เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 63.3-65.2

ตอนที่ 63 - 3 สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่

 

หูของจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงดังเอะอะภายนอกยิ่งดุเดือดขึ้น มีเสียงตื่นตกใจโกรธเคืองรำไร นางหัวเราะอย่างพอใจ…กล่าวไปชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องการคนมาช่วยป้องกัน จะรับผิดชอบความเป็นความตายด้วยตนเอง ซ้ำยังขีดเส้นเป็นเขตแดน ถ้าซังต้งกล้าให้คนบุกเข้ามา เข้ามาเดี่ยวฆ่าเดี่ยว เข้ามาคู่ฆ่าทั้งคู่! นางไม่เชื่อหรอกว่ามนุษย์ไม่เสียดายชีวิต!


 


 


จิ่งเหิงปัวมั่นใจว่าซังต้งไม่กล้าฝ่าฝืนบุกเข้ามา อย่างไรเสียหอคอยสูงยังไม่พังทลาย นางยังไม่จำเป็นต้องหักหน้ากันจนเกินงาม เพียงมาดูว่ากงอิ้นไม่อยู่ อีกทั้งรู้สึกว่าราชินีอ่อนแอ มากลั่นแกล้งสักหน่อยเท่านั้น


 


 


ความคิดนี้เพิ่งผันผ่าน พลันได้ยินเสียงดังก้องระลอกหนึ่งจากเบื้องหน้า จากนั้นประตูตำหนักเปิดออกดังพลั่กกึกก้องเสียงหนึ่ง คนผู้หนึ่งชนประตูเข้ามา


 


 


เขารวดเร็วยิ่งนัก ข้างหลังตามมาด้วยคนกลุ่มใหญ่ จิ่งเหิงปัวได้ยินอวี่ชุนตะโกนก้องว่า “ขวางมันไว้!” ซ้ำยังได้ยินอวี่ชุนตะโกนด่าว่า “สารเลว! กองเซ่นไหว้เสียสติแล้วหรือ? พวกเจ้าเสียสติแล้วหรือ? ขีดเส้นไว้แล้วยังกล้าฝ่าฝืนบุกเข้ามาจริงหรือ? ทุกคนมาเร็ว ยิงธนูใส่พวกมันไปด้วยเลย!”


 


 


จากนั้นมีผู้ร้องตะโกนดังก้องว่า “ไม่ใช่! ไม่ใช่! อย่าเข้าใจผิดเชียวนะ! พวกเราไม่รู้จักคนผู้นี้! คนผู้นี้ไม่ใช่คนของตระกูลกองเซ่นไหว้ของพวกเรา! พวกเราไม่รู้ว่าเขามาจากที่ใด!”


 


 


องครักษ์ในเขตพระราชฐานเร่งรีบกรูกันเข้าไปแล้ว มีดกระบี่ออกจากฝักเสียงดังเคร้งแคร้งผืนหนึ่ง แต่ยังคงได้ยินการถกเถียงชี้แจงที่ห่างไปไม่ไกลได้ชัดเจน วุ่นวายเละเทะเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วเรียวยาว เกิดอะไรขึ้น? ฟังน้ำเสียงร้อนรนแปลกใจขององครักษ์กองเซ่นไหว้ที่คุมเชิงทางนั้น คล้ายว่าคนที่บุกเข้ามาไม่ใช่คนของซังต้งจริง? แล้วใครปะปนเข้ามากะทันหัน? จุดมุ่งหมายคืออะไร?


 


 


นางก้าวขึ้นไปสองก้าวโดยสำนึก อยากจะมองดูอีกฝ่ายให้ชัดเจน คนผู้นั้นทะลุผ่านองครักษ์ที่สกัดกั้นหลายนายปานฟ้าแลบ พลันเงยหน้ามองมา


 


 


จิ่งเหิงปัวดุจถูกฟ้าแลบจู่โจม


 


 


แววตานั้นสว่างไสวเพียงนี้ เฉียบคมเพียงนี้ ดุจซุกซ่อนมีดสองเล่มไว้ ดั่งฝังไฟฉายที่มีพลังทะลุผ่านแข็งแกร่งอย่างยิ่งสองกระบอก จิ่งเหิงปัวรู้สึกผิดปกติในพริบตาเดียว ดวงตาของเขาคือรังสีเอกซ์! กำลังทะลุผ่านนาง มองไปยังที่แห่งหนึ่ง!


 


 


ที่แห่งหนึ่งอยู่ตรงไหน?


 


 


พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาก็มองเห็นกำแพงศิลาภาพภูเขาและสายน้ำข้างหลังตน หรือคือด่านยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนเข้าสู่วังบรรทมของกงอิ้น ประตูบานนั้นที่ไม่มีใครรู้รหัสผ่าน


 


 


นางมองเห็นสายตาของอีกฝ่ายกำลังจ้องมองบนบานประตูเขม็ง เกิดลางสังหรณ์ไม่สบายใจ ถอยหลังสองก้าวไปขวางกั้นกำแพงศิลาไว้


 


 


คนนั้นมองนางปราดหนึ่ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกอีกครั้งว่าคล้ายดั่งถูกไฟฉายกวาดผ่าน


 


 


ดวงตาของเจ้าคนนี้คงพิเศษอย่างมากแน่นอน


 


 


แต่มองดูองครักษ์พุ่งเข้ามาทับซ้อนเป็นชั้น นางวางใจอย่างยิ่ง เขาบุกเข้ากำแพงมนุษย์แข็งแกร่งแบบนี้มาไม่ได้หรอก


 


 


คนนั้นกลับไม่ได้ฝ่าฝืนบุกเข้ามา หลังจากปราดแรกที่มองเห็นนางก็เริ่มร่นถอย หูของจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงคำรามยืดยาวของเขาเสียงหนึ่ง ชนคนที่ไล่โจมตีข้างหลังออกไปแล้วถอยกลับไปด้วยหยาดโลหิตหลั่งรินตลอดทาง


 


 


พอเห็นเช่นนี้พาให้ทุกผู้คนต่างงงงัน ไม่เข้าใจว่าเจ้าผู้นี้พลีชีพบุกเข้าลานด้านในอย่างยากลำบาก เหตุใดจึงร่นถอยกลับไปโดยพลัน


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ่งรู้สึกว่าแปลกประหลาด หรือว่าเจ้าคนนี้เพียงเพื่อจะมองกำแพงศิลาแวบหนึ่ง?


 


 


มองอย่างเดียวแต่ไม่ผลักมันไม่เปิดหรอกนะ


 


 



 


 


มือสังหารที่ปะปนเข้ามากระเซ็นโลหิตล่าถอยออกไป พวกอวี่ชุนไล่ล่าไม่ยอมลดละ มองเห็นเจ้าผู้นั้นไม่ได้หลบหนีออกไปนอกวัง ข้ามผ่านทางหลักแล้ววิ่งไปทางสำนักเจาหมิงประดุจรีบร้อนไร้ทางเลือก


 


 


พอเหมิงหู่ที่รีบตามมาเห็นว่าผิดปกติ ตวาดว่า “ยิงธนู!”


 


 


ลูกธนูสีครามบดบังท้องนภา แหวกสลายชั้นเมฆคล้อยต่ำ พุ่งไปยังแผ่นหลังของคนผู้นั้นดังหวึ่งเสียงหนึ่ง


 


 


คนผู้นั้นกลับไม่หลบไม่หลีก เพียงพุ่งไปเบื้องหน้าสุดชีวิต ข้ามผ่านกำแพงลานของสำนักเจาหมิง


 


 


ลูกธนูผืนใหญ่เหินขึ้นจากภายในสำนักเจาหมิง หลังท้องของคนผู้นั้นต้องธนู หลั่งโลหิตปานตัวเม่นพุ่งไปเบื้องหน้าเพียงครั้งแล้วเข้าไปในลานบ้าน


 


 


เบื้องหน้าหน้าต่างภายในลานบ้าน เหยียลี่ว์ฉีที่ยืนรอคอยอยู่โดยตลอดผลักหน้าต่างเปิดออก


 


 


ทหารกล้าตายหมอบอยู่ไม่ไกลจากเบื้องหน้าหน้าต่างของเขา ลูกธนูทั่วร่าง ดิ้นรนเงยหน้าขึ้น


 


 


ทหารกล้าตายคล้ายวางใจแล้ว เงยหน้าขึ้นพ่นวาจาระลอกหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว


 


 


เหยียลี่ว์ฉีใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วพลันเอ่ยว่า “กลอนซ่อนนามราชินี!”


 


 


เขาไม่ได้เปล่งเสียงออกมา เป็นเพียงการขยับริมฝีปาก ชายชาตรีนั้นอ่านแล้วพลันแหงนหน้าขึ้น ตะโกนก้องเสียงหนึ่ง


 


 


“ราชินีซ่อนนามกลอน!”


 


 


จากนั้นเขาก้มศีรษะลง สิ้นลมหายใจ


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมองซากศพของเขาอย่างลวกๆ ปราดเดียว นิ้วมือสะบัดเพียงครั้ง หน้าต่างปิดลงดังแอ๊ดเสียงหนึ่ง


 


 


ผนึกกลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นกับท้องนภาครึ้มฝนไว้นอกหน้าต่าง


 


 


จากนั้นเขาหันกายนั่งลงท่ามกลางความมืดมิดในห้อง ผ่านไปนเนิ่นนาน ริมฝีปากกระหวัดเป็นรอยยิ้มเจือจาง


 


 


ดุจดอกบัวนิลที่ผลิแย้มเชื่องช้ากลางบึงโคลนเลี่ยหั่วยามเที่ยงคืน


 


 


น้ำเสียงเฉื่อยเนือยทว่าแจ่มแจ้งวนเวียนแผ่วเบาภายในห้อง


 


 


“ที่แท้ความรู้สึกของเจ้าสลักฝังลึกเช่นนี้เนิ่นนานแล้ว…”


 


 



 


 


ผู้คนเบื้องนอกรู้สึกประหลาดใจมากหลาย


 


 


ไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้ปะปนเข้ามาในกองทัพองครักษ์ของกองเซ่นไหว้ได้อย่างไร อีกทั้งเหตุใดถึงพลีชีพบุกเข้าจิ้งถิงแล้วพลีชีพล่าถอย จากนั้นพลีชีพบุกเข้าสำนักเจาหมิง สุดท้ายยังตะโกนวาจาพิลึกพิลั่นขนาดนั้นประโยคหนึ่ง


 


 


คล้ายว่าเขากระทำท่าทางประหลาดเหลือเชื่อมากมายขนาดนั้น มุ่งสู่การสิ้นชีพที่ไม่มีโอกาสรอดชีวิต เพียงเพื่อวาจาที่ไร้ซึ่งผู้ฟังเข้าใจประโยคหนึ่ง


 


 


ในเมื่อเขาสิ้นชีพ อวี่ชุนเหมิงหู่ก็วางใจแล้ว สั่งให้คนลากซากศพออกไป องครักษ์ทางนั้นของกองเซ่นไหว้ประสบเหตุการณ์หนึ่งนี้แล้วไม่กล้าอาละวาดอีก ต่างทยอยถอยไปยังหลังเส้นสีที่อวี่ชุนวาดไว้


 


 


ทว่ายามผู้หนึ่งเก็บกวาดผู้หนึ่งร่นถอย ฝูงชนวุ่นวายเล็กน้อยยากหลีกเลี่ยง


 


 


เงาคนสีดำสายหนึ่งขยับออกไปจากกองทัพองครักษ์กองเซ่นไหว้อย่างเงียบเชียบ แล้วประชิดใกล้เพียงครั้งอย่างเงียบเชียบ ถึงหลังกายราชองครักษ์ผู้หนึ่งซึ่งอยู่ข้างหลังอวี่ชุน


 


 


รูปร่างเขาสูงโปร่ง ความเคลื่อนไหวลึกลับไร้สรรพเสียง มีความจืดจางโดยกำเนิดภายใต้ผืนนภามืดครึ้มแสงสลัว ผู้คนทั่วทิศกำลังยุ่งวุ่นวาย ไม่มีใครสนใจถึงการดำรงอยู่และความเปลี่ยนแปลงของคนผู้นี้


 


 


ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ผู้ควรถอนกำลังต่างถอนกำลังแล้ว พอจัดการทุกสิ่งเสร็จสิ้น อวี่ชุนหลงเหลือคนส่วนหนึ่งไว้ป้องกันเส้นนั้นแล้วพาองครักษ์ที่เหลือกลับสู่จิ้งถิง คนผู้นั้นติดตามข้างหลังองครักษ์คนสุดท้ายผู้หนึ่งอย่างเงียบเชียบ เลียนแบบทุกฝีก้าว มุ่งตรงเข้าสู่ลานบ้าน


 


 


หลังจากคนผู้นี้เข้าสู่ลานบ้าน องครักษ์ที่อยู่ทั่วลานบ้านกลับไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงเขาตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ


 


 


หากยามนี้มีผู้จ้องมองเขาอยู่ ย่อมพบว่าแท้จริงแล้วเขาเคลื่อนย้ายเล็กๆ น้อยๆ โดยตลอด เปลี่ยนแปลงทิศทางร่างกายไม่หยุดหย่อน การเคลื่อนย้ายทุกครั้งต่างกระทำการปรับเปลี่ยนตามทิศทางที่สายตาผู้อื่นกวาดผ่านมา เข้าสู่มุมอับสายตาของผู้อื่น ทำให้สายตาแจ่มแจ้งของผู้คนกวาดผ่านสถานที่ซึ่งมีเขาดำรงอยู่ทว่ามองไม่เห็นเขา


 


 


ความสามารถเช่นนี้เอ่ยขึ้นมาแล้วเหลือเชื่อ แท้จริงแล้วเป็นการศึกษาค้นคว้าการหักเหของแสงรูปแบบหนึ่ง นับเป็นวรยุทธอำพรางวิชาหนึ่งในตำนานของต้าฮวง


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นทุกคนกลับสู่ตำแหน่งของตนเอง ภายในภายนอกต่างฟื้นคืนความเงียบสงบ นางวางใจแล้ว กลับสู่กลางพระราชวังของกงอิ้น


 


 


นางไม่ได้รีบร้อนเข้าสู่ตำหนักใหญ่ หันหลังให้กำแพงศิลา เผชิญแววตาสงสัยของกงอิ้น ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ไล่คนไปแล้ว มือสังหารก็ตายแล้ว เพียงรู้สึกว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง”


 


 


นางเล่าความงงงวยในใจให้กงอิ้นฟัง หัวคิ้วของกงอิ้นขมวดขึ้น เอ่ยว่า “สำนักเจาหมิง?”


 


 


“ใช่แล้ว” จิ่งเหิงปัวเฝ้าอยู่ปากประตูวังบรรทม ไม่ได้ตามไปยังทางหลักของสำนักเจาหมิงทางนั้น จึงไม่รู้วาจาประโยคนั้นที่มือสังหารร้องออกมายามสุดท้ายหลังบุกเข้าสำนัก รู้สึกสังหรณ์เพียงว่าแปลกประหลาด กล่าวว่า “ข้ามองเห็นเขาไปทางนั้นแล้ว จริงสิ สำนักเจาหมิงใกล้กับจิ้งถิงขนาดนี้ ยามนี้ยังขังเหยียลี่ว์ฉีไว้ ไว้ใจได้หรือ?”


 


 


“การป้องกันของสำนักเจาหมิงไม่อยู่ใต้อำนาจจิ้งถิง ยิ่งกว่านั้นในช่วงเวลาที่สอบสวนขุนนางผู้หนึ่งผู้ใด ผู้อยู่ในสำนักเจาหมิงไม่อาจเข้าออกได้ เอ่ยแล้วคงจะไม่มีปัญหา”


 


 


“ผิดปกติแล้ว” จิ่งเหิงปัวที่กำลังตระเตรียมเดินไปข้างหน้าหยุดฝีก้าวไว้ กล่าวว่า “ข้ามองเห็นขุนนางเข้าออกชัดแจ้ง”


 


 


“อะไรนะ?” กงอิ้นหรี่นัยน์ตาเพียงครั้ง


 


 


“คนผู้นั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ก้าวเดินสองมือยังลูบอยู่หลังเอว คล้ายกับเพิ่งถูกโทษโบยกระนั้น…”


 


 


ขนคิ้วของกงอิ้นพลันเชิดขึ้น


 


 


“แน่ใจว่าเป็นขุนนางสำนักเจาหมิง?”


 


 


“อืม ออกมาจากสำนัก สวมชุดขุนนางสำนัก”


 


 


“ออกมายามนี้หรือ?”


 


 


“อืม”


 


 


“ได้รับบาดเจ็บหรือ?”


 


 


“อืม”


 


 


สีหน้าของกงอิ้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป


 


 


“เมื่อครู่มือสังหารไปทางสำนักเจาหมิง?”


 


 


“คงจะใช่”


 


 


“เหิงปัว!” กงอิ้นพลันตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง พาให้จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจ…นางไม่เคยได้ยินกงอิ้นเปล่งเสียงดังขนาดนี้มาก่อน ซ้ำยังไม่เคยได้ยินเขาเรียกชื่อของนางมาก่อน


 


 


“รีบหลีกไป!”อีกเสียงหนึ่งตะโกนลั่นไปถึงแก้วหูของนาง จิ่งเหิงปัวพุ่งลงพื้นทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ


 


 


ตอนที่หมอบลงนางกำลังอธิษฐานว่าบนพื้นอย่าได้มีเศษหินอะไรเชียวนะ กระแทกแรงขนาดนั้น…


 


 


ความคิดยังไม่ทันได้ผันผ่าน เรือนร่างเพิ่งกระทบพื้น “ฉึก” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบาจากข้างหลัง 

 

 


ตอนที่ 63 – 4 สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่

 

ดุจอสรพิษแลบลิ้น ดั่งฟ้าแลบผ่านช่องว่าง แสงรุ่งโรจน์เรียวยาวดุจเส้นไหมกะพริบวูบเพียงน้อย ทะลุผ่านช่องว่างหนึ่งหลังประตู


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงหนึ่งนี้ รู้สึกถึงสายลมหนาวหลังกาย ขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วร่าง


 


 


ประตูเปิดแล้ว!


 


 


มีผู้กำลังเปิดประตูในพริบตาเดียว แทงกระบี่เข้ามาวูบหนึ่ง!


 


 


เมื่อครู่นางหันหลังพิงประตูอยู่ หากไม่ได้ล้มลง กระบี่หนึ่งนั้นคงแทงเข้ากลางหลังนางพอดี!


 


 


ผู้มาเยือนไม่อาจแน่ใจว่าหลังประตูมีคนหรือไม่ด้วยซ้ำ ทว่าพลันแทงกระบี่ในพริบตาหนึ่งนั้นที่ประตูเปิดออก เอ่ยได้ว่าใจคอเ**้ยมโหดรอบคอบรวดเร็ว ยอดฝีมือมือสังหารชั้นเลิศอย่างแน่นอน!


 


 


พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเห็นพื้นสีขาวราวหิมะของตำหนักใหญ่สะท้อนเงาล่องลอยประดุจควัน ไอเหน็บหนาวผืนหนึ่งกะพริบวูบวาบ นั่นคืออาวุธของอีกฝ่าย


 


 


แสงนภาสว่างไสวแล้วมืดมิด ประตูปิดลงแล้ว ขวางกั้นองครักษ์ที่ได้ยินความเคลื่อนไหวแล้วรีบตามมาไว้นอกประตู


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวตะลึงลาน…พอประตูปิดไร้คนเปิดได้ ตำหนักใหญ่จะเหลือเพียงนางกับกงอิ้นที่ขยับเขยื้อนมากไม่ได้รับมือกับมือสังหารโหดเ**้ยมชั่วร้ายนี้!


 


 


คนผู้นี้รู้รหัสผ่านได้อย่างไร?


 


 


บนศีรษะมีเสียงลม!


 


 


มือสังหารไม่สำเร็จในกระบี่เดียว พอมองเห็นบนพื้นมีคน พลันทิ่มกระบี่ลงมาข้างล่างอย่างรุนแรง!


 


 


เมื่อจิ่งเหิงปัวมองเห็นคมกระบี่ กลิ้งเกลือกครั้งหนึ่งออกไปเนิ่นนานแล้ว


 


 


ชายผ้ามุมหนึ่งของนางถูกคมกระบี่ขัดจังหวะดังฉึกเสียงหนึ่ง แหลกสลายไร้สรรพเสียง


 


 


นางกลิ้งเกลือกครั้งหนึ่ง เสียง “ฉึก” ดังอีกเสียงหนึ่ง คมกระบี่สายหนึ่งสะบั้นลงข้างกายนางอย่างรุนแรง ห่างจากปลายจมูกนางเพียงนิ้วเดียว


 


 


จิ่งเหิงปัวตกใจจนเหงื่อเย็นเยียบท่วมร่าง กลิ้งขลุกขลักออกไปอีกครั้ง เพิ่งคิดจะดิ้นรนลุกขึ้น คมกระบี่สวบสาบบนศีรษะดุจสายฝน นางจำต้องพลิกมากลิ้งไป ดิ้นรนในสายฝนคมกระบี่ด้วยจนตรอก


 


 


นางกลิ้งมั่วซั่วทั่วพื้นไปพลางแอบด่าไปพลาง มือสังหารบ้าบอคนนี้ไม่พุ่งไปยังเป้าหมายเช่นกงอิ้น พยายามตามติดนางทำไม? คิดไปกลิ้งไปขนาดนี้ รู้สึกทันทีว่าผิดปกติ…ทำไมเสียงลมหนาแน่นบนศีรษะหายไปแล้ว?


 


 


พอเงยหน้ามอง คมกระบี่ทั่วศีรษะสูญสลายไปในฉับพลันนั้น คมกระบี่เมื่อครู่ไม่ใช่ของจริงแต่เป็นเพียงภาพลวงตา!


 


 


พอเงยหน้าอีกครั้ง มือสังหารประชิดใกล้หน้าเตียงของกงอิ้นแล้ว!


 


 


จิ่งเหิงปัวกระโจนขึ้นฉับพลันยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว มองเห็นมือสังหารอยู่กลางอากาศ เส้นสีดำสายหนึ่งในมือพุ่งวูบไปทางหน้าอกกงอิ้น


 


 


รวดเร็วจนไร้หนทางจับกุม


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากกรีดร้อง อยากด่าทอ อยากหลับตาลง ไม่กล้ามองโศกนาฏกรรมโลหิตสาดกระเซ็นครู่ต่อมา มือกลับเคลื่อนไหวอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว


 


 


“ไป!”


 


 


เชิงเทียนทองเหลืองร่วงหล่นดังเคร้งเสียงหนึ่ง ชนเข้ากับตัวกระบี่พอดี ตัวกระบี่เอนเอียง ในขณะเดียวกันนั้นเองกงอิ้นเงยหน้าขึ้นเบี่ยงกายครึ่งฉื่อ คมกระบี่เฉียดผ่านคอหอย ชนเข้ากับม่านกระโจมหลายชั้นหลังเตียง


 


 


มือสังหารปานหมอกควันร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่ง มือกวักเพียงครั้ง กระบี่ประหลาดสีดำดุจเส้นไหมถอยกลับไปประหนึ่งอสรพิษ สัมผัสใยไหมขาวละเอียดบนม่านกระโจมเล็กน้อย เพียงสั่นไหวแผ่วเบาอยู่กลางอากาศแล้วฟันลงมาตามขวางสู่ลำคอของกงอิ้นอีกครั้ง


 


 


กระบี่หนึ่งนี้แผ่วเบาจนไม่เจือด้วยประกายเพลิง คือวิชากระบี่เหินหาวอันเลิศล้ำ!


 


 


แต่ตอนนี้ทางหนีทีไล่ของจิ่งเหิงปัวมาถึงแล้ว นางไม่ทันได้ลุกขึ้น หมอบอยู่บนพื้นสองมือสะบัดต่อเนื่อง เงียบงันไม่เปล่งเสียง เพียงเขวี้ยงๆๆ เขวี้ยงๆๆ เขวี้ยง!


 


 


เสียงตึงตังตึงตังระลอกหนึ่ง เชิงเทียนที่กำแพงทั้งสี่ด้านทยอยร่วงหล่น กระแทกบริเวณรอบมือสังหารอย่างมั่วซั่ว แม้ไม่แน่ว่าจะเขวี้ยงโดนมือสังหารและใบหน้าของเขา แต่อย่างน้อยยังรบกวนเขาได้ เชิงเทียนอันหนึ่งกลิ้งไปบนพื้นหลายรอบ ประกายเพลิงที่ยังลุกไหม้กระเซ็นบนชายผ้าของมือสังหาร กลายเป็นสายชนวนสายหนึ่งเปล่งประกายแผ่ขยายฉับพลัน


 


 


มือสังหารที่ใช้ปราณควบคุมกระบี่โถมแขนเสื้อลงไปข้างล่าง ลมทวนพัดผ่าน ประกายเพลิงดับสูญ วงโคจรกระบี่เอนเอียงไปด้วยฉับพลัน กงอิ้นยกแขนเสื้อเล็กน้อยเพียงครั้ง ปลายกระบี่เฉียดผ่านหน้าอกของเขาโดยขาดเพียงเศษเสี้ยวแล้วทะลุสู่ม่านกระโจมสองฝั่ง สัมผัสใยไหมขาวละเอียดกลุ่มหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


มือสังหารสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้ง ตัวกระบี่เวียนวนทั้งอ่อนช้อยทั้งแปลกประหลาดครั้งหนึ่ง สะบั้นม่านกระโจมฉีกขาด ปรากฏบนศีรษะกงอิ้นปานภูตพรายแล้วทิ่มลงมาปานฟ้าแลบ


 


 


จิ่งเหิงปัวหมอบอยู่ตรงนั้น มือเดียวสะบัดสุดชีวิตครั้งหนึ่ง เชิงเทียนอันหนึ่งซึ่งถูกมือสังหารเตะออกไปพลิกคว่ำกลางอากาศชนเข้ากับด้ามกระบี่ ปลายกระบี่เฉียดสัมผัสเส้นผมกงอิ้น เส้นผมสีดำหลายเส้นลอยล่องกลางอากาศ ซ้ำยังมีใยไหมขาวละเอียดหลายกลุ่มติดอยู่บนตัวกระบี่เชื่องช้า


 


 


ทุกสิ่งเพียงแสงอสนีแสงเพลิง ช่วงเวลาชั่วพริบตา วาดกระบี่ติดต่อกันสามครั้งจวนสำเร็จทว่าล้มเหลว มือสังหารโกรธแค้นจนยิ้มแย้ม เรือนร่างสั่นไหวเพียงครั้ง กระโจนขึ้นดุจควันไฟ อ้อมผ่านวงโคจรที่เชิงเทียนทุกอันร่วงพื้น กะพริบวูบครั้งแล้วครั้งเล่า ประชิดใกล้กงอิ้นด้วยตนเอง


 


 


ในขณะเดียวกันนั้นเองกงอิ้นเอ่ยด้วยเสียงร้อนรนว่า “เหิงปัวเจ้าออกไป!”


 


 


ขณะนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งลุกขึ้นมา หอบหายใจหลังพิงกำแพง ในใจแอบด่าว่าวังบรรทมของกงอิ้นตกแต่งเรียบง่ายเกินไป ไม่มีสิ่งของอะไรทั้งนั้น เขวี้ยงเชิงเทียนหมดก็ไม่มีอะไรแล้ว


 


 


ได้ยินวาจาประโยคนี้ของกงอิ้น นางยิ้มแย้มแล้วกล่าวว่า “ดีเลย” หันกายเปิดประตูทันที


 


 


พริบตาต่อมานางปรากฏกายข้างหลังมือสังหาร มีดเล่มหนึ่งทิ่มลงกลางหลังเขา ร้องว่า “ตายซะ!”


 


 


ยามนี้นี่เองเรือนร่างของมือสังหารสั่นไหวเพียงครั้ง กลายเป็นควันดำที่คล้ายของจริงทว่ามิใช่ของจริงหอบหนึ่งพุ่งไปทางกงอิ้น ดวงตาของจิ่งเหิงปัวมองดูมีดของตนเองทะลุผ่านความว่างเปล่า


 


 


นางตอบสนองรวดเร็วเช่นกัน สะบัดมือเขวี้ยงมีดครั้งหนึ่ง กางแขนสองข้างออกพุ่งไปบนเตียงทันที กอดเอวของกงอิ้นไว้พอดิบพอดี


 


 


พริบตาหนึ่งนี้นางรู้สึกคล้ายพุ่งเข้าสู่เมฆดำผืนหนึ่ง บนศีรษะมีลมหายใจหนักหน่วงเหม็นคาว เย็นชาน่าสะพรึงกลัว ดั่งสัตว์ป่ากำลังจะจรดปลายจมูกเย็นเยียบลงส่งนางเข้าสู่คมเขี้ยวมรณะในพริบตาต่อมา


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้คิดอะไรทั้งนั้น ลากกงอิ้นไปสุดกำลัง จากนั้นหันกายครั้งหนึ่งร้องว่า “ไป!”


 


 


เรือนร่างสะท้านครั้งหนึ่ง เท้าทอดลงพื้นแข็ง ปลายจมูกสัมผัสสิ่งของเย็นเยือกอีกครั้ง พอนางลืมตาขึ้น เบื้องหน้าขาวโพลนทั้งผืน อากาศเยือกเย็น


 


 


จิ่งเหิงปัวเกิดความงงงวยในพริบตาเดียว…คราวนี้หายตัวไปไหนแล้ว? ข้างนอกควรจะฟ้ามืดแล้วไม่ใช่เหรอ?


 


 


จากนั้นนางคล้ายได้ยินกงอิ้นหัวเราะกระอึกกระอักเล็กน้อย


 


 


พอจิ่งเหิงปัวก้มหน้าก็มองเห็นพื้นศิลาขาวที่คุ้นเคยทอแสงแวววาว


 


 


ณ ริมขอบสายตา ยังมีรองเท้าหุ้มข้อสีดำคู่หนึ่ง


 


 


สมองนางระเบิดดังตู้ม


 


 


แม่งเอ้ย เคลื่อนย้ายถึงแค่ปากประตู! มือสังหารงอมืองอเท้าเฝ้ารออยู่ตรงนี้!


 


 


พาคนหายตัวไม่ไหวจริงด้วย! ในตำหนักใหญ่แปลกประหลาดเล็กน้อยนี้ยิ่งโคตรไม่ไหว ระยะทางสั้นยิ่งกว่าครั้งก่อนที่พาชุ่ยเจี่ยหายตัวอีก ยังออกไปจากประตูไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


 


จิ่งเหิงปัวจูงกงอิ้นคิดหนีอีกครั้ง อย่างมากก็แค่วนเป็นวงกลมภายในตำหนักใหญ่นี้เสียเลย! อย่างไรเสียกงอิ้นคงจะบอกกล่าวลูกน้องแล้ว


 


 


กระบี่สีดำดุจเส้นไหมบางประชิดใกล้ปลายจมูกของนางอย่างเยือกเย็น


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องมองกระบี่เล่มนั้น แม้ไม่เป็นวรยุทธยังดูออกว่ากระบี่นั้นใกล้เกินไป ขอเพียงนางขยับเล็กน้อย เพียงพอจะแทงทะลุนางกับกงอิ้นจนเกิดรูโปร่งแสง


 


 


เชิงเทียนมอดไปหมดแล้ว ในตำหนักเหลือเพียงแสงจางตามธรรมชาติของศิลาขาว นางรู้สึกเลือนรางว่ากระบี่นั้นคล้ายจะผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็มองไม่ออก


 


 


นางยังคงไว้ซึ่งท่วงท่ากอดเอวกงอิ้นอย่างแน่นหนา หลงลืมคลายออกด้วยความตึงเครียด แน่นอนว่าคนผู้นั้นที่ถูกกอดไว้ไม่ได้เตือนสตินางให้ปล่อยออกเช่นกัน ถึงขนาดมือข้างหนึ่งกุมไว้อย่างตั้งใจทว่ามิได้ตั้งใจบนหลังมือของนาง


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวกำลังคำนวณชั่วยาม กงอิ้นเอ่ยว่ายามเที่ยงคืนเขาจะฟื้นคืนสู่ปกติ แต่ตอนนี้ห่างจากเที่ยงคืนอย่างน้อยที่สุดยังเหลืออีกหนึ่งชั่วยามกว่า นางจะรับมือกับมือสังหารมารร้ายเกรียงไกรเป็นพิเศษคนนี้ถึงหนึ่งชั่วยามได้เหรอ?


 


 


นางมองดูข้างนอกอย่างร้อนรนเล็กน้อย ทำไมพวกเหมิงหู่ยังไม่คิดวิธีเข้ามาอีก?


 


 


“พวกเขาเข้ามาไม่ได้” มือสังหารพลันปริปาก รอบกายเขากำจายควันจางสีดำ น้ำเสียงยากจับต้องดุจควันเช่นกันเอ่ยว่า “ข้าได้ฟันเส้นทองคำส่งสัญญาณของพวกเจ้าขาดเสียแล้ว” เขาหัวเราะคล้ายเสียดสีเล็กน้อย เอ่ยสืบต่อว่า “แน่นอนว่าเรื่องนี้คงต้องขอบคุณท่านราชครูฝ่ายขวาที่ระมัดระวังยิ่งนัก ประตูเปิดจากภายในได้ ทว่าไม่อาจใช้กำลังเข้ามาจากภายนอก ฉะนั้น อย่ามุ่งหวังให้องครักษ์มาช่วยเลย”


 


 


แววตาของจิ่งเหิงปัววูบไหว ในใจด่าทอมหาเทพว่าระมัดระวังเกินไปจนทำร้ายตนเอง รู้สึกทันทีว่าฝ่ามือคันยิบ รู้สึกโดยละเอียดว่า…คล้ายกงอิ้นกำลังเขียนอักษร?


 


 


โอ๊ยแม่งเอ้ย เขียนอักษร


 


 


นางรู้จักเจ้าอักษรนี้ทั้งหมด แต่ใช้คอมพิวเตอร์นานเกินไป เคยชินแต่อักษรคอมพิวเตอร์ ถ้าตนเองเขียนขึ้นมาจะยกปากกาลืมอักษร ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการพิจารณาอักษรที่ผู้อื่นเขียนบนฝ่ามือ


 


 


นางรู้สึกเพียงคันยิบอยากหัวเราะ เจ้าสารเลวคนนี้เขียนอักษรอะไร? เขียนอักษรบนฝ่ามือบอกเป็นนัยให้เด็กอัจฉริยะเช่นพี่นี้เหรอ? สูงส่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้เหมาะสมจริงเหรอ?


 


 


โอ๊ยแม่งเอ้ยอักษรอะไรกันแน่? 

 

 


ตอนที่ 64 - 1 หวั่นไหว

 

โอ๊ยแม่งเอ้ยอักษรอะไรกันแน่?


 


 


จิ่งเหิงปัวเคาะแก้ม กัดฟันกรอด อดทนต่อความรู้สึกคันยุบยิบบนฝ่ามือ มือสังหารกำลังจะแทงเข้ามาในกระบี่เดียว มองเห็นสีหน้าปานท้องผูกของนางในปราดหนึ่งแล้วอดจะชะงักงันไม่ได้


 


 


พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้ากลับกลายเป็นรอยยิ้มดุจมวลผกา กล่าวว่า “ช้าก่อนจอมยุทธ์ พวกเรามาทำข้อตกลงกันได้หรือไม่”


 


 


“ถ่วงเวลาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” มือสังหารเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีผู้ใดมาช่วยพวกเจ้าได้”


 


 


“เจ้าไม่อยากรู้เคล็ดลับวรยุทธของกงอิ้นหรือ?” จิ่งเหิงปัวขยิบตาให้เขา กล่าวว่า “หรือยอดฝีมือเฉกเช่นเจ้าไม่อยากรู้ความลับของปัญญาหิมะ?”


 


 


แทบจะฉับพลัน มารร้ายลึกลับหรือมือสังหารที่คล้ายไม่มีความรู้สึกของมนุษย์นั้น เบื้องลึกนัยน์ตาเจิดจ้าด้วยแสงรุ่งโรจน์


 


 


จิ่งเหิงปัวแบะปากอย่างไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย…ขอแค่เป็นคนไม่ค่อยปกติและวรยุทธสูงส่ง ต้องสนใจวรยุทธลึกลับของผู้อื่นอย่างมากแน่นอน นี่คือสัจธรรมนิรันดรที่นิยายกำลังภายในนับร้อยนับพันเล่มบอกนาง


 


 


สายตาของกงอิ้นกะพริบวูบด้วยความชื่นชมสายหนึ่ง…บทสนทนานี้เอ่ยขึ้นมาแล้วเรียบง่าย ทว่าเพียงวาจาประโยคเดียวสามารถกระทบส่วนลึกภายในจิตใจของคนผู้หนึ่งอย่างแม่นยำ สิ่งนี้แทบจะเป็นความสามารถที่สวรรค์ประทานรูปแบบหนึ่ง


 


 


กระบี่ของมือสังหารหยุดลง


 


 


สมองของจิ่งเหิงปัวกลับกำลังหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว จิตใจครึ่งหนึ่งรับมือมือสังหาร จิตใจอีกครึ่งหนึ่งพิจารณาอักษรบนฝ่ามือ


 


 


…กระบี่…ใช้กระบี่…เคลื่อนย้าย…


 


 


หมายความว่าอะไรกันวะ!


 


 


สมองนางแล่นอย่างรวดเร็ว แวบหนึ่งมองเห็นสีหน้าสงสัยของมือสังหาร รีบเร่งกล่าวว่า “เจ้าจะสังหารกงอิ้นหรือไม่ข้าไม่สนใจ ข้าขอเพียงให้เจ้าปล่อยข้ารอดชีวิต ข้ามอบกงอิ้นให้เจ้าได้ รวมทั้งมอบเคล็ดลับการฝึกวรยุทธของเขาให้เจ้าได้ด้วย”


 


 


“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร?” คนชุดดำยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ข้าเค้นถามเขาด้วยตนเองได้”


 


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าจะเค้นถามได้ความหรือ?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม กล่าวว่า “ส่วนข้ารู้ได้อย่างไร ข้าปรากฏกายภายในตำหนักใหญ่แห่งนี้ได้ ข้าย่อมมีเหตุผลที่จะรู้”


 


 


มือสังหารนิ่งเงียบ แววตาระยิบระยับ คล้ายรู้สึกเช่นกันว่านางเอ่ยได้มีเหตุผล


 


 


เขารู้ว่าองครักษ์ไม่อาจเข้าสู่ตำหนักใหญ่ได้ ยามนี้สองคนนี้ผู้หนึ่งยังไม่ฟื้นคืนอีกผู้หนึ่งไม่มีวรยุทธ หมดสภาพอยู่ในเงื้อมมือเขา ฉะนั้นจึงไร้ซึ่งจิตใจร้อนรน พินิจจิ่งเหิงปัวอย่างจริงจังตั้งใจครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เมื่อครู่เจ้าช่วยเขาสุดชีวิต ยามนี้หักหลังเขา? เจ้านึกว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ?”


 


 


“ข้าน่ะไม่ใช่นึกว่าเขาช่วยข้าได้หรือ?” จิ่งเหิงปัวตบใบหน้าของกงอิ้น กล่าวว่า “ทว่ายามนี้ยังเอาตนเองไม่รอด ชีวิตของผู้ใดก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตน้อยๆ ของตนเองไม่ใช่หรือ?”


 


 


มือสังหารยกมือเพียงครั้ง ปลายกระบี่ประชิดมาทางคอหอยของนาง


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเอ่ยมาว่าเคล็ดลับปัญญาหิมะของเขาอยู่ที่ใด? หากเจ้าเอ่ยวาจาเหลวไหล ข้าขยับเขยื้อนนิ้วมือสักหน่อยย่อมแทงเจ้าสิ้นชีพ กงอิ้นก็ช่วยเจ้าไม่ได้”


 


 


จิ่งเหิงปัวกล่าวหน้าตาเฉยว่า “แน่นอนว่าอยู่ในตำหนักใหญ่”


 


 


“เหลวไหล เคล็ดลับสำคัญขนาดนี้จะวางไว้ที่นี่ได้อย่างไร?”


 


 


“ไม่วางไว้ที่นี่แล้วจะวางไว้ที่ใด? ยังมีที่ใดปลอดภัยยิ่งกว่าที่นี่?” จิ่งเหิงปัวโต้แย้งทันทีว่า “หากไม่ใช่ด้วยเพราะพวกเจ้าสละชีพทหารกล้าตาย มองเห็นรหัสลับบนประตูแล้วเดาออกมาได้ เจ้าจะเข้ามาที่นี่ได้หรือ?”


 


 


มือสังหารนิ่งเงียบ ในใจรู้ว่าเป็นเช่นนี้จริง รหัสลับบนประตูของกงอิ้นเปลี่ยนแปลงไม่เป็นเวลาบ่อยครั้ง เฉพาะข้อหนึ่งนี้ก็หยุดยั้งฝีเท้าของมือสังหารนับมิถ้วนแล้ว


 


 


“หยิบมา!” มือสังหารแบฝ่ามือเรียวยาวไร้สีโลหิตออก


 


 


“หยิบมาไม่ได้” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้าอย่างลึกลับ กล่าวว่า “เคล็ดลับอยู่กลางตำหนักใหญ่ ทุกหนทุกแห่ง จนยามนี้เจ้ายังไม่รู้สึกตัวอีกหรือ?”


 


 


นางเอ่ยวาจาเหลวไหลเต็มปาก ทว่าไม่ได้สังเกตว่ากงอิ้นที่หลับตาพักผ่อนร่างกายโดยตลอดพลันลืมตาขึ้น มองนางอย่างประหลาดใจปราดหนึ่ง


 


 


ใบหน้าของมือสังหารซุกซ่อนอยู่ในไอควันพลันเข้มพลันจางผืนหนึ่ง มองเห็นสีหน้าบนใบหน้าได้ไม่ชัดเจน ทว่าฟังน้ำเสียงแล้วรู้สึกได้ถึงความลังเลเล็กน้อย เอ่ยว่า “ในตำหนัก?”


 


 


ตำหนักใหญ่นี้ดูลักษณะแตกต่างไม่คล้ายผู้โดยแท้ คงมีความลึกลับ


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่ากงอิ้นกำลังเขียนอักษรบนฝ่ามือนางว่า “ให้…ใช้กระบี่”


 


 


ไม่รู้สึกถึงอักษรตัวหนึ่งตรงกลาง ดูท่าคงจะเป็นคำว่า “เขา”


 


 


“ดูหลังคาตำหนักนั่น อีกทั้งกำแพงตรงข้ามประตูใหญ่ข้างหลังนั่น” นางกล่าวทันทีว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่าศิลาขาวก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งนั้นแปลกประหลาดยวดยิ่งหรือ?”


 


 


กงอิ้นมองนางอย่างประหลาดใจเล็กน้อยปราดหนึ่งอีกครั้ง


 


 


แววตาของมือสังหารเบนออกไป ร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่งคล้ายคิดว่าเป็นเช่นนั้น


 


 


“ข้ากล้ารับรองว่ากุญแจสำคัญในการฝึกวรยุทธของกงอิ้นอยู่ที่สองตำแหน่งนั้น” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “หากไม่เชื่อเจ้าลองใช้กระบี่ของเจ้า ดูสิว่ามีปฏิกิริยาเช่นไร?”


 


 


มือสังหารยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ได้ตอบรับข้อเสนอแนะของนาง…หากเขาพุ่งกระบี่ออกไปแล้ว จะควบคุมสองคนเบื้องหน้านี้ได้อย่างไร?


 


 


เขาเพียงยกมือขึ้น กริชหลังเอวของจิ่งเหิงปัวพลันเหินออกไป พุ่งโจมตีศิลาขาวตรงหลังคาตำหนัก


 


 


กริชยังเป็นกริชที่กงอิ้นมอบให้จิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวพกไว้เสมอเพื่อป้องกันตัว กริชคมกริบยิ่งนักกระทบบนศิลาขาวดังเคร้งเสียงหนึ่ง ก้อนหินไม่ได้กระเซ็นประกายเพลิงออกมาด้วยซ้ำ ทว่าพลันปลดปล่อยไอควันขาวนวลกลุ่มหนึ่งออกมา


 


 


อากาศคล้ายเย็นใสบริสุทธิ์ขึ้นมาหลายส่วนโดยพลัน


 


 


“สิ่งนั้นล่ะ!” จิ่งเหิงปัวตะโกนว่า “สิ่งนั้นล่ะคือกุญแจสำคัญในการฝึกวรยุทธของกงอิ้น! เป็นแก่นสารปราณแท้ของปัญญาหิมะซึ่งชำระล้างแล้ว เฮ้! ไปสูดสิ เดินผ่านไปแวะผ่านมาอย่าได้พลาดเชียวนะ!”


 


 


“หากมีพิษจะทำอย่างไร!” น้ำเสียงของมือสังหารทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล


 


 


“เจ้าเซ่อแล้วหรือ เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่าภายในตำหนักนี้มีแต่ไอควันนี้? แตกต่างจากควันธรรมดา ความรู้สึกบริสุทธิ์ยิ่งยวดสดใสยวดยิ่ง ควันเช่นนี้จะเป็นควันพิษไปได้อย่างไร? หากเป็นควันพิษจริงพวกเราสามคนคงสิ้นชีพด้วยกันไปนานแล้วไม่ใช่หรือ!”


 


 


มือสังหารยังคงลังเล จิ่งเหิงปัวมองเห็นไอควันนั้นจางลง โห่ร้องด้วยความเสียดาย สุดท้ายแล้วกงอิ้นเหลืออดเหลือทน ตวาดว่า “หุบปากซะ”


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเย้ย กล่าวว่า “มหาราชครู ข้าเอ่ยถูกแล้วหรือ? ร้อนรนแล้วหรือ?” หันหน้ากล่าวกับมือสังหารว่า “อย่านึกว่าของสิ่งนี้มีมากมายไม่มีวันสิ้น ข้าว่าคงมีเวลาจำกัด ก่อนหน้านี้ข้าเคยเข้ามาแล้ว มองเห็นไอควันเช่นนี้ปรากฏออกมาเพียงสามกลุ่ม”


 


 


แววตาของมือสังหารเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายเกิดอารมณ์หวั่นไหว จากนั้นมีไอสังหารผันผ่านในสายตาของเขา


 


 


จิ่งเหิงปัวกล่าวทันทีว่า “เจ้าอยากถีบหัวส่งสังหารข้าทิ้งแล้วค่อยไปสูดปราณแท้สินะ? ข้าเตือนเจ้าเลยว่ารักษาคำมั่นสัญญาจะดีที่สุด ความลับของตำหนักใหญ่นี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้ประการเดียว”


 


 


มือสังหารลังเลเล็กน้อย กระบี่ชี้ไปทางกงอิ้น


 


 


“เจ้าสังหารเขาข้าคงไม่มีความเห็น” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มกล่าวว่า “เพียงแต่ข้ายังกังวลอยู่บ้าง กลัวว่าภายในตำหนักนี้ยังมีลูกไม้ซ่อนไว้ เหลือเขาไว้ ยามจำเป็นอาจจะช่วยชีวิตได้ไม่ใช่หรือ?”


 


 


มือสังหารเงียบงันไปชั่วครู่ ยื่นมือหยิบเชือกเส้นหนึ่งจากในอ้อมแขน มัดทั้งสองคนไว้ด้วยกัน


 


 


“ราชครูมากความรู้มากประสบการณ์ คงจะรู้ว่าสิ่งนี้ทำจากหนังของงูเพลิงในบึงโคลนเลี่ยหั่ว” เขาเอ่ยว่า “สรรพคุณของงูเพลิงมีสองประการ หนึ่งในนั้นคือหากถูกพลังภายในโจมตีจะเกิดความร้อน ดุจแส้เพลิงสะบัดโบยต้องร่าง เจ็บปวดรวดร้าว ทำลายเอ็นสะท้านกระดูก หากราชครูไม่อยากถูกแส้เพลิงแผดเผาอวัยวะภายใน อย่างไรเสียอย่าได้ประมาทเลินเล่อจะดีกว่า”


 


 


“เฮ้ยๆ” จิ่งเหิงปัวคัดค้านว่า “เจ้าอย่ามัดข้ากับเขาหันหน้าเข้าหากันเช่นนี้ ข้าจะรู้สึกว่ากำลังถูกเขาลวนลาม”


 


 


มือสังหารยิ้มแย้มอย่างหยาบโลน เอ่ยว่า “เจ้าสองคนนับเป็นคู่สร้างคู่สม ข้าจะช่วยเหลือวาสนาความรักของพวกเจ้าสักครั้ง นับเป็นการชดเชยที่ต้องการชีวิตของพวกเจ้าเป็นอย่างไร?” มัดจิ่งเหิงปัวขึ้นไปข้างบนอีกเสียเลย มัดจนกลายเป็นท่วงท่าจิ่งเหิงปัวนั่งอยู่ในอ้อมแขนของกงอิ้น ท่วงท่านี้น่าขวยเขินโดยแท้ อีกทั้งรูปร่างของบางคนน่าประทับใจเกินไป ถึงขนาดที่แม้แต่ปลายจมูกของกงอิ้นยังชนอยู่แนบแน่น ไม่อาจเคลื่อนไหว


 


 


แม้จิ่งเหิงปัวจะกล้าหาญแค่ไหน ขณะนี้ยังอดกลั้นไว้ไม่ไหว แสงสายัณห์แดงฉานผืนหนึ่งลอยล่องบนใบหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คลายออก คลายออกหน่อย…” กงอิ้นยิ่งไม่กล้าแม้แต่ขยับเขยื้อนแล้ว ไม่กล้าขยับยังทนไม่ไหว ลมหายใจเปี่ยมด้วยความนุ่มนวลและลมหายใจของนาง เขาหลับตาลงเสียเลย ทว่าข้างหูค่อยๆ แดงซ่านแล้ว


 


 


มือสังหารหัวเราะฮ่าๆ น้ำเสียงทั้งอิจฉาและตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “ได้ยินว่าราชครูดุจหิมะดั่งน้ำแข็ง ไม่เคยหวั่นไหว เช่นนี้คงไม่ดีแน่ ผู้นำอันดับหนึ่งผู้สง่าผ่าเผยแห่งต้าฮวงวางแผนว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ประชิดใกล้สตรีงามหรือ? กงอิ้น วันนี้ข้าทำให้เจ้าสมปรารถนา ให้เจ้าลิ้มลองรสชาติความเจ็บปวดเจือความสุข เจ้าเดินทางถึงยมโลกแล้ว อย่าได้ลืมขอบคุณข้าล่ะ”


 


 


จิ่งเหิงปัวหน้าแดงก่ำสูดหายใจสุดชีวิต อยากจะถอยออกมาหน่อย ได้ยินวาจานี้ในความลางเรือนพร่ามัวแล้วรู้สึกว่าผิดปกติ อะไรเรียกว่าไม่อาจหวั่นไหว? อีกทั้งเจ้าคนนี้เอ่ยให้คลุมเครือขนาดนี้ทำอะไร? แค่มัดไว้ด้วยกันเอง? อีกเดี๋ยวแก้ออกแล้วยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก…


 


 


มัดพวกเขาเสร็จแล้ว มือสังหารคล้ายวางใจในที่สุด หัวเราะฮิฮิแล้วกระโจนพุ่งไปทางหลังคาตำหนัก


 


 


“เฮ้ ขั้นต่อไปทำอย่างไร?” จิ่งเหิงปัวกระซิบถามกงอิ้น


 


 


ตอนนี้นางหันหลังให้มือสังหารจึงมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จำต้องปลิดชีพมือสังหารระหว่างเส้นทางไปหลังคาตำหนัก มิฉะนั้นหากเขาสูดปราณแท้กลับมาจริง เรื่องแรกที่จะทำก็คือฆ่าพวกเขาทิ้ง


 


 


กงอิ้นไม่เปล่งเสียง เรือนร่างขยับเขยื้อนเล็กน้อย ดูท่าทางคล้ายคิดจะขยับนางไปยังทิศทางที่เผชิญหน้ากับมือสังหาร


 


 


ปัญหาคือสองคนถูกมัดแน่นเกินไป มือสังหารกลัวว่าหากสองมือของจิ่งเหิงปัวเป็นอิสระ จะใช้ปราณแท้ควบคุมสิ่งของมาเขวี้ยงเขา จึงมัดจิ่งเหิงปัวจนขยับนิ้วมือไม่ได้ ยามนี้อาศัยเพียงแรงขาทั้งสองข้างของกงอิ้น พอขยับเชื่องช้าสะท้านเสียดสีทุกสิ่ง จมูกของกงอิ้นถูกอุดไว้หลายครั้ง ตื่นเต้นตะลึงลานจนแทบจะหยุดหายใจ จิ่งเหิงปัวพยายามหดร่างกาย หันหน้าไปอีกทางไม่กล้ามอง เกิดความขุ่นเคืองต่อขนาดของตนเองเป็นครั้งแรก ซ้ำยังแอบคิดว่านับแต่นี้ไปเขาคงรู้คัพของนางแล้วล่ะมั้ง…


 


 


ขยับให้ตรงได้อย่างง่ายดาย ทว่ากงอิ้นเหงื่อออกท่วมหน้า จิ่งเหิงปัวเหงื่อออกท่วมร่าง…


 


 


คราวนี้นางมองเห็นมือสังหารแล้ว กำลังหมอบเคาะมั่วซั่วตรงหลังคาตำหนัก แต่คราวนี้ไอควันกลับออกมาไม่ได้แล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเสียงดัง


 


 


“ที่รัก หากไม่ยอมเสี่ยงย่อมไม่ได้ผลตอบแทนล้ำค่า” นางกล่าวว่า “เจ้าคิดไม่ได้หรือว่าต้องใช้อาวุธเคาะโจมตีถึงจะทำให้ศิลาขาวตอบโต้ด้วยการปรากฏไอควัน? เจ้าจะไม่นำกระบี่ล้ำค่าของเจ้าพุ่งขึ้นไปเช่นนั้นสักหน่อยหรือ?”


 


 


มุมปากของกงอิ้นเชิดโค้งเล็กน้อย


 


 


มีเพียงยามเผชิญทางตัน ความฉลาดของจิ่งเหิงปัวถึงจะปรากฏออกมาโดยแท้ ยามปกตินางเกียจคร้านเหลือเกิน ทว่าแลด้วยเพราะเหตุนี้ รอยยิ้มสนุกสนานยามเผชิญทางตันของนางจึงเป็นธรรมชาติ มารยาร้อยเล่ห์ ถึงทำให้คนตะลึงพรึงเพริดเป็นล้นพ้น


 


 


มือสังหารลังเลไปชั่วครู่ นึกถึงประสิทธิผลของกริชก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่าวาจาของจิ่งเหิงปัวมีเหตุผล ได้แต่เหินกายลงจากหลังคาตำหนัก มองดูสองคนที่ถูกมัดจนเคลื่อนไหวไม่ได้ก่อน พอแน่ใจว่าไร้เรื่องราว กระบี่หนึ่งพุ่งไปยังหลังคาตำหนัก


 


 


“เคร้ง” เสียงหนึ่งดังกังวาน กระบี่กระทบศิลาขาว


 


 


จิ่งเหิงปัวหรี่ตาแทบชิดกัน ต่อไปต้องรอดูแผนการของมหาเทพกงแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อกงอิ้นให้นางทำแบบนี้ หากนางเชื่อเขาต้องทำสำเร็จแน่นอน


 


 


กระบี่เรียวบางสีดำกระทบบนศิลาขาว ก้อนศิลาคล้ายสะท้านครั้งหนึ่งในเสียงดังกังวาน จากนั้นไอควันสีหยกระลอกหนึ่งค่อยๆ ทะลักออกมา


 


 


“สำเร็จแล้ว” เสียงโห่ร้องของจิ่งเหิงปัวตื่นเต้นดีใจเสียยิ่งกว่ามือสังหาร


 


 


มือสังหารรู้สึกเช่นเดียวกันกับนาง แววตาทอแสงรุ่งโรจน์ระยิบระยับ เหินกายเชิดขึ้น พุ่งไปยังไอควันที่เพียงสูดดมก็ทำให้คนรู้สึกสบายยิ่งนักหอบนั้น


 


 


เขาทำสำเร็จแล้ว ด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจเลยไม่ได้สังเกตว่าหลังจากกระบี่ดำโจมตีบนศิลาขาว กระบี่นั้นไม่ได้ร่วงหล่นลงโดยพลัน


 


 


ในลำแสงมัวสลัว ใยไหมขาวละเอียดที่เปรอะเปื้อนบนกระบี่ในยามไล่สังหารกงอิ้นก่อนหน้านี้สัมผัสไอควันที่ทะลักออกมาหอบนั้น เส้นใยพลันขยายตัวอย่างรวดเร็ว มัดกระบี่ไว้อย่างแน่นหนาแล้วลอยอยู่กลางอากาศ ถึงขนาดคล้ายมีมือคู่หนึ่งกำลังใช้แรงเกี่ยวพันด้ามกระบี่ พลันรวบสู่ภายใน! 

 

 


ตอนที่ 64 - 2 หวั่นไหว

 

ยามนี้มือสังหารมาถึงแล้ว ถูกไอควันบดบังทัศนวิสัย สูดปราณแท้ที่ศิลาขาวปลดปล่อยออกมาอย่างละโมบไปพลาง ฉวยมือดึงกระบี่ไปพลาง


 


 


ไอควันถูกสูดหาย สั่นไหวเล็กน้อย ใยไหมสีขาวบนกระบี่ดำพลันสั่นสะท้าน พุ่งออกไปภายนอกอย่างรุนแรง!


 


 


คมกระบี่พุ่งวูบสู่หน้าอกมือสังหาร!


 


 


มือสังหารตกตะลึง พลิกกายดุจเหยี่ยวเหินกลางอากาศครั้งหนึ่ง ปลายกระบี่เฉียดผ่านปลายจมูกของเขานำมาซึ่งหยาดโลหิตผืนหนึ่ง


 


 


ด้วยผลกระทบของไอควันจากศิลาขาว ใยไหมขาวละเอียดที่เกาะเชื่อมบนกระบี่ควบคุมทิศทางของกระบี่ได้ดุจตาข่ายยืดหยุ่นได้ผืนหนึ่ง!


 


 


มือสังหารตกตะลึง ปลายเท้าสัมผัสหลังคาตำหนัก กระโจนพลิกกายขึ้นมา หวังแย่งชิงอำนาจการควบคุมกระบี่ดำคืนมา ใยไหมนั้นพลันหดกลับไปประหนึ่งมีความคิด ในพริบตาต่อมา กระบี่พุ่งตรงจากบนลงล่างปานฟ้าแลบ!


 


 


ซ้ำกับความเคลื่อนไหวที่มือสังหารลอบสังหารกงอิ้นเมื่อครู่!


 


 


มือสังหารตื่นตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน หวังจะถอยหลังกลางอากาศ ทว่าไอควันจมดิ่งโดยพลัน อากาศรอบด้านหยุดชะงัก เขารู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวไม่สะดวก จำต้องร่วงหล่นเต็มแรงเพื่อหลบหลีกกระบี่หนึ่งนี้


 


 


เขาร่วงหล่น


 


 


เพียงแต่ระหว่างครู่นั้น


 


 


กงอิ้นตะโกนลั่นว่า “กริช!”


 


 


จิ่งเหิงปัวตอบโต้แทบจะในขณะเดียวกัน ดวงตาสองข้างกะพริบวูบด้วยแสงรุ่งโรจน์


 


 


กริชของนางที่มือสังหารส่งออกไปหยั่งเชิงศิลาขาวแล้วร่วงลงพื้นก่อนหน้านี้ เชิดตั้งขึ้นสู่ทิศทางที่มือสังหารร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว!


 


 


“พลั่ก”


 


 


หน้าอกของมือสังหารสัมผัสพื้น


 


 


“ฉึก”


 


 


หน้าอกของเขาชนเข้ากับกริชอันตรายที่รอคอยอยู่ตรงนั้นของจิ่งเหิงปัว


 


 


“อ๊าก!”


 


 


เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง โลหิตซึมออกมา มือสังหารดิ้นรนหวังลุกขึ้น


 


 


“เคร้ง”


 


 


กระบี่ดำตามลงมาแทงทะลุสันหลังของเขาแล้วตรึงเขาไว้บนพื้น ปลายคมของกระบี่ดำกับกริชที่แทงเข้าหน้าอกมือสังหารก่อนหน้านี้กระทบกัน ทะลุผ่านจนร่างพรุน


 


 



 


 


“เจ้า…พวกเจ้า…เกิน…”


 


 


เจ้าเล่ห์เกินไป? เลวเกินไป? หรือกำลังเอ่ยว่าตนเองนึกเสียใจเกินไป?


 


 


สุดท้ายแล้วมือสังหารไม่อาจเอ่ยให้จบ คอหอยเปล่งเสียงอึกอัก นัยน์ตาค่อยๆ ถลนออกมา มือค่อยๆ ขยับไปข้างหลัง คล้ายจวบจนสิ้นชีพยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าตนเองกุมความได้เปรียบโดยสิ้นเชิงอย่างชัดเจน พลันร่วงหล่นสู่ความตายได้อย่างไร


 


 


มือเปื้อนโลหิตยังไม่ทันขยับถึงส่วนหลัง พลันร่วงหล่นไร้เรี่ยวแรง


 


 


ในตำหนักเงียบสงัดไปชั่วครู่ จิ่งเหิงปัวและกงอิ้นพ่นลมหายใจยืดยาวออกมาเฮือกหนึ่งในขณะเดียวกัน


 


 


วันนี้แต่เดิมเป็นทางตัน ตำหนักใหญ่ที่ปลอดภัยหาใดเปรียบกลายเป็นทางตันที่ขัดขวางความช่วยเหลือ กงอิ้นเคลื่อนไหวไม่ได้ จิ่งเหิงปัวไม่มีพลังการสู้รบ อีกฝ่ายผู้นี้เป็นมือสังหาร ซ้ำยังเป็นยอดฝีมือแท้จริง จะมองอย่างไรย่อมเป็นความตาย


 


 


โชคดีที่พวกเขายังมีสติปัญญา


 


 


สองผู้มีสติปัญญาร่วมมือกัน กงอิ้นใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อให้อาวุธของมือสังหารสัมผัสใยทิพย์ลึกลับตรงขอบเตียงเขา จิ่งเหิงปัวควบคุมจิตใจแห่งการแสวงหาวิถีแห่งยุทธ์ของยอดฝีมือ เสนอข้อต่อรอง ก่อกวนจิตสังหารของมือสังหาร หลอกให้เขาคอยจ้องหาศิลาขาวตรงหลังคาตำหนัก แล้วหลอกให้เขาพุ่งกริชของตนเองออกไปเพื่อเป็นอาวุธในขั้นต่อไป ยามมือสังหารพุ่งสู่หลังคาตำหนัก แท้จริงได้เดินไปสู่ความตายแล้ว


 


 


ใยทิพย์พบกับปราณแท้ปัญญาหิมะที่กักเก็บในศิลาขาวก่อเกิดแรงยืดหยุ่น บังคับให้มือสังหารลงจากหลังคาตำหนัก เผชิญกับกริชที่จิ่งเหิงปัวใช้ความคิดโยกย้ายอย่างรวดเร็วในชั่วครู่หนึ่งนั้น


 


 


สถานการณ์ที่โยงใยเชื่อมต่อกัน ค่ายกลเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงที่มีความยั่วยวนและอันตรายร่วมดำรง แผนการที่ไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองมาก่อน ยามร่างติดอยู่ในนั้นย่อมไร้หนทางมองทะลุ สิ่งที่พึ่งพาอาศัยไม่เพียงแต่สติปัญญาของสองคน ยังมีความรู้ใจซึ่งกันและกัน ความเชื่อถือที่ไม่ต้องอธิบาย การให้ความร่วมมืออัศจรรย์ที่ไม่จำต้องเอ่ยวาจามากความยังไร้ซึ่งข้อบกพร่อง


 


 


สองคนต่างถอนหายใจเฮือกหนึ่ง อีกทั้งต่างงงงวยดุจหลงลืมบางสิ่งโดยพลัน คล้ายหลังจากการรวมพลังต่อต้านศัตรูครั้งนี้ บรรยากาศบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป อารมณ์บางอย่างได้แตกต่างไป


 


 


ตำหนักใหญ่แลดูเงียบสงบยิ่งนักชั่วครู่หนึ่ง ลมหายใจของแต่ละคนต่างลอยล่องไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย ยามวิกฤตกาลภายนอกถูกกำจัด วิกฤตกาลของร่างกายพลันระเบิดออกมาประหนึ่งเพลิงร้อนแรง สองคนต่างรู้สึกถึงความร้อนผ่าวของร่างกายอีกฝ่าย ความถี่กระชั้นของการหายใจ และลมหายใจบริสุทธิ์หวานชื่นของกันและกัน ความชิดใกล้ที่ไร้ซึ่งระยะทางเช่นนี้ คล้ายโอบผิวกายของอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมแขนของตนเอง ถึงขนาดว่าความรู้สึกจากการสัมผัสว่องไวหาใดเปรียบ ดั่งสายพิณถูกขึงตึงแน่นเส้นหนึ่ง เพียงยั่วเย้าครั้งหนึ่ง ย่อมจะขาดผึงแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวหน้าแดงดุจเปลวเพลิง ลองหยั่งเชิงดิ้นรนเล็กน้อย รู้สึกได้ทันทีว่าเชือกแดงเพลิงนั้นคล้ายรัดเข้าผิวกาย ดั่งแส้เพลิงประดับหนามย้อน ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ละเอียดคมกริบ นาง “โอ๊ย” เสียงหนึ่งเกือบจะเปล่งเสียงกรีดร้อง


 


 


“อย่าขยับ!” ในขณะเดียวกันนั้นเอง กงอิ้นตะโกนหยุดยั้ง


 


 


ตะโกนช้าไปก้าวหนึ่ง จิ่งเหิงปัวถูกรัดจนความโกรธเคืองเลือนหายไปมากแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางรู้สึกชัดเจนว่าหลังจากขยับเขยื้อน เชือกคล้ายแน่นขึ้นอีกบางส่วน นางสูดหายใจซี้ดซ้าด กล่าวว่า “เหตุใดเชือกผีบ้าอะไรนี่ถึงรัดเจ็บขนาดนี้ เช่นนี้จะแก้มัดอย่างไร?” พลันนึกถึงวาจาที่มือสังหารเอ่ยก่อนสิ้นชีพ ในใจดังตึ่กเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “กงอิ้น พวกเราคงไม่แก้เชือกนี้ไม่ออกกระมัง? น้ำเสียงของเจ้าผู้นั้นคล้ายจะให้พวกเราถูกรัดจนสิ้นชีพเลย”


 


 


กงอิ้นนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ใช้ฝ่ามือขยับเขยื้อนมาขวางบนแขนที่ถูกรัดแน่นของนาง จิ่งเหิงปัวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเชือกสามสายพลันรัดหลังมือของเขาแน่นดุจมีชีวิต ทิ้งรอยแผลดุจดั่งถูกไฟลวกสามรอยบนหลังมือ


 


 


นางชะงักงัน รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ อยากจะขอบคุณแต่ไม่รู้ว่าจะปริปากอย่างไร เขากลับเบนสายตาออกไปแล้ว สีหน้าไม่ขยับเขยื้อนคล้ายไม่รู้สึกว่าเจ็บปวด และไม่รู้สึกว่าการกระทำแบบนี้มีอะไรแตกต่าง


 


 


นางอดจะอยากหัวเราะไม่ได้ คนที่ซุ่มเงียบย่อมมีความน่ารักแบบซุ่มเงียบ


 


 


กงอิ้นกำลังเคลื่อนย้ายเชื่องช้า ใช้แขนสอดเข้าไปในเชือก พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้นางสัมผัสถูกเชือกอย่างเต็มที่ เช่นนี้เท่ากับเขากางแขนสองข้างโอบกอดนางไว้ นางจำต้องแนบใบหน้าลงบนหน้าอกเขา ได้ยินเสียงใจเต้นสงบมั่นคงดัง “ตึ่ก ตึ่ก ตึ่ก”


 


 


จิ่งเหิงปัวขุ่นเคืองเล็กน้อย ในตอนนี้ใจเขากลับเต้นเป็นปกติ? ทำลายศักดิ์ศรีของนางเกินไปแล้ว


 


 


แต่สักพักนางรู้สึกว่าผิดปกติแล้ว ไม่ใช่ใจเต้นเป็นปกติ แต่ใจเต้นช้าเกินไป นางลองนับโดยละเอียด หนึ่งนาทียังไม่ถึงหกสิบครั้ง


 


 


นี่เรียกว่าอะไร? หรือความตื่นเต้นกังวลของเขาจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบแตกต่างจากคนปกติ?


 


 


ฟังเสียงใจเต้นของเขาแล้วให้ความรู้สึกมั่นคงหนักแน่นอย่างยิ่ง ดั่งภูผาสูงตระหง่านอยู่ไกลโพ้นคอยบดบังสายลมสายฝนให้ตนเองตลอดกาล ขณะนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกสบายใจ หากไม่ใช่เพราะแผ่นหลังถูกเชือกนั้นรัดจนยิ่งแน่นมากขึ้นยิ่งเจ็บมากขึ้น นางถึงขนาดไม่ถือสาหากมัดอยู่แบบนี้สักหนึ่งวันหนึ่งคืน


 


 


แค่คิดก็อยากจะหัวเราะ นางกับกงอิ้นมีความแค้นกับเชือกเหรอ? ครั้งก่อนเป็นตาข่ายครั้งนี้เป็นเชือกงูเพลิงอะไรก็ไม่รู้ ถูกมัดไว้ด้วยกันแน่นขนาดนี้บ่อยๆ จะดีจริงเหรอ?


 


 


จากนั้นนางรู้ว่าไม่ดีแล้วจริงแท้


 


 


ความรู้สึกร้อนผ่าวยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น ความเจ็บปวดยิ่งบาดลึกมากขึ้นเช่นกัน นางยังรู้สึกยากจะอดกลั้นขนาดนี้ แล้วกงอิ้นที่ต้านทานเชือกส่วนใหญ่ล่ะ?


 


 


จิ่งเหิงปัวใช้ความคิดดึงกระบี่ดำที่ปักอยู่บนหลังมือสังหารนั้นมาลองเฉือนเชือกดู ผลลัพธ์คือเกือบจะเฉือนเข้าผิวกายกงอิ้นแล้วยังไม่อาจเฉือนเชือกออกได้


 


 


นางไม่มีวิธีแล้ว ได้แต่ฝากความหวังให้กงอิ้น สีหน้าของกงอิ้นในลำแสงมัวสลัวแดงเล็กน้อย ทว่าท่าทางคล้ายมีความลังเลบางส่วน


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่เชื่อว่าเขาไม่มีวิธี แต่ว่าตอนนี้เขาคล้ายกำลังพิจารณาไตร่ตรอง อะไรทำให้เขาลำบากใจกันแน่?


 


 


ยังไม่ทันได้ไถ่ถาม กงอิ้นปริปากเอ่ยแล้วว่า “หาวิธีนำเชิงเทียนมาสักอัน”


 


 


จิ่งเหิงปัวควบคุมเชิงเทียนสำริดที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุดมาหนึ่งอัน


 


 


กงอิ้นหันหน้าเพียงน้อย พ่นลมเฮือกหนึ่งใส่กระบี่ดำ


 


 


ลมหายใจเป็นควันขาวหนาแน่นดุจแก่นแท้ชนเข้ากับกระบี่ดำเสียงหนึ่งดังตึ้ง กระบี่ดำเหินขึ้นตามเสียง เฉียดผ่านเชิงเทียน นำมาซึ่งประกายเพลิงแถวหนึ่ง ปักเข้าสู่กำแพงเบื้องหน้า


 


 


“เร็ว!”


 


 


จิ่งเหิงปัวควบคุมเชิงเทียนมาดังสวบ ไส้เทียนเข้าใกล้ประกายไฟแถวนั้น แสงไฟสว่างขึ้นดังฉึบเสียงหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเพิ่งทันได้ชมเสียงหนึ่งว่า “หล่อ!”


 


 


ในไอควันมัวสลัว ฉากหนึ่งที่เขาใช้ปราณกระทบกระบี่พลันเกิดประกายไฟ งดงามจนดุจดั่งศาสตร์แห่งเซียน


 


 


กงอิ้นยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่งลากเชิงเทียนไว้ เชิงเทียนเอนเอียงเล็กน้อย


 


 


“ที่แท้เผาให้ขาดได้หรือ?” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ ร้องว่า “เช่นนั้นรีบเผาสิ”


 


 


ทว่ากงอิ้นคล้ายกำลังลังเลว่าจะเผาเชือกทางฝั่งจิ่งเหิงปัวนั้นหรือเผาเชือกของตนเองกันแน่ คล้ายว่านี่คือปัญหาสำคัญร้ายแรงยิ่งนักข้อหนึ่ง ถึงขนาดผู้ที่ลงมือสังหารเด็ดขาดเช่นเขา มือหยุดค้างกลางอากาศสักพักหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวมองจนรู้สึกประหลาดใจ คิดมากขนาดนี้ทำไม? เพราะกลัวเผาโดนตนเองเหรอ? ที่จริงแล้วเชือกนี้บางมาก พอเข้าใกล้เล็กน้อยอาจจะไหม้ขาดแล้ว ความเป็นไปได้ที่ผิวกายถูกเผาไหม้น้อยมาก


 


 


“หากเจ้ากลัวเจ็บก็เผาฝั่งข้าสิ” นางเร่งเร้า


 


 


กงอิ้นมองนางอย่างเฉื่อยเนือยปราดหนึ่ง นัยน์ตาดำบริสุทธิ์ของเขาประหนึ่งศิลานิลกลางธารหลาก วูบไหวด้วยแสงน้ำเงินมืดมิดดุจหิมะถม


 


 


“ข้ากลัวเจ้าควบคุมไม่อยู่”


 


 


“ขนาดนั้นเชียว…” จิ่งเหิงปัวพึมพำ แค่เผาเล็กน้อยหน่อยเดียวไม่ใช่เหรอ? เขาทำน้ำเสียงทำสีหน้าร้ายแรงขนาดนั้นทำไม?


 


 


กงอิ้นไม่ตอบนาง เชิงเทียนค่อยๆ เอียงลงมา สีหน้าเขาจริงจังหนักแน่นนัก นิ้วมือใช้แรงควบคุมแผ่วเบายิ่ง จิ่งเหิงปัวถูกสีหน้าเคร่งขรึมของเขาพาให้หวาดเกรง กลั้นลมหายใจไว้อย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน


 


 


แสงไฟเข้าใกล้เชือก เสียงซี้ดเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา แทบจะฉับพลัน เชือกก็ติดไฟแล้ว ในพริบตาต่อมา เสียงระเบิดแผ่วโผยดัง “ผึง” เสียงหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเบิกสองตากว้าง มองดูครู่หนึ่งซึ่งเชือกเส้นบางสัมผัสเปลวไฟ เชือกพลันเพิ่มพูนแผ่ขยายกลายเป็นงูเพลิงสีแดงขนาดมหึมาตัวหนึ่งในความมัวสลัว แผ่คลุมมาทางกงอิ้นกับนางอย่างตกตะลึง!


 


 


คำว่า “อ๊ะ” ด้วยความประหลาดใจของจิ่งเหิงปัวยังไม่ได้ออกจากปาก แขนเสื้อของกงอิ้นสะบัดรวดเร็ว งูเพลิงสูญสลายเหินขึ้นกลายเป็นหมอกควันสีแดงกลางอากาศผืนหนึ่ง วนเวียนห้อมล้อม ประกายไฟเล็กน้อยนับมิถ้วนสาดกระเซ็น ร่วงโรยดุจฝนดาวตกสีโลหิตในไอควันมัวสลัว


 


 


กงอิ้นสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งขวางประกายไฟออกไป จิ่งเหิงปัวถูกประกายไฟเสี้ยวหนึ่งลวกเข้ากะทันหัน อดจะ “ว้าย” เสียงหนึ่งไม่ได้ กงอิ้นแบ่งความสนใจหันหน้ากลับมามองนางปราดหนึ่ง ประกายไฟสีแดงที่สูญสลายแล้วกลุ่มหนึ่งพลันประชิดใกล้เข้ามาอีกครั้ง ร่วงลงสู่แผ่นหลังของกงอิ้น


 


 


จิ่งเหิงปัวสังหรณ์ว่ายังไม่จบสิ้น กำลังจะเตือนเขา กงอิ้นพลันผลักนางล้มลง โอบนางไว้ไถลไปตามพื้นหลายฟุต ออกห่างจากขอบเขตที่ประกายไฟสีแดงมุ่งทำร้าย


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นแสงโชติช่วงกลุ่มหนึ่งนั้นวนเวียนกลางไอควันขาวซีดดุจอสรพิษ ร่อนระบำหลายรอบถึงกลายเป็นละอองดาวแล้วค่อยๆ จางหายไป นางรู้สึกมหัศจรรย์


 


 


ภายในตำหนักใหญ่เงียบสงบลงในที่สุด นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกทันทีว่าอากาศรอบด้านคล้ายผิดปกติเล็กน้อย มีกลิ่นคาวนิดหน่อยแต่ไม่นับว่าเหม็นมาก หลังจากสูดเข้าไปแล้ว มีความรู้สึกคึกคักรุนแรงอย่างยิ่ง


 


 


ความรู้สึกนี้แลดูคุ้นเคย…


 


 


“ใกล้เที่ยงคืนแล้วกระมัง ต้องดูว่าพายุฝนฟ้าคะนองมาหรือยัง…” นางนึกถึงเรื่องราวภายนอกอยู่ตลอดเวลา ผลักกงอิ้นจะลุกขึ้น พอมือสัมผัสบนร่างกายของเขา รู้สึกทันทีว่ามือร้อนจี๋


 


 


ร่างกายของกงอิ้นพลันร้อนรุ่มดุจถ่าน พอจิ่งเหิงปัวก้มหน้าก็มองเห็นหลังมือที่ถูกเศษเสี้ยวงูเพลิงปกคลุมเมื่อครู่ของเขา กำลังมีเส้นสีแดงเข้มเส้นหนึ่งประชิดใกล้บนแขน


 


 


“เหตุใดเจ้า…” นางกำลังอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น กงอิ้นพลันพุ่งขึ้นมาเบื้องหน้า ผลักนางล้มลงไป ริมฝีปากเย็นเยือกนุ่มนวลประทับลงมาแนบแน่น 

 

 


ตอนที่ 64 - 3 หวั่นไหว

 

ท้องฟ้าถล่มอีกแล้ว 


 


 


ผืนดินทลายอีกแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวงงงันอีกแล้ว 


 


 


ช่วงเวลาสิบเก้าปีที่ผ่านมาเป็นมารยาแทะโลมยั่วเย้าลวงหลอกหลากหลายของนางทั้งนั้น เคยลงสนามเปิดสงครามแท้จริงขนาดนี้เสียที่ไหน? 


 


 


ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาประชิดใกล้ ลุกลามบนผิวกายนางดุจงูเพลิงตัวหนึ่งท่ามกลางการรุกรับ คล้ายจะพัดพานางไปด้วยความร้อนแรง ในความเคลิบเคลิ้มนางนึกถึงเหตุการณ์ประหลาดครู่หนึ่งซึ่งงูเพลิงถูกเผาไหม้ เข้าใจในที่สุดว่ามือสังหารต้องการจะเอ่ยอะไร และเข้าใจความระมัดระวังก่อนหน้านี้ของกงอิ้นในที่สุด งูเพลิงนี้ยังมีสรรพคุณขั้นที่สองซึ่งก็คือสรรพคุณในตำนานของฉากที่ต้องมีในนิยายทะลุมิติที่น้ำเน่าที่สุด! 


 


 


ชั่วทุกขณะนี้นางยังคงเหม่อลอยอยู่ ครุ่นคิดว่าเขาร้อนรุ่มขนาดนี้ ทำไมริมฝีปากยังคงเยือกเย็นนวลนุ่มเช่นนี้ รสชาติอร่อยในความทรงจำเลือนราง บริสุทธิ์ดุจน้ำพุหลั่งริน เจือด้วยความเย็นใสบริสุทธิ์ของภูตระหง่านธารหิมะและกลิ่นหอมอ่อนประหนึ่งดอกบัวหิมะ… 


 


 


นางเม้มริมฝีปาก ชั่วทุกขณะนี้กลับไม่กล้าวางแผนยั่วเย้าเขาอีก ส่วนเขาแม้ว่าร่างกายร้อนรุ่ม ทว่าแข็งทื่อเล็กน้อยคล้ายกำลังพยายามควบคุมตนเองโดยตลอด อีกทั้งคล้ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขั้นต่อไปควรกระทำเช่นไร เขาเพียงร้อนรุ่มอยู่ กลัดกลุ้มอยู่ สาดสะท้อนผิวขาวราวหิมะกับริมฝีปากแดงของนาง อ่อนนุ่มราวไร้กระดูกท่ามกลางการพัวพันสีแดงสดผืนหนึ่ง เงาร่างอ่อนช้อย ท่วงท่าสั่นไหว 


 


 


เขาโอบกอดนางยิ่งลึกล้ำยิ่งแนบแน่น ค้นหาความเยือกเย็นซึ่งเป็นของนางอย่างลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ทว่าร่นถอยอีกครั้งในพริบตาต่อมา จากนั้นครวญครางแผ่วเบาด้วยเพราะความร้อนแผดเผาร่างกาย นางไม่เคยเห็นท่าทางสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ของเขามาก่อน อดจะยิ้มแย้มสัมผัสริมฝีปากของเขาไม่ได้ จนเขาซุกลงมาลึกล้ำมากขึ้น แลกเปลี่ยนเชื้อเชิญกลิ่นหอมของกันและกัน 


 


 


… 


 


 


ร่างกายนางแข็งทื่อกะทันหัน ร่นถอยอย่างลุกลี้ลุกลน ร้องเสียงดังว่า “ไม่! ไม่ใช่ยามนี้!” 


 


 


เขาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำขลับเฉียดผ่านด้วยความสับสนและงงงวยสายหนึ่ง 


 


 


ข้างนอกพลันมีเสียงหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหว ทั่วทั้งตำหนักใหญ่สั่นสะท้าน ไอควันปานเนื้อหยกกลุ่มหนึ่งจากหลังคาตำหนักล่องลอยลงมา ที่ซึ่งไอควันผันผ่าน อากาศที่แต่เดิมถูกเศษเสี้ยวงูเพลิงแปดเปื้อนจนกลายเป็นสีแดงอ่อนถูกชำระล้างโดยพลัน กลายเป็นสีโปร่งแสงผืนหนึ่ง สีโปร่งแสงเยือกเย็นนั้นแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าสู่นัยน์ตาของเขา 


 


 


แทบจะพริบตานั้น เขาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาแล้ว พอก้มหน้ามองอดจะหน้าถอดสีไม่ได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวคว้าเสื้อผ้าอย่างอลหม่าน คว้าซ้ายครั้งหนึ่งคว้าขวาครั้งหนึ่งวางแผนปกปิดเพื่อเขาและเพื่อตนเอง พลางกล่าวสะเปะสะปะว่า “ที่จริงก็ไม่มีอะไร…ที่จริงข้าเข้าใจเจ้านะ…ที่จริงเป็นเพราะเชือกงูเพลิงบ้าบอนั่นทำพิษทั้งนั้น…เรื่องนั้น…เรื่องนี้…” 


 


 


กงอิ้นมองนางอย่างแน่นิ่งอยู่เนิ่นนาน จิ่งเหิงปัวมองเส้นสีแดงในเบื้องลึกนัยน์ตาของเขาแพร่ขยายออกมาทีละน้อยอีกครั้งอย่างตกตะลึง หรือว่าไอควันนั้นไม่ได้กำจัดอารมณ์ร้อนแรงของงูเพลิงจนหมดสิ้น? 


 


 


ทว่าคราวนี้กงอิ้นไม่ได้ถูกงูเพลิงควบคุมไว้อีก มือเขากวักเพียงครั้ง กระบี่บางสีดำเล่มนั้นคำรามพุ่งมา พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นทิศทางของกระบี่ กรีดร้องว่า “อย่า!” 


 


 


ทว่ากระบี่เร็วกว่าเสียงร้องของนาง เฉียดผ่านหัวไหล่เขาดังฉึบเสียงหนึ่ง นำมาซึ่งโลหิตแดงจนออกม่วงกลุ่มหนึ่งสาดกระเซ็นอยู่กลางอากาศ 


 


 


โลหิตหยดหนึ่งกระเซ็นสู่หว่างคิ้วของจิ่งเหิงปัว แดงฉานดุจดอกท้อ นางลูบคลำโลหิตร้อนผ่าวนั้นอย่างตกตะลึง พึมพำว่า “ขนาดนี้เชียวเหรอ…” 


 


 


ทว่าหลังจากกงอิ้นแทงโลหิตพิษออกมาด้วยตนเอง เขาเหินกายลุกขึ้น ยามนี้นี่เองมีเสียงหนึ่งดังก้องอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียง “เปรี้ยง” เสียงหนึ่ง 


 


 


นางชะงักงัน กระโดดขึ้นมาร้องลั่นว่า “สายฟ้า!” 


 


 


คือสายฟ้า ซ้ำยังเป็นสายฟ้าที่รุนแรงเป็นพิเศษ มิฉะนั้นคงไม่อาจแว่วเข้าสู่ตำหนักใหญ่ที่ปิดสนิทแห่งนี้ 


 


 


เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นได้เฉียดกายออกไปแล้ว จิ่งเหิงปัวมองความเร็วปานสายฟ้าฟาดของเขา ตื่นตะลึงว่าถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว การสะกดของเขาคลายออกแล้ว 


 


 


นางนับนิ้วมือ งงงวยดุจหลงลืมบางสิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะตำหนิเขาที่หายดีได้ไม่ค่อยทันเวลาหรือควรโศกเศร้าที่หายดีได้ทันเวลาเกินไป? 


 


 


ประตูตำหนักเปิดออกแล้ว นางไม่ทันได้ครุ่นคิดให้มากมายด้วยเป็นห่วงคำพยากรณ์ของตนเอง จึงวิ่งตามออกไป 


 


 


แวบแรกมองเห็นข้างนอกมีฟ้าผ่าฟ้าร้อง ฝนตกหนักดุจน้ำตก 


 


 


แวบสองมองเห็นฝูงชนที่วิ่งห้อกลางฝนตกหนักดุจน้ำตก โคมวังที่สั่นไหวทั่วทุกหนแห่ง 


 


 


แวบสามมองเห็นกงอิ้นขึ้นสู่ที่สูงแล้ว ยืนตรงแน่วท่ามกลางฝนตกหนัก ไร้สิ่งบดบังแม้เพียงน้อย คล้ายหวังใช้ฝนกระหน่ำเช่นนี้ชำระล้างอารมณ์ที่ไม่ควรมีบางอย่างทิ้งไปจนสิ้น เหมิงหู่รีบร้อนตามไปกางร่มให้เขา ถูกเขาสะบัดแขนเสื้อโจมตีจนร่วงจากกำแพงรั้ว 


 


 


แวบสี่มองเห็นหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ 


 


 


เดิมทีความมืดยามราตรีดำขลับ ยามนี้เสียงเปรี้ยงดังขึ้นพอดี อสนีบาตสายหนึ่งตรงขอบฟ้าผ่าลงมาชำระล้างท้องฟ้าครึ่งผืนให้เป็นสีขาว ภายใต้ท้องฟ้าสีขาวนั้นคือหอคอยสูงสีดำที่กำลังค่อยๆ พังทลายลง 


 


 


สำเร็จแล้ว! 


 


 


ที่ซึ่งไกลโพ้นคำรามร้องอย่างตกตะลึง รอบด้านจิ้งถิงกลับเงียบเชียบดุจวายชนม์ ผู้คนนับมิถ้วนยืนเงยหน้าเหม่อลอยอยู่ในสายฝน มองดูหอคอยสูงศักดิ์สิทธิ์ที่สายฟ้าหลบหลีกนับร้อยปี ตั้งตระหง่านชั่วนิรันดร์ในตำนาน สัญลักษณ์แห่งเกียรติศักดิ์เทพประทานและอำนาจบารมีไร้เทียบเทียมของตระกูลกองเซ่นไหว้หอนั้น ค่อยๆ เ**่ยวเฉาทีละชุ่นภายใต้ผืนนภา 


 


 


ดั่งมองดูตำนานช่วงหนึ่งจบสิ้น ยุคสมัยยุคหนึ่งสิ้นสุด ตระกูลหนึ่งพินาศดุจซากสถาน ช่วงชีวิตครั้งใหม่ช่วงหนึ่งจะผุดขึ้นกลางซากปรักหักพัง 


 


 


สำหรับจิ่งเหิงปัว กลับคล้ายมองดูภาพยนตร์เงียบเรื่องจุดจบของโลกที่สะท้านใจสะเทือนวิญญาณ 


 


 


ยังไม่ได้เห็นผู้อื่นสร้างตึกสูงแต่มองเห็นตึกของผู้อื่นพังทลายแล้ว ประดุจผลักด้วยมือเปล่าแผ่วเบาเพียงครั้ง สิ่งที่พังทลายคือหอคอยสูงที่ตั้งตระหง่านเนิ่นนานนี้ และคือวงล้อมมหาอำนาจ ไม่เปลี่ยนแปลงตี้เกอวงนี้ 


 


 


ส่วนค่ำคืนมืดมิดฝนดำขลับดุจน้ำตกนี้ กลางนครตี้เกอ ไม่รู้ว่ามีคนอีกมากเพียงใดออกจากบ้านอย่างเงียบเชียบ ยืนอยู่บนที่สูง ใช้แววตาและอารมณ์ซับซ้อนตกตะลึงมองดูการพังพินาศสิ้นสุดของตระกูลเซ่นไหว้ 


 


 


สายฝนหลั่งรินดุจกระบวยสวรรค์พลิกคว่ำ ทั่วทั้งพระราชวังกระทั่งทั่วทั้งตี้เกอ ต่างตื่นตะลึงอย่างไร้สรรพเสียงท่ามกลางฝนตกหนัก ทว่าทิศทางที่หอคอยสูงไกลโพ้นล่มสลายพลันแว่วเสียงคร่ำครวญยาวนานเสียงหนึ่ง 


 


 


ทั้งแหลมคม โศกศัลย์ เหลือเชื่อ แลเสียดแทงจิตใจของทุกคนคล้ายอสนีบาตเยือกเย็นสายหนึ่ง 


 


 


คือเสียงของซังต้ง 


 


 


ได้ยินเสียงนี้ กงอิ้นที่ยืนนิ่งอยู่กลางสายฝนโดยตลอดพลันขยับเขยื้อนแล้ว สะบัดแขนเสื้อลงจากสันกำแพง เอ่ยกับเหมิงหู่ที่เดินขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “เคลื่อนพลคั่งหลง ระมัดระวังเต็มกำลัง” 


 


 


เบื้องหน้าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ซังต้งคุกเข่าอยู่บนพื้น ฝนตกหนักกระทบบนชุดคลุมดำมืดของนางอย่างดุเดือด พาขอบชุดคลุมสีดำเข้าสู่น้ำโคลนไม่หยุดหย่อน ทั่วร่างนางคล้ายไร้ซึ่งความรู้สึกโดยสิ้นเชิง เพียงเงยหน้าจ้องมองหอคอยสูงที่ค่อยๆ พังพินาศอย่างเอาเป็นเอาตาย หยาดฝนสีเหลืองที่เจือด้วยทรายกำลังกลิ้งลงมาจากบนลำคอสีขาวราวหิมะ 


 


 


บนหอคอยสูงมีก้อนหินท่อนไม้ที่พังทลายร่วงหล่นมาอย่างต่อเนื่อง ร่วงลงรอบกายนาง น้ำโคลนขุ่นขลักสาดกระเซ็น 


 


 


“ใต้เท้า! ที่แห่งนี้อันตราย!” กองเซ่นไหว้หญิงนางหนึ่งพุ่งเข้ามา ลากแขนของนางไว้ ร้องว่า “รีบหลีกไป!” 


 


 


กองเซ่นไหว้หญิงรีบเร่งลากซังต้งไปยังสถานที่ปลอดภัย ทว่าซังต้งไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงเศษเสี้ยว พลันหันหน้าคว้าแขนของกองเซ่นไหว้หญิงไว้ในครั้งเดียว นางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ซังเชี่ยว หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้จบสิ้นแล้ว ตระกูลซังจบสิ้นแล้ว!” 


 


 


“ไม่! พี่หญิง!” น้องสาวที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลซังร้องไห้เสียงดังกลางสายฝนว่า “ตราบใดที่ท่านยังอยู่ ตระกูลซังจะไม่จบสิ้น! มันเป็นเพียงความบังเอิญ! ลุกขึ้น ท่านลุกขึ้นสิ!” 


 


 


ซังต้งเชิดศีรษะขึ้น มองดูหอคอยสูงที่สูญเสียส่วนยอด ไม่ต้องไปตรวจสอบนางก็รู้ว่ากระบี่รับอสนีที่บรรพบุรุษแอบฝังซ่อนไว้ที่นั่นได้หายไปแล้ว 


 


 


นางถึงขนาดไม่รู้ว่ามันหายไปได้อย่างไร 


 


 


ใช้สอยองครักษ์นับร้อยนาย ล้อมรอบทั้งข้างในและข้างนอกของหอคอยอย่างแน่นหนา ปรับเปลี่ยนกับดักทุกสิ่งไปยังระดับอันตรายที่สุด เพียงมีแมลงวันบินเข้าไปตัวหนึ่งย่อมจะถูกดวงตาทุกดวงพบเจอ ถูกกับดักสิบประการโจมตีสังหารร่างเหลวกระดูกแหลก นางเชื่อว่าต่อให้กงอิ้นมาด้วยตนเอง ยังไม่อาจทำลายการป้องกันเช่นนี้โดยเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง 


 


 


นางตัดสินใจเด็ดขาดเนิ่นนานแล้วว่า ไม่ว่าผู้ที่มาจะเป็นผู้ใด ต้องให้นางมาได้ไปไม่ได้ หากผู้ที่มาเป็นจิ่งเหิงปัวนั่นย่อมดียิ่งขึ้นไปอีก หอคอยสูงกองเซ่นไหว้ฝังร่างราชินีนับมิถ้วน เต็มใจฝังนางเพิ่มอีกสักคนหนึ่งยิ่งนัก 


 


 


ทว่า ไม่มี 


 


 


ไม่มีผู้ใด ไม่มีผู้ใดเป็นแน่ ผู้ที่ป้องกันยอดหอคอยสูงต่างเป็นคนไว้ใจที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีของนาง ทุกผู้คนเอ่ยสัญญาสาบานว่าไม่มีผู้ใดเป็นแน่ 


 


 


องครักษ์ของนางไม่ได้รับบาดเจ็บสักคนเช่นกัน 


 


 


ซังต้งค้ำยันเรือนร่างอย่างลำบาก ลุกยืนขึ้นมาท่ามกลางฝนตกหนักซู่ซู่ 


 


 


ข้างหลังนาง องครักษ์ทุกนายยืนแกร่วกลางสายฝนเช่นกัน ใบหน้าซีดเผือดงงงวยไปตามกัน 


 


 


ซังต้งยืนตัวตรง อดกลั้นความโศกเศร้าจนดวงใจแทบแหลกสลาย 


 


 


น้องหญิงเอ่ยได้ถูกต้อง นางไม่อาจล้มลง หากนางล้มลง ตระกูลซังคงจบสิ้นจริงแล้ว 


 


 


หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้พังทลายแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ได้ วันนี้เทพไม่ช่วยเหลือนาง ทว่ากองกำลังที่ตระกูลซังก่อสร้างมาหลายยุคสมัยขนาดนี้ทั้งภายนอกภายในราชสำนักและนครตี้เกอ เทพก็แย่งชิงไปไม่ได้! 


 


 


เสียงฝนดุเดือดดุจเพลงสงคราม บางครั้ง การพังพินาศเป็นเพียงการเริ่มต้นครั้งหนึ่ง เรื่องบางเรื่องไม่พังทลายไม่ก่อสร้าง ยืนขึ้นอีกครั้งจากบนซากปรักหักพัง จุดเริ่มต้นก็สูงกว่าผู้อื่นแล้ว 


 


 


นางมองรอบร่างตน พลันตะโกนก้อง 


 


 


“องครักษ์กองเซ่นไหว้อยู่หรือไม่!” 


 


 


เสียงตอบรับดุจสายฟ้า 


 


 


“อยู่ทั้งสิ้น!” 


 


 


“ขานจำนวนมา!” 


 


 


“สี่ร้อยถ้วน ผู้บัญชาการหนึ่ง ผู้นำทองแดงสิบ ผู้นำเหล็กสี่สิบ องครักษ์สามดาวสี่สิบเก้า องครักษ์สองดาวสามร้อย ทหารม้านอกนั้นครบ!” 


 


 


“อาวุธพิฆาตสวรรค์อยู่หรือไม่!” 


 


 


“อยู่!” 


 


 


นางค่อยๆ ผลิแย้มรอยยิ้มในสายฝน เยือกเย็นดุจดอกถังตี้[1]ร่วงหิมะ 


 


 


มือยกขึ้นเพียงครั้ง ในฝ่ามือมีกริชเพิ่มมาเล่มหนึ่งไม่รู้ยามใด สว่างราวหิมะ น้ำฝนไม่อาจหยุดยั้งบนผิวกริช หลั่งไหลรินอย่างรวดเร็ว 


 


 


มือยกขึ้นอาวุธสะบั้นลง 


 


 


ผกาโลหิตดอกหนึ่งผลิบานตรงหน้าอก ย้อมม่านพิรุณผืนหนึ่งแดงฉานดุจม่านโลหิต 


 


 


“ใต้เท้า!” 


 


 


ซังต้งสะบัดมือเพียงครั้ง ใบหน้าซีดเผือดได้ฟื้นคืนรอยยิ้มสุขุมแล้ว 


 


 


“หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกคนลักลอบโจมตีทำลาย กองเซ่นไหว้ถูกลอบสังหาร” นางค่อยๆ เอ่ยว่า “ตามกฎแห่งแคว้นมาตราที่เจ็ดสิบสอง นี่เป็นเหตุฉุกเฉินที่สามารถจัดเป็นเหตุการณ์ระดับแคว้นประเภทหนึ่ง ยามนี้วิกฤตการณ์ทุกขณะ องครักษ์กองเซ่นไหว้ควรทำอย่างไร?” 


 


 


“ปกป้องนาย! ไล่ล่าศัตรู! ป้องกันหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้!” เสียงตอบรับดังครืน 


 


 


“เช่นนั้น ไปเถิด!” 


 


 


เกราะเหล็กสะท้อนแสงเหน็บหนาวสีครามกลางสายฝน น้ำโคลนสีเหลืองน้ำตาลกระเซ็นทั่วทิศใต้รองเท้าหุ้มข้อยาวที่ประดับเกราะหนาม แสงเหน็บหนาวแห่งเงาร่างถือกระบี่แต่ละสายพุ่งออกจากหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ 


 


 


ซังต้งเปรอะโลหิตครึ่งร่าง รอยยิ้มเกาะผนึกตรงริมฝีปาก 


 


 


“ไม่ว่าเจ้าได้รับชัยชนะอย่างไร หากสิ้นชีพแล้ว…” นางดีดเศษไม้เปื้อนโลหิตผืนหนึ่งจากออกหัวไหล่อย่างแผ่วเบา 


 


 


“คงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป” 


 


 


 


 


 


[1] ชื่อดอกไม้สีเหลือง บานในฤดูใบไม้ผลิ  

 

 


ตอนที่ 65 - 1 เป็นตายร่วมเผชิญ

 

ฝนตกหนักเปล่งประกายแสงครามระยิบระยับกลางนัยน์ตาทุกคู่


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ตรงระเบียง มององครักษ์เคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว มองเหมิงหู่วิ่งห้อกลางสายฝน มองเห็นอิฐบนกำแพงด้านข้างที่หันสู่ภายนอกผืนหนึ่งเคลื่อนย้ายเปิดช่องน้อยนับมิถ้วนโดยพลัน ลูกธนูพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงทีละดอก พลธนูกองหนึ่งยืนน้าวสายธนูอย่างเยือกเย็นอยู่เบื้องหลัง


 


 


แววตานางกำลังส่องแสงเช่นกัน แพรวพราวดั่งเพลิงแผดเผา โลหิตทั่วร่างดั่งกำลังลุกไหม้ท่ามกลางการเตรียมสู้รบยามรุ่งอรุณแห่งสายฝนครู่หนึ่งนี้


 


 


“จะสู้รบกันแล้วหรือ?” นางถามอย่างตื่นเต้นดีใจเป็นล้นพ้น


 


 


กงอิ้นยืนอยู่ข้างกายนาง ผ้าคลุมสีขาวที่เปียกฝนชุ่มโชกเมื่อครู่ ยามนี้สายน้ำไหลรินเฉอะแฉะตามอาภรณ์แลเส้นลมปราณ แห้งสนิทภายในประเดี๋ยวเดียว


 


 


เขามองนางอย่างแปลกประหลาดเล็กน้อยปราดหนึ่ง


 


 


สตรีนางนี้ติ๊งต๊องอีกแล้ว


 


 


เมื่อครู่เพิ่งประสบอันตราย ร้องตะโกนโวกเวก ยามนี้ความเป็นความตายรบราฆ่าฟันเบื้องหน้า เป้าหมายของอีกฝ่ายคือนางแน่แท้ นางยังยิ้มแย้มอยู่ได้


 


 


“เจ้าเข้าตำหนักใหญ่ไป ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้า”


 


 


“ไม่ไป ข้างในเพิ่งมีผู้สิ้นชีพ ในใจข้ายังขนลุกอยู่เลย”


 


 


เขารู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเล็กน้อย ประเดี๋ยวผู้สิ้นชีพจะมากกว่านี้ นางกลับไม่กลัวแล้ว


 


 


“ซังต้งก่อเหตุด้วยจนตรอก ต้องทุ่มเทกระทำทุกสิ่งเป็นสิ่ง” เขาเอ่ยอย่างเฉยชาเฉื่อยเนือยว่า “ตระกูลซังของนางตั้งตระหง่านในตี้เกอได้หลายร้อยปี คงจะไม่อาศัยเพียงหอคอยสูงที่ไม่ถูกฟ้าผ่า”


 


 


“ยังมีสิ่งใดอีก? คงไม่ใช่ปืนอาก้าหรอกนะ” จิ่งเหิงปัวแบะปาก


 


 


กงอิ้นมีสีหน้าจริงจังหนักแน่นอย่างหาได้ยาก ไม่ได้ขานตอบวาจาของนาง แลคร้านจะถามนางว่าปืนอาก้าคือสิ่งใด ถึงอย่างไรวาจาของนางมักแปลกประหลาดพันลึกเสมอ


 


 


เหมิงหู่เดินเข้ามาอธิบายว่า “ฝ่าบาทอย่าได้ประมาทเกินไป ตระกูลซังมีอาวุธลับที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ โหดร้ายยิ่งยวดแลล้ำค่ายวดยิ่ง เอ่ยกันว่าเพียงเคยใช้สอยสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือยามเผ่าฝูสุ่ยก่อกบฏกลางตี้เกอในปีแรกของการสถาปนาแคว้น ยามคับขันที่สุดเคยบุกเข้าพระราชวัง บรรพบุรุษตระกูลซังใช้สอยอาวุธพิฆาตสวรรค์บนหอคอยสูง สังหารกษัตริย์ฝูสุ่ยที่อยู่ไกลออกไปสามสิบจั้ง การกระทำเดียวสยบตี้เกอ อีกครั้งหนึ่งคือยามก่อนหน้านี้ห้ายุคสมัย ตระกูลซังพบเจอศัตรูเกรียงไกรที่จะแย่งชิงกองเซ่นไหว้ อีกฝ่ายมีกำลังมากมายมหาศาล มีศาสตร์อัศจรรย์ทั่วร่าง ได้รับความโปรดปรานจากราชครูที่ควบคุมมหาอำนาจผู้เดียวในยามนั้นยิ่งนัก เขากล้าเอ่ยให้ราชครูแก้ไขข้อกฎหมาย หวังจะเพิกถอนอำนาจการสืบทอดหลายชั่วคนที่ตระกูลซังมีต่อตำแหน่งกองเซ่นไหว้ คืนก่อนคำสั่งประกาศจะผ่านความเห็นชอบ ผู้นำตระกูลซังในยามนั้นถืออาวุธพิฆาตสวรรค์บุกเข้าเรือนของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง หลังจากเสียงหนึ่งดังสนั่น ผู้เลิศล้ำที่มีฉายาว่าฟันแทงไม่เข้าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นั้น สิ้นชีพคาเรือน”


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ่งฟังสีหน้ายิ่งแปลกประหลาด


 


 


การบรรยายแบบนี้ ทำไมฟังแล้วคุ้นเคยขนาดนั้นนะ คงจะไม่ใช่…จริงหรอกมั้ง?


 


 


บรรพบุรุษตระกูลซังใช้สายล่อฟ้าหลอกคนอื่นได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีของสิ่งนั้นนะ


 


 


แต่หากมีของสิ่งนั้นจริง แบบนั้นคงอธิบายได้ชัดเจนว่าก่อนหน้านาง ต้าฮวงก็มีผู้ทะลุมิติแล้ว แต่ผู้ทะลุมิติในตำนานไม่ใช่มีดรรชนีทองคำเหรอ? ทำไมไม่ได้กระทำความเปลี่ยนแปลงอะไรต่อรูปแบบระบอบการปกครองและกำลังการผลิตของต้าฮวงเลย?


 


 


เดี๋ยวนะ บรรพบุรุษตระกูลซังเคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นต้าฮวง ซ้ำยังยึดครองกิจการพื้นฐานยุคหลังหลายร้อยปีเพื่อตระกูลซังในยามแรกของการสถาปนาแคว้น จะกล่าวว่าไร้ซึ่งความดีความชอบเลยได้อย่างไร?


 


 


“บรรพบุรุษตระกูลซังคล้ายเป็นผู้เก่งกล้าสามารถ” นางถามว่า “ยังกระทำสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ใดอีก?”


 


 


“บรรพบุรุษตระกูลซังสิ้นชีพตั้งแต่อายุน้อย เอ่ยกันว่าถูกพี่สาววางยาพิษ” เหมิงหู่เอ่ยว่า “ตระกูลใหญ่แย่งอิทธิพลชิงอำนาจกัน เรื่องนี้ไม่ได้พบเห็นได้ยากเย็นแต่อย่างไร”


 


 


ที่แท้เป็นไอ้ดวงซวยที่ไร้บทบาท


 


 


แต่หากเป็นของสิ่งนั้นจริง คงยุ่งยากขึ้นมาเล็กน้อย สิ่งของที่เกินกว่ากำลังการผลิตในขณะนั้น มักจะมีพลังสั่นสะเทือนอยู่เหนือไอสังหาร


 


 


หากตระกูลซังถูกบีบบังคับเกินควร จะแสดงพลานุภาพอันน่าเกรงขามของ “อาวุธวิเศษ” ชนิดใดชนิดหนึ่งอีกครั้ง เกรงว่าบารมีที่สูญเสียไปจากการพังทลายหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ จะถูกตระกูลซังเติมเต็มได้อีกครั้ง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น…จิ่งเหิงปัวมองดูเบื้องหน้า ได้มีองครักษ์มารายงานต่อกงอิ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว เหล่าขุนนางสำคัญเดินทางมายามวิกาล ทยอยขอเข้าวัง


 


 


กงอิ้นมีสีหน้าเย็นชา เอ่ยว่า “ขวางไว้แล้วปฏิเสธให้สิ้น บอกพวกเขาว่าในวังไร้ซึ่งเรื่องราว ห้ามรบกวนยามวิกาล โปรดกลับจวน”


 


 


จิ่งเหิงปัวหันข้างมองดูใบหน้าด้านข้างดุจน้ำแข็งสลักของกงอิ้น หน้าผากดำขลับของเขาราบเรียบ ทว่ากักเก็บไอสังหารเคร่งขรึมกลุ่มหนึ่งไว้


 


 


ดูท่าทาง การสังหารในคืนนี้จำต้องจบสิ้นภายในวังให้ได้


 


 


ประดุจซังต้งตัดสินใจแล้ว กงอิ้นตัดสินใจแล้วเช่นกัน


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้ว่าในฐานะที่กงอิ้นเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของต้าฮวง ย่อมต้องให้ความสำคัญกับความมั่นคงของต้าฮวงเสมอไม่ว่าอยู่ในเวลาไหน กำลังของตระกูลซังนี้หยั่งรากฝังลึก เพียงพอจะสั่นคลอนตระกูลใหญ่ที่มั่นคงในตี้เกอ เขาย่อมไม่ยินยอมใช้วิธีที่รุนแรงที่สุดมาแก้ไข การสังหารในวันนี้อาจจะง่ายดาย การโจมตีย้อนคืนของตระกูลซังรวมทั้งสหายร่วมพรรคของพวกเขาในภายภาคหน้า จะสร้างความวุ่นวายให้การเมืองในราชสำนักได้


 


 


ยิ่งกว่านั้นข้างตระกูลซังกับตระกูลเซวียนหยวน ยังมีเหยียลี่ว์ฉีซึ่งมีกำลังมากมายมหาศาลยิ่งกว่า จ้องรอตะครุบดั่งพยัคฆ์โดยตลอด เขาถูกขังอยู่สำนักเจาหมิงย่อมพบความผิดปกติของกงอิ้นได้ตลอดเวลา พอลงมือขึ้นมาแทบจะจัดการเขาจนถึงตาย หากการเมืองในราชสำนักวุ่นวายขึ้นมา เขาจะไม่ฉวยโอกาสยามชุลมุนได้อย่างไร?


 


 


กงอิ้นคงไม่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ เขาทำแบบนี้ด้วยเพราะ…นางเหรอ?


 


 


สายตาสุกสกาวของจิ่งเหิงปัวเวียนวน มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย


 


 


พอกงอิ้นหันหน้ากลับมาได้มองเห็นละอองน้ำดุจแสงควัน นางยิ้มแย้มท่ามกลางไอควันนั้น แตกต่างจากความสวยสดงดงามลำพองตนสรวลดังกังวานยามปกติ เพิ่มความงามสงบเงียบซ่อนเร้นขึ้นมาสามส่วน คือกล้วยไม้ผลึกแก้วดอกหนึ่งซึ่งผลิบานท่ามกลางหมอกมัวสลัวยามรุ่งอรุณ


 


 


ความงดงามที่จ้องมองอยู่ห่างไกลได้ทว่าตัดใจทำลายไม่ลง


 


 


เขาถึงกับเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง หลงลืมว่าจะเอ่ยกระไร มองเห็นเพียงริมฝีปากของนางขยับเขยื้อนคล้ายกำลังเอ่ยวาจา ชะงักงันไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “กระไรนะ?”


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าคนนี้ถึงปรากฏสภาวะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกะทันหัน นางยังนึกว่าเขาเป็นอินทรีย์มังกรบนท้องนภา แววตาแพรวพราวโดยตลอด


 


 


“ข้าเอ่ยว่า ให้พวกเขาเข้ามา”


 


 


กงอิ้นหันหน้ากลับมามองนางโดยพลัน


 


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังเอ่ยกระไร?”


 


 


“ข้ารู้ว่าคืนนี้ตระกูลซังจะต้องใช้สอยสิ่งที่เรียกว่าอาวุธวิเศษนั้นเป็นแน่” จิ่งเหิงปัวยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ กล่าวต่อไปว่า “พอดีเลย ให้เหล่าผู้อาวุโสของต้าฮวงเป็นประจักษ์พยานว่าสิ่งที่เรียกว่าอาวุธวิเศษที่พึ่งพาได้ชิ้นสุดท้ายของตระกูลซังของนางพังพินาศไปด้วยเถิด”


 


 


กงอิ้นมองนางอย่างลึกล้ำ หวังจะมองเห็นความเหลวไหลของวาจานี้จากกลางนัยน์ตายิ้มเยาะเย้ยชั่วกาลของนาง


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้กระทำสีหน้าสำรวม ยิ้มหยาดเยิ้มมองเขา คิ้วที่เชิดขึ้นผุดเผยรัศมีแห่งความอวดดีที่ซุกซ่อนไว้หลายส่วน


 


 


กงอิ้นหันหน้าไป


 


 


“เชิญใต้เท้าทุกท่านเข้าวัง”


 


 


“เชิญใต้เท้าทุกท่านเข้าวัง…” เสียงแหลมคมของราชองครักษ์แทงทะลุม่านพิรุณ ทะลุผ่านพระราชวังชั้นแล้วชั้นเล่า


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเบิกบาน นางนึกว่าต้องเปลืองน้ำลายรอบหนึ่ง อย่างไรเสียให้เหล่าขุนนางใหญ่เข้าวัง สถานการณ์อาจจะปรากฏตัวแปรขึ้นมา ด้วยความสุขุมของกงอิ้น นางนึกว่าเขาจะไม่เห็นชอบเสียอีก


 


 


“เสี่ยวอิ้นอิ้นน่ารักจัง” นางพุ่งขึ้นไป กอดแขนเขาไว้แกว่งไปแกว่งมา กล่าวว่า “เค้าชอบคนที่เชื่อใจเค้าที่สุดเลยล่ะ”


 


 


กงอิ้นสะบัดเรือนร่าง ยืนมือคว้ากรงเล็บหมาป่าไม่สำรวมของนางไว้ หวังจะแกะนางออกไปจากบนแขน พอก้มหน้ามองเห็นริมฝีปากอมยิ้มของนางพอดิบพอดี รัศมีโค้งที่กระหวัดขึ้นเพียงน้อย เพริศพรายดุจรุ้งงาม


 


 


จากมุมสายตาของเขายังมองเห็นได้อีกมากมาย เช่น ลำคอทรวดทรงราบรื่น กระดูกไหปลาร้าประณีตเส้นหนึ่ง ผิวกายสีขาวราวหิมะครึ่งผืน…


 


 


ส่วนฝ่ามือที่คลุมครอบหลังมือของนางไว้ รู้สึกถึงความนุ่มนวลเกลี้ยงเกลาของผิวกายได้แจ่มชัดเพียงนั้น…


 


 


ในใจเขาสั่นสะท้าน จากนั้นคือความแสบร้อนเล็กน้อย ดั่งเข็มน้ำแข็งทิ่มแทงจิตใจจนแน่นขนัด เขาเบนสายตาออกโดยพลัน จูงมือของนางออกอย่างแน่วแน่ทว่าแผ่วเบา


 


 


“คิดแล้วหรือยังว่าจะทำอย่างไร?”


 


 


“คิดเสร็จแล้ว”


 


 


“อื้ม?”


 


 


“เทพขวางฆ่าเทพ มารขวางฆ่ามาร” นางชม้ายชายตา กล่าวว่า “อาวุธวิเศษหรือ? มนุษย์ธรรมดาจะถืออาวุธวิเศษได้อย่างไร? เนิ่นนานหลายปีขนาดนี้ ควรแจ้งเป็นของชำรุดได้แล้ว”


 


 


เขากระหวัดริมฝีปากยิ้มแย้มให้ความโอหังอวดดีและไอสังหารที่ซุกซ่อนอยู่ในกระดูกของนาง


 


 


นางกำลังเติบโตรวดเร็วเช่นนี้ หากไม่เกิดเหตุสุดวิสัย ภายภาคหน้าต้องมีเงาร่างอาภรณ์สีชาดวาดแขนเสื้อพัดพาเมฆลมของนางในหอสักการะเทพแห่งต้าฮวง


 


 


พอเบนสายตากลับมามองเหล่าขุนนางสำคัญที่รีบเร่งตามมาท่ามกลางม่านพิรุณ มองดูใบหน้าที่ความคิดลึกล้ำแฝงด้วยเภทภัยของแต่ละคน รอยยิ้มของเขาหุบลงเพียงนิด ดวงใจจมดิ่งเพียงน้อย 

 

 


ตอนที่ 65 - 2 เป็นตายร่วมเผชิญ

 

ส่วนอีกทิศทางหนึ่งมีเสียงกีบเท้าม้าถี่กระชั้นดังขึ้น กังวานก้องทางหลักเงียบสงัดแห่งนี้ 


 


 


เสียงกีบเท้าม้าหนักหน่วง กระทบพื้นดินที่น้ำฝนสาดกระเซ็น พื้นดินทั่วทั้งพระราชวังคล้ายกำลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย 


 


 


สีหน้าของกงอิ้นเย็นชาแลหนักแน่นเช่นกัน ทางหลักสงบเงียบแห่งนี้หากไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษไม่อาจควบอาชา บัดนี้ซังต้งคงเสียสติจริงแล้ว ถึงสั่งให้องครักษ์ใต้บัญชาเหล่านี้ควบอาชาโดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


เสียงกีบเท้าถี่กระชั้น เพียงแต่ระหว่างครู่นั้นเอง 


 


 


เหล่าขุนนางสำคัญที่รีบตามมา มองดูองครักษ์ที่สวมชุดองครักษ์กองเซ่นไหว้สีแดงกองใหญ่กองหนึ่งอย่างปากอ้าตาค้าง ทหารม้าเกราะหนักย่ำเหยียบหลุมธารนับมิถ้วน ดุจเมฆเพลิงผืนหนึ่งพัดผ่านทางหลัก ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าสุดหลบหลีกไม่พ้น 


 


 


เหมิงหู่กับอวี่ชุนมีสีหน้าโกรธแค้น ร้องว่า “นายท่าน! พวกเขากล้าควบอาชาภายในวัง! ขอให้พวกข้าน้อยใช้ธนูยิงสังหาร!” 


 


 


กงอิ้นสะบัดมือเพียงครั้ง 


 


 


อีกด้านหนึ่งจิ่งเหิงปัวคว้าจื่อหรุ่ยไว้ กล่าวอย่างร้อนรนว่า “หาเกราะป้องกันหัวใจมาให้ข้า…” พอหันหน้ามองเห็นเหมิงหู่เหินกายขึ้นมาพอดี ร่างอยู่กลางอากาศ กำลังจะออกคำสั่งกับพลธนูใต้กำแพง 


 


 


นาางตะโกนด้วยเสียงตกใจว่า “อย่าเหินขึ้นมา…” 


 


 


แต่สายไปเสียแล้ว 


 


 


“ปัง” 


 


 


เสียงหนึ่งดังสนั่น แรงทะลุผ่านยิ่งใหญ่ แทบจะดังก้องทั่วพระราชวัง น้ำฝนผืนใหญ่ผืนโตถูกคลื่นเสียงสะท้านสลาย สาดลงบนใบหน้าเหล่าขุนนางสำคัญที่รีบตามมาดังซู่ซ่า ผู้ที่วิ่งอยู่ข้างหน้าสุดถูกเสียงนั้นทำให้ตื่นตกใจดุจระเบิดดังที่ข้างหู โงนเงนโซเซครั้งหนึ่งแล้วอ่อนแรงล้มลงสู่พื้นฝน 


 


 


เสียงดังเพียงเสียงหนึ่ง ทว่าคล้ายดั่งเสียงดังมากหลายนัก ทอดยาวไม่สิ้นสุด พระราชวังสั่นเทาท่ามกลางคลื่นเสียง เรือนร่างของเหมิงหู่กำลังสั่นเทากลางอากาศเช่นกัน ทุกคนต่างมองเห็นดอกไม้โลหิตที่ระเบิดออกมากลางอากาศแทบจะในพริบตา 


 


 


ย้อมม่านพิรุณให้แดงฉาน แล้วร่วงโรยอย่างดุเดือด 


 


 


ทุกคนใจเต้นดุจรัวกลอง เงยหน้าอย่างตกตะลึง มองเห็นทหารม้าข้างหน้าที่สุดยืนอยู่บนหลังม้าไม่รู้ตั้งแต่ยามใด สองมือกุมสิ่งของคลุมผ้าดำชิ้นหนึ่ง มือทำท่าทางยกขึ้นเพียงน้อย ของสิ่งนั้นกำลังพ่นควันครามออกมาเล็กน้อย ดวงตาดวงคนผู้นั้นไร้ความรู้สึกดุจอินทรีท่ามกลางแสงควันของฝนตกหนัก 


 


 


“อาวุธวิเศษเคลื่อนไหว…” ขุนนางบางส่วนเปล่งเสียงตะโกนยาวที่ไม่อาจควบคุมออกมา บางคนก้มกราบท่ามกลางฝนตกหนักปานฟ้ารั่ว 


 


 


เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นอยู่กลางอากาศแล้ว มือหนึ่งรับเหมิงหู่ไว้ เขาคล้ายบันดาลโทสะอย่างแท้จริงในที่สุด หันกายเพียงครั้งแสงเงินกะพริบวูบจากแขนเสื้อ เสียงแหลมคมไม่สิ้นกลางอากาศ สายฝนถูกขัดจังหวะในพริบตา ปรากฏสุญญากาศโปร่งแสงผืนหนึ่ง แสงเงินกะพริบวูบตามเส้นทางสุญญากาศ พุ่งตรงสู่ทหารม้าที่ยิงปืนผู้นั้น 


 


 


ทหารม้ายกปืนโดยสำนึกทว่าช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว พริบตาต่อมาเขาร่วงลงจากหลังม้า หลุมโลหิตบนหน้าอกใหญ่ยิ่งกว่าบนหัวไหล่เหมิงหู่นั้นเสียอีก 


 


 


“อาวุธวิเศษ” ที่คลุมด้วยผ้าดำนั้นร่วงหล่นจากหลังม้าตามเขาด้วย มือเปล่าคู่หนึ่งควานเพียงครั้งคว้าสิ่งของเอาไว้ ซังเชี่ยวผู้เป็นเจ้าของมือหันกายเพียงครั้ง เข้ารับช่วงต่อจากทหารม้าเมื่อครู่แล้ว ยืนอยู่บนหลังม้า “อาวุธวิเศษ” ในมือยกขึ้นเพียงน้อย เล็งไปยังกงอิ้น 


 


 


ฝนตกหนักซู่ซู่ 


 


 


ทุกผู้คนต่างเลือนรางพร่ามัวกลางม่านพิรุณ 


 


 


ฝนตกหนักดั่งฟ้ารั่ว ทอดยาวไม่สิ้นสุด ทว่าบรรยากาศตึงเครียดคล้ายกระชากเพียงครั้งย่อมสะบั้นสลาย 


 


 


ยามนี้กงอิ้นรับเหมิงหู่ไว้ กำลังก้มหน้ามองบาดแผลเขา 


 


 


นิ้วมือของซังเชี่ยวเหนี่ยวรั้งไกปืน ทว่าปรากฏความลังเลสายหนึ่ง 


 


 


นางนึกไม่ถึงว่ากงอิ้นจะปล่อยขุนนางสำคัญเข้าวัง ยามนี้เหล่าขุนนางใหญ่อยู่ที่นี่ทุกคน หวังยิงกระสุนสังหารผู้นำลำดับหนึ่งแห่งต้าฮวงภายใต้ดวงตาหลายคู่ขนาดนั้น หากยิงออกไป จะเป็นเรื่องใหญ่สะท้านโลกหล้า สตรีตระกูลซังผู้นี้ อดจะตึงเครียดเล็กน้อยไม่ได้ 


 


 


นิ้วมือจะเหนี่ยวไกปืนยังไม่ได้เหนี่ยว เงาคนกะพริบวูบฉับพลัน จิ่งเหิงปัวปรากฏบนกำแพงแล้ว 


 


 


เรื่องแรกที่นางกระทำคือพุ่งชนกงอิ้นที่กำลังลงสู่สันกำแพง พุ่งชนเขาให้ร่วงจากสันกำแพง! 


 


 


“อย่าเหินสูง ข้ามีวิธี!” 


 


 


เสียงแหบแห้งเล็กน้อยของสตรีดังก้องบนสันกำแพง แขนเสื้อพลิ้วไหวท่ามกลางลมพายุฝนตกหนัก อสนีบาตกะพริบวูบผันผ่านใต้ม่านนภา สาดส่องเงาร่างที่กำลังทะยานขึ้นของนางจนพลันสว่างพลันมืด 


 


 


ซังเชี่ยวเงยหน้าฉับพลัน 


 


 


นางนั่นล่ะ! 


 


 


ราชินีองค์ใหม่! 


 


 


ราชินีที่เอ่ยกันว่าผิดมารยาทประเพณี ใจกล้าบ้าบิ่น หลอกลวงทุกผู้คนครั้งหนึ่งในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ยิ่งเ**้ยมหาญบุกสถานที่สำคัญเช่นจิ้งถิง บังคับให้พี่หญิงเดิมพันกับนาง ส่งตระกูลซังเข้าสู่สถานการณ์สิ้นหวัง! 


 


 


ยังไม่ทันได้ขึ้นครองราชย์ก็เล่นลูกไม้ออกมามากมายขนาดนี้ จะให้นางอยู่รอดได้อย่างไร? 


 


 


นิ้วมือสะท้านเพียงครั้ง ผ้าดำร่วงพื้น ปากกระบอกปืนพลันยกขึ้น เล็งไปยังจิ่งเหิงปัวอย่างแน่วแน่ยิ่งกว่าเมื่อครู่ 


 


 


“ด้วยพระนามแห่งเทพประทาน ด้วยพลังปฎิหาริย์ร้อยปีแห่งตระกูลกองเซ่นไหว้ วันนี้” เสียงของซังเชี่ยวหนาวเหน็บยิ่งกว่าเสียงฝน เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าสกุลซังจะใช้อาวุธวิเศษที่สวรรค์ประทาน สังหารราชินีจิ่งเหิงปัวผู้อาศัยพลังแห่งมารร้ายทำลายหอคอยสูงศักดิ์สิทธิ์ของเรา ผู้ฝ่าฝืนต่อต้าน ผู้ขัดขวาง ผู้ขอความเมตตา ขอสวรรค์ลงโทษ อสนีบาตสังหารสิ้นชีพ!” 


 


 


“ครืน” เสียงหนึ่ง ฟ้าร้องสายหนึ่งผ่าลงบนท้องฟ้าคล้ายดั่งเป็นเชิงอรรถให้วาจาของนาง ฟ้าแลบสีขาวโพลนแบ่งแยกท้องนภา 


 


 


ซังเชี่ยวยืนบนหลังม้าดุจอยู่ที่ราบ ยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน ปากกระบอกปืนในมือมั่นคง น่าครั่นคร้ามดุจดวงเนตรดำทะมึนขนาดมหึมา 


 


 


พอเทียบกันแล้ว จิ่งเหิงปัวที่ยืนโอนเอนอยู่บนกำแพง ถูกฝนตกหนักลมแรงกระทบจนโคลงเคลงไปมา ดูท่าทางจนตรอกและน่าตลกขบขัน 


 


 


มองท่าทางขยับสองมือมั่วซั่วของนาง ดั่งจะถูกสายฝนโจมตีสายลมพัดพาไปในพริบตา 


 


 


สายฝนบ้าคลั่ง บรรยากาศอึดอัดดุจมรณะ หัวใจทุกดวงล้วนถูกวางไว้ตรงคอหอย รอคอยการลอบสังหารครั้งหนึ่งซึ่งเพียงพอจะกระทบต่อสถานการณ์แคว้นทั่วทั้งต้าฮวง 


 


 


แม้เพียงชั่วพริบตา ทว่าประดุจชั่วชีวิต 


 


 


พลันมีเสียงสามเสียงทำลายไอสังหารยามนี้ 


 


 


“ลงมา!” เงาขาวกะพริบวูบพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ขวางกั้นเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว 


 


 


“ช้าก่อน!” เงาดำดุจเหยี่ยวทุ่งแถบเหนือสายหนึ่งในสำนักเจาหมิง พุ่งทะลุออกมาสามจั้ง 


 


 


“ไสหัวไป!” เงาคนสีเหลืองอ่อนปรากฏข้างหลังซังเชี่ยวปานภูตพราย ฝ่ามือหนึ่งฟาดไปทางกลางหลังของนาง 


 


 


ในขณะเดียวกัน 


 


 


นิ้วมือของซังเชี่ยวแนบแน่นเพียงครั้ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวโน้มกายลงข้างล่างทันที 


 


 


“ปัง” 


 


 


การดังขึ้นของเสียงหนึ่งนี้ยังคงทำให้คนไร้ซึ่งการตระเตรียมแม้แต่น้อย ดุเดือดแตกร้าวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เปี่ยมด้วยความบ้าคลั่งของการทำลายล้างและการสังหาร ฝนตกหนักทั่วท้องฟ้าคล้ายหยุดลงชั่วครู่ 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


เสียงกรีดร้องสั่นสะเทือนแก้วหูมนุษย์ยิ่งกว่าเสียงอสนีบาต พาให้คนกังวลว่าคอหอยที่เปล่งเสียงกรีดร้องนั้นครู่หนึ่งนี้ได้แตกร้าวแล้วหรือไม่ 


 


 


ควันดำกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มดอกไม้โลหิตลอยล่องขึ้น ลวดขดเกลียววงล้อมไกปืนที่ระเบิดปลิวว่อนระคนด้วยเนื้อหนังมังสาที่แหลกเหลว โปรยปรายกลายเป็นฝนเลือดเนื้อบ้าคลั่งอีกครั้งกลางสายฝนตกหนัก 


 


 


เงาคนสามสายหยุดชะงักกลางอากาศ ต่างคนต่างตกตะลึงเงยหน้าอย่างเหลือเชื่อ 


 


 


เหล่าขุนนางที่คุกเข่าหมอบกราบท่ามกลางฝนตกหนัก เงยใบหน้าทีมีน้ำฝนหลั่งรินขึ้น อ้าปากกว้าง กลืนสายลมสายฝนเจือโลหิตทีละอึก 


 


 


องครักษ์คั่งหลงรวมทั้งองครักษ์กองเซ่นไหว้ที่ต่างคนต่างเตรียมพร้อมพุ่งออกไป ขาที่ยกขึ้นมาค้างอยู่กลางอากาศ กระบี่ออกจากฝักเพียงครึ่ง ตัวกระบี่ที่สว่างราวหิมะเปรอะเปื้อนเลือดเนื้อที่ถูกน้ำฝนซัดกระเซ็นจนสิ้น 


 


 


เลือดเนื้อซึ่งเป็นของซังเชี่ยว 


 


 


ท่ามกลางความเงียบสงบราวหยุดหายใจผืนหนึ่ง มีเพียงเสียงกรีดร้องของซังเชี่ยวทอดยาวไม่สิ้นสุด นางยกแขนที่เหลือเพียงข้อศอกครึ่งท่อนขึ้น ล้มลงไปข้างหลังอย่างน่าเวทนา 


 


 


ดุจดั่งท่วงท่าเชื่องช้าท่วงท่าหนึ่ง นางลอยล่องลงปานใบไม้ร่วง อาภรณ์สีดำและเส้นผมสีดำย้อมโลหิตโรยราบนพื้นฝนโคลนเลน 


 


 


ในขณะเดียวกันนั้นเอง จิ่งเหิงปัวที่สูญสลายสู่ข้างล่างกำแพง ปรากฏกายบนสันกำแพงอีกครั้ง 


 


 


เสื้อของนางเปียกโชก ทรวดทรงพาผู้คนตื่นตะลึง เส้นผมยาวกลุ่มหนึ่งแนบตรงขมับ บดบังแววตารุ่งโรจน์แพรวพราวกลางฝนตกหนัก 


 


 


นางมองดูชิ้นส่วนเศษซากทั่วพื้นนั้นด้วยความโศกเศร้า เหล็กกล้าสีดำเปล่งแสงครามคล้ำระยิบระยับ นั่นคืออาวุธยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของยุคสมัยนี้ สูญสลายไปตลอดกาลในครู่หนึ่งนี้ 


 


 


บางครั้ง สิ่งของที่ไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยนี้ สุดท้ายแล้วอยู่ได้ไม่นาน 


 


 


ซังเชี่ยวไม่ควรเอ่ยวาจาท่อนใหญ่ท่อนหนึ่งขนาดนั้นเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูลก่อนยิงปืน 


 


 


ช่วงระยะเวลานั้น เพียงพอให้จิ่งเหิงปัวกวัดแกว่งแขน ใช้พลังเคลื่อนย้ายควบคุมหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งอุดลำกล้องเอาไว้ 


 


 


อาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยถูกทำลายด้วยหินก้อนเล็กก้อนหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้าให้ซากปืนบนพื้น จัดแต่งจอนผม เคาะแก้มขึ้นมาดัง “เปาะ” แผ่วเบาเสียงหนึ่ง 


 


 


“ลำกล้องระเบิดแล้ว” นางกล่าว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม