ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 638-644

 ตอนที่ 638 ภารกิจสุดหิน


 


 


พวกพันธมิตรที่ทางเครือข่ายฟ้าดินเลือกมาเพื่อแลกเปลี่ยนอาวุธดาบยาวนั้นจะต้องทำตามเงื่อนไขบางอย่างก่อน


 


 


ข้อแรกคือพวกเขาต้องมีแร่ที่เครือข่ายฟ้าดินต้องการอยู่ในครอบครอง เครือข่ายฟ้าดินไม่ใช่นักบุญที่จะแลกเปลี่ยนอาวุธโดยใช้ศิลาวิญญาณหมื่นเม็ดมาแลกเสียด้วยสิ


 


 


ข้อสองคือลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพวกเขาจะต้องอยู่ใกล้กับภัยคุกคามของเครือข่ายฟ้าดิน ซึ่งเป็นเหตุผลเชิงกลยุทธ์ ทุกวันนี้การแข่งขันในการแย่งชิงโบราณสถานและทรัพยากรในการบำเพ็ญนั้นยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก และถ้าข้อตกลงนั้นไม่ส่งผลให้สองขั้วอำนาจพยายามดึงผลประโยชน์ซึ่งกันและกันแล้วก็คงจะไม่ใช่ข้อตกลงที่คุ้มค่านัก ไม่อย่างนั้นการทำแบบนี้ก็หมายความว่าเครือข่ายฟ้าดินกำลังเลี้ยงดูปูเสื่อศัตรูอยู่น่ะสิ


 


 


ข้อสาม พวกเขาจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะรักษาอาวุธที่องค์กรอื่นๆ จัดหามาให้เครือข่ายฟ้าดิน ส่วนข้อตกลงอื่นๆ ก็คือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นนั้นจะเป็นประโยชน์สูงสุดในข้อตกลงพวกเขา


 


 


อย่างไรก็ตามเครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่ได้รู้ไปเสียทุกอย่าง ที่พวกเขารู้ก็คือองค์กรผู้บำเพ็ญใหญ่ๆ ของรัสเซียนั้นมีอยู่สององค์กร นั่นคือกลุ่มหมีขาวและกลุ่มนกกระจอกแดง


 


 


กลุ่มนกกระจอกแดงนั้นมีอำนาจมากกว่ามาโดยตลอดเพราะพวกเขารังสรรค์ผู้บำเพ็ญระดับ B ออกมาได้ก่อน และจำนวนผู้บำเพ็ญระดับ B ของพวกเขานั้นก็มากกว่ากลุ่มหมีขาว ในรัสเซียนั้น กลุ่มหมีขาวมีผู้บำเพ็ญที่เข้าร่วมองค์กรด้วยราวยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือเข้าร่วมกับกลุ่มนกกระจอกแดง


 


 


โดยปกติแล้วกลุ่มผู้บำเพ็ญอื่นๆ ไม่ค่อยกล้าแตะต้องหรือทำอะไรกลุ่มหมีขาวมากนัก เพราะอาจต้องเสียทั้งทรัพยากรและกำลังคนไปเพื่อการนั้น แต่ถ้าหากมีองค์กรอื่นลองเปลี่ยนจากการกำจัดเป็นการใช้ประโยชน์ของกลุ่มหมีขาวดูละ


 


 


เนี่ยถิงต้องการหยุดการเติบโตของกลุ่มนกกระจอกแดงโดยให้กลุ่มหมีขาวเป็นตัวขัดขวาง และให้กลุ่มหมีขาวมีอำนาจขึ้นมาแทน


 


 


แต่เรื่องกลับกลายมาเป็นแบบนี้ กลุ่มหมีขาวถูกกำจัดไปเสียแล้ว…


 


 


เนี่ยถิงไม่คาดคิดมาก่อน เรื่องนี้เกินความคาดหมายไปมาก หัวหน้ากลุ่มหมีขาวบินหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ก็ถูกฆ่าเกือบหมด


 


 


พอมาถึงตอนนี้ แผนที่วางไว้ทั้งหมดก็ไร้ความหมายแล้ว


 


 


พวกนักเจรจาใช้เวลาไม่น้อยในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทั้งสองนี้ แต่ทุกอย่างก็ไหลทิ้งลงท่อไปหมด จะมีประโยชน์อะไรอีกในเมื่อกลุ่มหมีขาวไม่อยู่แล้ว แต่กลุ่มผู้บำเพ็ญลับไม่ได้เสียใจอะไรเลย กลับกัน พวกเขาดีใจที่เรื่องร้ายๆ นี้เกิดขึ้น พวกผู้บำเพ็ญลับตะโกนพูดคุยกันเสียงดังเพื่อให้พวกนักเจรจาได้ยิน “ฮ่าๆๆ ฉันเองก็วิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มหมีขาวกับกลุ่มนกกระจอกแดงมาเหมือนกันว่ะ ถึงจะไม่ค่อยได้อะไรก็เถอะ แต่พวกผู้เชี่ยวชาญพวกนี้ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันนี่หว่า”


 


 


ดูเหมือนว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญการเจรจาจะแพ้ไปศูนย์ต่อสามแล้ว และตอนนี้กองเชียร์ที่ดูอยู่ผ่านออนไลน์ก็คงบ่นกันเป็นแถวว่าถ้าพวกเขาลงแข่งเองก็คงทำได้ดีกว่านี้


 


 


ในสถานการณ์นี้ พวกนักเจรจาเป็นผู้เล่นอาชีพ ส่วนพวกผู้บำเพ็ญลับก็เป็นแค่พวกที่ชอบนินทาไปเรื่อย…


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของพวกผู้บำเพ็ญลับ เพราะการจะเก่งจนไปถึงสุดทางได้ก็ต้องอาศัยความเป็นผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพก่อนเหมือนกัน


 


 


ดังนั้นทุกคนจึงต้องอยู่ที่โรงแรมและรอคำสั่งต่อไปจากเครือข่ายฟ้าดิน


 


 


ตกดึกคืนนั้น เซี่ยเหรินเซิงได้รับคำสั่งใหม่มาอย่างไม่คาดคิด เขามองข้อความแล้วขมวดคิ้ว คำสั่งเคลื่อนย้ายใหม่ที่ได้รับส่งพวกเขาไปไกลกว่ายุโรปเป็นพันไมล์ พวกเขาต้องไปถึงแอฟริกาใต้แน่ะ!


 


 


เซี่ยเหรินเซิงเคยอ่านเรื่องของประเทศนี้มาก่อน ตอนนี้แอฟริกาใต้นั้นกำลังเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญและทหารรับจ้างเพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ของแหล่งแร่ใหญ่ชนิดใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานนี้ แร่ดังกล่าวสามารถนำไปทำเป็นโลหะแบบพิเศษได้ สถานที่นี้เป็นที่จุดชนวนสงครามในโลกที่สงบแบบนี้ที่แท้จริง…


 


 


พวกผู้บำเพ็ญในพื้นที่ได้หายไปจากบริเวณนั้น และมีพวกองค์กรทหารรับจ้างที่ชื่อว่า EO เข้ามาขุดแร่แทน ตอนแรกพวกเขาก็เป็นแค่กลุ่มทหารที่ถูกจ้างมาทำหน้าที่ตามปกติ แต่ตอนหลังกลับกลายว่าพวกเขาไล่ฆ่าผู้บำเพ็ญในพื้นที่ไปหมดหลังจากค้นพบแร่ใหม่นี้


 


 


เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าวงการทหารรับจ้างเป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่ใช่ว่าคนพวกนี้ซับซ้อนเข้าใจยากอะไรหรอก แต่เป็นที่ธรรมชาติอันแสนป่าเถื่อนของพวกเขาต่างหาก


 


 


กระนั้นข้อความที่เซี่ยเหรินเซิงได้รับนั้นไม่ได้สั่งให้ไปฆ่าพวกเขา แต่กลับให้ไปเจรจาค้าขายเบื้องต้นกับพวกเขาแทน หลังจากนั้นจะมีกำลังคนถูกส่งไปจัดการกับพวก EO ให้เสร็จเรียบร้อย ทีนี้กลุ่มของพวกเขาก็ค่อยกลับไปที่ยุโรปได้


 


 


แต่เรื่องมันยากก็เพราะพวกเขาไม่ได้วางแผนจะไปแอฟริกาใต้น่ะสิ หลังจากที่ EO ได้กรรมสิทธิ์แร่นี้ไป พวกเขาก็ส่งหนังสือเชิญองค์กรใหญ่ๆ จากทั่วโลกมาทำธุรกิจซื้อขายด้วยในคืนก่อนหน้านี้เอง


 


 


เพราะฉะนั้นการเข้าไปทำอะไรจะยิ่งเป็นอันตรายกว่าเดิม


 


 


เซี่ยเหรินเซิงไม่เข้าใจเลย ความสามารถของเขายังไม่ถึงระดับ C ขั้นสูงด้วยซ้ำ แต่ในแอฟริกาใต้คงมีพวกระดับ B จากองค์กรใหญ่ๆ อยู่เต็มไปหมด เขาไม่เหมาะจะมารับตำแหน่งนี้เลย! ทำไมไม่ส่งราชันฟ้ามารับหน้าที่แทนเขานะ


 


 


อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ดีว่าเครือข่ายฟ้าดินคงไม่ส่งคนมาทำภารกิจถ้าภารกิจนี้ไม่อาจทำให้สำเร็จได้จริงๆ หรอก ในหนังเรื่องมิชชัน อิมพอสซิเบิล ทอม ครูซ ยังทำภารกิจยากๆ ให้สำเร็จได้ทุกอย่าง แต่นี่ไม่ใช่การแสดงน่ะสิ! เนี่ยถิงคงจะผิดพลาดครั้งใหญ่ถ้าเขาส่งคนมาทำภารกิจที่อย่างไรก็ต้องตายแหงๆ


 


 


แล้วทำไมต้องเป็นกลุ่มนี้ด้วยนะ เซี่ยเหรินเซิงไม่เข้าใจและคิดไม่ออกว่าทำไม เหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ก็คือกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวที่พร้อมจะทำภารกิจฉุกละหุกแบบนี้ จะได้ให้กลุ่มอื่นๆ มีเวลาเตรียมตัว


 


 


พอทุกคนได้ยินเรื่องภารกิจใหม่จากเซี่ยเหรินเซิงก็ตกใจไปตามๆ กัน ถึงแม้จะไม่มีใครเคยไปแอฟริกาใต้มาก่อนก็ตาม แต่พวกเขาก็เคยได้ยินว่ามีกลุ่มทหารรับจ้างที่โหดเ**้ยมอยู่ที่นั่น


 


 


แล้วพวกผู้บำเพ็ญลับก็แตกต่างจากทหารรับจ้างมาก พวกเขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนแบบมืออาชีพมาก่อน และไม่มีประสบการณ์ฆ่าคนมาก่อนด้วย พูดอีกแง่หนึ่งก็คือจิตใจของพวกเขาต่างกันมาก พวกหลิวฝานนั้นอยากจะมีชีวิตยืนยาวแบบมั่นคง มีเงิน มีเวลา พอที่จะฝึกบำเพ็ญได้ แต่พวกทหารรับจ้างไม่แม้แต่จะกระพริบตาตอนมือเปื้อนเลือดเลย


 


 


“อย่าห่วงไปเลย” เซี่ยเหรินเซิงบอก “เราไม่ได้ไปต่อสู้นะ อีกอย่างพวก EO ก็คงจะออกคำสั่งให้รับผิดชอบพวกองค์กรที่เชิญมาแหละ ตอนนี้พวกเขาทำตัวเป็นนักธุรกิจกัน ไม่ใช่ทหารหรอก และถ้าเริ่มต้นดีทุกอย่างก็จะออกมาดี”


 


 


เอาเข้าจริงๆ แล้วเซี่ยเหรินเซิงก็ไม่เชื่อคำพูดตัวเองเหมือนกัน ทำไมพวกผู้บำเพ็ญจะต้องฟังคำสั่งเขาด้วย เขาไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ แต่ถ้าเกิดมีใครในกลุ่มอยากหนีไปตอนนี้ล่ะ!


 


 


ในขณะที่กลุ่มผู้บำเพ็ญลับเงียบกันไป หลินกานอวี่ก็กัดฟันพูดออกมา “เราจะไปเจรจากับพวก EO ถ้าเราจะตายไปก็ขอให้ตายในภารกิจแล้วกัน หัวหน้าคะ ไปบอกเครือข่ายฟ้าดินด้วยว่าเราจะศึกษษข้อมูลของ EO ให้ละเอียด”


 


 


หลี่ว์ซู่ได้ยินหลินกานอวี่ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มพูดแบบนั้นก็ประหลาดใจ พวกผู้บำเพ็ญก็มองหน้ากันจนพูดอะไรกันออกมาไปในที่สุด “ไปกันเถอะ กลุ่มผู้ชายอกสามศอกอย่างเราๆ จะตาขาวไม่สู้ผู้หญิงได้ยังไง”


ตอนที่ 639 ก็แค่ถามทางเท่านั้นเอง 


 


 


รัสเซียที่อยู่ทางตอนเหนือนั้นมีภูมิอากาศหนาวเหน็บ 


 


 


ในขณะที่จีนเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่พื้นที่ส่วนมากในรัสเซียก็ยังปกคลุมด้วยน้ำแข็งอยู่ ที่จริงแล้ว เลียฟ ชาจิน หัวหน้ากลุ่มหมีขาวไม่ได้ลี้ภัยไปต่างประเทศอย่างที่ได้รับรายงานมา ทว่าเขาไปหลบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งในรัสเซียเพื่อคิดแผนว่าจะเอาอย่างไรต่อในอนาคตอยู่ต่างหาก 


 


 


ตอนนี้กลุ่มนกกระจอกแดงกำลังรอซุ่มโจมตีเขาตามเส้นทางหลบหนีต่างๆ อยู่ พวกเขาไม่ปล่อยชาจินไปง่ายๆ หรอก 


 


 


แผนเก่าของชาจินคือค่อยๆ พัฒนากลุ่มให้แข็งแกร่งเงียบๆ วันหนึ่งกลุ่มหมีขาวของเขาอาจเอาชนะกลุ่มนกกระจอกแดงได้ก็ได้ แต่เขาไม่คิดว่าพวกศัตรูจะเคลื่อนไหวก่อนที่เขาจะทันได้เตรียมตัว 


 


 


เขาเลยต้องกลายเป็นคนหนีทัพในการต่อสู้ครั้งนี้ เขารักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ว่าอะไรจะขึ้น แม้ว่าจะต้องเสียสละชีวิตของพี่ชายน้องชาย เพื่อน หรือครอบครัวไปมากขนาดไหนก็ตามที ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่รอดมาหรอก 


 


 


เขาไม่ได้รู้สึกผิดขนาดนั้นเพราะการที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็หมายความว่าเขายังสามารถแก้แค้นได้ ทุกอย่างคงจะจบสิ้นลงทันทีถ้าเขาตายไป 


 


 


ในช่วงค่ำคืน ใบหน้าของชาจินส่องประกายสะท้อนแสงจากกองไฟ สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยและมีความหวังอยู่ในขณะเดียวกัน ตอนนี้กลุ่มนกกระจอกแดงแผ่อำนาจครองรัสเซียอยู่กลุ่มเดียวแล้ว เขาจะทำยังไงต่อไปดีนะ 


 


 


จริงๆ แล้วถ้าพูดถึงชื่อกลุ่ม กลุ่มหมีขาวฟังดูดุดันกว่ากลุ่มนกกระจอกแดงอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วตรงกันข้ามเลย และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง กลุ่มนกกระจอกแดงจึงเป็นที่นิยมในหมู่สมาชิกที่คาดหวังอยากจะมีอนาคต 


 


 


หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน ชาจินก็คิดว่าเขาจะหนีไปมองโกเลียก่อนแล้วค่อยหาทางชำระแค้นทีหลัง แต่ในตอนที่เขากำลังจะดับไฟและเตรียมจากไปนั้น อยู่ๆ ก็มีเงาสีดำที่กำลังหัวเราะโผล่ขึ้นมาจากพื้นพร้อมเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั่นเอง! 


 


 


เธอไม่ได้เดินทางด้วยพาหนะโดยสารอะไรที่เป็นกิจะลักษณะเพราะไม่มีเวลาทำวีซ่า เพราะฉะนั้นการเดินทางที่ง่ายและสะดวกที่สุดก็คงเป็นแอนโทนี่ละนะ 


 


 


เสี่ยวอวี๋มองดูจีพีเอสแล้วก็ถอนหายใจออกมาราวกับว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ “ผิดที่อีกแล้ว…” 


 


 


เสี่ยวอวี๋นั้นเตรียมตัวมาอย่างดี เธอจัดเตรียมอุปกรณ์มาอย่างครบครันก่อนออกมา แต่เพราะใต้ดินไม่มีสัญญาณ เลยไม่สามารถบอกทิศทางบนดินได้ เป็นเหตุให้เธอหลงทางอย่างง่ายดาย 


 


 


ชาจินงุนงงเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้มีเด็กผู้หญิงที่พาร่างเงาสีดำที่ดูเหมือนมนุษย์ขึ้นมาจากพื้นได้ แถมเธอยังพูดภาษาจีนด้วย 


 


 


เสี่ยวอวี๋เหลือบมองชาจินนิดหนึ่งก่อนดูแผนที่ต่อ ผ่านไปสักพักเธอก็ป้อนข้อมูลอะไรบางอย่างลงไปในเครื่องมือด้วยสีหน้าเรียบเฉยและยื่นเครื่องมือไปทางชาจิน จากนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา 


 


 


“ขอถามทางไปสำนักงานใหญ่กลุ่มหมีขาวหน่อยได้ไหมคะ” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเลียฟ ชาจิน +199!] 


 


 


ชาจินได้ยินแล้วก็ชะงักไป เขาตอบกลับเป็นภาษารัสเซีย “ทำไมถึงอยากไปหากลุ่มหมีขาวละ” 


 


 


จากนั้นเครื่องมือการแปลก็หยุดไปพักใหญ่ก่อนถ่ายทอดข้อความออกมาเป็นประโยคที่ไม่ไม่ค่อยเข้าใจนัก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตะโกนใส่เครื่องมืออย่างใจร้อน “พูดช้าๆ สิ!” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเลียฟ ชาจิน +199!] 


 


 


ชาจินหยุดแล้วพูดซ้ำอีกครั้งแบบช้าๆ “ทำ-ไม-ถึง-อยาก-ไป-หา-กลุ่ม-หมี-ขาว-ละ” 


 


 


เขารู้สึกแย่ ทำไมเขาต้องมาโดนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นี่ตะโกนใส่หลังจากที่กลุ่มของเขาเพิ่งจะโดนกลุ่มนกกระจอกแดงกำจัดไปหมดด้วยนะ! 


 


 


เขาสงสัยมากว่าทำไมเด็กผู้หญิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างน่ากลัวนี่ถึงได้ต้องการตามหากลุ่มหมีขาว 


 


 


เสี่ยวอวี๋คิดก่อนตอบออกไป “ไม่มีเหตุผลหรอก แค่บอกทางมาได้ไหมคะ” 


 


 


ชาจินมองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขารู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้คงมาจากครอบครัวใหญ่โต หรือเธอเป็นผู้สืบทอดจากครอบครัวผู้บำเพ็ญของจีนกันนะ เขาอาจจะใช้อำนาจตระกูลของเธอไปสู้กับกลุ่มนกกระจอกแดงได้ หรือเปล่านะ 


 


 


เป็นไปไม่ได้หรอก ทำไมเธอต้องยื่นมือช่วยเขาที่เป็นไอ้ขี้แพ้ตัวคนเดียวด้วย เธอคงไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากเขาหรอก อีกอย่างความเกลียดชังนี่แหละที่ดูเหมือนเป็นยาพิษที่ดีที่สุดในการกำจัดอะไรสักอย่างทิ้ง ทันใดนั้นชาจินก็คิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ จะน่าสนใจแค่ไหนกันนะถ้าเขาฆ่าเด็กคนนี้ทิ้งแล้วโบ้ยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มนกกระจอกแดง 


 


 


แต่ก่อนที่จิตสังหารของเขาจะได้ก่อตัวขึ้นมา จู่ๆ กำแพงทรายขาวทะเลลึกก็ปรากฏขึ้นมาแยกเขาและเสี่ยวอวี๋ให้อยู่คนละฝั่ง จากนั้นก็มีหลุมดำเด้งออกมา แล้วฝูงอีกาสีม่วงเข้าไปรุมทึ้งชาจิน 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้ตั้งใจเรียกหลี่ว์ซู่ออกมาเพราะเธอไม่อยากเปิดเผยความลับ หลี่ว์ซู่ต้องรู้แน่ๆ ถ้าเธอเสกตัวปลอมของหลี่ว์ซู่ขึ้นมาที่นี่ 


 


 


ชาจินแปลกใจมากที่เสี่ยวอวี๋จะรู้ตัวว่าเธอโดนปองร้ายและเคลื่อนไหวก่อน ตอนแรกเขาไม่คิดว่าเธอจะแข็งแกร่งมาก ถ้าเขามีพลังระดับ B แล้วยังไม่สามารถฆ่าเด็กผู้หญิงแบบนี้ได้คงน่าตลกแย่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว… เขาก็ฆ่าไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ 


 


 


ในขณะที่ฝูงอีกาสีม่วงกำลังรุมชาจิน เม็ดทรายสีขาวจากทะเลลึกนับไม่ถ้วนก็เริ่มพุ่งเข้าไปโจมตีด้วยเช่นกัน เกิดเป็นควันทรายในสนามรบทันที ชาจินตกใจมากจนพูดไม่ออก ทำไมเขาถึงโดนผู้บำเพ็ญระดับ B สองคนโจมตีกะทันหันแบบนี้นะ! 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก เลียฟ ชาจิน +999!] 


 


 


สองคนนี้มาจากไหนเนี่ย ทำไมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ถึงมีบอดีการ์ดประจำตัวได้ เธอมาจากครอบครัวไหนกันแน่นะ ขนาดหัวหน้าครอบครัวยังไม่มีบอดี้การ์ดระดับ B คนแบบนี้เลย! 


 


 


ถึงพลังสายธาตุจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่จอห์นสันก็ยังเป็นระดับ B อยู่ดี! 


 


 


ฝูงอีกาม่วงยังคงหลั่งไหลออกมาไม่หยุดหย่อนและล้อมรอบพลังโจมตีของแอนโทนี่ เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนมาก! 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้มีความสามารถที่จะเสกอีกาสีม่วงออกมามากมายแบบนี้หรอก แต่จอห์นสันทำได้ เขาใช้ความสามารถนี้ในเมืองพัทยามาก่อนแล้ว 


 


 


นี่เป็นการโจมตีของเสี่ยวอวี๋ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เธอใช้แอนโทนี่เป็นตัวโจมตีหลักและใช้จอห์นสันเป็นผู้ปกป้องการโจมตีนั้นไม่ให้หยุดกลางคัน เธอเกือบจะพูดได้ว่าเธอสามารถเอาชนะในการต่อสู้กับผู้บำเพ็ญระดับ B ได้อย่างแน่นอน เพราะคนคนนั้นจะต้องต่อสู้สลับกันไปมาระหว่างศัตรูที่แข็งแกร่งถึงสองคน 


 


 


ชาจินนั้นเป็นผู้มีพลังสายธาตุโลหะ เขาเรียกมีดจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาแล้วเล็งเป้าไปที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ทว่าเธอป้องกันได้ด้วยทรายขาวทะเลลึก เธอเองก็ยังต้องกระโดดหลบการโจมตีอย่างแรงนั้นด้วย มีเพียงมีดไม่กี่เล่มเท่านั้นที่สามารถโจมตีเธอได้ กระนั้นชาจินก็ยังตะลึงงันเนื่องจากมีดพวกนั้นไม่ได้ทำให้เธอเลือดออกเลยสักนิด 


 


 


กำแพงทรายขาวทะเลลึกเกิดรอยปริรอยแตกเล็กน้อยขณะที่มันกำลังโอบล้อมรอบร่างของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่ แต่ด้วยพลังปกป้องที่แข็งแกร่งของทราย มีดที่เหลือเหล่านั้นจึงไม่สามารถทำลายเกราะของเธอได้ 


 


 


หากเธอมีทรายขาวทะเลเพียงครึ่งหนึ่ง เธอก็สามารถใช้มันป้องกันการโจมตีหรือใช้มันโจมตีอีกฝ่ายได้ แต่แล้วกลุ่มทวยเทพนั้นก็ๆ ก็ส่งครึ่งหนึ่งของพวกมันมา… 


 


 


หลี่ว์เสี่ยว์อวี๋หงุดหงิดมาก พลังของเธอใกล้หมดแล้ว! 


 


 


แล้วอีกาก็โฉบไปล้อมรอบตัวของชาจินทำให้เขาติดอยู่ข้างใน ครั้งนี้อีกานั้นล้อมอยู่ชั้นใน ส่วนชั้นนอกนั้นเป็นทรายขาวทะเลลึก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองชาจินที่ค่อยๆ ตายไปช้าๆ ด้วยความอ่อนเพลียจากการต่อสู้ 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก เลียฟ ชาจิน +1000!] 


 


 


เสี่ยวอวี๋งุนงง “เขาเป็นใครกันเนี่ย ฉันแค่ถามทางเฉยๆ เอง” 


 


 


เธอดูแผนที่ด้วยความกระวนกระวายใจ “แล้วสำนักงานของกลุ่มหมีขาวอยู่ไหนกันละ ตอนนี้ต้องไปทางไหนต่อนะ” 


 


 


เธอโบกมือไปที่แอนโธนี่ แล้วเขาก็คายไข่มุกสีดำออกมาจากปาก เป็นไข่มุกที่เธอเพิ่งเอาให้เขากินคราวที่แล้ว ตอนนี้แอนโธนี่ก็หยุดหัวเราะแปลกๆ แล้วในที่สุด 


 


 


หลังจากที่ไข่มุกนั้นดูดกลืนวิญญาณของชาจินเข้าไปแล้ว แอนโธนี่ก็กลืนมันเข้าไปอีกรอบ จากนั้นพลังของแอนโธนี่ก็พุ่งขึ้นจากระดับ B ขั้นกลางเป็นระดับ B ขั้นสูง! 


 


 


แม้แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่รู้เลยนะเนี่ย! 


ตอนที่ 640 มาถึงแอฟริกาใต้แล้ว 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋รำคาญใจมานานแล้ว ทำไมแอนโธนี่ถึงเพิ่งนึกออกว่าเขาสามารถคายไข่มุกออกมาแล้วเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้แค่ตอนที่เขาหัวเราะ 


 


 


พลังของแอนโธนี่จะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ไข่มุกวิญญาณนี้ดูดซับพลังวิญญาณไปแล้ว หรือก็คือการดูดซับพลังของไข่มุกวิญญาณนี่ช่วยทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้ หลี่ว์ซู่เคยคิดว่าไข่มุกวิญญาณนี้เป็นของที่ใช้แล้วทิ้งเท่านั้น แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยากทำให้แอนโธนี่หยุดหัวเราะมานานแล้ว แต่พอคิดไปคิดมาก็คงไม่เอาดีกว่า ถ้าแอนโธนี่หยุดหัวเราะแล้วเธอจะหาหลี่ว์ซู่เจอได้ยังไงกันล่ะ 


 


 


ถึงเสียงหัวเราะของแอนโธนี่จะทำให้เสี่ยวอวี๋รำคาญใจ แต่เธอก็ใจเย็นลงได้เมื่อนึกออกว่าเสียงหัวเราะนี้จะช่วยห้เธอหาตัวหลี่ว์ซู่เจอ… 


 


 


วิญญาณของเลียฟ ชาจินที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เพิ่งได้มาทำให้เธอได้เศษเสี้ยวของความทรงจำใหม่มาด้วย เศษเสี้ยวพวกนี้กระจัดกระจายกันไปหมด แต่ชิ้นส่วนทั้งหมดก็เชื่อมโยงไปยังเรื่องเดียวกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อ้าปากค้างด้วยความตกใจขณะเห็นร่างของเลียฟ ชาจิน ชายคนนี้เองเหรอที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มหมีขาว 


 


 


งั้นเธอก็เพิ่งจะกำจัดผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายจากกลุ่มหมีขาวไปงั้นเหรอ! 


 


 


ชะตาฟ้าลิขิต! นี่เธอทำอะไรลงไปเนี่ย! 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นึกขึ้นได้ว่าเธอมีอีกหนึ่งปัญหาที่ต้องคุร่นคิด หากกลุ่มหมีขาวไม่เหลืออยู่แล้ว งั้นหลี่ว์ซู่กับคนที่เหลือจะยังมาอยู่หรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าคงจะไม่แล้วล่ะ… 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อารมณ์เสียเลย แล้วทำไมเขาถึงตายง่ายแบบนี้เล่า! 


 


 


งั้นแปลว่าเธอก็ไม่ได้อะไรจากการถ่อมาถึงที่นี่น่ะสิ ถ้าอย่างนั้นหลี่ว์ซู่คงเปลี่ยนแผนแล้วทุกคนก็คงมุ่งหน้าไปที่ยุโรปกันหมดแน่เลย หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดหนัก ใบหน้าของเธอตอนกำลังใช้ความคิดทั้งจริงจังและดูน่ารักในเวลาเดียวกัน 


 


 


“งั้นมุ่งหน้าไปยุโรปแล้วกัน!” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดออกมาอย่างมั่นใจ แล้วทันใดนั้นแอนโธนี่ก็หัวเราะออกมาก่อนคว้าเอาตัวเสี่ยวอวี๋ลงไปบนพื้นเพื่อเดินทางไปยังทิศตะวันตก 


 


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง เครื่องบินที่หลี่ว์ซู่โดยสารมาถึงแอฟริกาใต้แล้ว เขาเห็นชื่อภาษารัสเซียเด้งขึ้นมาในบันทึกค่าอารมณ์ของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ 


 


 


พลันหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที หลังจากที่เขาเดินลงมาจากเครื่องบินแล้วเขาก็เปลี่ยนซิมการ์ดในโทรศัพท์ จากนั้นก็โทรหาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ [ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้] 


 


 


ถึงครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินอะไรแบบนี้ เพราะจงอวี้ถังเองก็เคยตั้งเสียงรอสายแบบนี้เหมือนกัน แต่ครั้งนี้หลี่ว์ซู่คิดว่าเสี่ยวอวี๋น่าจะไปที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลมากจนอับสัญญาณ… 


 


 


เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ออกไปรัสเซียเพื่อตามหาเขาแบบไม่บอกหรือเปล่า หลี่ว์ซู่ยังค่อยไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะชื่อที่ปรากฏขึ้นมานี้เป็นชื่อภาษารัสเซีย แล้วหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะไปจู่โจมคนรัสเซียในประเทศจีนได้ยังไงกันละ 


 


 


เขาอยากใช้จอห์นสันและเสกร่างปลอมออกมาเพื่อดูว่าเสี่ยวอวี๋กำลังทำอะไรอยู่ แต่ขณะที่หลี่ว์ซู่คิดจะใช้แผนภูมิดาราเพื่อปลดผนึกจอห์นสัน จู่ๆ เสี่ยวอวี๋ก็เรียกเก็บแอนโธนี่ที่กำลังบ้าคลั่งเข้ามาในหลุมดำ 


 


 


หลี่ว์ซู่ต้องได้รับอนุญาตจากเสี่ยวอวี๋ก่อนถึงจะเสกตัวปลอมขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไม่สามารถใช้แอนโธนี่ได้หากเสี่ยวอวี๋ไม่ปล่อยแอนโธนี่ออกมา 


 


 


เขาพยายามจะปล่อยแอนโธนี่ออกมาตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วอยู่ๆ เขาก็จำได้ว่าเซี่ยเหรินเซิงรู้ภาษารัสเซียนี่นา เขามองดูชื่อที่ปรากฏอยู่ในบันทึกและพยายามลอกเลียนอักขระลงบนกระดาษ จากนั้นก็ยื่นกระดาษไปให้เซี่ยเหรินเซิง “นี่เป็นชื่อรัสเซียหรือเปล่า อ่านว่าอะไรน่ะ” 


 


 


พอเซี่ยเหรินเซิงเห็นชื่อนี้ก็ตกใจมาก “นี่มันชื่อของหัวหน้ากลุ่มหมีขาวที่อพยพไปต่างประเทศแล้วนี่! ชื่อเลียฟ ชาจิน หลายๆ กลุ่มตามหาเขากันให้ควั่ก” 


 


 


ฮ่าๆ ไม่ต้องตามหาเขาอีกต่อไปแล้วละพวก ค่าอารมณ์ 1000 แต้มแบบนี้แปลว่าตายแล้วชัวร์! 


 


 


หลี่ว์ซู่เครียดเลย เสี่ยวอวี๋ไปเจอหัวหน้ากลุ่มคนนั้น แถมยังไปฆ่าเขาทิ้งด้วยนะ! 


 


 


ช่างเป็นปริศนาจริงๆ … 


 


 


อากาศที่แอฟริกาใต้ร้อนและชื้นมาก พวกเขาอยู่ในเมืองที่ชื่อว่าอันกั๋ว สำนักงานใหญ่ของ EO เองก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน 


 


 


ส่วนแร่ที่ว่านั้นอยู่ทางตะวันออก เนื่องจาก EO เคยกลับคำตัวเองมาก่อน รวมถึงพลังต่อสู้ของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญท้องถิ่นด้วย เลยทำเกิดข้อขัดแย้งเกิดขึ้นติดต่อกันมาเป็นเวลาสองสามปีแล้ว แต่เนื่องจากยังมีการแทรกแซงขององค์กรภายนอก ทำให้บริเวณนี้ยังสงบดีอยู่ 


 


 


ถึงพวกเขาจะอยู่กันที่แอฟริกาใต้ แต่หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าพวกเขาน่าจะต้องได้พบปะกับกลุ่มอื่นๆ อย่างกลุ่มฟีนิกซ์แน่ แล้วก็คงไม่ได้เข้าไปยุ่งกับพวกผู้บำเพ็ญท้องถิ่นมากนัก 


 


 


ในขณะที่พวกเขาเดินออกมาจากสนามบิน หลี่ว์ซู่ก็สังเกตเห็นฮาเวิร์ดจากกลุ่มฟีนิกซ์เดินออกมาเหมือนกัน มีสมาชิกกลุ่มฟีนิกซ์กว่ายี่สิบคนล้อมรอบฮาเวิร์ดอยู่ และพวกเขาก็ดูแข็งแกร่งจนน่ากลัว! 


 


 


หลี่ว์ซู่เคยเจอกับฮาเวิร์ดตอนอยู่คนเดียวมาก่อน เขาเป็นคนจัดการเรื่องความสัมพันธ์ในต่างประเทศของกลุ่มฟีนิกซ์และมีบรรยากาศหยิ่งยโสอยู่รอบตัว เขาน่าจะมีพลังนระดับ B ขั้นสูงแล้ว 


 


 


หลี่ว์ซู่หันไปมองเซี่ยเหรินเซิงอย่างโดยไม่ตั้งใจ เขาเพิ่งเห็นว่าเซี่ยเหรินเซิงดูจะรู้สึกอ่อนแอขึ้นมา… 


 


 


หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “คุณดูไม่มั่นใจเลยนะหัวหน้า” 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็รู้สึกไม่มั่นใจและอ่อนแอจริงๆ นั่นแหละ เขาเป็นผู้รับผิดชอบงานด้านวิจัยและความสัมพันธ์ระหว่างประทเศ แต่ทำไมเขาถึงไม่มีข้อมูลของฮาเวิร์ดมาก่อนเลยนะ อย่างที่คาดไว้เลย คนคนนี้ก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่มีพลังระดับ B พอย้อนกลับมามองตัวเองที่มีพลังระดับ C ช่วงปลายแล้วจะไม่ให้รู้สึกอ่อนแอได้อย่างไร อะไรกันเนี่ย ราชันฟ้าเนี่ยไม่ได้จะประเมินความสำคัญของแร่พวกนี้ต่ำไปหรอกใช่ไหม 


 


 


ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเซี่ยเหรินเซิง แต่เขาเป็นหัวหน้าของกลุ่ม เขาไม่สามารถแสดงด้านอ่อนแอออกไปได้ ถึงเขาจะรู้สึกตัวเล็กกระจ้อยร่อยแค่ไหนเขาก็ต้องนำกลุ่มนี้ต่อไป 


 


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจะทำ แต่สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำให้สำเร็จต่างหาก 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงตอบออกไปอย่างใจเย็น “ดูเหมือนว่าตัวแทนจากประเทศต่างๆ จะมาถึงกันเกือบครบแล้วนะ เราจะเริ่มเจรจาก็ต่อเมื่อพวกเขามาถึงกันหมดแล้ว พวกผู้บำเพ็ญลับตอนนี้ไปพักผ่อนกันได้ เรายังไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนกันที่แอฟริกาในตอนนี้ แต่สำหรับพวกนักเจรจานั้นมีภาระที่ต้องแบกรับหนักอึ้งกว่า ฉันหวังว่าทุกคนจะทำงานด้วยกันอย่างราบรื่น และขอให้ทุกคนตั้งใจกับเป้าหมาย รวมถึงงานที่เราต้องทำเพื่อให้ภารกิจสำเร็จด้วยนะ” 


 


 


เมื่อหลินกานอวี่ได้ยินดังนั้น สายตาของเธอก็เปล่งประกายขึ้น เธออยากทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ เมื่อมีคนต้องการให้เธอช่วยก็แปลว่าการมีอยู่ของเธอตรงนี้นั้นมีค่า แล้วเธอก็จะรู้สึกประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน “หัวหน้าคะ คุณไว้ใจได้เลย!” 


 


 


“ผู้บำเพ็ญลับทั้งหลาย พยายามอย่าไปมีเรื่องกับผู้แทนคนอื่นๆ ล่ะ” เซี่ยเหรินเซิงเอ่ยเตือนพวกเขา “พวกตัวแทนน่ะแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก แต่ทุกคนไม่ต้องกลัว เครือข่ายฟ้าดินรายงานได้ข่าวแล้วตอนที่เราออกจากชายแดน เดี๋ยวอีกสองสามวันกำลังเสริมจากเครือข่ายฟ้าดินก็จะมาแล้วล่ะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้าตอบรับอย่างสบายๆ ขณะมองไปรอบๆ ตัว “ครับๆ ไม่มีเรื่อง ไม่มีเรื่องก็ไม่มีเรื่อง…” 


 


 


หลิวฝานและคนที่เหลือเองก็พยักหน้าเพื่อตอบรับคำสั่งจากเซี่ยเหรินเซิง อย่างมากพวกเขาก็คงเดินไปรอบๆ เท่านั้นแหละ ไม่ไปหาเรื่องกับตัวแทนคนอื่นๆ หรอก สุดท้ายแล้วพวกเขาก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น 


 


 


แต่เซี่ยเหรินเซิงกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ทำไมผู้บำเพ็ญลับที่ชื่อหลี่เถิงถึงดูไม่จริงใจกับคำที่รับปากออกมาเลยนะ! 


 

 

 


ตอนที่ 641 อาวุธเคมีชีวภาพ

 

ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่ไม่อยากฟังที่เซี่ยเหรินเซิงพูดมานะ แต่พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้มีสิ่งที่ต้องการจะทำเหมือนกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เซี่ยเหรินเซิงและคนอื่นมาที่นี่เพราะต้องการมาแลกเปลี่ยนแร่กับกลุ่ม EO เมื่อหลี่ว์ซู่ได้ดูข้อมูลแล้ว เขาก็เห็นว่าพวกเขานั้นมีแร่อยู่ในคลังสินค้าเยอะทีเดียว ฉะนั้นพวก EO ก็เลยเชิญองค์กรใหญ่ๆ จากทั่วโลกมาเพื่อขายแร่ให้กับพวกเขา และพวกเขาจะไม่ขายให้แค่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่พวกเขาต้องมาเจรจาราคาและส่งตัวแทนมาแข่งขันกันว่าใครให้ราคาสูงกว่า


 


 


ในทางกลับกัน หลี่ว์ซู่มีเพียงอย่างเดียวที่อยากทำที่นี่ เขาอยากได้แต้มอารมณ์เพื่อเอาไปใช้ฝึกฝนให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น…


 


 


แต่เขาจะหาแต้มอารมณ์มาได้ยังไงกันละ เขาไม่สามารถทำตัวสามัคคีกับคนอื่นที่นี่ได้ หากเขาทำแบบนั้น เขาจะหาแต้มอารมณ์มาได้ยังไง


 


 


กลุ่ม EO ได้จัดที่พักไว้ให้ทุกคนแล้ว ตัวแทนจากองค์กรต่างๆ จะได้พักในวิลล่าที่เพิ่งสร้างใหม่ หลี่ว์ซู่คิดว่ากลุ่ม EO นั้นจัดให้พวกเขาอยู่ใกล้กันเพื่อยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์กร แล้ว EO จะได้ชุบมือเปิบท่ามกลางความยุ่งเหยิงนี้ได้ง่ายขึ้น


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก หลังจากที่เขาจัดสินใจได้ว่าเขาจะพักตรงไหน เขาก็ออกไปเดินเล่น พวกผู้บำเพ็ญรู้แล้วว่าเขามีความสามารถมากกว่าเลยไม่ได้เข้ามาแหย่หลี่ว์ซู่อีกแล้ว แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าพวกผู้บำเพ็ญจะวางแผนแกล้งเขาตอนเขาไม่อยู่หรือเปล่า


 


 


ขณะที่เขาเดินอยู่บนถนนในเมืองอันกั๋ว เขาก็สังเกตเห็นว่าที่นี่แตกต่างจากที่อื่นๆ มาก เพราะในประเทศจีนนั้นจะมีถนนลูกรังแค่บริเวณชนบท แต่ในเมืองนี้ ครึ่งหนึ่งของเมืองกลับเป็นถนนลูกรังและอีกครึ่งหนึ่งเป็นถนนพื้นซีเมนต์ เวลามีรถขับผ่านจะเกิดฝุ่นคละคลุ้งไปในอากาศ


 


 


หลี่ว์ซู่เห็นขบวนรถที่มีสัญลักษณ์ของ EO แล่นผ่านไป กลุ่ม EO นั้นถือเป็นองค์กรระดับโลก ภายในรถของพวกนั้นมีผู้คนอยู่หลายประเภท สีหน้าของพวกเขาทั้งกล้าแกร่งและเย็นชา


 


 


แอฟริกานั้นเป็นประเทศที่ลึกลับ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีของประเทศจีนคือรถมอเตอร์ไซค์และน้ำมันหอมระเหย กระนั้นน้ำมันหอมระเหยขวดเล็กๆ ที่ขายกันแค่ไม่กี่หยวนในประเทศจีนกลับเพิ่มราคาเป็นแปดหยวนเมื่อวางขายที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทมอเตอร์ไซค์ที่มีมูลค่ากว่าหมื่นล้านหยวนหลายๆ ที่ในประเทศนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทจากจีน


 


 


เพราะแบบนี้เอง จีนจึงอยากช่วยเหลือการก่อสร้างต่างๆ ให้แอฟริกาใต้ หลี่ว์ซู่เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว…


 


 


ในอดีต มีหลายคนเลยที่อยากลักลอบขนน้ำมันหอมระเหยออกไป ส่งผลให้ศุลกากรต้องออกกฎในการตรวจดูน้ำมันหอมระเหยให้เข้มมากขึ้น หากใครขนน้ำมันหอมระเหยมากเกินความจำเป็น ของพวกนั้นก็จะถูกยึดไป


 


 


มีนักธุรกิจจำนวนมากที่ขนเอาเสื้อผ้ามือสองออกจากจีนแล้วส่งไปที่แอฟริกาใต้ เสื้อมือสองหนึ่งตัวราคาไม่กี่หยวน กระนั้นเมื่อเอาไปขายต่อก็สร้างกำไรได้ไม่น้อย


 


 


นักธุรกิจแอฟริกาเองก็เป็นกลุ่มคนที่ไม่เหมือนใคร พวกเขาจะรอให้เสื้อผ้ามือสองพวกนี้ส่งจากจีนมาถึงท่าเรือก่อน จากนั้นค่อยบรรจุและเติมลงไปในคลังสินค้า ส่วนเรื่องการขายเสื้อผ้ามือสองนั้นจะถูกกฎหมายหรือไม่ก็ไม่มีใครสนใจหรอก


 


 


ในแอฟริกาใต้เองก็มีจำนวนประชากรคนจนเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แต่นิสัยการใช้เงินของคนที่นี่นั้นต่างไปจากประเทศจีน ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าราคาแปดหยวนก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะหาเงินมาซื้อให้ได้ต่อให้ต้องยืมเงินใครก็ตามที…


 


 


กลุ่มคนจีนเดินทางมาที่แอฟริกาใต้เพื่อเปิดโรงงานด้วยเหมือนกัน ในตอนที่พวกเขาเปิดโรงงานกันใหม่ๆ พวกเขาจะจ่ายเงินเดือนให้ก่อนหนึ่งเดือนล่วงหน้า แต่หลังจากสามวันผ่านไป พวกคนงานกลับประท้วงไม่ทำงานเสียอย่างนั้นเพราะพวกเขาใช้เงินที่ได้ไปหมดแล้ว


 


 


ทุกคนรู้ดีว่าการคิดแบบนี้นั้นเป็นเรื่องคิดไม่ตก พวกคนท้องถิ่นจะใช้เงินที่ได้มาจนหมดโดยไม่แบ่งเงินเก็บไว้เลย พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะวางแผนการเงินเพื่อใช้ในอีกยี่สิบเจ็ดวันที่เหลือ…


 


 


ดังนั้นบริษัทจากจีนจึงเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินเดือนให้กับคนงาน พวกเขาจะจ่ายค่าแรงให้ทุกๆ สามวัน แต่ปัญหาก็คือพวกคนงานท้องถิ่นกลับใช้จ่ายเงินนี้หมดไปตั้งแต่ครึ่งวันแรกแล้ว…


 


 


บริษัทเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าแรงแบบวันต่อวันแทน แต่พอทำแบบนี้แล้ว พวกคนงานท้องถิ่นกลับออกไปเที่ยวเพื่อใช้เงินจนหมดและไม่กลับมาทำงานอีกเลย…


 


 


อะไรกันวะเนี่ย…


 


 


ที่แห่งนี้ไม่มีความยุติธรรมเลย หลายครั้งที่เพื่อนคนจีนด้วยกันถูกวิ่งราวที่นี่ พอขับรถไปปะเข้ากัลตำรวจก็มักถูกสั่งให้หยุดรถเพื่อจ่ายค่าปรับอะไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพราะทุกคนที่มาที่นี่เป็นผู้บำเพ็ญ พวกโจรในท้องถิ่นจึงหวาดกลัวกันไป พลังโจมตีของพวกผู้บำเพ็ญนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป พวกเขาไม่กล้าเข้าไปกระตุกหนวดผู้บำเพ็ญหรอก


 


 


เพราะฉะนั้นการขโมยจึงกลายเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ ถ้าเป็นคนดูสถานการณ์ได้ไม่ดี ก็อย่าได้เคลื่อนไหวอะไรออกไปทั้งนั้น


 


 


หลี่ว์ซู่เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว เขาจึงตั้งใจจะเดินกลับวิลล่า เขาเสียดายนิดหน่อยที่ไม่มีใครเข้ามาขโมยของจากเขา เพราะเขาอยากได้แต้มอารมณ์เพิ่ม


 


 


ขนาดคนท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ขโมยของมาโชกโชนก็ยังไม่รู้ว่ามีใครบางคนรอให้พวกเขาเข้าจู่โจมเพื่อรอหลอกพวกเขากลับ


 


 


หลี่ว์ซู่เดินกลับไปที่วิลล่าแล้ว แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ วิลล่าพวกนี้ดูหรูหราอย่างกับสวนของจีน แต่วิลล่าสวนจีนที่นี่นั้นกลับมีพืชพรรณปลูกไว้มากกว่าปกติ เหมาะแก่การมาซ่อนตัวมาก เขารู้สึกได้ถึงพลังงานแปลกๆ จากพุ่มไม้พวกนั้น


 


 


องค์กรที่มาที่นี่มีทั้งหมดเจ็ดองค์กรใหญ่ๆ ด้วยกัน แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานห้าสายจากบริเวณรอบๆ วิลล่า


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มอยู่ไม่สุข พวกนี้เป็นองค์กรใหญ่กันหมดเลยไม่ใช่เหรอ! ช่วยเพิ่มคุณภาพเทคโนโลยีการสอดแนมหน่อยได้ไหม!


 


 


เขาเริ่มเดินตรวจตราไปทั่วบริเวณนั้น พอเขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานเข้ามาใกล้ๆ เขาก็โยนกล่องเต้าหู้เหม็นไปตรงจุดนั้น เขาไม่สนใจหรอกว่าน้ำซุปมันจะไหลหกออกมาหรือเปล่า เพราะเขาจะใช้เต้าหู้เหม็นนี้เป็นอาวุธเคมีชีวภาพ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอียน คลินตัน +399…]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…]


 


 


หลังจากที่เขาโยนเต้าหู้เหม็นไป หลี่ว์ซู่ก็เอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ “ยังมีใครหลบอยู่อีกไหม”


 


 


พวกคนที่อยากจะหนีออกไปหลังจากโดนเต้าหู้เหม็นเล่นงานได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป การโจมตีด้วยเต้าหู้เหม็นนี่อย่างกับโดนชกเข้าให้ ขนาดหลี่ว์ซู่เองยังไม่เคยได้กลิ่นเต้าหู้เหม็นที่แรงเท่านี้มาก่อนเลย เขาได้แต้มอารมณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…


 


 


เขามีความสุขมาก เขาไม่ได้เดินออกไปไหนและยืนรออยู่นั้นเพื่อดูว่าหน่วยสอดแนมนี่จะทนกันต่อไปได้สักกี่น้ำเชียว คนกลุ่มนี้เหมือนเป็นเครื่องผลิตแต้มอารมณ์ให้เขา และพวกเขาก็หนีไปไหนไม่ได้ด้วย…


 


 


หลี่ว์ซู่โยนกล่องเต้าหู้เหม็นที่เปิดไว้อยู่ครึ่งหนึ่งเข้าไปอีก กล่องเต้าหู้หกเลอะเทอะเต็มพื้นไปหมด หลังจากผ่านไปสิบนาที ใครคนหนึ่งก็ตะโกนโหวกเหวกแล้ววิ่งหนีไป…


 


 


คนอื่นๆ เองก็ตามเขาไปด้วยเช่นกัน แล้วคืนนั้นก็มีข่าวลือออกมาว่าองค์กรใหญ่นำอาวุธเคมีชีวภาพเข้ามาที่นี้ด้วย! นี่นี่ไม่ใช่การแข่งขันอย่างสันติเลยสักนิด!


 


 


หลี่ว์ซู่เดินกลับไปที่วิลล่าอย่างสบายอกสบายใจ เขาได้ยินเซี่ยเหรินเซิงพูดกับคนอื่นๆ “ตอนนี้พวกเราต้องระวังให้มากหน่อย ในช่วงที่กำลังเสริมยังไม่มา จะพูดอะไรก็ระวังด้วย ส่วนตอนนอนขอให้เปลี่ยนกะช่วยกันเฝ้าระวัง อย่าลืมปิดผ้าม่านให้สนิท บริเวณรอบๆ พวกเราเสี่ยงโดนดักซุ่มดูได้ง่ายมาก”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาแอบไปเปลี่ยนชุดและหนีออกทางหน้าต่าง ตอนที่เขากระโดดออกไปนั้นเขาก็เปลี่ยนหน้าเป็นผู้ชายผิวขาวคนหนึ่ง เขาเดินไปเจอวิลล่าที่พวกองค์กรใหญ่อื่นๆ อยู่แล้วปาหินเข้าไปเพื่อทำให้กระจกแตก


 


 


จากนั้นก็โยนเต้าหู้เหม็นเข้าไปสมทบ ก่อนหน้านี้มีคนในวิลล่าพูดว่า “ฉันไม่คิดหรอกนะว่านั่นจะเป็นอาวุธเคมีชีวภาพจริงๆ ไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรพวกผู้บำเพ็ญได้เลยนี่”


 


 


ทันใดนั้นพวกคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปซุ่มระวังก็ก้าวถอยหลังไปหมด ถ้ามันเป็นอาวุธเคมีชีวภาพจริงๆ ก็ต้องมีอะไรเกิดขึ้นบนผิวหนังแล้วสิ แต่นี่กลับไม่เป็นอะไรเลย


 


 


“นี่เหมือนเป็นวิธีไล่พวกดักซุ่มมากกว่า ฉันว่าพวกเครือข่ายฟ้าดินอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แหละ เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในวิลล่าของพวกนั้นนี่”


 


 


“ถ้าสิ่งนั้นมันทำอะไรกลุ่มสอดแนมไม่ได้จริงๆ เราก็ยังแอบซุ่มดูพวกมันได้อยู่น่ะสิ เราจะต้องหาให้ได้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้” ฮาเวิร์ดพูดช้าๆ


 


 


แล้วขณะที่พูดกันอยู่นั้นว่าจะเอาอย่างไรกันต่อ จู่ๆ ก็มีเสียงกระจกแตกดังขึ้นมา มีผู้ชายผิวขาวคนหนึ่งเดินผ่านหน้าต่างไป แล้วกลิ่นเหม็นอย่างสุดซึ้งก็ส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ววิลล่า…


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอียน คลินตัน +666…]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…]


 


 


ไอ้บ้าหน้าไหนมันกล้าจะโจมตีแบบตั้งใจขนาดนี้เนี่ย เพิ่งพูดกันไปหยกๆ ว่าสิ่งนั้นมีไว้สำหรับไล่พวกดักซุ่มออกไปแท้ๆ!


ตอนที่ 642 ศัตรูโจมตี


 


 


ตอนนี้องค์กรทั้งเจ็ดก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว เต้าหู้เหม็นของหลี่ว์ซู่นั้นจู่โจมกลุ่มอื่นๆ ไปถึงหกองค์กรด้วยกัน นอกจากนี้กลิ่นยังตามหลอกหลอนพวกเขาไปจนไม่สามารถให้ความสนใจไปกับงานตรงหน้าได้


 


 


องค์กรทั้งหกนั้นสงสัยว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเพราะมีใครต้องการทำให้พวกเขาแตกแยกกัน!


 


 


แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย หลี่ว์ซู่ไม่ได้ทำอย่างนั้นเพื่อให้กลุ่มของเขาได้เปรียบเรื่องการเจรจาหรือการแลกเปลี่ยนแร่หรอกนะ เขาแค่อยากได้แต้มอารมณ์เท่านั้นเอง


 


 


แต้มอารมณ์สำหรับเขาคือพลัง แม้ว่าคนอื่นๆ จะเห็นว่าการเจรจาแลกเปลี่ยนซื้อขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ สำคัญ แต่เขาคิดว่าว่าพลังนี่แหละที่จะช่วยให้ตัวเองถือไพ่เหนือกว่าได้ในทุกๆ สถานการณ์


 


 


นอกจากนี้ ที่เครือข่ายฟ้าดินได้รับเชิญเองก็ไม่ใช่เพราะพวกเขามีทรัพยากรหรือร่ำรวยอะไรหรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาคือหนึ่งในองค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกต่างหาก


 


 


เพราะมีผู้บำเพ็ญระดับ A สองคนและระดับ B อีกจำนวนหนึ่ง เท่านี้ความแข็งแกร่งโดยรวมก็ทะยานขึ้นไปอยู่เหนือองค์กรอื่นอย่างไม่มีข้อโต้แย้งแล้ว กระนั้นสิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาก็มีศัตรูมากเกินไปด้วย


 


 


ถ้าพวกเขาอ่อนแอกว่านี้หน่อยก็คงไม่อยากมีใครมาเจรจากับเขา จะเข้ามาปล้นทรัพยากรกันง่ายๆ ก็ทำได้เลย


 


 


เพราะฉะนั้นการเลื่อนระดับขึ้นเป็นระดับ B ของหลี่ว์ซู่อย่างเป็นทางการคือเรื่องสำคัญมาก


 


 


ในขณะเดียวกันก็มีสมาชิกขององค์กรอื่นทยอยกันเข้ามาใกล้เต้าหู้เหม็นนี้ มีเพียงองค์กรเดียวเท่านั้นที่คิดออกว่านี่ไม่ใช่อาวุธเคมีชีวภาพ แต่เป็นแค่อาหารจีนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมคนขาวถึงมีเต้าหู้เหม็นอยู่กับตัวมากขนาดนี้ได้ อีกอย่าง ทำไมเต้าหู้เหม็นนี่มันเหม็นบรมขนาดนี้นะ…


 


 


“ไม่มีคนขาวอยู่ในเครือข่ายฟ้าดินแน่นอน แล้วก็ไม่มีใครสามารถเข้าออกวิลล่าของพวกนั้นได้ด้วย” มีใครคนหนึ่งอธิบายจากการวิเคราะห์ของเขาเอง “ของที่ใช้ก็มาจากประเทศจีน สงสัยว่าคนคนนั้นคงไม่รู้ว่าเราเห็นผู้ชายผิวขาวเดินผ่านไปเมื่อคืน เพราะฉะนั้นเขาคงอยากให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือเครือข่ายฟ้าดินแน่ๆ”


 


 


“เข้าใจที่พูดมานะ แต่นายคิดว่าไอ้นี่มันกินได้ด้วยเหรอ!” คนหนึ่งอุทานขึ้นมา


 


 


‘ไอ้นี่’ ที่เขาหมายถึงก็คือก้อนสี่เหลี่ยมสีดำ สิ่งนี้เป็นอาหารจริงๆ เหรอ ให้ตายสิ…


 


 


“ใครก็ได้ไปดูหน่อยว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่วิลล่าของเครือข่ายฟ้าดินหรือเปล่า” หนึ่งในนั้นพูดออกมา


 


 


ในขณะนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้กลับมาที่ห้องของตัวเองผ่านทางกระจกแล้ว หลังจากองค์กรอื่นๆ ลองออกไปตรวจตราดู พวกเขาก็ได้คำตอบมาในทางเดียวกัน “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่เครือข่ายฟ้าดินเลยครับ!”


 


 


“อย่างที่คิดไว้เลย มีคนจัดฉากให้เราคิดว่าเป็นเครือข่ายฟ้าดินแน่ๆ!” ฮาเวิร์ดพูดพลางพยักหน้า “ก็จริงอยู่ที่เครือข่ายฟ้าดินอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่พวกเขาเพิ่งมาถึงนี่ เพราฉะนั้นคงไม่มีเวลาไปคิดแผนทำอะไรอย่างนี้หรอก”


 


 


“ผมมีคำถามครับ” ใครคนหนึ่งพูด “พวกเครือข่ายฟ้าดินที่เราเคยเจอ ยกเว้นพวกที่เคยเจอในโบราณสถานนะครับ พวกเขาเป็นพวกหัวกะทิกันหมดเลยนี่ แตต่ครั้งนี้กลุ่มของพวกเขาดูวุ่นวายแปลกๆ ผมคิดว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องการค้ามากเท่าไหร่หรอก หรือเป็นเพราะพวกนั้นมีแร่อยู่ในประเทศของตัวเองแล้วกันนะ”


 


 


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่มันเป็นเรื่องขัดกับตรรกะทั่วไปมาก กลุ่มของเซี่ยเหรินเซิงนั้นประกอบไปด้วยผู้บำเพ็ญลับเป็นส่วนใหญ่เพราะภารกิจก่อนหน้านี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร และที่หลี่ว์ซู่เข้ามาร่วมกับกลุ่มนี้ก็เพราะเขาต้องการหนีออกมานอกประเทศอย่างเร่งด่วน…


 


 


และเนื่องจากกลุ่มนี้ถูกตั้งขึ้นมาอย่างฉุกละหุก เครือข่ายฟ้าดินเลยจะส่งกำลังเสริมมืออาชีพไปเพื่อผลัดเวรเปลี่ยนหน้าที่ในอีกสามวัน เนี่ยถิงไม่ได้สนใจเรื่องแร่อยู่แล้วตั้งแต่แรก เขาแค่อยากให้หลี่ว์ซู่ไปกวนประสาทองค์กรพวกนั้นต่างหาก…


 


 


ซึ่งก็ทำให้เห็นแล้วว่าเครือข่ายฟ้าดินตั้งใจยอมแพ้ในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้…


 


 


ที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่เกือบลืมไปแล้วว่าในบรรดาพรสวรรค์ทั้งหลาย เขามีพรสวรรค์เยี่ยมยอดอย่างหนึ่ง พรสวรรค์นั้นคือการที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะนำพาเขาไปในทางที่ดีเอง ต่อให้เขาไม่ได้ทุ่มเทพยายามอะไรมากก็ตาม และตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาพร้อมที่จะร้องเพลงดาวดวงน้อยแล้ว เรื่องอื่นๆ เอาไว้ค่อยคิดทีหลัง…


 


 


เส้นทางเลื่อนระดับไประดับ B เหลืออีกแค่หมื่นแต้มเท่านั้น!


 


 


องค์กรอีกสี่กลุ่มที่ EO เชิญมาเข้าร่วมการเจรจาเดินทางมาถึงในวันถัดไป รวมจำนวนองค์กรทั้งหมดแล้วมีสิบเอ็ดองค์กรด้วยกัน!


 


 


หน่วยสอดแนมเริ่มออกปฏิบัติการก่อนที่องค์กรใดจะได้เคลื่อนไหวอย่างซึ่งหน้า เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติขององค์กรใหญ่ๆ ที่รับรู้ข่าวสารต่างๆ อย่างรวดเร็ว สี่องค์กรที่มาถึงทีหลังเองก็ได้ยินข่าวเรื่องเต้าหู้เหม็นนี้แล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่มองดูพื้นที่รอบๆ ขณะนั่งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของวิลล่า อยู่ๆ ก็มีกลุ่มผู้บำเพ็ญเดินเข้ามาช้าๆ ในบริเวณที่พัก แต่ละคนสวมชุดเสื้อคลุมสีขาว


 


 


หลี่ว์ซู่ค่อยๆ สังเกตพวกเขาให้ชัดๆ พวกเขาใส่หมวกฮู้ดถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนมากก็ตามที สีขาวชืดบนตัวพวกขับให้ดูเย็นชาและไร้ชีวิต


 


 


พวกเขาคือฝ่ายศรัทธานั่นเอง ครั้งแรกที่หลี่ว์ซู่เจอพวกเขาตัวเป็นๆ เขาก็สามารถบอกระดับขั้นของพวกเขาจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้เลย หัวหน้าของกลุ่มเจรจาของฝ่ายศรัทธาคือพระราชาคณะ ชายคนนี้มีสถานะเป็นอันดับสองรองจากหัวหน้าของฝ่ายศรัทธา


 


 


ทันใดนั้นกลุ่มฟีนิกซ์ก็เดินเข้ามาปะกับพวกเขา หัวหน้ากลุ่มเจรจาหยุดลงทันทีและส่งยิ้มให้ฮาเวิร์ด “ได้ยินว่าเมื่อคืนคุณเข้าใจผิดว่าอาหารนั่นเป็นอาวุธเคมีชีวภาพนี่ น่าสนใจดีนะ”


 


 


ฮาเวิร์ดหรี่ตาลงอย่างมาดร้าย “ถ้าเข้าใจผิดไปก็อย่าว่ากันนะ ผมก็ได้ยินเหมือนกันว่าหัวหน้าบาทหลวงของกลุ่มคุณหายหน้าไปเลยนี่ตอนปรมาจารย์หุ่นเชิดมุ่งหน้าไปยุโรป”


 


 


แล้วพระราชาคณะก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ปรมาจารย์หุ่นเชิดงั้นเหรอ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เขาไม่มีค่าพอจะให้สนใจหรอก อีกอย่างเราสนใจมากกว่าว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปรมาจารย์หุ่นเชิด เรื่องนั้นน่าสนุกกว่าเยอะ”


 


 


“อย่าใช้คำพูดสวยหรูมากลบความกลัวของตัวเองเลย” ฮาเวิร์ดพูดเยาะเย้ย “ผมละเกรงว่าคุณจะฉี่ราดไปก่อนถ้าปรมาจารย์หุ่นเชิดเปิดเผยตัวขึ้นมา”


 


 


ในตอนนี้การต่อสู้กันระหว่างผู้นำกลุ่มฟีนิกซ์ กลุ่มนักบุญ และปรมาจารย์หุ่นเชิดในแอฟริกาใต้นั้นโด่งดังไปทั่วโลก ถึงจะไม่มีใครขึ้นเป็นผู้ชนะ แต่ความแข็งแกร่งของกลุ่มนักบุญก็โด่งดังไปทั่ว ทำให้กลุ่มฟีนิกซ์มีอิทธิพลอย่างมากในเวทีต่อสู้ระดับประเทศ


 


 


พระราชาคณะส่ายหัวและยิ้มออกมาเล็กน้อย “สักวันหนึ่งนายจะเข้าใจว่าเราอยากยืนอยู่ตรงไหน แต่ว่ากันจริงๆ เลยนะ น่าอายมากที่กลุ่มฟีนิกซ์อันโด่งดังหวาดกลัวอาหารจีนแบบนี้น่ะ”


 


 


หลังจากที่เขาพูดจบ ฝ่ายศรัทธาก็เดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจกลุ่มฟีนิกซ์อีก พระราชาคณะมองขึ้นมาที่หลี่ว์ซู่แล้วยิ้มกว้างโชว์ฟันของเขา “เครือข่ายฟ้าเองก็เริ่มแย่แล้วเหมือนกันนะ”


 


 


แล้วเขาก็พาทั้งกลุ่มเดินไปที่วิลล่าที่ EO จัดหาไว้ให้ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วพวกเขาก็ได้กลิ่นแปลกๆ ลอยมาเตะจมูก แล้วอยู่ๆ ใครคนหนึ่งก็ตะโกนร้องโวยวาย “ศัตรูโจมตี!”


 


 


ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่ว์ซู่ก็เปลี่ยนไป…


 

 

 


ตอนที่ 643 จุดประกายดวงดาวดวงที่เจ็ด!

 

“ศัตรูโจมตี!” 


 


 


“อย่าเข้าไป! มันอาจมีพิษ!” 


 


 


กลิ่นนี้ช่างพิเศษไม่เหมือนใคร ไม่มีใครในฝ่ายศรัทธาเคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อน พวกเขาระแวดระวังแผนการจู่โจมขององค์กรอื่นมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่พวกเขาตกใจกับกลิ่นแปลกๆ แบบนั้น 


 


 


ทันใดนั้นพวกเขาก็ชักดาบออกมาจากใต้ผ้าคลุมเพื่อเตรียมโจมตี กระนั้นกลับไม่มีศัตรูหน้าไหนปรากฏตัวเลย มีแต่กล่องเต้าหู้เหม็นที่อยู่หลังประตูเท่านั้น… 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้พักผ่อนเลยหลังจากเหตุการณ์เต้าหู้เหม็นเมื่อคืน เนื่องจากองค์กรต่างๆ เข้าพักในวิลล่าเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าเขาจะเอาเต้าหูเหม็นไปวางที่ไหนก็คงกวนประสาทคนได้เหมือนๆ กัน เขาเลยเอากล่องเต้าหู้เหม็นไปวางในวิลล่าที่ยังไม่มีใครอยู่แทน… 


 


 


[ได้แต้มอารม์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +666!] 


 


 


[ได้แต้มอารม์จาก…] 


 


 


พวกเขาติดกับแบบเดียวกันกับที่กลุ่มฟีนิกซ์เจอ ทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งเยาะเย้ยไปแท้ๆ … ใครเป็นคนทำกันละเนี่ย น่ารังเกียจจริงๆ! 


 


 


กลุ่มของฮาเวิร์ดที่ยังเดินออกไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่หัวเราะเยาะเย้ยเมื่อได้เห็นฉากนั้น ถึงพวกเขาจะโดนแผนนี้ไปแต่ก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าคนอื่นโดนแบบเดียวกัน 


 


 


จากนั้นฮาเวิร์ดก็หมุนตัวกลับไป ใบหน้าดำทะมึน “ไปหาตัวคนทำมา” 


 


 


ที่จริงแล้วกลุ่มฟีนิกซ์นั้นสนใจอยากร่วมงานกับ EO มาก เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาสามารถแทรกซึมเข้าไปใน EO ได้ช้าๆ และควบคุมองค์กรนี้เสมือนหุ่นเชิดในท้ายที่สุด พวกเขาเคยทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว 


 


 


ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ชอบใจนักเมื่อใครที่ไหนไม่รู้มาทำให้แผนยุ่งเหยิงไปหมด 


 


 


กระนั้นก็ไม่มีใครสังเกตเลยว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่บนดาดฟ้าและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่แรก ตอนนี้หลี่ว์ซู่อารมณ์ดีมากๆ การโจมตีด้วยเต้าหู้เหม็นครั้งนี้ช่วยให้เขารวบรวมแต้มอารมณ์สำหรับกลุ่มดาวกลุ่มที่สามสำเร็จจนได้ เยี่ยมไปเลย! 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินกลับห้องตัวเองแล้วแลกผลดวงดาวมา เขารออย่างใจเย็นขณะที่ดวงดาวดวงที่เจ็ดค่อยๆ ส่องประกาย อยากรู้จังว่ากระบี่บินเล่มที่สามจะเป็นอย่างไร หลี่ว์ซู่คาดหวังด้วยความตื่นเต้น 


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่มีกระบี่บินเพียงแค่เล่มเดียวกันเพราะพวกเขาไม่ได้มีพลังมากขนาดนั้น แถมกระบี่บินก็ยังหายากอีกด้วย สำหรับพวกที่อยู่ในหอเกียรติกระบี่ พวกเขาไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักเพราะพวกเขาสามารถใช้สายกระบี่มุ่งมั่นได้ ถึงจะสร้างกระบี่แบบนั้นออกมาได้ก็ไม่มีใครไปเอาขุมทรัพย์แห่งฟ้าดินมาเป็นที่ใส่กระบี่นั้นได้หรอก และนั่นก็เป็นต้นกำเนิดของกระบี่บินหยกขาวของหลี่เสียนอี 


 


 


อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่เองก็ไม่ต้องใช้ความพยายามหรือต้องใช้ทรัพยากรใดๆ ในการบำรุงรักษากระบี่ของเขา 


 


 


นอกจากนี้กระบี่ของเขายังใช้ได้ตามปกติอีกด้วย เพราะฉะนั้นยิ่งมีกระบี่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น 


 


 


ผลดวงดาวได้เปลี่ยนเป็นพลังดวงดาวเรียบร้อยแล้ว มันวิ่งเข้าไปในตัวหลี่ว์ซู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมุนวนเหมือนกับกาแล็กซีที่กวาดเอาดวงดาวที่ถูกจุดประกายเข้าไป แต่แล้วก็ดูจะมีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นตอนจุดประกายกลุ่มดาวที่สองสำเร็จ ดวงดาวดวงที่เจ็ดของกลุ่มดาวที่สามไม่หมุน แล้วก็ไม่ได้ส่องประกายสว่างที่สุดด้วย 


 


 


งั้นก็แปลว่าหลี่ว์ซู่ยังเลื่อนระดับไม่สำเร็จ! 


 


 


กระบี่เจ็ดเล่มที่ชื่อว่า กระบี่ซือโก่ว กระบี่ฝูฉื่อ กระบี่เชวี่ยอิน กระบี่ทุนเจ๋ย กระบี่เฟยตู๋ กระบี่ฉูซุ่ย และกระบี่โช่วเฟ่ย เป็นกระบี่ที่จะตอบสนองกับสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ทั้งความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรัก ความเกลียดชัง และความปรารถนาตามลำดับ งั้นครั้งนี้เขาคงต้องประสบกับอารมณ์เศร้าแน่ๆ 


 


 


จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็หยิบเอาอาวุธสามง่ามออกมาจากตราแผ่นดินและหักมันออกเป็นสองท่อนอย่างเด็ดขาด… 


 


 


ทว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่ว์ซู่เม้มปากด้วยความสับสน “อะไรเนี่ย ฉันก็เศร้าแล้วนะ…” 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดอย่างหนักว่าจะผ่านการเพิ่มพลังนี้ไปได้อย่างไร สำหรับเขาแล้วการสูญเสียของของตัวเองไปนั้นเศร้าที่สุดแล้ว 


 


 


ไม่มีอะไรถเทียบการเลื่อนระดับได้เลย เขาต้องผ่านไปให้ได้ด้วยตัวเอง… 


 


 


แต่ทำไมพลังของเขายังไม่เพิ่มขึ้นล่ะ หอกสามง่ามนั่นก็หักไปแล้วนะ! หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด หรือเป็นเพราะ…เขายังเศร้าไม่พอเหรอ! 


 


 


หลี่ว์ซู่หักหอกสามง่ามอีกสี่เล่มด้วยน้ำตานองหน้า เล่มแรกอุทิศให้ดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้าในยามเช้า อีกเล่มให้ดวงจันทร์ อีกเล่มให้บ้านเกิด และเล่มนี้มอบให้กับความฝันของเขา… 


 


 


นี่มันเจ็บปวดใจมากนะ! แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มดาวที่สามอยู่ดี! 


 


 


เฮอะ! แม้แต่ความสามารถการบำเพ็ญของเขาก็ไว้ใจไม่ได้แล้วเหรอ… 


 


 


หลี่ว์ซู่โยนหอกสามง่ามหักๆ กลับเข้าไปในตราแผ่นดิน หวังว่าโกลาหลลูกชายเขาจะยอมหม่ำหอกหักๆ นะ… แต่ถึงยังไง จะหักหรือไม่หักก็ไม่น่าต่างอะไรกันเท่าไหร่ อย่างบิสกิตแตกๆ หรือช็อกโกแลตแตกๆ หรือต่อให้เป็นข้าวเกรียบกุ้งแตกๆ ก็ยังกินได้อยู่ เพราะงั้นก็คงเหมือนกันนั่นแหละ 


 


 


เหมือนที่สุภาษิตจีนว่าไว้ละนะ ลูกสาวต้องเลี้ยงดูด้วยของมีค่ามีราคา แต่ลูกชายไม่ต้อง เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ควรตามใจโกลาหลมาก มันต้องยอมรับอะไรที่เขามีอยู่ให้ได้ 


 


 


พอคิดได้ดังนั้น หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกดีขึ้นมาทันตาเห็น เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีเก่งอยู่แล้ว 


 


 


กลับมาที่คำถามเดิม หลี่ว์ซู่สงสัยว่าเขาอาจจะจำลำดับผิด หรือกระบี่ลำดับที่สามจะไม่ใช่กระบี่เชวี่ยอินแต่เป็นอย่างอื่นกันนะ 


 


 


แต่เขาจะรู้ได้ไงละว่ามันคืออะไร! อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะกระตุ้นอารมณ์อื่นของตัวเองได้ยังไงด้วย! 


 


 


แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยเหรินเซิงร้องเรียกเขาจากด้านนอก “หลี่เถิง มารวมกันชั้นล่าง เดี๋ยวเราต้องไปเจรจาขั้นต้นกับ EO” 


 


 


“ได้ กำลังไปแล้ว!” หลี่ว์ซู่ทำอารมณ์เป็นปกติและรีบลงไปข้างล่าง 


 


 


พอเขาลงมาข้างล่างแล้วก็ได้ยินหลินกานอวี่กำลังพูดกับทุกคน “การเจรจาขั้นต้นนั้นสำคัญเหมือนกัน หวังว่าทุกคนจะช่วยทำให้เราสามคนทำงานอย่างราบรื่นนะ อย่าไปก่อเรื่องเสียล่ะ” 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงเอ่ยเสริม “เมื่อคืนมีคนพยายามจะปั่นหัวองค์กรต่างๆ รวมถึงพวกเราด้วย แต่ยังดีที่แผนของเขาถูกเปิดโปงแล้ว อย่าลืมระวังการกระทำและคำพูดก่อนที่กองกำลังเสริมจะมาถึงนะ เราคงพอจะทำอะไรตามใจได้บ้างถ้าพวกเขามาอยู่กับพวกเราแล้ว” 


 


 


ขนาดผู้บำเพ็ญลับยังทำตัวกันดีๆ เลย เอาจริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเพราะมีระดับ C แค่คนเดียวในกลุ่ม แต่กลุ่มอื่นๆ มีหัวหน้าเป็นระดับ B กันทั้งนั้น แล้วก็มีใครคนหนึ่งพูดออกมาเบาๆ “ใครจะมาเป็นกองเสริมกลุ่มเราเหรอครับ” 


 


 


“ราชันฟ้าสักคนหนึ่งนี่แหละ มีระดับ B อยู่ไม่มากนี่นา เดาง่ายออก” ใครคนหนึ่งตอบขึ้นมาอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาจะได้ทำงานกับราชันฟ้า 


 


 


“องค์ท่านจะมาไหมนะ ฉันว่าเขาเหมาะกับงานนี้เลยแหละ” 


 


 


“เครือข่ายฟ้าดินไม่น่าจะส่งระดับ A มานะ ราชันฟ้าระดับ A สำคัญมาก ถ้าส่งมาทำอะไรแบบนี้คงเสียเกียรติแย่ ฉันว่าก็คงเป็นองค์ท่านแหละ เพราะท่านเป็นคนรับผิดชอบเรื่องงานต่างประเทศนี่” 


 


 


“แล้ว…ท่านที่เคารพล่ะ” อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งพูดขี้นมา “ท่านที่เคารพเองก็มาจากเครือข่ายฟ้าดินด้วยไม่ใช่เหรอ คงเจ๋งน่าดูถ้าเขามา ลุงๆ ที่ตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 บอกว่าท่านที่เคารพใจดีกับผู้บำเพ็ญลับมากนะ ถึงจะปากไม่ดีแล้วก็อารมณ์เสียง่ายก็เถอะ ว่ากันว่าท่านที่เคารพน่ะช่วยหาเงินได้เยอะเลย แต่องค์ท่านน่ะทำไม่ได้” 


 

 

 


ตอนที่ 644 การเจรจาถูกยกเลิกชั่วคราว

 

การเจรจาจะไม่ได้จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ EO แต่จัดที่เขตชานเมืองในพื้นที่ทุรกันดาร EO คงคิดว่าพวกผู้เชี่ยวชาญฝีมือดีทั้งหลายอาจลงมือทำลายสำนักงานใหญ่ของ EO ได้หากทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่พวกเขาหวังไว้ 


 


 


ไม่สำคัญหรอกว่าใครจะเป็นคนชนะ เพราะถ้า EO เกิดถูกเป่ากระจุยเพราะเหตุนี้คงน่าอายมากเชียวล่ะ 


 


 


ถึงแม้องค์กรใหญ่ๆ จะทำลายสำนักงานใหญ่ของ EO แต่แล้วมันยังไงละ EO นั้นแข็งแกร่งมาก ในแอฟริกาใต้ไม่มีองค์กรใดมียอดฝีมือระดับ B มากถึงสองคนเช่นเดียวกับพวกเขาอีกแล้ว แต่ปัญหาคือระดับ B สองคนที่ว่าคงสู้พวกองค์กรใหญ่ๆ ไม่ได้น่ะสิ 


 


 


EO นั้นหวังพึ่งองค์กรใหญ่ในการตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เป็นเหตุผลที่พวกเขาเชิญองค์กรใหญ่ทั้งสิบเอ็ดองค์กรมาเพื่อพูดคุยคราวนี้ ถ้ามีองค์กรไหนต้องการผูกขาดแร่ไว้แต่เพียงผู้เดียวแล้ว องค์กรใหญ่ที่เหลือก็จะช่วยกันขับไล่องค์กรนั้นออกไป พวกเขาไม่ยอมให้คู่แข่งที่มีพลังอำนาจเท่าๆ กันมาเอาเปรียบพวกเขาได้หรอก 


 


 


ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ EO ซึ่งเป็นกลุ่มที่องค์กรใหญ่ทั้งหลายสามารถโค่นทิ้งได้ง่ายๆ จึงต้องเลือกรับบทเป็นกันชนและพ่อค้าคนกลางนั่นเอง แน่อยู่แล้วว่าในอนาคตทุกองค์กรอยากฮุบ EO เอาไว้เป็นของตน กระนั้นกลุ่ม EO ก็น่าจะประสบความสำเร็จได้โดยไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ก็คงได้มีฉากตื่นเต้นเหมือนเดินอยู่บนลวดบางๆ ที่ขึงไว้หน่อยล่ะ 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าหัวหน้าของ EO ใจกล้าบ้าบิ่นมาก เขาไม่ได้แค่ร้องขอหนังเสือจากเสือ [1] เท่านั้น แต่เขาไปร้องขอกับเสือถึงสิบเอ็ดตัวเลยละ 


 


 


ในองค์กรทั้งสิบเอ็ดนั้นมีฝ่ายศรัทธา กลุ่มฟีนิกซ์ และเครือข่ายฟ้าดินที่มีอำนาจในการต่อรองมากที่สุดเพราะเป็นองค์กรมียอดฝีมือระดับ A อยู่ พวกเขาถือเป็นผู้มีอำนาจชั้นยอดเลย 


 


 


แต่มีสิ่งหนึ่งที่องค์กรอื่นไม่เข้าใจ ที่จริงแล้วเครือข่ายฟ้าดินน่าจะเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งกว่าองค์กรไหนๆ แต่ทำไมกลุ่มเจรจาของพวกเขาถึงได้ดูอ่อนแอจังละ 


 


 


ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้ากันออกไป เซี่ยเหรินเซิงก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายไม่กลัวเลยนะหลี่เถิง ดูนายจะตื่นเต้นมากกว่าด้วยที่จะได้ไปน่ะ…” 


 


 


“ผมยังไม่เคยเห็นการเจรจาระดับใหญ่เท่านี้มาก่อนเท่านั้นเอง” หลี่ว์ซู่พูดและหัวเราะอย่างร่าเริง 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงคิดว่าว่าหลี่เถิงไม่ได้ไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้น แต่หลี่เถิงเป็นคนคิดเป็นต่างหาก เขาพาหลินกานอวี่ หลิวฝาน และคนอื่นๆ ไปที่ชายเมืองในพื้นที่ทุรกันดาร หลี่ว์ซู่มองดูทิวทัศน์รอบตัว ถ้าพวกเขาเกิดสู้กันที่นี่จริงๆ เขาต้องรู้ทิศทางต่างๆ ว่าควรมุ่งหน้าไปทางไหน ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีกลุ่มไหนสามารถประจันหน้ากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับ B แบบซึ่งๆ หน้าหรอก 


 


 


ตัวเขาเองไม่เป็นไรหรอก แต่หลินกานอวี่ หลิวฝาน และคนอื่นๆ อาจตายได้ ขนาดเซี่ยเหรินเซิงที่มีพลังระดับ C ก็ไม่น่าจะรอดเหมือนกัน 


 


 


กลุ่ม EO ก่อตั้งช่วงปลายของศตวรรษที่ยี่สิบซึ่งยังเป็นช่วงที่พลังทางจิตวิญญาณขาดแคลน พวกเขาก่อตั้งตัวเองเป็นองค์กรทหารรับจ้างในแอฟริกาใต้ พวกเขามีความสามารถและความแข็งแกร่งเพราะเคยเป็นทหารกันมาก่อน 


 


 


พอเข้าสู่ช่วงที่มีพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น เบ็นเนตต์ หัวหน้ากลุ่ม EO และสมาชิกคนสำคัญหลายๆ คนก็ปะทุพลังขึ้น และเนื่องจากแอฟริกาไม่ได้มีจำนวนผู้บำเพ็ญมากนัก พวกเขาจึงสามารถควบคุมพื้นที่นี้เอาไว้ได้ 


 


 


แต่ด้วยสาเหตุนี้เอง EO จึงรักษาองค์กรของตนเองได้ยากไปด้วย มีแค่ครอบครัวของเบนเน็ตต์เท่านั้นที่ครอบครองเคล็ดการฝึกบำเพ็ญเอาไว้ เคล็ดวิชาเหล่านี้อาจใช้อะไรมากไม่ได้ในช่วงที่พลังจิตวิญญาณขาดแคลน แต่พอเข้าสู่ช่วงพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้ว เคล็ดวิชานี้ก็ส่องประกายคุณค่าขึ้นมา 


 


 


EO มีค่ายทหารของตนเองไว้ขัดเกลาเยาวชนหนุ่มทั้งหลาย ทั้งนี้ก็เพราะเบ็นเนตต์ไม่มีวิธีอื่นในการเลือกพวกที่มีความสามารถและฝึกพวกเขาให้เป็นผู้บำเพ็ญที่ง่ายกว่านี้แล้ว 


 


 


เพราฉะนั้นการที่ EO มีอำนาจขึ้นมาได้นั้นจึงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ กระนั้นนี่ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ หลี่ว์ซู่หยุดและอ่านข้อมูลที่สือเสวจิ้นส่งมาให้ โทรศัพท์มือถือที่เขาได้มาจากเครือข่ายฟ้าดินนั้นมีข้อมูลมากกว่าที่เซี่ยเหรินเซิง หลินกานอวี่และคนอื่นๆ มีเสียอีก 


 


 


ข้อมูลที่เขาได้มาเล่าถึงชีวิตวัยเด็กของเบ็นเนตต์เอาไว้ด้วย อย่างตอนที่เขาอายุได้สิบสามปี เขาทะเลาะวิวาทกับเพื่อนในห้องและใช้ดินสอแทงตาเพื่อนคนนั้นจนบอด เขาจึงต้องเดินทางไปต่างประเทศและประกอบอาชีพทหารรับจ้าง หลังจากยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้ว EO ก็ไม่ได้หารายได้เข้าองค์กรเพียงอย่างเดียว พวกเขายังมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานกว่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ชั่วร้ายที่สุดในประเทศ 


 


 


มีวิดิโอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่ม EO ที่แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมยามว่างของพวกเขาด้วย ในวิดิโอนั้น เบ็นเนตต์สวมหมวกทหาร สีหน้าของเขาเย็นชาและเ**้ยมเกรียม เขากำลังบรรยายให้กับคนอื่นๆ ฟังอยู่ คนที่แอบถ่ายวิดิโอนี้มาเป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมการฝึกทหารด้วย 


 


 


และเครือข่ายฟ้าดินก็ส่งวิดิโอนี้มาให้หลี่ว์ซู่ 


 


 


แต่เขาไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเบ็นเนตต์ในตอนนี้ได้เลย 


 


 


เขากำลังคิดถึงอีกปัญหาอยู่ว่าจะหาแต้มอารมณ์มาได้ด้วยวิธีไหน ถ้าหาไม่ได้ การมาต่างประเทศคราวนี้ก็เรียกได้ว่าเปล่าประโยชน์! ตอนนี้เขาติดอยู่ที่การจุดประกายกลุ่มดาวกลุ่มที่สามและไม่สามารถใช้แต้มอารมณ์ของตัวเองด้วย น่าปวดหัวจริงๆ! 


 


 


แต่เดี๋ยวก่อนนะ หลี่ว์ซู่คิดออกแล้วว่าจะใช้แต้มอารมณ์อย่างไรดี เอาไปแลกผลชี่ไห่ไงล่ะ! 


 


 


เขาได้ขุดภูเขาพลังเพื่อสร้างจิตวิญญาณกระบี่แล้ว ภูเขาพลังแห่งที่สองของเขายังไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาเลย เขาเลยจะใช้แต้มอารมณ์ที่ได้มาเพิ่มนี้เพื่อไปแลกผลชี่ไห่และเร่งการเลื่อนระดับซะ! 


 


 


ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณกระบี่ของเขาจะไม่ได้มีพลังการโจมตีมาก แต่มันก็ยังช่วยสนับสนุนการโจมตีได้อยู่ 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าไหนๆ เขาก็ติดแหง่กอยู่กับการจุดประกายกลุ่มดาวที่สามแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหาแต้มอารมณ์มาเพิ่มอีก แต่ตอนนี้เขาสามารถใช้แต้มอารมณ์เพื่อแลกผลชี่ไห่และสร้างจิตวิญญาณกระบี่ได้นี่นา 


 


 


ตอนนี้พวกเขาก็มาถึงที่หมายกันแล้ว ตัวแทนของแต่ละองค์กรกำลังรอกันอยู่ พวกเขาเว้นระยะห่างจากตัวแทนขององค์กรอื่นๆ และรอเพียงแค่เบ็นเนตต์ที่เป็นหัวหน้าของกลุ่ม EO และคนอื่นๆ เซี่ยเหรินเซิงเอ่ยเตือนพวกเขาเบาๆ อีกรอบ “จำที่บอกไว้ด้วยละ ระวังการกระทำและคำพูด แล้วก็… เดี๋ยวนะ หลี่เถิงหายไปไหนล่ะ!” 


 


 


พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้ตามพวกเขามาด้วย และในขณะที่ทุกคนกำลังรออยู่นั้น จู่ๆ โทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมของพวกเขาก็ดังขึ้นพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง ฮาเวิร์ดขมวดคิ้วก่อนกดรับโทรศัพท์ เขาตกใจมาก “นายบอกว่ามีใครที่ไหนก็ไม่รู้เกือบจะทำลายสำนักงานใหญ่งั้นเหรอ! ใครทำกัน!” 


 


 


“แกะรอยคนร้ายไม่ได้งั้นเหรอ มีผู้บำเพ็ญระดับ B ตั้งสองคนแท้ๆ แต่ก็ยังแกะรอยคนร้ายไม่ได้เนี่ยนะ! เบ็นเนตต์อยู่ไหน!” 


 


 


หลังจากที่ถามคำถามกันไปมา พวกเขาก็ได้รู้ว่าผู้บำเพ็ญระดับ B ทั้งสองคนกับเบ็นเนตต์กำลังเดินทางมาเจรจาที่นี่ เลยไม่มีใครคอยเฝ้าสำนักงานใหญ่ไว้ และสำนักงานใหญ่ก็ถูกทิ้งไว้แบบนั้น ปราศจากการปกป้องใดๆ ทั้งสิ้น 


 


 


และในขณะนั้นก็มีใครบางคนวิ่งพล่านไปทั่วและถือภูเขาลูกเล็กเอาไว้ในมือ เขาขว้างภูเขาลูกนั้นไปที่สำนักงานใหญ่ของ EO ทำให้อาคารเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่… 


 


 


เบ็นเนตต์ละผู้บำเพ็ญระดับ B อีกสองคนที่กำลังมุ่งหน้ามาที่สถานที่เจรจาจึงต้องวกตัวกลับไปที่สำนักงานใหญ่ของพวกเขาอย่างกะทันหัน ตามรายงานพบว่าคนร้ายเป็นคนผิวขาว และตอนนี้เขาก็ได้หายวับไปแล้ว 


 


 


ตอนที่มีคนบอกว่าคนก่อเหตุเป็นชายผิวขาว ทุกคนต่างก็คิดไปถึงตัวการคดีเต้าหู้เหม็น มีคนบอกว่าคนร้ายคราวนี้กับคนร้ายที่ขว้างเต้าหู้เหม็นน่าจะเป็นคนเดียวกัน 


 


 


ด้วยเหตุนี้การเจรจาจึงถูกยกเลิกไปชั่วคราว ต้องมีองค์กรอื่นๆ ที่อยากขัดขวางการเจรจานี้แน่ๆ … 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฮาเวิร์ด มิลเลอร์ +666!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเซี่ยเหรินเซิง +666!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +666!] 


 


 


สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที พวกเขาจะหาตัวการมาให้ได้แล้วลงโทษเขาซะ! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] สำนวนจีน แปลว่าขอให้คนที่มีนิสัยเ**้ยมเกรียมชั่วร้ายทำอะไรบางอย่างที่ขัดกับความต้องการของคนคนนั้น 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม