เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 645-652

 ตอนที่ 645 ตอบตกลง 


 


 


ฉินมู่ปิงผู้นี้มีความคิดและแผนการที่ล้ำลึกขนาดนี้ 


 


 


หากยังแข็งข้อกับเขา เกรงว่าคงไม่มีจุดจบที่ดีอะไร 


 


 


จากที่เขาสามารถฝืนแสร้งทำเป็นคุณชายเจ้าสำราญในเมืองหลวงมาสองปีแล้ว ซูหลีก็พอจะทราบว่าคนผู้นี้ไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ! 


 


 


“ซูหลี!” สีหน้าของฉินมู่ปิงเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน รอยยิ้มบนใบหน้ามลายหายไปอย่างหมดจด เขาปั้นสีหน้าแข็งกระด้างแล้วมองที่ซูหลี ดวงตานั้นเย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เห็นแล้วก้นบึ้งของหัวใจหนาวสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ 


 


 


“ทำไมรึ” ทว่าซูหลีกลับไม่กลัวเขา เมื่อได้ยินเขาตะโกนเรียกชื่อตนอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางยังเลิกคิ้วแล้วสบตาเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า 


 


 


“หรือจะแทงใจดำของซื่อจื่อจนทำให้ซื่อจื่อโมโหแล้ว?” 


 


 


ฉินมู่ปิงจ้องนางตาไม่กะพริบ ภายในดวงตาดำคู่นั้นดูพลุกพล่านเสียจนผู้คนมองรู้สึกไม่สงบ 


 


 


ทว่าความรู้สึกเหล่านี้มิได้ปรากฏบนใบหน้าของเขานาน เพียงช่วงพริบตาเดียวสีหน้าเช่นนี้ก็ถูกเขาปิดซ่อนเอาไว้ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนกลับเป็นใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มและท่าทีไม่เคร่งขรึมจริงจังต่อเรื่องอะไรดังเดิม 


 


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดกระตุ้นข้า ไม่ว่าอย่างไรเสด็จลุงก็เป็นเสด็จลุงของข้า ข้าสายเลือดจิ้งหนานอ๋อง จงรักภักดีต่อเสด็จลุงมาโดยตลอด ไม่ใช่เจ้าเอ่ยอะไรอย่างง่ายๆ ออกมาประโยคสองประโยคก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้” 


 


 


ซูหลีเห็นฉินมู่ปิงปรับเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วขนาดนี้ จึงแสดงรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาบนใบหน้า 


 


 


นางไม่เคยคิดว่าจะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมอะไรฉินมู่ปิงได้ 


 


 


“หากข้าตอบตกลง ข้าสามารถได้ประโยชน์อะไรกัน” ภายในห้องเงียบไปพริบตาหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ซูหลีเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา 


 


 


ดูเหมือนว่าหลังจากถูกฉินมู่ปิงข่มขู่ ผ่านไปนานกว่าจะใจเย็นลง แล้วเจรจาต่อรองกับฉินมู่ปิงอย่างสงบ 


 


 


ฉินมู่ปิงเห็นนางถามคำพูดประโยคนี้ออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เพิ่มขึ้นหลายส่วน เขาเดินเข้าใกล้ซูหลี แม้ซูหลีอยากจะถอยหลัง นางกลับได้ยินคำพูดที่เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาข้างใบหู 


 


 


“หรือการรักษาความลับให้แก่เจ้า จะไม่ใช่ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด?” 


 


 


ซูหลีได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว จึงมีความกรุ่นโกรธฉายขึ้นบนใบหน้า 


 


 


ทว่าเมื่อนางแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา ถึงทำให้สีหน้าของฉินมู่ปิงผ่อนคลายลง 


 


 


เขาทราบดีว่าซูลีไม่มีทางที่จะตอบตกลงอย่างง่ายได้ ทว่าจับจุดอ่อนของซูหลีได้แล้ว ซูหลีก็ไม่มีวิธีอื่น 


 


 


“เสวี่ยหลิงหลงกล่องนี้ ยังนับว่าเป็นของกำนัลหรือไม่” ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพลันเปิดปากเอ่ยเช่นนี้ออกมา 


 


 


“แน่นอน” ฉินมู่ปิงผงกศีรษะ ในดวงตาทอประกายบางอย่างออกมา 


 


 


ซูหลีเหลือบตามองเขาอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นมือหยิบกล่องยาวบนโต๊ะ 


 


 


ฉินมู่ปิงจ้องมองอากัปกิริยาของนางอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงเวลานี้เขาถึงได้ยิ้มออกมา ซูหลีทำเช่นนี้ นั่นหมายความว่านางตอบตกลงคำขอของเขาแล้ว 


 


 


“เจ้าอย่าดีใจนัก ข้าเพียงตอบตกลงเรื่องของพวกเขาในวันนี้เท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นๆ ข้าไม่มีทางเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน” ซูหลีปั้นหน้าเฉยเมยก่อนเอ่ยประโยคนี้ออกมา 


 


 


ฉินมู่ปิงเห็นท่าทางวางมาดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขากลับรู้สึกขบขันนัก ทว่าเมื่อได้ยินดังนั้นเขาเพียงผงกศีรษะ ถือว่าตอบตกลงแล้ว 


 


 


ทันทีที่เขาผงกศีรษะ ซูหลีก็ถือกล่องใบนั้นเดินออกไป 


 


 


และครั้งนี้ฉินมู่ปิงไม่ได้ขัดขวางนางเอาไว้อีก 


 


 


เขาฉีกยิ้มบางมองซูหลีที่เดินออกไปไกลแล้ว มีประกายความคลุมเครือพาดผ่านในดวงตาของเขา การตอบตกลงเรื่องนี้ เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ซูหลีผู้นี้สุดท้ายจักต้องรับใช้เขาในทุกเรื่อง! 


 


 


… 


 


 


“คุณชายเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” เมื่อเห็นซูหลีเดินออกมาจากหอสุยอวิ๋น ในมือยังถือกล่องใบหนึ่งออกมา สีหน้าของนางค่อนข้างจะตึงเครียด ชุยตานมองดูแล้วจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ 


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงส่ายศีรษะไปมาและเอ่ยว่า “ไปเถอะ” 


 


 


ชุยตานเห็นดังนั้นจึงไม่ถามอะไรอีก เพียงขับรถม้าออกจากที่นี่ไป 


 


 


ซูหลีที่อยู่ภายในรถม้ากลับผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 646 เรื่องส่วนตัวของราชนิกุล 


 


 


พูดตามความจริงแล้ว เมื่อครู่ซูหลีนั้นกลัวว่าฉินมู่ปิงจะขัดขวางนาง ไม่ให้นางเดินออกไป 


 


 


หรือ… 


 


 


หรือจะกระทำเรื่องเหล่านั้นเช่นเดียวกับที่ฉินเย่หานกระทำก่อนหน้านี้ 


 


 


ที่จริงฉินมู่ปิงไม่ได้กระทำเช่นนั้น ทั้งยังปล่อยนางไป 


 


 


อาจจะเป็นเพราะที่นี่คือเมืองหลวง หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น ถึงอย่างไรซูหลีก็โล่งใจแล้ว 


 


 


มิผิด นางตอบตกลงคำขอของฉินมู่ปิงแล้วมิผิด ทว่าแท้จริงแล้วนางเข้าใจอย่างชัดแจ้งดี ถึงได้ตอบตกลงฉินมู่ปิง ทว่านี่ก็แค่แผนรับมือเรื่องนี้เท่านั้น 


 


 


นางเกรงว่าหากปฏิเสธตามตรง ฉินมู่ปิงคงอารมณ์ไม่ดี ถึงเวลาอาจจะกระทำอะไรได้ หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ดีแล้ว 


 


 


อย่างไรสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่รับมือได้ยาก แม้ฉินมู่ปิงจะสั่งให้นางสอดแนมข่าวคราวเท่านั้น ทว่าฉินเย่หานนั้นเป็นคนเช่นไร นางเพียงแสดงท่าทางสนใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว เกรงว่าฉินเย่หานก็สามารถมองออกแล้ว 


 


 


ซูหลีสามารถตบตาต่อหน้าฉินมู่ปิงได้ ทว่านางไม่กล้ามั่นใจว่าตนจะไม่ถูกฉินเย่หานมองอย่างทะลุปรุโปร่ง 


 


 


ทว่าเรื่องที่ซับซ้อนคลุมเครือของราชนิกุลเหล่านี้ ซูหลีไม่คิดอยากจะส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อย 


 


 


แม้บัดนี้นางจะกลายเป็นสตรีของฉินเย่หานแล้ว ทว่านี้ไม่ได้หมายความว่านางต้องพึ่งพาฉินเย่หานในการดำเนินชีวิต 


 


 


นางไม่พึ่งพาใครทั้งสิ้น 


 


 


รอนางเป็นขุนนางในราชสำนักและหาโอกาสตรวจสอบเรื่องของสกุลหลี่ในปีนั้นอย่างชัดแจ้ง ทั้งยังสามารถล้างมลทินให้กับสกุลหลี่ได้แล้ว นางก็จะออกเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ อยู่ให้ห่างจากเรื่องเหล่านี้ 


 


 


ตุบ! ซูหลีถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง จากนั้นเอนศีรษะของตนไปที่หมอนที่อยู่ด้านหลัง 


 


 


ฉินมู่ปิงก็ไม่ได้เผยธาตุแท้ออกมาต่อหน้านางมากมาย ทว่าสิ่งที่นางครุ่นคิดค่อนข้างมากก็คือ แม้แต่ตัวซูหลีก็ยังไม่รู้ว่า เรื่องเหล่านี้ฉินเย่หานจะรู้หรือไม่ 


 


 


ทว่าไม่ว่าฉินเย่หานจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ นางก็ไม่อาจผลีผลามทำอะไร 


 


 


ฉินมู่ปิงไม่ใช่คนที่คบค้าสมาคมได้อย่างง่ายดาย วันนี้นางตอบตกลงเขาแล้ว เขาจักต้องสั่งให้คนจับตามองนางแน่นอน 


 


 


ซูหลีเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ จะแบกรับความลำบากเช่นนี้ได้เสียที่ไหนกัน ฉินมู่ปิงอยู่ในเมืองหลวงมาสองปีแล้ว ไม่มีทางที่จะมีผู้ติดตามเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าข้างกายเขามีคนที่มีฝีมืออีกกี่คนกัน 


 


 


ภายในเวลาอันสั้น ซูหลีไม่สามารถทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าได้ 


 


 


ทว่า… 


 


 


ซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมาครู่หนึ่ง ฉินมู่ปิงก็ดูคนผิดไปเช่นกัน ซูหลีผู้นี้ก็ไม่ใช่คนที่คบค้าสมาคมได้ง่ายๆเช่นกัน 


 


 


ในเมื่อเขาสามารถข่มขู่นางได้ เช่นนั้นนางก็ต้องโจมตีกลับถึงจะถูก 


 


 


ทั้งยังต้องโจมตีกลับอย่างที่ไม่มีคนมองพิรุธนี้ออก! 


 


 


นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก 


 


 


เรื่องที่ยามนั้นไม่ใช่วิธีที่จะโจมตีฉินมู่ปิง ทว่าเป็นเพราะข้างกายซูหลีไม่มีใครให้เรียกใช้ 


 


 


ข้างกายนางมีเพียงสาวใช้สองคน กับชุยตานเท่านั้น แม้พลังยุทธ์ของชุยตานจะไม่เลวนัก ทว่าหากเปรียบเทียบกับผู้มีฝีมือแล้ว อย่างไรก็ถือว่ายังด้อยกว่ากันมาก 


 


 


ซูหลีไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่วูบหนึ่ง ครุ่นคิดจนรู้สึกปวดสมองแล้ว ก็ยังคิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องหาผู้ช่วยไม่ได้ 


 


 


อีกทั้งนางไม่คิดจะนำเรื่องนี้แพร่งพรายกับฉินเย่หานตั้งแต่แรก 


 


 


อันดับแรกนางไม่รู้ว่าฉินเย่หานทราบเรื่องนี้หรือไม่ อันดับที่สองหากเจาะทำลายหน้าต่างกระดาษชั้นนี้ให้เปิดออก[1] นี่คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว โดยเฉพาะเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่น้องร่วมอุทรของฉินเย่หาน 


 


 


โทษการใส่ร้ายป้ายสีชินอ๋อง ก็สามารถทำให้นางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว 


 


 


ประการที่หนึ่งนางก็ไม่มีหลักฐาน ประการที่สองนางก็หวาดกลัวฉินมู่ปิง ส่วนประการที่สามอย่าลืมว่าในมือของฉินเฮ่ามีอำนาจทหารที่ยังไม่ได้เรียกอยู่มากมายเท่าไหร่และ ได้ซ่อนเร้นเรื่องต่างๆ มาตลอดหลายปีนี้ ไม่รู้ว่าจะมีไพ่ที่ยังไม่เปิดกี่ใบ 


 


 


หากนางกระทำสิ่งใดอย่างสะเพร่าไปยุแหย่ฉินเฮ่าเข้า จนฉินเฮ่านำทหารก่อกบฏแล้วละก็ ผลของมันคงอันตรายจนไม่อยากจะคิด 


 


 


ฮ่องเต้จะเปลี่ยนเป็นใครไม่มีทางรู้ ทว่าชาวบ้านต้องประสบไฟสงครามนี้ 


 


 


แม้ซูหลีจะเห็นแก่ตัวอย่างไร ก็ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา 


 


 


ไม่แน่ฉินเย่หานอาจจะทราบเรื่องนี้แล้ว ถึงไม่ลงมือกับครอบครัวของจิ้งหนานอ๋อง! 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เจาะทำลายหน้าต่างกระดาษ เป็นการเปรียบเปรย หมายถึงการเปล่งวาจาในเรื่องที่ทุกคนต่างทราบกันไปแบบโต้งๆ


ตอนที่ 647 ค่ำคืนที่มืดมิดและลมแรง 


 


 


นางสามารถรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างเงียบๆ คนอย่างฉินเย่หานจะไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือ 


 


 


เรื่องนี้ช่างซับซ้อนเกินไปแล้ว ซูหลีอยากลบล้างความอยุติธรรมให้กับสกุลหลี่ นางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชนิกุล 


 


 


บัดนี้ไม่ว่านางจะถอยออกมาอย่างไร ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ 


 


 


หากยุแหย่ฉินมู่ปิง จนเขานำเรื่องสตรีปลอมเป็นบุรุษออกมาพูด เช่นนั้นสิ่งที่นางวางแผนมานานขนาดนี้ นางเพิ่งจะได้นั่งลงบนตำแหน่งขุนนางนี้ เกรงว่ายังไม่ทันนั่งได้นาน ก็ถูกลากลงมาตัดศีรษะเสียแล้ว! 


 


 


ซูหลีคิดได้เช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะปวดศีรษะ 


 


 


ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่นางรู้อย่างแจ่มแจ้ง นั่นก็คือ…ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ นางจักต้องรู้หลบรู้หลีกฉินมู่ปิงเอาไว้ให้ดี อย่างน้อยนางก็ไม่สามารถไปพบเขาคนเดียว 


 


 


มิเช่นนั้นหากนางสืบข่าวอะไรไม่ได้ ฉินมู่ปิงจะคิดว่านางหลอกลวงเขา เช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของนางก็จบเห่แล้ว 


 


 


โอ๊ย การที่ต้องมาพัวพันกับเรื่องที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ ช่างทำให้นางปวดศีรษะโดยแท้ 


 


 


มือของซูหลีเคาะที่ขาของตนเองเพื่อปล่อยสมองให้โล่ง 


 


 


นางจะเอาคืนการข่มขู่ของฉินมู่ปิงอย่างไรดี และจะสามารถถอนตัวออกมา อีกทั้งยังสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของฉินมู่ปิงไปทางอื่น 


 


 


กึก! ซูหลีที่กำลังแอบอิงหมอนใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องซับซ้อนเหล่านี้ คิดไม่ถึงว่ารถม้าจะหยุดกะทันหัน รถม้าหยุดอย่างรุนแรงจนนางเกือบจะกลิ้งออกมาจากภายในรถม้า 


 


 


“เหวอ!” โชคดีที่รถม้าไม่ได้บรรทุกของหนักเกินอะไรทำให้ซูหลีไม่ได้รับบาดเจ็บหนักอะไร ทว่านางกลิ้งลงไปใต้ที่นั่ง ดูแล้วช่างน่าอับอาย 


 


 


“นายน้อย ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ชุยตานเลิกผ้าม่านในรถม้าขึ้น จากนั้นรีบเอ่ยถาม  


 


 


“ไม่เป็นไร” ซูหลีลูบข้อศอกตัวเองป้อยๆ นางทราบดีว่าชุยตานเป็นคนที่สุขุมมากคนหนึ่ง หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไม่มีทางหยุดรถโดยกะทันหันเด็ดขาด 


 


 


นางมองข้อศอกที่ถูกขูดเป็นรอยปราดหนึ่งและรีบเอ่ยว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน” 


 


 


ทันทีที่นางเอ่ยถาม ก็พบว่าสีหน้าของชุยตานเปลี่ยนไป 


 


 


ในรถม้ามีตะเกียงแก้วที่ส่องแสงอยู่ เป็นประจวบเหมาะที่แสงไฟส่องกระทบลงบนใบหน้าของชุยตานพอดี ทำให้ซูหลีเห็นสีหน้าของเขา 


 


 


“ด้านหน้า…มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น” ความสามารถในการมองเห็นของชุยตานนั้นดีมาก เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวในระยะที่ไกลมาก ถึงทำให้เขาหยุดรถม้าอย่างกะทันหัน 


 


 


เดิมยามซูหลีออกจากหอหร่วนเซียง ท้องฟ้าก็ยังไม่มืดมาก เพียงแต่เป็นเพราะเสียเวลากับฉินมู่ปิงสักพัก ไม่นานท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว 


 


 


ทำให้ใกล้ถึงยามไฮ่[1]แล้ว อีกทั้งในรถม้ายังมีซูหลีที่โฉมงามสะคราญ ชุยตานอยากรีบจะกลับไปจวนให้เร็วไว จึงไม่เดินทางเส้นทางใหญ่ ทว่ากลับมาทางอ้อมซึ่งอยู่ในตรอกซอยเล็กๆ เขาเตรียมที่จะเดินทางลัดทะลุผ่านไปจากตรงนี้เพื่อตรงกลับจวน 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเมื่อเดินทางไปถึงครึ่งทาง จะบังเอิญพบกับเรื่องเช่นนี้ 


 


 


ซูหลีชำเลืองเห็นสีหน้าที่ดูย่ำแย่เป็นอย่างมากของชุยตาน นางจึงขมวดคิ้วและไม่เอ่ยถามอะไรให้มากความ ในทางกลับกัน นางกลับเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วมองไปทางด้านหน้า 


 


 


ทันทีที่มองนางก็พบว่าชุยตานจอดรถม้าของพวกเขาไว้ตรงทางโค้งของตรอกซอย ตรงนี้ยังอยู่ใกล้กับต้นมะเดื่อจีนขนาดใหญ่ ทำให้บดบังรถม้าไปมากกว่าครึ่ง ดังนั้นคนที่อยู่ตรงนั้นจึงมองไม่เห็นพวกเขา 


 


 


ชุยตานนั้นมีไหวพริบดีเป็นอย่างมาก เมื่อรู้สึกถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติ เขาก็จอดรถไว้ที่นี่ในทันที  


 


 


ทว่า… 


 


 


“อย่านะ!” 


 


 


“กรี๊ด! กรี๊ด! พี่เค่อ ไยท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้!?” 


 


 


ผัวะ!  


 


 


“นางแพศยาก่อนหน้านี้ไม่ใช่ร่ำไห้ร้องขอให้ชื่นชอบข้าไม่ใช่หรือ ในเมื่อบุรุษมากขนาดนี้ วันนี้ข้าจะให้พี่ชายเหล่านี้ทำให้เจ้าพึงพอใจ!” 


 


 


“มาเร็วเข้า มาจัดการให้ข้า! อยากทำอะไรก็ทำ จะทำอย่างไรก็ได้ให้เจ้ามีความสุข!” 


 


 


“ฮี่ๆๆ! นายน้อยช่างดีเหลือเกิน!” 


 


 


“แม้สตรีผู้นี้จะน่าเกลียดไปเสียหน่อย ทว่าอย่างไรก็เป็นสตรี เพียงหลับตาก็เหมือนกันแล้ว!” 


 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” 


 


 


ภายในตรอกซอยที่อยู่ไกลโพ้นมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือของสตรี และเสียงหัวเราะอย่างน่าสะอิดสะเอียนของบุรุษดังผสมกัน 


 


 


ทันทีที่ซูหลีเห็นทางนั้น สีหน้าของนางก็เคร่งเครียดขึ้นมาอย่างฉับพลัน 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ยามไฮ่ เป็นการแบ่งเวลาของจีน เป็นช่วงเวลา 21.00 น. – 23.00 น 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 648 ช่วยคน 


 


 


วันนี้ไม่มีพระจันทร์ มีเพียงแค่ประกายแสงดาวที่ริบหรี่เท่านั้น ภายในตรอกซอกเล็กเปลี่ยวเช่นนี้ ยิ่งดูมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้านิ้ว 


 


 


กอปรกับรถม้าของพวกซูหลีจอดอยู่ไกลมาก แม้จะสามารถได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากในซอยอย่างชัดเจน ทว่ากลับมองไม่เห็นคนในตรอกซอยนั้นสักคน 


 


 


ทว่าซูหลีกลับรู้สึกว่า หนึ่งในนั้นมีเสียงที่คุ้นเคยเป็นพิเศษ อารมณ์บนสีหน้าจึงเปลี่ยนไปย่ำแย่ทันที 


 


 


“นายน้อย นี่…” เมื่อเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ ที่จริงแล้วชายชาตรีอย่างชุยตานไม่รู้สึกเหยียดหยาม อีกทั้งยังอยากเข้าไปช่วยสตรีที่น่าสงสารผู้นั้น ทว่าในเวลานี้ไม่ได้มีเขาเพียงผู้เดียว ซูหลียังอยู่ด้านข้างเขา เขาก็ไม่กล้ากระทำเรื่องนี้อย่างสะเพร่า ดังนั้นก่อนจะเอ่ยอะไร จึงมองที่ซูหลีปราดหนึ่งก่อน 


 


 


สีหน้าของซูหลีไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงมองเขาครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่ได้ตำหนิ แต่กลับสั่งให้เขาเข้ามาใกล้ๆ 


 


 


ในเวลาแรกชุยตานไม่ค่อยเข้าใจว่าซูหลีหมายความว่าอะไร ทว่าเขาก็เชื่อฟัง โน้มตัวเข้ามาใกล้ซูหลี 


 


 


ซูหลีเอ่ยด้วยเสียงเบากับเขาสองสามประโยค จากนั้นจึงหยิบบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อของตน แล้วส่งให้ชุยตาน 


 


 


“ระวังตัวด้วย” ซูหลีมองชุยตานด้วยสีหน้าจริงจังปราดหนึ่ง 


 


 


ชุยตานมีสีหน้าเคร่งขรึม ได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ 


 


 


เขาอดเลื่อมใสในความคิดที่รอบคอบของซูหลีไม่ได้ 


 


 


มิผิด เป็นอย่างที่ซูหลีกล่าวไว้ ทางนั้นแม้จะอยู่ค่อนข้างไกล มองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีจำนวนกี่คน ทว่าหากตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วน จะพบว่าอีกฝ่ายมีกำลังคนจำนวนมาก 


 


 


ถึงชุยตานจะไม่รู้สึกหวาดหวั่นก็ตาม ทว่าเขายังต้องคอยปกป้องนายน้อยที่ไม่มีพลังยุทธ์ผู้หนึ่งอีก มิหนำซ้ำต้องเข้าไปช่วยเหลือสตรีที่ผู้โจรร้ายล้อมไว้ สองกำปั้นก็ยากที่จะเอาชนะสี่มือได้[1] อีกไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะพาสตรีอ้อนแอ้นทั้งสองคนออกไปเลย 


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิธีของซูหลีถือว่าเป็นวิธีที่ดีอย่างแท้จริง 


 


 


ชุยตานก็ไม่คิดอะไรมาก เขากำขวดใบเล็กที่ซูหลีส่งมา จากนั้นรีบเดินไปทางนั้น 


 


 


“หึ! นางแพศยา ในยามปกติมิใช่เอ่ยว่าชื่นชอบนายน้อยเช่นข้าหรือ บัดนี้จะหนีอะไรเล่า” ชุยตานเดินเข้าไป และพบว่าในส่วนลึกของตรอกมีบุรุษสองสามคนล้อมรอบ คนที่เป็นผู้นำที่กำลังพูดอยู่นั้นสวมชุดผ้าไหม เขามองไปที่หญิงสาวที่ถูกต้อนอยู่ในมุมของตรอกด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย 


 


 


ในเวลานี้มือทั้งสองข้างของหญิงสาวถูกมัดไว้ และถูกคนใช้สิ่งของยัดอยู่ในปาก เมื่อได้ยินดังนั้นนางส่ายศีรษะอย่างสุดกำลัง น้ำตาใสๆ สองสายก็ไหลรินออกมาจากใบหน้า 


 


 


ชุยตานที่มองจากระยะไกลถึงกับขมวดคิ้วขึ้น 


 


 


แควก! ขณะที่กำลังครุ่นคิดคิด กลับเห็นบุรุษในชุดผ้าไหม ยื่นมือออกมาและฉีกเสื้อผ้าทั้งหมดของหญิงสาวผู้นั้น 


 


 


“โอ้โห ในยามปกติดูจะมองไม่ออก แม้ใบหน้าเจ้าจะดูธรรมดาดาษดื่น ทว่าร่างกายกลับเกลี้ยงเกลามาก…” 


 


 


“ฮี่ๆๆ!” 


 


 


“พี่เฉิง ให้ข้าลูบคลำบ้าง!” 


 


 


บุรุษผู้นั้นพูดอย่างไม่เกรงใจ ทว่าคนที่อยู่โดยรอบกลับหัวเราะเยาะกันทุกคน ลวนลามสตรีผู้นี้ราวกับนางเป็นสตรีในหอโคมเขียวมิปาน! 


 


 


สีหน้าของชุยตานเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาก้าวเท้าไปในตรอกนั่นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น 


 


 


“หยุดนะ!” คนยังไม่ถึง เสียงก็ดังขึ้นก่อน ผู้นำผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองไปทางเขา คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เงยหน้าขึ้นจะไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เพียงรู้สึกสายลมเบาบางที่พัดผ่านมา จากนั้น… 


 


 


ฟู่! มีกลิ่นประหลาดรอยขึ้นมากลางอากาศ ผู้นำคนนั้นสูดดมเข้าไปหลายเฮือก จากนั้นจึงรู้สึกเวียนศีรษะ ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว แข้งขาก็อ่อนแรงและหมดสติลงไปในที่สุด 


 


 


ตุบ! หลังจากนั้นจึงสลบไปพร้อมกับคนที่อยู่ข้างกายเขาเหล่านั้น 


 


 


“เจ้าเป็นใครกัน” ในกลุ่มคนห้าคนนี้เหลือเพียงคนหนึ่งที่สูดดมกลิ่นนั้นเข้าไป รู้สึกเวียนศีรษะทว่าพยายามฝืนเอาไว้อย่างสุดควาสามารภ เขาอยากจะมองให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าคนที่เดินเข้ามาคือใคร 


 


 


ตุบ! ทว่าชุยตานไม่ให้โอกาสนั้นแก่เขา 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] สองกำปั้นก็ยากที่จะเอาชนะสี่มือได้ เป็นการเปรียบเปรย หมายถึงกำลังของคนๆ เดียว ไม่สามารถต่อกรกับคนจำนวนมาก 


ตอนที่ 649 นายน้อยของข้าเป็นคนดี 


 


 


เขายกมือต่อยคนผู้นั้นจนสลบไป ทันทีที่เหลือบตามองก็พบกับแม่นางที่ถูกพวกเขาจับกุมตัวไว้ ร่างกายที่อ่อนปวกเปียกนั้นกำลังจะล้มไปทางด้านหลัง! 


 


 


“แม่นาง!” เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ชุยตานก็ไม่คิดอะไรมาก เขารีบเข้าไปหญิงสาวผู้นั้นเอาไว้ 


 


 


“ขออภัยที่ล่วงเกิน!” ชุยตานผงะไปเล็กน้อย จากนั้นหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาป้อนเข้าไปในปากของหญิงสาว และบังคับให้นางกลืนลงไป 


 


 


“ชุยตาน?” ทางด้านชุยตานเพิ่งจะป้อนยาหญิงสาว ก็ได้ยินเสียงนายน้อยของตนมาจากทางด้านหลัง 


 


 


เขารีบหันศีรษะกลับไปแล้วเอ่ยว่า “นายน้อย ไยท่านถึงลงมาได้” 


 


 


ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมา ก็พบกับซูหลีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งปิดจมูกและปากไว้ จากนั้นก้าวเท้าเดินมาทางนี้ด้วยท่าทางอ่อนช้อย ขณะที่นางเดินมา พลางใช้พัดพัดสายลมมาด้วย 


 


 


“ข้าเดินมาดูเสียหน่อย” ซูหลีพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ที่จริงแล้วนางไม่ค่อยวางใจชุยตาน ทางนี้มีคนจำนวนมาก หากชุยตานไม่ได้ใช้ยาสลบของนางแล้วละก็ เกรงว่าชุยตานก็คงประสบกับหายนะแช่นกัน 


 


 


คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เดินมาทางนี้ จะเห็นมีคนนอนระเนระนาดเต็มไปหมด 


 


 


ซูหลีก้าวเท้าเหยียบที่ร่างของคนของนองกองที่พื้น ถึงได้พบว่าอีกฝ่ายไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด ดังนั้นนางถึงได้ทราบว่าพวกเขาได้รับยาของนางเข้าไปแล้ว 


 


 


ซูหลีมิได้เป็นคนเขลา หลังจากที่ถูกลอบสังหารคราก่อน หากนางไม่ได้พกยาอะไรติดตัว ก็ต้องพกบางอย่างที่สามารถปกป้องตัวเองได้ ยาสลบที่รุนแรงมากขวดนี้ เป็นยาที่นางปรุงขึ้นเอง 


 


 


คิดไม่ถึงว่าบัดนี้จะสามารถใช้ประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ทำให้นางผ่อนลมหายใจออกมา 


 


 


“แค่กๆๆ!” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด สตรีที่ถูกชุยตานช่วยเหลือไว้ผู้นั้นค่อยๆ ตื่นขึ้น จากนั้นส่งเสียงไอขึ้นอย่างเบาๆ 


 


 


ซูหลีอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อน จากนั้นจึงหรี่ปรายตามองลงเล็กน้อยมองสตรีผู้นั้นครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าทันทีที่มองกลับไป พบว่าสตรีผู้นี้เป็นคนที่นางคุ้นเคยดี! 


 


 


“แม่นางลู่?” ซูหลีเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ 


 


 


ทางด้านลู่เหมียนเหมียนที่พึ่งหวนคืนสติกลับมา เมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทั้งร่างก็สั่นเทิ่ม แต่เมื่อได้ยินเสียงของซูหลี นางก็รีบแหงนศีรษะขึ้นและสบตากับซูหลีพอดี 


 


 


“คุณชายซู?” แม้รูปโฉมของซูหลีจะไม่พิเศษเกินไป เกรงว่าในเวลานี้แม้นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังจมูกและริมฝีปาก หลังจากลู่เหมียนเหมียนพินิจอย่างละเอียดจนจำนางได้ สุดท้ายแล้วนางก็สามารถจำใบหน้าของซูหลีได้  


 


 


ซูหชีผงกศีรษะแล้วเอ่ยอย่างอดทนไม่ไหว “ไยเจ้าถึงมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้” 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้นางพลันฉุกคิดได้ เสียงเมื่อนี้ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง ซูหลีขมวดคิ้วแล้วชายตามองที่ร่างคนที่อยู่บนพื้น สายตานางจับจ้องไปที่ใบหน้าของบุรุษที่สลบไสล ครั้นมองหาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่คนๆ หนึ่ง 


 


 


สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปมาก 


 


 


นางถึงว่าไยนางถึงรู้สึกว่าคุ้นหูนัก คิดไม่ถึงว่าในเวลาดึกดื่นขนาดนี้จะมีคนทำเรื่องสกปรกโสมมเช่นนี้ได้ อีกทั้งมิใช่ใครอื่น คนผู้นั้นก็คือเฉิงเค่อที่มีเรื่องบาดหมางใจกับนาง! 


 


 


ในชั่วขณะนี้ยาสลบกระจายหายไปมากกว่าครึ่ง ซูหลีเปิดผ้าเช็ดหน้าออกแล้วย่อตัวลงมองไปทางเฉิงเค่ออยู่สองปราด ทันทีที่มองดูเขา ทำให้ซูหลีถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้น 


 


 


“แม่นางท่านนี้ ให้ข้าน้อยคลายเชือกให้เถิด” ชุยตานเห็นดังนั้น เขาก็ทราบแล้วว่าสตรีผู้นี้กับซูหลีรู้จักกัน เขาก็ไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงเงยศีรษะมองที่ลู่เหมียนเหมียน 


 


 


เขายื่นมือไปทางนาง ทันทีที่เขายื่นมือลู่เหมียนเหมียนก็สั่นงกๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตระหนก 


 


 


ชุยตานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งเสียงเบาปลอบโยนนาง 


 


 


ลู่เหมียนเหมียนตะลึงงันไปชั่วพริบตาหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ ดูเหมือนว่าในที่สุดนางก็รู้สึกว่าตนได้รับการช่วยเหลือแล้ว ในเวลานี้นางจึงผงกศีรษะให้กับชุยตานด้วยความงุนงง 


 


 


ชุยตานรีบปล่อยมือจากมือที่ถูกมัดไว้ของนางคู่นั้น แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไรแล้ว นายน้อยของข้าเป็นคนดี คุณหนูไม่ต้องเป็นกังวล” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 650 เป็นลู่เหมียนเหมียน 


 


 


ซูหลีที่กำลังจ้องมองเฉิงเค่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้จากชุยตาน นางก็อดมองค้อนมิได้ หรือนางยังมีใบหน้าของคนชั่วหรือ 


 


 


“คุณชายซู!” ในที่สุดลู่เหมียนเหมียนก็หวนสติกลับคืน ท่อนขาของนางยังคงอ่อนแรง ทว่านางก็ยังพยายามฝืนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูหลี จากนั้นคำนับซูหลีด้วยท่าทางอ่อนหวานและเอ่ยว่า “ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยเหลือไว้” 


 


 


“แม่นางลู่เกรงใจเกินไปแล้ว” ซูหลีรีบลุกขึ้น ยื่นมือไปประคองนางเอาไว้ 


 


 


เมื่อนางยื่นมือสัมผัสกับลู่เหมียนเหมียน ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายลู่เหมียนเหมียนยังสั่นงกๆ ซูหลีผงะเล็กน้อย ในดวงตามีประกายเคร่งขรึมพาดผ่าน ลู่เหมียนเหมียนที่เป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางถูกเรื่องเมื่อครู่ทำให้ตกใจเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


นางเก็บสีหน้าเล็กน้อย ทันทีที่ปรายตามองก็พบว่าเสื้อผ้าของลู่เหมียนเหมียนถูกฉีกขาด เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเกลี้ยงเกลา ใบหน้าของนางแสดงความไม่สบายใจออกมา นางพยายามดึงเสื้อท่อนบนเพื่อคลุมผิวของตน แต่เสื้อตัวนั้นถูกฉีกขาดแล้วจึงปกปิดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น 


 


 


อารมณ์ที่แสดงบนใบหน้าของลู่เหมียนเหมียนในเวลานี้ มีทั้งความตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัวและความอึดอัด ทั้งยังมีความโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ นางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมา จากนั้นคลุมลงบนร่างของลู่เหมียนเหมียนแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า 


 


 


“แม่นางลู่ใช้เสื้อตัวนี้คลุมเอาไว้ก่อนเถิด” 


 


 


ลู่เหมียนเหมียนได้ยินดังนั้นจึงมองซูหลีอย่างห้ามไม่ได้ เป็นจังหวะที่ใบหน้าของซูหลีกระทบกับแสงดาวพอดี ในค่ำคืนที่อกสั่นขวัญหายเช่นนี้ กลับมีกลิ่นอายบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย ทำให้หัวใจของลู่เหมียนเหมียนรู้สึกหวั่นไหว 


 


 


นางรู้สึกว่าหัวใจเต้นกระหน่ำ จนมีริ้วแดงระเรื่อปรากฏบนใบหน้า 


 


 


ซูหลียืนอยู่ข้างกายนาง ทว่าเป็นเพราะแสงสีในยามราตรีนี้ค่อนข้างมืด จึงทำให้มองไม่เห็นสีหน้าของนาง 


 


 


“นายน้อย คนเหล่านี้จะทำอย่างไรดี” ช่วยเหลือคนไว้เรียบร้อย ชุยตานมองคนที่บนพื้นเหล่านี้ จากนั้นจึงขมวดคิ้วและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา 


 


 


ซูหลีหวนคืนสติกลับมา ใบหน้ามีความเย็นชาพาดผ่าน เฉิงเค่อผู้นี้นับวันยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เขากลับกล้ากระทำเรื่องนี้ออกมา ลู่เหมียนเหมียนมิใช่สตรีสามัญ บิดาของนางเป็นถึงขุนนางในราชสำนักเชียวนะ! 


 


 


“มัดพวกเขาไว้ และนำพวกเขากลับจวนด้วย” 


 


 


“หา!?” ชุยตานรู้สึกงุนงง เดิมเขาคิดว่านายน้อยจะส่งคนเหล่านี้ให้ผู้ว่าการซุ่นเทียนจัดการเสียอีก คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ซูหลีเปิดปากพูดกลับเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา 


 


 


เขาตะลึงงัน ทว่าก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น หลังจากเขารู้สึกตัว กลับไม่เอ่ยอะไรออกมาเพียงผงกศีรษะตอบรับเท่านั้น 


 


 


นายน้อยสั่งในทำอะไรเขาก็ทำตามที่สั่งละกัน นายน้อยคงจะมีคิดอะไรไว้ในใจแล้ว 


 


 


“แม่นางลู่ ไม่เป็นไรแล้ว ข้าส่งเจ้ากลับจวนก่อนก็แล้วกัน” ซูหลีหันศีรษะกลับมาแล้วพูดปลอบโยนลู่เหมียนเหมียนสองสามประโยค สายตาของลู่เหมียนเหมียนหยุดอยู่ที่ใบหน้างามสะคราญของซูหลี จากนั้นจึงผงกศีรษะเล็กน้อย 


 


 


จนถึงบัดนี้ในใจของลู่เหมียนเหมียนก็ยังรู้สึกหวาดกลัว นางไม่กล้าคิดต่อหากวันนี้ซูหลีไม่ได้เดินทางผ่านมาท่างนี้ นะ นางจะทำอย่างไรดี… 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้สายตาของลู่เหมียนเหมียนก็หยุดที่ร่างคนที่นอนอยู่ที่ด้านหลังอย่างห้ามไม่ได้ นางไม่เคยคิดว่าบุรุษที่นางรักหมดหัวใจจะกระทำเช่นนี้กับนาง 


 


 


เพื่อเขานางถึงกับยอมเป็นศัตรูกับบิดา ทำให้มารดาต้องเสียน้ำตาทุกวัน คิดไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้ 


 


 


ในเวลานี้ลู่เหมียนเหมียนรู้สึกโศกเศร้าไปทั้งหัวใจ ในใจรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก 


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นจึงไม่ถามอะไรอีก เพียงสั่งให้ชุยตานไปลากรถม้ามาที่นี่ นางจะไปส่งลู่เหมียนเหมียนกลับจวนก่อน 


 


 


ชุยตานได้ยินดังนั้นจึงไม่พูดอะไรต่อ เพียงฟังคำสั่งของซูหลี 


ตอนที่ 651 เรื่องราวของลู่เหมียนเหมียน


 


 


รถม้าของซูหลีคันนี้มีลู่เหมียนเหมียนกับซูหลีนั่งอยู่ ส่วนชุยตานเสาะหารถม้าและคนขับรถม้าอีกคัน เพื่อนำพวกเฉิงเค่อที่ถูกมัดไว้ ซึ่งหมดสติและยังไม่รู้สึกตัวโยนเข้าไปในรถม้า จากนั้นสั่งให้คนขับรถม้าขับตามไปพร้อมรถม้าของพวกเขา


 


 


“ดื่มชาเถิด” ภายในรถม้าไม่มีสาวใช้ติดตามมาด้วย การชงชาเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ซูหลีสามารถทำได้ด้วยตนเอง นางนำชาร้อนแก้วหนึ่งส่งให้กับลู่เหมียนเหมียน


 


 


“ขอบคุณมาก” ลู่เหมียนเหมียนรับแก้วชามา ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ


 


 


นางนั้นรู้สึกซาบซึ้งต่อซูหลีเป็นอย่างมาก กอปรกับในใจนางมีเรื่องอัดอั้นในใจ เวลานี้ก็อยากจะดื่มชาสักแก้วเพื่อให้สงบลง


 


 


“ดึกดื่นขนาดนี้ ไยแม่นางลู่ถึงปรากฏตัวที่นี่ได้” ซูหลีเห็นนางจิบชาอึกหนึ่งแล้ว จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล


 


 


ทันทีที่ลู่เหมียนเหมียนได้ยินนางถามเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที เพียงแต่เมื่อเหลือบตามองก็พบกับแววตาที่อบอุ่นของซูหลี ในดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย ทำให้หัวใจนางอบอุ่นขึ้นและไม่คิดมากอะไรอีก


 


 


ซูหลีเป็นผู้ช่วยชีวิตนาง นางรู้สึกซาบซึ้งใจที่สุด และแน่นอนว่านางไม่มีทางปิดบังเรื่องนี้กับซูหลี


 


 


เพียงแต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ลู่เหมียนเหมียนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ!


 


 


นางผงะไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เรื่องระหว่างข้ากับคุณชางเฉิง..เฉิงเค่อผู้นั้น คุณชายซูคงจะเคยได้ยินกระมัง”


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงฉะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองลู่เหมียนเหมียนอย่างอดไม่ได้


 


 


พูดตามความจริง ลู่เหมียนเหมียนนั้นมิถือว่ามีรูปโฉมโดดเด่นนัก อีกทั้งเป็นเพราะร่างกายของนางอ้วนท้วมสมบูรณ์ยิ่งทำให้นางดูสูงใหญ่และดูบึกบึนอยู่บ้าง ทว่าซูหลีไม่ใช่ผู้ที่ตัดสินผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก จึงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมดา


 


 


สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คืออากัปกิริยาของลู่เหมียนเหมียน


 


 


เดิมลู่เหมียนเหมียนก็ทราบดีว่า คนทั้งเมืองหลวงล้วนคอยหัวเราะเยาะนาง และรู้ด้วยว่าคนเหล่านั้นนำเรื่องที่นางคอยเฝ้าติดตามเฉิงเค่ออย่างไม่ยอมรามือวิจารณ์ไปทั่วเมืองหลวง


 


 


“คุณชายซูไม่ต้องตกใจ เรื่องเหล่านี้ข้าล้วนทราบดี และเป็น…และเป็นข้าที่แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง” ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มอย่างขมขื่นมิได้


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้น ดวงตาก็วูบไหวเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาในทันที


 


 


ไม่ใช่นางไม่อยากจะพูด ทว่านางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกมาดี สำหรับหลายคนในโลกใบนี้ คำว่าความรักเป็นอุปสรรคที่ผ่านไปได้ยากลำบากที่สุด


 


 


การกระทำของลู่เหมียนเหมียนอาจมีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจนาง อีกทั้งยังหัวเราะนาง ทว่าซูหลีกลับรู้สึกว่า ทุกคนล้วนมีทางเลือกของตัวเอง คนที่สามารถทำเหมือนลู่เหมียนเหมียนได้ และเข้าใจว่าตนเองกระทำสิ่งใดอยู่นั้นมีไม่มากนัก


 


 


อีกทั้งดูท่าทางของนางแล้ว แม้จะรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าเรื่องนี้ไม่ดี ก็ยังถลำลึกเข้าไป


 


 


นางถือว่าเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง


 


 


ซูหลีถอนหายใจออกมาเบาๆ


 


 


ดูเหมือนว่าอารมณ์ของซูหลีจะส่งต่อไปถึงลู่เหมียนเหมียน ลู่เหมียนเหมียนวางจอกชาในมือลง ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง และเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า


 


 


“ครั้งแรกที่ข้าเจอกับเฉิงเค่อ ในปีนั้นข้าอายุเจ็ดขวบ ข้าและท่านแม่ไปจุดธูปบูชาที่วัดชิงอวิ๋น ด้านนอกของวัดชิงอวิ๋นนั้นมีศาลาหนึ่งหลังตั้งอยู่มีชื่อว่าศาลาชิงอวิ๋น เมื่อถึงวสันตฤดูของทุกๆ ปี จะมีคนมาเดินเที่ยวที่ศาลาชิงอวิ๋น และข้าก็พบเขาที่นั่น”


 


 


เมื่อเอ่ยพูดถึงเรื่องในอดีต สายตาของลู่เหมียนเหมียนมีความคิดถึงช่วงเวลานั้น ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในทันที


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นก็ไม่ขัดจังหวะนาง ทั้งยังรับฟังอย่างอดทน


 


 


“สกุลของข้าเป็นครอบครัวทหาร สัมผัสกับเหล่าพี่ชายตั้งแต่เล็ก พี่ชายของข้าล้วนมีร่างกายแข็งแรงบึกบึน เมื่อพบเขาครั้งแรกข้าถึงได้รู้ว่า บุรุษก็สามารถมีรูปโฉมที่งดงาม หล่อเหลาจนไม่มีใครเปรียบได้ในยุคนี้…ในเวลานั้นเขาไม่ใช่คนเช่นนี้ เขานั้นเห็นว่าข้าน่ารัก อีกทั้งยังเด็ดดอกไม้มอบให้แก่ข้า เขาเอ่ยว่าชื่นชอบข้า อยากเป็นเพื่อนกับข้า”


 


 


หล่อเหลาจนไม่มีใครเปรียบได้ในยุคนี้…ซูหลีไม่อยากจะเห็นด้วยกับคำพูดประโยคนี้โดยแท้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 652 คนที่สมควรตายคือเขา


 


 


ทว่านี่เป็นเพียงความคิดของนาง ในใจของลู่เหมียนเหมียน เฉิงเค่อในเวลานั้นจักเป็นคนที่ดีมากอย่างแน่นอน


 


 


มิเช่นนั้นก็คงไม่ทำให้นางเฝ้าติดตามมาตลอดหลายปีขนาดนี้


 


 


“นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในใจของข้างก็มิอาจมีคนอื่นได้แล้ว” ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ก็ลูบที่อกของตนเองอย่างห้ามไม่ได้ แววตาเผยความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้นซูหลีก็ผงกศีรษะเบาๆ วัยเด็กไม่รู้จักความรัก เฉินเค่อเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ทว่ารูปโฉมนั้นถือว่าไม่เลวเท่าไหร่นัก


 


 


จะว่าไป ในวัยเด็กใครจะไม่เคยตาบอดบ้าง แม้นางจะไม่เคยรักเสิ่นฉางชิง ทว่าก็เคยตาบอดเช่นกัน มิเช่นนั้นก็คงไม่มีจุดจบเช่นนั้น


 


 


“เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน คนก็เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งเขาก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก มิได้มีความสนิท ทว่าข้ายังเชื่อว่าเขายังเป็นเด็กชายที่ยิ้มให้ข้าอย่างอ่อนโยนในสวนดอกท้อในปีนั้น ดังนั้น…” ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ ดูเหมือนนางจะรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า


 


 


“ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ ข้าจึงเฝ้ารอเขา ข้าคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาหวนคิดถึงวันที่เขาดีต่อข้า”


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงนิ่งเงียบ


 


 


ลู่เหมียนเหมียนที่กำลังอยู่ในห้วงความรัก คิดไม่ถึงว่ากลับได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากเฉิงเค่อ เรื่องในวันนี้คงทำให้หัวใจของนางรู้สึกย่ำแย่อย่างแน่นอน


 


 


เฉิงเค่อผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไรนัก ซูหลีขมวดคิ้วขึ้นครั้นนางครุ่นคิดถึงเรื่องที่นางพบในตัวเฉิงเค่อ


 


 


“วันนี้เฉิงเค่อสั่งให้เด็กรับใช้มาหาข้าที่จวน เขากล่าวว่ามีเรื่องบางอย่างต้องการพูดกับข้า ข้าคิดว่าเขาจะคิดเหมือนกันข้าเช่นกัน เมื่อคิดได้เช่นนั้น ข้าจึงมาหาเขา วิ่งออกมาจากจวนโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ได้พามาด้วย”


 


 


ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดในชั่วพริบตา ดูเหมือนว่านางยังหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้


 


 


“ข้าไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะใส่ยาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงไปในน้ำชาของข้า!” นี่เป็นสิ่งที่ซูหลีไม่เข้าใจเหมือนกัน นางจำครั้งแรกทีพบลู่เหมียนเหมียนได้ นั่นคือในงานชมบุปผาในจวนไหวอ๋อง ในเวลานั้นลู่เหมียนเหมียนรำเพลงหมัดได้อย่างสง่ามาก เพราะเหตุนี้ถึงทำให้ซูหลีจำลู่เหมียนเหมียนได้


 


 


คิกไม่ถึงว่า เฉิงเค่อจะใช้กลอุบายเช่นนี้!


 


 


“…คนดีที่ฝังอยู่ในจิตใจกลับทำต่อข้าเช่นนี้ เขากล่าวว่า เขาก็แค่หาเรื่องสนุกทำระบายอารมณ์ในยามที่หัวเสียก็เท่านั้น ทั้งยังเรียกสหายที่มีความประพฤติเลวๆ มาด้วย เขาอยากจะ…อยากจะล่วงเกินข้า!” ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ ทั้งร่างของนางก็สั่นเทิ้มอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่


 


 


“ไม่เป็นอะไรแล้ว” ซูหลีเห็นดังนั้นจึงอดที่จะพูดปลอบโยนมิได้


 


 


ลู่เหมียนเหมียนเหลือบตามองนาง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มฝืนใจ ผ่านไปพักใหญ่ นางจึงเอ่ยว่า “วันนี้โชคดีที่เจอคุณชายซู มิเช่นนั้นเกรงว่าข้า…จะไม่มีหน้ากลับไปพบท่านพ่อท่านแม่แล้ว คงจะใช้ความตายเพื่อขอร้องให้พวกท่านให้อภัย!”


 


 


“หากต้องตาย คนที่ต้องตายก็คือเขา!” หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา


 


 


ลู่เหมียนเหมียนเห็นดังนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะมองซูหลีด้วยความประหลาดใจ


 


 


ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของซูหลี นางจึงหวนคิดถึงซูหลีในความทรงจำ ใบหน้าของนางมักจะประดับด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใส่ใจเรื่องใดทั้งสิ้นเสมอ ในทางกลับกันน้อยครั้งมากที่นางจะมีสีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึมเช่นนี้ออกมา


 


 


จะว่าไปแล้ว ลู่เหมียนเหมียนกับซูหลีก็ถือเป็นสหายกัน ก่อนหน้านี้ซูหลีช่วยกู้หน้านางหลายต่อหลายครั้ง ครานี้ก็ช่วยนางจากวิกฤตเช่นนี้ ลู่เหมียนเหมียนรู้สึกซาบซึ้งใจต่อซูหลีมาก ในครานี้จึงนำเรื่องทั้งหมดบอกเล่าแก่ซูหลี


 


 


“คนที่กระทำผิดคือเขา ไม่ใช่เจ้า ทำไมเจ้าจะต้องได้รับโทษเล่า?” ซูหลีเหลือบตาขึ้น ดวงตาสีนิลคู่นั้นมองไปที่ลู่เหมียนเหมียน ลู่เหมียนเหมียนถูกนางมองเช่นนี้ หัวใจจึงเต้นเบาๆ อย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้


 


 


ไม่มีใครเคยเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับนางมาก่อน ขนบธรรมเนียมของราชวงต้าโจวจะสามารถยอมรับเรื่องที่สตรีสูญเสียความบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม