป็นประจำกลับเป็นร่างกายที่สมส่วนจนน่าประหลาดใจ


 


 


ในระหว่างทางมายังงานปฐมทัศน์ ถังหนิงนั่งตรงข้ามกับเฉินซิงเยียนและยิ้ม “ได้เธอมาช่วยคุ้มครองแบบนี้ฉันค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย”


 


 


“ตราบใดที่พี่ไม่เป็นกังวลว่าฉันจะไปสร้างปัญหาเข้าน่ะนะ” เฉินซิงเยียนตอบอย่างจริงใจ


 


 


“ปัญหาแบบไหนกันล่ะ” ถังหนิงแหย่


 


 


“ฉันอาจจะทำให้พี่ขายหน้า…”


 


 


“เซิงเกอเป็นเพื่อนของฉันและเรียกได้ว่าเป็นครูที่ปรึกษาของฉันด้วย ในอาณาเขตของเขา ต่อให้เธอสร้างปัญหา ฉันก็แน่ใจว่าเขาจะไว้หน้าฉันและไม่เอาเรื่องเธอหรอก แต่แน่นอนว่าจะเป็นแบบนั้นตราบเท่าที่เธอไม่ไปฆ่าใครเขา”


 


 


“โอเค” เฉินซิงเยียนพยักหน้า


 


 


ถังหนิงเดินทางมาถึงที่งานประมาณหนึ่งทุ่ม แต่เนื่องจากเธอเป็นแขกพิเศษของงาน ผู้จัดการของหลินเซิงจึงจัดแจงให้เธอไปรออยู่ในห้องรับรองพิเศษ


 


 


ขณะที่เฉินซิงเยียนอยู่ในห้องน้ำ ถังหนิงบอกกับผู้จัดการคนนั้น “ฉันเกรงว่าฉันจะต้องมีเรื่องให้คุณช่วยหน่อยค่ะ”


 


 


“โอ ถังหนิง คุณไม่ต้องสุภาพนักก็ได้ เราเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ว่ามาเลยว่าคุณต้องการอะไร” ผู้จัดการของหลินเซิงมีเสียงค่อนข้างสูง ราวกับนักแสดงตัวประกอบชายในละครไทยที่ชอบทำเสียงเกินจริง เขาแต่งตัวจัดแต่ท่าทีตุ้งติ้งของเขาไม่มีผลอะไรกับคุณภาพงานของเขาในวงการบันเทิง เพราะเขามักจะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพเสมอ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่หลินเซิงก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดในอาชีพของเขา


 


 


ถังหนิงดึงผู้จัดการคนนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นและกระซิบที่ข้างหู เมื่อได้ยินคำร้องขอของถังหนิง ผู้จัดการคนนั้นก็ทำท่าโอเคเป็นคำตอบ


 


 


“การที่คุณขอให้ช่วยจัดการกับใครสักคนเนี่ย คนคนนั้นต้องเลวร้ายสุดๆ อย่าห่วงเลย งานปฐมทัศน์ในคืนนี้จะต้องน่าตื่นเต้นแน่ๆ”


 


 


“แต่นี่จะส่งผลเสียกับเซิงเกอหรือเปล่า”


 


 


“ไม่มีทาง” ผู้จัดการคนนั้นโบกมือปัดไปมาขณะที่เขามองถังหนิง “เรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่งานปฐมทัศน์จะเริ่ม อีกอย่างยัยเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นสุดท้ายจะถูกบรรดาแฟนๆ ของอาเซิงถล่ม”


 


 


“ขอบคุณนะคะคุณลั่ว”


 


 


“จะสุภาพไปทำไมกันนะ อาเซิงของเรางานชุมขนาดนี้ก็เพราะ ‘โง่’ หรอกนะ”


 


 


เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการของหลินเซิงเป็นคนใจกว้าง เขารู้ดีว่าไห่รุ่ยทุ่มทุนไปกับ ‘โง่’ มากมาย ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ดีเยี่ยมที่ตามมาคงไม่มีวันเกิดขึ้นแน่


 


 


แม้หลินเซิงจะชนะรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมสามปีซ้อน เขาก็ยังพยายามทำตัวติดดินแบบเดียวกับเป่ยเฉินตง ทำให้เขาไม่มีโอกาสรับงานจากต่างประเทศมากนัก เป่ยเฉินตงเป็นคนประหลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจ แต่หลินเซิงนั้นดิ้นรนเพื่อโอกาสและบทที่ดีกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เพิกเฉยต่อความเป็นไปได้ใดๆ ที่จะได้ทำงานต่างประเทศ


 


 


และ ‘โง่’ เปิดโอกาสเขาสู่ความเป็นไปได้เหล่านั้น


 


 


“ถ้างั้น ฉันจะรอฟังข่าวดีนะคะ…”


 


 


ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เฉินซิงเยียนก็เดินออกมาจากห้องน้ำ พบถังหนิงนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องรับรอง


 


 


“อีกเดี๋ยว เธอไปที่งานปฐมทัศน์ก่อนได้เลยนะ พี่ลั่วได้เตรียมที่นั่งพิเศษไว้ให้เธอแล้ว”


 


 


เฉินซิงเยียนยังคงไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเธอจึงเพียงแค่พยักหน้ารับ “โอเค!”


 


 


หนึ่งทุ่มสี่สิบ บรรดาแขกเหรื่อพากันเข้าไปในโรงภาพยนตร์ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนมีชื่อเสียงหรือเป็นเพียงแฟนคลับธรรมดา ทุกคนต่างมีสิทธิ์เข้างานนี้ทั้งนั้น แน่นอนว่าบัตรเชิญที่อยู่ในมือของเฉินซิงเยียนนั่นมีไว้สำหรับแขกวีไอพีเท่านั้น ดังนั้นทันทีที่เจ้าหน้าที่เห็นบัตรเชิญดังกล่าว พวกเขาจึงบริการเธอเป็นพิเศษ


 


 


ใช้เวลาไม่นาน เฉินซิงเยียนก็เดินมาถึงที่นั่งของเธอ กระนั้นหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ใครบางคนกลับเดินมาที่ที่นั่งเดียวกับเธอ เมื่อสายตาของทั้งคู่สบกัน ใบหน้าเฉินซิงเยียนก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธ เพราะคนที่มาถึงคนนั้นคือแอนนี่


 


 


ประธานหวังเองก็นั่งลงตรงที่นั่งข้างเฉินซิงเยียนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงมองไปที่แอนนี่และกล่าว “บอกให้ผู้หญิงคนนี้ลุกขึ้นสิ…”


 


 


เมื่อศัตรูมาพบกัน สถานการณ์จึงเริ่มตึงเครียด แต่… นี่ไม่ใช่ที่ที่จะมาทะเลาะกัน ดังนั้นเฉินซิงเยียนจึงตัดสินใจที่จะแก้แค้นแอนนี่หลังจากงานจบลง


 


 


แอนนี่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเฉินซิงเยียนในสถานที่เช่นนี้ เธอยังจำสภาพน่าอดสูของเฉินเซิงเยียนในวันก่อนได้ เธอจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เธอนี่มันดื้อด้านจริงๆ นะ ใครอนุญาตให้เธอเข้ามาในนี้ไม่ทราบ อีกอย่าง เธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เธอกำลังนั่งที่นั่งของฉันอยู่”


 


 


เฉินซิงเยียนโต้ตอบด้วยสายตาเย็นชาขณะที่เธอลุกขึ้นเพื่อชี้ไปที่ชื่อของตัวเองที่ระบุไว้บนที่นั่ง “แหกตาแล้วดูให้ดีว่านี่เป็นที่นั่งของใคร”


 


 


แอนนี่มองลงดูชื่อและหันกลับไปมองเฉินซิงเยียนด้วยความข้องใจ จากนั้นเธอจึงกวาดตามองไปทั่วโรงภาพยนตร์และพบว่าไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน


 


 


“เฉินซิงเยียน เธอมีสิทธิ์อะไรมาอยู่ที่นี่ เธอมันก็แค่สตันต์น่ารังเกียจที่จงใจมาแย่งที่นั่งของฉันเพื่อเป็นการแก้แค้น ไสหัวไปซะ!”


 


 


เมื่อหญิงสาวทั้งสองเริ่มมีปากเสียงกัน ประธานหวังจึงลุกขึ้นพูด “ที่นั่งตรงนี้เป็นของคนที่มากับฉัน เธอนั่งผิดที่หรือเปล่า เธออยากให้ฉันเรียกรปภ.มาหรือไง”


 


 


เฉินซิงเยียนหัวเราะเป็นการตอบรับ “เชิญเลย”


 


 


“เฉินซิงเยียน อย่ามาทำเป็นไม่แยแสกับความหวังดีของคนอื่นแบบนี้นะ!” พูดจบ แอนนี่ก็ส่งสัญญาณเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและบอกกับชายคนนั้น “นี่เป็นที่นั่งของฉันแต่ผู้หญิงคนนี้แย่งไป”


 


 


เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประเมินสถานการณ์และรีบกล่าวขอโทษทันที “ขออภัยด้วยครับ ผมรีบไปยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่”


 


 


“เร็วๆ ล่ะ” แอนนี่เร่งเร้า เธอไม่ต้องการยืนอยู่ในสถานการณ์น่าอับอายแบบนี้


 


 


ขณะเดียวกัน ประธานหวังก็ฉีกชื่อของเฉินซิงเยียนออกจากที่นั่งเพื่อให้แอนนี่นั่งลง


 


 


เฉินซิงเยียนชำเลืองตามองแอนนี่ขณะที่อีกฝ่ายมองกลับอย่างหยิ่งสโย


 


 


แต่ในขณะนั้นเอง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบวิ่งกลับมาด้วยท่าทีเสียใจ “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่นี่เป็นที่นั่งของคุณเฉินจริงๆ กรุณาคืนที่นั่งให้เธอด้วยนะครับ”


 


 


สีหน้าของแอนนี่เปลี่ยนเป็นขาวซีด


 


 


“งั้นที่นั่งของฉันล่ะ


 


 


“บอกให้คนจัดมาหาฉันเดี๋ยวนี้” เธอออกคำสั่ง


 


 


“ขอโทษด้วยครับ ผู้จัดงานของเราบอกผมว่าที่นั่งทั้งหมดถูกจัดสรรให้แขกของเราทั้งหมดและคุณเฉินเป็นแขกวีไอพีของเรา ผมไม่คิดว่าคุณมีสิทธิ์ขอพบผู้จัดงานของเรานะครับ”

 

 

 


ตอนที่ 658 ความรู้สึกของการได้ขโมยของจากคนอื่น

 

“หมายความว่ายังไง” แอนนี่กดดันให้ชายคนนั้นอธิบาย


 


 


“คุณผู้หญิงครับ นี่เป็นงานปฐมทัศน์สำหรับภาพยนตร์ของนักแสดงระดับท็อปอย่างหลินเซิงนะครับ ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ โปรดอย่าถือสาหากผมต้องพูดตามตรง ว่าคุณคิดว่าคุณเป็นใครงั้นเหรอครับ” ชายคนนั้นถามอย่างซึ่งๆ หน้า


 


 


“ก็ได้ ตัวตนของฉันอาจจะไม่มีความสำคัญอะไร แต่ผู้หญิงคนนี้ล่ะ” แอนนี่กล่าวพลางชี้นิ้วไปที่เฉินซิงเยียน “ผู้หญิงคนนี้มีความสำคัญกับใครหรือไง”


 


 


“เธอมีความสำคัญอย่างแน่นอนครับ เธอมาที่นี่ในฐานะตัวแทนถังหนิงซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของหลินเซิง ในเมื่อเธออยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนของถังหนิง ดังนั้นเธอจึงเป็นแขกพิเศษไปโดยปริยาย หากคุณยังไม่คืนที่นั่งให้คุณเฉินเดี๋ยวนี้ ผมจำเป็นต้องเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย”


 


 


แอนนี่ชำเลืองตามองเฉินซิงเยียน แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลุกจากที่นั่ง “มิน่าล่ะ… ฉันรู้แล้วว่าเธอจับปลาตัวใหญ่ได้สินะ แต่ถ้าถังหนิงดีกับเธอจริง ทำไมถึงไม่ออกมาช่วยแก้ต่างข่าวฉาวโฉ่ของเธอแล้วไม่ช่วยเธอรักษาโอกาสต่างๆ เอาไว้ล่ะ”


 


 


“อันที่จริงที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของคุณแอนนี่ แต่หลังจากคุณเฉินบอกว่าเธอจะเข้าร่วมงานด้วย พวกเราจึงยกที่นั่งนี้ให้เธอครับ” เจ้าหน้าที่อธิบายอย่างสุภาพ “นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณถังปฏิบัติกับคุณเฉินดีแค่ไหน”


 


 


ดังนั้น…


 


 


…เดิมทีที่นั่งนี้เป็นของแอนนี่


 


 


แต่ถังหนิงกลับขโมยที่นั่งของเธอไปโต้งๆ!


 


 


เธอกำลังถูกเอาคืนอย่างชัดเจน!


 


 


ถังหนิงกำลังช่วยเฉินซิงเยียนแก้แค้น


 


 


เฉินซิงเยียนรู้สึกอึ้งเมื่อรู้ความจริง เธอไม่เคยนึกเลยว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของถังหนิง ปรากฏว่านี่คือวัตถุประสงค์ที่ทำให้ถังหนิงมาร่วมงานปฐมทัศน์ในครั้งนี้


 


 


“แล้วจะให้ฉันนั่งที่ไหนล่ะ” แอนนี่ถามขณะพยายามระงับความโกรธ “นายคงไม่คิดจะให้ฉันนั่งกับพื้นใช่ไหม”


 


 


“ถ้าคุณอยากทำแบบนั้นก็ตามสบายครับ แต่เรามีโซนยืนบริเวณด้านหน้ากับด้านหลังของโรงภาพยนตร์ คุณจะลองไปดูก็ได้”


 


 


“พวกนายจะกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้วนะ!” แอนนี่ตะโกน


 


 


“ขอโทษด้วยนะครับแต่ทีมผู้จัดงานยอมรับพวกเขากำลังกลั่นแกล้งคุณจริงๆ” เจ้าหน้าที่คนนั้นยิ้มอย่างเย้ยหยัน “หากคุณแอนนี่ไม่อาจรับมือได้ จะกลับไปก็ได้นะครับ”


 


 


มือทั้งข้างของแอนนี่กำกระเป๋าไว้แน่นจนมือกลายเป็นสีขาว


 


 


เธอได้เซ็นสัญญากับบริษัทใหม่และมีเส้นสายกับประธานหวัง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวงการบันเทิงที่แท้จริง สิ่งที่ประธานหวังทำได้กลับมีแค่การมองดูเธอถูกกลั่นแกล้ง เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย


 


 


“ฉัน… ฉันจะไม่ออกไปแบบนี้”


 


 


“งั้นก็ช่วยตัวเองแล้วกันนะครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นยิ้มก่อนจะโน้มตัวไปพูดกับเฉินซิงเยียน “คุณเฉินครับ หากคุณต้องการอะไรบอกผมได้เลยนะครับ ผมจะช่วยเหลือคุณอย่างดีที่สุด”


 


 


“ขอบคุณ ตอนนี้ฉันโอเคดี” เฉินซิงเยียนรู้สึกดี นี่สินะความรู้สึกได้ที่ขโมยของจากคนอื่น มันรู้สึกดีเป็นพิเศษเพราะฝ่ายตรงข้ามคือแอนนี่


 


 


“โอเค ถ้างั้นผมขอตัวก่อน” พูดจบ ชายคนนั้นก็หันหลังเตรียมจะเดินออกไป แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มเดินออกไปนั่น เขาพูดกับแอนนี่ “ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมาจากภูมิหลังที่ดี ผมมั่นใจว่าคุณแอนนี่คงไม่โง่ถึงขนาดบังคนอื่น อย่าโทษที่ผมต้องเตือนคุณแบบนี้เลยนะครับ ถ้าคุณก่อความรำคาญให้บุคคลสำคัญคนอื่นๆ ชะตากรรมของคุณคงไม่จบแค่ถูกขโมยที่นั่งแน่ๆ การรับมือกับคนอย่างคุณมันไม่ต่างอะไรกับการบี้มดเดียวหนึ่งสำหรับคนพวกนั้น”


 


 


แอนนี่เดือดดาลด้วยความโกรธ แต่สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงมองหน้าประธานหวังเท่านั้น โชคไม่ดีที่ประธานหวังเองก็เป็นเพียงหน้าใหม่ในวงการและเขาไม่มีอิทธิพลมากพอในอาณาเขตของหลินเซิง


 


 


ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจเธอขณะที่เธอเดินออกมาอยู่ที่ด้านหลังของโรงภาพยนตร์


 


 


ทุกคนที่มีนั่ง ยกเว้นเธอ!


 


 


ไม่สิ พูดให้ถูกคือเธอมีที่นั่ง แต่เฉินซิงเยียนขโมยมันไป!


 


 


แอนนี่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลกขณะที่ทุกคนหันมาชี้และซุบซิบนินทาเธอ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเฉินซิงเยียน!


 


 


แต่เธอยังไม่พ่ายแพ้เสียทีเดียว ต่อให้ถังหนิงอยู่ข้างเฉินซิงเยียน แอนนี่ก็ยังมีบทของ ‘The Savage Wars’ อยู่ในมือ ในขณะที่เฉินซิงเยียนไม่มีอะไรเลยนอกจากข่าวฉาว


 


 


กระนั้นความหยิ่งผยองของแอนนี่คงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มฉาย หลินเซิงลุกขึ้นยืนบนเวทีและกล่าวถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรมากนัก ถังหนิงปรากฏตัวขึ้นบนเวทีอย่างฉับพลันจากทางเข้าด้านหนึ่ง


 


 


ในฐานะแขกเซอร์ไพรส์ ถังหนิงจึงสร้างความแตกตื่นขึ้น ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะรู้จักเธอเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ถังหนิงก็เป็นตำนานที่ทุกคนต่างเคารพ


 


 


“พระเจ้าช่วย ถังหนิงจริงๆ ด้วย…”


 


 


“ถังหนิงมาที่นี่จริงๆ ฉันตาฝาดหรือเปล่าเนี่ย”


 


 


“ถังหนิงตัวจริง ขนาดท้องยังสวยเลย”


 


 


“ขาเธอสวยที่สุดในโลกเลย ดูสิขาเธอยาวจัง…”


 


 


เฉินซิงเยียนฟังคำสรรเสริญและพบว่าคนคนหนึ่งสามารถมีเสน่ห์จนคนทั้งโลกต้องยอมรับและหลงรักได้ถึงขนาดนี้


 


 


และแน่นอนว่าหลินเซิงเองก็ประหลาดใจ เพราะทั้งสถานะปัจจุบันรวมถึงสภาพร่างกายของถังหนิง การที่เธอมาปรากฏตัวในงานของเขาทำให้เขารู้สึกดีใจ


 


 


เมื่อมองดูจากสายตาของเธอ ทุกคนต่างบอกได้เป็นเสียงเดียวว่าเธอยังคงเป็นถังหนิงคนเดิม ถังหนิงที่ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ภาพยนตร์ออกมาดีที่สุด เธอไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญกว่านั้น เธอยังรู้จักกตัญญูอีกด้วย


 


 


“เซิงเกอ ฉันขอให้ขายตั๋วได้เยอะๆ นะคะ” ถังหนิงแทบจะไม่ปรากฏตัวในงานไหนเลย นับตั้งแต่วันที่เธอถูกฮว่าเหวินเฟิ่งใส่ร้าย เธอก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณะอีกเลย ดังนั้นนี่จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอไว้หน้าหลินเซิงมากแค่ไหนที่มาปรากฏตัวในงานนี้


 


 


“ฉันดีใจจริงๆ ที่เธอมางานนี้ได้” หลินเซิงสวมกอดถังหนิงอย่างอ่อนโยน


 


 


“ฉันไม่เคยลืมบุญคุณที่พี่เคยช่วยฉันไว้เลยค่ะ” ถังหนิงยิ้ม


 


 


“ฉันไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้นหรอก”


 


 


“วันนี้ฉันเอาของขวัญมาให้ด้วย” ถังหนิงกล่าวขณะที่เธอถือไมโครโฟนอยู่ในมือและมองไปที่เฉินซิงเยียน “ฉันได้ยินมาจากพี่ลั่วว่าพี่กำลังมองหานักศิลปะป้องกันตัวมือโปร ฉันมีคนเก่งๆ ที่จะแนะนำ ถึงเธอจะยังเด็กอยู่สักหน่อย แต่เธอมีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวทุกรูปแบบ ฉันเชื่อว่าเธอจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง”


 


 


หลังได้ฟังคำพูดของถังหนิง หลินเซิงตระหนักได้ถึงวัตถุประสงค์ของเธอ เธอต้องการแนะนำใครบางคนให้เขา


 


 


แน่นอนว่าหากเป็นคนอื่น หลินเซิงคงรู้สึกรังเกียจ แต่ถังหนิงนั้นต่างออกไป กระนั้นเมื่อเธอพูดถึงเด็กสาวที่มีทักษะเป็นเลิศ คนคนนั้นจะเด็กสักแค่ไหนกันนะ


 


 


“ซิงเยียน ขึ้นมาบนนี่แล้วทำให้พี่หนิงประทับใจตามสไตล์ของเธอสิ” ถังหนิงกล่าวต่อหน้าเฉินซิงเยียนหลังสังเกตเห็นว่าหลินเซิงไม่ได้ปฏิเสธคำแนะนำของเธอ


 


 


ทุกคนต่างรู้ดีว่าถังหนิงกำลังช่วยรุ่นน้องคนหนึ่ง


 


 


แต่รุ่นน้องคนไหนกันที่มีความสามารถพอให้ถังหนิงแนะนำ


 


 


ชั่วครู่หลังจากนั้น เด็กสาวที่อยู่ในวัยสิบปลายๆ ลุกขึ้นยืนท่ามกลางกลุ่มคนในขณะที่ทุกคนต่างจ้องมองเธอด้วยความสงสัย แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ตัวว่านี่คือเด็กสาวที่ปรากฏอยู่ในรูปฉาวโฉ่ของอันจื่อเฮ่า


 


 


ทุกคนต่างสงสัยว่าเด็กสาวคนนี้จะมีความสามารถสักแค่ไหนด้วยวัยเพียงเท่านี้


 


 


เฉินซิงเยียนเดินขึ้นไปบนเวทีและโค้งแสดงความเคารพต่อหลินเซิงอย่างมีมารยาท จากนั้นเธอก็มองไปยังฝูงชนจนในที่สุดก็พบแอนนี่


 


 


นี่เป็นโอกาสที่ถังหนิงมอบให้ โอกาสใหญ่ที่จะได้แสดงทักษะต่างๆ ของเธอ… โอกาสที่จะได้โค่นแอนนี่

 

 

 


ตอนที่ 659 ฉันยังอยากแก้แค้นให้เธอก่อน

 

แต่เพราะเธอกำลังสวมชุดราตรีสั้นสีดำที่ถูกไม่คล่องตัวและท่าทางอ่อนแอ…


 


 


แต่ทุกคนต้องประหลาดใจ เมื่อเฉินซิงเยียนฉีกท่อนล่างของชุดเธอทิ้ง เผยให้เห็นกางเกงขาสั้นสีดำภายในและจัดการล้มเหล่าบอดีการ์ดที่อยู่ด้านหลังของหลินเซิงลงไปกองกับพื้นได้ภายในเวลาไม่กี่นาที…


 


 


“ว้าว…”


 


 


ทุกคนต่างพากันส่งเสียงเชียร์ด้วยความประหลาดใจ เธอเป็นเด็กสาวอายุสิบเก้าปีจริงหรือ ทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้


 


 


กระนั้น หลังจากช่วงเวลาอันน่าประหลาดใจผ่านพ้นไป ทุกคนเผยรอยยิ้มออกมา เด็กสาวคนนี้ดูไม่ค่อยมีไหวพริบเท่าใดนักในงานอีเว้นท์เช่นนี้ และด้วยความช่วยเหลือของถังหนิง คนส่วนใหญ่จะฉวยโอกาสนี้ในการทำตัวเองให้โดดเด่นต่อหน้าหลินเซิง แต่การแสดงความสามารถของเด็กสาวคนนี้กลับดูถ่อมตนเกินไป


 


 


แม้แต่แอนนี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังโรงภาพยนตร์ยังแอบพูดกระซิบกับตัวเองเบาๆ ‘ยัยโง่’


 


 


กระนั้นถังหนิงกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอรู้ดีว่าเฉินซิงเยียนเป็นคนทะเล้น


 


 


“วันนี้เป็นงานปฐมทัศน์ของพี่เซิง ดังนั้นฉันไม่อาจทำตัวโดดเด่นได้ ภาพยนตร์กำลังจะเริ่มฉาย และฉันไม่ควรต้องทำให้ทุกท่านมาเสียเวลาเช่นกัน ฉันขอให้พี่เซิงขายตั๋วได้มากๆ นะคะ!” พูดจบ เฉินซิงเยียนก็หันไปโค้งเคารพกับทุกคน


 


 


เธอไม่ได้ต้องการความสนใจ แต่การแสดงของเธอเหมาะกับสไตล์การสอนของถังหนิงและได้รับความสนใจอยู่ดีเพราะเธอสร้างความสนใจใคร่รู้ในตัวของหลินเซิงได้สำเร็จ


 


 


“เธอทำให้โอกาสที่ได้จากถังหนิงต้องสูญเปล่านะเนี่ย”


 


 


“นั่นเพราะฉันรู้ว่าพี่ชอบคนที่มีความสามารถจริงๆ ไม่ใช่คนที่รู้จักแต่วิธีทำตัวให้ดูดี”


 


 


หลินเซิงมองทุกคนในงานและหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดกับถังหนิงและเฉินซิงเยียน “มานั่งข้างๆ ฉันนะ ฉันอยากจะคุยด้วยสักหน่อย เราไม่ได้เจอกันมานานแล้วนะ”


 


 


ดังนั้น เฉินซิงเยียนจึงยกระดับตัวเองจากแถวหลังมาอยู่แถวหน้าได้สำเร็จ แน่นอนว่าทุกคนต่างมีความสุขที่ได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวและไม่ได้รู้สึกอิจฉาอะไร เฉินซิงเยียนมีทักษะแต่เธอไม่ได้ดูเป็นภัย เด็กสาวคนนี้น่าทึ่งจริงๆ ที่สำคัญที่สุด หากเธอเป็นสตันต์หรือนักแสดงบทบู๊แล้วละก็ ตัวตนของเธอก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับใครทั้งนั้น


 


 


“เด็กสาวคนนี้น่าสนใจดีนะ!”


 


 


“อายุแค่นี้แต่ทักษะของเธอไม่เลวเลยทีเดียว มีถังหนิงคอยสนับสนุนแบบนี้ อนาคตต้องไปได้ไกลแน่ๆ”


 


 


“จากที่ดู เราอาจจะได้เห็นเธอในหนังเรื่องต่อไปของหลินเซิงก็ได้นะ”


 


 


เบื้องหน้าจอภาพยนตร์ แขกเหรื่อต่างพูดคุยกับเฉินซิงเยียนอย่างมีความสุข ในขณะเดียวกันที่บริเวณด้านหลังของโรงภาพยนตร์ แอนนี่กำลังเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา


 


 


เธอยอมละทิ้งทั้งร่างกายและศีลธรรม แต่ท้ายที่สุดเธอกลับไม่มีเพื่อนอย่างถังหนิงที่จะช่วยผลักดันให้เธอก้าวไปอีกขั้น


 


 


แต่… เธอยังไม่แพ้หมดรูป “The Savage Wars” กำลังจะประกาศบทของเธอในฐานะตัวร้ายหลักของเรื่อง นั่นต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเธอ


 


 



 


 


“เรื่องพวกนี้มันอะไรกันงั้นเหรอ ปกติเธอไม่ทำอะไรแบบนี้นี่นา” หลินเซิงกระซิบที่ข้างหูของถังหนิงขณะที่เขามองไปทางเฉินซิงเยียน “เด็กคนนี้เป็นคนสำคัญงั้นเหรอ”


 


 


“เซิงเกอ เมื่อก่อนทั้งพี่และฉันต่างก็เคยตกอยู่ในสภานการณ์ที่ถูกใส่ร้ายและถูกกล่าวหามาแล้ว แต่พวกเราไม่เคยถูกใครปัสสาวะใส่มาก่อน ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันรู้สึกแย่ที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยเด็กคนนี้” ถังหนิงตอบ “วงการนี้เต็มไปด้วยความโสมมแต่เราต้องรักษาแก่นแท้ของพวกเราเอาไว้”


 


 


หลินเซิงพยักหน้า “เพราะอย่างนี้คนถึงถูกเธอโน้มน้าวกันหมด เด็กสาวคนนี้ไม่เลวทีเดียว แต่เธอแต่ในนะว่าเด็กคนนี้จะไม่ผิดหวัง”


 


 


“ไมว่าเด็กคนนี้จะน่าผิดหวังหรือไม่ ฉันก็ยังอยากแก้แค้นให้เธอก่อน” ถังหนิงกล่าวพลางหันไปแล้วใช้คางชี้ไปที่คนคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังของโรงภาพยนตร์


 


 


“มิน่า ฉันว่าฉันไม่ได้คำนวณจำนวนที่นั่งผิดสักหน่อย กลายเป็นว่าเป็นฝีมือเธอนี่เอง นั่นคือตัวการใช่ไหม”


 


 


“ถ้าฉันไม่รู้ว่าคนคนนั้นเคยทำอะไรมา ฉันคงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เกิดกับคนใกล้ชิดของฉัน พี่รู้จักฉันดี ฉันไม่ชอบคนสกปรกแบบนี้ ฉันก็เลยจำเป็นต้องในโอกาสในการชำระล้างสิ่งโสมมพวกนั้น”


 


 


เป็นเรื่องประหลาด เพราะเพื่อนของถังหนิงมักจะพบว่าพวกเขามีศัตรูคนเดียวกันเสมอ


 


 


ถังหนิงไม่ชอบแอนนี่ เช่นเดียวกันหลินเซิงที่รู้สึกไม่ชอบเธอเช่นกัน


 


 


“อย่าปล่อยไปง่ายๆ ล่ะ ที่นี่เป็นอาณาเขตของฉัน เพราะงั้นเธอไม่จำเป็นต้องยั้งมือ!


 


 


“ส่วนเรื่องนักศิลปะป้องกันตัวอายุน้อยคนนี้ ฉันคิดว่าฉันควรจะหาคนอื่นดีกว่า ไม่งั้นอันจื่อเฮ่าอาจจะโกรธก็ได้” ในที่สุดหลินเซิงก็รู้ตัวว่าเฉินซิงเยียนเป็นใครและจำได้ว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับอันจื่อเฮ่า


 


 


“ถ้าซิงเยียนได้มีโอกาสติดตามพี่ เขาน่าจะมีความสุขมากกว่าด้วยซ้ำ เขาไม่มีทางโกรธหรอก”


 


 


เพื่อนสองคนต่างยิ้มให้กันและกัน ขณะนั้นเอง เฉินซิงเยียนลุกขึ้นยืนเพื่อไปห้องน้ำ แต่เมื่อเธอเดินไปถึง ก็พบว่าในนั้นมีคนอยู่


 


 


“ฉันเพิ่งนึกได้ นั่นมันเฉินซิงเยียนที่เป็นสตันต์คนที่ทุกคนกำลังพูดถึงไม่ใช่เหรอ มิน่าถังหนิงถึงได้อยู่ข้างเธอ เพราะเด็กคนนั้นมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับอันจื่อเฮ่านี่เอง”


 


 


“ใช่แล้ว มีข่าวลือในวงการก่อนหน้านี้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างถังหนิงกับอันจื่อเฮ่าไม่ใช่เหรอ”


 


 


“ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเละเทะสุดๆ ทำเอาพูดไม่ออกเลยนะ”


 


 


“ที่จริงมันก็ไม่ได้เละเทะขนาดนั้น ให้ฉันอธิบายให้ฟังนะ” นักแสดงสาวสามคนกำลังอยู่ในระหว่างการพูดคุยกันอย่างออกรสภายในห้องน้ำพลางเติมเครื่องสำอาง ทันใดนั้นเอง แอนนี่ก็ก้าวมาอยู่ด้านหลังของพวกเธอพร้อมกับกอดอก “อันจื่อเฮ่ากับถังหนิงเป็นคนรักกันมาตลอด แต่อันจื่อเฮ่าไม่อาจทนความว้าเหว่ได้ เขาเลยมองหาเหยื่อมาตลอด จนสุดท้ายเฉินซิงเยียนก็ติดเบ็ดเขา”


 


 


“เธอเป็นใคร ทำไมถึงได้รู้ดีนัก”


 


 


“ฉันเป็นใครไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือฉันมั่นใจว่าเฉินซิงเยียนกับอันจื่อเฮ่าเคยนอนด้วยกันและฉันรู้ว่าเฉินซิงเยียนถูกบังคับให้ดื่มปัสสาวะหลังจากไปทำให้ใครบางคนไม่พอใจเข้า”


 


 


ผู้หญิงทั้งสามคนระเบิดหัวเราะออกมา


 


 


“จริงเหรอ”


 


 


“จริงร้อยเปอร์เซ็นต์!” แอนนี่พยักหน้า “ผู้หญิงคนนั้นถูกผู้ชายยืนรายล้อม…”


 


 


“อย่าบอกฉันนะว่าพวกเขาทำ ‘แบบนั้น’ กับผู้หญิงคนนั้นด้วย…” ผู้หญิงคนหนึ่งถามอย่างสู่รู้


 


 


“ใครจะไปรู้ล่ะ ยังไงผู้หญิงคนนั้นก็เป็นโสเภณีสกปรกอยู่แล้วนี่…”


 


 


ทันใดนั้นเอง ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอย่างรุนแรง ก่อนที่สาวๆ จะทันได้เห็นชัดๆ ว่าใครเข้ามาในห้อง แอนนี่ก็ถูกกระชากผมลากไปที่โถชักโครกและกดหัวเธอลงไปในนั้น…


 


 


ทุกคนต่างพากันช็อกจนไปกองกันอยู่ที่มุมห้อง และหวาดกลัวจนแทบจะไม่กล้าหายใจ


 


 


“เฉินซิงเยียน ปล่อยฉันนะ!”


 


 


กระนั้นเฉินซิงเยียนไม่ปล่อยและยังคงกระชากผมของแอนนี่ลากจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งและกดหัวเธอลงไปในโถชักโครก “จากวันนี้ไป เธอก็จะเป็นผู้หญิงที่กินฉี่”


 


 


“ต่อให้แกทำแบบนี้ ฉันก็ยังเป็นเจ้าของบทเรื่อง ‘The Savage Wars’ อยู่ดี แกมันไม่มีอะไรทั้งนั้น”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดปั่นหัวเหล่านั้น เฉินซิงเยียนก็อยากจะทำร้ายแอนนี่แต่มีเสียงอันทรงพลังดังขึ้นอย่างฉับพลันจากประตูทางเข้า “ซิงเยียน หยุด!”


 


 


ทุกคนหันกลับไปมอง พบว่าถังหนิงที่กำลังตั้งท้องยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า


 


 


ท่าทีของนักแสดงสาวจอมสอดรู้สอดเห็นทั้งสามเปลี่ยนไปทันที ในขณะที่พวกเธอกำลังจะแอบเดินหนีออกไปนั้นเอง ถังหนิงส่งสายตามองพวกเธอและเชิดคางขึ้นด้วยท่าทางอันภูมิฐานและสง่างาม


 


 


ผู้หญิงทั้งสามติดอยู่ภายใต้ความกดดันขณะที่พวกเธอรีบกล่าวคำขอโทษ “ขอโทษนะคะ พวกเราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”


 


 


“แต่… ฉันได้ยินทุกอย่างที่เธอพูดหมดแล้ว…”

 

 

 


ตอนที่ 660 สมองเสื่อม

 

“พวกเราไม่ได้ตั้งใจ”


 


 


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่แตะต้องพวกเธอ ไม่อย่างนั้นข่าวลือคงได้แพร่กระจายไปว่าฉันทำเรื่องให้พวกเธอสามคนขายหน้าแล้วหักแขนขาพวกเธอทิ้ง นี่ไม่เท่ากับบังคับให้ฉันก่อคดีอาชญากรรมหรอกเหรอ” ถังหนิงกล่าวโดยมีความหมายแฝงอยู่


 


 


“ไม่ มันจะไม่เป็นแบบนั้น… พวกเราจะไม่พูดข่าวลือเกี่ยวกับคุณโดยไม่ระวังอีก” หญิงสาวปัดมือปฏิเสธไปมา “ถังหนิง ปล่อยพวกเราไปเถอะนะ พวกเราไม่เชื่อเรื่องที่คนพวกนั้นพูดเกี่ยวกับคุณเลย พวกเราแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเอง”


 


 


“ไสหัวไปซะ” ถังหนิงไม่ต้องการเสียเวลากับผู้หญิงสามคนนี้ และแน่นอนว่าเธอไม่อาจปล่อยให้เฉินซิงเยียนเสียเวลากับแอนนี่ด้วยเช่นกัน “ซิงเยียน ออกมานี่แล้วปล่อยพวกนั้นไป”


 


 


เฉินซิงเยียนยังคงจิกผมของแอนนี่ไว้ในมือ หลังจากได้ยินคำพูดของถังหนิง ในที่สุดเธอก็ปล่อยมือ


 


 


“เฉินซิงเยียน ฉันจะไม่ยอมอยู่ร่วมโลกกันคนอย่างแก!” ขณะที่แอนนี่ลุกขึ้นยืนพร้อมศีรษะที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก เธอขู่เฉินซิงเยียนเสียงดัง “ตราบใดที่ฉันยังอยู่ แกจะเจอแต่วันร้ายๆ”


 


 


เฉินซิงเยียนหันมไปมองแอนนี่ ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร ถังหนิงชิงพูดขึ้นมา “ถ้าเธอคิดจะอยู่รอดในวงการบันเทิงแล้วละก็ เธอควรจะระวังปากเอาไว้บ้างนะ”


 


 


แอนนี่หันไปมองถังหนิงด้วยความโกรธและไม่พอใจพอๆ กัน


 


 


“ฉันอยากจะขอให้เธอประสบความสำเร็จนะ” ถังหนิงกล่าวก่อนที่เธอจะทำท่าทางให้เฉินซิงเยียนควบคุมตัวเอง “เธอจะเชื่อฉันไหมถ้าฉันบอกว่าโลกนี้หมุนอยู่ได้ด้วยเวรกรรม ถ้าการจองเวรยังไม่สะใจพอ แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการไปยุ่งเกี่ยวกับคนสกปรกแบบนั้น เธอมีแต่จะทำให้มือตัวเองต้องแปดเปื้อน”


 


 


“คุณคิดว่าฉันจะกลัวเพราะคำพูดพวกนั้นหรือไง จะต้องมีสักวันที่ฉันก้าวข้ามคุณไปได้!” แอนนี่อวดอ้าง


 


 


ถังหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอจะนั่งรอดูว่าแอนนี่วางแผนจะทำสิ่งที่พูดได้อย่างไร แน่นอนว่าการได้เห็นถังหนิงแสดงออกอย่างอ่อนโยนและดูไม่แข็งแกร่งอย่างที่ใครต่อใครพูดกัน ทำให้ความกลัวในใจของแอนนี่ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ


 


 


เธอคิดว่าหากเฉินซิงเยียนลากเธอเข้าไปให้ห้องน้ำได้ งั้นถังหนิงก็น่าจะสามารถทำอะไรที่ยิ่งกว่านั้นและหักแขนหักขาของเธอได้ แต่ในความเป็นจริงถังหนิงกลับไปทำอะไรเลย


 


 


ที่ถังหนิงเคยพูดว่าเธอเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนั้น ท้ายที่สุดเธอก็เป็นแค่คนขี้โกหกคนหนึ่ง


 


 



 


 


“ถังหนิง ทำไมพี่ถึงปล่อยนังสารเลวนั้นไปล่ะ” เฉินซิงเยียนถามขณะที่เธอเดิมตามหลังอีกฝ่าย


 


 


“เธอทำให้ผู้หญิงคนนั้นกินอึไปแล้ว เธอก็น่าจะได้สนองความโกรธแล้วไม่ใช่เหรอ” ถังหนิงถาม


 


 


เฉินซิงเยียนเดินตามไปอย่างไม่พอใจนัก เธอรู้สึกอย่างชัดเจนว่านี่ยังไม่เพียงพอ


 


 


“เธออาจจะชนะเขาเรื่องความแข็งแกร่ง แต่ผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีวันยอมรับเธอ ต่อให้เธอเอาอึยัดปากผู้หญิงคนนั้นทั้งคืน ผลก็จะยังออกมาเหมือนเดิม…”


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินซิงเยียนก็รู้สึกว่าคำพูดของถังหนิงมีเหตุผลขึ้นมาทันที


 


 


“ถ้าเธอต้องการให้คนอื่นยอมรับ ก่อนอื่นเธอต้องมีความสามารถ ถ้าเธออยากรู้ว่าความสามารถของเธออยู่ตรงจุดไหน ก็ให้วางความหยิ่งผยองลงแล้วฟังคำแนะนำของอันจื่อเฮ่า พรุ่งนี้จะมีข่าวใหญ่กว่าเดิม เตรียมตัวไว้ให้ดี” ถังหนิงเตือน


 


 


“เธอลงมือ ดังนั้นเธอต้องรับผลที่ตามมา”


 


 


ณ ขณะนั้น เฉินซิงเยียนอาจยังไม่เข้าใจเต็มที่ถึงความหมายที่ถังหนิงต้องการจะสื่อ แต่ใครบางคนเห็นสิ่งที่เธอทำอย่างแน่นอน ดังนั้นแทนที่จะรอให้เรื่องแดง ทางที่ดีคือหาทางแก้ไขจะดีกว่า


 


 


“แต่นังนั่นมันดูถูกพี่…”


 


 


ถังหนิงไม่พูดอะไร สีหน้าเธอยังคงสงบนิ่งเฉกเช่นทุกครั้ง หลังจากนั้นทั้งสองกลับไปยังโรงภาพยนตร์อย่างรวดเร็วและนั่งอยู่ในนั้นจนการพรีสกรีนสิ้นสุดลง


 


 


ก่อนที่พวกเธอจะกลับ ถังหนิงได้บอกกับหลินเซิง “ซิงเยียนลงมือในห้องน้ำเมื่อครู่นี้ มันอาจจะสร้างปัญหาให้พี่นิดหน่อย”


 


 


“งั้นเธอก็ช่วยฉันประหยัดเงินประชาสัมพันธ์ไปได้เยอะเลย” หลินเซิงตอบอย่างสบายใจ เขาได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมมาสามครั้งแล้ว ดังนั้นเขาถึงไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้


 


 


ถังหนิงยิ้ม ทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เพราะถึงอย่างไรเธอก็ได้ปล่อยให้เฉินซิงเยียนได้แก้แค้นอย่างที่เธอสมควรได้รับและระบายความไม่พอใจออกมาบ้าง แต่เฉินซิงเยียนยังคงมีบางสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ดังนั้นถังหนิงจึงตัดสินใจปล่อยให้ปัญหาทวีความรุนแรงต่อไป วิธีนี้เฉินซิงเยียนจะได้รับบทเรียนที่ดี


 


 



 


 


‘แฉ! เฉินซิงเยียนลงมืออย่างป่าเถื่อน สตันต์คนนี้กล้าดียังไง’


 


 


‘ถังหนิงตามืดบอด ล้มเหลวกับการช่วยเหลือรุ่นน้องก่อนจบราวหนังคนละม้วน’


 


 


‘กระหายความโด่งดัง! สตันต์ตัวน้อยระเบิดอารมณ์ เริ่มต้นด้วยการตบตีกันในห้องน้ำและบังคับให้อีกฝ่ายกินอึ!’


 


 


ข้อความเหล่านี้คือหัวข้อข่าวบันเทิงในวันต่อมา หลังจากได้เห็นข่าวพวกนี้ ไป๋ลี่หวาถึงกับช็อก เธอมองถังหนิงอย่างสงสัยแต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร


 


 


“ป้าไป๋ มีอะไรอยากจะพูดหรือเปล่า” ถังหนิงสังเกตเห็นว่าไป๋ลี่หวาแอบชำเลืองตามองเธอ เธอจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง


 


 


“เรื่องซิงเยียน… ป้าเป็นห่วง…”


 


 


“ไม่ต้องห่วงหรอก ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม”


 


 


ที่จริงหากใครได้อ่านบทความข่าวพวกนั้นอย่างละเอียด พวกเขาจะรู้ว่าถังหนิงไม่ได้ถูกพูดถึงมากนักและความจริงยังคงอยู่


 


 


[ถังหนิงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงไปช่วยเด็กแบบนั้นกันนะ]


 


 


[นี่ดูไม่เหมือนถังหนิงเลย คนอย่างถังหนิงจะไม่มีความสามารถพอควบคุมสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไง]


 


 


โลกอินเทอร์เน็ตต่างออกความเห็นกันอย่างเร่าร้อน ท้ายที่สุดทุกคนมีความเห็นหนึ่งในสอง หนึ่งคือถังหนิงยังไม่ยอมละความพยายามที่จะแก้แค้นเพราะมันยังไม่ถึงเวลา กับสองคืออาการสมองเสื่อมของถังหนิงกำลังทำลายภาพลักษณ์ของเธอ


 


 


ขณะเดียวกัน แอนนี่ก็เริ่มออกมาอธิบายต่อหน้าสื่อต่างๆ ทั้งน้ำตาว่าเธอยังคงขวัญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว หลังจากถูกเฉินซิงเยียนทำให้ขายหน้า เธอไม่อาจมีความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป…


 


 


เมื่อต้องเผชิญความวุ่นวายตรงหน้า เฉินซิงเยียนก็รู้สึกปั่นป่วน เธอไม่รู้เลยว่าจะต้องจัดการกับสถานการณ์พวกนี้ยังไง


 


 


สถานการณ์นี้ดูราวกับลูกบอลหิมะที่ยิ่งขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีคนถูกถึงมาเกี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


เธอไม่รู้จะช่วยตัวเองหรืออันจื่อเฮ่าได้อย่างไร ซำร้าย ถังหนิงก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องและทุกคนที่ต่างพากันใส่ร้ายว่าถังหนิงกำลังสมองเสื่อม!


 


 


หลังจากได้เห็นข่าว เฉินซิงเยียนคิดวิเคราะห์อยู่พักหนึ่งก่อนในที่สุดเธอจะโทรหาอันจื่อเฮ่า “ฉัน… ฉันอยากทำงาน… ฉันอยากเป็นนักแสดงแอกชั่น… ฉันอยากเล่นในหนังฟอร์มใหญ่ๆ ฉันสามารถรับมือกับความเครียดได้”


 


 


“ทำไมอยู่ๆ เธอถึงตัดสินใจแบบนี้ล่ะ” อันจื่อเฮ่าถาม “เธอพยายามจะซ่อนตัวเองจากความเป็นจริงหรือไง”


 


 


“ถ้าฉันอยากจะซ่อน ฉันแค่หนีไปแล้วก็ไม่กลับมาก็ได้!” เฉินซิงเยียนโต้แย้ง “ฉันตัดสินใจแบบนี้เพราะฉันรู้สึกว่าฉันควรเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยจริงๆ ขอแค่ฉันได้บทที่ดีกว่าของแอนนี่ ผู้หญิงคนนั้นจะได้เจ็บปวดจริงๆ สักที”


 


 


“เธอคิดว่าใครจะกล้าจ้างเธอตอนนี้กันฮะ” อันจื่อเฮ่าถาม


 


 


“เอ่อ…” เฉินซิงเยียมคอตกด้วยความผิดหวัง


 


 


“รอฉันก่อนแล้วกัน ฉันจะช่วยสู้ให้เธอได้โอกาสสักครั้ง แต่เธอต้องพยายามให้ดีที่สุดแล้วก็ต้องใจเย็นๆ ด้วย”


 


 


“ได้เลย!”


 


 



 


 


ในระหว่างนั้น แอนนี่ยังคงอยู่ระหว่างการให้สัมภาษณ์ “ถังหนิงไม่ได้รังแกฉันหรอกค่ะ เธอช่วยหยุดเฉินซิงเยียน


 


 


“ที่จริงเธอไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครต่อใครพูดกัน…”


 


 


คราวนี้แอนนี่ไม่ได้ใส่ร้ายถังหนิง แต่วิธีที่เธอเลือกใช้อธิบายอีกฝ่ายทำให้ถังหนิงฟังดูเป็นคนโง่ แอนนี่ทำให้ถังหนิงฟังดูเหมือนคนที่สูญเสียความแข็งแกร่งและความน่าชื่นชมที่ครั้งหนึ่งเคยมีไปหมดแล้ว


 


 


แอนนี่ดูเหมือนค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำทีเดียว


 


 


“ฉันคิดว่าประธานโม่เป็นคนคอยช่วยเธออยู่เบื้องหลังมาตลอดมากกว่า


 


 


“คุณกำลังหมายถึงความสำเร็จที่ผ่านมาทั้งหมดของถังหนิงงั้นเหรอ” บรรดานักข่าวอดไม่ได้ที่จะด่วนสรุปเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเขาเห็นว่าน่าสนใจ “จากที่พวกเรารู้ ถังหนิงไม่ใช่ ‘คนอ่อนโยน’ นะ”


 


 


 


 


——


 


 


* สมองเสื่อม (孕傻) คืออาการของหญิงตั้งครรภ์ที่ขี้หลงขี้ลืม ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง หรือความเครียดและความวิตกกังวลจากการตั้งครรภ์รวมถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอจนทำให้สมองมีอาการอ่อนล้า

 

 

 


ตอนที่ 661 ถังหนิงผู้ ‘ฆ่าไม่ตาย’ !

 

ผู้กำกับแมตต์เอามือเท้าคางมองดูการสัมภาษณ์ของแอนนี่บนหน้าจออย่างครุ่นคิด


 


 


“ผู้กำกับ ทำไมเราไม่มองข้ามคำขู่ของถังหนิงไปเสียล่ะครับ”


 


 


“ไม่ได้!” ผู้กำกับแมตต์ปัดมือใส่ผู้ช่วยของเขา “ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำแบบนั้น”


 


 


“แต่ตอนนี้ทุกคนต่างลือกันว่าถังหนิงดีแต่ปากเท่านั้นแต่ไม่เคยลงมือทำอะไร”


 


 


“ไม่ ไม่ได้!” แมตต์ตะโกน “อย่าถูกเปลือกนอกหลอกเอาได้ การเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งในแผนของถังหนิง ฉันไม่เคยเห็นข่าวบันเทิงข่าวไหนใกล้เคียงความจริงเลยสักครั้ง อีกอย่างพวกนั้นประกาศจุดยืนชัดเจนแม้ข่าวบันเทิงจะสนใจแค่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวก็เถอะ คนพวกนั้นมีเรื่องดีๆ ในมือ แต่ทำไมถึงไม่ออกมาใส่สีตีไข่เพื่อสร้างความให้สาธารณชนล่ะ


 


 


“ฉันไปมีเรื่องกับไห่รุ่ยและถังหนิงเพราะนักแสดงหญิงธรรมดาไม่ได้หรอกนะ”


 


 


ผู้ช่วยคนนั้นเห็นด้วยกับเหตุผลเข้าใจได้ของแมตต์ เพราะแอนนี่ทำตัวสะเพร่าเกินไป แค่เพราะถังหนิงไม่เคลื่อนไหว เขาก็เกือบคิดไปเองว่าเธอก็เป็นแค่คนธรรมดาสามัญทั่วไป


 


 


แอนนี่ไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกัน


 


 



 


 


“แอนนี่มันไร้สมองจริงๆ” ณ ไฮแอทรีเจนซี หลงเจี่ยกำลังอารมณ์ดีเพราะลู่เช่อกลับมาแล้ว “แต่สิ่งที่คุณทำส่งผลกระทบกับเฉินซิงเยียนเยอะน่าดูเลยนะคะ ตอนนี้เด็กนั่นต้องรู้สึกผิดอยู่แน่ๆ ฉันว่าคุณน่าจะหยุดได้แล้วมั้ง”


 


 


“ฉันคิดหาวิธีแก้แค้นไว้ให้ตั้งหลายอย่าง แต่เด็กคนนั้นกลับเดินหุนหันเข้าไปทำร้ายศัตรูโดยไม่คิดถึงหลินเซิงหรือฉันเลย แล้วจะให้ฉันปล่อยให้เด็กคนนั้นลอยคอสบายใจอยู่ได้ยังไง ถ้าฉันได้รับผลกระทบคนเดียวฉันก็คงปล่อยเรื่องนี้ไป แต่นี่มันงานอีเวนท์ของเซิงเกอ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เซิงเกอไม่เอาเรื่อง


 


 


“เธออาจจะพูดห้ามฉันได้ไม่ยาก แต่ฉันแน่ใจว่าเธอคงได้ยินแล้วว่าเฉินซิงเยียนกดหัวแอนนี่ลงไปในโถชักโครกยังไง”


 


 


“คุณอยากเห็นเด็กคนนั้นได้แก้แค้นสินะคะ


 


 


“ฉันต้องยอมรับเลยว่ายัยเด็กนี่เจ๋งเอาเรื่อง กดหัวคนอื่นลงโถชักโครกได้นี่สร้างสรรค์น่าดู”


 


 


“ไม่ใช่แค่กดหัวแอนนี่ลงโถชักโครกนะ เด็กนั่นยังพูดด้วยว่า ‘จากวันนี้ไป แกจะได้เป็นผู้หญิงที่กินขี้ด้วยเหมือนกัน’ ” ถังหนิงกลอกตาโดยไม่รู้ว่าเธอควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถังหนิงอดสงสัยไม่ได้ว่าเฉินซิงเยียนไปได้นิสัยเลือดร้อนแบบนี้มาจากไหน


 


 


“จริงเหรอคะ ฮะๆๆ …” หลงเจี่ยระเบิดหัวเราะออกมา “เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะ!”


 


 


ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเช่นกัน


 


 


“การแก้แค้นของเด็กคนนี้ไม่เลวเลย ตอนนี้ฉันอยากจะเห็นสีหน้าของแอนนี่จังค่ะ ต่อให้ต้องดูอีกเป็นล้านปีฉันก็ไม่มีวันเบื่อฉากคนโดยฉีกหน้าแบบนี้” แม้หลงเจี่ยจะเคยได้ยินมาแล้วว่าแอนนี่กลายเป็นตัวตลกแค่ไหน เธอก็ยังหวังว่าถังหนิงจะออกมาแก้ต่างทุกอย่างโดยเร็ว เพราะในเวลาที่แอนนี่กำลังหยิ่งผยองแบบนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด


 


 


“ทำไม่ยากหรอก”


 


 


เป็นไปตามคาด ทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแผนของถังหนิง เป็นแค่เกมจิตวิทยาเท่านั้น


 


 


ดังนั้นแอนนี่จึงไม่มีคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือ


 


 


แม้จะมีพยานรู้เห็นว่าเฉินซิงเยียนทำร้ายแอนนี่ในคืนนั้น แต่หญิงสาวทั้งสามก็ไม่กล้าพอที่จะออกมาพูดอะไร ดังนั้นคนที่ปล่อยข่าวพวกนี้ออกมาจึงเป็นถังหนิงอย่างแน่นอน


 


 


สิ่งที่เธอเปิดเผยคือสิ่งที่เธอได้เห็นด้วยตาตัวเอง


 


 


หลังจากนั้น…


 


 


‘ข่าวใหม่ นี่คือผลที่เหยื่อสมควรได้รับ’


 


 


‘ความจริงเบื้องหลังการถูกกดทิ่มชักโครกของแอนนี่’


 


 


ผ่านช่วงเวลาเที่ยงวันไปได้ไม่นาน ก็มีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมให้กับข่าวฉาวดังกล่าว พยานทั้งสามคนออกมาพูด อันดับแรก พวกเธอยอมรับว่าพูดเธอทำผิดที่นินทาคนอื่นในห้องน้ำ หลังจากนั้นพวกเธออธิบายว่าแอนนี่ถูกทำร้ายเพราะพูดใส่ร้ายถังหนิงต่อหน้าพวกเธอ


 


 


“เธอใส่ร้ายเฉินซิงเยียนด้วยการเรียกอีกฝ่ายว่า’ โสเภณีสกปรก’ แถมยังบอกว่าเฉินซิงเยียนถูกบังคับให้กินปัสสาวะด้วย!”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น บรรดาสื่อต่างเข้าใจว่าทำไมเฉินซิงเยียนถึงบอกว่าแอนนี่ก็เป็นคนที่ได้กินอุจจาระด้วย


 


 


“ฉันรู้สึกว่าทั้งสองคนต้องมีเรื่องบาดหมางมากๆ อยู่แน่ๆ อีกอย่างด้วยความที่แอนนี่รู้เรื่องเยอะมาก อาจหมายความว่าเธอเป็นคนวางแผนโจมตีเฉินซิงเยียนก่อนก็ได้”


 


 


“ถ้าฉันอยู่ในจุดเดียวกับเฉินซิงเยียน ฉันก็คงยับยั้งชั่งใจได้ยากเหมือนกัน”


 


 


“ถ้างั้น ถังหนิงได้พูดอะไรในเหตุการณ์บ้างคะ” นักข่าวถาม


 


 


“ถังหนิงพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับว่ากรรมตามสนองยังไม่สาสม” หญิงสาวตอบหลังจากนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “พูดตามตรง แอนนี่ปากมากเกินไป พวกเราเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดและไม่มีการเตะหรือต่อยอะไรอย่างที่แอนนี่พูดเลย เธอแค่ถูกกดลงชักโครกสองครั้งเท่านั้น”


 


 


“เป็นความจริงค่ะ เราทนถูกประณามอยู่ลึกๆ ไม่ได้ ดังนั้นพวกเราเลยหวังว่าทุกคนจะให้อภัย”


 


 


เพราะการออกมาชี้แจงของพยานทั้งสามคน ทำให้เรื่องราวเริ่มเปลี่ยนไป


 


 


เดิมทีทุกคนต่างกล่าวหาว่าเฉินซิงเยียนไร้สมอง แต่หลังจากได้ยินคำพูดของพยานทั้งสามคน ทุกคนแค่รู้สึกว่าเฉินซิงเยียนเป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่ที่หุนหันไปหน่อยเท่านั้น


 


 


[ถึงจะอารมณ์ร้อนไปหน่อย แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรนะ!]


 


 


[ปากมากแบบนั้น ไม่แปลกที่แอนนี่จะโดนกดหัวลงชักโครก!]


 


 


[ฉันอยากบอกว่าเฉินซิงเยียนทำดีแล้ว]


 


 


แอนนี่ออกมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าสื่อหลายต่อหลายครั้ง พยายามอย่างหนักในการสร้างภาพ แต่เธอกลับไม่เคยนึกเลยว่าในระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนต่างรู้ถึงคำพูดที่เธอใช้รังแกเฉินซิงเยียนอย่างรวดเร็ว


 


 


นี่คือถังหนิงผู้ ‘ฆ่าไม่ตาย’ เธอพูดถึง!


 


 


[แอนนี่ ในที่สุดเธอก็เข้าใจ ‘ความอ่อนโยน’ ของถังหนิงแล้วสินะ] ความเห็นบทโลกออนไลน์หยอกล้อเธอ [สำหรับถังหนิงแล้วการจัดการกับเธอมันง่ายยิ่งกว่าบี้มดเสียอีก]


 


 



 


 


หลังได้เห็นข่าว แอนนี่ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า


 


 


ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าเธอจะได้รับโอกาสสักครั้ง แต่เฉินซิงเยียนกลับเปลี่ยนทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ น่าหงุดหงิดจริงๆ!


 


 


หลังจากระบายความโกรธแล้ว แอนนี่ก็หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาโทรหาผู้ช่วยของผู้กำกับแมตต์ “คุณผู้ช่วยคะ เมื่อไหร่ ‘The Savage Wars’ ถึงจะจัดการแถลงข่าวงั้นเหรอคะ”


 


 


ทันทีที่ผู้ช่วยคนนั้นรู้ว่าเป็นแอนนี่ เขาก็เอามือปิดไมค์และบอกกับผู้กำกับแมตต์ “แอนนี่โทรมาครับ”


 


 


“เปิดโหมดลำโพง” แมตต์สั่ง


 


 


“เออ… เรากำลังจะจัดแถลงข่าวเร็วๆ นี้ครับ” ผู้ช่วยคนนั้นตอบ “คุณถามทำไมงั้นเหรอ”


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแต่อยากยืนยันวันแถลงข่าว ฉันจะได้เตรียมชุดไปร่วมงานวันนั้น”


 


 


ผู้ช่วยคนนั้นอยากบอกเธอว่าไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูดีนักก็ได้ เพราะต่อให้ไม่มีใครแย่งบทนี้ ก็เป็นเพียงบทตัวร้ายและไม่ใช่บทนำ ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องทุ่มเทอะไรมากนัก


 


 


แต่แมตต์ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายควบคุมตัวเอง


 


 


ดังนั้นผู้ช่วยคนนั้นจึงกระแอมและตอบอีกฝ่ายในสาย “เยี่ยมเลย แต่งตัวมาดีเลยนะครับ”


 


 


“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะคุณผู้ช่วย”


 


 


แอนนี่รู้สึกโล่งใจด้วยความคิดไปเองของตัวเอง


 


 


แต่แมตต์และผู้ช่วยของเขากลับได้รับรู้ว่าแอนนี่นั้นมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหน


 


 


ด้วยเหตุนี้ วันนั้นจึงผ่านไปได้อย่างสวยงาม ภายในห้องทำงานประธานไห่รุ่ย ลู่เช่ออดไม่ได้ที่จะกว่าวถึงบางอย่าง “วันนี้… คุณผู้หญิงเธอ…”


 


 


“ฉันรู้” โม่ถิงตอบ “จับตาดูอารมณ์ของหนิงให้ดี ถ้าเธอต้องการอะไรก็ช่วยจัดเตรียมให้เธอทันที เรื่องนี้ช่วยแก้เบื่อให้ถังหนิงได้ดีทีเดียว”


 


 


กลับกลายเป็นว่า เหตุผลเดียวที่โม่ถิงปล่อยให้แอนนี่ออกมาสร้างความปั่นป่วนก็เพราะเขาคิดว่าถังหนิงต้องการทำอะไรแก้เบื่อ!


 


 


แม้โม่ถิงจะเอ็นดูและรักใคร่ภรรยาของเขามาตลอด…


 


 


… แต่เขาก็จำเป็นต้องกำหนดเส้นแบ่งให้ทุกวัน!

 

 

 


ตอนที่ 662 เธอหาเรื่องเอง

 

เฉินซิงเยียนอยากจะได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังฟอร์มใหญ่ แต่ในเวลาแบบนี้ใครจะกล้าทำงานกับเธอ


 


 


หรือต่อให้มีคนกล้า เธอก็เสียโอกาสพวกนั้นไปหมดแล้ว


 


 


ท้ายที่สุด อันจื่อเฮ่าพาเฉินซิงเยียนมาออดิชั่นที่ดีเคเอเจนซี่


 


 


หากยังมีใครสักคนที่อยากจะให้โอกาสเธอ คนคนนั้นคงเป็นหลินเซิง แน่นอนว่าเหตุผลเดียวที่หลินเซิงแนะนำเฉินเซิงเยียนให้ดีเคเอเจนซี่เป็นเพราะถังหนิง


 


 


“หนังเรื่องใหม่ของหลินเซิงชื่อ ‘มหาอสูร’ กำลังอยู่ระหว่างการออดิชั่น พวกเขายังไม่ได้เลือกบทนักแสดงนำหญิง เธอควรจะลองดู”


 


 


“นักแสดงนำหญิง?” เฉินซิงเยียนชี้มาที่ตัวเองด้วยท่าทีเหลือเชื่อ “ฉันเนี่ยนะ? นางเอก?”


 


 


“ไม่ ฉันต้องการให้เธอไปออดิชั่นเป็นสตันต์ของบทนางเอก” อันจื่อเฮ่าอธิบายพลางกอดอก “เพราะหลินเซิงเป็นพระเอก ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถทำให้เขายอมรับได้เหมือนอย่างถังหนิง ต่อให้เป็นตำแหน่งสตันต์ก็ยังถือว่ามีการแข่งขันสูงมาก…


 


 


ฉันเคยบอกให้เธอเป็นนักแสดงบทบู๊ แต่เธอก็ยังเลือกเป็นสตันต์ ตอนนี้ฉันขอให้เธอไปเป็นสตันต์ เธอกลับอยากเป็นนักแสดงบทบู๊ เธอจะเอายังไงกันแน่”


 


 


เฉินซิงเยียนมองอันจื่อเฮ่าจากด้านหลัง อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมานิดหน่อย


 


 


“ตอนนี้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้แล้ว มีใครอยากร่วมงานกับเธอก็ถือว่าดีพอแล้ว…”


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินซิงเยียนก็หยุดยืนนิ่ง “แค่ถูกคนอื่นกล่าวหาก็แย่พอแล้ว นายยังต้องพูดอะไรแรงๆ แบบนี้อีกหรือไง”


 


 


อันจื่อเฮ่าหยุดเดิน แต่เขาไม่ได้หันหลังกลับมา “ถ้าเธอคาดหวังว่าฉันจะเคยชินกับนิสัยหัวร้อนของเธอละก็ งั้นเธอคงได้เคว้งอยู่ระหว่างการเป็นนักแสดงบทบู๊กับสตันต์ไปตลอดกาล เผชิญหน้ารับความจริงซะ คนไร้เดียงสาอยู่รอดในวงการบันเทิงไม่ได้หรอก”


 


 


ไม่นานก่อนที่อันจื่อเฮ่าและเฉินซิงเยียนจะมาปรากฏตัวต่อหน้าบอสของดีเคเอเจนซี่ กระนั้นจากสายตาที่ชายคนนั้นมองพวกเขา ทำเอาเฉินซิงเยียนรู้สึกไม่ดีนัก


 


 


“ในเมื่อเป็นคำขอของพี่เซิง ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้โอกาสเธอ แต่เธอมีแค่โอกาสเดียวเท่านั้นนะ ตามฉันมา”


 


 


อันจื่อเฮ่าใช้คางส่งสัญญาณให้เฉินซิงเยียนเดินตามชายคนนั้นเข้าไปด้านใน ขณะที่เขารออยู่ด้านนอก


 


 


เฉินซิงเยียนระมัดระวังตัว รักษาระยะห่างจากชายคนนั้นประมาณหนึ่งเมตร กระนั้นเธอได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นกล่าว “เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวรู้สึกผิดขนาดนั้นหรอก แต่ก่อนฉันเคยเห็นอะไรแบบนี้มาเยอะ เพื่อให้ได้ก้าวหน้าในวงการนี้ คนมากมายยอมทำทุกอย่างนั่นแหละ”


 


 


เดิมทีเฉินซิงเยียนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะเธอคิดถึงสิ่งที่ถังหนิงเคยบอกกับเธอ เธอจึงตระหนักได้ว่าคำพูดของเธอนั้นไม่อาจโน้มน้าวใจใครได้มากนัก


 


 


“ในเมื่อเธอเป็นสตันต์ งั้นฉันก็ต้องทดสอบความสามารถของเธอ ฉันจะจัดสตันต์ที่มีประสบการณ์สักคนมาสู้กับเธอ ฉันจะได้ดูว่าเธอมีความสามารถแค่ไหน”


 


 


การต่อสู้เป็นสิ่งที่เธอถนัด นั่นจึงไม่ใช่เรื่องท้าทายอะไร แต่กระนั้นหลังจากเธอต่อสู้จนจบและกลับออกมาพร้อมเหงื่ออันชุ่มโชก เธอก็พบว่าชายคนนั้นกลับเอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์


 


 


“การต่อสู้ของเธอดูเหลาะแหละไปหน่อย เธอไปได้แล้ว”


 


 


เฉินซิงเยียนอยากจะตบหน้าผู้ชายคนนั้น แต่เธอพยายามอดกลั้น


 


 


เธอตระหนักได้ว่าชายคนนี้ไม่เคยคิดจะจ้างเธออยู่แล้ว เขาเพียงแค่ขอให้เธอออดิชั่นเพราะหลินเซิง


 


 


ในขณะนั้น เฉินซิงเยียนต้องการแค่กลับไปที่สตูดิโอถ่ายทำในฐานะตัวประกอบ แบบนั้นเธอจะได้ไม่ต้องถูกผู้คนตัดสินแล้วก็ไม่ต้องถูกกลั่นแกล้ง


 


 


แต่เมื่อเธอคิดถึงสิ่งที่อันจื่อเฮ่าทำให้เธอทั้งหมดและเรื่องที่เขาถูกลากมาเกี่ยวพันด้วย เธอจึงลบความคิดที่จะถอนตัวออกไป


 


 


ดังนั้นเธอจึงยืดคอและแอบดูโทรศัพท์ของชายคนนั้น พบว่าเขากำลังเล่นเกมและมันเป็นเกมที่เธอเล่นอยู่บ่อยครั้ง เธอจึงเสนอขึ้นมา “ถ้าฉันเอาชนะคุณในเกมที่คุณกำลังเล่นได้ คุณจะให้โอกาสฉันจริงๆ ได้ไหม”


 


 


ชายคนนั้นเงยหน้ามองเฉินซิงเยียนด้วยความสนใจ


 


 


จากนั้นเขาพยักหน้า “ก็ได้ ถ้าเธอเอาชนะฉันได้น่ะนะ…”


 


 


เฉินซิงเยียนหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาล็อกอินเข้าไปในเกมเพื่อต่อสู้ แน่นอนว่าชายคนนั้นไม่เคยคิดว่าเด็กสาวคนหนึ่งจะสามารถเล่นเกมนี้ได้ดีขนาดนี้ หลังจากเคลื่อนไหวเพียงสองสามครั้งเธอก็สามารถวางกับดักที่ทรงประสิทธิภาพได้สำเร็จ แต่กระนั้นหลังจากการต่อสู้จบลง ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไป


 


 


“เดี๋ยวสิ คุณบอกว่าจะให้โอกาสฉันไม่ใช่เหรอ” เฉินซิงเยียนรีบรั้งชายคนนั้นไว้


 


 


“โอกาสอะไร เธอก็ได้โอกาสไปแล้วนี่” ชายคนนั้นไม่รักษาคำพูดขณะที่เขาเดินออกไปอย่างไม่แยแส


 


 


เฉินซิงเยียนตระหนักได้ว่าตนเองถูกหลอก ดวงตาเธอแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่เธอจะทำอะไรได้


 


 


ณ เวลานั้น ขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะเดินออกจากห้อง หลินเซิงพลันปรากฎตัวขึ้นที่ประตูทางเข้าและกล่าว “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะให้บทกับเด็กคนนี้”


 


 


“ฮะ?” ชายคนนั้นไม่คิดว่าหลินเซิงจะเห็นสิ่งที่เขาทำทั้งหมด ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเปลี่ยนไปทันที “พี่เซิง พี่เห็น…”


 


 


“ให้ฉันพูดอีกครั้งนะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าเธอจะแสดงบทนางเอก!” หลินเซิงชี้แจง “ฉันจะรับผิดชอบกับผลที่ตามมาเอง”


 


 


ได้ยินคำพูดของหลินเซิงดังนั้น เฉินซิงเยียนก็น้ำตาเอ่อเพราะซาบซึ้งความยุติธรรมของเขา


 


 


“ขอบคุณค่ะ พี่เซิง”


 


 


“ฉันเห็นความสามารถของเธอเมื่อครู่แล้ว ถ้าเธอรักษาคุณภาพระดับนี้ระหว่างการถ่ายทำไม่ได้ ฉันจะไล่เธอออกเมื่อไหร่ก็ได้” หลินเซิงเริ่มต้นด้วยคำพูดที่ไม่ใจดีนัก “ครั้งหนึ่ง ถังหนิงเองก็ปรากฏตัวออกมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป แต่ถังหนิงแสดงทักษะทางการแสดงมากมายที่ฉันประทับใจ แล้วเธอล่ะ มุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองแค่ไหน”


 


 


“ฉันจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะพี่เซิง” เฉินซิงเยียนโค้งคำนับ


 


 


“ใครๆ ก็พูดแบบนี้ได้ทั้งนั้น ฉันจะรอดูความสามารถของเธอ”


 


 


ว่าแล้วหลินเซิงก็หันหลังกลับออกไป ทิ้งไว้แต่เพียงภาพอันน่าประทับใจในหัวของเฉินซิงเยียน


 


 


นับจากเวลานั้น หลินเซิงได้สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมไว้ในหัวใจของเฉินซิงเยียน


 


 


อันจื่อเฮ่ารออย่างใจเย็นอยู่ด้านนอกตลอดเวลา เขาไม่ได้คาดหวังกับเฉินซิงเยียนมากนัก จนกระทั่งหลินเซิงเดินเข้ามาหาและพูดกับเขา “นายทดสอบยัยหนูนั่นรุนแรงไปหน่อยนะ…”


 


 


“เธอหาเรื่องเองนี่” อันจื่อเฮ่าตอบ “แต่ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าจะช่วยให้คุณค้นพบตัวตนใหม่ๆ ได้นะ”


 


 


หลินเซิงส่ายหน้าพลางตบลงที่บ่าของอันจื่อเฮ่าก่อนจะหันหลังกลับไป แน่นอนว่าเมื่อดูจากสีหน้าของหลินเซิงแล้ว เขาแทบจะบอกได้ทันทีว่าเฉินซิงเยียนได้บทแล้ว


 


 


แต่กระนั้นเขากลับไม่รู้เลยว่าเฉินซิงเยียนได้บทนักแสดงนำหญิง


 


 


เหตุผลที่หลินเซิงมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องสำคัญเช่นนี้เป็นเพราะเขาเป็นผู้จัดของเรื่อง ‘มหาอสูร’


 


 


“หลินเซิงเข้มงวดกับทุกคนที่เขาทำงานด้วย ถ้าเขารู้สึกผิดหวังในตัวเธอแม้แต่นิดเดียว เขาจะไล่เธอออกโดยไม่ลังเล แต่แน่นอนว่าเขาเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมด้วย” อันจื่อเฮ่าอธิบาย “จำไวนะ นี่เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้พิสูจน์ตัวเอง อย่าให้ถังหนิงต้องมาตามล้างตามเช็ดความสะเพร่าของเธออีก”


 


 


เฉินซิงเยียนได้แต่ยืนเงียบราวกับเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ นับจากเวลานั้น เธอก็เงียบขรึมขึ้นกว่าเมื่อครั้งที่เธอเคยร่าเริงสดใส


 


 


“ถ้านายเซ็นสัญญากับคนที่เชื่อฟัง นายอาจจะเป็นกังวลน้อยกว่านี้ก็ได้”


 

 

 


ตอนที่ 663 อาวุธลับ

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ อันจื่อเฮ่ากลับระเบิดหัวเราะออกมาทันที “เธอกำลังหมายถึงคนอย่างแอนนี่งั้นเหรอ


 


 


“ ‘The Savage Wars’ กำลังจะจัดงานแถลงข่าว เป็นความจริงที่แอนนี่ขโมยบทของเธอไป ดังนั้นเธออาจยังต้องเจ็บปวดต่อไปอีกสักหน่อย”


 


 


เฉินซิงเยียนเงยหน้าขึ้นมองอันจื่อเฮ่า คราวนี้อันจื่อเฮ่ายื่นมือของตัวเองมาลูบหัวอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน


 


 


“ไม่นานหรอก ฉันจะช่วยให้เธอได้แก้แค้นเร็วๆ นี้”


 


 


“ไม่จำเป็น ฉันทำเองได้” เฉินซิงเยียนตอบอย่างดื้อรั้น


 


 


“รอจนกว่าเธอจะดังเถอะแล้วค่อยมาพูดอะไรแบบนี้กับฉัน” พูดจบ อันจื่อเฮ่าก็พาเฉินซิงเยียนออกจากดีเคเอเจนซี่แล้วไปส่งเธอที่ไฮแอทรีเจนซี่


 


 



 


 


เมื่อในที่สุดเฉินซิงเยียนได้พบถังหนิงอีกครั้ง เธอได้แต่คอตกด้วยความรู้สึกผิด กลับกลายเป็นว่าเหตุการณ์ที่ทำให้เธอโกรธและเป็นกังวลนั้นไม่มีผลอะไรกับถังหนิงเลย เธอแค่แก้ไขปัญหาได้ในชั่วพริบตา


 


 


“วันนี้เธอทำได้ดีด้วยการได้บทนักแสดงนำหญิงของเรื่อง ‘มหาอสูร”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของอันจื่อเฮ่า ถังหนิงก็มองเฉินซิงเยียน “ทำไมเธอดูไม่มีความสุขล่ะ”


 


 


“เพราะเซิงเกอ…”


 


 


“เธอคิดว่าเซิงเกอให้โอกาสนี้กับเธอเพราะฉันงั้นเหรอ” ถังหนิงยิ้มขณะที่เธอพูดตัดบท “เซิงเกอเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ แต่เขาไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เขาไม่เคยตัดสินใจอะไรโดยใช้ความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยว ในโลกของเขา บทต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่อาจลบหลู่ได้ ถ้าเขาไม่เห็นว่าเธอเหมาะกับบท ต่อให้ฉันช่วยแค่ไหนก็ไม่พอหรอก”


 


 


“ปล่อยให้เครียดไปเถอะ…” อันจื่อเฮ่าไม่คิดจะปล่อยให้เฉินซิงเยียนได้ผ่อนภาระออกจากบ่า “’ The Savage Wars’ กำลังจะจัดงานแถลงข่าว เด็กนี่ควรได้ลิ้มรสความเครียดเสียบ้าง”


 


 


ถังหนิงมองอันจื่อเฮ่าโดยไม่พูดอะไร นอกจากหลงเจี่ยแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีกที่รู้ว่าถังหนิงแอบไปพบกับแมตต์


 


 


อันจื่อเฮ่าใส่ใจเฉินซิงเยียน แต่… เฉินซิงเยียนเป็นน้องสาวของโม่ถิง ดังนั้นการตัดสินใจของถังหนิงและอันจื่อเฮ่าจึงแตกต่างกันเล็กน้อย


 


 


“รอดูโชว์ดีๆ ก็แล้วกัน”


 


 


เฉินซิงเยียนเหนื่อยล้า หลังจากที่เธอนั่งลงได้สักพัก จึงเดินเข้าไปในห้องของไป๋ลี่หวาเพื่อหาความอุ่นใจ แต่…ไป๋ลี่หวาไม่ได้อยู่ในห้อง สิ่งที่เฉินซิงเยียนพบมีเพียงคอมพิวเตอร์ของไป๋ลี่หวาที่เปิดค้างอยู่บนโต๊ะ เฉินซิงเยียนอดไม่ได้ที่จะแอบดูในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น กระนั้นสิ่งที่เธอเห็นบนหน้าจอกลับทำให้เธออึ้ง


 


 


เธอไม่เคยคิดเลยว่าไป๋ลี่หวาจะเข้าไปดูข้อมูลในกระทู้ข่าวบันเทิงชื่อดังด้วย


 


 


“เสี่ยวซิง!” ไป๋ลี่หวาพลันกลับมาที่ห้อง ทันทีที่เธอเห็นเฉินซิงเยียนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ของเธอ เธอก็รีบวิ่งไปบังหน้าจอคอมพิวเตอร์ทันที


 


 


“แม่… นี่แม่เล่นเกมสายลับอยู่เหรอ” เฉินซิงเยียนเห็นเนื้อหาบนหน้าจอหมดแล้ว “งั้น… แม่ก็คือคนใจดีที่ปั่นกระแสบนโลกออนไลน์เมื่อไม่นานมานี่สินะ”


 


 


ณ เวลานั้น เฉินซิงเยียนไม่ได้คิดอะไรมากถึงเจตนาเบื้องหลังการกระทำบนโลกออนไลน์ของไป๋ลี่หวา เธอแค่รู้สึกว่าแม่ของเธอน่าทึ่งและไม่ได้คิดอะไรนอกเหนือจากนั้น ซึ่งรวมไปถึงเหตุผลว่าทำไมแม่ของเธอถึงทำเรื่องแบบนี้และทำไมแม่ถึงพูดเรื่องแบบนั้น


 


 


“แม่แค่ยึดหลักความถูกต้อง” ไป๋ลี่หวารีบพยายามปิดบังความจริง


 


 


“แต่จะเป็นไปได้ยังไง ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้จักถังหนิงด้วยซ้ำ”


 


 


“ที่จริง… แม่เป็นแฟนคลับของถังหนิง…” คำอธิบายของไป๋ลี่หวาฟังดูสุดโต่งยิ่งขึ้น “แม่ทนเห็นเธอถูกใส่ร้ายไม่ได้ ก็เลยสร้างแอกเคานต์ขึ้นมาแล้วก็สร้างเรื่องขึ้น แม่ไม่คิดว่ามันจะมีผลขนาดนั้น แม่แค่โชคดี อย่าเที่ยวบอกเรื่องนี้กับใครเชียวนะ การเข้ามาดูกระทู้พวกนี้เป็นงานอดิเรกลับๆ ของแม่”


 


 


“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าแม่จะเป็นแฟนตัวยงขนาดนี้ แม่นี่ปิดซะมิดเชียวนะ”


 


 


ไป๋ลี่หวาเหงื่อแตก หากเฉินซิงเยียนยังคงตั้งคำถามกับเธอต่อไปแบบนี้ เธอก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร


 


 


เพราะถ้าเฉินซิงเยียนค้นพบความจริงเข้า คงไม่น่าแปลกใจถ้าเธอจะวิ่งไปคว้ามีดแล้วตรงดิ่งไปสับฮว่าเหวินเฟิ่งเป็นชิ้นๆ


 


 


ไป๋ลี่หวาไม่อาจรับความเสี่ยงนั้นได้ ก่อนที่เธอจะได้ทำลายฮว่าเหวินเฟิ่งจนสิ้นซาก เธอจะปล่อยให้เฉินซิงเยียนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอไม่ได้


 


 


เฉินซิงเยียนไม่ได้เอะใจอะไร เพราะในความคิดของเธอนั้น ไป๋ลี่หวาเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีทางที่เธอจะมีความเกี่ยวโยงอะไรกับครอบครัวเศรษฐี ดังนั้นเธอจึงเชื่อทุกอย่างที่ไป๋ลี่หวาพูด


 


 


ที่จริงเธอพบว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่แม่ของเธอสามารถใช้ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตเพื่อช่วยถังหนิงไว้ได้


 


 


“ลูกอย่าบอกถังหนิงเรื่องนี้เลยนะ แม่คงอายแย่”


 


 


“ไอหย๋า เลิกพูดซ้ำได้แล้ว ฉันเข้าใจแล้วน่า”


 


 



 


 


ตกดึกคืนนั้น


 


 


เมื่อเห็นว่าโม่ถิงยังไม่กลับบ้าน ถังหนิงจึงสั่งให้ลู่เช่อขับพาเธอไปยังไห่รุ่ยเพื่อรับสามีของเธอแม้เธอจะกำลังตั้งท้องอยู่ก็ตาม


 


 


แต่ทว่าหลังจากที่เธอเดินทางมาถึงไห่รุ่ย หญิงสาวกลับไม่ได้เข้าไปรบกวนโม่ถิง แต่นอนงีบอยู่ในห้องรับรอง เฝ้ารออีกฝ่ายอย่างใจเย็น


 


 


“คุณผู้หญิงคะ ฉันอุ่นนมมาให้ค่ะ” เลขาที่อยู่นอกห้องกล่าวอย่างสุภาพ “ระยะหลังมานี้ ท่านประธานโม่ค่อนข้างยุ่งเพราะเอเจนซี่เพิ่งจะเซ็นสัญญากับศิลปินคนใหม่ๆ พวกเขาค่อนข้างเป็นที่นิยมทีเดียว ดังนั้นเอเจนซี่เลยต้องวางแผนใหม่ๆ มากมาย ให้ฉันบอกท่านประธานให้ไหมคะ”


 


 


“ไม่จำเป็น แต่ฉันเบื่อนิดหน่อย เธอช่วยอยู่คุยกับฉันสักพักได้ไหม” ถังหนิงตอบ


 


 


“คุณผู้หญิงอยากทราบเรื่องอะไรงั้นเหรอคะ”


 


 


“พักหลังมานี่มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้างไหม” ถังหนิงถาม


 


 


“ไม่ค่อยมีอะไรนะคะ แต่บริษัทเพิ่งจะเซ็นสัญญากับ ‘อาวุธลับ’ ไปเมื่อสองวันก่อน” เลขาคนนั้นตอบหลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คนพูดกันว่าเธอเป็นคนมีพรสวรรค์มากๆ หน้าตาดี รูปร่างก็ดี ฉันได้ยินมาด้วยว่าเธออายุยี่สิบสองแต่กลับเขียนเพลงดังๆ มาแล้วหลายเพลง ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์ด้วย ละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่ดังก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือเธอ ในอนาคตเอเจนซีจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสนับสนุนเธอค่ะ”


 


 


เลขาคนนั้นยังคงพูดกับตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่ทันสังเกตว่าถังหนิงไม่ได้สนใจ สุดท้ายเลขาคนนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างขัดๆ “แน่นอนว่าคุณยังคงเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของท่านประธานนะคะ แต่ถ้าหากเป็นไปได้ที่คุณผู้หญิงจะได้แสดงในละครของเธอของเธอแล้วละก็ ฉันมั่นใจว่ามันจะต้องน่าดูมากแน่ๆ”


 


 


ขณะที่เลขากำลังพูดอยู่นั้น โม่ถิงก็เดินเข้ามาภายในห้องและมองถังหนิง “ทำไมคุณถึงขัดคำสั่งผมล่ะ หืม?”


 


 


“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เมื่อเห็นว่าโม่ถิงเข้ามา เลขาคนนั้นก็รีบลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ถังหนิงโอบเรียวแขนของเธอรอบลำคอของโม่ถิงและหยอกเย้า “ฉันได้ยินเรื่องน่าสนใจมาจากเลขาของคุณด้วยละ เอเจนซีเพิ่งเซ็นสัญญากับ ‘อาวุธลับ’ ”


 


 


“ฟังอวี้เป็นคนดูแลผู้หญิงคนนั้น” โม่ถิงตอบ “การทำสัญญากับศิลปินเป็นหน้าที่รับผิดชอบปัจจุบันของเขา”


 


 


“คุณไม่กลัวเขาจะดึงศิลปินไปอยู่บริษัทอื่นเหรอ” ถังหนิงกระพริบตา


 


 


“เขาจำเป็นต้องคิดถึงค่ายกเลิกสัญญาซะก่อน” โม่ถิงช่วยพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น “คุณท้องเจ็ดเดือนแล้วนะครับ ช่วยหยุดทำอะไรให้ผมเป็นห่วงสักทีได้ไหม”


 


 


“การมารับสามีจากที่ทำงานมันอันตรายตรงไหนเหรอคะ” ถังหนิงกล่าวพลางสวมกอดโม่ถิง “ฉันคิดถึงคุณ… ลูกของเราก็คิดถึงด้วย”


 


 


“ไป กลับบ้านกันเถอะ” โม่ถิงโอบแขนรอบตัวถังหนิงขณะที่เขานำเธอเดินออกจากตึกไปยังที่จอดรถชั้นใต้ดิน กระนั้นพวกเขาไม่ทันสังเกตว่ามีผู้หญิงสองคนที่เดินออกจากตึกมายังที่จอดรถในเวลาเดียวกัน


 


 


“นั่นถังหนิงใช่ไหม” หนึ่งในผู้หญิงสองคนทักขึ้นอย่างมีนัยแอบแฝง


 


 


“ใช่ นั่นถังหนิง” ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างเธอตอบ


 


 


“น่าสนใจดีนี่!” ผู้หญิงคนนั้นยืนมองถังหนิงเดินทางออกไปก่อนที่เธอจะขึ้นไปนั่งบนรถสปอร์ตของตัวเอง “ไม่ได้สาวเหมือนเดิมแล้ว…”

 

 

 


ตอนที่ 664 กระอักกระอ่วนที่สุด

 

ความอ่อนเยาว์ไม่ใช่เรื่องที่คนจะมากำหนดได้…


 


 



 


 


ไม่กี่วันหลังจากนั้น ได้ถึงวันแถลงข่าวของ ‘The Savage Wars’ บ่ายวันนั้น แอนนี่เข้าร่วมงานด้วยชุดราตรียาวสีเงิน อาจเป็นเพราะเธอยังเด็ก จึงไม่รู้วิธีถ่อมตน ทำตัวราวกับเป็นนางเอกของเรื่อง พยายามแย่งความสนใจ


 


 


เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ชื่อของเธอแค่ปรากฏเป็นตัวเล็กๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง ที่จริงชื่อของเธอไม่ได้ปรากฏอยู่ที่โปสเตอร์โปรโมตด้วยซ้ำ กระนั้นเธอกลับหยิ่งผยองและภาคภูมิใจ เช่นเดียวกับที่เธอประเมินค่า ‘The Savage Wars’ เอาไว้สูงเกินไป


 


 


ด้านหลังเวทีแถลงข่าว แอนนี่วิ่งไปหาแมตต์ที่ระเบียงทางเดินและทักทายเขาอย่างอบอุ่น กระนั้นแมตต์ไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร จนกระทั่งผู้ช่วยของเขาบอกเขาถึงพอนึกได้เล็กน้อย


 


 


“สวัสดีค่ะผู้กำกับ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเลยค่ะ”


 


 


แมตต์ไม่ได้ใส่ใจแอนนี่ เขาเดินผ่านเธอไปเฉยๆ หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว ก็หันกลับมาถามผู้ช่วยของตัวเอง “ผู้หญิงคนนี้ยังมาทำอะไรที่นี่อีก”


 


 


“คุณบอกให้ปล่อยเธอแต่งตัวแล้วมาร่วมงานนี้นี่ครับ”


 


 


“อ้อ จริงสิ ฉันสัญญากับถังหนิงเอาไว้” แมตต์โบกมือขวาของเขาก่อนจะล้วงมือลงกระเป๋ากางเกง “น่ารำคาญจริง!”


 


 


“อีกสักพัก เอาเธอออกไปซะ” แมตต์กล่าวด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน เขาไม่เข้าใจว่าถังหนิงกำลังคิดอะไรอยู่ จำเป็นต้องมาวุ่นวายกับคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรแบบนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ


 


 


“งานแถลงข่าวกำลังจะเริ่มแล้ว”


 


 


แม้เขาจะหลุดนอกประเด็นไปไกล แมตต์ก็ยังบ่นไม่หยุด กระนั้นแอนนี่ก็อารมณ์ดีอย่างมาก ถึงขั้นฝันว่าหลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ จะมีภาพยนตร์อีกหลายเรื่องมาเสนอโอกาสให้กับเธอ เหนือกว่านั้น เธอจะได้มีโอกาสปรากฏตัวบนโฆษณาต่างๆ รายการโทรทัศน์และอาจจะได้เป็นถึงผู้นำด้านแฟชั่น…


 


 


แต่ในขณะที่เธอยังอยู่ในโลกแฟนตาซีของตัวเอง งานแถลงข่าวก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่มีใครบอกเธอว่าให้ขึ้นเวทีเมื่อไหร่ จนกระทั่งเมื่อเธอรู้สึกตัว งานแถลงข่าวก็ล่วงเลยไปกว่ายี่สิบนาทีแล้ว อันที่จริง บรรดานักแสดงหลักได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีหมดแล้วและไม่มีพื้นที่เหลือไว้สำหรับเธอเลย


 


 


ดังนั้นเธอจึงรีบวิ่งไปหาผู้ช่วยของแมตต์เพื่อเตือนเขาว่าเธอยังอยู่ที่นั่น ทว่าแมตต์กำลังยุ่งมากจนเขาไม่มีเวลาตอบสนองเธอ


 


 


“ไปให้พ้น…”


 


 


“คุณผู้ช่วยคะ ฉันเป็นตัวร้ายของหนังเรื่องนี้ ฉัน…”


 


 


“เธอกำลังล้อเล่นอยู่กับใคร” ผู้ช่วยคนนั้นเริ่มรู้สึกรำคาญ หันไปมองแอนนี่ด้วยสายตาเกรี้ยวกราด “นักแสดงขึ้นไปอยู่บนเวทีหมดแล้ว เธอเป็นใครไม่ทราบ”


 


 


“เป็นไปไม่ได้ ฉันก็เป็นนักแสดงที่ถูกเลือกนี่… เราไม่ได้ตกลงกันว่าจะยกบทของเฉินซิงเยียนให้ฉันหรอกเหรอคะ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ผู้ช่วยจึงรู้ว่าเธอเป็นใครด้วยการพูดเพียงแค่ “อ้อ” และตอบ “บทนั้นถูกเปลี่ยนอีกรอบไปแล้ว!”


 


 


“อะไรนะ” แอนนี่ไม่อาจยอมรับสิ่งที่ผู้ช่วยคนนั้นพูดได้ “คุณยืนยันแล้วนี่ว่าเป็นฉัน ทำไมถึงมาแทนที่ฉันง่ายๆ แบบนี้”


 


 


“เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร” ผู้ช่วยรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของแอนนี่ เขาจึงผลักเธอลงไปกองกับพื้น “นักแสดงที่ไม่เหมาะก็ต้องถูกเปลี่ยนออกเป็นเรื่องธรรมดา…”


 


 


“ไม่นะ… เป็นไปไม่ได้!” แอนนี่กรีดร้องก่อนที่เธอจะรีบขึ้นไปบนเวทีและแทรกตัวอยู่ระหว่างนักแสดงที่ได้รับคัดเลือกคนอื่นๆ ทุกคนต่างมองเธอด้วยความประหลาดใจและสับสน


 


 


ทันใดนั้น แมตต์ก็ตะโกนด้วยความโกรธ “ผู้หญิงเสียสติคนนั้นเป็นใครกัน เจ้าหน้าที่! เจ้าหน้าที่!”


 


 


ด้วยว่านักแสดงส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก จึงรู้สึกสับสนกับการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของผู้หญิงเอเชียคนนี้ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็รีบขึ้นไปบนเวทีและลากแอนนี่มาที่ห้องด้านหลังเวทีซึ่งผู้ช่วยของแมตต์ได้ไปรออยู่ก่อนแล้ว


 


 


“เธอเป็นบ้าหรือไง”


 


 


“ฉันได้รับการยืนยันให้เป็นนักแสดงใน ‘The Savage Wars’ แล้ว!” แอนนี่ตะโกน “ทำไมพวกคุณมายกเลิกตอนนี้”


 


 


เมื่อได้เห็นแอนนี่เดือดดาล ผู้ช่วยคนนั้นก็ตบเข้าที่ใบหน้าของเธออย่างรุนแรง “ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”


 


 


“คนโกหก! คนโกหก!”


 


 


“ประธานหวังไม่ได้บอกเธอหรือไงว่าเราส่งสัญญายกเลิกไปให้เขาแล้ว เธอควรกลับไปคุยกับบอสของเธอแทนที่จะมาสร้างความวุ่นวายที่นี่ ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องบอกเธอด้วยตัวเอง เธอคิดว่าตัวเองเป็นนักแสดงจริงหรือไง ด้วยความสามารถของเธอน่ะเล่นได้แค่บทซากศพเท่านั้นแหละ กล้าดียังไงมาฝันจะเล่นเป็นบทตัวร้าย เธอนี่รู้จักประเมินตัวเองสูงเกินไปจริงๆ นะ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น แอนนี่ก็ตัวแข็งทื่อ รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทิ่มโทรหาประธานหวังทันที “ท่านประธานหวัง คุณรู้เรื่องที่ ‘The Savage Wars’ เปลี่ยนตัวฉันออกใช่ไหม”


 


 


“ใช่ ฉันรู้” ประธานหวังตอบอย่างไม่แยแส


 


 


“แต่คุณไม่เคยบอกฉัน… อีกอย่าง ฉันโทรหาคุณผู้ช่วยเมื่อสองวันก่อน ถามว่าฉันควรแต่งตัวมางานไหม…”


 


 


“แอนนี่ เรื่องระหว่างเรามันจบแล้ว ฉันได้รับแจ้งเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาในคืนเดียวกันแล้วต้องเสียเงินไปมาก ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอ แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะไปสร้างความวุ่นวายที่งานแบบนี้” ประธานหวังตอบอย่างไร้หัวใจ “ในเมื่อเอเจนซี่ภาพยนตร์ยกเลิกสัญญากับฉัน ก็ถึงเวลาที่ฉันจะต้องกล่าวลากับเธอสักที ฉันไม่ต้องการมีเรื่องกับถังหนิงเพราะเธอ”


 


 


“คุณกำลังพูดอะไร” แอนนี่โกรธและอับอายอย่างที่สุด


 


 


“เดี๋ยวฉันจะให้ทีมกฎหมายส่งจดหมายยกเลิกสัญญาไปให้ นับจากนี้ไปก็อย่าทำตัวปัญญาอ่อนนักเลย ฉันขอให้เธอเอาตัวรอดให้ดีแล้วกัน”


 


 


แอนนี่ไม่เคยนึกเลยว่าในขณะที่เธอคิดว่าเธอกำลังจะได้เริ่มต้นบทใหม่ของชีวิต ความทุ่มเททั้งหมดของเธอกลับสูญเปล่า เธอไม่เคยคาดคิดว่า ‘The Savage Wars’ จะตลบหลังเธอแบบนี้ ที่เลวร้ายที่สุดคือประธานหวังล่วงละเมิดร่างกายเธอและบังคับให้เธอมีส่วนร่วมในการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่สุดท้ายเขากลับเขี่ยเธอลงข้างทางและทำให้เธอไม่อาจกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาได้อีก


 


 


เหนือสิ่งอื่นใด ข่าวที่เธอยัดเยียดตัวเองเข้าไปในงานแถลงข่าวได้ถูกแฉออกมาแล้ว ทำให้เธอกลายเป็นตัวตลก


 


 


บทของเธอถูกแทนที่ แต่กลับไม่มีใครบอกเธอ สุดท้ายเธอเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในแถลงข่าวด้วยความไม่รู้ ผลที่ได้จึงออกมาน่ากระอักกระอ่วนอย่างที่สุด!


 


 


“น่าตลกอะไรอย่างนี้!”


 


 


“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เหรอที่ออกมาแสดงอาการเมื่อสองวันก่อน”


 


 


” ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนเลยเนี่ย”


 


 


แอนนี่ไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไงกับเธอ… เธอแค่ต้องการรู้ว่าเฉินซิงเยียนกำลังคิดอะไรอยู่


 


 


แค่คิดว่าเฉินซิงเยียนกำลังรอทำกับเธอเหมือนตัวตลก เธอก็ยอมรับไม่ได้แล้ว


 


 


ข้อดีเพียงอย่างเดียวในเหตุการณ์ทั้งหมดคืออย่างน้อยเธอก็ยังถือว่าได้ขโมยบทมาจากเฉินซิงเยียน…


 


 


ต่อให้ท้ายที่สุดเธอไม่ได้มันมาครอง เฉินซิงเยียนก็ไม่ได้มันเช่นกัน!


 


 


แต่…


 


 


…ท้ายที่สุดสวรรค์ก็ต่อต้านเธอ เพราะไม่นานนัก ข่าวลือเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องใหม่ของหลินเซิงซึ่งเขาจะแสดงร่วมกับนักแสดงหน้าใหม่ก็ได้เริ่มแพร่กระจายออกมา


 


 


สื่อต่างพากันระบุชื่อนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงมากมายที่พวกเขาคาดเดาว่าจะมารับบทเป็นนางเอก แต่ทุกคนต้องประหลาดใจเมื่อสุดท้ายบทนั้นตกไปอยู่ในมือของนักแสดงหน้าใหม่สุดๆ และนักแสดงหน้าใหม่คนนั้นคือผู้หญิงที่กำลังอยู่ในวงข่าวฉาวกับอันจื่อเฮ่า – เฉินซิงเยียน!


 


 


ไม่มีใครคาดคิดว่เฉินซิงเยียนจะได้รับบทนักแสดงนำหญิงในเรื่อง ‘มหาอสูร’ !


 


 


หลินเซิงกำลังคิดอะไรอยู่


 


 


แอนนี่แทบเสียสติ “เป็นไปไม่ได้! เฉินซิงเยียนแค่สร้างกระแสเท่านั้น นักแสดงระดับท็อปคนไหนจะอยากแสดงร่วมกับมัน”


 


 


แต่เมื่อบรรดานักข่าวไปสัมภาษณ์หลินเซิงและถามเขาเรื่องเฉินซิงเยียน เขากลับตอบอย่างง่ายๆ “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”


 


 


พูดอีกแง่คือเขากำลังยอมรับว่าข่าวลือเหล่านั้นถูกต้อง…


 


 


ผลปรากฏว่านักแสดงหญิงสองคนที่อันจือเฮ่าสร้างขึ้นมากับมือกลับได้รับโอกาสในสายอาชีพที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

 

 

 


ตอนที่ 665 รอหลังคุณคลอด

 

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุดสำหรับแอนนี่ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน คลิปบันทึกเสียงของประธานหวังก็เกิดหลุดออกมาสู่สาธารณะ


 


 


กลับกลายเป็นว่า ข่าวฉาวระหว่างเฉินซิงเยียนกับอันจื่อเฮ่าล้วนแต่เป็นการมโนไปเองของแอนนี่!


 


 


ผลลัพธ์ที่ได้นั้นแม้แต่ประธานหวังหรืออันจื่อเฮ่าก็ยังคาดไม่ถึง เพราะถังหนิงไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


 


แอนนี่ไม่ต่างอะไรกับหนูท่อสกปรกที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก


 


 


ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วันนับจากวันที่อันจื่อเฮ่าดึงเธอเข้าวงการจนวันนี้ เธอถูกวงการบันเทิงทอดทิ้ง ทุกอย่างราวกับอยู่ในความฝัน


 


 


แอนนี่สูญเสียทุกสิ่งรวมถึงพรหมจรรย์ แต่สุดท้าย นี่คือชะตากรรมของเธอ


 


 


เธอต้องการจะพบเฉินซิงเยียนและอันจื่อเฮ่าอีกสักครั้ง แต่ด้วยสถานะที่แตกต่างของพวกเธอทำให้เธอไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้นได้อีก


 


 


แอนนี่ถึงขนาดกลับไปยังอะพาร์ตเมนต์ที่เธอเคยอยู่ร่วมกับเฉินซิงเยียนเพื่อตามหาอีกฝ่าย แต่นับตั้งแต่วันที่เฉินซิงเยียนตกเป็นข่าว เธอก็ย้ายออกไปจากอะพาร์ตเมนต์แห่งนั้นแล้ว นอกจากนี้เธอยังได้เซ็นสัญญาในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของหลินเซิง ทำให้สถานะของเธอสูงขึ้นไปอีก


 


 


ดังคำกล่าวของถังหนิง แอนนี่จะพบจุดจบก่อนที่จะทันได้เริ่มเสียอีก


 


 


แอนนี่ไม่คิดจะยอมรับความพ่ายแพ้ จึงไปปรากฏตัวที่ไฮแอทรีเจนซี่เพื่อขวางทางเฉินซิงเยียน แต่เมื่อเฉินซิงเยียนเห็นแอนนี่ เธอเพียงแต่นั่งในรถตู้ ไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


อันจื่อเฮ่าเหลือบตามองเฉินซิงเยียนและถาม “ทำไมเธอไม่ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นซะล่ะ”


 


 


“ฉันเห็นความต่างระหว่างเราทั้งคู่แล้ว” เฉินซิงเยียนตอบ “ตารางฝึกซ้อมที่เข้มงวดของเซิงเกอกำลังรอฉันอยู่”


 


 


อันจื่อเฮ่าตบหัวเฉินซิงเยียนอย่างอ่อนโยน “ขอให้สนุกกับตารางฝึกฝนมหาโหดของหลินเซิงนะ… แต่…”


 


 


“แต่อะไร”


 


 


“แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองเกิดความรู้สึกที่เธอไม่ควรจะมีเข้าล่ะ” อันจื่อเฮ่าเว้นวรรคครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “หลินเซิงหลงใหลในภาพยนตร์ หากเธอเกิดตกหลุมรักเขาเข้า เธอจะเป็นฝ่ายเจ็บปวด”


 


 


“ฉันแค่ไปแสดงหนังกับเขา นายคิดมากไปหรือเปล่า” เฉินซิงเยียนพูดด้วยน้ำเสียงประชด


 


 


“เธอมีปัญหาเรื่องการนอนแปลกที่ เอานี่ไปด้วย” อันจื่อเฮ่านำตุ๊กตาของเฉินซิงเยียนมาให้เธอ “มีเจ้านี่ เธอจะได้ไม่ต้องโทรเรียกให้ฉันไปขยับที่นอนอีก”


 


 


ด้วยตุ๊กตาที่อยู่ในมือ เฉินซิงเยียนรู้สึกเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ ทั้งหมดที่เธอรู้คือ ณ เวลานี้ เธอรู้สึกสงบขึ้นมากเพราะตุ๊กตาที่มีไออุ่นของอันจื่อเฮ่า


 


 


“ฝากขอบคุณพี่หนิงแทนฉันด้วย พี่เขาทำเพื่อฉันมากมายเลย”


 


 


“ดูตัวเองก่อนเถอะ” อันจื่อเฮ่าทำท่าทางบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องเป็นกังวล


 


 


ที่จริงอันจื่อเฮ่ารู้สึกค่อนข้างสงสัยว่าทำไมถังหนิงถึงคอยปกป้องเฉินซิงเยียน เพราะถึงอย่างไรผู้หญิงทั้งสองคนก็ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน


 


 


แต่ดูจากท่าทางที่ถังหนิงทำและวิธีที่เธอทำอะไรหลายๆ อย่างโดยที่ไม่บอกให้เขารู้ เห็นได้ชัดว่าเธอปฏิบัติกับเฉินซิงเยียนราวกับเป็นคนของเธอเอง


 


 


ครั้นอันจื่อเฮ่าส่งเฉินซิงเยียนไปที่บ้านแล้ว เขาก็กลับมายังไฮแอทรีเจนซี่ด้วยความรู้สึกสงสัยและเอ่ยถามถังหนิง “คุณคิดว่าตัวเองช่วยเหลือเฉินซิงเยียนมากเกินไปหน่อยหรือเปล่าด้วยระดับความสนิทสนมตอนนี้”


 


 


“จริงเหรอ” ถังหนิงถามด้วยท่าทีสบายๆ “คุณคิดว่าจุดจบแอนนี่น่าเศร้าไปเหรอ”


 


 


“คุณไม่คิดจะบอกเหตุผลกับผมหน่อยเหรอ”


 


 


“สิ่งที่ฉันพูดได้คือดูแลเฉินซิงเยียนให้ดี เธอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป” ถังหนิงขู่ก่อนที่เธอจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับบทละครในมือ “ในเมื่อความบริสุทธิ์ของคุณก็ได้รับความกระจ่างแล้ว ถึงเวลาที่คุณจะกลับไปทำการบ้านเกี่ยวกับผู้กำกับเฉินเฟิง คุณไม่อยากได้ตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับแล้วหรือไง”


 


 


“เปล่า แต่ยังมีอีกอย่างที่ผมต้องทำ”


 


 


เขาไม่ได้ติดต่อดาร์ซี่ไว้เฉยๆ ในเมื่อเขาเคยให้คำมั่นกับเฉินซิงเยียนว่าเขาจะแก้แค้นให้เธอ เขาจะไม่มีวันผิดคำพูด


 


 


“คุณรู้สึกยังไงกับเฉินซิงเยียน” ถังหนิงถามด้วยความสงสัย


 


 


อันจื่อเฮ่านิ่งเงียบไปพักหน่อยก่อนจะตอบอย่างไม่รีบร้อน “ผมปฏิบัติกับเด็กคนนั้นเหมือนเด็กฝึกงานคนหนึ่งเท่านั้น”


 


 


ถังหนิงระเบิดหัวเราะออกมาเพราะคำตอบของอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรอีก…


 


 


การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเฉินซิงเยียนยังไม่ถึงจุดหักมุม ดังนั้นตอนนี้ถังหนิงจึงไม่อาจเปิดเผยอะไรได้มากนัก เมื่อตัวตนของเฉินซิงเยียนได้รับการเปิดเผย ผู้คนมากมายจะต้องตกตะลึง รวมถึงอันจื่อเฮ่าด้วย


 


 


หากเขารู้ว่าคนที่เขาเคยเหยียบย่ำโดยไม่ทันยั้งคิดนั้นเป็นทายาทของไห่รุ่ยและเป็นน้องสาวของโม่ถิงแล้วละก็ ภาพเหตุการณ์ตอนนั้นคงน่าสนุกน่าดูชม


 


 


แต่ถังหนิงไม่รู้เลยว่าอันจื่อเฮ่าเองก็มีแผนซ่อนอยู่เช่นกัน หลังจาก ‘The Savage Wars’ เริ่มต้นโปรเจกต์ขึ้นเป็นเวลาไม่ถึงหกเดือน หนังเรื่องนี้กลับจบลงด้วยการล้มเลิกโปรเจกต์ บรรดาผู้ที่ร่วมลงทุนกับหนังเรื่องนี้ต่างถูกปิดเนื่องจากการเลี่ยงภาษีและทุกคนที่เกี่ยวข้องถูกส่งเข้าคุก


 


 


ในระหว่างนั้น ถังหนิงพบว่าอันจื่อเฮ่าขายบ้านของเขาและเปลี่ยนรถสปอร์ตของตัวเองเป็นรถคันอื่น


 


 


เงินของเขาไปอยู่ที่ไหน


 


 


“ถิงคะ… คุณช่วยฉันหาข้อมูลหน่อยสิว่าทำไมพักหลังสถานะการเงินของอันจื่อเฮ่าถึงดูขัดสนนัก”


 


 


“เขาหมดเงินไปกับการจ่ายค่าทนายให้ดาร์ซี่” โม่ถิงตอบ “เขามาหาผมก่อนหน้านี้…”


 


 


“เขาทำเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อลืมแมตต์งั้นเหรอ ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่”


 


 


“ถ้าเขาปกป้องคนที่เขาห่วงใยไม่ได้ งั้นเขาก็ไม่เหลือค่าอะไรอีก เรื่องที่อันจื่อเฮ่ายินดีทุ่มสินทรัพย์ของเขาไปกับเฉินซิงเยียน แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบและกล้าหาญ” โม่ถิงอธิบายพลางถอดเสื้อแจ็กเกต “เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีความยุติธรรมจริงๆ”


 


 


“ถ้าซิงเยียนรู้เขา เธอต้องใจสลายแน่” ถังหนิงถอนหายใจ จากนั้นเธอจึงโอบแขนรอบลำคอของโม่ถิงและถาม “ในเมื่อเรื่องของซิงเยียนจบแล้ว เราควรจะแก้ปัญหาเรื่องฮว่าเหวินเฟิ่งด้วยดีไหม เราควรปล่อยคนร้ายให้ลอยนวลไปอีกนานแค่ไหน


 


 


“ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องที่ป้าไป๋ต้องใช้ชีวิตแบบไหนตลอดสิบเก้าปีที่ผ่านมา ฉันก็รู้สึกปวดใจทุกที”


 


 


“เราจะรอหลังคุณคลอดแล้ว” โม่ถิงลูบบนท้องของถังหนิงอย่างอ่อนโยนและหลับตาเพื่อสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ในเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง “ผมไม่ต้องการเอาคุณไปอยู่ในอันตรายอะไรอีก”


 


 


ถังหนิงก้มหน้าลงมองที่ท้องของเธอ ทุกครั้งที่เธอคิดว่าเลือดของเธอกับโม่ถิงกำลังไหลเวียนอยู่ในลูกในท้องของเธอ เธอจะรู้สึกพิเศษจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้


 


 


“หนิง… ผมต้องเดินทางไปทำงานสองวัน บอกป้าไป๋ให้ช่วยจัดกระเป๋าให้คุณ ผมอยากพาคุณไปด้วย”


 


 


“เราจะไปไหนกันเหรอคะ” ถังหนิงถาม


 


 


“สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งใหม่ของไห่รุ่ย” โม่ถิงตอบ “มันเป็นธรรมเนียมบริษัท ถ้าผมไม่ไปก็เท่ากับผมแหกกฎของตัวเอง”


 


 


“ฉันมีลูกอยู่ในท้องเลยไม่สะดวกเท่าไหร่ ฉันอาจจะไปเป็นภาระของคุณด้วยซ้ำ ตอนนี้เรามีป้าไป๋อยู่ข้างๆ คุณไปเองเถอะไม่ต้องกังวล” ถังหนิงคิดทบทวนทุกสิ่ง เมื่อคิดถึงการเดินทางที่ยากลำบาก เธอก็เป็นกังวลว่าเธออาจจะไม่สามารถรับมือไหว ไม่ว่าเธอจะอยากอยู่เคียงข้างโม่ถิงมากแค่ไหน เธอก็ไม่อาจละเลยลูกในท้องของเธอได้ “คุณจะกลับมาหลังจากไปค้างแค่คืนเดียวใช่ไหม”


 


 


โม่ถิงมองถังหนิง ก่อนจุมพิตลงบนหน้าผากหญิงสาวอย่างอ่อนโยน “อือฮึ”


 


 


ต่อให้มีเรื่องอะไร เขาก็จะกลับมาให้ได้!

 

 

 


ตอนที่ 666 คุณเริ่มมีอายุแล้ว

 

กองถ่ายของ ‘มหาอสูร’ นั้นอยู่ท่ามกลางป่าในหุบเขา


 


 


เฉินซิงเยียนหลบอยู่ที่มุมเงียบๆ ทั้งวันทั้งคืน เพื่อฝึกฝนการแสดงของเธอให้คุ้นเคยกับหน้ากล้อง


 


 


ลึกๆ แล้วเธอยังคงรู้สึกว่าชีวิตนี้เธอเหมาะจะเป็นสตันต์มากกว่า แต่เพื่อให้ตัวเองสามารถปกป้องคนอื่นได้ เธอได้พบเป้าหมายใหม่ที่จะเผชิญหน้ากับกล้อง


 


 


ดังนั้นในทุกๆ เช้า เธอจะมาถึงที่กองถ่ายเป็นคนแรก และทุกคืนเธอจะเข้านอนเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ความสามารถด้านการแพทย์แบบมือสมัครเล่นของเธอทำให้เฉินซิงเยียนได้สร้างชื่อในกองถ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับหรือสมาชิกในกองถ่ายคนไหนก็ตาม หากมีใครเกิดอาการบาดเจ็บหรือปวด พวกเขาจะรีบมาให้เธอรักษาทันที


 


 


คืนนั้น เฉินซิงเยียนใช้ช่วงเวลาพักระหว่างเปลี่ยนฉากเพื่อดูบทของเธอ เนื่องจากในป่านั้นหนาวจัดและการถ่ายทำดำเนินล่วงมาถึงตอนกลางคืน ทีมงานจึงไม่ได้กลับไปที่โรงแรม ดังนั้นเมื่อหลินเซิงถ่ายทำเสร็จและเห็นเฉินซิงเยียนนั่งขดอยู่บนเก้าอี้ เขาก็รีบหยิบผ้าห่มจากผู้ช่วยมาคลุมให้เธอจากด้านหลัง


 


 


เฉินซิงเยียนหันกลับไปมองพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้เห็นหลินเซิง “ขอบคุณค่ะเซิงเกอ”


 


 


“เธอนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดเยอะ เลยคอยช่วยเหลือผู้กำกับเพื่อให้เขายกโทษให้ มิน่า เราถึงไม่เคยได้ยินเขาบ่นใครเลย” หลินเซิงชำเลืองตามองไปที่ผู้กำกับ เห็นได้ชัดว่าเสื้อหลายตัวที่เขาสวมและผ้าห่มที่เขาใช้มาจากเฉินซิงเยียน “ถ้าเป็นเรื่องการแสดงเธอยังห่างไกลถังหนิงมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องคน เธอมีความสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมแม้กระทั่งผู้ช่วยพรอปธรรมดา ซึ่งก็ถือว่าเป็นทักษะเหมือนกันนะ”


 


 


เฉินซิงเยียนรู้สึกผิดเล็กน้อย


 


 


“เซิงเกอ…”


 


 


“เธอไม่จำเป็นต้องฝึกอยู่หน้ากระจกทุกวันและคอยช่วยเหลือคนอื่นหรอกนะ เธอแค่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสัญชาตญาณ” หลินเซิงหยุดเธอจากสิ่งที่ทำอยู่ ก่อนที่เธอจะเข้าร่วมการออดิชั่น เขาได้ดูข้อมูลของเธอทั้งหมด เหตุผลที่ทำให้เขาตั้งใจเลือกเฉินซิงเยียนเป็นเพราะบทนี้ยากเกินไปสำหรับคนอื่นๆ แต่เขารู้ดีว่าเฉินซิงเยียนสามารถทำได้อย่างง่ายดาย


 


 


“ฮะๆ ขอบคุณค่ะเซิงเกอ”


 


 


“แปลกนะ เธอทั้งเจ้าเล่ห์แล้วก็ชอบฉวยโอกาส ฉันมักจะเหยียดคนแบบเธอ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างฉันดูเหมือนจะไม่เกลียดเธอ ฉันว่ามันอาจจะเหมือนกับทีฉันเคยพูดก่อนหน้านี้ ว่ามันเป็นทักษะของเธอ พยายามเข้าล่ะ” หลินเซิงกล่าวก่อนจะตบลงบนบ่าของอีกฝ่ายและเดินจากไป


 


 


เฉินซิงเยียนกอดผ้าห่มบนหัวของเธอและกระโดดลิงโลดด้วยความดีใจหลังจากได้รับการยอมรับจากหลินเซิง


 


 


ทุกคนที่กองถ่ายมองเธอด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงดีใจของเธอ รวมถึงอันจื่อเฮ่าที่ยืนอยู่ห่างๆ มาพักหนึ่งแล้ว


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่ได้เข้าไปหาเธอ เขาเพียงแค่ถือผ้าห่มอยู่ในมือและเดินจากไปเพราะเขาได้เห็นวิธีที่หลินเซิงห่วงฉินซิงเยียนแล้ว


 


 


กระนั้นเขากลับเข้าใจผิดว่าที่เฉินซิงเยียนกระโดดด้วยความดีใจเป็นเพราะการที่หลินเซิงปฏิบัติกับเธอ


 


 


ดังนั้นอันจื่อเฮ่าจึงไม่ได้บอกเฉินซิงเยียนว่าเขามาหา เขาเพียงแค่แอบเข้ามาและแอบกลับออกไป


 


 


เฉินซิงเยียนไม่ทันเห็นอันจื่อเฮ่า แต่เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากคำคืนอันยาวนาน ก็สังเกตเห็นลิ้นจี่สดชามใหญ่ตั้งอยู่กลางอะพาร์ตเมนต์ของเธอ อันจื่อเฮ่ามาเยี่ยมเธออย่างแน่นอน


 


 


ด้วยเหตุนี้เธอจึงโทรไปหาเขา “หยุดทำตัวเป็นพระเอกได้แล้ว ทำไมนายถึงไม่บอกฉันว่านายแวะมาหา”


 


 


“เพราะฉันไม่อยากบอก” อันจื่อเฮ่าตอบด้วยน้ำเสียงขี้เกียจขณะที่เขาเอนตัวนอนอยู่บนเตียง


 


 


“ทำไมนายถึงทำตัวประหลาดตั้งแต่เช้าแบบนี้นะ ไปตายซะ!” เฉินซิงเยียนตะโกนก่อนที่จะวางสายโทรศัพท์ด้วยความโมโห


 


 


อันจื่อเฮ่ากลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ทำตัวหงุดหงิดเวลาอยู่ใกล้ๆ เฉินซิงเยียนก็ตาม


 


 


แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นทางดีที่สุด…


 


 



 


 


ยามบ่ายในอีกสองวันต่อมา


 


 


ถังหนิงมาไห่รุ่ยเป็นเพื่อนโม่ถิง โม่ถิงกำลังจะเดินทางด้วยเครื่องบินตอนห้าโมงเย็นของวันนั้นและคือนนั้นเขาจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ


 


 


เธอลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่คือครั้งสุดท้ายที่พวกเธอแยกจากกัน นับจากวันที่เธอตั้งท้อง นอกจากการไปทำงานแล้ว โม่ถิงก็ทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเขาให้เธอ พวกเขาแทบไม่เคยอยู่เพียงลำพังเลย เมื่อคิดเช่นนั้นหัวใจเธอก็เริ่มเจ็บแปลบ


 


 


ภายใต้แสงอาทิตย์ ผู้ชายของเธอดูหล่อเหลาอ่อนโยน โดยเฉพาะดวงตาที่ส่องประกายแวววาวดังเพชรของเขา ทำให้เขายิ่งดีเจิดจรัสทรงเสน่ห์อย่างมาก


 


 


หลังจากนั้น ลู่เช่าก็เข้ามาภายในห้องทำงานพร้อมกับเอกสารจำนวนหนึ่ง นอกจากเอกสารที่ต้องการลายเซ็นของโม่ถิงแล้ว ลู่เช่อยังมองบัตรเชิญฉบับหนึ่งให้เขาด้วย “ท่านประธานครับ ประธานได้รับเชิญให้ไปร่วมงานมอบรางวัลนักเขียนบทภาพยนตร์นานาชาติจีเอ็กซ์อี ซ่งซินชนะรางวัลใหญ่ในงานนี้ด้วย ถึงเธอจะเพิ่งเซ็นสัญญากับไห่รุ่ย แต่ทางผู้จัดงานได้ส่งคำเชิญมาถึงท่านโดยตรงด้วย ประธานจะ…”


 


 


โม่ถิงส่งสัญญาณให้ลู่เช่อส่งบัตรเชิญนั้นไปให้ฟังอวี้โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย “นายควรจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าควรจะเอาของแบบนี้ให้ใคร”


 


 


“ขออภัยด้วยครับท่านประธาน”


 


 


“อย่าลืมฐานะของฉันสิ…”


 


 


โม่ถิงกำลังหมายถึงตัวตนของเราในฐานะผู้จัดการส่วนตัวของถังหนิง อีกอย่างเขายังตระหนักดีว่าบรรดาศิลปินสาวๆ ในเอเจนซี่มักจะพยายามหาข้ออ้างในการสร้างความประทับใจต่อหน้าเข้า


 


 


“รองประธานฟังดูเหมือนจะพยายามหลีกเลี่ยงข้อกังขาอยู่เช่นกัน เขาเลยบอกให้ผมมาถามประธานครับ”


 


 


เมื่อมองดูแล้ว ชายทั้งสองต่างจัดการความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงคนอื่นได้เป็นอย่างดีเพื่อความสบายใจของผู้หญิงของพวกเขา


 


 


ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


 


 


“ถ้าเขาไม่ไปก็เอาบัตรเชิญนั่นทิ้งถังขยะไปซะ” โม่ถิงสั่ง


 


 


ในฐานะสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการของสมาคมคนรักเมีย ลู่เช่อไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับปัญหาแบบนี้เช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงโยนบัตรเชิญนั้นลงถังขยะโดยตรง


 


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคุณจัดการกับเรื่องแบบนี้นะ”


 


 


“ถ้าอย่างนั้น คุณเชื่อใจผมไหมล่ะ” นี่เป็นครั้งแรกที่โม่ถิงปรึกษาถังหนิงเกี่ยวกับประเด็นแบบนี้เช่นกัน


 


 


ถังหนิงมองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของโม่ถิง ทั้งคู่แต่งงานกันมานาน แต่ถังหนิงไม่เคยแสดงท่าทีหึงหวงเขากับผู้หญิงคนอื่นเลย เพราะโม่ถิงไม่เคยทำอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ


 


 


เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าเป็นตัวอย่างได้ดีเลย!


 


 


ถังหนิงไม่ตอบ ซึ่งโม่ถิงเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว


 


 


ขณะเดียวกัน ถังหนิงก็ตระหนักว่าโม่ถิงจงใจรอจนใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากไห่รุ่ย เพียงเพื่อที่เขาจะได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมากขึ้นอีกหน่อย


 


 


“ใครคือซ่งซิน” ถังหนิงเอ่ยถามลู่เช่อหลังจากโม่ถิงเดินทางออกไปแล้ว


 


 


ลู่เช่อเดินนำถังหนิงไปยังที่จอดรถชั้นใต้ดินขณะที่เขาตอบ “ศิลปินที่เพิ่งเซ็นสัญญาใหม่ครับ”


 


 


“ใช่คนที่ถูกเรียกว่า ‘อาวุธลับ’ หรือเปล่า”


 


 


ลู่เช่อหันกลับมาด้วยความประหลาดใจ “คุณผู้หญิงมีแหล่งข่าวที่ดีเหมือนกันนะครับ ศิลปินคนใหม่คนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ เธอเพิ่งจะชนะรางวัลนักเขียนบทภาพยนตร์นานาชาติมาด้วย…”


 


 


ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองได้เดินมาถึงที่จอดรถ กระนั้น ขณะที่ถังหนิงกำลังจะก้าวขึ้นรถของเธอ เธอได้ยินน้ำเสียงที่มีความมั่นใจดังก้องมาจากด้านหลัง “นับเป็นเกียรติที่ได้รับการกล่าวถึงโดยถังหนิงผู้มีชื่อเสียงนะคะ”


 


 


ถังหนิงหันกลับไปก็พบกับหญิงสาวผมลอนยาวในชุดแจ็กเกตสีดำกำลังยืนอยู่ด้านหลังพวกเธอด้วยท่าทีดูไม่เชื่อง


 


 


เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นศิลปินคนหนึ่งของไห่รุ่ย ดังนั้นท่าทางของเธอจึงดูมีเสน่ห์อย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร


 


 


ถังหนิงไม่ตอบ พูดให้ถูกคือเธอไม่ชอบเวลาที่มีคนสอดเข้ามาในบทสนทนาแบบนี้


 


 


แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นมองดูถังหนิงอย่างสนใจมาก ผ่านไปสักครู่ เธอก็พูดออกมา “แต่ฉันคงต้องพูดว่าคุณเริ่มมีอายุแล้วนะคะ หลังจากคลอดลูกคุณคงจะทำได้แค่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้โฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กละมั้ง”

 

 

 


ตอนที่ 667 เรามีเรื่องไม่พอใจอะไรต่อกันหรือเปล่า

 

“ซ่งซิน!”


 


 


“ฉันได้ยินมาจากเพื่อนหลายๆ คนที่อยู่ในวงการผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กว่าคุณเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในโฆษณาของพวกเขาเลยนะคะ คุณควรจะดีใจนะ คุณกำลังจะได้รับโอกาสแบบรับรองได้มูลค่ามหาศาล” ซ่งซินไม่สนใจเสียงเตือนของลู่เช่อเลย เธอพูดต่อพลางลูบคางตัวเอง “ส่วนเรื่องงานแสดง ฉันคิดว่าคุณน่าจะเกือบอยู่ในจุดที่ได้เล่นบทแม่แล้วละนะ เราควรทำยังไงดี ฉันเห็นภาพคุณไว้ผมหยิกยืนดุด่าลูกของตัวเองออกเลย


 


 


“ฉันรู้ว่าถังหนิงมีชื่อเสียงในเรื่องการควบคุมอารมณ์ได้ดี ฉันเลยแน่ใจว่าคุณจะไม่ทำอะไรฉันที่พูดความจริงหรอก จริงไหมคะ”


 


 


“เรามีเรื่องไม่พอใจอะไรต่อกันหรือเปล่า” ถังหนิงไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงจะได้มาปั่นหัวเธออย่างฉับพลันเช่นนี้


 


 


“ไม่ค่ะ! เราไม่เคยพบกันมาก่อน” ซ่งซินหยักไหล่ทั้งสองข้าง “แต่ฉันเคยชินกับการเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นฉันจะไม่ยอมรับการเป็นที่สองรองใคร ถือว่านี่เป็นคำเตือนก็แล้วกัน”


 


 


“ซ่งซิน คุณผู้หญิงของเราอยู่ในวงการนี้มาสิบปี…แต่เธอเป็นแค่หน้าใหม่”


 


 


“เธออยู่ในวงการมาตั้งสิบปีแต่ชนะแค่รางวัลนักแสดงหน้าใหม่แค่รางวัลเดียวงั้นเหรอ” ซ่งซินหัวเราะพลางโบกมือทั้งสองข้างไปมา “รีบกลับบ้านไปเถอะ เห็นคุณเดินไปเดินมาในสภาพท้องแปดเดือนแล้วฉันรู้สึกแย่แทน ถึงคุณจะเป็นคนรักของประธานโม่และมีสิทธิ์ได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ฉันก็จะใช้ความสามารถของฉันจนอยู่เหนือกว่าคุณ”


 


 


ลู่เช่อมองถังหนิงด้วยความร้อนรน กลัวว่าเธอจะโกรธ แต่ท่าทีสงบนิ่งของถังหนิงแสดงให้ลู่เช่อเห็นว่าต่อให้เธอโกรธ เธอก็จะไม่แสดงมันออกมาทางสีหน้า


 


 


“จำคำที่เธอพูดวันนี้เอาไว้…”


 


 


“ฉันจะจำมันให้ดีเลยล่ะ”


 


 


ถังหนิงจ้องมองไปยังซ่งซิน ปรายตาพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้ดูไม่เลว แต่คนอย่างถังหนิงไม่ได้มีชื่อเสียงในวงการเพียงเพราะมีความมั่นใจเท่านั้น


 


 


ในความเป็นจริง ภายในใจของซ่งซินกำลังเต้นระรัว แม้เธอจะฟังดูมีความมั่นใจ แต่ถึงอย่างไรเธอก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับถังหนิง ถังหนิงเคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาแล้วมากมายในอดีต ดังนั้นคำพูดเพียงไม่กี่คำจึงไม่อาจทำให้เธอกลัวได้


 


 


ครั้นแล้วถังหนิงก็ขึ้นรถ ลู่เช่อกระโดดขึ้นไปยังที่นั่งคนขับ จากนั้นทั้งสองจึงขับรถออกไป ปล่อยให้ซ่งซินสูบบุหรี่อยู่เพียงลำพัง “เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจดีนี่ น่าเสียดายที่กำลังจะคลอดลูก”


 


 



 


 


“คุณผู้หญิงอย่าไปสนใจซ่งซินเลยนะครับ เธออาจจะมีพรสวรรค์และก็หยิ่งผยองมากเกินไป”


 


 


“อนาคตอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ ถูกของเธอนะ ฉันไม่สาวอีกต่อไปแล้ว” ถังหนิงถอนหายใจ


 


 


“แต่… คุณเพิ่งจะยี่สิบเจ็ด”


 


 


ยี่สิบเจ็ดก็เป็นอายุที่ไม่อาจเสี่ยงโชคและทำตัวเล่นไปเรื่อยอย่างสะเพร่าได้อีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเธอแต่งงานกับโม่ถิงและกำลังจะคลอดลูก นับจากนี้ไป ศึกต่างๆ ในวงการบันเทิงจะเปลี่ยนเป็นอาวุธที่เธอใช้สำหรับปกป้องครอบครัวของเธอ เธอไม่สนุกกับชื่อเสียงและเกียรติยศที่มากับมันอีกต่อไป


 


 


“มีบริษัทผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กมาติดต่อฉันจริงเหรอ” ถังหนิงรู้สึกขัดใจกับคำพูดของซ่งซินเล็กน้อย การถูกเรียกว่าแก่เป็นจุดอ่อนที่ฝังลึกอยู่ในใจผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าพวกเธอจะพยายามซ่อนไว้แค่ไหน ก็ยังรู้สึกเจ็บนิดๆ อยู่ดี เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีทางย้อนเวลาถอยหลังไปได้


 


 


“ไม่มีครับ…” ลู่เช่อตอบอย่างหนักแน่น


 


 


ถังหนิงหัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน เพราะลู่เช่อไม่เคยโกหกได้แนบเนียน


 


 


ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองก็เดินทางกลับมาถึงไฮแอทรีเจนซี่ เนื่องจากเป็นเวลาค่ำแล้ว ป้าไป๋จึงได้เตรียมอาหารมื้อสุขภาพไว้เสร็จเรียบร้อยและรอคอยการกลับมาของถังหนิง


 


 


“เสี่ยวหนิง คุณลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน มีสายไม่ได้รับนิดหน่อยตอนช่วงบ่าย” ป้าไป๋กล่าวพลางชี้ไปที่ห้องนอนชั้นบน


 


 


ถังหนิงคว้าโทรศัพท์ของเธอและนั่งลงบนโต๊ะกินข้าว เมื่อเห็นว่าสายที่ไม่ได้รับเหล่านั้นเป็นของฮั่วจิงจิง เธอจึงรีบโทรกลับทันที เป็นเวลาพักใหญ่แล้วที่ทั้งสองไม่ได้คุยกัน


 


 


“หนิง…”


 


 


ทันทีที่เธอได้ยินน้ำเสียงฮั่วจิงจิง ท่าทีของถังหนิงเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที เธอสัมผัสได้ว่าฮั่วจิงจิงกำลังเสียใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า”


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยจากการไปปาร์ตี้มื้อค่ำ ตอนแรกฉันอยากจะไปหาเธอแต่เธอไม่อยู่บ้าน” ฮั่วจิงจิงทำเสียงให้สดใสขึ้น


 


 


“เธอทะเลาะกับฟังอวี้งั้นเหรอ” ถังหนิงถาม


 


 


“เธอคงได้ยินว่าไห่รุ่ยเพิ่งเซ็นสัญญากับ ‘อาวุธลับ’ ที่ชื่อซ่งซินใช่ไหม” ฮั่วจิงจิงพลันระบุถึงอีกคน “ผู้หญิงคนนี้เกรี้ยวกราดน่าดู”


 


 


“เกิดอะไรขึ้น”


 


 


“ฟังอวี้เพิ่งดูแลเรื่องของผู้หญิงคนนี้ก่อนหน้านี้ แต่เพราะเขาเป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้ว เพื่อเห็นแก่ฉัน เขาเลยตัดสินใจกระจายงานออกไปให้คนอื่นๆ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันประสาทเสียไปเองหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่าซ่งซินเป็นคนพยาบาทและฉันดันไปตกหลุมพรางของผู้หญิงคนนี้เข้า” ฮั่วจิงจิงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล


 


 


นี่ทำให้ถังหนิงใจหาย ในวงการนี้ฮั่วจิงจิงผ่านประสบการณ์มามากมาย หากฮั่วจิงจิงรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ


 


 


“ช่วยอธิบายในรายละเอียดให้ฟังทีได้ไหม”


 


 


“ก่อนหน้านี้ ตอนที่ฉันไปพบลูกค้าที่โรงแรมเพื่อหารือเรื่องงาน อยู่ๆ ผู้ช่วยของฉันก็หายตัวไปจากห้องหลายนาที ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ระหว่างที่ฉันกำลังกินมื้อกลางวันอยู่กับฟังอวี้เมื่อบ่ายวันนี้ ฟังอวี้กลับได้รับรูปผู้ชายคนหนึ่งอยู่กับฉันตามลำพังในห้องของโรงแรม


 


 


“ฉันถามฟังอวี้เรื่องนี้ เขาก็อธิบายว่าเขาได้รับอีเมลนิรนาม”


 


 


“ฉันมั่นใจว่าฟังอวี้รู้ความจริงทั้งหมด เธอไม่จำเป็นต้องกังวลหรอกนะ” ถังหนิงปลอบโยนอีกฝ่าย “อีกอย่าง เธอจะสงสัยว่าเรื่องคราวนี้เป็นฝีมือซ่งซินไม่ได้”


 


 


“เหตุผลเดียวที่ฉันสงสัยซ่งซินเพราะผู้หญิงคนนั้นเคยเตือนให้ฉันระวังตัว”


 


 


“คราวหน้าก็ระวังให้มากกว่านี้นะ” ถังหนิงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง


 


 


“ฉันไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้พอได้เอาเรื่องนี้ออกจากอกก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ” ทีปลายสาย เสียงจากด้านหลังของฮั่วจิงจิงเริ่มดังเจี๊ยวจ๊าวขึ้น “ตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว ฉันกำลังมารับเสี่ยวเย่ว์ที่โรงเรียน ตอนนี้เริ่มเย็นแล้วด้วย”


 


 


“ขับรถดีๆ นะ”


 


 


ฮั่วจิงจิงมีสถานะสูงในไห่รุ่ย หากซ่งซินทะเยอทะยานมาก ฮั่วจิงจิงจะต้องแสดงตัวเป็นภัยคุกคามอย่างแน่นอน


 


 


แต่ยังไม่แน่ว่าแผนการชั่วร้ายของฮั่วจิงจิงคืออะไร


 


 


เพื่อให้สบายใจ ถังหนิงจึงสั่งลู่เช่อ “ส่งข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับซ่งซินมาให้ฉันที”


 


 


“โอเคครับ” ลู่เช่อตอบ


 


 


ลู่เช่อรีบกลับไปยังเอเจนซี่อย่างรวดเร็ว นอกจากการตักเตือนซ่งซินด้วยคำพูดแล้วเขายังส่งข้อมูลบางส่วนไปให้ถังหนิงด้วย


 


 


หลังมื้อเย็น ถังหนิงเอนตัวลงบนโซฟาและอ่านข้อมูลของซ่งซิน ปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้มีพื้นเพดีทีเดียว คนในครอบครัวของเธอทั้งสามรุ่นเป็นคนมีชื่อเสียงทั้งสิ้น!


 


 


คืนนั้นในระหว่างที่โม่ถิงไม่อยู่ ถังหนิงเผลอหลับไปที่ห้องนั่งเล่นและฝันร้าย ในความฝัน ซ่งซินกำลังบีบคอของเธอและเตะท้องของเธอด้วย


 


 


ถังหนิงสะดุ้งตื่น…


 


 


แต่เธอต้องประหลาดใจเมื่อเธอได้กลับมานอนอยู่ที่เตียงและมีโม่ถิงอยู่เคียงข้างเธอตามที่สัญญากันไว้


 


 


ถังหนิงรีบโอบกอดอีกฝ่ายเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองลง “ฉันไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม”


 


 


“โง่น่า” โม่ถิงตบที่หลังหัวของเธอเบาๆ และกอดเธอแน่น “เร็วเข้า ได้เวลาตื่นไปกินอาหารเช้าแล้วนะ”


 


 


“อือฮึ” ถังหนิงเปิดผ้าห่มออกเพื่อลุกขึ้นจากเตียง แต่ทันใดนั้น โม่ถิงก็บอกเธอด้วยน้ำเสียงนุ่ม “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับฮั่วจิงจิง”

 

 

 


ตอนที่ 668 เปิดโอกาสให้เธอ

 

“เกิดอะไรขึ้น” ถังหนิงถามด้วยความข้องใจ “เราสองคนเพิ่งได้คุยกันเมื่อคืนเอง…”


 


 


“ทำใจดีๆ ไว้นะ…” โม่ถิงถือโทรศัพท์อยู่ในมือก่อนยื่นให้ถังหนิง


 


 


ข่าวระบุไว้ว่า ซูเปอร์โมเดลฮั่วจิงจิงโดนสุนัขโจมตีระหว่างปกป้องลูกสาวของเธอ เธอถูกกัดไปทั่วทั้งขาและมีความเสี่ยงที่จะต้องตัดขาทิ้ง


 


 


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกเกินไปจนเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่ถังหนิงจะยอมรับได้ “เป็นคนชื่อเหมือนกันหรือเปล่า”


 


 


“ตอนนี้ฮั่วจิงจิงอยู่ที่โรงพยาบาล เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่นั่น” โม่ถิงแนะ เขารู้ดีว่าเธอต้องการยืนยันอาการของฮั่วจิงจิงด้วยตัวของเธอเอง


 


 


“รอเดี๋ยวก่อนนะถิง… ฉันยังช็อกอยู่”


 


 


ถังหนิงนั่งลงที่ขอบเตียงและอ่านรายละเอียดในโทรศัพท์อีกครั้ง


 


 


“นี่เป็นอุบัติเหตุ พวกเขาพบเจ้าของสุนัขตัวนั้นแล้ว มันเกิดขึ้นเพราะเจ้าของคนนั้นเลี้ยงสุนัขพันธุ์ดุแต่ลืมล่ามโซ่เอาไว้”


 


 


ถังหนิงพยายามวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ แต่เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากเพราะสิ่งที่ฮั่วจิงจิงเพิ่งบอกเธอเมื่อคืน กระนั้นข่าวได้ระบุถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและยืนยันว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น อีกทั้งเจ้าของสุนัขเองก็ออกมาเสนอค่าชดใช้แล้ว


 


 


แต่… ชดใช้อะไร


 


 


อาชีพของนางแบบคนหนึ่งพังพินาศ แล้วคนคนนั้นจะชดเชยได้อย่างไร


 


 


ถ้าเกิดฮั่วจิงจิงไม่อาจกลับมาเดินได้อีกล่ะ


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของถังหนิง โม่ถิงคุกก็เข่าและลูบใบหน้าหญิงสาวเพื่อปลอบใจ “ฟังอวี้จะจัดการเรื่องงานให้เธอและพยายามอย่างดีที่สุดที่จะลดผลกระทบ”


 


 


“โอเคค่ะ” ถังหนิงพยักหน้า หลังมื้อเช้า เธอมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลของฮั่วจิงจิงพร้อมโม่ถิง


 


 


เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อคืน การผ่าตัดจึงเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ฮั่วจิงจิงยังคงไม่ได้สติ


 


 


ฟังอวี้กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับฟังเย่ว์ เห็นได้ชัดว่าพ่อลูกเหนื่อยล้า


 


 


“คุณพ่อคะ มีคนมา” ฟังเย่ว์ตื่นอยู่และดึงแขนเสื้อของฟังอวี้ ทันทีที่เขาเห็นถังหนิง ฟังอวี้รีบลุกขึ้นยืนทันที


 


 


“เรารักษาไม่ให้ขาทั้งสองข้างของเธอถูกตัดได้อย่างหวุดหวิด แต่แผลเป็นพวกนั้นจะคงอยู่ตลอดไป นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเธออาจจะไม่สามารถกลับมาเดินบนรันเวย์ได้อีกต่อไป”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของผู้พ่อ ฟังเย่ว์ก็น้ำตานองหน้า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคุณแม่พยายามจะช่วยหนู”


 


 


ฮั่วจิงจิงตื่นเพราะเสียงร้องไห้ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมองเพดานสีขาวดังหิมะ ใช้เวลาสักครู่เธอก็รวบรวมความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนได้


 


 


“เสี่ยวเย่ว์…”


 


 


“คุณแม่ หนูอยู่นี่ค่ะ” ฟังเย่ว์รีบวิ่งไปหาผู้เป็นแม่ทันที


 


 


เมื่อเห็นว่าฟังเย่ว์ปลอดภัย ฮั่วจิงจิงก็รู้สึกโล่งอก


 


 


ขณะนั้นเอง ถังหนิงเดินเข้าไปหาฮั่วจิงจิงและมองเธอพร้อมกล่าว “เธออาจจะเดินบนรันเวย์ไม่ได้ไปสักพักนะ ขาของเธอจะมีแผลเป็นเหลืออยู่”


 


 


“โอ้ จริงเหรอ…” ฮั่วจิงจิงไม่แสดงท่าทีใดๆ ทว่าถังหนิงได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแตกสลาย แม้ฮั่วจิงจิงมักจะพูดอยู่เสมอว่าเธอไม่ต้องการเดินบนรันเวย์อีกและไม่ต้องการเป็นนางแบบอีกแล้ว ตอนนี้ในที่สุดเธอก็ได้ปลดเปลื้องความสามารถเหล่านั้น แต่ความเศร้าและความผิดหวังยังคงกัดกินเธอ


 


 


“จิงจิง” ฟังอวี้เดินเข้ามาหาฮั่วจิงจิงและกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ “ผมจะไม่ยอมแพ้”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เสี่ยวเย่ว์ปลอดภัยอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ถังหนิง เธอควรกลับบ้านไปเถอะเดี๋ยวจะติดโรคอะไรจากโรงพยาบาล นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ” ฮั่วจิงจิงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะส่งคนที่อยู่ภายในห้องให้ออกไป “ทุกคนควรกลับไปได้แล้ว อย่าทำให้ฉันหนักใจเลยนะ”


 


 


ถังหนิงพยักกน้า เธอเข้าใจดีว่าฮั่วจิงจิงต้องการเวลาอยู่กับตัวเอง ดังนั้นเธอจึงไม่ยืนกรานที่จะอยู่ต่อ ทว่าในระหว่างทางกลับบ้าน เธอได้รับข้อความจากฮั่วจิงจิง [ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน]


 


 


นอกจากความรู้สึกเป็นกังวลแล้ว ถังหนิงยังรู้สึกถึงความรู้สึกอีกอย่าง ความจริงที่ว่าชีวิตนั้นไม่อาจคาดเดาได้


 


 


เธอเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับฮั่วจิงจิงเมื่อวาน แต่วันนี้…


 


 


ที่แย่ที่สุดคือไม่ว่าฟังอวี้จะพยายามช่วยฮั่วจิงจิงแค่ไหน ความจริงเรื่องที่เธอบาดเจ็บได้เป็นสัญญาณว่าเธอได้สูญเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอนาคต ในวงการนี้มีคนเข้ามาและออกไปอยู่ตลอด หากพวกเขารอให้ฮั่วจิงจิงฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ แล้วจะยังมีใครจำเธอได้อยู่อีกหรือ


 


 


“ถิงคะ จิงจิงเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเอง เราต้องเปิดโอกาสในการเลือกให้เธอ”


 


 


โม่ถิงพูดอะไรไม่ออก เขาเพียงแค่โอบไหล่ถังหนิงและดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด


 


 



 


 


ช่วงบ่ายที่แดดจัดในวันนั้น ณ บ้านตระกูลซ่ง


 


 


ซ่งซินเพิ่งตื่นนอนและพบว่าผู้ช่วยของเธอกำลังรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น


 


 


“ฉันทำตามที่คุณขอแล้ว ผลออกมาสุดยอดมาก” ผู้ช่วยของซ่งซินไม่ใช่คนของไห่รุ่ย เธอเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมที่ติดตามซ่งซินเข้าวงการมาหลังจากซ่งซินเปิดตัว


 


 


“ฉันประเมินถังหนิงกับเพื่อนของมันสูงไป” ซ่งซินนั่งลงบนโซฟาด้วยผมอันยุ่งเหยิง “บีบพวกมันให้หายไม่ได้ยากอย่างที่ฉันคิด”


 


 


“ฮั่วจิงจิงจัดการได้ง่ายเพราะไม่มีใครรู้ว่าหมาตัวนั้นวิ่งไปหาลูกสาวเพราะมีกระดูกชิ้นเล็กๆ ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเด็ก แต่เราควรทำยังไงกับถังหนิงดีล่ะ”


 


 


ซ่งซินเท้าคางครุ่นคิดอยู่ภายใต้แดดอันอบอุ่น “ขอฉันคิดก่อน…”


 


 


“ใช้หมาธรรมดาตัวเดียวจัดการถังหนิงไม่ได้แน่”


 


 


“ลูกมันไง!” ซ่งซินนึกขึ้นได้ “ถ้ามันเกิดแท้ง… มันจะทำยังไง”


 


 


“แต่… เด็กนั่นอายุครรภ์ได้แปดเดือนแล้วนะ”


 


 


“ตอนที่แม่ฉันบังคับให้เมียน้อยของพ่อไปทำแท้ง ผู้หญิงนั่นก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ แต่ป่วยเป็นโรคประสาทนิดหน่อย” ซ่งซินตอบ สำหรับเธอแล้วตราบใดที่เด็กยังไม่คลอดออกมา ก็ยังไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต


 


 


“แต่… เราไม่มีโอกาสได้ลงมือ” ผู้ช่วยคนนั้นพูดอย่างไม่มีทางเลือก


 


 


“เราจะไม่มีโอกาสได้ยังไง ถังหนิงกับแม่ผัวมันกำลังไม่ลงรอยกัน นี่มันโอกาสเหมาะที่จะใช้มือของคนอื่นกำจัดศัตรูของเราไม่ใช่หรือไง”


 


 


ซ่งซินกำลังหมายถึงฮว่าเหวินเฟิ่ง


 


 


“แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งเองก็สาหัสเพราะถังหนิงพอแล้วไม่ใช่เหรอ”


 


 


“เพราะมันเจ็บปวดไง เราถึงต้องใช้ความโกรธของมันให้เป็นประโยชน์” ซ่งซินพูดอย่างสบายใจ “เรื่องแบบนี้จัดการได้ง่ายมาก ฉันแค่ต้องให้เธอขับเคลื่อนอะไรสักหน่อย”


 


 


“เธอหมายความว่าไง” ผู้ช่วยคนนั้นรู้สึกสับสนเล็กน้อย


 


 


“ตอนนี้เธอเป็นส่วนหนึ่งของไห่รุ่ย ดังนั้นเธอจะรู้ว่าในเอเจนซี่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เธอก็แค่ต้องสร้างเรื่องขึ้นมาแล้วปล่อยให้มันไปถึงหูฮว่าเหวินเฟิ่ง”


 


 


“แต่ ฉันควรสร้างเรื่องแบบไหนล่ะ”


 


 


“อะไรอย่างเช่นการให้ฮว่าเหวินเฟิ่งมาเป็นคนรับใช้หลังจากคลอดลูก ไม่ก็การไล่ฮว่าเหวินเฟิ่งออกจากปักกิ่ง หรือไม่ก็การบังคับให้ฮว่าเหวินเฟิ่งต้องบริจาคอวัยวะถ้าเด็กเกิดมาแบบไม่สมประกอบ เคยมีข่าวลือเรื่องฮว่าเหวินเฟิ่งเคยพูดว่าเด็กในท้องถังหนิงจะไม่สมบูรณ์ใช่ไหมล่ะ”


 


 


ผู้ช่วยคนนั้นมองหน้าซ่งซิน หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ชี้ไปที่อีกฝ่ายพร้อมพูดขึ้น “เธอนี่มันชั่วร้ายไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”


 


 


“นั่นเป็นสาเหตุที่เราไม่เคยล้มเหลวไง” ซ่งซินหัวเราะในลำคอ “ฉันเกลียดเวลามีคนมาขวางทางของฉัน สิ่งที่ฉันทำจะช่วยลดภาระให้ถังหนิง มันควรจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”


 


 


แม้ผู้ช่วยคนนั้นจะรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว แต่เธอก็ยังทำตามที่ซ่งซินบอก


 


 


ทั้งสองทำงานร่วมกันมาหลายปี ดังนั้นเธอจึงเข้าใจอารมณ์ของซ่งซินดี


 


 


เป้าหมายของพวกเธอคือลูกของถังหนิง แต่ถังหนิงมองว่าเด็กคนนี้สำคัญกว่าชีวิตของเธอแล้ว ถ้าพวกเธอทำพลาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม