อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 648-661

 ตอนที่ 648 หลับไปพร้อมอ้อมกอด (3)

โดย

Ink Stone_Romance

เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่หลับสบายขนาดนี้


เขาไม่อยากหาสาเหตุของมัน


…………


วันรุ่งขึ้น


ยามแสงแรกของดวงอาทิตย์ทะลุผ่านกระจกใสเข้ามาข้างในเธอก็ตื่นพอดี เมื่อคืนนอนคว่ำหน้าตลอดคืน พอลืมตาขึ้นลองขยับคอเล็กน้อยแต่กลับปวดเสียเหลือเกิน


ของตกใส่หัวไม่เบาเลยถึงทำให้ตอนนี้ยังมีอาการวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง


เผลอกวาดมองรอบห้องที ข้างในนี้ไม่มีใครสักคน


แววตาเธอหม่นลงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเอง


เธอกำลังผิดหวังอะไร? หรือคิดว่าทันทีที่ลืมตาจะเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ตรงหัวเตียงอย่างคราวก่อนหรือ? วันนั้นเธอกระตุ้นอารมณ์โกรธของเขาจนถึงขีดสุด บางทีเขาคงกำลังคิดว่าเธอทำตัวเองทั้งนั้น


ขณะที่กำลังคิดเหลวไหล ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเคาะดัง


“เข้ามา” ไป๋ซู่เย่คิดว่าเป็นพยาบาล นิ่งค้างไปชั่วอึดใจเมื่อเห็นคนหน้าประตู


อาจเป็นเพราะแผลที่เกิดขึ้นตอนพังประตูเมื่อคืน หน้าเขายังมีผ้าก๊อซแปะอยู่


“อรุณสวัสดิ์” เธอไม่คิดว่าเย่เซียวจะมาเช้าขนาดนี้จึงรีบลุกกึ่งนั่งกึ่งนอน ยังเวียนหัวอยู่หน่อยๆ ยกมือนวดขมับ หัวคิ้วชนกัน


“ถ้าเจ็บก็อย่าขยับตัว” น้ำเสียงเย่เซียวเย็นชาเช่นเดิมไม่มีอารมณ์ขึ้นลงไปมากกว่านั้น เขาเดินเข้าไปโน้มตัวดึงหมอนสอดหลังเธอ ความใกล้ชิดทำให้ใบหน้ามุมข้างเขาตกอยู่ในกรอบสายตา เย็นยะเยือกไม่เปลี่ยนแต่กลับเพิ่มความอบอุ่นแก่หัวใจเธออย่างน่าแปลก


เธอรู้สึกว่าตัวเองใช้ไม่ได้เลย เธอลืมเรื่องที่เขาใช้ความรุนแรงกับเธอเมื่อคืนไปแล้วหรือ?


“ขอบคุณ” หลังกล่าวขอบคุณไปเธอก็เบี่ยงหน้าหันหนีไม่มองเขาอีก ไม่อนุญาตให้ตัวเองจมปลักกับความอบอุ่นเพียงชั่วคราวนี้ มันไม่มีผลดีอะไรหรอก “คุณมาหาฉันเพราะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”


เมื่อคืนรีบกลับไปขนาดนั้น เช้านี้มาเร็วอย่างนี้ คิดว่าน่าจะมีเรื่องสำคัญ


เย่เซียวล้วงโทรศัพท์มาจากกระเป๋าให้เธอด้วยใบหน้าเกร็งแน่นและเรียบตึง ไป๋ซู่เย่ดูพบว่าเป็นโทรศัพท์ที่ลืมไว้ที่โรงแรมเมื่อคืน อีกทั้งพอเปิดออกมีสายที่ไม่ได้รับจากอวิ๋นช่วนอีกสิบกว่าสาย


นึกถึงเมื่อคืนไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าคราวหลังจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร คิดว่าต้องอึดอัดมากแน่ๆ


“ดูเหมือนว่าเขาจะตามจีบคุณไม่ห่างเลยนะ” จากน้ำเสียงเย่เซียวฟังไม่ออกว่าดีหรือร้าย สายตานิ่งจ้องมองเธอ


เธอไม่ได้ตอบเพียงแค่สอดโทรศัพท์ใส่ใต้หมอน เขาเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “ไม่คิดจะโทรกลับ หรือเห็นว่าผมอยู่นี่เลยรู้สึกผิด?”


เขาพูดจิกแทบทุกคำ


“โทรศัพท์ก็ส่งถึงที่แล้ว ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรไปทำงานเถอะ ตอนนี้น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว” ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบคำถามเขาแต่กลับออกปากไล่อีกคนแทน


น้ำเสียงราบเรียบอย่างมาก


แต่ยิ่งเรียบแบบนี้ยิ่งทำให้เขาคุกรุ่นในใจ


“คุณไม่อยากเห็นผมขนาดนั้นเลย?” เย่เซียวแค่นเสียงเย็นชา เลิกผ้าห่มบนตัวเธอออก “ไป๋ซู่เย่ คุณยิ่งไม่อยากเห็นผมมากเท่าไหร่ ผมจะยิ่งไม่ให้คุณได้สมใจ”


“คุณทำอะไร?” ไป๋ซู่เย่เกิดลนชั่วขณะ มือเผลอกำผ้าห่มแน่นโดยไม่รู้ตัว


ท่าทางต่อต้านของเธอเขาเห็นมันทุกอย่างจนเจ็บแปลบที่หัวใจแวบหนึ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ นึกถึงที่ถังซ่งพูดว่าหากใช้กำลังความรุนแรงกำราบผู้หญิงบนเตียง มีแต่จะสร้างความหวาดกลัวและเกลียดชังแก่เธอ


ส่วนผู้หญิงคนนี้…ความจริงแม้แต่พละกำลังยังกำราบไม่ได้…


“คิดว่าผมจะทำอะไรคุณอีกหรือไง?” เย่เซียวดึงผ้าห่มโยนลงพื้น “คุณสบายใจได้ เมื่อคืนทำพอแล้ว ร่างกายของคุณไม่ได้มีเสน่ห์ดึงดูดมากอย่างที่คิด!”


ไป๋ซู่เย่ถลึงตาใส่เขา เมื่อคืนเขาทำอะไรเธอไปกี่ครั้ง? เธอนับแทบไม่หวาดไม่ไหวแต่รู้ว่าอย่างน้อยต้องมากกว่าสามครั้งขึ้นไป ตอนนี้เขายังพูดแบบนี้อีก!


“มองอะไร?” เย่เซียวช้อนตัวเธอขึ้นจากเตียง


“คุณอยากทำอะไรอีก?” ไป๋ซู่เย่ขัดขืนหลายที


“อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทำอะไรคุณไม่ต้องตื่นเต้น กลางวันแสกๆ ผมไม่สนใจหรอก”


“…” ไป๋ซู่เย่หมดคำจะพูด สิบปีก่อนตอนอยู่กับเขา เขาเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่ง ไม่มีทางพูดจาพล่อยๆ ต่อหน้าเธออย่างนี้แน่นอน ไป๋ซู่เย่ใช้แขนข้างเดียวโอบลำคอเขาไว้ “คุณเบาหน่อย ฉันเจ็บ…”


ได้ยินเธอกล่าวเช่นนี้เย่เซียวก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง ก้มหน้ามองเธอด้วยแววตาล้ำลึกแวบหนึ่ง “ในเมื่อเจ็บ ทำไมเมื่อคืนไม่ยอมขอร้องผม? แค่อ้าปากพูด ไม่แน่ผมอาจจะพิจารณาปล่อยคุณไป”


ไป๋ซู่เย่กระชับแขนที่กอดเขาไว้น้อยๆ เหยียดมุมปากโดยไม่มองเขา “เทคนิคคุณแย่ขนาดนี้จะขอยังไงก็เปล่าประโยชน์ ยังไงซะ…ครั้งต่อๆ ไปก็เหมือนเดิม”


“…” นี่กำลังท้าทายอำนาจเขาชัดๆ!


ลมหายใจของเย่เซียวหนักอึ้งขึ้นอย่างมาก สายตาดุดันจ้องเธอไม่ห่าง “เทคนิคของผมก็ต้องดูคู่กรณีด้วย คุณก็แค่ของเล่นบนเตียงของผม ผมมีหน้าที่ต้องเอาใจคุณเหรอ?”


“ดูคู่กรณี…” ไป๋ซู่เย่พึมพำสามพยางค์นี้ก่อนจะยิ้มจางๆ “ฉะนั้น ตอนคุณอยู่กับน่าหลันบนเตียง คงไม่ได้ทำเหมือนตอนอยู่กับฉัน”


“เธออ่อนโยน บริสุทธิ์ ก็ต้องมีค่าพออ่อนโยนใส่ ส่วนคุณ…”


“ฉัน ฉันใจร้ายไร้ความปรานี โหดเหี้ยมอำมหิต สมแล้วที่ต้องถูกคุณเหยียบย่ำบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ไป๋ซู่เย่พูดต่ออย่างประชดตัวเอง ดวงตาฉายแววอ้างว้างหน่อยๆ


ที่เขาไม่รู้คือความจริงเธอเองก็กลัวเจ็บ…


โดยเฉพาะ แผลเหล่านี้ได้มาจากเขา


เย่เซียวมองเธอวูบหนึ่งพร้อมแค่นเสียงที “ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจ จากนี้ก็อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเธอแบบไม่เจียมตัวอีก”


ไป๋ซู่เย่ยกยิ้มมุมปาก หัวเราะ “ยังดี…”


“ยังดีอะไร?”


“ยังดีที่ระหว่างเราเหลือเวลาอีกแค่สิบห้าวัน”


เย่เซียวชะงักงัน


สิบห้าวัน…


เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าที่แท้เวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน…


“คุณนับเวลาถอยหลังทุกวันเลยเหรอ?” ใบหน้าของเขาเกร็งแน่นเหมือนกัดฟันพูดกระแทกทุกคำ


“แน่นอนอยู่แล้ว” เธอผ่อนเสียงลงกลัวเขาจะจับผิดถึงความปากไม่ตรงกับใจในน้ำเสียงของเธอ แสร้งพูดด้วยท่าทางสบายๆ “สิบห้าวันหลังจากนี้ ทุกอย่างที่ฉันเจอตอนอยู่กับคุณจะคิดว่ามันเป็นแค่ฝัน…ฉันจะลืมมันไปทุกอย่าง”


เย่เซียวหายใจหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นฉาบบนใบหน้าเป็นชั้นบางๆ


เขาไม่พูดอะไรอีกแค่อุ้มเธอเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป


บนทางเดินมีผู้คนเดินขวักไขว่โดยเฉพาะเหล่าพยาบาลตัวน้อย อดหันสายตามาทางพวกเขาอย่างนึกสนใจไม่ได้ ไป๋ซู่เย่เริ่มทำตัวไม่ถูก “เย่เซียว…”


“หุบปาก!” เขาไม่อยากฟังเธอพูดอีกแม้แต่ประโยคเดียว ต่อให้เป็นคำคำเดียวก็ตาม! ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางพูดคำดีๆ ออกมาได้!


“เราจะไปไหนกันแน่?” ไป๋ซู่เย่รู้ว่าอารมณ์เขาไม่คงที่ เห็นได้ชัดว่าประโยคใดประโยคหนึ่งของเธอจากบทสนทนาเมื่อครู่ไปกระตุ้นอารมณ์เขาเข้า เขาในสิบปีให้หลังยิ่งอยู่ยิ่งอารมณ์แปรปรวน


ฉะนั้นขณะเย่เซียวใช้ความเงียบตอบคำถามของเธอ เธอเองก็ชินชากับท่าทางของเขาจึงปิดปากไม่ถามอีก


………………………………….



ตอนที่ 649 หลับไปพร้อมอ้อมกอด (4)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวอุ้มเธอไปยังแผนกสูตินรีเวช


ในห้องตรวจ VIP มีผู้ป่วยแค่เธอคนเดียว เธอนั่งรอตรงเก้าอี้โดยมีเย่เซียวยืนประกบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง


“คุณผู้หญิง ไม่สบายตรงไหนงั้นเหรอ?” คุณหมอประจำแผนกสูตนรีเวชสอบถาม


ไป๋ซู่เย่มองเย่เซียวแวบหนึ่ง “คุณออกไปก่อนได้ไหม?”


“ใช่ค่ะ คุณผู้ชาย ที่นี่เดี๋ยวต้องตรวจภายใน ห้ามผู้ชายเข้ามาข้างในนะคะ” คุณหมอเองก็รับคำ อยากบอกแบบนี้ไปตั้งนานแล้วแต่เพราะสีหน้าของเขาน่ากลัวเกินไปจึงไม่กล้าเอ่ยปาก


เย่เซียวกลับทำเหมือนฟังพวกเธอไม่เข้าใจ กล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เธอมีแผลด้านล่าง เจ็บหนักด้วย คุณช่วยตรวจดูตรงแผลให้เธอที”


“…” ไป๋ซู่เย่เงียบ


คุณหมอแผนกสูตินรีเวชกลับทำหน้าถึงบางอ้อ “ที่แท้แบบนี้นี่เอง ได้ คุณผู้หญิง คุณมานอนตรงนี้ให้ฉันดูแผลหน่อย”


คุณหมอลุกขึ้นยืนก่อน


ไป๋ซู่เย่รับคำสั้นๆว่า ‘ค่ะ’ ใช้แขนยันเคาน์เตอร์ตรวจไข้ขึ้น ขยับเท้ายังไม่ทันเดินไปดีเจ้าตัวก็ถูกเย่เซียวช้อนตัวจากพื้นเสียก่อน


อย่างไรเสียเธอรู้สึกเจ็บแผลใต้ร่างจริงๆ กับตอนเดิน จึงปล่อยให้เขาอุ้มเลยตามเลยไป


เย่เซียววางเธอลงบนเตียง


คุณหมอกลับบอกเธอไปพลาง “คุณผู้หญิง ถอดกางเกงลงเลยค่ะ คุณผู้ชายท่านนี้ ตอนนี้คุณออกไปได้แล้วค่ะ”


เย่เซียวยืนนิ่งไม่ขยับ “ตรวจแบบนี้แหละ”


“เย่เซียว!” ไป๋ซู่เย่เริ่มหมดความอดทน


เขาทำหน้าตาย “ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น คราวก่อนผมนี่แหละช่วยเช็คให้คุณ ถอดกางเกง อย่ามัวเสียเวลา!”


เขาก็อยากเห็นแผลของเธอเช่นกัน


คุณหมอที่ยืนข้างๆ หน้าแดงก่ำเมื่อได้ยิน อื้อหือ วัยรุ่นสมัยนี้นะ เลี่ยนเกินไป ไม่อายบ้างเลย


ไป๋ซู่เย่หน้าแดงเถือก วาดมือคว้าหมอนบนเตียงโยนไปทางเขา “คุณออกไป ถ้าคุณไม่ไปฉันก็จะไม่ตรวจ”


เย่เซียวยืนอยู่ไม่กี่วินาทีสุดท้ายก็หันหลังเดินออกไป แต่ก็ไม่ได้ยืนไปไกลมากแค่ยืนอยู่หลังผ้าม่าน


พอนึกถึงเย่เซียวยืนอยู่ข้างๆ ไป๋ซู่เย่ยังรู้สึกลำบากใจหน่อยๆ ถอดกางเกงลงช้าๆ คุณหมอตรวจไปยังรู้สึกเจ็บอยู่ แต่เธอกัดปากกลั้น


คุณหมอตรวจดูก็กล่าวขึ้น “นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงบวมแดงขนาดนี้? แผลฉีกขาดหมดแล้ว! พวกคุณสองคน…ให้ตายสิ! วัยรุ่นทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเลย!”


ไป๋ซู่เย่หน้าแดงไม่รู้ควรตอบโต้อย่างไรดี ทันใดนั้นผ้าม่านก็ถูกเปิดออกกะทันหัน


เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นขมวดคิ้วถาม “สาหัสมากเลยเหรอ?”


ไป๋ซู่เย่ประหม่าจนรีบหุบขาเข้าหากัน


“เป็นแบบนี้แล้วยังไม่สาหัสอีกเหรอ? ฉันว่านะพวกผู้ชายทำไมถึงเอาแต่รู้สึกดีฝ่ายเดียวไม่สนว่าคนอื่นเป็นตายร้ายดียังไง!” คุณหมอก็โกรธเป็นเหมือนกัน ตอนนี้ไม่สนแล้วว่าเย่เซียวสีหน้าย่ำแย่ขนาดไหนเริ่มตำหนิ “คนที่มาตรวจที่นี่ สองสามีภรรยามีบ้างที่อวัยวะฉีกขาด แต่ฉันไม่เคยเห็นใครอาการหนักเท่าเธอมาก่อน นอกจากคนที่ถูกข่มขืน!”


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจที


หากแต่ความจริงสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอต่างจากข่มขืนตรงไหนกัน?


“ผู้ชายอย่างคุณเห็นแก่ตัวที่สุด! แม่หนู ไม่ใช่ว่าฉันว่าคุณนะ หาแฟนก็ต้องเปิดตาหาดีๆ หน้าตาดีอย่างเดียวไม่มีประโยชน์อะไร สำคัญว่าต้องอ่อนโยนใส่ใจคุณต่างหาก”


สีหน้าเย่เซียวแย่ลงเรื่อยๆ


ไป๋ซู่เย่กลับหัวเราะ “ค่ะ ฉันจะจำไว้ แต่ว่า…”


เธอกวาดสายตาไปทางเย่เซียว ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เขาไม่ใช่แฟนของฉัน”


มือเย่เซียวที่เปิดผ้าม่านกำแน่น ต่อจากนั้นปล่อยผ้าม่านลงอย่างแรง “ผมรออยู่ข้างนอก มีอะไรก็เรียก!”


เย่เซียวปิดประตูออกไปยืนเข้าหากำแพง


อ่อนโยนใส่ใจอย่างนั้นหรือ!


อ่อนโยนช่างใส่ใจเหมือนแฟนของเธอ?


ในหัวเขามีแต่ประโยค ‘เขาไม่ใช่แฟนฉัน’ เมื่อสักครู่ของเธอดังก้องไปมา ความเย็นชาบนผิวหน้าเพิ่มมากขึ้น เกิดอารมณ์บางอย่างที่ไม่อยากค้นหาสาเหตุสุมขึ้นมาในอก


…………………………


“ไม่ใช่แฟนแล้วยังทำถึงขนาดนี้ได้ โลกของวัยรุ่นนี่นา คนรุ่นฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ” คุณหมอตรวจอาการให้เธอไปบ่นอุบไป


ไป๋ซู่เย่คิดว่าตัวเองก็น่าเหลือเชื่อจริงๆ เพียงกระตุกปากไม่อาจอธิบาย ระหว่างเธอกับเย่เซียวใช่ว่าจะใช้คำพูดไม่กี่ประโยคอธิบายกระจ่างได้?


“เมื่อวานแผลของคุณทายาอะไร? คุณบอกฉันหน่อย ฉันกลัวว่าเดี๋ยวจะให้ยาแล้วมันตีกัน”


“เมื่อวาน?” ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “เมื่อวานไม่ได้ทายานี่คะ”


“เป็นไปไม่ได้ เคยทาหรือไม่ได้ทาแวบเดียวฉันก็ดูออกแล้ว ปากแผลยังมียาติดอยู่เลย!” คุณหมอผู้มากประสบการณ์กล่าว


ไป๋ซู่เย่ชะงักไปอึดใจ ไม่ได้สงสัยถึงความชำนาญของคุณหมอ ถ้าอย่างนั้นยานี่…


เธอเริ่มจำได้เลือนรางว่าเมื่อคืนตอนหลับอยู่รู้สึกว่ามีใครกำลังสัมผัสตัวเองอย่างสะลึมสะลือ แต่ฤทธิ์ยาที่ช่วยเรื่องนอนหลับมันรุนแรงนักบวกกับตัวเองที่กำลังป่วยอยู่จึงไม่ได้ลืมตามอง คิดแค่ว่าตัวเองกำลังฝัน


ฉะนั้น…


เมื่อวานคนที่ทายาให้เธอคือเย่เซียวอย่างนั้นหรือ? แต่เขากลับไปตั้งนาน แล้วจะย้อนกลับมาที่โรงพยาบาลได้อย่างไร?


“คุณผู้หญิง?” คุณหมอเห็นเธอไม่ส่งเสียงตอบเลยเรียกขานไปที


เธอหลุดจากห้วงความคิด บอกชื่อยาไปแต่ในใจเริ่มฉุกคิดเรื่องเมื่อคืนเหมือนเดิม


หลังจากนั้นคุณหมอได้ทายาให้เธอใหม่ พอจัดอะไรเสร็จได้ชี้แจงข้อควรระวังถึงออกจากห้องตรวจ เปิดประตูพบว่าเย่เซียวยังยืนอยู่ตรงประตู


เขาทำหน้าหนักอึ้ง มองเธอแวบหนึ่ง “เป็นยังไงบ้าง?”


“เมื่อกี้เพิ่งทายา…”


“คุณหมอว่ายังไง?”


“คุณเข้ามาหน่อย!” คุณหมอตะโกนเรียกเย่เซียว เย่เซียวไม่ใช่คนฟังคำสั่งใครแต่วันนี้กลับเชื่อฟังอย่างมาก คุณหมอเรียกก็เข้าไปทันที ไม่ได้ถือสาท่าทางไม่เป็นมิตรของคุณหมอสักนิด


“แฟนของคุณ…ไม่สิ ไม่ว่าจะเป็นแฟนของคุณหรือเปล่า สิบวันนี้ห้ามมีอะไรกันเด็ดขาด ถ้าคุณยังห้ามใจตัวเองไม่ได้ ทำอะไรบ้าๆ อีกล่ะก็ อย่าหวังว่าชีวิตนี้แผลจะหายไป!เพราะฉะนั้นคุณควบคุมท่อนล่างคุณให้ดี!”


“…” ไป๋ซู่เย่ไอแห้งๆ ที


เย่เซียวกลับตอบรับอย่างเชื่อฟัง “ผมทราบแล้ว”


“มาตรวจทุกสามวันดูว่าอาการเป็นยังไงบ้าง”


“อืม ผมจะพาเธอมาเอง”


“แล้วก็ ที่สำคัญ…” คุณหมอดันกรอบแว่นตาบนจมูกน้อยๆ จ่ายยาไปกล่าวไป “ครั้งต่อไปคุณต้องอดทนหน่อย อ่อนโยนหน่อย สุภาพบุรุษหน่อย เข้าใจไหม? คุณนี่ก็…”


คุณหมอหันกลับไปมองไป๋ซู่เย่ “คราวหลังถ้าเจอคนป่าเถื่อนแบบนี้อีกคุณก็แจ้งตำรวจ! อย่าเก็บไว้นะ นั่นจะเป็นการสนับสนุนการใช้ความรุนแรง”


ไป๋ซู่เย่รีบหยักหน้ายิ้มๆ “ค่ะ เอาไว้คราวหน้า!”


เพียงแต่เธอไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะมีครั้งต่อไประหว่างเธอกับเย่เซียวอีกไหม ความเกี่ยวพันระหว่างพวกเขาเหลือไม่มากแล้ว…


เย่เซียวผู้เย่อหยิ่งเอาตัวเองเป็นใหญ่มาโดยตลอด วันนี้กลับไม่สนใจคำติเตียนของคุณหมอเพราะเขาไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้น แค่รอคุณหมอจ่ายยาเงียบๆ


จากนั้นอุ้มเธอเข้าไปที่ห้องพักผู้ป่วยก่อนจะไปรับยาแทนเธอด้วยตัวเอง


…………………………………………….



ตอนที่ 650 หลับไปพร้อมอ้อมกอด (5)

โดย

Ink Stone_Romance

“เย่เซียว” ไป๋ซู่เย่อดเรียกเขาไม่ได้เมื่อมองแผ่นหลังนั่น


เขาหันกลับมามองเธอด้วยสายตาสงสัย “มีอะไร?”


“เมื่อคืน…คุณกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” ไป๋ซู่เย่ถามลองเชิง


“กลับไปนานแล้ว”


“อ่อ”


“มีอะไรอีกไหม?”


“เมื่อคืนคุณกลับมาที่โรงพยาบาลอีกเหรอ?”


เย่เซียวย่นคิ้วน้อยๆ สุดท้ายปากบางขยับพูดออกมาสั้นๆ “เปล่า”


“…”


ไม่รอไป๋ซู่เย่ถามอะไรอีกเขาก็กระแทกประตูออกไปแล้ว


………………


รอเขาออกไปไป๋ซู่เย่ถึงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากใต้หมอน โทรหาไป๋หลางก่อน


ไป๋หลางรู้ว่าเธออยู่โรงพยาบาล อยากจะรีบมาหาแต่ถูกเธอปฏิเสธไป


“นายไม่ต้องมา แค่ปัญหาเล็กๆ นอนพักไม่เกินสองวันหรอก อีกอย่างถ้าคุณหญิงโทรมาอีกหรือไปหาฉันที่กระทรวงความมั่นคงโดยตรงนายก็ไม่ต้องพูดอะไร แค่บอกว่าฉันติดงานสัมมนาอยู่ที่อื่น ฉันไม่อยากให้พวกท่านต้องเป็นห่วง”


“รัฐมนตรี อย่างน้อยคุณก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนะครับ มีผู้หญิงอย่างคุณที่ไหนที่เรื่องอะไรก็แบกไว้หมดคนเดียวบ้าง?”


ไป๋ซู่เย่ไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ สิบปีนี้เวลาส่วนมากเหมือนว่าเธอผ่านมันมาเพียงลำพังจริงๆ


ข้างกายมีผู้คนคอยห่วงใยมากมายตั้งแต่ครอบครัวไล่ไปถึงเพื่อน แต่คนที่สามารถแทรกเข้าไปในหัวใจเธอจริงๆ ได้นั้นแทบไม่มี


เธอเก็บตัวเองไว้ในเปลือก ไม่อยากเผยมุมที่อ่อนแอให้ใครเห็น


“ฉันวางสายก่อนล่ะ พอดีว่าเหนื่อยนิดหน่อย ถ้าไม่ใช่งานเร่งด่วนอะไรรอฉันกลับไปแล้วค่อยจัดการ แต่ถ้าเร่งด่วนให้โทรหาฉัน โรงพยาบาลมีสายชาร์จแบต ฉันจะเปิดเครื่องไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”


“ครับ”


หลังวางสายจากไป๋หลาง ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงเห็นหมายเลขที่ไม่ได้รับสิบสายนั่นอีกครั้ง


เมื่อคืนอวิ๋นช่วนได้ยินไปมากเท่าไร…กับเรื่องของตนและเย่เซียว?


ไม่ว่าจะเท่าไร เธอต้องให้คำอธิบายแก่เขาสักหน่อย


เงียบไปอึดใจสุดท้ายไป๋ซู่เย่ก็โทรหาเบอร์อวิ๋นช่วน รอสายอยู่ครู่เดียวอีกฝ่ายรีบกดรับทันที “ซู่ซู่?”


เสียงอวิ๋นช่วนแฝงด้วยความประหม่าปนกังวลเสียส่วนมาก


ไป๋ซู่เย่นึกขอบคุณในใจ “ฉันเอง”


“ผมเป็นห่วงคุณมาก”


“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นอะไร”


อวิ๋นช่วนเงียบไปได้เพียงครู่ ส่วนไป๋ซู่เย่ที่กำโทรศัพท์อยู่ทางนี้เองก็จมอยู่ในความเงียบ


พักใหญ่เธอชิงพูดก่อน “ขอโทษ…”


อวิ๋นช่วนถามอึกอัก “นั่นแฟนคุณเหรอ?”


“…เปล่า แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันค่อนข้างซับซ้อน”


“เขาไม่ดีกับคุณ” อวิ๋นช่วนคาดเดาว่าพวกเขาอาจจะมีความสัมพันธ์เป็นอดีตคนรัก วันนั้นในโทรศัพท์เขาพอจะได้ยินเสียงบทสนทนาบ้าง


“ฉันไม่จำเป็นต้องให้เขาดีกับฉัน อวิ๋นช่วน ฉันอธิบายความสัมพันธ์ของฉันกับเขาให้คุณไม่ได้ แต่…เพื่อความยุติธรรม ฉันคิดว่าก่อนที่ฉันยังจัดการความสัมพันธ์ของฉันกับเขาได้ เราอย่าเพิ่ง..”


“ซู่ซู่ เราเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีอะไรที่ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมต่อผมหรอก คุณยิ่งไม่ต้องขอโทษผม ถูกต้องที่ผมเสียใจนิดหน่อย แต่ที่ผมเสียใจไม่ใช่เพราะผมไม่สามารถครอบครองคุณได้ แต่คิดว่าคุณน่าจะได้คนรักที่ให้เกียรติคุณ ใส่ใจคุณ ไม่ใช่อย่างเขาที่ไม่ให้ความเคารพพื้นฐานแก่คุณด้วยซ้ำ”


หัวใจของไป๋ซู่เย่อุ่นซ่านขึ้นมาเล็กน้อยเพราะอวิ๋นช่วน เธอยิ้ม “ฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณพูดทั้งหมด คุณสบายใจได้ ฉันเป็นคนฉลาด ไม่มีทางโง่ถึงขั้นทรมานตัวเองหรอก”


ได้ยินเธอว่าเช่นนี้อวิ๋นช่วนก็รู้สึกโถ่งอกเสียทีเลยยิ้มตาม “ผมเองก็เชื่อว่าคุณเป็นฉลาด”


ขณะนั้นเองประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเคาะ ไป๋ซู่เย่มองประตูแวบหนึ่งเห็นเพียงถังซ่งกับพยาบาลดันประตูเข้ามา เธอจึงกล่าวลาอวิ๋นช่วนไม่กี่ประโยคก่อนวางสายไป


“โทรคุยกับใครน่ะ หวานเชียว” ถังซ่งเข้ามาปุ๊บก็หยอกล้อเธอทันที


“คุณใช้ตาข้างไหนเห็นว่าฉันหวานบ้าง? หัวโดนกระแทกซะขนาดนี้ ต่อให้เอาน้ำผึ้งมากรอกใส่เท่าไหร่ก็หวานไม่ขึ้นหรอก”


ถังซ่งหัวเราะ “ผมขอดูแผลคุณหน่อย หันข้าง”


ไป๋ซู่เย่นั่งหันข้าง ถังซ่งแกะผ้าพันแผลบนหัวเธอออกมาละทีรอบๆ “ผมจะเปลี่ยนยาให้ เจ็บนิดหน่อย อดทนหน่อยนะ”


“เย็บแผลยังทนมาได้ แค่นี้ไม่หนักหนาอะไรหรอก”


“คุณทำไมชอบฝืนจังเลย?” ถังซ่งแกะผ้าพันแผลไปพูดไป “เจ้าเย่เซียวก็ชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ถ้าคุณยอมอ่อนข้อกับเขาลงหน่อย ผมรับรองว่าคุณไม่ต้องถูกทรมานขนาดนี้หรอก”


ไป๋ซู่เย่ยิ้มขมขื่น “ตั้งแต่ตอนที่เราตกลงเซ็นสัญญาด้วยกันก็บอกไว้แล้วว่าในหนึ่งเดือนนี้ ฉันต้องเป็นตัวฉัน ไม่เสแสร้ง ไม่จงใจ ถ้าฉันยอมอ่อนลงจริงๆ นั่นอาจจะไม่ใช่ฉัน…”


ไป๋ซู่เย่ในลักษณะนี้เป็นแบบที่เย่เซียวเกลียดที่สุด


แต่ระหว่างพวกเขาต่างคนต่างเกลียด ความสัมพันธ์ไม่ถูกคอกันเหมือนน้ำไฟต่างหากถึงจะปลอดภัยที่สุด


“พวกคุณก็มัวแต่ไม่ยอมกันและกัน แต่ก็ใช่…” ถังซ่งพูดเปิดโปงพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งในประโยคเดียว “พวกคุณสองคนถ้าไม่ทำแบบนี้ ไม่หาข้ออ้างมาทะเลาะกันหน่อย คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีทางกลับมามีปฏิสัมพันธ์ได้อีก”


มือไป๋ซู่เย่ที่กอดผ้าห่มอยู่กำแน่นในฉับพลัน หัวใจบีบคั้นเจ็บแปลบเพราะประโยคนี้ของถังซ่ง


ใช่ เธอกับเย่เซียวสองคน เดินอยู่บนเส้นทางคู่ขนานกัน


ตอนนี้มีจุดตัดกันทั้งทีและเป็นจุดตัดเพียงหนึ่งเดียว ปมที่แกะไม่ออกได้มัดพวกเขามารวมกัน หากวันหนึ่งปมนี้ถูกแก้ได้ พวกเขาคงมีแค่เดินหน้าต่อไป


จากนั้นก็ต่างไม่ยุ่งกันและกันอีก…


อยู่ๆ เธอรู้สึกเจ็บที่แผลเล็กน้อย น้ำตาคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว


“เสร็จแล้ว พันแผลใหม่นะ” ในชั่วขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยถังซ่งได้ใช้ผ้าก๊อซทำการปิดแผลให้เธอใหม่ เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อยับยั้งความรู้สึกอ่อนไหวนั่นลงไป


“วันนี้เย่เซียวมาหรือยัง?” ถังซ่งทำแผลไปถามไป


ไป๋ซู่เย่ยังไม่ทันตอบก็ได้ยินพยาบาลตัวน้อยข้างๆ ตอบแทน “คุณเย่เซียวไม่ได้กลับไปสักหน่อยนี่คะ อยู่ที่นี่ตลอดคืนเลย”


“อะไรนะ?” ถังซ่งกับไป๋ซู่เย่หันไปมองพยาบาลพร้อมกัน


“ทำไมพวกคุณมองฉันแบบนี้ล่ะ?”


“เมื่อคืนเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมเห็นเขากลับไปเองกับตา” ถังซ่งมั่นใจว่าพยาบาลต้องจำผิดแน่ๆ


“แต่กลางดึกเขาก็กลับมาอีกนี่นา ฉันตรวจเช็คห้องเสร็จก็เจอเขาโดยบังเอิญตรงนอกห้อง ตอนนั้นคุณไป๋หลับสนิทไม่รับรู้อะไร แต่ไม่ว่ายังไงเมื่อเช้านี้ตอนฉันมาเช็คห้องอีกครั้งเขาก็ยังฟุบอยู่ข้างคุณไป๋อยู่เลย!”


ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…


เมื่อคืนเขาอยู่จริงๆ ด้วย


ความรู้สึกที่หลากหลายพลุ่งพล่านในใจไป๋ซู่เย่


ถังซ่งหัวเราะ “บอกว่าเขาซึนก็คงพูดไม่ผิดจริงๆ ด้วย รู้อยู่แล้วว่าหมอนั่นต้องหนีไม่รอด รัฐมนตรีไป๋ เสน่ห์ของคุณมันล้นเหลือจริงๆ นะ ทำให้เย่เซียวเฝ้าทั้งคืน นานทีจะเห็นได้”


“คุณพอได้แล้ว ตอนนี้ฉันเป็นคนป่วยอยู่ไม่อยากฟังคุณยกยอ” ไป๋ซู่เย่พูดจบพลางเอ่ยเสริมเบาๆ อีกประโยค “ถ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นน่าหลันที่นอนโรงพยาบาล เขาก็คงเฝ้าเหมือนกันนั่นแหละ”


ถังซ่งเลิกคิ้วสูงอย่างมีเลศนัย “ก็ไม่แน่หรอก”


……………………………….



ตอนที่ 651 รักและทะนุถนอมเธอ (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่เย่เซียวก็กลับมาพอดี


ในมือมีถุงยา


ถังซ่งมองยานั่นแวบหนึ่งมุมปากก็กระตุก “ดูท่าทางจะอาการหนักกว่าที่ฉันคิดไว้นะ นายเนี่ย บอกแล้วว่าให้ไปเรียนวิชาจากผู้หญิงพวกนั้น นายกลับไม่ยอมอยู่ได้”


ไป๋ซู่เย่นอนคว่ำอยู่บนเตียงทำเพียงเหมือนไม่ได้ยิน ผู้ชายพวกนี้ติดนิสัยเอาเรื่องบนเตียงมาพูดกันโต้งๆ แบบนี้เลยหรือ?


“นายเปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จหรือยัง? เปลี่ยนเสร็จก็ออกไป” เย่เซียวเพิ่งเอายากลับมาก็เอ่ยปากขับไล่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง


ถังซ่งจิปากที “ก็ได้ ไม่รบกวนเวลาส่วนตัวของพวกนายแล้วกัน”


เขาว่าแล้วเตรียมหันหลังเดินออกจากห้อง


“เดี๋ยวก่อน”ไป๋ซู่เย่นึกบางอย่างได้พลางหันกลับมามองถังซ่ง “วันนี้ฉันออกจากโรงพยาบาลได้ไหม?”


“ไม่ได้!”


ถังซ่งยังไม่ทันตอบเย่เซียวก็แย่งตอบไปก่อน


ถังซ่งแบมือทำหน้าระอา


“ถ้าเป็นแค่แผลภายนอก ฉันให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้”


“กลับไปที่บ้านผม?” เย่เซียวถาม


ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “กลับไปที่บ้านฉัน ยังไงโรงพยาบาลก็ไม่สบายเท่าที่บ้าน สภาพแวดล้อมที่สบายตัวน่าจะเอื้อต่อการรักษาแผลมากกว่า”


กลับไปที่บ้านเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับน่าหลันทุกวัน ไม่ได้มีผลดีต่อการพักฟื้นเลย


เย่เซียวหันกลับไปมองถังซ่ง ถังซ่งตอบ “ผมน่ะอยากแนะนำให้คุณพักผ่อนสักสองวันอยู่แล้ว แต่จากสภาพร่างกายของคุณจะกลับไปตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ขอแค่ทำแผลเองตามเวลา แต่คุณอยู่คนเดียวแล้วไหนจะเจ็บตรงหลังหัวอีก แค่ใส่ยาก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว”


“ไม่เป็นไร ฉันหาวิธีได้”


ถังซ่งไม่ตอบแค่หันกลับไปมองเย่เซียว เห็นได้ชัดว่ากำลังรอเย่เซียวอนุญาต


เย่เซียวพยักหน้า “ให้เธอออกจากโรงพยาบาล”


“OK” ถังซ่งหันไปสั่งพยาบาล พยาบาลพยักหน้ารับแล้วเดินนำออกไปก่อน


…………………………


พอถังซ่งออกไปภายในห้องพักผู้ป่วยก็เหลือแค่เธอกับเย่เซียวสองคน เธอนึกถึงสิ่งที่พยาบาลบอกว่าเมื่อคืนเขาอยู่ที่นี่ทั้งคืน ก่อนจะเหล่มองเขาอีกที


“มองอะไร?”


ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “ไม่มีอะไร”


หยิบโทรศัพท์ออกมาจากใต้หมอน “ในเมื่อออกจากโรงพยาบาลได้แล้วงั้นฉันกลับก่อนล่ะ”


ไม่มีของติดตัวอะไร และที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าสำหรับให้เธอเปลี่ยนจึงต้องออกจากโรงพยาบาลในสภาพทรุดโทรมแบบนี้


เย่เซียวแค่นเสียงไปที เดินมาช้อนตัวเธอขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้าวขายาวออกไปทำให้ตัวกระแทกอกแกร่งเขา กลิ่นกายชายหนุ่มลอยเตะจมูก ไป๋ซู่เย่มองเขาด้วยสีหน้าสับสนแวบหนึ่ง “เย่เซียว ฉันเดินเองได้”


“ไม่เจ็บแล้ว?”


“…ก็เพราะคุณไม่ใช่หรือไง” ไป๋ซู่เย่พึมพำ


เย่เซียวได้ยินแต่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เดินไปถึงนอกห้องพักผู้ป่วยถึงกล่าวขึ้น “วันหลังอย่าทำให้ผมโกรธอีก คงไม่ต้องถูกทรมานถึงขนาดนี้”


ได้ยินคำพูดเขาไป๋ซู่เย่นิ่งค้างไปครู่ขณะ


เผลอตอบออกมาเสียงเบาๆ “เรา…ยังมีวันหลังอีกเหรอ?”


ร่างสูงใหญ่ของเขาสะท้านกึก เผลอกระชับแรงที่อุ้มเธอแน่นขึ้นรวมถึงลมหายใจที่หนักอึ้งขึ้น


“คุณอยากยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกับผมจนแทบอดใจไม่ได้แล้วใช่ไหม?” เย่เซียวถามด้วยอารมณ์ราบเรียบ ยากจะตัดสินว่าดีใจหรือโกรธ


หัวใจไป๋ซู่เย่ว่างเปล่า


อดใจไม่ไหว? เธอคิดว่าตัวเองควรอดใจไม่ไหว…


แต่ถึงตอนนี้เหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น


เธอใช้แขนโอบรอบคอเย่เซียวพร้อมซบหน้ากับอกเขาเบาๆ การกระทำเล็กๆ นี้ทำให้แววตาเย่เซียวเผยความอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิม แค่ได้ยินเธอกล่าว “เราสองคนอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าวันแล้ว ตอนนี้คุณ…ปล่อยวางได้หรือยัง?”


เย่เซียวไม่ได้หยุดฝีเท้า “หมายความว่ายังไง?”


“ฉันในสิบกว่าวันนี้เป็นไป๋ซู่เย่ตัวจริง ไม่ใช่ไป๋ซู่เย่ที่ไม่สนโลก ใสซื่อบริสุทธิ์ในใจคุณอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้น…หลังจากสิบสองวันนี้ คุณจะปล่อยวางมันได้ไหม?”


คำพูดของเธอเรียกให้เขาจมอยู่ในความเงียบพักใหญ่


กระทั่งอุ้มเธอออกจากโรงพยาบาลวางตัวลงบนรถเขา เขาก็ยังไม่เปิดปากตอบคำถาม


เดิมทีไป๋ซู่เย่คิดว่าเขาคงไม่ตอบคำถามตนอีกแล้ว แต่ในจังหวะที่เขาวางเธอลงบนเบาะข้างคนขับ กลับย้อนถามโดยไม่ได้ถอยออกไปทันที “คุณล่ะ?”


เธอใช้สายตาจ้องมองเขานิ่ง


ตัวของเขาสูงใหญ่ พอโน้มตัวแทรกเข้ามาในรถทำให้ดูพื้นที่แคบลง สองแขนยันข้างลำตัวเธอและร่นพื้นที่สำหรับหายใจของเธอให้น้อยที่สุด กลิ่นมินต์สดชื่นประจำตัวชายหนุ่มที่ร้อนผ่าวรดใส่หน้าเธอ เธอรู้สึกในหัวอื้ออึงพร่ามัว เห็นแค่กลีบปากแสนเซ็กซี่ของเขาที่ขยับไปมา “สิบสองวันหลังจากนี้ คุณจะเป็นยังไง?”


คำถามนี้สร้างความเจ็บแปลบแก่หัวใจเธอ ความเจ็บจึกที่เหมือนมีเข็มแทงลงซ้ำๆ ไม่ได้เจ็บมากในแต่ละทีแต่เจ็บยาวนาน


เวลาสิบปีที่ผ่านมาเธอไม่ได้ปล่อยวางมัน แล้วสิบสองวันสั้นๆ นี้จะปล่อยวางได้อย่างไร?


แต่ถ้อยคำทั้งหมดนี้กลับไม่สามารถพูดมันออกมาได้ตลอดชีวิต…


“สิบสองวันหลังจากนี้ ฉันจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ใช้ชีวิตที่ผู้หญิงทุกคนควรมี”


เขาขมวดคิ้วคล้ายฟังเธอไม่เข้าใจ “อะไรคือชีวิตที่ผู้หญิงทุกคนควรมี?”


ไป๋ซู่เย่สบตาเขาแน่วแน่ ดวงตาใสวาวน่าหลงใหล “แม่ฉันเร่งเร้าให้ฉันหาคนรักตลอด เร่งให้ฉันแต่งงาน ก็เลย…”


ปวดใจเจ็บแปลบ


เย่เซียวตาเข้มแล้วเข้มอีก ชั่วครู่ถัดมาจู่ๆ ก็บีบใต้คางเธอโน้มตัวปิดปากเธอแรงๆ เพื่อห้ามไม่ให้เธอพูดคำตอบที่กำลังจะออกจากปาก


กลิ่นอายชายหนุ่มโถมเข้ามา แพขนตาไป๋ซู่เย่กะพริบหลายครั้ง รู้สึกเพียงว่าร่างกายเริ่มอ่อนแรง


“จูบผม!”เย่เซียวประกบปากกับปากของเธอ เสียงแหบพร่าออกคำสั่ง


ความปวดใจแล่นลิ่วขึ้นมาในอก จากนั้นเจ้าตัวคล้องสองแขนโอบลำคอเขาเหมือนคนที่กำลังจมน้ำ แนบริมฝีปากประกบอย่างอดใจไม่ได้ ทั้งตอบรับการรุกล้ำ ทั้งเลียนแบบเขาเป็นฝ่ายดูดดึงปากเขา ลิ้นเกี่ยวกระหวัดเขาอย่างกระตือรือร้น…


เขาหายใจหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ


“สิบปีก่อน คุณยังติดค้างผมไว้มาก ก่อนที่จะชดใช้คืนทั้งหมดอย่าหวังว่าจะได้แต่งงาน!” เย่เซียวหอบหายใจพูดเสียงทุ้มอย่างเอาแต่ใจ แต่ปากกลับยังแนบชิดกลีบปากเธอ มือใหญ่กดเอวเธอให้ประชิดตัวเขา “ได้ยินไหม?”


ไป๋ซู่เย่สติพร่ามัวพลางตอบรับออกมาสั้นๆ ‘อืม’


เสียงหอบครางของเธอเย้ายวนใจอย่างมาก ประเภทที่ผู้ชายทุกคนยากจะควบคุมตัวเองไหว หลายครั้งก่อนหน้านี้กอดเธอเขาต้องอดกลั้นไม่ให้เอาแต่ใจเกินไป ตอนนี้กลับกล้าเอาแต่ใจได้เต็มที่แล้ว!


เย่เซียวรู้สึกว่าเธอจงใจทรมานเขา เขาตะครุบมือที่ลูบไล้ไปทั่วของเธอไว้ ใช้ดวงตาร้อนเป็นไฟมองเธอ “พอแล้ว!”


“ตอนนี้ฉันเจ็บเพราะคุณขนาดนี้ คุณจะทรมานฉันอีกไหม?”


……………………………………..



ตอนที่ 652 รักและทะนุถนอมเธอ (2)

โดย

Ink Stone_Romance

“ตอนนี้ฉันเจ็บเพราะคุณขนาดนี้ คุณจะทรมานฉันอีกไหม?” เธอถามเสียงแหบพร่า ดวงตาฉ่ำวาวมีน้ำใสชั้นบางๆ คล้ายเครื่องแก้วของเหล่าเทพเซียน คล้ายนางมารที่สุดแสนจะเย้ายวน


เย่เซียวผ่อนหายใจหนักๆ “ไม่”


เขาไม่ได้ต่ำทรามขนาดนั้นแต่ก็มักถูกเธอกระตุ้นให้โกรธจนหลุดการควบคุมทุกครั้งไป หากเมื่อคืนไม่ใช่เพราะเธอจู๋จี๋กับผู้ชายคนนั้น เขาจะคิดลงโทษเธอเพราะโกรธได้อย่างไร?


ได้ยินคำตอบนี้ของเขาเธอจึงนั่งหลังตรงเล็กน้อยงับปากล่างเขาแล้วขบกัดแรงๆ เย่เซียวหลุดเสียงครางฮึมเพราะความเจ็บ เบิกตาถลึงจ้องเธอ เธอที่เหมือนได้รับคำมั่นสัญญาแล้วจึงไม่หวาดกลัวใดๆ ผละออกจากปากเขาก่อนจะเลื่อนลงไปกัดคางเขาแรงๆ อีกคำ เขาหลุดเสียงหนักๆ เรียกให้เธอรู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้น ก่อนหน้านี้เขามักเป็นฝ่ายทรมานตัวเอง ตอนนี้ควรเป็นเขาบ้างที่เป็นฝ่ายได้รับบทเรียน


หลังศีรษะเธอมีบาดแผลเย่เซียวไม่กล้าแตะต้องเธอ ไม่กล้ากระชากเธอลงมา สุดท้ายเธอยิ่งได้ใจ ฝังรอยฟันตั้งแต่ลำคอของเขาจนถึงไหปลาร้าเหมือนทุกทีที่เขาทำกับเธอ


เธออยากเอาคืนเขาทุกอย่างที่เขาได้กระทำไว้ แต่การกระทำเช่นนี้กลับเป็นการยั่วยวนที่โหดร้ายยิ่งกว่าบทลงโทษเสียอีก


“ไป๋ซู่เย่ หยุดนะ! อื้อ”


สิ่งที่ตอบโต้กลับมาเป็นรอยฟันรอยใหม่


ลมหายใจของเขาหนักหน่วงกว่าเดิม ยัยผู้หญิงบ้านี่! ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว!


ขณะนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็แผดเสียงดังลั่น เขาไม่มีอารมณ์จะรับโทรศัพท์สักนิด แต่โทรศัพท์เครื่องนั้นกลับดังไม่หยุด สร้างความหงุดหงิดแก่คนได้ยิน เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า พบว่าเป็นสายจากถังซ่งจึงกดรับพร้อมปุ่มลำโพงแล้วโยนไว้ข้างๆ กลับมา ‘ดื่มด่ำ’ กับความรู้สึกที่ถูกเธอจุดไฟอย่างเอาแต่ใจต่อ โดยขณะเดียวกันก็ตะคอกเสียงต่ำ “อะไร!”


“ฉันว่า ความจริงไม่ใช่ว่าฉันอยากขัดอารมณ์พวกนายหรอกนะ แต่พวกนายคิดจะเล่นหนังสดกันบนรถในโรงจอดรถส่วนตัวฉันจริงๆ เหรอ?”


บ้าเอ๊ย!


เย่เซียวสบถในใจที


ไป๋ซู่เย่เองก็ได้ยิน ร่างสะท้านเฮือกแทบผละใบหน้าเงยมองหากล้องวงจรปิดทันที ใบหน้าแดงเถือกเพียงเพราะคิดว่านี่เป็นโรงจอดรถส่วนตัวไม่มีคนนอก ใครจะรู้ว่าถังซ่งจะจับตามองอยู่


เย่เซียวคว้ามีดสั้นที่ไว้ป้องกันตัวบนรถ


“อย่านะ! ฉันไม่ดูแล้ว ไม่ดูแล้ว! นายอย่าแตะต้องกล้องฉันนะ!”


เพิ่งสิ้นเสียงเขาก็ได้ยินเพียง ‘เพล้ง!’ ดังขึ้น กล้องวงจรปิดแตกละเอียด


“บ้าเอ๊ย! ไอ้เลว!” ถังซ่งที่อยู่อีกฟากสบถเสียงต่ำอย่างบ้าคลั่ง


ทางนี้ไป๋ซู่เย่ได้ตัดสายแทนเย่เซียวอย่างรวดเร็ว จากนั้นภายในโรงจอดรถก็กลับสู่ความสงบดังเดิม


ไป๋ซู่เย่หน้ายังแดงระเรื่อ เธอปล่อยเย่เซียวออกนั่งหลังตรง เย่เซียวยันสองมือไว้เบาะที่นั่งไม่ขยับตัวไปไหนและระยะประชิดเธออย่างมาก เธอรู้สึกร้อนผ่าวจึงใช้มือดันเขาไปที “ขึ้นรถ ไปกันเถอะ”


“ไม่เล่นแล้วเหรอ?” ความต้องการในแววตาของเย่เซียวยังไม่หายไปไหน มองเธออย่างเจ้าเล่ห์


เธอเบนสายตาหนีก็เห็นรอยบนลำคอเขา ไหปลาร้ารวมถึงหน้าอกแกร่งที่ปลดกระดุมออกมีรอยฟันหลายรอย มุมปากยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว “ครั้งนี้กัดพอแล้ว คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่”


“ครั้งนี้ก็พอแล้วเหรอ?” เย่เซียวจงใจกดเสียงต่ำทำให้น้ำเสียงฟังดูคลุมเครือจนคนฟังหายใจไม่ทั่วท้อง “คราวหน้าจะทำให้คุณยิ่งพอใจกว่านี้…”


ไป๋ซู่เย่หน้าแดงหูแดง ผลักเขาออกไป เธอย่อมรู้ความหมายแอบแฝงในประโยคของเขา แต่ว่า…


“คุณไม่ทำให้ฉันเจ็บอีกฉันจะขอบคุณมาก”


“อยู่ที่ตัวคุณแล้วล่ะ” เย่เซียวโน้มตัวดึงสายเข็มขัดมารัดให้เธอทันที


ปิดประตูฝั่งเบาะข้างคนขับกลับไปยังตำแหน่งคนขับ ไป๋ซู่เย่คิดครู่หนึ่งแล้วถาม “เย่เซียว สิบปีมานี้คุณเคยมีแฟนกี่คน?”


เย่เซียวถอยรถออกจากโรงจอดรถส่วนตัวของถังซ่งอย่างคล่องแคล้ว ตีเป็นเส้นโค้งสวยงามถึงหันมามองเธอ “ทำไม?”


“ยังไงน่าหลันก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ก็เป็นปกติที่คุณจะไม่มีประสบการณ์มาจากเธอได้” เธอหยุดชะงักไปอึดใจ มองเขาอย่างสงสัย “แต่สิบปีนี้คุณไม่น่ามีแฟนแค่น่าหลันคนเดียวสินะ?”


เย่เซียวเข้าใจความหมายของเธอแล้ว


กำลังพูดอ้อมๆ ว่าฝีมือบนเตียงเขาห่วยแตก!


เขาเม้มปากบางแน่นพูดเสียงเย็นชา “มีมาโหลหนึ่งแล้ว!”


โหลบ้าอะไร!


เขาไม่เคยสัมผัสผู้หญิงจริงๆ มาก่อน


อยากจะสัมผัสอยู่หรอกแต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้าตาเขาจริงๆ สักคน น่าหลันเป็นเพียงคนเดียวที่เขายอมเก็บไว้ข้างกาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการเธอ


“เคยมีโหลหนึ่งแล้วคุณยังเป็นแบบนี้อีกเหรอ?” ไป๋ซู่เย่พยายามทำให้น้ำเสียงตัวเองฟังดูสบายๆ คล้ายกำลังพูดเล่นกับเขาก็ไม่ปาน


เดิมทีเธอเองยังคิดว่าจะสามารถคุยเรื่องนี้กับเขาเล่นๆ อย่างสบายๆ แต่พอได้ยินคำตอบนี้ในใจก็แอบเจ็บแปลบ…รู้สึกแย่


อาจเป็นเพราะสิบปีที่ผ่านมา…ชีวิตของเธอแทบว่างเปล่าล่ะมั้ง ต่อให้เคยคบกันระยะสั้นๆ ก็จบความสัมพันธ์ลงเพราะสุดท้ายก็ก้าวออกจากเงาของเขาไม่ได้


“กอดกับผู้หญิงคนอื่นมีแต่เขาจะมาเอาใจผม ผมต้องเรียนรู้การเอาใจคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?” เย่เซียวแค่นเสียงเย็นชาที“กลับเป็นคุณ…ในบรรดาผู้หญิงทุกคนที่ผมเคยนอนมา ฝีมือของคุณ…แย่ที่สุด!”


ทั้งที่หัวข้อนี้ตนเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแท้ๆ


แต่ความอึดอัดเริ่มสุมในอก เธอเลื่อนกระจกลงหวังสูดอากาศ ลมพัดเข้ามาเธอถึงหายใจได้คล่องหน่อย ตอบกลับเขา “เดิมทีฉันอยากเรียนรู้เทคนิคจากคุณสักหน่อย แต่ตอนนี้ท่าทางต้องพึ่งคนถัดไปแล้ว”


เย่เซียวกำพวงมาลัยแน่น


แน่นจนเส้นเลือดบนแขนปูดโปน เขาตวัดตามา “ไม่ต้องรีบ ยังมีเวลา อีกไม่กี่วันที่เหลือผมไม่รังเกียจที่จะยกเวลาทั้งหมดเพื่อให้คุณเรียนรู้เทคนิคบนเตียงดีๆ!”


ไป๋ซู่เย่ดูออกว่าเขาจะโกรธอีกแล้ว เลยไม่ได้โต้กลับเป็นการกระตุ้นอารมณ์เขาอีก


อย่างไรเสียตอนนี้ตัวเองยังถือว่าเป็นคนป่วยอยู่ กำลังต่อสู้เทียบเขาไม่ได้อยู่แล้ว


เธออยากนอนจึงปรับเบาะลงราบและเพื่อไม่ให้ทับโดนแผลจำต้องนอนหันข้างเท่านั้น หน้าหันไปทางกระจกและหันแผ่นหลังให้เขา สองนาทีจากนั้นเย่เซียวเอ่ยปาก “หันกลับมา!”


ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบโต้


“หันกลับมา ผมไม่ชอบให้คนอื่นหันหลังให้ผม!”


คนเอาแต่ใจ!


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาต่อเพราะความง่วงที่จู่โจมมาอย่างหนัก หดตัวน้อยๆ โดยมีลมอ่อนๆ พัดเข้ามาจากกระจกให้ผมปรกข้างแก้มเธอปลิวไสวอย่างสวยงาม


เย่เซียวก้มมองแวบหนึ่งและกำลังจะเลื่อนกระจกฝั่งเธอขึ้นเงียบๆ คิ้วเรียวของเธอย่นเข้าหากันเบาๆ “อย่าปิดเลย ฉันอยากสูดอากาศหายใจหน่อย”


“…” เขาชะงักมือ ปลายนิ้วกดบนปุ่มแต่ไม่ขยับ


สักพักเธอก็นอนหลับไป


ดวงตาปิดลงเบาๆ หายใจเป็นจังหวะ เส้นผมถูกลมข้างนอกพัดให้ยุ่งเหยิงปรกดวงหน้าเล็กของเธอ เผยให้เห็นใบหน้าขาวเนียนวับๆ แวมๆ ผ้าก๊อซบนศีรษะทำให้เธอดูน่าสงสารจับใจ


ชั่วขณะ…


เย่เซียวพานนึกถึงหญิงสาวตัวน้อยที่ชอบซุกตัวนอนบนอกตัวเองเมื่อสิบปีก่อนอย่างห้ามไม่ได้…


……………………………………



ตอนที่ 653 รักและทะนุถนอมเธอ (3)

โดย

Ink Stone_Romance

หน้าอกบีบรัดแน่นจนอึดอัด


ดวงตาเริ่มหม่นลง


มือของเขายื่นไปหาเธออย่างเหนือการควบคุม ค่อยๆ ปัดผมยาวสลวยสีดำเป็นเส้นๆ นั่นให้ปลายนิ้วแตะใบหูเธอโดยไม่ขยับหนี บีบคลึงปลายหูขาวเนียนของเธอไปมาเบาๆ


เมื่อก่อนทุกคืนที่นอนด้วยกันเขาชอบบีบหูเธอเล่น เหมือนว่าอย่างนี้ถึงจะนอนหลับสนิทได้


สิบปีแล้ว…


ความรู้สึกแบบนี้กลับยังคงอยู่


เขามองเธอนิ่งไม่ละสายตาอยู่ครู่ใหญ่ ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าไฟจราจรสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียวจนรถข้างหลังกดบีบแตรดังลั่นเป็นการเร่งเร้าให้หยุดเขาถึงดึงสติกลับมา ค่อยๆ เคลื่อนรถออกไป


ลมข้างนอกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเธอหดตัวคู้หน่อยๆ เหมือนหนาว เขาปิดกระจกหน้าต่างฝั่งเธอพลางถอดเสื้อสูทบนตัวคลุมร่างเล็กของเธอไว้


ก่อนจะจับมือของเธอที่หดหนีความหนาวข้างนอกใส่ใต้เสื้อของเขาอย่างระมัดระวัง


เย่เซียวขับรถให้ช้าลง วนตามเมืองนี้ไป เป็นครั้งแรกที่ไม่หงุดหงิดกับสถานการณ์รถติด ข้างหูมีแต่เสียงหายใจแผ่วเป็นจังหวะเรียบทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก พอว่างก็จะย้ายสายตาไปไว้ที่ตัวเธอโดยไม่รู้ตัว


รักษาท่านอนท่าเดิมอยู่พักหนึ่งจนรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว เธอครางเสียงเบาๆ พลิกตัวกลับไป เย่เซียวที่กำลังเจอรถติดพอเห็นเธอพลิกตัวเผลอหายใจติดขัด แทบจะรีบโถมตัวเข้าหาเพื่อยื่นมือประคองหลังศีรษะเธอไว้ไม่ให้โดนแผล ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเจ็บมากแน่ๆ หากกดทับโดนแผล


แต่เพราะครั้งนี้ไป๋ซู่เย่ก็ต้องสะดุ้งตื่นจนได้


ลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเย่เซียวประชิดตัวเองขนาดนั้น ใจเธอเต้นผิดจังหวะชั่วขณะ สติพร่ามัวเรียงลำดับไม่ถูก


“คุณ…ทำอะไร?”พอได้สติพลางมองเขาอย่างฉงน


เย่เซียวทำหน้าอึดอัดพริบตาแต่ไม่นานก็กลับไปหน้านิ่งเหมือนเดิม


“โทรศัพท์ของผม เมื่อกี้ถูกคุณโยนทิ้งไปไหนไม่รู้ เลยหามันอยู่”


“อ่อ…”ไป๋ซู่เย่ยันตัวประคองตัวขึ้น เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรง เย่เซียวปรับเบาะเธอขึ้นเงียบๆ ทำให้เสื้อตัวนอกบนตัวตกลงมา ไป๋ซู่เย่ถือเสื้อของเขาแล้วนิ่งค้าง


เย่เซียวเอ่ยปากพูดเสียงเรียบ “ผมร้อนนิดหน่อยก็เลยถอดออก ไม่มีที่วางเลยฝากวางบนตัวคุณหน่อย”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้เปิดโปงเขา กอดเสื้อไว้ขอบตาร้อนผ่าว เธอก้มหาโทรศัพท์ให้เขา “ของคุณ”


เย่เซียวพยักหน้ารับโทรศัพท์มา เธอกวาดตามองรอบข้าง “ทำไมมาถึงนี่ได้?”


“ทางลัดนั่นรถติด”


“อ่อ ทางนั้นรถติดมากจริงๆ ทางนี้น่าจะอีกแป๊บหนึ่งก็ไม่ติดแล้ว”


เย่เซียวตอบรับเสียงจางๆ ว่า ‘อืม’และในขณะนั้นเอง ถนนที่เดิมทีขบวนรถติดยาวเป็นพรวนจนไม่สามารถขับเคลื่อนได้สักนิดก็เริ่มไหลไปข้างหน้า


ไป๋ซู่เย่นั่งหันข้างพิงเบาะรถ กอดเสื้อเขาและมองเขาไป


“มองอะไร?” เขาไม่ได้หันมาแต่รับรู้สายตาของเธอได้ดี


“วันนี้ตอนฉันกำลังตรวจภายใน คุณหมอบอกว่าเมื่อคืนมีคนทายาให้ฉันแล้ว”


“…”เย่เซียวเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง


ไป๋ซู่เย่ถาม “เมื่อคืนคุณกลับมาได้ยังไง?”


“แผลของคุณเกิดขึ้นเพราะผม ผมกลับมาแล้วแปลกอะไร?”


นั่นก็จริง


ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วเกิดบาดเจ็บภายใต้สถานการณ์อย่างนั้น เธอคิดว่าเย่เซียวก็น่าจะกลับมาห้องพักผู้ป่วยเหมือนกัน


ไป๋ซู่เย่นั่งกอดเสื้ออยู่ตรงนั้นโดยไม่ถามไถ่อะไรอีก


ระยะทางที่เหลือขับเคลื่อนอย่างลื่นไหล สิบนาทีหลังจากนั้นก็มาถึงเซียงเซี่ยกู่ ไป๋ซู่เย่เดินนำลงจากรถก่อน ถือยาไว้ในมือ วางเสื้อสูทเขาไว้บนเบาะเก้าอี้ข้างคนขับ


“เอาลงไป”เย่เซียวพูดขึ้นหลังมองวูบหนึ่ง


“หืม?”


“เสื้อ”


ไป๋ซู่เย่ตอบรับ ‘อ่อ’ก่อนจะถือเสื้อลงไปด้วย


ตามด้วยเขาเองที่ลงจากเบาะคนขับ เธอยื่นเสื้อให้เขา “คุณกลับไปเถอะ ฉันขึ้นไปก่อนล่ะ”


เย่เซียวเขม่นมองเธอแวบหนึ่ง ยื่นมือแย่งถุงยาจากเธอมาอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก้าวเท้ายาวเดินนำหน้าเธอ


ไป๋ซู่เย่จำต้องวิ่งตามไป


เดินเข้าลิฟต์เธอถึงพูดขึ้น “ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องขึ้นมาส่งฉันก็ได้”


เย่เซียวไม่สนใจเธอด้วยซ้ำ


มาถึงชั้นสิบ ไป๋ซู่เย่เห็นประตูห้องตัวเองถึงจำเรื่องแย่ๆ เรื่องหนึ่งได้


“กุญแจห้องอยู่ในกระเป๋าถือของฉัน คราวก่อนลืมไว้ที่โรงแรม”


เย่เซียวหยิบกระเป๋าถือของเธอจากกระเป๋าเสื้อ เธอเปิดออกมาดูพบว่าของข้างในทั้งหมดยังอยู่ไม่หายสักชิ้น กำลังจะหยิบกุญแจมาเปิดประตูแต่เย่เซียวชิงคว้ากุญแจที่เขาปั๊มไว้ล่วงหน้ามาเปิดก่อน เธอจึงเก็บกุญแจไป


“เข้ามาสิ” เขาดันประตูออก


คำพูดนี้พูดเหมือน…


เหมือนเป็นบ้านเขาอย่างไรอย่างนั้น


ไป๋ซู่เย่เบี่ยงตัวเดินเข้าไปเปลี่ยนรองเท้าแตะแล้วถามเขาไปพลาง “เมื่อคืนคุณชดใช้ค่ากระจกของโรงแรมไปเท่าไหร่?”


“หยูอันเป็นคนจัดการ ผมไม่ได้ถาม”


“อ๋อ”


“ที่ห้องคุณไม่มีรองเท้าสำหรับผู้ชายเลยเหรอ?”


“คุณรอเดี๋ยว เพราะไม่มีใครมาฉันเลยเก็บไว้ในตู้ข้างใน” ไป๋ซู่เย่ว่าแล้วเดินไปยังห้องนอน


เย่เซียวตีหน้านิ่ง มีจริงหรือ? สำหรับผู้ชายพวกนั้น?


ไป๋ซู่เย่หยิบรองเท้าแตะออกมาวางไว้ตรงหน้าเย่เซียว “ไซซ์ 43 คุณน่าจะใส่ได้”


เย่เซียวมองเธอด้วยแววตาล้ำลึก “ที่แท้เรื่องสิบปีก่อนคุณก็ไม่ได้ลืมมันทั้งหมด”


อย่างน้อยยังจำขนาดรองเท้าเขาได้


เขาควรรู้สึกปลื้มใจหน่อยไหม?


ไป๋ซู่เย่ลุกยืนหัวเราะไปที “ขนาดของคุณเห็นได้ตามอินเตอร์เน็ต อีกอย่างคุณเป็นคู่กรณีที่ทางกระทรวงความมั่นคงประเทศเราให้ความสำคัญ ข่าวทุกอย่างของคุณ ฉันรู้หมดและท่องมันได้ต่อให้กลับประโยคก็ตาม”


“งั้นเหรอ?”น้ำเย็นถังใหญ่สาดมา เขาหัวเราะเสียงเย็นชา “งั้นคุณลองท่องหน่อยสิว่าขนาดข้างล่างผมเท่าไหร่? ตอนมันหดตัวขนาดเท่าไหร่? แล้วตอนมันขยายขนาดเท่าไหร่?”


ผู้ชายคนนี้!


กล้าถามคำถามแบบนี้ออกมาหน้าตาย!


อีกทั้งยังไม่ปิดประตูด้วยซ้ำ หากถูกเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างนอกได้ยินเข้าเธอคงไม่ต้องออกไปเจอหน้าใครแล้ว


ไป๋ซู่เย่ปิดประตูและตอบกลับเขาหน้านิ่งเช่นกัน “ข้อมูลนี้ทางกระทรวงความมั่นคงเรายังไม่มีชั่วคราว แต่ว่า..ถ้าครั้งหน้ามีโอกาส ฉันจะไม่ลืมพกไม้บรรทัด”


“ดี ผมเองก็จะให้ความร่วมมือคุณเต็มที่ เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลให้กระทรวงความมั่นคงประเทศคุณ”


“…” ไป๋ซู่เย่หมดคำจะพูดจริงๆ ตอนนี้เธอควรตอบกลับอีกฝ่ายว่า ขอบคุณคุณเย่เซียวที่ให้ความร่วมมือไหม?


“ฉันไปอาบน้ำก่อนล่ะ คุณก็ไปทำงานของคุณเถอะ ตอนกลับไปอย่าลืมปิดประตูให้ฉันด้วยก็พอ”


เย่เซียวสีหน้าบูดบึ้ง


ตั้งแต่จอดรถจนถึงตอนนี้ เธอเอ่ยปากไล่เขากี่ครั้งแล้ว?


เธอไม่อยากเห็นหน้าเขาขนาดนี้เชียวหรือ?


…………………………



ตอนที่ 654 รักและทะนุถนอมเธอ (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนไป๋ซู่เย่อาบน้ำก็พยายามไม่ให้โดนแผลบนศีรษะ ตามตัวเต็มไปด้วยรอยจูบและรอยฟันของเขา ดูน่าสะพรึงมาก


เธอยังกระตุกวูบยามนึกถึงค่ำคืนนั้น


การกอดที่ถูกต้องอย่างแรกต้องรักกันทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับตัวเองแล้ว…เย่เซียวคงมีแต่ความเกลียดชังและความอยากระบายที่มีให้…


เธอปล่อยวางลงบ้างไม่ได้คิดมากไปกว่านี้ พอทายาให้ตัวเองเสร็จก็หยิบชุดนอนห่อหุ้มตัวเอง


ภายใต้ชุดนอนไม่ได้สวมอะไรทั้งสิ้น บ้านตัวเองขอแค่สบายก็พอ


เดินออกไปคิดจะหยิบโน้ตบุ๊คในห้องหนังสือมาเปิดอีเมล พอมาถึงห้องนั่งเล่นกลับได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเย่เซียวดังมาจากระเบียง


“ส่งเอกสารทั้งหมดมาที่นี่ อืม…มื้ออาหารที่นัดลูกค้าไว้สองวันนี้ก็เลื่อนวันซะ…เธอบาดเจ็บนิดหน่อย ไม่ถือว่าหนักมาก…โอเค”


ไม่ได้พูดอะไรมากก่อนจะวางสายไป


ไป๋ซู่เย่มองแผ่นหลังค้างอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เข้าใจเหตุผลของการที่เขาให้เอาเอกสารมาส่งที่นี่ หรือว่าเขาคิดจะทำงานในห้องเธอ?


เย่เซียววางสายหันกลับมาเห็นเธอยืนมองตัวเองจากห้องนั่งเล่น พอเลื่อนสายตาดูชุดที่เธอใส่อีกทีดวงตาเข้มล้ำลึกฉายแววอันตราย “คุณกล้ามายืนต่อหน้าผมโดยไม่ได้ใส่อะไรข้างใน เพราะมั่นใจว่าผมไม่กล้าทำอะไรคุณตอนนี้ใช่ไหม?”


ไป๋ซู่เย่ที่เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้บนตัวมีเพียงกระโปรงนอนเส้นไหมสีดำ เห็นได้ชัดว่าโปร่งบางเล็กน้อยทำให้เขาเห็นเนื้อหนังข้างในทั้งหมดภายในแวบเดียว


เธอรีบถอยกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดลำลองสำหรับอยู่บ้านออกมาในเวลาอันรวดเร็ว เย่เซียวนั่งบนโซฟา พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงหันกลับมามองเธอนิดๆ


ชุดลำลองสีเทาทั้งตัว


ผมยาวที่เดิมทีปล่อยประบ่าถูกรวบมัดไว้หลังศีรษะด้วยยางมัดผมสีดำ ปล่อยปรอยผมปรกข้างแก้มสองสามจุก เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมโยงเธอเข้ากับรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงที่ปกติเป็นคนเด็ดขาด เจ้าแผนการแถมยังโหดร้ายอำมหิตคนนั้นเข้าด้วยกันได้ ตอนนี้ดูสดใสน่ารักและอ่อนเยาว์ลงไม่น้อยแต่ไม่สิ้นความสวยอันเย้ายวนใจ


ไป๋ซู่เย่รู้สึกได้ถึงสายตาเขาที่จ้องมองตัวเอง ถูกเขามองจนเริ่มทำตัวไม่ถูก


เธอเอ่ยปากก่อน “เมื่อกี้ฉันได้ยินคุณคุยโทรศัพท์ คุณให้หยูอันเอาเอกสารมาส่งที่นี่เหรอ?”


“อืม”เขาตอบกลับเสียงเรียบคล้ายกำลังอยู่บ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เปิดโทรทัศน์หยิบรีโมตกดเปลี่ยนช่องตามใจตัวเอง


“คุณไปทำงานที่บริษัทก็ได้ ฉันไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอก”


ไล่เขาไปอีกแล้ว!


เขาขมวดคิ้วตีหน้าขรึม “คุณไม่ต้องสนใจผม”


“…”ไป๋ซู่เย่เอือมระอาจริงๆ นี่บ้านของเธอนะ เธอจะไม่สนใจได้อย่างไร?


แต่เธอเองก็รู้ดีว่าเย่เซียวได้ตัดสินใจแล้ว ใครเล่าจะเปลี่ยนใจเขาได้? อีกอย่างหากเขาคิดได้จริงๆ ว่านี่คือบ้านเธอก็ไม่มีทางปั๊มกุญแจไว้โดยพลการ แต่หากตัวเองพูดมากไปก็ต้องเปลืองน้ำลายสูญเปล่าแน่ เผลอๆ อาจทำให้เขาโกรธขึ้นมา พอคิดอย่างนี้แล้วไป๋ซู่เย่จึงไม่ได้พูดอะไรอีก กล่าวเพียง “งั้นฉันไปทำงานของฉันก่อน”


…………………………


แค่ไม่กี่วันกล่องอีเมลก็เต็มไปด้วยอีเมลฉบับใหม่


สองชั่วโมงเธอเพิ่งจัดการไปได้เพียงสองสามฉบับเท่านั้น เสียงกริ่งประตูดังขึ้นจากข้างนอก เธอรู้สึกมึนหัวหน่อยๆ จึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจ


เปิดประตูห้องหนังสือออกไป ได้ยินเสียงหยูอันดังเป็นอันดับแรก


“นายท่าน นี่เป็นเอกสารที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จวันนี้ ส่วนกองนี้ไม่จำเป็นต้องรีบ”หยูอันยกเอกสารกองหนึ่งเข้ามาวางไว้บนโต๊ะเตี้ย ด้านหลังมีคนถือเสื้อเชิ้ตตัวเรียบ เสื้อสูท เนกไทเข้ามา “นายท่าน เสื้อผ้าให้วางไว้ไหนครับ?”


ไป๋ซู่เย่ที่เงียบเสียงมาตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็ได้สติกลับมาเสียที


“เย่เซียว นี่คุณทำอะไร?”


“ตู้เสื้อผ้าของคุณอยู่ในห้องนอนหมดเลยเหรอ?” เย่เซียวไม่ตอบแต่ถามกลับ


“ใช่ แต่…”


“งั้นก็วางไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวให้เธอเก็บ” เย่เซียวบอกให้คนที่ถือเสื้อผ้าเข้ามา ไป๋ซู่เย่คิดว่าหากเธอไม่ได้ตีความหมายผิดไปเอง ‘เธอ’ ที่เขาพูดถึงน่าจะหมายถึงตัวเอง


“ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว กลับไปเถอะ” เย่เซียวเอ่ยปากไล่พวกเขา


ทุกคนต่างถอยออกไปเงียบๆ


หยูอันยืนอยู่ห้องนั่งเล่นนิ่งไม่ขยับตัวอยู่พักหนึ่ง มองเย่เซียวแล้วมองไป๋ซู่เย่แวบหนึ่งโดยที่หัวคิ้วย่นเข้าหากัน


ไป๋ซู่เย่ตอบ “ฉันรู้ว่าคุณอยากพูดอะไร แต่ฉันไม่ได้เป็นคนรั้งเขาไว้ที่นี่ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”


หยูอันอาจเป็นคนที่ไม่อยากเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันมากที่สุด


“รัฐมนตรีไป๋ ทางที่ดีคุณอย่าให้ผมจับได้ว่าคุณมีแผนอื่นอีก!”


ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ “ถ้าฉันมีแผนอื่นจริงๆ ก็ต้องเหมือนสิบปีก่อน ไม่มีทางให้คุณจับได้”


“คุณ!”หยูอันก้าวขาเข้าหาหนึ่งก้าว


เย่เซียวยกแขนขวางเขาไว้ “พอแล้ว นายเองก็กลับไปเถอะ ค่ำๆ ค่อยมาเอาเอกสาร”


เขาว่าแล้วเหลือบมองไป๋ซู่เย่แวบหนึ่ง “ตอนนี้ไม่ใช่เมื่อสิบปีก่อน เธอทำอะไรฉันไม่ได้หรอก!”


สิ่งที่เธอทำร้ายได้ก็เป็นแค่คนที่เคยรักเธออย่างแท้จริง คนที่เคยเป็นห่วงเธออย่างแท้จริง อย่างเช่นเขา อย่างเช่นหยูอัน หากแต่ตอนนี้ต่อให้ไม่เหมือนเดิมแล้วแต่เธอไม่มีอาวุธที่จะใช้ทำร้ายใครได้ด้วยซ้ำ จะต้องกังวลอะไรอีก?


หยูอันไม่มีทางหือต่อหน้าเย่เซียว สุดท้ายใบหน้าที่เกร็งแน่นผ่อนคลายลง กล่าวลากับเย่เซียวเสร็จปิดประตูออกไป


ยืนอยู่นอกประตู หยูอันหันกลับมามองอีกรอบ


สีหน้าดูซับซ้อน


เย่เซียวปล่อยวางไป๋ซู่เย่ได้จริงๆ แล้วหรือ? หากเป็นอย่างนั้นย่อมดีที่สุด


แต่หากไม่ใช่…ผลลัพธ์ของมันจะเป็นอย่างไร?


หากเขาอยู่กับไป๋ซู่เย่จริงๆ นั่นหมายความว่าได้ทรยศพี่น้องที่สูญเสียไปเมื่อสิบปีก่อน ยิ่งทรยศเหล่าพี่น้องที่ซื่อสัตย์และติดตามเขามาตลอดหลายปี!ถึงเมื่อนั้นสิ่งที่เขาต้องแบกรับใช่ว่าจะเป็นเพียงการยิงทะลุท้องไส้เหมือนเมื่อสิบปีก่อนเท่านั้น


หยูอันจำต้องกังวล


เพราะความกังวลนี้เลยระแวงไป๋ซู่เย่ไปทวีคูณ


…………………………


พอหยูอันกลับไป ในห้องเหลือเพียงไป๋ซู่เย่กับเย่เซียวสองคน


เย่เซียวหยิบเอกสารเดินไปที่ห้องหนังสือ ทุกท่วงท่าดูเป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าอะไรเหมือนที่นี่คือบ้านของเขาก็ไม่ปาน เดินไปเดินมาอย่างสบายใจไม่ได้รู้สึกติดขัดตรงไหน และไม่คิดจะเกรงใจเธอเลยสักนิด


เดินมาถึงประตูก็หันกลับมาบอกเธอ “ถ้าว่างล่ะก็ช่วยเก็บเสื้อผ้าให้ผมหน่อย แขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าคุณก็พอ”


“…”ไป๋ซู่เย่มึนไปชั่วขณะ เดินตามไป “เย่เซียว คุณคิดจะค้างที่นี่จริงๆ เหรอ?”


เย่เซียวมองเธอ “ถ้าคุณไม่ต้อนรับ งั้นคุณก็กลับไปบ้านผม นี่เป็นสิ่งที่คุณตกลงกับผมไว้ก่อนหน้านี้ คุณเลือกเอง”


“งั้นคุณก็ค้างที่นี่เถอะ” ไป๋ซู่เย่เลือกอย่างหลังอยู่แล้ว


“อืม”เย่เซียวดันประตูห้องหนังสือเข้าไปแล้ว


ไป๋ซู่เย่มองเสื้อผ้าของเขาที่วางบนโซฟาแวบหนึ่งแล้วเงียบไปอึดใจ แล้วก็ยกเสื้อผ้าราคาแสนแพงกองนั้นเข้าไปในห้องนอน


เธอมีห้องนอนห้องเดียว ตู้เสื้อผ้าตู้เดียว


ฉะนั้นจึงต้องแขวนเสื้อผ้าของเขาไว้ในตู้ของตัวเองด้วย


………………………………..


ตอนที่ 655 รักและทะนุถนอมเธอ (5)

โดย

Ink Stone_Romance

ตู้เสื้อผ้าของเธอใหญ่มากแต่เสื้อผ้าก็มีเยอะมากเช่นกัน จึงยากที่จะหาพื้นที่ว่างออกมาได้


ไป๋ซู่เย่จัดการง่ายๆ หาพื้นที่ว่างก่อนจะแขวนเสื้อเชิ้ตกับเสื้อสูทเขา เอามาตั้งหลายชุด คิดจะอยู่ที่นี่นานเท่าไรกัน?


ไป๋ซู่เย่มองเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของตัวเองในตู้เสื้อผ้านิ่ง ในใจวูบโหวง ความจริงเธอกลัวว่าภายในพื้นที่ของเธอจะเหลือร่องรอยเขาไว้มากเกินไป เธอกลัวว่าวันนั้นที่ระหว่างพวกเธอต้องจบลง ร่องรอยเหล่านั้นไม่ว่าลบอย่างไรก็จะลบไม่ออก


เก็บของเสร็จไป๋ซู่เย่พานนึกถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่อง ห้องของเธอมีแค่เตียงเดียว


ถอนหายใจยกผ้าห่มจากตู้มาหลายผืน เดินไปที่ห้องหนังสือ


ในห้องหนังสือหน้าต่างสีเนื้อเปิดออก แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจากข้างนอกเป็นเส้นๆ สะท้อนพื้นวาวเป็นแสงเจิดจรัส เรียกให้คนมองรู้สึกอบอุ่นใจ


เย่เซียวนั่งเก้าอี้ตรงริมหน้าต่างๆ เงียบๆ สองขาไขว้กันโดยวางเอกสารไว้บนหน้าขา พลิกเป็นระยะๆ


เขาจดจ่อสมาธิต่อให้มีเสียงกุกกักตอนเปิดประตูก็ไม่เงยหน้ามองเธอสักแวบเดียว


ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ตรงประตูนานพักหนึ่ง คอยมองภาพนี้อย่างนึกโลภ ภาพเหล่านี้ยิ่งงดงามมากเท่าไรหัวใจก็ยิ่งเจ็บปวดจนยากจะเอื้อนเอ่ยมากเท่านั้น


เธอไม่ได้ส่งเสียงรบกวนเขาแค่วางผ้าห่มหลายผืนในแขนไว้ตรงมุมห้อง แกะหมอนใบใหม่สวมปลอกหมอนอย่างคล่องแคล่ว


ในที่สุดเย่เซียวก็เชยตาขึ้นมองเธออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเบนสายตาไปไว้บนเอกสารเหมือนเดิม “ทำไม? คืนนี้คุณคิดจะนอนที่นี่เหรอ?”


“นี่ให้คุณนอนต่างหาก” ไป๋ซู่เย่ตบผ้าห่มให้นุ่มลงหน่อย


“ปกติคุณมีแขกมา ก็ปฏิบัติแบบนี้กับแขกเหรอ?”


“คุณไม่เหมือนกัน”


“ไม่เหมือนตรงไหน?”


“แขกคนอื่นฉันเป็นคนเชิญมา คุณมาเองก็ต้องเจอแบบนี้แหละ ถ้าคุณคิดว่าไม่ไหว กลับไปนอนที่บ้านคุณได้เสมอ”


เย่เซียวไม่สนใจเธออีก ก้มทำงานตัวเองต่อไป ไป๋ซู่เย่จึงถือว่าเขาตกลงแล้ว


…………………………


จัดวางผ้าห่มเสร็จออกมาเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ไป๋ซู่เย่เริ่มรู้สึกหิว พอเปิดตู้เย็น พบว่าข้างในนอกจากอาหารแช่เย็นก็ไม่มีอะไรเลย


เธอต้องออกไปข้างนอกสักหน่อยแล้วล่ะ


กลับไปเปลี่ยนชุดสำหรับออกไปข้างนอกในห้อง หยิบกุญแจเตรียมออกจากบ้าน


“ไปไหน?”


ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอเย่เซียวที่เปิดประตูออกมาพอดี


ทั้งคู่สบตากัน ไป๋ซู่เย่พูดเสียงเรียบ “ไปตลาด จะปล่อยให้หิวต่อคงไม่ได้”


“อืม”


เย่เซียวตอบกลับเธอคำเดียวแล้วเดินนำไปที่ประตู ไป๋ซู่เย่มองแผ่นหลังนั่นและกำลังชั่งใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงเห็นว่าเขาเปลี่ยนรองเท้าตรงประตูก่อนแล้วหันกลับมามองเธอ “มัวยืนนิ่งทำไม นี่เที่ยงแล้วนะ”


ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ เดินตามไป “ความจริงคุณไม่ต้องไปกับฉันก็ได้”


เย่เซียวมองเธอที่กำลังเปลี่ยนรองเท้าด้วยสีหน้าเย็นชา “ไป๋ซู่เย่ ดูเหมือนว่าคุณจะรังเกียจที่จะอยู่กับผมมากจริงๆ”


เธอไม่ตอบ


เย่เซียวพูดต่อ “ผมก็เหมือนคุณ รังเกียจที่จะอยู่ในพื้นที่เดียวกับคุณมาก”


“งั้นคุณยังจะอยู่ห้องฉันอีกเหรอ? ‘รังเกียจ’ ตามความหมายของคุณเย่เซียวนี่ช่างแปลกแยกเสียจริง” เธอลุกขึ้นยืน


เย่เซียวพบว่าปากของผู้หญิงคนนี้กลับยังคมเหมือนสิบปีก่อนไม่มีผิด มือใหญ่ของเขาอ้อมไปหลังเอวเธอ คว้าจับหมัดเข้าตรงเอวนุ่มออกแรงเพียงนิดก็ทำให้ตัวเธอแนบกับตัวเองได้ กลิ่นอายรุนแรงและเรี่ยวแรงของชายหนุ่มล้วนทำให้เธอหายใจผิดจังหวะได้ เธอเผลอเอนตัวถอยหลังหน่อยๆ แต่สำหรับเขาแล้วแรงของเธอไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย


“เพื่อสามสิบวันของคุณ ทำให้ผมต้องเสียใบสั่งซื้อจากซ่งกั๋วเหยาจำนวนไม่น้อย ฉะนั้นต่อให้รังเกียจคุณมากแค่ไหนก็จะปล่อยให้วันเวลาพวกนี้สูญเปล่าไม่ได้” เย่เซียวแววตาเรียบนิ่งเย็นชา “อีกอย่างไม่อยู่กับคุณแล้วจะเห็นใบหน้าน่าเกลียดภายใต้หน้ากากจอมปลอมของคุณชัดๆ ได้ยังไง?”


หัวใจไป๋ซู่เย่เจ็บแปลบเบาๆ


แต่ความรู้สึกอย่างนั้นกลับไม่ได้แผ่ซ่านไปทั้วใจ เธอยิ้มจางๆ “ยังเหลืออีกสิบกว่าวัน คุณค่อยๆ ดูก็ได้ หวังว่าตอนถอดหน้ากากออกจะไม่น่าเกลียดจนทำให้คุณตกใจ”


เย่เซียวแค่นหัวเราะทีแล้วผลักเธอออก จากนั้นเปิดประตูเดินนำออกไปล่วงหน้าโดยไม่พูดอะไร ทิ้งไว้แค่แผ่นหลังเยือกเย็นให้เธอ


เธอพรูลมหายใจออกมาหนักๆ หัวใจหนักอึ้งขึ้นอีกนิด สะบัดหน้าไล่ความรู้สึกเหล่านั้นออกไป ปิดประตูค่อยๆ เดินตามหลังเขา


ทั้งคู่เดินตามกันเข้าไปในลิฟต์


ตลาดห่างจากหมู่บ้านที่เธออาศัยไม่ไกล ทั้งสองคนเดินไปด้วยตัวเอง


ระหว่างทางเจอคุณย่าข้างบ้านที่เจอกันคราวก่อน ไป๋ซู่เย่ยิ้มทักอีกคนตั้งแต่ไกล “สวัสดีค่ะ”


ตอนเธอยิ้มช่างแตกต่างจากใบหน้าที่เย็นชาต่อเขาในวันปกตินัก คล้ายแสงอาทิตย์ที่ทะลุกลุ่มเมฆเพื่อให้ความอบอุ่น เย่เซียวยืนอยู่ข้างๆ มองใบหน้าหันข้างที่อมยิ้มของเธอจนเผลอสติหลุดลอย


“ซู่ซู่จ๊ะ หัวเป็นอะไรไป? ทำไมถึงมีผ้าพันแผลด้วยล่ะ?”


ไป๋ซู่เย่ลูบจับหัวตัวเองไปมาพลางหัวเราะ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่แผลนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย”


“แผลนิดหน่อย? ทุกครั้งที่เธอมีแผลก็บอกว่าแผลนิดหน่อย หลายปีที่เธอมาอยู่ที่นี่ ฉันเห็นเธอเจ็บมาหลายครั้งแล้วนะ”


ไป๋ซู่เย่ยิ้มไม่ตอบ


เผลอหันกลับมาสบตาที่ปนด้วยความสงสัยของเย่เซียว เธอกดเสียงต่ำอธิบาย “คุณรู้ว่าลักษณะงานของฉันบางทีก็ต้องมีแผลบ้าง หลีกเลี่ยงไม่ได้”


เย่เซียวเม้มปากแน่นไม่ตอบรับ ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่มีงานอันตรายขนาดนี้แล้วยังเป็นปกติได้!


“พ่อหนุ่ม เธอต้องดูแลแฟนให้ดีนะ ข้างนอกลมแรง มีแผลที่หัวก็พยายามอย่าออกมาเดินข้างนอก” คุณย่าพูดอยู่ๆ ก็โยงมาที่ตัวเขา


เย่เซียวไม่ใช่คนที่ถนัดต่อบทสนทนากับคนแปลกหน้า ต่อให้อีกฝ่ายเป็นมิตรและกระตือรือร้นมากเพียงใดเขาก็แกล้งแสดงท่าทีอ่อนโยนและใจดีไม่เป็น สักพักถึงเค้นเสียงจากปากได้ว่า ‘อืม’ ไป๋ซู่เย่ไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเย่เซียวให้คุณย่าเพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนจริงๆ


ตอนนี้ถือว่าอยู่บ้านเดียวกันได้แล้ว


แม้ว่า…


จะเหลืออีกแค่สิบกว่าวันเท่านั้น…


“หลายปีนี้ดูเหมือนว่าคุณจะบาดเจ็บมาไม่น้อย” ทั้งคู่เดินขนาบข้างกันไปตลาด เย่เซียวถามเธออย่างไม่ใส่ใจเหมือนชวนคุยเล่นๆ


เธอเองไม่ได้ปกปิดอะไร “เคยบาดเจ็บมาไม่กี่ครั้งมั้ง แต่มันจำเป็นก็ไม่มีอะไรให้ต้องโอดครวญ”


น้ำเสียงราบเรียบเหมือนลมผะแผ่ว


เข้มแข็งแต่ก็หัวรั้น ท่าทางที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้


ท่าทางแบบนี้ยิ่งเรียกให้เย่เซียวรู้สึกหงุดหงิด


เมื่อวานทั้งที่ตอนที่เธอเย็บแผล เจ็บมากขนาดนั้นแท้ๆ…


เขาแค่นเสียงพูดเย้ย “เมื่อก่อนตอนที่อยู่กับผม ไม่เห็นว่าที่แท้คุณจะเป็นคนทุ่มเทกับงานขนาดนี้ ตอนนั้นแค่แผลเล็กๆ น้อยๆ ก็…”


พูดถึงตรงนี้เขาหยุดชะงักเพียงเท่านั้น ไม่ได้พูดคำว่า ‘น้ำตา’ ออกมา


……………………………….


ตอนที่ 656 อาศัยด้วยกันอย่างอบอุ่น (1)

โดย

Ink Stone_Romance

พูดถึงตรงนี้เขาหยุดชะงักเพียงเท่านั้น ไม่ได้พูดคำว่า ‘น้ำตา’ ออกมา


สีหน้าเริ่มเรียบตึงเมื่อพูดถึงเรื่องสิบปีก่อน


ไป๋ซู่เย่เองก็รู้ว่าเขาต้องอารมณ์ไม่ดีมากแน่ๆ จึงไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ กล่าวเพียง “รีบไปกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”


……………………


สิบปีให้หลังมาเดินตลาดกับเย่เซียว ช่างเป็นเรื่องที่เธอไม่กล้าคาดคิดมาก่อน


ทั้งคู่เดินอยู่ท่ามกลางตลาดเสียงอึกทึกครึกโครม เปอร์เซ็นต์ที่ดึงดูดสายตาคนรอบข้างแน่นอนว่าต้องเต็มร้อย ไป๋ซู่เย่รู้ว่าสายตาเหล่านี้ล้วนมีให้เย่เซียว ครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ก็ถูกจับตามองแทบพรุน แต่ปัจจุบันเดินทั่วตลาดจนคุ้นชินแล้ว


“พอแล้ว เสี่ยวหรุ่ย เธอจะขายของต่อไหม?” ไป๋ซู่เย่หยิบต้นหอมกำหนึ่งใส่บนชั่ง “หยิบรากบัวให้ฉันหน่อย แล้วก็ข้าวโพด ซี่โครง เมล็ดสน แครอท”


“เอ๊ะ ได้ๆๆ รอเดี๋ยวนะ” เสี่ยวหรุ่ยปากตอบอย่างนั้นแต่ดวงตาน่ารักคู่นั้นกลับเหล่มองเย่เซียวเป็นพักๆ


เย่เซียวเย็นชาจนเคยชิน รับรู้ได้ถึงสายตาของผู้อื่นแต่ก็ย่นคิ้วน้อยๆ ไม่ปรายตามองคนอื่นแม้แต่แวบเดียว


เสี่ยวหรุ่ยยิ้มคิกคัก “พี่ซู่เย่ นี่แฟนพี่เหรอ? แฟนพี่หล่อจังเลยเท่จังเลย”


“…ไม่ใช่”


“ไม่ใช่? จริงเหรอ?” เสี่ยวหรุ่ยตาวาว


“งั้น…พี่เอาเบอร์เขาให้ฉันหน่อยได้ไหม? ฉันไม่มีแฟนพอดีเลย”


ไป๋ซู่เย่รู้สึกขำ “เบอร์ของเขาฉันเองก็ไม่รู้ ถ้าเธอไม่กลัวเขา งั้นเธอลองถามเองดูไหมล่ะ?”


เย่เซียวได้ยินคำพูดของเธอก็ตวัดสายตาเย็นชาให้ไป๋ซู่เย่ฉับพลัน เสี่ยวหรุ่ยไม่กลัวตายจริงๆ หากไปขอจริงๆ เธออาจไม่ได้เบอร์โทรตามที่หวังหรอกแต่ได้พูดกับเทพบุตรสักสองประโยคก็ดีมากนี่นา!


ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ ตบบ่าเสี่ยวหรุ่ย “พอแล้ว เธอไม่ต้องคิดแล้ว เขามีแฟนแล้วล่ะ”


“จริงเหรอ?”


“อืม เพราะฉะนั้นรีบคิดเงินให้ฉันเถอะ”


“งั้นก็ได้”


เสี่ยวหรุ่ยทำหน้าเสียดายพลางวางของบนตาชั่ง ใส่ถุงเสร็จสรรพพลางพูดเสียงเบาๆ “พี่ซู่เย่ เขาหล่อขนาดนี้ สูงขนาดนี้ เท่ขนาดนี้ พี่สวยขนาดนี้ ทำไมไม่แอบฮุบไว้ล่ะ? พวกพี่เหมาะสมกันจะตาย”


“…” ไป๋ซู่เย่เคาะกะโหลกเธอไปทีหนึ่งอย่างระอา “แม่หนู ในหัวคิดอะไรเนี่ย!”


เสี่ยวหรุ่ยหัวเราะคิกคัก “ทั้งหมด 123 หยวน ไม่เอาเศษ งั้น 120 พอ”


ไป๋ซู่เย่ค้นกระเป๋าแต่เย่เซียวกลับยื่นธนบัตรสองใบไปก่อนหน้า จากนั้นหยิบถุงที่ใส่ผักทั้งหมดไปถือไว้อย่างเป็นธรรมชาติ เขม่นตามองไป๋ซู่เย่หนักๆ สองที ไม่พูดอะไรก็เดินนำออกจากตลาดไปก่อน


“เอ๊ะ ยังไม่ได้ทอนเงินเลย” เสี่ยวหรุ่ยมองแผ่นหลังนั่นรีบพูดขึ้น


“ให้ฉันเถอะ”ไป๋ซู่เย่เองก็ถอนสายตาจากแผ่นหลังนั่นมา


“นั่นสิ ให้พี่หรือให้เขาก็ไม่ได้แตกต่างกันตรงไหน” เสี่ยวหรุ่ยหยิบเงินออกมา 80 หยวน “พี่ซู่เย่ ฉันว่าถ้าพี่แอบฮุบกินนะต้องสำเร็จแน่ๆ ถ้าไม่คิดอะไรกับพี่ ผู้ชายคนไหนจะยอมมาเดินตลาดกับพี่ล่ะ?”


ทั้งที่รู้ว่าเด็กอย่างเสี่ยวหรุ่ยเป็นคนปากพล่อย ชอบพูดอะไรไม่มีเหตุผลแต่หัวใจเธอดันเต้นผิดจังหวะเพราะถ้อยคำอีกฝ่าย สุดท้ายคว้าเงินมาตอบกลับ “ครั้งแรกที่ไป๋หลางมากับฉัน เธอก็พูดแบบนี้ พูดมั่วๆ”


เธอเก็บเงิน 80 หยวนไว้ในกระเป๋า


เสี่ยวหรุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะ


…………………………


อีกฟากของตลาดห่างไกลออกไป


เด็กสาวอายุสิบเก้าปีคอยมองแผ่นหลังคู่นั้นอย่างสติเลื่อนลอย หัวใจเจ็บเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง ลมพัดโกรกผมยาวดำขลับของเธอให้ปลายผมแยงตา แพขนตาเธอกะพริบจนน้ำตาก็ร่วงหล่นจากดวงตา


“คุณคะ”อาชิงเห็นแล้วปวดใจแทบตาย รีบหยิบกระดาษทิชชูช่วยซับน้ำตาให้เธออย่างรีบร้อน “คุณอย่าเสียใจไปเลย นายท่าน…นายท่านกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน พวกเขาเป็นศัตรู ไม่ใช่คนรัก”


“แล้ว…เธอเคยเห็นศัตรูมาเดินตลาดด้วยกันบ้างไหม?”


“…”อาชิงเองก็ไม่รู้ควรพูดปลอบใจเธออย่างไรดี สุดท้ายเพียงถอนหายใจ “ไม่รู้ว่านายท่านคิดยังไงจริงๆ แต่คุณสบายใจได้ นายท่านไม่มีทางอยู่ด้วยกันกับไป๋ซู่เย่หรอก ต่อให้เขาอยาก ลูกน้องของเขาก็ไม่มีทางยอมตกลง นายท่านเป็นคนยึดมั่นในความสัมพันธ์พวกพ้อง เรื่องที่ต้องทรยศหักหลังพวกพ้อง เขาทำไม่ได้หรอก ยิ่งเป็นผู้หญิงที่เคยทรยศเขาแล้วฆ่าพี่น้องของเขาไปตั้งมากมาย”


น่าหลันสูดหายใจเฮือกใหญ่ จิกปลายเล็บเข้าเนื้อช้าๆ สายตาที่เธอใช้มองแผ่นหลังไป๋ซู่เย่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นและแหลมคม “งั้นก็รอดู…ว่าในใจของเย่เซียว ไป๋ซู่เย่สำคัญกว่าหรือพี่น้องพวกนั้นสำคัญกว่า…”


………………………………


นิ้วมือของไป๋ซู่เย่ถูเสียดสีจนเลือดออกในคืนนั้น ไม่ได้หนักหนาสาหัสมากจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่ตอนล้างผักกลับเริ่มเจ็บแสบขึ้นมาเนืองๆ


เธอจำต้องวางผักลงไปค้นกล่องยา หยิบพลาสเตอร์ติดแผลแปะตรงนิ้วมือหนึ่งนิ้ว


ผ่านไปสักพักคิดจะกลับห้องครัวแต่ได้ยินเสียงซูซ่าของน้ำแต่ไกล ในห้องครัวที่ไม่มีประตู เย่เซียวกำลังล้างผักอย่างขะมักเขม้น ท่วงท่าคล่องแคล่ว ไป๋ซู่เย่รู้ว่าเขาทำงานบ้านได้


ตอนเด็กๆ ครอบครัวเขามีฐานะยากจน เมื่อเขาอายุห้าขวบเคยป่วยหนัก คุณแม่ของเขาถูกพวกค้ามนุษย์หลอกจับตัวไปตอนที่ออกไปทำงานหาเงินเป็นค่ารักษาพยาบาลของเขา ทุกวันนี้ไร้ข่าวคราวใดๆ และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเย่เซียวก็เริ่มเติบโตขึ้น เริ่มลงครัวทำกับข้าวเอง ภายหลังด้วยความบังเอิญครั้งหนึ่ง เพราะความเย็นชาและความโหดร้ายของเขาถูกตาต้องใจพ่อเลี้ยงของเขาเข้า จากนั้นมาเขาจึงถูกพาตัวไปเลี้ยงที่ต่างประเทศ อาศัยคนอื่นถึงได้มีชีวิตสุขสบายไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม


“ยืนมองอย่างนั้น มาผูกเสื้อกันเปื้อนให้ผมจะดีกว่า”


เสียงเย่เซียวดึงความคิดเธอกลับมา


เธอรับคำว่า ‘อ่อ’ก่อนจะหาเสื้อกันเปื้อนในตู้ให้เขา เขาไม่ได้รับแค่หยิบมีดหั่นผักไปอย่างคล่องมือ ขณะเดียวกันก็พูดขึ้น “มัดให้ผมที”


เสื้อกันเปื้อนของเธอเป็นแบบครึ่งตัว ไป๋ซู่เย่มองแผ่นหลังกว้างหนาของเขาแวบหนึ่ง มือหนึ่งกำเสื้อกันเปื้อนอ้อมผ่านเอวเขา จากนั้นใช้อีกมือผูกเชือกไว้หลังเอวอย่างชำนาญมือ เสื้อกันเปื้อนของเธอเป็นสีเทา พออยู่บนตัวเขาแล้วกลับไม่ได้แปลกตาอะไร


เธอกวาดตามองเขาอย่างประเมินจนเริ่มหลุดเข้าไปในภวังค์ เธอกลับนึกอย่างโลภมากไม่ได้ว่า…หากชีวิตดำเนินอย่างนี้ต่อไป จะดีแค่ไหน พอคิดอยู่ๆ ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังไม่ทันรู้ตัว


“ยิ้มอะไร?”เย่เซียวนิ่งงันไปเมื่อเห็นใบหน้าแต้มยิ้มของเธอจนเกือบจะเฉือนโดนนิ้วตัวเองรอมร่อ


เธอหลุดจากภวังค์ทันที “ที่แท้คุณก็แม่บ้านแม่ศรีเรือนขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นคุณลงครัวเลย”


แม่บ้านแม่ศรีเรือน?


“นี่ไม่ใช่คำชมที่น่าดีใจเลยสักนิด”


ฟังดูเป็นผู้หญิงเกินไป!!


“แต่ฉันคิดคำอื่นมาบรรยายคุณไม่ออกจริงๆ คุณทำต่อเถอะ ฉันไปจัดการเอกสาร ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกฉันได้เสมอ”


…………………………………………..


ตอนที่ 657 อาศัยด้วยกันอย่างอบอุ่น (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เธอกลัวว่าหากอยู่ต่อไปจะต้องอดห้ามใจไม่ให้คิดเรื่อยเปื่อยไม่ได้แน่ๆ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงจินตนาการที่ไม่เป็นความจริง ยิ่งคิดมากยิ่งทำให้รู้สึกโลภมาก


เย่เซียวมุ่นคิ้ว เธอกลับยอมรับได้หน้าตาเฉย


“หยุดนะ! ห้ามไปไหนทั้งนั้น!” เย่เซียวเรียกเธอไว้ด้วยเสียงเย็นชา “ผมอยู่นี่ไม่ใช่เพื่อเข้าครัวให้คุณ!”


เขารู้สึกว่าความรู้สึกแบบนี้มันแปลกมากๆ เดิมทีอยากมาทรมานเธอมากกว่า แต่อยู่ดีๆ ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่ต้องมาปรนนิบัติเธอ?!


“ถ้าคุณไม่อยากทำก็วางไว้เถอะ ฉันทำเองก็ได้” ไป๋ซู่เย่ไม่อยากฝืนใจเขา


เย่เซียวเหลือบมองมือของเธอแวบหนึ่งด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งเฉยชามาแต่ต้น กล่าวคำสั่งเรียบๆ “ต้มน้ำ ผมหิวน้ำ!”


ไป๋ซู่เย่ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไรจึงหันกลับไปต้มน้ำอย่างเชื่อฟัง เย่เซียวเองก็ไม่ได้วางงานในมือที่ทำมาแต่แรกลงและวุ่นต่อไป ห้องครัวไม่ถือว่ากว้างใหญ่มาก เมื่อก่อนมีเพียงเธอพื้นที่จึงเหลือถมไป แต่ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ในนี้ด้วย ทั้งบริเวณนี้เลยดูคับแคบเป็นพิเศษ เธอยืนอยู่ข้างหลังเขา มองแผ่นหลังเขาอย่างหลงใหลหน่อยๆ คอยดูท่าทางยุ่งเหยิงของเขา ดมกลิ่นหอมที่โชยมาจากตัวเขา


ทั้งที่เบียดมากแต่ไม่อยากออกไปทั้งอย่างนี้ อยากใกล้ชิดเขาแบบนี้ต่อไป ดูเขาทำงาน กลับรู้สึก…มีความสุขหน่อยๆ…


ไม่รู้ว่าสิบปีนี้…เขาเคยเข้าครัวให้ผู้หญิงอีกมากแค่ไหน…


เธอปล่อยให้ความคิดหลุดลอยไปไกล เย่เซียวกำลังผัดกับข้าวจะหาจาน ไม่คิดว่าหันหลังกลับมาจะปะทะหน้ากับเธอเข้าอย่างจังพอดี อีกทั้งอกแกร่งกระแทกศีรษะเธอพอดิบพอดีจนเธอครางฮึมในลำคอ รู้สึกเพียงหัวหมุน ใช้มือกุมศีรษะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ส่วนด้านหลังนั่นเป็นตู้เย็น เย่เซียวเผลอกลั้นหายใจโยนตะหลิวในมือทิ้ง ถลาเข้าไปใช้มือรองหลังศีรษะเธอไว้โดยแทบไม่ต้องคิด


เพราะมีมือเขารองอยู่เลยทำให้หลังศีรษะที่บาดเจ็บของเธอไม่โขกใส่ตู้เย็น แต่ก็เจ็บจนหลุดเสียง ‘โอ๊ย’ ออกมาเสียงหนึ่ง ย่นคิ้วเข้าหากันพลางเงยหน้าพบว่าใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของเย่เซียวอยู่ไม่ห่างจากหน้าตัวเอง ลมหายใจแทบรดใส่ปลายจมูกของตัวเองด้วยซ้ำ เธอเผลอกลั้นหายใจ ลืมถอนสายตาไปพักใหญ่


เขากวาดสายตาเรียบนิ่งมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ลมหายใจหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย อ้าปากเตรียมเอ่ยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับเป็น “ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามาเป็นภาระผมที่นี่”


เย็นชา แข็งขืน


ประโยคเดียวเรียกสติของไป๋ซู่เย่กลับมาทั้งหมด ความหวั่นไหวเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยความใจเย็นและสติของเธอ


เธอหลังแนบตู้เย็นยืนหลังตรง ขยับศีรษะออกจากมือของเขา “ฉันมาต้มน้ำให้คุณเพราะคำสั่งของคุณ น้ำเดือดแล้ว เดี๋ยวคุณเทน้ำเองแล้วกัน ฉันออกไปก่อน”


พูดจบก้าวออกไปจากห้องครัวอย่างไม่รอช้า


เพียงแต่…


ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอยู่ด้วยกันกับเขา ความหวั่นไหวที่หลงคิดว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก กลับยังเหมือนดังสิบปีก่อนไม่มีผิด


ยิ่งไปกว่านั้น…


อาจเป็นเพราะวันเวลาที่ผ่านไปนานขนาดนี้ถึงได้เข้มข้นกว่าอดีตมากโข และบ้าคลั่งกว่าเดิม


…………………………


เย่เซียวทำอาหารกลางวัน ไป๋ซู่เย่ชิมคำหนึ่ง เป็นรสชาติจืดจางทั้งหมด


“คุณชอบรสชาติจืดจางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ไป๋ซู่เย่ถามเย่เซียว


“หรือคุณยังจำได้ว่าเมื่อก่อนผมชอบรสชาติไหน?” เย่เซียวแค่นเสียงไปที ชำเลืองมองผ้าก๊อซบนหัวเธอแวบหนึ่ง ในเมื่อมีแผลย่อมต้องทานจืดๆ หน่อย


“จำได้อยู่แล้ว” ไป๋ซู่เย่ขยับปากตอบ “ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าข้อมูลของคุณอยู่ในมือเราทั้งหมด ตั้งแต่หนึ่งวันคุณนอนกี่ชั่วโมงถึงธุรกิจเหล่านั้นในมือคุณ เจอผู้คนอะไรมาบ้างในทุกวัน”


เย่เซียวไม่ชอบฟังเธอคุยเรื่องนี้เลยจริงๆ “พอแล้ว ทานดีๆ”


เธอไม่ได้พูดอะไรอีก ชิมอาหารที่เขาทำหนึ่งคำแล้วอดชมไม่ได้ “เย่เซียว ที่แท้ฝีมือทำอาหารของคุณดีขนาดนี้ แม่บ้านแม่ศรีเรือนจริงๆ นะ”


เย่เซียวแค่นเสียงกล่าว “ทานอาหารฝีมือผมได้ ชาติที่แล้วคุณคงทำบุญมาเยอะ”


ชาติที่แล้ว…


หรือว่าความจริงแล้วชาติที่แล้วพวกเขาต่างมีกันและกันในชีวิตของตัวเอง?


ไป๋ซู่เย่แอบคิด มุมปากยกยิ้มน้อยๆ เหมือนแสร้งไม่สนใจ “ไม่ใช่ว่ามีฉันเคยทานคนเดียวสักหน่อยนี่?”


เย่เซียวกระชับมือที่จับตะเกียบแน่น สายตาที่มองเธอล้ำลึกขึ้น ความจริง…หลายปีขนาดนี้ไม่ได้มีแค่เธอที่เคยทานอาหารฝีมือเขาอย่างว่าจริงๆ แต่หากหมายถึงผู้หญิง เขาเคยเข้าครัวเพื่อเธอคนเดียวเท่านั้นจริงๆ


เย่เซียวครุ่นคิด ตัวเองน่าจะติดค้างเธอเมื่อชาติที่แล้วมากเกินไป เธอถึงได้มาทวงเขาคืนในชาตินี้


………………


ตอนเที่ยงไป๋ซู่เย่กลับไปนอนพักกลางวันในห้อง รอตื่นมาอีกทีพบว่าเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่า เดินมาห้องหนังสือเห็นเย่เซียวยังนั่งเปิดเอกสารโปรเจคงานบริษัทต่อไป ความสงบและความสบายใจที่ยากจะอธิบายเติมเต็มในใจในพริบตา


ราวกับทั้งคู่ได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อนในฉับพลัน…


แต่พอได้สติกลับคืนมาเธอก็รู้ว่าระหว่างพวกเธอ ความจริงมันย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว…


เธอหันหลังเข้าไปในครัว เทชาร้อนสองแก้ว รอกลับมาที่ห้องหนังสืออีกครั้ง เย่เซียวก็วางเอกสารโปรเจคลงและกำลังคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงในห้องหนังสืออยู่ คุยแต่เรื่องงานทั้งสิ้น


ไป๋ซู่เย่วางชาหนึ่งแก้วไว้ข้างโน้ตบุ๊คของเขา โต๊ะหนังสือถูกเขาจับจองเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะข้อมูลเอย เอกสารเอย แทบกองไปกว่าครึ่งโต๊ะ ไม่มีที่เหลือสำหรับเธออีกแล้ว เธอจำต้องย้ายโน้ตบุ๊คไปไล่ตอบอีเมลที่โต๊ะคอมพิวเตอร์โต๊ะเล็กแทน เย่เซียวคุยโทรศัพท์ไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงได้ หลังกลับมาเห็นชาร้อนแก้วนั้นสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างมาก เขาวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ยกแก้วชาจิบหนึ่งอึก รสชาติติดหวานปนหอมจางๆ


ความรู้สึกอย่างนั้นไหลลงไปตามลำคอซึมเข้าไปในหัวใจของเขา ทำให้เขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง กลับมาอิ่มเอมมีชีวิตชีวาอีกครั้ง


เผลอหันมองเธออีกแวบหนึ่ง เธอกำลังยกแก้วน้ำชาอ่านอีเมลอย่างใจจดใจจ่อ น่าจะเจองานหนักเข้าคิ้วเรียวสวยถึงได้ขมวดเป็นปม น้ำชาในแก้วเย็นแล้วโดยที่ไม่ทันได้ดื่มด้วยซ้ำ


เย่เซียวไม่ส่งเสียงรบกวน แค่นั่งทำงานตัวเองต่อไปเงียบๆ


อืม ต่างคนต่างทำงานไม่รบกวนกันและกัน เงียบสงบ กลับเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง


……………………


เวลาผ่านพ้นไปท่ามกลางความเงียบสงบนี้จนหมดไปอีกครึ่งวัน ไม่มีใครเอ่ยเสียงพูดสักประโยค ได้ยินเพียงเสียงพลิกเอกสาร บางครั้งเย่เซียวจะไปยืนสูบบุหรี่ตรงระเบียงเป็นการคลายความเหนื่อยล้าสักหน่อย


ต่อให้เป็นเช่นนี้ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


รอไป๋ซู่เย่เงยหน้าอีกทีก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็น หน้าโต๊ะหนังสือไร้เงาเย่เซียว เธอเดินออกไปเห็นเย่เซียวกำลังวุ่นอยู่ในห้องครัวขณะที่ใส่เสื้อกันเปื้อนอยู่


เธออมยิ้ม เผลอล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายแผ่นหลังนั่นจากที่ไกลๆ


มีชั่วขณะที่เผลอมองจนเหม่อลอย เมื่อหลุดจากภวังค์ก็รีบเก็บโทรศัพท์ เธอรู้สึกตัวเองเป็นเหมือนหัวขโมยน้อยที่มีร่องรอยหลักฐานบางอย่างที่แอบซ่อนไว้เพียงลำพัง ห้ามใครคนอื่นเห็น


…………………………………..



ตอนที่ 658 อาศัยด้วยกันอย่างอบอุ่น (3)

โดย

Ink Stone_Romance

ตกดึก


พออาบน้ำเสร็จทั้งคู่ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้นแต่นั่งแช่ในห้องหนังสือเหมือนเดิม เวลาค่อยๆ ผ่านไป รอเย่เซียวจัดการงานที่เหลือจนหมดก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว


เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางเธอโดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงเธอเผลอหลับไปก่อนโดยใช้สองแขนกอดเข่า ตัวงอขุดคู้บนเก้าอี้และหันข้างน้อยๆ มายังทิศทางเขา ท่าทางหลับตานอนใสซื่อไร้พิษสง แตกต่างจากตอนปกติที่ใส่ชุดในเครื่องแบบอย่างสิ้นเชิง เย่เซียวนั่งพิงเก้าอี้หรี่ตามองเธออย่างหลงใหล จากนั้นก็ย่ำเท้าไปหาเธอเหมือนต้องมนต์


สายตาของเขาไล่กวาดไปตามใบหน้าดวงเล็กของเธอจรดที่พื้นที่ขาวเนียนที่แอบอยู่ใต้เส้นผมสยายตรงหลังคอ บนนั้นเต็มไปด้วยรอยจูบและรอยฟันของเขา ขับให้ดูวาบหวามและคลุมเครือหน่อยๆ


เขาเริ่มหายใจหอบพลางโน้มตัวลงจูบหลังลำคอระหงของเธอเบาๆ หนึ่งที ปากแตะกับผิวหอมอ่อนๆ สดชื่นของเธอจนรู้ตัวว่าเริ่มอยากได้มากกว่านั้นอย่างห้ามใจไม่ไหว ย่อตัวนั่งลงไปจ้องปากแดงอิ่มของเธอนิ่ง ปากที่ราวกับกลีบดอกไม้แสนน่ารัก และเหมือนของหวานน่าลิ้มลอง กำลังส่งกลิ่นเย้ายวนใจเขาจนยากจะห้ามใจ


สายตาลึกซึ้งมากขึ้น เร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ


ลมหายใจหนักอึ้ง


ประกบจูบปากของเธอไว้อย่างไม่รอช้า สัมผัสนุ่มเหมือนขนมมาร์ชเมลโล่ที่เคยชิมในวัยเด็ก ต่อให้เย่เซียวมีความอดทนสูงมากแค่ไหนก็ต้องพ่ายแพ้แก่ไป๋ซู่เย่อยู่ดี! เขาพ่นลมหายใจไปทีก่อนจะเริ่มรุกล้ำโพรงปากเธอให้จูบนี้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม ………………


ไป๋ซู่เย่สะลึมสะลือ รู้สึกเพียงมีความอุ่นร้อนบางอย่างโอบล้อมเธอไว้ เธอครางเสียงออกมาอย่างอดไม่ได้


“ตื่นแล้วเหรอ?”เสียงทุ้มแหบของชายหนุ่มดังก้องอยู่ข้างหู เซ็กซี่จนน่าใจสั่น


เย่เซียว…


เธอเปิดเปลือกตาออก ใบหน้าหล่อเหลาของเย่เซียวห่างอยู่เพียงแค่คืบ ตอนนี้ความเย็นชาบนใบหน้านั้นถูกแทนที่ด้วยความต้องการที่ปะทุขึ้นด้วยความรู้สึกหลงใหล


หัวใจของเธอเริ่มเต้นรัวอย่างควบคุมไม่อยู่ กลีบปากขยับอ้าเพราะรู้สึกลำคอแห้งผาก อยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายได้แค่พึมพำออกเสียงว่า “เย่เซียว…”


สองพยางค์นี้เคยถูกขานออกจากปากของคนนับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่ามีใครจะเรียกกระตุ้นความรู้สึกเขาได้ขนาดนี้


ลมหายใจหนักอึ้ง เย่เซียวเชยปลายคางเธอขึ้นแล้วแนบปากทาบทับลงไปใหม่


อาจเป็นเพราะอดกลั้นมานาน สิบปีเต็มสินะ…ฉะนั้นทั้งคู่เหมือนคนที่พบเจอโอเอซิสกลางทะเลทราย พอฝ่ายหนึ่งแตะโดนปากของฝ่ายหนึ่งก็ลืมเลือนความทรยศหักหลังในอดีตไปชั่วคราว ความคาดหวังในตอนนี้มีเพียงต้องการให้อีกฝ่ายตอบสนองตนมากกว่านี้ ไป๋ซู่เย่เหมือนเรือลำเล็กที่ลอยคอกลางมหาสมุทร ถูกคลื่นความต้องการซัดกระหน่ำให้เธอแทบจมดิ่งลงไป เธอค่อยๆ คลายมือที่กอดเข่าเพื่อโอบคล้องลำคอเย่เซียวไว้โดยอัตโนมัติ เชิดใบหน้าเล็กตอบรับรสจูบของเขาอย่างไม่คิดจะห้ามใจ


ในหัวเย่เซียวตอนนี้ไม่มีความคิดใดๆ อาศัยอารมณ์ชั่ววูบคอยกัดทึ้ง ดูดดึงเธอหนักๆ กอดเธอไว้แรงๆ คล้ายจะกลืนกินเธอไปทั้งตัว และเหมือนจะกอดเธอให้ฝังหลอมรวมเป็นร่างเดียวกับตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด


มือใหญ่ของเขาสอดเข้าใต้ร่มผ้าชุดนอนของเธออย่างไม่รอช้า


“อื้อ เย่เซียว…รอเดี๋ยว…ไม่นะ…” ไป๋ซู่เย่เกร็งตัวแน่นพลางกดมือเขาไว้ ปากของเธอผละออกห่างจากปากเขาเล็กน้อยขณะที่ดวงตาปริ่มน้ำ “ข้างล่างฉันยังมีแผล…”


“ผมรู้”เย่เซียวหายใจผิดจังหวะ ใช้ความอดทนระดับสิบถึงปรับน้ำเสียงตัวเองให้ฟังดูปกติขึ้นมาบ้าง “ผมจะทายาให้”


“ฉัน…ฉันทำเองได้”


“นั่งรออยู่ตรงนี้”เย่เซียวไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธ ปล่อยเธอแล้วลุกเดินออกจากห้องหนังสือ


กระทั่งเขาเดินออกไปแล้วไป๋ซู่เย่ยังตัวอ่อนแรง กอดตัวเองโดยที่หายใจหอบหนักไปด้วย ความรู้สึกพลุ่งพล่านในร่างกายยังไม่สงบลง


ไม่นานเย่เซียวก็กลับมาพร้อมยาในมือ เธออดหน้าแดงไม่ได้ ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ “ฉันทาเองดีกว่า ฉันไปห้องน้ำแป๊บหนึ่ง”


“คุณอายเป็นด้วยเหรอ?”เย่เซียวไม่เอายาให้เธอแต่กลับใช้มือข้างเดียวกดเอวเธอรั้งร่างอ่อนนุ่มของเธอเข้าหาตัวเอง


เธอปากแข็ง “ฉันไม่ได้อาย แต่เพราะคุณคิดไม่ดีต่างหาก”


“ผมจูบจนแทบจะกลืนกินคุณอยู่รอมร่อ คุณยังหวังให้ผมคิดดีกับคุณอีกเหรอ?”เขากลับยอมรับได้อย่างหน้าไม่อาย ไป๋ซู่เย่เถียงเขาไม่ไหว กับเรื่องแบบนี้เย่เซียวในสิบปีให้หลังหน้าหนากว่ากำแพงเมืองเสียอีก


เย่เซียวทายาให้เธอ เธอรู้สึกเหมือนแข้งขาอ่อนแรงแต่กลับฝืนทนไว้ กัดปากไม่ให้ตัวเองหลุดเสียงคราง สองมือกำแขนเสื้อชุดนอนเขาแน่นเพื่อประคองร่างกายที่ร้อนรุ่ม อ่อนระทวยและสั่นระริกของตัวเอง


เธอต้องไม่รู้ตัวแน่ๆ ว่าท่าทางของเธอแบบนี้เรียกให้คนพบเห็นต้องการเธอยิ่งกว่าเดิม!


เย่เซียวนัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีเข้ม บีบยาใส่มือมองเธอแวบหนึ่งพลางพูดเสียงต่ำ “จะนั่งบนเก้าอี้ไหม? ผมกลัวคุณยืนไม่ไหว”


“ไม่มีทาง!”


เขาเลิกคิ้วสูง “ได้ งั้นแบบนี้เลยแล้วกัน”


“อื้อ”ยังรู้สึกเจ็บบ้างขณะที่ปลายนิ้วเขาแตะบนแผลเธอ


เย่เซียวเห็นคิ้วที่ขมวดเป็นปมของเธอจึงผ่อนแรงลง สักพักความเจ็บปวดเริ่มหายไปและแทนที่ด้วยความรู้สึกประหลาดอีกแบบหนึ่ง


“ยังเจ็บไหม?”เขาถาม


เธอส่ายหัว


รู้สึกเพียงว่ามีไฟฟ้าแล่นริ้วตามปลายนิ้วที่ไล้ผ่านของเขา สุดท้ายไป๋ซู่เย่ก็ไม่อาจควบคุมปฏิกิริยาของร่างกายได้ เธอครางฮึมออกมาโดยสองมือรีบคว้าลำคอเย่เซียวไว้ไม่ให้ตัวเองทรุดลงกับพื้นในสภาพทุลักทุเล


เย่เซียวใช้มือเดียวกอดเอวเธอ ก้มหน้าเล็กน้อยใช้ดวงตาที่ถ่ายทอดความต้องการจ้องเธอ กดเสียงถาม “คุณเองก็อยากได้ใช่ไหม รู้สึกกับผมบ้างแล้วใช่ไหม?”


การที่ผู้หญิงของตนมีความต้องการในแง่นั้นกับตัวเองด้วยเช่นกันนั้นถือเป็นเรื่องที่ผู้ชายภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง เย่เซียวอยากสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นบ้าง อย่างที่ถังซ่งกล่าวไว้ว่าต้องใช้เทคนิคสยบเธอบนเตียงให้ได้


“…ไม่เอา คุณรุนแรงเกินไป” สิ่งที่ไป๋ซู่เย่พูดนั้นจริงบ้างไม่จริงบ้าง เขารุนแรงจริงเพราะแผลเหล่านั้นก็เป็นหลักฐานยืนยืนได้อย่างดี


“คราวหลังผมจะพยายามทำเบาๆ”


หัวใจของไป๋ซู่เย่เต้น ‘ตึกตัก’ รัวเร็วแต่ปากกลับตอบกลับไปว่า “เชื่อคุณได้ไหม?”


“ลองดูเดี๋ยวก็รู้”


เธอไม่พูดอะไรอีก เย่เซียวโยนยาไว้ข้างๆ ก่อนก้มหน้าประกบปากเธออีกครั้ง เขารู้สึกกำลังเสพติดริมฝีปากอ่อนนุ่มนี้ ราวกับจูบอย่างไรก็ไม่พอ จูบจนปากทั้งคู่บวมแดง สองคนหายใจหอบหนัก ดวงตาฉ่ำวาวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาลึกซึ้งแล้วจูบใหม่อย่างดูดดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า


……………………………….



ตอนที่ 659 อาศัยด้วยกันอย่างอบอุ่น (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“พอแล้ว!” จู่ๆ เขาก็กล่าวด้วยเสียงแหบแห้งเมื่อปากของทั้งคู่แตะสัมผัสกันอีกครั้ง “คุณออกไป กลับไปนอนในห้อง”


ปากของไป๋ซู่เย่ค้างเติ่งกลางอากาศ แขนที่โอบลำคอเขาอยู่ก็ชะงัก มองเขาอย่างเสียหน้าและผิดหวัง


คิดว่าสภาพนี้ของตัวเองต้องตลกมากแน่ๆ


เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องโกรธ แขนปล่อยออกจากลำคอเขา หมายจะเดินเลี่ยงไปทันทีโดยไม่มองเขาแม้แต่แวบเดียว เย่เซียวคว้าข้อมือเธอไว้ เธอก็สะบัดแขนเขาทิ้ง “ฉันจะกลับไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์!”


ทุกคำพูดแฝงด้วยความเฉยเมย แม้ปากจะบอกว่า ‘ราตรีสวัสดิ์’ แต่กลับไร้ความอบอุ่น


เย่เซียวดึงตัวเธอไปกักไว้ในอ้อมแขน ใช้สายตาร้อนแรงจ้องเธอจนเธอเริ่มหงุดหงิด “เย่เซียว ปล่อยฉันนะ!”


เขาคิดจะทำอะไร?


คนจูบเธอเป็นเขา คนที่บอกว่าพอแล้วก็เป็นเขา ตอนนี้คิดจะทำอะไรอีก? ปั่นหัวเธอเล่นหรือ?


“ผิดหวังเหรอ?” เย่เซียวถามเธอด้วยน้ำเสียงที่นานครั้งจะฟังดูสบายๆ


“ฉันเปล่า”ไป๋ซู่เย่คิดว่าความเสียใจที่เกิดขึ้นของตัวเองนั้นต้องไม่ใช่เพราะเกิดจากความผิดหวัง แต่รู้สึกเหมือนถูกเขาปั่นหัวจนเสียหน้า ใช่ ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ


“ถ้าจูบต่อผมว่าแผลของคุณคงไม่มีวันหายแล้ว!” เย่เซียวพูดเสียงแหบคล้ายอธิบาย บีบคางที่เชิดขึ้นของเธอ “กลับไปนอนในห้องนอน ล็อกประตูด้วย!”


“…” ไป๋ซู่เย่ได้ยินก็นิ่งค้างไปชั่ววูบ


เย่เซียวเห็นเธอไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบจึงมุ่นคิ้ว “ได้ยินไหม?”


“อืม ได้ยินแล้ว” เธอเข้าใจอย่างฉับพลันว่าเมื่อครู่ทำไมเขาถึงผลักเธอออกแล้วให้ล็อกประตู? กลัวดึกดื่นแล้วตัวเองจะกลายร่างเป็นดั่งหมาป่าผู้หิวโหยหรือ?


“ได้ยินแล้วยังไม่ไปอีก?” เย่เซียวไม่สบอารมณ์ “รอให้ผมลอกตัวคุณแล้วจับกินก่อนเหรอ?”


ผู้ชายที่เกิดมีความต้องการแต่ระบายไม่ได้มันช่างฉุนเฉียวจริงๆ


“…” ไป๋ซู่เย่ปล่อยเย่เซียวแล้วเดินกลับเข้าห้องเงียบๆ เดิมทีแค่เดินแต่ภายหลังเลือกที่จะวิ่งเหยาะๆ ไปจากห้องหนังสือ


ล็อกประตูตามคำสั่งของเขาถึงทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนเตียง เอาหมอนรองใต้อกแต่หัวใจตำแหน่งนั้นยังเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง


ผู้ชายคนนี้…


เป็นฝ่ายหยอกเธอเองแต่รสจูบกลับดีเกินคาด


เธอใช้นิ้วลูบจับปากบวมแดงของตัวเอง


ฝีมือการจูบนี้ไม่รู้ว่าต้องผ่านการฝึกจูบผู้หญิงมามากขนาดไหนกันแน่


…………………………


ไป๋ซู่เย่พยายามให้ตัวเองหลับแต่ไม่รู้ว่าเพราะนอนกลางวันไปหนึ่งตื่นหรือเพราะเมื่อสักครู่จูบกับเย่เซียวเร่าร้อนเกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็นอนพลิกตัวไปมาบนเตียงโดยไม่รู้สึกง่วงสักนิด


ในหัวอดคิดตลอดไม่ได้ว่าเย่เซียวที่ห่างกันเพียงกำแพงกั้นนั้นกำลังทำอะไร นอนหรือยัง นอนพื้นในห้องหนังสือเขาจะเป็นหวัดหรือเปล่า?


สุดท้ายเธอก็ลุกจากเตียงอย่างทนต่อไม่ไหว เปิดไฟในห้องก่อนเปิดประตูถือแก้วน้ำเดินออกไป


ในเมื่อนอนไม่หลับ ออกมาดื่มน้ำสักนิด สูดอากาศหายใจหน่อยดีกว่า


เธอคิดอย่างนั้นแต่พอเดินไปที่ห้องนั่งเล่นกลับเรียกให้เธอหยุดชะงักเท้า ห้องนั่งเล่นมีไฟมืดสลัวเปิดอยู่ดวงเดียว โทรทัศน์กำลังฉายรายการ เย่เซียวนั่งบนโซฟาราวกับกำลังดูโทรทัศน์


แต่ไป๋ซู่เย่เห็นแค่แผ่นหลังเขา ไม่รู้ว่าเขากำลังดูโทรทัศน์หรือกำลังสัปหงก


แต่เขาไม่ค่อยชอบดูโทรทัศน์มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?


เธอถือแก้วน้ำเดินไปที่ห้องนั่งเล่น


“ผมบอกให้คุณล็อกประตู กลางคืนอย่าออกมาไม่ใช่หรือไง?” เย่เซียวขมวดคิ้วหันกลับมามอง “คุณจงใจเหรอ?”


“คุณเคยบอกว่าตอนนี้จะไม่ทำอะไรฉัน ฉันเองก็เชื่อว่าคุณควบคุมตัวเองได้”


เขาแค่นเสียงหันหน้ากลับไปเผชิญกับโทรทัศน์ “ผมยังไม่เชื่อในความอดทนของตัวเองเลย คุณเชื่องั้นเหรอ?”


“…” ไป๋ซู่เย่กระชับชุดนอนบนตัวอีกหน่อย ยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้น “ฉันออกมาเทน้ำชาให้ตัวเองสักแก้ว เดี๋ยวก็กลับไปนอนแล้ว”


เย่เซียวไม่พูดอะไรอีกและไม่ได้มองเธออีก


ขณะที่เธอเทน้ำชาในห้องครัว สายตาจดจ่อแผ่นหลังเขาไม่ห่าง แหงนหน้าดูเวลาแวบหนึ่งพบว่าใกล้ตีหนึ่งแล้ว เขายังใช้รีโมทกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทางจะกลับเข้าไปนอนเลย


“คุณยังไม่นอนเหรอ?” ระหว่างที่เดินออกจากห้องครัวผ่านห้องนั่งเล่น สุดท้ายเธออดไม่ได้ที่จะหยุดเดินตรงด้านหลังเขา


“นอนไม่หลับ”


“ทำไมถึงนอนไม่หลับ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ?” ดูเอกสารเหล่านั้น เขาแทบไม่ได้พักผ่อนเลย


“อารมณ์ค้าง”


“…” ไป๋ซู่เย่หมดคำจะพูด


“ทำไมคุณยังไม่นอน อารมณ์ค้างเหมือนกันเหรอ?”


“ฉันไม่เหมือนคุณสักหน่อย” ไป๋ซู่เย่รู้สึกละอายใจหน่อยๆ “ฉันไปนอนก่อนนะ คุณเองก็รีบพักผ่อนล่ะ”


“ช่องนี้กำลังฉายหนังวรรณกรรมที่คุณชอบดู จะดูไหม?” เย่เซียวถามขึ้นกะทันหัน


เธอชะงักกึกเผลอหยุดฝีเท้าที่กำลังมุ่งหน้ากลับห้องนอน หันมองเขาเห็นว่าเขามีสีหน้าอึดอัดอยู่วูบหนึ่ง “ผมแค่ถามไปอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรน่าดู ไปนอนเถอะ”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้กลับห้องนอนแต่วางน้ำชาลงบนโต๊ะเตี้ยก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงอีกฟากของโซฟา


เวลาตีหนึ่ง ทั้งสองคนกำลังดูหนัง


หนังแนววรรณกรรมที่ความหมายลึกซึ้งยากจะเข้าใจ


อีกทั้งสองคนยึดครองโซฟากันคนละฟากโดยมีระยะห่างกว่าเมตรเป็นการประกันความปลอดภัย


ปกติไป๋ซู่เย่ชอบดูหนังประเภทนี้อีกทั้งตอนนี้ที่กำลังฉายอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ตนชอบมากที่สุด แต่ขณะนี้กลับไม่มีสมาธิดูว่าเรื่องกำลังดำเนินไปถึงไหน ดูไม่เข้าใจเลย


ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ทั้งที่ห่างเขาตั้งไกลแต่กลับรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ


บางครั้งเธอแอบชำเลืองมองเย่เซียวแวบหนึ่ง เขาที่ปกติไม่ชอบดูหนังเวลานี้กลับดูอย่างใจจดใจจ่อมาก ไม่หันซ้ายแลขวาเลยตลอดเรื่อง ท่าทางเหมือนชอบดูหนังมากจริงๆ


ไป๋ซู่เย่รู้สึกเก้อเขินหน่อยๆ จึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม


“ยังมีน้ำไหม?” อยู่ๆ เย่เซียวก็เบนหน้ามาถามเธอ


“หิวน้ำเหรอ?”


“อืม”


“น้ำในห้องครัวฉันเทหมดแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปต้มให้ คุณรอแป๊บหนึ่ง”


ขณะที่ไป๋ซู่เย่ลุกขึ้นเดินผ่านเย่เซียวกลับถูกเขาคว้าแขนไว้ เธอสะดุ้งเพราะความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านมาจากปลายนิ้ว ทำให้เธอเผลอกลั้นหายใจและหัวใจเต้นผิดจังหวะหลายที พอกันสักทีกับความรู้สึกแบบนี้! เหมือนได้ย้อนกลับไปช่วงที่เธอเพิ่งยืนยันความสัมพันธ์กับเขาเมื่อสิบปีก่อน


ความรู้สึกที่หัวใจเต้นแรง คล้ายว่าจะมีแต่เด็กสาวเท่านั้นที่มี


“ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องต้มแล้ว ลำบาก” เย่เซียวเพิ่มแรงในมือ “นั่งลง”


ไป๋ซู่เย่นั่งลงตามคำสั่ง รีบปรับจังหวะหัวใจให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด แอบชักมือกลับจากการกอบกุมของเขาเงียบๆ “คุณจะดื่มน้ำไม่ใช่เหรอ?”


“อืม” คำตอบสั้นๆ เรียบๆ ของเย่เซียวดังขึ้น ยื่นมือหยิบแก้วเธอไปด้วยท่าทางธรรมชาติ


จากนั้นทาบปากตำแหน่งเดียวกับที่เธอเคยดื่มไปหนึ่งอึก ไป๋ซู่เย่เห็นแค่แวบเดียวก็รีบเบี่ยงหน้าหลบ ทิ้งสายตาไว้ตรงหน้าจอโทรทัศน์แทน


……………………………………



ตอนที่ 660 อาศัยด้วยกันอย่างอบอุ่น (5)

โดย

Ink Stone_Romance

เขาที่อยู่ข้างๆ ดูใจเย็นกว่าเธอมาก ไม่สิ ไม่มีอะไรต้องกระวนกระวายต่างหาก ถือแก้วน้ำดูโทรทัศน์ต่อไปและจิบน้ำเป็นระยะๆ โดยไม่เอะใจสักนิดเลยว่านั่นเป็นแก้วของเธอ และเป็นน้ำที่เธอดื่มมาก่อน


ไป๋ซู่เย่ในตอนนี้นั่งตัวติดกับเย่เซียว


รอไม่นานความง่วงก็เริ่มจู่โจม แต่ดันไม่ยอมกลับไปนอน


นอนบนเตียงนอนไม่หลับพอมานั่งข้างเขากลับเริ่มรู้สึกง่วง หัวสมองเธอเริ่มอื้ออึง รู้สึกเปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ และเผลอหลับไปในที่สุด


ศีรษะตกมาซบไหล่เขาเบาๆ


น้ำหนักที่ทิ้งลงบนไหล่เล็กน้อยพร้อมกลุ่มผมเส้นเล็กของหญิงสาวปัดผ่านลำคอเขาให้รู้สึกคันยิบๆ ความรู้สึกอย่างนั้นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจเขา ก้มมองเธอแล้วก็ไม่มีใจคิดจะดูหนังต่ออีก เพียงถามเสียงเบา “หลับแล้วเหรอ?”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ตอบ มีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ตอบรับเขา


เย่เซียวนั่งนิ่งๆ อีกสักพัก คล้ายว่าเธอรู้สึกหนาวจึงใช้แขนโอบกอดตัวเองและเขยิบตัวใกล้เย่เซียวมากขึ้น เย่เซียวกดรีโมทปิดโทรทัศน์จากนั้นช้อนตัวเธอขึ้น เธอลืมตาสะลึมสะลือเห็นว่าเป็นเย่เซียวสองแขนพลางเลื่อนไปโอบลำคอเขาไว้ ใบหน้าซบอกเขาราวกับว่านั่นเป็นที่พักพิงที่แข็งแกร่งและสงบปลอดภัย


หัวใจของเย่เซียวกระตุก หัวใจที่เย็นตัวลงมาสิบปีราวกับได้รับความอบอุ่นให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง


…………………………


หลับสนิทตลอดคืน


อาจเป็นเพราะเมื่อคืนทั้งสองคนนอนดึกกันมากเช้านี้พอตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่า


ไป๋ซู่เย่ลืมตาขึ้นถึงรู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของเย่เซียว ส่วนเขาที่กำลังนอนตะแคงมีมือใหญ่ประคองหลังศีรษะเธอเอาไว้ห่างๆ ไม่ให้สัมผัสโดนแผลของเธอ ใจเธอสั่นไหว นี่เขากำลังเป็นห่วงว่าตอนที่เธอพลิกตัวจะไปโดนแผลหลังศีรษะโดยไม่ทันระวังอย่างนั้นหรือ?


เพียงแต่…


เย่เซียวจะใส่ใจเธอเหมือนในอดีตหรือ?


เธอไม่มั่นใจเลยสักนิด


“ตื่นแล้วเหรอ?” เย่เซียวลืมตาขณะที่ดวงตายังพร่ามัวปรับตัวไม่ถูก คล้ายจะจับสายตาของเธอที่มองมือเขาได้ เขาจึงเลื่อนมือใหญ่ที่ประคองหลังศีรษะเธอออก


ไป๋ซู่เย่เองก็ลุกขึ้นนั่ง “เมื่อคืน…ฉันเผลอหลับตอนดูหนัง”


“อืม” เย่เซียวยังคงท่าทางเฉยชาดังเดิม ยันตัวลุก


ต่อให้ทั้งคู่นอนแล้วตื่นมาพร้อมกันก็เหมือนไม่มีผลกระทบต่อเขาเลยสักนิด


เมื่อคืนเขานอนในสภาพเปลือยเปล่า ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกางเกงซับในตัวเดียวเท่านั้น เพราะถูกเก็บไปเลี้ยงตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ เขาได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดและโหดเหี้ยมในฐานทัพถึงได้มีรูปร่างดีขนาดนี้ สองขายาวแข็งแรง บนตัวมีรอยแผลมากมายแต่กลับไม่ส่งผลอะไรต่อกล้ามเนื้อหน้าท้องและวีไลน์ที่เรียกให้คนมองรู้สึกเลือดในกายสูบฉีด


ไป๋ซู่เย่มองเขาแวบหนึ่งและทิ้งสายตาไว้ที่หน้าท้องกับหน้าอกเขา บนนั้นมีรอยลูกกระสุนหลายรอย เธอนึกถึงวันนั้นที่ถังซ่งเคยบอกว่าเขาถูก ‘ยิงทะลุท้องไส้’ ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวสุมในอก มือคิดจะแตะแผลเหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัว


แต่ยังค้างอยู่กลางอากาศก็ถูกเย่เซียวตะครุบไว้ “ไม่รู้ว่าผู้ชายในตอนเช้าอันตรายขนาดไหนหรือไง? อย่าจับมั่วๆ!”


“…” เจ้าหมอนี่ ความรู้สึกอัดอั้นในอกของไป๋ซู่เย่ถูกสลายในพริบตา เธอหยิบชุดนอนโยนใส่เขา “รีบใส่ซะ”


ว่าแล้วก็ลงจากเตียงทันทีเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ แปรงฟันตรงหน้ากระจกโดยที่ในหัวก็นึกถึงแผลกระสุนเหล่านั้นอีก ไม่เคยประสบจริงๆ ยากจะคิดได้เลยว่าเขาในเมื่อนั้นสิ้นหวังและเจ็บปวดขนาดไหน


ไป๋ซู่เย่คิดๆ อยู่ภาพรูปร่างเซ็กซี่ไม่มีใครสู้ได้ของเขาก็ผุดขึ้นมาในหัว นี่มัน…ดีกว่าเมื่อสิบปีก่อน แมนยิ่งกว่าเดิม!


…………………………


เย่เซียวยังคงไม่ไปบริษัท ทั้งสองคนใช้เวลาในห้องนี้อย่างสงบสุข เป็นช่วงเวลาที่เหมือนขโมยมา ไป๋ซู่เย่แทบไม่กล้าคิดว่าเวลานี้จะคงอยู่ได้นานแค่ไหน


ตอนเที่ยงเธอนอนกลางวันเช่นเคย


ตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้นนั้นเป็นเวลาบ่ายสอง เธอหยิบโทรศัทพ์ไปกดรับแล้วแนบหูในสภาพงัวเงีย “ฮัลโหล”


“แม่เอง นอนอยู่ในห้องเหรอ?”


“ค่ะ” ไป๋ซู่เย่ตอบรับไปตรงๆ โดยไม่ได้คิดมากอะไร


“ได้ ลูกอยู่บ้านก็พอ”


คุณหญิงไป๋ไม่ได้พูดอะไรแต่วางสายไปทันที ไป๋ซู่เย่จึงไม่คิดอะไรมาก ตะแคงตัวนอนต่อ เพิ่งงีบไปได้สักพักเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังสนั่นอย่างฉับพลัน


เธอย่นคิ้ว


จากนั้นฉุกคิดอะไรได้ก็รีบลงจากเตียงในสภาพชุดนอนอย่างเดียว


“ซู่ซู่ เปิดประตู” เสียงคุณหญิงไป๋ดังอยู่นอกประตูอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด


เธอสะดุ้งเฮือกรีบตามหาเงาเย่เซียว ขณะนี้เขากำลังนั่งบนโซฟาและหลับโดยใช้เอกสารปิดหน้าไว้ เห็นได้ชัดว่าเสียงเคลื่อนไหวจากข้างนอกรบกวนเขาเข้าให้แล้ว แม้จะไม่ได้ลืมตาแต่คิ้วเข้มเป็นทรงขมวดแน่นกว่าเดิม


“เย่เซียว…เย่เซียว ตื่นก่อน” ไป๋ซู่เย่หยิบเอกสารที่ปิดใบหน้าเขาออก


เขาค่อยๆ หรี่ตาขึ้นเป็นช่องแคบเล็กๆ พอเห็นใบหน้าดวงเล็กของไป๋ซู่เย่นั่นก็ยื่นแขนโอบเอวเธอไว้ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ทันใดนั้นเธอถูกเขากอดจนต้องนอนซบบนอกเขา เธอชะงักนิ่งเห็นเพียงเขาที่หลับตาลงอย่างเกียจคร้านเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้ง อีกทั้งเขารู้สึกอุ่นใจเมื่อได้กอดเธอ


ไป๋ซู่เย่เผลอใจเต้นผิดจังหวะ มือยันหน้าอกเขาปล่อยผมยาวตกลงมาปกคลุมหน้าเขา เธอตั้งสติมองเขาด้วยความรู้สึกที่เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต…


ตอนนั้นเธอรับผิดชอบปลุกเขาทุกเช้า ทุกครั้งที่เรียกเขาจะถูกเขากอดเข้าเต็มเปาแบบนี้ ต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมงกับขั้นตอนในการปลุกให้ตื่นในช่วงเช้า


ภาพวันวานเมื่อสิบปีก่อน…


พอมาย้อนคิดในตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน ทั้งที่ความจริงแล้วทุกอย่าง…ได้จบลงทั้งหมดแล้ว…


“ซู่ซู่ ลูกทำอะไรน่ะ?”


คุณหญิงไป๋เร่งเร้าอยู่ข้างนอก แต่เย่เซียวบนโซฟากลับยังหลับฝันหวานอยู่


“เย่เซียว เย่เซียว ตื่นเร็ว!” เธอเรียกหลายทีแต่ไม่สำเร็จ เผลอดึงหูเขาอย่างในอดีต “เย่เซียว!”


เย่เซียวกุมมือเธอไว้แล้วเบิกตาโพลงมองเธอ ตื่นในทันที สายตาล้ำลึกจนเธอสะท้าน ชัดเจนว่า…ท่วงท่าเล็กๆ น้อยๆ ของเมื่อก่อนนี้ เขายังจำได้…


เธอสูดหายใจลึกพยายามให้ตัวเองดูปกติ อยากจะดึงมือออกจากฝ่ามือใหญ่เขา ได้ยินเพียงเสียงแว่วมาจากข้างนอก “คุณหญิง ซู่ซู่ไม่อยู่บ้านหรือเปล่าครับ?”


อวิ๋นช่วน?!


เขามาได้อย่างไร?


ไป๋ซู่เย่เริ่มปวดหัวขึ้นมาติดๆ


เย่เซียวตื่นเต็มที่แล้ว มือกระชับแรงกุมมือของเธอที่ไม่ทันดึงออกไป “คุณเรียกเขามาเหรอ?”


“จะเป็นไปได้ยังไง?” ไป๋ซู่เย่ไม่มีทางสร้างปัญหาให้ตัวเองเด็ดขาด


“ให้เขากลับไป!”


“ไม่ได้”


เย่เซียวหรี่ตา เห็นได้ชัดว่าท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างมาก


ไป๋ซู่เย่อธิบาย “เขามากับแม่ฉัน ฉันจะไล่เขากลับไปต่อหน้าแม่ฉันได้ยังไง?”


“นั่นสิ ผมเกือบลืมไป นั่นเป็นผู้ชายดีๆ ที่อ่อนโยนและเอาใจใส่ที่คุณหญิงเลือกไว้ให้แต่งงานกับคุณในอนาคต คุณไล่กลับไม่ได้อยู่แล้ว!”


………………………….



ตอนที่ 661 วางไม่ได้ ลืมไม่ลง (1)

โดย

Ink Stone_Romance

อีกแล้ว


กับน้ำเสียงเยาะเย้ยแบบนี้


ไป๋ซู่เย่กำลังจะอธิบายบางอย่างได้ยินเพียงเสียงของคุณหญิงไป๋ดังจากข้างนอก “ฉันโทรมาแล้ว ซู่ซู่ต้องอยู่บ้านแน่ๆ มาสิ อวิ๋นช่วน ช่วยฉันถืออันนี้หน่อย ฉันหากุญแจห้องแป๊บหนึ่ง ฉันมีกุญแจ”


จากนั้นได้ยินเสียงพวงกุญแจดัง ‘แกร๊ง’


ไป๋ซู่เย่ยอมแล้ว รีบพลิกตัวลงจากตัวของเย่เซียว คว้ามือเย่เซียว “เย่เซียว คุณเข้าไปในห้องฉันก่อน”


เย่เซียวลุกนั่งบนโซฟากวาดแขนยาวรั้งตัวเธอให้โถมตัวเข้าหาตัวเอง


โน้มตัวประสานสายตากับเธอ เธอขมวดคิ้วเบาๆ


“ทำไมต้องหลบพวกเขา กลัวผู้ชายคนนั้นเห็นเหรอ?” เขารู้สึกว่าความรู้สึกแบบนี้มันแย่มากๆ เหมือนพวกเขากำลังแอบคบชู้และถูกแฟนหนุ่มของหญิงสาวมาไล่จับคาหนังคาเขา!


“…”ไป๋ซู่เย่เงียบไปอึดใจก่อนจะใช้สายตาสับสนมองเขาแวบหนึ่งถึงเอ่ยปากตอบ “ไม่ได้กลัวเขา แต่กลัวแม่ฉันเห็น”


เขาทำหน้าสีหน้าเย็นชา “ผมมีอะไรให้ต้องหลบซ่อนงั้นเหรอ?” ผู้ชายคนนั้นกลับเจอพ่อแม่เธอได้!


เขากลับไม่ทันสังเกตตัวเองเลยว่ากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับผู้ชายคนนั้นอยู่ตลอดเวลา


“…เปล่า แค่…คุณเป็นสายมืด ส่วนฉันสายสว่าง” ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ “ฉันไม่อยากให้แม่ฉันเป็นห่วงฉัน”


สิบปีก่อนเธอหนีจากความตายมาเฉียดฉิวเพราะเกือบไม่รอดจากอาการนอนไม่หลับรุนแรงและโรคซึมเศร้า ทำให้ครอบครัวในตอนนั้นแทบเป็นบ้า คุณหญิงไป๋ต้องเสียน้ำตาอาบหน้าทุกวัน ตอนนี้หากรู้ว่าเธอมีปฏิสัมพันธ์กับเย่เซียว เกรงว่า…


เย่เซียวกระชับมือเธอแน่นจนใบหน้าแน่นตึง เส้นทางมืดและสว่างเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามอยู่แล้ว! ฉะนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงได้เดินทางมาถึงก้าวนี้ได้!


ไป๋ซู่เย่ไม่แน่ใจว่าตนจะพูดเกลี้ยกล่อมเขาได้หรือไม่ ผู้ชายคนนี้ดื้อรั้นเหมือนเธอไม่มีผิด เธอถึงกับเผื่อใจไว้อย่างเลวร้ายที่สุดแล้ว แต่ยังดี…


หลังเย่เซียวถลึงตาใส่เธอด้วยดุดันแวบหนึ่งจากนั้นเขาก็ลุกขึ้น


แต่ไม่ใช่เพียงลำพัง กลับกระชากเธอให้เดินเข้าไปในห้องนอนด้วย


ไป๋ซู่เย่ถาม “ทำไม?”


เธอถูกเขาดึงตัวเข้าไปในห้องนอนโดยหลังจากนั้นเย่เซียวกระแทกปิดประตูเสียงดัง กวาดสายตาเย็นชาผ่านตัวเธอ “เปลี่ยนชุดนอนซะ!”


ไป๋ซู่เย่ถึงรู้ตัวว่าเมื่อครู่เธอรีบร้อนไปหน่อยถึงได้ไม่ทันเปลี่ยนชุดนอนด้วยซ้ำ ชุดนอนชุดนี้ไม่เหมาะที่จะใส่ไปเจออวิ๋นช่วนจริงๆ


“ซู่ซู่ เราเข้ามาแล้ว ลูกอยู่ไหนน่ะ!”


คุณหญิงไป๋ได้เข้ามาในห้องเรียบร้อยโดยกำลังกวาดสายตาหาคนอยู่ข้างนอก ไป๋ซู่เย่แอบนึกโชคดีอยู่ในใจว่าได้เก็บเสื้อผ้าของเย่เซียวไว้ล่วงหน้าทุกอย่าง รองเท้าเองก็เก็บใส่ตู้รองเท้าแทนที่จะวางบนชั้นวางรองเท้า อีกทั้งถ้วยชามในห้องครัวถูกเย่เซียวล้างสะอาดไปตั้งแต่เที่ยงแล้วเช่นกัน


ขอแค่ไม่เข้าไปเจอโน้ตบุ๊คและของของเขาในห้องหนังสือ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร


“แม่คะ รอหนูข้างนอกแป๊บหนึ่ง หนูกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า” เธอตะเบ็งเสียงบอกคุณหญิงไป๋ที่อยู่ข้างนอกก่อนจะล็อกประตูห้องจากข้างใน


“อืม อวิ๋นช่วนก็มาด้วย” คุณหญิงไป๋ตอบกลับ


ไป๋ซู่เย่กำลังคิดว่าทำไมอวิ๋นช่วนถึงมาด้วยกันกับคุณหญิงไป๋ได้โดยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาเย็นยะเยือกจากใครบางคน เย่เซียวเดินออกไปตรงประตูที่เชื่อมห้องนอนกับระเบียงไว้แล้วเดินไปสูบบุหรี่ตรงระเบียง ไป๋ซู่เย่มองแผ่นหลังเขาถึงรับรู้ว่าเหมือนเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร อยากพูดอะไรแต่สุดท้ายกลับเงียบ ได้แต่หยิบเอาชุดลำลองอยู่บ้านออกมาเดินไปเปลี่ยนในห้องน้ำเงียบๆ


ออกจากห้องอาบน้ำไม่คิดว่าเย่เซียวจะดักรอตัวเองตรงประตู ระยะห่างที่ประชิดจนกลิ่นควันบุหรี่แผ่เข้ามา เธอเงยหน้ามองเขาอย่างฉงน ดวงตาเขาล้ำลึกคล้ายบ่อน้ำที่ลึกจนไม่เห็นพื้น ไม่รอเธอได้ถามอะไรจู่ๆ เขากระชากเธอเข้าไปก่อนโน้มหน้าจูบปากแดงอิ่มของเธอ


เธอไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ เกิดแปลกใจชั่ววูบ ปลายลิ้นของเขาชอนไชเข้ามาบีบบังคับให้เธอพัวพันกับเขา ไป๋ซู่เย่ต้านจูบของเขาไม่ไหว ไม่นานถูกเขาจูบจนหายใจหอบ ตัวอ่อนแรงเอนพิงแนบกายเขาไว้


“ผมไม่สนว่าเขาจะเป็นคู่แต่งงานในอนาคตของคุณหรือเปล่า แต่คุณฟังผมให้ดี…” เย่เซียวแนบปากชิดกับของเธอ เสียงแหบแห้งทำให้ทุกถ้อยคำที่เล็ดลอดออกมาแฝงไปด้วยการตักเตือน “ในสิบวันสุดท้ายที่ผมยังเล่นไม่เบื่อ คุณกล้าให้ตัวคุณมีกลิ่นของเขาติดนิดเดียวล่ะก็ ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่!”


ไป๋ซู่เย่ที่เมื่อครู่ยังสติพร่ามัวเพราะถูกเขาจูบจนสมองมึนไปชั่วขณะกลับได้สติฉับพลันเพราะคำพูดของเขา


ความหมายของเขาคือ…


เพียงเพราะเขารักสะอาด สิบวันนี้เลยต้องการความซื่อสัตย์จากเธอ สิบวันหลังจากนี้…เธอจะอยู่กับใครก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาอีก…


ฉะนั้นเมื่อครู่ไม่ควรเลยที่เธอจะลุ่มหลงอยู่กับจูบเขา เธอแย้มปากหัวเราะ “คุณสบายใจได้ ฉันยังไม่มีฝีมือดีเท่าคุณที่สามารถนอนบนเตียงสองเตียงได้อย่างสบายใจ อีกอย่าง…ถ้าอนาคตฉันแต่งงานกับเขาจริงๆ ยังมีเวลาอีกทั้งชีวิต ไม่ต้องรีบกับอีกแค่สิบวันนี้หรอก”


เย่เซียวหายใจหนักอึ้ง มือใหญ่ที่ทาบบนเอวเธอกระชับแรงอีกนิด สายตาคล้ายจะปลิดชีวิตเธอให้ได้


เธอทนสายตาแบบนี้ของเขาไม่ได้ มันจะทำให้เธออดเข้าใจผิดไม่ได้ว่าความจริงเขากำลัง…หึง…


ไม่อยากให้ตัวเองคิดเข้าข้างไปเองมากกว่านี้ เธอดันมือเขาออกห่างเบาๆ แล้วกล่าว “ฉันออกไปก่อนล่ะ”


กระทั่งประตูห้องปิดตัวลงและเงาของเธอหายไปจากห้องนอน สีหน้าเย่เซียวไม่ได้ผ่อนคลายลงสักนิด


ทั้งชีวิตอย่างนั้นหรือ!!


ผู้หญิงไร้หัวใจคนนี้ ต่อให้ผ่านการทรยศหักหลังเมื่อสิบปีก่อน ปั่นป่วนโลกของเขาจนไม่เหมือนเดิมก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อจิตใจของเธอสักนิด ยังใช้ชีวิตสงบสุขได้อยู่ดี!


เย่เซียวเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากพุ่งออกไปนอกห้องนอนในตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด!


…………………………


พอไป๋ซู่เย่ออกมาคุณหญิงไป๋พูดขึ้นในห้องครัว “เปลี่ยนเสื้อผ้านานขนาดนี้ ปักผ้าอยู่ข้างในหรือไง!”


“แม่คะ ทำไมมาแล้วไม่บอกก่อนล่ะ?”


“แม่ก็โทรหาลูกแล้วไม่ใช่เหรอ?”


อวิ๋นช่วนที่ขณะนี้กำลังนั่งบนโซฟาห้องนั่งเล่น เห็นเธออกมาก็ลุกพรวด


ผ่านเรื่องราวโกลาหลกับเย่เซียวคราวก่อนแล้วเจออวิ๋นช่วนในเวลาอันสั้น ไป๋ซู่เย่อดรู้สึกอึดอัดในใจอยู่ไม่น้อย


“ซู่ซู่ แผลของคุณ…” เพียงแวบเดียวอวิ๋นช่วนก็เห็นผ้าพันแผลบนศีรษะของเธอ เขาทั้งเป็นห่วงทั้งโมโห “เพราะผู้ชายในโทรศัพท์คืนนั้นใช่ไหม…”


บางทีเขาอาจจะยังไม่รู้ว่าคนในสายวันนั้นคือเย่เซียว


“ชู่ว!”ไป๋ซู่เย่พูดขัดคำพูดที่เหลือของเขาแล้วหันกลับไปมองห้องครัวแวบหนึ่ง “เรื่องคืนนั้นอย่าพูดต่อหน้าแม่ของฉัน ฉันไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง”


“แล้วแผลของคุณ…”


“ฉันไม่ระวังตัวแล้วล้มเอง”


“จริงเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นช่วนกำลังสงสัย คืนนั้นแม้เขาจะฟังไม่ได้ความจากโทรศัพท์สักเท่าไรแต่จากน้ำเสียงได้ใจและอาจหาญของผู้ชายคนนั้นก็พอรู้สึกได้ว่าเขาไม่รู้จักให้เกียรติเธอ!


“อืม จริงสิ” ไป๋ซู่เย่พยักหน้า


……………………………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม