ชายาเคียงหทัย 64.2-66.2
ตอนที่ 64-2 ฝ่าบาท พระสนมของท่านถูก…เ...
คนทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ นอกจากเยี่ยอิ๋งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด กับม่อซิวเหยาที่สีหน้าดูสบายๆ แม้จะถูกปกปิดอยู่ครึ่งหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าประดักประเดิด เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่พวกเขาจะพูดกันตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดกว่าทั่วไปอยู่มาก แต่ที่ยิ่งประหลาดกว่าทั่วไปอีกคือคนที่เป็นเจ้าเรื่อง คนหนึ่งเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของฮ่องเต้ในองค์ปัจจุบัน กับอีกคนที่กำลังจะเป็นพระสนมขององค์ฮ่องเต้ในอนาคต ถึงแม้จะมีคำพูดที่ว่าราชวงศ์ใดไม่มีเรื่องอื้อฉาวบ้าง แต่อย่างน้อยทุกคนต่างก็รู้จักที่จะหาผ้ามาปิดบังความอายไว้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นท่ามกลางคนหมู่มาก จนทำให้ลือกันไปทั่วชนชั้นสูงในเมืองหลวงในชั่วเวลาเพียงไม่นานเช่นเรื่องในวันนี้ ยังไม่เคยเกิดมาก่อนเลยจริงๆ
“หุบปาก! ร้องอันใดอยู่ได้” ท่านอ๋องผู้เฒ่าถูกสียงร้องครวญครางประหนึ่งวิญญาณทำให้รำคาญจนทนไม่ไหว ถึงขั้นต้องตบโต๊ะพร้อมเอ่ยด้วยความโกรธ
เยี่ยอิ๋งตกใจจนสะดุ้งขึ้น พร้อมเสียงสะอื้นที่หยุดลง นิ่งอึ้งมองท่านอ๋องด้วยหยาดน้ำตาเต็มหน้า ท่านอ๋องผู้เฒ่าส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนหันไปถามเสียนเจาไท่เฟยว่า “ไท่เฟย นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทางฝั่งฮ่องเต้…” จะไปทูลฝ่าบาทกันว่าอย่างไร ในใจท่านอ๋องผู้เฒ่านั้นรู้ดีว่าที่เสียนเจาไท่เฟยเชิญพวกเขามานั้นด้วยจุดประสงค์อันใด เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นฝ่าบาทย่อมทรงกริ้วมากเป็นแน่ ลักลอบมีสัมพันธ์กับหญิงที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมของฝ่าบาท แค่ฆ่าม่อจิ่งหลียังถือว่าน้อยเกินไป เพียงแต่…เสียนเจาไท่เฟยย่อมไม่อยากให้หลีอ๋องถูกประหาร แน่นอนว่าไทเฮาเองก็เช่นกัน องค์ฮ่องเต้เอง…ก็คงไม่อยากเช่นกัน อีกอย่าง ตอนนี้ฝ่าบาทน่าจะไม่อยากมีเรื่องผิดใจกับแคว้นหนานจ้าว เช่นนั้นพวกเขาจึงต้องช่วยหลีอ๋องขอความเมตตา ให้ฝ่าบาททรงมีทางออก
เสียนเจาไท่เฟยถอนหายใจหนักๆ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ได้ยินแต่เพียงว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น จึงรีบมาดู ก็เห็น…”
เยี่ยอิ๋งส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนพูดเสียงแหลมขึ้นว่า “จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้อีกเล่า ถ้าไม่ใช่นังสารเลวคนนี้ให้ท่าท่านอ๋อง…”
“เยี่ยอิ๋ง!” เสียนเจาไท่เฟยขมวดคิ้วดุจ้องหน้าเยี่ยอิ๋ง “ระวังฐานะของตัวเจ้าด้วย อย่าได้ทำตัวเหมือนพวกหญิงปากตลาดที่ไม่มีการศึกษา! หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ก็กลับห้องเจ้าไปเสีย” เยี่ยอิ๋งกัดมุมปากตนเองพร้อมเมินหน้าหนีไป ท่านอ๋องผู้เฒ่าขมวดคิ้วหันมองไปทางม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่กลางห้องโถง “จิ่งหลี เวลานี้เจ้าควรอยู่ต้อนรับแขกที่เรือนหน้า เหตุใดจึงไปปรากฏตัวอยู่ที่พักของสตรีได้ หรือพอแต่งงานแล้วแม้แต่ธรรมเนียมพื้นๆ เช่นนี้เจ้าก็ลืมไปหมดแล้วหรือ” ม่อจิ่งหลีเดิมทีมีนิสัยเฉยเมยและทระนงตน คาดว่าตั้งแต่เกิดมาคงไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเสียหน้าเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังอยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยาที่เป็นอริกันมาตั้งแต่เล็กๆ กับเยี่ยหลีที่ถูกตนทิ้งไปอีกด้วย ยิ่งรู้เช่นนี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกเสียหน้าหนักเข้าไปใหญ่ สีหน้าบอกชัดว่ากำลังโกรธจัด “มีคนไปเชิญข้าให้มาที่นี่”
“จากนั้นเล่า หลังจากมาแล้วเจ้าจึงได้ร่วมหลับนอนกับพระสนมของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ” ท่านอ๋องหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งเอ่ยขึ้นเยาะๆ พร้อมแววประชดประชันในดวงตา ท่านอ๋องสามสี่ท่านนี้เยี่ยหลีเคยพบหน้าก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งครั้ง ชายคนที่พูดคืออี๋อ๋อง น้องชายต่างมารดาของม่อซิวเหยานาม ม่อจิ่งอี๋ ม่อจิ่งหลีใบหน้าบึ้งตึง ตวัดสายตาคมกริบไปทางเขา ม่อจิ่งอี๋หาได้สนใจไม่ ส่งเสียงหัวเราะเยาะเขาทีหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นไปสำรวจหลังคาห้องแทน
“ใครไปเรียกเจ้ามา แล้วให้ท่านมาพบใครด้วยเรื่องอันใด สถานที่พักผ่อนของสตรีต่อให้เป็นเจ้าก็ไม่อาจเข้าออกได้ตามใจได้ กฎข้อนี้เจ้าไม่รู้หรือ” ท่านอาอ๋องที่นั่งอยู่ก็ขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจเช่นกัน ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ยินดีเท่าไรนัก มาร่วมงานแต่งงานดีๆ แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ หากเป็นเพียงคุณหนูธรรมดาๆ ก็ว่าไปอย่าง อย่างมากก็ให้ม่อจิ่งหลีรับเข้าตำหนัก แต่นี่กลับเป็นถึงองค์หญิง ทั้งยังเป็นองค์หญิงที่วางตัวไว้ว่าจะให้เป็นพระสนมของฝ่าบาทเสียอีก โดนเสียนเจาไท่เฟยลากมาลงน้ำเน่าด้วยเช่นนี้ ต่อให้ไม่อยากร่วมอยู่ด้วยก็คงไม่ได้เสียแล้ว ในตอนนั้น สายตาทุกคนที่มองไปยังองค์หญิงซีสยาประหนึ่งมองหญิงคณิกาก็ไม่ปาน องค์หญิงซีสยาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสีหน้าของทุกคนหมายความเช่นไร นางรีบส่ายหน้า “ไม่…ไม่ใช่ข้า ข้าไม่เคยส่งจดหมายให้ท่านอ๋องมาก่อน”
ท่านอ๋องผู้เฒ่าส่งเสียงเหอะเบาๆ ยกมือลูบเคราสีดอกเลาแล้วมององค์หญิงซีสยาด้วยหางตา “ไม่เคยหรือ เช่นนั้นเหตุใดหลีอ๋องจึงได้ไปที่ห้องขององค์หญิงได้ ตอนนั้นสตรีทั้งหลายต่างกำลังพูดคุยจิบชากันอยู่ สตรีสาวๆ ทั้งหลายต่างก็เดินเล่นกันอยู่ในสวนดอกไม้ เหตุใดองค์หญิงจึงบังเอิญไปอยู่ในห้องพอดีได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ…ดูเหมือนเจาหยางจะไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงในคราวนี้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดองค์หญิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ท่านอ๋องผู้เฒ่ายิงคำถามเป็นชุดอย่างคาดคั้น แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก จึงไม่มีใครนึกเห็นใจองค์หญิงซีสยาที่มาจากต่างแคว้นคนนี้ องค์หญิงซีสยาส่ายหน้าด้วยท่าทีร้อนรน ไม่เหลือภาพเย่อหยิ่งทระนงตนอย่างในอดีต หันมองทุกคนในห้องโถงที่ต่างมีสีหน้าเรียบเฉยด้วยท่าทีเลิกลั่ก แล้วจู่ๆ แววตาขององค์หญิงซีสยาก็เป็นประกายขึ้น ก่อนชี้ไปยังที่ที่หนึ่ง “นาง! ต้องเป็นนางแน่ๆ ที่ใส่ร้ายข้ากับท่านอ๋อง!”
เยี่ยหลีถูกกล่าวหาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หลายวันก่อนที่นางคาดเดาไว้นั้นไม่ผิดเลย สมองขององค์หญิงต่างแคว้นล้วนมีปัญหากันทั้งนั้น
“ลดมือเจ้าลง มิเช่นนั้น ข้าจะไม่สนว่าเจ้าจะไม่สามารถใช้มือนั่นได้อีกตลอดชีวิต” ม่อซิวเหยามองสีหน้าตื่นตระหนกขององค์หญิงซีสยาด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ องค์หญิงซีสยาตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนกระเถิบตัวเข้าหาม่อจิ่งหลี ไม่ทันเห็นว่าเยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่อีกด้านแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ในต้าฉู่ ข้ามีความแค้นก็กับนางเพียงคนเดียว” องค์หญิงซีสยากัดปากพูดขึ้น “หลีอ๋องก็เช่นกัน หลีอ๋องก็มีความแค้นกับนางเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่ใครต่อใครต่างรู้ดี” องค์หญิงซีสยาไม่ใช่คนเบาปัญญาอย่างแท้จริง นางรู้ดีว่าหากทุกคนคิดว่านางเป็นคนเริ่มยั่วยวนหลีอ๋องก่อน ด้วยฐานะของนางที่กำลังจะเป็นพระสนมขององค์ฮ่องเต้ในอนาคต ต่อให้ต้าฉู่ประหารตนเสีย หนานจ้าวก็คงออกหน้าช่วยนางไม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องปัดความรับผิดชอบนี้ออกไปจากตัวให้สิ้น แต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด นางจึงคิดไม่ตกจริงๆ ว่าใครที่ต้องการให้ร้ายนาง แต่คนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ก็มีเพียงเยี่ยหลีคนเดียวที่เคยมีความแค้นกับนาง ดังนั้นการโยนความผิดไปให้นางจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“ชายาติ้งอ๋องหรือ” ทุกคนต่างอึ้งไป
เยี่ยหลีได้แต่ถอนใจ “องค์หญิง ข้ากับท่านอ๋องมาถึงที่ตำหนักนี้เมื่อตอนประมาณยามเว่ย[1]สามเค่อ จากนั้นข้าก็ได้ไปพบไท่เฟยกับฮูหยินทุกท่าน ตอนประมาณยามเซิน[2] ข้าออกมาพร้อมกับน้องสี่ พูดคุยกันอยู่ในสวนดอกไม้ไม่ถึงหนึ่งเค่อดี จากนั้นข้าก็อยู่กับคุณหนูทั้งสามจากจวนหวา จวนฉิน และจวนแม่ทัพมู่หรง แล้วพวกเราก็พูดคุยกันอยู่แต่ในสวนดอกไม้ ในสวนมีคุณหนูอยู่กันเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นพยานได้ อีกอย่าง ตอนที่พวกเราพบท่านทั้งสองกำลังเอ่อ…นั้น เป็นยามเซินยังไม่ถึงสองเค่อดี พูดอีกอย่างก็คือตั้งแต่ที่ข้ามาถึงตำหนักหลีอ๋องจนกระทั่งเกิดเรื่อง ยังไม่ทันหนึ่งชั่วยามดี อันที่จริงช่วงเวลาที่คนสามารถสงสัยได้ก็มีเพียงช่วงที่ข้าอยู่กับน้องสี่เท่านั้น หรือก็คือช่วงประมาณยามเซิน ถึง ยามเซินหนึ่งเค่อ องค์หญิงซีสยาดูเหมือนจะไม่ได้รับจดหมายเชิญ และมาถึงตำหนักนี้ก่อนข้าและท่านอ๋องเสียอีก ข้าขอถามว่า องค์หญิงคิดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเค่อ ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าองค์หญิงอยู่ในตำหนักหลีอ๋องทั้งยังรู้ที่ที่ท่านอยู่อย่างแน่ชัด แล้วให้คนนำจดหมายไปเชิญให้ท่านอ๋องมาพบท่านได้หรือ หือ”
ที่เยี่ยหลีพูดมานี้ นอกจากจะระบุรายละเอียดที่อยู่ของตนอย่างชัดเจนแล้ว ยังได้ขจัดข้อสงสัยที่นางร่วมมือกับเยี่ยอิ๋งออกไปได้อย่างหมดจด
“แค่กๆ พระชายายังพูดตกไปจุดหนึ่ง…ยังต้องตัดช่วงเวลาที่พี่อ๋องกับองค์หญิงอะแฮ่ม…ไปด้วย ดังนั้น ชายาติ้งอ๋องไม่มีแม้แต่เวลาหนึ่งเค่อนั้นด้วยซ้ำ” ม่อจิ่งอี๋โบกพัดในมือพร้อมเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว สีหน้าของทุกคนที่มององค์หญิงซีสยาจึงยิ่งดูไม่ดีเข้าไปใหญ่ ตนเองทำเรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้แล้วยังกล้าไปกล่าวโทษว่าร้ายชายาติ้งอ๋องอีก
องค์หญิงซีสยาสะอึกไป นางไม่ได้คาดหวังว่าจะอาศัยเรื่องแค่นี้มาโยนความผิดให้เยี่ยหลีได้ นางเพียงหวังจะยืดเวลาให้ตนเองได้มีเวลาหายใจหายคอบ้างก็เท่านั้น ไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะทำลายคำโกหกของนางได้ทันทีอย่างไม่ร้อนรนเช่นนี้ องค์หญิงซีสยาทำอันใดไม่ถูกจึงได้แต่ร้องไห้ออกมา “ฮือๆ…ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ…”
“พอแล้ว!” ม่อจิ่งหลีที่นิ่งเฉยมาตลอด มองหน้าเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ แล้วอยู่ดีๆ ก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องคาดคั้นนางแล้ว ข้าจะรับผิดชอบเอง”
ปัง! ท่านอ๋องผู้เฒ่าโกรธจัดถึงขึ้นตบโต๊ะ มองจ้องม่อจิ่งหลีด้วยใบหน้าทั้งเขียวทั้งซีด นิ้วที่ชี้หน้าเขาก็สั่นไม่ได้หยุด “สารเลว! เจ้าจะรับผิดชอบหรือ เจ้าจะรับผิดชอบอันใด เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอันใดอยู่ วิญญูชนกล้าทำกล้ารับอย่างนั้นหรือ” ม่อจิ่งอี๋เดินยิ้มเข้ามาประคองท่านอ๋องผู้เฒ่า ก่อนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ท่านลุงอย่าได้โกรธไปเลย หลีอ๋องคงเพียงลืมไปชั่วขณะว่าเสด็จพี่เตรียมจะแต่งตั้งองค์หญิงซีสยาเป็นพระสนมสยาเฟย เป็นพี่สะใภ้ของพวกเรา อย่าโกรธเลยอย่าโกรธเลย…” หากเขาไม่พูดอันใดท่านอ๋องผู้เฒ่าคงไม่ยิ่งโกรธเช่นนี้ เมื่อได้ฟังเขาพูดเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้เฒ่าจึงยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก “เจ้าสารเลว! ขนบธรรมเนียมที่เจ้าเรียนรู้มาเข้าไปอยู่ในท้องสุนัขหมดแล้วหรือไร เอาล่ะ…เรื่องนี้ข้าจะไม่ยุ่งอีกแล้ว และคงยุ่งไม่ได้ด้วย พวกเจ้าอยากทำอันใดกันก็เชิญเลย” เมื่อระบายความโกรธจนพอแล้ว ท่านอ๋องผู้เฒ่าจึงได้ถือโอกาสพูดปัดความรับผิดชอบไปด้วย
เสียนเจาไท่เฟยรีบเอ่ยปลอบว่า “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งโกรธไป หลีอ๋องไม่รู้ประสา จึงได้พูดเพ้อเจ้อเช่นนี้ออกมา ท่านอ๋องมีศักดิ์เป็นลุง ขออย่าได้ถือโทษเขาเลย ฝ่าบาท…ทางฝั่งฝ่าบาท…”
ท่านอ๋องผู้เฒ่าปรายตามองไท่เฟย ก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ “ไม่ประสาหรือ ช่างไม่ประสาจริงๆ นั่นล่ะ แต่ไม่ใช่พวกเจ้าหรือที่ตามใจจนเป็นเช่นนี้ ดูแต่ละเรื่องที่เขาทำในปีนี้สิ มีเรื่องใดที่คนปกติเขาทำกันบ้าง ข้าว่าไม่ช้าก็เร็วเขาคงได้ทำลายสวรรค์ลงเข้าสักวัน” ตั้งแต่เรื่องที่ม่อจิ่งหลียืนกรานจะถอนหมั้น ท่านอ๋องผู้เฒ่าก็ไม่พอใจในตัวหลานชายคนนี้อยู่มากแล้ว งานสมรสนั้นเป็นงานที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานไว้ตั้งแต่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นถึงหลานสาวของตระกูลสวี ขอเพียงคุณหนูเยี่ยคนนั้นไม่มีเรื่องอันใดหนักนา ต่อให้ไม่พอใจเพียงใดเขาก็ต้องรับไว้ แต่เมื่อลองดูตอนนี้ คุณหนูสามตระกูลเยี่ยคนนี้นอกจากจะไม่มีอันใดไม่ดีแล้ว คุณหนูสี่ตระกูลเยี่ยที่เป็นตายอย่างไรเขาก็จะต้องแต่งงานด้วยให้ได้เสียอีกที่คงไม่กล้าเอาไปสู้หน้าใคร
เสียนเจาไท่เฟยปกปิดแววไม่พอใจในดวงตาไว้ ทำได้เพียงพยายามส่งยิ้มให้กับท่านอ๋องผู้เฒ่า ทางฝั่งฮ่องเต้ยังต้องให้พวกเขาไปช่วยพูดให้ หากให้ม่อจิ่งหลีไปเองเช่นนี้แล้วเกิดฝ่าบาททรงพิโรธหนักขึ้นมา เกรงว่าต่อให้ไม่ตายก็คงต้องถูกถลกหนังเป็นแน่
[1] ยามเว่ย คือช่วงเวลา 13.00-15.00 น.
[2] ยามเซิน คือช่วงเวลา 15.00-17.00 น.
ตอนที่ 64-3 ฝ่าบาท พระสนมของท่านถูก…เ...
ในที่สุดท่านอ๋องผู้เฒ่าก็คลายความโกรธลงจึงถามต่อว่า “คนที่ไปส่งข่าวนั้นไปไหนเสียแล้ว เจ้าคงไม่ถึงกับจำไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรหรอกนะ อีกอย่าง ใครเป็นคนพาองค์หญิงซีสยาเข้ามา” ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ในเมืองหลวงก็มีข่าวลือเกี่ยวกับหลีอ๋องและองค์หญิงซีสยาขึ้นมาอีกครั้ง องค์หญิงเจาหยางรักษาทำนองคลองธรรมเป็นที่สุด เมื่อฝ่าบาทมีราชโองการลงมาแล้วก็เข้มงวดกับองค์หญิงซีสยามาก ไม่ให้นางออกไปไหนมาไหน แม้แต่งานแต่งงานของม่อจิ่งหลีในครั้งนี้องค์หญิงเจาหยางก็ไม่ได้มาร่วมงาน เช่นนั้นองค์หญิงซีสยาจะมาที่นี่ได้อย่างไรกัน
“ข้า…ข้า…” องค์หญิงซีสยาพูดอย่างน่าสงสารว่า “ตอนที่ข้ามา ที่หน้าประตูไม่มีใครขวางข้าไว้” นางมาถึงเร็ว อีกทั้งก่อนหน้านี้เคยมาที่ตำหนักหลีอ๋องแล้วหลายครั้ง คนของตำหนักหลีอ๋องจำนวนไม่น้อยมีรู้จักนาง ดังนั้นถึงแม้นางจะไม่มีจดหมายเชิญ แต่คนของตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่ได้ขวางนางไว้
หัวหน้าพ่อบ้านของตำหนักติ้งอ๋องเข้ามารายงานว่า เครื่องหอมที่พบในห้องเมื่อสักครู่นั้นเป็นเครื่องหอมปลุกกำหนัด คนในห้องต่างนิ่งเงียบไป องค์หญิงซีสยามาที่ตำหนักหลีอ๋องด้วยตนเอง พวกบ่าวในตำหนักหลีอ๋องก็ไม่มีใครรายงาน ซ้ำร้ายเจ้านายเองก็ไม่มีใครรู้ ส่วนม่อจิ่งหลีก็ไม่รู้เกิดอันใดขึ้น เพียงได้ยินคนมาส่งข่าวก็ถึงกับลืมเรื่องการห้ามอยู่รวมกันของชายหญิง แล้วมายังที่พักของสตรีทันที จากนั้นก็…
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีคนตั้งใจ เยี่ยหลีคิดในใจ ดูท่าคราวนี้ หญิงงามของฮ่องเต้ยังไม่ทันถึงมือก็เป็นอันต้องหลุดลอยไปเสียแล้ว
“เอาล่ะ รอให้ไทเฮามาถึงก่อนค่อยจัดการก็แล้วกัน อีกอย่างให้รีบส่งคนไปรายงานองค์หญิงเจาหยางให้ทราบแล้วให้นางส่งคนมารับตัวองค์หญิงซีสยากลับไปเสีย!” ท่านอ๋องผู้เฒ่าพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน ก่อนหันไปพูดกับม่อซิวเหยาต่อว่า “ซิวเหยา เจ้าว่าอย่างไร” ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ อย่างมีมารยาท “ท่านอ๋องเป็นผู้อาวุโส ให้ท่านตัดสินใจเลยจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” คนอื่นๆ ต่างรีบพากันบอกให้ทำตามที่ท่านอ๋องผู้เฒ่าเห็นสมควร
ยังดีที่องค์ไทเฮายังเป็นห่วงลูกชายคนเล็กของตนอยู่ องค์หญิงเจาหยางยังไม่ทันมาถึง ไทเฮาก็มาถึงก่อนเสียแล้ว แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะตำหนักหลีอ๋องเป็นตำหนักอ๋องที่อยู่ใกล้กับพระราชวังมากที่สุด ไทเฮาสวมชุดเฟิ่งผาวสีเหลืองสด เดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน “ข้ายังไม่ทันได้ออกจากวังก็มีคนไปบอกว่าเกิดเรื่องขึ้น วันมงคลแท้ๆ เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก ก่อนแต่งงานคราวที่แล้วยังขายหน้ากันไม่พอใช่หรือไม่”
เยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่อีกด้านสีหน้าซีดขาว น่าเสียดายที่นางไม่กล้าลบเลี่ยงไทเฮาตรงๆ จึงทำได้เพียงหลบอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งเท่านั้น
ทุกคนต่างลุกขึ้นทำความเคารพ ไทเฮานั่งลงฟังท่านอ๋องผู้เฒ่ากับเสียนเจาไท่เฟยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง ไม่ต้องรอให้ทั้งสองคนเล่าให้จบ ไทเฮาก็ทรงกริ้วมากเสียแล้ว ด่าว่าม่อจิ่งหลีเสียยกใหญ่ ไทเฮาต่อว่าลูกชาย แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครกล้าผสมโรงด้วย ได้แต่ฟังอยู่เท่านั้น ฮูหยินหลายคนที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกนึกอยากจะหาอันใดมาอุดหูตนเอง ในใจนึกสาบานว่า ภายในสามสี่วันนี้จะไม่มาเหยียบตำหนักหลีอ๋องอีกเป็นแน่
รอจนไทเฮาระบายโทสะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ม่อจิ่งหลีกับองค์หญิงซีสยาต่างก็ลงไปคุกเข่ากับพื้นขอให้ไทเฮาโปรดอภัย ไทเฮามองม่อจิ่งหลีอยู่เป็นนาน ก่อนสีหน้าจะค่อยอ่อนลง พระนางถอนหายใจหนักๆ แล้วหันไปพูดกับท่านอ๋องผู้เฒ่าว่า “ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าควรจัดการอย่างไรดี” ท่านอ๋องผู้เฒ่ายกมือขึ้นลูกหนวด “ในเมื่อไทเฮามาอยู่ที่นี่ด้วยองค์เองแล้ว เรื่องนี้ย่อมฟังรับสั่งของไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาถอนใจด้วยสีหน้าเสียใจ “เรื่องนี้…ถือว่าทำลายหน้าตาของฝ่าบาทไม่น้อย ต่อให้ข้าออกหน้าขอร้อง ก็เกรงว่าคงยากที่จะดับไฟโกรธในใจพระองค์ได้” ท่านอ๋องผู้เฒ่าย่อมเข้าใจดีว่าองค์ไทเฮาหมายความเช่นไร “จะว่าไปที่จิ่งหลีทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ ก็เพราะลุงๆ อาๆ อย่างพวกเราสั่งสอนไม่ได้ความ อีกเดี๋ยวข้ากับน้องอ๋องจะเข้าวังไปช่วยจิ่งหลีขอร้องด้วยอีกแรง ได้แต่หวังให้ฝ่าบาทเห็นแกหน้าข้าบ้างเท่านั้น”
ไทเฮายิ้มด้วยความซาบซึ้ง “ท่านพี่เป็นท่านลุงที่ฝ่าบาทเคารพที่สุด ฝ่าบาทย่อมไปฉีกหน้าท่านพี่เป็นแน่ หลีเอ๋อร์ ยังไม่รีบขอบคุณท่านลุงอีก”
ม่อจิ่งหลีพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “จิ่งหลีขอบคุณท่านลุงและท่านอามากพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องผู้เฒ่าส่งเสียเหอะเบาๆ แล้วไม่สนใจเขาอีก เมื่อท่านอ๋องผู้เฒ่ารับปากแล้ว ไทเฮาจึงดีพระทัยมาก ถึงแม้ตอนนี้ท่านอ๋องผู้เฒ่าจะไม่ยุ่งเรื่องราชกิจแล้ว แต่ยังคงมีอิทธิพลในหมู่ราชวงศ์อยู่มาก ขอเพียงเขายอมออกปากขอร้อง ท่านอ๋องกว่าครึ่งย่อมเห็นแก่หน้าเขา ต่อให้ฝ่าบาททรงกริ้วเพียงใดก็คงมิอาจลงโทษสถานหนักได้ เสียนเจาไท่เฟยก็พอใจมากเช่นเดียวกัน นางหันมองม่อจิ่งหลีกับองค์หญิงซีสยา ก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ท่านพี่ไทเฮา องค์หญิงซีสยานี้ท่านว่า…”
ไทเฮาขมวดคิ้ว “ข้ากลับไปปรึกษากับฝ่าบาทก่อน ไว้อีกสองสามวันค่อยคิดหาทางรับนางเข้าตำหนักก็แล้วกัน” ที่ไทเฮาพูดเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการปิดปากคุณหญิงทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ องค์หญิงซีสยามีฐานะไม่ธรรมดา นอกเสียจากว่าชีวิตนี้จะไม่ออกไปพบผู้คนอีก มิเช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกแพร่ออกไปอย่างแน่นอน ตอนนี้เมื่อพระนางพูดออกมาเช่นนี้แล้ว คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่าอันใดควรพูดไม่ควรพูด
“ข้าไม่เห็นด้วย!”
“ข้าก็ไม่เห็นด้วย!” เสียงผู้หญิงสองคนดังขึ้น เสียงหนึ่งดังมาจากข้างใน เสียงหนึ่งดังมาจากข้างนอก ทำให้ทุกคนต่างอดที่จะอึ้งไปไม่ได้ เสียงที่มาจากข้างในแน่นอนว่าย่อมเป็นเสียงของเยี่ยอิ๋งที่ตอนนี้สีหน้าขาวซีดร่างโงนเงนจะล้มแหล่มิล้มแหล่ ส่วนเสียงที่มาจากด้านนอกนั้น คือเสียงขององค์หญิงหลิงอวิ๋นที่อยู่ในชุดสีแดงเพลิงอันเย้ายวน ผ้าแดงคลุมศรีษะยังคงตลบอยู่ทางด้านบนไม่ได้คลุมลงมาปิดหน้า ดวงตารีที่มองมาประหนึ่งมีประกายไฟ นางยืนอยู่หน้าประตู เชิดคางขึ้นจ้องมองทุกคนที่อยู่ในโถงดอกไม้ “ข้าไม่เห็นด้วย ตงฉู่ของพวกท่านเลิกคิดที่จะหมิ่นเกียรติข้าเช่นนี้เถิด!” เหลยเถิงเฟิงที่อยู่ข้างกายองค์หญิงหลิงอวิ๋น กวาดตามองทุกคนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก่อนเอ่ยเสียงเย้ยหยันว่า “ไทเฮา ตงฉู่ทำเช่นนี้ไม่รังแกกันเกินไปหน่อยหรือ”
คลื่นแรกยังไม่ทันสงบดี คลื่นที่สองก็ก่อตัวขึ้นมาเสียแล้ว
ยังไม่มีใครทันได้พูดอันใด องค์หญิงหลิงอวิ๋นก็ก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องโถงไปหยุดอยู่ข้างม่อจิ่งหลีและองค์หญิงซีสยา ก่อนตบเข้าไปที่หน้าขององค์หญิงซีสยาอย่างรุนแรงและรวดเร็วท่ามกลางสายตาของทุกคน “นังสารเลว!” ใบหน้าด้านหนึ่งขององค์หญิงซีสยาเป็นรอยแดงขึ้นทันที แม้แต่มุมปากยังมีเลือดไหลซิบออกมาก แต่ดูเหมือนจะยังไม่พอให้นางหายโกรธ องค์หญิงหลิงอวิ๋นยกมือขึ้นเตรียมจะตบอีกครั้ง แต่ถูกม่อจิ่งหลีคว้ามือไว้ได้ก่อน “เจ้าอาละวาดพอแล้วหรือยัง”
องค์หญิงหลิงอวิ๋นยกยิ้มเยาะขึ้น สะบัดมือม่อจิ่งหลีออกก่อนหัวเราะเยาะ “ต่อให้ข้าอาละวาดอย่างไร ก็คงไม่เท่ากับคนบางคนที่หลอกล่อเจ้าบ่าวในงานของคนอื่นอย่างไร้ยางอายหรอก คนประเภทนี้ยังเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นได้ ทำให้องค์หญิงคนอื่นต้องขายหน้าไปด้วย! ได้ข่าวว่าแต่ก่อนนี้เจ้าก็จับหลีอ๋องไว้ไม่ปล่อย ก่อนหน้านี้เจ้าอยากให้ท่าใครก็เชิญข้าเข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ในงานแต่งงานของข้า ก็ถือว่าอยากมีเรื่องกับข้า”
ไทเฮาขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋น เรื่องนี้หลีอ๋องกับองค์หญิงซีสยาต่างก็ไม่ผิด ด้วยเพราะถูกคนคิดทำร้าย หากเจ้ามีอันใดไม่พอใจ หลังเสร็จเรื่องข้าให้หลีอ๋องขอโทษเจ้าก็ย่อมได้ ตอนนี้อยู่ต่อหน้าท่านอ๋องและฮูหยินมากมายเช่นนี้ เจ้าหยุดเอะอะก่อนเถิด” องค์หญิงหลิงอวิ๋นหัวเราะเยาะ ยกมือขึ้นถอดผ้าแดงคลุมศีรษะออกโยนลงกับพื้น “ขอโทษงั้นหรือ ข้าคงรับไว้ไม่ได้! ข้าไม่แต่งแล้ว พวกเจ้าอยากทำอันใดกันก็เชิญ ถึงอย่างไรหากมีนังสารเลวนั่นก็ไม่มีข้า มีข้าก็ไม่มีนาง!” เสียนเจาไท่เฟยกล่าวว่า “เช่นนั้นองค์หญิงต้องการเช่นไร” องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดอย่างงเย่อหยิ่งว่า “ให้หลีอ๋องฆ่านังสารเลวนั่นกับมือ แล้วข้าจะถือว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น”
“อะไรนะ!” ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด ม่อจิ่งหลีรีบนำองค์หญิงซีสยาไปไว้ข้างหลังตน พร้อมมองจ้ององค์หญิงหลิงอวิ๋น “เจ้าบ้าไปแล้ว นางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนานจ้าวนะ”
“แล้วอย่างไร ข้าก็เป็นองค์หญิงแห่งแคว้นซีหลิง กับอีแค่แคว้นเล็กๆ ธรรมดาๆ อย่างหนานจ้าว ข้าต้องกลัวนางด้วยหรือ” องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดพร้อมเลิกคิ้วขึ้น
เหลยเถิงเฟิงกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาเยือกเย็น “ดูท่าที่หลิงอวิ๋นพูดจะถูก ตงฉู่ไม่เห็นต้าหลิงของเราอยู่ในสายตา ถ้าเช่นนั้น งานแต่งงานวันนี้ข้าเห็นว่าคงไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานต่ออีก หลีอ๋อง ท่านว่าใช่หรือไม่” ม่อจิ่งหลีสีหน้าบึ้งตึงไม่พูดว่าอันใด องค์หญิงหลิงอวิ๋นจึงส่งเสียงเหอะเยาะหยันขึ้นว่า “ท่านพี่ ตอนนี้ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ คนเขาไม่ได้เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย”
เหลยเถิงเฟิงหันมององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยแววตาเรียบเฉย “เก็บของ พวกเรากลับกัน รีบเข้าวังไปเข้าทูลลาฮ่องเต้ต้าฉู่ อีกเดี๋ยวพวกเราก็รีบออกเดินทางกลับกันได้”
“เพคะ” องค์หญิงหลิงอวิ๋นปรายตามององค์หญิงซีสยากับม่อจิ่งหลีด้วยสายตาดูแคลน ในดวงตาไม่มีความอายที่จัดงานแต่งงานได้ครึ่งๆ กลางๆ เลยแม้แต่น้อย ดูแล้วนางพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง
“ซื่อจื่อ เรื่องนี้ยังพอปรึกษากันได้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงกับความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น ซื่อจื่ออย่าได้ใช้อารมณ์ด่วนตัดสินใจไปเลย” ท่านอ๋องผู้เฒ่าถอนหายใจ ก่อนลุกขึ้นช่วยพูดอีกแรง เหลยเถิงเฟิงยังคงพูดนิ่งๆ ว่า “ขอบคุณที่ท่านอ๋องเป็นห่วง เพียงแต่เรื่องนี้ตงฉู่ทำเกินไปจริงๆ ไม่ใช่แคว้นซีหลิงของข้าเสียมารยาทก่อน เชื่อว่าต่อให้เรื่องไปถึงองค์ฮ่องเต้ของตงฉู่ก็คงไม่โทษว่าพวกเราผิด ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋อง ขอเชิญท่านช่วยให้ความเห็นอย่างเป็นธรรม ท่านทั้งสองว่าใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีนึกแค้นใจที่เหลยเถิงเฟิงลากพวกเขาให้เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมท่ามกลางสายตาของทุกคน “ซื่อจื่อ เรื่องนี้จริงอยู่ที่หลีอ๋องกับองค์หญิงซีสยามีส่วนผิด เพียงแต่ในเรื่องนี้ยังมีข้อสงสัยอีกหลายเรื่องที่ยังไม่กระจ่างชัด ที่สำคัญกว่านั้นคือ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด ความจริงใจที่แคว้นตงฉู่ของพวกเรามีต่อแคว้นของท่านย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่าเคลือบแคลงใจ ในส่วนนี้ เชื่อว่าซื่อจื่อเองก็คงไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่” ที่พาองค์หญิงหลิงอวิ๋นมาด้วย ไม่ใช่เพราะต้องการสานสัมพันธ์หรอกหรือ ข้าไม่เชื่อจริงๆ ว่าท่านจะตัดใจพานางกลับไปด้วย
ท่านอ๋องผู้เฒ่ามองเยี่ยหลีด้วยสายตาชื่นชม “ชายาติ้งอ๋องกล่าวถูกแล้ว เรื่องที่หลีอ๋องทำผิดต่อองค์หญิงหลิงอวิ๋น พวกเราจะรีบหาทางชดเชยให้อย่างเต็มกำลัง แต่หากเรื่องนี้จะไปกระทบกับสัมพันธไมตรีระหว่างเราสองแคว้น นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ดี ขอซื่อจื่อไตร่ตรองให้ดีเถิด”
เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของเหลยเถิงเฟิง องค์หญิงหลิงอวิ๋นถึงกับขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ “ท่านพี่!”
เหลยเถิงเฟิงปรายตามองนางทีหนึ่ง ก่อนหันไปพูดกับไทเฮาว่า “หลิงอวิ๋นเป็นองค์หญิงที่เสด็จลุงรักเป็นที่สุด เมื่อครั้งอยู่ที่แคว้นก็ไม่มีใครทนเห็นนางถูกรังแกได้ ไม่รู้ว่าตงฉู่คิดจะชดเชยให้หลิงอวิ๋นอย่างไรหรือ” องค์หญิงหลิงอวิ๋นถึงกับอึ้งไป สีหน้ามีแววแห่งความผิดหวัง แต่สายตาเรียบนิ่งของเหลยเถิงเฟิงที่มองมาทำให้นางไม่กล้าเอ่ยปากอันใดอีก
ไทเฮาเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ซื่อจื่อต้องการให้ชดเชยอย่างไรหรือ”
เหลยเถิงเฟิงตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงใสขึ้นว่า “ทายาทหลีอ๋อง หลีอ๋องซื่อจื่อในอนาคตจะต้องเกิดจากหลิงอวิ๋น ที่สำคัญที่สุดคือ องค์หญิงซีสยาจะต้องไม่มีตำแหน่งเป็นชายารองหรือตำแหน่งที่สูงกว่าชายารองตลอดชีวิต และจะต้องไม่มีสายเลือดให้กับหลีอ๋องไปตลอดชีวิตเช่นกัน”
ตอนที่ 65-1 งานแต่งงานที่จบลงด้วยความ...
“ทายาทหลีอ๋อง หลีอ๋องซื่อจื่อในอนาคตจะต้องเกิดจากหลิงอวิ๋น ที่สำคัญที่สุดคือ องค์หญิงซีสยาจะต้องไม่มีตำแหน่งเป็นชายารองหรือตำแหน่งที่สูงกว่าชายารองตลอดชีวิต และจะต้องไม่มีสายเลือดให้กับหลีอ๋องไปตลอดชีวิตเช่นกัน”
เมื่อพูดจบ ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายต่างอึ้งตะลึงงันกันไปทุกคน พร้อมมองเหลยเถิงเฟิงด้วยสายตาคาดไม่ถึงและไม่พอใจ ไม่มีใครเชื่อว่าเหลยเถิงเฟิงจะใจกล้าถึงขั้นยกข้อเสนอเช่นนี้ เพราะก่อนที่หลีอ๋องจะแต่งงานกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นนั้นได้แต่งงานมีชายาเอกอยู่ก่อนแล้ว แต่ข้อแม้ของเหลยเถิงเฟิงถือเป็นการขอให้ชายาเอกของหลีอ๋องที่เป็นคุณหนูของต้าฉู่ห้ามมีทายาทให้หลีอ๋องก่อนหน้าองค์หญิงหลิงอวิ๋น ที่สำคัญที่สุดคือ การมีสายเลือดแคว้นซีหลิงอยู่ในตัวทายาทของท่านอ๋องเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครในราชวงศ์ต่างก็ไม่ยินดีทั้งนัน
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” ไทเฮาตรัสเสียงเข้มทันทีโดยแทบจะไม่ต้องคิด
เหลยเถิงเฟยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ขอตัว ส่วนเรื่องที่พวกท่านหมิ่นเกียรติเราในวันนี้…แคว้นต้าหลิงของเราจะจดจำเอาไว้!” พูดจบก็หมุนตัวไปดึงองค์หญิงหลิงอวิ๋น “ไปกันเถิด” เดิมทีองค์หญิงหลิงอวิ๋นคิดว่างานแต่งงานคราวนี้จะยังต้องดำเนินต่อไป ไม่คิดว่าท่านพี่จะกลับตาลปัตรจนทำให้ตนยินดีเช่นนี้ แน่นอนว่านางย่อมไม่พูดอะไรอีก ก่อนหมุนตัวสาวเท้าตามเหลยเถิงเฟิงไป ก่อนไปยังได้เหลือบมองม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ดีด้านหนึ่งด้วย
ในวันรับตัวชายาร่วมของหลีอ๋อง พี่ชายเจ้าสาวลากตัวเจ้าสาวออกไปจากงาน
ข่าวระหว่างหลีอ๋องกับองค์หญิงซีสยาลือกันไปทั่วเมืองหลวงหรือยังนั้นไม่มีใครรู้ แต่เรื่ององค์หญิงหลิงอวิ๋นทิ้งหลีอ๋องไว้ที่งานในวันงานมงคลสมรสใหญ่นั้นกลับลือไปทั้งในและนอกเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว เหลยเถิงเฟิงพาองค์หญิงหลิงอวิ๋นกลับไปยังที่ทำการทูต แล้วให้คนมานำตัวองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่กำลังหน้าชื่นตาบานไปขังไว้ในห้องไม่อนุญาตให้ออกมาอีก จากนั้นจึงสะบัดแขนออกเดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของที่ทำการทูต เขาถีบประตูเปิดออกก่อนเดินเข้าไปข้างใน ภายในห้องที่มีแสงเทียนอ่อน หญิงในชุดดำกำลังนั่งเอนตัวอ่านหนังสืออยู่บนฟูกด้วยท่าทีสบายๆ เมื่อเห็นเขาเข้ามาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นส่งยิ้มให้ “ท่านกลับมาแล้วหรือ งานแต่งงานของหลิงอวิ๋นสนุกหรือไม่”
เพียะ! เหลยเถิงเฟิงจ้องหน้านางอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตบเข้าที่ใบหน้าของนางที่มีผ้าปิดอยู่ “สารเลว! ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้ทำอะไรผลีผลาม” หญิงในชุดดำคนนั้นถูกแรงตบที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนกลับลงไปล้มอยู่บนฟูก จนเมื่อเรียกสติกลับมาได้แล้วจึงเคยหน้าขึ้นจ้องชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาโกรธจัด พร้อมกัดฟันพูดว่า “เหลยเถิงเฟิง!”
“สารเลว! เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ” ดวงตาครึ้มของเหลยเถิงเฟิงมีแววอำมหิต น้ำเสียงที่ออกจากปากเขาฟังดูไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย หญิงในชุดดำอึ้งไป ก่อนจะเรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “ท่านเอาตัวหลิงอวิ๋นกลับมาแล้วใช่หรือไม่ หึหึ…ถึงอย่างไรท่านก็ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับต้าฉู่แต่แรกแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการพอดี แล้วมาตอนนี้ท่านไม่พอใจเรื่องอันใดกัน”
“เจ้าคนชั้นต่ำ!” เหลยเถิงเฟิงพรุสวาทออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เสือที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวงของตงฉู่หรือ เจ้าคิดว่าละครที่เจ้าเล่นนั้นไปหลอกใครเขาได้ รีบไสหัวขึ้นมาเดี๋ยวนี้ พวกเราจะเดินทางออกจากเมืองหลวงกันแล้ว!”
“จะไปแล้วหรือ” หญิงในชุดดำอึ้งไป มีแววสับสนในดวงตา เหลยเถิงเฟิงหัวเราะเยาะ “เจ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวข้าให้คนมาพาตัวเจ้าไปส่งที่ตำหนักติ้งอ๋องแล้วกัน เจ้าไม่ได้เฝ้าคิดถึงม่อซิวเหยามันมาตลอดหรือ เจ้าวางใจเถิด เมื่อกลับไปแคว้นซีหลิงแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าอธิบาย ทุก อย่าง เอง!”
“ไม่!” หญิงในชุดดำกรีดร้องพร้อมลุกขึ้นจับแขนเหลยเถิงเฟิงไว้ “ข้าจะไปกับท่าน!” ไม่มีใครรู้จักม่อซิวเหยาดีกว่านาง หากตกไปอยู่ในมือเขาแล้ว นางคงได้ตายโดยที่ไม่มีใครรู้เป็นแน่ เหลยเถิงเฟิงปัดมือนางออกด้วยความรังเกียจ แล้วหมุนตัวเดินจากไป ใจกล้าแต่ดันกลัวตาย แล้วยังละโมบไม่รู้จักพออีก…
งานแต่งงานของตำหนักหลีอ๋องกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันไปดังคาด ที่ร้ายไปกว่าการที่เจ้าสาวหนีไปเสียตั้งแต่งานยังไม่เริ่มคือ เจ้านายของตำหนักหลีอ๋อง ซึ่งรวมถึงหลีอ๋อง ชายาหลีอ๋อง และเสียนเจาไท่เฟยนั้นได้รับสารเชิญให้เข้าเฝ้าจากฝ่าบาทอย่างรวดเร็ว
เจ้าสาวไม่อยู่แล้ว เจ้าบ่าวไม่อยู่แล้ว เจ้าของบ้านก็ไม่อยู่แล้ว แขกเหรื่อที่มาย่อมไม่อยากที่จะอยู่กินดื่มของในตำหนักต่อ ดังนั้น แขกเหรื่อทื่ดื่มน้ำชากันจนอิ่มแต่ไม่ได้รับประทานอย่างอื่นเลยนั้นจึงค่อยๆ ขอตัวลากลับไป ไม่นานตำหนักหลีอ๋องที่คึกคักก็กลับเงียบสงบดังเดิม โคมไฟและของประดับตกแต่งสีแดงสดที่อยู่ทั่วตำหนักนั้นกลับดูอึมครึมขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ด้วยเพราะฝ่าบาทไม่ได้เรียกติ้งอ๋องกับพระชายาให้เข้าเฝ้าด้วย ดังนั้นเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาที่มาร่วมงานเลี้ยงแต่งงานอย่างเสียเที่ยวจึงได้บอกลาแขกเหรื่อคนอื่นๆ แล้วออกมาจากตำหนักหลีอ๋อง แต่เมื่อออกจากตำหนักหลีอ๋องมาได้ไม่เท่าไรก็พบเข้ากับสวีชิงเฉินที่ไม่ได้เจอกันมานาน สวีชิงเฉินมักอยู่ไม่ค่อยเป็นหลักแหล่ง ต่อให้เป็นคนในตระกูลสวีก็จะใช่ว่าจะพบเขาเมื่อไรก็ได้ ตั้งแต่เยี่ยหลีแต่งงานมาก็เพิ่งได้พบหน้าเขาเพียงครั้งเดียวเมื่อตอนกลับบ้านเท่านั้น ที่บังเอิญเจอเขาในครั้งนี้จึงถือว่าน่าประหลาดใจมาก เมื่อเอ่ยทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว ทั้งสามคนจึงได้เคลื่อนตัวไปยังภัตตาคารฉู่เซียงเก๋อเพื่อรับประทานอาหาร
“เรื่องในวันนี้ ท่านอ๋องเห็นว่าอย่างไร” สวีชิงเฉินจิบสุราชั้นดีในมือ ก่อนเอ่ยชมขึ้น “ว่ากันว่าสุราชั้นดีของร้านฉู่เซียงเก๋อนั้นรสเลิศที่สุดในเมืองหลวง ไม่เสียชื่อจริงๆ”
เยี่ยหลีก้มหน้ารับประทานอาหารไปพลาง ฟังทั้งสองพูดคุยกันไปพลาง เกิดเรื่องขึ้นตลอดบ่ายเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ
“พี่สวีข่าวเร็วดีจริง” ม่อซิวเหยาเอ่ยชม สวีชิงเฉินไม่ได้ถามว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แต่ถามถึงความคิดเห็นของม่อซิวเหยาเลยทันที ด้วยเพราะเขาคงรู้แล้วว่าเกิดอันใดขึ้นที่ตำหนักหลีอ๋อง สวีชิงเฉินทำเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่กลับถอนหายใจออกมา พร้อมกับพูดเสียงอ่อนกับเยี่ยหลีด้วยความเสียใจว่า “หลีเอ๋อร์ เหตุใดสามีเจ้าจึงไม่ยอมเรียกข้าว่าพี่ใหญ่หรือ”
เยี่ยหลีรู้สึกจุกขึ้นที่คอทันที ก่อนบังคับตนเองให้กลืนก้อนเหนียวๆ กลับลงไป แล้วเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา ก่อนหันไปมองสวีชิงเฉิน มุมปากกระตุกเล็กน้อย สวีชิงเฉินอ่อนกว่าม่อซิวเหยาสามปี ม่อซิวเหยายอมเรียกเขาเช่นนั้นสิถึงแปลก อีกอย่างต่อให้ม่อซิวเหยาเรียกเขาเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ คงต้องเรียกสวีชิงเจ๋อว่าพี่รอง และอาจรวมไปถึง ต้องเรียกสวีชิงป๋อว่าพี่อีกด้วย ม่อซิวเหยาส่งชามน้ำแกงมาให้นาง เมื่อเห็นนางดื่มลงไปแล้วจึงได้หันไปยิ้มกับสวีชิงเฉินว่า “พี่สวี ท่านเป็นเพียงพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของอาหลีเท่านั้น”
สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ข้าไม่ถือที่ท่านอ๋องจะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่”
ดวงตาม่อซิวเหยามีแววครุ่นคิด ก่อนมุมปากจะยกขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าคิดว่าพี่สวีคงยังจำได้…ว่าข้าน้อยเคยเป็นศิษย์ของท่านชิงอวิ๋น” แต่ท่านเป็นหลานชายของท่านชิงอวิ๋น ส่วนข้าเป็นลูกศิษย์ของท่านชิงอวิ๋น “อีกอย่าง ท่านย่าของข้า ดูเหมือนจะแซ่เดียวกับฮูหยินใหญ่ตระกูลสวี” ทั้งสองมาจากตระกูลเดียวกัน หากเทียบอายุแล้วห่างกันสองปี แต่หากเทียบรุ่นแล้วอันที่จริงถือว่ารุ่นเดียวกัน
เยี่ยหลีรู้ดีว่าสวีชิงเฉินไม่ได้ต้องการที่จะทำให้ม่อซิวเหยาต้องลำบากใจหรอก เพียงแค่ล้อเขาเล่นเท่านั้น เยี่ยหลีดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่มุมปาก ก่อนยิ่มน้อยๆ “พี่ใหญ่ ท่านสนใจเรื่องว่าใครจะเรียกท่านอย่างไรตั้งแต่เมื่อไรกัน หากท่านอ๋องยอมเรียกตามที่ท่านว่าจริง จะไม่เป็นการเรียกยอดชายงามของเมืองหลวงเป็นผู้อาวุโสหรือ”
สวีชิงเฉินกวาดตามองม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี เขาเห็นที่เมื่อสักครู่ม่อซิวเหยาส่งชามน้ำแกงให้เยี่ยหลีด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติจึงมีแววพอใจปรากฏขึ้นในแววตา แต่เมื่อได้ยินเยี่ยหลีพูดเช่นนี้ จึงแกล้งมองค้อนนางอย่างไม่พอใจ ก่อนถอนใจเบาๆ “เมื่อแต่งงานออกไปแล้วก็กลายเป็นพวกคนอื่นไปแล้วจริงๆ ด้วย ท่านพ่อกับท่านอารองจะต้องเสียใจเป็นแน่ที่อนุญาตให้เจ้าแต่งงานออกไปเร็วเช่นนี้” นางป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของรุ่นของตระกูลสวีเชียวนะ มากลายเป็นคนของตระกูลอื่นไปเช่นนี้ ใบหน้าอันงดงามของเยี่ยหลีมีเลือดฝาดขึ้นทันที “พี่ใหญ่ นี่ท่านมาเพื่อต่อว่าข้าหรือ”
สวีชิงเฉินส่ายหน้า ปรับสีหน้าให้มีรอยยิ้มก่อนมองหน้าม่อซิวเหยาตรงๆ ม่อซิวเหยานิ่งคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “พี่สวีเห็นว่าเรื่องในวันนี้มีอะไรน่าสงสัยหรือไม่”
“เมื่อสักครู่…เหลยเถิงเฟิงพาองค์หญิงหลิงอวิ๋นออกเดินทางไปจากเมืองหลวงแล้ว” สวีชิงเฉินกล่าว “ไม่แม้แต่จะเข้าไปทูลลากับฝ่าบาท แต่ออกเดินทางไปโดยทันที”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วถามขึ้น “อำนาจของเหลยเถิงเฟิงมีมากพอที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องเช่นนี้แล้วหรือ” เรื่องการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถึงแม้ทั้งสองแคว้นจะต่างมีจุดประสงค์ที่ไม่ดี แต่เพียงเหลยเถิงเฟิงบอกให้ยกเลิกก็ยกเลิกได้ง่ายๆ ต่อให้ม่อจิ่งหลีเป็นฝ่ายผิดก่อน แต่หากพูดเรื่องนี้ออกไปจะกลายเป็นแคว้นซีหลิงที่ไม่มีเหตุผล สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ไม่ใช่ว่าเหลยเถิงเฟิงมีอำนาจหรอก แต่เป็นเจิ้นหนานอ๋อง บิดาของเขาที่มีอำนาจ ฮ่องเต้ของแคว้นซีหลิงร่างกายอ่อนแอ เจ็บออดๆ แอดๆ อีกทั้งตอนนี้ก็มีเพียงองค์หญิงสองสามคนกับรัชทายาทที่อายุเพิ่งเจ็ดขวบเท่านั้น ถึงแม้เจิ้นหนานอ๋องจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สำเร็จราชการ แต่เป็นในทางปฏิบัติกลับเป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้น…การสานสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับต้าฉู่ เป็นความต้องการของฮ่องเต้แคว้นซีหลิงหรือเจิ้นหนานอ๋องกันหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม
สวีชิงเฉินส่ายหน้า ซีหลิงกับต้าฉู่เป็นอริเก่ากันมาแต่ไหนแต่ไร แต่สายข่าวของตระกูลสวียังไม่เก่งกาจพอถึงขั้นจะแทรกซึมเข้าไปในวังหลวงของแคว้นซีหลิงได้ ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าจะส่งคนไปสืบ”
ตอนที่ 65-2 งานแต่งงานที่จบลงด้วยความ...
เยี่ยหลีรู้สึกว่าชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ดูจะคิดกันไปไกลเกินไปหน่อย นางเหลือบตาขึ้นมอง “ใครกันที่เป็นคนพาองค์หญิงซีสยาเข้าไปในตำหนักหลีอ๋อง” ต่อให้องค์หญิงซีสยาคุ้นเคยกับตำหนักหลีอ๋องเพียงใด หรือจะเข้าออกตำหนักหลีอ๋องเป็นปกติเพียงไหน แต่นางก็เป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ องค์หญิงคนหนึ่งไปร่วมงานแต่งงานที่ตำหนักหลีอ๋อง แต่พวกบ่าวกลับไม่มีใครคิดที่จะไปรายงานนายตนกันสักคน ช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
สวีชิงเฉินและม่อซิวเหยาต่างอึ้งไป สายตาหลุบลงอย่างใช้ความคิด ก่อนหันไปสบตากัน แล้วจู่ๆ สวีชิงเฉินก็หัวเราะขึ้น ก่อนถอนใจเบาๆ “ดูท่าจะมีอีกหลายเรื่องที่พวกเรามองข้ามไป หลายปีมานี้ข้าเร่รอนอยู่ด้านนอกจนเริ่มไม่คุ้นชินกับเมืองหลวงเสียแล้ว…” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่สวีพูดถูก หลายปีนี้ข้าปิดประตูตำหนักไม่ออกไปไหนมาไหน คงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่พวกเราไม่รู้จริงๆ เสียแล้ว เรื่องนี้ข้าจะส่งคนไปสืบเอง”
สวีชิงเฉินพยักหน้า “ท่านอ๋องรับอาสาข้าก็วางใจ อีกไม่กี่วันข้าจะเดินทางออกจากเมืองหลวงพอดี เรื่องพวกนี้ข้าคงช่วยไม่ได้”
เยี่ยหลีอึ้งไป “พี่ใหญ่ท่านจะไปจากเมืองหลวงหรือ จะกลับอวิ๋นโจวหรือเจ้าคะ”
สวีชิงเฉินยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เปล่า ข้าคิดว่าจะไปที่หนานจ้าวสักหน่อย”
“หนานจ้าวหรือ” เยี่ยหลีไม่เข้าใจ “ข้าจำได้ว่าน้องห้าบอกว่า พี่ใหญ่เพิ่งไปที่หนานจ้าวมาเมื่อสองปีก่อน”
ม่อซิวเหยาเอามือจับจอกเหล้าพร้อมเลิกคิ้ว “ท่านคิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่หนานจ้าวหรือ”
สวีชิงเฉินถอนหายใจมองหน้าม่อซิวเหยา “ข้าไม่เชื่อว่าพวกท่านจะมองไม่ออก ตอนนี้ที่ไหนก็สามารถเกิดเรื่องได้ทั้งนั้น” ขอเพียงรอให้ตำหนักติ้งอ๋องสูญสิ้นลง ทุกพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกตำหนักติ้งอ๋องข่มอำนาจบารมีเอาไว้ในช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมา จะกลับฟื้นคืนขึ้นพร้อมกลืนกินต้าฉู่ให้ดับสิ้นไป ไม่ว่าแคว้นหนานจ้าวหรือแคว้นซีหลิง หรือแคว้นเป่ยหรง หรือแม้แต่แคว้นเกาะในทะเล มีใครบ้างที่เห็นผืนแผ่นดินกันกว้างใหญ่และงดงามของต้าฉู่แล้วจะไม่น้ำลายไหล เพียงแต่ตอนนี้ในหัวของผู้มีอำนาจของต้าฉู่เห็นเพียงอานุภาพของตำหนักติ้งอ๋อง ด้านหนึ่งก็คิดทำทุกวิถีทางเพื่อกดตำหนักติ้งอ๋องให้จมลง อีกด้านหนึ่งก็กลัวว่าจะเกิดตำหนักติ้งอ๋องอีกตำหนักขึ้นจึงไม่ยินยอมที่จะสนับสนุนฝึกปรือให้เกิดผู้บัญชาการกองทัพคนใหม่ แต่พวกเขาไม่เคยนึกถึงวันที่สูญเสียตำหนักติ้งอ๋องไปและไม่มีผู้บัญชาการที่เก่งกาจพอที่จะมาทดแทนได้เลยเชียวหรือ ถึงตอนนั้นต้าฉู่จะทำเช่นไร หรือผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกรนั้นจะคิดว่าเขาสามารถอาศัยวิธีการเดียวกับที่เขาใช้คานอำนาจมาเป็นตัวช่วยในตอนสงครามได้อย่างนั้นหรือ
“พี่ใหญ่คิดว่า…หนานจ้าวจะลงมือก่อนหรือ” เยี่ยหลีถามขึ้น ถึงแม้คนของหนานจ้าวจะมีความดุร้าย แต่ถึงอย่างไรเรื่องการศึกก็ยังเก่งกาจไม่เท่าแคว้นเป่ยหรงและแคว้นซีหลิง อีกอย่างพื้นที่ติดชายแดนทางตอนใต้ยังถูกม่อซิวเหยากวาดล้างไปเมื่อตอนนั้นอีก หนานจ้าวในตอนนี้ เกรงว่าจะทำสงครามกับต้าฉู่ไม่ได้อีก
สวีชิงเฉินกล่าวว่า “เดิมทีคงจะไม่ แต่ตอนนี้…ข้ากลัวว่าท่านนั้นของพวกเราจะชิงลงมือกับหนานจ้าวก่อน”
“เอ๋” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นก่อนหันไปมองม่อซิวเหยา จึงได้เห็นแววเห็นด้วยในดวงตาอันเรียบเฉยของม่อซิวเหยา “ท่านนั้น…บ้าไปแล้วหรือ” เดิมทีก็มีศึกพัวพันกับเป่ยหรงและซีหลิงอยู่แล้ว หากเปิดศึกกับหนานจ้าวขึ้นอีก ไม่กลัวว่าทั้งสามแคว้นจะร่วมมือกันตลบหลังหรือ ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ต้าฉู่ไม่มีแม่ทัพที่สามารถใช้การได้เลย เกรงว่าต่อให้ม่อหลั่นอวิ๋นและม่อหลิวฟางยังมีชีวิตอยู่ ต้าฉู่ก็ยังต้องล่มสลายอยู่ดี
สวีชิงเฉินถอนหายใจ “เมื่อครั้งฮ่องเต้ของพวกเราองค์ก่อนขึ้นครองราชย์ ถึงแม้จะมีพระชนมายุค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังได้รับการชี้แนะจากท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นอย่างดี แต่…ท่านนั้นในตอนนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนคงยังไม่ทันได้ชี้แนะสักเท่าไร ดูเหมือนจะเป็นไทเฮาที่คอยอบรมมา” อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุเพียงสี่สิบพรรษาเท่านั้น เดิมทีคิดว่าตนเองจะมีชีวิตไปอีกยี่สิบสามสิบปี จึงไม่ได้คิดวางแผนที่จะอบรมรัชทายาทเพื่อให้มาขวางทางตนเองเร็วถึงเพียงนั้น ใครจะไปคาดคิดว่าจู่ๆ จะมาด่วนจากไปเช่นนี้ ส่วนไทเฮา ถึงแม้ใครๆ ต่างเรียกกันว่าเป็นยอดหญิงแห่งยุค แต่ก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่งในวังหลังเท่านั้น ที่สามารถชี้แนะฮ่องเต้ได้ก็มีเพียงการวางเล่ห์กลอุบายคิดแก้แค้น แน่นอนว่าที่ม่อจิ่งฉีสามารถขึ้นนั่งบัลลังค์เป็นฮ่องเต้ได้อย่างมั่นคงหลังจากที่อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้นเป็นเพราะการวางแผนของฮองเฮา เพียงแต่การวางเล่ห์กลอุบายนี้สามารถนำมาใช้ในการแก่งแย่งดินแดนเท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้ในการปกครองแผ่นดินได้ ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะมีเป้าหมายให้ตนเองเป็นยอดผู้นำแห่งยุค แต่ตัวเขารู้ดีว่า ความสามารถในการปกครองแว่นแคว้นของเขายังไม่อาจเทียบเท่าเสด็จพ่อของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญและระมัดระวังในตำแหน่งฮ่องเต้ของตนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครที่สามารถเป็นภัยร้ายต่อบัลลังค์ของพระองค์ จะต้องถูกกำจัดอย่างไร้ความปรานี”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “แต่พี่ใหญ่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่เจ้าคะ หากเกิดอันตรายขึ้นจะทำเช่นไร”
เยี่ยหลีมองชายหนุ่มที่ดูหนักใจทั้งสองแล้วอดที่จะถอนใจออกมาไม่ได้ โลกก็เป็นเช่นนี้ บางคนทุกข์ร้อนด้วยเพราะเป็นห่วงประเทศเป็นห่วงประชาชา แต่บางคนกลับเอาแต่ลอบวางกลอุบาย มีบางคนเป็นทุกข์ด้วยเพราะมีสติครบถ้วน แต่ก็มีบางคนที่เอาแต่เต้นระบำอยู่ท่ามกลางความเมามาย
สวีชิงเฉินยิ้ม “ข้าเคยผูกสัมพันธ์กับองค์หญิงรัชทายาทของหนานจ้าวอ๋อง จะไปเยี่ยมนางเสียหน่อยเท่านั้น”
องค์หญิงรัชทายาทหรือ เยี่ยหลีนึกประหลาดใจกับการท่องเที่ยวไปทั่วของสวีชิงเฉิน
ม่อซิวเหยายกจอกขึ้นยื่นไปทางเขา “ขอบคุณมาก”
สวีชิงเฉินยกจอกขึ้นตอบ แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องหรอก นี่เป็นความต้องการของท่านพ่อ ไม่ได้ทำเพื่อตำหนักติ้งอ๋อง” ตระกูลสวีไม่มีวันหักหลังต้าฉู่ แต่ตระกูลสวีก็ไม่ใช่ผู้กอบกู้ ไม่มีกำลังพอที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ทั้งหมดได้ ที่พวกเขาทำได้ก็เพียงทำเท่าที่เขาทำได้เท่านั้น
เมื่อส่งสวีชิงเฉินไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้รู้ว่า ที่สวีชิงเฉินมานี่ก็เพื่อที่จะมาบอกลาพวกเขาเท่านั้น แม้แต่ม่อซิวเหยายังเคยกล่าวชื่นชมท่านลุงใหญ่ว่า อาจเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกนี้คนหนึ่ง คงเพราะเมื่อมีข่าวเรื่องความล้มเหลวในการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ขององค์หญิงหลิงอวิ๋นแพร่ออกไป ท่านลุงใหญ่คงคาดการณ์ถึงทิศทางของต้าฉู่ในอนาคตไว้แล้ว ทั้งยังส่งพี่ใหญ่ไปที่หนานจ้าวตั้งแต่คนในวังรวมถึงท่านท่านนั้นยังไม่ทันตั้งสติได้อีกด้วย “หากในอนาคตเกิดอะไรขึ้นกับต้าฉู่ ตระกูลสวีคงยากที่จะรอดพ้นใช่หรือไม่”
ม่อซิวเหยามองนางด้วยแววตาอ่อนโยน “หากเจ้าหมายถึงการกันตัวออกจากเรื่องนี้ นั่นคงเป็นไปไม่ได้” ด้วยบทบาทของตระกูลสวี พวกเขาไม่ได้ภักดีต่อองค์ฮ่องเต้อย่างสุดหัวใจ แต่พวกเขาสามารถสละชีพเพื่อต้าฉู่ได้ “อาหลีรู้หรือว่าเหตุใดตระกูลสวีที่เป็นขุนนางเก่าของราชวงศ์ก่อนจึงได้รุ่งเรืองอยู่ในต้าฉู่ได้เป็นร้อยปีโดยไม่ถดถอยลง” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว ม่อซิวเหยาจึงกล่าวต่อว่า “ช่วงปลายราชวงศ์ก่อน ใต้หล้าวุ่นวายอย่างหนัก…ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ก่อนไม่ใช่นักปกครองที่เผด็จการและไม่ใช่นักปกครองที่ไร้ความสามารถ เขาแทบไม่มีข้อเสียใดๆ เลย เพียงแต่ไม่เหมาะที่จะเป็นฮ่องเต้เท่านั้น บรรพบุรุษของตระกูลสวีพยายามทุกวิถีทางที่จะประคับประคองฮ่องเต้องค์สุดท้ายเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นตระกูลแห่งบัณฑิต แต่อย่างน้อยๆ ก็มีสมาชิกตระกูลสวีถึงเจ็ดคนที่ตายลงในสมรภูมิรบ จนสุดท้าย ท่านม่อหลั่นอวิ๋นนำทหารเข้าปิดล้อมเมืองหลวง หัวหน้าตระกูลสวีในตอนนั้นออกบัญชาการรบด้วยตนเองทั้งๆ ที่เป็นบัณฑิต เกิดการปะทะกันเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่จบไม่สิ้น บุตรชายคนโตของปฐมฮ่องเต้บุ่มบ่ามนำทหารบุกเข้าไป จึงเสียชีวิตลงท่ามกลางสมรภูมิรบที่วุ่นวายนั้น ปฐมฮ่องเต้พิโรธหนัก สั่งให้ทหารจับชาวบ้านบริเวณโดยรอบเมืองหลวงไว้แล้วให้สังหารทุกวันที่นอกเมือง หากฮ่องเต้องค์สุดท้ายไม่ยอมจำนนจะสังหารชาวบ้านวันละห้าพันคน และเมื่อถึงวันที่เมืองแตก จะสังหารทุกคนในเมืองให้ไม่มีเหลือ วันต่อมา หัวหน้าตระกูลสวีลงมือสังหารฮ่องเต้องค์สุดท้ายด้วยตัวเองพร้อมเปิดประตูเมืองให้อีกฝ่ายนำทหารเข้ามา โดยมีข้อแม้เดียวคือห้ามทำร้ายชาวบ้านในเมืองและในละแวกใกล้เคียง วันที่ทหารแคว้นฉู่เข้าไปเมืองไปนั้น หัวหน้าตระกูลสวีทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้ปฐมฮ่องเต้ จากนั้นจึงได้ฆ่าตัวตายตาม และในวันเดียวกันนั้นเอง สวีซื่อฮูหยินได้นำสมาชิกตระกูลสวีทั้งหมดเจ็ดสิบสามชีวิตมาฆ่าตัวตายตามแคว้นไป เหลือไว้เพียงลูกชายคนเล็กของตระกูลสวีที่อายุเพียงสิบสามปีและยังอยู่ไกลถึงอวิ๋นโจว หรือที่ต่อมากลายเป็นเสนาบดีสวีเยี่ยนหลีตั้งแต่อายุยังน้อยนั่นเอง”
เยี่ยหลีอึ้งไปกับข้อมูลลับที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ในใจมีความเจ็บปวดที่พูดไม่ออก นางนึกเสียใจและหงุดหงิดใจที่ในตอนนั้นได้พูดจาเหลวไหลไปกับท่านลุงใหญ่ นางอาจไม่เข้าใจว่าสิ่งใดเป็นความภาคภูมิใจของบัณฑิตที่เรียนหนังสือ แต่การที่นางเป็นทหาร ทำให้นางเข้าใจและรับรู้อย่างลึกซึ้งถึงความเด็ดเดี่ยวและความภักดีของทหาร นางไม่กล้าคาดเดาว่า เมื่อนางถามเช่นนั้นออกไป ในใจท่านลุงใหญ่จะเต็มไปด้วยความผิดหวังและทุกข์ใจเพียงใด นั่นถือเป็นการสบประมาทและดูหมิ่นบรรพบุรุษตระกูลสวีและอีกเจ็ดสิบสามชีวิตที่ได้ตายตามแคว้นไปอย่างถึงที่สุด
“เช่นนี้…เหตุใดจึง…” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงอ่อน
ม่อซิวเหยากล่าวว่า “เจ้าคิดจะถามว่าเหตุใดจึงไม่เหมือนที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่ ไม่มีอะไรไม่เหมือนหรอก สวีเยี่ยนหลีคอยช่วยฮ่องเต้จากต้าฉู่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แม้แต่ฮ่องเต้องค์ที่สามของต้าฉู่ก็เป็นเขาที่คอยสั่งสอนมากับมือ ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นขึ้นมา องค์ปฐมฮ่องเต้ได้พระราชทานราชทินนามและตำแหน่งที่น่าอิจฉาแก่ผู้เสียชีวิตของตระกูลสวีทุกคน” เมื่อเห็นท่าทางตกใจของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาจึงยิ้มให้อย่างสงบ “ปฐมฮ่องเต้ฆ่าผู้คนไปมากมายระหว่างทำสงคราม จึงจำเป็นต้องสร้างชื่อเสียงเรื่องความมีเมตตากรุณาเพื่อให้ตนสามารถปกครองใต้หล้าได้อย่างมั่นคงน่ะ”
“บรรพบุรุษตระกูลสวีทิ้งจดหมายอะไรไว้ให้ติ้งอ๋องหรือ” เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความสงสัย แน่นอนว่าเรื่องราวย่อมไม่ธรรมดาอย่างที่ม่อซิวเหยากล่าว ปฐมฮ่องเต้ไม่มีทางวางใจที่จะใช้งานเสนาบดีที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ก่อนทั้งตระกูลเป็นแน่ ม่อซิวเหยายิ้มพร้อมส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ได้ ดูเหมือนบรรพชนข้าจะนำจดหมายนั้นให้ปฐมฮ่องเต้ แต่จดหมายฉบับนั้นได้ช่วยชีวิตสวีเยี่ยนหลีไว้ ถึงแม้ประวัติศาสตร์การก่อตั้งแคว้นของปฐมฮ่องเต้จะมีจุดที่บันทึกไว้อย่างลวกๆ และไม่ละเอียดอยู่มาก แต่มีเรื่องราวมากมายที่หยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจของประชาชน” หลากหลายเรื่องราว ที่แม้ผู้คนจะค่อยๆ ลบเลือนไป แต่หลายๆ คนยังคงได้ยินเรื่องเหล่านี้จากการบอกเล่าของรุ่นพ่อรุ่นแม่ อย่างความเคารพนับถือตระกูลสวี เป็นต้น
ในที่สุดเยี่ยหลีก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดตระกูลสวีกี่รุ่นๆ จึงไม่ยอมแต่งงานกับราชนิกุล ถึงแม้จะไม่นึกโกรธแค้นแล้ว แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า ตระกูลสวีเคยต้องสูญสิ้นเพราะราชนิกุลของต้าฉู่ เรื่องนี้พอที่จะอธิบายได้แล้วว่า เหตุใดตระกูลสวีที่แสดงออกว่าไม่ต้องการยศศักดิ์ ไม่ต้องการซึ่งอำนาจ แต่เชื้อพระวงศ์กลับจ้องที่จะกดตระกูลสวีไว้มาโดยตลอด เกรงว่าในตอนนั้นสิ่งที่ม่อหลั่นอวิ๋นทำคงไม่ใช่อย่างที่ม่อซิวเหยาพูดออกมาง่ายๆ เช่นนั้นเป็นแน่
ตอนที่ 65-3 งานแต่งงานที่จบลงด้วยความ...
เยี่ยหลีนวดหน้าผากอย่างคิดไม่ตก ก่อนถามขึ้นด้วยความสิ้นหวังว่า “จะต้องเกิดสงครามขึ้นแน่หรือ”
“ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น” ม่อซิวเหยาถอนใจเบาๆ “ต้าฉู่กดแคว้นอื่นๆ ไว้นานเกินไปแล้ว เกือบทุกคนต่างพากันเฝ้ารอวันที่ต้าฉู่จะล่มสลาย ส่วนพวกเรา…ดูเหมือนจะเคยชินเสียแล้วกับความคิดที่ว่าตนนั้นแข็งแกร่งที่สุด” อันที่จริงหากเขาไม่พ่ายแพ้อย่างเมื่อเจ็ดปีก่อน แม้แต่เขาเองก็คงคิดเช่นนั้นเช่นกัน แต่เมื่อเขาได้พาร่างอันบอบช้ำพร้อมเถ้ากระดูกของพี่ชายและกองทหารฝีมือดีของตระกูลม่อที่ล้มตายไปกว่าครึ่งออกมาจากสนามรบ ถึงได้รู้ว่า ความทระนงตนของตนก่อนหน้านี้ช่างน่าขันนัก ไม่ว่าแคว้นซีหลิงหรือเป่ยหรง อาจสู้ต้าฉู่ไม่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเก่งกาจกว่าพวกเขาขนาดนั้น กองทัพตระกูงม่อและหน่วยเมฆาทมิฬที่เคยกวาดล้างดินแดนทั่วหล้ามาแล้วนั้น ใช้ซากศพของพวกเขาหลายแสนคนในการพิสูจน์เรื่องนี้ “อาหลี…ตำหนักติ้งอ๋องเป็นคนทำลายต้าฉู่…” ผ่านไปครู่ใหญ่ ม่อซิวเหยาจึงได้พูดประโยคนี้ขึ้นมาเบาๆ หากไม่ใช่เพราะตำหนักติ้งอ๋องแสดงความแข็งแกร่งของตนออกมามากเกินไป ต้าฉู่อาจมีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่และทหารที่เก่งกาจมากกว่านี้ หากไม่มีทหารตระกูลม่อคอยปกป้องชายแดนมาเป็นร้อยปี ในสถานการณ์คับขัน ต้าฉู่อาจจะไปได้ไกลกว่านี้
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปไม่ได้พูดอะไร นางไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด มีใครบ้างที่สามารถปกป้องต้าฉู่จากรุ่นต่อรุ่นมาได้เป็นร้อยปีด้วยความภักดีอย่างตำหนักติ้งอ๋องบ้าง พวกเขาทำผิดหรือ ย่อมไม่ใช่ เช่นนั้นเป็นคนที่พวกเขาปกป้องหรือที่ผิด ก็ย่อมไม่ใช่ เพราะพวกเขาต่างไม่รู้อะไรเลย ครู่ใหญ่ เยี่ยหลีจึงได้เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “พวกท่านไม่ผิดหรอก จะผิดก็ที่ใจคน” ไม่ใช่ฮ่องเต้ทุกพระองค์ที่จะมีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญที่เท่าเทียมกัน และไม่ใช่ฮ่องเต้ทุกพระองค์ที่จะมีความสามารถและบารมีมากพอที่จะให้ทั่วหล้าสวามิภักดิ์ได้ เมื่อในสายตาฮ่องเต้เห็นว่าขุนนางไม่ใช่คนที่คอยช่วยเหลือค้ำจุนตนเอง แค่เห็นว่าเป็นภัยร้ายนั้น ความเก่งกาจและสามารถของขุนนางนั้นจะกลายเป็นความท้าทายและภัยร้ายของพระองค์ทันที
เมื่อได้ยินสิ่งที่เยี่ยหลีพูดแล้ว ม่อซิวเหยาเหม่อมองเยี่ยหลีอยู่เป็นนาน ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา “ขอโทษด้วยอาหลี ข้าพูดเรื่องพวกนี้ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่”
เยี่ยหลีกวาดตามองเขาอย่างสุขุม นางเป็นคนขวัญอ่อนเช่นนั้นเชียวหรือ ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “จะมาทุกข์ใจด้วยเรื่องพวกนี้เอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ สู้อาหลีลองเดาดูดีกว่าว่าเรื่องทางตำหนักหลีอ๋องจะจัดการอย่างไร”
เยี่ยหลียักไหล่อย่างเบื่อหน่าย “จะจัดการอย่างไรได้ ฮ่องเต้บันดาลโทสะสั่งประหารองค์หญิงซีสยาแล้วลดขั้นหลีอ๋อง หรือไม่พอท่านอ๋องผู้เฒ่าทั้งหลายเอ่ยโน้มน้าวใจฝ่าบาทได้แล้ว ก็สั่งให้ขังองค์หญิงซีสยาไว้พร้อมลงโทษสถานเบา หรือไม่อีกที…เปลี่ยนฐานะองค์หญิงซีสยาแล้วให้แต่งเข้าตำหนักหลีอ๋อง” เยี่ยหลีรู้สึกว่าไทเฮาผู้เป็นมารดานั้นยอมรับองค์หญิงซีสยาได้เร็วเกินไป นางกำลังจะเป็นพระสนมของบุตรชายคนโตในอนาคตแต่กลับมีสัมพันธ์กับบุตรชายคนรอง แต่พระนางกลับด่าว่าเพียงไม่กี่ประโยคก็เริ่มคิดหากทางให้รับนางเข้าตำหนักเสียแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้คำนึงถึงท่าทีของฝ่าบาทเลยแม้แต่น้อย หากเป็นมารดาของคนในยุคนี้ เกรงว่าคงได้จัดการเอาชีวิตผู้หญิงที่อาจทำให้เกิดกำแพงระหว่างลูกชายทั้งสองของตนเสียก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันเสียแล้ว
“อาหลีคิดว่าแบบใดเป็นไปได้มากกว่ากันหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม
เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย “แบบที่สาม” นางพูดพร้อมขมวดคิ้ว เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพราะถูกผู้อื่นเล่นงานก็ว่าต้องการที่จะเล่นงานผู้อื่นกันแน่ ดูท่า…ม่อจิ่งหลีคงจะต้องใช้สมองไตร่ตรองให้ดีเสียแล้ว หรือว่าจะเป็นสมองของคนที่อยู่เบื้องหลังเขาอีกทีกันแน่นะ
“อาหลี ต่อไปนี้เจ้าอยู่ห่างม่อจิ่งหลีไว้หน่อยเถิด” ม่อซิวเหยาเอ่ยเตือน เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างเหม่อลอย ในหัวกำลังคิดคำถามเมื่อสักครู่อยู่ “องค์หญิงจากแคว้นหนานจ้าวมีประโยชน์อย่างไรกับม่อจิ่งหลีหรือ”
ม่อซิวเหยาดูเหมือนอึ้งไปเล็กน้อย หันมองเยี่ยหลีก่อนยิ้มน้อยๆ “นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของบุตรสาวรัชทายาทแคว้นหนานจ้าว ย่อมมีประโยชน์กว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นมากนัก”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วมุ่นเข้าไปอีก “หากม่อจิ่งหลีมีสมองคิดการเช่นนั้นจริง มีหรือที่ข้าจะด้อยกว่าเยี่ยอิ๋งถึงเพียงนั้น”
ม่อซิวเหยาดูจะหัวเราะอย่างเป็นสุขมากกว่าเดิม “เชื่อข้าเถิด หากม่อจิ่งหลีมีสมองจริง เขาคงยอมที่จะแต่งงานกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเสียดีกว่าแต่งงานกับเจ้า”
เยี่ยหลีหน้าบึ้งลงทันที นี่นางถูกคนรังเกียจจนกลายเป็นอะไรไปแล้วนี่
“เพียงแต่…แผนการณ์ที่พวกเขาคิดไว้คงจะผิดทั้งหมด ม่อจิ่งฉีคนนี้…ดูเหมือนจะไม่เคยทิ้งไพ่ตามกฎมาก่อน” ถึงแม้ฮ่องเต้องค์นี้จะไม่ได้วางกลยุทธ์เก่งกาจดังที่ตัวเขาคิด แต่ไพ่สังหารที่เขาทิ้งลงมาเป็นครั้งคราวนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรับได้
ดังนั้น เมื่อพวกเขากลับถึงตำหนัก ก็มีข่าวจากในวังแพร่ออกมาว่า…องค์หญิงซีสยาป่วยจนถึงแก่ชีวิต แน่นอนว่า อีกสองสามวันข่าวนี้จึงจะถูกปล่อยออกมา เพราะถึงแม้ฮูหยินของขุนนางใหญ่จะรู้เรื่องนี้ก่อนและต่างก็รู้กันดีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่ยังต้องคิดหาข้ออ้างมาหลอกประชาชนทั่วไปอยู่ดี วันนี้ที่ตำหนักหลีอ๋องเกิดเรื่องขึ้น องค์หญิงซีสยาก็มาสิ้นชีพลงในวันนั้น ขอเพียงไม่ใช่คนหัวทึบก็สามารถนำเรื่องสองเรื่องนี้มาผูกกันเป็นเรื่องเป็นราวได้ แล้วเรื่องการแต่งงานระหว่างหลีอ๋องกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นนั้นเล่า ในเมื่อในวังหลวงไม่มีท่าทีอะไร เช่นนั้นทุกคนก็ยินดีที่จะทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฝ่าบาทไม่ได้พระราชทานงานสมรสนี้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยนำของขวัญไปให้ที่ตำหนักหลีอ๋อง ถึงอย่างไรตอนที่หลีอ๋องจะแต่งงานกับองค์หญิงซีสยาอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องนำของขวัญไปให้อีกแล้ว ถือเสียว่าส่งไปให้ล่วงหน้าก็แล้วกัน
ในวังหลวง ภายในตำหนักที่ตกแต่งอย่างหรูหราและดูเย็นเยียบนั้น ม่อจิ่งฉีกำลังระบายโทสะร้อนในใจตนออกมา นางในและขันทีทั้งหลายต่างหลบกันออกไปด้วยความตกใจหมดแล้ว คนที่หลบออกไปไม่ได้ก็ทำได้เพียงยืนตัวลีบตัวสั่นหลบมุมอยู่เท่านั้น ภาพวาดและภาพเขียนอักษรโบราณต่างๆ ถูกฉีกทิ้งไม่เหลือชิ้นดี บนโต๊ะอันวิจิตรงดงามที่มีข้าวของวางอยู่ ก็ถูกถีบเสียจนข้าวของกระจุยกระจายไปหมด หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้สลักสลายข้างๆ ด้วยแววตาเยือกเย็น มองบุรุษที่กำลังบ้าคลั่งด้วยสายตาเรียบเฉย มีเด็กสาวคนหนึ่งในชุดและเครื่องประดับหรูหรา อายุประมาณเจ็ดแปดขวบ กำลังจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาตื่นตระหนกในอ้อมกอดของนาง ดูเหมือนจะถูกทำให้ตกใจกลัวจนอึ้งไป แม้แต่ร้องไห้ก็ยังไม่กล้าส่งเสียงออกมา
หลิ่วกุ้ยเฟยยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตาเด็กคนนั้นไว้ ก่อนมองไปทางบุรุษที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ในตำหนัก “ฝ่าบาทพอได้แล้วหรือยังเพคะ”
ม่อจิ่งฉีอึ้งไป ก่อนค่อยๆ หยุดมือลงแล้วหันมองใบหน้าอันงดงามที่เยือกเย็นประดุจหิมะของหลิ่วกุ้ยเฟย ในดวงตาที่มืดครึ้มฉายแววดุร้าย
“ใครก็ได้ มาพาตัวองค์หญิงออกไปที” หลิ่วกุ้ยเฟยออกคำนสั่ง บรรดานางกำนัลที่คุกเข่าอยู่มุมหนึ่งเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ รีบลุกขึ้นมาพาตัวเด็กหญิงที่ตกใจจนนิ่งไปมาจากหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนพาเดินออกไปด้วยกายที่สั่นระริก
“สนมรัก เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือ” น้ำเสียงของม่อจิ่งฉีไม่เหลือความห้าวหาญอย่างเวลาอยู่ในท้องพระโรงอยู่เลย แต่กลับเต็มไปด้วยความมืดครึ้มและความเกลีดยชัง
หลิ่วกุ้ยเฟยเหลือบสายตาขึ้นมองเขา “ฝ่าบาทอยากให้หม่อมฉันพูดอะไรหรือเพคะ”
“เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้าในใจใช่หรือไม่” ม่อจิ่งฉีคว้าคางได้รูปของหลิ่วกุ้ยเฟยไว้มั่น ก่อนเอ่ยกระซิบเสียงต่ำที่ข้างหู เสียงกระซิบอันเรียบเย็นประหนึ่งงูกำลังพ่นพิษอย่างไรอย่างนั้น “ข้ารู้ เจ้าก็เหมือนกับคนอื่นๆ! ไม่…เจ้าดูถูกข้าเสียยิ่งกว่าพวกมันอีกใช่หรือไม่ เห็นคนอื่นเป็นปฏิปักษ์กับข้า ในใจเจ้านึกยินดีใช่หรือไม่”
“ฝ่าบาทว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเพคะ” หลิ่วกุ้ยเฟยพูดขึ้นเรียบๆ
เพียะ! ม่อจิ่งฉีสะบัดมือตบเข้าที่ใบหน้าอันงดงามประหนึ่งหยกของหลิ่วกุ้ยเฟยทันที ใบหน้านางปรากฏรอยแดงรูปฝ่ามือขึ้นทันที หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้น มองสบตาเขานิ่งๆ ม่อจิ่งฉีอึ้งไป “ฉางเอ๋อร์…” เขาตะลึงมองรอยแดงบนใบหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟย ม่อจิ่งฉียื่นมือออกไปหมายจะลูบรอยนั้นด้วยความสงสาร “ฉางเอ๋อร์…ข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ควรตบเจ้า…เจ็บหรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อฟังข้า…ไม่มีเรื่องอะไรก็มักหาเรื่องข้าเสมอ! เหตุใดจึงต้องคอยยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ เหตุใดจึงต้องข่มขู่ข้า ข้าเกลีดยการที่ถูกคนอื่นข่มขู่ที่สุด!” ยิ่งพูดม่อจิ่งฉียิ่งดูร้อนใจ ก่อนลืมความรู้สึกสงสารเมื่อครู่ไปอย่างรวดเร็ว สองมือยกขึ้นจับหัวไหล่หลิ่วกุ้ยเฟยเขย่าพร้อมตะโกนเสียงดังขึ้น
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ท่านเข้าใจพระสนมผิดแล้วเพคะ!” จู่ๆ ก็มีนางในคนหนึ่งวิ่งออกมาตำหนักด้านข้าง รีบเอ่ยกับม่อจิ่งฉีด้วยความร้อนใจว่า “ฝ่าบาท ท่านได้โปรดปล่อยพระสนมเถิดเพคะ…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระสนมเลยจริงๆ นะเพคะ…”
เมื่อเห็นว่าม่อจิ่งฉีไม่ได้สนใจคำพูดของคนเลยแม้แต่น้อย นางกำนัลผู้นั้นมองไปรอบๆ ก็เห็นแจกันดอกไม้โบราณอันหนึ่งที่พอนำมาเป็นอาวุธได้และยังไม่ถูกทำให้แตก ก็รีบกัดฟันเดินไปอุ้มแจกันดอกไม้นั้นขึ้น แล้วคิดจะทุ่มมันใส่แผ่นหลังของม่อจิ่งฉี หลิ่วกุ้ยเฟยหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบยกมือขึ้นดึงมุกดอกไม้บนศีรษะออกขว้างไปทางนางกำนัลผู้นั้นทันที เกิดเสียงเพล้งดังขึ้น แจกันดอกไม้ใบนั้นร่วงลงแตกอยู่ที่พื้นพร้อมเสียงแตกเป็นเสี่ยงๆ
ม่อจ่อฉีที่กำลังคุ้มคลั่งอยู่นั้นดูจะได้สติขึ้นมาทันที นางกำนัลคนนั้นตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด ก่อนลงไปคุกเข่าร้องไห้อยู่ที่พื้น ที่นางอุ้มแจกันดอกไม้ขึ้นเมื่อครู่ ในหัวนางขาวโพลนไม่ทันได้คิดอะไร เมื่อได้สติจึงได้คิดว่าหากเมื่อครู่ตนขว้างแจกันนั้นไปจริง จะเกิดอะไรขึ้น
ในที่สุดม่อจิ่งฉีก็สงบสติอารมณ์ลงได้ กวาดตามองไปทางนางกำนัลที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ก่อนค่อยๆ ปล่อยหลิ่วกุ้ยเฟยแล้วลุกยืนขึ้น
พอเขายืนขึ้น หลิ่วกุ้ยเฟยก็กลับนั่งลงทันที นางยังคงสุขุมและเยือกเย็น หากไม่มีรอยแดงบนใบหน้า คงทำให้ผู้คนเข้าใจไปว่าเมื่อสักครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “ฉางเอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด อีกเดียวข้าจะให้คนมาเปลี่ยนของให้เจ้าใหม่ทั้งหมด” ม่อจิ่งฉีเหลือบตามองหลิ่วกุ้ยเฟยเพียงแวบเดียว แล้วหมุนตัวไปถีบนางกำนัลผู้นั้นให้หลีกทาง ก่อนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องมองร่างที่จากไปอย่างรวดเร็ว แววตาเยือกเย็นมีความคับแค้นใจและเยาะหยันเจืออยู่
ตอนที่ 66-1 ความทะเยอทะยานและอำนาจ
“พระสนมเพคะ” ภายในตำหนักที่ข้าวของกระจัดกระจายอยู่ในความเงียบสงบ ผ่านไปครู่ใหญ่นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่กับพื้นจึงได้เอ่ยเรียกหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นอย่างระมัดระวัง
สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยได้กลับมาราบเรียบดังเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ประหนึ่งไม่เคยมีอันใดเกิดขึ้น “เจ้าลุกขึ้นเถิด วันนี้เกิดอันใดขึ้นที่ตำหนักหลีอ๋องหรือ” ม่อจิ่งฉีไม่มีทางที่จะคุ้มคลั่งอย่างไม่มีสาเหตุ ในวันนี้นอกจากเป็นวันที่หลีอ๋องรับตัวชายาร่วมเข้าจวนแล้วไม่มีเรื่องใหญ่เรื่องอื่นอีก ถึงแม้ช่วงนี้ติ้งอ๋องมีที่ท่าว่าจะกลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้งหลังจากแต่งงาน ทำให้เขาร้อนใจจนเกือบทนไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้อยู่ดีๆ เขาลุกขึ้นมาระเบิดอารมณ์เช่นนี้ ดังนั้นวันนี้จะต้องเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นอย่างแน่นอน
เด็กสาวนางกำนัลเอ่ยขอบพระทัยก่อนลุกขึ้น แล้วเดินไปข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟย “ก่อนหน้านี้ไทเฮารีบร้อนไปยังตำหนักหลีอ๋อง จากนั้นฝ่าบาทก็มีรับสั่งเรียกให้หลีอ๋อง ชายาหลีอ๋อง รวมถึงเสียนเจาไท่เฟยเข้าวัง จนเมื่อหลีอ๋องกลับไปแล้วฝ่าบาทก็มาหาพระสนมที่นี่ทันทีเพคะ บ่าวจึงยังไม่ทันได้รายงานเรื่องเหล่านี้” หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว “เรียกหลีอ๋องให้เข้าวังหรือ แล้วงานแต่งงานของหลีอ๋องเล่า” นางกำนัลตอบว่า “บ่าวกำลังจะรายงานพระสนมเรื่องนี้ งานแต่งงานยกเลิกเสียแล้วเพคะ ได้ยินว่าเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิงพาตัวองค์หญิงหลิงอวิ๋นออกไปจากงานด้วยความโกรธจัด ดูเหมือนว่าในตำหนักหลีอ๋อง…จะเกิดเรื่องขึ้นในที่พักของสตรีเพคะ…”
หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วพร้อมโบกมือไปมา “ส่งจดหมายกลับไปที่บ้านข้า เชิญท่านแม่ให้รีบเข้าวังมาโดยเร็ว” ถึงแม้นางจะเป็นที่โปรดปราน แต่ด้วยเพราะตัวอยู่ในวังจึงทำให้ทราบข่าวภายนอกช้ากว่าคนอื่นเสมอ
“บ่าวรับคำสั่งเพคะ พระสนม…ทางฝั่งฝ่าบาท…”
ริมฝีปากรูปกระจับขอบหลิ่วกุ้ยเฟยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ไม่มีอันใดหรอก คงถูกไทเฮาทำอันใดให้โกรธเข้ากระมัง อีกเดี๋ยวค่อยคิดหาวิธีให้ฝ่าบาทระบายความกริ้วออกมาก็ได้” นางกำลังแย้มยิ้มขึ้น “พระสนมรู้พระทัยฝ่าบาทเป็นที่สุดเลยเพคะ เพียงแต่…นายท่านให้คนมาส่งข่าวว่า ให้พระสนม…ระวังองค์ไทเฮาไว้ด้วยนะเพคะ ถึงอย่างไร…” ถึงอย่างไรไทเฮาก็เป็นสตรีที่จัดการบรรดาพระสนมผู้สูงศักดิ์ในวังหลวงของอดีตฮ่องเต้เสียจนสิ้น นางไม่เพียงมีพระโอรสถึงสององค์ แต่ยังจัดการสตรีเหล่านั้นรวมถึงพระโอรสทั้งหลายจนสิ้นซาก สุดท้ายจึงได้ยกลูกชายของตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นไทเฮาย่อมไม่ใช่สตรีที่สามารถรับมือได้โดยง่ายเป็นแน่ หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้ ไทเฮาทรงเก่งกาจจริงๆ นั่นล่ะ เพียงแต่…ข้าก็ไม่ใช่คนถือศีลกินเจ” ไทเฮาเป็นคนที่ฉลาดและเก่งกาจก็จริง แต่สิ่งที่พระนางทำพลาดที่สุดก็คือ พระนางไม่เคยเข้าใจเลยว่าบุตรชายของตนกำลังคิดอันใดอยู่
พระนางคิดจริงๆ หรือว่าม่อจิ่งฉีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถทานทนความต้องการที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในมือของพระนางได้ ขอเพียงเป็นบุรุษที่มีความทะเยอทะยาน เป็นใครก็ย่อมไม่อาจทานทนได้ เพียงแต่บางคนนั้นไม่ยอมทน และบางคนที่ไม่ทนไม่ได้เท่านั้น
ตำหนักติ้งอ๋อง
ณ ลานฝึกในมุมที่อยู่ลึกและลับตาคนที่สุดของตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีกำลังจ้องมองชิงหลวนกับอาจิ่นใช้วิชาตัวเบากระโดดบินไปบินมาต่อหน้าตนเองด้วยสีหน้าบึ้งตึงที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น ชิงซวงที่ใช้วิชาตัวเบาไม่เก่งเช่นเดียวกันถึงกับยืนลอบหัวเราะอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง แม้แต่ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังอดมุมปากกระตุกจึ้นน้อยๆ ไม่ได้ เยี่ยหลีไม่เข้าใจเอาเสียเลย ด้วยร่างกายของนางที่มีความสัมพันธ์และการปรับสมดุลของร่างกายได้ดี ทั้งยังมีร่างกายที่เหมาะแก่การฝึกวิชาการต่อสู้อย่างที่ม่อซิวเหยาเคยพูด เหตุใดนางจึงเรียนวิชาตัวเบาไม่สำเร็จเสียที แม้แต่เสาดอกเหมย[1] หรือเสาอันใดนั่นนางก็ฝึกได้จนคล่องแคล่วแล้ว ประหนึ่งยืนอยู่บนพื้นราบ แม้แต่วิชากำลังภายในที่คนยุคปัจจุบันเห็นว่าเร้นลับเสียยิ่งกว่าเร้นลับนางยังฝึกจนสำเร็จแล้ว เหตุใดนางจึงยังบินไม่ขึ้นเสียที ยังโชคดีที่ม่อซิวเหยาตั้งใจไปหาชุดวิชาฝึกวิชาตัวเบาที่เหมาะกับสตรีมาให้ ซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปหามาจากไหน ตอนนี้แม้แต่ชิงซวงยังเรียนจนดูทะมัดทะแมงแล้วเลย แต่นางกลับ…ไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นเลย
อันที่จริง หากในสนามรบจริงๆ แล้ว เยี่ยหลีรู้สึกว่าจะใช้วิชาตัวเบาเป็นหรือไม่นั้นไม่ได้ต่างกันมากนักเพราะถึงอย่างไรกำแพงที่สูงหนึ่งจั้ง ต่อให้นางไม่มีวิชาตัวเบาก็สามารถปีนขึ้นลงได้อย่างสบายๆ เพราะถึงอย่างไรการอำพรางตัว นางก็ไม่เห็นว่าคนที่มีวิชาตัวเบาขั้นสูงจะทำได้ดีกว่านาง และหากเป็นการต่อสู้ระยะใกล้ วิชาตัวเบายิ่งไม่มีประโยชน์เข้าไปใหญ่ เพียงแต่…การมีวิชาตัวเบาที่สามารถกระโดดไปไหนมาไหนได้เป็นความฝันของคนจีนที่มีความฝันอยากมีวิชากำลังภายในมิใช่หรือ ในเมื่อมันมีอยู่จริง และด้วยหลักการที่ว่า รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามแล้ว เหตุใดนางจึงจะไม่ศึกษาไว้เล่า
“อาหลี เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่หรือ” เยี่ยหลีมีท่าทีร้อนใจอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น ม่อซิวเหยามีมารยาทจึงไม่ได้หัวเราะเยาะนาง แต่แค่มองประกายในดวงตาเขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ไม่อยากขำ เพียงแต่กลั้นไว้ไม่ขำออกมาเท่านั้น
เยี่ยหลีเหลือบมองทั้งสามคนที่วิ่งวุ่นไปทั่วสนามฝึกอย่างโกรธๆ “ดูท่าข้าจะไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกวิชาตัวเบา”
“การฝึกวิชาตัวเบาไม่ได้จำเป็นต้องมีพรสวรรค์สักเท่าไร” วิชาตัวเบาขั้นสูงเท่านั้นที่จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่สามารถศึกษาจากคัมภีร์ลับวิชาตัวเบาได้ อย่างเช่นคุณชายเฟิงเย่ว์ หานหมิงซี ที่มีฝีมือการต่อสู้ธรรมดาๆ กำลังภายในครึ่งๆ กลางๆ หากเขาไม่ได้มีวิชากำลังภายในที่ล้ำเลิศกว่ายอดฝีมือมากแล้ว เขาคงได้ตายไปไม่รู้กี่รอบแล้วเป็นแน่
นี่ไม่ถูกตามหลักวิทยาศาสตร์เสียเลย เยี่ยหลีรู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับนางเต้นตุบๆ เรื่องนี้เกินกว่าขีดความสามารถของร่างกายมนุษย์มาก เหตุใดจึงไม่ต้องใช้พรสวรรค์ และไม่ต้องมีกำลังภายในชั้นยอดกัน ที่สำคัญที่สุดคือ…คนเราไม่สามารถบินได้
“ตอนเจ้าใช้วิชาตัวเบาในหัวเจ้าคิดอันใดอยู่หรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามอย่างใช้ความอดทน
เยี่ยหลีรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่ก็บอกเล่าความคิดในหัวนางให้ม่อซิวเหยาฟังอย่างละเอียด ม่อซิวเหยาฟังจบก็ดูทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ “อาหลี หากเจ้าคิดเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เจ้าไม่มีทางฝึกวิชาตัวเบาสำเร็จ ระหว่างที่เจ้าใช้วิชาตัวเบา เจ้าก็เอาแต่บอกตัวเองว่าคนไม่สามารถบินได้เช่นนี้หรือ” เยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่านั่นเป็นเหมือนการสะกดจิตตัวเอง คนธรรมดาทั่วไปในยุคนี้ย่อมไม่มีความกังวลในเรื่องนี้ แต่เยี่ยหลีไม่มีเหมือนกับคนอื่น ถึงแม้นางจะเคยเป็นทหารชั้นดี ถึงแม้ผู้คนสามารถนั่งเครื่องบินไปบินอยู่บนฟ้าได้ หรือแม้แต่การขึ้นไปยังชั้นอวกาศ แต่อย่างน้อยคนในยุคนั้นก็มีความคิดฝังหัวที่ไม่สามารถขจัดออกไปได้ นั่นก็คือมนุษย์เราไม่สามารถบินขึ้นไปด้วยร่างกายตนเองได้ ดังนั้นจิตใต้สำนึกของเยี่ยหลีจึงมักมองหาของอันใดมาเหยียบให้เป็นแรงส่ง เมื่อหาของสิ่งนั้นไม่พบและร่างกายก็ลอยห่างจากพื้นดินจนจิตสำนึกของนางบอกว่าถึงขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์แล้ว จิตใต้สำนึกก็จะสั่งให้ร่างกายเข้าสู่การปกป้องคนเองจากนั้นร่างกายก็จะตกลง
“อาหลี วิชาตัวเบาไม่ใช่วิชาที่สามารถทำให้ลอยขึ้นไปเฉยๆ ได้ มันต้องอาศัยแรงส่งเช่นเดียวกัน แต่หากเทียบกับคนที่ไม่มีวิชาตัวเบาแล้ว แรงส่งที่ต้องใช้นั้น น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากเป็นเพียงกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง หรือของเล็กๆ อย่างอื่น ขอเพียงเจ้าสามารถควบคุมมันได้ดีพอ”
เยี่ยหลีมองหน้าเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ม่อซิวเหยาจึงได้แต่ยิ้มออกมา เขายกมือขวาตบเข้าที่ที่เท้าแขนเก้าอี้รถเข็น แล้วจู่ๆ ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปยังสนามฝึกที่อยู่ไม่ไกลออกไป หลังจากตกตะลึงอยู่เพียงครู่ นางก็จับจ้องไปยังร่างของเขาอย่างไม่วางตา เห็นเพียงเขาใช้มือแตะเข้าที่เสาไม้เสาหนึ่งในลานฝึก จากนั้นก็หมุนตัวออกไปอีกที่หนึ่ง แล้วก็เป็นกิ่งไม้ข้างสนามฝึก ตาข่ายที่เยี่ยหลีขึงไว้ แล้วสุดท้ายก็กลับลงนั่งบนเก้าอี้รถเข็นอีกครั้ง “เห็นชัดหรือยัง” ม่อซิวเหยาถามยิ้มๆ ก่อนยืนดอกไม้สีเหลืองไข่นกพิราบที่เด็ดมาจากกิ่งไม้ส่งให้นาง
“นี่มันไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย!” เยี่ยหลีกัดฟันพูด พร้อมกับจ้องมองม่อซิวเหยาด้วยสายตาดุดัน นี่เป็นคนที่เดินไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ ใช่หรือใช่หรือ อันที่จริงแล้วนางเป็นคนที่เดินไม่ได้เสียมากกว่ากระมัง
“หืม” ม่อซิวเหยามองนางด้วยความไม่เข้าใจ
“ข้ารู้แล้ว” เยี่ยหลีรับดอกไม้มาจับเล่นในมือ “ข้าขอลองไปคิดดูก่อน”
ม่อซิวเหยายิ้ม “ข้าคิดว่าอาหลีคิดมากเกินไปแล้ว หรือไม่เจ้าลองจินตนาการดูว่าตนเองตกลงไปจากหน้าผาที่สูงหนึ่งร้อยจั้ง ไม่มีอันใดให้ยึดจับ หันไปทางไหนก็ไม่มีอันใดที่สามารถใช้เป็นแรงส่งได้” เยี่ยหลีมองเขานิ่งๆ นางเคยกระโดดจากความสูงหนึ่งร้อยฉื่อ ไม่สิหลายร้อยฉื่อลงมาจริงๆ หากแค่นั้นก็เพียงพอจริง…ทหารพลร่มทุกคนคงกลายเป็นยอดฝีมือด้านวิชาตัวเบาไปแล้ว “ข้ารู้แล้ว ข้าจะลองดู”
การลองดูของเยี่ยหลี คือการให้อาจิ่นพาตัวนางกระโดดขึ้นไปยังแท่งไม้สูงยี่สิบเมตรที่ตั้งอยู่ข้างสนามฝึก จากนั้น…กระโดดลงมา!
ครั้งที่หนึ่ง นางตกลงมาจากความสูงประมาณสิบเมตร เยี่ยหลียังโชคดี นางถูกกิ่งไม้เกี่ยวไว้เล็กน้อยก่อนที่จะตกลงยังบ่อทรายข้างสนามฝึก
ครี้งที่สอง นางสามารถพุ่งตัวเป็นแนวนอนไปไม่ได้ประมาณครึ่งสนามซ้อมครึ่งเล็ก แล้วหาจุดที่จะเป็นแรงส่งต่อไม่ทัน จึงตกลงมาจากความสูงประมาณห้าเมตร นางปกป้องร่างการตนเองได้ดีพอควร จึงมีรอยแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ครั้งที่สาม ช่วงที่นางเสียการควบคุม ทำให้ขนเข้ากับเสาไม้ในสนามฝึก เจ็บจนทนไม่ได้อยู่เป็นนาน
ครั้งที่สี่…
ครั้งที่ห้า…
ม่อซิวเหยานั่งอยู่ริมสนาม มองหญิงสาวรูปร่างเพรียวบางตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เงียบๆ ลอยขึ้น แล้วก็ตกลงอีกครั้ง จากนั้นสำรวจตนเองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอันใดก็กระโดดลอยขึ้นอีก และก็ตกลงมาอีก ม่อซิวเหยาไม่ได้เอ่ยห้ามปราม มองดูนางที่ล้มแหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็เริ่มต้นลองใหม่ ในแววตาที่ราบเรียบปรากฏเป็นแววตาแบบหนึ่งที่รุนแรงและไม่เคยมีมาก่อนขึ้นแวบหนึ่ง ในดวงตาลึกล้ำคู่นั้นมีเพียงร่างเพรียวบางที่ตกลงมาแล้วกลับขึ้นลุกยืนใหม่อีกครั้ง
[1] เสาดอกเหมย หรือ เหมยฮวาจวง เป็นเสาไม้ที่ใช้สำหรับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของจีน
ตอนที่ 66-2 ความทะเยอทะยานและอำนาจ
“ม่อซิวเหยา นี่เจ้าถึงขั้นทรมานสตรีเชียวหรือ” จู่ๆ ก็มีเสียงเฟิ่งจือเหยาดังขึ้นในสนามฝึกอันเงียบเชียบ องครักษ์ลับทั้งหลายที่คอยเฝ้าดูอยู่ในที่ลับตาถึงกับมุมปากกระตุก จนเกือบจะตกลงมาจากที่อำพรางตัว
เฟิ่งจือเหยาเดินทอดน่องพร้อมโบกพัดในมือเข้ามา เขาหันมองเยี่ยหลีที่อยู่กลางสนามซ้อม แล้วหันมามองม่อซิวเหยาที่นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ แล้วจึงส่งเสียงจิ๊จ๊ะพร้อมกับส่ายหัว “อาเหยา นั่นคือภรรยาของเจ้า ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นนะ ไม่คิดเลยว่าหลายปีที่ผันผ่านมานี้ เจ้ากลับไม่รู้จักรักและทนุถนอมคนรักเสียแล้ว” ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้น กวาดตามองเขาเรียบๆ ไม่ได้พูดอันใด การเห็นอาหลีล้มลงกับพื้นไม่ได้หยุด ทำให้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักอยู่แล้ว หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เฟิ่งจือเหยาเอามือลูบจมูกก่อนย้ายไปยืนสงบปากสงบคำอยู่ด้านหนึ่ง เขามองอยู่พักใหญ่จึงได้เอ่ยปากถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “พี่สะใภ้กำลังเล่นอันใดอยู่หรือ”
“วิชาตัวเบา” ม่อซิวเหยาตอบ
เฟิ่งจือเหยาสีหน้าบิดเบี้ยว จนเกือบโบกพัดไปโดนคางของตนเอง “ฝึกวิชาตัวเบาหรือ นี่…นางไม่กลัวตกลงมาตายหรือ” พวกเขาต่างเรียนวิชาการต่อสู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนเฟิ่งจือเหยานั้นเป็นพวกมวยวัด ไม่เคยมีอาจารย์สอนอย่างจริงจัง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่ฝึกด้วยวิธีนี้มาก่อนเลย ผู้หญิงยุคนี้ไม่นึกรักชีวิตเสียยิ่งกว่าผู้ชายอีกหรือนี่ ทันทีที่พูดจบ ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันเย็นเยียบที่ส่งมายังเขา เฟิ่งจือเหยาหันไปสบตาไม่พอใจของม่อซิวเหยาเข้า จึงได้แต่ยิ้มแหะๆ อย่างขอลุแก่โทษ ก่อนหลบไปยืนดูเยี่ยหลีฝึกวิชาต่อ
นางล้มแล้วล้มอีกเสียจนไม่รู้แล้วว่าตนเองล้มไปกี่รอบ จนเมื่อในที่สุดสามารถลงพื้นได้อย่างนุ่มนวลแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าร่างกายตนเองทั้งส่วนบนและส่วนล่างนั้นเจ็บไปหมด ประหนึ่งถูกใครซ้อมมาอย่างไรอย่างนั้น แต่ในใจกลับนึกโล่งอกเป็นที่สุด และเพียงรู้สึกว่าตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้ไม่เคยดีใจเช่นนี้มาก่อนเลย
แปะ แปะ แปะ… นอกสนาม เฟิ่งจือเหยาปรบมือให้นาง เลิกคิ้วมองเยี่ยหลีด้วยความเลื่อมใส ชิงหลวนและชิงซวงรีบเดินเข้าไปล้อมนางไว้ทันที ดวงตาเป็นประกายของชิงซวงบวมแดงขึ้นเสียนานแล้ว ไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่ในสนามฝึกอีก นางกอดเยี่ยหลีไว้ เรียกคุณหนูคุณหนูพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง เยี่ยหลีมองดูแล้วรู้สึกอายตัวเอง นางตบหลังสาวใช้ที่กอดนางอยู่อย่างรู้สึกน่าขัน แล้วจึงให้นางยืนขึ้นดีๆ ก่อนเดินไปหาม่อซิวเหยา “คุณชายเฟิ่ง พบกันอีกแล้ว”
เฟิ่งจือเหยาตะโกนว่า “วันนี้พระชายาช่วยเปิดหูเปิดตาข้าเสียแล้ว”
เยี่ยหลีได้แต่ตอบว่า “คนอื่นฝึกกันได้ง่ายๆ มีเพียงข้าเท่านั้นที่ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน ในเมื่ออยากฝึกจนเป็นก็ย่อมต้องลงทุนลงแรงกันหน่อย” ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “อาหลี วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถิด เจ้าจะได้กลับไปอาบน้ำพักผ่อนแล้วไปเรียกท่านหมอมาดูเสียหน่อย ข้ากับเฟิ่งซานจะไปอยู่ที่ห้องหนังสือ” เยี่ยหลีพยักหน้า “ไม่เป็นอันใดมากหรอก ก็แค่ตกลงมาเจ็บนิดหน่อย ข้ากลับเข้าไปก่อนล่ะ คุณชายเฟิ่ง ลาก่อน” เฟิ่งจือเหยามองตามเยี่ยหลีที่เดินนำชิงหลวงและชิงซวงออกไป แล้วจึงได้หันกลับมาถามว่า “อาเหยา นี่เจ้ากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ องครักษ์ลับกับหน่วยเมฆาทมิฬคงไม่ถึงกับปกป้องประมุขหญิงของตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้หรอกกระมัง ให้นางเรียนวิชาป้องกันตัวเถิด”
“คุณชายเฟิ่ง พระชายาอยากเรียนเองพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องจึงได้สอนให้” อาจิ่นเอ่ยพูดขึ้น เขายังไม่เคยเห็นใครที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่กว่าพระชายาเลย หากท่านอ๋องไม่ยอมสอนวิชาตัวเบาให้พระชายาแล้ว เขายังคิดว่า เป็นไปได้ที่พระชายาจะแอบฝึกเองจนตกลงมาจนคอหักได้จริงๆ
“รู้จักปกป้องตัวเอง ข้าย่อมวางใจกว่ามีคนคอยปกป้อง” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ในโลกนี้ไม่มีการคุ้มกันแบบใดที่ไม่มีช่องโหว่ ต่อให้เป็นองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอันตรายได้ มีความสามารถเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ต่อไปก็จะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนเช่นกัน เฟิ่งจือเหยาส่ายศีรษะ แล้วถอนหายใจ “การที่นางมีความตั้งใจและความกล้าหาญเช่นนี้ ต่อให้เป็นบุรุษก็คงมีไม่กี่คนที่มีมากกว่านาง ข้านึกแปลกใจเสียจริง เหตุใดตระกูลเยี่ยจึงเลี้ยงลูกสาวให้ออกมาเป็นเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นตระกูลสวี…” ต่อให้เป็นตระกูลสวีก็ไม่น่าที่จะเลี้ยงหญิงสาวให้ออกมาเป็นเช่นนี้ได้ บุตรสาวตระกูลสวีอาจมากล้นด้วยความสามารถ อาจฉลาดหลักแหลมเป็นที่หนึ่ง แต่บุตรสาวอย่างเยี่ยหลีนั้นยังไม่เคยมีมาก่อนเลยจริงๆ
ม่อซิวเหยาหมุนเก้าอี้รถเข็นไปทางห้องหนังสือ “ข้าไมได้ให้เจ้ามาวิพากษ์วิจารณ์อาหลีหรอกนะ”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป เลิกคิ้วมองชายหนุ่มที่ไกลออกไปแล้ว “อาเหยาคงไม่ได้กำลังหึงกระมังนี่”
ห้องหนังสือของม่อซิวเหยาอยู่ย้ายมายังเรือนใหม่นานแล้ว ซึ่งเป็นเรือนที่จัดเตรียมไว้เพื่อท่านอ๋องและพระสนมโดยเฉพาะ จึงเป็นเรือนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตำหนักติ้งอ๋อง ภายในมีกระทั่งหอหนังสือที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆ อีกด้วย หลังจากที่ม่อซิวเหยาย้ายมาที่นี่แล้ว ทั้งสองก็ได้จัดการจัดสรรค์พื้นที่กันใหม่หมดอย่างรวดเร็ว หอหนังสือขนาดสองชั้น ชั้นสองเป็นที่เก็บหนังสือ ส่วนชั้นหนึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน ฟากหนึ่งเป็นห้องหนังสือของเยี่ยหลี ส่วนอีกฟากเป็นของม่อซิวเหยา ดังนั้นเมื่อทั้งสองเข้าไปในห้องหนังสือแล้วเห็นเยี่ยหลีที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งถือหนังสืออยู่หลังโต๊ะหนังสือ ม่อซิวเหยาจึงไม่ได้ตกใจอันใด เพียงแต่เอ่ยปากถามว่า “อาหลี เหตุใดจึงไม่พักสักหน่อยก่อน”
เยี่ยหลียกหนังสือในมือขึ้นน้อยๆ “เพิ่งฝึกวิชามาหมาดๆ ไม่ควรลงนอนพักโดยทันที ข้าจึงมาหาหนังสืออ่านสักหน่อย ต้องให้ข้าหลบไปก่อนหรือไม่”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ในเมื่อยังไม่เหนื่อย งั้นก็มานั่งฟังด้วยกันเลยเถิด”
เฟิ่งจือเหยาที่กำลังมองสำรวจการตกแต่งห้องหนังสืออยู่ เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนั้นก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น แต่ไม่มีพูดอันใดออกมา เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะหยิบหนังสือติดมือเดินมานั่งลง เฟิ่งจือเหยาเหลือบมองด้วยความสงสัย “เอ๋ พระชายากำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่หรือ” ในมือเยี่ยหลีคือหนังสือ “บันทีกพิชัยสงคราม” เล่มหนึ่ง เยี่ยหลีก้มหน้าลงมองหนังสือในมือ “ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอันใดทำ เลยอ่านดูแก้เบื่อ”
อ่านตำราพิชัยสงครามแก้เบื่อ ช่างเป็นความชอบที่ประหลาดดีแท้ เฟิ่งจือเหยานึกวิจารณ์ในใจ แต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้มเช่นเคย “เห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“ก็ไม่เลว” เยี่ยหลีตอบ
เฟิ่งจือเหยาไม่แน่ใจว่าคำว่าไม่เลวของเยี่ยหลีนั้นหมายความว่าอย่างไร จึงหันมองไปทางม่อซิวเหยาอย่างรวดเร็ว ม่อซิวเหยาไม่ได้ว่าอันใด เพียงอมยิ้มถามนางว่า “อาหลีเห็นว่าตรงไหนที่ไม่เลวหรือ” เยี่ยหลีลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “เรื่องกลยุทธ์เขียนได้ไม่เลวทีเดียว แต่เรื่องยุทธวิธีนั้น…” บางทีอาจเป็นเพราะการทำสงครามในยุคปัจจุบันกับยุคโบราณนั้นแตกต่างกัน เยี่ยหลีจึงรู้สึกว่ายุทธวิธีที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร อาจถึงขั้นเรียกว่าจินตนาการล้ำเลิศเลยก็เป็นได้ แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเรื่องยุทธวิธีไม่สามารถใช้จินตนาการได้ เพราะอันที่จริงแล้วยอดผู้นำที่ดีมักมีการจินตนาการที่ประเสริฐเลิศล้ำเสมอ แต่ที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้นั้น…อันนี้จริงเยี่ยหลีเรียกมันว่านิยายน่าจะเหมาะเสียกว่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จะต้องไม่เคยออกรมจริงๆ มาก่อนเป็นแน่ เยี่ยหลีคิดในใจเงียบๆ
“กลยุทธ์กับยุทธวิธีหรือ” เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว
เยี่ยหลีรู้สึกหัวเสียเล็กๆ แต่สีหน้าที่หันมองม่อซิวเหยายังคงเรียบเฉย “กลยุทธ์ก็คือการวางแผนและการวางยุทธศาสตร์การรบในภาพใหญ่” ม่อซิวเหยาเหลือบตามองเฟิ่งจือเหยาทีหนึ่ง ก่อนพูดต่อว่า “ส่วนยุทธวิธีคือขั้นตอนในการทำให้กลยุทธ์นั้นสำเร็จ การวางกำลังรวมถึงการเอาชนะคู่ต่อสู้น่ะ เข้าใจแล้วหรือยัง” เฟิ่งจือเหยาได้แต่มองคู่สามีภรรยาที่เฉยชาตรงหน้าด้วยความหดหู่ นี่กำลังดูถูกเขาว่าด้อยวิชาหรือนี่
“อาหลีเห็นว่ายุทธวิธีเขาเป็นอย่างไรบ้าง” ม่อซิวเหยาหันไปถามเยี่ยหลีต่อ ไม่ได้สนใจสีหน้าท่าทางของเฟิ่งจือเหยา
เยี่ยหลียักไหล่ “เมื่อเทียบกับตำราพิชัยสงครามแห่งปฐมฮ่องเต้แล้ว ข้าเห็นว่าเล่มนี้เหมือนเป็นตำนานเสียมากกว่า”
“หา หา หา…แม้แต่ตำราพิชัยสงครามแห่งปฐมฮ่องเต้ท่านก็เคยอ่านหรือ” เฟิ่งจือเหยาร้องขึ้นเสียงแหลม
อาหลีมองเขาด้วยความแปลกใจ “ตำราพิชัยสงครามแห่งปฐมฮ่องเต้มีอยู่ทั้งที่บ้านท่านลุงและบ้านท่านปู่ข้า ข้าเคยอ่านมีอันใดแปลกหรือ ท่านลุงใหญ่เคยสอนข้าน่ะ” นางไม่ได้โกหก ท่านลุงใหญ่เคยสอนนางเรื่องยุทธวิธีทางการทหารจริง เพียงแต่นั้นเมื่อไม่ถึงเดือนมานี้เอง ไม่มีทางเล่าตำราพิชัยสงครามแห่งปฐมฮ่องเต้ได้จบ ที่นางพูดเช่นนี้ก็เพื่ออธิบายเรื่องที่เหตุใดนางจึงมีความรู้เรื่องด้านการทหารมากเช่นนั้นก็เท่านั้น หนังสือชุดนี้ยังมีคำนิยมที่เขียนโดยติ้งอ๋อง ม่อหลั่นอวิ๋นอีกด้วย ว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่นักรบแห่งต้าฉู่ต้องศึกษา
“ในห้องหนังสือเรือนหน้า มีตำราพิชัยสงครามอยู่มาก หากอาหลีชอบจะไปหยิบมาอ่านดูก็ได้” ม่อซิวเหยาพูด เรือนนี้ไม่ได้เป็นเรือนสำหรับจัดการธุระสำคัญอันใดอยู่แล้ว หนังสือที่เก็บอยู่ในห้องหนังสือนี้จึงเป็นพวกโครง กลอน หรือหนังสือปกิณกะอื่นๆ เสียมาก ตำราพิชัยสงครามมีเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้นและล้วนแล้วแต่ไม่ใช่หนังสือชั้นดีอันใด เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีจึงตาเป็นประกายทันที ห้องหนังสือนี้หนังสือจะว่ามากก็มากอยู่ แต่หากตัดหนังสือที่นางไม่สนใจอย่างพวก โคลง กลอน กับอรรถชีวประวัติของบุคคลสำคัญแล้ว ก็เหลือแค่หนังสือประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และบันทึการเดินทางเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น นางไม่มีความสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ หรือบันทึกลับของราชวงศ์ทั้งหลายเหล่านั้น ดังนั้นเรื่องประว้ติศาสตร์ทั้งหลายนางจึงอ่านผ่านตามาหมดแล้วตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ดังนั้นหนังสือที่อ่านได้จึงมีเพียงหนังสือภูมิศาสตร์และพวกหนังสือบันทึกการเดินทางเท่านั้น แต่หนังสือประเภทนี้ก็มีเพียงทัศนียภาพอันงดงาม วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นที่จับต้องไม่ได้ทั้งนั้น มีแต่จะทำให้ยิ่งน่าเบื่อ
สามีภรรยาคู่นี้…ข้าล่ะยอมแพ้พวกท่านจริงๆ! เฟิ่งจือเหยาถึงกับกลอกตาให้ในใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น