ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 645-651

 ตอนที่ 645 เซี่ยเหรินเซิงยอดนักสืบ 


 


 


ทำไมเบ็นเนตต์ถึงจัดการเจรจาในพื้นที่ทุรกันดารแบบนี้กันนะ คงเป็นเพราะหาหนีทีไล่ง่ายกว่าละมั้งถ้าผลการเจรจาออกมาไม่เป็นอย่างที่คิด แถมยังช่วยป้องกันไม่ให้สำนักงานใหญ่ถูกผู้บำเพ็ญระดับ B อย่างฮาเวิร์ดทำลายได้ 


 


 


แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน สำนักงานใหญ่ถูกทำลายก่อนการเจรจาจะเริ่มเสียอีก… 


 


 


เบ็นเนตต์เป็นคนอารมณ์ร้อนเสียด้วย เขาประกาศออกไปว่าใครที่สามารถแกะรอยคนร้ายและฆ่าเขาทิ้งได้ เขาจะยอมเจรจาด้วยเป็นองค์กรแรก! 


 


 


น่าอายอะไรขนาดนี้นะ EO ไม่ได้เป็นองค์กรผู้บำเพ็ญเดียวในประเทศเสียหน่อย หลังจากที่เรื่องเกิดขึ้นก็มีข่าวออกไปว่าสำนักงานใหญ่ของ EO เกือบโดนทำลายเพราะหนูตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งภายในสองชั่วโมง เบ็นเนตต์ได้อับอายไปทั้งชีวิตแน่ถ้าพวกเขาไม่เจอตัวการ 


 


 


เบ็นเนตต์ไม่ได้แค่ลงทุนหาตัวคนร้ายด้วยตัวเองเท่านั้น แต่เขายังขอให้ตระกูลใหญ่มาช่วยหาอีกแรงด้วย กระนั้นบรรดาตระกูลใหญ่ก็ประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ พวกเขาตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งในสถานการณ์งมเข็มในมหาสมุทรเช่นนี้ 


 


 


เห็นได้ชัดเลยว่ามีองค์กรอื่นเตรียมการมาอย่างดี พวกเขาคิดจะใช้โอกาสนี้ทำลายการเจรจา แล้วถ้าองค์กรนั้นแข็งแกร่งมากละ 


 


 


มีหลายองค์กรที่ไม่ได้รับเชิญมาเข้าร่วมการเจรจา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่ใช่องค์กรที่มีอำนาจและแข็งแกร่ง อย่างกลุ่มเทพเจ้าหรือกลุ่มที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ในออสเตรเลียก็เหมือนกัน 


 


 


พวกองค์กรใหญ่ไม่ได้ตื่นตกใจอะไรนัก หากพวกเขาหาคนร้ายไม่เจอ เบ็นเนตต์จะรอไปเรื่อยๆ ไม่ออกมาเจรจากับพวกเขางั้นเหรอ เขาคงจะรอดูว่าพวกองค์กรสามารถรอต่อไปได้นานแค่ไหนมากกว่า 


 


 


ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า EO นั้นจะเป็นพียงพ่อค้าคนกลางและกันชนให้สำหรับองค์กรใหญ่ๆ เท่านั้น เพราะองค์กรใหญ่ต่างก็ไม่ต้องการมีปัญหาโดยตรงกับกลุ่มอื่นๆ พวกเขาเลยอยากแก้ปัญหานี้อย่างสงบสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าพ่อค้าคนกลางไม่ผ่านการคัดเลือกล่ะก็ พวกเขาก็จะรวมหัวกันเปลี่ยนพ่อค้าคนกลางคนใหม่และเริ่มต้นการเจรจาอีกครั้ง 


 


 


ตอนนี้พวกองค์กรใหญ่จึงรอดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงและหลินกานอวี่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ทีนี้พวกเขาก็ไม่ต้องรอให้กองกำลังเสริมรีบมาไวๆ แล้ว แต่พวกเขาเองก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้และต้องการอะไร 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงส่งข้อมูลกลับไปที่จีนเพื่อรายงานว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเนี่ยถิงก็ได้รับข้อมูลนี้ในที่สุด แต่เซี่ยเหรินเซิงแปลกใจมากที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับกลุ่มเจรจาของเขา เนี่ยถิงกลับนิ่งและรอดูเหตุการณ์เงียบๆ มากกว่า 


 


 


เขาไม่ตอบกลับเซี่ยเหรินเซิงด้วยซ้ำว่าที่เขาทำไปนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ เขาไม่แม้แต่จะช่วยหาด้วยว่าคนร้ายเป็นใคร 


 


 


พอพวกเขากลับมาที่วิลล่า เซี่ยเหรินเซิงก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาพาหลิวฝานและคนอื่นๆ มาที่ห้องของหลี่ว์ซู่ก่อนลงมือเคาะประตูห้อง 


 


 


หลี่ว์ซู่เปิดประตูออกมาด้วยความง่วง ใบหน้าเซี่ยเหรินเซิงมืดคล้ำน่ากลัว “พวกเราออกไปทำภารกิจและเสี่ยงชีวิตเพื่อเครือข่ายฟ้าดิน แต่นายกลับนอนหลับอุตุอยู่ที่วิลล่าเนี่ยนะ คิดว่ามันสมควรแล้วเหรอ” 


 


 


ถึงเซี่ยเหรินเซิงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่ในใจลึกๆ ตอนที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่ม EO โดนโจมตี หลี่ว์ซู่กลับไม่ได้อยู่กับพวกเขาเสียอย่างนั้น เรื่องนี้ทำให้เซี่ยเหรินเซิงนึกไปถึงการ์ตูนที่ชื่อยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน ตอนที่เขาดู เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกตัวละครในการ์ตูนนั้นโง่เง่าอะไรแบบนี้ ตอนที่พวกเขาพยายามจะแก้คดี ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยหรือไงว่าโคนันหายไปทุกทีน่ะ 


 


 


เพราะฉะนั้นตอนหลี่ว์ซู่หายไป เขาก็เลยสงสัยว่าหลี่ว์ซู่อาจเป็นคนร้ายก็ได้ แต่ดูเหมือนสมมติฐานของเขาจะผิดไปเสียแล้ว 


 


 


ผู้บำเพ็ญลับจะมีความสามารถที่จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน ถ้าหลี่ว์ซู่เป็นคนร้ายจริงๆ ก็ต้องมีคนตามหาเขากันให้ขวักแล้วสิ 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงไม่มีทางรู้หรอกว่าถ้าหลี่ว์ซู่ตั้งใจจะหนีจริงๆ ก็ไม่มีใครไล่ล่าเขาได้หรอก เว้นแต่ว่าคนคนนั้นจะมีพลังระดับ A ละนะ 


 


 


หลิวฝานหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา “ถึงนายจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา แต่แล้วยังไงละ ผลก็ออกมาว่านายขี้ขลาดหางจุกตูด! กล้าออกจากวิลล่านี้หรือเปล่าเถอะ” 


 


 


“แน่นอนว่ากล้าสิ” หลี่ว์ซู่งุนงง เขาพูดต่อ “มีอะไรให้กลัวด้วยรึไง” 


 


 


พอพูดจบหลี่ว์ซู่ก็เดินไปข้างล่างเพื่อจะออกไปจากวิลล่านี้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาจะไปไหน… 


 


 


พวกคนที่อยู่ข้างหลังเขามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาเดินออกไปข้างนอกจริงๆ เหรอ การเจรจาถูกยกเลิกไปแล้วนะ แล้วหมอนั่นจะไปไหน! 


 


 


หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทุกคนไม่รู้ว่าจะคิดกับหลี่ว์ซู่ในทางที่ดีได้อย่างไร ตอนนี้หลี่ว์ซู่กลายเป็นผู้บำเพ็ญลับขี้ขลาดไร้มีศีลธรรมไปเสียแล้ว กระทั่งหลินกานอวี่ยังเห็นว่าหลิวฝานหน้าตาดีกว่าหลี่ว์ซู่เสียอีกในตอนนี้… 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินออกไปตามถนนก่อนหยุดลงที่ร้านขายของชำที่มีสุราและบุหรี่ขายด้วย เขาหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาซองหนึ่ง “เท่าไหร่” 


 


 


“หกหยวน” เจ้าของร้านพูด 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดไปนิดหนึ่งก่อนพูดออกมา “ลดให้หน่อย สองไคว่ สามเหมา สามเฟิน ถ้าถูกกว่านี้อาจจะซื้อก็ได้” 


 


 


เจ้าของร้านนั้นเป็นคนจีนโดยกำเนิด เขาเจอคนแบบนี้มาเยอะในแอฟริกา และดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว 


 


 


เขาก้มหัวลงต่ำ ไม่อยากสบตาหลี่ว์ซู่ เขายื่นถุงบางอย่างให้หลี่ว์ซู่ “ลดมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เอาแบบนี้เป็นไง” 


 


 


หลี่ว์ซู่รับถุงนั้นมาโดยไม่ดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน พอเขาเดินออกไปก็มีบางคนดึงแขนเสื้อเขาไว้ เจ้าของร้านมองหน้าเขาแล้วพูดออกมา “จ่ายมาซะ ลูกพี่เนี่ยบอกว่านายต้องจ่าย” 


 


 


ใบหน้าหลี่ว์ซู่ดำทะมึน “เท่าไหร่ละ” 


 


 


เนี่ยถิงนี่แปลกคนจริง ขนาดหลี่ว์ซู่มาที่นี่แล้ว แต่เนี่ยถิงก็ยังคอยรังควานเขาอยู่ได้! 


 


 


“หนึ่งหยวน” เจ้าของร้านหัวเราะ “แถวนี้ค้าขายยาก การแข่งขันก็สูง ช่วยธุรกิจฉันหน่อยนะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่มองไปรอบๆ เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ ก่อนที่เขาจะหยิบหอกสามง่ามออกมาแล้วชี้มันไปที่เจ้าของร้าน “ให้โอกาสพูดใหม่อีกรอบนะ” 


 


 


เจ้าของร้านชะงัก 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากจ้าวหย่งเฉิน +399!] 


 


 


จ้าวหย่งเฉินตะลึง “แต่ราชันเนี่ยบอกแบบนั้นนี่…” 


 


 


“ปล่อยฉันไปซะ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น 


 


 


จ้าวหย่งเฉินเม้มปากแล้วปล่อยมือจากแขนเสื้อของหลี่ว์ซู่ “ก็แค่หยวนเดียวเอง…” 


 


 


“จนขนาดนั้นเลยรึไง” หลี่ว์ซู่เก็บหอกสามง่ามเข้าไปที่เดิม “เนี่ยถิงบอกมาว่ายังไง” 


 


 


จ้าวหย่งเฉินพูด “ฉันเป็นคนสืบราชการลับในแอฟริกา ถ้ามีปัญหาอะไรให้มาหาฉัน ข้อมูลของแอฟริกาทั้งหมดจะไปอยู่ในมือนาย และนี่ก็เป็นข้อมูลที่ราชันเนี่ยฝากให้มาบอกนาย มาช่วยกันหาแร่อย่างเต็มกำลังกันเถอะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่อารมณ์เสีย ทำไมภารกิจนี้มันหนักหนาแบบนี้เนี่ย แล้วมันต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่นี้ด้วยนะ บ้าไปแล้วรึไง 


 


 


“รู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร” หลี่ว์ซู่ถาม เขายังใช้ใบหน้าของหลี่เถิงอยู่ 


 


 


จ้าวหย่งเฉินส่ายหัว “ฉันไม่ควรรู้หรอก ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันแค่พึ่งรหัสลับเท่านั้นแหละ” 


 


 


หลี่ว์ซู่หันหลังกลับ จ้าวหย่งเฉินตามเขามาและพูดเบาๆ ว่า “แล้วจะให้เราช่วยนายยังไง” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก” หลี่ว์ซู่พูด เขาไม่ได้อยากได้เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองส่วนตัวหรอก งานของเขายากเกินกว่าจะลากคนอื่นมาเสี่ยงด้วยแล้ว และเขาก็ตั้งใจจะปฏิเสธตำแหน่งราชันฟ้าอยู่แล้วด้วย 


 


 


แต่จ้าวหย่งเฉินยังไม่ยอมแพ้ เขาถามออกไปอีก “งั้นเรื่องแร่จะเอายังไงละ” 


 


 


“ไม่ต้องคิดมาก ปล่อยให้สถานการณ์พาไป” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากจ้าวหย่งเฉิน +199!] 


 


 


จ้าวหย่งเฉินไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นใคร เขาไม่รู้ด้วยว่าหลี่ว์ซู่เคยทำภารกิจอะไรสำเร็จมาแล้วบ้าง เขาเพิ่งเห็นว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้อมูลของแอฟริกาทั้งหมดถูกโอนถ่ายไปให้คนคนเดียวโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ 


 


 


แต่…ไอ้หมอนี่มันดูไว้ใจไม่ได้เลยสักนิด! 


 

 

 


ตอนที่ 646 คุณไม่คู่ควรหรอก

 

หลี่ว์ซู่เดินไปตามถนน เขาเก็บของที่ได้มาจากจ้าวหย่งเฉินเข้าไปในตราแผ่นดิน ขณะมองออกไปสุดลูกหูลูกตาตัวเองเขาก็พบว่าแอฟริกานั้นช่างรกร้างและทรุดโทรมเหลือเกิน


 


 


ที่แห่งนี้ผ่านสงครามมาหลายต่อหลายรอบแล้ว พวกชาวบ้านเองก็ไม่ค่อยกล้าหาญกันมากนัก พวกเขาอยากจะเก็บเกี่ยวโดยไม่ต้องหว่านเมล็ดสินะ บุคลิกของคนที่นี่แตกต่างจากผู้คนที่บ้านที่เขาจากมาจริงๆ ที่ดินพวกนี้อุดมสมบูรณ์มาก และมีทรัพยากรมากมายที่ยังไม่มีใครเอื้อมมือมาแตะ


 


 


พอหลี่ว์ซู่เดินผ่านอาคาร เขาก็เห็นว่ามีรูโหว่อยู่ตามตึก กำแพงเองก็มีร่องรอยทรุดโทรมอยู่นับไม่ถ้วน


 


 


พอเขาเดินกลับไปที่วิลล่า ทุกคนอยู่ในห้องนั่งเล่นกันหมด พวกเขากำลังพูดคุยกันว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป หลี่ว์ซู่เพิ่งเห็นว่าพอเขาออกไป พวกผู้บำเพ็ญลับและกลุ่มนักเจรจาทั้งสามคนก็ดูจะสนิทสนมกันมากขึ้น เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมคนสองกลุ่มนี้ถึงได้สนิทกันรวดเร็วขนาดนี้ละ


 


 


อันที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่คาดไม่ถึงเลยว่าพวกนักบำเพ็ญลับและกลุ่มนักเจรจาจะรวมกันเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวได้เพราะมีศัตรูคนเดียวกัน และศัตรูคนนั้นก็คือหลี่ว์ซู่นั่นเอง พวกเขาก็เลยเข้ากันได้ดีอย่างที่เห็น…


 


 


พอหลี่ว์ซู่เดินเข้ามาในวิลล่า เขาก็เดินตรงขึ้นไปชั้นบน หลิวฝานก็ตะโกนไล่หลังเขามา “ไปไหนมา แร่พวกนี้สำคัญมากนะ ไม่คิดว่าจะมาช่วยพวกเราหน่อยเหรอ พวกเราทุ่มเทกันมากนะ นายจะยืนดูอยู่เฉยๆ งั้นเหรอ”


 


 


หลี่ว์ซู่ชะงัก “แล้วพวกนายทำอะไรกันไปแล้วบ้างละ”


 


 


พอเขาพูด หลิวฝานและทุกคนต่างก็ปั่นป่วนกันหมด ตอนนี้สิ่งที่ทุกคนทำได้ก็มีแค่ถกปัญหากันเท่านั้น สำหรับขั้นตอนที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ อย่าว่าแต่จะเริ่มเจรจาเลย พวกเขายังไม่เห็นคนจาก EO เลยสักคน ถ้าจะมาถามพวกเขาว่าได้ทำอะไรไปแล้วจริงๆ ละก็… หลิวฝานเองก็ยังตอบไม่ได้


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +99!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเซี่ยเหรินเซิง…]


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้จะว่าใครทั้งนั้น แต่เขาไม่นับว่าการที่ทุกคนช่วยกันถกปัญหานั้นจะช่วยแก้ปัญหาอะไร


 


 


“การเจรจาจะได้เริ่มแน่ๆ ละ พวกเราต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าจะได้เจรจาอย่างราบรื่น” หลินกานอวี่พูดเสียงเย็น


 


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้แล้วเดินขึ้นไป ถ้าเขาพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อเขา… แต่เขาคิดว่าการเจรจาคงไม่เกิดขึ้นหรอก…


 


 


ถ้าจะให้พูดอีกอย่าง… หากเขาลงมือสำเร็จ การเตรียมการทั้งหมดของหลิวฝาน หลินกานอวี่ และทุกๆ คนก็จะไร้ความหมาย แต่หลี่ว์ซู่โทษพวกเขาที่อยากริเริ่มทำอะไรสักอย่างไม่ได้หรอก


 


 


ตอนนี้เครือข่ายฟ้าดินอยากได้ทรัพยากรแร่ทั้งหมดมา หลี่ว์ซู่ประเมินสถานการณ์นี้ไว้แล้ว เขารู้สึกว่าถ้ามีองค์กรใดองค์กรหนึ่งเอาทรัพยากรแร่ทั้งหมดไป องค์กรอื่นๆ ก็คงจู่โจมพวกเขาแน่ๆ เขาไม่รู้ว่าจะเอาแร่มาได้ยังไง แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าต้องสร้างสถานการณ์ป่วนพวกองค์กรอื่นๆ ก่อน


 


 


หลี่ว์ซู่เดินกลับห้องไป จากนั้นเขาก็คว้าเอาของที่จ้าวหย่งเฉินให้เขาออกมา ในนั้นมีชุดทหารและหมวกทหาร


 


 


เขาเปลี่ยนชุดและเปลี่ยนหน้าตาเป็นเบ็นเนตต์ จากนั้นก็กระโดดออกไปจากหน้าต่าง ตอนแรกเขาปาเต้าหู้เหม็นไปใส่พวกองค์กรใหญ่ๆ ให้พวกเขาหยุดเฝ้าระวังตรวจตรา ตอนนี้พืชพรรณต้นไม้ทั้งหลายต่างก็มีกลิ่นเต้าหู้เหม็นเต็มไปหมด ไม่มีใครทนอยู่ในนั้นได้นานหรอก นี่ช่วยให้หลี่ว์ซู่เคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นเยอะ


 


 


ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น แล้วเกิดมีคนเห็นเขากระโดดออกมาจากหน้าต่าง เขาจะทำยังไงนะ


 


 


เมื่อคิดแบบนั้น หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าตัวเองสายตากว้างไกลเหลือเกิน ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยก็ตาม


 


 


หลี่ว์ซู่เดินไปจนถึงวิลล่าที่กลุ่มฟีนิกซ์อยู่ พวกสมาชิกกลุ่มฟีนิกซ์แบ่งเวรเฝ้ายามบริเวณหน้าประตูไว้ ตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้กะจะทำแบบนี้หรอก แต่ตอนนี้พวกเขาต้องทำเช่นนี้เพื่อหลบกลิ่นของเต้าหู้เหม็น กลิ่นของมันชวนอ้วกและทำให้คลื่นไส้ไปทั้งคืน กระทั่งตอนนี้กลิ่นเหม็นๆ ของมันก็ยังไม่จางไปเลย


 


 


หลี่ว์ซู่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยอย่างใจเย็น “ฉันมีเรื่องจะคุยกับฮาเวิร์ด”


 


 


สมาชิกกลุ่มฟีนิกซ์มองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายพวกเขาก็ต้อนรับหลี่ว์ซู่เข้าไปข้างใน ช่วงบ่ายพวกเขายังพูดกันอยู่เลยว่าเบ็นเนตต์จะมาเจรจากับองค์กรที่ตัวคนร้ายเจอก่อน ทีแรกพวกเขากะจะรอกันอย่างใจเย็น แต่ไม่คิดเลยว่าเบ็นเนตต์จะมาหาพวกเขาด้วยตัวเองแบบนี้!


 


 


ดูเหมือนว่าข้อความที่ส่งมาจะเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นสินะ พวกเขาคงต้องแกล้งทำเป็นเดินไปทางหนึ่งเพื่อที่จะหลบออกไปอีกทางหนึ่งนั่นเอง!


 


 


ฮาเวิร์ดเดินยิ้มออกมา เขาพูดอย่างภูมิใจ “คุณเบ็นเนตต์ คุณตัดสินใจได้ฉลาดมาก กลุ่มฟีนิกซ์ของเราจะเป็นคู่ค้าอย่างดีที่สุดเลย”


 


 


หลี่ว์ซู่เลยตอบอย่างใจเย็น “เจรจากันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก มาดูของจริงกันเลยดีกว่า สุดท้ายแล้วแต่ละองค์กรก็แข่งขันกันอย่างหนักหน่วงละนะ กลุ่มฟีนิกซ์จะมีอะไรมาเสนอละ”


 


 


“พวกเรามีทุกอย่างที่องค์กรอื่นๆ มี ได้ยินว่าลูกชายของคุณเบ็นเนตต์ยังไม่ปะทุพลังนี่ กลุ่มฟีนิกซ์ของเรามีผลไม้ที่ช่วยให้ปะทุพลังสายธาตุดินได้นะ” ฮาเวิร์ดกล่าว


 


 


หลี่ว์ซู่ผิดหวังนิดหน่อย เขาเอาผลไม้ไปใช้อะไรไม่ได้หรอก เขากินมันไม่ได้ด้วย จะดีแค่ไหนกันถ้าเขาหาอาวุธได้! แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ฮาเวิร์ดก็ไม่ให้เขาฟรีๆ หรอก เขาพูดออกไปเสียงเรียบ “อ้าว งั้นจะรออะไรละ…”


 


 


“ฮ่าๆ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลยคุณเบ็นเนตต์” ฮาเวิร์ดเชิญเบ็นเนตต์ให้นั่งบนโซฟา ตอนนี้หลี่ว์ซู่เห็นแล้วว่าตำแหน่งของฮาเวิร์ดนั้นอยู่สูงกว่า พวกนี้ยืนอยู่บนที่ดินของ EO แท้ๆ แต่กลับทำตัวว่าเป็นเจ้าของของที่นี่ สงสัยนี่จะเป็นสิ่งที่คนมีอำนาจเขาทำกันสินะ


 


 


เอาจริงๆ แล้วการทำลาย EO ในสายตาของผู้มีพลังระดับ A นั้นก็เหมือนการเล่นเกมง่ายๆ ให้ชนะเท่านั้นเอง และนี่ก็เป็นองค์กรที่มีอำนาจล้นมือที่แท้จริง


 


 


แต่ครั้งนี้หลี่ว์ซู่ไม่ได้มาเพื่อรับสินค้าอะไรทั้งนั้น เพราะผู้รับผิดชอบหน้าที่ดูแลงานในต่างประเทศขององค์กรใหญ่ๆ จะต้องไม่เอาตัวเองไปผูกกับอะไรง่ายๆ ถ้าไม่แน่ใจว่าผลจะสำเร็จจริงๆ แล้วไอ้การเสนอจ่ายโดยไม่ดูสินค้าก่อนนี่มันถูกต้องตามตรรกะแล้วหรือ แต่พวกเขาไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้วนี่เพราะพวกเขามีพรรคพวกหนุนหลังที่แข็งแกร่ง!


 


 


หลี่ว์ซู่คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันคงดูไม่น่าเชื่อนักถ้าเขาหวังจะเอาอะไรกลับไปจริงๆ เขาแค่อยากมาลองเชิงเท่านั้น แต่ว่าเขาไม่มีเวลาเหลือแล้ว เขาต้องเข้าประเด็นเดี๋ยวนี้


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “กลุ่มฟีนิกซ์อยากได้ทรัพยากรแร่ผ่านพวกเราใช่ไหมล่ะ”


 


 


เขาเข้าประเด็นเต็มๆ ทุกคนต่างก็ตั้งใจเช่นนี้ และหลี่ว์ซู่ก็อยากที่จะให้พวกเขาเปิดเผยมันออกมาตรงๆ ฮาเวิร์ดหัวเราะและทำใจให้เย็นลง น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปทันทีหลังหยุดหัวเราะ “ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณถึงต้องเรียกองค์กรใหญ่มารวมตัวกันที่นี่ด้วย คุณเบ็นเนตต์ คุณพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เราคงต้องเปิดไพ่แล้วละนะ”


 


 


“องค์กรทหารรับจ้าง EO ของเราเติบโตขึ้นมากในแอฟริกา แต่ว่าเรากลับเจอตออันใหญ่ พวกเราอ่อนแอเกินกว่าจะไประดับโลกได้ พวกเราก็เลยวางแผนให้องค์กรใหญ่มาคอยปกป้องพวกเราด้วยการเจรจานี้ พูดกันตามตรงแล้ว มันก็คือการรวมกิจการกันนั่นแหละ” หลี่ว์ซู่ว่า เขาหาเหตุผลมารองรับไปเรื่อย


 


 


ดวงตาของฮาเวิร์ดส่องประกาย นี่สินะคือความตั้งใจของเบ็นเนตต์ กลุ่มฟีนิกซ์ถูกเลือกเป็นกลุ่มแรกก็เพราะอำนาจอันล้นเหลือของพวกเขา!


 


 


สำหรับการรวมกิจการครั้งนี้ กลุ่มฟีนิกซ์จะรอจนกว่าพวกเขาสามารถยึดอำนาจจากเบ็นเนตต์และคนอื่นๆ ได้ ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก!


 


 


ฮาเวิร์ดหัวเราะ “คุณคิดยังไงกับกลุ่มฟีนิกซ์ของเรา คุณเบ็นเนตต์”


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปสักพักก่อนตอบ “องค์กรของคุณไม่คู่ควรหรอก”


 


 


ฮาเวิร์ด “…”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฮาเวิร์ด มิลเลอร์ +999!]


 


 


ฮาเวิร์ดไม่เข้าใจเบ็นเนตต์เลยสักนิด ปัญหามาถึงขนาดนี้แล้ว เขามาเพื่อพูดแค่นี้เนี่ยนะ! บ้าไปแล้วรึไง! 

 

 


ตอนที่ 647 ยุ่งเหยิงไปกันใหญ่!

 

สีหน้าของฮาเวิร์ดเปลี่ยนไปทันที เขาไม่คิดว่าหัวหน้าขององค์กรระดับต่ำจะบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้ ถึงกับกล้ามาที่นี่คนเดียวแล้วยังมาพูดเรื่องบ้าๆ แบบนี้อีก! 


 


 


หลี่ว์ซู่แสดงสีหน้าท่าทางตามเบ็นเนตต์ เขายังคงท่าทีสบายๆ แต่ยังมีสีหน้าดุดันอยูในที “อะไร คิดหรือว่าฉันต้องกลัวเพราะมาที่นี่คนเดียวงั้นเหรอ ลองหยุดฉันดูก็ได้นะ กลุ่มฟีนิกซ์น่ะแข็งแกร่งก็จริง แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่อเมริกา” 


 


 


เดี๋ยวก่อนนะ ฮาเวิร์ดรู้สึกว่าเบ็นเนตต์นั้นดูมั่นใจมากจริงๆ หรือเพราะเขาไปเซ็นสัญญากับฝ่ายศรัทธาก่อนแล้วนะ หรือว่าเป็นเครือข่ายฟ้าดิน 


 


 


งั้นเบ็นเนตต์ก็ไม่ได้มาเจรจากับเขาน่ะสิ เขาแค่มาที่นี่เพื่อยั่วอารมณ์ฮาเวิร์ดและทำลายสมาชิกของฟีนิกซ์! 


 


 


ถ้าที่แย่ที่สุดก็คือฝ่ายศรัทธาและเครือข่ายฟ้าดินได้ตกลงร่วมมือกับเขาไปแล้ว นี่คงอธิบายได้ว่าทำไมพวกเครือข่ายฟ้าดินถึงไม่ได้ส่งสมาชิกที่มีพลังสูงมาในการเจรจาครั้งนี้ และองค์กรทั้งสองก็ได้บรรลุข้อตกลงกันหมดแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะส่งแค่ฟรานเชสโก้มา 


 


 


ฮาเวิร์ดยังคิดไม่ตกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 


 


 


ฮาเวิร์ดไม่คิดว่าองค์กรอื่นๆ นอกจากทฤษฎีความเชื่อและเครือข่ายฟ้าดินจะมีผู้บำเพ็ญระดับ A อีก มีแต่ต้องมีองค์กรที่มีอำนาจในมือเยอะคอยหนุนหลังเท่านั้นละ เบ็นเนตต์ถึงได้กล้ามาพูดกับกลุ่มฟีนิกซ์ซึ่งๆ หน้าแบบนี้ 


 


 


“ส่งแขกซะ” ฮาเวิร์ดพูดพลางโบกมือ เขาไม่อยากจะทะเลาะกับเบ็นเนตต์เลยตัดสินใจที่จะสงบสติอารมณ์และไม่พูดอะไรที่ก่อให้เกิดการผิดใจกันก่อนความจริงจะเปิดเผยออกมา 


 


 


องค์กรที่เบ็นเนตต์เชิญมานั้นทำให้ EO มีอิสระในการเลือกมาก และนี่ก็ยังเปิดโอกาสให้หลี่ว์ซู่ได้รังสรรค์วิธีการป่วนประสาทแบบใหม่ได้อีกเยอะ 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินออกไปก่อนไปหยุดที่วิลล่าของฝ่ายศรัทธา หลี่ว์ซู่คิดว่าวิธีการรับมือของคนที่รับหน้าที่ดูแลการต่างประเทศนั้นน่าทึ่งมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฟีนิกซ์หรือฝ่ายศรัทธาก็ตาม… 


 


 


ดูเหมือนจะมีแต่คนที่มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบคอบเช่นพวกเขาเท่านั้นที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แล้วทำไมเนี่ยถิงถึงคิดว่าเขาเหมาะสมกันนะ เขาน่ะรอบคอบแต่กับเรื่องชีวิตตัวเอง แต่สำหรับชีวิตของคนอื่นๆ แล้ว…ก็ถี่ถ้วนประมาณหนึ่ง 


 


 


หากเขาได้รับผิดชอบดูแลการต่างประเทศจริงๆ พอถึงคราวที่ต้องไปรวมตัวกับองค์กรอื่นๆ คงเห็นได้ชัดเลยว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นมาก… 


 


 


ฟรานเชสโก้จากฝ่ายศรัทธานั้นเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่เหมือนกับฮาเวิร์ด แต่นี่ก็อาจหมายความว่าเขาเป็นคนคิดรอบคอบเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นหลี่ว์ซู่ก็ขอเก็บแต้มอารมณ์จากฝ่ายศรัทธาสักหน่อยแล้วค่อยกลับก็แล้วกัน… 


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมา เขารู้ว่าฮาเวิร์ดนั้นเต็มใจจะมอบของต่างๆ อย่างผลไม้ที่ช่วยปะทุพลังให้เพื่อดึงเขาเข้าเป็นพวก แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่ได้อะไรมาเลย 


 


 


และเพราะเขายังอยากได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป เขาเลยต้องร่วมมือกับใครสักคนแล้วเดินเรื่องหน่อย แต่เขาดันมาตัวคนเดียวนี่สิ แถมเขาไม่ใช่เบ็นเนตต์ตัวจริงด้วย แล้วเขาจะไปร่วมมือกับใครละ 


 


 


หลังจากที่เขาเสร็จธุระกับองค์กรทั้งสองแล้ว องค์กรอื่นๆ ก็จัดการไม่ยาก องค์กรพวกนั้นแข็งแกร่งกว่า EO ก็จริงแต่ความแข็งแกร่งก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน อย่างมากพวกเขาก็มีผู้บำเพ็ญระดับ B สองสามคนแค่นั้นละนะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวเท่าไหร่หรอก 


 


 


ไม่ว่าพวกเขาจะสงสัยกันมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่กล้าเข้ามาโจมตีหรอก พวกเขาคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเบ็นเนตต์เท่านั้น คงคิดว่าเขาแปลกมากที่มาหาผู้คนในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้เพื่อกวนประสาทเล่นๆ 


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มปรับตัวกับการแสดงเป็นเบ็นเนตต์ได้แล้ว บอกเลยว่าพวกเซี่ยเหรินเซิงและคนอื่นๆ เขาก็ไม่เว้นไว้หรอก 


 


 


เบ็นเนตต์ตัวจริงนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการหาตัวคนร้าย กระนั้นองค์กรอื่นๆ กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเล็งเป้าหมาย… 


 


 


หลี่ว์ซู่กระโดดลิงโลดอย่างดีใจเข้าไปในห้องตัวเองพื่อกินผลชี่ไห่ ถึงแม้จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นข้างนอกแต่เขาก็ทำได้แค่นี้อยู่ดีนี่ สำหรับเรื่องอื่นเขาคงดูตามสถานการณ์อีกที เขาจะรอดูก่อนว่าองค์กรอื่นจะมีปฏิกิริยากันยังไง จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ 


 


 


วันรุ่งขึ้น เบ็นเนตต์ก็เริ่มสงบจิตสงบใจได้แล้ว เขาเริ่มตระหนักแล้วว่าเขาไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้ และเขาก็ไม่สามารถยกเลิกการเจรจาได้ด้วยเหมือนกัน เขาลงทุนเชิญองค์กรใหญ่มากมายมาที่นี่ และเขารู้ว่าเขาสามารถหวังพึ่งความขัดแย้งและความเคลือบเคลืองใจระหว่างองค์กรใหญ่ๆ พวกนี้ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ควรอารมณ์เสีย 


 


 


เพราะฉะนั้นเขาเลยสั่งคนให้ไปกระจายข่าวว่าเขาจะจัดการเจรจาครั้งที่สองขึ้น แต่พอคนของเขาส่งข่าวกลับมา ก็พบว่าความคิดของพวกองค์กรต่างๆ นั้นเปลี่ยนไปแล้ว องค์กรทั้งหมดปฏิเสธคำเชิญและไม่อยากเจรจาอีกต่อไป 


 


 


เบ็นเนตต์ไม่เข้าใจเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย แล้วทำไมคนพวกนี้ไม่อยากมาคุยแล้วละ 


 


 


ถ้ามีแค่องค์กรสององค์กรถอนตัวไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่ทั้งสิบเอ็ดองค์กรพากันเปลี่ยนใจไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ได้ยังไง! จะเปลี่ยนใจไวภายในคืนเดียวแบบนั้นเลยเหรอ… 


 


 


เบ็นเนตต์เริ่มสงสัยขึ้นมา เขาสั่งให้ลูกน้องนำผลิตภัณฑ์พิเศษจากท้องถิ่นไปมอบให้กับองค์กรต่างๆ เพื่อเป็นของขวัญ ของพวกนี้เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เขาแค่อยากเห็นว่าองค์กรใหญ่พวกนั้นจะแสดงท่าทียังไง อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงปฏิเสธการเจรจาได้ 


 


 


แต่ลูกน้องเขาดันกลับมาพร้อมกับความงุนงง คำตอบจากองค์กรอื่นเป็นไงน่ะเหรอ พวกเขาตอบกลับมาว่า ‘เราไม่คู่ควรหรอก’ 


 


 


เบ็นเนตต์งงยิ่งกว่าเดิม 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเบ็นเนตต์ โธมัส +999!] 


 


 


ไม่คู่ควรอะไรกัน ถ้าพวกแกไม่คู่ควรแล้วใครในโลกของผู้บำเพ็ญนี้จะคู่ควรอีกละ 


 


 


แล้วทำไมทุกคนต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันด้วย ล้อกันเล่นรึไง! 


 


 


หลี่ว์ซู่ได้แต้มอารมณ์มาอย่างไม่ขาดสาย หลังจากที่ได้มาระลอกใหญ่ระลอกแรกแล้ว เขาก็ได้แต้มอารมณ์จากตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แต่ก็ได้เร็วกว่าตอนที่เขาเริ่มสร้างภูเขาแห่งพลังมาก ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จอีกเยอะ เขาไม่ต้องกินผลดวงดาวอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกว่าแค่กินผลชี่ไห่ก็ได้ผลที่ดีมากแล้ว 


 


 


ภูเขาแห่งพลังลูกที่สองของเขาเกือบจะก่อตัวขึ้นมาเสร็จแล้ว เขาไม่สนใจหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะเขากำลังรอให้จิตวิญญาณกระบี่ที่สองถือกำเนิดขึ้นมาอยู่ 


 


 


หลังจากที่เขาได้สร้างภูเขาแห่งพลังขึ้นมาแล้วเขาก็ยังต้องขุดมันอีก แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม เขาจะเริ่มขุดจากตีนเขาในขณะที่มันกำลังก่อตัวขึ้นมานั่นแหละ เขาจะไม่รอช้าอีกต่อไปแล้ว 


 


 


พอถึงเวลาอาหาร หลี่ว์ซู่ก็เร่งไปที่ห้องรับประทานอาหารเพื่อทำอาหารกิน เขาเห็นหลิวฝาน เซี่ยเหรินเซิง และหลินกานอวี่คุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น 


 


 


หลี่ว์ซู่อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “การเจรจาเป็นไงบ้าง” 


 


 


หลิวฝานลังเลใจที่จะตอบ “…พวกเขายังไม่เริ่มกันเลย” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +399!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มต่อไป เขาเลยให้กำลังใจคนอื่นๆ “สู้ๆ นะ เดี๋ยวก็มีการเจรจาในตอนท้ายเองแหละ!” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +499!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกันหมดแหละ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ต้องการไปทำให้ความกะตือรือร้นของพวกเขาจางไป มันก็แค่เวิธีที่คนอื่นๆ เลือกใช้นั้นต่างออกไปเท่านั้นเอง หลี่ว์ซู่ก็อยากให้กำลังใจพวกเขานะ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้แต้มอารมณ์มาก็ไม่รู้… 


 


 


แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้นข้างนอก มีคนสู้อยู่! 


 


 


การต่อสู้นั้นเริ่มอย่างไวและจบอย่างเร็วเหมือนกัน เซี่ยเหรินเซิงมองออกไปข้างนอกแล้วกลับเข้ามา เขาพูดว่า “องค์กรเหล็กจากเยอรมันและคนองค์กรซาร์ดินจากอิตาลีทะเลาะกันน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก” 


 


 


แล้วทุกคนก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้องค์กรขนาดใหญ่กทั้งหลายควันออกหูกันแล้ว! 


ตอนที่ 648 สู้กัน! สู้กัน!


 


 


ในตอนแรกสถานการณ์ของ EO มันก็ชัดเจนดีอยู่หรอก มีสองผลลัพธ์ที่สามารถเป็นไปได้ ผลลัพธ์แรกคือพวกเขาจะได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างองค์กรใหญ่และได้กำไรมาอย่างงาม หรือผลลัพธ์ที่สองก็คือถูกองค์กรใหญ่ทำลายล้างไปเลย และผู้ชนะก็จะได้ทรัพยากรแร่ไป


 


 


วันที่หลี่ว์ซู่ออกไปป่วนประสาทองค์กรต่างๆ เขาได้รับข่าวจากเครือข่ายฟ้าดินมาว่าที่ EO ตัดสินใจจัดการเจรจาแบบนี้ไม่ใช่เพราะเบ็นเนตต์เป็นคนเก่งและกล้าหาญ แต่เป็นเพราะฝ่ายศรัทธานั้นบีบให้ EO เอาทรัพยากรแร่มาให้ในเวลาอันจำกัด เบ็นเนตต์ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เลยเสี่ยงเชิญทั้งสิบเอ็ดองค์กรมาในคราวเดียว หากคิดถึงผลที่แย่ที่สุดแล้ว เรียกได้ว่าเขาสู้สุดฤทธิ์กับฝ่ายศรัทธาเลยละ


 


 


หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้ว เบ็นเนตต์กำลังเดิมพันครั้งใหญ่อยู่นี่เอง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าต่อให้เบ็นเนตต์จะถือเป็นยอดฝีมือของโลกของผู้บำเพ็ญก็ตาม แต่เขาไม่ได้ทรงหรือโอ้อวดตัวเองว่าฉลาดอะไรด้วย ใครๆ ก็พูดได้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนฉลาดเลย แล้วทำไมเขาถึงยังยอมเสี่ยงอยู่อีก


 


 


งั้นฝ่ายศรัทธาก็อยู่เบื้องหลังมาตลอดเลยสิ หลี่ว์ซู่ต้องปกป้องตัวเองหน่อยเสียแล้ว


 


 


เอาจริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็ชื่นชมเบ็นเนตต์เหมือนกันนะ ในโลกแห่งผู้บำเพ็ญนี้ ทุกคนต่างอยู่กันแบบปลาใหญ่กินปลาเล็กทั้งนั้นแหละ ฝ่ายศรัทธามีผู้บำเพ็ญระดับ A เยอะแยะอย่างกับปล้นมา ส่วนเบ็นเนตต์นั้นมีพลังแค่ระดับ B เท่านั้น เขาเลยทำได้แค่ใช้ความสามารถปกป้องตัวเองเอาตัวรอดไปอย่างนั้นแหละ


 


 


แต่หลังจากที่หลี่ว์ซู่มาที่ประเทศนี้ เขาก็พบว่าเบ็นเนตต์ไม่ได้ทำอะไรดีเด่เท่าไหร่ หลี่ว์ซู่ได้ข้อมูลมาว่าที่เบ็นเนตต์สร้างค่ายทหารขึ้นมาก็เพราะเขาอยากสร้างกองกำลังหน้าใหม่ให้กับ EO เท่านั้น อีกอย่างทหารที่มาฝึกก็ไม่ได้สมัครใจมาเองด้วย พวกเขาโดนบังคับมาต่างหาก


 


 


พวกเขาบุกเข้าโจมตีหมู่บ้านและลักเอาพวกเด็กๆ มา หลี่ว์ซู่รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วแต่พออ่านข้อมูลนี้อีกรอบ เขาก็มั่นใจจริงๆ ว่าพวกเขากระทำเรื่องผิดศีลธรรม


 


 


หลี่ว์ซู่กินผลชี่ไห่อยู่เงียบๆ ในวิลล่า ตอนนี้ทั้งพวกองค์กรใหญ่และ EO ต่างก็อยู่ในความโกลาหลกันใหญ่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่หลี่ว์ซู่จะเคลื่อนไหวทำอะไร เขารู้สึกว่าถ้าเขาออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง


 


 


แต่ถ้าเครือข่ายฟ้าดินยังได้ข้อมูลนี้มา ฮาเวิร์ดเองก็น่าจะได้ข้อมูลนี้ไปเหมือนกัน


 


 


ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ทำให้องค์กรอื่นเข้าใจว่าเบ็นเนตต์มีคนหนุนหลัง แล้วตอนนี้สถานการณ์กลายเป็นแบบไหนไปแล้วละ


 


 


คืนนั้นหลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานจากด้านนอกของวิลล่า คลื่นพลังน่ากลัวนั่นทำให้หลี่ว์ซู่คิดว่ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นข้างนอก


 


 


เขารีบกระโดดขึ้นไปสังเกตการณ์บนหลังคาของวิลล่า แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นนกฟีนิกซ์ตัวใหญ่กำลังสยายปีกเพลิงบินไปทางฟรานเชสโก้จากฝ่ายศรัทธา เปลวไฟกระจายออกจากปีกของมันเหมือนขนนกกำลังร่วงหล่น แต่ขนนกพวกนี้อันตรายมาก พวกเขาไม่กล้ายืนดูเลย


 


 


กลุ่มลูกน้องของเขารออยู่นอกสนามรบ คอยป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ เข้ามาโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว


 


 


ฮาเวิร์ดชี้ไม้เท้าสีแดงทรงพลังของเขาขึ้นฟ้า แล้วนกฟีนิกซ์ก็เปลี่ยนสีจากสีส้มเป็นสีแดงก่ำ ทันใดนั้น บรรดาลูกน้องที่อยู่ด้านนอกก็ปลิวขึ้นไปในอากาศกันหมด!


 


 


ฟรานเชสโก้ค่อยๆ เดินออกมาราวกับว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย พอฟีนิกซ์เพลิงบินมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็อ้าแขนออกทันที แสงสีขาวบริสุทธิ์พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาเพื่อทำหน้าที่เป็นโล่ป้องกันฟีนิกซ์ให้ออกไป


 


 


เขาเหาะขึ้นไปข้างบนอย่างใจเย็นประหนึ่งกำลังอยู่ในพายุ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ “แสงของวายร้ายจะต้องถูกดับมอด แสงของเขาไม่ควรส่องประกายออกมา”


 


 


ฮาเวิร์ดหัวเราะอย่างเย็นชา “พวกฝ่ายศรัทธานี่เป็นองค์กรเปี่ยมศีลธรรมจริงๆ เลยนะ ก็เป็นพันธมิตรกับเบ็นเนตต์แล้วนี่ งั้นก็รับความโกรธเกรี้ยวจากกลุ่มฟีนิกซ์ไปเสียเถอะ”


 


 


ฟรานเชสโก้เงียบไป เขาไม่เข้าใจเลย กลุ่มฟีนิกซ์ไม่ใช่เหรอที่เป็นผู้หนุนหลังเบ็นเนตต์น่ะ ทำไมกลุ่มฟีนิกซ์ถึงต้องเดือดดาลด้วยล่ะ


 


 


เขาฉุกใจคิดว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง พวกเขาต่างคิดกันหมดว่าเบ็นเนตต์มีองค์กรใหญ่องค์กรหนึ่งคอยหนุนหลัง แต่จริงๆ แล้วเบ็นเนตต์แกล้งแสดงเพื่อหลอกให้พวกเขาสับสนรึเปล่า งั้นก็แปลว่าเขาไม่ได้มีใครหนุนหลังมาตั้งแต่แรกแล้วสิ!


 


 


เบ็นเนตต์กำลังทำอะไรอยู่กันแน่…


 


 


พวกเขาอาจไม่เชื่อก็ได้ แม้กระทั่งตัวเบ็นเนตต์เองก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาไปทำอะไร…


 


 


แต่ฟรานเชสโก้นั้นไม่อยากให้ฮาเวิร์ดล่วงรู้ความจริง เขาอาจใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ได้มาขาดๆ หายๆ นี้ได้


 


 


ทันใดนั้นฟรานเชสโก้ก็ดึงดาบยาวออกมาจากผ้าคลุมสีขาว ดาบนั้นส่องแสงสีเงินออกมาสะท้อนกับแสงไฟของนกฟีนิกซ์ อากาศรอบๆ บิดเบี้ยวไปหมดเพราะแสงสีเงินดังกล่าว


 


 


ความขัดแย้งระหว่างผู้มีพลังระดับ B สองคนนั้นน่ากลัวเหลือเกิน แสงสีเงินนั้นปกคลุมเปลวเพลิงของนกฟีนิกซ์ ฮาเวิร์ดรู้สึกว่านกฟีนิกซ์ของเขาคงหลบการผูกมัดนี้ไม่ได้ง่ายๆ แน่


 


 


เขาวางไม้เท้าไว้บนพื้น จากนั้นมันก็ระเบิดออกมาเป็นอัคคีคลั่ง เขากระโจนเข้าหาฟรานเชสโก้ประหนึ่งงูพิษที่ปกคลุมด้วยเปลวเพลิง


 


 


ทันใดนั้นผู้มีพลังสายธาตุดินระดับ B ซึ่งคอยมองดูการต่อสู้อยู่ตลอดเวลาก็ถลาเข้ามาโจมตีฮาเวิร์ด ฟรานเชสโก้คลี่ยิ้ม


 


 


ตอนนี้องค์กรทั้งสิบเอ็ดมาถึงแล้ว ไม่มีใครแย่งแร่มาเป็นของตัวเองอีกแล้ว พวกพันธมิตรได้ตัดสินใจจุดยืนของตัวเองเรียบร้อย พวกเขาแค่รอให้สมรภูมิรบเปิดฉากขึ้นจริงๆ เท่านั้นเอง!


 


 


ฮาเวิร์ดที่อยู่ในสภาพไร้การป้องกันถูกพื้นดินใต้เท้าส่งให้ลอยขึ้นไปในอากาศ เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ เมื่อพสุธาเริ่มดันตัวขึ้นมา ฮาเวิร์ดก็รีบถลาเข้าไปรวมตัวกับเปลวไฟอย่างเต็มรูปแบบ เพลิงอัคคีนั้นกำลังปกป้องเขาอยู่!


 


 


อย่างไรก็ตามไม้เท้าที่อยู่บนพื้นก็ลอยกระเด็นออกไปด้วย เปลวไฟของนกฟีนิกซ์กลับมาเป็นสีส้มอีกครั้ง แล้วพลังของมันก็ลดลงมาอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ฟรานเชสโก้ค่อยๆ พับเสื้อคลุมแล้วเดินเข้าไปหาฮาเวิร์ด ทันใดนั้นก็มีก้อนหินก้อนใหญ่ลอยผ่านไป ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “ฮาเวิร์ด เราจะช่วยกันฆ่ามันใช่ไหม”


 


 


แล้วหินใหญ่ก้อนหนึ่งก็ลอยผ่านฟรานเชสโก้ไป ฟรานเชสโก้รีบหลบเข้าไปในหลุมของตึก EO ที่โดนหนูตัวเล็กๆ นั่นทำลายไป…


 


 


ทันใดนั้นฟรานเชสโก้ก็คิดบางสิ่งออก งั้นฮาเวิร์ดก็เป็นคนโจมตีสำนักงานใหญ่ของ EO น่ะสิ แต่ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นละ


 


 


ฮาเวิร์ดคิดอยู่นานแต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้มีกองกำลังมาช่วยเขาได้ จริงอยู่ว่าในบรรดาสิบเอ็ดองค์กรนี้ กลุ่มฟีนิกซ์พอจะมีพันธมิตรอยู่ในนั้นบ้าง แต่ชายผิวขาวคนนี้… เขาจำไม่ได้เลย!


 


 


สงสัยคนพวกนี้อยากจะขอใช้อำนาจของเขาเพื่อจัดการฝ่ายศรัทธาซะ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาที่นี่ พวกฝ่ายศรัทธาก็จะได้เปรียบในสถานการณ์นี้ไปเต็มๆ


 


 


ฮาเวิร์ดรู้ว่าตัวเขาอาจจะถูกหลอกใช้เป็นอาวุธ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธสิ่งเพราะเขาอยากกดดันฝ่ายศรัทธาสักหน่อยน่ะสิ!


 


 


กระนั้นชายคนนี้ไม่ได้วิ่งเข้าหาฟรานเชสโก้ แต่พุ่งตรงไปหาไม้เท้าของฮาเวิร์ดต่างหากล่ะ!


 


 


ทันใดนั้นความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วสนามต่อสู้ ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ชายคนนั้นก้มลงเก็บไม้เท้าของฮาเวิร์ด จากนั้นเขาก็วิ่งหนีหายไป…


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฮาเวิร์ด มิลเลอร์ +999!]


 


 


เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย! ฮาเวิร์ดรู้สึกได้ถึงโทสะของตัวเองเมื่อเขาเห็นร่างนั้นวิ่งหนีจากไป…


ตอนที่ 649 การปล่อยไปตามสถานการณ์คืออุบายที่ร้ายที่สุด


 


 


การต่อสู้ไม่ควรจบแบบนี้สิ ไม่อย่างนั้นทั้งกลุ่มฟีนิกซ์และฝ่ายศรัทธาคงขัดแย้งกันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว พวกเขาคงต้องใช้ทุกกลยุทธ์และพันธมิตรที่มี องค์กรอื่นๆ ก็คงถูกบีบให้ต้องเลือกข้างระหว่างสององค์กรนี้ และสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นสงครามที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก


 


 


ที่สุดแล้วอำนาจของทั้งสององค์กรก็แผ่ขยายไปไกลถึงต่างประเทศ พวกเขาจะต้องเข้าห้ำหั่นกันอย่างแน่นอน นอกเหนือจากองค์กรแถวหน้าอย่างเครือข่ายฟ้าดินที่ดูเผินๆ อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งนัก ก็มีฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์นี่แหละ ที่เป็นสององค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกตอนนี้ เพราะทั้งสององค์กรมีผู้มีพลังระดับ A อยู่


 


 


องค์กรทั้งสองตั้งใจจะสู้กันเมื่อพวกเขาพบหน้าที่แอฟริกา


 


 


กระนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงเมื่อชายผิวขาวได้ขโมยเอาไม้เท้าของฮาเวิร์ดไป สถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุมไปเสียแล้ว…


 


 


ไม่ใช่ฮาเวิร์ดคนเดียวเท่านั้นที่ตกใจและโกรธมาก ขนาดฟรานเชสโก้เองยังตะลึงไปด้วยเหมือนกัน “ใครน่ะ…”


 


 


พวกเขาต่างตกตะลึงอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครเข้าใจว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อฟรานเชสโก้คิดไปถึงเหตุการณ์ที่ชายคนนั้นขโมยไม้เท้าไป เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างช่วยไม่ได้…


 


 


ฮาเวิร์ดพยายามจับสัมผัสระหว่างตัวเขากับไม้เท้า แต่กลายเป็นว่าเขาสัมผัสถึงไม้เท้าไม่ได้เลย มีคำอธิบายอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือชายคนนั้นเก็บไม้เท้าเข้าไปในที่เก็บของล่องหน


 


 


แต่ชายคนนั้นมันเป็นใครกันล่ะ!


 


 


ทุกคนพยายามวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา เขาคือคนที่โยนเต้าหู้เหม็นและเขาก็เป็นคนที่เข้าไปโจมตีสำนักงานใหญ่ของ EO ด้วย แถมเขายังขโมยไม้เท้าของโฮเวิร์ดไปอีก เขาต้องการอะไรกันแน่นะ แล้วเขามาจากองค์กรไหนกัน


 


 


ในเรื่องเล่านั้นมีเหตุการณ์ที่ใช้อุบายปรากฏอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีอันไหนที่ดูลึกลับจนผิดสังเกต การแต่งหน้ากลบตัวตนน่ะทำได้อยู่แล้ว แต่พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่สามารถเปลี่ยนเชื้อชาติหรือรูปลักษณ์ได้ขนาดนั้น


 


 


ทุกคนต่างไม่มีใครคาดคิดว่าชายคนนี้จะมาจากเครือข่ายฟ้าดิน อย่างไรก็ตามคนคนนี้น่าจะมีพลังระดับ B เป็นอย่างต่ำละนะ พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามียอดฝีมือที่รับผิดชอบดูแลงานต่างประเทศเข้าร่วมกับเครือข่ายฟ้าดิน


 


 


เรื่องที่หลี่ว์ซู่มีหน้ากากนั้นยังเป็นความลับอยู่ แต่ทุกคนรู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินได้เอาดวงตาแห่งค่ายกลจากเกาะช้างไป กระนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าดวงตาแห่งค่ายกลนั้นทำอะไรได้บ้าง


 


 


หลี่ว์ซู่แค่อยากดูสององค์กรสู้กันแค่นั้นเอง เขารู้ว่าถ้าเขาลงเคลื่อนไหวย่อมต้องเกิดความเงียบชวนอึดอัดใจขึ้น แต่พอเขาเห็นไม้เท้าของฮาเวิร์ดตกอยู่ เขาก็ห้ามใจไม่ได้…


 


 


เขาบอกจ้าวหย่งเฉินไปว่าให้เล่นไปตามสถานการณ์ การปล่อยไปตามสถานการณ์นี่แหละคืออุบายที่ร้ายที่สุด


 


 


สีหน้าของฮาเวิร์ดเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว เขามองไปทางฟรานเชสโก้ “มันมาจากองค์กรของแกใช่ไหม”


 


 


ฟรานเชสโก้ได้ยินแล้วก็หัวเราะ เขาไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธอะไร ดูแล้วหมอนั่นไม่น่าจะอยู่ข้างฮาเวิร์ดแน่ ถ้าเขากดดันฮาเวิร์ดไปว่ามีคนระดับ B ซ่อนอยู่ก็ไม่น่าเป็นปัญหาอะไร


 


 


“ดีจริงๆ” ฮาเวิร์ดหัวเราะ “องค์กรที่มีศีลธรรมสูงส่งแบบนี้กลับทำเรื่องผิดศีลธรรมเอง”


 


 


สมาชิกฝ่ายศรัทธาที่อยู่ตรงนั้นกว่ายี่สิบคนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที คำพูดของฮาเวิร์ดนั้นดูถูกสมาชิกทุกคนทั้งหมด แล้วฟรานเชสโก้ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอดทน “การอภัยให้ความผิดพลาดของผู้อื่นถือเป็นเรื่องทรงเกียรติ”


 


 


พอเขาพูดจบ แขนเสื้อของฮาเวิร์ดก็สะบัดขึ้นในอากาศ แล้วทันใดนั้นร่างของเขาเปลี่ยนเป็นอัคคีลุกโชน ผมบนศีรษะของเขาเองก็เปลี่ยนเป็นไฟด้วย ตาของเขาทอประกายเจิดจ้า “คิดเหรอว่าจะได้เปรียบเพราะฉันไม่มีไม้เท้าน่ะ น่าหัวร่อจริงๆ เพราะอย่างนี้สินะเลยต้องแอบซุกหัวตอนปรมาจารย์หุ่นเชิดปรากฏตัว ในขณะที่ฝ่ายเรานี่แหละที่เข้าไปประจันหน้าตรงๆ!”


 


 


ทันใดนั้นฟีนิกซ์เพลิงก็ดิ้นออกจากประกายแสงสีเงินจากดาบของฟรานเชสโก้ เมื่อได้อิสระ มันก็บินกลับไปหาฮาเวิร์ด แล้วฮาเวิร์ดก็ลอยขึ้นบนอากาศราวกับเทพสวรรค์ ฟีนิกซ์เพลิงพ่นลูกไฟขนาดใหญ่ไปทางฟรานเชสโก้


 


 


ไฟนั้นพุ่งเข้าหาเขาราวกับกลุ่มก้อนพลังอันรุนแรง!


 


 


ฟรานเชสโก้รักษาท่าทีใจเย็นสบายๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นแล้วปักดาบลงไปโดยมีเกราะสีขาวล้อมอยู่รอบๆ


 


 


ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามแสบแก้วหูดังขึ้นท่ามกลางค่ำคืน แล้วเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกไปจู่โจม ฮาเวิร์ดปกปิดมาตลอดว่าเขาเป็นผู้มีพลังสายธาตุโลหะระดับ B!


 


 


ฮาเวิร์ดและสหายร่วมรบของเขากระโจนเข้ามาในการต่อสู้ทันทีเพื่อฆ่าฟรานเชสโก้ ผู้มีพลังสายธาติดินว่าเองก็เตรียมจะเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วย แต่ก็ต้องหยุดกลางคัน มีผู้มีพลังระดับ B จากออสเตรเลียคนหนึ่งบังทางเขาไว้ กองหนุนของฮาเวิร์ดนั้นมีพลังมากกว่าของฟรานเชสโก้มาก!


 


 


ตูม! ทั้งเข็มทั้งเปลวไฟพุ่งชนใส่กันบนเกราะของฟรานเชสโก้ การพุ่งชนทำให้เกิดแรงระเบิดไปทั่วและทำให้เกิดความปั่นป่วนในอากาศ ความปั่นป่วนนั้นเป็นเหมือนด้ายที่ถักทอปกคลุมการมองเห็นของทุกคน กลุ่มลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ไม่แม้แต่จะมีโอกาสเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วยเพราะโดนระเบิดกระเด็นออกไปหมด!


 


 


ในขณะที่ชุลมุนกันอยู่นั้นเอง ฟรานเชสโก้ก็ดึงดาบที่ปักอยู่บนพื้นแล้วชี้ไปที่ฮาเวิร์ด เขาอยากหยุดป้องกันตัวแล้วใช้พลังทั้งหมดทุ่มฆ่าฮาเวิร์ด มาดูกันว่าใครจะเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่า


 


 


แต่แล้วดาบเล่มหนึ่งก็โผล่ออกมากลางอากาศ แล้วชุดอัศวินก็ปรากฏอยู่บนตัวของฟรานเชสโก้ ฟีนิกซ์เพลิงโฉบลงไปทางฟรานเชสโก้ และทั้งสองก็เขาโจมตีกันอย่างเต็มกำลัง!


 


 


จากนั้นก็มีระเบิดเกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อให้เกิดเป็นรอยแยกบนพื้น การปะทะกันของพลังกระเพื่อมผ่านท้องฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืน


 


 


ทั้งฮาเวิร์ดทั้งฟรานเชสโก้ต่างกระเด็นออกไปทางด้านหลัง ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง


 


 


และในตอนนี้ก็มีคนคนหนึ่งที่กระโดดไปทั่วราวกลุ่มดาวบนนภา เขาเดินแหวกผ่านคลื่นพลังเพื่อเข้าไปในการต่อสู้ เขาสามารถต่อต้านพลังที่น่ากลัวนี้ได้!


 


 


พอฟรานเชสโก้และฮาเวิร์ดสังเกตเห็นเขา พวกเขาก็มีลางสังหรณ์แปลกๆ …


 


 


ฟรานเชสโก้ไม่พูดอะไรออกไปสักคำ


 


 


ฮาเวิร์ดเองก็เงียบ


 


 


พอคนนั้นเข้ามาในสนามต่อสู้แล้วก็ดูเหมือนว่าเขากำลังหาของบางอย่าง เมื่อสายตาของเขาเลื่อนไปหยุดที่ฟรานเชสโก้ เขาก็มีปฏิกิริยาบางอย่าง เขาพุ่งเข้าไปหาฟรานเชสโก้และกระโดดข้ามเขาไปในครั้งเดียว!


 


 


ต่อมานั้นฟรานเชสโก้ก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังถือดาบของเขาอยู่ในมือ…


 


 


ฟรานเชสโก้ที่ยังอยู่กลางอากาศกำดาบของตัวเองไว้แน่น “อะไรวะ…”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +666!]


 


 


คนคนนั้นพูดภาษาอังกฤษตอบฟรานเชสโก้ด้วยเสียงเล็กๆ “คุณติดเชื้อราที่เล็บแน่ะ เดี๋ยวมันจะลามไปถึงอีกคนด้วยนะ”


 


 


ฟรานเชสโก้ร้องเสียงดัง “อะไรนะ!!!”


 


 


ตอนที่ฟรานเชสโก้ตกใจอยู่นั่นเอง เขาก็ถูกฉกดาบไป! ผ่านมาจนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจเลยวาทำไมคนคนนั้นต้องพูดแบบนี้กับเขาด้วย เขาไม่มีเชื้อราในเล็บสักหน่อย ตอนแรกก็คิดว่าจะมีอะไรสำคัญมาพูดด้วย แต่ตอนนี้กลับไม่มีวี่แววอะไรจากเขาเลย


 


 


บ้าไปแล้วเหรอ!


 


 


ในตอนนั้นฟรานเชสโก้ทิ้งลูกโลหะออกจากแขนเสื้อด้านขวาของเขา เขาตั้งใจจะทำให้ลูกโลหะนี้ระเบิดไปพร้อมกับหลี่ว์ซู่


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอย่างนั้น หลี่ว์ซู่ก็วิ่งหนีหายไปแล้ว…


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!]


ตอนที่ 650 สะสาง 


 


 


การต่อสู้ระหว่างฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์นั้นถูกคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าสักวันต้องเกิดขึ้น แต่อยู่ๆ ก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเสียอย่างนั้นเพราะมีใครก็ไม่รู้โผล่เข้ามาป่วน 


 


 


ทั้งสององค์กรเป็นองค์กรผู้บำเพ็ญระดับต้นๆ ที่แก่งแย่งชิงดีกันทั้งอำนาจทั้งอิทธิพล เพราะฉะนั้นการต่อสู้ของฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์ดูจะเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต่อสู้นี้อาจเกิดขึ้นในหรือนอกโบราณสถานก็ได้ และผู้ชนะก็จะเพลิดเพลินไปกับการมีอำนาจที่เหนือกว่าการครองโลกไปได้ 


 


 


อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้คงถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าอับอายสำหรับองค์กรทั้งสอง… 


 


 


ฟรานเชสโก้ไม่สามารถหาคำอธิบายให้กับการกระทำที่น่ารังเกียจของชายคนนั้นได้ 


 


 


ตอนแรกฮาเวิร์ดแทบจะกระอักเลือดออกมาตอนที่โดนฟรานเชสโก้โจมตีจนสูญเสียการควบคุมพลังวิญญาณไปด้วย 


 


 


ต่อมาเขาก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้เพราะอาวุธของฟรานเชสโก้ถูกขโมยไปเสียอย่างนั้น… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!] 


 


 


อันที่จริงแล้วไม้เท้าไฟของฮาเวิร์ดนั้นไม่ได้ได้มาง่ายๆ กลุ่มฟีนิกซ์ต้องวิจัยประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตำนานมากมายเพื่อค้นหาไม้เท้าที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้มีพลังสายธาตุไฟ แต่สุดท้ายมันก็ถูกฉกไปดื้อๆ 


 


 


เขาโกรธมาก แต่เขารู้ว่าดาบของฟรานเชสโก้นั้นสำคัญกว่าเป็นไหนๆ เพราะมันถือเป็นสิ่งแสดงสถานะที่เหนือกว่าภายในกลุ่ม สำหรับฟรานเชสโก้แล้ว ดาบถือเป็นทั้งอาวุธและสัญลักษณ์แห่งพลัง แต่สุดท้ายแล้วมันก็โดนฉกไปเหมือนกัน… 


 


 


ฮาเวิร์ดควรจะรู้สึกเศร้าสิ แต่น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกอย่างนั้น… 


 


 


ทั้งสองคนพยายามยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล พวกเขาไม่มั่นใจว่าควรดำเนินการต่อสู้ต่อไปหรือไม่ อะไรเนี่ย… ขนาดความคิดของพวกเขายังฟุ้งซ่านไปด้วย 


 


 


ตอนนี้ทั้งฟรานเชสโก้และฮาเวิร์ดต่างตกลงกันอยู่ในใจว่าจะไม่พูดอะไรต่อ หลังจากมองหน้ากันแล้ว พวกเขาก็รีบวิ่งไปทางที่หลี่ว์ซู่หายตัวไปพร้อมกับคนของกลุ่มตัวเอง… 


 


 


ฟรานเชสโก้หัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา “นี่เป็นความคิดโง่ๆ ของแกเองนะว่าจะให้ใช้ความขัดแย้งของเราล่อยอดฝีมือของเครือข่ายฟ้าดินออกมาน่ะ แต่ดูสิว่าเราต้องเสียอะไรไปเท่าไหร่ก่อนที่มันจะออกมาได้เสียอีก!” 


 


 


คนนอกคงคาดไม่ถึงว่าฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์จะจับมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว เพราะพวกเขาเพิ่งเห็นองค์กรทั้งสองสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่จริงแล้วพวกเขาอยากจะกำจัดเครือข่ายฟ้าดินออกไปก่อนนี่เอง! 


 


 


กระนั้นกลับกลายเป็นว่ากลุ่มของเครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่มีผู้มีพลังระดับ B เลย ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนแผน 


 


 


พวกเขาตั้งใจจะฆ่าราชันฟ้ามาตั้งนานแล้ว ถึงกลุ่มฟีนิกซ์และฝ่ายศรัทธาจะเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นองค์กรที่เกือบจะแข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ตาม ทว่าพวกเขาก็ยังต้องระวังศัตรูคนเดียวกัน นั่นคือเครือข่ายฟ้าดิน 


 


 


ทั้งสองกลุ่มเป็นองค์กรระดับต้นๆ ที่มีผู้มพลังระดับ A หนึ่งคนอยู่ในกลุ่มของตัวเอง แต่เครือข่ายฟ้าดินนั้นมีถึงสองคน ด้วยเหตุนี้พวกเขาถึงต้องร่วมมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของเครือข่ายฟ้าดินด้วยกัน และเมื่อตกลงกันว่าจะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องกำจัดราชันฟ้าออกจากสถานการณ์นี้ 


 


 


อย่างไรก็ตาม กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ราชันฟ้าที่พวกเขารอคอยกลับไม่ปรากฏตัว… 


 


 


ความจริงแล้วทั้งฟรานเชสโก้และฮาเวิร์ดต่างก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้หัวขโมยนั่นเป็นใคร 


 


 


แต่นับแต่นี้ต่อไป ไอ้หมอนั่นได้เข้าไปอยู่ในบัญชีดำของกลุ่มฟีนิกซ์และฝ่ายศรัทธาแน่! 


 


 


ฮาเวิร์ดเอ่ยตอบอย่างใจเย็น “แต่แกเองก็เห็นด้วยกับความคิดนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องมาโทษกันเลย อีกอย่างตอนนี้ก็แน่ใจแล้วว่าเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้สนใจทรัพยากรแร่ คนของฝั่งฉันจับตาดูพวกมันไว้แล้ว การต่อสู้ของเราไม่ได้ดึงดูดคนของมันมาเลย” 


 


 


“เดี๋ยวนะ” ฟรานเชสโก้หยุดและถาม “คนของแกไม่เห็นไอ้หมอนั่นเข้ามางั้นเหรอ” 


 


 


“เห็นสิ” ฮาเวิร์ดตอบ “มันไม่ได้ซุ่มมองมาจากความมืดหรอก แต่มันมาพร้อมอาวุธครบมือและคนของฉันก็หยุดมันไว้ไม่ได้” 


 


 


ฟรานเชสโก้ได้ยินอย่างนั้นก็พูดไม่ออก 


 


 


ฮาเวิร์ดเลยเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “รีบส่งคนไปหาไอ้หมอนั่นเร็ว ตอนนี้เบ็นเนตต์ไม่ใช่ปัญหาหรอก เรื่องสำคัญตอนนี้คือหาตัวเจ้านั่นให้เจอ” 


 


 


พวกเขาสู้กันที่ไหนก็ได้ แต่จะสู้กันแบบไม่มีอาวุธไม่ได้… 


 


 


พวกเขาจับมือเป็นพันธมิตรกันด้วยเป้าหมายที่จะจู่โจมเครือข่ายฟ้าดินเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วพวกเขาก็ยังเป็นศัตรูกันในเรื่องโบราณสถานและเรื่องแร่อยู่ดี 


 


 


นี่แหละคือวิธีที่องค์กรใหญ่ๆ มักจะใช้กัน พวกเขามีทั้งเรื่องที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย 


 


 


ตอนนี้พวกเขาตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์แล้วว่าจะหยุดการต่อสู้เรื่องแร่เอาไว้ก่อนจนกว่าจะจับตัวคนร้ายมาได้ ตอนนี้พวกเขาต้องจัดการปัญหาภายนอกก่อนแล้วค่อยมาสะสางเรื่องส่วนตัว 


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือจะต้องสะสางเรื่องในสนามต่อสู้ก่อน! 


 


 


จนป่านนี้เบ็นเนตต์ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ตกเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอเหลือเกิน ในขณะที่เขาหวังว่าตัวเองจะรอดด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อขัดแย้งระหว่างองค์กรใหญ่ๆ 


 


 


เขาขอร้องให้เสือช่วย แต่เขาลืมไปว่าเสือตัวจริงนั้นกระหายเลือดและเนื้อแค่ไหน 


 


 


ฟรานเชสโก้หยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนพูด “เอาตามที่ว่า เริ่มที่เบ็นเนตต์น่าจะดี” 


 


 


… 


 


 


สำนักงานใหญ่ของ EO ถูกทิ้งร้างไว้ กลุ่ม EO ได้ขอใช้อาคารใกล้เคียงชั่วคราวโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า 


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้เปลี่ยนหน้าตาและเสื้อผ้าเป็นฮาเวิร์ดแล้ว เขากำลังเดินไปในตึกด้วยท่าทางสง่างามราวสุภาพบุรุษ ในมือเขามีไม้เท้าไฟอยู่ในมือ 


 


 


ปกติแล้วยามรักษาการณ์ท่าทางน่ากลัวที่อยู่ข้างหน้าตึก EO จะไม่ยอมให้ใครเข้าไปง่ายๆ โดยไม่ผ่านการยืนยันตัวตนก่อน แต่พวกเขาไม่กล้าเข้าไปขวางฮาเวิร์ดที่มีพลังระดับ B หรอก เพราะฉะนั้นพวกเขาเลยปล่อยให้เขาเข้าไปและรายงานหัวหน้าทันที 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปด้วยท่าทีหยิ่งยโสประหนึ่งกลุ่มทหารรับจ้างจาก EO ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย 


 


 


หลี่ว์ซู่ยิ้มให้เบ็นเนตต์อย่างใจเย็นขณะที่เบ็นเนตต์เข้ามาทักทายเขา “ผมมีข้อเสนอ” 


 


 


แล้วเบ็นเนตต์ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป “เข้ามาสิครับ” 


 


 


หลังจากที่หลี่ว์ซู่เดินตามเบ็นเนตต์เข้าไปในห้อง เขาก็พูดว่า “ผมรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังกังวลเรื่องฝ่ายศรัทธาอยู่ งั้นมาพูดกันตรงๆ ดีกว่า ผมขอให้คุณเข้าร่วมกับเราในนามของกลุ่มฟีนิกซ์ ไม่ใช่เข้าร่วมเฉยๆ นะ แต่เราจะให้ศิลาวิญญาณสามหมื่นเม็ด อาวุธวิเศษสิบชิ้น และผลปะทุพลังอีกสิบผล คุณจะได้เป็นสมาชิกสภาในกลุ่มฟีนิกซ์ แต่คุณจะต้องให้กรรมสิทธิ์แร่แก่เราอย่างเต็มรูปแบบ และแร่ในเหมืองทั้งหมดจะต้องถูกส่งไปที่อเมริกา” 


 


 


เบ็นเนตต์นิ่งไป ทำไมข้อเสนอล่อตาล่อใจแบบนี้เนี่ย เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยนะ! 


 


 


แต่เบ็นเนตต์เองก็มีแผนของเขาเองเหมือนกัน เขาเลยตอบกลับไปว่า 


 


 


“กลุ่มเรามีผู้บำเพ็ญระดับ B อีกคนหนึ่ง เขาควรที่จะได้เป็นสมาชิกสภาเหมือนกันนะครับ” 


 


 


หลี่ว์ซู่ลุกขึ้นและเตรียมตัวเดินออกไป “


ตอนที่ 651 เงื่อนไขที่ไม่สมเหตุสมผล 


 


 


ที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่คิดจะหลอกเบ็นเนตต์ต่อไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะว่าเบ็นเนตต์เป็นคนฉลาดกว่าคนโง่ธรรมดาๆ ทั่วไป แต่หลี่ว์ซู่เองก็ไม่แน่ใจว่าจะรับมือกับผู้มีพลังระดับ B สองคนได้หรือเปล่า… 


 


 


ในตอนนี้หลี่ว์ซู่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้วเพราะเป้าหมายของเขาสำเร็จเรียบร้อย 


 


 


เอาจริงๆ แล้วการทำตัวให้เหมือนฮาเวิร์ดนั้นไม่ง่ายเลยสำหรับหลี่ว์ซู่ ถึงความสูงของทั้งคู่จะอยู่ในช่วงร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่รูปร่างของฮาเวิร์ดนั้นติดจะหนากว่าเขา อย่างไรก็ตามเขาสามารถปกปิดร่างกายไว้ด้วยชุดสูทได้ 


 


 


และชุดสูทนี้ก็ได้มาจากจ้าวหย่งเฉินนั่นแหละ 


 


 


ก่อนที่กลุ่มของเซี่ยเหรินเซิงจะมาถึงในแอฟริกา จ้าวหย่งเฉินก็ได้กล่องใส่เสื้อผ้าขนาดใหญ่มา เขาคิดตั้งนานว่ากล่องนี้ทำไมถึงถูกส่งมาให้เขา เพราะราชันฟ้าเนี่ยไม่น่าจะใจดีส่งเสื้อผ้าอุ่นๆ มาให้เขาโดยไม่มีเหตุผลแน่ อีกอย่างขนาดของเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ใช่ขนาดของเขาด้วย จนหลี่ว์ซู่มาปรากฏตัวนี่แหละ เขาถึงเข้าใจในตอนท้าย 


 


 


เครือข่ายฟ้าดินนั้นเห็นความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยให้จ้าวหย่งเฉินมากเพราะเขาเป็นหัวหน้าหน่วยสืบข่าวกรองลับในแอฟริกา ดังนั้นการติดต่อกับเขาจึงเป็นการสื่อสารทางเดียว เขาสามารถติดต่อหาคนอื่นได้ แต่จะไม่มีใครสืบสาวย้อนกลับไปหาเขาได้เลย 


 


 


กระนั้นเรื่องนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเพื่อหลี่ว์ซู่เหมือนกัน หลี่ว์ซู่สามารถหาจ้าวหย่งเฉินเจอได้ กลับกัน จ้าวหย่งเฉินไม่สามารถหาตัวเขาเจอได้ ราวกับว่ามีคนตำแหน่งสูงกว่าหน่วยสืบข่าวกรองและเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องทำตาม ตอนนี้พวกเขาต้องฟังคำสั่งหลี่ว์ซู่แบบไม่มีเงื่อนไขแล้ว 


 


 


และเรื่องที่หลี่ว์ซู่มีหน้ากากไว้ครอบครองนั้นถือเป็นเรื่องลับสุดยอดที่เจ้าหน้าที่ระดับต่ำกว่าจ้าวหย่งเฉินจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


จ้าวหย่งเฉินตกใจมากเมื่อรู้ว่าหลี่ว์ซู่ทำอะไรลงไปบ้าง หลี่ว์ซู่เป็นตัวปัญหาที่กล้าหาญ ฉลาดเฉลียว และมีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ … 


 


 


จากบุคลิกของจ้าวหย่งเฉินแล้ว เขาคงจะคิดแผนการอย่างเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้นถ้าเขาอยากจะสร้างความขัดแย้งระหว่างองค์กรใหญ่ๆ แต่สิ่งที่หลี่ว์ซู่ทำไปนั้นเป็น เขาทำไปตามธรรมชาติโดยไม่มีเป้าหมายชัดเจน แล้วที่ยิ่งกว่านั้น จ้าวหย่งเฉินไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงต้องบุกไปสำนักงานใหญ่ของ EO ด้วยหน้าตาของฮาเวิร์ดด้วย… 


 


 


ในขณะนี้ ข่าวแพร่กระจายออกไปว่า EO ได้ประกาศตัวเป็นพันธมิตรกับกลุ่มฟีนิกซ์แล้วอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่ากรรมสิทธิ์แร่นั้นจะถูกโอนไปให้กลุ่มฟีนิกซ์อย่างไม่มีเงื่อนไข และเบ็นเนตต์จะเข้ามาเป็นสมาชิกสภาในกลุ่มฟีนิกซ์… 


 


 


จ้าวหย่งเฉินได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หลี่ว์ซู่ไปผูกพันธมิตรกับ EO แทนฮาเวิร์ดเองเลยเหรอ แต่กลุ่มฟีนิกซ์รู้เรื่องนี้กันหรือยังนะ… 


 


 


กลายเป็นว่ากลุ่มฟีนิกซ์ถูกบังคับให้ร่วมมือเป็นพันธมิตรเสียแล้ว! 


 


 


ในระหว่างนั้นฟรานเชสโก้ก็ได้รับข้อความระหว่างที่เขายังอยู่กับฮาเวิร์ด อะไรกัน ก็เมื่อกี้พวกเขาสองคนเพิ่งตกลงกันจะกำจัดฮาเวิร์ดออกไปก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมกลุ่มฟีนิกซ์ถึงไปเป็นพันธมิตรกับ EO แบบลับๆ ล่ะ 


 


 


ส่วนฮาเวิร์ดเองยิ่งงงหนัก เบ็นเนตต์ทำอะไรของมันนะ กลุ่มฟีนิกซ์ไปเป็นพันธมิตรด้วยตอนไหน 


 


 


ทันใดนั้น ฟรานเชสโก้ก็หันมาแฮ่ใส่เขา “ไอ้ชั่วเอ๊ย!” 


 


 


ฮาเวิร์ด “…” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฮาเวิร์ด มิลเลอร์ +999!] 


 


 


ข่าวนี้ปล่อยมาเร็วเกินไป และกลุ่ม EO ก็ไม่ได้ออกมาบอกด้วยว่าไปเป็นพันธมิตรกันอย่างไร 


 


 


เบ็นเนตต์นั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะตีสนิทกับคนมีอำนาจ ในขณะที่เขาตกอยู่ใต้การกดดันอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายศรัทธาอยู่นั้น เขาคิดว่าข้อเสนอของฮาเวิร์ดตัวปลอมค่อนข้างดึงดูดใจใช้ได้เลย เพราะอย่างนั้นเขาเลยรีบปล่อยข่าวออกไปก่อนที่กลุ่มฟีนิกซ์จะเปลี่ยนใจ 


 


 


ฟรานเชสโก้เดินออกไปพร้อมกับคนของเขาด้วยหน้าตาบูดบึ้ง เขาต้องจัดการเหตุฉุกเฉินนี้แล้ว ในขณะเดียวกันฮาเวิร์ดก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


อย่างไรก็ตามตัดเรื่องปัญหาในจิตใจของเบ็นเนตต์ไว้ก่อน ดูเหมือนเรื่องทุกอย่างนี้จะเป็นผลดีต่อกลุ่มฟีนิกซ์ เพราะฉะนั้นพวกเขางจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอกรรมสิทธิ์แร่นั่นหรอก แถมพวกเขายังได้ยอดฝีมือจาก EO มาร่วมกลุ่มด้วย 


 


 


และถ้ามีระดับ B สองคน พวกเขาก็จะควบคุมทวีปแอฟริกาได้อย่างสมบูรณ์ เขามั่นใจว่าผู้มีพลังระดับ A จากฝ่ายศรัทธาจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ที่สุดแล้วการที่เขาหลบเลี่ยงปรมาจารย์หุ่นเชิดก็บอกได้แล้วว่าเขาแข็งแกร่งไม่มากพอ 


 


 


แล้วเรื่องตำแหน่งสมาชิกสภานั่นมันอะไรกัน ฮาเวิร์ดหัวเราะออกมาอย่างเยียบเย็น ตำแหน่งนั้นไม่มีความสำคัญอะไรอยู่แล้ว 


 


 


ฮาเวิร์ดเลยก็ว่าจะเนียนไปตามนั้น ในอนาคตฝ่ายศรัทธาจะไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องกรรมสิทธิ์แร่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของกลุ่มฟีนิกซ์ตามกฎหมาย 


 


 


แน่นอนแหละว่าอาจจะมีการแข่งขันกันเรื่องแร่อยู่ แม้ว่าจะไม่ค่อยถูกต้องนักก็ตามเถอะ… 


 


 


กลุ่มฟีนิกซ์มีทั้งตำแหน่งในการซื้อขายแร่และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งนั้นจะทำให้กลุ่มสามารถกลืนกิน EO ไปได้ไม่ช้าก็เร็ว ทั้งหมดนี่ฟังดูเหมาะเจาะไปเลย! 


 


 


แต่แล้วฮาเวิร์ดก็ได้ยินว่า EO มาที่วิลล่าเพื่อที่จะขอรับทรัพยากรตามที่ตกลงกันไว้กับลุ่มฟีนิกซ์เมื่อก่อนหน้านี้ 


 


 


เขาเอ่ยถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ “ทรัพยากรอะไรกัน” 


 


 


ลูกน้องของเขาเองก็งงไม่แพ้กัน “เบ็นเนตต์บอกว่าท่านรู้เงื่อนไขอยู่แล้วครับ ท่านทั้งสองคนได้ตกลงกันแล้ว” 


 


 


แต่ฮาเวิร์ดนึกอะไรไม่ออกเลย เขาเลยบอกไป “งั้นไปถามเงื่อนไขจากเขามา” 


 


 


ผ่านไปสักครู่ลูกน้องของเขาก็กลับมา “ศิลาวิญญาณสามหมื่นเม็ด อาวุธวิเศษอีกสิบชิ้น และผลไม้ปะทุพลังสิบผล…” 


 


 


“บ้าไปแล้วเรอะ!” ฮาเวิร์ดดระเบิดออกมาในทันที 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฮาเวิร์ด มิลเลอร์ +999!] 


 


 


“ท่านไม่รู้เรื่องนี้หรือครับ” ผู้ชายคนนั้นถามอย่างระวัง 


 


 


ฮาเวิร์ดโกรธจัด “ก็แน่สิว่าไม่รู้!” 


 


 


ใครเขาจะไปตกลงเงื่อนไขที่ไม่สมเหตุสมผลแบบนั้นกัน เบ็นเนตต์บ้าไปแล้วแน่ๆ! 


 


 


“งั้นพวกเราจะตอบพวก EO ยังไงดีครับ” ลูกน้องคนนั้นถาม 


 


 


“ไปบอกพวกมันว่าเราไม่ทำตามเงื่อนไขนี้หรอก เลิกฝันกลางวันได้แล้ว” ฮาเวิร์ดตอบอย่างร้อนใจ 


 


 


แล้วลูกน้องเขาก็รับคำตามนั้นด้วยความนอบน้อม แต่แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาต้องกลับมารายงานกับฮาเวิร์ด “ท่านครับ เบ็นเนตต์บอกว่า…” 


 


 


ฮาเวิร์ดรำคาญที่ลูกน้องอ้ำๆ อึ้งๆ “บอกว่าอะไร มันพูดยังไงก็บอกมาแบบนั้น!” 


 


 


ลูกน้องนิ่งเพื่อคิดคำพูดก่อนจะตอบกลับ “เขาบอกว่าท่านหน้าด้านมากที่ปฏิเสธสิ่งที่ตกลงกันไปแล้ว เขายังบอกอีกว่าท่านเป็นลูกไอ้อมนุษย์ ขอให้ลูกชายของท่านพิการ ขอให้ภรรยาของท่านนอกใจ และเขาอยากจะเป็นพ่อเลี้ยงของท่านด้วยครับ…” 


 


 


ฮาเวิร์ด “…” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฮาเวิร์ด มิลเลอร์ +999!] 


 


 


ฮาเวิร์ดอยากไปฆ่าเบ็นเนตต์เดี๋ยวนี้เลย ถึงแม้ว่าลูกน้องของเขาจะปรับคำพูดมาแล้ว แต่เขาก็นึกออกว่าจริงๆ แล้วเบ็นเนตต์มันพูดว่าอะไร! 


 


 


แต่เดี๋ยวก่อนนะ! ฮาเวิร์ดเริ่มสังเกตแล้วว่ามีอะไรผิดปกติ เบ็นเนตต์คงไม่โกรธจัดแบบนี้แน่ถ้าเขาปฏิเสธเงื่อนไขโง่ๆ ที่ตั้งขึ้นมาเองแบบนี้ไป แต่นี่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกโดนหักหลังจริงๆ … 


 


 


“ไปถามเขาเรื่องเวลาที่อยากได้และเรื่องรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรมา!” ฮาเวิร์ดสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน เขารู้สึกว่าเขาก้าวเข้าใกล้ความจริงของเรื่องตลกนี้ไปอีกขั้นแล้ว! 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม