แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 648-654

 บทที่ 648 เล็กพริกขี้หนู

โดย

Ink Stone_Fantasy

นอกจากพลังงานทางจิตของหมายเลข 0 หลิงม่อก็ได้จัดการกลืนกินพลังจิตอันน้อยนิดของอ้ายเฟิงไปด้วย


ในสถานการณ์ที่หมายเลข 0 ยังเอาตัวเองไม่รอด แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปกป้องภาชนะอย่างอ้ายเฟิงได้ กระทั่งระหว่างที่มันขัดขืนถึงขั้นสร้างความเสียหายให้ดวงแสงแห่งจิตของเขาด้วยซ้ำ


นั่นกลับทำให้หลิงม่อประหยัดแรงไปหนึ่งเปราะ เขาสามารถทำลายสัญชาตญาณต่อต้านของอ้ายเฟิงได้อย่างง่ายดาย


พลังงานเหล่านี้ล้วนผ่านการถูกทำร้ายมาก่อน หลังจากสูญเสียความสามารถในการขัดขืน กลับดูดกลืนได้ง่ายกว่า และไหลหายไปน้อยกว่า


ทว่าพอพลังงานไหลเข้าสู่ดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อ มันกลับทำให้ดวงแสงแห่งจิตของเขาบีบรัดและหดตัวทันใด


ท่ามกลางอาการปวดหัวอย่างรุนแรง หลิงม่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกบีบอัดสมองทั้งเป็นอย่างไรอย่างนั้น


ความทรงจำมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุด แม้กระทั่งสิ่งที่เขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว ก็ยังถูกขุดออกมาให้เขาเห็นในระหว่างนี้ด้วย


บางทีเวลาอาจผ่านไปแค่สิบวินาทีเท่านั้น แต่ในความรู้สึกของหลิงม่อ เขากลับรู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปหลายเดือนแล้ว


เมื่อเขาได้สติกลับคืนมาพร้อมกับเหงื่อที่ท่วมเต็มหัว สภาพของเขาก็เหมือนกับคนที่เพิ่งจะตะเกียกตะกายออกมาจากในน้ำ


ดวงแสงแห่งจิตที่ผ่านการหดตัว ดูเหมือนจะเล็กกว่าแต่ก่อนถึงหนึ่งรอบ กระทั่งเล็กกว่าดวงแสงแห่งจิตของคนทั่วไปด้วยซ้ำ


แต่พลังงานทางจิตที่อยู่ในนั้น กลับมากกว่าตอนก่อนกลืนกินถึง 1 ใน 5 ส่วน!


แสงสีแดงระยิบแยงตา ซึ่งดูเหมือนเม็ดเพชรพลอยที่ถูกเช็ดคราบฝุ่นออกนั่น ทำให้หลิงม่ออึ้งไปชั่วขณะ


กระแสลมเบาๆ พัดผ่านนอกหน้าต่าง ถึงแม้หลิงม่อจะได้ยินเพียงเสียงที่เบามาก แต่ทันใดนั้นภาพที่เศษกระจกเล็กๆ ลอยมาตามสายลมซึ่งพัดผ่านเข้ามาในบานกระจกแตกๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมองหลิงม่อ…


เขาไม่ได้ตั้งใจใช้พลังสัมผัสรู้ แต่ก็รู้ได้เองว่าพวกเย่เลี่ยนอยู่ที่ไหน


ความรู้สึกแบบนี้ ทำเอาหลิงม่อถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ


ทุกอย่างดูสมจริงกว่าเมื่อก่อนมาก เหมือนเมื่อก่อนตัวเขาสำรวจสถานการณ์รอบข้างโดยมีกระจกฝ้ามากั้นขวางไว้หนึ่งชั้น…


ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิงม่อค่อยๆ คุ้นเคยกับความรู้สึกอย่างนี้ เขาเริ่มได้สติกลับคืนมาจากความสับสนงุนงง


เขาสะบัดหัวไปมาไล่อาการปวดหนึบที่ศีรษะ และเตรียมจะลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบสิ่งผิดปกติในสมองของอ้ายเฟิงที่เดิมควรจะว่างเปล่าไร้สิ่งใด


เมื่อกี้ตอนที่ตรวจสอบดูไม่พบอะไร ตอนนี้พอพลังจิตแกร่งขึ้นแล้ว จุดผิดปกตินี้ก็ถูกเขาพบเข้า


หลิงม่อขมวดคิ้วแล้วเพ่งจิตสังเกตดูดีๆ ทันใดนั้นเขาก็แสยะยิ้มออกมา “ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…กลับเป็นเราที่เมื่อก่อนคิดมากไปเอง”


………..


“ฉึก!”


มู่เฉินกัดฟันดึงมีดออกมา เลือดสดๆ กระฉูดใส่เต็มหน้าเขา


เขายกมือปาดคราบเลือดออก แล้วใช้มือยันผนังดันตัวเองขึ้น พลางก้มหน้าสังเกตอาการบาดเจ็บของตัวเอง


อาศัยความได้เปรียบที่ลงมือก่อน สุดท้ายเขาก็ฆ่าสมาชิกทีมสองคนนั้นสำเร็จ แม้จะไม่ง่ายดายนักก็ตาม และด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นไม่น้อย


ทว่าหลังจากลูบขึ้นลูบลง แล้วพบว่าอวัยวะทุกส่วนของตัวเองยังอยู่ครบ และไม่มีรูโหว่อะไรบนร่างกายเพิ่มขึ้นมา มู่เฉินก็รีบยกมือยันผนังแล้วเดินมุ่งหน้าไปทางห้องบันไดทันที


“อย่าตายนะ ถ้านายตาย ฉันก็จบเห่เหมือนกัน”


มู่เฉินพูดพึมพำ พลางพยายามพากายสังขารอันเหนื่อยล้าของตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้า


แต่เดินไปได้ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาจากด้านข้าง


เหตุการณ์กะทันหันนี้ทำเอามู่เฉินยืนเกร็งไปทั้งตัว มีดในมือถูกยกขึ้นสูงทันที “ใครวะ?!”


ท่ามกลางความมืด เงาร่างตะคุ่มนั้นดูเลือนรางไม่ชัดเจน มู่เฉินจึงตื่นตระหนกตามไปด้วย


ถ้าหากคนที่ปรากฏตัวนี้เป็นอ้ายเฟิง นั่นก็แสดงว่าหลิงม่อตายไปแล้ว และตัวเขาเองก็อยู่ห่างจากความตายไม่ไกล…


“ฉันเอง”


เมื่อเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น มู่เฉินก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาทันที เขาเอนกายเอาหลังพิงผนังอย่างอ่อนแรง ขณะเดียวกับที่ทิ้งแขนลงข้างลำตัว ร่างกายก็ไถลตามลงไปอย่างห้ามไม่ได้ “นายเองหรอ…”


หลิงม่อก้าวเท้าออกมาจากเงามืด แล้วมองมู่เฉินขึ้นลงอย่างตกตะลึง “ว๊าว…”


“หุบปาก” มู่เฉินกลอกตามองบน ยกมือโบกไปมา “หุบปากไปเลยนะ ไม่ต้องมาวิจารณ์ภาพลักษณ์ของฉันเลย”


“โอเค ได้เลย นักฆ่าเลื่อยไฟฟ้า” หลิงม่อพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ


“…ทำตัวน่ารำคาญน่า” มู่เฉินด่าอย่างอ่อนแรง


“ใช่สิ ฉันมาช่วยนายกำจัดภัยแฝงอย่างหนึ่ง” หลิงม่อนั่งยองๆ ลงต่อหน้ามู่เฉิน แล้วจู่ๆ ก็พูดจริงจังขึ้นมา


มู่เฉินนิ่งไปก่อน จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ “เมล็ดพันธุ์พลังจิตนั่น?”


เดิมเขาไม่เคยสนใจสิ่งนั้นที่อยู่ในสมองของตัวเอง แต่ตอนนี้พอนึกถึงภาพอันน่าสยองที่อ้ายเฟิงและหมายเลข 0 รวมร่างกันแล้ว มู่เฉินก็รู้สึกขนลุกซู่ตรงท้ายทอยขึ้นมาทันที


“มันจะเป็นภัยแฝงอย่างไร? แล้วอีกอย่าง…นายจะช่วยฉันจัดการมันยังไง?” มู่เฉินถามอย่างกังวล


“ในสมองของอ้ายเฟิงก็มีเหมือนกัน…”


“ห๊ะ?!”


“อย่าเพิ่งตกใจไปสิ” หลิงม่อตบไหล่มู่เฉิน “ของเขาใหญ่กว่าของนายมาก ต้องมีเมล็ดพันธุ์นี้อยู่ หมายเลข 0 ถึงจะใช้อีกฝ่ายเป็นภาชนะได้ แต่ของนายยังอยู่ในระหว่างแตกหน่อเติบโต ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์ ความจริงฉันเดาว่าในสมองของทุกคนในนิพพานสาขาย่อย ได้มีเมล็ดพันธุ์นี้กันคนละหนึ่งเมล็ดแล้วล่ะ แต่เพื่อไม่ให้ถูกพบ ในสมองของคนส่วนใหญ่ จึงเป็นเมล็ดพันธุ์ขนาดเล็ก แต่สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้อย่างนาย มันจึงได้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ที่เห็นได้ชัดให้นาย”


พอหลิงม่อพูดจบ มู่เฉินก็ตะลึงไปแล้ว


ถึงแม้จะมีความจริงอยู่แค่ส่วนเดียว แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้รู้สึกขนลุกได้แล้ว


ระบบส่วนกลางอะไรกัน ศูนย์กลางสำคัญอะไรกัน นี่มันเนื้อร้ายที่ซ่อนอยู่ชัดๆ!


หากปล่อยให้มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ซักวัน มันอาจกลับกลายเป็นศูนย์ควบคุมที่แท้จริงก็ได้


“นี่มันการเอาคืนของหุ่นยนต์ชัดๆ!” มู่เฉินพูดพร้อมเบิกตากว้าง


พอได้สติ เขาก็รีบตะครุบแขนหลิงม่อ “หลิงม่อ…ไม่ไม่ พี่หลิง…พี่ใหญ่!”


“ใจเย็น หมายเลข 0 หายไปแล้ว เพียงแต่ถ้าเมล็ดพันธุ์นี้ยังอยู่ในสมองของนาย มันอาจฟื้นจากความตายได้ ด้วยการค่อยๆ ดูดกลืนพลังจิตของนาย จากนั้นก็เริ่มส่งผลกระทบกับนาย สุดท้ายนายก็จะกลายเป็นหมายเลข 0 ตัวใหม่เท่านั้นเอง แต่วางใจ ดูจากความจุของสมองนาย แค่แกร่งได้หนึ่งในร้อยส่วนของมันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” หลิงม่อบอก


“…” มู่เฉินจ้องหลิงม่อสองวินาที แล้วสติแตกอีกครั้ง “นายจะให้ฉันใจเย็นยังไงไหววะ!”


“ถึงจะไม่สามารถกำจัดเมล็ดพันธุ์นั่นได้ด้วยการไม่แตะต้องดวงแสงแห่งจิตของนาย แต่ฉันยังมีอีกหนึ่งวิธี” หลิงม่อพูดไป ก็ล้วงเอา “แมงกะพรุน” ตัวนั้นออกมาจากกระเป๋าเป้ ของสิ่งนี้เป็นวัตถุเรืองแสงในสายตาของเขา แต่ในสายตาของมู่เฉิน มันกลับเป็นแค่ลูกบอลพลาสติกสีมัว อย่างมากมันก็แค่ดูงานละเอียดมากกว่าลูกบอลพลาสติกทั่วไป


“นี่คือเครื่องแปลงพลังงานทางจิตที่ฉันคิดค้นขึ้นมา ถึงจะดูเรียบง่าย แต่มันมีนวัตกรรมล้ำหน้าอันยอดเยี่ยมที่นายไม่อาจเข้าใจได้…” หลิงม่อบอก จากนั้นก็ยก “แมงกะพรุน” ขึ้นไปจ่อไว้กลางหัวมู่เฉิน


“นายแค่จงใจพูดให้ฉันไม่เข้าใจเฉยๆ เถอะ! เดี๋ยวก่อน…แล้วนายจะรู้ได้ไงว่ามันจะเล่นงานแค่เมล็ดพันธุ์นั่นน่ะ?!


หลิงม่อชะงักมือเล็กน้อย “โลกแห่งดวงจิตดวงหนึ่งเป็นของชายผู้ที่โสดมากว่าสามสิบปี ซึ่งเต็มไปด้วยความคิดสีพีช (สีพีช หรือสีชมพู สื่อถึง เรื่องความรักชายหญิง) และความคิดอันยุ่งเหยิง ส่วนอีกดวงนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บริสุทธิ์ และไม่เคยแปดเปื้อนสิ่งใด…นายคิดว่าคนอื่นเขากินไม่เลือกกันทุกคนรึไง? ยิ่งไปกว่านั้นมันได้ผ่านการแก้ไขจุดบกพร่องและการทดลองของฉันมาหลายครั้งแล้ว รับรองเรื่องรสนิยมการกินได้ มันเลือกกินแต่ของดีแน่นอน…”


“ใครสีพีช…โอ๊ย โอ๊ยย!”


มือของมู่เฉินค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ “แมงกะพรุน” ที่รูปร่างไม่สะดุดตานี่ พอสวมไว้บนหัว เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างในสมองของเขากำลังถูกดูดออกไป


ความรู้สึกนี้ค่อนข้างน่ากลัว โชคดีที่ผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที หลิงม่อก็รีบจับ “แมงกะพรุน” และพยายามดึงมันออกมาเต็มแรงทันที


“กะ…เกิดอะไรขึ้น…” มู่เฉินไม่กล้าขยับเขยื้อนส่งเดช เขาเบิกตากว้าง แล้วถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก


“อ้อ เมล็ดพันธุ์ถูกกำจัดแล้ว แต่มันตะกละไปหน่อย…อ๊ะ ได้แล้ว มันลงมาแล้ว” หลิงม่อดึง “แมงกะพรุน” ออกมาอย่างลำบากเล็กน้อย หลังจากดูดกลืนพลังงานทางจิตไปบางส่วน เจ้าของสิ่งนี้กลับไม่ได้ดูต่างไปจากตอนแรกเลยซักนิด แต่คิดดูอีกที ถ้าจะให้มันวิวัฒนาการด้วยรูปร่างอย่างนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องยากไปหน่อย…


แม้กระทั่งถ้าหากอยากให้มีลูกตางอกขึ้นมา ก็ต้องเริ่มพยายามจากจุดที่พื้นฐานที่สุดก่อน


“ฉัน…” มู่เฉินตัวอ่อนยวบทันที เขาหอบหายใจแรง เบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้าแล้วถาม “ร่างกายฉันไม่ได้ขาดอะไรไปใช่ไหม? แม้แต่ความคิดสีพีชของฉันก็จะแย่งไปไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ! นั่นมันยาคลายเครียดของฉัน มันคืออาหารทางใจของฉัน เป็นความทรงจำอันมีค่าของฉันเชียวนะ!”


“ขอโทษอาหารทางใจเดี๋ยวนี้…” หลิงม่อยัด “แมงกะพรุน” ใส่กระเป๋าเป้ แล้วยื่นมือไปดึงมู่เฉินให้ลุกขึ้นยืน “วางใจน่า ของแบบนั้นไม่มีใครแย่งไปหรอก…น่าจะนะ”


“เฮ้ยย!”


“เอ้าา เดี๋ยวนายก็ลองรำลึกดูก็รู้เองแหละน่า” หลิงม่อบอก “ตอนนี้รีบฉวยโอกาสพาสวี่ซูหานไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”


“พูดง่ายเนอะ! เดี๋ยวนะ…นี่นายจะให้ฉันเดินไปเองหรอ?! พี่หลิง…พี่ใหญ่! อย่าทำอย่างนี้ ช่วยประคองกันหน่อยเซ่!” เสียงตะโกนลั่นของมู่เฉินดังสะท้อนอยู่ในมุมมืดแห่งนี้


ตอนนี้ในห้องเก็บของเล็กๆ ห้องหนึ่ง ซย่าน่ากำลังยืนพิงอยู่หลังประตู ดวงตาสีแดงอ่อนๆ จับจ้องไปที่สวี่ซูหาน


สวี่ซูหานนั้นนั่งนิ่งไม่ไหวติงอย่างนั้นมาโดยตลอด เธอจะพูดพึมพำขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว แต่ก็ฟังไม่ออกว่าเธอกำลังพูดอะไร


ซย่าน่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองออกไปข้างนอก แล้วจึงค่อยเดินเข้าไปหาสวี่ซูหานช้าๆ


“ตื่นสิ” ซย่าน่ายื่นมือออกไปจับไหล่สวี่ซูหาน แล้วเขย่าสองสามที


“อ๊ะ!” สวี่ซูหานร้องเสียงเบา สายตาที่เลื่อนลอยของเธอหันมองมาทางซย่าน่า เธอแยกเขี้ยว เหมือนคิดจะพุ่งเข้ามา แต่แล้วก็ต้องทำหน้าสงสัยออกมาทันที


ไม่นาน เธอก็หดตัวถอยกลับไป แล้วส่งเสียงครางออกมาอย่างหวาดกลัว


“ไม่ต้องกลัว” ซย่าน่าจ้องมองสวี่ซูหานอย่างสงสัยใคร่รู้ จึงกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิด “เธอยังมีสติอยู่ใช่ไหม?”


สวี่ซูหานขดตัวกอดเข่าอย่างหวาดๆ เหมือนไม่กล้ามองหน้าซย่าน่า


ซย่าน่ายิ้มบาง เธอหลับตาเบาๆ แล้วพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ม่านตาจะไม่เปลี่ยนสี แต่บุคลิกของเธอกลับเปลี่ยนแปลงไปทันที


ภายใต้แสงจันทร์ สายตาของเธอดูมั่นคงไม่ไหวหวั่น เส้นผมยาวสยายแผ่อยู่ตรงหน้าอกอย่างเป็นธรรมชาติ เธอดูเหมือนเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น


“นี่?” พอเธอเปิดปากพูดอีกครั้ง อวี๋ซือหรานก็อึ้งไปทันที


จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่ซย่าน่า ครั้งนี้เธอดูสงสัยหนักกว่าเดิม ด้านหนึ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อีกด้านหนึ่งก็สงสัยมากจนไม่อาจละสายตาออกไปได้


“เธออยากกลายเป็นซอมบี้ไหม?” ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วถามขึ้น


—————————————————————————–


บทที่ 649 เสาสัญญาณในสมอง? เขาเรียกกระแสจิตต่างหาก!

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินคำว่า “ซอมบี้” สวี่ซูหานที่ตอนแรกยังดูสับสนงุนงงพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว เธอพุ่งเข้ามาตรงหน้าซน่าทันที


เธอจ้องซย่าน่าอย่างกระวนกระวาย ริมฝีปากกระตุกสั่นแรง แต่กลับทำได้เพียงฝืนพูดออกมาว่า “ช่วยด้วย…”


“เป็นอย่างที่คิดสินะ…” ซย่าน่าจ้องสวี่ซูหานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “แต่ฉันก็พอเข้าใจล่ะนะ เพราะอีกครึ่งหนึ่งของฉัน ก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน”


เธอยังคงพูดพึมพำกับตัวเองต่อไป โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจคำว่า “อีกครึ่งหนึ่งของฉัน” หรือไม่ “รู้สึกเกลียดชัง เต็มไปด้วยความคิดต่อต้าน ถึงมันจะกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว แต่ในใจก็ยังยากจะรับได้ ฉันไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนความทรงจำนั้นได้ เอาแต่คิดว่าถ้าตอนนั้นไม่เป็นแบบนั้น จะดีแค่ไหนกันนะ…”


ซย่าน่าพูดไป ก็ยกยิ้มมุมปากคล้ายกำลังหัวเราะหยันตัวเอง


ทว่าพอเธอเห็นสายตาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของสวี่ซูหาน ก็อดส่ายหน้าไปมาไม่ได้ “ถึงตอนนี้เธอจะได้ยินสิ่งที่ฉันพูด แต่ความคิดของเธอกลับไม่สามารถตอบสนองได้ แต่ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรจิตใต้สำนึกของเธอก็ยังเข้าใจ เหมือนกับฉันไง เรื่องที่ฉันคิดว่าลืมไปแล้ว ความจริงมันกลับถูกสลักไว้ในสมองตั้งนานแล้ว ต้องมีซักวัน ที่เธอจะจำเรื่องราวในวันนี้ขึ้นมาได้”


พูดไป เธอก็ขยับเข้าไปใกล้สวี่ซูหานอีกนิด แล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉันรู้สึกว่าพวกเรามีอะไรคล้ายๆ กัน พี่หลิงเองก็คงจะคิดอย่างนี้เหมือนกัน เขาก็เลยอยากช่วยเธออย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น ฉันก็อยากช่วยเธอเหมือนกัน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรู้สึกของมนุษย์มากนัก หรือถึงจะรู้ ก็ไม่อาจสัมผัสความรู้สึกนั้นได้เหมือนมนุษย์ แต่ว่านะ อย่างน้อยฉันก็รู้ว่ามีเรื่องบางเรื่องที่สำคัญกว่าการกินเนื้อ…”


ซย่าน่าชะงักไปชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ก็โน้มตัวไปใกล้หูสวี่ซูหาน พูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พยายามมีสติเข้าไว้เถอะนะ ขอเพียงดวงจิตไม่ติดเชื้อหรือถูกปรับโครงสร้าง เธอก็จะไม่กลายร่างเป็นซอมบี้ทั้งหมด ถ้าเธอทำสำเร็จ…บางทีมันอาจเป็นการแสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อส่วนสมอง ไม่ได้หมดหนทางรักษาซะทีเดียว…”


พูดไป ซย่าน่าก็ยืดตัวตรง มือข้างหนึ่งยังคงวางอยู่บนไหล่ของสวี่ซูหาน แต่สายตากลับมองเลยไปในเงามืดด้านหน้า


ถูกต้องแล้ว มีเรื่องบางเรื่องที่ถึงแม้สัญชาตญาณของเธอจะไม่ให้ความสำคัญ แต่ซย่าน่ารู้ดีว่าเธอควรทำมัน


บนเส้นทางนี้ หลิงม่อเป็นผู้เดินนำอยู่ด้านหน้าสุด เขาต้องคลำทางเพื่อเดินหน้าต่อไปอย่างยากลำบาก แล้วยังต้องคอยชี้นำทางเดินให้พวกเธอด้วย


ซย่าน่ามองเห็นมาโดยตลอด และเธอก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจนานแล้ว : เธอก็อยากช่วยเขาเหมือนกัน


ในความทรงจำของเธอมีหนังสือบางเล่มที่มักกล่าวประโยคที่ว่า “ผู้หญิงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชาย” และซย่าน่าก็ได้ตัดสินใจแล้ว “ฉันจะไม่เป็นผู้หญิงที่อยู่แค่ข้างล่างพี่หลิงเท่านั้น แต่จะเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าด้วย! หรือเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างบนบ้างเป็นครั้งคราว…”


“เอ๋ ไม่สิ…” ซย่าน่ายกนิ้วมือขึ้นนับด้วยสีหน้าจริงจัง เหมือนสมองของเธอจะเข้าสู่สภาวะมึนตึ๊บชั่วขณะ


“แต่ไอ้ทิศทางข้างบนข้างล่างนี่มันคิดยังไงกันแน่ล่ะ? จำไม่ได้ว่าเคยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องซะด้วยสิ…” ซย่าน่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมแพ้ “ช่างเถอะ ถึงยังไงความหมายคร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหละ อย่างไรจินตนาการก็สำคัญกว่าความรู้นี่นา…ประโยคนี้มาจากหนังสือเล่มไหนอีกแล้วนะ?”


ซย่าน่าส่ายหัวไปมา แล้วก้มหน้ามองสวี่ซูหานอีกครั้ง สายตาเธอฉายแววแปลกไปเล็กน้อย


เรื่องของมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นโอกาสดีก็ได้นะ…


หลังจากฟังสิ่งที่ซย่าน่าพูด แม้ว่าสวี่ซูหานจะยังคงดูสะลึมสะลือ แต่ในดวงตาของเธอกลับปรากฏสัญญาณแห่งความดิ้นรนขึ้นเป็นระยะๆ…


ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอกห้องเก็บของ ซย่าน่าหันขวับกลับไปมองอย่างระแวดระวัง


ไม่นาน เงาร่างของคนสองคนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าประตู


กลิ่นคาวเลือดโชยเข้ามาในห้องทันที ซย่าน่าย่นจมูกเล็กน้อย แล้วหันไปใช้มือกดร่างสวี่ซูหานที่กำลังกระหายอย่างหนักให้กลับไปนั่งเหมือนเดิม


“น่าน่า เธอเป็นไงบ้างแล้ว?” หลิงม่อเดินประคองมู่เฉินมาหยุดอยู่หน้าประตู แล้วยื่นหน้ามาถาม


“อาการทรงตัว ไม่ดีหรือร้าย แต่ดูเหมือนอารมณ์จะคงที่ขึ้นมากแล้ว” ซย่าน่าตอบ


“อย่างนั้นก็ดี แสดงว่าเธอจะอดทนไปได้อีกระยะหนึ่ง ประคองเธอลุกขึ้น พวกเราจะไปแล้ว” หลิงม่อพยักหน้ารับ แล้วพูดต่อ


ซย่าน่าหันไปดึงกระเป๋าเป้บนพื้นขึ้นมาสะพาย จากนั้นก็ประคองร่างสวี่ซูหาน


มู่เฉินถามด้วยสภาพร่างกายที่ร่อแร่เต็มที “แฟนนายสองคนนั้นล่ะ? ไม่ไปตามหาหรอ?”


“พวกเย่เลี่ยนอยู่ข้างล่างแล้ว ตอนนี้กำลังสำรวจสถานการณ์ข้างล่างล่วงหน้าอยู่” หลิงม่อเห็นซย่าน่าและสวี่ซูหานเดินเข้ามาใกล้ จึงรีบดึงตัวมู่เฉินให้ถอยหลังหลบ ตอนนี้ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ถือเป็นการกระตุ้นที่เสี่ยงเกินไปสำหรับสวี่ซูหาน ขนาดซย่าน่าก็ยังอดเหลือบมองเขาแวบหนึ่งไม่ได้ สีหน้าเธอเหมือนกำลังบอกว่าอยากจะพลิกเคียวดาบฟันร่างเขาให้ขาดซะเดี๋ยวนั้น


ทว่ามู่เฉินกลับไม่รับรู้ถึงอันตรายที่ตัวเองกำลังเผชิญเลยแม้แต่น้อย เขายังคงพูดจ้อต่อไปไม่หยุด “นายวางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


“ก่อนหน้านี้” หลิงม่อเริ่มตอบแบบส่งๆ


“ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยซักนิด…บอกตามตรงนะ บางครั้งฉันก็สงสัยจริงๆ ว่าพวกนายมีเสาสัญญาณ ที่สามารถส่งคลื่นสมองหากันติดอยู่ในหัวหรือเปล่า…” มู่เฉินพูดพร่ำทำเพลงต่อ


“มันเรียกว่าความสามัคคี นายเข้าใจไหม? หรือจะเรียกว่ากระแสจิตก็ได้” หลิงม่อตอบกลับหนึ่งประโยค จากนั้นก็รีบตัดบทมู่เฉิน “หุบปากได้แล้ว ไม่เห็นหรอว่าสวี่ซูหานจ้องนายตาเป็นมันขนาดนั้น ถ้านายพูดมากอีกเธอจะเข้ามาฉีกปากนายแล้วนะ”


“เธอจะทำอย่างนั้นได้ยังไง…”


“ซย่าน่า ปล่อยเธอให้มาฉีกปากเขาซะ” หลิงม่อพูด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ได้” ซย่าน่ารีบพยักหน้า แถมทำท่าเหมือนจะปล่อยมือจริงๆ


มู่เฉินเห็นสวี่ซูหานที่กำลังแยกเขี้ยวแยกเล็บใส่ตัวเอง ก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว “เดี๋ยวก่อน!”


“ถ้างั้นก็หุบปาก” หลิงม่อเหลือบมองเขาด้วยหางตา


แต่สายตาที่มู่เฉินมองหลิงม่อกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว คนอะไร ใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหมือนสัตว์เลี้ยงดุร้ายได้อย่างหน้าตาเฉย?!


ทว่าพอคิดดูอีกที คนที่กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาอยู่ก็คือหลิงม่อไม่ใช่หรือ?


ถึงแม้ดูจากเปลือกนอก อาจเหมือนว่าเขามองเรื่องนี้เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว ตอนนี้พวกเขาไม่มีอะไรที่จะให้หลิงม่อได้เลยนี่…


ตอนนี้ ส่วนลึกในใจของมู่เฉินเองก็กำลังสับสน หลังออกจากนิพพาน เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไปดี


หาทางรอด?


เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เขาต้องการทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนกว่านี้


แม้แต่เหล่าดอกไม้ใบหญ้าก็ยังรู้จักโปรยเกสรเพื่อแพร่พันธ์ เขาเป็นมนุษย์ ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ไปวันๆ ได้เหมือนกัน


“เอ่อ หลิงม่อ” มู่เฉินเรียกเสียงเบา


“นายนี่มันเงียบได้ไม่เกินห้าวินาทีจริงๆ…” น้ำเสียงของหลิงม่อแฝงความหน่ายใจ


“ทีมปาฏิหาริย์ของนายน่ะ ฉันไปช่วยนำฝึกให้นายต่อดีไหม?” มู่เฉินหันหน้าไปมองหลิงม่อ แล้วบอกว่า “ตอนที่นายหลอกใช้ฉันให้ช่วยนายทำนี่ทำนั่น ก็ดูเหมือนนายจะพอใจในผลงานของฉันไม่น้อยเลยนี่”


พอเห็นหลิงม่อไม่พูดอะไร มู่เฉินก็หันไปมองสวี่ซูหาน แล้วหันกลับมาพูดต่อว่า “นอกจากร่างกาย ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนอะไรนายได้แล้ว…”


“ฉันมอบหมายทีมให้นาย นายต้องทำให้พวกเขากลายเป็นยอดฝีมือให้ได้” หลิงม่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมา


“โอ้โห นี่นายคิดจะร้องขอปาฏิหาริย์จริงๆ น่ะหรอ!” มู่เฉินโอดโอย


“ไม่ทำ?” หลิงม่อหรี่ตาเล็กลง


มู่เฉินที่ถูกจ้องจนรู้สึกหนังศีรษะชากัดฟันกรอด ทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับ “ก็ได้…!”


“อืม ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคุยเรื่องดอกเบี้ยกันต่อ”


พอหลิงม่อพูดประโยคถัดมา ทำเอามู่เฉินเกือบสติแตกซะเดี๋ยวนั้น


นี่คิดดอกเบี้ยกันด้วยหรอเนี่ย?!


จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าความคิดเมื่อกี้ของตัวเองเป็นแค่ความเข้าใจผิดชั่ววูบ หมอนี่มองเรื่องนี้เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แค่เปลือกนอกที่ไหนกัน นี่มันการแลกเปลี่ยนจริงๆ ชัดๆ!


“เดี๋ยวนะ…นี่นายคิดมาก่อนแล้วใช่ไหม! นายวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว!” มู่เฉินเริ่มรู้ตัวทีละนิดๆ


“ก็ใช่น่ะสิ”


“…ยอมรับหน้าตาเฉยอย่างนี้เลยหรอ…” มู่เฉินหน้าบึ้งตึง ตั้งแต่รู้จักกับหลิงม่อมา ทำไมเขาถึงถูกรังแกอยู่ตลอดเวลานะ?


แถมพอลองนึกดูดีๆ แล้ว เป็นเขาที่เดินเข้าไปกระแทกปากปืนด้วยตัวเองทุกครั้ง…


ดอกเบี้ยที่หลิงม่อเสนอมาฟังดูง่ายดาย “ฉันต้องการข้อมูลการทดลองของนิพพานสำนักงานใหญ่”


“เหอะเหอะ…บ้าแล้ว!” มู่เฉินยกนิ้วขึ้นจิ้มที่จมูกตัวเอง พูดด้วยสีหน้าเหวี่ยงเล็กน้อย “ฉันดูเหมือนคนที่จะช่วยนายเอาข้อมูลนั่นมาได้หรอ?”


“เหมือนสิ” นึกไม่ถึงว่าหลิงม่อกลับพยักหน้า


“ฉัน…”


“นอกเหนือจากอ้ายเฟิงแล้ว นายคือสมาชิกที่ระดับสูงที่สุดในสาขาย่อยแห่งนี้แล้วใช่ไหมล่ะ?” หลิงม่อหัวเราะแปลกๆ


มู่เฉินกลับขมวดคิ้ว หลังจากใช้ความคิดอยู่สองวินาที จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้าง “นาย…นายมันบ้าไปแล้วจริงๆ”


หลิงม่อยิ้มโดยไม่พูดอะไร มู่เฉินสองจิตสองใจอยู่หลายวินาที สุดท้ายก็กัดฟันกรอดพูดว่า “ที่นายอยากได้ข้อมูล ไม่ใช่เพราะเรื่องสวี่ซูหานอย่างเดียวใช่ไหม?”


“ใช่ นายเคยบอกว่าหลังจากที่หมายเลข 0 ถือกำเนิดขึ้นมา คนที่เก่งจริงพวกนั้นก็ย้ายจากเมืองตงหมิง ไปยังสำนักงานใหญ่หมดใช่ไหม?” หลิงม่อถาม


มู่เฉินพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ใช่ พวกเขาคือคนกลุ่มที่ทำให้เมืองตงหมิงกลายเป็นสนามทดลองที่แท้จริง แต่อ้ายเฟิงกับหมายเลข 0 ก็น่าจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในพวกเขาเหมือนกัน เพียงแต่หมายเลข 0 ต้องอยู่ที่นี่ ส่วนอ้ายเฟิงก็อาจคิดว่ายอมเป็นหัวไก่ดีกว่าเป็นหางนกไฟล่ะมั้ง…แต่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงเป็นยังไง ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ คนที่สำนักงานใหญ่พวกนั้น พวกเขาสร้างหมายเลข 0 ขึ้นมา แล้วยังสร้างหมายเลข 1 ขึ้นมาอีก กระทั่งถึงขั้นสร้างร่างแม่ขึ้นมา…ฉันสงสัยมาก” ดวงตาของหลิงม่อเปล่งประกาย พอพูดถึงเรื่องร่างแม่ เขาก็นึกถึงราชินีแมงมุม รวมถึงแหล่งแพร่เชื้อตัวแรกที่สร้างศพน้ำมากมายเหล่านั้นขึ้นมา ร่างแม่ทุกตัว ล้วนสามารถนำการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มาสู่เผ่าพันธุ์ซอมบี้ได้ ถึงขั้นสร้างซอมบี้เผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ


พวกเขาสามารถล่อร่างแม่ออกมาได้ แสดงว่าข้อมูลที่มีอยู่ก็ย่อมต้องไม่ธรรมดา


และสำหรับหลิงม่อที่ขาดความรู้ด้านทฤษฎี สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อเขามาก…


“สงสัยกับผีอะไรวะ…” มู่เฉินน้ำตานองหน้า คนพวกนี้เป็นมันยังไงกันแน่! อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิตของเขา?


“นายไม่กอดซอมบี้นอนซะเลยล่ะ!” มู่เฉินอดพูดแซะรอดไรฟันไม่ได้


แต่พอเขาพูดคำนี้ออกไป เขากลับพบว่าสายตาที่หลิงม่อมองเขาแปลกออกไป…


ไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับดูเหมือนกำลัง…นึกสนุก?


“แต่ก่อนจะไปนิพพานสำนักงานใหญ่ พวกเราต้องไปที่ที่หนึ่งก่อน” หลิงม่อปรับสีหน้าเข้าสู่โหมดปกติอย่างรวดเร็ว แล้วพูดขึ้น


“ไปไหน?” มู่เฉินเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อนิสัยและความคิดอย่างนี้ของหลิงม่อแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ชีวิตเขายังตกอยู่ในกำมือของหลิงม่ออีก แทนที่จะต่อต้าน สู้ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเสียโดยดีดีกว่า…


หลิงม่อยิ้ม แล้วบอกว่า “เมืองชุ่ยหู”


“ชุ่ยหู…”


—————————————————————————–


บทที่ 650 เดินไปจนสุดเส้นทาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แต่ว่า นายยังไม่ได้คิดจะออกจากเมืองตงหมิงทันที ใช่ไหม?” คราวนี้มู่เฉินรู้ตัวเร็วกว่าที่ผ่านมา


“มีพัฒนาการแล้วนี่” หลิงม่อชม


“พัฒนาการบ้าอะไร!” มู่เฉินพูดไม่ออก


ทว่า มู่เฉินสงสัยมากว่าหลิงม่อจะทำอะไรต่อไป


เขาเคยลองนึกหลายครั้ง ว่าถ้าหากตัวเองยืนอยู่ในจุดเดียวกับหลิงม่อ เขาจะทำอย่างไร? บางทีเขาคงเลือกที่จะวิ่งหนีอย่างไม่ลังเลตั้งแต่แรก แล้วล่ะมั้ง…


แน่นอนว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่น่าละอายแต่อย่างใด กว่าจะมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะอยากวิ่งใส่ความตายสุ่มสี่สุ่มห้ากัน? กลับเป็นการกระทำเสี่ยงอันตรายของหลิงม่อแบบนี้มากกว่า ที่พบเห็นได้ยากในกลุ่มผู้รอดชีวิต


หลิงม่อไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ถึงจะรู้ เขาก็คงแค่หัวเราะเบาๆ เท่านั้น


ความจริงแล้ว สิ่งที่หมายเลข 0 พูดขึ้นขณะต่อต้านการกลืนกินของเขา ไม่ได้ผิดเลย…


มนุษย์กับซอมบี้ เปรียบเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว


อนาคตโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด ตอนนี้ยังไม่อาจคาดเดาได้


แต่ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ขอเพียงเป้าหมายของหลิงม่อไม่เปลี่ยน วิธีเดียวที่จะทำให้ปลอดภัยและมั่นคงที่สุด ก็คือแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเขา หรือเหล่าสาวๆ ซอมบี้ก็ตาม


ท่ามกลางคลื่นลมแรงที่จะเจอต่อจากนี้ มีเพียงต้องแข็งแกร่งขึ้น ถึงจะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้


เส้นทางข้างหน้าไม่มีทางง่ายดาย เหมือนกับหลิงม่อ ปัจจุบันเขาอัพเกรดพลังด้วยการกลืนกินเท่านั้น การฝึกฝนด้วยตัวเองอย่างหนักถึงแม้จะทำให้ใช้ความสามารถพิเศษได้คล่องขึ้น แต่กลับไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนักในเรื่องของการอัพเกรดพลัง พอมาถึงในระดับของเขาตอนนี้ อาศัยเพียงการฝึกซ้อมนั้นยากที่จะได้รับการอัพเกรดครั้งใหญ่แล้ว


และหากพูดถึงเรื่องกลืนกิน ความจริงตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับหลิงม่อก็คือผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตคนอื่นๆ แต่หลิงม่อไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย


ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่…


กลับเป็นการปรากฏตัวของซอมบี้ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงด้านสมองที่ทำให้หลิงม่อประหลาดใจ และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาสนใจแหล่งแพร่เชื้อตัวแรกมาก


เหล่าซอมบี้ที่มีพลังจิตสูงขนาดนั้น ไม่ต่างจากคลังพลังงานเคลื่อนที่ได้เลยแม้แต่น้อย!


ทว่าคลังพลังงานเหล่านี้ไม่ใช่นึกอยากได้ก็เอาได้ พวกมันแต่ละตัวล้วนแฝงไว้ด้วยอันตรายใหญ่หลวงทั้งนั้น


และพวกเย่เลี่ยนที่ติดตามอยู่ข้างกาย ก็ไม่อาจวิวัฒนาการด้วยการฆ่าฟันตลอดเวลา เหมือนเพื่อนร่วมสายพันธุ์สัญชาตญาณสัตว์ป่าของพวกเธอ


ถึงแม้จะกลืนกินก้อนเหนียวหนืดอยู่ทุกวัน แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมสายพันธุ์สัญชาตญาณสัตว์ป่าแล้ว กลับไม่มีข้อดีอะไรเลย


ดังนั้นพวกเขาต้องแข็งแกร่งขึ้น เพราะพวกเขาไม่อาจหนีไปได้ตลอด


ความแกร่งกล้าของหมายเลข 0 ทำให้หลิงม่อรู้ตัว ในโลกนี้ไม่ได้มีแค่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีอยู่มากมาย แต่ในทุกๆ วัน อาจกำลังมีสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วก็ได้


ในสนามสังหารที่ต้องสู้เพียงเพื่อจะวิวัฒนาการและมีชีวิตรอด หากอยากชนะ ก็ต้องกล้าแลก


หมัดที่ต่อยอ้ายเฟิงในตอนนั้น ได้ทำลายความลังเลสุดท้ายที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของหลิงม่อให้สิ้นไปด้วย


อยากรู้นักว่าถนนเส้นนี้ หากเดินไปจนสุดเส้นทางแล้วจะเจออะไรรออยู่ที่ปลายทาง!


“หลิงม่อ”


ขณะที่เพิ่งจะเดินไปถึงมุมเลี้ยวของบันไดชั้นสอง เสียงเรียกของใครคนหนึ่งที่ตั้งใจกดเสียงให้เบาก็ดังขึ้น และจากนั้นเงาร่างของเจ้าของเสียงก็โฉบออกมาจากเงามืด


ถึงจะเคยเห็นหลายครั้งแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีคนโผล่พรวดออกมาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงอย่างนี้ มู่เฉินก็ยังคงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดจนแน่นอยู่ดี


“รุ่นพี่” หลิงม่อกลับมีท่านิ่งๆ “เด็กโง่ล่ะ?”


“รออยู่ทางนู้น ประตูหน้าและประตูหลังถูกดักไว้หมดแล้ว” หลี่ย่าหลินบอก


หลิงม่อพยักหน้า แล้วเขาก็ลองใช้พลังสัมผัสรู้เพื่อหาตำแหน่งของอวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋าย


พวกเธออยู่ข้างนอกตึก แถมยังอยู่ในตรอกเล็กซึ่งค่อนข้างปลอดภัยแล้วด้วย แต่เส้นทางที่ประหลาดอย่างนั้นไม่เหมาะกับมู่เฉินและสวี่ซูหานอย่างแน่นอน


ความสามารถในการแฝงตัวของมนุษย์สู้ซอมบี้ไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรทำให้มั่นใจว่าพวกเขาจะทำได้ หรือหากจะใช้ก็ขอให้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายดีกว่า


“ประตูหน้ามีกี่คน?” หลิงม่อถาม


หลี่ย่าหลินนับอย่างตั้งใจ แล้วบอกว่า “สามคน แต่ตอนที่ฉันมาทางนี้ มีคนมาเพิ่มอีก”


“เร็วขนาดนี้เชียว!” หลิงม่อขมวดคิ้ว


การกลืนกินหมายเลข 0 ทำให้เสียเวลาไปบ้าง แถมยังมีคนบาดเจ็บอีกสองคน สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจหนีไปก่อนที่พวกนั้นจะมาถึงจนได้


ทว่าหลิงม่อมีการเตรียมพร้อมไว้สำหรับสถานการณ์อย่างนี้แล้วเช่นกัน เพียงแต่มันต้องใช้เวลาอีกหน่อยเท่านั้นเอง…


หนึ่งนาทีต่อมา พวกเขาได้ปรากฏตัวอยู่ในโถงทางเดินเส้นหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆประตูทางเข้าออก


เย่เลี่ยนกำลังแนบตัวติดกำแพงอยู่อย่างเงียบๆ พอเห็นพวกหลิงม่อตามมา ซอมบี้สาวตัวนี้ก็ยิ้มซื่อๆ จากนั้นก็ถอยออกไปให้หลิงม่อมายืนแทนตำแหน่งตัวเอง


“เด็กดี” หลิงม่อเรียกเสียงเบา จากนั้นก็เข้าไปยืนชิดกำแพง แล้วชะโงกหน้าออกไปดู


ด้านนอกบานกระจกที่ส่องสะท้อนเปลวเพลิงอยู่นั้น มีเงาร่างของคนสองคนกำลังเดินสวนกันไปมา


และบนถนนที่ห่างออกไป ก็มีคนอีกห้าหกคนยืนกันอยู่ทางนั้น


ในมือของคนเหล่านี้ถืออาวุธไว้นานาชนิด ดูท่ายืนเหมือนผ่อนคลาย แต่ความจริงพวกเขาได้ยืนดักทางเดินสองข้างไว้พอดี


สถานการณ์อย่างนี้ เห็นแวบแรกหลิงม่อกลับสังสัยมาก


ถึงแม้พวกนั้นจะไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมทีมในตึกตายกันหมดแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะยืนรอกันอย่างสบายใจเฉิบอย่างนี้สิ?


“คนพวกนี้ใครกันน่ะ?” หลิงม่อหันไปถาม


มู่เฉินยืนพิงผนัง เขาชะโงกหน้าออกไปดู จากนั้นก็ขมวดคิ้วบอกว่า “ฉันก็ไม่รู้…ฉันไม่ได้รู้จักทุกคนในสาขาย่อย”


“ไร้ประโยชน์จริงๆ…” หลิงม่อกลอกตาใส่เขา


“อ้าว!” มู่เฉินหรี่ตาสังเกตดูอีกครั้ง แล้วเขาก็พูดขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ดูเหมือนจะมีสองสามคนที่ไม่ใช่คนของสาขาย่อย…”


“หมายความว่าไง คนของสำนักงานใหญ่งั้นหรอ?” หลิงม่อทำหน้าระริกระรี้ขึ้นมาทันที แต่ในเมื่อสถานการณ์ยังไม่แน่ชัด ยังไงก็สังเกตต่ออีกหน่อยดีกว่า


เขามองซ้ายมองขวา แล้วกระเถิบไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย เพื่อหามุมที่จะสามารถมองเห็นพวกนั้นได้อย่างชัดเจน


แต่เขาเพิ่งจะหาตำแหน่งได้ กลับได้ยินเสียงเป่าปากดังมาจากข้างนอกทันที


เขาตกใจ นึกว่าตัวเองถูกจับได้ซะแล้ว แต่พอมองดูดีๆ ที่แท้ก็มีซอมบี้หญิงตัวหนึ่งโผล่ออกมาตรงมุมถนนนี่เอง


ซอมบี้ตัวนั้นใส่เมื้อผ้าสกปรกมอมแมม เดินเท้าเปล่า เส้นผมยาวๆ ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง


ร่างกายของมันสั่นไหวสองที จากนั้นก็เพิ่มความเร็วฉับพลัน แล้วพุ่งเข้าไปหาสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดราวกับเสือดาว


ทว่าสองคนนั้นไม่ได้ดูตื่นตระหนก แต่กลับมองหน้ากันแล้วหัวเราะ จากนั้นก็ยืนรอซอมบี้อยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน


ท่าทางโอ้อวดขนาดนี้ มู่เฉินเห็นแล้วก็อดพูดถากถางขึ้นมาไม่ได้ “สองคนนี้ไม่ใช่คนของสาขาย่อย”


เมื่อซอมบี้หญิงตัวนั้นกระโจนไปถึงตรงหน้า หนึ่งในสองคนนั้นพลันโฉบกาย หลบการโจมตีของซอมบี้หญิงด้วยองศาที่แปลกประหลาดสุดๆ


ขณะเดียวกับที่เบี่ยงกายหลบ เหล็กเส้นในมือของเขาก็แทงไปที่ข้อพับเข่าของซอมบี้หญิงหนึ่งที


ในสายตาของคนดู เสี้ยววินาทีที่พวกนั้นวิ่งสวนกัน ซอมบี้หญิงตัวนั้นก็สูญเสียการทรงตัว พุ่งชนกับซากรถเก่าๆ ที่อยู่ข้างหน้าทันที


ชายอีกคนรีบฉวยโอกาสนี้ วิ่งไปอยู่ด้านหลังซอมบี้ตัวนั้นติดๆ จากนั้นก็ฟาดเหล็กเส้นลงไป


ตอนแรกซอมบี้ตัวนั้นกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกฟาดอย่างแรง หัวของมันกระแทกเข้ากับฝาท้ายรถ จนเกิดเป็นเสียงดัง “ตึง”


“ฮ่าฮ่าฮ่า!”


“เห็นไหม? ค้อนแบบนี้ฟาดดังดีใช่ไหมล่ะ”


สองคนนั้นหัวเราะร่วน เสียงหัวเราะยิ่งดังชัดกว่าปกติเพราะอยู่บนถนนที่โล่งและกว้าง


ส่วนคนอื่นกลับมองมาเหมือนกำลังมองดูเรื่องสนุก ทั้งไม่ห้าม และไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาช่วย


“กรร!!”


ซอมบี้หญิงกางแขนปีนป่ายขึ้นมาอีกครั้ง ใต้เส้นผมที่ชุ่มไปด้วยเลือดเผยให้เห็นดวงหน้าไร้ความรู้สึกอยู่รางๆ ทว่าดวงตาคู่นั้นของมันกลับเต็มไปด้วยโหดร้าย มันเงยหน้าแล้วกระโจนขึ้นไปทันที


“โอ้ ดูนี่เร็ว โกรธซะแล้ว!”


“มามา ทางนี้ มาจับฉันสิ! ฮ่าฮ่าฮ่า…”


สองคนนั้นวิ่งหลบซ้ายหลบขวา พร้อมกับแหกปากตะโกนด้วยความสนุกไม่หยุด


หลังจากวิ่งรอบรถสองรอบ ทันใดนั้นซอมบี้สาวก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคารถ จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่หนึ่งในสองคนนั้น


เหตุการณ์พลิกผันกะทันหันนี้ทำเอาสองสามคนที่มองดูอยู่ยืนตัวตรงทันที แต่พวกเขายังไม่ทันลงมือ ชายคนที่กำลังจะถูกกระโจนสังหารก็ถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว และยกเหล็กเส้นในมือฟาดซอมบี้หญิงที่ลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าเขาจนมันร่วงลงมา


“ฝีมือก็ดีอยู่หรอก แต่ขี้อวดเกินไปแล้วมั้ง?” มู่เฉินพึมพำ


หลิงม่อไม่พูดอะไร ทว่าคิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากันเล็กน้อย


ซอมบี้หญิงยังคงไม่หมดแรง มันถูกฟาดอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ล้มลงไปกับพื้นทันที


คราวนี้ไม่รอให้มันได้ลุกขึ้นยืน ก็มีเท้าสองคู่เข้ามาเหยียบแขนของมันไว้คนละข้าง


“กรร กรรร!”


ซอมบี้หญิงดิ้นขัดขืนสุดแรง แต่กลับหลุดออกไปไม่ได้


เห็นชัดว่าสองคนนั้นเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ขณะที่แสดงความสามารถ พละกำลังและเรี่ยวแรงจะได้รับการอัพเกรด ความสามารถที่ระเบิดออกมาในเวลาสั้นๆ เหนือกว่าซอมบี้ธรรมดามาก


ในสถานการณ์ที่สู้กันตัวต่อตัว ซอมบี้ธรรมดานอกจากความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไรมากนัก


คามน่ากลัวที่แท้จริงของพวกมัน ยังคงอยู่ที่จำนวน…


“คิดจะหนีด้วยว่ะ”


หนึ่งในนั้นกระชากผมของซอมบี้ตัวนั้นขึ้นมาแรงๆ เพื่อบังคับให้มันแหงนคอขึ้น


ซอมบี้หญิงสะบัดหัว พร้อมเปล่งเสียงขู่ออกมาเป็นพักๆ


“อย่าขยับสิ” ชายที่กระชากผมซอมบี้โน้มตัวลงมาพิจารณาใบหน้าของซอมบี้สาว จากนั้นก็หัวเราะพูดว่า “พวกแกอย่าว่าไป สัตว์ประหลาดตัวนี้ความจริงหน้าตาใช้ได้เลยนะเว้ย”


“ไหน ฉันดูหน่อย” ชายอีกคนใช้เหล็กเส้นจิ้มแทงไปที่ใบหน้าของซอมบี้หญิง แล้วบอกว่า “เฮ้ย จริงด้วยว่ะ! แม่งหน้าเด้งดีซะด้วย ไม่เห็นเหมือนซอมบี้เนื้อเน่าแต่ยังเดินได้ในหนังที่ฉันเคยดูเมื่อก่อนเลย หลอกกันชัดๆ เลยนี่หว่า แกดูนี่สิ กล้ามเนื้อเต็มเลย หุ่นโคตรดี ถ้าได้เอาต้องโคตรมันแน่ๆ”


“ทูจื่อ (ใช้เรียกคนหัวโล้น) นี่แกยังคิดจะเอากับมันได้ลงหรอวะ?” ชายคนหนึ่งที่กำลังกอดอกมองดูเหตุการณ์คึกคักหัวเราะแล้วพูดขึ้น


“หยุดคิดไปได้เลย ถึงแกจะใส่ท่อเหล็กก็ยังไม่แน่ว่าจะป้องกันเชื้อไวรัสได้” ผู้มีความสามารถพิเศษที่กระชากผมซอมบี้หญิงพูดขึ้น


“ชิบหาย!” ทูจื่อสบถอารมณ์เสีย


เสียงสบถของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างให้ดังขึ้นอีกระลอก


“แต่พวกนายรู้ไหม ว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้รู้จักหาผัวหาเมียเหมือนกับสัตว์ด้วยนะ!” ผู้มีความสามารถพิเศษคนเดิมพูดขึ้นอีกครั้ง


ทูจื่อแกว่งเหล็กเส้นไปมาตรงหน้าซอมบี้หญิง เขาจ้องหน้าเกรี้ยวกราดของมันที่อยากจะกระโจนเข้ามา แต่ก็ทำได้แค่พุ่งใส่เหล็กเส้นของเขาทุกครั้งอย่างสนุกสนาน พลางพูดอย่างใจลอยว่า “แล้วยังไงล่ะ? ยังไงก็เป็นปีศาจอยู่ดี”


“คิกคิก…ฉันกลับอยากรู้ซะอีกว่าเวลาทำเรื่องอย่างว่า ซอมบี้หญิงตัวนี้จะแตกต่างอะไรจากมนุษย์เรารึเปล่า”


ชายหัวโล้นทูจื่อเงยหน้าขึ้นมาทันที “คิดได้นะแก! แต่ว่า…ฮิฮิ…”


—————————————————————————–


บทที่ 651 ใครว่าฉันปากเปราะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

สองคนนั้นดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที จู่ๆ ทูจื่อก็หัวเราะชั่วร้าย เขาหันหน้าไปแล้วตะโกนเรียก “เสี่ยวหลี่ มานี่”


เงาร่างของใครคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ห่างจากประตูไม่มากขยับเขยื้อน จากนั้นก็ขานรับอย่างลังเล “พี่ทูจื่อ มีเรื่องอะไรหรือ?”


“บอกให้มาก็รีบมาสิวะ พูดมาก!” ผู้มีความสามารถพิเศษที่กระชากผมซอมบี้หญิงความอดทนต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด


เสี่ยวหลี่ดูเหมือนจะเกรงกลัวสองคนนี้ไม่น้อย ถึงแม้สีหน้าแสดงออกว่าไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังรีบเดินเข้าไปหา


ทว่ายิ่งเดินเข้าไปใกล้ซอมบี้หญิง ท่าทางเขาก็ยิ่งดูตื่นกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ


“หมอนี่เหมือนจะเป็นคนของสาขาย่อย…” มู่เฉินบอก


แต่หลิงม่อกลับไม่พูดอะไร สีหน้าของเขาตอนนี้บึ้งตึงถึงขีดสุด


“อยากเล่นกับซอมบี้ไหม?” ทูจื่อถาม


“พี่…พี่ทูจื่อ มันอันตรายมากนะ” เสี่ยวหลี่พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ


“นี่เรียกอันตราย? ถ้าอย่างนั้นสำนักงานใหญ่…” น้ำเสียงของทูจื่อเปลี่ยนเป็นดูถูกอย่างรวดเร็ว


“อะแฮ่มๆ…” ผู้มีความสามารถพิเศษที่กระชากผมซอมบี้หญิงกระแอมขัดจังหวะทูจื่อ แล้วหันไปพูดกับเสี่ยวหลี่ “แกคิดว่านี่อันตรายแล้วหรอ? มานี่ แกถือนี่ไว้”


พูดไปเขาก็ยื่นเหล็กเส้นไปให้เสี่ยวหลี่ “จ่อไปที่ปากของสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วแทงเข้าไปสุดแรง แทงทะลุกระเพาะของมันเลยยิ่งดี ดูซิว่ามันจะฟินไหม ฮ่าฮ่าฮ่า…”


เสี่ยวหลี่รับเหล็กเส้นไป พอได้ยินประโยคนี้ ก็เกือบจะโยนของในมือออกไป “ห๊ะ…นั่นมัน…”


“จะแทงไม่แทง? นี่มันสัตว์ประหลาด ไม่ใช่คนซักหน่อย” ผู้มีความสามารถพิเศษคนเดิมเร่งอย่างไม่สบอารมณ์


“ผู้หญิงถูกแกเล่นงานจนตายไม่น้อยเลยนะ” ชายหัวโล้นทูจื่อหัวเราะอยู่อีกด้าน


“บ้านเอ็งสิ แกก็ไม่ใช่ย่อย อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นด่าสวน


เสี่ยวหลี่กระชับเหล็กเส้นแน่น เขาหันหน้ามองไปทางซอมบี้หญิงตัวนั้นช้าๆ


ใต้เส้นผมยุ่งเหยิง ใบหน้าที่ยังถือว่างามละเอียดนั่นดูแวบแรกไม่ต่างอะไรจากมนุษย์เลย


ทว่าดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นกลับดูน่ากลัวมาก และที่มันดิ้นขัดขืนอย่างต่อเนื่องก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงอันตราย เหมือนสัตว์ดุร้ายที่ถูกโซ่ตรวนมัดไว้ ถึงรู้ว่าเป็นไปได้ยาก แต่ผู้คนก็ยังคงรู้สึกเหมือนว่ามันอาจสลัดโซ่ตรวนนั้นจนขาด แล้วกระโจนเข้ามาฉีกคอหอยพวกเขาได้ตลอดเวลา


เหงื่อเย็นเม็ดหนึ่งไหลย้อยลงมาจาศีรษะเสี่ยวหลี่ ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเป็นคน จะให้ลงมือฆ่าด้วยวิธีนี้คงเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคนอย่างเขาที่ก่อนเกิดภัยพิบัติเป็นเพียงมนุษย์เงินเดือนธรรมดาเท่านั้น…


“ไอ้ชั่วสองคนนั่น!” มู่เฉินด่าเสียงต่ำ


หลังด่าจบ เขากลับพบว่าหลิงม่อยังคงนิ่งเฉย จึงอดหันไปมองไม่ได้


แต่พอหันไป มู่เฉินก็อึ้งไป


คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมแน่นของหลิงม่อคลายออกแล้ว แต่ดวงตาเปล่งกระกายของเขากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา


“เห็นผู้หญิงเป็นของเล่นหรือฆ่าซอมบี้ เขากำลังโกรธเรื่องไหนกันแน่นะ?” มู่เฉินอดคิดไม่ได้


หลังจากครุ่นคิด มู่เฉินก็ส่ายหน้าเบาๆ “ช่างเถอะ ใครจะไปรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”


บนถนนเส้นนั้น เสี่ยวหลี่ยังคงยืนตัวสั่นอย่างหวาดกลัว


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นพูดจาถากถางดูถูกอย่างต่อเนื่อง “ไอ้ขี้ขลาด กลัวอะไรวะ? นี่มันซอมบี้นะโว้ย!”


“แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ อย่างนี้ยังมีหน้าอยากเข้าสำนักงานใหญ่อีก ฉันว่าสาขาย่อยก็ไม่น่าจะเหมาะกับแกแล้วล่ะ” ทูจื่อหัวเราะแล้วพูดอย่างเย็นชา


“ฉัน…ย๊ากกก!”


ในที่สุดเสี่ยวหลี่ก็ทนคำดูถูกไม่ไหว เขาคำรามเสียงดัง แล้วยกเหล็กเส้นขึ้น แต่กลับเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย “ฉัน…ฆ่ามันให้ตายเลยไม่ดีกว่าหรอ?”


“ดูแกทำหน้าเข้าสิ…” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นทำหน้าดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเอง ซอมบี้หญิงที่ถูกกระชากผมกลับสะบัดหัวอย่างแรงทันที


เห็นชัดว่าเขาไม่คาดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้ มือเขาหลุดออกอย่างง่ายดายทันที


เขาไม่ทันตั้งตัว ทูจื่อเองก็ร้อง “โอ๊ะ” ออกมาหนึ่งเสียง เท้าข้างที่เหยียบแขนซอมบี้หญิงก้าวถอยไปข้างหลังอย่างควบคุมไม่ได้


เพียงแค่ก้าวเดียว แต่นั่นกลับทำให้มือข้างหนึ่งของซอมบี้หญิงได้รับอิสระ…


เวลาเพียงชั่วพริบตา ทุกคนรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้าเกิดขึ้นเร็วมาก วินาทีถัดมาซอมบี้หญิงตัวนั้นก็ยืนอยู่ต่อหน้าผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้น พร้อมยกมือบีบคอเขาแน่นแล้ว


“กร๊อบบ”


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นเบิกตากว้าง แล้วศีรษะของเขาก็ตกลงมาอยู่บนไหล่อย่างน่าสยดสยอง


“พลั่ก!”


เสี้ยววินาทีที่เขาล้มลงกับพื้น ซอมบี้หญิงพลันโฉบร่างอย่างรวดเร็ว กระโจนเข้าไปอยู่ตรงหน้าทูจื่อทันที


“ไม่…” ทูจื่อยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคง จะมีเวลามาเตรียมรับมือได้อย่างไร เขารู้สึกได้เพียงสัมผัสเย็นๆ ที่ลำคอ แล้วกระแสเลือดอุ่นๆ ก็ทะลักออกมา


สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น คือเลือดของตัวเองที่กระฉูดออกจากเส้นเลือดตรงลำคอ กระเซ็นใส่หน้าซอมบี้หญิงตัวนั้น และใบหน้าที่ถูกเหล็กเส้นแทงจนเป็นแผลนั่น กลับยังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ดังเดิม


“ว๊ากกกก!”


เสี่ยวหลี่ตกใจจนทิ้งเหล็กเส้นในมือออกไป เขารีบถอยกรูดไปข้างหลัง แต่เพิ่งจะถอยได้สองก้าวก็ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไป


เห็นซอมบี้หญิงหันหน้ามามอง เสี่ยวหลี่รีบตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ”ชะ…ช่วยด้วยย!”


ขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองบ้างแล้ว พวกเขารีบวิ่งกรูกันเข้ามา


ซอมบี้หญิงจ้องเสี่ยวหลี่แวบหนึ่ง แต่ทันใดนั้นมันกลับหันหน้ากลับไป แล้ววิ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนนแทน


เห็นทุกคนวิ่งกรูผ่านหน้าตัวเองไป แต่เสี่ยวหลี่ยังคงนั่งหอบหายใจแรงอยู่บนพื้น สีหน้าเหมือนคนหวาดกลัวสุดขีด


เหมือนเขาจะยังตั้งตัวไม่ติดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ เอาแต่มองศพสองศพที่นอนอยู่บนพื้น แล้วตัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง


“นั่น…”


มู่เฉินตื่นตะลึง เขารีบหันหน้าไปมองหลิงม่อ แต่กลับได้ยินหลิงม่อบอกว่า “พวกเราไปกันเถอะ”


“แต่ว่านั่น…” มู่เฉินเบิกตากว้าง เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่หลิงม่อกลับเริ่มเคลื่อนไหวก่อนแล้ว


เขาแนบตัวชิดกำแพง แล้วเดินนำหน้าไปยังประตูก่อน


มู่เฉินอ้าปากค้าง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เดินตามไปแต่โดยดี


ที่ประตูหลังอาจมีคนไม่น้อยไปกว่าที่นี่ ฉวยโอกาสตอนชุลมุนวุ่นวายนี้ หนีไปจากที่นี่ดีที่สุด


ทว่าระหว่างที่กำลังเดินไปทางประตูใหญ่ หลิงม่อกลับสับสนในตัวเองเล็กน้อย


สติปัญญาบอกเขาว่า เขาทำเรื่องนี้เพียงเพราะสร้างโอกาสในการหลบหนีเท่านั้น แต่ส่วนลึกในจิตใจ…


ตอนนี้ไม่มีใครเฝ้าประตูแล้ว ซอมบี้หญิงที่ใกล้จะถูกฆ่าเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา และฆ่าคนไปสองคนติดๆ กัน พลังและความเร็วที่ระเบิดออกมาแกร่งกว่าเมื่อกี้หลายเท่า


สถานการณ์ไม่คาดฝันอย่างนี้ ทำให้เหล่าคนที่มองดูอย่างคึกคักต่างช็อกไปตามๆ กัน ถ้าหากยืนมองมันวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้น เดาว่าพวกเขาก็คงต้องมีส่วนรับผิดชอบกับผลที่จะตามมาด้วย


ทว่าในขณะที่พวกเขาวิ่งตามไป กลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าชั่วขณะหนึ่งในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก มีศีรษะปุกปุยสีขาวปรากฏและหายไปอย่างรวดเร็ว


“ฟู่! ฟู่!”


อวี๋ซือหรานกำลังนอนอยู่บนศีรษะของเสี่ยวป๋าย และเป่าก้อนเหนียวหนืดก้อนหนึ่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด


เมื่อเห็นว่าสุดถนนมีซอมบี้โผล่ออกมาหลายตัว เธอก็รีบใช้มือตบๆ เสี่ยวป๋าย แล้วบอกว่า “โอเคแล้ว ไปกันเถอะเสี่ยวป๋าย”


เสี่ยวป๋ายเพิ่งจะหมุนกาย ก็ติดแหง็กอยู่กับช่องกำแพง มันพยายามเบียดเสียดอยู่สองสามที แต่สุดท้ายก็ยอมกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมอย่างเงียบๆ แล้วเดินถอยหลังออกจากตรอกเล็กๆ เส้นนั้นแทน


ในระหว่างนี้ อวี๋ซือหรานก็บ่นประปอดกระแปดอย่างไม่พอใจ “จู่ๆ ก็เรียกฉันมาทำเรื่องอย่างนี้ ทั้งที่มีซอมบี้อยู่ตรงนี้ตัวหนึ่งแล้วแท้ๆ”


การปรากฏตัวกะทันหันของฝูงซอมบี้ ทำให้เหล่าสมาชิกนิพพานที่กำลังวิ่งไล่ซอมบี้หญิงอึ้งไปตามๆ กัน


พอหันกลับไปมองข้างหลัง พวกเขาจึงเพิ่งค้นพบว่า ตัวเองตกอยู่ในวงล้อมของฝูงซอมบี้โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!” หนึ่งในนั้นกระชับอาวุธแน่น แล้วขบกรามคำรามลั่น


ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเขาจะยังมีความคิดหันไปจ้องประตูใหญ่อีกที่ไหน และแน่นอนว่าพวกเขามองไม่เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งออกมาทางประตูใหญ่ด้วยเช่นกัน


ทว่าในขณะที่หลิงม่อกำลังก้าวเท้าข้ามประตู เสียงเรียกเบาๆ ของซย่าน่ากลับดังมาจากข้างหลัง “พี่หลิง”


“หื้ม?” หลิงม่อหยุดก้าว แล้วหันกลับมามองเธอ


ซย่าน่าขบริมฝีปาก แล้วบอกว่า “ภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ พวกเราเห็นแล้วไม่สบายใจจริงๆ”


หลิงม่อขยับปาก แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เพียงยกมือลูบหัวเธอเบาๆ เท่านั้น


“อย่าลูบหัวสิ ฉันจะไม่โตเอานะ” ซย่าน่าขัดขืน


“เธอไปเอาความเข้าใจผิดๆ นี้มาจากไหนกันนะ…” หลิงม่อพูดไม่ออก


ซย่าน่าหัวเราะคิกคัก “เอาเป็นว่า ไม่ต้องคำนึงถึงหมู่คณะมากนัก พี่ตัดสินใจตามที่ตัวเองเห็นสมควรก็พอ ไม่ต้องรู้สึกกดดันหรอกนะ”


หลิงม่ออึ้งไปชั่วขณะ กว่าเขาจะได้สติ ซย่าน่าก็ดึงสวี่ซูหานเข้าไปเดินกับเหล่าซอมบี้สาวเสียแล้ว


พวกเธอเดินตามอยู่ข้างหลัง หลิงม่อกวาดมองหนึ่งรอบ แต่กลับสบตาเข้ากับเย่เลี่ยนพอดี


เด็กโง่ของเขาทำหน้ามึนๆ จากนั้นมุมปากก็ขยับยกขึ้น ดวงตากลมโตหยีเล็กลงอย่างน่ามอง


หลิงม่อเองก็อดยิ้มขึ้นมาบ้างไม่ได้ ในใจก็คิดไปว่า “ก็จริงนะ…แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะใช้คำว่าหมู่คณะ สมกับเป็นซย่าน่าที่ยังอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตจริงๆ เลยนะ…


หลังออกจากตึก ทุกคนก็แนบตัวชิดกำแพง อาศัยกระถางดอกไม้เป็นสิ่งบังตา โน้มตัวลงต่ำแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปยังอีกทางหนึ่ง


ขอเพียงระหว่างทางไม่เจอสมาชิกนิพพานคนอื่นๆ และไปจากถนนเส้นนี้ได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็จะถือว่าหลุดจากการล้อมของนิพพานสาขาย่อยชั่วคราวแล้ว


ไม่นาน พวกเขาก็วิ่งไปจนถึงมุมเลี้ยวหนึ่งของถนน


ทว่า ในเสี้ยววินาทีที่พวกเขากำลังจะเลี้ยวเข้าไป หลิงม่อกลับชะงักเท้ากะทันหัน สายตาฉายแววแปลกไป “เดี๋ยวก่อน”


“ทำไม มีอะไรงั้นหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย


ตอนนี้มันเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนะ จู่ๆ ก็หยุดวิ่งทำไมน่ะ…


หลิงม่อไม่พูดอะไร ทว่าผ่านไปไม่นาน เขาก็ยิ้มเย็นชาออกมา “คนพวกนี้ แต่ละคนใจคอโหดเหี้ยมกันจริงๆ”


มู่เฉินยังคงมึนตึ๊บ แต่หลิงม่อกลับค่อยๆ เดินออกไปก่อนแล้ว


“ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะมีโอกาสรอดมาเจอกันจนได้ รู้ไหม ฉันตั้งใจจะจับนายเป็นตัวทดลองมานานแล้ว”


กลางถนนแคบๆ เงาร่างหนึ่งยืนด้วยท่าผ่อนคลายอยู่ตรงนั้น เขามองมาเหมือนการปรากฏตัวของหลิงม่อ “อยู่ในความคาดหมาย” อยู่แล้ว


“เป็นอะไรไป ทำไมไม่พูดล่ะ? ทำอย่างนี้เสียมารยาทนะ”


ชายคนนั้นคาบบุหรรี่ไว้ในปาก เขามองหลิงม่อขึ้นลงอย่างพิจารณา “อ้อ ใช่สิ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ฉันซ่งจินเซิน เป็นคนของนิพพาน”


“สำนักงานใหญ่?” หลิงม่อพูดขึ้นเชิงถาม


“แน่นอน” ชายคนนั้นหรี่ตา พร้อมพ่นควันบุหรี่ออกมา


หลิงม่อเหลือบมองสองข้างทาง แล้วบอกว่า “ดูท่าทางมั่นอกมั่นใจอย่างนี้…เรียกคนของแกออกมาให้หมดเถอะ พ่าจินเซิน” (พ่าจินเซิน ชื่อทับศัพท์ภาษาจีนของโรคพาร์กินสัน)


ซ่งจินเซินมือกระตุก บุหรี่ในมือเกือบร่วงตกพื้น “อ้าปากพูดก็ท้าทายกันเลย?”


แถมยัง…จี้จุดได้แม่นซะด้วย!


“ที่แท้ก็ผู้มีพลังจิต” ซ่งจินเซินใช้ปากคาบบุหรี่อีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นปรบเบาๆ สองสามที


“มีปากก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์” หลิงม่อพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


ซ่งจินเซินชะงักไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา “หรือว่านายใช้ปากของนาย ด่าอ้ายเฟิงกับหมายเลข 0 จนตายหรอ?”


“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย XX แล้วก็ไม่ได้ทำงานในโรงแรมเก่าแก่…”


หลิงม่อพูดไปได้ครึ่งเดียว แต่เห็นสีหน้าของซ่งจินเซินเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูด จึงพูดเพียงว่า “พวกนั้นตายยังไง เดี๋ยวแกก็ได้รู้เอง”


—————————————————————————–


บทที่ 652 ใครอยากเจ็บตัวกรุณาหลับตา

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพิ่งจะพูดจบ ในอาคารก่อสร้างสองข้างทางก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาเป็นโขยง


หลิงม่อนับในใจ หากรวมซ่งจินเซินด้วย ที่มีคนเฝ้าอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 9 คน


“ขบวนรบจัดเต็มดีนี่” หลิงม่อพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบเฉย


“จัดให้นายเป็นพิเศษเลยล่ะ” ซ่งจินเซินยิ้มอย่างมั่นใจ เหมือนชัยชนะอยู่ในกำมือเขาแล้วอย่างไรอย่างนั้น


หลิงม่อครุ่นคิด แล้วถามขึ้น “ประตูหน้าและหลัง แกจงใจจัดวางกำลังคนไว้อย่างนั้นใช่ไหม?”


ซ่งจินเซินเองก็คร้านจะปิดบัง “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก ฉันพาคนมาน้อย แล้วสาขาย่อยแห่งนี้คนที่พอจะใช้ประโยชน์ได้ก็มีไม่มาก แทนที่จะกระจายกำลังคนไปดักประตู สู้เฝ้าตอรอกระต่ายอย่างนี้ไม่ดีกว่าหรอ เพราะถึงพวกนายจะออกทางประตูหน้าหรือประตูหลัง ก็ต้องผ่านทางนี้อยู่ดี” พูดจบ เขายังขยิบตาให้หลิงม่อ แล้วพูดเสริมว่า “เห็นไหมล่ะ ฉันเดาไม่ผิดจริงๆ”


คนคนนี้เวลาพูดจา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจว่าอยู่เหนือกว่า แม้กระทั่งมู่เฉินที่หลบอยู่ด้านหลังกำแพงได้ยินแล้วยังโมโห


“ชิบ! สำนักงานใหญ่แล้วไง เจ๋งนักหรอวะ!” มู่เฉินด่าเสียงเบา


“อย่าพูดสิ” ซย่าน่าถลึงตาใส่เขา “รอคำสั่งจากพี่หลิง”


พูดไป ก็ได้ยินเสียงหลิงม่อพูดขึ้นอีกครั้ง เขาตอกกลับซ่งจินเซินเสียงเรียบ “แต่ว่า อ้ายเฟิงไม่ได้เดาไว้ก่อนเลยนะว่าแกจะไม่ไปช่วยเขา”


“หึหึ…” รอยยิ้มของซ่งจินเซินดูกระด้างขึ้นเล็กน้อยทันที ทว่าไม่นานเขาก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ “โทษกันไม่ได้นะ ถึงเขาจะบาดเจ็บหนักก็จะควรหนีออกมาให้ได้สิ อีกอย่างพวกฉันก็เพิ่งจะมาถึง สถานการณ์ข้างในเป็นยังไงยังไม่รู้แน่ชัด บุ่มบ่ามเข้าไปอาจตายฟรีๆ ก็ได้นี่”


“แล้วพวกที่เฝ้าประตูอยู่นั่นล่ะ? แผนการของแกฟังดูดี แต่ความจริงพวกนั้นก็เป็นแค่เหยื่อที่รอเวลาถูกทิ้งไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สิ่งที่ฉันแปลกใจก็คือ ทิ้งคนของสาขาย่อยไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมสมาชิกสำนักงานใหญ่ที่มาสังเกตการณ์พร้อมกับแก ถึงได้ถูกสั่งให้เอาชีวิตไปทิ้งง่ายดายนักล่ะ?”


“นายจะพูดอะไร?”


คราวนี้ซ่งจินเซินยิ้มไม่ออกแล้ว เขาไม่คิดว่าในเวลาสั้นๆ หลิงม่อจะเดาเรื่องราวได้มากมายขนาดนี้


ทว่าหลังเหลือบมองคนที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง ซ่งจินเซินก็สูบควันบุหรี่เข้าเต็มปอด แล้วบอกว่า “พวกนั้นใช่คนของสำนักงานใหญ่ที่ไหน ก็แค่ตัวสำรอง…”


“พูดอย่างนี้ก็แปลว่ายอมรับแล้วสินะ” หลิงม่อส่ายหน้า


ซ่งจินเซินกัดฟันกรอด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยเค้นเสียงพูดว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้แล้ว!”


“ปกติไม่เห็นเขาจะพูดเก่งอย่างนี้เลย!” มู่เฉินอดพูดขึ้นเบาๆ อีกครั้งไม่ได้ “แต่คำว่าเอาชีวิตไปทิ้งไม่ถูกต้องนะ เห็นๆ กันอยู่ว่าถูกซอมบี้…”


“หุบ…หุบ…หุบอะไรแล้วนะ?” หลี่ย่าหลินโน้มตัวเข้าไปใกล้หูซย่าน่า เธอแอบมองไปข้างนอกเงียบๆ พลางพูดเสียงเบา


“หุบปากไงเล่า รุ่นพี่ก็” ซย่าน่าพูดเสริมให้เธอ


มู่เฉินน้ำตานองหน้า จะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไหมเนี่ย…


ถึงแม้จะหยั่งเชิงไม่สำเร็จ แต่ซ่งจินเซินไม่อยากคุยกับหลิงม่ออีกต่อไปแล้ว


นี่มันไม่ใช่การหยั่งเชิงแล้ว!! แต่เป็นการทำให้ความลับของเขาแตกเสียเองต่างหาก!


อีกอย่างสิ่งที่เขาพูด แต่ละประโยคล้วนเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย ที่ฟังแวบแรกเหมือนจะมีเหตุผลมาก


ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะใช่หรือไม่ใช่แผนการที่แท้จริงของซ่งจินเซิน แต่นั่นก็ทำให้อีก 8 คนที่เหลือเชื่อว่ามันเป็นความจริงได้อย่างง่ายดาย!


ซ่งจินเซินไม่อยากเสียเวลากับหลิงม่ออีกต่อไป เขายกมือขึ้นโบก แล้วพูดออกมาเพียงคำเดียว “ลงมือ”


ทั้ง 8 คนมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นดูลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายสายตาเขาก็ฉายแววดุดันขึ้นมาทันที


“ลงมือเถอะ นี่ถือว่าเป็นโอกาสในการสร้างผลงานครั้งใหญ่เลยนะ”


“หากไม่ลงมือ แม้แต่สาขาย่อยพวกเราคงไม่มีโอกาสจะกลับไป”


“ชิบ ตอนนี้ยังมีสาขาย่อยอยู่อีกรึไง?”


สิ่งที่หลิงม่อทำในคืนนี้ส่งผลร้ายแรงมาก ไม่เพียงทำลายตัวทดลองสำคัญของสำนักงานใหญ่และชักจูงผู้คน แต่ยังฆ่าหัวหน้าและระบบกลางของสาขาย่อยอีกด้วย


กระทั่งนับตั้งแต่วินาทีที่หมายเลข 0 ตาย นิพพานสาขาย่อยในเมืองตงหมิงก็ได้หมดความหมายไปแล้ว หลิงม่อได้ทำลายศูย์กลางของสาขาย่อยแห่งนี้ไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็แค่คนที่อาศัยบารมีเท่านั้น


หากบอกว่าไม่กลัว ก็คงเป็นเรื่องโกหก


แต่สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์พวกนี้ หากสู้สุดตัวซักตั้ง ก็จะสามารถไปใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยต่อที่นิพพานสำนักงานใหญ่ได้แล้ว และเรื่องอย่างนี้สำหรับพวกเขา เมื่อก่อนแค่คิดก็ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ


แต่ถ้าหากไม่สู้ ก็จะต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง และใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวซอมบี้อยู่ทุกลมหายใจอีกครั้ง


คนเหล่านี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาที่มองมาทางหลิงม่อ ก็เต็มไปด้วยรังสีเข่นฆ่า


หลิงม่อยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย เขากวาดมองหน้าของคนกลุ่มนั้นที่กำลังล้อมเข้ามาทีละคนๆ


ขณะเดียวกัน คำสั่งทางจิต ได้ถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็ว


“เขามีพวกอยู่ข้างหลัง ระวังด้วย” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นเสียงเบา


“ยังไม่ต้องสนใจพวกที่ไม่กล้าออกมา แค่ฆ่าเขาก่อน ที่เหลือก็เสร็จล่ะ” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น


สมาชิกนิพพานเหล่านี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษเกือบจะทั้งหมด วิธีการต่อสู้ร่วมกันของพวกเขาแตกต่างจากเหล่าทหารมาก


พวกเขาเกาะกันเป็นกลุ่มสามคนบ้าง สองคนบ้าง แล้วคอยจ้องหาโอกาสอย่างระมัดระวัง


ซ่งจินเซินคาบบุหรี่ไว้ในปาก แอบรู้สึกขัดใจเล็กน้อย


เมื่อกี้เขาตะโกนคำว่า “ลงมือ” อย่างดุดัน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครพุ่งเข้าไปจริงๆ ซักคน


ไม่ต้องรอให้หลิงม่อมาพูดเยาะเย้ย แค่นี้เขาก็รู้สึกขายหน้าจะแย่แล้ว


คนพวกนี้อยากสร้างผลงาน แต่ก็ไม่อยากตาย


“สุดท้ายฉันก็ต้องเป็นคนนำทัพ! คนของสาขาย่อยนี่ไม่มีคุณภาพเอาซะเลย” นึกว่าอ้ายเฟิงจะมีความสามารถอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ผิดหวังได้ขนาดนี้ แม้แต่เฉินเล่อก็ยังเอาแต่สร้างปัญหาเพิ่มให้ฉัน ไม่ฆ่าเจ้าหมอนี่ ฉันก็คงไม่มีหน้ากลับไป” ซ่งจินเซินพึมพำในใจ เขาแหวกเสื้อแจ็คเก็ตออก แล้วชักปืนออกมาจากเอวสองกระบอก


ท่าทางคาบบุหรี่ด้วยปาก และถือปืนไว้ในมือทั้งสองข้างอย่างนี้ของเขาดูดุดันไม่เบา แต่ก็ยังคงไม่อาจปลุกระดมความฮึกเหิมได้


ทุกคนกำลังจ้องมองไปที่เขา นั่นทำให้ซ่งจินเซินอดสงสัยไม่ได้ “คำพูดไร้สาระ” ของหลิงม่อเมื่อกี้ คงจะได้ผลอยู่บ้างสินะ…


“เจ้าพวกโง่เง่า!”


กล้ามเนื้อบนใบหน้าซ่งจินเซินกระตุก มือทั้งสองข้างยกขึ้นพร้อมกัน ดวงตาพลันหรี่เล็กลงทันใด “วันนี้อย่าคิดว่าจะรอดไปได้เลย!”


เสียงลั่นไกอันแผ่วเบาของปืนเก็บเสียง ถูกเสียงตะโกนคำรามของซ่งจินเซินกลบจนมิด


คนทั่วไปเวลายิงปืนต้องเล็งเป้าก่อน แต่ซ่งจินเซินนั้นกลับลั่นไกทันทีที่ยกมือขึ้น


ในสถานการณ์อย่างนี้ ถึงแม้จะคอยระมัดระวังเขาไว้อย่างดี ก็อาจเป็นไปได้มากว่าจะถูกยิง


ทว่าขณะเดียวกับที่ซ่งจินเซินตะโกนคำนั้นออกมา กลับพบว่าหลิงม่อไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว


กระสุนถูกยิงลงบนพื้นรัวๆ เสียงกระทบเบาๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยสะเก็ดไฟเล็กๆ มากมาย


“ไปไหนแล้ว!”


ซ่งจินเซินกวาดสายตามองหนึ่งรอบ ทันใดนั้นเขากลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง


ผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งที่หลบอยู่ข้างหลังเสาไฟตื่นตระหนก ไม่นานข้อพับเข่าของเขาก็มีรูแผลโผล่ขึ้นมาหนึ่งรู เขางอขาด้วยสีหน้าเจ็บปวดทันที


“อยู่ไหนวะ!”


ซ่งจินเซินลอบสบถด่าเขาว่าโง่เง่า พลางหมุนกายมองหาร่องรอยของหลิงม่ออย่างรวดเร็ว “ตั้งสมาธิให้ดี นี่ต้องเป็นการบิดเบือนการมองเห็นหรือไม่ก็การล่อลวงทางจิตซักอย่างแน่!”


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นเจ็บแทบตายขนาดนั้น ต้องไม่ใช่ภาพลวงตาแล้วแน่นอน ดังนั้นขณะที่ซ่งจินเซินตะโกนออกไปอย่างนั้น เขาก็ได้ตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป


แต่เสียงพูดของเขาเพิ่งจะจบ ก็ได้ยินเสียงร้องครวญของผู้มีความสามารถพิเศษอีกคนดังขึ้น


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้เป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน แต่กลับไล่ตามหลิงม่อไม่ทัน ได้ยินซ่งจินเซินตะโกนพูดอย่างนั้นในใจก็คิดว่ามีเหตุผล เขาจึงหลับตาลง


คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะหลับตา พลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาทางตัวเองทันที


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ลอบยินดีในใจ คิดว่าวิธีนี้ได้ผลตามคาดจริงๆ เขารีบรวบรวมพลังจิตเพื่อเตรียมตัวรับมือ


ถึงจะฆ่าหลิงม่อไม่ได้ แต่ก็ฉุดรั้งเขาไว้ได้ซักนิดก็ยังดี!


อีกอย่างขอเพียงลงมือ ความดีความชอบจะต้องตกเป็นเขาแน่นอน ที่เหลือเขาเพียงต้องรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก็เท่านั้น


แม้หลิงม่อจะแกร่งอีกซักเท่าใด แต่เขาจะฆ่าผู้มีความสามารถพิเศษมากขนาดนี้ได้เลยหรือ?


แต่คาดไม่ถึงว่าพอพลังงานทางจิตกลุ่มนั้นพุ่งมาถึงตรงหน้า กลับมลายหายไปทันใด กลับกัน เขาพลันรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ใบหน้าขึ้นมาแทน


เขาร้องลั่น แล้วรีบลืมตา ยกมือขึ้นกุมขอบกรามที่เต็มไปด้วยเลือด


ผู้มีความสามารถพิเศษที่อยู่อีกด้านเองก็หน้าซีดเซียว ทว่าเขาตอบสนองได้เร็วกว่า เสี้ยววินาทีที่เขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้ เขาก็โฉบกายหลบออกไปด้านข้าง


ถ้าไม่อย่างนั้น เขากับผู้มีพลังจิตคนนั้นคงถูกเสียบติดกันจนกลายเป็นขนมถังหูลู่แล้ว


“ถึงขั้นคิดจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้เหงื่อท่วมกาย พลางลอบคิดในใจ


“ไอ้บ้านี่…” ซ่งจินเซินกัดฟันกรอด จากการโจมตีของหลิงม่อดูออกได้ว่า ในสภาวะอย่างนี้ เขาเพียงโจมตีสร้างความวุ่นวายเท่านั้น


ถึงแม้ไม่มีใครตาย แต่เขากลับทำให้คนพวกนี้ซึ่งหวาดกลัวเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งกลัวเขามากขึ้นไปอีก


และในระหว่างนี้ ก็เหมือนกับเขาถูกหลิงม่อตบหน้าเข้าฉาดใหญ่


พอผู้มีพลังจิตคนนั้นได้รับบาดเจ็บ ทุกคนก็มองมาทางเขาด้วยสายตายุ่งเหยิงเหมือนกำลังพูดว่า “บิดเบือนการมองเห็นบ้านแม่เอ็งน่ะสิ!”


—————————————————————————–


บทที่ 653 แกล้งกันชัดๆ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพลิงโทสะในใจของซ่งจินเซิน ตอนนี้กำลังเดือดดัง “ปุด ปุด ปุด”


ความสามารถพิเศษของเจ้าหมอนั่นคืออะไรกันแน่?!


หายตัวไปอย่างกับภูตผี ไม่เห็นแม้แต่เงาร่าง นี่มันความสามารถพิเศษประเภทไหนกันแน่?


แต่ถ้าไม่ใช่ผู้มีพลังจิต เขาก็ไม่มีทางฆ่าหมายเลข 0 ได้


ไม่ใช่ทั้งภาพหลอน แล้วก็ไม่ใช่ภาพลวงตา แล้วถ้าอย่างนั้นเขาใช้วิธีอะไรกันแน่!


ซ่งจินเซินคลั่ง หากยังคิดเรื่องนี้ไม่ออก พวกเขาทุกคนก็จะต้องถูกหลิงม่อปั่นหัวกันต่อไป


เขาแค่คนเดียว เล่นงานพวกเขา 9 คน!


ถึงอีกฝ่ายจะมีพลังแกร่งกล้า แต่นี่มันก็น่าอายเกินไปแล้ว!


ถ้าหากเรื่องนี้ถูกพูดต่อกันจนถึงหูคนในสำนักงานใหญ่ เขาคงจะเงยหน้ามองใครไม่ได้แล้ว


แค่นึกถึงคำดูถูกและเยาะเย้ยของคนพวกนั้น ซ่งจินเซินก็รู้สึกคลุ้มคลั่งขึ้นมา


“ใจเย็น ใจเย็น! ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ฐานะของฉันกับหมอนั่นก็ต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว มันเป็นใครกันล่ะ? ก็แค่ขยะที่แม้แต่จะกินข้าวปกติซักมื้อยังทำไม่ได้!”


“ถึงจะเป็นผู้รอดชีวิตเหมือนกัน แต่ฉันกับมันมันคนละระดับกัน!”


พอความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในสมอง ซ่งจินเซินก็พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ


ถูกต้องแล้ว หลิงม่อแสดงฝีมือได้ร้ายกาจในระดับหนึ่ง แต่เขาไม่มีทางเหมือนเจ้าพวกโง่เง่านั่น ที่หวาดกลัวกับเรื่องเพียงเท่านั้น


และสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้ ก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หวาดกลัวด้วย


นิพพานสำนักงานใหญ่ ที่แห่งนั้นคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันดุเดือด…


ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างสมาชิกหรือลำดับขั้นในสำนักงานใหญ่และสาขาย่อย ล้วนมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด


ลำดับขั้นของสมาชิกในสาขาย่อยนั้นค่อนข้างต่ำ จะเลื่อนขั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก


แต่คนที่สำนักงานใหญ่จะรับนั้น ล้วนเป็นสมาชิกระดับ 5 ขึ้นไปทั้งนั้น ระดับความดีความชอบที่จะทำให้เลื่อนขั้นได้ ก็อยู่ในระดับที่สมาชิกของสาขาย่อยไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ


แต่เมื่อได้เลื่อนขั้นแต่ละขั้น การถูกปฏิบัติที่จะได้รับก็ย่อมแตกต่างกัน


ถึงแม้มักจะมีคนทำตัวเป็นเศษเดนไปวันๆ แต่คนประเภทนี้มักถูกคนอื่นแทนที่ในการแข่งขันอันดุเดือด และมักพบกับจุดจบไม่ดีเสมอ


และคนส่วนมากมักเหมือนซ่งจินเซิน ที่จะไขว่คว้าทุกโอกาสเพื่อปีนป่ายขึ้นไปยังตำแหน่งสูงๆ อย่างรวดเร็ว และจะไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นเหยียบย่ำตัวเองอยู่ใต้เท้าเด็ดขาด


ครั้งนี้ที่เขาพาหมายเลข 1 มาที่เมืองตงหมิง สำหรับซ่งจินเซินที่ไม่ได้สร้างความดีความชอบมานาน ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก


ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้หมายเลข 1 จะเคยถูกพาไปมาหลายที่แล้ว แต่มันกลับยังไม่ก้าวข้ามเป็นร่างสมบูรณ์เสียที จนเป็นเหตุให้หลายๆ คนคิดว่านี่เป็นภารกิจที่สิ้นเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์ แต่ซ่งจินเซินก็ยังต่อสู้จนได้ภารกิจนี้มาในที่สุด


อาจยุ่งยากอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้ไม่มีอันตรายอะไรอยู่แล้ว ก้าวข้ามไม่สำเร็จก็ไม่ถูกลงโทษ แต่หากก้าวข้ามสำเร็จ มันก็จะกลายเป็นผลงานชิ้นใหญ่!


เขาโอบอุ้มความหวังจากการเดิมพันนี้ และพาหมายเลข 1 กับเฉินเล่อมายังสาขาย่อยเมืองตงหมิงที่ซึ่ง “แม้แต่นกยังไม่อยากจะมาอึ (หมายถึงสถานที่รกร้าง ที่วังเวงจนแม้แต่สัตว์ยังไม่อยากเข้ามาอยู่) แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามทดลอง” แห่งนี้


ตอนแรกก็คิดว่า แค่ลองดูคงไม่ถึงขั้นตั้งท้อง (ลองดูคงไม่เสียหาย) ผลปรากฏว่าท้องน่ะไม่ท้อง แต่ตัวทดลองดันมาตายขณะอยู่ในความดูแลเขา!


ตอนที่เขาเห็นศพของหมายเลข 1 ตกอยู่ข้างล่างตึก ซ่งจินเซินถึงกับสติหลุดทันที


นี่มันแกล้งกันชัดๆ!!


เขาควรทำอย่างไรดี!


หลังจากใจเย็นลง ซ่งจินเซิงก็คิดวิธีแก้ไขเพียงหนึ่งเดียวออก : สร้างผลงานทดแทนความผิด


และต้องเป็นผลงานชิ้นใหญ่ด้วย!


ถ้าหากเพียงฆ่าตัวทดลองกับเฉินเล่อ ค่าหัวของหลิงม่อก็จะต่ำกว่านี้มาก


แต่ตอนนี้สาขาย่อยในเมืองตงหมิงแทบจะล่มสลายเพราะเขาเป็นเหตุ ดังนั้นสำนักงานใหญ่ต้องมองเขาต่างออกไปแน่นอน!


ถึงสาขาย่อยในเมืองตงหมิงจะไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ร้ายดีอย่างไรก็เป็นส่วนหนึ่งของนิพพาน!


“ฉันรู้นานแล้วว่ามันไม่ง่าย แต่ว่า ฉันไม่เชื่อว่าใช้ชีวิตมากมายขนาดนี้มาแลกชีวิตแกคนเดียว จะยังล้มเหลวได้ ฉันอยากรู้นักว่าแกจะทนไปได้อีกซักกี่น้ำ!”


เขาคำรามเกรี้ยวกราดอยู่ในใจ แต่ว่าจะทำให้หมอนั่นเผยตัวออกมาได้อย่างไรล่ะ?


เดี๋ยวก่อน!


ซ่งจินเซินกัดบุหรี่แน่น ทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้นมาว่า “อย่าหลงกลแผนการก่อกวนอย่างนี้ของมัน มันอดทนได้อีกไม่นานหรอก!”


เขาตะโกน พลางทำสัญญาณมือส่งไปให้คนที่เหลือเงียบๆ


ในคนกลุ่มนี้ก็มี “ตัวสำรองใช้” ที่เขาพามาจากสำนักงานใหญ่ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะถูกคำพูดของหลิงม่อทำให้สงสัยในตัวเขาเหมือนกับสมาชิกของสาขาย่อย แต่ตอนนี้เมื่อหลิงม่อแสดงให้เห็นพลังที่แกร่งกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้มาก เป้าหมายของคนกลุ่มนี้ก็พลันเป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมาทันที


พวกเขาถูกใช้เป็นตัวกันกระสุนไหมไม่รู้ แต่สิ่งสำคัญคือตอนนี้แม้แต่โอกาสเป็นตัวกันกระสุนพวกเขาก็ยังไม่มี!


ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายไม่เข้าใจพลังพิเศษของหลิงม่อ ผู้มีพลังจิตในกลุ่มตัวเองก็ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับหลิงม่อ ถึงแม้ตอนนี้หลิงม่อจะมีพลังจำกัด แต่ไม่ว่าใครก็กลัวว่ารายต่อไปจะเป็นตัวเอง!


พอเห็นซ่งจินเซินทำสัญญาณมือ ผู้มีความสามารถพิเศษสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันพลันมองตากันเงียบๆ


หนึ่งในนั้นทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานสายตาของเขาก็ฉายแววโหดเหี้ยมขึ้นมา เขาพยักหน้ารับเบาๆ


ชายอีกคนก็ทำสีหน้าเดียวกัน ทั้งสองส่งสายตาให้ซ่งจินเซินพร้อมๆ กัน จากนั้นก็วิ่งพุ่งไปทางมุมเลี้ยวถนนด้วยความเร็วสูง


ซ่งจินเซินพลันหมุนกายหันหน้าไปทางสองคนนั้น สองมือยกขึ้น นึกไม่ถึงว่าเขาจะเล็งปืนไปยังแผ่นหลังของสองคนนั้น


เขาจะทำอะไร?!


เหตุการณ์กะทันหันนี้ ทำเอาคนอื่นตะลึงไปตามๆ กัน!


แต่พวกเขายังไม่ทันทำอะไร ซ่งจินเซินก็ได้ลั่นไกออกไปอย่างไม่ลังเลแล้ว


สองคนนั้นยังคงวิ่งพุ่งไปข้างหน้า ราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร


จบกัน…


ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในสมองของคนว่วนใหญ่ แต่ไม่ช้าพวกเขาก็ค้นพบว่า ถึงแม้มือทั้งสองข้างของซ่งจินเซินจะกระตุกสั่นไม่หยุด แต่เขาก็ไม่เคยหยุดยิง ทว่ากระสุนทุกนัดของเขา กลับไล่ยิงตามหลังของสองคนนั้นอยู่


สะเก็ดไฟผสมกับเศษดินกระเด็นไล่หลังฝีเท้าของสองคนนั้นไปติดๆ แต่กลับไม่ได้สร้างบาดแผลให้สองคนนั้นเลยแม้แต่น้อย


แค่ความแม่นในการยิงก็น่ากลัวมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะจับมุมได้ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ สำหรับคนอย่างซ่งจินเซินที่ไม่ได้มีเบื้องหลังเกี่ยวกับการทหาร ก็มีเพียงต้องพึ่งพาความสามารถพิเศษและการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง ถึงจะทำได้ถึงขั้นนี้


เห็นชัดว่าเขาทำอย่างนี้เพื่อห้ามหลิงม่อไม่ให้ยื่นมือเข้ามาขัดขวาง สองคนนั้นจะได้พุ่งไปยังมุมเลี้ยวถนนได้อย่างปลอดภัย


ในเมื่อหลิงม่อไม่ยอมออกมา ถ้าอย่างนั้นก็ฆ่าเพื่อนของเขาซะ!


เหล่าคนที่เพิ่งตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ทำหน้าตะลึงพรึงเพริด พวกเขามัวแต่ระวังหลิงม่อ แต่กลับลืมไปว่ามีวิธีทำให้สถานการณ์พลิกอย่างนี้อยู่ด้วย!


ทันใดนั้น หลายๆ คนพากันวิ่งพุ่งเข้าไปเสริมทัพ สู้หลิงม่อไม่ได้ แล้วยังจะสู้เพื่อนของเขาไม่ได้หรือ?


ถ้าเก่ง ก็คงไม่เอาแต่ซ่อนตัวไม่ยอมออกมาอย่างนี้


ทว่าสองคนนั้นเพิ่งจะวิ่งเลี้ยวเข้าไปหลังกำแพงด้วยความเนื้อเต้น ก็ต้องอึ้งไปทันที


ไม่มีใครอยู่!


หลังกำแพงทางเลี้ยวนี้ ไม่มีใครอยู่เลยซักคน!


มีเพียงเสียงคำรามของซอมบี้และเสียงกรีดร้องของมนุษย์ที่ดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถนน เสียงเหล่านั้นดังแว่วมาเป็นระยะๆ ฟังดูน่ากลัวมาก นึกภาพออกเลยว่า เหยื่อล่อที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังพวกนั้นกำลังดิ้นรนขนาดไหนเพื่อที่จะเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


ทว่า แม้เสียงกรีดร้องเหล่านั้นจะทำให้สองคนนี้ละอายใจ แต่พวกเขากลับพร้อมใจกันนิ่งเฉยและไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วย


ทั้งสองคนหันหลังกลับทันที แล้วตะโกนบอกว่า “ไม่เห็นใครเลย เพื่อนของมันไม่ได้อยู่ที่นี่”


ผู้มีความสามารถพิเศษคนเดิมกุมใบหน้าโชกเลือกแล้วตะโกนลั่น “เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้ฉันสัมผัสได้”


“พวกมันหนีไปแล้ว!”


ซ่งจินเซินตั้งสติได้ทันที “ถูกหลอกซะแล้ว เมื่อกี้มันโจมตีเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเรา!”


คราวนี้เขาร้อนรน รีบตะโกนสั่ง “ปล่อยให้พวกมันหนีไปไม่ได้! เวลาสั้นๆ แค่นี้พวกมันหนีไปได้ไม่ไกลแน่ๆ น่าจะยังอยู่แถวๆ นี้ ไปตามหาพวกมันให้เจอ!”


คนอื่นๆ พากันมองหน้ากันอย่างลังเล อันที่จริงในสถานการณ์อย่างนี้ การที่หลิงม่อเป็นฝ่ายหนีไปก่อน กลับทำให้พวกเขาโล่งใจเสียมากกว่า


“มันก็แค่วางมาดใหญ่ให้พวกเรากลัว! ถ้าเก่งจริง จะหนีทำไม! พวกแกอยากจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนแมลง ที่ผ่านไปหลายเดือนก็ยังไม่ได้อาบน้ำซักครั้งจริงๆ ใช่ไหม?” ซ่งจินเซินคำรามเดือด


นี่มันเวลาไหนแล้ว คนพวกนี้ยังจะทำตัวขลาดเขลาอีก!


“มีเหตุผลนะ…”


“ไปตามหากันเถอะ”


“เออ มีปัญญาจริงคงไม่หนีหรอก”


คนพวกนี้ไขว้เขวอีกแล้ว หลังจากพึมพำอย่างลังเลอยู่ไม่นาน พวกเขาก็รีบแยกย้ายกันออกไปตามหา


หากจะตามหาคน ก็ต้องแยกย้ายออกไปคนละทางเพื่อค้นหาอย่างละเอียด ในเมื่ออีกฝ่ายคิดหนี ก็เท่ากับว่ามีความเสี่ยงน้อยลงมาก


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นมองซ้ายมองขวา แล้วเขาก็เลือกเส้นทางที่ดูค่อนข้างกว้าง จากนั้นก็เดินเข้าไปช้าๆ


เวลาอย่างนี้นอกจากต้องสัมผัสรู้ถึงตำแหน่งพวกหลิงม่อแล้ว ก็ต้องระวังซอมบี้ด้วย


“นึกว่าเกือบจะถูกมันฆ่าตายซะแล้ว ที่แท้ก็แค่วางมาดเท่านั้น…” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ยกมือกุมแก้มไว้ หางตาเขากระตุกเป็นครั้งคราวเพราะความเจ็บ


“รอให้โผล่หัวออกมาก่อนเถอะ ฉันจะฉีกหนังหน้าแกออกมาทั้งเป็นซะ”


เขาคิดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลังจิตของเขาพลันแผ่ออกไปยังสองข้างทาง เพื่อค้นหาดูอย่างละเอียด


ถึงแม้หลิงม่อจะรอดพ้นจากการค้นหาของเขา แต่เพื่อนของหลิงม่อไม่มีปัญญาทำอย่างนั้นได้แน่…


—————————————————————————–


บทที่ 654 “แมงกะพรุน” เปลี่ยนสี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในซอยอันเงียบสงัด ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้เดินอยู่ลำพัง เขากำลังเดินหน้าช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง


ถึงแม้อาศัยสัมผัสรู้ทางพลังจิตเพื่อค้นหา แต่พอเห็นร้านรวงที่เก่าคร่ำครึสองข้างทาง ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้


ภายใต้ชั้นวางของที่ล้มระเนระนาดอยู่ในร้าน และด้านหลังบานกระจกที่เลอะคราบเลือดสีน้ำตาลเข้มเหล่านั้น ราวกับมีบางสิ่งกำลังจับจ้องมาที่ตัวเขา


“ไม่เป็นไร ขอเพียงสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพวกมัน เจ็บแค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ต้องกลัวไป รวบรวมสมาธิเข้าไว้…”


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ทำสมาธิเงียบๆ ทว่าทันใดนั้น สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไป เขาค่อยๆ หันหน้ากลับไป แล้วมองไปยังร้านค้าร้านหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องออกไปด้านหลังเขา


ถึงแม้จะแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่เหมือนเขาจะสัมผัสรู้ได้ถึงบางอย่างจริงๆ…


ท่ามกลางความมืด ร้านค้าแห่งนี้ดูวังเวง ด้านในกระจกตู้โชว์ หุ่นตัวหนึ่งยืนเอียง “จ้อง” มาทางเขาด้วยใบหน้าแข็งทื่อ เสื้อผ้าเก่าๆ ที่แทบไม่เหลือเค้าเดิมห้อยอยู่บนตัวมัน เมื่อสายลมเย็นๆ พัดผ่าน ก็มีเสียง “พั่บ พั่บ” ดังขึ้นเบาๆ


ด้านข้างคือประตูแบบผลักที่เหลือเพียงครึ่งบาน มองเข้าไปแวบแรก ด้านในมีแต่เงามืดที่มืดยิ่งกว่าสีของยามค่ำคืน


ผู้มีความสามารถพิเศษมองเข้าไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองถนนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล


ซ่งจินเซินยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขายืนถือปืนสองกระบอกแล้วกวาดมองไปทั่ว ท่าทางยังคงตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดือดพล่าน


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็กลืนน้ำลาย แล้วเดินไปทางร้านค้าแห่งนั้นอย่างระมัดระวัง


ถ้าบอกว่าไม่กลัว ก็คงโกหก เลือดบนหน้าเขายังไม่แห้งเลยด้วยซ้ำ


ทว่าพฤติกรรมหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ของอีกฝ่าย กลับมอบความกล้าให้ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ไม่น้อย


การโจมตีเมื่อกี้ของหลิงม่ออาจดูแปลก แต่มันก็เป็นแค่การโจมตีที่ฉวยโอกาสตอนคนอื่นไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น เขาได้รับบาดเจ็บจริง แต่อาการไม่ได้สาหัส


นั่นแสดงให้เห็นว่าถึงแม้หลิงม่อจะมีพลังสูง แต่ก็มีขีดจำกัดด้วยเช่นกัน


อีกอย่างความหวาดกลัวที่พวกเขามีต่อคนคนนี้ สาเหตุหลักเกิดจากการตายของอ้ายเฟิงและหมายเลข 0


เรื่องอ้ายเฟิงยังไม่ต้องพูดถึง แต่คนส่วนมากไม่เคยรู้ว่าหมายเลข 0 นั้นร้ายกาจขนาดไหน


โดยเฉพาะคนของสาขาย่อย พวกเขาเกือบทุกคนเหมือนมู่เฉิน ที่มองหมายเลข 0 เป็นแค่เครื่องจักรรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลพลังงานสูงเท่านั้น


ถึงแม้จะเคยได้ยินว่ามันมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่แกร่งถึงระดับไหนกันแน่นั้น คนพวกนี้กลับไม่รู้เลย


แม้กระทั่งเฉินเล่อและหมายเลข 1 ที่ถูกฆ่า สำหรับพวกเขา มันก็เป็นแค่เพียงชื่อสองชื่อเท่านั้น


“บางทีเจ้าคนแซ่ซ่งนั่นอาจจงใจพูดให้ดูโอเวอร์เกินเหตุ? เป็นไปได้มาก เพราะตัวทดลองถูกฆ่าตาย ยิ่งอีกฝ่ายถูกพูดถึงว่าร้ายกาจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี…”


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้คิด พลางย่างเท้าเข้าไปในร้านค้าแห่งนั้น


แกร๊ก


เมื่อเขาเปิดไฟฉายในมือ เงาร่างของใครคนหนึ่งก็มาปรากฏอยู่ท่ามกลางลำแสงไฟฉาย


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ตกใจ แต่เมื่อมองดูดีๆ เขาก็ถอนหายใจโล่งอกยาวๆ ออกมาทันที


ก็แค่เตารีดไอน้ำแบบยืนเครื่องหนึ่งเท่านั้น…


“บ้าเอ๊ย!”


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้สบถด่า ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาจะถูกวัตถุไร้ชีวิตอย่างเจ้านี้ทำให้ตกใจได้อย่างไร แต่เพราะประสบการณ์ที่เพิ่งต่อสู้กับหลิงม่อมาหมาดๆ กลับทิ้งปมฝังใจไว้ให้เขา


สัมผัสรู้ไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีคนอยู่เสมอไปนี่นา…


ตรงกันข้าม คนที่ถูกเขาสัมผัสรู้ได้ในตอนนี้ อาจเป็นไปได้มากว่าเป็นเพื่อนของหลิงม่อ


พอคิดอย่างนี้ เขาก็จิตใจสงบขึ้นมาก เขาหมุนข้อมือไปมา แล้วเริ่มค้นหาในร้านอย่างละเอียด


แต่หลังจากสาดแสงไฟฉายกวาดไปรอบๆ หนึ่งครั้ง เขากลับไม่ได้เบาะแสอะไร


“เป็นไปไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่ยังสัมผัสพลาดอีกหรือ?”


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ขมวดคิ้ว เขายืนอยู่กลางร้านค้า ด้วยสีหน้างุนงง


แกร๊ก แกร๊ก


ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังเบาๆ ข้างบนศีรษะ เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดานตามสัญชาตญาณ


ฟึ่บ!


เงาดำตะคุ่มเงาหนึ่งกระโดดลงมาจากด้านบน เข้าใกล้เขาโดยใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา


แต่เขาเพิ่งจะอ้าปาก เงาดำตะคุ่มเงานั้นก็ได้ใช้วัตถุบางอย่างแทงเข้าไปในปากเขา จนเขาล้มลงไปกับพื้น


ขณะที่เขาล้มลงไป เท้าคู่หนึ่งก็สัมผัสกับพื้นด้านข้างเขา


ปืนไรเฟิลในมือของเย่เลี่ยนจ่ออยู่ที่คอหอยของคนคนนี้ ใบหน้างามละเอียดมองไม่เห็นรังสีเข่นฆ่า กระทั่งดูเหม่อลอยเล็กน้อยด้วยซ้ำ


แต่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตคนนี้กลับเบิกตากว้าง สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสิ้นหวัง


เขาเดาไม่ผิด คนที่เขาสัมผัสได้ เป็นเพื่อนของหลิงม่อจริงๆ


แต่ตอนนี้เขาดีใจไม่ออกแล้ว!


ความสามารถในการอำพรางกายอันยอดเยี่ยมกับการระเบิดพลังในชั่วพริบตานี่มันยังไงแน่?!


เย่เลี่ยนกลับไม่มองเขา เธอพลิกข้อมือล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วโยนใส่หน้าเขา


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ยังคิดอยากจะขัดขืน แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีวัตถุกลมๆ สีขาวกระแทกใส่หน้าตัวเอง


เขายังไม่ทันได้ดูดีๆ วัตถุก้อนนี้ก็เข้าคลอบใบหน้าเขาทันที


แรงดูดมหาศาลถูกส่งมาทันใด ความรู้สึกอันน่ากลัวที่เหมือนสมองกำลังจะถูกดูดไหลออกมาทางรูจมูก เกิดขึ้นพร้อมกับเลือดที่ทะลักไหลออกจากบาดแผล


ภาพตรงหน้าของเขาถูกสีของเลือดย้อมจนแดงฉาน…


“แมงกะพรุน” ที่เดิมมีสีกึ่งโปร่งใส ตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดงในพริบตา


“ผิว” บางๆ ของมันพองขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าขณะที่มันกำลังดูดกลืนพลังจิต มันได้ดูดเลือดไปพร้อมกันด้วย


ผู้มีความสามารถพิเศษที่ถูกมันครอบหน้าร่างกายกระตุกสั่นไปทั้งตัว แต่ผ่านไปเพียงไม่นานเขาก็แน่นิ่งไป


เย่เลี่ยนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย เมื่อ “แมงกะพรุน” หยุดพองตัว เธอก็โน้มตัวลงไป แล้วดึงมันขึ้นมาเบาๆ


“แมงกะพรุน” ในมือเธอคืนสภาพเป็นสีขาวเหมือนเดิม ทว่าเปลือกนอกที่เดิมเป็นสีขาว ตอนนี้กลับมีสีเลือดปะปนขึ้นมาเล็กน้อย


“พี่หลิงบอกว่า…ให้ช่วยพี่หลิงเก็บพลังจิต…” เย่เลี่ยนพยายามคิด “แต่เลือด…เขาไม่ได้บอกว่าต้องเก็บไว้”


หลังจากที่ลังเลอยู่สองวินาที เย่เลี่ยนก็ยัด “แมงกะพรุน” ใส่กระเป๋าเป้เงียบๆ


ไม่ได้บอกว่าให้เก็บ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามมันดูดเลือดเหมือนกันนี่นา


………..


ขณะเดียวกันนั้น ผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งที่เพิ่งจะเดินเลี้ยวเข้าไปในมุมกำแพงมุมหนึ่งพลันตาลาย เขารีบยกอาวุธแต่ทันใดนั้น กลับมีเงาดำตะคุ่มเงาหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนกำแพงบนศีรษะเขา และกำลังเข้าใกล้เขาช้าๆ


“ถ้ากล้าออกมา ฉันจะฟันแกให้ขาดเป็นสองท่อนเลย!” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้คิดอย่างตื่นตระหนก


แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีมือคู่หนึ่งโผล่มาอยู่ข้างศีรษะของเขา


ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ร่างกายตึงเกร็งไปทั้งตัว ม่านตาเขาหดตัวในชั่วพริบตา


พอเหลือบมองด้วยหางตา ก็เห็นมือเนียนขาวคู่หนึ่ง ที่ดูเหมือนไม่มีกระดูก


แต่บนข้อมือสวยๆ ข้างหนึ่ง กลับมีประกายอาวุธมีคมรูปร่างคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเกี่ยวลำคอเขาไว้


ของเหลวอุ่นๆ พลันไหลชุ่มเป้ากางเกง พร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูดออกจากคอของเขา


พลั่ก!


ร่างศพยืนพิงกำแพง แล้วค่อยๆ ตัวอ่อนยวบลงไปกับพื้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง เลือดโชกไปทั่วร่าง …


สมาชิกนิพพานที่กระจายตัวออกไปเริ่มล้มตายไปทีละคนๆ เวลาผ่านไป ซ่งจินเซินที่ยืนรออยู่ที่เดิมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ


เมื่อความเดือดดาลที่ถูกปั่นหัวเริ่มสงบลงช้าๆ ซ่งจินเซินก็เริ่มรู้สึกว่า คนพวกนี้ออกไปนานกันเกินไปแล้ว…


อีกอย่างบอกว่าจะค้นหาแถวๆ นี้ เมื่อกี้ยังพอได้ยินเสียงตะโกน อย่างเช่น “ออกมาซะ!” หรือ “เลิกซ่อนได้แล้ว!” อะไรทำนองนี้อยู่ แต่ทำไมจู่ๆ มันถึงได้เงียบขึ้นมาอย่างนี้ล่ะ?


อย่าว่าแต่เสียงตะโกนเลย บริเวณนี้แม้แต่เสียงเคลื่อนไหวซักนิดก็ยังไม่มี


ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังแว่วมาจากที่ไม่ไกล ต่อมาก็ได้ยินเสียง “ตึกๆๆ” ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว


“ช่วย…”


ร่างของสมาชิกคนหนึ่งที่ใบหน้าอาบไปด้วยเลือดพุ่งออกมาจากซอยมืดๆ ซอยหนึ่ง พอเห็นซ่งจินเซินก็รีบดิ้นรนยื่นมือมาทางเขา พลางตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วย! พวกมันไม่ได้หนี! ไม่ได้หนี!”


ปรากฏว่าเขาเป็นหนึ่งในสองสมาชิกจากสำนักงานใหญ่เมื่อกี้ ทว่าตอนนี้ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผล สภาพน่าอเนจอนาถจนแทบทนดูไม่ได้


ซ่งจินเซินหัวใจเต้น “ตึกตัก” เขายังไม่ทันได้วิ่งเข้าไปหา สมาชิกคนนั้นก็ตัวกระด้างแข็งระหว่างกำลังวิ่งพุ่งไปข้างหน้า


เขาอ้าปากกว้าง ลูกกระเดือกเกลือกกลิ้งขึ้นลง แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ถูกเปล่งออกมา


ไม่นาน เลือดสีดำจุดหนึ่งก็ได้ซึมออกมาที่แผงอกกว้างของเขา


เมื่อจุดสีดำนั้นซึมออกเป็นวงกว้าง สมาชิกคนนั้นก็ขาอ่อนล้มลงไปกับพื้นดัง “พลั่ก” ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ


ซ่งจินเซินยืนมองภาพนั้นกับตาตัวเอง หัวใจเริ่มเย็นสะท้านไปทั้งทรวง


หลังจากที่ศพล้มลงไป เงาร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล


สายตาอันนิ่งสงบ และท่าทางผ่อนคลายนั่น…


ถึงแม้เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ใบหน้านั้นซ่งจินเซินกลับจำมันได้ขึ้นใจ


“เจอกันอีกแล้วนะ” หลิงม่อพูดขึ้น


“พวกแก…” บุหรี่ที่ซ่งจินเซินคาบไว้ในปากเหลือแต่ก้นบุหรี่แล้ว แต่เขากลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องหลิงม่ออยู่อย่างนั้น


ต่อมา เงาร่างอีกหลายเงาก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณใกล้ๆ แต่ใบหน้าเหล่านั้นกลับไม่ใช่ใบหน้าของหนึ่งในสมาชิกอีก 8 คนที่เหลือเลยแม้แต่คนเดียว


ซ่งจินเซินค่อยๆ กวาดตามองคนพวกนั้น แล้วพูดอย่างเจ็บแค้น “เจ้าเล่ห์นักนะ…”


—————————————————————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม