สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 65-71

บทที่ 2

 

บทที่ 65 บ้านพักกลางป่า

ยามเย็นบนดาดฟ้าที่ทำจากไม้ ลั่วชิวกำลังมองพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไป 


 


 


ตัวบ้านหลังนี้สร้างเพิ่มออกไปบนทะเลสาบ ไอน้ำเย็นสบายเริ่มระเหยขึ้นมาช้าๆ ในช่วงอากาศยามค่ำที่เริ่มเย็นลง ณ ขณะนี้โยวเย่ก็กำลังยืนอยู่ริมขอบดาดฟ้าของบ้านหลังนี้ 


 


 


ตอนนี้เธอกำลังพยายามช้อนของขึ้นมาจากใต้น้ำ นั่นก็คือเบียร์ที่ใส่ตระกร้าเอาไว้อย่างดี คิดดูแล้วการแช่อยู่ในทะเลสาบตลอดทั้งบ่าย คงเพียงพอให้เบียร์พวกนี้มีรสชาติดีแล้วล่ะมั้ง  


 


 


ถึงแม้นี่จะเป็นริมทะเลสาบ แต่ก็ไม่ได้มีบ้านพักสร้างอยู่ติดๆ กันหลายหลัง ทว่าสร้างห่างกันเป็นบ้านพักโดดๆ 


 


 


บ้านหลังนี้เป็นเพียงตึกสามชั้น ดูจากภายนอกแล้วมีอายุประมาณร้อยสองร้อยปี แต่ด้านในกลับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์น  


 


 


ลั่วชิวไม่ชอบตรงที่มันใหญ่ไปหน่อย เพราะอยู่สองคน 


 


 


แต่เขาก็คิดว่าที่นี่เงียบสงบกำลังดี 


 


 


ตอนมาถึง ชายชราคนหนึ่งเหมือนกำลังรออะไรอยู่ที่บ้านพักหลังนี้ พอเขาส่งกุญแจของที่นี่ให้โดยไม่พูดไม่จา ก็ขับรถกระบะเก่าๆ สภาพดีคันหนึ่งจากไป 


 


 


คาดไม่ถึงว่าอาหารจะสดใหม่ทั้งหมด 


 


 


ตามกำหนดการทริปนี้เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่ลั่วชิวรู้สึกว่าการได้เข้าพักที่นี่ในช่วงก่อนกลับเป็นความคิดดีจริงๆ 


 


 


อยู่ในบ้านเล็กๆ ที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้และทะเลสาบเล็กๆ…แห่งนี้ 


 


 


คุณสาวใช้งัดฝากระป๋องเบียร์ออก แล้วค่อยๆ รินเบียร์ลงในแก้ว จนกระทั่งเต็มแก้ว 


 


 


ลั่วชิวดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แล้วเครื่องเล่นแผ่นเสียงในห้องรับแขกก็ใส่แผ่นเสียงสีดำไปอัตโนมัติ ตอนที่เพลงดังขึ้นช้าๆ เขาก็มองโยวเย่แล้วพูดเบาๆ ว่า “เต้นสักเพลงไหม? ฉันอยากดูเธอเต้นรำ” 


 


 


ความมืดยามค่ำคืนมาเยือน แสงไฟสว่างส่องให้เงาร่างยืดยาวออกไป เป็นค่ำคืนอันเงียบสงบ 


 


 


… 


 


 


รถออฟโรดที่ขับเที่ยวชมด้วยตัวเองกำลังแล่นไปตามถนนริมทะเลสาบ คู่รักสองคู่ วัยรุ่นสี่คนบนรถ พวกที่นั่งอยู่ด้านหลังกำลังกอดหอมกันอย่างลืมตัว ส่วนพวกที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็กำลังคุยกันไปตามอารมณ์ 


 


 


สองคนที่นั่งข้างหน้าเหมือนจะเพิ่งเป็นแฟนกันไม่นาน…หรือบางทีอาจเป็นเพราะผู้ชายเขินอายเกินไป จึงมักเหลือบมองสองคนตรงเบาะด้านหลังจากกระจกมองหลัง จากนั้นก็เลื่อนสายตามองไปบนขาหรือบนหน้าอกของอีกฝ่าย โดยอาศัยตอนที่แฟนสาวบนที่นั่งข้างคนขับไม่ทันได้สังเกตเห็น  


 


 


วันนี้พวกเขาออกมาเที่ยวพักผ่อนกัน ก็เป็นไอเดียของสองคนที่เบาะหลัง 


 


 


‘ฉันก็…’…เขากำลังให้กำลังใจตัวเองเงียบๆ 


 


 


จากนั้น ผู้หญิงข้างคนขับก็พูดว่า “มาผิดทางแล้วหรือเปล่า?” 


 


 


ชายหนุ่มที่ขับรถค่อนข้างเอาใจใส่แฟนสาว เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีแฟน และเธอเป็นแฟนคนแรกของเขา เขาจึงใส่ใจทุกคำพูดของเธอ 


 


 


ด้วยถนนไร้ผู้คนทำให้เขาจอดรถได้ตามอำเภอใจ อย่างเช่นตอนนี้ เขารีบเปิดจีพีเอสนำทางในมือถือทันที ก่อนเงยหน้าอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “เหมือน…จะมาผิดทางแล้วจริงๆ จะกลับไปตามทางเดิมหรือเปล่า?” 


 


 


หญิงสาวบนเบาะหลังกลับพูดพึมพำว่า “ฉันหิวแล้ว” 


 


 


“ที่นี่ก็ดูใช้ได้นะ แถวนี้มีแต่ป่าไม่ใช่เหรอ?” ชายหนุ่มบนเบาะหลังอีกคนพูดแบบไม่สนใจแม้แต่น้อย “ในชีวิตของพวกเรา บางครั้งก็ต้องการเรื่องเหนือคาดกันบ้าง”  


 


 


หญิงสาวที่นั่งข้างคนขับได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หวังว่าพวกเราจะไม่ต้องค้างคืนบนรถคันนี้นะ อีกอย่างนายแน่ใจว่าจะหาอาหารในที่แบบนี้ได้เหรอ?” 


 


 


ชายหนุ่มที่นั่งเบาะหลังคนขับก็ตอบกลับแบบไม่ยี่หระ “ฉันจับปลาเก่งนะบอกให้” 


 


 


หญิงสาวที่นั่งข้างคนขับเพียงแค่มองค้อนเล็กน้อย 


 


 


ตอนนี้เอง แฟนของชายหนุ่มที่นั่งเบาะหลังก็ชะโงกหัวออกไป แล้วก็หันหน้ามาพูดทันทีว่า “ตรงนั้นเหมือนมีบ้านนะ ฉันเห็นแสงไฟ พวกเราอาจไม่ต้องนอนบนรถแล้วก็ได้” 


 


 


ชายหนุ่มที่ขับรถรีบปล่อยเบรกแล้วพูดว่า “ฉันจะลองขับไปดู!” 


 


 


… 


 


 


“ขอโทษครับ มีใครอยู่ไหมครับ?” 


 


 


รถออฟโรดจอดอยู่หน้าบ้านริมทะเลสาบ หลังจากไรอันชายหนุ่มบนที่นั่งคนขับลงจากรถแล้ว ก็ตะโกนเสียงดัง แต่หลังจากรอสักพักแล้ว ก็ยังไม่มีการตอบรับ เขาจึงตะโกนถามอย่างสุภาพอีกครั้ง “ขอโทษครับ มีคนอยู่ไหมครับ?” 


 


 


คนที่อยู่ด้านหลังไรอันก็คือเลห์แมน เขาเป็นคนเรื่อยเฉื่อยกว่า ตอนนี้เลห์แมนเอามือตบที่บ่าของไรอันแล้วพูดว่า “นี่เพื่อน จะตะโกนเรียก ควรทำแบบฉันนี่” 


 


 


เขาพูดเสียงเบาว่า “ฉันว่าเอลลี่คงชอบเห็นด้านที่เก่งกาจตรงไปตรงมาของนายมากกว่านะ” 


 


 


ดังนั้นเลห์แมนจึงเดินขึ้นบันไดไม้ของบ้านไปสามสี่ขั้น แล้วออกแรงเคาะประตูอย่างรัวเร็ว 


 


 


ปังๆๆ ปังๆๆ! 


 


 


สุดท้ายมือของ เลห์แมนก็หวืดทันที ประตูบานนั้นค่อยๆ เปิดออกแล้ว เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วเลห์แมนก็ตกไปในภวังค์ อีกทั้งยังทำเสียงผิวปากน่าฟังเบาๆ 


 


 


คนที่เปิดประตูเป็นสาวสวยสุดๆ ตาสีฟ้าไพลินของเธอเหมือนสีอัญมณีสีฟ้า ชวนให้หลงใหลอย่างยิ่ง 


 


 


“ขอโทษนะคะ มีธุระหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวพูดเสียงเบา พร้อมยิ้มน้อยๆ 


 


 


จู่ๆ คนพูดมากอย่างเลห์แมนก็กลายเป็นคนเงียบไปชั่วขณะ เขาคิดว่าตัวเองเกือบจะถลำตัวหลงอยู่ในความงดงามจนแทบลืมหายใจ 


 


 


แต่เขาก็จำขึ้นมาได้ว่าตัวเองมีแฟนแล้ว จึงรีบตอบไปว่า “พวกเราหลงทางครับ แถวนี้ไม่มีบ้านหลังอื่นเลย ให้พักที่นี่สักคืนได้ไหมครับ? ถ้ามีของกินด้วยยิ่งดีเลยครับ”  


 


 


ขณะพูดอยู่นั้น เขาก็รีบหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋า “แน่นอนว่าพวกเราจะจ่ายเงินให้ครับ”  


 


 


“กรุณารอสักครู่ค่ะ” เธอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินเข้าบ้านไป แต่กลับปิดประตูด้วย  


 


 


เลห์แมนมองเหตุการณ์นี้อย่างงงงัน แล้วหันไปมองเพื่อนของตัวเองพร้อมยักไหล่อย่างเสียไม่ได้  


 


 


แต่เอลลี่กลับเงยหน้าขึ้นมาพิจารณาบ้านพักตากอากาศเล็กๆ สไตล์โบราณหลังนี้ ป่าและทะเลสาบรอบๆ นั้นราวกับพาเข้ามาในสมัยเมื่อร้อยปีก่อนทันที 


 


 


ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นยามค่ำ จึงยกมือกอดอกและถูตัวเบาๆ สายตาจ้องไปทางไรอันที่กำลังก้มหน้าดูแผนที่ในโทรศัพท์แวบหนึ่ง  


 


 


จากนั้นเธอก็เริ่มกลุ้มใจเล็กน้อย ถ้าหมอนี่เป็นฝ่ายรุกมากกว่านี้อีกหน่อย บางทีก็อาจจะดีกว่านี้?  


 


 


แฟนของเลห์แมนเดินมาข้างๆ เอลลี่ ก่อนยื่นมือไปตบๆ ที่หลังของเธอ แล้วพูดขึ้นทันที “ไรอัน เป็นผู้ชายจริงใจก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?”  


 


 


“กลอเรีย บางครั้งจริงใจเกินไปก็รู้สึก…” เอลลี่หยุดพูดกะทันหัน เหมือนยากที่เธอจะหาคำพูดมาบรรยายต่อได้ จึงถอนหายใจยอมแพ้ แล้วปล่อยมือทั้งสองข้างลง “ช่างเถอะ เธอไม่เข้าใจหรอก”  


 


 


กลอเรียกำลังคิดจะพูดอะไร แต่แล้วประตูก็เปิดออกอีกครั้งทันที  


 


 


หญิงสาวที่สวยแบบไม่นึกไม่ฝันคนนั้นปรากฏตัวตรงหน้าคนทั้งสี่อีกครั้ง…รอยยิ้มยังเหมือนเดิมคล้ายภาพแกะสลักอย่างไรอย่างนั้น  


 


 


เธอพูดว่า “ทุกท่านเข้ามาได้แล้วค่ะ นายท่านบอกว่า ถ้าพวกคุณต้องการ ก็พักที่นี่ได้คืนหนึ่งค่ะ”  


 


 


… 


 


 


“ผมชื่อเลห์แมน คนนี้คือไรอัน เอลลี่ และนี่กลอเรียครับ” 


 


 


“ผมลั่วชิวครับ คนนี้คือโยวเย่ เธอทำงานที่บ้านผม” 


 


 


แต่เลห์แมนจำได้อย่างชัดเจนมาก ว่าผู้หญิงที่ชื่อโยวเย่คนนี้ เพิ่งพูดคำว่า ‘นายท่าน’ สองพยางค์นี้ พอเข้ามาในบ้านหลังเล็กนี้ ถึงพบว่าที่นี่ไม่ได้ดูธรรมดาเหมือนภายนอกเลย 


 


 


คิดดูแล้วการตกแต่งที่นี่คงต้องใช้เงินไปไม่น้อยเลย แถมยังอยู่ริมทะเลสาบแบบนี้อีก…ที่ดินตรงนี้คงจะหามาไว้ในครอบครองได้ยากสินะ 


 


 


ชายหนุ่มที่ดูแล้วมีเชื้อสายเอเชียคนนี้…พูดภาษารัสเซียได้ดีมากจริงๆ จนเขาเกือบแยกไม่ออกว่ามาจากประเทศไหนกันแน่ 


 


 


แต่คิดดูแล้ว ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน อย่างน้อยก็เป็นคนรวยมาก 


 


 


“ต้องรบกวนคุณลั่วชิวจริงๆ ครับ” ไรอันพูดอย่างสำรวมกิริยา 


 


 


ลั่วชิวไม่ใช่คนชอบรับแขกเท่าไร ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ แต่ด้วยความจำเป็นเรื่องงาน จึงมีแนวโน้มที่ยินดีจะพูดคุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้น 


 


 


คู่รักสองคู่ใช้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ พากันขับรถมาพักผ่อนนอกชานเมือง ฟังดูแล้วก็เหมือนเป็นวิธีที่เจ๋งมากๆ เลยสินะ?  


 


 


พวกวัยรุ่นคุยเก่งกันจริงๆ 


 


 


บนโต๊ะอาหาร ลั่วชิวกำลังตั้งใจฟังพวกคู่รักสองคู่นี้พูดเป็นน้ำไหลไฟดับตั้งแต่ยังเกร็งๆ จนเริ่มคล่องปาก  


 


 


“ประเทศจีน!” สุดท้ายเลห์แมนก็สืบถามได้ว่านายท่านของบ้านตากอากาศหลังนี้มาจากประเทศไหน จึงถอนหายใจ “ผมคิดว่านี่เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความลึกลับและสีสันมากมาย ผมชอบสถานที่ที่แฝงไว้ด้วยความลึกลับแบบนี้มากครับ”  


 


 


ลั่วชิวหั่นมันฝรั่งชิ้นหนึ่ง แล้วตักเข้าปากเคี้ยวอยู่สองครั้ง ก่อนพูดเสียงเบาๆ ว่า “ดูเหมือนคุณเลห์แมนจะชอบเรื่องลี้ลับ?” 


 


 


“ผมเป็นคนกล้ามากครับ” เลห์แมนยิ้ม สองมือท้าวอยู่บนโต๊ะ “ผมชอบเรื่องเร้าใจและน่ากลัว! อย่างเช่น…” 


 


 


เขาชะงักไปทันที จากนั้นก็เริ่มมองรอบด้าน เหมือนจะระวังตัวขึ้นมาทันที เขาลดเสียงต่ำลงพูดว่า “อย่างเช่น พวกคุณดูสิ บ้านเงียบขนาดนี้ พวกเราก็เป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกัน ถ้าจู่ๆ ที่นี่มีเสียงเคาะประตูขึ้นมากะทันหัน คงเจ๋งสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ?” 


 


 


แฟนสาวกลอเรียลูบขนที่ลุกชันบนแขนตัวเองทันที แล้วจึงพูดตำหนิว่า “หุบปากนายไปซะ! นายไม่ดูบรรยากาศบ้างเลยหรือไง?” 


 


 


เลห์แมนยักไหล่พูด “ฉันแค่สมมุติ ก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น อีกอย่างจะมีคนมาเคาะประตูตอนนี้ได้ยังไง…” 


 


 


แล้วตอนนี้เอง 


 


 


ก๊อก ก๊อกๆ…ก๊อก 


 


 


เสียงเคาะประตู 


 


 


จู่ๆ ก็ดังขึ้นมา  

 

 


บทที่ 2

 

บทที่ 66 ชายประหลาด

 

ตลอดทางที่พวกเขาผ่านมา นอกจากแสงไฟจากบ้านพักตากอากาศริมทะเลสาบแห่งนี้แล้ว บริเวณรอบๆ ก็ไม่เห็นแสงไฟจากที่ไหนอีกเลย 


 


 


สถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองแห่งนี้ ในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จะพบคนหลงทางได้สักแค่ไหนกัน? 


 


 


พวกเขาแทบจะมองไปทางนายท่านของบ้านพักตากอากาศแห่งนี้เป็นตาเดียวกัน 


 


 


แล้วพวกเขาก็เห็นหนุ่มชาวตะวันออกที่ชื่อลั่วชิวคนนี้ทำหน้าอยากรู้อยากเห็น แบบนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาก็ประหลาดใจกับเสียงเคาะประตูกะทันหันเช่นกัน 


 


 


เลห์แมน ไรอัน และแฟนสาวจึงพากันมองตาไปมา 


 


 


นี่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ เหมือนกับต่างฝ่ายต่างเห็นความกังวลที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของกันและกัน 


 


 


 “ฉันจะลองไปดูสักหน่อยค่ะ” โยวเย่พูดเสียงเบาๆ  


 


 


ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนมองโยวเย่ลุกออกจากที่แล้วเดินออกไป เขาก็ค่อยยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบไปอึกหนึ่ง “ดูท่าคืนนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ” 


 


 


นอกจากรู้ว่าชายคนนี้มาจากประเทศจีนทางโลกฝั่งตะวันออกแล้ว ก็ดูเหมือนไม่รู้ข้อมูลอะไรมากไปกว่านี้เลย ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะกระตุ้นความอยากรู้ของวัยรุ่นได้เป็นอย่างดีทีเดียว โดยเฉพาะเจ้านายรูปร่างผอมกะหร่องก่องกับสาวใช้สุดสวยอาศัยอยู่ตามลำพัง และยังในที่เปล่าเปลี่ยวห่างไกลผู้คนแบบนี้ด้วยแล้ว 


 


 


กลอเรียจึงอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “ลั่วชิว คุณอาศัยอยู่ที่นี่กับโยวเย่แค่สองคน พวกคุณไม่กลัวเหรอคะ? พระเจ้า ที่นี่เงียบเกินไปจริงๆ…บางทีอาจจะมีสัตว์ป่าโผล่มาก็ได้นะคะ?” 


 


 


 “ไม่หรอกครับ ตอนกลางวันที่นี่วิวสวยมากนะครับ” ลั่วชิวตอบกลับ 


 


 


ดูเหมือนไรอันไม่อยากเป็นเพียงผู้ฟังอย่างเดียว จึงรีบโพล่งถาม “คุณลั่วชิวครับ คุณทำงานอะไรเหรอครับ? คิดว่าคงไม่ง่ายเลยที่จะมีบ้านพักตากอากาศริมทะเลสาบแบบนี้” 


 


 


ไรอันเพิ่งพูดจบ เพื่อนทั้งสองคนรวมทั้งเอลลีแฟนสาวก็มองเขาเชิงตำหนิเล็กน้อย เขาจึงรู้สึกผิดอย่างเสียไม่ได้ 


 


 


เขาถามเรื่องงานกับคนที่เพิ่งรู้จักถือเป็นเรื่องไร้มารยาทมาก 


 


 


 “เอ่อ…ขอโทษครับ ผมถามมากไปแล้ว” ไรอันรีบโบกมือพูดขอโทษ 


 


 


 “ไม่เป็นไรครับ” ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ แล้วก็จิบน้ำไปอีกเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “ผมทำธุรกิจเล็กๆ ขายของเล็กๆ น้อยๆ ให้คนทั่วไปน่ะครับ” 


 


 


 “อืม…คุณโยวเย่ยังไม่กลับมาเหรอคะ? หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?” ตอนนี้เอลลีก็หันไปมองทางประตูทันที 


 


 


 “ไม่น่ามีอะไรหรอกครับ” แล้วลั่วชิวก็พูดเสียงเบาๆ “ทานต่อเถอะครับ อาหารจะเย็นหมดแล้ว” 


 


 


ตอนนี้เอง คุณสาวใช้ก็กลับเข้ามาคนเดียว แล้วเดินไปก้มหน้ากระซิบบางอย่างข้างหูลั่วชิว จากนั้นเจ้าของร้านลั่วก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม 


 


 


แล้วคุณสาวใช้ถึงได้หมุนตัวเดินออกไปอีกครั้ง 


 


 


… 


 


 


… 


 


 


ตอนที่เธอเดินไปเปิดประตู ก็เห็นชายสวมหมวกสีดำคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู 


 


 


ใบหน้าสะอาดสะอ้านและนุ่มนวลงดงามมาก รูปร่างก็สูงหุ่นก็ดีมากเช่นกัน…เหมือนนายแบบบนแคทวอล์กเลยก็ว่าได้ ดูแล้วเด็กหนุ่มคนนี้คงอายุราวๆ ยี่สิบกว่าไม่ถึงสามสิบปี 


 


 


ท่าทางดูสุภาพมีมารยาท 


 


 


จริงสิ บนหลังเขายังแบกกระเป๋าหนังทรงสี่เหลี่ยมเก่าๆ ไว้ใบหนึ่งด้วย 


 


 


กระเป๋าหนังใบนี้ใหญ่เป็นพิเศษ จนบังแผ่นหลังเขาเสียมิด 


 


 


เขามองเห็นคุณสาวใช้เปิดประตูเดินออกมา ก็ถอดหมวกของตนออกในทันที แล้วแนบหมวกไปบนหน้าอกของตน พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่คิดเลยว่า จะได้เจอสาวงามเช่นคุณที่นี่” 


 


 


“ขอบคุณค่ะ” 


 


 


 “ผมได้กลิ่นหอมของอาหารมาแต่ไกลเลยครับ” ชายหนุ่มยิ้ม “โปรดอภัยที่ผมหิวเหลือเกินจึงถูกดึงดูดมาถึงที่นี่ ผมคิดว่าแถวๆ นี้ก็คงไม่มีที่ให้หยุดพัก…” 


 


 


พอเห็นหญิงสาวผู้นี้ค่อยๆ อมยิ้ม ชายหนุ่มก็ยิ้มทรงเสน่ห์ตอบกลับไปเช่นกัน “แน่นอนว่า ผมจะจ่ายค่าพักให้ครับ” 


 


 


 “กรุณารอสักครู่นะคะ” 


 


 


… 


 


 


ชายหนุ่มวางกระเป๋าสัมภาระทรงสี่เหลี่ยมชิดกับมุมหนึ่งของผนังห้อง จากนั้นถึงได้หันมามองคนและอาหารบนโต๊ะ ก่อนสูดกลิ่นอาหารเข้าไปด้วยสีหน้าเคลิ้ม “กลิ่นหอมมากเลยครับ” 


 


 


ชายคนนี้รูปงามจริงๆ เอลลีและกลอเรียมองตาค้างไปเลยทีเดียว 


 


 


จู่ๆ เลห์แมนก็สกิดตัวไรอันทันที ไรอันที่ไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ ก็ชะงักไป แล้วก็พบว่าเลห์แมนแอบสกิดตัวเขาอยู่เงียบๆ ไรอันจึงแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ โดยการเคาะตั่งม้านั่งยาวข้างๆ  


 


 


แล้วเลห์แมนก็พูดด้วยท่าทางโอเวอร์ว่า “ถ้าไม่ถือสาละก็ นั่งตรงนี้ไหมครับ? แน่นอนว่าพวกเราก็มาขอพักอาศัยเหมือนกับคุณ เป็นคนน่าสงสารที่ผ่านทางมาแล้วได้เจ้าของที่นี่ช่วยเหลือไว้เหมือนกันครับ” 


 


 


“เหมือนเทวดาเลย” ชายหนุ่มรูปงามพูดพลางยิ้มน้อยๆ 


 


 


“ว่าไงนะ?” เลห์แมนอึ้งชะงักไป 


 


 


ชายหนุ่มยังคงยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าไม่ใช่ครับ? สถานที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองแบบนี้ ยังมีที่ที่พอจะจัดหาอาหารและที่พักสบายๆ ให้กับคนหลงทางได้ เจ้าของที่นี่มีจิตใจดีดังเทวดาจริงๆ” 


 


 


ขณะพูดอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ชูแก้วเบียร์ขึ้นจากโต๊ะ แล้วกางแขนอีกข้างของตนออก หลังจากนั้นก็รวบกลับเข้ามาอยู่ที่หน้าอกของตนเอง พร้อมกับค้อมตัวลง “เหตุใดถึงไม่แสดงความเคารพต่อเจ้าของบ้านพักที่มีเมตตาช่วยเหลือพวกเราคนนี้กันล่ะครับ?” 


 


 


เจ้าของร้านลั่วตะลึงจนถึงกับอ้าปากค้างเล็กน้อย 


 


 


อ้าปากนิดหนึ่ง…จริงๆ นะ 


 


 


ลั่วชิวส่ายหน้าเบาๆ  


 


 


“ฮ่าๆๆ คุณนี่นะ” ท่าทางของชายคนนี้ทำเอาเลห์แมนหัวเราะลั่นเลยทีเดียว “คุณครับ นี่คุณมาจากสมัยพระเจ้าซาร์เหรอเนี่ย?” 


 


 


แล้วเขาก็เลียนแบบท่าทางของชายคนนี้ ยกแก้วขึ้นมา กางแขนแล้วก็แนบไว้ที่หน้าอก ก่อนค้อมตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็ดื่มเบียร์ในแก้วจนหมดรวดเดียว แล้วเช็ดปากแล้วพูดว่า “นี่ทำให้ผมนึกถึงตัวละครขุนนางที่เข้าเฝ้าพระราชาในการแสดงละครสมัยมัธยมต้นเลย” 


 


 


ไรอันรู้สึกว่าเลห์แมนเหมือนจะหาเรื่องซะแล้ว ตอนนี้เขาจึงต้องใช้ศอกกระทุ้งเพื่อนสนิทของตนเอง จากนั้นก็ยิ้มเก้อๆ แล้วพูดว่า “เขาคงดื่มหนักไปหน่อยน่ะครับ” 


 


 


ชายรูปงามส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ เหมือนอย่างคุณผู้ชายท่านนี้พูดจริงๆ บางทีผมอาจเป็นคนในสมัยพระเจ้าซาร์ก็ได้นะครับ” 


 


 


 “งั้นคุณพอจะบอกพวกเราได้ไหมคะว่า ยุค….มีอะไรบ้าง” กลอเรียเอ่ยถามด้วยความสนใจอย่างมาก 


 


 


ชายหนุ่มรูปงามหลับตาลง ค่อยๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าดึงดูดว่า “มีรถแข่งสามารถแล่นอยู่บนถนนใหญ่ได้…อ้อ ที่ผมพูดหมายถึงรถม้าน่ะครับ และมีบ้านพักตากอากาศริมทะเลสาบ เหมือนอย่างที่นี่ อ้อ ใช่แล้ว และแน่นอนว่าจะขาดสาวงามชาวรัสเซียที่เร่าร้อนของพวกเราไปไม่ได้เลย อย่างเช่น…” 


 


 


เหมือนเขาจะเริ่มเต้นราวกับนักเต้นคนหนึ่ง ที่แทบจะหมุนตัวไปอยู่ตรงหน้ากลอเรียก็ไม่ปาน จากนั้นก็คว้ามือเธอขึ้นมาเบาๆ แล้วจุมพิตลงบนหลังมือเธอ “เหมือนความงามของสุภาพสตรีท่านนี้” 


 


 


ทำเอาเจ้าของร้านลั่วที่ดูเรื่องสนุกๆ อยู่ในตอนนี้ต้องเหลือบมองเลห์แมนที่ทำสีหน้าไม่ถูกไปแวบหนึ่ง 


 


 


อืม…รู้สึกว่าบนหัวเขาจะมีแสงกะพริบน้อยๆ 


 


 


แสงสีเขียว 


 


 


… 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเลห์แมนไม่ใช่คนหนุ่มที่อดทนต่อพฤติกรรมเช่นนี้ได้อย่างง่ายดายนัก ตอนนี้แววตาเขาจึงเปลี่ยนไป…ไร้ความรู้สึก เขาพูดอย่างนิ่งเฉยว่า “แล้วมีคนที่เหมือนผมด้วยไหม? ผมคิดว่าผมอาจจะเป็นนักรบก็ได้” 


 


 


ชายหนุ่มรูปงามลุกขึ้นยืน พยักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดว่า “ผมคิดว่าใช่ครับ อ้อ จริงสิ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่ออเล็กซ์ ผมคิดว่าตอนนี้ผมควรจะนั่งลง และดื่มด่ำกับมื้อเย็นน่าอัศจรรย์นี้ให้เต็มที่สักหน่อยแล้ว…” 


 


 


เขาหันไปทางชายหนุ่มผู้มีใบหน้าตะวันออก เจ้าของที่แท้จริงของที่นี่คนนั้น แล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ได้ใช่ไหมครับ?” 


 


 


“เชิญนั่งเถอะครับ” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย 


 


 


หลังจากอเล็กซ์นั่งลง เขาก็หยิบมันฝรั่งต้มในจานตรงหน้าขึ้นมาไว้ตรงหน้าจมูก หลังจากสูดกลิ่นถึงได้ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่อาจจะเป็นอาหารเลิศรสที่สุดที่ผมเคยกินในช่วงนี้เลย ขอบคุณมากจริงๆ ครับ” 


 


 


อเล็กซ์กำลังคิดจะเริ่มลงมือ 


 


 


แต่ในตอนนั้นเอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้นรัวๆ…และเสียงต่อมานี้ดูเหมือนจะรีบร้อนมากอย่างเห็นได้ชัด  


 


 


“มีคนอยู่ไหม? ได้โปรดช่วยฉันด้วย! มีคนอยู่ไหม! ได้โปรดช่วยฉันด้วย!” 


 


 


เป็นเสียงผู้หญิง…ดูเหมือนว่าจะมีเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน 


 


 


ผู้หญิงคนนี้ตะโกนถามราวกับหวาดกลัวบางอย่าง “มีคนอยู่ไหมคะ? ได้โปรดช่วยฉันด้วย สามีของฉันจอดรถไปหาที่ทำธุระ แต่ว่านานป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาเลยค่ะ…ฉันหาเขาไม่เจอเลย! ฉันเห็นโทรศัพท์ของเขาตกระหว่างทาง แต่ไม่เห็นตัวเขา…มีคนอยู่ไหมคะ? สามีของฉันหายตัวไปค่ะ!”  

 

 


บทที่ 2

 

บทที่ 67 คืนเงียบสงัด (1)

 

สาวน้อยวิ่งไปกอดแขนแม่ด้วยความหวาดกลัว และผู้เป็นแม่ก็คว้ามือสาวน้อยมาจับไว้แน่นทันที 


 


 


แม่ลูกคู่นี้คือคนที่ลั่วชิวเคยเจอบนขบวนรถไฟที่มุ่งหน้าไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 


 


 


พวกเขาเป็นครอบครัวที่เล่านิทาน…แต่ตอนนี้ชายหัวหน้าครอบครัวนี้หายตัวไปแล้ว 


 


 


ตกดึก ลมข้างนอกค่อนข้างแรง และน้ำในทะเลสาบก็เย็นกว่าปกติอยู่บ้าง แต่แสงไฟจากบ้านพักตากอากาศ รวมทั้งโซฟานุ่มๆ ในตัวบ้านกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นกับผู้เป็นแม่คนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


เธอแปลกใจที่ได้เจอชายหนุ่มบนขบวนรถไฟคนนั้นอีกครั้งที่นี่ แต่การหายตัวไปของสามีก็กลบความแปลกใจและดีใจอย่างที่สุดนี้ไว้ทั้งหมด 


 


 


“พวกเราตั้งใจจะใช้ทางเขาฝั่งนี้ข้ามไป ก็จะถึงบ้านเก่าของสามีฉันพอดี ระหว่างทางเขาคิดจะลงรถไปแวะทำธุระส่วนตัวสักหน่อย แล้วให้พวกเรารออยู่บนรถ…แต่ครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่กลับมา ฉันได้แต่ลงจากรถไปตามหาเขา แต่ว่า…” 


 


 


แม่ของสาวน้อยปิดหน้าตนเองด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ร้องไห้สะอึกสะอื้น “แต่เจอแค่โทรศัพท์ที่เขาทำตกบนพื้น” 


 


 


 “แจ้งตำรวจหรือยังครับ?” ในบรรดาคนหนุ่มสาว ไรอันเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถามหลังจากฟังจบ  


 


 


ผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงส่ายหน้า ก่อนล้วงมือถือออกมาพร้อมพูดว่า “ไม่รู้ว่าทำไม หน้าจอถึงแสดงผลอยู่นอกพื้นที่สัญญาณตลอด…ฉันพาลูกมาด้วย ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ก็เลยได้แต่มาขอความช่วยเหลือค่ะ” 


 


 


พวกคนหนุ่มสาวต่างมองหน้ากัน แล้วเอลลีก็ล้วงโทรศัพท์ออกมา พูดอย่างงงงันว่า “ของฉันก็ไม่มีสัญญาณเหมือนกัน” 


 


 


 “ของฉันก็เหมือนกัน” กลอเรียก็ก้มหน้าดูโทรศัพท์ของตัวเอง 


 


 


 “ของผมก็เหมือนกัน” 


 


 


 “ของผมก็…” 


 


 


ลั่วชิวเห็นพวกไรอันสี่คนมองมาทางตนเป็นตาเดียว จึงล้วงโทรศัพท์ตัวเองออกมา ก่อนส่ายหัวแล้วบอกว่า “ผมคิดว่าของผมก็เป็นเหมือนกัน” 


 


 


 “ที่นี่ไม่อยู่ในพื้นที่บริการเหรอ?” ไรอันพูดอย่างงงงัน “แต่เมื่อกี้ก่อนเข้ามาในนี้ เครือข่ายก็ยังใช้ได้อยู่เลย ใช้ไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไร…” 


 


 


 “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกปัญหาเรื่องสัญญาณนะ แต่เราควรคุยกันว่าจะช่วยผู้หญิงคนนี้ยังไงดี” จู่ๆ เอลลีก็กัดนิ้วหัวแม่โป้งตนเองแล้วพูดว่า “จริงสิ คุณลั่วชิวคะ ที่นี่ยังมีเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ อีกหรือเปล่าคะ? ฉันหมายถึงโทรศัพท์บ้านน่ะค่ะ” 


 


 


 “ต้องขออภัยด้วย ไม่มีหรอกครับ” 


 


 


ทันใดนั้นลั่วชิวก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ดูสถานการณ์แล้วคงได้แต่รอให้มีสัญญาณ หรือรอให้ฟ้าสางในวันพรุ่งนี้ ถ้ายังไม่มีสัญญาณก็ค่อยออกไปหาตำรวจมาช่วยเหลือกัน แน่นอนว่าหากไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับคุณผู้ชายที่หายตัวไป แล้วเขาสามารถหาที่นี่เจอได้ด้วยตนเอง นั่นก็ถือว่าดีที่สุดเลยครับ” 


 


 


 “พวกเรามีคนเยอะขนาดนี้ ตอนนี้ก็น่าจะออกไปช่วยกันหาได้ไม่ใช่เหรอ…” จู่ๆ ไรอันก็มีท่าทางกระตือรือร้น แต่พอเห็นสายตาของเลห์แมนเพื่อนสนิท เขาจึงลดเสียงลงพูดว่า “ฉันก็แค่เสนอความเห็นบ้างเท่านั้นเอง” 


 


 


สำหรับแม่ของเด็กหญิงแล้ว บางทีเธอคงอยากได้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน เธอจึงใช้สายตาอ้อนวอนมองทุกคน 


 


 


กลอเรียมองความมืดมิดยามค่ำคืนด้านนอกห้องรับแขกโดยทันที แล้วยกมือมาลูบแขนของตัวเอง พลางพูดอย่างลังเลว่า “แถวนี้ไม่มีบ้านพักอื่นแล้วจริงๆ เหรอคะ?” 


 


 


แม่ของเด็กน้อยแววตาเศร้าหมองไปทันที…คิดแล้วก็จริง บางทีอาจจะเจออันตรายก็ได้ นับประสาอะไรกับสถานการณ์ที่มีคนหายตัวไปแบบนี้ 


 


 


เธอรู้ว่าไม่สามารถฝืนใจใครได้ 


 


 


 “คุณนายแม็กกี้ ไม่ทราบว่าคุณยังจำจุดที่สามีคุณหายตัวไปได้ไหมครับ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังมาจากโต๊ะอาหารด้านหลัง 


 


 


อเล็กซ์ 


 


 


 “ฉันจำได้ค่ะ!” 


 


 


อเล็กซ์ใช้ผ้าเช็ดปากบนโต๊ะอาหารเช็ดปากตัวเอง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าไม่รังเกียจ ผมลองกลับไปหาจุดเดิมเป็นเพื่อนคุณก็ได้นะครับ” 


 


 


 “ผม ผมก็ไปช่วยได้เหมือนกันครับ” ไรอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เขาพูดพร้อมค่อยๆ ชูมือของตัวเองขึ้น 


 


 


เหมือนจะเรียกความกล้าให้ได้มากพอ 


 


 


ในระหว่างที่ยังคลุมเครืออยู่นั้น สายตาของเอลลีดูเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เห็นไรอันเอ่ยปากไปแล้ว เลห์แมนก็ขมวดคิ้วลุกขึ้นเสนอตัวเองทันที “ถ้างั้น ผมก็ไปเป็นเพื่อนคุณด้วยแล้วกัน มีเพิ่มมาอีกคนดีกว่าขาดไปหนึ่งคน แต่กลอเรียกับเอลลีรออยู่ที่นี่โอเคไหม?” 


 


 


ดูเหมือนว่าจะตกลงกันแบบนี้ 


 


 


คุณแม็กกี้ผู้เป็นแม่ของเด็กน้อยกลับไปยังจุดที่สามีเธอหายตัวไปอีกครั้ง พร้อมกับอเล็กซ์ เลห์แมน และไรอันสามคน 


 


 


แม้ว่าจะรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่แม็กกี้ก็เลือกฝากลูกสาวของตนไว้ที่นี่…บางทีอาจเพราะเคยเจอชายหนุ่มคนนี้บนขบวนรถไฟมาแล้วครั้งหนึ่ง หรือต้องการที่ที่ปลอดภัยให้ลูกสาวมากกว่า 


 


 


ตอนที่คุณนายแม็กกี้กำลังตัดสินใจทำแบบนี้ ในที่สุดก็เหมือนได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ไปแล้ว 


 


 


 “ถ้าอย่างนั้น หวังว่าเทพธิดาแห่งความโชคดีจะอวยพรให้พวกเราโชคดีในการเดินทางครั้งนี้” 


 


 


อเล็กซ์ยิ้มพูดอยู่หน้าประตู ก่อนขึ้นรถเก๋งคันที่คุณนายแม็กกี้ขับกลับมา 


 


 


เอลลีกุมมือของเด็กสาวไว้แน่น เธอมองตามรถที่แม่ขับออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ จนกระทั่งลับสายตาไปถึงได้หันกลับมา แล้วโผเข้าหาพี่สาวคนนี้ 


 


 


หลังจากเอลลีพูดปลอบใจแล้ว ก็พาเด็กน้อยเข้าบ้านไป แล้วก็เห็นกลอเรียเอาแต่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องรับแขก เหมือนเธอจะเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว 


 


 


เอลลีอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง 


 


 


แล้วเธอก็มองไปทางชายหนุ่มเจ้าของบ้านพักหลังนี้ทันที แล้วก็เห็นว่าเขากำลังอ่านหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่งอยู่ น่าจะเป็นหนังสือจากบนชั้นหนังสือตรงผนังห้องรับแขกล่ะมั้ง 


 


 


ท่าทางเขาดูไม่กังวลเลยสักนิด…หมอนี่ใจเย็นเกินไปแล้ว เอลลีก็เริ่มคิดได้ 


 


 


หลังจากผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว คุณสาวใช้ก็ยกแก้วชาเดินเข้ามาในห้องรับแขก แล้วย่อตัวลงยกแก้วชามาวางบนโต๊ะ พร้อมพูดเบาๆ ว่า “ดื่มชาดอกไม้สักหน่อยนะคะ นี่เป็นชาดอกกระเจี๊ยบ ช่วยให้ผ่อนคลายและสดชื่นค่ะ” 


 


 


โยวเย่ส่งแก้วชาไปตรงหน้าทุกคนทีละแก้ว 


 


 


เอลลีพูดขอบคุณเธอ 


 


 


ส่วนกลอเรียเริ่มเดินวนไปวนมาอยู่ตลอด ตอนนี้ถึงแม้จะรับแก้วชามาแล้ว ก็แค่ถือไว้ในมือ ดื่มไปด้วยเดินวนไปด้วย เหมือนมีเรื่องบางอย่างกวนใจเธอ คิดเสียจนตกอยู่ในภวังค์ 


 


 


 “ไหนดูสิ หนูชื่ออะไรจ๊ะ?” 


 


 


คุณสาวใช้เดินมาอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง 


 


 


 “ลีน่าค่ะ!” 


 


 


 “ลีน่าเป็นเด็กดีนะ” คุณสาวใช้ลูบผมเด็กน้อย “หนูกลัวไหม?” 


 


 


ลีน่าพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามทันที “พี่คะ พ่อของหนูจะเป็นอะไรไหมคะ?” 


 


 


 “ไม่รู้สิจ๊ะ” โยวเย่ตอบเบาๆ “แต่คนที่ไม่เป็นอะไร ย่อมไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้ห่วงมากกว่านี้ก็ยังเกิดเรื่องขึ้นอยู่ดี เธออยากให้เกิดเรื่อง หรือว่าไม่อยากล่ะ?” 


 


 


เด็กน้อยอึ้งไป เธอเอียงศีรษะ…มันยากที่เธอจะเข้าใจคำพูดของพี่สาวคนสวยคนนี้ เด็กน้อยลีน่าก้มหน้าดื่มชา แล้วก็มองดูรอบๆ อย่างประหลาดใจ 


 


 


“พี่สาวคนนี้แปลกจังเลยค่ะ” 


 


 


จู่ๆ ลีน่าก็กระซิบข้างหูโยวเย่ แน่นอนว่าเธอพูดถึงกลอเรีย 


 


 


 “แปลกตรงไหนเหรอ?” โยวเย่ถามด้วยความอยากรู้ 


 


 


ลีน่าตอบทันที “หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม เห็นไหมคะ พี่สาวเดินสามก้าวก็หมุนตัวกลับ แล้วก็เดินสามก้าวแล้วก็หมุนตัวกลับ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” 


 


 


 “จริงเหรอเนี่ย” คุณสาวใช้อมยิ้มน้อยๆ 


 


 


เธอลุกขึ้นยืน แล้วสุดท้ายก็ลูบศีรษะลีน่าอีกครั้ง ก่อนเดินมานั่งลงข้างๆ ลั่วชิว 


 


 


แล้วเธอก็นั่งเงียบๆ อยู่แบบนี้ ไม่มีเสียงและการขยับใดๆ อีกเลย 


 


 


เอลลีมองอย่างใคร่รู้แวบหนึ่ง…ก็รู้สึกเหมือนกำลังมองหุ่นกระบอก 


 


 


… 


 


 


ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก เสียงนาฬิกาในห้องรับแขกเดินไปเรื่อยๆ  


 


 


เหมือนจะคล้ายจังหวะเสียงการเต้นของหัวใจ เข็มนาฬิกาที่ขยับแต่ละครั้งคล้ายดังเข้าไปถึงใจคน 


 


 


กลอเรียไม่รู้ว่านั่งลงไปตั้งแต่เมื่อไร บางทีคงเดินจนเหนื่อยแล้ว จึงก้มหน้าดูโทรศัพท์ แล้วก็มองเอลลีอีก ดูเหมือนว่าเธออยากจะหาเรื่องคุยสักหน่อย แต่อ้าปากหลายครั้ง จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว 


 


 


สายตาของเด็กน้อยลีน่ากลับมามองที่ห้องรับแขก…ถึงเวลานอนของเธอตั้งนานแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องที่เจอมาทั้งหมด ได้รบกวนเวลาพักผ่อนตามปกติของเธอ 


 


 


ลีน่าสวมชุดเดรสลายดอกเล็กๆ ถุงเท้าสีขาวและรองเท้าสีแดง ตอนนี้เธอค่อยๆ ไถตัวลงจากโซฟา  


 


 


แล้วเธอก็เห็นกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยมใบใหญ่หนึ่งใบ มันวางอยู่ตรงมุมที่เชื่อมต่อห้องรับแขกกับห้องอาหาร 


 


 


ลีน่าจึงเดินดุ่มๆ ไปทางกระเป๋าใบนั้นอย่างเผลอไผล 


 


 


ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ 


 


 


เธอยื่นมือออกมาจะไปลูบกระเป๋าเล็กๆ ใบนี้ 


 


 


ใกล้แล้ว 


 


 


ป้าบ! 


 


 


ทันใดนั้นเอง ลีน่าก็ได้ยินเสียงดังขึ้น เธอตกใจจนตัวสะดุ้งโหยงทันที แล้วรีบหันไปมอง 


 


 


เสียงปิดหนังสือในมือของพี่ชายคนนั้นดังขึ้นกะทันหัน แล้วพี่ชายก็หันมาพูดกับเธอเบาๆ ว่า “แตะต้องของของคนอื่นตามใจชอบ ไม่ใช่สิ่งที่เด็กดีเขาทำกันนะ” 


 


 


ลีน่าแลบลิ้น แล้วรีบเอามือสองข้างไพล่หลังอย่างรวดเร็ว 


 


 


ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ ก่อนหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งจากกล่องขนมบนโต๊ะชาข้างๆ ตัวไปให้ “กินไหม?” 


 


 


ลีน่าพยักหน้าแล้วรีบเดินไปหาเจ้าของร้านลั่ว 


 


 


ทันใดนั้นเอง กระเป๋าด้านหลังเธอก็…เริ่มขยับเล็กน้อย  

 

 


บทที่ 2

 

บทที่ 68 คืนเงียบสงัด (2)

 

ลูกอมรสนมสตรอว์เบอร์รีเหมือนจะถูกปากลีน่ามากๆ 


 


 


“พี่ชายเล่านิทานให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ?” ลีน่าเอ่ยถามทันที 


 


 


“นิทาน?” 


 


 


สาวน้อยพยักหน้าพูด “ก่อนนอนทุกคืน คุณแม่จะเล่านิทานกล่อมหนูเข้านอนค่ะ” 


 


 


ฉับพลันนั้น ลั่วชิวก็นึกถึงพวกปีศาจตัวน้อยในอารามเต๋าของหยางไท่จื่อ ครั้งนั้นเขาก็ถูกขอร้องแบบนี้…เขาจึงเริ่มมีความคิดแปลกๆ ทันที 


 


 


คงไม่ได้เห็นเขาเป็น…พวกกล่อมเด็กซนด้วยการเล่านิทานหรอกนะ 


 


 


“เธออยากฟังเรื่องอะไรล่ะ?” 


 


 


ลีน่าคิดอยู่สักพักก็ตอบว่า “พี่ชาย พี่รู้ตอนจบของเรื่องนั้นไหม? เรื่องที่แม่เล่าให้หนูฟังบนรถไฟเมื่อตอนกลางวัน” 


 


 


ลั่วชิวตอบ “พ่อเธอเล่าตอนจบไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


“ลีน่าไม่เชื่อตอนจบของพ่อหรอก!” เด็กน้อยเงยหน้า เบ้ปากแล้วพูดว่า “หนูอยากฟังตอนจบที่แท้จริง!” 


 


 


“งั้นเธอคิดว่าตอนจบที่แท้จริงควรเป็นแบบไหน?” ลั่วชิวถามกลับทันที 


 


 


สาวน้อยก้มหน้าคิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า “อืม…คุณปีศาจน่าสงสารมาก! เขาควรจะได้แต่งงานกับสาวน้อย จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสิคะ!” 


 


 


“คุณปีศาจอะไร?” ทันใดนั้นเอลลีก็พูดแทรกทั้งสอง…บางทีอาจเป็นเพราะเงียบเกินไป เธอจึงต้องการพูดคุยด้วยและสร้างบรรยากาศคึกคักเล็กน้อย 


 


 


“ได้ยินมาว่าเป็นปีศาจที่ใจดีแต่อัปลักษณ์มาก” ลั่วชิวมองเอลลี เขาค่อยๆ เล่าเรื่องส่วนแรกที่ได้ยินมาจากคุณนายแม็กกี้ 


 


 


“ที่แท้ก็เรื่องนี้เองเหรอ!” เอลลีนึกได้ทันที เธอเห็นสาวน้อยปรายตามองมา จึงยิ้มพร้อมพูดว่า “ตอนฉันยังเด็กก็เคยฟังเรื่องนี้…อืม ความจริงก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาในแถบนี้นะ” 


 


 


ลีน่ารีบหันมาทางเอลลีที่อยู่ข้างกายเจ้าของร้านลั่วทันที 


 


 


เอลลีลูบหัวของเธอแล้วพูดว่า “แต่ว่านะ ตอนท้ายของเรื่อง คุณปีศาจกับสาวน้อยไม่ได้แต่งงาน และใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขหรอก” 


 


 


“เอ๋? ทำไมล่ะคะ?” ลีน่าพูดแบบผิดหวังทันที “หรือว่า คุณปีศาจกินเจ้าสาวของเขาไปแล้วจริงๆ?” 


 


 


เดี๋ยวก่อน…ทำไมจู่ๆ ก็กระโดดไปถึงตอนเจ้าสาวแล้วล่ะ? ลั่วชิวมองสาวน้อยคนนี้อย่างแปลกใจ…เธอจินตนาการไปถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย 


 


 


“ไม่นะ” เอลลีพูดหน้าตาจริงจังว่า “ตรงกันข้าม ต่อจากนั้นสาวน้อยคนนั้นก็กินหัวใจของคุณปีศาจ!” 


 


 


“ทำไมเธอต้องกินหัวใจของคุณปีศาจคะ?” สาวน้อยลีน่าแสดงท่าทางเศร้าโศก 


 


 


เอลลีตอบเฉยเมยว่า “ตอนท้ายของเรื่อง สาวน้อยที่โตแล้วจากคุณปีศาจไป เธอไปอยู่ที่โลกข้างนอก ได้พบคนมากหน้าหลายตา แล้วก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ต่อมาเธอก็ไปหลงรักลูกชายของตระกูลสูงศักดิ์คนหนึ่ง แต่ถึงแม้สาวน้อยโตแล้ว แต่หน้าตาก็ไม่ได้สะสวย ลูกชายของตระกูลสูงศักดิ์จึงไม่ได้ชอบเธอ ต่อมาเธอก็บังเอิญพบพ่อมดคนหนึ่ง พ่อมดคนนั้นบอกเธอว่า แค่กินหัวใจของคุณปีศาจ เธอก็จะกลายเป็นสาวสวยทันที จากนั้นทุกคนก็จะตกหลุมรักเธอ” 


 


 


เอลลีถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลังคุณปีศาจรู้เรื่องนี้แล้ว เขาก็เสียใจมาก แต่เขาก็ยังควักหัวใจของตัวเองออกมา เพราะว่าเขารักสาวน้อยคนนี้มาก แม้ว่าสาวน้อยโตแล้วจะไม่ชอบเขา เขาก็ยังอยากให้เธอมีความสุข ดังนั้นคุณปีศาจจึงควักหัวใจของตัวเองออกมา แล้วส่งให้เธอด้วยมือเขาเอง จากนั้นก็จากไปเพียงลำพัง” 


 


 


“งั้น งั้นสุดท้ายก็แต่งงานกับลูกชายของตระกูลผู้สูงศักดิ์จริงๆ ใช่ไหมคะ?” 


 


 


“เปล่าหรอก” เอลลีส่ายหน้าพูดว่า “หลังกินหัวใจของคุณปีศาจ เธอก็ไม่ได้สวยขึ้นเลยสักนิด ตรงกันข้าม เธอกลับอัปลักษณ์เหมือนคุณปีศาจ ลูกชายตระกูลสูงศักดิ์ยิ่งไม่ชอบเธอ แม้แต่พ่อแม่ของเธอก็รังเกียจเธอ สุดท้ายเธอก็ทำได้แค่กลับไปใช้ชีวิตในป่า ไม่กล้าพบเจอผู้คน เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีคุณปีศาจอยู่เป็นเพื่อนเธออีกแล้ว” 


 


 


แล้วลีน่าก็ถามอย่างเศร้าสลดว่า “คุณปีศาจ…เขาตายหรือยังคะ?” 


 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องจบแค่ตรงนี้ แต่ต่อมาก็มีเรื่องเล่าต่อๆ กันอีกว่า หลังจากคุณปีศาจควักหัวใจตัวเองออกมา ก็วนเวียนอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง” 


 


 


เอลลีพูดช้าๆ “มีคนบอกว่า ปีศาจไม่มีหัวใจและก็ไม่มีความทรงจำ เหลือแค่ร่างกายเหมือนกับซอมบี้ แต่เขาก็อยากหาหัวใจของตัวเองกลับมา เขาจึงจู่โจมสาวน้อยไร้เดียงสาไปทั่ว คิดอยากตามหาหัวใจดวงนั้นที่ตัวเองทำหายไป แม้ว่าเขาจะกินสาวน้อยไปแล้วมากมาย แต่สุดท้ายก็หาไม่เจอ คุณปีศาจจึงระหกระเหินมาถึงริมทะเลสาบ แล้วตัดสินใจกระโดดลงไปในนั้น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย” 


 


 


“คุณปีศาจน่าสงสารจัง!” ลีน่าโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิม 


 


 


เอลลีทำได้แค่ยื่นมือไปลูบใบหน้าของลีน่า แล้วปลอบเธอเบาๆ 


 


 


“นี่เป็นตำนานในถิ่นนี้เหรอครับ?” ลั่วชิวถามทันที 


 


 


เอลลีพยักหน้า แล้วฝืนยิ้มพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าคนแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาคิดอะไรอยู่ พอโตขึ้นแล้วนึกย้อนกลับไป ฉันก็คิดว่าไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้เด็กฟังเลย” 


 


 


แต่เธอก็เล่าไปแล้วไม่ใช่เหรอ? 


 


 


เจ้าของร้านลั่วไม่รู้ว่าเอลลีคิดแผลงๆ อะไร เขาส่ายหน้า แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง พูดเบาๆ ว่า “ทะเลสาบนั่น…” 


 


 


“ที่นี่นั่นแหละ ทะเลสาบลาโดกา” 


 


 


… 


 


 


… 


 


 


ทั้งสามคนพากันเปิดหน้าต่างรถ ใช้ไฟฉายในมือส่องไปทางต้นไม้ริมสองข้างถนนเล็กๆ แล้วเรียกชื่อขอสามีคุณนายแม็กกี้ไม่หยุด 


 


 


แต่เหมือนบนถนนก็ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง 


 


 


“ตามหลักแล้ว ที่ห่างไกลความเจริญขนาดนี้ อย่างน้อยต้องอีกยี่สิบสามสิบโลถึงจะเจอบ้านคนอีกสักหลัง…คงไม่ได้เจอพวกสัตว์ป่าขนาดใหญ่เข้าหรอกนะ?” 


 


 


จู่ๆ เลห์แมนก็พูดสมมติฐานของตัวเองขึ้นมา ไรอันจึงอดกระทุ้งแขนใส่คนคนนี้ไม่ได้ 


 


 


“คุณแม็กกี้วางใจได้ครับ ที่นี่ไม่ใช่เขตอันตรายที่มีพวกหมีสีน้ำตาล ถึงจะเป็นสัตว์ป่า แต่ผมว่าน่าจะเป็นหนูเยอะกว่านะครับ” ไรอันรีบพูดปลอบใจ 


 


 


“ตรงนี้แหละค่ะ เมื่อกี้พวกเราก็จอดรถไว้ตรงนี้” คุณนายแม็กกี้จอดรถตรงที่เดิม 


 


 


“งั้นพวกเราลงรถไปหาให้ละเอียดก่อน แล้วดูว่าเจออะไรหรือเปล่า” อเล็กซ์พูดเสนอ 


 


 


คุณนายแม็กกี้พยักหน้าเล็กน้อย แล้วชี้ไปทางหนึ่ง “ฉันเจอมือถือสามีข้างหน้านั้นค่ะ” 


 


 


ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งหน้าเดินเข้าป่าไปทางนี้ รองเท้าเหยียบโดนกิ่งไม้แห้งและใบไม้จนเกิดเสียงดังตลอดทาง 


 


 


“ฉันเริ่มสัมผัสบางอย่างได้แล้ว” 


 


 


เลห์แมนเดินอยู่ข้างหลัง 


 


 


เขาพูดกระซิบกระซาบข้างหูของไรอัน “เดี๋ยวพวกเราจะเจอศพของ…สามีคุณนายแม็กกี้!” 


 


 


ไรอันอึ้งแล้วตำหนิ “อย่าพูดเหลวไหล!” 


 


 


แต่เลห์แมนกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รู้สึกว่าตื่นเต้นเหรอ? ตอนที่พวกเราเจอศพ อยู่ๆ ศพก็เด้งขึ้นมา ‘แฮ่!’ ใส่! แล้วก็วิ่งไล่นาย วิ่งไล่นายไปเรื่อยๆ! เป็นอะไรไป? ฉันแค่พูดไปอย่างนั้นเอง นายตกใจจนสติหลุดไปแล้วหรือไง? ขี้ขลาดขนาดนี้ นายจะไปได้ใจเอลลีได้ยังไง?” 


 


 


“เลห์แมน พวกเราเดินหลงหรือเปล่า?” ไรอันกลืนน้ำลาย แสงไฟฉายส่องไปข้างหน้า 


 


 


ไม่มีใครเลยสักคน  

 

 


บทที่ 2

 

บทที่ 69 คืนเงียบสงัด (3)

 

“คุณนายแม็กกี้! อเล็กซ์! คุณนายแม็กกี้…” 


 


 


ไรอันลองร้องเรียกคุณนายแม็กกี้และอเล็กซ์ดังๆ แต่ผ่านไปนานแล้ว เขากลับมองไม่เห็นวี่แววเลย เห็นก็แต่หมอกที่ปลายแสงไฟฉายในป่า 


 


 


“ทำยังไงดี! เลห์แมน…” เขาอดมองเพื่อนของตัวเองอย่างตื่นตระหนกไม่ได้ จนถึงขนาดจับแขนของอีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูก  


 


 


“ใจเย็นๆ หน่อย อย่าตกใจไปเองสิ” เลห์แมนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดว่า “พวกเราควรลองคิดว่าเริ่มหลงจากกันที่ไหนกันแน่…ไม่ใช่สิ ตอนนี้พวกเราควรกลับไปที่จอดรถ พอพวกเขารู้ว่าพวกเราหายไป อาจจะกลับไปรอพวกเราที่รถก็ได้” 


 


 


ไรอันพยักหน้าเข้าใจ 


 


 


แล้วพวกเขาก็ขยับตัวเดินกลับทันที แต่ไรอันดันไม่ระวังเดินตกหลุมหลุมหนึ่ง จึงเผลอร้องโอดครวญออกมา 


 


 


บางทีอาจด้วยเลห์แมนเริ่มกระวนกระวายแล้ว เขาจึงก่นด่าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ระวังหน่อยสิ! ไอ้เซ่อนี่” 


 


 


“ชะ ช่วยพยุงฉันหน่อยสิ” ไรอันยื่นมือออกมาจากในหลุมดินเล็กๆ 


 


 


เลห์แมนจึงยื่นมือออกไปรับ แต่หลังจากที่ไฟฉายในมือเขาส่องไป เขาก็ต้องตกใจกลัวจนตัวสั่นทันที “ไรอัน…นายทับอะไรอยู่?” 


 


 


“นาย นายอย่าทำให้ฉันตกใจสิ” ไรอันตกใจกลัว 


 


 


เขาเอามือคลำไปที่ด้านหลังของตัวเองตามสัญชาตญาณ…นิ่มๆ อุ่นๆ ไม่เหมือนสัมผัสดินแม้แต่น้อย พอไรอันหันไปดูก็ตกใจสุดขีด 


 


 


“เป็นแม็ก คุณนายแม็กกี้!!” 


 


 


ไรอันรีบยันตัวขึ้นมาทันที พลางตะโกนบอกด้วยความกลัวสุดขีด! เลห์แมนขยับไฟฉายในมือตัวเองทันที ตอนแสงไฟฉายสาดไปบนส่วนหัวของคุณนายแม็กกี้ 


 


 


ปรากฏว่าคุณนายแม็กกี้ก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน 


 


 


“หาย…หายใจไหม?” เลห์แมนกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ยังถือว่าเขาใจเย็นอยู่ แต่ไรอันกลับไม่สามารถสงบสติได้อย่างเห็นเด่นชัด นิ้วที่สั่นเทาของเขาค่อยๆ ยื่นออกไปทาบรูจมูกของคุณนายแม็กกี้ 


 


 


“มะ ไม่หายใจแล้ว!” 


 


 


… 


 


 


… 


 


 


โยวเย่คลุมผ้าห่มผืนบางไปบนตัวของสาวน้อยลีน่าช้าๆ 


 


 


เที่ยงคืนแล้ว เลยเวลาที่สาวน้อยลีน่าควรนอนมานานแล้ว บางทีที่เธอนอนดึกกว่าปกติอาจมาจากความกังวล แต่เลยเวลามามากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายของเธอเกิดการต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


เธอจึงนอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาด้วยเพราะง่วงจนทนไม่ไหว  


 


 


“ฉันไปเก็บถ้วยชามนะคะ” คุณสาวใช้เห็นว่าไม่มีเรื่องให้ทำเพิ่มแล้ว ถึงเดินไปพูดข้างหน้าลั่วชิว “จานไม่ได้เยอะ เลยไม่คิดจะทิ้งไว้จนถึงพรุ่งนี้ค่ะ” 


 


 


ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย หลังโยวเย่เก็บถ้วยชามเดินเข้าครัวไปแล้ว เขาก็มองดูเวลาบนนาฬิกาข้างกำแพงทันที แล้วจึงมองเอลลีอีกครั้ง 


 


 


เธอนั่งอยู่ที่ปลายโซฟาด้านหนึ่ง กำลังเท้าคางตัวเอง และนอนสัปหงก…ด้วยไม่มีอินเทอร์เน็ต และสภาพแวดล้อมเงียบสงัดแบบนี้ จึงชวนให้คนง่วงงุนได้ง่าย โดยเฉพาะยิ่งต้องรอคอยอย่างห่วงใยด้วยแล้ว 


 


 


ประมาณนั้น 


 


 


เอลลีเริ่มสัปหงกหนักจนหัวลื่นจากมือ เธอจึงตกใจตื่น ก่อนเริ่มมองไปรอบๆ แต่เธอกลับมองเห็นแค่กลอเรียที่หลับสนิทไปแล้ว ฟุบอยู่อีกปลายด้านหนึ่งของโซฟา 


 


 


เธออดถามไม่ได้ว่า “พวกเขายังไม่กลับมาอีกเหรอคะ?” 


 


 


ลั่วชิวส่ายหน้า “ถ้าคุณเอลลีง่วง ไปพักในห้องก็ได้ครับ ความจริงนับดูแล้วที่นี่ก็มีห้องอยู่เยอะ บางทีอาบน้ำสักหน่อย คุณอาจจะดีขึ้น” 


 


 


เอลลีได้ยินเสียงล้างชามดังออกมาจากในห้องครัว จึงไม่ได้ถามว่าหาโยวเย่ แต่ส่ายหน้าพูดว่า “เดี๋ยวค่อยว่ากันเถอะค่ะ ยังไงไรอันกับเลห์แมนก็ยังไม่กลับมา…”  


 


 


“อืม…” ทันใดนั้นลั่วชิวก็ลุกขึ้นเดินไปข้างๆ ลีน่าตัวน้อย 


 


 


เด็กน้อยขยับตัวเล็กน้อยขณะอยู่ในห้วงฝัน จนผ้าห่มเกือบจะร่วงลงมา หลังเจ้าของร้านลั่วเอาผ้าห่มคลุมเธอไว้ให้ดีอีกรอบ ถึงได้ถามว่า “ไรอัน…เลห์แมนเป็นเพื่อนสนิทของคุณเอลลีหรือครับ?” 


 


 


เอลลีสางผม ทำท่าง่วงเหงาหาวนอน แล้วสูดลมหายใจลึกๆ เรียกสติกลับมา “ไรอันเรียกได้ว่าเป็นแฟนของฉันล่ะมั้งคะ พวกเราเพิ่งเริ่มคบกันไม่นาน ส่วนเลห์แมนกับกลอเรียอยู่ด้วยกันมานานมาก” 


 


 


เห็นเอลลีมองไปที่ปลายอีกด้านของโซฟา เจ้าของร้านลั่วก็มองตามสายตาเธอไป เขาพยักหน้าพูดว่า“คุณเอลลีกับคุณกลอเรียรู้จักกันมานานหรือยังครับ” 


 


 


“พวกเราเป็นเพื่อนกันสมัยมัธยมปลายค่ะ ต่อมาก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน” เอลลีพูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “เธอเป็นคนร่าเริงมากค่ะ ฉันดีใจมากที่ได้เจอเธอ” 


 


 


“คุณเอลลีก็ใช้ได้นะครับ” เจ้าของร้านลั่วชมเธออย่างสุภาพ 


 


 


สายตาเอลลีเศร้าสลดลงทันที มุมปากเพียงแค่ฉีกยิ้มเป็นมุมโค้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนเธอไม่อยากพูดประเด็นนี้ต่อแล้ว จึงถามว่า “จริงสิ แล้วคุณลั่วชิวสร้างบ้านพักในสถานที่แบบนี้ได้ยังไงกันคะ?” 


 


 


แถวนี้ไม่มีบ้านเรือน แต่ดูการตกแต่งในบ้านแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่ามีมูลค่าไม่น้อย… 


 


 


“ลูกค้าท่านหนึ่งให้ที่นี่กับผมครับ” ลั่วชิวพูดต่อว่า “ช่วงนี้ไม่มีอะไรทำพอดี ก็เลยมาอาศัยอยู่สักพักหนึ่ง อีกอย่างสำหรับผมแล้ว ความสงบเงียบแบบนี้กำลังดีเลยครับ” 


 


 


เขานั่งลงอีกครั้ง แล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “บางครั้งทำงานจนเหนื่อยล้า ว่างพักสักวันสองวันก็เป็นวิธีเติมพลังที่ดีนะครับ” 


 


 


เอลลียิ้มแล้วพูดว่า “งั้นพวกเราไม่กวนคุณแล้วล่ะค่ะ”  


 


 


“อย่าใส่ใจไปเลยครับ” ลั่วชิวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ผมเป็นพวกดึงดูดความครื้นเครงอะไรแบบนั้นน่ะครับ มักจะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวผมเสมอ ตัวอย่างเช่น…อืม ก็เหมือนกับคุณปีศาจในเรื่องเมื่อกี้ไงครับ ถ้าอยู่ๆ เขาจะปรากฏตัวออกมาจากกลางทะเลสาบกะทันหัน ผมว่าผมก็คงไม่ตกใจเท่าไร” 


 


 


จู่ๆ เอลลีก็ถูแขนที่ขนลุกขนพองเล็กน้อย ก่อนมองทะเลสาบมืดสนิทนอกระเบียงของห้องรับแขกทันที “ฟังคุณพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกเสียวสันหลังเลย…พูดเหมือนเรื่องจริงเลยค่ะ” 


 


 


ลั่วชิวมองเอลลีค้างอยู่แบบนี้ 


 


 


เอลลีก็กำลังมองเจ้าของร้านลั่วเช่นเดียวกัน 


 


 


ทั้งสองคนสบตาแล้วก็ส่งยิ้มให้กัน บรรยากาศเหมือนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วประเด็นสนทนาก็เริ่มขึ้นด้วยเหตุนี้ เอลลีสังเกตห้องรับแขกนี้อีกครั้ง “จะว่าไป ลูกค้าของคุณใจกว้างจริงๆ นะคะ ถึงแม้ที่นี่จะค่อนข้าง…อืม เงียบสงบ แต่บ้านพักนี้หลังนี้ก็ดีจริงๆ นะคะ! ฉันชักจะแปลกแล้วสิว่าคุณทำธุรกิจอะไร ลูกค้าถึงให้ของขวัญแบบนี้กับคุณ”  


 


 


“ธุรกิจอะไรนะ…” ลั่วชิวคิดแล้วก็ตอบว่า “ขายสิ่งที่ลูกค้าต้องการล่ะมั้งครับ คุณก็รู้ว่าคนที่ปรารถนาบางสิ่ง เพื่อให้ได้สิ่งที่หวังไว้แล้ว ก็จะใจกว้างเป็นพิเศษครับ” 


 


 


เอลลีอึ้งไป บอกว่าขายสิ่งที่ต้องการบางอย่างให้ลูกค้าแบบนี้มันคลุมเครือมาก แทบจะเหมือนกับไม่ได้อธิบายอะไรเลย 


 


 


เธอขมวดคิ้วถามอีกว่า “ของที่อยากได้…อะไรบ้างคะ?” 


 


 


ลั่วชิวยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบเบาๆ “คุณเอลลีลองคิดดูก่อนสิครับ ว่าของที่คุณอยากได้คืออะไร” 


 


 


“ฉัน?” เอลลียักไหล่พูด “ฉันคิดว่าที่ดีที่สุดคงเป็นให้พวกไรอันกลับมาตอนนี้เลย”  


 


 


แล้วตอนนี้เอง เธอก็ได้ยินเสียงทุบประตูดังขึ้น จึงตะลึงไปทันที จากนั้นก็พูดอย่างแปลกใจว่า “พวกเขากลับมาแล้ว! ลั่วชิว คุณมหัศจรรย์มาก ฉันเพิ่งพูด พวกเขาก็กลับมาเลย ฉันจะไปเปิดประตูนะคะ!” 


 


 


ลั่วชิวยืนขึ้นเดินตามมา 


 


 


เขาเห็นเอลลีเดินไปหน้าประตูและเปิดมันอย่างรวดเร็ว  


 


 


วินาทีที่เปิดประตูเปิดออก เอลลีกลับเห็นแค่ไรอันและเลห์แมน ทั้งสองคนรีบเดินเข้ามา แต่สีหน้าของพวกเขาซีดขาวผิดปกติ อีกทั้งยังดูตกใจมากด้วย 


 


 


ริมฝีปากของไรอันดูแห้งผากเล็กน้อย ทั้งยังเหมือนล้มมาก่อนหน้านี้ จึงมีสีของดินโคลนเปื้อนเสื้อผ้าเล็กน้อย 


 


 


เอลลีถามอย่างสงสัยทันที “พวกนายเป็นอะไรไป?” 


 


 


แต่กลับเห็นเลห์แมนหายใจหอบ เขาปรับลมหายใจของตัวเองไปพร้อมๆ กับพูดอย่างรวดเร็วว่า “ศพ!พวกเราเจอศพ! ศพคุณนายแม็กกี้นั่น!” 


 


 


“อะไรนะ?” เอลลีร้องตกใจทันที 


 


 


เธอหันตัวมามองทันที ก็พบว่าเจ้าของบ้านพักหลังเดินเข้ามาอย่างแปลกใจ ราวกับได้ยินเสียงร้องตกใจของเธอ 


 


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?” 


 


 


เอลลีรีบพูดว่า “มะ เมื่อกี้นี้ เลห์แมนบอกว่าเขาเจอศพ…” 


 


 


แล้วเธอก็ลดเสียงเบาลง “…คุณนายแม็กกี้” 


 


 


ไรอันมองเอลลีแล้วพูดอย่างตื่นกลัว “จริงๆ นะ! ฉันไม่ระวังเลยเดินตกหลุม จากนั้นก็เจอศพของคุณนายแม็กกี้! ก่อนเจอพวกเราหลงกับเธอ ไม่ ไม่นึกว่า…” 


 


 


“เป็นแบบนี้ได้ยังไง…” เอลลีไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “แต่…จริงสิ ยังมีอีกคนไม่ใช่เหรอ อเล็กซ์คนนั้นล่ะ?” 


 


 


เลห์แมนรีบพูดว่า “อย่าพูดถึงเจ้านั่น! พวกเราไม่เห็น…” 


 


 


เขามองไรอันแวบหนึ่ง ฉับพลันก็ทำหน้าเคร่งเครียด “พวกเราสงสัยว่า อาจจะเป็นเจ้านี่…” 


 


 


“อย่าพูดส่งเดชนะ” เอลลีพูดขัดจังหวะทันที 


 


 


เลห์แมนกลับพูดว่า “แต่เธอลองคิดดูสิ อยู่ๆ อเล็กซ์คนนี้ก็โผล่มากะทันหัน ไม่คิดว่าแปลกเหรอ? เธอดูสิ เขาทำตัวน่าสงสัยทั้งนั้น…เหมือนคนโรคจิตโดยแท้! จะมีคนที่ไหนแบกกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้มาถึงนี่ได้! เธอลองคิดดูดีๆ พวกเราไม่เห็นเจ้านี่มีรถหรืออะไร แต่เขากลับเดินเท้ามาที่นี่คนเดียว!” 


 


 


เอลลีเริ่มตัวสั่นทันที 


 


 


“กระเป๋า กระเป๋า?” ตอนนี้ไรอันกลืนน้ำลาย เขาลังเลแล้วพูดว่า “ฉันว่า…เอลลี เลห์แมน พวกเธอคิดว่าขนาดของกระเป๋านี้…” 


 


 


“นายอยากพูดอะไร?” เลห์แมนถามอย่างกระวนกระวาย 


 


 


ไรอันกำลังกลืนน้ำลายแล้วตอบว่า “ไม่ใช่ว่าขนาดพอดีกับ…ฉันว่า ถ้าใส่คนเป็นเข้าไป ก็พอจะทำได้นะ…” 


 


 


“กระเป๋านั่น…” เลห์แมนขมวดคิ้ว 


 


 


อ๊า!!! 


 


 


ในตอนนี้เอง เอลลีก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง นั่นเป็นเสียงของกลอเรีย! 


 


 


เกรงว่ากลอเรียจะได้ยินข่าวนี้แล้ว ดังนั้นถึงได้ตื่นขึ้นมาใช่ไหม? แต่ว่าเอลลีไม่มีอารมณ์มาสนใจแล้วว่าเธอตื่นตอนไหน 


 


 


เธอรีบเดินเข้ามาในห้องรับแขก ระหว่างนั้นกลอเรียก็ขดตัวสั่นเทิ้มอยู่บนโซฟา แล้วชี้นิ้วมือไปทางกระเป๋าหนังขนาดใหญ่ที่อยู่ชิดกำแพงใบนั้น 


 


 


 “เลือด…เลือดเต็มไปหมด…” 


 


 


ใช่แล้ว ตอนนี้เลือดเหนียวข้นกำลังไหลออกมาจากรอยแยกของกระเป๋าอย่างรวดเร็ว 


 


 


เลือดสดๆ กำลังไหลอยู่บนพื้น และเริ่มกระจายตัวเป็นวงกว้างเร็วขึ้น…เรื่อยๆ  

 

 


บทที่ 2

 

บทที่ 70 คืนเงียบสงัด (4)

 

มหาวิทยาลัยหมายถึงชีวิตที่อิสระมากขึ้น ถึงแม้ว่านักเรียนมัธยมจะมีอิสระมากอยู่แล้วก็ตาม 


 


 


แต่ก็หนีพ้นสายตาผู้ปกครองไปได้ ด้วยการเลือกเข้าพักในหอพักของมหา’ลัย อยู่ร่วมกับเพื่อนวัยเดียวกัน ไม่ต้องฟังเสียงพ่อแม่บ่นกระปอดกระแปดเพราะกลับบ้านดึก แถมมีเวลาไปทำงานพิเศษมากขึ้น และยังใช้เงินได้อิสระอีกด้วย…แล้วใครจะไม่อยากอยู่ล่ะ? 


 


 


น่าจะชอบใจแบบนี้มากกว่าสิ…เอลลีคิดแบบนี้ 


 


 


เธอนั่งอยู่บนสนามหญ้าข้างสนามในมหาวิทยาลัย อ่านหนังสือของฐากุร*ไปพลางคิดแบบนี้ไปพลาง แต่เปิดเรียนมาครึ่งเทอมแล้ว เธอกลับไม่ได้รู้สึกถึงเรื่องดีพวกนี้เลย 


 


 


ทันใดนั้นก็เหมือนถูกของบางอย่างเคาะหัวเบาๆ  


 


 


เอลลีจึงรีบหันตัวไปมอง ก็เห็นว่าเป็นกลอเรีย หล่อนพักอยู่ที่เดียวกับเธอ เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย 


 


 


“เธออยู่ที่นี่เองเหรอ” 


 


 


กลอเรียนั่งขัดสมาธิลง มองเอลลีแล้วพูดว่า “คนที่ชมรมฝากฉันมาถามว่าทำไมเธอถึงขาดประชุมอีกแล้ว นี่เอลลี ถ้าเธอไม่ชอบแล้วมาเข้าชมรมทำไม?” 


 


 


เอลลีตอบกลับอย่างอารมณ์เสีย “เธอคิดว่าฉันชอบเข้าชมรมไร้สาระแบบนี้จริงๆ เหรอ? เคี้ยวผักกาดแก้ว? โอ๊ย! สวรรค์ ต้องมีความคิดแปลกๆ ขนาดไหนถึงคิดกิจกรรมประหลาดแบบนี้ได้? ความจริง ฉันไม่เข้าใจเลยว่าการเคี้ยวผักกาดแก้วแบบนี้เป็นที่นิยมในโรงเรียนได้ยังไง…แถมยังนิยมในรั้วมหาวิทยาลัยอีก! ชีวิตของพวกเธอมันน่าเบื่อถึงขนาดต้องเคี้ยวผักกาดแก้วมาสร้างสีสันในชีวิตแล้วเหรอ?” 


 


 


“ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน” กลอเรียยักไหล่พูด 


 


 


เอลลีได้ยินก็ถามอย่างสงสัย “ก็ตอนแรก เธอลากฉันเข้าชมรมเองไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


กลอเรียเล่นผมลอนที่เพิ่งดัดมาของตนเอง เท่าที่เอลลีรู้ หล่อนใช้เวลาในร้านทำผมไปไม่น้อยกว่าห้าชั่วโมง 


 


 


“เพราะฉันเห็นว่าชมรมนี้มีหนุ่มๆ หน้าตาดีหลายคน ก็เลยเข้าชมรมน่ะสิ” กลอเรียพูดต่อด้วยตาเป็นประกาย “อีกอย่าง เธอไม่คิดเหรอว่าช่วงนี้พวกเราเหมาะจะหาแฟนสักคนน่ะ?” 


 


 


เอลลีหัวเราะฮึ แล้วพูดว่า “นั่นสินะ พ่อแม่ลำบากส่งพวกเรามาถึงที่นี่ ก็เพื่อให้พวกเราหาแฟนสักที” 


 


 


กลอเรียเอนหลังนอนลงแล้วพูดว่า “ฉันแค่คิดว่าหากไม่มีความรักช่วงยังสาว ชีวิตก็จะจืดชืดมากเกินไป จะว่าไปฉันก็ไม่ได้ทิ้งการเรียนนะ ส่วนเธอน่ะ ก็เลิกอยู่แต่ในห้องเรียน ห้องสมุด หอพักตลอดทั้งวันได้แล้วมั้ง?” 


 


 


เอลลีพูดอย่างอารมณ์เสีย “ฉันไม่ใช่เธอนี่ คุณกลอเรีย เวลาสอบเธอก็คว้าเกรดเอมาได้ตลอด ทั้งที่ไปปาร์ตี้มาตลอดทั้งคืน แต่ถ้าฉันไม่เตรียมตัวก่อนสอบ อย่างมากคงได้แค่เกรดบี” 


 


 


“เธอเคร่งครัดกับตัวเองมากไปแล้วนะ!” กลอเรียตบพื้นหญ้าข้างๆ ตัวแล้วพูดว่า “เอาอย่างฉันนี่ หยุดสักพัก แล้วยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เธอจะได้รู้ว่าความจริงแล้วโลกนี้ยังมีดีอีกมากเลยนะ” 


 


 


เอลลีส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฉันรู้แค่ว่าถ้าเกรดฉันไม่ขึ้นละก็ ทุนการศึกษาเทอมหน้าก็อาจจะหลุดลอยไปก็ได้” 


 


 


ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เธอก็รีบเก็บของบนพื้นขึ้นมา แล้วลุกขึ้นยืน “ตอนนี้ฉันก็ต้องไปห้องสมุดต่อแล้ว เธอจะไปไหม?” 


 


 


กลอเรียโบกไม้โบกมือเชิงปฏิเสธ 


 


 


วินาทีที่เอลลีหมุนตัวกำลังไป ก็ชนเข้ากับใครบางคน หนังสือฐากุรจึงหลุดมือตกลงบนสนามหญ้าทันที 


 


 


“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ…” 


 


 


“ผม ผมชื่อไรอัน คน คนนี้คือเลห์แมน…” 


 


 


… 


 


 


… 


 


 


เลือดสดๆ ยังคงไหลนองอยู่เต็มพื้น 


 


 


เหตุการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ ผู้คนที่เห็นมักชะงักจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว เอลลีถึงเรียกสติกลับมาได้ 


 


 


แล้วกลอเรียก็กระโดดลงมาจากโซฟาทันที ก่อนวิ่งฉิวตรงมาทางนี้โดยไม่สนใจใส่รองเท้าด้วยซ้ำ 


 


 


เอลลีเห็นกลอเรียวิ่งไปกอดแขนเลห์แมนอย่างรวดเร็ว เธอตกใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…โอ้! สวรรค์!” 


 


 


“จะต้องเป็นไอ้บ้านั่นแน่ๆ! ไม่ผิดตัวหรอก!” เลห์แมนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ในกระเป๋าใบนี้จะต้องเป็นศพสามีคุณนายแม็กกี้แน่ๆ…พระเจ้า พวกเราเจอปีศาจเสียสติฆ่าคนเข้าแล้วเหรอเนี่ย?” 


 


 


“ไปกันเถอะ! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว! เลห์แมน!” กลอเรียรีบพูดเร่ง 


 


 


แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นในฉับพลัน 


 


 


ในชั่วพริบตานั้น ประตูหน้าบ้านก็กระแทกปิดไปแล้ว 


 


 


เสียงดังมาก จนเอลลีหันไปมองประตูหน้าบ้านในทันที! 


 


 


“เกิดอะไรขึ้น!” 


 


 


ไม่ใช่แค่ประตูหน้าบ้านบานนี้เท่านั้น แม้แต่บานประตูตรงห้องรับแขก และบานหน้าต่างห้องครัว ก็แทบจะปิดลงพร้อมๆ กันทันที! 


 


 


เลห์แมนรีบเดินไปอยู่หน้าประตู ก่อนออกแรงบิดลูกบิดประตูเป็นเสียงดังแกร็กๆ แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงบิดอย่างไรก็เปิดประตูไม่ได้ 


 


 


เลห์แมนออกแรงกระแทกไปอีกหลายครั้ง ก็ยังเปิดประตูบ้านพักนี้ไม่ออก 


 


 


เลห์แมนรีบลนลานหันหน้ากลับมา แววตาของเขาจ้องไปทางชายหนุ่มซึ่งมาจากโลกฝั่งตะวันออก ผู้เป็นเจ้าของบ้านพักแห่งนี้ “ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมอยู่ๆ ประตูนี่ถึงปิดเอง?” 


 


 


ลั่วชิวที่ถูกถามก็อ้าปากค้างเล็กน้อย 


 


 


เขาขมวดคิ้วน้อยๆ มองไปทางหน้าประตู แล้วเดินไปอยู่หน้าประตูทันที ก่อนยื่นมือออกไปจับลูกบิด พร้อมออกแรงบิดเบาๆ  


 


 


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” เลห์แมนเริ่มขึ้นเสียงถาม 


 


 


ตอนนี้เอง ลั่วชิวถึงหันหน้าไปถามกลับว่า “ประตูนี่…ทำไมถึงล็อกเองได้ล่ะ? แล้วก็ช่วยลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ? เสียงดังแบบนี้จะปลุกเพื่อนตัวน้อยที่หลับยากคนนั้นให้ตื่นขึ้นมานะครับ” 


 


 


เขาชี้ไปทางลีน่าที่หลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา 


 


 


“เวลาแบบนี้ไม่ใช่ว่าควรปลุกเธอให้ตื่นหรอกเหรอ?” เลห์แมนหัวเราะเยาะ จากนั้นก็เดินตรงไปหน้าโซฟาโดยทันที 


 


 


ดูจากสถานการณ์แล้ว เลห์แมนคงคิดจะปลุกสาวน้อยลีน่าให้ตื่นขึ้นมา แต่เขากลับหยุดชะงักกะทันหัน และเดินถอยหลังมาทีละก้าว “พระเจ้า…” 


 


 


ตอนนี้ดูเหมือนว่า คนที่กล้าหาญอย่างเขาจะกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวที่สุดไปแล้ว 


 


 


เอลลีมองตามสายตาเลห์แมนไป แล้วเธอก็เห็นกระเป๋าหนังใบใหญ่ที่อเล็กซ์ทิ้งไว้ที่นี่ทันที! 


 


 


กระเป๋าหนังใบใหญ่พลิกคว่ำลงบนกองเลือด แล้วตัวล็อกบนกระเป๋าก็ปลดออกเองทันที…มันค่อยๆ เปิดอ้าออกจนเป็นรูแยกอย่างช้าๆ จากนั้นจู่ๆ ก็หยุดนิ่งไป 


 


 


ทันใดนั้นเอง 


 


 


ก็มีบางอย่างยื่นออกมาจากช่องกระเป๋าอันมืดมิด…แขนข้างหนึ่ง! 


 


 


แขนข้างหนึ่งที่ชุ่มไปด้วยเลือด 


 


 


“มัน มัน มันคลานออกมา คลาน คลาน คลาน…” ไรอันหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริกจนพูดไม่รู้เรื่อง 


 


 


จากแขนข้างหนึ่ง ก็เป็นแขนอีกข้างหนึ่ง…แขนของคน…แต่ข้างในนั้นเป็นอะไรกันแน่? 


 


 


ดูเหมือนว่าเขาหรือเธอคนนั้นคงเอาตัวออกมาจากกระเป๋าหนังไม่ได้ จึงได้แต่ใช้สองมือคลานอยู่บนพื้นแบบนี้ แล้วกระเป๋าหนังก็เคลื่อนอยู่บนกองเลือด ขยับเข้ามาใกล้ ทีละนิด ทีละนิด… 


 


 


“อ๊า!!” 


 


 


กลอเรียส่งเสียงกรีดร้องแหลม แล้ววิ่งแจ้นไปตรงประตูระเบียงทันที ก่อนพยายามเปิดบานประตูอย่างบ้าคลั่ง จนแล้วจนรอดก็ยังเปิดไม่ออก 


 


 


ในช่วงคับขันนั้น กลอเรียวิ่งตึงๆๆ พุ่งไปยังบันไดที่มุ่งหน้าขึ้นชั้นบนทันที  


 


 


“กลอเรีย!” เลห์แมนตะโกนเรียกเสียงดัง 


 


 


ตอนนี้เอลลีกลับเห็นกระเป๋าหนังใบนั้นพุ่งเข้ามาทันที เธอตกใจจนชะงักไป แต่แขนของเธอก็ถูกคว้าหมับไว้ก่อน พอเธอตั้งสติได้ ก็ถูกไรอันลากวิ่งขึ้นบันไดไปแล้วเหมือนกัน 


 


 


เลห์แมนก็วิ่งตามขึ้นไปด้วย 


 


 


เหลือก็แต่เจ้าของร้านลั่ว…ที่กำลังบิดลูกบิดประตูเบาๆ 


 


 


 


 


 


 


 


 


*ฐากุร คือ รพินทรนาถ ฐากุร (Rabindranath Tagore) สัญชาติบริติสอินเดีย มีสมัญญานามว่า “คุรุเทพ” เป็นนักปรัชญาพรหโมสมัช เขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทเพลง ละครเพลง และเรียงความมากมายที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองการปกครอง และเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ประจำปี ค.ศ. 1913 นับเป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล  

 

 


บทที่ 2

 

บทที่ 71 คืนเงียบสงัด (5)

 

เลห์แมนเป็นคนตลก และมีเสน่ห์ในแบบลูกผู้ชายเสมอ บางทีอาจเพราะเขาเป็นผู้เล่นตัวจริงในทีมฟุตบอล ฐานะทางครอบครัวก็ดี อีกทั้งยังโรแมนติกด้วย 


 


 


ติดอันดับแฟนหนุ่มยอดเยี่ยมอันดับต้นๆ เลย…ส่วนไรอันจะว่ายังไงดีล่ะ? 


 


 


ถ้าอยู่ด้วยกันลำพัง ก็จะแอบอึดอัดเล็กน้อย? 


 


 


“เอลลี เอลลี…เอลลี?!” 


 


 


“เป็นอะไรไป?” 


 


 


มุมหนึ่งในโรงอาหารของมหา’ลัย กลอเรียที่นั่งข้างๆ เอลลีตบไหล่ของเธอเบาๆ จนเธอสะดุ้งเล็กน้อย 


 


 


แล้วกลอเรียก็ถาม “เธอกำลังคิดอะไรอยู่ พวกเราถามเธออยู่นะ” 


 


 


“งั้น งั้นเหรอ” เอลลีแสร้งทำเป็นใจเย็น “เมื่อกี้นี้ฉันกำลังคิดถึงหัวข้อที่ศาสตราจารย์กำหนดไว้ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ยิน…พวกเธอถามว่าอะไรนะ?” 


 


 


แล้วเลห์แมนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ก็เผยรอยยิ้มชวนหลงใหลออกมา “พวกเราอยากชวนพวกเธอมางานปาร์ตี้ฮัลโลวีนสุดสัปดาห์นี้ เธอก็รู้นี่ พวกเรายังหาคู่เต้นรำไม่ได้ ตอนนี้กลอเรียตกลงแล้ว เหลือแค่เธอแล้วล่ะ” 


 


 


“ฉัน?” เอลลีคิดจะปฏิเสธทันที…แต่ไม่รู้ทำไม วินาทีที่ตาทั้งคู่ประสานกับเลห์แมน เธอกลับเผลอพยักหน้าเล็กน้อย 


 


 


เธอมาเสียใจภายหลังก็ช้าไปแล้ว กลอเรียจึงพูดอย่างตื่นเต้น “พระเจ้า พวกนายต้องรู้นะ เอลลีของฉันไม่เคยอยากไปงานปาร์ตี้เลย เธอว่ามันเสียเวลาน่ะ” 


 


 


เลห์แมนยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเกียรติมากๆ…ใช่ไหมล่ะไรอัน!” 


 


 


“อ้อ…อืมๆ” 


 


 


พอเห็นเลห์แมนกับไรอันเก็บจานชามเดินจากไปแล้ว เอลลีก็ก้มหน้าซดซุปผักที่เหลือจนหมด…เธอแอบรอคอยอยู่นิดหน่อยหรือเปล่านะ? 


 


 


“ดีจริงๆ ในที่สุดเอลลีก็จะได้เปิดหูเปิดตาสักที” กลอเรียประสานมืออยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มเป็นพักๆ 


 


 


“ฉันควรไปจริงๆ ใช่ไหม?” จู่ๆ เอลลีก็เริ่มลังเล “วันจันทร์ฉันต้องส่งการออกแบบหลักสูตร…” 


 


 


สองมือกลอเรียประคองแก้มของเอลลีขึ้นมา และพูดด้วยหน้าตาจริงจัง “เอลลี เธอคิดว่าศาสตราจารย์ชมเธอ…นี่ เธอเชื่อฉัน เขาไม่ได้ชมเธอแค่คนเดียวหรอก แล้วเธอคิดว่างานแบบนี้สำคัญกว่าปาร์ตี้ครั้งแรกในรั้วมหา’ลัยเหรอ?” 


 


 


“แต่…ฉันเพิ่งนึกได้ว่า ฉันไม่มีชุดไปงานปาร์ตี้” เอลลีส่ายหน้า “ฉันว่าฉันไม่ไปดีกว่า” 


 


 


“นี่คือปัญหาเหรอ?” กลอเรียตบบ่าของเอลลี แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนตบหน้าอกพูดว่า “วางใจได้ ให้ฉันจัดการเถอะ! องค์หญิงเอลลีของฉัน!” 


 


 


‘บางทีก็ควร…เสพสุขกับชีวิตในรั้วมหา’ลัยบ้างสินะ?’ เอลลีแอบคิดในใจ 


 


 


… 


 


 


‘หรือว่าควร…เสพสุขกับช่วงวัยรุ่นสักหน่อย…นะ?’ 


 


 


[จริงเหรอ? ตอนที่พวกเธออยู่ม.ปลาย มีเรื่องสนุกขนาดนี้เลยเหรอ?] 


 


 


เอลลีกำลังมองดูตัวหนังสือบนหน้าต่างแชท VK…เธอเริ่มคิดว่าเวลาที่อยู่ในห้องสมุดวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว 


 


 


[อยากรู้เรื่องสนุกๆ ของพวกเธอมากกว่านี้จัง เล่าให้ฟังอีกได้ไหม?] 


 


 


เอลลีอดถอนหายใจไม่ได้ เธอชื่นชมเลห์แมนในขณะที่มองรูปโปรไฟล์ของเขาในหน้าต่างแชท ‘คนนี้เข้าหาคนอื่นเก่งจริงๆ ไม่ว่าเมื่อไรก็มีเรื่องพูดไหลลื่นตลอดเลย’ 


 


 


เริ่มตั้งแต่เมื่อไร? 


 


 


หัวข้อสนทนาของเธอกับเลห์แมนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ…น่าจะเริ่มเมื่อช่วงไม่กี่วันมานี้ หลังจากชวนไปปาร์ตี้ครั้งที่แล้วล่ะมั้ง  


 


 


[อ๊า ตั้งตารอปาร์ตี้พรุ่งนี้จริงๆ] 


 


 


[ฉันก็เหมือนกัน] 


 


 


อืม…เริ่มอยากไปแล้วสิ 


 


 


เอลลีก้มหน้ามองหนังสือที่ยังเปิดค้างในมือ…ในปาร์ตี้ ทุกคนต้องเต้นรำกันใช่ไหม?  


 


 


เธอเริ่มได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นในหัว…แล้วตัวหนังสือก็เปลี่ยนไปฉายภาพมายาสวยงามบางอย่าง 


 


 


ชอบฉันเหรอ…เลห์แมน 


 


 


… 


 


 


อืม…ความจริงแล้ว ปาร์ตี้มหา’ลัยกับปาร์ตี้ในจินตนาการของเธอเหมือนจะต่างกันมาก แน่นอนว่าไม่ใช่งานเต้นรำที่เปิดดนตรีบรรเลงเคล้าคลอไป แล้วเต้นพลิ้วไหวกันในฟลอร์เต้นรำ 


 


 


ทั้งลำโพงกระหึ่มสะเทือนพื้น คนเต้นบิดไปบิดมากันบ้าระห่ำ แล้วยังแสงไฟสลัวจนแทบจะตาลายไปหมด 


 


 


ตอนแรกเอลลียังอยู่กลางฟลอร์…แต่สักพัก ไม่รู้ว่าถูกคนรอบๆ ชนออกไปจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร 


 


 


ส่วนกลอเรียมักเฉิดฉายอยู่เสมอ 


 


 


เอลลีได้แต่มองเธอที่อยู่กลางฟลอร์เต้นรำเหมือนเป็นราชินีล้อมรอบไปด้วยบริวาร 


 


 


“กลอเรียสวยมากจริงๆ อืม…” 


 


 


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร คนรอบข้างที่รู้จักถึงเหลือแค่ไรอันเท่านั้น…เอลลีมองไรอันแวบหนึ่ง ก็เห็นมือทั้งสองของเขาถือเบียร์ไว้กระป๋องหนึ่ง เหมือนว่านั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ? 


 


 


“ทำไมมานั่งอยู่นี่ล่ะ?” ทันใดนั้นเลห์แมนก็เดินฝ่ากลุ่มคนออกมา พร้อมทั้งโยกตัวเบาๆ ไปตามจังหวะเพลง 


 


 


จากนั้นเลห์แมนก็ตบมือพูดชวน “มาสิ! อย่านั่งอยู่เลย!” 


 


 


พูดจบเลห์แมนก็จูงมือของเอลลีและไรอันเข้าไปในฟลอร์  


 


 


ถึงแม้ไม่ใช่งานเลี้ยงเต้นรำพลิ้วไหว แต่เหมือนจะเริ่มสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว…เอลลีคิดไปขณะที่เต้นหมุนตัวไปเรื่อย  


 


 


พอเธอเงยหน้าขึ้นมามองเลห์แมน เธอก็รู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก  


 


 


“ฉันจะไปเข้าห้องน้ำหน่อย พวกเธอเต้นกันไปก่อนนะ” เลห์แมนลดเสียงพูดข้างหูของเอลลี จากนั้นก็ตบบ่าของไรอันเล็กน้อย 


 


 


“เขาบอกว่าอะไรเหรอ?” ไรอันอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ 


 


 


“เขาบอกว่าไปเข้าห้องน้ำน่ะ” 


 


 


“ขอ ขอโทษ ฉันไม่เหมาะกับงานแบบนี้ ฉันอาจเต้นแบบเลห์แมนไม่ได้นะ…” 


 


 


“ไม่เป็นไร ฉันก็เหมือนกัน” เอลลียักไหล่ 


 


 


ความจริง หลังจากเลห์แมนจากไปกะทันหัน เธอมักจะรู้สึกอายเวลาอยู่กับไรอันเพียงสองคน… 


 


 


“วันนี้…วันนี้ชุดเธอสวยมากเลย” 


 


 


“จริงเหรอ ขอบคุณ…” แล้วเอลลีก็เริ่มมองรอบๆ “ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ขอไปข้างนอกสักพักนะ” 


 


 


“เอลลี เอล…” 


 


 


ไรอันถูกคนในฟลอร์กระแทกจนมึนงงไปทันที 


 


 


… 


 


 


แต่ทว่าที่ใต้ชายคาด้านนอก เลห์แมนกับกลอเรียกำลังกอดจูบกัน…นั่นเป็นวิธีการจูบที่เอลลีไม่เคยเข้าใจมาก่อน 


 


 


เอลลีจึงรีบหันหลังให้ทันที…แม้เธอจะคิดว่าเลห์แมนกับกลอเรียที่กอดจูบกันคงไม่สังเกตเห็นเธอ 


 


 


แต่เธอก็หวังด้วยใจจริงว่าสองคนนี้จะไม่เห็นเธอจริงๆ 


 


 


ที่แท้กลอเรียก็ชอบเลห์แมนสินะ… 


 


 


… 


 


 


… 


 


 


แกร็ก 


 


 


ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย แล้วลั่วชิวก็ชะเง้อดูสนามหญ้านอกบ้านแวบหนึ่ง แต่กลับไม่เห็นอะไร 


 


 


เขาจึงส่งเสียงอืมเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วปิดประตูบ้านไว้ดังเดิม ก่อนมองไปที่บันไดขึ้นชั้นบน แล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องรับแขกช้าๆ 


 


 


ตอนนี้สาวน้อยลีน่าตื่นมาขยี้ตาสะลึมสะลือแล้ว “พี่ชายคะ คุณแม่กับคุณพ่อกลับมาแล้วใช่ไหมคะ?” 


 


 


“ยังเลยครับ” ลั่วชิวส่ายหน้า แล้วเดินไปนั่งข้างๆ ลีน่า 


 


 


ปังๆ ปังๆ! 


 


 


ฉับพลันก็มีเสียงกระแทกดังมาจากชั้นบน ดังมากจริงๆ! 


 


 


ลีน่าจึงรีบคว้าผ้าห่มที่คลุมตัวเองอยู่ทันที แล้วเงยหน้ามองฝ้าเพดาน “พี่ชายคะ ข้างบนมีอะไรหรือเปล่าคะ?” 


 


 


“อืม…” ลั่วชิวคิดสักพัก ก่อนยิ้มตอบว่า “มีปีศาจ เธอเชื่อหรือเปล่า?” 


 


 


หนูน้อยลีน่าอึ้ง จนเผลออ้าปากค้าง “ใช่คุณปีศาจหรือเปล่าคะ?” 


 


 


ลั่วชิวลูบหัวของเธอเบาๆ แล้วลองถามเธอดู “ถ้าเป็นคุณปีศาจจริงๆ เธอเห็นเขาแล้ว แต่เขาอยากกินหัวใจของเธอล่ะ เธอจะทำยังไง?” 


 


 


สาวน้อยพยายามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคลำหน้าอกของตัวเอง “ให้ครึ่งหนึ่งได้ไหมคะ?” 


 


 


ลั่วชิวได้ยินก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมให้แค่ครึ่งเดียวล่ะ?” 


 


 


ลีน่าจ้องตาแป๋วแล้วตอบว่า “เพราะถ้าลีน่าไม่มีหัวใจแล้ว ก็จะหายไปแบบคุณปีศาจ แบบนั้นพ่อแม่จะเสียใจมากค่ะ! แต่ถ้าหนูเหลือไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว ก็จะไม่เป็นไรค่ะ!”  


 


 


“ถ้างั้น ถ้าสิ่งที่คุณปีศาจควักออกมาไม่ใช่หัวใจล่ะ?” ลั่วชิวถามเสียงเบา 


 


 


“งั้นเป็นอะไรล่ะคะ?” 


 


 


ลั่วชิวเงยหน้ามองฝ้าเพดาน แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “บางอย่าง…ที่เป็นของตัวเอง” 


 


 


สาวน้อยลีน่าไม่เข้าใจว่าพี่ชายคนนี้พูดอะไร จึงเอียงคอครุ่นคิดให้ดีอีกรอบ  


 


 


แต่ตอนนี้เอง กลับมีลำแสงส่องเข้ามาจากนอกบ้าน สาวน้อยจึงรีบโดดลงจากโซฟาทันที แล้วก็ได้ยินเสียงของเครื่องยนต์รถ “คุณพ่อคุณแม่ต้องกลับมาแล้วแน่เลยค่ะ! หนูจะรีบไปเปิดประตูนะคะ!” 


 


 


สาวน้อยวิ่งตรงไปหน้าประตูบ้านอย่างดีใจ แล้วเขย่งเท้าบิดตัวล็อกประตู 


 


 


แต่คนที่เธอเห็นไม่ใช่คุณนายแม็กกี้แม่ของเธอ และยังไม่ใช่พ่อของเธอด้วย…แต่เป็นอเล็กซ์! 


 


 


“นี่ไม่ใช่คุณลีน่า เจ้าหญิงน้อยของคุณนายแม็กกี้หรอกหรือ?” 


 


 


อเล็กซ์ทำหน้าตื่นตกใจและดีใจ ก่อนยิ้มน้อยๆ พร้อมถอดหมวกบนหัวออก แล้วค้อมตัวทำท่าเคารพต่อหน้าสาวน้อย “หนูลีน่ามาเปิดประตูต้อนรับผมด้วยตัวเองแบบนี้ เป็นเกียรติมากๆ เลยครับ” 


 


 


แต่พอลีน่าเห็นว่าไม่ใช่พ่อแม่ของตัวเอง ก็มีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “แล้วคุณแม่ล่ะคะ?” 


 


 


สาวน้อยจำได้ว่าแม่ของตัวเองออกไปพร้อมกับคุณอาประหลาดคนนี้…และพวกพี่ชาย 


 


 


“หมายถึงคุณนายแม็กกี้เหรอครับ?” อเล็กซ์เผยรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า ตอบกลับสาวน้อย “อย่าห่วงไปเลยครับ องค์หญิงลีน่า ผมว่าเดี๋ยวคุณก็จะได้พบคุณแม่เร็วๆ นี้แล้วครับ…แน่นอนว่าคุณพ่อของคุณด้วย!” 


 


 


“จริงเหรอคะ!” สาวน้อยเริ่มยิ้มแก้มปริ 


 


 


แต่แล้วลั่วชิวก็เดินเข้ามาช้าๆ แล้วถามอย่างเฉยเมยว่า “หาเจอไหมครับ?” 


 


 


“แน่นอน” อเล็กซ์หรี่ตายิ้มอย่างมีเลศนัย “แค่ใช้ความโชคดีของคุณ พวกเราก็หาคนเจอแล้วครับ” 


 


 


ลั่วชิวกลับพูดเสียงเรียบเฉยว่า “แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” 


 


 


ฉับพลันนั้น อเล็กซ์ก็หรี่ตาลง ก่อนทำท่าเงี่ยหูฟัง “จริงเหรอ? แต่เหมือนผมได้ยินเรื่องสนุกบางอย่างนะ” 


 


 


พูดจบ อเล็กซ์ก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วมองหน้าลั่วชิวแวบหนึ่ง 


 


 


“จริงสิ คุณลั่วชิว ผมขอเข้าไปได้ไหมครับ?” อเล็กซ์เอ่ยถามเป็นมารยาท “อ๊า…จริงสิ เมื่อกี้ผมบอกกับคุณสาวใช้ผู้สูงส่งของคุณแล้ว ว่าผมจะจ่ายเงินให้…คุณลั่วชิวที่เคารพคงไม่ได้จะเก็บเงินตอนนี้หรอกใช่ไหมครับ?” 


 


 


“ไม่ครับ” ลั่วชิวส่ายหน้า เบี่ยงตัวหลบแล้วยิ้มเล็กน้อย “เชิญเข้ามาครับ…ลูกค้าที่เคารพ” 


 


 


“ขอบคุณครับ” 


 


 


… 


 


 


ปังๆๆ!! 


 


 


“ฉันอยากออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย!” กลอเรียตกใจจนหน้าซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่กๆ 


 


 


ส่วนเลห์แมนกับไรอันหลบมาอยู่ในห้องข้างบนบ้านพักแล้ว ทั้งสองคนกำลังใช้แรงยันประตูห้องไว้…แต่ประตูกลับถูกกระแทกไม่หยุด 


 


 


“ที่รัก ฟังฉันนะ ฉันก็อยากออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เหมือนกัน! แต่ใครไล่ศพที่ควรตายนี้ได้บ้างล่ะ!” 


 


 


“หรือว่าเจ้าของบ้านพักนี้จะไม่คิดหาวิธีเลย…จริงสิ มีแค่พวกเราขึ้นมา แต่พวกเขายังอยู่ข้างล่าง…คงไม่ใช่ว่า…” ไรอันเริ่มผวาหนักกว่าเดิม 


 


 


“ช่วยไม่ได้…พวกเรากระโดดไปจากตรงนี้แล้วกัน!” เลห์แมนพูดเสนอ “พวกเราใกล้ยันไว้ไม่อยู่แล้ว…ที่รัก! เอลลี พวกเธอกระโดดลงไปก่อน!” 


 


 


“ไม่ได้หรอก มันสูงเกินไป ฉันทำไม่ได้!” กลอเรียส่ายหน้าทันทีหลังมองเห็นระยะห่างจากพื้น  


 


 


ตุบ! 


 


 


ตอนนี้เลห์แมนกับไรอันยันประตูต่อไม่ไหวอีกแล้ว จึงกระเด็นไปบนพื้นพร้อมกัน และประตูห้องบานนั้นก็ถูกกระแทกเปิดออกแล้ว 


 


 


ตัวของมันยังติดกับกระเป๋าหนังขนาดใหญ่ใบนี้อยู่…มีแค่แขนคู่นั้นที่ยื่นออกมาจากช่องกระเป๋า พร้อมทั้งดวงตาเปื้อนเลือดอันดุร้ายและน่ากลัว ใช้แขนทั้งสองข้างจับบนกรอบประตูไว้! 


 


 


มันมาอยู่บนกรอบประตูราวกับแมงมุม! 


 


 


อ๊า!! 


 


 


เสียงร้องแสบแก้วหูดังขึ้น แล้วเอลลีกับกลอเรียก็ล้มพับไปบนพื้นพร้อมกัน! 


 


 


พอดีกับตอนที่เลห์แมนเตรียมลุกขึ้นมาจากพื้น สิ่งที่เกาะอยู่ตรงขอบประตูก็พุ่งมาทันที พร้อมกับกระเป๋าขนาดใหญ่ แล้วกดทับบนตัวเลห์แมนอย่างแรง! 


 


 


เลห์แมนจึงส่งเสียงร้องโอดครวญ แต่มือทั้งสองก็ยังจับแขนมันได้อยู่หมัดและไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย! 


 


 


ไรอันเห็นสบโอกาสช่วงกำลังอลหม่าน จึงรีบคว้าที่วางเสื้อในห้อง แล้วทุบไปที่ด้านหลังของเจ้าสิ่งนี้เต็มแรง แต่คาดไม่ถึงว่านี่กลับยิ่งไปยั่วโมโหมันเข้า! 


 


 


ทันใดนั้นก็มีมือข้างที่สามยื่นออกมาจากกลางช่องกระเป๋าหนังใบนั้นอีก ครั้งนี้เป็นมือยาวและหยาบกร้านข้างหนึ่ง! 


 


 


มันคว้าคอของไรอันไว้ทันที จากนั้นก็ออกแรงบีบยกตัวเขาลอยขึ้นจากพื้น 


 


 


“วิ่ง…เร็ว…รีบวิ่ง…” ไรอันเค้นเสียงพูดอย่างยากลำบาก 


 


 


เอลลีเห็นสถานการณ์เริ่มแย่ เธอจึงรีบตั้งสติแล้วรีบลุกขึ้นทันที อีกทั้งยังยื่นมือมาลากกลอเรีย เดินชิดตามขอบกำแพงไปทางประตูอย่างเร่งร้อน 


 


 


ทั้งสองพุ่งออกจากประตูไป แล้วเอลลีก็สูดลมหายใจลึกๆ ปิดประตูของห้องนี้ทันที 


 


 


แต่ว่าจะไปที่ไหนต่อล่ะ? 


 


 


ด้านล่าง! 


 


 


พวกเลห์แมนคงจะไม่กระแทกประตูออกมา แต่ถ้าเป็นกระจกที่เชื่อมห้องรับแขกกับระเบียงก็น่าจะไม่มีปัญหา…หรือว่าตอนนี้เจ้าของบ้านพักก็ออกไปด้วยวิธีแบบนี้แล้ว 


 


 


“เอลลี…พวกเราทิ้งพวกเลห์แมนไว้แบบนี้ไม่ได้นะ…” กลอเรียพูดด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด 


 


 


แล้วเธอก็เอาหูแนบไปบนบานประตู แล้วตั้งใจฟังเสียงที่อยู่ด้านในห้อง แต่แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายพูดว่า “เหมือน…เหมือนเสียงจะหายไปแล้ว เธอว่าเลห์แมนกับไรอันจัดการสิ่งนั้น…” 


 


 


“เป็นไปได้เหรอ?” เอลลียังไม่เชื่อนัก เพียงแต่เงียบไปกะทันหันแบบนี้ กลับทำให้เธออดลังเลไม่ได้ 


 


 


พวกเธอรอเงียบๆ มาสักพักหนึ่ง…แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว 


 


 


เอลลีจึงกัดเล็บมือเดินกลับไปหลับมาอยู่หน้าห้อง “ขอฉันคิดดูหน่อย…” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม