แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 634-647

 บทที่ 634 เหยี่ยวคลุ้มคลั่งไล่จับลูกไก่

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอเห็นเฉินเล่อถูกกระชากลากถูกลับมาในสภาพนั้น มู่เฉินถึงกับตะลึงค้าง


ถูกจับง่ายๆ อย่างนี้เลย? ทั้งที่เมื่อกี้อวดเก่งขนาดนั้นเนี่ยนะ?


พอได้สติ มู่เฉินก็รู้สึกสะใจนัก


ฮ่า ใครใช้ให้แกโรคจิต ใครใช้ให้แกอวดดีเล่า!


ตอนนี้เขาเริ่มชอบหลิงม่อขึ้นมาหน่อยแล้ว ถึงแม้เมื่อไม่นานนี้เขายังเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าจะเอาชนะคนคนนี้ได้ด้วยวิธีไหน แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นทั้งเพื่อนและศัตรูกับหลิงม่อขึ้นมาบ้างแล้ว


อย่างน้อยเมื่อเทียบกับซย่าจื้อและเฉินเล่อที่พร้อมจะหักหลังโดยไม่ลังเลแล้ว อยู่กับคนอย่างหลิงม่อที่มีจุดยืนชัดเจนยังสบายใจซะกว่า


“ถุยๆๆ หมอนั่นจะดีขึ้นมาได้ยังไง!” มู่เฉินดึงสติตัวเอง แล้วรีบส่ายหน้าไปมา ผลปรากฏว่าถูกซย่าน่ามองด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองคนโง่


หลิงม่อมองไปทางปากถนน ก็พบว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นยังคงวิ่งไล่กวดอยู่กับสองสาวซอมบี้อยู่


สองสาวซอมบี้สลับหน้าที่กันดึงดูดความสนใจจากมัน และกระตุ้นให้มันโมโหอย่างต่อเนื่อง และพอมันสติแตก พวกเธอก็ถอยไปอีกทาง แล้วพาสัตว์ประหลาดตัวนั้นวิ่งอ้อมไปอ้อมมาอยู่อย่างนั้น


เดิมความเร็วของพวกเธอก็ไม่ด้อยกว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้สภาพของมันแย่ลงเรื่อยๆ พวกเย่เลี่ยนก็ยิ่งรับมือง่ายขึ้นเรื่อยๆ


พอเวลาผ่านไป ท่าทางพวกเธอสองคนกลับเหมือนเจอกิจกรรมให้ความบันเทิงรูปแบบใหม่ เหมือนกับว่าพวกเธอกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น


นับว่าสัตว์ประหลาดโชคร้าย ถ้ามันเจอซอมบี้ธรรมดา อีกฝ่ายจะต่อสู้ระยะประชิดจนตายกันไปข้าแล้ว


ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร อย่างน้อยมันก็ยังได้ผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นเนื้อซักก้อนสองก้อน หากโชคดีหน่อยก็อาจจะได้แขนของอีกฝ่ายมาซักข้างสองข้าง


และถ้าหากเป็นมนุษย์ธรรมดา ยิ่งไม่มีทางปะทะหน้ากับมันอย่างนี้ได้


การทำเรื่องอันตรายอย่างใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ และเล่นเกมเหยี่ยวไล่จับไก่กับสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่ง มีไม่กี่คนที่กล้าทำเรื่องบ้าคลั่งอย่างนี้


ถ้าหากเป็นอย่างนั้น มันในฐานะสัตว์ประหลาด ก็คงไม่ถูกเด็กสาวสองคนปั่นหัวจนต้องวิ่งวนไปมาอย่างนี้


ส่วนเฉินเล่อที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตา ก็รู้สึกได้ว่าความหวังสุดท้ายได้พังทลายหายไปในพริบตาแล้ว


สภาพเอน็จอนาถของหมายเลข 1 เขาไม่อาจทนมองตรงๆ ได้ด้วยซ้ำ…


“ปึง!”


ระหว่างที่กำลังวิ่งไล่หลี่ย่าหลินอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดหมายเลข 1 ก็ล้มหน้าคะมำลงไป เป็นประกาศให้ทุกคนรู้ว่ามันหมดแรงแล้ว


หลังจากที่มันล้ม เย่เลี่ยนก็รีบวิ่งเข้าไปตรงหน้ามัน จากนั้นก็ยกเท้ากระทืบลงไปบนศีรษะด้านหลังของมันเต็มแรง


“นั่นจะทำอะไรน่ะ?” มู่เฉินเบิกตากว้าง


พอเย่เลี่ยนลากร่างเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเข้ามาทางนี้ สมองของมู่เฉินและเฉินเล่อก็มึนตึ๊บราวกับว่าหยุดทำงานไปแล้ว


ที่แท้พวกเธอไม่ได้ทำไปเพื่อฆ่ามัน แต่เพื่อจับเป็น!


แต่ว่า…พวกเขาจะเอาสัตว์ประหลาดอย่างนี้ไปทำอะไร? ถ้าหากยังอยู่ในยุคสงบสุข ก็ยังจับขังในกรงแล้วเปิดให้เข้าชมได้…


เฉินเล่อกลับคิดได้ไกลกว่าหน่อย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจจุดประสงค์ของหลิงม่อแล้ว


ในเมื่อมีจุดประสงค์ เรื่องก็ง่ายขึ้นหน่อย…


“ว่ามา” หลิงม่อพูดขัดจังหวะเฉินเล่อที่กำลังวางแผนในใจอยู่


เฉินเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็กัดฟันพูดว่า “ถูกต้อง มันไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดาจริงๆ”


“ไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดามั้ง” หลิงม่อบอก


“อื่ม นอกจากนี้มัน…มันไม่ใช่ซอมบี้ตั้งแต่แรก” เฉินเล่อพยักหน้าตอบ


“อะไรนะ?!”


มู่เฉินที่เพิ่งได้สติ ช็อกค้างไปอีกครั้ง


ซย่าน่าเองก็ทำหน้าเหมือนสนอกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอใช้เท้าเขี่ยร่างของหมายเลข 1 ให้พลิกหงาย สูดดมสองสามที จากนั้นก็หันไปมองหลิงม่ออย่างสงสัย


ก็ไม่แปลกที่เธอจะสงสัย มีกลิ่นเชื้อไวรัส รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นซอมบี้ชัดๆ


ความจริงแล้ว สภาพของหมายเลข 1 คือซอมบี้ไม่ผิดแน่ แต่จากผลการสังเกตของหลิงม่อ เรื่องไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้


ซย่าน่าเองก็เป็นคนบอกเอง ว่าเชื้อไวรัสที่สวี่ซูหานติดมา ไม่ใช่เชื้อไวรัสธรรมดา…


“มันเป็นหนูทดลองตัวใหม่ที่คิดค้นโดยสำนักงานใหญ่ และมันยังเป็นหนึ่งในหนูทดลองที่ใกล้เคียงกับร่างสมบูรณ์มากที่สุด ตัวตนของมันก่อนหน้านี้ คือผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่ง…”


คำพูดของเฉินเล่อ ทำให้ทุกคนในที่นั้นนิ่งอึ้งไปทันที


ตอนแรกมันเป็น…ผู้มีความสามารถพิเศษงั้นหรอ?


“นายดูออกอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?” เฉินเล่อถามหลิงม่อ


เฉินเล่อยังไม่ลืมหยั่งเชิงเขา แม้หลิงม่อจะรู้สึกว่าน่าขำ แต่ก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด “วิธีการโจมตีของมัน ไม่เหมือนวิธีการที่ซอมบี้ทั่วไปจะสามารถทำได้ และทุกครั้งที่เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง เรี่ยวแรงของมันก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว อาการอย่างนั้น…”


“นั่นเป็นอาการที่มีเฉพาะผู้มีความสามารถพิเศษจริงๆ อาการอย่างนั้นจะเกิดตอนใช้ความสามารถพิเศษ” มู่เฉินพูดต่อพร้อมทำท่าครุ่นคิด


“ถูกต้อง” หลิงม่อพยักหน้า


เฉินเล่อมองหลิงม่อด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง แค่เรื่องนี้ เขากลับสามารถคาดเดาได้ถึงความจริง…


สำหรับมนุษย์แล้ว ซอมบี้ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์ที่ลึกลับมาก แม้จะพบเจอซอมบี้ที่พิสดารมากแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ


เพราะถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าพิศวงอยู่แล้ว…


แต่คนคนนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงได้คิดไปถึงเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างนั้นได้ล่ะ?


สำนักงานใหญ่หวังไว้ว่าอาวุธมีชีวิตชิ้นนี้จะต้องให้ผลที่น่าทึ่งราวกับปาฏิหาริย์แน่ ถ้าหากพวกเขารู้ว่าสัตว์ประหลาดที่พวกเขาให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดตัวนี้ กลับถูกคนอื่นเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงได้ตั้งแต่การต่อสู้จริงครั้งแรก ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะโมโหจนกระอักเลือดไปเลยหรือเปล่า…


หลิงม่อไม่รู้ว่าเฉินเล่อกำลังคิดอะไรอยู่ แม้ว่าเรื่องที่เขาพูดออกมาจะเป็นจุดที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุด แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาสังเกตเห็น


และเรื่องเหล่านั้น คนธรรมดาไม่มีทางสังเกตเห็นแน่นอน ถึงจะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็อาจคิดไปว่าเกิดซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ขึ้นอีกแล้ว


แต่สำหรับหลิงม่อ เขานั้นใช้ชีวิตอยู่กับซอมบี้…


ไม่ว่าซอมบี้จะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด แต่ที่สุดแล้วสัญชาติญาณพื้นฐานก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป


และเรื่องนี้คนอื่นๆ ทั้งไม่รู้ และไม่อยากจะทำความเข้าใจด้วย มีเพียงคนอย่างหลิงม่อที่เริ่มใช้ชีวิตกับซอมบี้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นระดับล่าง และอยู่ข้างๆ คอยดูพวกเธอวิวัฒนาการไปทีละก้าวๆ จนถึงตอนนี้เท่านั้น ถึงจะสังเกตเห็นได้อย่างหูตาไว


ทว่าเรื่องเหล่านี้ เขาย่อมไม่มีทางพูดออกมาอยู่แล้ว…


“เปลี่ยนผู้มีความสามารถพิเศษให้กลายเป็นซอมบี้…ฟังดูคุ้นๆ นะ” หลิงม่อนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างตกตะลึง จากนั้นก็พูดอย่างตกตะลึง “เจ้าเจี้ยนฉีนั่น ก็กำลังวิจัยเรื่องนี้ไม่ใช่หรอ?”


“เจี้ยนฉี? อ้อ…สมาชิกระดับเก้าที่ถูกนายฆ่านั่น…” มู่เฉินพยักหน้าอย่างฉุกคิดขึ้นได้ จากนั้นก็ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่มั้ง เขากำลังวิจัยว่าจะทำให้ผู้มีความสามารถพิเศษแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไรต่างหาก เป้าหมายสูงสุดคือทำให้ศักยภาพร่างกายอยู่ในระดับเดียวกับซอมบี้ให้ได้ เรียกว่าอะไรแล้วนะ…”


“ร่างสมบูรณ์” หลิงม่อให้คำตอบ


“จะเอามาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?” เฉินเล่อพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ “การวิจัยของหมอนั่นไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จด้วยซ้ำ และถึงจะสำเร็จ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อนิพพานอยู่ดี”


“มันก็ถูก ถ้าหากไม่ใช่ว่าหมายเลข 0 ถูกนายทำร้าย ไม่แน่พวกเราก็อาจไม่อยากเข้ามายุ่งด้วยซ้ำ” มู่เฉินเห็นด้วย


เดิมหลิงม่อยังไม่ค่อยเข้าใจที่พวกเขาพูดนัก แต่พอคิดดูอีกที เขาก็นึกออกทันที


การทดลองร่างสมบูรณ์ ทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ ก็คือบุคลใดบุคคลหนึ่ง


ถึงแม้ว่ามันจะมีส่วนช่วยให้พลังโดยรวมของนิพพานยกระดับขึ้น แต่ก็ยังคงมีปัจจัยไม่มั่นคงที่แฝงอยู่อีกหลายประการ


แต่หมายเลข 1 นั้นต่างออกไป มันแข็งแกร่ง ฟังคำสั่ง และฟังจากลำดับการเรียกชื่อ บวกกับสิ่งที่เฉินเล่อพูดอีก ชัดเจนว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอย่างนี้อยู่อีกจำนวนหนึ่ง…


นี่มันอาวุธมีชีวิตชัดๆ!


ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ความจริงทฤษฎีการทดลองของเจี้ยนฉีนั้นมีความเป็นไปได้อยู่


และตัวอย่างความสำเร็จของทฤษฎีนั้น ก็คือหลิงม่อที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขานั่นเอง…


“พูดให้ชัดเจนหน่อย หมายเลข 1 ถูกสร้างขึ้นมาไดอย่างไร?” หลิงม่อขมวดคิ้วถาม เขารู้สึกต่อต้านการกระทำอย่างนี้ของนิพพานมาก พวกเขาใช้เพื่อนร่วมสายพันธุ์เป็นหนูทดลอง ช่างเป็นการกระทำที่น่าหวาดกลัวเหลือเกิน


“ขั้นตอนการทดลองฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แค่ว่าน่าจะมีตัวแม่อยู่ด้วย” เฉินเล่อบอก


“ตัวแม่คืออะไร?” คำศัพท์นี้กระตุกต่อมสนใจของหลิงม่อทันที


ก่อนหน้านั้นที่เขาเจอศพน้ำในห้างสรรพสินค้าใต้ดิน พวกมันก็มีตัวแม่เหมือนกัน เพียงแต่มันได้จากไปนานแล้ว


และราชินีแมงมุมเอง ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นตัวแม่เหมือนกัน…


“ต้องดูดกลืนเชื้อไวรัสจากร่างของตัวแม่ พวกมันจึงจะกลายพันธุ์ได้อย่างปลอดภัย” เฉินเล่อพยักหน้าแล้วบอก


มู่เฉินแค่นเสียง “กลายพันธุ์ยังจะมีความปลอดภัยอยู่อีกหรอ?”


“มีสิ ขั้นตอนการกลายพันธุ์นี้จะช้ากว่าการติดเชื้อทั่วไปมาก สภาพดวงจิตของพวกนั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิดๆ”


เฉินเล่อมองไปที่สวี่ซูหาน แล้วบอกว่า “แต่กรณีอย่างเธอ อีกไม่กี่นาทีก็ต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว ฉันขอเตือนพวกนายไว้ก่อน จัดการเธอซะตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า อย่าเสี่ยงเลย เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่ติดเชื้อ ในเล็บของหมายเลข 1 มีแต่เลือด ถ้าพวกนายยังไม่ลงมือตอนนี้ แล้วยืนมองเธอค่อยๆ กลายพันธุ์ จะไม่รู้สึกแย่ยิ่งกว่าหรอ?”


“รู้สึกแย่?” มู่เฉินเบิกตากว้าง จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล กระโจนเข้าใส่เฉินเล่อแล้วยกมีดขึ้น “แกยังมีหน้ามาพูดอย่างหน้าตาเฉย! ก็ฝีมือแกไม่ใช่หรอไง! แม่งเอ๊ยฉันจะเชือดคอแกซะ!”


“เดี๋ยวก่อน” หลิงม่อกระชากตัวเฉินเล่อหลบออกไปด้านข้าง และเฉินเล่อที่หลบไปได้อย่างหวุดหวิด ก็หน้าซีดไปทันที


มู่เฉินมองหลิงม่อด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่สุดท้ายก็ยอมลดมีดลงแต่โดยดี


“เรื่องที่ไม่ควรพูด ก็อย่าพูดอีก” หลิงม่อหันไปพูดกับเฉินเล่อด้วยสายตาเย็นชา


เฉินเล่อได้ยินก็เหงื่อท่วมหัว เขาพยักหน้ารัวๆ แต่ปากก็ยังแก้ต่างให้ตัวเอง “ก็แค่เตือนในฐานะสมาชิกด้วยกัน…”


“หุบปากซะ ฉันจะถามนายดีๆ สภาพเธอตอนนี้หมดทางช่วยเหลือแล้วหรอ? ระหว่างการทดลองน่าจะมีกรณีคล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นบ้าง พวกนายแก้ปัญหาอย่างไร?” หลิงม่อถาม


“ฉันจะไปรู้ได้ไง ฉันไม่ใช่คนในกลุ่มทดลองนะ…ถึงฉันจะมากับหมายเลข 1 แต่ฉันก็เป็นแค่คนสั่งการของมันเท่านั้นนะ” เฉินเล่อบอก


พอเขาพูดอย่างนี้ มู่เฉินก็แสดงสีหน้าผิดหวังสุดขีดออกมา


สวี่ซูหานกลับเหมือนไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกันเลยแม้แต่น้อย เธอเอาแต่นั่งพิงกำแพง แล้วทอดสายตามองออกไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย


ความรู้สึกที่ต้องนั่งรอความตายมาเยือนอย่างช้าๆ คงจะทำให้เธอสิ้นหวังที่สุด


กลับเป็นซย่าน่าที่หันไปมองสวี่ซูหานเป็นพักๆ สีหน้าออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง


หลิงม่อขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า “ตัวแม่นั่น ก็เป็นซอมบี้แบบนี้ใช่ไหม?”


“เหมือนจะ…ใช่นะ” เฉินเล่อพยักหน้า


“ฉันเข้าใจแล้ว บางทีอาจมีวิธีหนึ่งสามารถลองได้ แต่เดาว่าคงทำได้แค่ยืดเวลาออกไปอีกช่วงเดียวเท่านั้น” หลิงม่อบอก


“วิธีอะไร!” มู่เฉินถามอย่างตกตะลึง


สถานการณ์อย่างนี้ ยังมีวิธียืดเวลาออกไปอีกหรือ?


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าว่าแต่ยืดเวลาได้แค่ช่วงเดียวเลย ถึงจะยืดเวลาได้แค่ไม่กี่นาที ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว!


“นายจะทำอะไรได้?” เฉินเล่อถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ


—————————————————————————–


บทที่ 635 หนึ่งในของคู่กายของโรคจิตก็คือไดอารี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ ให้ฉันคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนว่าควรจะทำอย่างไร”


หลิงม่อส่งสายตาให้เย่เลี่ยน ให้เธอลากหมายเลข 1 ไปอีกทางหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางเฉินเล่อ “จัดการเรื่องนายก่อนแล้วกัน”


พอรู้สึกได้ว่าสายตาของหลิงม่อดูไม่เป็นมิตร เฉินเล่อก็กระโดดโหยงขึ้นมา “ไม่นะๆๆ…พวกเราตกลงกันแล้วนะ! นายจะฆ่าฉันไม่ได้ ฉัน…ฉันมีประโยชน์กับพวกนายหลายเรื่อง…โอ๊ย! เดี๋ยวก่อน! นาย…นายไม่อยากรู้หรอว่าฉันควบคุมหมายเลขหนึ่งได้อย่างไร?”


เบี้ยต่อรองนี้เขากะไว้ว่าจะเอาไว้ใช้ทีหลัง คิดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะเปลี่ยนสีหน้าเร็วขนาดนี้


หรือว่าตัวเองคาเดาผิด? ที่หลิงม่อเก็บหมายเลข 1 ไว้ ไม่ได้เป็นเพราะอยากได้ความสามารถด้านนี้ของตัวเองหรอกหรอ? ไม่…เป็นไปไม่ได้! ควบคุมซอมบี้ แค่ฟังก็ดึงดูดใจมากแล้ว! แม้ซอมบี้จะน่ากลัว ทำให้คนหวาดผวา แต่ถ้าหากข้างกายมีซอมบี้ที่เชื่อฟังคำสั่งติดตามอยู่หนึ่งตัว ความสามารถในการเอาตัวรอดก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เรื่องดีๆ อย่างนี้ ไม่มีใครไม่อยากได้หรอกมั้ง?


หลิงม่อมองหน้าเฉินเล่อ จากนั้นก็เปิดปากพูดท่ามกลางสีหน้าหวาดวิตกของเฉินเล่อ “พูดสิ”


หัวใจที่หล่นไปอยู่ตรงตาตุ่มของเฉินเล่อกลับสู่ตำแหน่งเดิมชั่วคราว “ฉันจะบอกนายฟรีๆ ไม่ได้ นายต้องให้หลักประกันกับฉันก่อน”


“อยากแลกชีวิต? ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นความสามารถส่วนตัวของนาย ที่คนอื่นเรียนรู้ไม่ได้หรือเปล่า?” หลิงม่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


เฉินเล่อนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างสุดแรง “เมื่อกี้ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอ? ฉันเป็นแค่คนสั่งการหมายเลข 1 นี่ไม่ใช่ความสามารถพิเศษที่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งนะ!”


“ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องพิสูจน์” หลิงม่อยังคงพูดอย่างเรียบเฉย


เฉินเล่อความคิดขัดแย้งกันขึ้นมาทันที ที่หลิงม่อพูดมาก็ไม่ผิด ถึงแม้เขาจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีความสามารถพิเศษที่สามารถควบคุมซอมบี้ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางคาดเดาความคิดของหลิงม่อได้เหมือนกันนี่! แถมดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ นี่คือทางเดียวที่จะทำให้เขามีชีวิตรอดแล้ว


“ก็ได้…” เฉินเล่อกัดฟัน “นี่ไม่ใช่ความสามารถเฉพาะบุคคลจริงๆ…พวกนายเองก็รู้แล้ว ว่านี่ไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดา เมื่อก่อนพวกมันล้วนเป็นมนุษย์ และขั้นตอนการกลายพันธุ์ของพวกมันก็เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก ไม่เหมือนซอมบี้ทั่วไป ในระหว่างนั้น ก็แค่ต้องฝึกมันเหมือนฝึกสัตว์ป่าเท่านั้น…”


“แล้วเสียงผิวปากของนายนั่น เป็นคำสั่งที่ทำให้มันค่อยๆ คุ้นเคยในระหว่างฝึกอย่างนั้นหรอ?” หลิงม่อตัดบทเขา ด้วยการถามแทรก


เฉินเล่อพยักหน้าช้าๆ “ถูกต้อง”


“ขั้นตอนการฝึกคงไม่ง่ายสินะ?” หลิงม่อถามอีกครั้ง


สีหน้าของเฉินเล่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าท่ามกลางสายตากดดันของหลิงม่อเขากลับต้องพยักหน้าตอบอย่างจำใจ “ใช่…”


“ฉันก็คิดอย่างนั้น” หลิงม่อพูดเสียงเย็น


ไม่ว่าจะเป็นการทุบตีหรืออะไรก็ตาม ระหว่างที่หมายเลข 1 ค่อยๆ กลายพันธุ์เป็นซอมบี้ ต้องได้รับการทรมานอย่างถึงที่สุดมาแล้วแน่นอน


“ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ความสามารถเฉพาะบุคคล อย่างน้อยก็ต้องมีฝีมือในระดับหนึ่ง อีกอย่าง หมายเลขหนึ่งก็ได้ถูกฝึกฝนมาแล้ว…”


หลิงม่อเพิ่งจะพูดจบ ก็พบว่าสายตาของเฉินเล่อเลื่อนออกไปอีกด้านหนึ่ง


เขามองตามสายตาของเฉินเล่อ แล้วก็พบว่าเจ้าหนูคนนี้กำลังจ้องสวี่ซูหาน


มู่เฉินเองก็มองตามไปเช่นกัน หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ระเบิดโทสะออกมา “แกหมายความว่ายังไง! คิดจะบอกให้หลิงม่อทำให้สวี่ซูหานกลายเป็นหมายเลข 1 อีกตัวงั้นหรอ?!”


เฉินเล่อไม่พูดอะไร มู่เฉินรีบหันไปมองหลิงม่อ “อย่าเชียวนะ…นายทำอย่างนั้นไม่ได้…”


“ฉึก!”


หยาดเลือดจำนวนหนึ่งกระเซ็นใส่หน้ามู่เฉิน เขาปิดตาตามจิตใต้สำนึกทันที


และเมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง ก็มองเห็นเฉินเล่อกำลังตัวอ่อนล้มลงไปพอดี เฉินเล่อยังคงเบิกตากว้าง ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าหลิงม่อจะลงมือทั้งอย่างนี้


มู่เฉินเองก็อึ้งไปเช่นกัน เขามองเฉินเล่อ แล้วเบิกตากว้างหันมามองหลิงม่อ จนลืมเช็ดเลือดบนหน้าตัวเอง


“ฉันนึกว่านายจะ…”


“นึกว่าอะไร?” หลิงม่อนั่งลงไปค้นศพเฉินเล่อ ปากก็พูดไปว่า “การฝึกฝนที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องอย่างนี้ ฉันจะสนใจได้อย่างไร? คำพูดของเขามีแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด เห็นชัดว่ามีเรื่องอีกมากมายที่เขาไม่ได้พูดออกมา อีกอย่างไม่รู้ว่านายสังเกตเห็นไหม นอกจากตอนที่สู้กันแล้ว เขากับหมายเลข 1 มักจะรักษาระยะห่างกันไว้เสมอ แล้วนายคิดว่าทำไมนิพพานถึงเลือกเขา? ก็เพราะความสามารถพิเศษอย่างนี้ของเขาไม่ใช่หรอ?”


“หา?” มู่เฉินมึนตึ๊บ


“ไม่เข้าใจหรอ? ความสามารถพิเศษอย่างนี้ของเขา ไม่ใช่ประเภทภาพลวงตาอะไร แล้วก็ไม่ใช่เงาลวงด้วย ตั้งแต่แรกที่เราเห็นคือร่างจริงของเขาทั้งนั้น ฉันคิดว่าที่เขาสามารถหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเราได้ อาจเป็นเพราะมองเห็นได้รับผลกระทบบางอย่าง อย่างเช่นการบิดเบือนการมองเห็น ทว่ามีหมายเลข 1 อยู่ พวกเราจะหลับตาก็ไม่ได้ ดังนั้นความเป็นไปได้นี้จึงหมดโอกาสพิสูจน์ แต่ทั้งหมดก็น่าจะเป็นอย่างนี้ไม่ผิดแน่…สรุปคือ การมีความสามารถพิเศษอย่างนี้ คือหลักประกันว่าเขาจะไม่ถูกหมายเลข 1 ฆ่าเสียเอง”


หลิงม่อล้วงของออกจากศพ พลางวิเคราะห์ไปด้วย “วิธีที่เขาพูดก็ไม่ครบถ้วน แต่หลักๆ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ ปลูกฝังคำสั่งบางอย่างให้พวกมันในระหว่างที่สติรู้คิดของพวกมันกำลังค่อยๆ ถดถอย น่าจะเป็นวิธีที่ทำได้จริงๆ อีกอย่างกรณีอย่างหมายเลข 1 ที่กลายพันธุ์มาด้วยวิธีอย่างนั้น สภาพดวงจิตก็แตกต่างจากซอมบี้ทั่วไปโดยสิ้นเชิง แต่ถึงแม้ว่าพวกมันจะสามารถสร้างการตอบสนองกับผู้สั่งการได้ แต่เดาว่าอาจไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ 100%…”


“ดูออกมากขนาดนี้เลยหรอ…” มู่เฉินได้ยินก็ปากอ้าตาค้าง หลิงม่อเหมือนนักเชี่ยวชาญด้านซอมบี้อย่างไรอย่างนั้น!


“เดี๋ยวก่อน ที่นายพูดเมื่อกี้…ถ้าหาก…วิธีนี้ไม่มีข้อบกพร่อง นายก็อาจจะสนใจงั้นหรอ?!” จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้นอย่างตกตะลึง


หลิงม่องเยหน้ามองเขา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปคลำหาของบนศพต่อไป ในใจเขามีคำพูดหนึ่งที่ไม่ได้พูดออกมา เขามีความสามารถในการควบคุมหุ่นซอมบี้ จะสนใจวิธีการฝึกฝนอย่างนี้ไปทำไม? สำหรับเขา นี่เป็นเพียงอารมณ์ “อยากรู้อยากเห็น” อย่างหนึ่งเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ อาจเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงอันตรายรางๆ…


ถ้าหากมีการควบคุมซอมบี้ด้วยวิธีการอื่น พวกซอมบี้จะถูกหมายหัวหรือไม่?


“เฮ้ย ทำไมไม่ตอบล่ะ!”


“หาเจอแล้ว” หลิงม่อเจอมือถือเครื่องหนึ่งอยู่ในกระเป๋าด้านในของเสื้อนอกเฉินเล่อ แล้วบอกว่า “ในนี้น่าจะมีแผนที่ไปสำนักงานใหญ่นะ”


“เอ๋ นายรู้ได้ไง?” มู่เฉินถาม


“เขาเป็นแค่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ จะจำทางได้เก่งกว่าฉันได้อย่างไร?” หลิงม่อบอก


“…ทำเป็นพูดมีหลักการ ที่แท้จะบอกว่านายเป็นคนหลงทิศสินะ!” มู่เฉินกลอกตามองบนแล้วพูด


ทว่านอกเหนือจากนี้ หลิงม่อก็ไม่เจอสิ่งของมีค่าอะไรอย่างอื่นอีกเลย


“ชิ ไม่มีไดอารี่อะไรเลย” หลิงม่อพูดอย่างไม่สบอารมณ์


“เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทุกคนต้องเขียนไดอารี่หรือไง?” มู่เฉินอารมณ์เสีย


หลิงม่อเหลือบมองเขาด้วยหางตาราวกับเขาช่างโง่เขลา “ตรรกะอะไรของนาย? เพราะเขาเป็นโรคจิตต่างหากเล่า”


“…” มู่เฉินถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “นายจะไปที่สำนักงานใหญ่นิพพานของพวกเรา…ไม่สิ นายอยากไปที่สำนักงานใหญ่นิพพานหรอ?”


“อื่ม” หลิงม่อพยักหน้า


“เพื่อสวี่ซูหาน?” มู่เฉินถามอีกครั้ง


“ก็ส่วนหนึ่ง” หลิงม่อบอก


ถึงแม้วิธีการฝึกฝนอย่างนี้จะไม่อยู่ในสายตาของหลิงม่อ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สาบใจอยู่เล็กน้อย


“ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่านายก็เป็นคนดีเหมือนกัน…” มู่เฉินอดพูดขึ้นไม่ได้


หลิงม่อเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วบอกว่า “อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไป ฉันยังมีเรื่องที่ไม่ได้พูดอีก…แต่ว่า เรื่องค่าตอบแทนเดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกที”


“ฉันว่าแล้วเชียว แต่ทำไมฉันต้องเป็นคนจ่ายค่าตอบแทนด้วย!”


“ก็พวกนายเป็นเพื่อนกันนี่ ใช่สิ เมื่อกี้จากที่เฉินเล่อพูด ยังมีคนอื่นตามหลังมาอีก พวกเราไปซ่อนตัวอยู่แถวนี้ หาสถานที่จัดการเรื่องสวี่ซูหานก่อน” หลิงม่อพูด พลางยื่นมือไปประคองสวี่ซูหานให้ลุกขึ้น


ทุกคนมองซ้ายมองขวา ซย่าน่าชี้ไปทางอาคารที่อยู่อีกฝั่งของถนน แล้วบอกว่า “ตรงนั้นแล้วกัน ไฟไม่น่าจะลามไปถึง”


“ไป!”


หลิงม่อประคองสวี่ซูหานเดินนำข้างหน้า เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินลากขาทั้งสองข้างของหมายเลข 1 เดินตามอยู่ข้างหลัง


มู่เฉินอ้าปากพะงาบอยากจะถามหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ข่มไว้


คนคนนี้มักจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของซอมบี้อยู่เสมอ เขาเองก็ไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้…


และ ณ วินาทีนี้ จิตใจของมู่เฉินก็กำลังสับสนและยุ่งเหยิงมาก


ไม่ว่าเขาจะอยากหรือไม่อยาก ตอนนี้เขาก็ได้ออกจากกลุ่มนิพพานแล้ว ชั่ววูบหนึ่ง ใจเขาทั้งรู้สึกสูญเสีย แต่ก็รู้สึกเหมือนหลุดพ้นในขณะเดียวกัน


หนทางจ้างหน้า…เขาควรจะเลือกเดินอย่างไรดี?


………..


“แฮ่ก! แฮ่ก!”


ในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง เงาร่างของใครบางคนกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง


หลังจากหันกลับไปมองแสงเพลิงที่ถูกทิ้งห่างไว้เบื้องหลัง ซย่าจื้อก็มีสีหน้าที่คลายใจลงมาก


เวลาประมาณนี้ เดาว่าคนของแผนกย่อยคงจะตามมากันแล้ว…


ทุกแผนการล้วนมีช่องโหว่ แต่ไม่ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดประการใด ในสถานการณ์อย่างนี้พวกนั้นไม่มีทางรอดไปได้แน่นอน


ทว่า ซย่าจื้อมักจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่


คงเป็นเพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย…ถึงแม้เขาจะวางแผนและเตรียมทุกอย่างไว้อย่างดี แถมเรื่องก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่พอไม่ได้เห็นพวกนั้นตายไปอย่างทรมานทีละคนๆ ซย่าจื้อก็ไม่อาจรู้สึกวางใจได้


“ไม่ได้ จะกลับไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้” ซย่าจื้อครุ่นคิด แล้วรีบล้มเลิกความคิดเมื่อกี้ทันที


เขาต้องยืนยันว่าเรื่องดำเนินไปตามแผนการของเขา ทำอย่างนั้นจึงจะสามารถพิสูจน์ชัยชนะของเขาได้


อีกอย่าง พอนึกว่าจะได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ของพวกนั้น เขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ


ถูกคนที่ด้อยค่าจนไม่อยู่ในสายตาจูงจมูก แล้วค่อยๆ ก้าวสู่ความตายทีละก้าวๆ คงจะรู้สึกเคียดแค้น และทรมานมากสินะ?


เหมือนถูกเงาร่างของตัวเองเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความหวาดกลัวจากการถูกเหยียบย่ำ


ก้อนหินขวางทางอย่างมู่เฉินย่อมทำให้ซย่าจื้อเกลียดชัง ท่าทางของหลิงม่อที่ทำเหมือนตัวเองกุมชะตาชีวิตพวกเขาไว้ในกำมือ ก็ทำให้ซย่าจื้อชิงชังเช่นกัน


ทว่า ความรู้สึกที่ทำให้พวกนั้นคิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของตัวเอง พอถึงตอนสุดท้ายค่อยมารู้ตัวว่าตัวเองเป็นเพียงหมากและเครื่องมือในสายตาคนอื่นอย่างนี้แหละ ถึงจะทำให้ซย่าจื้อสะใจ และรู้สึกดีเป็นพิเศษ


“ไปหาคนของแผนกย่อยแล้วกัน…”


ซย่าจื้อมองไปทางเปลวเพลิงนั้น เขาหัวเราะเย็นชา แล้วเบนสายตาไปมองยังตรอกอีกเส้นหนึ่งทันที


แค่เฝ้าเส้นทางที่คนของแผนกย่อยจะต้องผ่านแน่ๆ ไว้ก็พอ เพราะถึงอย่างไรสถานการณ์ตอนนี้เขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่เร่งให้พวกนั้นตายเร็วขึ้นเท่านั้นเอง


“แกร๊ก”


ทันใดนั้น เสียงหนึ่งพลันดังมาจากข้างหลัง ซย่าจื้อนิ่งงัน แล้วรีบหันกลับไปมองทันที


ไม่มีใครเลย


ในตรอกเล็กๆ อันมืดมิดแห่งนี้ยังคงเงียบสงัด มีเพียงต้นหญ้าบนกำแพงพวกนั้นที่ไหวไปตามสายลมไม่หยุด เหมือนเงาร่างของคนมากมายกำลังคอยจับตามองผู้คนที่เดินผ่านตรอกเล็กๆ แห่งนี้อยู่


“หูฝาดหรอ? อาจเป็นของบางอย่างทางนั้นถูกเผาไหม้จนระเบิดล่ะมั้ง?”


ซย่าจื้อจ้องมองตรอกมืดๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หันหลังกลับมา


“แคร่ก!”


เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังมาจากบริเวณรอบข้างอีกครั้ง


—————————————————————————–


บทที่ 636 มา แปะมือฉลองความตายของนายกันหน่อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ใครน่ะ!”


ซย่าจื้อใจกระตุกวูบ เขารีบหันหน้ากลับไปมองทันที


แต่ด้านหลังยังคงว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ทันใดนั้น ลมยามกลางคืนระลอกหนึ่งพัดผ่านไป หญ้าบนกำแพงเองก็ไหวแรงตามไปด้วย ชั่วพริบตาราวกับว่ามีเงาร่างมากมายกำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งนี้


ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างผุดขึ้นมาในใจซย่าจื้อ ทว่าไม่นานเขาก็ส่ายหน้าแรงๆ


เป็นไปไม่ได้ที่จะหูฝาดติดกันถึงสองครั้ง และเสียงที่ได้ยินก็ไม่ได้ดังมาจากสถานที่เกิดไฟไหม้ตรงนั้นด้วย


บริเวณนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน…


หรือว่าพวกนั้นตามมาแล้ว? เป็นไปไม่ได้…นอกเสียจากว่าพวกนั้นจะมีวิชาแยกร่าง


ถ้าอย่างนั้นก็…ซอมบี้? ก็ไม่น่าใช่อีก ถ้าหากซอมบี้จะลอบโจมตี ก็คงจะไม่ส่งเสียงอย่างนี้ให้รู้ตัวก่อนแน่


“ออกมานะ!”


ซย่าจื้อกดเสียงต่ำแล้วตะโกนออกไป แต่กลับไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา


เขาเม้มปากแน่น กลอกลูกตามองซ้ายมองขวา


“คิดจะเล่นลูกไม้นี้กับฉัน…”


ประกายความชั่วร้ายแล่นผ่านในแววตาซย่าจื้อ เขาค่อยๆ ยกปืนขึ้น จากนั้นก็เดินไปประชิดตัวกับกำแพงช้าๆ


ซอยก็กว้างแค่นี้ อีกอย่างด้านหน้าและด้านหลังก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าใครที่เป็นคนส่งเสียง จุดที่จะสามารถซ่อนตัวได้ก็มีแค่ด้านหลังกำแพงเท่านั้น


และเขาก็แค่ต้องประชิดตัวติดกับกำแพงอย่างนี้ ทีนี้หากอีกฝ่ายต้องการจะโจมตีเขา ก็จำเป็นต้องเผยตัวก่อนถึงจะทำได้


ทันทีที่คนคนนี้ปรากฏตัว เขาก็จะลั่นไกออกไปอย่าไม่ลังเลซักนิด


“เป้าหมายโมตีหายไป ยังไงก็ต้องโผล่หัวออกมาอยู่ดี” ซย่าจื้อกลั้นหายใจ แล้วรออย่างใจเย็น


ทว่าเขากลับไม่สังเกตเห็นเลยว่า ภายใต้แสงจันทร์ เงายาวๆ เส้นหนึ่งพลันยื่นออกมาจากเงาร่างของเขา จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าใกล้ “ศีรษะ” ของเขา


“อึกอึก…ช่วย…”


มือทั้งสองข้างของเงาร่างเขาพลันยกขึ้นจับคอตัวเองทันใด ขาทั้งสองข้างก็เริ่มเขย่งและตีกันวุ่นวายไปหมด


และปืนกระบอกนั้นก็ร่วงลงบนพื้น ดัง “แกร๊ก”


ซย่าจื้ออ้าปากกว้าง ดวงตาปูดโปนออกจากเบ้า มือทั้งสองข้างตะกุยที่คอตัวเองสุดกำลัง ขาทั้งคู่ของเขาลอยจากพื้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้


“ช่วย…”


ความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งสะท้อนชัดในดวงตาของเขา ไม่ควรเป็นแบบนี้ เขาจะตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ที่นี่ไม่ได้!


ขณะที่เขากำลังถูกดึงขึ้นไปตามแนวกำแพง ก็มีเงาร่างหนึ่งรากฎตัวขึ้นบนศีรษะของเขา


ซย่าจื้อพยายามกลอกลูกตามองขึ้นไป แต่ปรากฏว่าภาพที่เขาเห็นกลับเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนกำแพง


เด็กผู้หญิงคนนั้นดูไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาเลย สีหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เสียเต็มประดา


แต่ซย่าจื้อกลับมองเห็นอย่างชัดเจน ว่ามีเส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งยื่นออกมาจากลำคอของเธอ


“ช่วย…ช่วย…”


เขายื่นมือออกมา พยายามกวักมือไปมาอยู่ระหว่างตัวเองกับเธอ เพื่อจะคว้าเส้นไหมที่แทบจะมองไม่เห็นเส้นนั้นให้ได้


“อ้าว นายคือคนคนนั้นเอง ฉันเคยเห็นนายนี่” เด็กผู้หญิงกอดเข้า แล้วจู่ก็ยิ้มหวานพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“ช่วย…”


ซย่าจื้อพยายามยื่นมือหาเธออย่างสุดชีวิต และตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออย่างยากลำบาก


เขาไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้โผล่มาจากไหน แต่เขาจะมาตายอยู่ที่นี่เพราะเด็กผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร!


ไม่ยอม! เขาไม่ยอมเด็ดขาด!


“อา ใช่สิ” เด็กผู้หญิงมองไปที่มือของซย่าจื้อ แล้วเอียงคอพูดว่า “หลิงม่อเป็นคนส่งฉันมาล่ะ”


“อึกอึกอึก…” ดวงตาของซย่าจื้อเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม หลิงม่อ?!


“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่เอาเป็นว่าเขาบอกให้ฉันมาจัดการนายซะ เป็นไงล่ะ นายว่าวิธีจัดการของฉันเข้าท่าไหมล่ะ?” เด็กสาวถามอย่างหน้าชื่นตาบาน


“ช่วย…”


ซย่าจื้อพยายามยื่นมือออกไปสุดแขน ดวงตาทั้งคู่ปูดโปน


เด็กผู้หญิงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร้อง “อ๋อ” ออกมาอย่างนึกขึ้นได้ เธอยื่นมือเล็กๆ ของตัวเองออกไป


เธอทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วก็ดึงแขนเสื้อตัวเองลงมาคลุมถึงฝ่ามือ แล้วค่อยๆ ยื่นออกไปอีกครั้ง


“ป๊าบ” เด็กสาวแปะมือกับเขาเสียงดัง…


และหลังจากที่มองดูเด็กผู้หญิงลดมือลงพร้อมดวงหน้าเปื้อนยิ้ม มือของซย่าจื้อกลับยังคงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ


ในดวงตาที่กำลังเบิกกว้างของเขา เต็มไปด้วยความอัปยศและคับข้องใจ แต่กลับค่อยๆ สูญสิ้นพลังแห่งชีวิตไปอย่างช้าๆ…


ร่างกายที่ตึงเกร็งของซย่าจื้อค่อยๆ อ่อนแรงลง เด็กสาวเห็นอย่างนั้นก็สะบัดมือสองสามที แล้วลุกขึ้นยืน


“โครม!”


ศพของซย่าจื้อร่วงลงกับพื้น ส่วนเด็กสาวก็กระโดดไปยังอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง และทิ้งตัวลงบนร่างหมีแพนด้ากลายพันธุ์ขนาดใหญ่ได้อย่างพอดี


“ไปกันเถอะเสี่ยวป๋าย ต้องขอบคุณแกและเฮยซือแท้ๆ ที่ทำให้พวกเราไม่คลาดกับหมอนั่น เอ่อ ใช่สิ พวกแกเห็นหรือเปล่า มนุษย์คนนี้พอใจกับวิธีจัดการของฉันมากเลยล่ะ! ฮิฮิ…” ไม่นานเสียงใสๆ ของเด็กผู้หญิง ก็ลอยละล่องไปตามสายลมจนหายไปในที่สุด


………..


“ฮะฮะ…”


ขณะเดียวกับที่วางร่างสวี่ซูหานลง จู่ๆ หลิงม่อก็เงยหน้าขึ้น แล้วทำสีหน้าครุ่นคิด


“มีอะไรหรอ?” มู่เฉินถามอย่างอ่อนไหว


“คือว่า…” หลิงม่อหันกลับไปมองมู่เฉิน แล้วบอกว่า “นายจะไม่ได้เห็นหน้าซย่าจื้ออีกต่อไปแล้วล่ะ”


“อะไรนะ?” มู่เฉินเบิกตากว้าง


เขานิ่งงันไปหลายวินาทีเต็มๆ แล้วจึงค่อยได้สติกลับคืนมา “แต่ว่า…”


“ช่วยอะไรหน่อย ออกไปสำรวจสถานการณ์โดยรอบที” หลิงม่อบอก


มู่เฉินยังอ้าปากอยู่อย่างนั้น แต่หลิงม่อกลับโบกมือไล่เขา “รีบไปสิ”


ขณะที่กำลังหันเดินกลับไปทางประตู มู่เฉินยังคงมีสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่อย่างนั้น


ในสมองของเขากำลังตะโกนก้องว่า “เกิดอะไรขึ้น?!” ซ้ำไปซ้ำมา


“พี่หลิง แบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ?” ซย่าน่ามองดูแผ่นหลังของมู่เฉินหายไปจากประตู แล้วหันมาถามหลิงม่อ


“ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่มีทางรู้อยู่แล้ว อีกอย่างถึงจะรู้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ” หลิงม่อพูดอย่างไม่สนใจ “มา ช่วยลากโซฟาตัวนั้นมาที”


ซย่าน่ารีบหันไปยื่นมือช่วยเย่เลี่ยนทันที แต่ปากก็ยังพูดต่อว่า “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ จากไอคิวของมนุษย์คนนั้น ฉันไม่ห่วงเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ฉันหมายถึง ให้อวี๋ซือหรานทำเรื่องอย่างนี้จะดีหรอ?”


หลิงม่อครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ถึงแม้วัดจากอายุ เธอจะยังเป็นโลลิน้อยอยู่ แต่เธอไม่ใช่มนุษย์ซักหน่อยนี่…”


“หา? พี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ…ฉันหมายถึงว่า” ซย่าน่าหันมาทางเขา ดวงตาหรี่เล็กลง “เรื่องดีๆ แบบนี้ พี่กลับยกให้เธอเป็นคนทำง่ายๆ อย่างนี้เนี่ยนะ…”


“โอเค…” หลิงม่อกระแอมสองสามครั้ง แล้วบอกว่า “สถานการณ์เมื่อกี้ มีแค่เธอที่จะไปทำเรื่องนั้นได้”


“ไม่ได้อยากจะให้มนุษย์คนนั้นได้รับบทลงโทษที่หนักกว่าหรอกหรอ?” ซย่าน่าถาม


เย่เลี่ยนเงยหน้ามองเขา แล้วเผยสีหน้าอยากรู้ออกมา


“ด้วยนิสัยของอวี๋ซือหราน น่าจะทำให้หมอนั่นโมโหจนตายได้เลย ถึงจะไม่ใช่ แค่เรื่องที่ถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตาย ก็ทำให้เขาคับข้องใจมากพอแล้วมั้ง?” ซย่าน่าวิเคราะห์


หลิงม่อครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ฉันไม่ชอบถูกใครวางแผนปั่นหัว”


“ปั่นหัว…คืออะไร?” จู่ๆ เย่เลี่ยนก็ถาม


“ก็คือ…ประมาณว่าทำเรื่องอะไรบางอย่างลับหลังฉันไงล่ะ” หลิงม่อบอก


“อืม…” เย่เลี่ยนพยักหน้าอย่างมึนๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตา


เธอยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองอย่างลังเลเล็กน้อย แล้วซุกมือตัวเองเข้าไปในกระเป๋า


“เธอทำอะไรน่ะ?” จู่ๆ หลี่ย่าหลินก็ยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังเธอ


“อ๊ะ…” เย่เลี่ยนรีบดึงมือออกมา เธอเบิกตากว้าง แล้วส่ายหน้าแรงๆ “เปล่า…


“มา หลิงม่อบอกให้พวกเราลากเจ้านี่ไปด้วย” หลี่ย่าหลินชี้นิ้วไปทางหมายเลข 1 ที่อยู่ข้างหลัง


หลิงม่อวางสวี่ซูหานลงบนโซฟาอย่างระมัดระวัง หลังจากมองเธออยู่ครูหนึ่ง เขาก็ยื่นมือออกไปดันศีรษะของเธอให้หันไปอีกทาง


รูแผลบนลำคอมีทั้งหมดห้ารู สี่ในห้าอยู่ฝั่งเดียวกัน เลือดยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้รอบปากแผลก็เริ่มดำขึ้นแล้ว


“เริ่มแล้วสินะ…” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด


เชื้อไวรัสอันแข็งแกร่งจะทำให้มนุษย์รับรู้รสชาติของเนื้อกายที่เน่าทั้งเป็นได้อย่างชัดเจน และความรู้สึกอย่างนี้ ก็ทรมานยิ่งกว่าตายหลายเท่านัก


ถ้าหากเธอแค่ติดเชื้อธรรมดา เรื่องก็คงจะง่ายกว่านี้หน่อย…


ถึงแม้เธอจะไม่อยากกลายเป็นซอมบี้มากแค่ไหน แต่ต้องมีซักวันที่เธอจะได้ความจำกลับคืนมา ถึงแม้การได้ความจำกลับคืนมา จะไม่ได้แปลว่าได้ความรู้สึกกลับคืนมาก็ตาม…


“แต่ถ้าเธอกลายพันธุ์ แล้วเราจะพาเธอไปด้วยหรอ?” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วรีบสะบัดหัวแรงๆ เพื่อเรียกสติให้กลับมาจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าก่อน


“ตอนนี้เธอติดเชื้อไวรัสจากหายเลข 1 และเชื้อไวรัสชนิดนี้ก็ได้ผ่านการวิวัฒนาการอีกหนึ่งครั้งตอนที่อยู่ในร่างกายของมัน มันได้แตกต่างออกไปจากเชื้อไวรัสจากร่างแม่แล้ว แต่รากสาเหตุน่าจะเหมือนกัน” หลิงม่อครุ่นคิด “ในร่างกายของเธอก็มีเชื้อไวรัสที่เป็นของตัวเธอเองอยู่…ทว่าตอนนี้เห็นชัดว่าเชื้อไวรัวของหมายเลข 1 ได้ควบคุมร่างกายภายในของเธอไว้หมดแล้ว”


การยับยั้งเชื้อไวรัส อาจมีวิธีเดียวคือให้สวี่ซูหานหลีกเลี่ยงการเน่าเปื่อยเท่านั้น


ความจริงในสมองหลิงม่อมีความคิดที่ไม่ค่อยเข้าท่านัก แต่หากไม่ลองวิธีนี้ ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว


“สวี่ซูหาน เธอได้ยินใช่ไหม นี่ ตื่นเร็ว”


หลิงม่อนั่งลงข้างๆ สวี่ซูหาน แล้วตะโกนเรียกอยู่ข้างหูเธอ


“ฉันเอง ฉันหลิงม่อ” เขาตะโกนหลายครั้งติดต่อกัน แต่สวี่ซูหานก็ยังคงเหม่อมองท้องฟ้าอยู่อย่างเดิม


“เธอสิ้นหวังมาก” ซย่าน่าพูดแทรกขึ้น


แต่พอหลิงม่อหันไปมองเธอ เด็กสาวผมยาวดำขลับก็เดินไปอีกทาง เพื่อเตรียมสิ่งของอย่างอื่นแล้ว


“เธอฟังอยู่ไหม? ฟังให้ดีนะ ฉันอยากช่วยเธอ ถ้าเธอตกลง ก็พูดอะไรหน่อย” หลิงม่อบอก


ครั้งนี้ในที่สุดสวี่ซูหานก็มีปฏิกิริยาตอบสนองบ้างแล้ว เธอกลอกตาไปมาเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ หันมามองหลิงม่อ “นายว่าอะไรนะ?”


“ฉันบอกว่า ฉันมีวิธีหนึ่ง ที่อาจจะช่วยเธอได้ แต่มีมันความเสี่ยงอยู่” หลิงม่อบอก


สวี่ซูหานจ้องหลิงม่อ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


และตอนนี้หลิงม่อก็สังเกตเห็น ว่าดวงตาของเธอเริ่มแดงขึ้นแล้ว


ตามคาด เธอติดเชื้อแล้วจริงๆ…


“มันจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกล่ะ…” สวี่ซูหานพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น…ขอบคุณนายล่วงหน้าแล้วกัน”


“ขอบคุณกันเร็วเกินไปแล้ว” หลิงม่อพูด


“ไม่แน่อีกเดี๋ยวอาจไม่มีโอกาสได้พูดแล้ว” สวี่ซูหานมองหลิงม่อ แล้วฝืนฉีกยิ้มออกมา


แวบหนึ่ง หลิงม่อรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาอดหันไปมองที่ซย่าน่าไม่ได้


ซย่าน่าในตอนนั้น ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันสินะ?


เพียงแต่ว่านิสัยของเธอและสวี่ซูหานแตกต่างกัน สวี่ซูหานนั้นนั่งรอคำพิพากษาชีวิตอย่างสิ้นหวัง แต่ซย่าน่ากลับลุกขึ้นต่อต้านโชคชะตาด้วยตัวเอง


แต่ไม่ว่าอย่างไร เด็กสาวที่ต้องการฆ่าตัวตายก่อนที่จะกลายพันธุ์ในตอนนั้น กับผู้หญิงที่สิ้นหวังในตอนนี้ ต่างก็ประสบกับเรื่องราวเดียวกันอยู่…


“บอกไว้ก่อนนะ ว่าฉันคิดค่าบริการ” หลิงม่อพูดเสียงเบา


สวี่ซูหานหลับตา อดกระดกมุมปากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ “อื้ม”


หลิงม่อหันกลับไปมองเย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลิน แล้วก้มหน้ามองหมายเลข 1 “งัดปากมันออก”


“ฉึบ!”


หลี่ย่าหลินล้วงไขควงออกมาหนึ่งด้าม จากนั้นก็นั่งลงไป


หลิงม่อกระพริบตาปริบๆ “ที่บอกให้งัดไม่ได้หมายถึงงัดอย่างนั้น…ช่างเถอะ ทำต่อไปเถอะ”


—————————————————————————–


บทที่ 637 นี่เป็นการป้องกันตัวที่สมเหตุสมผล!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“งืมม…”


หมายเลข 1 ยังคงอยู่ในห้วงสลบไสล หลังปากถูกงัดเปิด มันก็ดิ้นขัดขืนตามสัญชาตญาณเพียงสองสามครั้ง จากนั้นก็แน่นิ่งไป


หลิงม่อนั่งลงตรงหน้ามัน เขาล้วงคริสตัลสีแดงกึ่งโปร่งใสออกมาจากกระเป๋าเสื้อหนึ่งก้อน จากนั้นก็เอาน้ำออกมาอีกหนึ่งขวด


“นางพญา?” หลี่ย่าหลินสูดจมูก ดวงตาพลันประกายวาววับ


“ชู่ว” หลิงม่อหันหลังไปมองสวี่ซูหาน พอเห็นเธอยังคงหลับตาอยู่ เขาก็หันกลับไปเอาคริสตัลก้อนนั้นใส่เข้าไปในน้ำ แล้วบอกเสียงเบาว่า “เอาเจ้านี่ไปลองดู”


หลี่ย่าหลินเองก็ทำท่าลับๆ ล่อๆ เลียนแบบหลิงม่อ จากนั้นก็กระซิบกระซาบถามเสียงเบา “ลองอะไร?”


ไม่ได้มีเพียงแค่เธอ เย่เลี่ยนกับซย่าน่าเองก็ทำหน้าสงสัยเช่นกัน


“รอดูเถอะ”


หลิงม่อเขย่าขวดน้ำช้าๆ จากนั้นก็ก้มหน้าดมตรงปากขวด “ได้แล้ว”


เขาเอาปากขวดไปจ่อปากใหญ่ๆ ที่กำลังอ้ากว้างของหมายเลข 1 อย่างระมัดระวัง และเทน้ำลงไปในปากของมันที่ความสูงประมาณสิบเซนติเมตร


หลังจากเทลงไปประมาณครึ่งขวด หมายเลขหนึ่งไอสำลักสองสามที แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เกิดขึ้น


หลิงม่ออดทนรออย่างใจเย็นต่ออีกสิบกว่าวินาที แล้วจึงล้วงนางพญาอีกก้อนออกมา


ที่เขาออกมาครั้งนี้ กลับเป็นรางวัลจากการสู้กับซอมบี้เจ้าเมืองเมื่อไม่นานมานี้เอง


พอเอาก้อนไวรัสนางพญาของซอมบี้เจ้าเมืองใส่ลงไปในน้ำ กลิ่นเชื้อไวรัสก็โชยออกมาทันที


“ลองเจ้านี่ดูอีกที” หลิงม่อเขย่าขวดอีกครั้ง จากนั้นก็เอาน้ำที่เจือปนเชื้อไวรัสเทใส่ปากหมายเลข 1 อีกครั้ง


เมื่อกี้เขาใช้ไวรัสนางพญาของชนชั้นสูง แต่พอเอามาแช่น้ำแล้วดื่มกลับไม่ได้ผลอะไรเลย


ความจริงหากวัดกันแค่ระดับ ดูเหมือนหมายเลข 1 จะอยู่แค่ระดับซอมบี้กลายพันธุ์หรือไม่ก็ซอมบี้วิวัฒนาการเท่านั้น


ที่มันแข็งแกร่งขนาดนี้ อาจเป็นไปได้มากว่าเป็นเพราะเขาเป็นผู้มีความสามารถพิเสษมาก่อน


ทว่าจากมุมมองของหลิงม่อ ถึงแม้มันจะยังใช้ความสามารถพิเศษบางส่วนได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่สติเลอะเลือน มันไม่มีทางแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของพลังพิเศษได้


แต่เทียบกับผู้มีความสามารถพิเศษทั่วไป ความกล้าบ้าบิ่นไม่กลัวตายของมันกลับทำให้มันน่ากลัวกว่ามาก…


ส่วนระดับความเข้มข้นของเชื้อไวรัวในร่างกาย มันด้อยกว่าซอมบี้ระดับเจ้าเมืองอยู่หลายขุม แม้กระทั่งเปรียบเทียบกับซอมบี้ชนชั้นสูง ก็ยังห่างชั้นอีกไกล


ถ้าหากเอาก้อนไวรัสนางพญาของซอมบี้ชนชั้นสูงก้อนเมื่อกี้ยัดใส่ปากมันโดยตรง มันต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองแน่นอน แต่หากทำอย่างนั้นมันจะเป็นการสิ้นเปลืองสำหรับหลิงม่อ


“ครั้งนี้น่าจะได้ผลแล้วนะ”


หลังที่เทหมด หลิงม่อก็เริ่มสังเกตปฏิกิริยาของหมายเลข 1


ในฐานะซอมบี้ ผลกระทบที่มันได้รับจากเชื้อไวรัสแสดงอาการให้เห็นเร็วกว่าตอนที่คนทั่วไปติดเชื้อมาก


เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งนาที จู่ๆ หมายเลข 1 ที่แน่นิ่งมาโดยตลอดพลันขดงอร่างกายท่อนบน มันเบิกดวงตาสีแดงเลือดกว้าง แล้วเปล่งเสียงคำรามแหบต่ำ


กล้ามเนื้อตึงเกร็งบนร่างกายของมันราวกับกำลังปูดโปนขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นกระดูกก็เคลื่อนดัง “กร๊อบๆ” อย่างต่อเนื่อง


“อ๊ากกก!”


มันเพิ่งจะกระโดดลุกขึ้นยืน ก็ต้องล้มลงไปอีกครั้ง เหมือนชนเข้ากับเชือกสายป่านที่มองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น


ไม่รอให้มันลุกขึ้นมาอีกครั้ง ปากของมันถูกบังคับให้อ้ากว้าง เลือดสีดำจำนวนหนึ่งทะลักออกมาจากคอหอยของมัน


หลังจากที่กระตุกสั่นอยู่ไม่กี่ครั้ง ร่างกายของหมายเลข 1 ก็แน่นิ่งไม่ไหวติงอีก


“โชคดีที่เตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว” หลิงม่อถอนหายใจแรงๆ หนึ่งที ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว แล้วพูดขึ้น


หลิงม่อเอาน้ำออกมาอีกหนึ่งขวด ก้อนไวรัสนางพญาของซอมบี้เจ้าเมืองถูกเขาเอาแช่น้ำอีกครั้ง


ครั้งนี้เขาเขย่าแค่สองที ก็รีบเอาไวรัสนางพญาออกมาทันที จากนั้นก็ถือขวดน้ำเดินไปหาสวี่ซูหาน


“มา ลุกขึ้นมา” เขาประคองให้สวี่ซูหานลุกขึ้นนั่ง ผู้หญิงคนนี้เพียงขยับเปลือกตาขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าอย่างอ่อนแรง


ดวงตาของเธอแทบจะแดงสนิทแล้ว สติก็เริ่มเลื่อนลอยมากขึ้นเรื่อยๆ


อย่างมากที่สุดก็ภายในสามนาทีนี้ เธอจะต้องถูกเชื้อไวรัสกัดกร่อนไปทั่วทุกส่วน และร่างกายก็จะเริ่มเน่าเปื่อย


และในระหว่างนั้น เธอกลับจะมีสติชัดเจนที่สุด


นี่มันน่ากลัวกว่าการกลายพันธุ์ทั่วไปมาก…


“ดื่มเจ้านี่ซะ” หลิงม่อส่งขวดน้ำไปไว้ใกล้ปากเธอ เธอขยับปากเล็กน้อย แต่เพิ่งจะกลืนลงไปอึกเดียว เธอก็เริ่มไออย่างรุนแรงขึ้นมาทันที


“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลิงม่อถามอย่างร้อนรน


หลังจากที่ไอเสร็จ สวี่ซูหานก็พิงกลับเข้าไปในอ้อมกอดของหลิงม่ออย่างอ่อนแรงอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าเบาๆ


แม้หลิงม่อจะไม่เคยผ่านขั้นตอนการกลายร่างโดยสมบูรณ์ แต่เขาก็เคยได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสมาเหมือนกัน


บางที ตอนนี้ร่างกายของสวี่ซูหานอาจกำลังได้รับบททดสอบที่แตกต่างกันสุดขั้วพร้อมกันก็ได้


ด้านหนึ่งคือเลือดในกายที่กำลังเดือดพล่าน อีกด้านคือเรี่ยวแรงที่แห้งเหือด จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้…


หลังทรมานอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดสวี่ซูหานก็ดื่มน้ำเข้าไปจนหมด แต่ทว่าคำสุดท้ายยังไม่ทันได้กลืนถึงท้อง จู่ๆ เธอก็เบิกตากว้าง


“กรี๊ดดด…”


เธอกรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ มือสองข้างขยุ้มโซฟาแน่น ร่างกายโก่งงอขึ้นข้างบน


ในดวงตาที่เบิกกว้างคู่นั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดเล็กๆ และท่ามกลางการสังเกตการณ์ของหลิงม่อ ดวงแสงแห่งจิตของเธอก็กำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


มู่เฉินที่เฝ้าอยู่ข้างนอกหันกลับไปมองหลายครั้ง และสุดท้ายเขาก็อดกลั้นเอาไว้ได้


สถานการณ์ในตอนนี้ เขาช่วยอะไรไม่ได้เลยจริงๆ…


“เป็นอะไรไป?” ซย่าน่าถาม


หลิงม่อจ้องสวี่ซูหานเขม็ง แล้วตอบว่า “เชื้อไวรัสกำลังต่อสู้กันอยู่ในร่างกายของเธอ”


“สู้กัน?” เย่เลี่ยนพูดทวนอย่างสงสัย


“อื้ม” หลิงม่อพยักหน้า “ยังจำได้ไหมที่บอกว่าเชื้อไวรัสเกิดจากแหล่งเดียวกัน? ตอนนี้ในร่างกายของเธอมีเชื้อไวรัสอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามชนิด ถึงแม้มาจากแหล่งเดียวกัน แต่ทิศทางวิวัฒนาการกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เห็นชัดว่าเชื้อไวรัสส่วนที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ ไม่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสของหมายเลข 1 ได้ แต่เชื้อไวรัสของหมายเลข 1 ก็กำลังจะถูกเชื้อไวรัสของซอมบี้ระดับเจ้าเมืองเข้าข่มเหมือนกัน อย่างนี้ถือว่าเป็นการต่อสู้ภายใน…แน่นอน ทิศทางวิวัฒนาการของซอมบี้เจ้าเมืองนั้นออกจะพิสดารหน่อย ทว่าหลังจากผ่านการเจือจาง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก…”


“ทำไมฟังดูยุ่งยากจัง…ถ้าอย่างนั้น พี่ก็อยากให้เชื้อไวรัสสามชนิดนี้หาจุดสมดุลให้ได้อย่างนั้นหรอ?” ซย่าน่าเข้าใจประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว


หลิงม่อมองหน้าเธอ แล้วบอกว่า “ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ความจริงฉันเองก็เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องร่างสมบูรณ์ เชื้อไวรัสพลังพิเศษ และเชื้อไวรัสซอมบี้ในตัวฉันคงจะอยู่ในจุดสมดุลแล้วสินะ? ถึงแม้จะไม่เท่าเทียมกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นกดข่มโดยสมบูรณ์ ฉันก็เลยยังมีสติชัดเจนอยู่อย่างนี้ แล้วยังสามารถทำให้ศักยภาพร่างกายพัฒนาขึ้นอีกด้วย แต่กรณีของฉันเกิดจากการดูดกลืนในปริมาณน้อยมาเป็นเวลานาน ซึ่งใช้ไม่ได้กับเธอ”


“แล้วพนายคิดจะทำอะไรกันแน่?” หลี่ย่าหลินเองก็ยื่นหน้าเข้ามาถามอย่างสงสัยเช่นกัน


“แค่ฝืนทำให้เชื้อไวรัสของหมายเลข 1 และเชื้อไวรัสของซอมบี้เจ้าเมืองสมดุลกันก็พอแล้ว หากทำได้เธอก็น่าจะประคับประคองอาการให้อยู่…ในระหว่างติดเชื้อและไม่ติดเชื้อได้” หลิงม่อพูดพร้อมบีบคาง


ซย่าน่าครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ “เหมือนกับฉันตอนนั้น…”


“อื่ม ประมาณนั้น” หลิงม่อพยักหน้า


ทว่าตอนนั้นเขาไม่ได้คิดรอบคอบขนาดนี้ ขั้นตอนก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก


พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็มองซย่าน่าอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย


ใครจะรู้ว่าซย่าน่าเองก็กำลังมองเขาเหมือนกัน ทั้งสองสบตากัน ซย่าน่านิ่งอึ้ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา


“แค่กๆ…”


หลิงม่อหันไปมองสวี่ซูหาน เห็นชัดว่าตอนนี้เธอไม่ได้ยินที่คนรอบข้างคุยกันเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอได้เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งเต็มตัวแล้ว


แค่ดูจากเล็บที่จิกลึกเข้าไปในเนื้อโซฟา ก็ดูออกแล้ว


ทว่าร่างกายของเธอยังไม่ปรากฏร่องรอยของการเน่าเปื่อย ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องดี


“กรี๊ดดด!


เธอร้องเสียงแหลมไม่หยุด ร่างกายดิ้นพล่านอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามีบางอย่างต้องการมุดออกมาจากร่างกายของเธออย่างสุดชีวิต


ระหว่างนั้น หลิงม่อได้เทน้ำเจือปนเชื้อไวรัสให้เธอดื่มอีกสองอึก หลังจากที่ทรมานอยู่ห้านาทีเต็มๆ ในที่สุดเธอก็หมดแรง และล้มตัวลงนอนบนโซฟา


“สำเร็จแล้ว?” หลิงม่อกระเถิบเข้าไปดูอย่างระมัดระวัง เขายื่นมือออกไปจับไหล่สวี่ซูหานแล้วลองเขย่าสองสามที


สวี่ซูหานที่เบิกตากว้างอยู่ในตอนนี้ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อทั้งตัว เส้นผมแนบติดอยู่กับพวงแก้ม บนเนินอกที่โผล่พ้นเนื้อผ้าออกมาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อมากมาย


ใต้เสื้อคลุมชั้นนอกคือเสื้อยืดบางๆ ที่แนบติดอยู่กับผิวหนัง จนเผยให้เห็นเค้าโครงของเสื้อชั้นในอย่างเด่นชัด


และในระหว่างที่เธอดิ้นพล่านเมื่อกี้ เสื้อตัวนอกของเธอก็ถูกทำให้อยู่ผิดที่ผิดทางไปหมด แม้แต่ไหล่กลมมนก็โผล่พ้นออกมาอยู่ด้านนอก


“อา…” สวี่ซูหานขยับกลีบปากเล็กๆ เปล่งเสียงแห้งแหบออกมาจากลำคอ


“มีสติอยู่ไหม?” หลิงม่อโบกมือไปมาตรงหน้าสวี่ซูหาน


ดวงตาสีแดงจางๆ ของสวี่ซูหานกลอกมองไปมาตามนิ้วมือของหลิงม่อ จากนั้นก็ค่อยๆ หันมามองเขา “อา…เนื้อ…”


พูดไปเธอก็คว้าข้อมือหลิงม่อหมับ แล้วดึงเข้าลงไปอย่างแรง


ถึงแม้หลิงม่อจะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะมีแรงมากขนาดนี้ เขาเพียงร้อง “โอ๊ย” เสียงเดียว ใบหน้าของเขาก็กระแทกเข้ากับภูเขานุ่มนิ่มสองลูกที่รองรับอยู่ด้านล่างแล้ว


“เดี๋ยวก่อน!”


สวี่ซูหานอ้าปาก แต่เธอกลับไม่ได้งับเขา เพราะหนวดสัมผัสสองเส้นได้ดึงเธอไว้ก่อนแล้ว


หลิงม่อรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ปรากฏว่าระหว่างนั้นฝ่ามือของเขาดันไปกดทับหนึ่งในสองภูเขานั้นอย่างจัง


และนั่นกลับทำให้สวี่ซูหานมีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอกรีดร้องเสียงแหลมโดยอัตโนมัติ เบิกตาสีแดงอ่อนๆ กว้าง แล้วตะโกนเสียงแหบแห้ง “ทำ…ทำอะไรน่ะ!”


“ที่แท้ก็อ่อนไหวกับเรื่องอย่างนี้เป็นพิเศษ…” หลิงม่อรีบยกมือขึ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างรวดเร็ว แต่ปากกลับอดพึมพำออกมาไม่ได้


ด้านหลังกลับแว่วเสียงสนทนาของเหล่าซอมบี้สาวลอยมา—


“อะไรคือเรื่องอย่างนี้?”


“ก็ถูกข่มขืนไง…”


“หรือไม่ก็ถูกทำอย่างนั้นอย่างนี้ล่ะมั้ง…”


“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ!” หลิงม่อหันกลับไปคำรามใส่ “มันคือการป้องกันตัวที่สมเหตุสมผลเท่านั้น!”


ทว่าความเจ็บปวดที่จู่โจมสมองอย่างรุนแรงทำให้สวี่ซูหานละความสนใจออกจากมนุษย์ผู้นี้ เธอเบิกตากว้าง ท่าทางเลื่อนลอยไร้สติอีกครั้ง


“ตกลงว่าสภาพเธอตอนนี้…ถือว่าติดเชื้อโดยสมบูรณ์แล้วหรือยัง?” ซย่าน่ากระเถิบเข้าไปดู แล้วถาม


“รออีกพักหนึ่งก็จะรู้เอง แต่ถึงยังไงก็ไม่น่าจะอดทนได้นาน ช้าเร็วอย่างไรเธอก็ต้องสูญเสียสติรู้คิด” หลิงม่อยื่นมือออกไป แล้วจัดเสื้อนอกที่ยุ่งเหยิงของเธอให้เข้าที่เงียบๆ


“แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?” หลี่ย่าหลินถามอย่างสงสัย


เธอไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของชีวิตสวี่ซูหาน แต่เกิดจากความสนใจที่มีต่อเรื่องนี้ล้วนๆ


กลับเป็นปฏิกิริยาของซย่าน่า ที่ทำให้หลิงม่อรู้สึกว่า เหมือนเธอจะเข้าใจหัวอกสวี่ซูหาน…แต่เดาว่าตัวเธอคงไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้


หลิงม่อล้วงมือถือที่ได้มาจากศพของเฉินเล่อ กดเปิดเครื่อง ปากก็พูดว่า “ก็สำนักงานใหญ่ของนิพพานมีกลุ่มนักทดลองอยู่ไม่ใช่หรอ?”


—————————————————————————–


บทที่ 638 ทิ้งของเรี่ยราดมักมีปัญหาตามมาทีหลัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิงม่อค้นหาข้อมูลในมือถืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็หาแอพพลิแคชั่นแผนที่ออฟไลน์เจอ


“ตรงนี้ก็ไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลยนี่…” หลิงม่อค้นไปค้นมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น


“มา ฉันขอดูหน่อย” ซย่าน่าฉวยมือถือจากมือเขาไป เธอดูไปด้วยถามไปด้วย “พี่ไม่เคยใช้แอพฯ แบบนี้หรอ?”


หลิงม่อรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาทันที “ฉันไม่ได้เปลี่ยนมือถือมาหลายปีแล้วน่ะ”


“มือถือที่มีแอพฯ แผนที่ออฟไลน์แบบนี้น่ะ ปกติจะมีระบบนำทางอัตโนมัติอยู่แล้ว ถึงแม้หากไม่อัพเดทก็จะไม่ได้รับข้อมูลเส้นทางล่าสุดก็ตาม แต่ถ้าหากใช้ดูเส้นทางคร่าวๆ ก็พอใช้ได้อยู่” ซย่าน่าบอก “ดูนี่ หลังจากเปิดระบบนำทาง ก็จะเห็นบันทึกข้อมูล…”


“เธอจัดการเถอะ” หลิงม่อเกาหัวแกรกๆ แล้วบอก


ซย่าน่าเงยหน้ามองเขา แล้วส่ายหัวบอกว่า “พี่นี่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องมาตลอดสินะ…”


“ก็งานฉันจำเป็นต้องทำงานในห้องนี่!” หลิงม่อพูดอย่างจริงจัง


“เสร็จแล้ว” ซย่าน่ามองข้ามคำอธิบายของหลิงม่อ เธอยื่นมือถือมาตรงหน้าหลิงม่อ “ในนี้บอกไว้ว่าก่อนที่เขาจะถึงเมืองตงหมิง ระหว่างทางเขาผ่านอำเภอซินหลาน เมืองเฮยสุ่ย…”


“เดี๋ยวนะ ซินหลาน?” หลิงม่อรีบมองไปที่หน้าจอมือถืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้มือแตะจุดสีดำที่อยู่ใกล้ๆ อำเภอซินหลาน “นี่มันเมืองชุ่ยหูไม่ใช่หรอ?”


“ใช่ ซินหลานคงจะเป็นหนึ่งในอำเภอที่อยู่ใต้การปกครองของเมืองชุ่ยเหอ” ซย่าน่าพยักหน้า


“เฮยสุ่ย…นี่มันออกนอกมณฑลแล้วไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อมองตามจุดลงไปเรื่อยๆ แล้วพูดขึ้น


“อืม ตรงนั้นถือว่าเป็นมณฑลใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์รวม ประชากรแน่นหนา มณฑลเล็กๆ รอบด้านก็เจริญคับคั่ง ไม่เหมือนที่นี่ที่มีภูเขาเยอะ” ซย่าน่าอธิบาย


หลิงม่อจ้องแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกโชคดีจากก้นบึ้งหัวใจ


โชคดีที่ข้างกายมีเด็กเรียนอยู่ด้วย แถมยังความจำดีสุดๆ ด้วย…


“เป็นยังไงบ้างแล้ว!” เสียงตะโกนของมู่เฉินดังมาจากด้านนอกประตู ในที่สุดเขาก็รอต่อไปไม่ไหวแล้ว


หลิงม่อรีบเก็บไวรัวนางพญา แล้วหันไปโบกมือให้พวกหลี่ย่าหลินทันที


เหล่าซอมบี้สาวรู้งาน รีบควักก้อนเหนียวหนืดของหมายเลข 1 ออกมาทันที จากนั้นก็ลากศพไปไว้อีกทาง


พอกลิ่นเลือดโชยออกมา ลมหายใจของสวี่ซูหานก็พลันกระชั้นถี่ขึ้นมาทันที


ซย่าน่าแบกศพแล้วทำท่าครุ่นคิด โยนศพออกนอกหน้าต่างไปเลยดีกว่า


“โครม!”


เสียงศพกระทบพื้นดังมาแต่ไกล หลิงม่อพลันตกตะลึง “เฮ้ยย!”


ซย่าน่าพยักพเยิดไปทางสวี่ซูหานแล้วบอกว่า “ก็ตรงนั้นมีน้องใหม่ที่ยังควบคุมตัวเองไม่ได้นี่นา เธอกำลังตกมันกับเนื้อคนได้ที่เชียวล่ะ”


“ตกมันอะไรกัน…” หลิงม่อหมายจะบ่น แต่ก็พบว่าสวี่ซูหานกำลังกัดเม้มริมฝีปากอย่างอดกลั้นสุดขีด ร่างกายของเธอดิ้นพล่านอย่างรุนแรงภายใต้การถูกมัดจากหนวดสัมผัส มือทั้งสองข้างตะกุยโซฟาไปทั่ว


“จริงด้วย…” หลิงม่อพยักหน้า แล้วก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง


ฟังไปฟังมา ก็เท่ากับว่าเมื่อกี้สวี่ซูหาน “ตกมัน” กับร่างกายเขางั้นหรอ?


“คิดอะไรนะเรา…” หลิงม่อดึงสติกลับมาทันที แล้วเขาก็ยื่นมือไปช่วยสวี่ซูหานดึงเสื้อนอกลงดีๆ


เสียงเคาะประตูรัวๆ ดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง “เฮ้ย พวกนายเร็วหน่อย!”


หลิงม่อเพิ่งจะตะโกนกลับไปว่า “เสร็จแล้ว” มู่เฉินก็รีบเปิดประตูเข้ามาอ่างไม่ชักช้า สีหน้าของเขาดูกระวนกระวาย “เร็วเข้า! คนของนิพพานมาแล้ว!”


“หาเจอได้ยังไง?” หลิงม่อตกใจ แล้วจู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หลิงม่อรีบวิ่งไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก


พอมองออกไป หลิงม่อก็ถึงกับพูดไม่ออก


ศพของหมายเลข 1 กำลังนอนแบ็บอยู่บนพื้น ด้านข้างก็มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ และชายคนหนึ่งในกลุ่มกำลังเงยหน้ามองขึ้นมาพอดี


เดาว่าความสามารถในการมองเห็นของคนคนนี้ต้องไม่เลวเลยทีเดียว หลิงม่อเพิ่งจะเผยตัวให้เห็น เขาก็รีบชี้ขึ้นมาข้างบนทันที


“รีบไปเถอะ” หลิงม่อรีบหมุนกาย แล้วตะโกนบอก


ขณะที่เดินผ่านซย่าน่า เขายกมือขึ้นหยิกจมูกเธอเบาๆ แล้วบอกว่า “จำบทเรียนนี้ไว้ดีๆ ล่ะ!”


“เข้าใจแล้ว…ต่อไปฉันจะไม่ทิ้งของเรี่ยราดแล้ว” ซย่าน่าเบะปากพูด


“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี” หลิงม่อประคองสวี่ซูหานขึ้น จากนั้นก็มองซ้ายมองขวารอบหนึ่ง บอกว่า “ไปทางนี้”


คนของนิพพานตั้งใจออกมาตามหา ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องตามหาพวกเขาเจออยู่ดี


ตามหลักแล้ว หลังจากที่ฆ่าเฉินเล่อเขาควรหนีไปให้ไกลที่สุด ยิ่งไกลยิ่งดี แต่เพราะมีเรื่องสวี่ซูหานเข้ามา พวกเขาจึงจำเป็นต้องหาที่พักชั่วคราวแถวๆ นี้ก่อน


ตรงนี้อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่ไกล ตำแหน่งก็อยู่นอกเขตไฟไหม้พอดี จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นสถานที่สำคัญในการค้นหา


“มีใครมาบ้าง?” หลิงม่อพาทุกคนวิ่งไปทางห้องบันได พลางถาม


มู่เฉินกุมท้องแล้ววิ่งตามอยู่อีกข้างหนึ่ง เขาตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้ ฉันเห็นคนรู้จักหลายคนวิ่งตามขึ้นมาแล้ว แต่อ้ายเฟิงยังอยู่ข้างล่าง”


“อ้ายเฟิง?” หลิงม่อจำได้ว่ามู่เฉินเคยพูดถึงเขา ขณะเดียวกันก็นึกถึงชายที่คนที่อยู่ข้างล่างตึกเมื่อกี้


“หัวหน้าแผนกย่อย น่าจะถือว่าใช่นะ…” มู่เฉินบอก “แล้วยังมีอีกสามสี่คนนั่น ฝีมือไม่เลวทั้งนั้น”


“การร่วมมือสูญเปล่าแล้วสินะ…” หลิงม่อถอนหายใจ


มู่เฉินกลอกตาขาว “นายยังคิดเรื่องร่วมมืออยู่อีก! เมื่อกี้ยังฆ่าเจ้าหนูนั่นได้อย่างหน้าตาเฉยอยู่เลยไม่ใช่รึไง!”


“เรื่องแบบนี้สำหรับพวกนายแค่หัวเราะกลบเกลื่อนนิดหน่อยก็ปล่อยผ่านไปได้แล้วไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อบอก


“เขาไม่ใช่สมาชิกระดับเก้าที่ไร้ความสำคัญอย่างนั้นซักหน่อยนะ!” มู่เฉินคำราม “เขาเป็นคนของสำนักงานใหญ่ อีกอย่างนายก็ฆ่าหนูทดลองตัวสำคัญไปแล้วด้วย”


“อย่างนี้เอง…ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ” หลิงม่อถอนหายใจ


แต่มู่เฉินกลับรู้สึกเสมอ ถึงแม้ความหมายของคำพูดหลิงม่อจะฟังดูเสียดาย แต่น้ำเสียงไม่เห็นจะเสียดายตรงไหนเลยนี่?


เขาครุ่นคิด แล้วก็ตะโกนออกมาอย่างตกใจ “นี่นายมีแผนในใจแต่แรกแล้วสินะ!”


พอเห็นหลิงม่อไม่ตอบ มู่เฉินก็ทำได้แค่ข้ามหัวข้อนี้ไป เขาหันไปมองสวี่ซูหาน แล้วถามอย่างร้อนรน “เธอเป็นไงบ้าง?”


“ยังไม่แน่ใจ อย่างน้อยก็จะยังไม่เน่าเปื่อยทันที” หลิงม่อบอก


“ก็ดีแล้ว แต่ว่า นายทำได้ไง? นี่นายเป็นใครมาจากไหนกันแน่!” มู่เฉินวิ่งตามอยู่ข้างหลัง คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจึงอดถามขึ้นไม่ได้


สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ก็เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเช่นกัน นอกจากลิฟท์ที่ใช้งานไม่ได้ ก็มีบันไดขึ้นลงมากถึงสามเส้นด้วยกัน


หลิงม่อใช้พลังสำรวจทางจิตตรวจสอบสถานการณ์ข้างหน้า พลางพาพวกเขาเดินอ้อมไปอ้อมมาอยู่ในห้างฯ


ตอนนี้มู่เฉินได้รับบาดเจ็บและสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ สวี่ซูหานก็กลายเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน หลิงม่อไม่อยากปะทะหน้ากับพวกนั้นตรงๆ ในสถานการณ์อย่างนี้


ทว่าจะวิ่งหนีไปตลอดก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ที่นี่คือถิ่นของนิพพานสาขาย่อย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะพื้นที่หรือจำนวนคน พวกนั้นล้วนอยู่เหนือกว่า


“ดูสถานการณ์ก่อน” หลิงม่อ “มัด” สวี่ซูหานที่ประชิดเข้าใกล้เขาอีกครั้ง ปากก็พูดขึ้น


“ฉันเดาว่าทางออกถูกดักไว้แล้ว” มู่เฉินบอก “ถ้าเกิดพวกเขาจุดไฟเผาต้องแย่แน่ๆ”


“จุดไฟเปาก็ไม่ต้องกลัว” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ถาม “แต่ว่า นายมีวิธีที่พอจะถ่วงเวลาพวกนั้นไว้ได้ซักเดี๋ยวไหม? อย่างเช่น…แสดงบทบาทของนายในฐานะสมาชิกเก่าของนิพพาน?”


มู่เฉินเบิกตากว้างทันที…


………..


“ผู้ชายคนเมื่อกี้ นายเห็นแล้วหรือยัง?” ด้านล่างอาคาร ผู้ชายคนหนึ่งกำลังละสายตาจากด้านบนลงมา พร้อมพูดขึ้น


ภายใต้แสงจันทร์ รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาดูเหี้ยมโหมเป็นพิเศษ ราวกับตะขาบที่สามารถเคลื่อนไหวได้


กลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบข้างพากันส่ายหน้า “ไม่ได้สังเกต…”


“ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเขาคนนั้น…” อ้ายเฟิง ชายหน้ารอยแผลเป็นก้มหน้าลงมา และมองศพที่นอนอยู่แทบเท้า


หมายเลข 1 ร่วงลงมาจากฟ้า ถึงแม้เขาจะอยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง แต่เขากลับตกใจมาก


พอเข้ามาดูใกล้ๆ เขาก็เริ่มมีความคิดที่อยากจะวิ่งชนกำแพง


ถึงเขาจะรังเกียจเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก แต่เจ้าหนูทดลองตัวนี้กลับถูกฆ่าในถิ่นของเขา!!


คราวนี้อย่าว่าแต่เลื่อนขั้นเลย ไม่แน่สำนักงานใหญ่อาจสั่งให้เขาตายตกไปตามกันเลยก็ได้!


เมื่อเทียบกับหนูทดลองมี่ประสบผลสำเร็จ สมาชิกระดับสูงของแผนกย่อยอย่างเขาจะไปมีค่าอะไร?


เรื่องที่หมายเลข 0 ได้รับบาดเจ็บยังไม่ทันได้แก้ไข พริบตาเดียวลูกสุดรักอีกตัวก็มาตายอยู่คามือเขา…


“ไป พวกนายรีบตามไป! ดักทางเข้าออกทั้งหมดไว้ให้แน่นหนา! ต้องจับคนคนนั้นให้ได้! จะเป็นหรือตายก็ได้ทั้งนั้น!” อ้ายเฟิงกำหมัดแน่น พลันตะคอกเสียงดุดัน


คนที่เหลือต่างพากันมองหน้ากัน หลังจากพยักหน้า พวกเขาก็รีบวิ่งไปทางตึกใหญ่


อ้ายเฟิงหอบหายใจกระชั้นชิด จากนั้นก็เงยหน้ามองไปที่หน้าต่างบานนั้นอย่างเย็นชา


ถึงแม้จะเห็นแค่เพียงชั่วแวบเดียว แต่ใบหน้าเยาว์วัยนั่น กลับถูกฝังลึกในสมองของเขา


“เดี๋ยวก่อน นายกลับมานี่”


อ้ายเฟิงตะโกนเรียกหนึ่งในคนกลุ่มนั้น แล้วพูดอย่างเยือกเย็น “กลับไปรายงานคนของสำนักงานใหญ่ อีกอย่าง…ให้หมายเลข 0 ร่วมปฏิบัติภารกิจด้วย ถ้าฉันตามจับเขาไม่ได้ ปกป้องมันไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลาที่มันควรเสี่ยงชีวิตเพื่อฉันซักครั้งแล้วล่ะ”


ชายคนนั้นมองหน้าอ้ายเฟิงอย่างตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็พบักหน้าอย่างรีบร้อย “ได้ครับ ผมจะรีบไป”


อ้ายเฟิงมองส่งสมาชิกคนนั้นจากไป จากนั้นก็ชักมีดคมกริบประกายวาววับออกมาจากสีข้าง “ครั้งนี้ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่งจริงๆ แล้วล่ะ”


พูดไป เขาก็กระชับมีดแล้วย่างสามขุมไปทางตึกใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในประตูใหญ่อันมืดมิดนั่น……


………..


“แกร๊ก”


ท่ามกลางความมืด แสงไฟฉายเส้นหนึ่งส่องเข้ามา ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังขึ้นเบาๆ


สมาชิกคนนี้ตกใจ จากนั้นก็ก้มหน้ามองลงไปใต้เท้า


หลังจากดึงขาออก เขาก็มองเห็นเศษชิ้นส่วนพลาสติกอยู่ใต้เท้า


หลังจากถอนหายใจเบาๆ สมาชิกคนนี้ก็มองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังอีกครั้ง พลางส่องไปฉายในมือไปทั่ว


ด้านหน้าดูเหมือนจะเป็นแผนกขายเครื่องประดับเงินทอง พอสาดแสงไฟฉายเข้าไป ก็มีแสงสะท้อนระยิบระยับเล็กน้อย


ทว่าสิ่งที่เขาสนใจคือมุมมืดๆ เหล่านั้น แล้วยังมีพื้นที่ใต้เคาน์เตอร์ที่มองไม่เห็นเหล่านั้นด้วย


หลังจากที่กระชับท่อนเหล็กแหลมในมือ เขาก็ค่อยๆ ย่างเท้า เดินออกไปข้างหน้า


“ตึง”


ทันใดนั้น มีเสียงดังออกมาจากมุมมืด ทำให้สมาชิกคนนี้ขนลุกซู่ทันที เขาปิดไฟฉายโดยอัตโนมัติ แล้วโฉบร่างไปประชิดตัวกับกำแพงด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว


เมื่อสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดช้าๆ ภาพรอบข้างก็เริ่มปรากฏเลือนรางสู่สายตาเขา


เขาเบิกตาโพลง แนบกายติดกับกำแพงแล้วค่อยๆ เคลื่อนไหวไปทางเสียงนั้น ท่อนเหล็กในมือถูกยกขึ้นสูง


“ตึง”


เสียงดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงที่ดังมาพร้อมกัน ยังมีเสียงหายใจหนักหน่วงของใครคนหนึ่งอีกด้วย


ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงนี้ทั้งชัดเจน และน่ากลัว


สมาชิกคนนี้รีบกลั้นหายใจ แล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างเงียบที่สุด


ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แล้ว…


เขาค่อยๆ ขยับไปยืนด้านหน้าเคาน์เตอร์ตัวหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นหน้าออกไปช้าๆ


เสี้ยววินาทีที่มองเห็นศีรษะของใครคนหนึ่ง คนคนนี้ก็ฟาดท่อนเหล็กลงไปดัง “ปั๊ก” อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย


เสียงกระจกแต่งเป็นเสี่ยงๆ ศีรษะของใครคนนั้นสั่นสะเทือนไปหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ล้มกระแทกพื้นดัง “พลั่ก”


สมาชิกคนนี้รีบเปิดไฟฉาย แล้วส่องไปยังด้านหลังเคาน์เตอร์


แต่จุดที่แสงไฟซีดขาวส่องไปกระทบ กลับเป็นหุ่นพลาสติกที่ถูกฟาดจนเบี้ยว กำลังเบิกตากลวงโบ๋มองมายังเขา


ขณะเดียวกัน เงาร่างดำเงาหนึ่ง พลันกระโจนมาจากด้านหลัง…


—————————————————————————–


บทที่ 639 ไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถูกหลอกแล้ว…


สมาชิกคนนี้ใจหายวาบทันที เขากำลังจะหันหลังกลับ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นๆ ที่คอขึ้นมา ร่างกายของเขาตึงเกร็งไปทั้งตัว


เสียงหอบหายใจค่อนข้างถี่ดังมาจากด้านหลัง “อย่าขยับ ทิ้งของในมือซะ”


สมาชิกคนนี้พยายามกลอกตามองไปข้างหลัง เขาค่อยๆ กระชับท่อนเหล็กแน่น แต่อาการเจ็บจี๊ดตรงลำคอ กลับกำลังเร่งเร้าเขาอย่างไร้เสียง


“รีบทิ้งของซะ” เสียงนั้นเร่ง


“เคร้ง!”


ท่อนเหล็กหลุดออกจากมือ ร่วงลงข้างเท้าเขา


“ถอยหลัง” คนที่อยู่ด้านหลังรีบลากเขาถอยหลัง


“อย่าคิดจะเล่นลูกไม้ล่ะ จางเหล่าเอ้อ นายจำเสียงฉันไม่ได้หรอ?” เสียงพูดนั้นดังขึ้นอีกครั้ง


ความสิ้นหวังในดวงตาของจางเหล่าเอ้อพลันแปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงเข้ามาแทนที่ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตะโกนลั่น คุณ…หัวหน้ามู่?!”


“ยังอุตส่าห์เรียกฉันว่าหัวหน้ามู่อยู่นะ” มู่เฉินยังคงประชิดตัวติดจางเหล่าเอ้อ โดยไม่มีทีท่าว่าจะออมมือซักนิด “แต่นายน่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าอาจจะเจอฉัน อย่าบอกนะว่าอ้ายเฟิงไม่ได้บอกถึงความเป็นไปได้นี้ให้พวกนายรู้ ผู้รอดชีวิตทั่วไปมีมีทางว่างมากจนเพี้ยนวิ่งมาถึงเมืองตงหมิงหรอก แค่วิเคราะห์นิดหน่อย ก็คงไม่ยากที่จะโยงเรื่องราวทั้งหมด ใช่ไหมล่ะ?”


“เปล่านะ พวกผมนึกว่าพวกคุณตายหมดแล้ว…” เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผากของจางเหล่าเอ้อ สะท้อนกับแสงสลัวเป็นกระกายน้อยๆ


“อ้อ คิดจะโกหกฉัน? เชี่ย พวกนายคิดว่าฉันโง่มากสินะ? จะยอกให้ เจ้านั่นพูดถูกจริงๆ ถ้าพวกนายใส่ใจความเป็นความตายของพวกเราซักนิด อย่างน้อยก็น่าจะลองพูดคุยหรือเจรจาดูก่อน เพื่อยืนยันตัวตนของเป้าหมาย และยืนยันว่าพวกฉันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่!” มู่เฉินคำรามเสียงต่ำ


จางเหล่าเอ้อเหงื่อท่วมศีรษะ เขาทำได้เพียงแก้ตัวด้วยสีหน้าซีดเผือด “ผมแค่ทำตามคำสั่ง เรื่องที่คุณพูดผมไม่รู้เรื่องด้วยนะ…”


มู่เฉินยื่นมืออกมาข้างหนึ่ง ล้วงหาสิ่งของในกระเป๋าของจางเหล่าเอ้อ “ตอนนี้ฉันกลับคิดว่าที่ซย่าจื้อทำไปเพราะรู้ก่อนแล้วว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เขาทำอย่างนั้นทั้งสามารถรักษาชีวิตไว้ได้แถมยังได้ผลงานอีก…แต่ว่านะ ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่ตายเร็วที่สุดในกลุ่มพวกฉันซะแล้ว”


“หมายความว่าไง?” จางเหล่าเอ้อไม่กล้าดิ้นขัดขืน ทำได้เพียงมองมู่เฉินค้นอาวุธชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาจากจุดต่างๆ ตามร่างกายตัวเอง แล้วโยนเข้าไปในมุมกำแพง


“ไม่มีอะไร เรื่องนี้มีตัวแปรมากเกินไป ที่เรื่องจะออกมาเป็นอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ จางเหล่าเอ้อ ฉันรู้ว่าเมื่อกี้ถึงแม้ไม่ใช่หุ่นพลาสติก แต่เป็นตัวฉันจริงๆ นายก็จะยังลงมืออย่างไม่ปราณีเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้ก็อย่าหวังว่าฉันจะใจอ่อน”


มู่เฉินกัดฟันกรอดพลางดึงมีดเล่มเล็กออกมาจากบริเวณหลังเอวจางเหล่าเอ้อ แล้วถามเสียงเย็น “บอกมา คำสั่งคืออะไร? อ้ายเฟิงพาคนมาเท่าไหร่ มีแผนการอะไร?”


จางเหล่าเอ้อพูดขึ้นด้วยสีหน้าย่ำแย่ “ถ้าผมบอก จะต้องตายอย่างน่าอนาถแน่ๆ หัวหน้ามู่…”


“ไม่บอก? งั้นก็ตายซะตอนนี้เลย” มู่เฉินออกแรงที่มือเพิ่มอีกเล็กน้อย


ความรู้สึกที่คมมีดกำลังจิ้มผิวหนังตัวเองอยู่ และเหมือนเส้นเลือดอาจถูกตัดขาได้ทุกเมื่อ ทำให้จางเหล่าเอ้อหวาดกลัวจนต้องหลับตาปี๋


“บอกแล้วๆ…” เขาลดเสียงให้เบาลง แล้วพูดว่า “ข้างในนี้นอกจากกลุ่มของพวกผมที่เพิ่งเข้ามาเมื่อกี้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ล้วนเป็นเป้าหมายทั้งนั้น หากจับเป็นได้จะดีที่สุด ถ้าไม่ได้…ก็ฆ่าให้หมด”


“นี่คือคำสั่ง? แล้วที่เหลือล่ะ?” มู่เฉินจี้ถาม


“พวกเรามากันไม่เยอะ สิบกว่าคน ส่วนแผนการ คือให้ดักทางเข้าออกทุกทางไว้ ผมเดาว่าน่าจะมีคนมาเพิ่มอีก หัวหน้ามู่ ถ้าคุณช่วยพวกเราจับคนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นผลงานเหมือนกันนะ! ถึงเจ้าหนูจากสำนักงานใหญ่นั่นจะตายแล้ว แต่ขอแค่คุณไม่ได้เป็นคนฆ่า…” จางเหล่าเอ้อพูดอย่างร้อนรน


“ฉันก็อยากฆ่ามันอยู่หรอก…” มู่เฉินหันเราะเย็นชา แล้วทันใดนั้นเขาก็ถีบข้อพับเข่าจางเหล่าเอ้ออย่างแรง


จางเหล่าเอ้อครางเจ็บปวดทันที เขาลงไปนั่งคุกเข่าอย่างควบคุมไม่ได้


“หัวหน้ามู่! อย่าวู่วามนะ! ที่นี่เป็นเมืองตงหมิง คุณจะทำอย่างนี้ไม่ได้…โอ๊ยย!” จางเหล่าเอ้อโดนเตะเข้าที่แผ่นหลังอย่างแรงอีกครั้ง เสียงของเขาเบาลงมากทันที “หัวหน้ามู่ อย่าทำอย่างนี้ คุณเป็นศัตรูกับนิพพานไปก็ไม่มีอะไรดี ช่วยผม แล้วผมจะมอบความดีความชอบให้คุณทั้งหมด! คุณอยากได้อะไรผมให้หมด เหล้า บุหรี่ ผู้หญิง! ขอแค่มีผลงาน มีประโยชน์กับนิพพาน ใครจะกล้าฆ่าคุณกัน? อย่าบีบให้ตัวเองอับจนหนทาง เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบเลยนะ!”


“ผลงานอะไรนั่น ฟังดูน่าดึงดูดใจนะ” มู่เฉินชะงักไปเล็กน้อย


จางเหล่าเอ้อรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที เขารีบเกลี้ยกล่อมต่อ “ใช่แล้ว! เรื่องเลวๆ พวกนั้น แค่ใส่ร้ายคนอื่นไปให้มด คุณก็หมดปัญหาแล้ว ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีเลยนะ! หัวหน้ามู่!”


“เป็นโอกาสดีจริงๆ” เสียงของมู่เฉินดังใกล้เข้ามาที่หูของจางเหล่าเอ้ออย่างรวดเร็ว “แต่ว่า…ฉันรังเกียจคนประเภทนั้นเหลือเกิน ฉันเองก็ไม่ควรกลายเป็นคนอย่างนั้นไปด้วยหรือเปล่า?”


“หัวหน้ามู่ คุณอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ…”


“ฉันจะบอกอะไรนายให้ เรื่องบางอย่าง คนบางคนก็ทำไม่ได้ แต่ก็มีคนบางคนที่ทำไม่ลง ฉันมู่เฉิน คือเจ้าโง่ที่ทำเรื่องอย่างนั้นไม่ลงไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอใจไหม?” พูดไป มู่เฉินก็กระชากผมจางเหล่าเอ้อแรงๆ เพื่อให้เขายืดคอเผยลูกกระเดือกออกมาชัดๆ


“อย่า อย่าฆ่าผม…หัวหน้ามู่…” เสียงของจางเหล่าเอ้อเริ่มกระตุกสั่น


ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ คมมีดในมือมู่เฉินกำลังแนบติดอยู่กับลูกกระเดือกที่กำลังไหลขึ้นลงของเขา ราวกับว่ามันจะเฉือนเข้าไป และเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นศพเย็นชืดได้ทุกเมื่อ


มู่เฉินย่อกายอยู่ข้างหลังเขา กระชากผมของเขาแล้วกัดฟันกรอด


ทันใดนั้น เขายกมีดขึ้น จากนั้นก็เหวี่ยงลงไปอย่างแรง


“พลั่ก”


จางเหล่าเอ้อหลับตาแล้วล้มลงไปกับพื้น แต่ใบมีดของมู่เฉินกลับไม่มีรอยเลือด…


“อย่าฟื้นเร็วนักก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นครั้งหน้า…”


มู่เฉินจ้องจางเหล่าเอ้อครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองมีดที่จมอยู่ในน้ำแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา แล้ววิ่งไปยังทางหนึ่ง


ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาเข้าไปในโกดังเล็กๆ ห้องหนึ่ง


“ฉันเอง” พอเห็นประกายดาบพาดขวางตรงหน้า มู่เฉินก็รีบพูดเสียงเบา


ประกายดาบเลือนหายไปช้าๆ เงร่างของเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังประตู เธอสอดส่องด้านหลังเขา แล้วบอกว่า “เข้ามา”


“ปิดประตูเลยดีกว่า” มู่เฉินบอก


เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาจากความมืด “ปิดแล้วจะยิ่งผิดสังเกตไม่ใช่หรอ?”


“ทำอย่างนี้ไม่ต่างอะไรกับกรงดักหนูเลยซักนิด…”มู่เฉินพูด พลางก้าวข้ามตู้วางของเพื่อเดินเข้าไปข้างใน


ในมุมกำแพง หลิงม่อกำลังประคองสวี่ซูหานให้นั่งอยู่นกล่องเก็บของกองหนึ่ง


สวี่วูหานยังคงหอบหายใจแรง ดวงตาของเธอประกายแดงจนน่ากลัวเมื่ออยู่ในความมืด


พอเห็นมู่เฉิน เธอก็เงยหน้าขึ้น และเปล่งเสียงคำรามชวนขนลุกออกมาทันที


ทว่าหลิงม่อดึงคอเสื้อด้านหลังเธอ และลากเธอกลับไปนั่งงอย่างเดิม


สวี่ซูหานดิ้นขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมแพ้


“เธอเป็นแบบนี้…ยังไม่กลายเป็นซอมบี้จริงๆ หรอ?” สีหน้าของมู่เฉินเหมือนช็อกมาก


“ถ้าเป็นซอมบี้ไปแล้วจริงๆ ฉันคงเอาไม่อยู่อย่างนี้หรอก อีกอย่าง หลังจากที่เธอคุ้นเคย เธอจะไม่คิดกัดนายอีก หมายถึงชั่วคราวน่ะ…” หลิงม่อบอก


มู่เฉินนิ่งอึ้ง แล้วบอกว่า “ไอ้คำว่าชั่วคราวนี่มันฟังดูเลื่อนลอยจัง!”


“นายได้เรื่องว่ายังไง?” หลิงม่อเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว


“ฉันเจอคนรู้ตักคนหนึ่ง เขาบอกสถานการณ์คร่าวๆ กับฉันแล้ว ฟังดูไม่ค่อยดีเลย เจ้าหนูนั่นกับหนูทดลองตายหมดแล้ว อ้ายเฟิงจะต้องเอาคืนถึงที่สุดแน่ๆ อีกอย่าง เขาไม่สนใจแม้แต่ความเป็นความตายของพวกฉันแล้ว โชคดีที่ซย่าจื้อถูกจัดการไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเขารายงานเรื่องของพวกนาย เรื่องคงแย่ แต่พวกเขารู้จักกับพวกเราเป็นอย่างดี…ดังนั้น…


มู่เฉินถอนหายใจ แล้วบอก


“แล้วคนรู้จักของนายคนนั้นล่ะ?” หลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้น


มู่เฉินอึ้ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ฉัน…ฉันไม่ได้ฆ่าเขา…”


“ดูเหมือนจะคาดหวังให้นายทำเรื่องผิดบาปไม่ได้แล้วสินะ…” หลิงม่อพูดอย่างนึกเสียดาย


“เมื่อกี้ฉันก็ปฏิเสธไปแล้วนี่!” หลังจากคำราม มู่เฉินก็พูดเสริม “ถ้าหากพวกเขาสั่งการหมายเลข 0 เมื่อไหร่ ถึงฉันจะทำเรื่องผิดบาปไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป พวกเราจะถูกจับอย่างรวดเร็วแน่นอน”


“หมายเลข 0 ร้ายกาจมากหรอ” สายตาหลิงม่อประกายแววแห่งความคาดหวัง


พลังสังเกตการณ์ทางจิตอย่างนี้ แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถใช้พลังคลอบคลุมกับคนจำนวนมากได้ ความจริงแล้ว เขายังต้องการรวบรวมสมาธิไปที่คนหนึ่งคน หลังจากสังเกตครู่หนึ่งจึงจะรู้ว่ามีคลื่นดวงจิตที่ผิดปกติหรือไม่


ฟังแล้ว เหมือนจุดเด่นของหมายเลข 0 คือการสังเกตการณ์และส่งข้อมูล


ส่วนหลิงม่อ ดวงแสงแห่งจิตของเขาในตอนนี้กำลังรู้สึกหิวโหย…


ถึงเจ้าหนูเฉินเล่อที่เป็นคนของนิพพานสำนักงานใหญ่จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษเหมือนกัน แต่เพื่อไม่เป็นการทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ หลิงม่อจึงไม่ได้บุ่มบ่ามกลืนกินพลังจิตของเขา


เพราะหากใช้พลังกลืนกินในสถานการณ์อย่างนั้น อย่างไรก็ต้องหลบสายตาของมู่เฉินไม่พ้นแน่


ถึงแม้มู่เฉินจะดูไม่ออก แต่ในสมองของเขายังมีเมล็ดพันธ์พลังจิตของหมายเลข 0 ฝังอยู่…


ถึงแม้ตอนนี้มู่เฉินจะอยู่ฝั่งเดียวกับเขา แต่เมล็ดพันธ์เม็ดนั้นก็เหมือนกับระเบิดเวลา ที่มักทำให้หลิงม่อรู้สึกหวาดระแวง


เมล็ดพันธ์พลังจิตนั่นก็เหมือนกับ “ไส้ศึก” ที่อาจตื่นตัวขึ้นมาได้ทุกเมื่อ…


ทว่าตอนนี้พอเห็นมู่เฉินกลับมา อย่างน้อยก็ยืนยันได้แล้วว่าตัวเขาบริสุทธิ์ใจ อีกหน่อยค่อยคิดหาทางกำจัดเมล็ดพันธ์ในสมองของเขาก็พอแล้ว


แต่จะพูดถึงเรื่องนี้ในสถานการณ์อย่างนี้ดูไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด หลิงม่อครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราก็ไม่ต้องเอาแต่วิ่งหนีแล้ว หากออกไปข้างนอกพวกเขาก็จะรู้ทางดีกว่าพวกเรา แล้วยังมีหมายเลข 0 ที่สะกดรอยตามนาย…พวกเราอยู่ที่นี่แหละ จัดการคนกลุ่มนี้ให้สิ้นซากก่อน!”


“แค่พวกเราไม่กี่คนเนี่ยนะ?” มู่เฉินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง คนคนนี้กำลังคิดอะไรของเขานะ!


เขาเพิ่งจะพูดไปว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวมาพร้อมทุกด้าน แต่สมองของเจ้าหมอนี่กลับคิดจะฆ่าพวกนั้นทั้งหมด…


“นี่ จัดการไปหนึ่งกลุ่ม แรงกดดันของพวกเราก็น้อยลงไปหนึ่งส่วน” หลิงม่อกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง แล้วบอกเขาอย่างนี้


“เดี๋ยวก่อน…” จู่ๆ มู่เฉินก็ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง “นายคงไม่ได้จะ…ไม่ใช่แล้ว นายไม่ได้คิดจะหนีออกจากเมืองตงหมิงแต่แรกแล้วใช่ไหม? เฮ้ย อย่าหันหน้าหนีเซ่!”


“คิกคิก” หลิงม่อหัวเราะเบาๆ


“เฮ้ย ฉันยังไม่อยากตายนะโว้ย! นายได้ยินที่ฉันพูดไหมหา?” มู่เฉินยืนสติแตกอยู่ทางหนึ่ง


และตอนนี้ ทั่วทุกซอกทุกมุมในอาคารแห่งนี้ ก็เต็มไปด้วยเงาร่างที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาช้าๆ


บนบันไดที่อยู่ห้างจากหน้าประตูทางเข้าไม่ไกล เงาร่างของใครบางคนกำลังนำคนกลุ่มหนึ่ง ประชิดตัวแนบติดกำแพงแล้วค่อยๆ เดินขึ้นไปข้างบน


—————————————————————————–


บทที่ 640 ฟักหม่นลูกหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความโมโห ทว่าขณะทำภารกิจ อ้ายเฟิง ชายผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้ากลับมีท่าทีสงบนิ่งมาก


เขานำสมาชิกหลายคน เดินขึ้นไปข้างบนโดยค่อยๆ เดินเลียบขอบบันไดขึ้นไป


“หัวหน้า พวกเราแยกกันดีไหม? ข้างในนี้กว้างเกินไปแล้ว” สมาชิกทีมคนหนึ่งเสนอแนะเสียงเบา


อ้ายเฟิงตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “คนอื่นแยกกันก็พอ พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ดีแล้ว ถ้าพวกนั้นมีปฏิกิริยาอะไร พวกเราถึงจะสามารถเข้าไปช่วยได้ทันที”


อีกฝ่ายหาเรื่องให้ตัวเองลำบากใจ จึงทำได้เพียงกระแอมแห้งๆ สองสามที และส่งสายตาเอือมระอาให้คนข้างๆ


แต่จู่ๆ อ้ายเฟิงกลับพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง “อย่าเพิ่งคิดแต่จะเอาหน้าในเวลาอย่างนี้! พวกนายยังไม่เห็นจุดจบของเฉินเล่ออีกหรือ? คิดว่าคนที่วิ่งมาก่อเรื่องถึงถิ่นของพวกเรา แล้วยังฆ่าเฉินเล่อกับสัตว์ประหลาดของสำนักงานใหญ่ตัวนั้นได้ จะรับมือได้ง่ายๆ หรอ? เขาไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษทั่วไปแน่นอน ดังนั้นลดความจองหองและหยิ่งทะนงของพวกนายลงซะ!”


สมาชิกต่างพากันนิ่ง จากนั้นก็ลอบมองหน้ากัน


“เวลาอย่างนี้อย่าเพิ่งคิดจะสร้างผลงาน คิดก่อนดีกว่าว่าจะบอกกับสำนักงานใหญ่ว่าอย่างไร ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราทุกคนแย่แน่ๆ” อ้ายเฟิงพูดอย่างฉุนเฉียว “เข้าใจรึยัง?”


“เข้าใจครับ…”


ทุกคนทยอยกันตอบเสียงอ่อย ทว่าเสียงฝีเท้าของพวกเขาในเวลานี้กลับเบาลงมาก สายตาก็ดูจดจ่อมากขึ้นด้วย


ในเมื่ออ้ายเฟิงพูดถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ…


ในขณะเดียวกัน เหล่าสมาชิกที่แยกย้ายกันค้นหาแต่ละจุดของห้างสรรพสินค้า แต่ละคนกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ ท่ามกลางความมืดด้วยความระมัดระวัง


“เรื่องเสี่ยงๆ อย่างการตีทัพหน้า มักจะตกเป็นหน้าที่ของคนระดับล่างอย่างพวกเราเสมอ…”


ในโถงทางเดินอันมืดสลัว ชายคนหนึ่งกำลังเดินมองหน้ามองหลังอย่างระมัดระวัง พร้อมกับบ่นเสียงเบาไปด้วย


รอบด้านเงียบสงัด มีแต่ความมืดปกคลุมไปทุกที่ เสียงพึมพำกับตัวเองที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินนี้ได้เพิ่มความกล้าให้เขาเล็กน้อย


“แต่นี่ก็ถือเป็นโอกาสนะ ขอแค่ฉันหาพวกนั้นเจอก่อน ถึงจะไม่ลงมือกับพวกนั้น แค่ตะโกนเรียก ก็ถือว่าสร้างผลงานแล้ว” ชายคนนี้สูดหายใจลึกๆ สายตาของเขาสะท้อนแววแห่งความหวังขึ้นมา


สร้างผลงานเลื่อนตำแหน่ง ไม่เพียงจะได้รับการถูกปฏิบัติที่ดีขึ้น แต่อนาคตเขายังไม่ต้องตีทัพหน้าอย่างนี้อีกต่อไป…


ไม่แน่บางที อาจจะได้สาวงามมาเคียงกายอีกหนึ่งคนด้วย!


“คิกคิก พอถึงตอนนั้นพวกแกก็อย่าโทษกันล่ะ ฉันก็ทำไปเพื่อจะมีชีวิตอยู่เหมือนกัน สู้ซอมบี้ไม่ได้ แล้วยังจะสู้พวกแกไม่ได้งั้นหรอ?”


ชายคนดังกล่าวเดินไปถึงหน้าประตูบานหนึ่ง เขาหลบด้านข้างของประตูอย่างระวังภัย จากนั้นก็ค่อยผลักออกช้าๆ


แอ๊ด—


เพิ่งจะกลั้นหายใจแล้วมองเข้าไปในเงามืดได้แวบเดียว ทันใดนั้นเงาดำตะคุ่มก็ได้พุ่งผ่านหน้าไป จากนั้นเขาก็เห็นเท้าตัวเองถูกมือข้างหนึ่งคว้าไว้


“ย๊ากกก…”


ชายคนนี้ร้องเสียงเบาออกมาด้วยความตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่ถือมีดอยู่ฟันออกไปมั่วๆ


สิบกว่าวินาทีผ่านไป ในที่สุดเขาก็สงบลง เขาหอบหายใจแรง พลางเหลือบมองเงาดำตะคุ่มข้างเท้าตัวเอง


มือข้างนั้นยังคงวางไว้บนเท้าเขา ทว่าดูเหมือนมันจะเน่าเปื่อยไปนานแล้ว


ภายใต้เสื้อผ้ายุ่งเหยิงที่ถูกฟันจนขาด คือศพเน่าๆ ที่แยกเพศไม่ออก


“ชิบ ที่แท้ก็คนตาย…ไม่รู้ว่าเป็นซอมบี้หรือคน” ชายคนนี้ทำหน้าขยะแขยง จากนั้นก็ก้าวข้ามศพไปอย่างระมัดระวัง แล้วเดินเข้าไปในห้อง


ทว่าหลังจากที่เดินค้นหาในห้องใหญ่ๆ ห้องนี้หนึ่งรอบแล้ว เขากลับไม่พบอะไร


ชายคนดังกล่าวถ่มน้ำลายดัง “ถุย” เพื่อคายฝุ่นที่สูดเข้าไปในลำคอด้วยความผิดหวัง ขณะเดียวกันก็ถอยหลังไปทางประตู


แต่เสี้ยววินาทีที่เขาหมุนกาย เงาร่างดำเงาหนึ่งพลันปรากฏตัวที่หน้าประตู


เขาหันหน้าไป และสบตากับดวงตาคู่นี้เข้าพอดี


เด็กสาวตรงหน้าเขามีหน้าตาที่สะสวยมาก เขากำลังจะแหกปากตะโกน แต่ก็อึ้งค้างไปก่อน


“คะ…โคตรสวยเลย!”


แต่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตาที่ดูเหม่อๆ คู่นั้น กลับค่อยๆ หลับตาลง


และเมื่อดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นอีกครั้ง ชายคนนี้ก็มองเห็นเพียงสีเลือด…


“ฉึก!”


กรงเล็บที่คมดังมีดเฉือนคอหอยเขาทันที เขายกมือกุมคอ ส่งเสียงครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน พร้อมกับเซไปพิงขอบประตูแล้วค่อยๆ ล้มลงไปนอนทับศพบนพื้น


เมื่อเขาล้มลงไปบนพื้น แล้วลืมตามองโถงทางเดินมืดๆ สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นภายใต้แสงสลัวอันน้อยนิด คือเงาร่างของเด็กสาวคนนั้นที่กำลังเดินจากไปอย่างช้าๆ…


“อึกอึก…”


ชายคนดังกล่าวขยับริมฝีปาก เลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมาจากปากเขา และดวงตาของเขาก็ค่อยๆ หม่นแสงลง…


ขณะเดียวกัน ในมุมมืดหนึ่งของห้างสรรพสินค้า จู่ๆ ชายคนหนึ่งซึ่งถือมีดไว้ในมือก็หันขวับไปมองข้างหลังตัวเองอย่างหวาดระแวง


แต่เขาเพิ่งจะหันหน้ากลับไป ด้านหลังก็มีเงาดำตะคุ่มโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็ว


“ใครวะ!”


เขารีบหันกลับไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ เงาดำตะคุ่มนั้นกลับโฉบผ่านด้านข้างเขาไป


เขากลอกลูกตามองตามไปติดๆ หางตาจึงเหลือบเห็นเงาร่างอรชรงดงาม


“สาวน้อย หลอกผีกันหรอ…” ชายคนนี้ยกมีดอีโต้ขึ้น พร้อมกลอกตามองซ้ายมองขวาไม่หยุด


ทันใดนั้นเงาดำตะคุ่มก็โฉบผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาตอบสนองได้เร็วมาก เขาหมุนกาย พลันสับมีดลงไปทางเงาร่างนั้น


เสี้ยววินาทีที่คมมีดสับลงไป ประกายดาบได้ส่องสะท้อนใบหน้าของเงาร่างนั้น


เครื่องหน้าที่มีมิตินั่น แล้วยังดวงตาสวยๆ ที่แฝงแววเย็นชาคู่นั้นอีก ชายคนนี้มองเห็นอย่างชัดเจน


แต่ในใจเขากลับตื่นเต้นขึ้นมา “สาวสวยซะด้วย!”


คมมีดฟันไปยังดวงหน้างามตรงๆ และสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายก็แข็งกระด้างไป


“คิกคิก…”


ชายคนนี้เพิ่งจะหัวเราะชอบใจได้เสียงเดียว ก็พบว่าเงาร่างตรงหน้าได้หายตัวไปราวกับภาพลวงตาแล้ว


ขณะเดียวกัน ด้านหลังก็มีเงาร่างอีกเงาปรากฏตัวขึ้น


ดวงหน้าที่คล้ายคลึงกันทุกประการ แต่สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกลับเป็นสีหน้าที่เปลี่ยนไป


บนใบหน้าของสาวเลือดผสม มีรอยยิ้มอยู่…


มีดที่ถูกยกสูงของชายคนนี้ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปเล็กน้อย แล้วเลือดก็ไหลทะลักออกจากปากเขาอย่างต่อเนื่อง


บนลำคอของเขา แผลสีแดงเลือดค่อยๆ แหวกออกช้าๆ…


“ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง…”


สาวเลือดผสมฮัมเพลงด้วยโน้ตเสียงสูง ราวกับว่าเธอกำลังสร้างเพลงประกอบฉากด้วยตัวเอง


……


………..


“หลิงม่อ แค่พวกเธอจะไหวหรอ?” ในห้องบันได มู่เฉินกำลังเดินตามหลังหลิงม่อ จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นอย่างกังวล


หลิงม่อหันกลับไปถลึงตาใส่เขาอย่างนึกรำคาญ “วางใจน่า พวกเธอเก่งเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว”


“แต่ว่า…”


“ไม่มีแต่! ซย่าน่าต้องค่อยเฝ้าสวี่ซูหาน เด็กโง่กับรุ่นพี่ไปกำจัดพวกที่แยกย้ายกัน พร้อมกับสร้างความวุ่นวายเล็กน้อยไปด้วย ส่วนพวกเราก็ฉวยโอกาสลอบโจมตีอ้ายเฟิง” หลิงม่อขมวดคิ้วพูด “พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอ?”


“ตกลง? ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ?” มู่เฉินคำรามเสียงเบา “นายพูดเองเออเองทั้งนั้น จู่ๆ ก็มาบอกว่า ‘เอาตามนี้แล้วกันนะ’ แท้ๆ!”


“เอาน่า ไปเถอะๆ” หลิงม่อตัดบทเขา


แต่จู่ๆ มู่เฉินกลับคว้าแขนเขา แล้วถามด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “นายรู้ใช่ไหมว่าฉันทำได้มากสุดก็คือให้ข้อมูลกับนาย? ทั้งๆ ที่การลอบโจมตีอ้ายเฟิงมันยากกว่าเห็นๆ นายกลับไม่ให้พวกเธอทำเรื่องนี้ แต่กลับเลือกมากับฉัน…”


หลิงม่อมองหน้าเขา แล้วบอกว่า “เกิดเป็นลูกผู้ชาย จะให้ผู้หญิงของตัวเองเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างหน้าได้ยังไงล่ะ”


“ความจริงเรื่องนี้ฉันชื่นชมนายมาก” มู่เฉินปล่อยแขนหลิงม่อ แล้วตบไหล่เขาสองสามที บอกว่า “แต่นายมาลากฉันลงน้ำด้วยทำไมวะ!”


“กลับมานี่ จะหนีไปไหน” หลิงม่อยืนนิ่งๆ อาศัยเพียงหนวดสัมผัสเส้นเดียว เขาก็ดึงขามู่เฉินที่กำลังวิ่งหนีให้ล้มตึงกับพื้นได้อย่างง่ายดาย


มู่เฉินลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก จากนั้นก็ถูกกระชากกลับไปด้วยพลังงานกลุ่มหนึ่ง


“ข้างกายอ้ายเฟิงมีผู้ใช้พลังจิตไหม?” หลิงม่อถามเสียงเบา


“มี…” มู่เฉินเหมือนยอมรับในชะตากรรมแล้ว


“อื่ม อย่างนั้นก็ดีแล้ว” หลิงม่อพยักหน้า


มู่เฉินมองหน้าเขาอย่างตะลึง “นายมีวิธีแล้ว?”


“นายเคยได้ยินคำว่าตกปลาไหม?” หลิงม่อถามด้วยดวงตาเปล่งประกาย


มู่เฉินสบตากับหลิงม่อด้วยสีหน้างุนงง ไม่นาน เขาก็รู้สึกเหมือน “เชือก” ที่มัดตัวเขาไว้ถูกกระตุกหนึ่งที ขณะเดียวกันหลิงม่อก็มองเขาด้วยสายตามีเลศนัย…


“ชิบหาย!”


ไม่นาน เสียงโวยวายที่เหมือนกำลังพยายามข่มกลั้นของมู่เฉินก็หายเข้าไปในความมืด และในเวลานี้ บนบันไดอีกเส้นหนึ่ง พวกอ้ายเฟิงกำลังเดินขึ้นชั้นบนช้าๆ


“พลั่ก!”


ทันใดนั้น เงาดำตะคุ่มเงาหนึ่งตกลงมาจากด้านบน แล้วกลิ้งหลุนๆ ลงมาตามบันได มุ่งหน้ามายังพวกเขา


ทุกคนต่างตกตะลึง แต่ชายคนหนึ่งในนั้นกลับรีบวิ่งโฉบเข้าไป และหยุดเงาตะคุ่มนั้นไว้ได้ทันเวลา


เขาก้มหน้ามอง แล้วหันกลับมาบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “เป็นเจ้าหน้าที่ค้นหาของพวกเรา ตายแล้ว”


ชายอีกคนวิ่งขึ้นไปข้างบน และหลายวินาทีผ่านไปก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง เขาส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ไม่เห็นใครเลย ดูจากรอยเลือดเหมือนจะคลานออกมา และตายหลังจากตกบันได”


“อวดดีเกินไปแล้ว!” อ้ายเฟิงตรวจสอบศพดูอีกครั้ง แล้วก็คำรามเดือดดาล


“ร้ายกาจมากจริงๆ ถ้าหากพวกมันตกใจแล้วเตลิดหนีไป พวกเราก็ยังถือว่ามีโอกาสชนะสูง แต่ตอนนี้พวกมันอยู่ในที่ลับ เราอยู่ในที่แจ้ง…” สมาชิกอีกคนพูดขึ้นอย่างไม่สบายใจ


“หลัวอวี้หลง!” อ้ายเฟิงตะโกน


ชายตัวเตี้ยคนหนึ่งรีบเดินออกมา แล้วขานรับด้วยเสียงแหลมๆ เหมือนเสียงเป็ดตัวผู้ “ครับ”


ชายคนนี้ความสูงต่ำกว่าเกณฑ์มาก แต่กลับเจริญเติบโตออกด้านข้างจนเกินมาตรฐานไปไม่น้อย เหมือนลูกฟักหม่นที่ถูกวางในแนวนอนอย่างไรอย่างนั้น


“ตามหามันเดี๋ยวนี้ อีกอย่าง ใครก็ได้ลงไปบอกพวกที่เฝ้าประตูข้างล่าง ว่าเฝ้าให้ดี อย่าปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” อ้ายเฟิงหันกลับไปสั่ง


“ผมเอง…” ชายคนที่หยุดศพกลิ้งพูดขึ้นทันที “ใช่แล้ว ถ้ายังไงหาน้ำมัน…”


“ทำอย่างนั้นเท่ากับบีบให้พวกมันหนีไม่ใช่หรอ? นายคิดว่าไฟจะเอาอยู่รึไง!” อ้ายเฟิงเดือดขึ้นมาอีกครั้ง “ล้อมพวกมันไว้ในนี้แหละ พวกมันอยากเล่น? พวกเราก็เล่นเป็นเพื่อนพวกมันซะ! เมื่อกี้ยังคิดจะเอาหน้าอยู่เลยไม่ใช่หรอ ตอนนี้ก็อย่าได้ขี้ขลาดอีก อีกฝ่ายกำลังมองหาโอกาสอยู่! พวกเราจะถอยไม่ได้ แล้วก็ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว”


“ก็ได้…” ชายคนนั้นพยักหน้า แล้วหันหน้าวิ่งลงตึกไป


หลัวอวี้หลงที่ยืนอยู่อีกด้านก็ถูกอ้ายเฟิงถลึงตาใส่ เขาสะดุ้งตกใจ แล้วรีบพยักหน้ารัวๆ “ผมจะหาเดี๋ยวนี้”


หลังจากพูดเสร็จ เขาพลันสูดลมหายใจลึกๆ สายตาของเขาดูจดจ่อขึ้นมาทันที


“ใช่แล้ว” อ้ายเฟิงพูดขึ้น “เชื่อมต่อกับหมายเลข 0 ซะ”


หลัวอวี้หลงพยักหน้า หลังจากที่เขาปลดปล่อยพลังจิตออกไปอย่างต่อเนื่อง ใน “ดวงตา” อีกคู่หนึ่งของเขา รอบกายเขาปรากฏร่องรอยคลื่นที่เหมือนคลื่นสัญญาณซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


นี่คือคลื่นกระแสไฟฟ้าในสิ่งมีชีวิตที่หลัวอวี้หลง “มองเห็น” หรืออาจจะเป็นคลื่นสมองก็ได้ ความจริงตัวเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน


แต่หากตาม “คลื่นสัญญาณ” นี้ไป เขาก็จะตามหาคนกลุ่มนั้นจนเจอ…


“เอาล่ะ เร็วเข้า ฉันใช้พลังได้ไม่นานนัก” หลัวอวี้หลงพูดอย่างรีบร้อน


เสียงหัวเราะเยาะหนึ่งดังมาจากด้านหลัง “นายใช้พลังได้ไม่นานตลอดนั่นแหละ”


แต่ในเวลาแบบนี้ ไม่มีใครหัวเราะร่วมกับเขา แต่กลับพากันขมวดคิ้วแล้วหันไปถลึงตาใส่เขา


—————————————————————————–


บทที่ 641 ต่อติดสัญญาณแห่งความตาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังเชื่อมต่อกับหมายเลข 0 ขอบเขตและความสามารถในการค้นหาของหลัวอวี้หลงก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย


เหมือนสวิตช์ได้ถูกกดเปิด ส่องสว่างความสัมพันธ์ลับๆ ให้ปรากฏอย่างชัดเจน


ทว่าสำหรับหลัวอวี้หลงนั้น ความรู้สึกนี้เหมือนกับเขาเปิดประตูเชื้อเชิญเพื่อนบ้านที่แอบมองตัวเองจากฝั่งตรงข้ามเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็สัมผัสความรู้สึก “ถูกแอบมอง” ต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น สิ่งสำคัญคือ การเผาผลาญพลังงานของเขาก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย


เดิมความสามารถพิเศษนี้ของหลัวอวี้หลง ต้องเผาผลาญพลังจิตในปริมาณมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งถูกพลังงานภายนอกแทรกแซง ดวงแสงแห่งจิตก็ถูกกระตุ้นโดยไม่จำยอมอย่างนี้ เขาจึงเพิ่งพบว่าหากเปรียบเทียบกันแล้ว การเผาผลาญเมื่อก่อนคือการประหยัดไฟดีๆ นี่เอง


แต่ตอนนี้ เขาถูกบังคับให้สู้อย่างเต็มที่ และเชื้อไฟในตัวเขาก็กำลังถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว


ดังนั้นถึงแม้จะถูกเยาะเย้ย หลัวอวี้หลงก็ไม่โต้เถียง แต่ยังทำหน้าเคร่งเครียดแล้วพยักหน้าบอกว่า “ฉันทนได้ไม่นานจริงๆ ที่นี่กว้างขนาดนี้ ฉัน…”


“ถ้าหาไม่เจอก็ห้ามหยุด” อ้ายเฟิงกลับตัดบทเขาอย่างไร้ความปรานี


ยามนี้ ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยแผลเป็นจากมีดของเขากำลังแผ่รังสีอำมหิต หลัวอวี้หลงอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ก้มหน้ายอมรับความจริงแต่โดยดี


“เข้าใจแล้ว…” ถ้าหากหาพวกนั้นไม่เจอ เขาก็จะถูกสูบพลังจนหมด จากนั้นก็กลายเป็นคนปัญญาอ่อน…


พอนึกถึงเรื่องนี้ หลัวอวี้หลงก็ขบกรามแน่น สีหน้าของเขาดูดุร้ายขึ้นมาทันที


“หัวหน้า นี่มัน…”


“ไม่ต้องพูดแล้ว”


ท่าทีอย่างนี้ของอ้ายเฟิงมีอิทธิพลต่อคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด พวกเขาพึมพำสองสามคำ น้ำเสียงฟังดูไม่ปกติ


ดูท่าว่าเรื่องคราวนี้สำหรับอ้ายเฟิง คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องถึงความเป็นความตายเลยทีเดียว…


แต่ถ้าอ้ายเฟิงลำบาก พวกเขาเองก็อย่าหวังว่าจะมีจุดจบที่ดี เมื่อเป็นอย่างนี้ สู้คิดหาวิธีสร้างผลงานให้สุดความสามารถไม่ดีกว่าหรือ…


ชั่วขณะหนึ่งทุกคนต่างไม่มีใครพูดอะไร ส่วนหลัวอวี้หลงก็รีบร้อนค้นหาไปตามทิศทางที่ศพกลิ้งตกลงมา


และในระหว่างนี้ เจ้าหน้าที่ค้นหาที่ถูกส่งออกไปกลับกำลังถูกฆ่าอย่างต่อเนื่อง


ระหว่างทางพวกอ้ายเฟิงเจอศพของสมาชิกศพแล้วศพเล่า หลังจากที่นั่งลงและยืนยันศพแล้ว เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เร็วเข้า! ถ้าพวกเขาลอบโจมตี จะทำให้มีช่องโหว่เร็วขึ้น”


แต่หลังจากที่ค้นหาติดต่อกันถึงสามชั้น หลัวอวี้หลงผู้ซึ่งกำลังทนรับแรงกดดันมหาศาลเห็นว่าพลังจิตของตัวเองยังคงถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย ก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที


“พวกเรากำลังถูกจูงจมูกให้เดินตามศพพวกนี้หรือเปล่า?” หลัวอวี้หลงตั้งคำถามอย่างระมัดระวัง


อ้ายเฟิงเองก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้ว แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ เขาก็ยิ่งเดือดพล่าน


คนคนนี้คิดจะอวดดีในถิ่นของเขาไปจนถึงไหนกันแน่?


พอเห็นว่าอ้ายเฟิงไม่พูดอะไร หลัวอวี้หลงก็พยักหน้าอย่างเศร้าสลด แล้วหันไปกวาดมองรอบทิศอีกครั้ง


และในขณะที่จิตใจของเขากำลังร้อนรุ่มดั่งถูกไฟเผา ทันใดนั้น ก็มีสิ่งผิดปกติวิ่งผ่านเข้ามาใน “สายตา” ของเขา


แม้จะแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่หลัวอวี้หลงกลับดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก


เขารีบวิ่งออกไประยะหนึ่ง จากนั้นก็จับคลื่นสัญญาณเมื่อครู่ได้อีกครั้ง “ฉันรู้สึกได้แล้ว!”


หลัวอวี้หลงจ้องไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมละสายตา เขาตะโกนบอกเสียงเบาอย่างดีอกดีใจ “คลื่นแรงมาก ปฏิกิริยาของหมายเลข 0 ก็รุนแรงมากเหมือนกัน! เป้าหมาย ต้องเป็นเป้าหมายแน่ๆ!”


ถ้าหากคราวนี้ยังไม่ใช่ เขาคงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ…


“หมายเลข 0 มีปฏิกิริยางั้นหรอ?” อ้ายเฟิงอึ้ง จากนั้นก็พยักหน้า “ต้องเป็นเขาแน่! รีบตามไปเดี๋ยวนี้ ห้ามปล่อยให้เขาหนีไปได้อีกเด็ดขาด!”


ในความคิดของอ้ายเฟิง คนที่สามารถทำให้หมายเลข 0 มีปฏิกิริยาตอบสนองได้ จะต้องเป็นคนที่โจมตีมันในตอนนั้นอย่างแน่นอน


ส่วนพวกมู่เฉิน ถึงแม้พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในเมืองตงหมิง หมายเลข 0 ก็ไม่เคยสัมผัสได้ถึงพวกเขาเลย


ที่สถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นได้ ก็แสดงว่าสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างพวกเขาและหมายเลข 0 ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว


“ไม่ดีแล้ว! อีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังหนี!” สายตาของหลัวอวี้หลงเหลือบมองขึ้นไปบนเพดาน


ตอนนี้เขาเองก็ร้อนใจมากเหมือนกัน กว่าจะตามหาจนเจอไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกฝ่ายกลับคิดจะหนีอีก!


“ความรู้สึกไวขนาดนี้เลยหรือ? ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเขาแน่ๆ” อ้ายเฟิงถามต่ออย่างลิงโลด “มีคนอื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า?”


“มี แต่สัมผัสเลือนรางมาก และยังมีแค่คนเดียว นอกจากนี้ยังอยู่ห่างจากเป้าหมายในระยะหนึ่งอีกด้วย” หลัวอวี้หลงรีบบอก “ถ้ายังไงส่งคนไป…”


หลัวอวี้หลงพูดพร้อมยกมือขึ้นทำท่าปาดคอ


“ฉันคิดดูก่อน” อ้ายเฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ปฏิเสธว่า “ไม่ต้องไปสนใจเขา พวกเราจะแตกกลุ่มกันไม่ได้ ต้องระวังตัวไว้ก่อน”


“หัวหน้าตัดสินใจได้รอบคอบที่สุด” หลัวอวี้หลงรีบยิ้มเอาใจ


ชั้นบนเองก็เป็นห้างสรรพสินค้า พื้นที่กว้างใหญ่ แถมยังจัดวางเครื่องใช้ในบ้านไว้มากมาย


คนทั้งกลุ่มเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาหลายคู่สอดส่องไปที่เงาตะคุ่มซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันไปอย่างระมัดระวัง


หนึ่งในกลุ่มเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งแวบๆ เขารีบหันกายไปทางนั้นทันที แต่กลับพบว่าด้านหลังมีเพียงโคมไฟตั้งโต๊ะอยู่หนึ่งดวงเท่านั้น


“หลัวอวี้หลง ระบุตำแหน่งของเขาด้วย” อ้ายเฟิงกระชับมีด แล้วถามเสียงเบา


ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ทั้งกว้างขวางและเงียบสงัด แม้แต่เสียงหัวใจเต้นก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน พออ้ายเฟิงพูด ทุกคนต่างพากันหวั่นใจว่าจะมีใครกระโดดออกมาจากมุมมืดหรือไม่


“ระบุไม่ได้ ที่นี่มีพลังจิตก่อกวน อีกฝ่ายเตรียมการไว้ก่อนแล้ว…อีกอย่างเขาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา” หลัวอวี้หลงใช้สัมผัสรู้ แล้วบอก


ส่วนอีกคนก็ยังคงหลบอยู่อีกด้านหนึ่งเหมือนเดิม ราวกับหนูขี้ขลาดตัวหนึ่ง


หลัวอวี้หลงครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็มองข้ามคนคนนั้นไป ก็แค่หนอนไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง ไม่แน่ว่าเจ้านั่นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว


“เตรียมการไว้ก่อนไม่เท่าไหร่ แต่ที่นี่กว้างเกินไปจริงๆ โชคดีที่คลื่นยังไม่ถูกตัด…เขารนหาที่ตายเองแท้ๆ” อ้ายเฟิงหัวเราะเย็นชา เขาสั่งให้สมาชิกทีมคนหนึ่งเฝ้าอยู่หน้าทางเข้า จากนั้นก็โบกมือเรียกคนที่เหลือให้ตามเขาไป


เขายกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ และกระชับมีดพร้อมกับเดินหน้าไปช้าๆ


คนที่เหลือแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แล้วเดินเข้าไปข้างในช้าๆ โดยใช้ทางเดินทั้งเส้นที่อยู่ทางซ้ายและขวา ทว่าระหว่างพวกเขามีเพียงเครื่องใช้ในบ้านบางส่วนกั้นไว้เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น แต่มันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย


ขอแค่ค้นพบเป้าหมาย แม้จะอดทนได้แค่วินาทีเดียว คนอื่นๆ ก็จะต้องตามมาช่วยได้ทันเวลาอย่างแน่นอน


และพวกเขาก็มีความมั่นใจ ว่าตัวเองจะยืนหยัดได้ในหนึ่งวินาที


ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีหลัวอวี้หลงเดินตามอยู่ข้างหลัง อีกฝ่ายไม่มีทางเข้าใกล้พวกเขาได้อย่างไร้ซุ่มเสียงแน่นอน


“ออกมาเถอะ นายซ่อนตัวมานานเกินไปแล้ว”


อ้ายเฟิงคิดในใจ ขณะเดียวกันเขายื่นมือออกไปเปิดตู้เสื้อผ้าตู้หนึ่งอย่างระมัดระวัง


ข้างในมืดทึบ ไม่มีอะไรเลย


“เขายังอยู่ข้างหน้า” อ้ายเฟิงหันหน้ากลับมามอง หลัวอวี้หลงจึงรีบพยักหน้าแล้วบอก


“ระวังไว้หน่อย คนคนนี้จะต้องเจ้าเล่ห์มากแน่ๆ…” อ้ายเฟิงคิดในใจ เขายังคงย่องเท้าอย่างเบาที่สุด แล้วค่อยๆ เดินไปข้างหน้าช้าๆ


หลัวอวี้หลงเดินอยู่หลังสุด สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความดีใจและตื่นเต้นอย่างชัดเจน


ตอนนี้ เขาถือว่าได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่แล้ว


ไม่เพียงแค่อ้ายเฟิงเท่านั้นที่จะให้รางวัลเขา ไม่แน่ว่าสำนักงานใหญ่เก็อาจตบรางวัลให้เขาด้วย


มีคนเข้ามาพร้อมกันมากมายขนาดนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่มีประโยชน์มากที่สุดกลับเป็นเขา


“ยอมรับว่าหายาก แต่สุดท้ายก็โดนฉันจับได้ซะแล้ว” หลัวอวี้หลงคิดอย่างได้ใจ พลางลอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่คนเดียว


แต่ในเสี้ยววินาทีที่เขาเผลอคิดอย่างอื่น ทันใดนั้น “คลื่นสัญญาณ” ของอีกฝ่ายกลับรุนแรงขึ้นกะทันหัน


“ทำไม…”


หลัวอวี้หลงเพิ่งจะเพ่งสมาธิมองไป แต่ทันใดนั้นเขากลับอ้าปากกว้างแล้วยกมือขึ้นกุมคอ ร่างกายเขาเอนไปด้านหลัง และหายตัวไปท่ามกลางความมืดในชั่วพริบตา


“ยังระยุตำแหน่งชัดเจนไม่ได้อีกหรือ?”


อ้ายเฟิงขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปถามอีกครั้ง


แต่พอหันกลับไป เขาก็ต้องอึ้งค้างไปทันที “หลัวอวี้หลงล่ะ?”


ยืนห่างกันแค่ไม่กี่เมตร หลัวอวี้หลงหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!


อ้ายเฟิงกระชับมีด เขาเบิกตากว้างมองหน้ามองหลัง ในใจตื่นตะลึงสุดขีด


เจ้าหมอนี่ไม่มีทางหนีหายไปด้วยตัวเองแน่นอน หรือว่าถูกลอบโจมตีต่อหน้าต่อตาตัวเอง?


เมื่อกี้เขาเพ่งสมาธิไปกับการตามหาก็จริง แต่หลัวอวี้หลงคือผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต หากมีใครเข้าใกล้เขาต้องรู้ตัวแน่นอน…


ถึงจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ขณะที่เข้าใกล้เขาก็ต้องถูกจับได้อยู่ดี เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในสภาวะที่พลังถูกเปิดใช้อย่างเต็มที่


นอกเสียจากว่า ผู้ลอบโจมตีก็เป็นผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากเหมือนกัน…


แต่มันเป็นไปไม่ได้! เพราะผู้มีพลังจิตหนึ่งเดียวคนนั้นกำลังถูกเขาเพ่งเล็งอย่างไม่ละสายตานี่นา!


“หลัวอวี้หลง!”


อ้ายเฟิงตะโกนเรียกเสียงเบา แต่รอบด้านยังคงมืดและเงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา


“คิดจะปั่นหัวฉัน? ฉันไม่เชื่อว่าแกจะเล็ดลอดออกไปจากช่องนิ้วของฉันได้!” อ้ายเฟิงพูด พลางเบนสายตาไปยังด้านข้าง


ไม่ควรแตกกลุ่มกันตามคาด ตอนนี้ต้องกลับมารวมกลุ่มกันก่อร แล้วค่อยสั่งให้ทุกคนออกตามหาเขาทุกซอกทุกมุม!


แต่หลังจากที่อ้ายเฟิงวิ่งไปยังทางเดินอีกเส้น เขากลับต้องอึ้งไปอีกครั้ง


สมาชิกทีมคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางตู้มากมาย แล้วมองมาทางเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง


“หาย…หายไปแล้ว เมื่อกี้เขายังยืนอยู่ข้างหลังผมอยู่เลย” สมาชิกทีมคนนี้พูดขึ้นแล้วชี้ไปทางข้างหลังตัวเอง


ห่างกันเพียงไม่ถึงสิบเมตร แต่กลับมีสมาชิกทีมหายตัวไปอีกหนึ่งคนแล้ว


อ้ายเฟิงสีหน้าตึงเครียดถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายแล้ว


อีกฝ่ายไม่คิดจะปะทะกับพวกเขาตรงๆ แต่กลับคิดจะกลืนกินพวกเขาไปทีละนิดๆ


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องตื่นตูมไป พวกนั้นมีคนไม่มากเท่าพวกเรา อีกอย่างคนที่สามารถลอบโจมตีพวกเราอย่างนี้ได้ ก็มีแค่เขาคนเดียว…” อ้ายเฟิงสูดลมหายใจลึกๆ แล้วบอก


แต่เสียงพูดของเขาเพิ่งจะจบลง เสียง “เคร้ง” ก็ดังขึ้นภายในห้างสรรพสินค้า


อ้ายเฟิงและสมาชิกทีมคนนี้รีบหันไปมองยังทิศทางของเสียง แล้วจากนั้นก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว


แล้วก็มีสมาชิกทีมอีกสองคนวิ่งออกมาจากทางเดินอีกเส้น วิ่งตามไปยังทิศทางที่เกิดเสียงเช่นกัน


“ทางนั้น!”


อ้ายเฟิงมองเห็นเงาร่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาเผยสีหน้าดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา


คนคนนี้เอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ มาโดยตลอด แล้วยังลอบโจมตีพวกเขาติดกันถึงสองครั้ง ในที่สุดก็เผยช่องโหว่ออกมาให้เห็นแล้ว


ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต พอถูกจับตัวได้ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น


พอคิดอย่างนี้ อ้ายเฟิงก็เร่งฝีเท้าทันที


สมาชิกทีมอีกสามคนก็รีบวิ่งพุ่งไปข้างหน้าเช่นเดียวกัน ทว่าหนึ่งในนั้นช้าไปหนึ่งก้าว


แต่เพราะก้าวเดียวที่ช้านี้ ระหว่างที่เขากำลังพุ่งไปข้างหน้า จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้าง ร่างกายโน้มไปข้างหลัง และหายตัวไปในเครื่องใช้ในบ้านเหล่านั้น


เสี้ยววินาทีที่เขาหายตัวไป อ้ายเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน


เขาหยุดวิ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หันศีรษะที่ท่วมไปด้วยเหงื่อกลับมาช้าๆ


หันกลับไปมองเพียงแวบเดียว เขาก็รู้สึกเย็นสะท้านไปทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า


—————————————————————————–


บทที่ 642 หนอนกัดคน เจ็บยิ่งกว่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

หายไปแล้ว!


ครั้งนี้มีคนหายตัวไปต่อหน้าต่อตาเขาอีกคนแล้วจริงๆ…


อีกสองคนหันกลับมามองตาม แล้วก็ต้องตะลึงไปเช่นเดียวกัน


เมื่อกี้แค่เพื่อนร่วมทีมหายตัวไปติดกันสองคน พวกเขาก็รู้สึกขนลุกแล้ว


คราวนี้ทั้งๆ ที่จับเงาร่างของศัตรูได้แล้วแท้ๆ แต่ทำไมเพียงพริบตาเดียวก็มีสมาชิกทีมหายตัวไปอีกคนแล้วล่ะ?


“เมื่อกี้หลัวอวี้หลงบอกว่าเขาอยู่ข้างหน้านี่…”


อ้ายเฟิงหันไปมองยังทิศทางที่เงาร่างปรากฏตัวอีกครั้ง ตอนนี้เงาร่างนั้นได้หายไปแล้ว แต่ทิศทางของมันกลับตรงกับที่หลัวอวี้หลงบอกไว้ก่อนหน้านี้พอดี


แต่มือปริศนาที่ยื่นมาจากข้างหลังพวกเขาอย่างต่อเนื่องนี่มันอะไรกัน?!


“แม่งเอ๊ย!”


อ้ายเฟิงผู้กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์โกรธจัดยกเท้าถีบเก้าอี้ข้างตัวจนพลิกคว่ำ เสียงเก้าอี้ล้ม “โครม” ดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้างฯ ขายเฟอร์นิเจอร์ แต่ไม่นานมันก็ถูกกลบด้วยเสียงคำรามด้วยความโมโหของอ้ายเฟิง “ออกมาสิวะ! อยากสู้? ฉันจะสู้เป็นเพื่อนแกเอง! เล่นวิธีสกปรกอย่างนี้ไม่แฟร์นี่หว่า!”


อ้ายเฟิงเหวี่ยงหมัดต่อยอากาศอย่างแรง แล้วหันกลับมาถีบเก้าอี้จนล้มไปอีกตัว


ส่วนสมาชิกทีมอีกสองคนที่เหลือซึ่งยืนอยู่ด้วยกัน กำลังกลอกลูกตาไปมา เพื่อสังเกตสถานการณ์รอบข้างอย่างระมัดระวัง


ได้ยินหัวหน้าตัวเองสบถด่าอย่างเกรี้ยวกราดขนาดนี้ พวกเขาก็อดมองหน้ากันไม่ได้


ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่วิธีการโจมตีอย่างนี้ทำให้คนรู้สึกทรมานได้มากกว่าจริงๆ…


หากโจมตีซึ่งหน้าพวกเขาอาจต้านได้ แต่การฉวยโอกาสลอบโจมตีอย่างนี้ ทั้งทำให้คนเจ็บและหวาดกลัวได้พร้อมๆ กัน


“นาย เดินไปข้างหน้า”


จู่ๆ อ้ายเฟิงก็หันมา แล้วชี้มาที่หนึ่งในสองคนนี้


ด่ากราดอย่างนี้ไม่อาจกระตุ้นให้อีกฝ่ายออกมาได้ อ้ายเฟิงจึงทำได้แค่คิดหาวิธีอื่นแทน


“ผม?” คนที่ถูกชี้สะดุ้งโหยง


“กลัวอะไรวะ! มีฉันคอยจ้องอยู่ทั้งคน!” อ้ายเฟิงถลึงตาจ้องเขา พร้อมด่าอย่างฉุนเฉียว


กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากำลังกระตุกสั่น รอยแผลเป็นนั่นราวกับกำลังเลื้อยไล้ไปตามใบหน้าบูดบึ้งของเขาเหมือนจู่ๆ มันก็มีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น


สายตาเฉียบขาดกดดันสมาชิกทีมคนนั้นจนหายใจไม่ออก เขามองหน้าอ้ายเฟิงอย่างหวาดกลัว แล้วเลื่อนมองลงไปที่มีดในมือของอ้ายเฟิง


“หัวหน้า อย่าเพิ่งวู่วามไป เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อจะทำให้หัวหน้าโมโห…” สมาชิกทีมคนนี้พูดจาอย่างระมัดระวัง


“ไป!” อ้ายเฟิงตัดบทเขาอย่างเย็นชา


สมาชิกทีมคนนี้มองเห็นรังสีอำมหิตจากดวงตาของอ้ายเฟิง ซึ่งบ่งบอกว่าเขาถูกยั่วโมโหเข้าจริงๆ แล้ว


ตอนนี้ทำได้เพียงเลือกว่าจะเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดี หรือจะถูกฆ่าซะเดี๋ยวนี้


ที่อ้ายเฟิงสามารถไต่เต้ามาเป็นหัวหน้าของแผนกย่อยได้ นอกจากผลงานที่เขาทำให้แผนกย่อยมีหมายเลข 0 แล้ว ความเย็นชาโหดเหี้ยมนี้ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน


ยามปกติเขาสามารถแสดงออกได้อย่างสงบนิ่ง แต่เมื่อใดที่ผลประโยชน์ส่วนตัวถูกคุกคาม เขาก็สามารถละทิ้งได้ทุกอย่าง


ความขุ่นเคืองฉายชัดออกมาจากดวงตาของสมาชิกทีมคนนี้ แต่เขากลับต้องหันกาย และเดินเข้าไปในความมืดอย่างช่วยไม่ได้


สมาชิกทีมอีกคนที่เงียบกริบไม่กล้าพูดออกมาซักคำถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาแอบถอยห่างจากสมาชิกทีมผู้โชคร้ายคนนั้นเงียบๆ


เขาหวังเพียงว่าสมาชิกทีมคนนี้จะสามารถล่อปีศาจร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาได้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเดินตามรอยเขาไปอีกคน


ความจริง ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคือถอยลงไปอยู่ข้างล่างตึก เฝ้าทางเข้าออกทุกทางอย่างแน่นหนา แล้วรอให้กำลังเสริมมาถึงก่อน


แต่พฤติกรรมเหมือนหมาไร้บ้านอย่างนั้น ถึงแม้อ้ายเฟิงจะคิดได้ แต่เขาก็ไม่มีทางทำแน่นอน


สมาชิกทีมคนนั้นพูดถูกแล้ว พฤติกรรมอย่างนี้ของอีกฝ่าย คือการท้าทายดีๆ นี่เอง


และอ้ายเฟิง ก็ถูกยั่วโมโหเข้าเต็มๆ


พวกเขาเคลื่อนไหวในห้างฯ ช้าๆ โดยคนหนึ่งเดินนำหน้า อีกสองคนเดินตามหลัง สมาชิกทีมคนแรกหวาดวิตกจนเหงื่อท่วมกาย


ตอนนี้ตัวเขาคือเหยื่อล่อที่อ้ายเฟิงใช้โต้กลับการท้าทายของอีกฝ่าย


อวดดีนักใช่ไหม? ก็เอาสิ! จัดการเหยื่อล่อที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาให้ได้ก่อนสิ ถึงจะถือว่าเจ๋งจริง!


อ้ายเฟิงคิดอย่างนี้จริงๆ ดวงตาแดงก่ำของเขาจับจ้องไปที่ร่างกายของสมาชิกทีมคนนั้นอย่างไม่ยอมละสายตา


“ออกมาสิ! ออกมาเดี๋ยวนี้!” อ้ายเฟิงสบถในใจ


ถึงจะนับรวมเจ้าหนูขี้ขลาดที่เอาแต่แอบอยู่ไกลๆ ตัวนั้นด้วย พวกนั้นก็ยังมีกันแค่สองคน…


เดี๋ยวก่อน!!


อ้ายเฟิงดึงสติทันที ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองมองข้ามอะไรบางอย่างไป


ใช่แล้ว พวกเขามีกันสองคนตั้งแต่แรก!


จนถึงก่อนที่หลัวอวี้หลงจะหายตัวไป เขาก็ไม่เคยพูดถึงหนอนไร้ค่าตัวนั้นเลยซักนิด แต่ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจถูกเจ้าหนอนตัวนั้นฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ไปแล้วก็ได้


“ใช่แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เข้าใจได้แล้ว ให้ใครคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าและทำให้พวกเราไขว้เขว เบี่ยงเบนความสนใจ ส่วนอีกคนที่ทำตัวเหมือนหนูไร้ค่าเอาแต่ซ่อนตัว ความจริงเขาคนนั้นกำลังซุ่มและมองหาจังหวะเพื่อลอบโจมตีพวกเราต่างหาก…คนแข็งแกร่งเป็นเหยื่อล่อ ส่วนคนอ่อนแอกลับวิ่งมาลอบโจมตี ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ…”


ยิ่งคิด อ้ายเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องเป็นอย่างนี้แน่ๆ


อีกฝ่ายไม่ปิดบังตัวตนของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เพราะเหตุนี้พวกเขาถึงได้มองข้ามเจ้าหนอนไร้ค่าตัวนั้นไป


แต่ใครจะไปรู้ว่าหนอนก็กัดคนได้เหมือนกัน?


“แถมฝีมือยังไม่เลวอีกต่างหาก…ทั้งหมดเป็นเพราะข้อมูลไม่พอแท้ๆ!” ความรู้สึกถูกปั่นหัวทำให้อ้ายเฟิงเดือดหนักกว่าเดิม ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมายทันที


เขารู้สึกว่าเบื้องหลัง จะต้องมีอะไรที่เขามองไม่เห็นอยู่อีกแน่นอน…


“ไม่ได้การ” ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นนำในที่สุด อ้ายเฟิงตะโกนเรียกเหยื่อล่อที่เดินอยู่ข้างหน้า “ตรงนั้นคนเดียวเอาไม่อยู่ ถ้าเกิดพวกนั้นเล่นวิธีสร้างเสียงลวงทิศจะแย่เอา”


เหยื่อล่อที่เดินอยู่ข้างหน้ารีบหันหน้ากลับไป ในที่สุดหัวใจที่ตกไปอยู่ตรงตาตุ่มก็คืนสู่ตำแหน่งเดิม เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที


แต่ในขณะที่อ้ายเฟิงและสมาชิกทีมอีกคนหันไปมองทางประตู เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังมาจากประตูบานนั้นทันที


“แม่งเอ๊ย! เป็นอย่างที่คิดจริงๆ!” อ้ายเฟิงก้าวเท้า หมายจะวิ่งเข้าไป


สมาชิกทีมที่ทำหน้าที่เหยื่อล่อรีบตะโกนห้าม “อย่าเข้าไป อาจเป็นกับดักก็ได้!”


สมาชิกทีมอีกคนชะงักฝีเท้าทันที เขามองหน้าอ้ายเฟิงอย่างลังเลเล็กน้อย


อ้ายเฟิงกัดฟันกรอด แม้ไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่มันก็มีความเป็นไปได้จริงๆ


การลอบทำร้ายติดต่อกันหลายครั้งของอีกฝ่าย ได้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนห่วงหน้าพะวงหลังไปเสียแล้ว…


จู่ๆ อ้ายเฟิงก็พบว่า สิทธิ์ของผู้กระทำได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่ายจนสิ้นแล้ว


ทุกการตัดสินใจของเขา ล้วนช้ากว่าการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไปหนึ่งก้าวเสมอ


ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร ก็เหมือนกับว่ากำลังกระโดดเข้าไปในกับดักของอีกฝ่ายด้วยตัวเองทุกครั้ง


“เสียงอะไรน่ะ?” เสียงตะโกนเลือนรางดังมาจากด้านนอก


อ้ายเฟิงนิ่งไป กำลังคิดจะอ้าปากตะโกนเรียก ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังสวนมาอีกครั้ง


ต่อมา เสียง “ขลุกขลักๆๆ” ก็ดังตามมา ทั้งสามคนยืนอยู่กับที่ ราวกับว่าพวกเขามองเห็นศพกลิ้งลงไปตามขั้นบันไดกับตาตัวเอง


เมื่อเสียง “โครม” ดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้าย สีหน้าของพวกเขาทั้งสามก็ตึงเครียดถึงขีดสุด


เมื่อกี้นี้ ต้องเป็นเสียงร้องของสมาชิกกลุ่มนิพพานแน่ๆ และที่อีกฝ่ายทำอย่างนี้ ก็เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายมองว่าพวกเขาทุกคนเป็นเหยื่อล่อ…


อ้ายเฟิงจ้องเข้าไปในความมืดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้น แล้วกดหว่างคิ้วตัวเอง


“ตอนแรกกะจะให้หมายเลข 0 มีส่วนร่วมก็พอ แต่ตอนนี้ คงจำเป็นจะต้องให้หมายเลข 0 ออกโรงจริงๆ แล้วล่ะ…”


ดวงตาอ้ายเฟิงประกายวูบวาบ เขาเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “คิดว่าเป็นผู้มีพลังจิตแล้วเก่งนักหรือไง? ฉันจะทำให้แกเห็นเองว่าอะไรคือผู้มีพลังจิตที่แท้จริง!”


“หัวหน้า กฎมีอยู่ว่าห้ามให้หมายเลข 0 เข้าร่วมการต่อสู้โดยตรง…” สมาชิกทีมอีกคนหมายจะพูดบางอย่าง แต่กลับถูกสมาชิกทีมที่ทำหน้าที่เหยื่อล่อห้ามไว้ก่อน


“ฉันขอเตือนว่าตอนนี้นายควรหุบปากซะ” เจ้าเหยื่อล่อพูดอย่างไม่สบอารมณ์


ขณะเดียวกันนั้น ณ ห้องทดลองใต้ดินแห่งหนึ่งของเมืองตงหมิง ในห้องที่เปิดไฟสว่างจ้าทุกดวง จู่ๆ เสียงร้องวอแวแหลมๆ ของเด็กทารกก็ดังขึ้น


เสียงร้องนี้แหลมขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นเหมือนเสียงกรีดร้อง ที่ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง


ส่วนอ้ายเฟิงที่กำลังยืนอยู่ในห้างฯ ขายเฟอร์นิเจอร์แห่งนี้ จู่ๆ ก็เบิกตากว้าง ดวงตาคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ


เขาหอบหายใจถี่ระรัว และจิกทึ้งหนังศีรษะตัวเองอย่างทรมาน ร่างกายกระตุกสั่นอย่างต่อเนื่อง


ขมับของเขาเต้นตุบตับอย่างรุนแรงเหมือนมีอะไรบางอย่างมุดเข้าไปในสมองเขา และสถานการณ์อย่างนี้ก็ได้ทำให้อีกสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจอย่างหนัก


พวกเขาไม่เคยเจอสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน


เมื่อกี้ยังพูดเรื่องหมายเลข 0 อยู่เลยไม่ใช่หรอ? จู่ๆ ก็เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาล่ะ…


“อุแว๊!”


เสียงตะโกนของอ้ายเฟิง ทำให้สองคนนี้ตกใจอีกครั้ง


เสียงนี้ ทำไมเหมือนเสียงร้องวอแวของเด็กทารกเลยล่ะ…


หลังผ่านไปหลายวินาที ในที่สุดอ้ายเฟิงก็นิ่งลง เขาค่อยๆ ยืดตัวตรง และลืมตาขึ้นช้าๆ


พอถูกสายตาของอ้ายเฟิงจ้อง สองคนนี้ถึงกับตัวสั่นงันงก


ในดวงตาลึกล้ำคู่นั้น เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม แล้วยังมีความสับสนยุ่งเหยิงบางอย่างอยู่ด้วย…


“หัวหน้า?” หนึ่งในสองคนนั้นลองเรียกเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ


อ้ายเฟิงเหลือบมองเขา จากนั้นก็บิดคอไปมา แล้วจู่ๆ ก็ฉีกยิ้ม “หึหึ”


และเสียงหัวเราะนี้ ก็ทำให้ทั้งสองคนขนลุกซู่อีกครั้ง


ทำไมหัวหน้าเหมือนกลายเป็นคนละคนไปแล้วล่ะ…


“ออก…มาซะเถอะ…ฉันเห็นแกแล้ว…” ทันใดนั้นอ้ายเฟิงตวัดตามองไปทางหนึ่ง แล้วเขาก็พูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา


“ลูกไม้อย่างนี้ไม่ได้ผลหรอกมั้ง?” สมาชิกทีมคนหนึ่งอดพูดขึ้นไม่ได้


สมาชิกอีกคนพยักหน้าตาม ลูกไม้ตื้นๆ อย่างนี้จะได้ผลได้อย่างไร…


แต่สิ่งที่ทำให้สองคนนี้ตกตะลึงก็คือ ในมุมมืดนั้น มีเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจริงๆ


จากเลือนรางเสียงฝีเท้านั้นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขาข้างหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลังตู้ก่อน ตามมาด้วยเงาร่างของใครคนหนึ่ง


อาศัยแสงสว่างอันน้อยนิดที่ส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง สมาชิกทีมทั้งสองคนได้มองเห็นใบหน้าที่ทำให้พวกเขาทั้งเกลียดและกลัวอย่างชัดเจน ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่อยากจะกรีดใบหน้านั้นให้เละคามือ


แต่การตอบสนองแรกของพวกเขากลับเป็น ทำไมถึงเป็นคนนี้ไปได้ล่ะ?!


คนคนนี้ยังหนุ่ม ดวงตาเปล่งประกาย มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย


และหลังจากที่เดินออกมา เขายังโบกมือทัก ราวกับเจอคนรู้จักข้างทาง “ยินดีที่ได้เจอนะ”



ทั้งสองอึ้งค้าง


และหลังจากที่ได้สติกลับคืนมา ในใจของสองคนนี้ก็เต็มไปด้วยคำสบถด่าหยาบคายมากมาย!


“ยินดีกับผีน่ะสิ! ไม่ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยเลยล่ะ!”


“เป็นศัตรูกันแท้ๆ จะมาทำท่าทีสนิทสนมขนาดนี้เพื่อ! ความโกรธที่สะสมเมื่อกี้หายไปในพริบตาเลย!”


อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของเจ้าหนุ่มคนนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมาก พวกเขาสองคนถึงขนาดไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี


“กร๊อบแกร๊บๆ…”


อ้ายเฟิงหันหน้าไปอีกทาง แล้วจ้องมองหนุ่มน้อยคนนี้จากองศาคอแปลกๆ เขาอ้าปากพูดอย่างยากลำบาก “ฉัน…รู้จัก…”


“ขอแนะนำตัวหน่อยละกัน หลิงม่อ”


หลิงม่อมองอ้ายเฟิงอย่างสนอกสนใจ แล้วบอกว่า “แต่ฉันควรเรียกนายว่าอ้ายเฟิง หรือหมายเลข 0 ดีล่ะ?”


—————————————————————————–


บทที่ 643 วิธีการใช้งานหมายเลข 0

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอหลิงม่อพูดออกไปอย่างนี้ อีกสองคนที่เหลือก็อึ้งไปทันที


คำพูดนี้…หมายความว่ายังไง?


กลับเป็นตัวอ้ายเฟิงเองที่ดูไม่ประหลาดใจซักนิด “กึ๊กๆ” เขาหันคอกลับมาให้ตรง จากนั้นก็มองหลิงม่อด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วอ้าปากหัวเราะเอื่อยๆ “คิก…คิกคิก…”


เสียงหัวเราะนี้ชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า ราวกับมีคนเอาเล็บขูดกระดาษทรายอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงน่ารำคาญ แต่มันยังดังฝังลึกเข้าไปในสมองอีกด้วย


หลิงม่อขมวดคิ้วเล็กน้อย สองคนนั้นรู้สึกเพียงว่าเสียงนั้นน่ารำคาญ แต่กลับไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะนี้แฝงไว้ด้วยพลังโจมตีทางจิต…


ทำได้ถึงขั้นนี้ แสดงว่าเป็นผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งมาก


ทว่าถึงแม้เป็นอย่างนี้ สายตาที่สองคนนั้นมองอ้ายเฟิงก็แปลกออกไป


การที่อ้ายเฟิงเงียบ ก็แสดงว่าที่หลิงม่อพูดมาเป็นความจริง


ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่สถานการณ์อย่างนี้สำหรับพวกเขานั้นยากเกินรับไหว!


ที่บอกว่าเข้าร่วม คือการเปิดตัวที่น่าสะพรึงอย่างนี้น่ะหรอ?! เข้าร่วมได้สมบูรณ์แบบจริงๆ!


“ดูเหมือนว่าแกจะเป็นหมายเลข 0 สินะ” หลิงม่อสอดมือเข้าไปในกระเป๋า แล้วพูดขึ้น


เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังจิตอันรุนแรงระลอกหนึ่ง


และตอนที่อ้ายเฟิงตะโกนเรียกเขาให้ออกมา หลิงม่อก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังจิตสายหนึ่งพุ่งมาที่ตัวเอง


มาถึงตอนนี้ การซ่อนตัวก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเดินออกมาเผชิญหน้าตรงๆ เสียเลย


แต่พลังจิตที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่น่าใช่สิ่งที่อ้ายเฟิงมีมาแต่แรก สถานการณ์อย่างนี้ของเขา หลิงม่อเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน


แต่คิดไปคิดมา ในนิพพานสาขาย่อย คนที่จะสามารถทำอย่างนี้ได้ก็มีเพียงหมายเลข 0 เท่านั้น


หลิงม่อลองเสี่ยงดวงคาดเดาออกไป แต่อีกฝ่ายกลับยอมรับอย่างตรงไปตรงมา


“แกร้ายกาจ…กว่าครั้งก่อน…ทำฉัน…ประหลาดใจเลย” อ้ายเฟิงพูดอีกครั้ง


เขาไม่ได้พูดติดอ่างหรือลิ้นแข็งแต่อย่างใด แต่เหมือนร่างกายและประสาทการตอบสนองไม่ตรงกันมากกว่า


“ฉันก็ประหลาดใจเหมือนกันนะ แกพูดภาษาคนก็ได้ด้วย” หลิงม่อบอก “ฉันนึกว่าแกเป็นแค่เครื่องจักรมีชีวิตที่มีไว้เพื่อรวบรวมการแลกเปลี่ยนข้อมูลมาโดยตลอด”


ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังพวกอ้ายเฟิง “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”


สองคนนั้นหันหลังขวับอย่างตื่นตระหนก แล้วก็ตะโกนออกมาอย่างตกใจพร้อมกัน “มู่เฉิน / หัวหน้าทีมมู่?!”


“เรียกฉันว่ามู่เฉินเถอะ” มู่เฉินพูดหยันตัวเองเล็กน้อย “มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันคงกลายเป็นศัตรูกับนิพพานของพวกนายแล้วล่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นเมื่อกี้…” หนึ่งในสองคนนั้นมองหน้ามู่เฉิน แล้วหันไปมองหลิงม่อ


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นฝีมือของสองคนนี้นี่เองที่ปั่นหัวพวกเขา…


หลิงม่อล้มเลิกการลอบทำร้าย มู่เฉินจึงคิดว่าเหยื่อล่ออย่างตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไปแล้ว


โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน…


“แผนการตกปลา” ราบรื่นมาโดยตลอด!


หลิงม่อเป็นคนเสนอแผนการนี้ แต่เขาก็มีส่วนร่วมด้วยเหมือนกัน


เป็นมู่เฉินเองที่บอกข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะนิสัยและจุดเด่นของผู้สั่งการอ้ายเฟิง รวมถึงสถานการณ์จริงในสาขาย่อยให้กับหลิงม่อได้รู้…


อย่างเช่นเรื่องที่ว่าทำไมอ้ายเฟิงถึงได้มีปฏิกิริยารุนแรง จนถึงขั้นสูญเสียสติยั้งคิดไปขนาดนี้ เหตุผลหลักเป็นเพราะว่า ในสายตาของสำนักงานใหญ่ สาขาย่อยแห่งนี้ยังมีความสำคัญไม่มากพอ


ตัวสาขาย่อยเองยังไม่ได้รับการยอมรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าที่คุมสาขาย่อยนี้เลย


ในสายตาของสำนักงานใหญ่ อ้ายเฟิงสำคัญไม่เท่าหมายเลข 1 ด้วยซ้ำ


เดิมฐานะต่ำต้อย คำพูดไร้ความหมาย แล้วยังทำความผิดใหญ่หลวงขนาดนี้ บอกได้เลยว่าอนาคตของอ้ายเฟิงหลงเหลือแต่ความมืดมด เขาย่อมต้องสติแตกเป็นธรรมดา


ทว่าตอนที่หลิงม่อได้ยินเรื่องพวกนี้ กลับรู้สึกประหลาดใจมาก “สาขาย่อยสาขาเดียวสามารถยึดครองเมืองทั้งเมืองได้ ก็โคตรเจ๋งแล้วนะ…”


“คนที่เจ๋งจริงถูกย้ายไปที่สำนักงานใหญ่หมดแล้ว” มู่เฉินบอก “ไม่อย่างนั้นจะถึงมืออ้ายเฟิงหรอ? แค่เพราะมีหมายเลข 0 อยู่ สาขาย่อยเลยยังสามารถรวบรวมข้อมูลข่าวสารรวมถึงข้อมูลการทดลองส่งให้สำนักงานใหญ่ได้ ดังนั้นเลยยังสามารถอยู่ต่อมาได้ บอกว่าเป็นสาขาย่อย แต่ความจริงความสำคัญทั้งหมดอยู่ที่หมายเลข 0 เพียงคนเดียวเท่านั้น คราวนี้นายน่าจะรู้แล้วนะ ว่าหมายเลข 0 ที่นายทำร้ายน่ะ มีความสำคัญกับสาขาย่อยมากมายขนาดไหน”


“แล้วทำไมไม่ย้ายหมายเลข 0 ไปที่สำนักงานใหญ่ด้วยซะเลยล่ะ?” จู่ๆ หลิงม่อก็ถาม


มู่เฉินทำได้เพียงส่ายหัวกับคำถามนี้ “ฉันจะไปรู้ได้ไง…”


“แต่ว่ากันตามจริงแล้ว หมายเลข 0 ก็เป็นแค่เครื่องโทรเลขพลังงานสูงรึเปล่า?” หลิงม่อครุ่นคิด และถามอีกครั้ง


มู่เฉินขมวดคิ้วคิดตาม แล้วพยักหน้าตอบ “ก็…น่าจะใช่มั้ง…”


………..


ใช่บ้าอะไรล่ะ!


ตอนนี้มู่เฉินสับสนไปหมดแล้ว เขาอยู่ในสาขาย่อยมานานขนาดนี้ รู้จักกับอ้ายเฟิงมาก็ไม่ใช่วันสองวัน แต่เขากลับไม่เคยรู้เลยว่านี่คือวิธีการใช้หมายเลข 0 ที่แท้จริง!


ตามคาด คนเป็นหัวหน้า มักจะมีไพ่ลับซ่อนอยู่เสมอ!


ทว่าอ้ายเฟิงกลับไม่สนใจมู่เฉินซักนิด เขายังคงจ้องไปที่หลิงม่อ “เครื่องจักร? ไม่…นายพูดถูก…แค่ครึ่งเดียว”


นึกไม่ถึงว่าเขาจะแก้ตัวให้ตัวเองอย่างจริงจัง “นั่นคือ…ภาชนะ”


“หมายความว่าไง?” หลิงม่อขมวดคิ้วถาม


“ฉัน…” อ้ายเฟิงสะบัดหัวไปมา แล้วเขาก็พูดคล่องขึ้น “ฉัน…ถูกสร้างขึ้น…จากความทรงจำมากมาย…”


แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเล็กแหลมขึ้นทันที “หุบปาก! ความทรงจำอะไรกัน นั่นเรียกว่าร่างจิตใต้สำนึกต่างหาก! เจ้าโง่!”


“ก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ไม่ต้องทะเลาะกัน ให้เขาพูดต่อ!”


“เรื่องแค่นี้ ฉันอธิบายเอง ก็แค่ร่างจิตใต้สำนึกมากมายมารวมตัวกัน จากนั้นมันก็บีบคั้นจนเจ้าของร่างระเบิด สุดท้ายก็เปลี่ยนไปอยู่ในร่างอีกคนเท่านั้นเอง!”


“ฮ่าฮ่า ขอเสริมหน่อยละกัน สุดท้ายก็เปลี่ยนไปอยู่ในร่างที่ไร้สติรู้คิดยังไงล่ะ!”


“เมื่อกี้…ใครบอกว่าเป็นร่างจิตใต้สำนึก? นั่นมันความทรงจำต่างหาก…”


อ้ายเฟิงสะบัดหัวไปมาอีกครั้ง และแล้วสายตาสับสนยุ่งเหยิงของเขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม น้ำเสียงก็กลับไปเป็นปกติเช่นกัน “ภาชนะไม่มีพันธนาการ…ฉันสามารถ…เข้ามาอยู่ในตัวเขาได้ อย่างตอนนี้”


“เชี่ยย…” ทุกคนถึงกับตะลึงค้างไป


เหตุการณ์เมื่อครู่ เหมือนกับอ้ายเฟิงคนเดียวกำลังแสดงหลายบทบาท และทะเลาะกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น


กลับเป็นหลิงม่อที่ได้สติกลับคืนมาเป็นคนแรก แต่สีหน้าของเขาก็ยังดูยากจะเชื่อ


ตอนแรกที่เขาเจอหมายเลข 0 ถึงแม้จะมองเห็นแค่ภาพเลือนรางไม่ชัดเจนบางส่วน แต่หลิงม่อกลับคิดมาโดยตลอด ว่านี่คือผู้มีความสามารถพิเศษที่ถูกเลี้ยงดูเป็นพิเศษ ซึ่งไม่มีความสามารถในการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง และไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษ 100%…


แต่ความเป็นจริง กลับน่าตกใจกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก…


เมื่อกี้ถึงอ้ายเฟิงจะทะเลาะกับตัวเองเสียงดังเอะอะ แต่หลิงม่อกลับเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะบอก


ตัวตนแรกสุดของหมายเลข 0 อาจเป็นไปได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถพิเศษธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น


พวกเขาได้เคลื่อนย้ายพลังจิตของคนอื่นๆ มายังสมองของคนคนนี้ผ่านวิธีการมากมาย แต่นั่นไม่เหมือนกับพลังกลืนกินของหลิงม่อ พลังจิตเหล่านี้ไม่ได้กลายเป็นพลังงานทางจิตบริสุทธิ์ที่ถูกดูดกลืนมา แต่มันเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของความทรงจำและจิตใต้สำนึก พอเจ้าของร่างคนแรกทนรับไม่ไหว พวกเขาก็ได้นำสิ่งยุงเหยิงนี้ ยัดใส่ “ภาชนะ” ชิ้นใหม่


ถึงแม้หลิงม่อจะไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างคนแรก “ระเบิด” อย่างไร แต่พอลองนึกดูว่าเมื่อสมองของคนคนหนึ่งถูกความทรงจำและความคิดที่ไม่เหมือนกันมากมายมหาศาลยัดใส่พร้อมๆ กัน คงเหมือนกับต้องยืนอยู่ในลานกว้าง แล้วฟังเสียงของผู้คนมากมายทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวันทุกคืน เวลาผ่านไป หากไม่ฆ่าตัวตาย ก็คงเป็นบ้า


วิธีการอย่างนี้ พวกเขาก็ช่างคิดออกมาได้…


แต่ “ร่างกายที่ยังไม่มีสติรู้คิด” คืออะไรกันแน่? หรือจะเป็นซอมบี้ธรรมดา?


ไม่รอให้หลิงม่อถามออกไป เขาก็ได้ยินเสียงมู่เฉินพูดออกมาว่า “เด็ก…ทารกนั่น…”


“หา?”


จู่ๆ ก็พูดอะไรของเขาน่ะ…


มู่เฉินพูดด้วยสีหน้าช็อกสุดขีด “ฉันบอกว่าเด็กทารกนั่น! หมายเลข 0 อยู่ในร่างของเด็กทารกในตู้อบมาตั้งแต่แรกแล้ว! แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเด็กทารกนั่นเกิดมาได้อย่างไร…ฉันก็นึกว่า…”


เขาพูดไป ก็ถอยหลังไปสองก้างอย่างไม่รู้ตัว บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้ทำให้เขาช็อกสุดๆ


แม้แต่สมาชิกอีกสองคนก็ต้องผงะถอยหลังไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน จิตใต้สำนึกที่สามารถ “เคลื่อนย้าย” ได้อย่างนี้ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน…


หลิงม่อกลับพยักหน้าอย่างเข้าใจ คำตอบนี้เมื่อนำมาประกอบกับเหตุการณ์ที่เขา “มองเห็น” ในตอนนั้น ก็สมเหตุสมผลพอดี…


“พวกนายไม่ต้อง…” อ้ายเฟิงหัวเราะคิกคิก แล้วหมุนคอดัง “กร๊อบแกร๊บ” อีกครั้ง “ฉันถูก…ขังให้อยู่ ที่นี่”


“นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายของนายก็มีเงื่อนไขด้วย” หลิงม่อจุดประเด็นสำคัญขึ้นมา


อ้ายเฟิงเงียบ เขากำหมัดแน่นอย่างขุ่นเคือง


“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สินะ…”


ตอนนี้หลิงม่อรู้แล้วว่าทำไมหมายเลข 0 ถึงต้องอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าเพื่อจะรักษาตำแหน่งไว้ อ้ายเฟิงคงไม่ได้ซ่อนไพ่ลับไว้แค่ใบเดียว


เดาว่าวิธีการใช้อย่างนี้ มีเพียงอ้ายเฟิงเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ นั่นก็เท่ากับว่าร่างกายของเขาคือภาชนะสำรองใช้ที่มีไว้เพื่อหมายเลข 0


“ที่แท้หมายเลข 0 ก็เป็นดั่งเจ้าชีวิตของเขานี่เอง ไม่น่าล่ะเขาถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนั้น” หลิงม่อคิดในใจ


อ้ายเฟิงในตอนนี้ เทียบเท่ากับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ในเมื่อหมายเลข 0 ไม่ได้เป็นเพียง “เครื่องโทรเลข” นั่นแสดงว่ามันจะต้องมีความสามารถอื่นซ่อนอยู่อีกแน่


หลิงม่อกับมู่เฉินสบตากัน จากนั้นก็สื่อความหมายผ่านสายตากัน


ถึงแม้มู่เฉินจะยังไม่ตื่นจากความช็อกดี แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาสับสน


เขากระชับมีดแน่น แล้วหันไปมองสมาชิกสองคนนั้น


ส่วนหลิงม่อนั้นพุ่งเป้าความสนใจไปที่อ้ายเฟิง ทั้งสองตะโกนเสียงดังออกมาพร้อมกัน “ลุยเลย!”


มู่เฉินยกเท้าเตะชุดเครื่องชาที่อยู่ข้างๆ ให้พุ่งไปทางหนึ่งในสองคนนั้น ขณะเดียวกันก็พุ่งเข้าไปโจมตีชายอีกคนหนึ่ง


หลิงม่อแผ่หนวดสัมผัสทางจิตหลายสิบเส้นออกมาจากดวงแสงแห่งจิต เพื่อปิดกั้นด้านหน้าของอ้ายเฟิงอย่างแน่นหนา


แต่ขณะที่สมาชิกทีมสองคนนั้นยังคงอยู่ในภวังค์ตะลึงค้าง อ้ายเฟิงกลับโต้ตอบการจู่โจมอย่างกะทันหันของหลิงม่อทันที


คลื่นดวงจิตอันรุนแรงพลันปรากฏอยู่รอบทิศ ป้องกันพลังหนวดสัมผัสทางจิตของหลิงม่อไว้ได้อย่างหมดจด


พลังงานทางจิตสองกลุ่มปะทะกันอย่างแรง หนวดสัมผัสทยอยสลายไปทันที แต่ก็ยังมีบางส่วนที่กลายสภาพเป็นสสารทันทีที่ปะทะเข้ากับคลื่นดวงจิตเหล่านั้น


การจู่โจมทางจิตพลันแปรเปลี่ยนเป็นการจู่โจมทางกายภาพทันใด การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้คนทั่วไปไม่มีใครคาดถึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะรับมือได้


แต่ในขณะที่อ้ายเฟิงใกล้จะถูกหนวดสัมผัสทิ่มแทงจนร่างพรุน ทันใดนั้น เขากลับเปล่งเสียงหัวเราะน่าเกลียดออกมาดังๆ


ขณะเดียวกัน ร่างกายของเขาโน้มเอียงไปด้านหลัง หลบการโจมตีจากหนวดสัมผัสทางจิตรูปสสารของหลิงม่อได้อย่างน่าประหลาด


แล้วเขาก็เคลื่อนไหวไปมาในบริเวณแคบๆ อย่างต่อเนื่อง แถมยังหลบการโจมตีได้ทุกครั้ง


ในระหว่างนี้ คลื่นพลังจิตแนวป้องกันของเขาก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด แต่กลับป้องกันการโจมตีทางพลังจิตและการโจมตีทางกายได้อย่างแน่นหนาไม่มีเล็ดลอด


รอยยิ้มมุมปากของหลิงม่อค่อยๆ เลือนหายไป เขาดึงสองมือออกมาจากกระเป๋ากางเกง สายตาเริ่มฉายแววหนักอึ้ง


“บ้าเอ๊ย…”


—————————————————————————–


บทที่ 644 ฉันไม่ใช่เครื่องจักร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทั้งสามารถหลบการโจมตีจากพลังจิต แล้วยังสามารถหลบเลี่ยงหนวดสัมผัสรูปสสารได้อีกด้วย นี่มันรวมผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายและด้านพลังจิตเอาไว้ในร่างเดียวชัดๆ!


ตอนแรกหลิงม่อนึกว่าหลังจากที่อ้ายเฟิงกลายเป็นภาชนะ ก็จะสูญเสียตัวตนไป แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ไปได้…


“คิกคิก…” เสียงหัวเราะของอ้ายเฟิงดังอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความคิดหลิงม่อสับสนวุ่นวาย


เขาเพิ่งจะตั้งสติได้ แต่ทันใดนั้นสายตาของเขากลับพร่าเลือน มองเห็นเพียงอ้ายเฟิงวิ่งพุ่งเข้ามาทางตัวเอง


อ้ายเฟิงโฉบเฉี่ยวไปมาด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่อง เขาฝ่าวงล้อมหนวดสัมผัสเข้ามาจนถึงตรงหน้า จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดเข้ามาทางหลิงม่อตรงๆ


“โคตรเร็ว!”


หลิงม่อแววตานิ่งงัน เขากางตาข่ายหนวดสัมผัสขึ้นตรงหน้าตัวเอง และถอยกรูดไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ


แต่เมื่อหมัดลูกนั้นสัมผัสถูกตาข่ายหนวดสัมผัส ดวงตาของอ้ายเฟิง พลันฉายแววเหี้ยมเกรียมและเย็นชาออกมาทันที


เขาบิดตัวหันข้าง ยกแข้งขึ้นฟาดมาทางเอวหลิงม่อ ขณะเดียวกันพลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่งก็จู่โจมเข้ามาทางหลิงม่อพร้อมๆ กัน


หลิงม่อพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่การจู่โจมทางกายของอีกฝ่าย ถึงแม้จะทันสังเกตเห็นพลังจิตจู่โจมกลุ่มนี้ แต่ก็ยังตอบสนองช้าไปหนึ่งก้าวอยู่ดี


ขณะเดียวกับที่เขาเพิ่งจะหลบลูกเตะพ้น ตาข่ายหนวดสัมผัสตรงหน้าเขากลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล


“อึก…” หลิงม่อยืนโงนเงน และถอยหลังติดๆ กันหลายก้าว เขาส่งเสียงครางออกมาอย่างควบคุมไม่ได้


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะยืนอย่างมั่นคง นึกไม่ถึงว่าอ้ายเฟิงจะก้าวตามมาติดๆ อย่างไม่ยอมปล่อย เขากระโดดตัวลอยและฟาดแข้งมาทางหลิงม่ออีกครั้ง


สวบ!


เสียงแหวกลมแรงดังมา หากโดนลูกเตะนี้ฟาดเข้า ก็คงไม่ต่างอะไรกับถูกวัวขวิด


ความจริง พลังของผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายนั้นไม่อาจประมาทได้ แล้วยิ่งอ้ายเฟิงซึ่งเป็นสมาชิกระดับนี้ของนิพพานด้วยแล้ว


เมื่อกี้ตอนที่ถูกแผนตกปลาของหลิงม่อปั่นหัวจนหัวหมุน อ้ายเฟิงก็เหมือนกับคนที่มีพลังอยู่เต็มตัว แต่กลับไม่มีคู้ต่อสู้ให้ใช้พลังด้วย


แต่ตอนนี้ ภายใต้ความช่วยเหลือของหมายเลข 0 เขาไม่เพียงได้โอกาสในการปะทะกับหลิงม่อซึ่งๆ หน้า แต่ยังสามารถปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ด้วย


หลิงม่อถอยกรูดอย่างทุลักทุเล แต่เขากลับเร็วสู้อ้ายเฟิงไม่ได้ จึงทำได้เพียงกางตาข่ายหนวดสัมผัสอีกครั้ง


แต่ครั้งนี้การโต้ตอบของอ้ายเฟิงรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า เขาไม่จัดท่าเตรียมโจมตี แต่กลับเตะเข้าที่ตาข่ายหนวดสัมผัสทันที


ปึงง!


พลังงานที่แตกต่างกันสองกลุ่มปะทะกันอย่างแรง จนถึงขั้นทำให้เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่รอบๆ ตัวสั่นสะเทือน


ตาข่ายหนวดสัมผัสค่อยๆ เลือนหายไปในระหว่างที่ต้านทานแรงกระแทก แต่ทันใดนั้นพลังโจมตีทางจิตที่รุนแรงยิ่งกว่าก็พุ่งเข้ามาซึ่งๆ หน้า


“ยังคิดว่า…ฉันเป็นเครื่องจักรอยู่ไหม?” เสียงหัวเราะน่าเกลียดของอ้ายเฟิงราวกับเสียดแทงเข้าไปในสมองของหลิงม่อ กระทั่งถึงขั้นเกิดเสียงสะท้อนก้องอยู่ในหัว


หลิงม่อเสียสมาธิอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเสียง “วูบ” ก็ดังขึ้นในสมอง ราวกับว่าร่างกายของเขาตกลงไปในน้ำ เสียงสะท้อนแปลกๆ มากมายดังก้องอยู่ในหูเขา


การจู่โจมทางจิตครั้งนี้เกิดขึ้นและหายไปในชั่วพริบตา แต่ในความรู้สึกของหลิงม่อ เวลารอบตัวกลับหยุดลงทันใด


ราวกับว่าตรงหน้าเขาเหลือเพียงราวแขวนเสื้อผ้าเนื้อไม้เอียงๆ และใบหน้าของอ้ายเฟิง รวมถึงเสียงแปลกๆ ของเขาที่ดังแว่วมาจากก้นบ่อน้ำลึก


“ฉันรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับเธอแล้วล่ะ คนอย่างเธอนี่แหละ ที่จะเป็นภาชนะที่สมบูรณ์แบบที่สุดของฉัน ไม่…ไม่ใช่แค่ภาชนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของฉันเลย! ฉันเบื่อกับการถูกใช้อย่างเครื่องมือเต็มทนแล้ว และเกลียดที่ถูกเรียกอย่างนี้…ฉันไม่ใช่เครื่องจักร!”


“ไม่ใช่เครื่องจักร!!!”


“เฮือกก!”


หลิงม่อสะดุ้งตื่นทันใด เขารวบรวมพลังจิต และต้านทานพลังโจมตีทางจิตของอ้ายเฟิง ขณะเดียวกันก็ถอยหลังไปหลายก้าว


“เคร้งคร้างๆ!”


ราวแขวนเสื้อผ้าเนื้อไม้ราวนั้นล้มลงกับพื้น หลิงม่อถอยห่างออกไปหลายเมตร เขาหอบหายใจแรงๆ พลางจ้องหน้าอ้ายเฟิงอย่างตกตะลึง


ท่ามกลางแสงสลัว ดวงตาของอ้ายเฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลเต็มไปด้วยกลิ่นอายประหลาด…


อยากได้เขา…เป็นภาชนะ?


คำพูดเมื่อกี้ คือสิ่งที่หมายเลข 0 ยัดเยียดเข้ามาในสมองของหลิงม่อผ่านการโจมตีทางจิตอย่างนั้นหรือ?


หลิงม่อยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นสีหน้าเขาค้างเติ่ง เขาค่อยๆ เลื่อนนิ้วมือตัวเองไปแตะที่จมูก


บนนิ้วมือของหลิงม่อ มีของเหลวอุ่นๆ ติดอยู่เล็กน้อย


อาศัยแสงสว่างจากด้านนอกที่สาดส่องเข้ามา หลิงม่อถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ


มันคือเลือดกำเดา…


นึกไม่ถึงว่าการโจมตีทางจิตเมื่อเสี้ยววินาทีที่ผ่านมา จะสร้างแรงกดดันให้เขาได้มากมายขนาดนี้…


หลิงม่อตระหนักได้ทันที ว่าตัวเองประเมินนิพพานต่ำไปแล้ว


สาขาย่อยแห่งนี้อาจเป็นส่วนที่อ่อนแอมากในกลุ่มนิพพาน แต่คนที่กุมอำนาจในสาขาย่อยแห่งนี้ ต้องไม่ใช่คนที่สามารถกำจัดได้อย่างง่ายดายแน่นอน


ตรงกันข้าม กลับเป็นตัวเขาเองที่ถูกกำราบอย่างสิ้นท่า


ตลอดเวลาที่ผ่านมา นอกจากฝึกฝนพลังจิตของตัวเองอย่างต่อเนื่องแล้ว หลิงม่อก็ไม่เคยหย่อนยานกับตัวเองเรื่องการพัฒนาศักยภาพร่างกายเลยแม้แต่น้อย เขาถึงขั้นยอมใช้ยาจากเชื้อไวรัสปรับโครงสร้างทางร่างกาย เพื่ออุดช่องโหว่ของผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต และจุดนี้ ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีความสามารถหลายๆ คน


แต่ตอนนี้ ตอนที่เขายืนอยู่ต่อหน้าร่างรวมของอ้ายเฟิงและหมายเลข 0 ข้อได้เปรียบนั้นของหลิงม่อกลับมลายหายไปในพริบตา


ความแข็งแกร่งด้านพลังจิตของอีกฝ่ายและเขาอยู่ในระดับที่ไล่เลี่ยกัน แต่เขามีร่างกายของผู้มีความสามรถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายที่แข็งแกร่งมากอยู่ด้วย…


“ถ้าอย่างนั้น ตอนนั้นนายก็จงใจปล่อยให้ฉันทำร้ายนายน่ะสิ…” หลิงม่อเงยหน้าถาม


อ้ายเฟิงบิดคอไปมา แล้วแสยะยิ้ม “ไม่…นายโจมตีฉัน…โดยไม่ทันตั้งตัว…ด้วยตัวนายเอง…”


“หึหึ” หลิงม่อหัวเราะเย็นชา


ยังไม่ต้องสนใจว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา หลิงม่อตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


มู่เฉินกำลังต่อสู้กับสองคนนั้น ถึงแม้จะได้โอกาสจากการลอบโจมตีก่อน แต่ถึงอย่างไรเขาก็บาดเจ็บอยู่ ดังนั้นจึงยังไม่สามารถหวังพึ่งเขาได้ในตอนนี้


กลับเป็นเมล็ดพันธ์พลังจิตของหมายเลข 0 ในสมองของเขา ที่ต้องระวังมากกว่าปกติ


ด้านเย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลิน พวกเธอยังคงกำจัดทีมค้นหาพวกนั้นอยู่ในตึก ถึงแม้หลิงม่อสามารถเรียกพวกเธอมาได้เพียงใจนึก แต่…


มือข้างหนึ่งของเขากำหมัดแน่น ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นปาดเลือดกำเดาเหล่านั้นออก


เบื้องหลังของอ้ายเฟิง (หมายเลข 0) คือนิพพานสำนักงานใหญ่ ด้วยพลังจิตของเขา จะต้องดูออกแน่นอนว่าพวกเย่เลี่ยนไม่ใช่คนธรรมดา…


ยิ่งไปกว่านั้น นิพพานสามารถสร้างสัตว์ประหลาดอย่างหมายเลข 0 และหมายเลข 1 ขึ้นมาได้ แล้วซอมบี้ลักษณะพิเศษอย่างพวกเย่เลี่ยน พวกเขาจะไม่สนใจหรือ?


แม้จะมีความเป็นไปได้แค่ 1% ก็ไม่อาจดึงพวกเธอให้มาตกอยู่ในอันตรายได้…


สิ่งสำคัญคือ ตอนนี้หลิงม่อไม่มีความมั่นใจ ว่าจะสามารถฆ่าหมายเลข 0 ก่อนที่เขาจะส่งสัญญาณออกไปได้


เป็นครั้งแรกที่ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเหมือนตัวเอง หลิงม่อรู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


“ไม่ได้การ อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว…”


หลิงม่อถอยหลังช้าๆ หางตาเหลือบมองหน้าต่างขอบติดพื้นที่อยู่ด้านหลังตัวเอง


อีกไม่นานจะมีกำลังเสริมมาสมทบอีก มีคู่ต่อสู้ตัวฉกาจอยู่ตรงนี้ เขาต้องถูกดึงให้เข้าไปอยู่ในวงล้อมแน่ๆ ต้องคิดหาทางอื่นโดยด่วนแล้ว…


หลังจากที่โจมตีอย่างดุดันไปเมื่อครู่ อ้ายเฟิงกลับไม่ได้รีบร้อนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง


ตรงกันข้าม เหมือนเขากำลังสนใจปฏิกิริยาของหลิงม่ออย่างมาก


“นายรู้ไหม? มีเสียงมากมายดังอยู่ในหัวของฉัน และในแต่ละวันฉันก็จะได้ยินเสียงที่แตกต่างกันไปมากมาย…” เขาสะบัดหัวไปมา แล้วพูดช้าๆ “แต่ฉันรู้สึก สนใจ…เสียงของแกกว่าใครๆ…คิกคิก”


“งั้นหรอ?” หลิงม่อแอบถอยหลังเงียบๆ แม่เอ็งเขาไม่ได้แค่สนใจเฉยๆ แน่นอน เขาต้องการจะเอาดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อไปหลอมรวมกับไอ้ของประหลาดนั่นชัดๆ!


ทว่าถึงแม้ตอนนี้หมายเลข 0 จะแข็งแกร่งมาก แต่สุดท้ายแล้วเขาคืออะไรกันแน่?


หลังจากที่กลายเป็นอย่างนี้ไป เขาก็ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ


และแม้ว่าพลังกลืนกินของหลิงม่อจะไม่สามารถดูดกลืนพลังของเป้าหมายได้อย่างหมดจด แต่เขากลับสามารถรวมพลังงานทางจิตเหล่านั้นเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเองได้ โดยที่ไม่เกิดผลกระทบใดๆ ต่อสภาพจิตใจของตัวเอง


เมื่อเป็นอย่างนี้ เป้าหมายที่ถูกบังคับให้บรรลุผลโดยอาศัยการรบกวนจากภายนอก ถึงแม้จะสามารถสร้างผู้แข็งแกร่งอย่างนี้ขึ้นมาได้ แต่ระหว่างนั้นกลับไม่รู้ว่าต้องทำลายคนไปมากเท่าไหร่…


ไม่นึกเลยว่าสัตว์ประหลาดอย่างนี้ กลับคิดอยากจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา


แต่ว่า ตัวเขาเองก็อยากกลืนกินพลังจิตของอีกฝ่ายไม่ใช่หรือ?


“มาเป็นหนึ่งเดียวกันเถอะ ฮิฮิฮิ…” ทันใดนั้นเสียงของอ้ายเฟิงก็เปลี่ยนเป็นเสียงของผู้หญิง ซ้ำน้ำเสียงยังแฝงแววเย้ายวนอยู่ในที


“เชี่ย! ไอ้โรคจิต!” หลิงม่อขนลุก แต่ในตอนนี้เอง เขากลับกระโดดถอยหลังไปทันที “กล้าก็ตามมา!”


อ้ายเฟิงสีหน้าค้างเติ่ง เขาพุ่งตัวไปด้านหน้าทันที


แต่ขณะที่เขายื่นมือออกไปตรงหน้าหลิงม่อ หลิงม่อก็ใกล้จะสัมผัสโดนกระจกหน้าต่างด้านหลังแล้ว


ทว่าก่อนที่เขาจะกระแทก เสียง “เพล้ง” ก็ดังสนั่นขึ้นมาทันที เศษกระจกมากมายกระจายออกไปทั่วทิศ


หลังจากใช้หนวดสัมผัสทางจิตรูปสสารตีกระจกจนแตก หลิงม่อก็พุ่งออกไปอย่างไม่รีรอ


มือของอ้ายเฟิงที่คว้าพลาดค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ถูกเศษกระจกมากมายกรีดข่วนจนเป็นแผลเลือดออก


เขาก้มหน้ามองแขนตัวเอง ดวงตาพลันฉายแววโหดเหี้ยม “ไม่ปล่อยให้หนีไปได้หรอก…ไม่มีทาง! อ๊ากกกก / กรี๊ดดด!” เสียงกรีดร้องสุดท้ายของเขาเปลี่ยนโทนเสียงไปมา มีทั้งเสียงผู้ชายและผู้หญิง ฟังดูน่ากลัว นอกจากนั้น เขาก็กรีดร้องไปด้วย และยื่นหน้าก้มมองมาข้างล่างด้วย จากนั้นก็พุ่งตัวไปทางประตู และวิ่งลงบันไดไป


หลิงม่อที่กระโดดออกจากตึกลอยค้างอยู่กลางอากาศ เสียงสายลมพัดผ่านดังวืดๆ อยู่ข้างหู


ระหว่างที่ร่อนตัวลงด้านล่าง จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกไปคว้าอากาศเบื้องหน้า


หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งพุ่งไปเกี่ยวเครื่องหมายการค้าที่นูนขึ้นทันที จากนั้นก็ดีดตัวหลิงม่อไปยังหน้าต่างกระจกอย่างแรง


“เพล้ง!”


ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้หน้าต่าง กระจกบานนั้นก็ได้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และตาข่ายหนวดสัมผัสก็ได้โอบอุ้มเขา ทำให้เขาทิ้งตัวลงพื้นได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน


เขารีบกวาดมองรอบทิศอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปทางประตูห้อง หลังยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก็รีบวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้น แล้วรูดซิปเปิด


วัตถุก้อนหนึ่งซึ่งถูกแรปถนอมอาหารห่อหุ้มไว้อย่างมิดชิดถูกเขาล้วงออกมา และหลังจากที่เขาเปิดมัน กลิ่นประหลาดกลิ่นหนึ่งก็ลอยโชยออกมาทันที


“ประสิทธิภาพไม่สูง แต่ก็ดีกว่าไม่มี”


หลังจากแขวนวัตถุที่ซอมบี้ศพน้ำผลิตโดยการคายออกมาไว้ที่เอวแล้ว หลิงม่อก็หยิบของอีกอย่างออกมา


ของที่ดูคล้ายแมงกะพรุนนั่น…


หลังจากที่ได้ของสิ่งนี้มา หลิงม่อก็ได้แอบศึกษามันอยู่หลายครั้ง


ตอนแรกเขานึกว่ามันเป็น “จุกนม” ของทารกตัวแพร่เชื้อ แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากออกห่างจากซอมบี้ทารกนั่นแล้ว มันกลับกลายเป็นวัตถุที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างอิสระ


อีกอย่างถึงจะไม่รู้อะไรอย่างอื่น แต่หลิงม่อกลับค้นพบวิธีใช้ที่มีประโยชน์มากอย่างหนึ่ง


อยู่ต่อหน้ามู่เฉินเขาไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่เมื่อกี้ตอนที่ลอบทำร้ายหลัวอวี้หลง เจ้าวัตถุชิ้นเล็กๆ นี่กลับได้ถูกใช้ประโยชน์ไปแล้วครั้งหนึ่ง


เวลานี้ หลังจากที่หลิงม่อนำมันออกมา ภายนอกดูไม่ต่างจากเวลาปกติ แต่ถ้าหากใช้พลังจิตตรวจสอบดู ก็จะพบว่าภายใน “แมงกะพรุน” ตัวนี้ มีจุดขาวๆ อยู่เต็มไปหมด…


—————————————————————————–


บทที่ 645 บีบๆ หน่อยจะได้แข็งแรง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แกต้องมีประโยชน์กับฉันนะ ถ้าไม่อย่างนั้น…”


หลังจากที่พูดจาข่มขู่ไร้ประโยชน์กับ “แมงกะพรุน” เสร็จ หลิงม่อก็สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที แล้วยกมันขึ้นข้างหน้าตัวเอง


นี่ไม่ใช่การสื่อสารทางจิตข้ามเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด ถึงแม้ว่าหลิงม่อจะแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาหนึ่งเส้นก็ตาม…


ทันทีที่หนวดสัมผัสเส้นนี้ยื่นมาถึงตรงหน้า “แมงกะพรุน” มันก็กระตุกสั่นเหมือนโดนไฟดูด จากนั้นก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา


ด้วยการ “หายใจ” อย่างนี้ของมัน พลังงานทางจิตซึ่งมาจากตัวหลิงม่อถูกมันกักเก็บไว้ในร่างของมันทันที


ผ่านไปไม่นาน จุดสว่างสีขาวในร่างของมันเหล่านั้นก็ถูกเคลือบด้วยสีแดงอ่อนๆ หนึ่งชั้น…


“ตามคาด พลังงานทางจิตที่ถูกมันดูดกลืนเข้าไปล้วนกลายเป็นพลังบริสุทธิ์ แต่พลังของเราถึงจะผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์แล้วก็ยังมีคุณลักษณะของซอมบี้อยู่ดี” หลิงม่อพึมพำอย่างสับสนในใจ


เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าถึงแม้ความคิดของเขาจะยังเป็นมนุษย์ แต่อวัยวะร่างกายของเขาได้ประทับตราซอมบี้โดยสมบูรณ์…อย่างไม่มีทางช่วยได้แล้ว


“แมงกะพรุน” กำลังดูดกลืนอย่างมีความสุข แต่ทันใดนั้นมันกลับรู้สึกเหมือนร่างกายถูกมือคู่นั้นบีบแน่น


สายตาของหลิงม่อจับจ้องไปที่มัน ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็ออกแรงบีบพร้อมกัน—


พรืดด!


เหมือนลูกโป่งสีใสที่ใส่น้ำไว้ถูกบีบกะทันหัน จุดสีขาวเหล่านั้นที่กำลังกระโดดกระเด้งไปมาอยู่ในร่าง “แมงกะพรุน” พุ่งออกมาทันที


ตอนนี้มันดูเหมือนปลาวาฬขนาดย่อ หลิงม่อบีบหนึ่งครั้ง จุดสีขาวเหล่านั้นก็พุ่งออกมาหนึ่งครั้ง…


“อย่าขัดขืนสิ บีบๆ หน่อยจะได้แข็งแรงขึ้นไง”


เสียง “พรืด พรืด” เบาๆ นั่นดังขึ้นทุกครั้งที่หลิงม่อบีบ หลิงม่อบีบหนึ่งครั้ง มันก็ดังหนึ่งครั้ง…


“หนีไปไหนแล้ว!”


อ้ายเฟิงวิ่งลงบันไดอย่างคลุ้มคลั่ง ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกระจกแตก


เขาชะงักเท้ากึก บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเหี้ยม จากนั้นเขาก็วิ่งพุ่งเข้าไปในชั้นหนึ่งของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ “อยู่ที่นี่หรอ?”


ทันทีที่เข้าไป ลานโล่งเปล่าและมืดมัวแห่งหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา


ขยะเกลื่อนเต็มพื้น ชั้นวางของล้มระเนระนาด…


ดวงตาอันบ้าคลั่งคู่นั้นของอ้ายเฟิงกลอกมองไปทางซ้ายทางขวา เขายกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเบาๆ หลังจากก้าวออกไปยาวๆ เขาก็วางเท้าข้างนั้นลงกับพื้นช้าๆ


“หายไปแล้ว?”


อ้ายเฟิงหยุดขยับชั่วขณะ สีหน้าของเขาแลดูประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย


ดวงตาของเขาจดจ้องไปข้างหน้า เหมือนกับมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ตอนนี้ใน “ดวงตา” อีกคู่ของเขา สิ่งที่มองเห็นกลับเป็นภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


มันยังคงเป็นห้างสรรพสินค้าอันมืดสลัวแห่งนี้ แต่กลับมีดวงแสงมากมายลอยไปมาลอยมาอยู่ด้านหน้า


พลังงานทางจิตที่เขามองเห็นผ่าน “ดวงตา” คู่นี้ไม่มีสี แต่กลับแสดงความแข็งแกร่งและอ่อนแอให้เห็นอย่างชัดเจน


แต่ประเด็นคือดวงแสงเหล่านี้ กลับดูคล้ายกันแทบจะทั้งหมดน่ะสิ…


หลิงม่อไม่ได้หายตัวไป แต่เขาอยู่ทุกที่!


อ้ายเฟิงที่ยืนอยู่กับที่อึ้งไปชั่วขณะ แล้ว… ดวงไหนคือหลิงม่อกันล่ะ?


………..


“น่าจะถ่วงเวลาไปได้ซักพัก” ขณะนี้หลิงม่อที่หลบอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่ง กำลังพยายามควบคุมคลื่นดวงจิตของตัวเองอย่างสุดความสามารถ


เขาจัดการยัด “แมงกะพรุน” ที่ตัวเล็กแฟบไม่เหมือนเดิมใส่กระเป๋าเป้ให้เรียบร้อย จากนั้นก็จ้องห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในความมืด ผ่านช่องแคบระหว่างชั้นวางสินค้าตรงหน้า


โอกาส…เวลาอย่างนี้ คงทำได้แค่รอโอกาสแล้วล่ะ…


“ซู่!”


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็รู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ


เขาตัวสั่นไปชั่วขณะ พลันเบิกตากว้าง


“อะไรน่ะ?”


ลูกตาของหลิงม่อค่อยๆ กลอกไปทางซ้าย แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่ง


เพิ่งจะควบคุมคลื่นดวงจิตของตัวเอง พริบตาเดียวก็ถูกใครบางคนเข้าประชิดตัวซะแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าหลิงม่อไม่ได้สนใจทางนี้เลยแม้แต่น้อย


เงาร่างนั้นอยู่ติดกับด้านนอกของบานกระจกหน้าต่างขอบติดพื้น เส้นผมสยายไปตามสายลมแรง คิดดูอีกที ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นตึกสูงนี่นะ….


“เธอมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!”


หลิงม่อทำหน้ามึนตึง พลางขยับปากพูดโดยไร้เสียงกับเงาร่างที่อยู่ตรงหน้าต่าง


แต่คนนอกหน้าต่างกลับเอียงคอ แล้วเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด จนแทบจะแนบติดกับบานหน้าต่าง


“หา? นายว่าไงนะ?”


“อู้อี้ๆๆ!”


พออวี๋ซือหรานอ้าปากพูด เสียงของเธอก็ถูกลมกลบจนมิด


ทว่าเธอก็ยังคงแนบตัวติดกับหน้าต่างอย่างอยากรู้อยากเห็นมาก เธอมองไปที่หลิงม่อซึ่งนั่งยองๆ อยู่ในมุมมืด และกำลังโบกไม้โบกมือมาทางตัวเองอย่างสุดความสามารถ


“เจ้ามนุษย์คนนี้กำลังทำอะไรอีกแล้วนะ?” อวี๋ซือหรานคิดอย่างสนอกสนใจ


“ฉัน…โธ่ ช่างเถอะ!” หลิงม่อไม่หวังว่ายัยซอมบี้ตัวเล็กนั่นจะอ่านปากเขาออก เขาพลิกข้อมือ คว้าเส้นไหมสีเงินที่ลอยอยู่อากาศเส้นหนึ่งไว้ ซึ่งหากมองด้วยตาเปล่าก็แทบจะมองไม่เห็น


เมื่อข้อมือของเขากระตุก แสงสีเงินอ่อนๆ พลันสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืด


หลิงม่อกระชากเส้นไหมสีเงินมาข้างหน้าหนึ่งที ก็ได้ยินเสียง “ปั๊ก” ดังเบาๆ แล้วซอมบี้โลลิที่อยู่ข้างนอกก็แทบจะแนบติดอยู่กับบานกระจกหน้าต่างทั้งตัว


“อื้อ อื้อ!”


อวี๋ซือหรานที่ใบหน้าและทรวงอกถูกกดทับจนแบนครางเสียงหลงสองที แล้วเธอก็ยกมือขึ้นทุบกระจกอย่างยากลำบาก


เส้นไหมสีเงินหลายเส้นยื่นออกมาจาก “ผ้าพันคอ” บนลำคอของเธอ พวกมันตัดกระจกออกอย่างเงียบๆ


เมื่อร่างอวี๋ซือหรานถลาเข้าไปในอาคาร หลิงม่อก็รีบยื่นมือออกไปรับบานกระจกที่แทบจะถูกตัดทั้งบานนั้น แล้ววางมันลงกับพื้นอีกด้านหนึ่งเบาๆ


ถึงแม้ห้างฯ แห่งนี้จะใหญ่มาก แต่ถ้าหากเสียงนี้เล็ดลอดออกไป สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็จะพังลงในพริบตา


“เธอไปทำอะไรกลางอากาศ หา!” หลิงม่อถามเสียงเบา


“ราย…รายงานข้อมูลไง…” อวี๋ซือหรานยกมือแหวกผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง แล้วตอบเขา


หลิงม่อได้ยินก็ปวดหัว ไม่ช้าหรือเร็วไปกว่านี้เลย ทำไมต้องเป็นเวลานี้พอดิบพอดี…


“ไม่สิ…เดี๋ยวนะ” หลิงม่อนิ่งงันไปชั่วขณะ และสายตาที่มองอวี๋ซือหราน ก็เปลี่ยนไปในเสี้ยววินาที


อวี๋ซือหรานปัดผมที่บังหน้าออก ถลึงตาแล้วถามเขา “ทำไมต้องมองหน้าฉันอย่างนั้น?”


“คิกคิก ใช่แล้ว ทำไมเราถึงคิดไม่ได้ล่ะเนี่ย! เธอไม่ได้มีสายสัมพันธ์ทางจิตโดยตรงกับฉันนี่!” หลิงม่อกลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


อวี๋ซือหรานทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก เขาพูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจซักนิด!


“เธอมานี่ซิ…เอ๋ ทำไมเธอตัวหนักขนาดนี้แล้วล่ะ?” หลิงม่อหมายจะกระชากแขนอันบอบบางของอวี๋ซือหรานเข้ามาหา แต่กลับเกือบหน้าทิ่มเสียเอง เขาจึงหันกลับไปมองเธออย่างสงสัย


หลังจากยื่นหน้าออกไปมองด้านนอก หลิงม่อก็หน้ายุ่งขึ้นมาทันที…


ด้านล่างหน้าต่าง สิ่งมีชีวิตตัวกลมๆ สีเทาขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังปีนป่ายหน้าต่าง และพอเขายื่นหน้าออกไป ศีรษะปุกปุยนั่นก็เงยขึ้นมาพอดี ในดวงตาสีแดงซึ่งถูกล้อมกรอบด้วยขอบตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยความดีใจและเว้าวอน “แบ๊!”


“…”


หลิงม่อหดหัวกลับเข้ามาเงียบๆ จากนั้นก็ลองกระชากเส้นไหมสีเงินเส้นนั้นสองสามที “ทำอย่างนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเธอหรอกหรอ?”


“อื่ม ไม่อ่ะ…” อวี๋ซือหรานพยักหน้าตอบ


ในสมองของเธอในตอนนี้กำลังคิด เจ้ามนุษย์ถามเรื่องนี้ทำไมกัน?


“แบ๊!”


หมีแพนด้ากลายพันธุ์ที่ห้อยตัวอยู่นอกหน้าต่างยังคงกวัดแกว่งขาตัวเองไปมา แต่เสียงร้องกลับถูกลมแรงกลบจนมิด


………..


“เธอซ่อนตัวอยู่ที่นี่นะ ถ้ามีคนมาก็ให้วิ่งหนี”


หลิงม่อกำชับอวี๋ซือหราน จากนั้นก็กดไหล่ซอมบี้โลลิให้นั่งลง


“ทะ…ทำไมล่ะ?” อวี๋ซือหรานขืนตัวเล็กน้อนพร้อมถาม


“ชู่ว! หลิงม่อรีบยื่นมือไปปิดปากเธอ แล้วบอกว่า “เธอเป็นเด็กดีเชื่อฟังฉัน แล้วฉันจะให้รางวัลเป็นก้อนเหนียวหนืดสามก้อนไม่รวมส่วนแบ่งปกติ!”


อวี๋ซือหรานเบิกตากว้าง จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา “อื้อๆ!”


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้…” หลิงม่อทำหน้าเสียดายสุดขีด “สองก้อน มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”


“อื้อ…”


“หนึ่งก้อน!” หลิงม่อตบไหล่อวี๋ซือหรานหนึ่งที “ตกลงตามนี้แหละ จำไว้ว่าห้ามส่งเสียงเด็ดขาด!”


ซอมบี้โลลิน้อยยอมนั่งยองๆ ลงไปในมุมมืดแต่โดยดี แล้วเงยหน้ามองหลิงม่อ


เธอรู้สึกเหมือนเมื่อกี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่พอถูกหลิงม่อใช้มือปิดปาก และขณะที่ลิ้นของเธอสัมผัสถูกรสชาติอันหอมหวานของมนุษย์ เธอก็ไม่รับรู้เรื่องอื่นอีกเลย…


หลิงม่อวิ่งเข้าในเงามืดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายตัวไปเขาหันกลับมาทำมือ “OK” ให้เธอครั้งหนึ่ง


อวี๋ซือหรานนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นทำท่าเลียนแบบหลิงม่อ


แต่เธอทำมือได้ไม่ค่อยถูกต้องนัก ดูอย่างไรมือเล็กๆ ข้างนั้นของเธอก็เกือบจะกำเข้าหากันจนกลายเป็นกำปั้นแล้ว


“ชิ เจ้ามนุษย์น่ารำคาญ” ซอมบี้โลลิลองดูหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เม้มปาก แล้วสะบัดมือเล็กๆ ลง พลางบ่นงึมงำ


เธอแลบลิ้นออกมาเลียปากอย่างอดใจไม่ไหว ยกมือขึ้นกุมปาก จากนั้นสูดดมกลิ่นอีกครั้งอย่างเคลิบเคลิ้ม “เนื้อ…”


“แคร่ก”


ขาข้างหนึ่งเหยียบโดนของเล่นเก่าๆ เสียงวัตถุหักแหลมๆ ดังอย่างชัดเจน ท่ามกลางความมืด เสียงนี้ยิ่งเสียดแทงแก้วหูได้ดีกว่าเดิม


อวี๋ซือหรานที่กำลังหวนนึกถึงรสชาติอันหอมอวานอย่างได้ที่รีบเงยหน้าขึ้นทันที เธอหดตัวถอยกลับไปข้างหลังอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกไป


เมื่อมองลอดช่องแคบด้านหน้าออกไป เธอมองเห็นเพียงส่วนเล็กๆ ของลานโล่งกว้างในห้างฯ เท่านั้น


“แคร่ก!”


เสียงวัตถุแตกหักแหลมๆ ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เสียงก็ดังใกล้เธอมากกว่าเดิม


อวี๋ซือหรานกลั้นหายใจชั่วขณะ เส้นไหมสีเงินด้านหลังลอยไหวไปมาเบาๆ จากนั้นก็หดกลับมาอยู่ข้างกายอวี๋ซือหรานอย่างเงียบเชียบ


“แกร๊ก!”


ทันใดนั้น เศษกระจกที่อยู่ในครรลองสายตาก็ถูกเหยียบแตก มันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร อวี๋ซือหรานรู้สึกเหมือนตัวเองจะถูกเจอตัวได้ทุกเมื่อ


“ที่นี่มีอะไรแปลกๆ จริงๆ…”


เสียงพึมพำของผู้ชายแว่วมา อวี๋ซือหรานแทบจะอดใจขยับร่างกายไม่ได้แล้ว


แต่ว่า หลิงม่อบอกว่า “ถ้ามีคนมาให้วิ่งหนี” ไม่ได้บอกว่าถ้ามีคนมาให้อัดนี่นา…ดังนั้นอวี๋ซือหรานจึงยังคงอดกลั้นต่อไป


ในฐานะซอมบี้ ความสามารถในการอำพรางกายของเธอแกร่งกว่าหลิงม่อมาก แต่เพราะสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างเฮยซือกับหลิงม่อ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกอ้ายเฟิงสัมผัสได้บ้าง


แต่ทว่า เดิมเฮยซือเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังจิต และมีความสามารถในการซ่อนตัวที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ดังนั้นอ้ายเฟิงจึงพบเบาะแสเพียงเล็กน้อย ในเวลาอันสั้น เขายังไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนของอีกฝ่ายได้


“น่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละ ฮิฮิฮิ จะหลบไปได้นานแค่ไหนกันเชียว? มารวมเป็นร่างเดียวกับฉัน แล้วแข็งแกร่งขึ้นไม่ดีกว่าหรอ? แทนที่จะดิ้นรนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สู้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่เหนือคนอื่น และมีแต่คนเกรงกลัวไม่ดีกว่าหรอ? ฮิฮิฮิ…”


อ้ายเฟิงกวาดมองไปทางซ้ายและทางขวาอย่างเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็หัวเราะเย็นชาพร้อมกับตะโกนเรียก


“ออกมาซะเถอะ!”


“คิกคิก ออกมาเถอะ”


“ออกมาเซ่!”


แม้ว่าเสียงที่ออกมาจากปากของเขาจะเกิดจากคนคนเดียว แต่โทนเสียงกลับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอด บางครั้งก็เป็นเสียงของผู้ชายที่กำลังสะอื้นไห้ บางครั้งก็เป็นเสียงผู้หญิงหัวเราะแหลมๆ แล้วยังมีเสียงคล้ายเด็กทารกร้องวอแวปะปนขึ้นมาเป็นครั้งคราว


พอได้ยินเสียงอย่างนี้ในสถานที่แบบนี้ ความรู้สึกประหลาดพลันเกิดขึ้นมาทันที


ทว่าอวี๋ซือหรานกลับเพียงแค่จ้องเจ้ามนุษย์คนนี้ผ่านช่องแคบตรงหน้า และมีแต่ความอยากรู้อยากเห็นฉายชัดอยู่ในดวงตาของเธอ


เส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งกำลังลอยไหวอยู่ข้างๆ ดวงหน้าของเธอ ราวกับกำลังสื่อสารกับเธอโดยไม่ใช้เสียง


และในขณะนั้น ด้านหลังตู้ใบหนึ่งซึ่งอยู่ข้างหลังมู่เฉิน ดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องอ้ายเฟิงผ่านสิ่งกีดขวางเหล่านั้นอย่างเยือกเย็น


—————————————————————————–


บทที่ 646 ปีศาจร้ายในคราบโลลิน้อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ยังไม่ยอมออกมาอีก? หรือว่า แกกำลังคิดทบทวนอยู่ใช่ไหมล่ะ อยากรวมร่างกับฉันแล้วใช่ไหม? คิกคิกคิก…”


ระหว่างที่พูดพล่ามไม่หยุด อ้ายเฟิงก็ก้าวไปช้าๆ ในความมืด และเขาก็กำลังเข้าใกล้อวี๋ซือหรานมากขึ้นเรื่อยๆ


อวี๋ซือหรานจ้องมองอ้ายเฟิงอย่างใจจดใจจ่อ พลางถอยไปข้างหลังอย่างเงียบเชียบ


กึก!


เมื่ออ้ายเฟิงหยุดเดินในระยะที่ห่างจากเธอไม่ถึงสามเมตร ในที่สุดอวี๋ซือหรานก็ขยับแล้ว


เธอลุกพรวด แล้ววิ่งไปตามแนวผนังของฝั่งตรงข้าม


“อยู่ที่นี่เองหรอ!”


อ้ายเฟิงตวัดสายตามองไปทางนั้น ขณะเดียวกันพลังงานจู่โจมทางจิตได้ถูกปล่อยออกไป ก่อนที่เขาจะมองเห็นเงาร่างนั้นอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ


อวี๋ซือหรานที่ถูกโจมตีกลับไม่หันหน้ากลับมาแม้แต่น้อย ในเมื่อหลิงม่อสั่งให้เธอทำอย่างนี้ แสดงว่าเขาจะต้องไม่ปล่อยให้เธออยู่ในอันตรายแน่นอน


ตามคาด ในขณะที่พลังจิตจู่โจมสายนี้ใกล้จะกระแทกใส่ดวงแสงแห่งจิตของเธอ พลังงานทางจิตอีกสองกลุ่มก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกัน และเข้าห่อหุ้มตัวเธออย่างรวดเร็ว


หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าย่อมมาจากเฮยซือ ถึงแม้เฮยซือจะไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต แถมปกติยังใช้วัตถุทางกายภาพในการโจมตีเป็นหลัก แต่ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตปริศนาซึ่งมีพลังจิตอันแข็งแกร่งนั้น มันกลับมีความสามารถในการป้องกันการโจมตีด้วยพลังจิตที่ยอดเยี่ยมมาก


อวี๋ซือหรานเป็นร่างรวมของมัน ย่อมต้องอยู่ในขอบเขตสัญชาตญาณการป้องกันของมันด้วย


และพลังงานทางจิตอีกหนึ่งกลุ่ม ย่อมต้องมาจากหลิงม่ออยู่แล้ว


ในขณะเดียวกับที่อ้ายเฟิงโจมตีอวี๋ซือหราน ดวงตาคู่ที่จับจ้องอ้ายเฟิงจากด้านหลังก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมาทันที


หนวดสัมผัสทางจิตจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านสิ่งกีดขวางมากมายตรงหน้า มุ่งหน้าไปยังอ้ายเฟิงที่ไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ


ฉึก ฉึก ฉึก!


ยังคงใช้วิธีเดิม พลังจิตจู่โจมผสมกับหนวดสัมผัสรูปสสาร แต่ครั้งนี้อ้ายเฟิงไม่ได้หลบหลีกได้ง่ายดายขนาดนั้นอีกแล้ว


เขาพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่อวี๋ซือหราน กว่าเขาจะรู้สึกถึงความผิดปกติ ก็ยากจะหลบการลอบโจมตีจากหลิงม่อได้พ้นแล้ว


เขาถูกหนวดสัมผัสโจมตีเข้าอย่างจัง ในขณะที่กำลังวิ่งพุ่งไปข้างหน้า


หัวไหล่ด้านหลังถูกแทงทะลุหลายแผล ดวงแสงแห่งจิตก็ถูกหนวดสัมผัสทางจิตจู่โจมอย่างรุนแรง


“อ๊ากกก!” อ้ายเฟิงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เขาล้มตัวลงไปในขยะกองใหญ่กองหนึ่ง


หลิงม่อเตรียมการมานาน พอถึงเวลาลงมือก็ทุ่มสุดตัว เมื่ออีกฝ่ายล้ม เขาก็ตามไปโจมตีซ้ำอย่างไม่รีรอ


หนวดสัมผัสทางจิตสิบกว่าเส้นแทงเข้าไปในดวงแสงแห่งจิตของอ้ายเฟิงอย่างดุดัน และร่างจิตใต้สำนึกมากมายของหมายเลข 0 ที่เบียดเสียดกันอยู่ในนั้น ก็ถูกหลิงม่อเข้าแทรกแซง


การแทรกแซงของหลิงม่อส่งผลกระทบไม่น้อย อ้ายเฟิงที่กำลังจะลุกขึ้นยืนกรีดร้อง อาการหน้ามืดตาลายทำให้เขาล้มลงกับพื้นอย่างหมดสภาพเหมือนลูกหมาอีกครั้ง


แต่ในขณะที่หมายเลข 0 ซึ่งอยู่ในสมองของเขากำลังเตรียมจะลุกขึ้นสู้ เพื่อรับมือกับการโจมตีที่จะตามมา กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลิงม่อไม่ได้คิดจะสู้ตาต่อตา ฟันต่อฟันตั้งแต่แรกแล้ว


ตรงกันข้าม แรงดูดมหาศาลพลันถูกส่งมาจากหนวดสัมผัสของเขา


“อยากให้ฉันร่วมร่างกับแก? ไม่รู้หรอว่าฉันอยากดูดแกให้แห้งหมดตัวมาตั้งนานแล้ว!”


หลิงม่ออดกลั้นต่อความรู้สึกที่ทั้งทุกข์และสุขจากการที่พลังงานทางจิตมากมายไหลผ่านหนวดสัมผัส เข้าสู่สมองของตัวเองอย่างต่อเนื่อง


ระหว่างการกลืนกิน หลิงม่อยังต้องอดทนต่อภาพมากมายที่ฉายผ่านเข้ามาในสมองของเขาอย่างต่อเนื่อง


ทว่าภาพความทรงจำที่มาจากหมายเลข 0 ยุ่งเหยิงกว่าคนทั่วไปมากทีเดียว


เดิมมันก็เกิดจากการรวมตัวของร่างจิตใต้สำนึกอยู่แล้ว ถึงจะแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ แต่หลิงม่อกลับมองเห็นภาพความทรงจำของคนมากมายด้วยตาของเขาเอง


ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนจิตแข็งมาก แค่ผลข้างเคียงจากการใช้พลังกลืนกินนี้ ก็มากพอที่จะทำให้เขาจิตแตกซ่านจนเป็นบ้าได้แล้ว


และหลังจากอดทนต่อสิ่งเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ตามมาคือความทุกข์ทรมาน


อารมณ์เชิงลบของคนมากมายที่มารวมอยู่ด้วยกัน ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี รวมถึงความบิดเบี้ยวของจิตใจคนและความบ้าคลั่งที่หลั่งไหลเข้ามาในสมอง ทำให้หลิงม่อสติหลุดลอยไปชั่วเสี้ยววินาที


ราวกับตัวเขาอยู่ในก้นบ่อน้ำลึกอันมืดมิด มีแต่เสียงร่ำไห้และเสียงตะโกนโหวกเหวกดังอยู่ในหู


ท่ามกลางสติอันรางเลือน หลิงม่อถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองได้เข้าไปอยู่ในตู้อบตู้หนึ่ง และรู้สึกว่าตัวเขาได้เข้าไปอยู่ในร่างนั้นที่ทั้งเล็กจิ๋ว และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง


ถึงแม้จะเป็นร่างของมนุษย์ แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนกรงขังที่อยู่ลึกลงไปที่สุด…


ทุกวันต้องคอยรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกส่งมาจากคนมากมาย แต่กลับไม่อาจส่งสิ่งของยุ่งเหยิงและวุ่นวายเหล่านั้นที่อยู่ในสมองของตัวเองออกไปได้


ขึ้งเคียด โกรธแค้น ไม่รู้จักพอ!


ถึงแม้จะมี “ภาชนะ” สำรองใช้อย่างอ้ายเฟิงอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จาก “ภาชนะ” ชิ้นนี้มากนัก


อีกอย่าง อ้ายเฟิงไม่สามารถรองรับมันได้นานมาก เขาสามารถอดทนได้เพียงไม่นานเท่านั้น


ภาชนะที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ต้องเหมือนกับหลิงม่อ ที่มีพื้นฐานพลังแข็งแกร่ง และมีพลังจิตอันยอดเยี่ยม…


“อ๊ากกก อ๊ากกก อ๊ากกก!”


ขณะที่หลิงม่อสติหลุดลอย อ้ายเฟิงก็กรีดร้องราวกับร่างกายถูกฉีกทึ้ง คลื่นดวงจิตของเขาพลันรุนแรงขึ้นมาทันที


หลิงม่อรู้สึกปวดหนึบที่ขมับขึ้นมา ภาพความทรงจำมากมายตรงหน้าเขาพลันมลายหายไปในอากาศ


กว่าเขาจะสะบัดหัวไปมาและได้สติ อ้ายเฟิงก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ยกมือกุมแผลและวิ่งหนีเข้าไปในความมืดแล้ว


“วิ่งหนีเร็วเชียว…แต่ภาพความทรงจำเหล่านั้น…”


หลิงม่อฉายแววตาสับสน “ก็แค่ความเสียใจของนักลงทุนเท่านั้น ถึงแม้จะให้ฉันเห็นแค่ภาพพวกนี้ แต่ความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกช่างรุนแรงเหลือเกิน ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิดหรอก”


ร่างจิตใต้สำนึกเหล่านั้นแม้จะมีความทรงจำที่แตกต่างกัน แต่นอกจากอารมณ์บิดเบี้ยวที่เหมือนกันแล้ว พวกมันยังมีอีกหนึ่งจุดที่เหมือนกัน


ความปรารถนา ความปรารถนาที่มีต่อพละกำลัง และทุกสิ่งทุกอย่างอย่างแรงกล้า


อาจเป็นเพราะเหตุนี้ พวกมันถึงได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้…


“ไม่มีทางปล่อยให้หนีไปได้หรอก!”


หลิงม่อรีบวิ่งตามไป ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดคำสั่งผ่านกระแสจิตไปยังอวี๋ซือหราน


ซอมบี้โลลิที่กำลังวิ่งหน้าตั้งสุดชีวิตเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน เธอกับหลิงม่อวิ่งขนาบซ้ายขวา โดยมีเป้าหมายคืออ้ายเฟิง


ถึงแม้เธอจะยังต้องแบกรับน้ำหนักตัวของหมีแพนด้ากลายพันธุ์ไว้ด้วยก็ตาม…พูดถึงหมีแพนด้าตัวนั้น ตอนนี้มันยังพยายามปีนขึ้นมาข้างบนอย่างสุดความสามารถอยู่ข้างนอกหน้าต่างนั่นอยู่


แต่เพราะพื้นผิวกระจกที่ลื่นเกินไป แล้วยังมีน้ำหนักตัวที่มากเกินมาตรฐาน กลับทำให้การดิ้นรนทั้งหมดของหมีแพนด้าตัวนี้สูญเปล่า


ทว่าแม้น้ำหนักตัวทั้งหมดของมันจะถูกแขวนไว้บนตัวอวี๋ซือหราน แต่นั่นกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความคล่องแคล่วว่องไวของซอมบี้โลลิเลยแม้แต่น้อย


สิ่งกีดขวางไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่นานเธอก็วิ่งไปยังอีกทางภายใต้การชี้นำของหลิงม่อ


และอ้ายเฟิงที่เพิ่งจะถูกโจมตีพร้อมกันทั้งสองด้าน ตอนนี้กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง พลางคิดในใจอย่างตื่นตระหนก “ในเมื่อคนที่แอบลอบทำร้ายเขาจากด้านหลังตัวเองคือหลิงม่อ แล้วเงาร่างตะคุ่มๆ ที่ตัวเองโจมตีไปเมื่อกี้คือใครกันล่ะ?


อย่างไรก็ตามหากดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่สามารถมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ได้เลย…เขาถูกปั่นหัวอีกแล้ว!


ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงได้ใช้วิธีนี้ตลอดเลยนะ!


และไม่ว่าจะเป็นตัวอ้ายเฟิงเอง หรือว่าร่างรวมของอ้ายเฟิงกับหมายเลข 0 ก็ตาม ล้วนเป็นฝ่ายเดินเข้ามาติดกับดักของเขาด้วยตัวเอง!


อ้ายเฟิงกัดฟันกรอด เสียงร้องโหวกเหวกของร่างจิตใต้สำนึกมากมายดังอยู่ในสมองของเขา “แก้แค้น! แก้แค้น!”


“ใช่แล้ว ถึงจะอยากได้เขามาเป็นภาชนะ ก่อนหน้านั้นก็ต้องทำให้เขาทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุดก่อน!” อ้ายเฟิงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด


ทว่าโกรธก็ส่วนโกรธ ตอนนี้อ้ายเฟิงรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด เขาต้องการเวลาเพื่อรอให้อาการทุเลาลงก่อน…


แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมหลิงม่อถึงได้ไล่กัดไม่ปล่อยอย่างนี้ล่ะ!


เจ้าบ้านั่นถนัดไล่หมาให้จนตรอกหรือไงนะ? เขาไม่กลัวว่านี่จะเป็นแผนหลอกให้ตายใจเลยหรือ?


ถึงแม้ขณะที่เขาไล่ตามมาจะดูระมัดระวังมาก แต่ท่าทางของหลิงม่อดูไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!


ในขณะที่กำลังสติกระเจิง อ้ายเฟิงคาดไม่ถึงเลยว่าหลิงม่อจะเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาอย่างดี แต่พวกเขานั้นกลับไม่เข้าใจหลิงม่อเลย


มีเย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลินคอยเก็บกวาดทีมค้นหาที่กระจายตัวอยู่ในตึกใหญ่ หลิงม่อสามารถปล่อยให้พวกเธอจัดการข้างหลังอย่างวางใจ


ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขายังมีอวี๋ซือหรานอยู่อีกคน สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงต้องจดจ่อกับการจัดการอ้ายเฟิงให้เร็วที่สุดเท่านั้น!


“ฉันบอกแล้วว่าแกหนีไม่พ้นหรอก”


ในขณะที่ประตูอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทันใดนั้นหลิงม่อกลับพุ่งเข้ามาขวางหน้าอ้ายเฟิงจากด้านข้าง


ขณะที่เขาพูด หนวดสัมผัสสิบกว่าเส้นก็ได้พุ่งออกไปอย่างไม่เกรงใจ


“อีกแล้วหรอ! ทำไมเอาแต่ลอบกัดวะ!”


อ้ายเฟิงสายตาเย็นชา พลันปลดปล่อยพลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่งออกมา เพื่อพยายามต้านทานการโจมตีของหลิงม่อ


ดูจากระดับความแกร่งของพลังของทั้งสองฝ่าย อ้ายเฟิงต้านทานได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่ต้องหลบเลี่ยงการโจมตีจากหนวดสัมผัสในรูปสสารที่ปะปนมาให้ดีๆ…


อ้ายเฟิงแสยะยิ้มมุมปาก ดูเหมือนว่านอกจากจะฉวยโอกาสตอนได้เปรียบลอบกัดแล้ว หลิงม่อก็ไม่ได้มีฝีมือเท่าไหร่เลย


แค่ใช้คำพูดไร้สาระมาเบี่ยงเบนความสนใจของเขา จะได้ผลได้อย่างไรกัน?


“แกคิดว่าฉันจะโดนหลอกอีกครั้งหรอ?” อ้ายเฟิงถาม


แต่ในขณะนั้นเอง วัตถุสีขาวก้อนหนึ่งก็ได้ร่วงลงมาจากบนฟ้า


อ้ายเฟิงตั้งตัวไม่ทันอีกครั้ง ถึงแม้จะหลบการโจมตีสองด้านพร้อมกันจากหลิงม่อได้ แต่กลับถูกวัตถุสีขาวก้อนนี้หล่นใส่กลางหัวเต็มๆ


“นี่มันอะไรวะ?”


อ้ายเฟิงสะดุ้งตกใจ เขารีบยกมือขึ้นจับ แต่กลับมองเห็นหลิงม่อแสยะยิ้มเย็นชา


“จุกนมของสัตว์ประหลาด มีไว้ดูดสัตว์ประหลาดโดยเฉพาะ” หลิงม่อตอบอย่างตรงไปตรงมา


“อะไรนะ?” อ้ายเฟิงรู้ว่าตัวเองคือสัตว์ประหลาด แต่ไอ้จุกนมอะไรนั่น เขาไม่เข้าใจว่าหลิงม่อหมายถึงอะไร…


“แมงกะพรุน” เดิมมีรูปร่างเหมือนถุงพลาสติก เวลาร่วงตกลงมาจึงแทบไม่รู้สึก แต่ทันทีที่สัมผัสโดนศีรษะของอ้ายเฟิง มันก็พองขึ้นราวกับสูบลมเข้าไป แล้วจากนั้นมันก็เกาะหนึบอยู่บนหัวเขาไม่ยอมปล่อย


มองแวบแรก เหมือนเขากำลังใส่หมวกกันน็อคกึ่งโปร่งใสอย่างไรอย่างนั้น


เพียงแต่ถึงมันจะดูน่าขำ แต่คนที่ถูกบังคับให้ใส่กลับต้องรู้สึกสยองสุดขีด


อ้ายเฟิงหน้าถอดสีทันที “นี่มันตัวอะไรวะเนี่ย!”


นึกไม่ถึงเลยว่าของสิ่งนี้ จะมีแรงดูดที่มหาศาลขนาดนี้ถูกส่งออกมาจากภายใน! เขารู้สึกเหมือนสมองของเขากำลังจะถูกดูดออกไป หนังศีรษะตึงชาไปทั่ว


แต่เมื่อเขายกมือขึ้นไปดึง “แมงกะพรุน” ออก หลิงม่อที่เล็งเห็นช่องโหว่ก็ฉวยจังหวะนี้โจมตีเขาทันที


หนวดสัมผัสหลายสิบเส้นแผ่กระจายพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศ อ้ายเฟิงถึงขั้นตะโกนด่าออกไปอย่างเหลืออด “ไอ้สารเลว!”


ทั้งต้องต้านทานการโจมตีอันเจ้าเล่ห์ของหลิงม่อ ทั้งต้องกระชาก “แมงกะพรุน” ออก อ้ายเฟิงยุ่งจนมือไม้เป็นพัลวัน สุดท้ายก็ทำได้เพียงฝืนใส่ “หมวกกันน็อค” วิ่งเข้าไปในทางเดินอีกเส้นหนึ่ง


“อิอิ คิดจะไปไหนล่ะ?”


อ้ายเฟิงเพิ่งจะหมุนกายออกวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้น ด้านหน้าก็มีเงาร่างของใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ขณะเดียวกันเสียงเล็กแหลมก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทของเขา


อ้ายเฟิงปากอ้าตาค้างไปทันที เขามองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง


ดูแค่ภายนอก เธอเหมือนหุ่นตุ๊กตาที่น่ารักมากตัวหนึ่ง


แต่ภายใต้แสงสลัวยามค่ำคืน ดวงตาแดงขาวแยกชัดเจนคู่นั้น รวมถึงคลื่นดวงจิตที่แปลกประหลาดนั่น กลับกำลังร้องเตือนเขาว่า นี่ไม่ใช่โลลิที่เขาจะสามารถใช่ลูกอมหลอกล่อเพื่อวิ่งผ่านไปได้ แต่เป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัวที่สุดในโลกต่างหาก…


—————————————————————————–


บทที่ 647 เสียงสะท้อนในหู

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ซอมบี้…” อ้ายเฟิงขนลุกซู่ไปทั้งตัว


ทว่า เขากลับไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอื่นจากอวี๋ซือหรานอีก ซึ่งนั่นก็ตรงกับที่หลิงม่อเดาไว้


สิ่งผิดปกติดังกล่าวคือเฮยซือ แต่เฮยซือนั้นมีพลังในการอำพรางตัวที่ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว


แน่นอน ไม่ว่าจะพยายามปกปิดซักแค่ไหน ความเป็นจริงก็ยังคงมีจุดผิดสังเกตหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ เห็นชัดเจนว่าอ้ายเฟิงพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวอวี๋ซือหราน


“ทำไมถึงได้…”


อ้ายเฟิงสับสนงุนงงไปหมด นี่มันอะไรกัน!


ทำไมจู่ๆ ถึงได้มีซอมบี้ระดับสูงโผล่มาที่นี่ ในเวลาอย่างนี้!


แล้วเงาตะคุ่มเมื่อกี้เล่า? อย่าบอกนะว่าเป็นซอมบี้ตัวเล็กนี่?


แต่…มันจะเป็นไปได้ยังไง!


วินาทีที่เขาโจมตีเงาตะคุ่มนั่น เนื่องจากว่าเงานั้นวิ่งเร็วเกินไป กอปรกับการลอบโจมตีของหลิงม่อก็ช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะมาก ดังนั้นอ้ายเฟิงจึงมองไม่เห็นว่ารูปร่างหน้าตาของเงาตะคุ่มนั้นเป็นอย่างไรกันแน่


ห้างสรรพสินค้าชั้นนี้ มีอะไรซ่อนอยู่บ้างกันแน่เนี่ย!


แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่ว่าจะเป็นซอมบี้โลลิน้อยตัวนี้ หรือหลิงม่อที่ไล่กัดไม่ปล่อยอยู่ข้างหลัง ไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาได้คิดทบทวนอย่างละเอียดแน่นอน


อวี๋ซือหรานเอียงคอ เงาร่างไหววูบเพียงครั้งเดียว ชั่วพริบตาเธอก็มายืนอยู่ต่อหน้าอ้ายเฟิงแล้ว


ขณะเดียวกันนั้น หนวดสัมผัสมากมายก็ได้พุ่งเข้ามาถึงด้านหลังเขาแล้ว อ้ายเฟิงที่ยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึง กลับไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทันเวลา


ขณะเดียวกับที่ร่างกายถูกแทงทะลุ และดวงแสงแห่งจิตถูกสอดแทรก ซอมบี้โลลิก็ได้กระโดดขึ้นสูง แล้วเหวี่ยงหมัดเล็กๆ เข้าที่ตาซ้ายเขาแรงๆ


“เอ๋? หมัดงั้นหรอ?!”


ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบ เครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ก็ได้ผุดขึ้นมาในสมองของอ้ายเฟิง


“โครม!”


ถึงแม้หมัดของซอมบี้โลลิจะเล็ก แต่ขณะที่หมัดเล็กๆ นี้โจมตีเข้าที่เบ้าตาซ้ายของอ้ายเฟิง ร่างกายของเขาก็ปลิวออกไปทันที


ขนาดร่างกายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้เห็นว่าเธอมีพละกำลังที่น่ากลัวขนาดไหน


อ้ายเฟิงล้มลงไป หลิงม่อรีบวิ่งเข้ามา แล้วจับ “แมงกะพรุน” อย่างรีบร้อน จากนั้นก็ออกแรงดึงมันออกมา “ปล่อยมือซะ นี่มันของฉัน!”


ไม่รู้ว่า “แมงกะพรุน” มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองหรือไม่ พอถูกหลิงม่อกระชาก มันก็กระตุกสั่นเหมือนถูกไฟช็อต ราวกับว่ามันกำลังขัดขืนอย่างไรอย่างนั้น


“ยังไม่ยอมออกมาอีก?” หลิงม่อกัดฟันกรอด หนวดสัมผัสหลายเส้นพุ่งออกไปรัดตัวมัน แล้วออกแรงดึงอย่างเต็มที่


ดึ๋งๆ!


“แมงกะพรุน” ถูกบังคับให้ออกจากศีรษะของอ้ายเฟิง มันจึงกระโดดกระเด้งอย่างไม่พอใจสองที


หลิงม่อมองไปข้างในร่างของมัน พลังงานทางจิตจำนวนไม่มากที่ถูกมันดูดกลืนไปกำลังเปล่งแสงนวลๆ ซึ่งมีแค่ผู้มีพลังจิตเท่านั้นถึงจะมองเห็นได้


“แค่นั้นก็ให้มันไปเถอะ” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็พูดขึ้น


“หา?” หลิงม่อหันหน้าไปมองซอมบี้โลลิ “นี่ความเห็นเธอ? หรือความเห็นเฮยซือ? เธอไม่น่าจะมองเห็นพลังงานทางจิตนี่”


“เรื่องของฉัน…” อวี๋ซือหรานกัดริมฝีปากทำท่าครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ถ้าไง ก้อนเหนียวหนืดหนึ่งก้อนที่นายจะให้ฉัน ฉันไม่เอาก็ได้”


หลิงม่อผิดคาดเล็กน้อย ซอมบี้โลลิน้อยตัวนี้รู้จักเห็นใจคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


ถึงแม้หากพูดตามจริงแล้ว อีกฝ่ายที่เธอใส่ใจจะเป็นสัตว์ประหลาดอะไรไม่รู้ก็ตาม…


“อย่ามองฉันอย่างนี้นะ!” ซอมบี้โลลิวีน ถูกหลิงม่อจ้องอย่างนี้ เธอรู้สึกแปลกๆ “มันเป็นของที่ฉันหามาได้แต่แรก ดังนั้นฉัน…”


“เอางั้นก็ได้” หลิงม่อพยักหน้า


“ฉันก็แค่คิดว่าที่นายพูดมันก็ถูก…อ้าว นายเห็นด้วยแล้วหรอ?” อวี๋ซือหรานเบิกตากว้างทันที


หลิงม่อยัด “แมงกะพรุน” ใส่กระเป๋าเป้ แล้วนั่งยองๆ ลงตรงหน้าอ้ายเฟิง “อืม ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการส่งเสริมวิวัฒนาการของมัน? ถึงยังไงมันก็ดูดไปได้ไม่มาก ฉันเองก็อยากรู้มากเหมือนกัน ว่ามันจะเจริญเติบโตไปเป็นตัวอะไร”


“อย่างนี้เองหรอ…” อวี๋ซือหรานยังงงๆ อยู่ เธอไม่เคยคิดว่าความเห็นของตัวเองจะถูกยอมรับด้วย แถมหลิงม่อยังรับคำอย่างเต็มใจขนาดนี้


ชั่ววูบหนึ่ง ซอมบี้โลลิก็ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงเหมือนกัน เธอเพียงยืนเหม่อมองหลิงม่ออยู่ตรงนั้น


“นี่ มนุษย์” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็ถามขึ้น “นายมองซอมบี้อย่างไร?”


หลิงม่อกำลังเตรียมจะรวบรวมพลังจิต พอได้ยินก็ถามโดยไม่หันกลับไปมอง “ทำไมล่ะ?”


“ฉันเองก็ไม่รู้…” ซอมบี้โลลิงึมงำเสียงเบา แล้วส่ายหน้า


“ใช่สิ ไปช่วยเสี่ยวป๋ายหน่อย อย่าดึงมันเข้ามาล่ะ เดี๋ยวจะติดแหง็กเอา ช่วยมันลงไปข้างล่างแล้วกัน” หลิงม่อกำชับเสริม


อวี๋ซือหรานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็หมุนกายเดินไปทางหน้าต่างขอบติดพื้น


ทว่าเสี้ยววินาทีที่หมุนกาย เธอกลับเหลือบมองหลิงม่ออีกครั้งอย่างห้ามใจไม่ได้


“แปลกจัง เมื่อกี้นี้…จู่ๆ ก็รู้สึกเจ้าว่ามนุษย์ดูคุ้นเคยขึ้นมาก” ซอมบี้โลลิขมวดคิ้วครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ


เธอรู้สึกว่าจู่ๆ ในสมองของเธอมีบางอย่างผุดขึ้นมา แต่เธอกลับไม่สามารถจับใจความได้ว่ามันคืออะไร


พออวี๋ซือหรานจากไป หลิงม่อก็หันมาจดจ่ออยู่กับอ้ายเฟิงทันที


หนวดสัมผัสของเขาแทรกลึกเข้าไปในดวงแสงแห่งจิตของอ้ายเฟิง และสำรวจสภาพของมันอย่างละเอียด


“ยุ่งเหยิงไปหมดจริงๆ”


วิธีการ “รวมร่าง” อย่างนี้ หลิงม่อเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จากความเข้าใจในตอนนี้ของเขา โลกแห่งดวงจิตของมนุษย์เข้าใจยากกว่าของซอมบี้มาก สามารถทำลายได้ แต่กลับไม่อาจควบคุมได้


โลกแห่งดวงจิตของซอมบี้ก็เหมือนกับถูกแบ่งเป็นไฟล์ข้อมูลที่เรียบง่ายและเป็นระเบียบสองไฟล์ ไฟล์หนึ่งเขียนกำกับไว้ว่า “มีประโยชน์ แต่มักเปิดใช้ด้วยวิธีผิดๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่วิธีใช้ที่ถูกต้อง” อีกไฟล์เขียนกำกับไว้ว่า “ถึงแม้จำได้ แต่ไม่มีประโยชน์ หลังเปิดไฟล์นี้ มักมีเรื่องราวประหลาดๆ ผุดออกมา”


แต่โลกแห่งดวงจิตของมนุษย์นั้นกลับเต็มไปด้วยตัวแปรมากมาย สับสนยุ่งเหยิงหาสิ่งใดเปรียบ


ทว่าการยัดตัวเองเข้าไปในสมองของคนอื่น แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพดวงจิตของภาชนะอย่างที่หมายเลข 0 ทำนี้ หลิงม่อยอมรับว่ามันทำให้เขาตะลึงและประหลาดใจมาก


นอกจากอยากกลืนกินแล้ว หลิงม่อยังมีความอยากรู้อยากเห็นต่อหมายเลข 0 ที่สูงมากด้วย เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอใครที่มีพลังจิตแกร่งกว่าตัวเอง


หลังจากสำรวจดูอย่างถี่ถ้วนหนึ่งรอบ หลิงม่อก็ค้นพบว่า ตอนนี้ดวงแสงแห่งจิตของมู่เฉิน เหมือนจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแล้ว


ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างปกติ เป็นของอ้ายเฟิงซึ่งเป็นเจ้าของร่างภาชนะ และอีกส่วนหนึ่งกลับยุ่งเหยิงหาสิ่งใดเปรียบ ถึงแม้จะสัมผัสรู้ได้ว่าในนั้นมีพลังงานทางจิตที่แข็งแกร่งมากอยู่ แต่กลับไม่เหมือนความทรงจำและจิตใต้สำนึกอันสมบูรณ์ที่คนทั่วไปพึงมี


มันเหมือนร่างกายของคนคนหนึ่งที่แต่ละส่วนในร่างกายถูกต่อเติมให้สมบูรณ์จากคนที่ไม่ซ้ำกัน


ถึงจะถือได้ว่าเป็นร่างที่ครบถ้วน แต่หากมองดูดีๆ กลับชวนให้อกสั่นขวัญแขวน


“ไม่รู้ว่าหลอมรวมมากี่คนแล้ว ไม่น่าล่ะพลังจิตถึงได้แกร่งขนาดนี้ แต่คงจะอัพเกรดความแกร่งด้วยการฝึกฝนตนเองได้ยาก เลยทำได้แค่หลอมรวมสินะ? อีกอย่าง ส่วนที่หลงเหลืออยู่ส่วนมากก็เป็นร่างจิตใต้สำนึกที่เป็นความคิดเชิงลบด้วย แล้วยิ่งสะสมความหยิ่งทะนงในตัวเองท่ามกลางความไร้อิสระอีก ไม่ช้าก็เร็วมันต้องกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้แน่ๆ นิพพานสาขาย่อยกำลังเล่นกับไฟชัดๆ…”


หลิงม่อครุ่นคิดในใจ พลางสอดแทรกหนวดสัมผัสเข้าไปในดวงแสงอันยุ่งเหยิงนั่น “ของแบบนี้ กลืนกินให้หายไปซะดีกว่า”


สถานการณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวายของหมายเลข 0 กลับส่งผลดีต่อการกลืนกินของหลิงม่อ เพราะจิตใต้สำนึกที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็แสดงถึงสัญชาตญาณการต่อต้านที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวไงล่ะ


แต่ร่างจิตใต้สำนึกเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ต่อต้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่หลังจากที่พวกมันถูกแยกออกจากกัน แล้วหันมาเผชิญหน้ากับหลิงม่ออีกครั้ง พวกมันก็อ่อนแอลงมากอย่างเห็นได้ชัด…


ภาพตัดความทรงจำมากมายฉายผ่านสมองหลิงม่ออย่างต่อเนื่อง เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังไม่หยุดเช่นกัน


“อย่าทำอย่างนี้ เข้าร่วมกับพวกเราเถอะน่า!”


“ฮืออออ ฉันไม่อยาก ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นนะ ฉันแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันแค่อยากอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง!”


“ทำไมถึงทำกับพวกเราอย่างนี้ อยู่กับพวกเราไม่ดีตรงไหน!”


เสียงเหล่านี้มาจากร่างจิตใต้สำนึกแต่ละดวง ส่วนมากจะเต็มไปด้วยความแค้นเคือง และตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ราวกับเสียงสะท้อนที่ดังก้องอยู่ในหู


ทว่าด้วยจิตอันแข็งแกร่งของหลิงม่อ จึงไม่ถึงขั้นได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้


“นี่ถือว่าเป็นการปลดปล่อยพวกแก สิ่งที่พวกแกหลงเหลืออยู่ ก็มีเพียงเท่านี้แล้วล่ะ” หลิงม่อคิดในใจ


เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ละคนล้วนจำต้องทำบางสิ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้


แต่ไม่ว่าตอนแรกพวกเขาจะถูกบังคับ หรือว่ายินยอมพร้อมใจ ตอนนี้พวกเขาก็ไม่อาจถือว่าเป็นตัวของตัวเองอีกต่อไปแล้ว


สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความปรารถนาและความแค้นของพวกเขาที่หลงเหลือไว้เท่านั้น…


แต่ในขณะนั้นเอง จู่ๆ เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามาในสมองของหลิงม่อ


เสียงนี้เต็มไปด้วยเสน่หาเย้ายวน เคล้าด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ มันกลบเสียงจอแจของคนอื่นจนมิด และดังแทรกเข้าไปยังส่วนลึกของจิตใต้สำนึกหลิงม่อ


หลิงม่อใจกระตุกวูบ ในใจรู้ดีว่านี่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของหมายเลข 0 แล้ว…


แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เสียงนี้พูดชัดๆ หลิงม่อกลับอึ้งค้างไป


“ยอมแพ้…ซะเถอะ เธอไม่เหนื่อยบ้างหรอ?”


“เคยคิดบ้างไหมว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? เธอกลัวมากใช่ไหมว่าจะมีใครรู้ความลับพวกนั้นเข้า? แต่ถ้าหากวันหนึ่งถูกจับได้ขึ้นมา แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ?”


“สู้ยอมแพ้ซะตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า อยู่กับพวกเรา จะได้ไม่ต้องกลัวอะไรอีก…”


หัวใจหลิงม่อเต้น “ตึกตัก” หนึ่งที ความเร็วในการกลืนกินก็ช้าลงอย่างไม่รู้ตัว


นี่มัน…นี่มันอะไรอีกล่ะ?


หรือในระหว่างกลืนกิน อีกฝ่ายก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจเขาด้วยงั้นหรือ?


ทว่าคำพูดเหล่านี้เพียงพูดเป็นเชิงนัยแฝง กลับไม่ได้ชี้ชัดถึงปัญหาที่แท้จริง…


ใช่แล้ว หมายเลข 0 แค่รู้สึกได้ว่าเขามีบางสิ่งปกปิดอยู่ในใจ แต่กลับไม่สามารถเห็นความทรงจำของเขาได้โดยตรง


แต่อาศัยแค่สัมผัสรู้อารมณ์ความรู้สึก ยังจี้จุดได้แม่นยำขนาดนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นหมายเลข 0 ซึ่งเกิดจากการรวมร่างจิตใต้สำนึกมากมายเข้าด้วยกันจริงๆ


“ใช่แล้ว เธอคิดถูกแล้วล่ะ” เสียงนี้รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหลิงม่อ จึงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นทันที มันพูดขึ้นอีกครั้งอย่างชี้แนะด้วยความหวังดี “กดดันมากใช่ไหม? ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามทำตัวร่าเริงทุกวัน แต่ความกดดันเหล่านั้นจะหายไปด้วยหรือไง? สู้ยอมแพ้ซะดีกว่า ยอมแพ้ซะเถอะ…”


ในระหว่างนี้ นิ้วมือของอ้ายเฟิงที่นอนอยู่บนพื้นก็กระดิกเบาๆ


ใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท คล้ายว่าลูกตากำลังกลอกกลิ้งไปมาเบาๆ


และหลิงม่อที่นั่งนิ่งอยู่กับที่ สายตาดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด


ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็ได้สติขึ้นมา เขากำหมัดแน่น แล้วชกเข้าที่หน้าอ้ายเฟิงแรงๆ “หุบปากเดี๋ยวนี้!”


ในขณะที่ใกล้จะตื่น อ้ายเฟิงถูกต่อยอีกครั้งจนหน้าหัน เขาลั่นร้องเจ็บปวดเสียงดังหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หมดสติไปอย่างสมบูรณ์แบบ


“ฮู่ว! เกือบไปแล้ว…”


หลิงม่อยกมือปาดเหงื่อหนึ่งที แล้วพ่นลมหายใจออกมายาวๆ


ถึงแม้ในระหว่างการกลืนกินครั้งนี้ สัญชาตญาณต่อต้านที่เขาต้องเผชิญจะอ่อนแอที่สุด แต่กลับเป็นครั้งที่อันตรายที่สุดเช่นกัน


เพราะจุดที่อีกฝ่ายเลือกโจมตี ไม่ใช่จุดไหน แต่เป็นจุดอ่อนที่เปราะบางที่สุดของมนุษย์…


—————————————————————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม