เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 637-644

 ตอนที่ 637 มีเรื่องในใจหรือ


 


 


ในห้องเรียนที่ระเกะระกะเหลือเพียงอาจารย์ที่กำลังโมโหเท่านั้น


 


 


ยามอาจารย์ของสำนักเต๋อซั่นไปรายงานเรื่องนี้ ฉินเย่หานอยู่ในห้องทรงอักษรพอดี ส่วนด้านข้างยังมีขุนนางจำนวนไม่น้อย พวกเขากำลังยืนหารือเรื่องราชการอยู่


 


 


ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ใบหน้าของทุกคนก็กระตุกอย่างห้ามไม่ได้


 


 


คนที่กล้าบ้าบิ่นมากที่สุดเช่นนี้ทั้งใต้หล้ามีเพียงซูหลีเท่านั้น!


 


 


ก่อนหน้านี้พวกเขายังชมนางอยู่เลย กล่าวว่านางสร้างคุณงามความดีให้กับราชวงศ์ต้าโจว โดยการควบคุมยับยั้งโรคระบาดเอาไว้ได้


 


 


ในเวลานี้กลับก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เอ่ยชมซูหลีเหล่านั้นแทบจะตบปากตนเองสักสองฉาด


 


 


ใครใช้ให้เจ้าปากมาก!


 


 


ฉินเย่หานคิดอย่างไร ซูหลีไม่รู้ เพียงนำคนกลุ่มนี้ในสำนักเต๋อซั่นไปที่หอหร่วนเซียง


 


 


วันนี้พวกเขาไม่ได้ขี้ขลาดถึงขนาดนั้น ในเมื่อชื่นชอบแม่นางทั้งหลาย นางก็พาพวกเขามาหาแม่นาง


 


 


เพราะยังเป็นช่วงกลางวัน หอหร่วนเซียงยังไม่เปิดร้านก็ถูกเคาะประตูเสียแล้ว


 


 


คนที่มาเยือนเป็นคนกลุ่มหนึ่ง


 


 


เด็กรับใช้ที่เปิดประตูเดิมที่ดวงตาทั้งสองข้างแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งเข้ามา เขายังคิดว่าร้านของพวกเขาทำเรื่องอะไรผิดแล้ว เขาจึงรู้สึกตกใจไปครู่หนึ่ง


 


 


คิดไม่ถึงว่าเหล่าคุณชายในสำนักเต๋อซั่นจะออกมาหาความสุขใส่ตัวกันในเวลาเช้าเช่นนี้


 


 


ในเวลานั้นเด็กรับใช้ถึงอ้ำอึ้งตาค้างไป ทว่าเขาอ้ำอึ้งได้ไม่นาน ถูกแท่งทองคำของซูหลีดึงสติกลับมา


 


 


“ไปสิ ไปเรียกแม่นางในหอหร่วนเซียงของพวกเจ้าออกมาให้หมด วันนี้ข้าจะเหมาทั้งหมดนี่เอง!” ทันทีที่ใบหน้าเล็กของซูหลีเชิดขึ้น ก็เปิดปากเอ่ยทันทีว่าจะเหมาหอหร่วนเซียง


 


 


“ขอรับๆๆ” มีเงินหารายได้ ใครไม่ทำก็คือเป็นคนเขลาแล้ว เด็กรับใช้ผู้นั้นขานรับติดต่อกันทันที จากนั้นจึงเข้าไปด้านในและตะโกนปลุกแม่นางในหอหร่วนเซียงทั้งหมดให้ตื่นขึ้น


 


 


ทันใดนั้นหอโคมเขียวที่ไม่เคยเปิดยามกลางวันก็คึกคักขึ้นเป็นอย่างมาก


 


 


ความคึกคักทางด้านนี้ยาวนานต่อเนื่องไปตลอดทั้งวัน เหล่าแม่นางในหอบุปผาก็ต้องใช้ลูกไม้ทั้งหมดที่มี ทั้งขับร้องทั้งเต้นระบำก็ยังไม่รื่นเริง จนถึงช่วงสุดท้ายซูหลีคว้าแม่นางผู้หนึ่งเข้ามาในอ้อมกอด เตรียมหยิบสุราป้อนแม่นางผู้นั้น


 


 


นางที่ถูกคนโดยรอบหัวเราะเยาะและกล่าวว่า ใบหน้าของนางนั้นมีกลิ่นอายของสตรีมากกว่าแม่นางผู้นั้นเสียอีก พฤติกรรมเช่นนี้มากระทำออกมากลับให้ความรู้สึกถึงความขัดแย้งไม่เข้ากัน


 


 


ซูหลีหาได้สนใจแม้แต่น้อย นางเพียงคิดว่าคนเหล่านี้กำลังชื่นชมนาง และฉีกยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา


 


 


ในมือฉินมู่ปิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลถือจอกชาเอาไว้อยู่ เขาจ้องมองซูหลีตาไม่กะพริบ


 


 


ซูหลีนั้นอยู่ในความฮึกเหิมเช่นนี้ตลอดทั้งวัน เห็นได้ชัดว่านางไม่แตะสุราแม้แต่หยดเดียว ทว่ากลับบ้าคลั่งยิ่งกว่าคนที่ดื่มสุราเสียอีก


 


 


แม้ในยามปกตินางชอบก่อเรื่องวุ่นวาย ทว่าก็ไม่เคยถึงจุดนี้


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉินมู่ปิงมองกิริยาท่าทางของนางแล้ว กลับรู้สึกได้ว่านางไม่มีความสุขมากนัก อีกทั้งยังดูเหมือนอารมณ์หดหู่


 


 


ซูหลีในเวลานี้ทั้งกระโดดโลดเต้น ทำให้ทุกคนดูแล้วล้วนรู้สึกว่าฉินมู่ปิงคิดมากเกินไป ทว่าน่าแปลกมากที่เขารู้สึกเช่นนี้


 


 


รอยยิ้มของนางดูเหมือนจะไม่ถึงดวงตา


 


 


ตำแหน่งเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง มีขุนนางจำนวนมากที่คลุกคลีอยู่ในสนามขุนนางเป็นเวลาหลายสิบปีก็ยังไปไม่ถึงระดับสูงนี้ได้ ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางแล้ว นางก็ยังไม่มีความสุขหรือ นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน


 


 


ที่จริงแล้วฉินมู่ปิงรู้สึกว่าเมื่อวานต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน ทว่ารายละเอียดของเรื่องเป็นอย่างนั้น เขาก็มองไม่ออกเช่นกัน


 


 


จนกระทั่งตกดึกคนภายในหอหร่วนเซียงต่างพากันแยกย้ายกลับไปแล้ว วันนี้แม้แต่จี้ฉินกับเซี่ยเสียนก็ยังเมาสุราแล้ว ซูหลีสั่งให้คนไปส่งพวกเขาที่สำนักเต๋อซั่น ทำให้ภายในที่นี่เงียบสงบลง


 


 


เมื่อตกอยู่ในความเงียบ รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหลีก็ค่อยๆ เลือนหายไป


 


 


“เป็นอะไรรึ มีเรื่องในใจหรือ” มีเสียงที่เต็มไปด้วยความทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ซูหลีผงะไปเล็กน้อย นางหันศีรษะกลับมองก็พบกับฉินมู่ปิงที่ยืนอยู่ด้านหลังนาง


 


 


ในดวงตาของเขามีความคลุมเครือ ดวงตาคู่หนึ่งวูบไหวเมื่อเขายืนอยู่ในความมืด จึงกลมกลืนเหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 638 เชิญไปดื่มชา


 


 


ซูหลีมองเขาอยู่นาน จากนั้นจึงหรี่ตาของตนลง


 


 


ฉินมู่ปิงในเวลานี้กับฉินมู่ปิงที่นางเคยใกล้ชิดเมื่อหนึ่งปีก่อน มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก


 


 


ที่จริงเขาไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก ทว่าซูหลีเพียงมองที่ดวงตาคู่นั้นของเขา ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง นี่เป็นสิ่งที่นางรู้สึกได้


 


 


ใบหน้าของนางวูบไหวเล็กน้อย ที่จริงถึงแม้นางจะอารมณ์ไม่ดีนัก แต่ก็แค่รู้สึกหดหู่บ้างก็เท่านั้น


 


 


ข้อแรกคือนางชื่นชอบบรรยายของสำนักเต๋อซั่นมาก แม้บัดนี้จะหลุดพ้นจากสำนักเต๋อซั่นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรในใจนางก็รู้สึกผิดหวัง ข้อสอง…ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงก่อนหน้านี้


 


 


ที่จริงแล้วซูหลีทราบดีว่า ฝ่าบาททรงมิได้ลงโทษนาง อีกทั้งยังหลับตาข้างลืมตาข้างต่อเรื่องของนาง ฝ่าบาทยังแต่งตั้งนางเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่า นี่เป็นเรื่องดีเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ทว่าสิ่งที่ซูหลีไม่ทราบอย่างชัดเจนก็คือ นี่เป็นเพราะนางมีความสามารถโดนเด่นกว่าผู้อื่น ถึงได้ตำแหน่งเซ่าซือนี้ หรือ…เป็นเพราะนางใช้ร่างกายของตนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกัน


 


 


ที่จริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะไปถึงต้นต่อ เพียงแต่บางครั้งเมื่อซูหลีครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ในใจก็ไม่สบายเท่าไรนัก


 


 


ชีวิตของสองชาติก่อนของนางรวมกัน เรื่องที่นางไม่เคยทำที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่องกามตัณหาปรนนิบัติผู้อื่น บัดนี้หากเป็นเพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้ได้ตำแหน่งเซ่าซือนี้แล้วละก็ อย่างไรในใจนางก็คงรู้สึกเกลียดชังไม่มากก็น้อย


 


 


เพราะว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกในใจของนาง นางไม่ได้เอ่ยกับใครทั้งสิ้น แม้แต่สาวใช้ข้างกายทั้งสองที่ใกล้ชิดกับนางที่สุดก็ยังไม่รู้


 


 


ฉินมู่ปิงพลันเอ่ยประโยคเช่นนี้ขึ้น ทำให้ซูหลีตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


“เวลาก็ยังเช้าอยู่ ไม่รู้ว่าใต้เท้าซูมีเวลาไปดื่มชากับข้าหรือไม่” ซูหลีไม่พูดอะไรออกมา ฉินมู่ปิงเห็นดังนั้นจึงก้าวเท้าออกมาจากความมืด และถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงดึงสติกลับมาทันที นางเหลือบตามองไปที่เขา ในดวงตามีความคลุมเครือและเอ่ยว่า “ในเมื่อซื่อจื่อมีความสนใจเช่นนี้ แน่นอนว่าซูหลีไม่ปฏิเสธน้ำใจ”


 


 


ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ซูหลีมีความสงสัยฉินมู่ปิงบางเรื่องมาโดยตลอด ทว่าพบปะกันนานถึงขนาดนี้แล้ว ฉินมู่ปิงก็ยังไม่หลุดพิรุธอะไรออกมา นางก็ไม่ได้สืบสวนต่อ


 


 


เพียงแต่จู่ๆ ฉินมู่ปิงก็เรียกนางในสถานการณ์เช่นนี้ อีกทั้งยังใช้สีหน้าเช่นนี้ต่อนางอีก ซูหลีอดคิดมากไม่ได้


 


 


ขณะนี้ก็ยังถือว่าเช้าอยู่ อีกทั้งเห็นสีหน้าที่เปิดเผยของฉินมู่ปิง ซูหลีก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร อย่างไรวันนี้นางก็พาชุยตานออกมาด้วย


 


 


“เชิญเถิด” ฉินมู่ปิงเหลือบตาขึ้นมองนางครู่หนึ่ง มีประกายความลุ่มลึกเป็นอย่างมากพาดผ่านในดวงตา


 


 


ซูหลีผงะเล็กน้อย มองที่เขาอยู่พักหนึ่งแล้วผงกศีรษะตามเขาเดินออกจากหอหร่วนเซียงไป


 


 


หลังจากฉินมู่ปิงพาซูหลีออกไปแล้ว กลับไม่ได้พานางไปที่เงียบสงบอะไรนัก ทันทีที่เขาหมุนกายก็ไปที่หอสุยอวิ๋นที่ครึกครื้นที่สุด และสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์หาห้องรับรองส่วนตัวสักห้อง จากนั้นนำซูหลีเข้าไปด้านใน


 


 


“ไปเอาปี้หลัวชุนชั้นดีมาก่อนหนึ่งกา” ฉินมู่ปิงมองไปทางเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นด้วยแน่วแน่ กิริยาท่าทางดูสบาย เป็นตัวของตัวเอง คล้ายกับเชิญซูหลีมาดื่มชาเท่านั้นก็มิปาน


 


 


เพียงแต่ในใจของซูหลีทราบดีว่า หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ฉินมู่ปิงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ บัดนี้จู่ๆ กลับมาหานาง ทั้งยังเลือกเวลานี้อีก เขาจักต้องมีอะไรต้องการพูดกับนางแน่


 


 


เพียงแต่เขาไม่ปริปากพูด นางก็ไม่ชิงถามก่อนเช่นกัน


 


 


คนที่ต้องการพูดอะไรบางอย่างคือฉินมู่ปิง ไม่ใช่นางเสียหน่อย


 


 


“จะว่าไปแล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเรามาที่หอสุยอวิ๋น ทว่ากลับไม่เคยลิ้มรสชิมชาของที่นี่ วันนี้ใต้เท้าซูก็มาลิ้มรสเสียหน่อยเถิด แม้หอสุยอวิ๋นจะเป็นหอสุรา ทว่าน้ำชาก็เป็นที่หนึ่ง!”


ตอนที่ 639 มีอะไรก็เอ่ยตามตรง


 


 


หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ยกกาน้ำชาและจอกชาสองใบที่มีความงดงามประณีตวางลง จากนั้นหมุนกายเดินออกไป ตอนก้าวออกนอกประตูจึงใช้มือจับประตูห้องรับรองและปิดลง


 


 


ทันทีที่ประตูห้องปิด ฉินมู่ปิงก็เปิดปากเอ่ย เพียงแต่การพูดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ดูเหมือนกับเป็นคำพูดที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นสีหน้ากลับสงบเยือกเย็น เพียงแต่เหลือบตาเห็นริมฝีปากของฉินมู่ปิงที่ยิ้มแย้ม เขารินชาจอกหนึ่งให้ซูหลีอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นจึงดันจอกชาจอกนั้นไปทางซูหลี


 


 


“ลองชิมดูสิ” เขายกมือขึ้น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม


 


 


ฉินมู่ปิงในเวลานี้กลับดูสง่าผ่าเผย ไม่เหมือนกับกิริยาท่าทางที่ไม่เอาถ่านในยามปกตินั้นเลย ช่างดูแตกต่างกันมาก นี่กลับทำให้เขามีกลิ่นอายของผู้สืบสายราชนิกุลขึ้นมาหลายส่วนโดยแท้ เพียงแค่เวลาในพริบตาเดียวกลับเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์


 


 


ในเวลานี้หากมีผู้อื่นอยู่ละก็ เกรงว่าคงจะตกใจจนแม้แต่คางก็ยังร่วงหล่นลงมา


 


 


อย่างไรยามที่ฉินเย่หานอยู่ภายนอก เขาก็มักจะใช้กิริยาท่าทางเยาะเย้ยถากถางสังคมปฏิบัติต่อทุกคน


 


 


ทว่ายังดีที่แม้ซูหลีจะรู้สึกตกใจ ทว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีการคาดคะเนต่างๆ นานา ดังนั้นใบหน้าของนางจึงยังนิ่งเฉย นางเพียงมองไม่ออกเท่านั้นว่า ฉินมู่ปิงกระทำเช่นนี้มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่


 


 


เมื่อซูหลีครุ่นคิดได้เช่นนี้จึงหวนสติกลับมาได้ นางเหลือบตาชำเลืองมองจอกชาครู่หนึ่ง ใบชาสีเขียวอ่อนลอยอยู่ในจอกชา พร้อมกับน้ำชาสีเหลืองอ่อนโชยกลิ่นหอมสะอาด


 


 


เป็นอย่างฉินมู่ปิงเอ่ยไว้มิผิด นี่เป็นชาคุณภาพชั้นเลิศกาหนึ่ง


 


 


นางเปิดปากไม่เอ่ยอะไรออกมา เพียงค่อยๆ รับน้ำชาจอกนั้นมา ก้มหน้าจิบเบาๆ อึกหนึ่ง


 


 


“วันนี้คนค่อนข้างเยอะ อีกทั้งข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย ตำแหน่งเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง นี่เป็นตำแหน่งขุนนางที่ยิ่งใหญ่เชียวนะ” ทางซูหลีเพิ่งจะดื่มชาไปหนึ่งอึก ก็ได้ยินฉินมู่ปิงเปิดปากเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา


 


 


นางผงะไปเล็กน้อยแล้วเหลือบตามองที่ฉินมู่ปิงครู่หนึ่ง ทว่ากลับเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วความลุ่มลึก และในเวลานี้เองซูหลีถึงพบว่า ฉินมู่ปิงกับฉินเย่หานมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกัน


 


 


ก่อนหน้านี้ยามเขายังทำตัวไม่เอาถ่าน ยังมองไม่ออกมามากนัก ทว่าบัดนี้เขาอยู่ในอากัปกิริยาจริงจังซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก นับประสาอะไรกับรูปลักษณ์ที่ยังมีเงาของฉินเย่หานบางส่วนทับซ้อนอยู่บ้าง


 


 


มีเพียงนิสัยเฉพาะตัวของพวกเขาทั้งสองคนเท่านั้นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉินเย่หานนั้นมีความเย็นชา และมาพร้อมกับรังสีอำนาจอันน่าเกรงขามขององค์จักรพรรดิ


 


 


ส่วนฉินมู่ปิง แม้ผู้คนจะอ่านความคิดเขาไม่ออก ทว่าใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มอยู่เสมอ เหมือนจะมีแรงดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังพูดจาพาทีมากกว่าฉินเย่หาน


 


 


“ซื่อจื่อเอาคำพูดที่ไหนมาพูดกัน นี่เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงเอ็นดูเท่านั้น จะว่าไปแล้ว บัดนี้ฮ่องเต้ไม่มีแม้แต่พระโอรสสักพระองค์เดียว ตำแหน่งเซ่าชือนี้ก็แค่เป็นตำแหน่งว่างๆ เท่านั้น”


 


 


เขาพูดจาอ้อมค้อม ซูหลีก็แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจและเอ่ยกับเขาอย่างถ่อมตน


 


 


ทั้งสองคนพูดตอบโต้กันไปมา การแสดงของพวกเขาแตกต่างจากในยามปกติโดยสิ้นเชิง


 


 


ฉินมู่ปิงกวาดตามองซูหลีอย่างห้ามไม่ได้ มีประกายจับผิดพาดผ่านในดวงตาของเขา


 


 


“หากผู้อื่นได้ตำแหน่งขุนนางนี้ไปละก็ ไม่แน่อาจจะเป็นเพียงตำแหน่งปลอมๆ จริงๆ ทว่าหากใต้เท้าซูนั่งบนตำแหน่งนี้ คงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น” ฉินมู่ปิงวางจอกชาในมือ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


 


 


หลังจากซูหลีได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้านางค่อยๆ เลือนรางหายไป ที่เรียกนางมาที่นี้ก็เพื่อพูดวาจาคลุ่มเครือเช่นนี้หรือ แท้จริงแล้วฉินมู่ปิงต้องการกระทำสิ่งใดกันแน่


 


 


ไม่ใช่เพราะนางมีนิสัยไม่อดทน ในทางกลับกันผู้ที่ไม่มีความอดทนคือฉินมู่ปิงต่างหาก ซูหลีก็แค่พูดตามคำพูดของฉินมู่ปิงเท่านั้น


 


 


“ใต้เท้าซูเป็นผู้มีอุปนิสัยตรงไปตรงมาโดยแท้”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 640 ช่างเป็นคนพิเศษโดยแท้


 


 


หลังจากฉินมู่ปิงได้ยินคำพูดประโยคนี้ จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นเสียงเบา


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่ได้


 


 


ฉินมู่ปิงปกปิดตัวตนของตนเองมานานขนาดนี้ จนถึงบัดนี้มีเรื่องก็มาหานาง และยังจะไม่แสดงกิริยาท่าทางอะไรออกมาเช่นนี้ นี่จึงสามารถบอกได้ว่าจิตใจของฉินมู่ปิงลุ่มลึกมาก ไม่ใช่สิ่งที่ซูหลีจะอ่านใจได้ง่ายๆ


 


 


ทว่าซูหลีก็ไม่ได้คิดที่จะไปเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง บัดนี้นางแค่ลองหยั่งเชิงเขาก็เท่านั้น หากอันตรายเกินไป ต่อไปก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กันแล้วก็เท่านั้น อย่างไรต่อไปนางก็ไม่อยู่ที่สำนักเต๋อซั่นแล้ว คงยากที่จะพบเขาได้


 


 


“ใต้เท้าซูอุปนิสัยตรงไปตรงมาโดยแท้ เช่นนั้นข้าก็ไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว” ฉินมู่ปิงพลันวางจอกชาในมือของตนลง แล้วจ้องมองนางตาไม่กะพริบ


 


 


สายตามีพลังอำนาจบางอย่างพาดผ่านในดวงตาดุจเหยี่ยวเรียวยาวของเขา กลิ่นอายทรงอำนาจบนร่างกายเปลี่ยนเป็นมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าจ้องมอง


 


 


“ขอเพียงซื่อจื่อพูดออกมา” ซูหลีค่อยๆ ปรือเปลือกตาขึ้น ทว่ากลับไม่มีความหวั่นเกรง


 


 


การพูดคุยเจรจากับผู้อื่น จำเป็นต้องใช้ความทรงอำนาจเช่นนี้มาถูกแล้ว ทว่าลูกไม้เหล่านี้นางเห็นจนชินแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกหวาดหวั่นถือเป็นธรรมดา


 


 


“คราก่อนเก้าอี้รถเข็นที่ใต้เท้าซูวาดภาพให้นั้น เสด็จพ่อนั้นทรงโปรดเป็นอย่างมาก” ทางด้านฉินมู่ปิงทันทีเปิดปากพูด กลับเอ่ยถึงฉินเฮ่า


 


 


เขาจ้องที่ซูหลี อีกทั้งในดวงตายังฉายแววที่ซับซ้อน ทว่ากลับมีประกายความน่าสนใจเป็นอย่างมากและเอ่ยว่า “เสด็จพ่อทรงสั่งให้ข้ามาขอบคุณเจ้าอยู่เลย!”


 


 


พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นปรบครู่หนึ่ง จู๋ซย่าเดินเข้ามาจากข้างนอกในทันที ในมือของเขาถือกล่องยาว


 


 


ฉินมู่ปิงดันกล่องๆ นั้นมาที่ด้านหน้าของซูหลีแล้วยิ้มและเอ่ยว่า “นี่เป็นเพียงน้ำใจเล็กน้อย หวังว่าใต้เท้าซูโปรดรับไว้ด้วย”


 


 


น้ำเสียงเขาเปลี่ยนมาเป็นกันเองมากขึ้น ทันทีที่ปริปากพูดก็มอบของสิ่งหนึ่งให้แก่นาง อากัปกิริยาเช่นนี้ช่างเก่งกาจโดยแท้


 


 


ซูหลีฉีกยิ้ม ทว่าไม่พูดอะไรออกมา นางชำเลืองมองกล่องที่ถูกดันมาตรงหน้า แล้วยื่นมือเปิดฝากล่องขึ้น


 


 


ทันทีที่เส้นสายตาจับจ้องไปที่ของสิ่งนั้น ใบหน้าของซูหลีผงะไปเล็กน้อย ในใจกลับมีความประหลาดใจเกิดขึ้นเล็กน้อย


 


 


เสวี่ยหลิงหลง!


 


 


เสวี่ยหลิงหลงเป็นพืชสมุนไพรที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง หากนำของสิ่งนี้ผสมกับยาจะสามารถชุบชีวิตคนตายขึ้นมาได้ ถือเป็นพืชสมุนไพรที่มีราคาสูงในตลาดยา


 


 


ในโรงยาทั่วไปไม่มีของสิ่งนี้ ได้ยินมาว่าภายในวังหลวงได้เก็บสะสมเสวี่ยหลิงหลงไว้ ทว่าเพียงแค่เก็บรากของพืชชนิดนี้ไว้เท่านั้น แต่สิ่งที่ฉินมู่ปิงมอบให้นั้นกลับเป็นเสวี่ยหลิงหลงต้นที่สมบูรณ์!


 


 


เสวี่ยหลิงหลงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีทั้งที่มีขนาดที่ใหญ่โตมาก หากนำออกมาขายเกรงว่าจะสามารถซื้อสระน้ำในเมืองได้!


 


 


“ซื่อจื่อมีเงินมากนัก” ซูหลีมองที่แท่งเสวี่ยหลิงหลงปราดหนึ่ง จากนั้นปิดฝากล่องลงด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และเหลือบสบตากับฉินมู่ปิง


 


 


นี่เป็นของที่หายากยิ่ง ซูหลีกลับมองเพียงปราดเดียวจากนั้นก็เคาะที่กล่องในทันที ท่าทีตอบโต้เช่นนี้ทำให้ฉินมู่ปิงอดชื่นชมนางมิได้


 


 


แน่นอนว่าเขารู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจเท่านั้น ทว่าใบหน้ากลับยังคงนิ่งเฉย


 


 


“ใต้เท้าซูไม่ชอบหรือ?” เขาดูคล้ายกับไม่ค่อยเข้าใจจึงถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา


 


 


“ไม่ได้ทำคุณประโยชน์ก็ไม่รับรางวัลตอบแทน ของสิ่งนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ซื่อจื่อเอ่ยว่าจะให้ก็จะมอบให้ ซูหลีรับเอาไว้ไม่ได้” เขาฉีกยิ้ม ซูหลีก็ฉีกยิ้มเช่นกัน


 


 


“ใต้เท้าซูช่างเป็นคนพิเศษโดยแท้!” ฉินมู่ปิงผงะไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเอ่ยชื่นชมซูหลีเบาๆ


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้น เพียงเลิกคิ้วขึ้น ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา


 


 


“เพียงแต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าซูจะสมัครใจช่วยเหลือเรื่องบางเรื่องหรือไม่” ฉินมู่ปิงพูดถึงตรงนี้ ก็ปรับสีหน้าและไม่คิดจะสร้างความสงสัยให้กับผู้อื่น แล้วเอ่ยด้วยจริงจังอย่างกะทันหัน


 


 


“บัดนี้ใต้เท้าซูเป็นขุนนางที่อยู่ใกล้กับโอรสสวรรค์ แนวโน้มความก้าวหน้านั้นดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เสด็จพ่อทรงได้ยินว่าใต้เท้าซูเป็นผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ จึงทรงเกิดความคิดอยากคบหากับใต้เท้าซู”


ตอนที่ 641 ปฏิเสธตรงๆ


 


 


ฉินมู่ปิงเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองไปทางซูหลีอย่างมีเลศนัยปราดหนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า


 


 


“ใต้เท้าซูคงจะทราบดีว่า เสด็จพ่อนั้นประทับอยู่ที่เมืองอื่นตลอดหลายปี ดังนั้นจึงไม่ได้ไปมาหาสู่ในเมืองหลวงนานแล้ว ดังนั้นขุนนางใหญ่ที่สนิทสนมจริงมีน้อยมาก เรื่องนี้ตราตรึงอยู่ในพระทัยของเสด็จพ่อมาโดยตลอด ทำให้เสด็จพ่อนั้นใส่ใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก”


 


 


“บัดนี้ใต้เท้าซูถือว่าเป็นคนที่มีอนาคตไกลในราชสำนัก เสด็จพ่อจึงอยากจะคบค้าสมาคมกับใต้เท้าซู” หลังจากฉินมู่ปิงเอ่ยถึงตรงนี้ พลันฉีกยิ้มที่คลุมเครือที่ไม่ชัดเจนออกมา


 


 


หากไม่รู้คงจะคิดว่าเขาต้องการพูดโน้มน้าวให้ซูหลีไปมาหาสู่กับสกุลของเขามากขึ้นเท่านั้น


 


 


ทว่าซูหลีกลับฟังความนัยที่แฝงอยู่ของเขาออก ทว่านางมีเพียงสีหน้าเรียบเฉย ได้ยินแล้วก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมา เพียงมองฉินมู่ปิงอย่างนิ่งๆ รอให้เขาเอ่ยประโยคต่อจากนี้ต่อไป


 


 


“คนของจวนจิ้งหนานอ๋อง แม้จะกล่าวว่าเป็นสายเลือดที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมากที่สุด ทว่าใต้เท้าซูก็ทราบดีว่า หลายปีมานี้เสด็จพ่อไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข้าก็เป็นคนที่ไร้ความสามารถ ดังนั้นพวกเราจิ้งหนานอ๋องยามอยู่ในวังหลวง ก็เสมือนกับคนหูหนวกตาบอดก็มิปาน”


 


 


“คาดคะเนจิตใจขององค์จักรพรรดิมิได้ แต่ละวันที่ผ่านไปต้องระมัดระวัง ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากโดยแท้!” วันนี้ซูหลีถึงเพิ่งรู้ว่า วาทศิลป์ของฉินมู่ปินนั้นดีอย่างมาก


 


 


ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากหรือ?


 


 


นางหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ อีกทั้งยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ท่าทีที่ไทเฮามีต่อฉินเฮ่า มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างฉินเฮ่า ฉินมู่ปิง และฉินเย่หาน ใครจะกล้าสร้างความลำบากใจให้แก่พวกเขากัน


 


 


ยิ่งไม่ต้องถึงเรื่องที่ฉินเฮ่ามีอำนาจทหารในมือ และไม่ใช่ท่านอ๋องที่เอ้อระเหยลอยชายอย่างฉินม่อโจว!


 


 


ทว่าคำพูดนี้นางทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้น นางไม่เอ่ยโต้แย้งและหักหน้าฉินมู่ปิงที่ไร้ยางอายผู้นี้ในทันที


 


 


“บัดนี้ใต้เท้าซูสามารถพูดจาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ได้แล้ว สำหรับข้าและบิดานี่ถือว่าเป็นเรื่องอันดี ใต้เท้าซูเดิมเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราจิ้งหนานอ๋อง หากใต้เท้าซูยอมช่วยเหลือพวกเรา ใต้เท้าซูอย่าได้เข้าใจผิด พวกเรานั้นไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น…”


 


 


ขณะที่ฉินมู่ปิงเอ่ย ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่ซูหลีอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนเป็นการยืนยันเนื้อหาที่เอ่ยออกมาทั้งหมดก็มิปาน แววตาดูจริงใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“เพียงแต่หากต้องการรับรู้ถึงจิตใจขององค์จักรพรรดิ แม้จะเอ่ยว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ทว่าใต้เท้าซูก็คงจะทราบดีว่า องค์จักรพรรดิก็คือองค์จักรพรรดิ ขุนนางก็คือขุนนาง โอรสสวรรค์กระทำผิดก็ควรได้รับโทษเหมือนกับราษฎร นับประสาอะไรกับพวกเขาจวนอ๋อง ฮ่องเต้นั้นทรงเป็นผู้ที่ชอบบันดาลโทสะ”


 


 


“ข้ากับบิดาเพียงแค่การคาดเดาในแต่ละวัน นี่ช่างเป็นสิ่งที่ลำบากโดยแท้ หากวันหน้าใต้เท้าซูสามารถเผยความคิดบางอย่างของฮ่องเต้ให้แก่พวกเรา เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่สูงศักดิ์ของพวกเราจวนจิ้งหนานอ๋อง! ต่อไปบิดาของข้าจะปฎิบัติต่อใต้เท้าซูอย่างนอบน้อม!”


 


 


ในที่สุดซูหลีก็เข้าใจแล้ว พวกเขาพูดอ้อมค้อมไปเสียขนาดนั้น


 


 


นี่ฉินมู่ปิงต้องการให้นางนำความคิดของฉินเย่หานมาเปิดเผยให้แก่เขา ทำให้ในใจเขารู้ความตื้นลึกหนาบางของฮ่องเต้


 


 


คำพูดนี้ฟังดูแล้วช่างลื่นหู ทว่าหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วมันกลับไปใช่ดังที่พูดมา นี่พวกเขาต้องการให้ซูหลีเป็นสายตาคอยสอดส่องของพวกเขา


 


 


ความคิดของฮ่องเต้ คนทั่วไปจะรับรู้ได้เสียที่ไหนกัน


 


 


อีกทั้งคำพูดของฉินมู่ปิงเอ่ยอย่างระมัดระวังและรอบคอบ ดูเหมือนจะพูดความสัมพันธ์ระหว่างคุณและโทษอย่างชัดเจน แต่ความเป็นจริงแล้วซูหลีนั้นทราบอย่างชัดเจน น้ำที่อยู่ด้านล่างผสมปนเปกันไปหมด!


 


 


“นี่เป็นเพียงของกำนัลยามพบปะกันเท่านั้น หากใต้เท้าซูยินยอมแล้วละก็ วันหน้า…” ดวงตาของฉินมู่ปิงเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง ซูหลีเห็นอย่างชัดเจน นางพลันฉีกยิ้มบาง จากนั้นเหลือบตามองทางฉินมู่ปิงและเอ่ยว่า


 


 


“ความปรารถนาดีของซื่อจื่อ ซูหลีขอใช้ใจรับไว้พอแล้ว เพียงแต่ซื่อจื่อกับท่านอ๋องเป็นพระเชษฐาและหลานแท้ๆ ของฮ่องเต้ หากทั้งสองท่านไม่เข้าใจความคิดของฮ่องเต้ ซูหลีจะรับรู้ได้อย่างไร ซื่อจื่อจะให้เกียรติซูหลีเกินไปแล้วโดยแท้!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 642 ลากกลับมา


 


 


นางเอ่ยว่าให้เกียรติ ทว่าบนใบหน้าของซูหลีกลับไม่มีรอยยิ้มปรากฏสักนิด


 


 


ใบหน้าของฉินมู่ปิงเย็นชาขึ้นมาทันที เขาเหลือบตามองนาง กลับเห็นใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของนาง ในดวงตาทั้งคู่กลับไม่มีรอยยิ้มเสียเลย


 


 


“ชารสชาติดี เพียงแต่ของสิ่งนี้จะล้ำค่าเกินไปแล้ว ซูหลีคงรับไว้ไม่ได้ ซื่อจื่อเก็บไว้เองเถิด” ขณะซูหลีเอ่ยก็ใช้มือดันกล่องยาวใบนั้นไปด้านหน้า จากนั้นลุกขึ้น ก้าวเท้าเตรียมจะกลับจวน


 


 


“ช้าก่อน” คาดไม่ถึงว่าทันทีที่นางลุกขึ้นจะถูกฉินมู่ปิงขวางทางเอาไว้ก่อน


 


 


ซูหลีผงะเล็กน้อย สีหน้าของนางกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชา และสายตาที่มองฉินมู่ปิงพลันดูเย็นชาแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก


 


 


ฉินมู่ปิงสองพ่อลูกคิดอะไรกันอยู่ แม้นางไม่เข้าใจ ทว่านางก็ไม่อยากมีส่วนร่วมในเรื่องของพวกเขา นางก็มีเรื่องของตนเองที่ต้องกระทำจะมีใจเป็นคนสอดแนมและเป็นหูเป็นตาให้กับผู้อื่นเสียที่ไหน


 


 


โดยเฉพาะให้นางกระทำเรื่องที่อันตรายเช่นนี้


 


 


แม้ซูหลีจะโง่เขลาถึงเพียงใด นางก็รับรู้ถึงปริศนาต่างๆ นานาระหว่างฮ่องเต้ ฉินมู่ปิงสองพ่อลูกนี้ รวมไปถึงไทเฮาด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางสามารถมีส่วนร่วมได้


 


 


อีกทั้งซูหลีเตรียมเส้นทางการเป็นขุนนางที่ใสสะอาดไว้แล้ว ฉินมู่ปิงพูดเช่นนี้เป็นการดันนางเข้าไปในอุโมงค์ไฟ หากสีหน้านางยังคงดูดีก็คงแปลกเสียแล้ว!


 


 


“ซื่อจื่อ เวลานี้ก็มืดแล้ว บิดาของซูหลีคงจะเป็นห่วงแล้ว ซูหลีขอตัวลา”


 


 


“ในยามปกติข้ากลับดูไม่ออกสักนิด ว่าแท้จริงแล้วใต้เท้าซูเป็นคนที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีขนาดนี้!” ฉินมู่ปิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าที่หล่อเหลาเกินใครฉายแววความน่าอันตรายออกมา ทันทีที่ก้าวเท้าขวางทางซูหลีเอาไว้อย่างสนิท


 


 


แม้ซูหลีจะมีอุปนิสัยที่ดีอย่างไร ก็รู้สึกเริ่มมีโทสะในเวลานี้แล้วเช่นกัน นับประสาอะไรกับที่กล่าวว่า ในยามปกตินางมีนิสัยใจคอที่ไม่ดี เมื่อเห็นดังนั้นนางเลิกคิ้วอย่างอดไว้ไม่ได้และเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นว่า


 


 


“ในเมื่อซื่อจื่อทราบดีแล้ว วันนี้ก็ไม่ควรมาหาข้าเพื่อพูดคำพูดเหล่านี้ ข้าเป็นคนต้อยต่ำคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก อีกทั้งนี่ก็เป็นแค่การก้าวเข้าไปในราชสำนักก้าวแรก ซื่อจื่ออาจจะเห็นค่าของข้าดีเกินไปแล้ว! คำพูดที่ซื่อจื่อเอ่ยมาทั้งหมดในวันนี้ ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินแล้วกัน หวังว่าซื่อจื่อจะสามารถจะจัดการทุกอย่าง หวังว่าซื่อจื่อจะดูแลตัวเองให้ดี”


 


 


“ดูแลตัวเองให้ดีรึ?” สีหน้าของฉินมู่ปิงเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เพียงครู่เดียวสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง เมื่อสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาทำให้แม้แต่บรรยากาศของห้องรับรองนี้เปลี่ยนเป็นตึงเครียดตามไปด้วย


 


 


ซูหลีเห็นใบหน้าเย็นยะเยือกของเขาแล้ว เกิดความกังวลขึ้นในใจ


 


 


นางทราบดีว่า ในวันนี้ฉินมู่ปิงกล้าพูดเช่นนี้กับนางในสถานที่นี้ แน่นอนว่าจักต้องมีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว ทว่าผู้ติดตามข้างกายนางในเวลานี้มีเพียงชุยตานคนเดียวเท่านั้น หากมีการลงมือกันจริง นางยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา


 


 


เพียงแต่ก่อนหน้านี้ที่ซูหลีกล้าเดินตามเขามา อีกทั้งทราบดีว่าเขามีแผนการล้ำลึกถึงเพียงใด ก็เกรงว่าเขาคงไม่กล้าลอบสังหารขุนนางในราชสำนัก ดังนั้นถึงได้ไม่ยี่หระกับเรื่องนี้


 


 


ดูเหมือนว่าตอนนี้ นางยังทราบไม่ชัดเจนว่า เขาจะกระวนกระวายจนกระทำเรื่องอะไรออกมาหรือไม่ เพียงรู้สึกว่าฉินมู่ปิงคนนี้เป็นคมในฝัก คิดไม่ถึงว่าหางสุนัขจิ้งจอกของเขาจะค่อยๆ โผล่ออกมาในวันนี้ เพียงแค่เงื่อนงำอันน้อยนิดนี้ก็สามารถทำให้นางรู้สึกตกใจแล้ว


 


 


ในเวลานี้นางแอบสาบานกับตนเองแล้วว่า ต่อไปจักต้องอยู่ให้ห่างจากฉินมู่ปิงผู้นี้ อย่าได้ถูกเขาลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย มิเช่นนั้นคงจะได้ไม่คุ้มเสีย


 


 


“เจ้านี่เกิดมาพร้อมกับฝีปากที่แหลมคมโดยแท้” ดวงตาของฉินมู่ปิงกวาดมองไปที่ซูหลีปราดหนึ่ง ในดวงตาของเขาทอประกายที่ซูหลีรู้สึกคุ้นเคย แววตาเช่นนี้


 


 


เป็นแววตาที่ซูหลีเคยเห็นในดวงตาของฉินเย่หาน


 


 


นางถูกเขามองจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง นางเตรียมจะอ้อมเขาและเดินออกไป!


 


 


ตุบ! คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ได้เดินออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ก็ถูกฉินมู่ปิงลากกลับมาเสียแล้ว


ตอนที่ 643 ถูกต้องหรือไม่ แม่นางซู 


 


 


“ซื่อจื่อ ท่านจะทำอะไร!?” หากก่อนหน้านี้ไม่ผ่านประสบการณ์เรื่องเหล่านั้นในวังหลวง ซูหลีอาจตื่นตระหนกมากกว่านี้ 


 


 


ทว่าหลังจากถูกฉินเย่หานปลิ้นชิงความสาวไปอย่างเผด็จการ ซูหลีก็ตัวสั่นคล้ายกับลูกนก สำหรับการสัมผัสตัวกันอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางถึงแสดงท่าทีปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจน 


 


 


ฉินมู่ปิงเห็นนางมีท่าทีโต้ตอบทีค่อนข้างจะรุนแรง เขาจึงหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงคลายมือนางออก 


 


 


เมื่อเขาปล่อยมือออก ซูหลีก็ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง นางไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับเขาอีก ในเวลานี้นางอยากที่จะหลุดพ้นออกไปจากห้องรับรองนี้ 


 


 


“ก็แค่คว้ามือไปครู่หนึ่ง ไยคุณชายซูถึงมีท่าทางโต้ตอบรุนแรงขนาดนี้กัน” ฉินมู่ปิงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไม่เข้าใกล้นางอีก ทว่าก็ยังขวางทางที่ซูหลีจะออกไปอย่างแน่นหนาดังเดิม 


 


 


สายตาของเขาหยุดที่ร่างของซูหลี สายตาของเขาแฝงเอาไว้ความหมายบางอย่าง ทำให้ซูหลีขมวดคิ้วขึ้น 


 


 


ในเวลานี้ซูหลีจึงจับสังเกตได้ จู่ๆ ฉินมู่ปิงเปลี่ยนคำเรียกขานนาง ไม่ได้เรียกว่าใต้เท้าซูแล้ว แต่เป็นคุณชายซู 


 


 


ซูหลีผงะไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองขึ้นทันใด 


 


 


“พวกเราราชวงศ์ต้าโจว การใกล้ชิดระหว่างชายหญิงมิได้เคร่งครัดขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุรุษสองคนสัมผัสมือกัน คุณชายซูมีท่าทางตอบโต้รุนแรงขนาดนี้ มีเรื่องอะไรปิดบังผู้อื่นอยู่ใช่หรือไม่” 


 


 


ฉินมู่ปิงมองซูหลีด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาผู้ซึ่งมีท่าทางเช่นนี้ สีหน้าแฝงซ่อนไว้ด้วยความชั่วร้าย ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเขาในเวลานี้กลับดูดึงดูดสายตากว่าเมื่อก่อน ให้คนมองไม่อาจละสายตาได้ 


 


 


“…ซื่อจื่อพูดอะไรกัน” ซูหลีมีสีหน้าย่ำแย่ แม้แต่กลิ่นอายรอบกายมิได้เหมือนดังแต่ก่อน นางกลับเคลื่อนสายตาของตนออกมา ไม่สบตากับฉินมู่ปิงอีก 


 


 


ฉินมู่ปิงเห็นดังนั้น ริมฝีปากจึงยกยิ้มเป็นรอยยิ้มที่ไม่ใส่ใจสิ่งใด เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ร่างกายมากกว่าครึ่งของเขาเอนเข้าใกล้ซูหลี ทั้งร่างของซูหลีถูกลมหายใจของเขาปกคลุม 


 


 


ซูหลีขมวดคิ้ว จากนั้นเตรียมถอยหลังตามสัญชาตญาณของตน 


 


 


ทว่าในเวลานี้เอง นางกลับได้ยินฉินมู่ปิงใช้น้ำเสียงดูเกียจคร้าน แม้กระทั่งแฝงไปด้วยความชั่วร้ายเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า 


 


 


“นอกเสียจากแท้จริงแล้ว เจ้าจะเป็นแม่นางอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่ง ที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชาย!” 


 


 


คำพูดนี้ค่อยๆ ลอยเข้าใกล้ใบหูของซูหลี ความร้อนที่ปล่อยออกมาทะลวงเข้าไปในใบหูของซูหลี ทำให้ใบหูของซูหลีรู้สึกคันโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ทว่าเพราะเนื้อความในคำพูดของฉินมู่ปิง ในชั่วขณะนี้ซูหลีจึงไม่ได้สนใจเรื่องระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคน 


 


 


นางแหงนศีรษะขึ้นมองฉินมู่ปิงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก 


 


 


“ข้าพูดถูกต้องหรือไม่? แม่นางซู?” มือของฉินมู่ปิงเล่นกับปอยผมที่อยู่ข้างแก้มของซูหลี เขานำปอยผมมาพันที่นิ้วของตน น้ำเสียงของเขามีความเกียจคร้านและชั่วร้ายอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ดวงตาดุจเหยี่ยวที่เรียวยาวคู่นั้นมองนางอย่างวูบไหว ในดวงตานั้นราวกับมีน้ำหมึกสีดำพรั่งพรูทะลักออกมาก็มิปาน คล้ายดั่งสามารถทำให้ทั้งร่างของซูหลีจมหายไปได้อย่างง่ายดาย 


 


 


ซูหลีหยิกมือที่แนบอยู่ข้างตัวของตน พยายามควบคุมตนเองให้สงบลง ไม่สามารถเผยพิรุธออกมาต่อหน้าฉินมู่ปิง! 


 


 


นางผงะไปพริบตาหนึ่ง จากนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้มิใช่ข้าอธิบายอย่างชัดเจนในงานวันเกิดของข้าคราก่อนแล้วหรือ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ซื่อจื่อยังจะนำเรื่องนี้มากล่าวอีก นี่ดูเหมือนไม่ค่อยไม่เหมาะสมกระมัง?” 


 


 


“เหอะ!” ฉินมู่ปิงได้ยินดังนั้นพลันหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน ซูหลีมองเขาหัวเราะราวกับปีศาจชั่วร้ายที่มิมีใครเทียบได้ เป็นเพราะถูกความงามของเขาเข้าใกล้ระยะประชิดตัว ทำให้หัวใจของซูหลีเต้นรัว อีกทั้งยังถูกความมั่นใจในคำพูดของเขาทำให้ประหม่า 


 


 


“คราก่อนเจ้าตบตาอย่างไร ในใจของข้าและเจ้าล้วนทราบดีมิใช่หรือ” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 644 ยาปลอมตัวถูกเปิดโปง 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น ซูหลีก็ไม่แม้จะสามารถเก็บสีหน้าได้ 


 


 


นางชะงักค้างและจ้องมองที่ฉินมู่ปิงตาไม่กะพริบ กลับเห็นความเย้าแหย่ในแววตาของฉินมู่ปิง มิได้เหมือนกับคนที่พูดจาชักจูงให้นางช่วยเหลืออย่างจริงจังเมื่อครู่นี้สักนิด 


 


 


คนผู้นี้ยังมีอิริยาบถกี่แบบกัน กิริยาท่าทางไหนกันแน่ที่เป็นตัวจริงของเขา 


 


 


“ทำไมรึ วันนี้มิได้พกยาที่ทำให้เจ้ามีลูกกระเดือกในวันนั้นมาหรือ” ฉินมู่ปิงเห็นซูหลีก้มศีรษะไม่พูดไม่จา จึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา 


 


 


สีหน้าของซูหลีพลันเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน นางคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ยาปลอมตัว ฉินมู่ปิงก็สืบสวนหมดแล้ว 


 


 


ทว่าไยเขาถึงรับรู้เรื่องนี้ได้ หรือข้างกายของนางจะมีไส้ศึกอยู่? 


 


 


ความคิดนี้เพิ่งจะโผล่เข้ามาในสมองของซูหลี ทว่ากลับถูกนางโต้เถียงกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 


 


 


เรื่องของปลอมตัวในเวลานี้มีเพียงนางและผู้ติดตามข้างกายนางไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้ ไป๋ฉินอยู่ข้างกายซูหลีตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางที่จะเป็นไส้ศึกของฉินมู่ปิง เย่ว์ลั่วยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ 


 


 


คนอย่างจี้เหิงหราน จะนำไส้ศึกที่เป็นผู้สอดแนมของผู้อื่นมาเป็นคนสนิทคอยรับใช้ข้างกายได้อย่างไร 


 


 


ชุยตานเป็นบุตรชายของแม่นมของนาง ไม่มีทางที่จะหักหลังนางได้อย่างง่ายดาย 


 


 


เช่นนั้นสรุปแล้ว… 


 


 


ทันใดนั้นซูหลีก็ฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งได้ ก่อนหน้านี้ตอนนางอยู่ที่เรือนขาว เคยมีคนฉวยโอกาสยามนางไม่อยู่เข้าไปในเรือนขาง ทั้งยังหยิบยาจำนวนมากของนางไป หนึ่งในนั้นมียาชนิดหนึ่ง คือยาปลอมตัว 


 


 


ดูเหมือนว่า คนที่วางแผนแอบเข้าไปในเรือนขาวและหยิบฉวยยาของตนไป ก็คือคนของฉินมู่ปิง! 


 


 


“นี่แม่นางซูเป็นอะไรไปกัน ไยถึงไม่พูดไม่จาแล้ว” ฉินมู่ปิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของซูหลี จึงยกมุมปากขึ้นแล้วมองนางอย่างแน่วแน่  


 


 


ซูหลีหวนสติกลับคืนมาแล้วใช้สายตาเมินเฉยมองเขาและเอ่ยว่า “เจ้าต้องการอะไร” 


 


 


สิ่งที่สำคัญในที่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขารู้เรื่องยาปลอมตัวได้อย่างไร ทว่าเขาใช้จุดอ่อนนี้เพื่อต้องการให้ซูหลีกระทำสิ่งใดกันแน่! 


 


 


“ทำไมสีหน้าของเจ้าถึงตึงเครียดเช่นนั้น” ฉินมู่ปิงเห็นถ้าทางของนางกลับหัวเราะออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ 


 


 


ซูหลีค้นพบว่ายามที่เขาหัวเราะนั้นดูดีเป็นอย่างมาก ใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเปล่งประกายมิปาน ทำให้คนไม่อาจละสายตาไปได้ 


 


 


ทว่าบัดนี้ นางไม่มีเวลามาชื่นชมกับเรื่องเหล่านี้ คิดแค่เพียงว่าจะหลุดพ้นจากที่นี่ได้อย่างไร 


 


 


“เมื่อครู่พวกเรามิใช่คุยกันอย่างชัดเจนแล้วหรือ ขอเพียงเจ้าช่วยข้าเพียงเล็กน้อย ความลับนี้ก็จะเป็นความลับตลอดไป ในเมื่อเจ้าตั้งใจปิดบังทุกคนขนาดนี้ อย่างไรข้าก็ควรเก็บรักษาความลับของเจ้าไว้ เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่ ซูหลี…” 


 


 


ยามฉินมู่ปิงขานเรียกชื่อของนางตอนท้ายสุด ราวกับชื่อของนางซ่อนอยู่ไนปากเขา และกำลังถูกเขาลิ้มรสอย่างละเมียดละไม 


 


 


ซูหลีได้ยินแล้วถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม 


 


 


ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว แท้จริงแล้วในใจของนางก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกเหมือนกับสีหน้าที่แสดงออกมา 


 


 


หากพูดถึงเรื่องสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ ซูหลีกลัวใครรับรู้ที่สุด แน่นอนว่าคือฉินเย่หาน 


 


 


บัดนี้ฉินเย่หานรับรู้เรื่องนี้แล้ว อีกทั้งยังแต่งตั้งนางให้เป็นขุนนางในขณะที่รับรู้เรื่องนี้แล้ว 


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้จึงไม่น่าหวาดหวั่นขนาดนั้นแล้ว 


 


 


อีกทั้งในใจของซูหลีรู้อย่างชัดแจ้งดีว่า ในเมื่อฉินมู่ปิงต้องการใช้เรื่องนี้ข่มขู่นาง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจนำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศให้กับผู้คนได้รับรู้อย่างง่ายดาย 


 


 


ซูหลีก็ไม่อยากปิดบังเรื่องนี้กับทุกคนไปตลอดชีวิต 


 


 


ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา นี่ก็ถือว่านานพอแล้วไม่ใช่หรือ 


 


 


“เพียงแต่ไม่รู้ว่า ซื่อจื่ออยากที่จะรับรู้ความคิดของฮ่องเต้เพียงฝ่ายเดียว เพื่อจะตั้งหลักหรือว่ามีจุดประสงค์อื่นกันแน่!” ซูหลีหวนสติกลับคืนมาและมองฉินมู่ปิงด้วยความเย้ยหยัน 


 


 


แม้ในใจนางจะไม่รู้สึกตื่นตระหนกขนาดนั้น ทว่านางก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม