ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 631-637

 ตอนที่ 631 หายไปจากโลกนี้


 


 


จริงๆ แล้วสือเสวจิ้นได้อธิบายทุกอย่างผ่านทางโทรศัพท์แล้ว หรือว่าเนี่ยถิงจะโทรมาด้วยเหตุผลเดียวกันนะ ไม่หรอก เนี่ยถิงแค่อยากกวนเขาก็เท่านั้นแหละ


 


 


แต่ถ้าจะให้เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ตามที่สือเสวจิ้นแนะนำก็คงจะไม่สะดวกนัก สุดท้ายแล้วเขาต้องไปต่างประเทศจริงๆ หรือเปล่า


 


 


จริงๆ แล้วที่สือเสวจิ้นมาคุยนั้นก็เป็นเรื่องเดิมๆ แหละ เรื่องที่ว่าอยากให้เขาไปเป็นราชันฟ้าคนที่เก้า ตอนนี้หลี่ว์ซู่เองก็ไม่ได้เห็นขัดแย้งกับความคิดเดิมเท่าไหร่มากนัก คงเพราะเป็นคำพูดของโยวหมิงอวี่ที่ทำให้เขาคิดได้ว่าถ้าไปอยู่ต่างประเทศแล้วเขาจะได้แสดงศักยภาพได้มากกว่า…


 


 


แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากจะเร่งตัดสินใจอะไร “อยากรู้จังว่าผักกุยช่ายเราโตกันมากแค่ไหนแล้ว ว่าแต่โรงแรมที่น่าหลานเชวี่ยช่วยเราสร้างได้ปรับฐานพื้นที่เรียบร้อยก่อนที่ฉันจะมานี่อีก ป่านนี้ก็คงสร้างเสร็จเรียบร้อยกันแล้วมั้ง”


 


 


พวกเขาคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุดหมายกันในที่สุด


 


 


หลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋ออกมาจากเครื่องบินกันแล้วและกำลังจะเดินไปถึงทางออก แต่จู่ๆ ก็มีคนเดินมาชนหลี่ว์ซู่ เขาเงยหน้ามองและพบว่าคนที่เดินมาชนเป็นผู้หญิงมาดนักทำงานคนหนึ่ง เธอดูสวยมากในเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมสีดำขลับปลิวเคลียไหล่เผยให้เห็นลำคอขาวๆ และรอยสักรูปไฟที่ดูร้อนแรงบริเวณด้านขวาของคอ


 


 


เดี๋ยวนะ… เขาเอะใจ รอยสักรูปไฟเมื่อกี้เหมือนจะไม่ใช่รอยสักธรรมดาเลย มันดูเหมือนว่ามีชีวิตจริงๆ


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ดูจากด้านข้างแล้วผู้หญิงคนนี้สวยมากจริงๆ แต่ความสวยนี้ดูไม่ปกติทั่วไป อย่างกับว่าเธอมีแรงดึงดูดจากข้างในอย่างนั้นแหละ


 


 


อีกอย่างหลี่ว์ซู่ก็ไม่สามารถสัมผัสคลื่นพลังงานอะไรจากตัวเธอได้เลย


 


 


คนปกติธรรมดามักจะมีคลื่นพลังงานประมาณหนึ่งจุด และระดับ F จะมีประมาณสิบจุด ไม่มีใครที่จะมีคลื่นพลังงานเป็นศูนย์ได้หรอก


 


 


เมื่อผู้หญิงคนนั้นเดินต่อไป เขาก็ชำเลืองมองเธอ อย่างกับว่ามองสำรวจมดตัวหนึ่งอยู่ เขานั้นไม่พอใจมาก “เดี๋ยวก่อนสิ เดินมาชนกันแบบนี้อย่างน้อยก็ควรจะขอโทษกันหน่อยไหม”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากอวิ๋นอี่ +99!]


 


 


ลมหายใจของหลี่ว์ซู่เริ่มติดขัด…


 


 


อวิ๋นอี่จ้องสะกดเขาไว้ด้วยสายตาเย็นยะเยือก ราวกับว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าหลี่ว์ซู่


 


 


“เอ๊ะ” เธอร้องออกมา แต่เสียงนั้นกลับไม่ได้ฟังดูเศร้าเลย ทว่ากลับฟังแล้วไพเราะและสดใส ไม่แน่ว่าเธออาจจะตั้งใจแปลงเสียงตอนที่อยู่ในเสื้อคลุมสีดำในตอนนั้นก็ได้


 


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็โค้งให้เธอ “ขอโทษครับ”


 


 


อวิ๋นอี่นิ่งไปเลย


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็มาคิดว่าเขาไม่น่าทำเรื่องเสี่ยงแบบนั้นไปเลย เขากลัวแทบตายแน่ะ!


 


 


แต่อวิ๋นอี่ไม่เข้าใจว่าเจ้ามนุษย์คนนี้มีอะไรหรือเปล่า หลี่ว์ซู่นั้นรู้ว่าอวิ๋นอี่เป็นใครเพราะดูระบบบันทึกแต้มอารมณ์มานั่นเอง…


 


 


หลี่ว์ซู่คงสติแตกสบถออกไปแล้วถ้าอวิ๋นอี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย! อยู่ๆ เขาบังเอิญเจอปรมาจารย์หุ่นเชิดแบบนี้ได้ยังไง แล้วจะมานั่งเครื่องบินทำไมในเมื่อตัวเองก็บินได้ แล้วหุ่นเหล็กข้างตัวหายไปไหนแล้วล่ะ อยากจะปลอมตัวเงียบๆ ก็เลยเดินทางโดยเครื่องบินงั้นสิ


 


 


หลังจากที่สือเสวจิ้นโทรมาหลี่ว์ซู่ก็สงสัยไปว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดนั้นเป็นเพียงแค่ชื่อตำแหน่งเท่านั้น แล้วก็ไม่มีใครรู้อีกว่าพวกมันมีกันอยู่จริงๆ กี่คน


 


 


แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันไม่ควรจะมีกันมากขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงกวาดล้างมนุษย์ไปได้สบายๆ แล้ว จะรออะไรกันอยู่ล่ะ


 


 


แถมหลี่ว์ซู่ก็ยังเจอคนที่ชื่อเหมือนกันอีก เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อวิ๋นอี่กันทั้งสองคนนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องมีคลื่นพลังงานใดๆ


 


 


แต่หลี่ว์ซู่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญมากกว่าที่พวกเขาเดินทางด้วยเที่ยวบินเดียวกันได้ เพราะที่ดูจากพลังของเธอในทะเลนั่น เธอสามารถฉีกเครื่องบินออกเป็นชิ้นๆ ได้เลยด้วยซ้ำ แค่กำจัดหลี่ว์ซู่ที่อยู่ระดับ B แบบปลอมๆ ทิ้งคงไม่เสียเวลาอะไรมาก


 


 


ดีนะเนี่ยที่เธอจำเขาไม่ได้…


 


 


อวิ๋นอี่ไม่สนใจเขาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ เสียงส้นสูงที่กระทบกับพื้นของเธอค่อยๆ หายไปไกล หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมาเสียงดังด้วยความโล่งอก เสื้อของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ความกลัวแล่นไปทั่วร่าง ถึงพวกก่อการร้ายจะเลวผิดมนุษย์แค่ไหนแต่ สุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นแค่มนุษย์ แต่ผู้หญิงคนนี้นั้นไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ …


 


 


แต่แล้วอยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็คิดได้ว่าประสาทสัมผัสรับรู้ความสามารถที่แบ่งตามสายของเขาเริ่มเชื่อถือไม่ได้ในหลายๆ ครั้งเนื่องจากเขาจับสัมผัสผิดตลอด ที่เขารู้สึกนั่นอาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่พวกมันสวมใส่หรืออาจเป็นความสามารถของปรมาจารย์หุ่นเชิดก็ได้


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็รีบพาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ออกไปที่ทางออกอื่น “รีบมาเร็ว!”


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กระซิบ “เมื่อกี้ใครกันน่ะ”


 


 


เธอรู้ว่าตอนนั้นจะต้องทำเป็นเงียบไว้และเล่นตามน้ำไปกับหลี่ว์ซู่ตอนที่เขาพยายามขอโทษผู้หญิงคนนั้น


 


 


“นั่นล่ะปรมาจารย์หุ่นเชิด” หลี่ว์ซู่ตอบกลับ


 


 


เสี่ยวอวี๋อึ้ง “แต่เธอไม่ได้ใส่เสื้อคลุมสีดำนี่! แล้วรู้ได้ยังไง มีความลับกันเหรอ”


 


 


หลี่ว์ซู่ได้ยินแล้วก็ตกตะลึง


 


 


จินตนาการล้ำไปแล้ว!


 


 


จากนั้นเขาจึงค่อยๆ อธิบาย “ฉันบอกเธอไม่ได้จริงๆ ว่ารู้มาได้ยังไง แต่นั่นแหละตัวจริงแน่ๆ”


 


 


“นั่นน่ะเหรอคำอธิบายน่ะ…” เสี่ยวอวี๋ทำหน้าเรียบเฉย แล้วมันจะเหมือนกับการแก้ตัวประมาณว่า ‘ฉันเชื่อแบบนี้แหละ เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเธอ’


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มเก็บของใส่กระเป๋าอีกรอบเมื่อถึงบ้านแล้ว เขากลัวสุดๆ จริงๆ ก็ปรมาจารย์หุ่นเชิดนั่นเป็นคนประเทศเดียวกันกับเขาและสามารถจะพังทลายเมืองนี้ตอนไหนก็ได้ อีกอย่างเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเธอก็คงจะเป็นหลี่ว์ซู่นี่แหละ…


 


 


พูดถึงเรื่องนี้แล้วเนี่ยถิงจะรู้ไหมเนี่ยว่ามีภัยคุกคามตัวใหญ่เบิ้มอยู่ในประเทศแล้วน่ะ ถ้าหลี่ว์ซู่จะอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงจะไม่ปลอดภัยซะแล้ว!


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็รีบโทรหาเนี่ยถิงทันที


 


 


[ขอโทษค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้..]


 


 


ฮ่าๆ! เอาสิ! มาสู้กันหน่อย!


 


 


แล้วหลังจากที่หลี่ว์ซู่โทรหาเนี่ยถิงติดต่อกันหกสาย ในที่สุดเนี่ยถิงก็มารับสายแล้วสักที เขาทำเสียงใจเย็นก่อนที่หลี่ว์ซู่จะได้พูดอะไรออกมาเสียอีก [ไม่ต้องคิดมาขอเรื่องรางวัลที่จะได้จากการไปโบราณสถานครั้งนี้เลยนะ ฉันยังไม่ไปขอของที่นายเอาเข้ากระเป๋าตัวเองมาบ้างเลย]


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปชั่วครู่ แล้วก็เอ่ยออกมา “ผมไม่ได้โทรมาเรื่องนี้!”


 


 


[อ้อ] เนี่ยถิงวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว เหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับใครอยู่ [ทำไมเราจะต้องกินต้นหอมกันด้วยล่ะ เอามันไปเก็บหน่อยได้ไหม]


 


 


“…ผมอยากไปต่างประเทศ”


 


 


[พูดอีกทีซิ] เสียงของเนี่ยถิงดังขึ้นกว่าเดิม


 


 


“ผมบอกว่า ผมอยากไปต่างประเทศ!” หลี่ว์ซู่พูดซ้ำ “ไปตรวจดูกล้องวงจรปิดซะ ผมชนกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ที่สนามบิน เธอคือปรมาจารย์หุ่นเชิดนั่นแหละ ไม่ต้องมาถามเลยนะว่ารู้ได้ไง ไปตามหาเธอซะ!”


 


 


ระเบิดเวลามนุษย์นี่มันจะต้องโดนจับให้ได้ เพราะเธอเป็นอันตรายที่ถูกซ่อนไว้ในประเทศนี้


 


 


แล้วสือเสวจิ้นก็โทรมาสองชั่วโมงให้หลัง


 


 


[อีกสามวันนายเตรียมตัวไปต่างประเทศได้เลย เราหาปรมาจารย์หุ่นเชิดไม่เจอแล้ว อย่างกับว่าเธอหายไปจากโลกนี้แล้วอย่างนั้นแหละ]


 

 

 


ตอนที่ 632 ปฏิเสธอีกรอบ

 

หลังจากบังเอิญเจออวิ๋นอี่ที่สนามบินและหลังจากนั้นเธอก็หายไปท่ามกลางกลุ่มคน หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก ใครจะรู้ละว่าเธอจะล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่แล้วฆ่าเขาทิ้งเมื่อไหร่ 


 


 


อีกทั้งระดับของเธอยังอยู่ระดับ A ด้วย ถ้าเธออยากสังหารใครขึ้นมา หลี่ว์ซู่ก็คงไม่อาจหวังพึ่งเนี่ยถิงให้มาปกป้องเขาได้ตลอดเวลาหรอกนะ 


 


 


หรือเนี่ยถิงอาจจะใช้เขาเป็นตัวล่อเพื่อฆ่าพวกมันทิ้งก็ได้ แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากกลายเป็นตัวล่อเนี่ยสิ เธอแข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เขาคงตายไปก่อนจะรู้ตัวเสียอีก! 


 


 


วิธีรับมือของเนี่ยถิงนั้นก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย หลังจากผ่านไปสามวันก็มีการจัดตั้งกลุ่มผู้บำเพ็ญลับขึ้นมา และพวกเขากำลังมุ่งหน้าจากเมืองลั่วไปยุโรป เครือข่ายฟ้าดินจัดตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง และผู้นำของกลุ่มคนพวกนี้ก็คือสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินเอง 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้จักคนในกลุ่มนี้ดีถึงแม้จะมีคนธรรมดาอยู่ในกลุ่มด้วยก็ตาม พวกเขาเป็นยอดฝีมือด้านการเจรจากับกลุ่มคู่ค้าจากต่างประเทศ 


 


 


พวกเขาจะไปทำการค้าขายทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนบำเพ็ญ และไปติดต่อกับองค์กรต่างๆ เพื่อทำธุรกิจและสร้างพันธมิตรทางการค้าด้วย 


 


 


เนื่องจากการเดินทางพัฒนาขึ้นจนสะดวกและง่ายดาย โลกใบนี้จึงดูเล็กลงไปถนัดตา อย่างตอนที่โบราณสถานเปิดก็มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลกันไปที่นั่น 


 


 


เครือข่ายฟ้าดินไม่คิดว่าพวกมันจะไม่มีพันธมิตรเลย และคนอื่นๆ นั้นเป็นศัตรูของพวกมันเพียงเพราะว่าพวกมันเป็นระดับ A กันถึงสองคน 


 


 


สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องมาแข่งขันกันเรื่องทรัพยากรการบำเพ็ญและอาจจะมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นก็ได้ ในสถานการณ์แบบนี้ เครือข่ายฟ้าดินจึงต้องการพันธมิตรมาอยู่ข้างกันสักหน่อย 


 


 


เครือข่ายฟ้าดินอยากลดจำนวนของผู้บำเพ็ญลับฝ่ายศัตรูที่เข้ามาทางชายแดนให้น้อยลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถึงจะกำจัดได้ไม่หมดก็ไม่เป็นไร หากได้พันธมิตรมาใหม่ๆ มา เครือข่ายฟ้าดินก็อยากจะขอให้พวกเขาเป็นหูเป็นตาให้หน่อย และเพื่อเป็นการตอบแทน เครือข่ายฟ้าดินก็จะช่วยองค์กรนั้นๆ ตรวจสอบด้วยเหมือนกัน 


 


 


แน่ล่ะว่านี่ต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ทั้งคู่จะได้ 


 


 


เหตุผลที่มีคนธรรมดาอยู่ในกลุ่มด้วยก็เพราะในเครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่มีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการเจรจาโดยตรง กล่าวกันว่าเมื่อก่อนเคยมีทหารที่ใช้วาทศิลป์ในการพูดให้ทหารกว่าหมื่นนายยอมศิโรราบได้ หลายคนเชื่อว่าตัวเองมีพรสวรรค์เป็นวาทศิลป์อันเยี่ยมยอดเช่นนั้น ถ้าได้เกิดมาอยู่ในยุคนั้นก็คงจะทำได้เหมือนกัน 


 


 


แต่คนพวกนั้นก็ทะนงตัวมากเกินไป การเจรจาในชีวิตจริงนั้นไม่ง่ายเหมือนเรื่องที่เล่ากันมาเลย เพราะไม่เพียงแต่ต้องใช้สำนวนในการพูดให้ดีเท่านั้น แต่ต้องใช้ความกล้า ความเข้าใจในเนื้อความให้ทะลุปรุโปร่ง และยังต้องมีเวลาเตรียมคำพูดก่อนหน้าที่จะไปพูดให้มากๆ ด้วย 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้เกลียดเรื่องพวกนี้เลยนะ และครั้งนี้เขาก็คิดด้วยว่าเนี่ยถิงน่าจะส่งเขาไปกับกลุ่มนี้เพื่อรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขานี่เอง 


 


 


เรื่องมันก็ง่ายๆ เท่านี้แหละ พวกผู้บำเพ็ญลับไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรมาก พวกเขาแค่ต้องคอยคุ้มครองคนธรรมดาในกลุ่มให้ปลอดภัยก็เท่านั้นแหละ 


 


 


เอาจริงๆ หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้คาดว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน แต่เขาก็ยังยอมรับได้อยู่ 


 


 


แล้วสำหรับรูปลักษณ์ที่หลี่ว์ซู่จะใช้นั้น เขาได้คิดมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ที่โยวหมิงอวี่ได้เตรียมไว้ให้เค้าก่อนหน้านี้ ก็คือคนที่เป็นเจ้าของชื่อผู้ใช้งานอาณาจักรแห่งความมืดที่ชื่อหลี่เถิงนั่นเอง 


 


 


ทั้งความสูงและรูปร่างเขานั้นดูคล้ายกับหลี่ว์ซู่ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเขายังเป็นทั้งสายลับและนักธุรกิจอีกด้วย หลี่ว์ซู่ก็เลยใช้รูปักษณ์นี้ได้ง่ายหน่อย 


 


 


เนี่ยถิงได้คิดแทนหลี่ว์ซู่ไปหนึ่งก้าวแล้ว หลี่ว์ซู่คิดแค่ว่ารูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงนี้นั้นเหมาะจะให้เขาใช้งาน แต่เนี่ยถิงนั้นคิดต่างออกไป ถ้ามีเกิดเหตุการณ์ที่ข่าวกรองลับถูกขายออกไปนอกประเทศแล้ว เนี่ยถิงตั้งใจจะโยนความผิดนั้นไปให้หลี่เถิงและเอาหลี่ว์ซู่ออกมาให้พ้นจากความผิด 


 


 


เนี่ยถิงเข้าใจว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนแบบนี้ จึงจัดการเตรียมเรื่องพวกนี้ไว้แล้วตอนเขาเลือกรูปลักษณ์ที่จะให้หลี่ว์ซู่ใช้… 


 


 


และที่สำคัญที่สุด เนี่ยถิงนั้นมีความสุขมาก ไอ้เจ้าปัญหาคนนี้จะได้ไม่ต้องไปก่อปัญหาให้คนอื่นเสียที! 


 


 


ถึงหลี่ว์ซู่จะสามารถทำลายกลุ่มนี้ได้แต่เนี่ยถิงก็ยังจะทำตามแผนของสือเสวจิ้นอยู่ดี หลี่ว์ซู่นั้นมีความรู้ผิดชอบอยู่บ้าง เขารู้แหละว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร 


 


 


ไอ้เจ้านี่ชอบทำให้เนี่ยถิงโมโหอยู่เรื่อย แต่เขาก็สามารถพึ่งพาได้ในสถานการณ์คับขัน… 


 


 


คืนนั้นโยวหมิงอวี่มาที่บ้านบนถนนชิงชู่เพื่อมาพบหลี่ว์ซู่ เขาเตรียมของสำหรับการเดินทางไปตะวันตกครั้งนี้มาให้ รวมถึงตำแหน่งของราชันฟ้าด้วย 


 


 


โยวหมิงอวี่มองไปที่เสี่ยวอวี๋และกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ เขาไม่ได้อยากจะแยกเสี่ยวอวี๋ออกไปไกลๆ หรอกเพราะเขารู้ว่าหลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋นั้นสนิทกันมากแค่ไหน 


 


 


“ฉันไม่คิดเลยว่านายจะยอมเป็นราชันฟ้าแบบปุบปับแบบนี้” โยวหมิงอวี่ถอนหายใจ “ราชันฟ้าคนที่เก้าเหรอ โลกคงจับตามองดูนายตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะ” 


 


 


เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะส่ายหัวทันที “ผมเป็นราชันฟ้าไม่ได้หรอก ไปบอกราชันฟ้าเนี่ยทีว่าผมไม่อยากเป็น” 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องราชันฟ้า ถ้าเขาตอบรับตำแหน่งนี้ไปแล้วก็ย่อมมีความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงตามมา 


 


 


บางทีความคิดเขาอาจไม่เป็นผู้ใหญ่พอ หรือประสบการณ์ที่เขาเจอมาอาจทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจว่าจะปกป้องกลุ่มนี้ให้ดีในการเดินทาง และจะทำในสิ่งที่ควรทำด้วย 


 


 


เขาสามารถตัดสินใจเข้าไปฆ่างูในสนามหญ้าได้ง่ายมากกว่าจะเข้าไปในโบราณสถานที่ถ้ำกิ้งก่า และเขาสามารถนำกลุ่มเพื่อนร่วมรบเข้าไปฆ่าศัตรูได้ แต่เขาไม่อยากเป็นราชันแห่งฟ้าจริงๆ 


 


 


โยวหมิงอวี่ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็อึ้งไป “ล้อเล่นหรือเปล่า ตำแหน่งราชันฟ้าเชียวนะ คนอยากเป็นกันจะตาย! ไม่รู้เหรอว่ามีคนที่เลื่อนเป็นระดับ B มาตั้งหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีใครได้รับเสนอตำแหน่งนี้เลย พวกเขาจะเป็นราชันฟ้าด้วยความสามารถที่มีไม่ได้” 


 


 


หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “ผมยังรับตำแหน่งนี้ไม่ได้จริงๆ” 


 


 


โยวหมิงอวี่พูด “ตบฉันทีสิ นี่ฉันกำลังฝันไปอยู่หรือเปล่า” 


 


 


หลี่ว์ซู่ตอบกลับ “พูดอะไรออกมาครับเนี่ย!” 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้ทำอะไรออกไป เขาไม่ได้จะให้หลี่ว์ซู่ตบหน้าเขาจริงๆ ใช่ไหม แต่แล้วโยวหมิงอวี่ก็เร่งเขา “เอาเลย ตบเลย เร็วสิ!” 


 


 


หลี่ว์ซู่อึ้งทำอะไรไม่ถูก ทำไมขอกันแปลกๆ เนี่ย เขาลังเลไปนิดหนึ่งก่อนจะมือตบเข้าให้ 


 


 


เพียะ! 


 


 


“โอ๊ย!” โยวหมิงอวี่ตะโกนออกมา 


 


 


หลี่ว์ซู่อึ้ง 


 


 


เสี่ยวอวี๋งุนงง 


 


 


เจ้ากระรอกเองก็งงเหมือนกัน 


 


 


เอาจริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ตบใครเข้าไป ทำไมเขารู้สึกว่าถูกหลอกใช้เลยล่ะ… 


 


 


เสี่ยวอวี๋มองไปทางโยวหมิงอวี่ “เขาดูไม่ใช่คนที่ดูจริงจังอะไรแบบนั้นเลยนะ” 


 


 


ส่วนกระรอกเสี่ยวเสี่ยวซยงสวี่ไม่เข้าใจกับสิ่งที่พวกมนุษย์ทำกันในเวลาว่างเลย พวกมนุษย์นี่ช่างแตกต่างจากสายพันธุ์ของมันเสียจริงๆ 


 


 


“อะแฮ่ม” หลี่ว์ซู่มีสีหน้าแปลกๆ “ขอบคุณสำหรับของพวกนี้นะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับไปได้แล้วล่ะครับ ไว้ผมจะลองเช็กของพวกนี้ดู” 


 


 


โยวหมิงอวี่เอ่ยก่อนจากไป “แม้ว่านายจะต้องปิดบังตัวตนของตัวเองและต้องปกป้องพวกกลุ่มพวกนั้นแบบลับๆ แต่ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่านายสามารถเปิดเผยตัวตนและนำทางกลุ่มไปตอนไหนก็ได้นะ ถ้าทุกอย่างมันเสี่ยงเกินไป นายก็ได้รับอนุญาตให้ทิ้งพวกเขาออกมาได้ บางทีมันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสถานการณ์ที่ไม่มีหวังแบบนั้น”  

 

 


ตอนที่ 633 เจอกันอีกแล้วนะอวิ๋นอี่

 

หลังจากได้ยินแบบนั้น หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกดีที่เนี่ยถิงเห็นเขาสำคัญมากขนาดนี้ คงดีถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าไปเจอเหตุการณ์ชวนสลดขึ้นมาและทำอะไรไม่ได้จริงๆ ก็คงดีกว่าถ้าไม่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง 


 


 


ทุกคนต่างก็หวังอยากให้ผลเป็นไปตามที่คิดไว้ ทุกคนเดินทางไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยและสามารถผูกสัมพันธ์สร้างพันธมิตรใหม่ๆ ที่สามารถช่วยพวกเขาได้ แต่ปัญหาคือความหวังมันช่วยอะไรไม่ได้น่ะสิ 


 


 


ใครจะสามารถบอกได้ว่ากลุ่มนี้จะไม่ไปเจออันตรายเข้า แน่ละว่าไม่มีใครบอกได้หรอก 


 


 


ถ้าไม่สามารถหลบเลี่ยงอันตรายได้และไม่มีใครสามารถรอดออกไปได้เลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการรักษาชีวิตของหลี่ว์ซู่ไว้ 


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปพักหนึ่ง และในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาว่า “ฝากบอกราชันฟ้าเนี่ยด้วยว่าผมจะพาคนพวกนั้นกลับมาแบบครบ สามสิบสองให้ได้ ผมจะจะปกป้องคนพวกนั้นให้ดีที่สุดเลย” 


 


 


วันต่อมาหลี่ว์ซู่รีบไปที่หมู่บ้านหลิว ตอนแรกเขาคิดว่าโรงแรมคงต้องใช้เวลาสร้างราวหนึ่งถึงสองเดือน ไม่คิดเลยว่าจะได้รับแจ้งจากหลี่อีเสี้ยวว่าโรงแรมนั้นสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเร็วขนาดนี้ 


 


 


ไม่ใช่แค่เสร็จอย่างเดียวนะ ครอบครัวน่าลานยังได้เข้ามาบริหารด้วยแล้วอีกต่างหาก 


 


 


พวกเขามีธุรกิจขนาดใหญ่หลายอย่าง รวมถึงมีธุรกิจโรงแรมที่เป็นเครืออยู่ด้วย ตอนนี้การสร้างโรงแรมขึ้นมาแล้วจ้างให้หน่วยงานอื่นมาบริหารดูแลแทนนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว อย่างโรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนเชียลเองก็ใช้ระบบนี้เหมือนกัน 


 


 


ในตอนที่หลี่ว์ซู่ไปถึงหมู่บ้านหลิว เขาก็เห็นหลี่อีเสี้ยวกำลังจัดแจงให้คนเอาป้ายไปแขวน มีโรงแรมสองแห่งอยู่ข้างกัน โรงแรมแรกเป็นโรงแรมของหลี่ว์ซู่ซึ่งยังไม่ได้ตั้งชื่อ ส่วนอีกที่เป็นของหลี่อีเสี้ยว ใช้ชื่อว่า… 


 


 


หลี่ว์ซู่อ่านป้ายที่เพิ่งยกขึ้นแล้วสับสนมาก มีข้อความพิมพ์ไว้บนป้ายว่า ‘โรงแรม รักเมีย รักชีวิต อย่าคิดซ่อนเงินจากเมีย ห้ามเถียง ห้ามตอกกลับ’ 


 


 


“เพิ่งเห็นโรงแรมชื่อยาวแบบนี้เป็นครั้งแรกนะ…” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ 


 


 


น่าหลานเชวี่ยนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ มาดของเธอดูเป็นเถ้าแก่เนี้ยใช้ได้ หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เหนือฟ้ายังมีฟ้าสินะ ไม่คิดเลยว่าหลี่อีเสี้ยวจะกลัวมากได้ขนาดนี้ ใครจะไปนึกละว่าน่าหลานเชวี่ยที่มาจากครอบครัวร่ำรวยนั้นจะยอมวางมือ ไม่สานต่อธุรกิจที่บ้านและมาบริหารโรงแรมเล็กๆ กับหลี่อีเสี้ยวได้ 


 


 


แถมหลี่ว์ซู่ยังเพิ่งสังเกตเห็นอีกว่ามีพนักงานชายเพียงคนเดียวเท่านั้นในโรงแรมนี้ 


 


 


ตอนที่น่าหลานเชวี่ยเห็นหลี่ว์ซู่ หน้าตาเธอก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันที 


 


 


“หลี่ว์ซู่ มากินข้าวกลางวันด้วยกันเร็ว!” 


 


 


สีหน้าของหลี่อีเสี้ยวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “เราเพิ่งเปิดโรงแรม! มากินที่นี่ดีกว่ามา!” 


 


 


น่าหลานเชวี่ยหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เดี๋ยวนี้มีเงินเก็บของตัวเองแล้วละสิ” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +199!] 


 


 


หลี่ว์ซู่เม้มปาก เขาขอไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้ไหมเนี่ย 


 


 


“เอาละ พูดถึงเรื่องสำคัญกันก่อน” หลี่อีเสี้ยวเปลี่ยนเรื่อง “ผู้จัดการหมู่บ้านนี่อวดดีชะมัด ตอนเขาเห็นพวกเราสร้างโรงแรม เขาก็เกทับด้วยการสร้างโรงแรมอีกสองที่ใกล้ๆ เราเสียเลย แถมยังไปเอาชาวบ้านคนอื่นเข้ามาร่วมด้วยอีกต่างหาก ถึงโรงแรมของพวกเราจะเหนือกว่าก็จริง แต่เขาก็อาจตัดราคาแข่งกับเราได้ น่าหลานกับฉันก็เลยคุยกันว่าจะวางแผนทำให้เขาล้มละลาย ว่าแต่นายน่ะ มีความคิดดีๆ บ้างไหม” 


 


 


พอหลี่ว์ซู่ได้ยินแบบนี้ก็ใจชื้นขึ้นมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องมาจัดการปัญหาในเมืองลั่วนี้ พวกชาวบ้านเคยคิดจะขายสตรอว์เบอร์รีในเรือนกระจกเพื่อหาเงินเพิ่ม 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็เก็บสตรอว์เบอร์รีไปเสียเกลี้ยง หลี่ว์ซู่ก็ยังมีความรู้ผิดชอบ คนพวกนี้มาเอาเปรียบเสี่ยวอวี๋เพราะคิดว่าเสี่ยวอวี๋นั้นกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ พวกเขามาขโมยผักกุยช่ายของพวกเขาไป หลี่ว์ซู่ใจดีมากแล้วที่ไม่ไปเผาทำลายบ้านของพวกเขาทิ้ง 


 


 


“ให้ผมจัดการเอง เราจะจัดการแบบคนมีระดับ ถ้าพวกเขาแย่งเอาธุรกิจนี้ไปได้ ผมก็ขาดทุนแย่” หลี่ว์ซู่พูดยิ้มๆ เขามีตราแผ่นดินอยู่ในมือ ถ้าเขาเพิ่มความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่โรงแรมทั้งสองแห่งแล้ว โรงแรมก็จะไม่ได้เป็นแค่เพียงสถานที่เติมเต็มความต้องการทั่วๆ ไป แต่จะกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกฝนแทน ไว้ตอนนั้นพวกเขาค่อยมาคิดเรื่องราคากันก็ยังไม่สาย 


 


 


ถึงโบราณสถานเป่ยหมังจะเป็นที่ที่มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณสูง แต่เมื่อผู้คนกว่าหมื่นคนเข้าไปที่นั่นพร้อมๆ กันและแบ่งพลังกัน ก็จะทำให้สถานที่นั่นกลายเป็นพื้นที่มีค่าพลังจิตวิญญาณน้อยลง กลายเป็นว่าจะสวนทางกันไปเสียอย่างนั้น 


 


 


แต่ที่ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่นี่สูงก็เพราะว่าหลี่ว์ซู่ได้ปลูกผักกุยช่ายไว้ที่นี่ ถ้ามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่นี่ก็คงสูงกว่าที่ที่ค่าพลังจิตวิญญาณสูงเสียอีก พูดได้เต็มปากเลยว่าตั้งแต่หลี่ว์ซู่ได้ตราแผ่นดินมา คนที่ได้ประโยชน์ก็เห็นจะเป็นเจียงซู่อี หลิวหลี่ และหลี่ว์ซู่เองนี่แหละ 


 


 


เนี่ยถิงรู้ว่าตราแผ่นดินนั้นอยู่กับหลี่ว์ซู่ และหลี่ว์ซู่ก็มั่นใจว่าเนี่ยถิงคงไม่ว่าอะไรกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี่หรอก 


 


 


ในขณะที่หลี่ว์ซู่นั้นกำลังคึกคัก เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ ดังมาจากทางด้านหลังเขา เสียงเย็นๆ นั่นเอ่ยถามน่าหลานเชวี่ยว่า “มีห้องว่างไหมคะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่หันกลับไปแล้วก็ต้องตัวแข็ง เขาจำเสียงนี้ได้ตั้งแต่ก่อนหันไปเสียอีก ปรมาจารย์หุ่นเชิดอวิ๋นอี่นี่เอง! 


 


 


เมื่อน่าหลานเชวี่ยเห็นผู้หญิงหน้าตาดีตรงหน้า เธอก็อยากเอ่ยปฏิเสธไป ขนาดพนักงานทั้งหมดในโรงแรมยังเป็นผู้ชายหมดเลยนี่ หลี่อีเสี้ยวนั้นรู้ตัวทันทีว่าจะต้องปฏิเสธ… 


 


 


ในตอนนี้มีแขกสาวสวยสะเทือนเลือนลั่นคนนี้เข้ามา น่าหลานเชวี่ยที่กำลังอารมณ์เสียแบบนี้คงไม่มีทางปล่อยให้เธอเข้ามาพักที่โรงแรมแน่ 


 


 


หลี่ว์ซู่ที่เคยพบอวิ๋นอี่มาก่อนแล้วหันไปมองน่าหลานเชวี่ย แล้วทันใดนั้นน่าหลานเชวี่ยก็พูดออกมาโดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย “มีห้องว่างค่ะ จะเลือกเป็นห้องเตียงคู่หรือห้องธรรมดาดีคะ พวกเราเพิ่งเปิดใหม่ๆ ลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลยแล้วกัน” 


 


 


หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมา ปรมาจารย์หุ่นเชิดนั้นเป็นตัวอันตรายของประเทศเลย เขากลัวว่าน่าหลานเชวี่ยจะปฏิเสธเธอ และก็คงทำลายโรงแรมนี้ราบเป็นหน้ากลองในเวลาไม่กี่นาที 


 


 


ถึงหลี่ว์ซู่จะมั่นใจว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดนั้นกำลังหลบซ่อนตัวอยู่และก็คงไม่บ่นอิดออดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรอก แต่ใครจะยืนยันได้ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดละ 


 


 


เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ใช่เหรอครั้งนั้นน่ะ ราชันฟ้าเนี่ยครับ คุณพึ่งพาได้จริงๆ ใช่ไหม 


 


 


หลี่ว์ซู่หันหลังให้อวิ๋นอี่ตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่ทำไม เธอรู้แล้วเหรอว่าเขาอยู่ที่นี่ นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย เธอคงจะฆ่าเขาทิ้งทันทีไปแล้ว คงไม่เข้ามาถามหรอกว่ามีห้องว่างหรือเปล่า 


 


 


แล้วที่หมู่บ้านหลิวและเมืองลั่วนี่มันพิเศษอะไรนักหนา หลี่ว์ซู่ค่อยๆ คิด ที่นี่มีวิทยาลัยผู้บำเพ็ญและมีตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ทั้งสองที่นี่ดึงดูดพวกผู้บำเพ็ญกันมาอยู่แล้ว 


 


 


และโรงแรมนี่… ก็เป็นพื้นที่ที่มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณสูงอีก 


 


 


ปรมาจารย์หุ่นเชิดก็ต้องฝึกฝนด้วยสินะ เธอถึงได้มาเลือกที่ที่มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณสูงแบบนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา 


 


 


นี่เหมือนกับว่าหลี่ว์ซู่ทำร้ายตัวเขาเองเลย เขาต้องมาคิดว่าอยากจะได้เงินมาน้อยๆ เพื่อมาเพิ่มความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในโรงแรมนี้ดีหรือเปล่า ความคิดนี้เชื่อได้เลย 


 


 


หลี่ว์ซู่รอจนกระทั่งอวิ๋นอี่เดินไปที่ห้องของตัวเองก่อนจะเดินออกมาจากโรงแรม พอเขาเดินออกมาประมาณหนึ่งกิโลเมตรแล้วเขาก็รีบวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่วิ่งอยู่นั้นเขาก็รีบโทรหาเนี่ยถิง “ไหนบอกว่าเธอหายไปแบบไร้ร่องรอยไง ปรมาจารย์หุ่นเชิดอยู่ที่หมู่บ้านหลิวแล้วเนี่ย! พาคนมาล้อมแล้วกำจัดเธอทิ้งเถอะครับ!” 


 


 


เนี่ยถิงฟังแล้วก็เงียบไป จะให้ไปกำจัดระดับ A กลางเมืองเนี่ยนะ มันคุ้มกันเหรอที่จะสละชีวิตคนครึ่งเมืองเพื่อทำอย่างนั้นน่ะ 


 


 


เพราะระดับ A ถึงเป็นพวกยอดฝีมือ พวกเขาเป็นเหมือนระเบิดปรมาณู ไม่ว่าพวกเขาจะไประเบิดที่ไหนก็ต้องมีคนในพื้นที่โดนลูกหลงจนเจ็บและทรมานไปด้วยแน่ๆ 


 


 


เครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่สามารถจะป้องกันไม่ให้ปรมาจารย์หุ่นเชิดเข้ามาในประเทศได้ พวกเขาทำได้แค่ค่อยๆ เข้าหาและจับตาดูอย่างใกล้ชิดเท่านั้น รวมถึงต้องคอยหาวิธีอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน  

 

 


ตอนที่ 634 บทลงโทษ

 

เสียงของเนี่ยถิงในสายเงียบไป หลี่ว์ซู่รู้ได้ทันทีว่าแผนของเขาฟังแล้วไม่สมเหตุสมผลเลย เขารู้แหละว่าหัวหน้าของเครือข่ายฟ้าดินอย่างเนี่ยถิงคงไม่เข้าไปเผชิญหน้ากับปรมาจารย์หุ่นเชิดตรงๆ หรอก เธอมีพลังระดับ A อีกทั้งยังอยู่ใกล้เมืองมากเกินไป ต้องคิดถึงผลที่จะตามมาว่ากระทบต่อส่วนรวมมากแค่ไหน 


 


 


ไม่ใช่ว่าเนี่ยถิงกลัวหรอก แต่เป็นเพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะปรมาจารย์หุ่นเชิดได้จริงๆ หรือเปล่า แถมชีวิตของผู้บริสุทธิ์จะต้องเสียไปอีกเท่าไหร่ในการต่อสู้ของพวกคนระดับ A 


 


 


เครือข่ายฟ้าดินและองค์กรผู้บำเพ็ญอื่นๆ ต่างกันเพราะองค์กรอื่นๆ นั้นมีวัตถุประสงค์หลักในการดูแลธุระระหว่างประเทศและทรัพยากรการบำเพ็ญ ในขณะที่เครือข่ายฟ้าดินนั้นวางตัวเหมือนเป็นผู้คอยปกป้องคนอื่นมากกว่า 


 


 


เนี่ยถิงมองว่าตนไม่คู่ควรที่จะเป็นหัวหน้าของเครือข่ายฟ้าดิน หากเขาดึงดันไปประจันหน้ากับปรมาจารย์หุ่นเชิดในเมืองลั่วโดยมีเมืองทั้งเมืองเป็นเดิมพัน 


 


 


หลี่ว์ซู่เลยเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง ถ้ามีคนที่มีพลังระดับ A อยู่ในเมือง แล้วมีระเบิดปรมาณูอยู่หนึ่งลูก เขาจะกล้ากดสั่งยิงระเบิดไปที่เมืองนั้นจริงๆ เหรอ 


 


 


เพราะฉะนั้นเครือข่ายฟ้าดินก็ต้องมีทางเลือกใหม่ ตอนนี้คนจากเครือข่ายฟ้าดินมาที่โรงแรมที่เพิ่งสร้างใหม่ของหลี่ว์ซู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีใครกล้าไปที่โรงแรมของหลี่อีเสี้ยวเลย เอ่อ… ว่าแต่ชื่อโรงแรมชื่ออะไรนะ 


 


 


ก่อนหน้านี้เครือข่ายฟ้าดินไม่ได้จับตามองหลี่อีเสี้ยวมาก เพราะยอดฝีมือคนนี้ไม่ค่อยชอบใจนักที่ตัวเองถูกจับตามอง ราวกับว่าเขามีสัมผัสที่หก รับรู้ได้ถึงลางบางอย่างหลังจากเชื่อมจิตกับสวรรค์และโลกได้ เพราะฉะนั้นหากปรมาจารย์หุ่นเชิดรู้ตัวว่าโดนจับตาดูอยู่ เธอก็อาจออกไปเข่นฆ่าสังหารคนไปทั่วได้ เครือข่ายฟ้าดินนั้นรอบคอบและระมัดระวังในการจัดการศัตรูมาก พวกเขาจะลอบสังเกตการณ์ศัตรูเพื่อประเมินพลังอยู่ไกลๆ และไม่เคยประมาทพลังของศัตรูเลย และคนอย่างปรมาจารย์หุ่นเชิดที่ได้แสดงออกมาแล้วว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแค่ไหนก็คงจะไม่รอโดนจับตาด้วยเหมือนกัน 


 


 


ในอีกแง่หนึ่ง เครือข่ายฟ้าดินอยากเห็นว่าศัตรูจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางไหน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโรงแรมของหลี่ว์ซู่จึงถูกเลือก สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมและสื่อสารกันด้วยการเขียนลงกระดาษ ขนาดกล้องวงจรปิดยังถูกตั้งให้แสดงผลช้าไปสิบห้าวินาทีอีกด้วยเพราะกลัวว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดจะเห็นความผิดปกติได้หากตั้งไว้ตรงเวลา 


 


 


ในตอนบ่ายของวันเดียวกันนั้น เฉินไป่หลี่รีบรุดมาที่เมืองลั่ว เขาพักอยู่ที่วิทยาลัยลั่วเฉิงแบบเงียบๆ 


 


 


ถึงการไปดูแลชายแดนจะสำคัญเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้การจัดการบริเวณแถบชายแดนก็ดีขึ้นมากแล้ว แถมอันเชิงที่เพิ่งเลื่อนระดับเป็นระดับ B ก็สามารถช่วยเฉินไป่หลี่ตรวจดูแถวชายแดนทิเบตตอนใต้ชั่วคราวให้เขาได้แล้ว 


 


 


นี่แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายฟ้ามีคนที่มีความสามารถมากขนาดไหน และทางเครือข่ายฟ้าดินเองก็ไม่สามารถหาคนมาแทนได้ทัน ถ้าไม่เร่งการฝึกฝนบำเพ็ญให้เร็วมากพอ 


 


 


เมื่อเนี่ยถิงเห็นว่าอวิ๋นอี่มาถึงที่นี่ เขาก็ตัดสินใจที่จะส่งหลี่ว์ซู่ออกนอกประเทศทันที แทนที่จะเป็นอีกสามวันให้หลังอย่างที่วางแผนไว้ตอนแรก พอหลี่ว์ซู่ไม่อยู่ในประเทศแล้ว ปรมาจารย์หุ่นเชิดอาจจะไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มหลังจากที่ไปเผชิญหน้ากับนักบุญมาแล้วก็ได้ 


 


 


พวกเขาคงไม่อยากบุ่มบ่ามเข้าหาเป้าหมายหากหลี่ว์ซู่ไม่อยู่ในประเทศแล้ว 


 


 


เอาจริงๆ หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรนักหรอก เขาควรจะไปต่างประเทศเพื่อไปกวนประสาทคนอื่นๆ สิ แต่นี่ดูเหมือนเขาต้องหนีไปต่างประเทศเพราะลี้ภัยมากกว่า 


 


 


เขาสงสัยว่าอวิ๋นอี่จะอยู่ในประเทศจีนต่อไปอีกนานแค่ไหน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาพักแค่ระยะเวลาสั้นๆ เลยนะ แต่เธอมาทำอะไรกันล่ะ เธอเป็นถึงระดับ A แล้ว ซึ่งแปลว่าเธอไม่จำเป็นต้องรับคำสั่งจากใครในโลกนี้ก็ได้ แต่ทำไมเธอถึงดูท่าทางเหมือนกำลังรับใช้ใครสักคนอยู่ 


 


 


แถมตอนนั้นเองเธอยังอยากฆ่าปลาเล็กสีขาวตอนรู้ว่าโดนหักหลังด้วย ดูเหมือนว่าเป้าหมายที่พวกเขากำลังทำกันอยู่คือการตามล่าหาพวกลูกน้องเก่าให้มารับใช้นาย 


 


 


แต่ทำไมพวกลูกน้องเก่าๆ ถึงไปอยู่ในโบราณสถานได้ล่ะ หลี่ว์ซู่เริ่มคิดไปถึงกลุ่มโบราณอี และอีกกลุ่มหนึ่ง… ที่อาจเกี่ยวกับที่มาของการฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณก็ได้ 


 


 


พอหลี่ว์ซู่เก็บของเสร็จ เขาก็รีบไปที่สถานีรถไฟเมืองลั่วเพื่อไปพบกับกลุ่มนักบำเพ็ญลับ เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นหลี่เถิงแล้วเรียบร้อย ถ้าตามแผนก็คือพวกเขาจะบินเข้าประเทศรัสเซียก่อน จากนั้นก็จะปฏิบัติารกิจภายใต้ชื่อว่ากลุ่มแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ 


 


 


องค์กรผู้บำเพ็ญของรัสเซียนั้นแผ่ขยายอำจาจไปถึงในยุโรปเลย แล้วที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะต้องหลีกเลี่ยงอาณาเขตของฝ่ายศรัทธาด้วย ปัจจุบันกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความทะเยอทะยานที่จะแผ่อำนาจขยายอาณาเขตมาก เครือข่ายฟ้าดินหวังว่าจะสามารถผูกพันธมิตรจากฝั่งยุโรปได้ และจะขัดขวางการขยายอำนาจของพวกเขาด้วย 


 


 


แล้วในที่สุดกลุ่มแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ก็เดินทางมาถึงสวีเดนแล้ว และพวกเขาก็เข้าร่วมกับกลุ่มเทพเจ้าทันที… 


 


 


พอหลี่ว์ซู่ได้ยินดังนั้น เขาก็รู้ว่าเนี่ยถิงโกหกเรื่องหน้าที่ของเขาในภารกิจนี้มาโดยตลอด เนี่ยถิงอยากให้เขาใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่มีกับคอรัลในภารกิจครั้งนี้ ไม่ใช่ให้มาปกป้องกลุ่มอะไรหรอก 


 


 


ปรมาจารย์หุ่นเชิดออกไปจากโรงแรมก่อนที่หลี่ว์ซู่จะออกเมืองไปเสียอีก ทุกคนประหลาดใจมากที่ครั้งนี้เธอไปที่กลางใจเมืองเพื่อไปซื้อของใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นค่อยไปดูหนังแล้วไปกินหม้อไฟจีนในร้านอาหารเฉวียนโจว… 


 


 


สมาชิกทุกคนในเครือข่ายฟ้าดินรวมถึงหลี่ว์ซู่ถึงกับพูดไม่ออก เธอดูเหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไปเท่านั้น 


 


 


ตอนนั้นหลี่ว์ซู่ออกไปเดินเล่นแถวๆ สวนสตรอว์เบอร์รีของหัวหน้าหมู่บ้านก่อนที่เขาจะไป เขาได้เด็ดขโมยสตรอว์เบอร์รีมาเพื่อเป็นขนมไว้กินระหว่างทาง น่าหลานเชวี่ยบอกว่าหัวหน้าหมู่บ้านได้ทิ้งเศษขยะจากการก่อสร้างไว้ที่หน้าประตูโรงแรมของพวกเขาตอนเที่ยงคืน ร้ายกาจอะไรแบบนี้! 


 


 


จากนั้นหลี่ว์ซู่เลยเอาสีแดงที่ได้มาจากกลุ่มทวยเทพออกมา และเขียนลงบนกำแพงโรงแรมที่เพิ่งสร้างใหม่ตัวใหญ่เป้งว่า ‘เอาออกไป’ 


 


 


พอหัวหน้าหมู่บ้านกลับมาตรวจดูความคืบหน้าในการก่อสร้างต่อ เขาก็อึ้งจนพูดไม่ออก คนบ้าที่ไหนมาทำอะไรแบบนี้เนี่ย! 


 


 


แล้วภรรยาของเขาก็รีบออกมารายงานเขาว่าสตอรว์เบอร์รีหายไปหมดแล้ว… 


 


 


ในตอนนี้เอง หัวหน้าหมู่บ้านก็รู้ได้ทันทีเลยว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เขาได้นำคนจำนวนหนึ่งไปยังโรงแรมของหลี่ว์ซู่ แต่ละคนต่างถือท่อเหล็กที่ได้จากสถานที่ก่อสร้างมาในมือ นี่เป็นบทเรียนที่เขาได้รับ ไม่มีนักเรียนห้องเต้าหยวนคนไหนหรอกที่จะหนีรอดลอยนวลไปได้หลังจากมาหาเรื่องพวกชาวบ้านแบบนี้ วิธีก็คือส่งคนไปแอบถ่ายวิดิโอเอาไว้และอัปโหลดออนไลน์ซะหากพวกนักเรียนกล้าใช้ความรุนแรง จากนั้นเดี๋ยวนักเรียนพวกนี้ก็จะถูกรุมสั่งสอนจากบรรดาคอมเมนต์ออนไลน์จนหลาบจำและไม่กล้าทำอีก! 


 


 


กลุ่มชาวบ้านรีบมุ่งหน้าไปที่โรงแรมอย่างอุกอาจ แต่พอไปถึงก็พบว่าประตูหน้าปิดสนิทและข้างในเงียบมาก ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านเลยถีบประตูเข้าไปด้วยความโมโห 


 


 


ทันใดนั้นก็มีเสียง แกร๊ง! ดังตัดความเงียบขึ้นมา พวกเขาเห็นกลุ่มพวกเครือข่ายฟ้าดินอยู่ในโรงแรม แต่ละคนถือดาบอยู่ในมือและเตรียมตัวพร้อมสู้ 


 


 


สมาชิกเครือข่ายฟ้าเห็นแล้วก็พูดไม่ออก พวกเขาคิดว่านั่นเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิดที่กลับมาจากร้านหม้อไฟเสียอีก! 


 


 


หัวหน้าสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินถามด้วยสีหน้าน่ากลัว “ยกพวกมาทำอะไรกันที่นี่!” 


 


 


ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านมองไปที่ท่อเหล็กในมือของตัวเองแล้วเลยถามออกไป 


 


 


“พี่ชาย อยากดูโชว์เต้นรูดเสาหรือเปล่า” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวเหว่ยต้ง +999!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


ทันใดนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็เข้าใจในทันทีว่าลูกชายของเขาจะเปลี่ยนเรื่อง ก็สมาชิกเครือข่ายฟ้ามาอยู่ที่นี่กันแทนนี่นา! โอ๊ย! 


 


 


ช่างน่ารังเกียจอะไรแบบนี้! 


 


 


ในขณะนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไปถึงสถานีรถไฟแล้ว ดูจากเวลาแล้วป่านนี้หัวหน้าหมู่บ้านน่าจะโดนลงโทษเรียบร้อยแล้วล่ะ และปรมาจารย์หุ่นเชิดก็กำลังกินหม้อไฟอยู่ที่ร้านอาหารและยังไม่กลับมาที่โรงแรมเลย งั้นครั้งนี้ครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านก็คงจะได้รับบทเรียนแล้วละนะ…  

 

 


ตอนที่ 635 อุปสรรคกีดขวาง

 

หลี่ว์ซู่เริ่มออกเดินทางแล้ว เนี่ยถิงไม่ได้บอกเขาว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดอวิ๋นอี่นั้นเข้าประเทศอินเดียมาพร้อมตั๋วเครื่องบินและวีซ่าอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งวันให้หลังจากที่หลี่ว์ซู่จากไป 


 


 


เธอต้องถูกตะเพิดออกจากอาณาเขตของประเทศจีน… 


 


 


เนี่ยถิงมองดูวิดีโอจากกล้องวงจรปิดอย่างไม่วางตาในฐานลับใต้ดิน สือเสวจิ้นไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่นักจึงเอ่ยถาม “แล้วปรมาจารย์หุ่นเชิดมาทำอะไรที่นี่กัน แต่ดูเหมือนเราจะคิดถูกนะที่ว่าพวกมันสนใจอินเดียเป็นพิเศษในฐานะที่เป็นประเทศแทรกซึมเข้าไปได้ง่ายน่ะ” 


 


 


“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ” เนี่ยถิงตอบเสียงเรียบ “เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะรู้ตัวจริงของหลี่ว์ซู่แล้วก็ได้” 


 


 


พอคิดถึงเรื่องที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดพักอยู่ที่หมู่บ้านหลิวแล้วก็ยิ่งสับสน นอกจากนี้เธอยังเดินทางด้วยเที่ยวบินเดียวกับหลี่ว์ซู่ด้วย สองเหตุการณ์นี้จะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ น่ะหรือ หรือเป็นแผนที่วางเอาไว้กันแน่ 


 


 


“แต่เรื่องของเรื่องก็คือทำไมเธอไม่ลงมือทำอะไรเลยถ้าเธอรู้ตัวจริงของหลี่ว์ซู่แล้ว” สือเสวจิ้นไม่เข้าใจ “ผมเชื่อว่าเธอน่าจะรอดูหรือรอทำอะไรบางอย่างในเมืองลั่วอยู่นะครับ” 


 


 


“ก็เป็นไปได้นะ” เนี่ยถิงพยักหน้ารับรู้ “ว่าแต่ว่าทำไมโบราณสถานที่ภูเขาหลงเหมินในเมืองลั่วยังไม่เปิดสักทีล่ะ มีอะไรหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ การคาดการณ์เรื่องโบราณสถานเขาหลงเหมินนั้นประเมินจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเราเหมือนกัน เดี๋ยวนี้มีพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกวัน ผู้บำเพ็ญเองก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แต่การคาดเดาเรื่องโบราณสถานภูเขาหลงเหมินน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพราะเราไม่เจออะไรผิดปกติรอบๆ นั่นเลย” สือเสวจิ้นพูด “อีกอย่างคุณว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับกลุ่มของหลี่ว์ซู่ไหมครับ ผมว่าเขาไปคนเดียวน่าจะดีกว่า” 


 


 


เนี่ยถิงหันไปมองสือเสวจิ้น “หมายถึงจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือกับคนอื่นๆ นะ” 


 


 


“แน่นอนว่าเป็นคนอื่นสิครับ…” 


 


 


… 


 


 


กลุ่มของหลี่ว์ซู่เข้ามารวมตัวกันที่ตู้โดยสารที่แยกออกมาจากคนอื่นๆ พวกเขาจะนั่งเครื่องบินจากเมืองหลวงไปและจะทำตามแผนที่วางไว้ 


 


 


เขาตรวจดูทุกคนในตู้โดยสาร กลุ่มเจรจาที่เขาพามาด้วยนั้นประกอบไปด้วยสมาชิกเพียงสามคนเท่านั้น เป็นผู้หญิงหนึ่งคน และผู้ชายสองคน แต่ละคนใส่ชุดสูทและสวมแว่นตาอย่างภูมิฐาน 


 


 


แต่กลุ่มผู้บำเพ็ญลับนั้นต่างออกไป พวกเขานอนอยู่ในตู้โดยสารไปทั่ว ทั้งพูดคุยกัน สูบบุหรี่ และเล่นไพ่กันอย่างสนุกสนาน กลุ่มผู้บำเพ็ญลับมีกันสิบสี่คน รวมหลี่ว์ซู่และหัวหน้ากลุ่มที่มาจากเครือข่ายฟ้าดินด้วย 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่าหัวหน้าทีมจะอายุน้อยได้ขนาดนี้ แต่ถ้าไม่สนเรื่องอายุของเขาแล้ว ระดับพลังที่เขาปล่อยออกมาก็บอกได้ว่าเขาอยู่ระดับ C ขั้นสูงแล้ว เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อเซี่ยเหรินเซิงและเขาได้รับการฝึกมาแล้ว รวมถึงเชี่ยวชาญภาษารัสเซี่ยและภาษาอังกฤษอีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาได้รับตำแหน่งนี้ 


 


 


พวกผู้ดีนักเจรจาหยิบปึกกระดาษหนาๆ บางอย่างออกมาในตอนที่ขึ้นมานั่งบนรถไฟ หลี่ว์ซู่มองกระดาษปึกนั้นอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าพวกเขากำลังอ่านข้อมูลสำคัญของภารกิจนี้อยู่ 


 


 


คนพวกนี้เตรียมตัวกันมาดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคุยกับคนที่ไม่มีความรู้ให้เข้าใจสถานการณ์กันทั้งสองฝ่าย 


 


 


ต้องยอมรับว่าคนพวกนี้มุ่งมั่นกับงานของพวกเขามาก พวกเขาใช้เวลาระหว่างเดินทางนี้ไปกับการอ่านข้อมูลและถกกันเงียบๆ อาจจะมีพักเข้าห้องน้ำกันบ้าง ช่างแตกต่างกับผู้บำเพ็ญรอบๆ เสียจริง 


 


 


พวกเขาเป็นพวกลักลอบขนส่งศิลาวิญญาณกันมาก่อนหน้าที่เครือข่ายฟ้าจะจ้างพวกเขามา ก็เลยทำให้พวกเขากลายเป็นพวกกล้าได้กล้าเสีย 


 


 


พวกเขาชินกับการเข้าไปในตลาดมืดและวางแผนอย่างเจ้าเล่ห์ ส่วนกลุ่มนักเจรจานั้นเป็นคนค่อนข้างหัวเก่า อนุรักษนิยมและมองโลกแบบตามขนบประเพณี 


 


 


อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ทำงานด้วยกันใต้การคุมของเซี่ยเหรินเซิง 


 


 


หลี่ว์ซู่แยกตัวเองออกมาเพราะเข้าไม่รู้จักใครในนั้นเลย เขาหลับตาและนอนลงบนเตียงตรงมุมตู้ 


 


 


เขาไม่เห็นว่าจะมีใครเชื่อถือได้สักคน เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยรู้จักอะไรกันมาก่อน เขาเป็นผู้คุ้มครองที่ไว้ใจได้ก็จริง แต่ไม่ใช่คนช่างจ้อ เข้าไปพูดคุยให้ความร่วมมือหรือความไว้วางใจกับใครหรอก 


 


 


ถึงแม้ว่าพวกผู้บำเพ็ญลับจะทำงานให้กับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรยืนยันว่านิสัยของพวกเขาจะเปลี่ยนไปด้วย 


 


 


หลี่ว์ซู่เคยสอดมือเข้าไปยุ่งในตลาดมืดมาพักหนึ่ง เขาจึงรู้ดีว่าผู้บำเพ็ญลับนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ดังนั้นหลี่ว์ซู่เลยจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของตัวเองในนี้ เพราะอาจมีคนทรยศเอาข้อมูลไปขายก็ได้ 


 


 


ผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนักเจรจาค่อนข้างวัยรุ่น ชื่อของเธอคือหลินกานอวี่ เธอสวมแว่นตากรอบดำที่ไหลมาตรงจมูก จู่ๆ เธอก็หันไปถามเซี่ยเหรินเซิง “คุณเซี่ยคะ ช่วยบอกคนพวกนั้นว่าให้เบาเสียงลงหน่อยได้ไหมคะ เรากำลังทำงานสำคัญทางการทูตที่เชื่อมระหว่างเครือข่ายฟ้าดินกับยุโรปอยู่นะคะ ขอให้เราได้คุยกันเงียบๆ หน่อยได้ไหมคะ” 


 


 


คำพูดของหลินกานอวี่นั้นสุภาพมาก แต่น้ำเสียงของเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้น 


 


 


“เธอมีงานให้ทำ เราก็มีงานของเราที่ต้องทำเหมือนกัน จะมาทำตัวข่มกันทำไม” ผู้บำเพ็ญลับที่ชื่อหลิวฝานตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะที่ไม่พอใจ 


 


 


หลินกานอวี่หรี่ตาด้วยความรำคาญ “การเล่นไพ่เป็นงานยังไงกันคะ” 


 


 


หลิวฝานจุดบุหรี่ขึ้นสูบในตู้โดยสาร ควันเหม็นตลบคลุ้งไปทั่วห้อง หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้วใส่เขา หลิวฝานคงไม่สนใจอะไรหรอกเพราะเขาเป็นคนสูบบุหรี่ แต่เขากล้ามาสูบในตู้โดยสารอับๆ ที่ไม่มีช่องรระบายอากาศแบบนี้ได้ยังไง 


 


 


หลิวฝานก็แยกเขี้ยวพูด “เราจะทำงานได้ดีตอนเรามีความสุข อย่ามายุ่งน่า!” 


 


 


หลินกานอวี่ระเบิดอารมณ์โกรธขึ้นมาทันที “อันธพาลอย่างพวกคุณจะทำงานดีได้ยังไงคะ ดูสิว่าพวกคุณทำอะไรกันในรถไฟนี่! ทั้งเล่นไพ่ ทั้งคุยเสียงดัง แล้วก็คนนั้นอีก คนที่หลับตั้งแต่รถไฟเคลื่อนขบวน! จะทำงานอะไรกันได้ถ้าพวกคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย!” 


 


 


หลี่ว์ซู่ “…” 


 


 


เขาเป็นคนเดียวที่นี่ที่กำลังหลับ งั้นเธอก็กำลังพูดถึงเขาอยู่น่ะสิ! จะทะเลาะอะไรกันก็เชิญเถอะ แต่อย่าเอาคนไม่รู้เรื่องเข้าไปเกี่ยวด้วยได้ไหม 


 


 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกสงสารพวกนักเจรจากันอยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่อีกต่อไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช่คนดีกันทั้งนั้นแหละ แต่ยังต้องเดินทางกันอีกนาน มาๆ มาทะเลาะกันหน่อยซิ 


 


 


แล้วเซี่ยเหรินเซิงก็คลี่ยิ้ม เขาตบบ่าพวกนักบำเพ็ญลับเบาๆ ก่อนจะดับบุหรี่ด้วยนิ้วของเขาเอง “ดูกฎของที่นี่ตอนเราเดินทางหน่อยนะ เอาเถอะ ไปพักผ่อนกันได้” 


 


 


แค่คำพูดประโยคเดียวของเขา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับดีกว่าประโยคยาวเหยียดของหลินกานอวี่เสียอีก ไม่มีผู้บำเพ็ญคนไหนกล้าขัดคำสั่งของเครือข่ายฟ้าดิน เพราะยังไงพวกเขายังต้องพึ่งซุกหัวกับเครือข่ายฟ้าดินอยู่ 


 


 


พวกนักบำเพ็ญหัวเราะกลับและแยกย้ายกันไปนอนพัก แต่ก็ยังสบถไประหว่างทางก่อนจะเดินไปถึงเตียง นี่ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขายอมพราะเห็นแก่หน้าของเซี่ยเหรินเซิง ไม่ได้ทำเพื่อพวกนักเจรจา 


 


 


หลี่ว์ซู่ได้แต่ฟังเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นขณะหลับตาอยู่ บางทีนี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นล่าง ไม่มีฝ่ายไหนยอมกันหรอก หลี่ว์ซู่ตรวจดูภูเขาพลังของตัวเองว่าไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้มันไม่ค่อยคืบหน้าเลยตั้งแต่กลับจากโบราณสถานมา ภูเขานั้นไปได้แค่ครึ่งเดียวจากขนาดปกติ และการขุดภูเขาก็ยิ่งยากขึ้นและนานขึ้นทุกวัน  

 

 


ตอนที่ 636 ลูกน้องที่ไว้ใจได้

 

แล้วหลี่ว์ซู่ก็คิดอะไรอย่างหนึ่งออก เขาต้องการอีกห้าสิบแต้มเท่านั้นในการจุดประกายดวงดาวดวงที่เจ็ด! 


 


 


หลี่ว์ซู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที การเก็บแต้มสามล้านสองแสนของเขามาถึงจุดจบเสียที การเลื่อนระดับเป็นระดับ B ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว! 


 


 


ไม่ได้การแล้ว เขาต้องหาแต้มอารมณ์ตอนนี้เลย! 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงมองหลี่ว์ซู่ที่กำลังเขยิบมามุมหนึ่ง หลี่เถิงคนนี้ไม่พูดไม่จา แถมยังดูรับมือง่ายกว่าพวกผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ นอกจากนี้หลี่เถิงยังดูเป็นคนเดียวที่ไม่ก่อเรื่องเพิ่มให้เขาในตู้โดยสารนี้ เซี่ยเหรินเซิงเริ่มเศร้าๆ ขึ้นมา ถึงเขาจะฝึกมามาก แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้า 


 


 


จริงๆ แล้วการที่หลี่ว์ซู่ได้เข้ามาร่วมกับกลุ่มนี้นั้นถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ข้อมูลที่เซี่ยเหรินเซิงได้มาบอกแค่ว่าเขาชื่อหลี่เถิงเท่านั้น ส่วนข้อมูลอื่นๆ ของหลี่ว์ซู่นั้นถูกเก็บไว้เป็นความลับขั้นสูงสุด เซี่ยเหรินเซิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูได้ 


 


 


หัวหน้านำกลุ่มอย่างเขาก็อยากจะได้ลูกน้องที่ไว้ใจได้สักคนหนึ่งในการเดินทางครั้งนี้ เพราะต่อให้มีความขัดแย้งภายในกลุ่ม อย่างน้อยเขาก็ยังพแควบคุมอะไรได้ง่ายขึ้น 


 


 


การเป็นหัวหน้านั้นไม่ง่ายเลย หากมีสิ่งที่ยากจะอธิบาย เขายังใช้ลูกน้องที่ไว้วางใจในกลุ่มเป็นกันชนให้ได้ คนหนึ่งรับบทโหด ส่วนอีกคนก็คอยรับบทใจดี แบบนี้สิค่อยนับเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีขึ้นหน่อย 


 


 


แต่กระนั้นแล้วเซี่ยเหรินเซิงก็หมายมั่นเล็งเป้าเอาไว้แล้วว่าอยากให้หลี่ว์ซู่มาเป็นคนคนนั้น เพราะเขาเป็นคนที่ประพฤติตัวดีที่สุดแล้ว 


 


 


แต่แล้วเขาก็เห็นหลี่ว์ซู่ลุกขึ้นแล้วหยิบกล่องเต้าหู้เหม็นออกมาจากกระเป๋าแล้วค่อยๆ วางมันบนโต๊ะก่อนกลับไปนอนอีกรอบ เขาไม่ได้จะกินเต้าหู้เหม็นนี่ 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงไม่เข้าใจเลย หมอนี่เอาเต้าหู้เหม็นมาเดินทางด้วยทำไมเนี่ย แถมเอาออกมาแล้วก็ไม่กินอีก! 


 


 


แต่แล้วพวกผู้บำเพ็ญลับและกลุ่มนักเจรจาก็โมโหกันยกใหญ่! 


 


 


“โอ๊ย! กลิ่นบ้าอะไรเนี่ย!” 


 


 


“ไอ้โง่ที่ไหนเอาเต้าหู้เหม็นขึ้นรถไฟมาด้วยเนี่ย! รีบเปิดหน้าต่างเร็ว!” 


 


 


“จะบ้าเหรอ! เปิดหน้าต่างรถไฟได้ที่ไหนกันล่ะ! แล้วนี่เต้าหู้เหม็นของใครกัน เร็วเข้า รีบเอามันออกไปทิ้งซะ!” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +399!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเซี่ยเหรินเซิง…] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็มีลูกบ้าพอที่จนหาแต้มอารมณ์จำนวนหนึ่งจากรถไฟที่ปิดสนิทนี้จนได้… 


 


 


กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไม่คิดว่าตัวเองทำเกินไปหรอกนะ เพราะท้ายที่สุดแล้วที่นี่ก็ไม่มีคนจิตใจดีบนรถไฟสักคน… 


 


 


แต่เหตุการณ์นี้ทำให้หลี่ว์ซู่กลายเป็นบุคคลที่ทุกคนต่างก็เมินเฉยไม่สนใจ ทั้งพวกนักเจรจา ผู้บำเพ็ญลับ และเซี่ยเหรินเซิงเองก็ด้วย 


 


 


รถไฟมุ่งหน้าไปทางเหนือ การเดินทางในอนาคตจนกว่าจะไปถึงยุโรปของพวกเขานั้นยังคาดเดาไม่ได้เลย 


 


 


มีใครคนหนึ่งกล่าวไว้ว่าการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่สมบูรณ์แบบที่สุดนั้นจะต้องใช้น้ำแร่จากภูเขาหิมาลัยห้าร้อยมิลลิเมตร และต้มน้ำให้ถึงอุณหภูมิหนึ่งร้อยองศาเซลเซียส จากนั้นก็เทน้ำลงไปในบะหมี่และรอห้านาที 


 


 


หลังจากห้านาทีผ่านไปแล้วก็ค่อยเอาเส้นบะหมี่ออกมาใส่ในน้ำผสมน้ำแข็ง คนไปเรื่อยๆ จนกว่าบะหมี่จะเย็นตัวลงแล้วมันจะเด้งดึ๋งสู้ฟัน สุดท้ายค่อยใส่เครื่องปรุงและเทน้ำหนึ่งร้อยองศาเซลเซียสลงไปอีกรอบและรออีกสามนาที เมื่อครบเวลาแล้วให้รับประทานทันที 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการจะต้มบะหมี่ที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่เกี่ยวว่าควรจะต้มมันอย่างไร แต่อยู่ที่ว่ากินมันอย่างไรต่างหาก บางคนก็ชอบกินตอนอยู่ร้านเกมมาทั้งคืน บ้างก็ชอบกินตอนนั่งรถไฟ หรือบ้างคนก็ชอบกินตอนใส่หม้อไฟเหมือนกับในซีรีส์เกาหลี และบางคนก็ชอบกินตอนดูหนัง 


 


 


แต่สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วเขาชอบกินตอนคนอื่นกินไม่ลงนี่แหละ 


 


 


หลี่ว์ซู่ถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมานั่งข้างพวกผู้บำเพ็ญลับ เขานั่งฟังคนพวกนั้นคุยกัน และผ่านไปไม่นานหลิวฝานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “นี่ น้องชาย ไปกินที่อื่นได้ไหม ตอนแรกก็เต้าหู้เหม็นรอบหนึ่งแล้วนะ ตอนนี้ยังจะมากินบะหมี่อีก นี่มาทำภารกิจจริงๆ หรือเปล่า” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +99…] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยจื่อเฉิน +99…] 


 


 


ทั้งตู้รถไฟนั้นปิดสนิท ตอนแรกทุกคนคิดว่าจะซื้ออะไรบนรถไฟกินได้ แต่นี่เป็นภารกิจ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น ทุกคนก็เลยรู้สึกแย่ที่จะพกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาด้วย 


 


 


แต่ตอนนี้ทุกคนก็ไม่สามารถซื้อมันได้แล้ว และพวกเขาก็ไม่ได้เอามันมาอีก… 


 


 


หลี่ว์ซู่ก็ถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเดินออกไปอย่างมีความสุข เขาเข้าหาทั้งกลุ่มนักเจรจาและกลุ่มผู้บำเพ็ญลับเพื่อฟังว่าพวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจอย่างไรแล้ว หลังจากที่พูดไปสักพักพวกผู้บำเพ็ญลับก็พูดถึงตลาดมืดและพวกผู้หญิงแทน 


 


 


เขาได้ยินชื่อ ‘ท่านที่เคารพ’ ผ่านๆ ในหัวข้อที่พวกเขาคุยกัน เหมือนกับว่าท่านที่เคารพคนนั้นได้กลายเป็นตำนานของกลุ่มนักบำเพ็ญลับแล้ว ชายหนุ่มที่เก่งกาจในศิลปะการต่อสู้ เขาสวมผ้าคลุมสีขาวปลิวสะบัด แข็งแกร่งมากราวกัหลุดมาจากนิยาย 


 


 


ส่วนการพูดคุยของนักเจรจานั้นมีสาระมากกว่า หลี่ว์ซู่ได้ยินเบาะแสอะไรบางอย่างจากพวกเขา เครือข่ายฟ้าดินอยากจะขายดาบยาวมาตรฐานขององค์กรให้กับองค์กรเล็กๆ ที่ไม่มีท่าที่ว่าจะเป็นปรปักษ์กับเครือข่ายฟ้าดิน แล้วแลกเปลี่ยนเอาแร่มาจากพวกเขา 


 


 


แร่พวกนี้เป็นแร่โลหะที่สามารถเอาไปทำอาวุธฝึกซ้อมด้วยพลังทางจิตวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมาจากยุคการฟื้นคืนของพลังได้ 


 


 


เครือข่ายฟ้าดินมีแผนที่ดีทีเดียว พวกเขาสามารถตรวจสอบองค์กรใหญ่ๆ โดยการส่งอาวุธไปแลกเปลี่ยนกับพวกองค์กรเล็กๆ เพราะพวกองค์กรเล็กๆ พวกนี้ไม่ได้มีเครื่องมือทันสมัยที่จะผลิตอาวุธของตัวเองได้เลยยังต้องซื้ออาวุธเข้ามาใช้เองเท่านั้น และนี่ยังช่วยให้เครือข่ายฟ้าดินนั้นได้ทรัพยากรที่พวกเขาอยากได้ใจจะขาดมาด้วย 


 


 


ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าประเทศที่แยกตัวออกมาตัดสินใจแยกเพราะโดนประเทศอื่นๆ รังแก ดังนั้นเครือข่ายฟ้าดินจึงใช้วิธีเทอำนาจของประเทศใหญ่เข้าไปช่วย แต่จะไม่ทำให้พวกผู้บำเพ็ญขององค์กรเล็กๆ นั้นแข็งแกร่งเกินไป 


 


 


บางคนอาจกล่าวว่าเครือข่ายฟ้าดินนั้นทำตัวราวกับเป็นนักเลง แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการทำตัวระมัดระวังในช่วงที่ยังไม่มีสงครามนั้นเป็นหนทางในการเอาตัวรอด 


 


 


… 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เบื่อจะตายอยู่แล้ว เธอไม่อยากอยู่บ้านดูนารูโตะเฉยๆ เธอรู้สึกว่าพอหลี่ว์ซู่ไม่อยู่บ้านแล้วก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น เธอถือกระเป๋าใบเล็กของเธอ และเจ้ากระรอกก็ปีนขึ้นมาที่กระเป๋าของเธออย่างว่าง่าย ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่วิทยาลัยลั่วเฉิง แมวตัวใหญ่และหมูเจ้าเล่ห์ก็กำลังเล่นกันอยู่ในสวน เสี่ยวอวี๋จะให้พวกมันพักหน่อยแล้วกัน 


 


 


พอเธอไปถึงที่วิทยาลัยก็มีคนเข้ามาทักทายเธอ หลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ยนั่นเอง เธอเจอพวกเขาขณะที่กำลังเดินผ่านบริเวณที่อยู่อาศัย พอน่าหลานเชวี่ยเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็หน้าตาสดใสขึ้นมาทันที น่าหลานเชวี่ยชอบเสี่ยวอวี๋จากใจจริงๆ “เสี่ยวอวี๋ๆ มากินข้าวที่บ้านเราสิ” 


 


 


หลี่อีเสี้ยวไม่อยากให้เธอไปด้วย แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว เสี่ยวอวี๋ไม่ใช่หลี่ว์ซู่นี่นา เขาโล่งใจขึ้นมานิดหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดไปนิดหนึ่งแล้วตอบตกลง เธอเดินเข้าไปในบ้านแล้วใส่รองเท้าแตะผ้าฝ้ายสำหรับที่ใส่ในบ้าน “รองเท้าแตะนี้มีอะไรแปลกๆ นะคะ” 


 


 


หลี่อีเสี้ยวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที น่าหลานเชวี่ยค่อยๆ เดินเอากรรไกรเข้ามาตัดรองเท้าแตะนี้อย่างใจเย็น แล้วมันก็มีธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนสองใบอยู่ข้างใน… 


 


 


“อ้อ หลี่อีเสี้ยว เดี๋ยวนี้รู้จักเย็บปักแล้วสิ จะได้ซ่อนเงินนี่ได้สินะ” น่าหลานเชวี่ยทำหน้าน่ากลัว 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +666!] 


 


 


หลี่อีเสี้ยวตระหนักแล้วว่ามีพี่น้องคู่นี้มาทีไรเป็นต้องเกิดเรื่องตลอด “ฮ่าๆๆ บ้านเราไม่มีอะไรกินนี่เนอะ ออกไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ!” หลี่อีเสี้ยวพูด 


 


 


จากนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็มองไปรอบๆ “ขอบคุณนะคะที่ดูแลหนู เดี๋ยวหนูจะเลี้ยงมื้อนี้เองค่ะ ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ช่วยสร้างโรงแรมให้เสร็จนะคะ” 


 


 


พอพวกเขาไปถึงร้านอาหาร เสี่ยวอวี๋ก็สั่งเหล้าหนึ่งขวดให้กับหลี่อีเสี้ยว หลังจากรอให้เขาดื่มไปสักพัก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เอ่ยถาม “ครั้งนี้คุณรู้ไหมคะว่าหลี่ว์ซู่ไปไหนกันแน่” 


 


 


หลี่อีเสี้ยวตอบแบบไม่คิดอะไร “ที่ไหนสักที่ในยุโรปนี่แหละ หลังจากที่ไปร่วมกับกลุ่มเทพเจ้าในสวีเดนแล้วก็จะกลับมากัน ฉันไม่คิดว่าจะไปกันนานหรอกนะ อย่างมากก็น่าจะสักครึ่งปีได้มั้ง” 


 


 


“สวีเดนเหรอคะ กลุ่มเทพเจ้าเนี่ยนะ!” เสี่ยวอวี๋อึ้งไป หลี่ว์ซู่ไม่เคยบอกอะไรเธอแบบนี้เลยนี่! 


 


 


เธอวางตะเกียบลงแล้วอุ้มเจ้ากระรอกที่กำลังกินอยู่ออกมา เธอรีบไปจ่ายเงินทันที ตอนนี้เธอต้องรีบไปที่ยุโรป! 


 


 


เจ้าของร้านคิดเงินแล้วยิ้มให้ “อาหารทั้งหมดสองร้อยหนึ่งหยวนจ้ะหนู แต่คิดแค่สองร้อยหยวนก็พอ” 


 


 


เสี่ยวอวี๋ครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงถามออกไป “แล้วถ้าค่าอาหารสองร้อยสี่หยวน คุณจะคิดฉันเท่าไหร่คะ” 


 


 


เจ้าของร้านงง แล้วเสี่ยวอวี๋ก็พยักหน้า “เอ่อ… ก็สองร้อยหยวนนั่นแหละจ้ะ” 


 


 


“งั้นหนูขอโคล่าฟรีสักขวดได้ไหมคะ” 


 


 


เจ้าของร้านเงียบไป 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากโจวมู่เซียน +666!]  

 

 


ตอนที่ 637 สถานการณ์เปลี่ยนไป

 

หลี่ว์ซู่ยุ่งมาก เขาต้องหาผลไม้มาให้เสี่ยวอวี๋แล้วก็ต้องหาผลไม้มาให้ตัวเองด้วยเหมือนกัน 


 


 


อันที่จริงเขาไม่อยากได้แต้มอารมณ์จากเพื่อนๆ ของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าเขาใกล้จะได้จุดประกายกลุ่มดาวที่สามแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกพอใจเลยที่เขาเลื่อนระดับเร็วเกินไปโดยไม่ได้รับค่าประสบการณ์อะไรมาก อย่างน้อยๆ พวกเขาก็เป็นสหายร่วมรบด้วยกัน เขาควรต้องหาแต้มอารมณ์มาอย่างถูกต้องใช่ไหมล่ะ 


 


 


รถไฟไปเมืองหลวงนั้นเคลื่อนตัวไปเร็วมาก พวกเขาไปถึงในไม่กี่ชั่วโมง ทว่าพอพวกเขาลงมาจากรถไฟกลับไม่มีรถอะไรมารอรับเลย ไม่เห็นแม้แต่เงาคนมารับ พวกเขาต้องเดินทางไปสนามบินกันเองเพื่อทำตามแผนต่อไป พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของใคร 


 


 


นับตั้งแต่นี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นที่ต่างประเทศ เครือข่ายฟ้าดินจะไม่เปิดเผยว่าพวกเขาอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าพวกผู้บำเพ็ญลับได้รับเลือกเข้ามาทำงานนี้ 


 


 


ไม่ใช่เพราะว่าเครือข่ายฟ้าดินจะใจร้ายใจดำ ไม่อยากปกป้องคนของตัวเองหรอกนะ ที่พวกเขาส่งหลี่ว์ซู่ไปครั้งนี้ด้วยก็เพราะอยากปกป้องนั่นแหละ 


 


 


แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ตอนนี้ด้วย ถึงสิ่งที่เครือข่ายฟ้าดินทำไปจะดูใจร้ายเย็นชา แต่ก็เพื่อปกป้องคนหมู่มากจากการกระทำของคนไม่กี่คนต่างหาก 


 


 


กระนั้นก็เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเดินทางขึ้นมาเสียอย่างนั้น รถอเนกประสงค์ทรงสูงที่จะใช้กันนั้นมีเก้าที่นั่ง แต่มีคนทั้งหมดสิบแปดคนในกลุ่ม นับรวมเซี่ยเหรินเซิงด้วย จริงๆ แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่เซี่ยเหรินเซิงลืมเรื่องกระเป๋าเดินทางที่ต้องขนขึ้นรถไปด้วยเสียสนิท 


 


 


รถสองคันที่นำมาไม่สามารถขนคนจำนวนสิบแปดคนและกระเป๋าเดินทางทั้งหมดได้ คงต้องเสียสละที่นั่งสามที่ด้านหลังเพื่อวางกระเป๋าเดินทาง แต่นั่นก็จะทำให้คนที่เหลือไม่มีที่นั่ง 


 


 


หลิวฝานนั้นเลือกนั่งที่เบาะหลังรถเรียบร้อยแล้ว “ฉันนั่งตรงนี้แหละ พวกนายเลือกกันเลยว่าจะนั่งตรงไหนกัน” 


 


 


เซี่ยเหรินเซิงกำลังคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี แล้วเขาก็ยกที่นั่งให้พวกนักเจรจาก่อน ที่สุดแล้วภารกิจนี้ก็คือการรักษาความปลอดภัยให้กับนักเจรจาสามคนนี้ละนะ งานของพวกเขาสำคัญกว่า และตำแหน่งก็สำคัญกว่าด้วย 


 


 


แต่เมื่อมาถึงหลี่ว์ซู่ เขาพบว่าไม่มีที่นั่งเหลือให้เขาแล้ว หลิวฝานเยาะเย้ย “หลี่เถิง หลังคารถว่างแน่ะ ไปนั่งสิ” 


 


 


หลังจากเรื่องเต้าหู้เหม็น พวกผู้บำเพ็ญลับก็รวมกลุ่มกันเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกนักเจรจาแล้วก็หลี่ว์ซู่ พวกเขาไปทำอะไรกับพวกนักเจรจามากไม่ได้เพราะเซี่ยเหรินเซิงหมายมั่นจะปกป้องพวกเขาเหลือเกิน แต่กับหลี่เถิงนั้นไม่เหมือนกัน เขาไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มของผู้บำเพ็ญลับ ก็เลยรังแกได้ง่ายหน่อย 


 


 


หลี่ว์ซู่เลยรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที เขาว่าจะไม่คิดมากเรื่องการปั๊มแต้มอารมณ์ตอนไปต่างประเทศแล้วนะ มีสำนวนจีนกล่าวไว้ว่าถึงหมู่แมกไม้จะปรารถนาความสงบ แต่สายลมไม่อาจหยุดโบกพัด ซึ่งแปลได้ว่าถแม้คนเราจะอยากหยุดนิ่ง ยึดติดกับอะไรเดิมๆ แต่โลกนี้กลับไม่หยุดหมุนเปลี่ยนแปลงหรอก 


 


 


หลี่ว์ซู่เพิ่งมาเข้าใจว่าคำพูดสำนวนนี้ค่อนข้างจะเหมาะกับสถานการณ์ของเขามากเลย เพราะเขาคือซู่ [1] นี่นา เขาอยากจะอยู่สงบๆ แต่คนอื่นกลับดูจะไม่เข้าใจนะ! 


 


 


เฮอะ! หลี่ว์ซู่เปิดประตูฝั่งผู้โดยสารด้านหลังแล้วดึงตัวหลิวฝานออกมา หลิวฝานอยากจะฝืนแรงนั้นอยู่หรอก แต่เขากลับขยับไม่ได้เลย! เขาเคยคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นพวกรังแกได้ง่ายเสียอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น น่ารำคาญจริง! 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +199!] 


 


 


พลังของพวกผู้บำเพ็ญลับนั้นจะอยู่ราวระดับ E แต่หลิวฝานนั้นอยู่ที่ระดับ E ขั้นกลาง เขาคิดคำนวณไว้แล้วว่าพลังของหลี่ว์ซู่นั้นน่าจะอยู่ประมาณระดับ D ขั้นเริ่มต้น หรือไม่ก็แค่ขั้นกลางเท่านั้น! 


 


 


เขาไม่คิดเลยว่าพลังของหลี่ว์ซู่จะมากแบบนี้ เพราะในความคิดของเขานั้น พวกผู้บำเพ็ญลับไม่ได้มีพลังที่แตกต่างกันมาก แล้วหลี่เถิงก็เป็นผู้บำเพ็ญลับเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็คงไม่ต่างอะไรมากจากคนอื่นหรอก! 


 


 


เรื่องมันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรหากมีคนระดับ C หรือ B ปรากฏขึ้นมาในหมู่ผู้บำเพ็ญลับขึ้นมาจริงๆ ก็เรียกได้ว่าน่ากลัวไม่น้อย… 


 


 


หลิวฝานที่ยืนอยู่ข้างรถหัวเราะออกมาอย่างเยียบเย็น “น้องชาย เก็บอารมณ์ตอนอยู่ข้างนอกหน่อยนะ ถ้ายังไม่หยุด ระวังได้มีเรื่อง” 


 


 


หลี่ว์ซู่ได้ยินแบบนั้นแล้วก็คิดว่าไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด เขาเงียบก่อนตอบกลับ “แล้วทำไมผมต้องเก็บอารมณ์ตัวเองด้วย คุณต่างหากที่ควรเก็บอารมณ์ไม่ให้มาพูดเยาะเย้ยผมน่ะ” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +666!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยจื่อเฉิน +666!] 


 


 


หลินกานอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลังกลับหัวเราะใส่ “คนแบบเดียวกันก็เป็นเหมือนๆ กันนั่นแหละ” 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเลย ทำไมเธอต้องพูดอะไรแบบนี้ด้วย พวกชนชั้นสูงต้องทำแบบนี้เสมอเลยเหรอ แต่ในสายตาของหลินกานอวี่แล้วเธอเห็นว่าการทะเลาะกันครั้งนี้เป็นเหมือนกับสุนัขทะเลาะกันเท่านั้นแหละ 


 


 


แต่คนที่หนักใจที่สุดคือเซี่ยเหรินเซิง เขาไม่เข้าใจเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีม แล้วทำไมต้องโชคร้ายมาเจอเรื่องแย่ๆ ตั้งแต่ก่อนไปต่างประเทศด้วยนะ เหนื่อยใจสุดๆ 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเซี่ยเหรินเซิง +99] 


 


 


พวกเขาจะต้องอยู่ในเมืองหลวงหนึ่งวันก่อนจะนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ เพราะแผนที่วางไว้ว่าจะเดินทางในอีกสามวันให้หลังถูกปรับเปลี่ยนใหม่ พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนตั๋วหลายๆ ที่ในคราวเดียวได้ แล้วทั้งทีมก็ยุ่งเหยิงกันมาก 


 


 


ก่อนหน้านี้ทุกคนคิดว่าแผนของเครือข่ายฟ้าดินนั้นล่มไม่เป็นท่า ดูจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตลอด แต่พวกเขาคิดว่าการเปลี่ยนวันเดินทางค่อนข้างส่งผลต่อแผนโดยรวม เพราะหลี่ว์ซู่อยากจะเป็นคนเปลี่ยนวันเอง 


 


 


พอทุกคนลงมาจากรถและกำลังจะเข้าไปในโรงแรม จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนถือไม้เท้าและสวมแว่นตาเดินเข้ามาหาหลินกานอวี่ เขาพูดว่า “สาวน้อยคนสวย ฉันไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแล้ว มีเงินบริจาคให้บ้างไหม” 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าหลินกานอวี่คงไม่ยอมให้เงินไปแน่ๆ แต่แล้วเธอก็ควักเงินสิบหยวนออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา 


 


 


หลี่ว์ซู่งุนงง เขารอจนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินออกไปก่อนพูดขึ้นว่า “เขาไม่ได้ขอเงินจากคนอื่นๆ ในบรรดาพวกเราเลยนะ ทั้งๆ ที่คนก็มีตั้งมากแท้ๆ ที่เขาเลือกขอคุณเพราะคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ดูขี้สงสารมากที่สุด ถ้าผู้ชายคนนั้นตาบอดจริงๆ ทำไมเขาถึงบอกว่าคุณสวยได้ล่ะ” 


 


 


หลินกานอวี่ฟังแบบนั้นก็อึ้งไปด้วยเหมือนกัน “ฉันโดนโกง! เงินสิบหยวนของฉัน!” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลินกานอวี่ +299!] 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเลย เขาไม่ได้เป็นคนโกงเงินเธอนี่ ทำไมเขายังได้รับค่าอารมณ์อยู่ล่ะ! 


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะ “ผมว่าคุณก็ได้อะไรบางอย่างไปนะ เขาชมคุณว่าสวยด้วยราคาสิบหยวน แต่ผมไม่บอกหรอกว่าคุณน่ะสวย ถึงแม้ว่าผมจะได้หนึ่งร้อยหยวนก็ตาม อ๊ะ! ต่อให้เป็นหนึ่งพันหยวนยังไม่เอาเลย…” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลินกานอวี่ +499!] 


 


 


พอหลี่ว์ซู่เห็นหลินกานอวี่ทำหน้าน่ากลัวเขาก็พอใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เสียหายที่จะกวนประสาทคนในกลุ่มนี้อยู่แล้วนี่ แต่แล้วหลินกานอวี่ก็ควักเงินหนึ่งพันหยวนออกมายื่นให้หลี่ว์ซู่… 


 


 


หลี่ว์ซู่พูด “คุณสวยมากเลย” 


 


 


“น้องชาย…” หลิวฝานและคนอื่นมองหลี่ว์ซู่ด้วยความดูแคลน หลินกานอวี่ไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ “ถึงจะได้เงินไปก็จริง แต่ไม่คิดจะมีศีลธรรมหน่อยเหรอ ถ้าให้ไปอีกหนึ่งพันหยวน คุณบอกว่าฉันหล่อได้ไหมล่ะ” 


 


 


“ถ้าอยากให้เรียกว่าสุดหล่อก็ต้องเพิ่มเงินอีกหน่อย… สักหมื่นหนึ่งกำลังดี” หลี่ว์ซู่พูดออกไปขณะที่เหลือบมองหลิวฝาน 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +666!] 


 


 


หลี่ว์ซู่กำลังมีความสุขในการได้รับค่าอารมณ์อยู่เลย เขาเข้าใกล้การจุดประกายดวงดาวดวงที่เจ็ดแล้ว จากนั้นเขาก็จะมีความสุขแบบไม่มีขีดจำกัดเลยล่ะ 


 


 


เขาไม่ได้รู้สึกแย่สักนิด เพราะสถานการณ์นั้นดำเนินไปในแบบที่เขาไม่ได้หวังอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างเขาก็ต้องการแต้มอารมณ์พวกนี้เพื่อการฝึกของเขาเอง 


 


 


แล้วในตอนที่พวกเขาเตรียมขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปประเทศรัสเซียเพื่อเจรจากับองค์กรที่ชื่อว่ากลุ่มหมีขาว เซี่ยเหรินเซิงก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนมาว่า [กลุ่มหมีขาวถูกกำจัดแล้ว…] 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] คำว่า ‘ซู่’ ในชื่อหลู่ว์ซู่เขียนแบบเดียวกันกับคำว่า ต้นไม้ ในภาษาจีน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม