อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 629-647

 ตอนที่ 629 ผมอยากทำอะไรคุณสักหน่อย! (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เธอรู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องการทำอะไรแต่ฟังจากน้ำเสียงเย่เซียวแล้ว คิดว่าเขาก็รู้ดี


ฉะนั้น…


หรือว่าความคิดเธอที่อยากจูบเขาก่อนหน้ามันฉายบนหน้าทั้งหมดเลย?


“…ฉันจ้องคุณตั้งแต่เมื่อไหร่? ฉันไม่ได้จ้องคุณ และไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณ คุณอย่าหลงตัวเองหน่อยเลย กลับเป็นคุณต่างหากที่ตอนนี้…เหมือนอยากทำอะไรฉันมากกว่า…”


เดิมทีเสียงไม่ดังไม่เบามากแต่พูดถึงประโยคสุดท้ายที่ได้สบตาเขา เสียงของเธอเบาลงเรื่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ…


ไม่กี่คำสุดท้ายแม้แต่เธอเองยังไม่ได้ยิน


ได้ยินเพียงเสียงของเย่เซียวที่ดังเข้าโสตประสาท “คุณไม่ได้รู้สึกไปเอง ผมอยากทำอะไรคุณจริงๆ…”


เสียงของเขายิ่งเซ็กซี่กว่าปกติในยามค่ำคืน ทุกคำกระแทกหูของเธอเหมือนรัวกลองและแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ


ภายใต้บรรยากาศอันเงียบเชียบ ไป๋ซู่เย่สามารถได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะของตัวเองดัง ‘ตึกตัก ตึกตัก’


ทั้งที่กลัวจะเลยเถิดกับเขาเพราะประสบการณ์ทั้งสองครั้งของก่อนหน้าที่ทำเอาเธอหวั่นใจอยู่ลึกๆ แต่หัวใจที่เต้นรัวกลับชัดเจนเสียขนาดนั้น


เธอกำลังคาดหวังอะไรอยู่?


เธอไม่อยากคิดไปมากกว่านี้…


ขณะที่ความคิดกำลังตีกันอยู่หน้าของเย่เซียวขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น…ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้…


เมื่อลมหายใจรดรินใบหน้า ยังไม่ทันแตะต้องตัวเธอ เธอรู้สึกเหมือนหัวใจทั้งดวงแทบจะหลุดเต้นออกจากอก ความคิดในหัวเละเป็นโจ๊กและไม่แน่นิ่ง


เมื่อริมฝีปากของเขาใกล้จะแตะสัมผัส ประตูข้างๆ ก็ดังขึ้น ‘แกร๊ก’


คุณย่าข้างบ้านกำลังจะออกมาทิ้งขยะ เห็นเธอและเห็นเย่เซียวกำลังกอดเธออยู่ในเวลาเดียวกัน ไป๋ซู่เย่เผลอแสดงสีหน้าอัดอั้นทำตัวไม่ถูก ผลักเย่เซียวออกให้ตัวเองก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่างจากเขา


คุณย่ามองพวกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณไป๋ ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนเหรอ?”


“อา…ค่ะ” เธอรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เย่เซียวที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับยังคงสีหน้าเย็นชาดังเดิม ไป๋ซู่เย่กังวลจริงๆ ว่าเขาจะทำให้คนแก่ตกใจ…


“แฟนเหรอ? เมื่อก่อนไม่เคยเจอเลย หล่อเท่นะเนี่ย ตัวสูงจริงๆ” คุณย่าท่าทางใจดี


“คะ?” ไป๋ซู่เย่นิ่งไปเพราะคำว่า ‘แฟน’ จากคนสูงวัย พอได้สติมาอีกทีก็รีบส่ายหัวอธิบาย “ไม่ใช่ค่ะ เขาเป็นแค่เพื่อนทั่วไปคนหนึ่งของฉัน…อื้อ”


ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ปากก็ถูกปิดปาก คำสุดท้ายที่ไม่ทันเอ่ยออกมาถูกชายหนุ่มกลืนลงท้องไปเสียก่อน


“อื้อ เย่เซียว…” เธอดันไหล่หนากว้างของเขา พยายามตั้งสติไม่ให้เคลิ้มไปกับจูบครั้งนี้


ต้องรู้ว่าตอนนี้ยังมีคนแก่คนหนึ่งดูอยู่


แต่เย่เซียวกลับไม่คิดจะสนใจ เดิมทีสายตาของคนรอบข้างจะเป็นอย่างไรไม่ได้มีส่วนสำคัญต่อเขาอยู่แล้ว


คุณย่าเห็นภาพที่พวกเธอกอดจูบด้วยกันก็ยิ่งยิ้มกว้าง ส่ายหัวพูด “วัยรุ่นนี่ดีจังเลยนะ…”


เธอพูดแล้วถือของหันหลังเดินลงไปชั้นล่าง


ชั้นนี้มีทั้งหมดสี่ครอบครัว เย่เซียวยืนจูบตัวเองอยู่บนทางเดินแบบนี้ไป๋ซู่เย่กลัวเพื่อนข้างบ้านจะเห็นเข้าจึงไม่ได้จดจ่อกับจูบนี้ เธอผลักเขาสองทีเขายังคงนิ่งไม่กระเทือนสักนิด เธอเริ่มหงุดหงิดจนต้องอ้าปากกัดเขา


รู้สึกเจ็บเย่เซียวถึงก้าวถอยหลังไปหน่อย ใช้สายตาจ้องเธอนิ่งและยิ่งทวีความรุกล้ำหนักกว่าเดิมคล้ายราชสีห์ในทุ่งหญ้า


“กัดผมเหรอ?” เขาไล้ปลายนิ้วโป้งวนรอบปาก รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเธอที่ติดอยู่บนนั้น เขาผ่อนลมหายใจลง ใช้สายตาเร่าร้อนจ้องเธออย่างกดดัน “คุณกล้าบอกว่าคุณไม่อยากทำแบบนี้กับผมตอนอยู่ในห้องนั้น?”


“เย่เซียว คุณยังหลงตัวเองเหมือนเดิมไม่มีผิด”


“แต่คุณน่าแค้นใจกว่าเมื่อก่อนเยอะ!” เขาพูดจบก็รั้งตัวเธอเข้าไปกอดอีกครั้ง โน้มหน้าลงงับปากเธอไม่บอกไม่กล่าว คราแรกเขาอยากบังคับให้เธอยอมรับด้วยวิธีป่าเถื่อน ยัยผู้หญิงน่าขุ่นเคืองคนนี้ต่อให้เขาใช้วิธีป่าเถื่อนกับเธอมากแค่ไหน ไม่รู้จักทะนุถนอมมากเพียงใดก็ถือว่าสมน้ำหน้าเธอ! เธอมีค่าพอที่จะถูกปฏิบัติอย่างอ่อนโยนตั้งแต่เมื่อไร?


ทั้งที่คิดอย่างนี้แต่พอได้ลิ้มรสชาติหอมหวานด้วยปากนั้น เรี่ยวแรงแข็งขืนในทีแรกก็ผ่อนเบาลง


ฉับพลันคิดอยากจะลิ้มรสชาติเธอทั้งตัว…


ลิ้มรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาในตลอดสิบปีนี้…


ตอนแรกไป๋ซู่เย่ยังท้วงความป่าเถื่อนของเขาแต่พอจู่ๆ เขาอ่อนโยนขึ้นมาเรียกให้หัวใจเธอสั่นไหว แรงขัดขืนทั้งหมดแห้งเหือดไปไร้ร่องรอยอย่างน่าโกรธ มีบางคนราวกับไม่รู้จักคำว่าอ่อนโยนมาก่อนแต่พออ่อนโยนขึ้นมาทีกลับทำให้คนตั้งรับไม่ไหว


สัมผัสอ่อนนุ่มเปียกชื้นตรงปากทำให้เธอรู้สึกอ่อนยวบไปทั้งตัว สองขาหมดแรง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นท่อนไม้ที่กำลังลอยอยู่บนผิวน้ำกลางทะเลอย่างไม่ได้รับการช่วยเหลือ เผลอโอบลำคอเขาโดยไม่รู้ตัว


การกระทำเล็กน้อยของเธอนี้ทำให้เย่เซียวหายใจรุนแรงขึ้น จูบครั้งนี้ยิ่งร้อนแรงมากกว่าเดิมราวกับกองไฟที่กำลังลุกโชน


ไป๋ซู่เย่รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาแปลกๆ จูบนี้ห่างหายกันไปนานเท่าไรแล้ว? หลังกลับมาเจอกันในสิบปีให้หลังใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยจูบกัน เขายังเคยดูถูกเธอไว้ว่าจูบแย่ แต่ความหมายของจูบตอนนั้นกับตอนนี้กลับแตกต่างอย่างชัดเจน


จูบเหล่านั้นดุเดือดไร้มารยาท เป็นการลงโทษ เป็นการระบาย ไม่เหมือนตอนนี้…


เย่เซียวมีสติตลอดแต่พอเจอผู้หญิงคนนี้ สติอะไร การควบคุมตัวเองอะไร หายไปหมดแล้ว! เขาหายใจหนักหน่วงจูบเธอ ดันเธอติดประตูแล้วจูบต่อ…


ไป๋ซูเย่ถูกจูบจนสติเลอะเลือนดวงตาเคลิบเคลิ้มน้ำตาคลอหน่วย แต่ยังคว้าสติฟางสุดท้ายไว้ หอบหายใจกล่าว “เย่เซียว…กุญแจ…”


เย่เซียวล้วงกุญแจเสียบในรู ลองหลายครั้งถึงเสียบถูก ขณะที่เปิดประตูปากของเขาไม่ผละออกห่างจากปากเธอเลยแม้แต่วินาทีเดียว กระทั่งเปิดประตูได้เขานำหน้าเข้าไปก่อนกระชากตัวเธอเข้าไปแล้วปิดประตู ดันเธอหลังติดประตูจูบอย่างหนักหน่วงต่อ ดูดดุน…


พวกเขาสองคนแค่จูบกันเท่านั้น


จูบนี้คล้ายต้องการชดเชยจูบที่เขาขาดไปสิบปีกลับมาให้หมดในคราเดียว จูบจนทั้งคู่ต่างถูกมอมเมาไปกับมัน จูบจนตัวเกร็งเจ็บแน่นไปหมดแต่ก็ยังไม่ผละออกอยู่ดี


ไป๋ซู่เย่แทบยืนไม่ไหวแล้ว สองมือต้องจับแขนสองข้างของเขาที่ยันอยู่ข้างๆ ถึงจะทรงตัวได้ เธอถึงกับคิดว่าจูบนี้จะดำเนินไปจนฟ้าดินสลาย


กระทั่ง…


ริมฝีปากถูกเขาจูบจนบวมแดงและถลอกเล็กน้อยเย่เซียวถึงผละออกจากปากเธอ ดวงตาล้ำลึกของเขาฉายแววอันตราย ยังคงจับจ้องกลีบปากเธออย่างใจจดใจจ่อ


เหมือนเช่นนี้จะยังไม่พอ…


ไป๋ซู่เย่กัดปากล่างที่แดงฉ่ำ รู้สึกว่าตรงนั้นทั้งชาและเจ็บหน่อยๆ เธอกดนิ้วไว้ที่ปาก “คุณ…ถอยหลังหน่อย”


เสียงติดสั่นเครือเล็กน้อย


เย่เซียวรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะวางยาปลุกเซ็กส์เขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นตัวเขาที่ยังไร้ความสนใจต่อผู้หญิงห้าคนนั้นอยู่เมื่อสักครู่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ระเบิดความต้องการเหมือนสัตว์ป่าดุร้ายยามเห็นเธอได้ล่ะ?


……………………………………………


ตอนที่ 630 นายยังลืมเธอไม่ได้? (1)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะวางยาปลุกเซ็กส์เขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นตัวเขาที่ยังไร้ความสนใจต่อผู้หญิงห้าคนนั้นอยู่เมื่อสักครู่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ระเบิดความต้องการเหมือนสัตว์ป่าดุร้ายยามเห็นเธอได้ล่ะ?


หากไม่ใช่เพราะตอนนี้เธอยังมีแผลอยู่ คืนนี้จุดที่บวมแดงอาจจะไม่ใช่แค่ปากแล้ว


“ยาล่ะ?”เย่เซียวไม่ได้ผละออกทันทีแค่กดเสียงถาม จูบเมื่อสักครู่ร้อนแรงเกินไปจนถึงตอนนี้น้ำเสียงยังฉายแววความต้องการไม่เสื่อมคลาย ฟังแล้วยิ่งเซ็กซี่เย้ายวนมากขึ้น


ไป๋ซู่เย่ถูกจูบจนสติสัมปชัญญะขาดช่วงไปเล็กน้อยจึงไม่ทันตั้งตัวอะไร


“ยาที่ทาตรงนั้นของคุณ” เย่เซียวเหลือบตามองต่ำแวบหนึ่งเป็นการเตือนเธอ


เธอเข้าใจทันควันก่อนเบนสายตาหนีไม่สบตาเขา “อยู่ในห้องฉัน”


“…อยากให้ผมทาให้หรือคุณจะทาเอง?”


“…”เธอใช้การกระทำเป็นคำตอบให้เขาในทันที เดินออกจากใต้อาณัติร่างสูงใหญ่ของเขาเพื่อเข้าไปในห้องนอนของตัวเองโดยไม่คิดจะหันหลังสักนิด


…………………………


เธอปิดประตูห้องนอนดัง ‘ปัง’


พักใหญ่ที่หลับตาพิงประตูอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ หน้าอก หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เธอพยายามกดไว้แต่ไม่อาจสงบลงได้ครู่ใหญ่


ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกน่าขำเล็กน้อย เหมือนได้ย้อนกลับไปตอนวัยสิบแปดปีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เมื่อสิบปีก่อน


แต่ทั้งที่เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่และสุขุมมากขึ้น ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างในอดีต


สิบปีนี้แม้เธอไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอผู้ชายสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้ยังเคยคบหากับคนอื่นเป็นระยะสั้นๆ


แต่ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างตอนนี้…


ไม่แม้แต่จะใจสั่นหวั่นไหวเลยสักนิด…


เธอสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พยายามบังคับให้ตัวเองใจเย็นลงถึงค้นหายาจากลิ้นชักเข้าห้องน้ำไป แต่คืนนี้เย่เซียวมาที่นี่ได้คงไม่ใช่เพราะจะเตือนให้ตัวเองทายาหรอกนะ? เขาไม่ใช่คนช่างใส่ใจขนาดนี้ ยิ่งไม่มีทางรู้สึกผิดเพราะบาดแผลของเธอ ทุกเรื่องที่เขาทำล้วนทำด้วยใจที่คิดว่าถูกต้อง


นอกประตู


เย่เซียวถอดรองเท้าเข้ามาพลางเก็บไว้บนชั้นรองเท้า บนนั้นไม่มีรองเท้าของผู้ชายเขาจึงเดินเท้าเปล่าเข้าไป กวาดมองรอบหนึ่งพบว่าในห้องเหมือนจะไม่มีร่องรอยอาศัยของผู้ชาย ห้องถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อยไม่ได้รกเหมือนที่เธอกล่าวไว้ ในห้องถูกตกแต่งได้หรูหรามีระดับและรสนิยมดี พอจะดูออกว่ามาจากการออกแบบของนักออกแบบชื่อดัง พื้นที่ไม่ใหญ่มากแต่เพียงพอสำหรับการอยู่คนเดียว


เขาไม่เคยถามเธอมาก่อนว่ามีแฟนหรือเปล่า แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้คบหากับผู้ชายแบบไหนบ้าง เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักนิดเดียว เธอไม่ใช่คนที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขาแล้ว ทุกอย่างเป็นเพียงการเสแสร้ง ฉะนั้นหากเขายังสนใจอีกจะยิ่งทำให้ดูเหมือนโง่เขลามากไปกว่าเดิม


แต่ว่า…


เห็นรูปถ่ายคู่ของเธอกับผู้ชายคนอื่นที่วางไว้บนชั้นหนังสืออย่างดี สีหน้าก็ถมึงทึงทันควัน


ในรูปผู้ชายอีกคนกำลังโอบไหล่เธอ รอยยิ้มของเธอสดใส


ขัดตา!


ทำไมในสิบปีที่เขาต้องจมปลักกับความทุกข์ เธอถึงอยู่ในอ้อมแขนผู้ชายอื่นแล้วยังยิ้มมีความสุขได้ขนาดนั้น?


……………………


ไป๋ซู่เย่ทายาเสร็จเดินออกมาจากห้องนอน เธอเตรียมใจไว้แล้วจึงคิดว่าตัวเองน่าจะเผชิญหน้ากับผู้ชายที่อยู่ข้างนอกตอนนี้ได้


เย่เซียวนั่งไขว่ห้างบนโซฟาท่าทางไม่รีบร้อนที่จะกลับ เปิดโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เทียบกับเธอแล้วเขากลับดูใจเย็นและนิ่งกว่ามาก เหนือความใจเย็นนั่นไป๋ซู่เย่ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล คอยมองใบหน้ามุมข้างของชายหนุ่ม แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเย็นวาบที่หัวใจแปลกๆ


ที่เขาใจนิ่งได้ขนาดนี้เพราะจูบเมื่อครู่ สำหรับเขาแล้วเป็นจูบที่ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเลย


จุดประสงค์ของเขาง่ายมาก แค่ปัดไล่ความขุ่นมัวในใจออกไปแล้วปล่อยวางเธอซะ…


“ทาเสร็จแล้ว?” จู่ๆ เย่เซียวก็เอ่ยปาก


เขาไม่ได้หันหน้าไปมองเธอ สายตายังจดจ่อกับโทรทัศน์


“อืม”ไป๋ซู่เย่จัดการอารมณ์ตัวเองเสร็จเดินออกมา เธอเตือนตัวเองไม่ให้ตกพลุมพรางของเขา ชั่วขณะที่เขาคิดจะปล่อยวางเธอเองก็เช่นกัน “คืนนี้คุณดื่มมา ต้องการชาแก้เมาไหม? เมื่อกี้ฉันกลับมาเลยต้มไว้นิดหน่อย”


“อืม”


ไป๋ซู่เย่เดินเข้าห้องครัวเทชาแก้เมายื่นให้เขา เขาไม่ได้รับ “วางไว้”


เธอวางไว้บนโต๊ะเตี้ยข้างๆ


“ทำไมตอนนี้รายการช่วงเที่ยงคืนของประเทศ S น่าเบื่อขนาดนี้?”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้นั่งใกล้เขาแต่กลับเลือกจุดที่ห่างเขาออกไปเล็กน้อยแทน ระหว่างทั้งคู่มีหมอนข้างกั้นไว้เหมือนจงใจ “ก็น่าเบื่ออยู่หรอกนะ แต่ว่าคุณไม่ชอบดูทีวีไม่ใช่หรือไง?”


“บางครั้งไม่มีธุระอะไรก็ดูเป็นเพื่อนน่าหลัน”


“…”ประโยคเดียวที่ทำเอาไป๋ซู่เย่แทบตั้งรับไม่ทัน จูบดูดดื่มเมื่อครู่ของทั้งสองคนราวกับถูกถังน้ำเย็นราดใส่หัวจนมันเหือดหายไปในพริบตา


เย่เซียวไม่ชอบดูรายการวาไรตี้ตามช่องโทรทัศน์เหล่านี้ที่สุด ถ้าให้เขาพูดก็คือทั้งไม่มีประโยชน์และไม่มีความหมาย หากทำเพื่อคลายความเครียดก็ไปซ้อมมวยยังจะดีกว่า ออกกำลังกายได้แล้วยังเป็นการฝึกเทคนิคไปในตัว ได้ผลประโยชน์ทั้งสองทาง


เธอมักบ่นว่าชีวิตเขาจืดชิดเกินไป อายุยี่สิบกว่าปีแต่กลับทำตัวเหมือนคนแก่ตัวน้อยๆ ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใหม่ๆ อะไรเลย ฉะนั้นเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตแสนน่าเบื่อของเขาจึงชอบบังคับให้เขาดูภาพยนตร์แนวความรักหลายเรื่อง รายการวาไรตี้หลายรายการ แต่สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปเป็นจุดสิ้นสุด


ไม่คิดว่าตอนนี้เขาจะดูเป็นเพื่อนน่าหลันเองเสียแล้ว…


“กำลังคิดอะไร?” อยู่ๆ เย่เซียวก็เบนสายตามาจรดที่หน้าเธอ สายตาคู่นั้นคล้ายจะดูเธอให้ทะลุปรุโปร่ง


ไป๋ซู่เย่จะปล่อยให้เขารู้ทันตัวเองได้อย่างไร? รีบดึงรีโมทจากมือเขาไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นช่องอื่นพร้อมตอบกลับเขา “กำลังคิดเหตุผลที่คุณมาที่นี่ในคืนนี้ ต้องไม่ใช่เพราะอยากเตือนให้ฉันทายาแน่ๆ”


“ทำไมไม่ใช่ล่ะ?”เย่เซียวหรี่ตาลงอย่างเกียจคร้าน


“คุณหวังจะให้ฉันเจ็บกว่านี้มากกว่า จะหวังดีแบบนี้เหรอ?”


เย่เซียวแค่นเสียงไปที “งั้นคุณก็รู้ใจผมดีนี่”


“ทิ้งผู้หญิงห้าคนที่คุณเรียกไว้ไม่สนใจแล้วมาที่นี่ ต้องการทำอะไรกันแน่?”


“มาถึงที่ ให้คุณได้ทำในสิ่งที่คุณอยากทำกับผมก่อนหน้าให้เสร็จสิ้นไง ไม่ได้เหรอ?”


“…”ไป๋ซู่เย่เริ่มไม่รู้ว่าควรโต้ตอบอย่างไรดี จูบเมื่อครู่ทั้งที่เขาเป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆ ทำไมสุดท้ายแล้วเหมือนว่าเธอเป็นฝ่ายต้องการจูบแทนล่ะ? คนคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก


“ช่างเถอะ ไม่ว่าคุณจะมีจุดประสงค์อะไรแต่ยังไงตอนนี้น่าจะบรรลุแล้ว คุณดื่มชาแก้เมาเสร็จก็รีบกลับไปเถอะ ขับรถจากนี่ไปบ้านคุณยังมีทางอีกระยะหนึ่ง อีกอย่างนี่ดึกมากแล้ว ฉันต้องนอนแล้ว”เธอบิดขี้เกียจทีแล้วลุกขึ้นยืน พอดีกับสายตาที่หันมาของเย่เซียวที่เห็นเรียวขาขาวละเอียดใต้ร่มผ้าของเธอ ใจสั่นวูบ เขายื่นแขนยาวเกี่ยวตัวเธอไปทันที


……………………………………..


ตอนที่ 631 นายยังลืมเธอไม่ได้? (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ใจสั่นวูบ เขายื่นแขนยาวเกี่ยวตัวเธอไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ไป๋ซู่เย่ล้มทับอกเขา ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้น ความคิดเธอเริ่มตีกันอีกแล้ว “คุณ…ทำอะไร?”


“เรามีเวลาด้วยกันทั้งหมดสามสิบวัน อย่าคิดใช้แผลนี้มาอ้างถ่วงเวลาที่เหลือไป ผมให้เวลาคุณพักฟื้นหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ผมไม่สนใจว่าข้างล่างคุณจะเป็นแบบไหน เช่นเดียวกัน ผมอยากทำอะไรคุณก็จะทำ”


“…”ไป๋ซู่เย่ทำความเข้าใจกับคำพูดของเขา “ที่แท้มาหาฉันโดยเฉพาะ ก็เพราะว่ากลัวฉันเอาเปรียบคุณในสามสิบวันนี้”


“รู้ตอนนี้ก็ไม่สาย”


ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่มีทางใส่ใจขนาดนี้แต่พอรู้เป้าหมายที่แท้จริงก็ผิดหวังเล็กน้อยอยู่ดี


เธอพยักหน้า “คราวหลังฉันจะทายาตรงเวลา”


พูดจบแกะมือเย่เซียวที่วางไว้บนเอวตัวเอง เย่เซียวแรงเยอะเธอแกะไม่สำเร็จ ได้ยินเขาถามเพียง “คุณออกไปดื่มจนเมากับพวกผู้ชายบ่อยๆ เหรอ?”


ไป๋ซู่เย่ชะงักท่าทางไปกึกหนึ่ง “อืม”


มือเย่เซียวที่วางบนเอวเธอเพิ่มแรงขึ้นหน่อยๆ


“จากนี้ไปดื่มเหล้าให้น้อย โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ชาย! ถ้าเห็นหนึ่งครั้งผมจะทำโทษคุณหนึ่งครั้ง!”


ไป๋ซู่เย่เชยตามองเขาที่เอาแต่ใจคนนี้ หัวใจสั่นไหว


แต่ครู่ต่อมาถ้อยคำของเขากลับไร้ความปรานีถึงที่สุด “อย่างน้อยสามสิบวันนี้ทำตัวให้สะอาด! หลังจากสามสิบวันนี้ คุณอยากดื่มกับใครก็ดื่ม อยากปลดปล่อยหลังเมายังไงก็เชิญ ไม่มีใครห้าม!”


ไป๋ซู่เย่นิ่งงันไปชั่วครู่จากนั้นฉีกยิ้ม “รู้แล้ว คราวหลังฉันจะระวัง งานเลี้ยงบางงานถ้าปฏิเสธได้จะพยายามเลื่อนไปหลังยี่สิบเจ็ดวันที่เหลือนี้”


เย่เซียวมุ่นคิ้ว ทั้งที่เชื่อฟังมากแท้ๆ นานทีไม่โต้เถียงเขา แต่ทำไมถึงฟังแล้วเสียดหูขนาดนี้ เขาหาช่องทางมาเอาผิดไม่ได้เลย


“เชิญคุณตามสบาย ฉันนอนก่อนล่ะ ตอนกลับไปช่วยปิดประตูให้ฉันด้วย”เธอจับมือเขาออกด้วยท่าทางเรียบเฉยเช่นเดิม


จากนั้นเดินเข้าห้องตัวเองแล้วล็อกประตูโดยไม่คิดสนใจเขาอีก


……………………


ไป๋ซู่เย่นอนบนเตียง ลืมตามองเพดานห้องนิ่งแต่กลับไร้ความง่วงงุน


สักพัก…


นอกห้องมีเสียง‘ปัง’ ดังแว่วมาที เขากลับไปแล้ว


เธอลุกขึ้นหยิบสมุดจดของตัวเองในกระเป๋ามา ขีดฆ่าเลข ‘27’ ทิ้ง


ยังเหลืออีกยี่สิบหกวัน…


…………………………


วันรุ่งขึ้น


เย่เซียวเพิ่งเซ็นเอกสารในมือเสร็จหยูอันก็ผลักประตูเข้ามาจากด้านนอก “นายท่าน คุณถังมาครับ”


เย่เซียวหน้าถมึงทึง “ให้มันไสหัวกลับไป”


เมื่อคืนคิดแผนบ้าอะไรขึ้นมา!


“ฉันมาทวงหนี้จากนายต่างหาก นายติดเงินฉันแล้วยังไล่ฉันอีก มีคนอย่างนายที่ไหนกัน?”ถังซ่งเดินเข้ามาแล้วและไม่สนว่าหน้าเย่เซียวจะไม่สบอารมณ์ขนาดไหน แบกหน้าหนาๆ นั่งลงตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขา


“ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างให้นาย”


“เมื่อคืนนายรุนแรงเกินไปหรือเปล่า? เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำอะไรนายสักหน่อย ก็แค่ลูบลูกรักสุดหวงของนายนิดเดียวเองนายก็หักแขนหล่อนซะได้ ทำให้ฉันต้องเสียเงินไปก้อนหนึ่ง ทำไม? ของนั่นของนายให้แค่น่าหลันลูบ ไม่ให้ผู้หญิงคนอื่นลูบหรือไง?”


“เมื่อคืนฉันทำผิดไปจริงๆ” เย่เซียวปิดเอกสาร


ความคิดของถังซ่งสะดุดกึก โอ้โห เย่เซียวที่ปกติเอาแต่ใจเป็นใหญ่ไม่เห็นใครในสายตาคนนั้นรู้จักสำนึกผิดแล้ว?


แต่ในหัวเพิ่งคิดแบบนี้ไปหมาดๆ วินาทีถัดมาได้ยินเพียงใครบางคนเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันน่าจะหักแขนนายมากกว่า!”


“…”ถังซ่งรีบเก็บแขนไว้ด้านหลัง เขาคิดตื้นเกินไปจริงๆ


“ก็นายบอกว่าถ้าว่างแล้วให้ฉันพานายไปฝึกวิชาเอาใจผู้หญิงไม่ใช่หรือไง?”


“เรียนบ้าอะไร!”ต่อให้เรียนก็ไม่ได้หมายความว่าให้เจ้าหมอนี่พาเขาไปซื้อกิน! ผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยสักนิด


“ไม่เรียนแล้ว?”


เย่เซียวแค่ ‘หึ’เป็นการตอบกลับสั้นๆ


ถังซ่งจิปากที “ไม่เรียนได้ไง? คราวหลังถ้านายทำเธอเจ็บ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ถูกนายรุนแรงใส่แบบนั้น น่าสงสารจะตาย”


“เป็นสิ่งที่เธอติดค้างฉันอยู่แล้ว ฉันจะทรมานเธอยังไงก็เป็นที่เธอต้องทนรับ จะเอาใจก็ควรเป็นเธอที่ไปร่ำเรียนวิชามาเพื่อเอาใจฉัน”


“เธอติดค้างนาย?”ถังซ่งเอียงหัวจ้องเย่เซียวจ้องแล้วจ้องอีก “ทำไมฉันรู้สึกว่าคำพูดนี้ยิ่งฟังยิ่งแปลกนะ? คนที่นายทำเธอเจ็บ คงไม่ใช่น่าหลันของนายหรอกมั้ง แต่เป็น…ไป๋ซู่เย่ที่เราเจอเมื่อคืนสินะ?”


“…”เย่เซียวไม่ส่งเสียงใดๆ


“ปฏิกิริยาของนายถือว่ายอมรับกลายๆ แล้ว!” ถังซ่งลุกพรวดด้วยแรงอารมณ์ “เย่เซียว นายนี่มันนักรักจริงๆ! สิบปีก่อนนายตกอยู่ในกำมือเธอ สิบปีผ่านไปนายกลับจะไปเรียนวิชาเอาใจผู้หญิงเพื่อเธอ นายคิดจะตกอยู่ในเงื้อมมือเธออีกครั้งเหรอ?”


“ถังซ่ง ถ้านายยังพูดมาก ฉันไม่เดือดร้อนที่จะเย็บปากให้นายนะ!”


“เย็บแล้วก็ไม่มีประโยชน์” ถังซ่งเขม่นมองเย่เซียว “นายยังปล่อยวางไม่ได้ใช่ไหม?”


สายตาของเย่เซียวเลื่อนออกจากเอกสารคืบเดียวแล้วทิ้งไว้จุดใดจุดหนึ่ง “ถ้านายถูกผู้หญิงคนหนึ่งปั่นหัวเหมือนคนโง่ นายลองดูสิว่านายจะปล่อยวางได้ไหม!”


“แล้ว…ตอนนี้นายพัวพันกับเธอ คิดจะทำอะไร? ให้บทเรียนเธอ หรือสานสัมพันธ์เก่าๆ ต่อ?”


เย่เซียวขมวดคิ้ว “สานสัมพันธ์เก่าๆ อะไร? ระหว่างเรายังมีความสัมพันธ์เก่าๆ ให้สานต่อเหรอ?”


ต่อให้มีความสัมพันธ์เก่าๆ จริงนั่นก็เป็นเพียงความแค้น เหลือเพียงความโกรธแค้น…


“นั่นสิ ก็ได้ นายอยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย ถ้าสุดท้ายเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาค่อยมาหาฉันแล้วกัน จะแผนกสูตินารีเวชเอย บุรษเวชศาสตร์เอย ปัญหาพวกนี้มาถามฉันได้เลย มีอะไรที่ฉันรู้ ฉันบอกหมดเปลือกแน่ๆ”


“ไสหัวไป!”เย่เซียวกำกระดาษหนึ่งกองข้างๆ โยนใส่เขา


ถังซ่งไหวพริบดีรีบถอยห่างไปก่อนหนึ่งก้าว หนีไปจนถึงประตู “ฉันแค่ผ่านมาเฉยๆ เลยแวะมาดูนายสักหน่อย ไปล่ะ”


แวะดู?


ชัดเจนเลยว่าต้องการมาสอดรู้สอดเห็น


ถังซ่งปิดประตูออกไปแล้วเรียกเลขาหนึ่งคนเข้าไปจัดเอกสารที่ถูกเย่เซียวโยนกระจัดกระจายเมื่อสักครู่


ถังซ่งกลับไปเย่เซียวก็เริ่มไม่มีกระจิตกระใจทำงานต่อ พลางโยนเอกสารใส่โต๊ะหันกลับไปทอดมองด้านล่างของตึก ในหัวอดนึกถึงผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ นึกถึงจูบเมื่อคืน…


ที่แท้…


ผ่านไปสิบปีจูบของพวกเขายังเข้ากันได้ดีเหมือนเดิม ยังเต็มที่ไร้ความเก้อเขินเช่นเคย


แต่ปากเล็กๆ ของเธอ สิบปีนี้เคยผ่านการจูบผู้ชายมาเท่าไรแล้ว?


จูบผู้ชายอย่างบ้าบิ่นและหลงใหลเหมือนเมื่อคืนมาอีกเท่าไร?


คิดดูแล้วคงไม่น้อยหรอก! ไม่อย่างนั้นตอนที่ตอบโต้เขา ไม่มีทางช่ำชองขนาดนั้นแน่


อีกอย่าง…


ถึงจะรู้ว่าเธอมีอะไรครั้งแรกกับเขาแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าร่างกายของเธอจะไม่เคยถูกผู้ชายอื่นๆ สัมผัสมาก่อน ต้องรู้ว่าสิบปีก่อนพวกเขายังไม่เคยทำถึงขั้นตอนสุดท้าย แต่ทุกจุดของร่างกายของเธอ เขาเคยลิ้มรสมันมาแล้ว!


พอนึกถึงตรงนี้แล้วอารมณ์ของเย่เซียวก็แย่ลงอย่างมาก


…………………………………..


ตอนที่ 632 ไป๋ซู่เย่ คุณยังสะอาดอยู่ไหม? (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ขณะที่ไป๋ซู่เย่นอนพักกลางวันอยู่ในห้องพักผ่อน โทรศัพท์ก็สั่นไม่หยุด เมื่อเธอหยิบขึ้นมาจะกดรับกลับเห็นว่าหน้าจอเป็นเบอร์จากคุณหญิงไป๋


เธอไม่ได้โทรกลับไปในทันที แค่ลุกจากเตียงจัดการตัวเองก่อนเดินออกจากห้องพักผ่อน


“รัฐมนตรี คุณหญิงมาแล้ว” ไป๋หลางผลักประตูเข้ามารายงาน


คุณหญิงไป๋มาหาตนได้ เธอพอจะนึกออกแล้วว่ามาเพื่ออะไรจึงรู้สึกชาวาบไปทั้งหัว


“ทำไมโทรหาลูกแล้วไม่รับสายล่ะ?” ไม่รอไป๋หลางไปเชิญมาคุณหญิงไป๋ก็เข้ามาก่อนอย่างกระฉับกระเฉง ด้านหลังมีน้าหลินกับคนขับรถเดินตามอยู่ คนขับรถไม่ได้ตามเข้ามาแค่นั่งรออยู่นอกห้องทำงาน


“เมื่อกี้หนูนอนอยู่ จะกดรับแม่ก็วางสายไปก่อน” ไป๋ซู่เย่ตอบไปพลางหันกลับไปสั่งให้เลขาชงชาเข้ามาสองแก้ว ก่อนถามคุณหญิงไป๋ “แม่มาเอง มีเรื่องอะไรหรือคะ?”


“คืนนี้แม่นัดคนไว้ให้ลูก ลูกต้องไป ยังไงก็ต้องไป”


“แม่”


“นี่คือที่อยู่” คุณหญิงไป๋ล้วงกระดาษข้อความจากกระเป๋ายื่นให้เธอ “อวิ๋นช่วนรอลูกอยู่ คงไม่ต้องให้แม่พูดไปมากกว่านี้สินะ?”


ไป๋ซู่เย่เอือมระอาหน่อยๆ “แม่คะ แม่ไม่เชื่อใจตัวลูกสาวตัวเองขนาดไหนถึงได้กังวลเรื่องแต่งงานของหนูขนาดนี้?”


“ลูกรู้ไหม? เงื่อนไขอย่างลูกนี่แหละแม่ถึงได้กังวลขนาดนี้ ถ้าแม่ไม่จับตาดูให้ลูกหน่อย เลือกไปเลือกมา สักวันต้องเลือกพลาดแน่ๆ แม่ว่าคุณชายตระกูลอวิ๋นนี่ก็ไม่เลว รูปร่างหน้าตา เบื้องหลังครอบครัว การศึกษามารยาท ไม่มีที่ติเลย น้าหลิน เธอว่าฉันพูดถูกไหม?”


“คุณหญิงพูดถูกค่ะ คุณหนูคะ คุณหนูก็ทำตามที่คุณหญิงบอกเถอะค่ะ ถือว่าให้โอกาสตัวเองด้วย ไม่ว่ายังไงมื้อเย็นก็ต้องทานคนเดียวอยู่แล้ว ทานสองคนก็ได้นี่นา”


“อีกอย่างเจ้าเย่ฉิงมีหลานให้ฉันแล้วด้วย แต่ลูกยังเงียบฉี่ขนาดนี้ ถ้าลูกมีแฟนหนุ่มน่าเชื่อถือสักคนพากลับไปให้เราดูหน่อย แม่ก็ไม่มีทางบังคังให้ลูกไปเจอผู้ชายคนอื่นหรอก ใช่ไหมล่ะ?”


ไป๋ซู่เย่เอือมระอาอย่างมาก คุณหญิงกับน้าหลินพูดเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เธอไม่อาจปฏิเสธได้เลย “แม่คะ หนูยังไม่แก่”


“แม่ว่า ซู่ซู่ ลูกไม่ชอบใจที่แม่เป็นแม่สื่อให้ขนาดนี้เพราะมีคนในใจแล้วใช่ไหม? ถ้าลูกมีก็บอกแม่ แม่จะไม่พูดอะไรอีกเลย”


คุณหญิงไป๋มองเธอด้วยสายตาสงสัยและสีหน้าคาดหวัง ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “ไม่มีค่ะ ไม่มีทั้งแฟนทั้งคนในใจ”


คุณหญิงไป๋ทำหน้าไม่พอใจ พูดคำขาดห้ามปฏิเสธ “ถ้าคืนนี้ลูกไม่ไป ก็ไม่ต้องกลับมาเจอหน้าแม่กับพ่อของลูกอีก”


ไม่เปิดโอกาสให้ลูกสาวได้พูดอะไรอีก คุณหญิงไป๋ถือกระเป๋าเดินไปข้างนอก “น้าหลิน เรากลับกันเถอะ”


“…”ไป๋ซู่เย่ปวดหัว ลุกขึ้นยืนไปส่งพวกเธอ


กลับมาหน้าโต๊ะทำงานเหม่อมองกระดาษที่เขียนที่อยู่ นั่นสิ ทำไมตัวเองต้องไม่ชอบใจกับการไปพบปะผู้ชายคนอื่นขนาดนี้? มีคนที่ชอบหรือ?


มีคนคนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเรียกให้เธอยิ่งรู้สึกผิดหวัง


ความรู้สึกที่จมดิ่งลงเรื่อยๆ นั้นไม่ดีเลย


ก่อนเลิกงานคุณหญิงไป๋ได้โทรมาอีกรอบพลางตักเตือนอย่างจริงจังอีกครั้ง


สุดท้ายเธอถอดชุดเครื่องแบบเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดของตัวเองในคืนนี้ จัดการตัวเองลวกๆ แล้วไปตามนัด


ที่อยู่ตามที่คุณหญิงไป๋ทิ้งไว้เป็นร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่ง ลูกค้าด้านในล้วนเป็นลูกค้าที่มีตำแหน่งใหญ่โตหรือกระเป๋าหนัก ไป๋ซู่เย่ใส่ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนกับรองเท้าส้นสูง ขับให้ดูสง่าและใจกว้าง


อวิ๋นช่วนกำลังใช้โทรศัพท์เปิดอีเมลดูอยู่ริมหน้าต่าง คล้ายรู้สึกถึงการมาของเธอจึงเงยหน้าขึ้นมา ยามตัวเธอปรากฏในสายตาเหมือนเขาตาวาวขึ้นชั่วขณะ


“ขอโทษที่ฉันมาช้า” เธอยิ้มจางๆ


“เปล่า ผมมาเร็วต่างหาก เชิญนั่งก่อน” อวิ๋นช่วนดึงเก้าอี้ตรงข้ามให้เธออย่างสุภาพบุรุษ “ไม่รู้ว่าคุณชอบอาหารแบบไหนเลยไม่ได้สั่งอาหารไป คุณดูก่อนสิ”


อวิ๋นช่วนยื่นเมนูอาหารให้เธอ


เธอรับมันไปด้วยรอยยิ้มและไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น รักษาระยะห่างอย่างมีมารยาทและเป็นมิตร ถือว่าเป็นการรายงานตัวให้คุณหญิงไป๋แล้วกัน


ยังดีที่อวิ๋นช่วนเป็นผู้ชายที่รู้ขอบเขตและเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ได้บังคับฝืนใจอะไร


ระหว่างที่ทานได้เพียงครึ่งเดียวเขาก็สั่งให้คนเอาดอกกุหลาบช่อสวยให้เธอ การมอบดอกไม้แม้จะดูเชยแต่เป็นสิ่งที่หญิงสาวชื่นชอบอยู่ดี


เป็นดั่งที่คุณหญิงไป๋ได้กล่าวไว้ว่าเขาเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง ความจริงไป๋ซู่เย่รู้สึกดีกับเขาอยู่บ้างแต่ความรู้สึกดีแบบนั้นกลับไม่ใช่ความรู้สึกหวั่นไหว


“ซู่เย่ คุณจริงๆ หรือเนี่ย?” ขณะนั้นเองเสียงคุ้นเคยดังแว่วมา


เธอเงยหน้าขึ้นพอดีก็เห็นถังซ่งโอบหญิงสาวหน้าตาสดสวยมายืนข้างพวกเธอ


“บังเอิญจัง” ไป๋ซู่เย่ดันเก้าอี้ออกลุกขึ้นยืน “ถ้าฉันไม่ได้จำผิด เมื่อคืนเราเคยเจอกันแล้ว”


ถังซ่งหัวเราะน้อยๆ “กำลังกังวลอยู่เลยว่าท่านรัฐมนตรีไป๋งานเยอะแล้วจะขี้ลืม”


“อย่าแซวฉันเลยน่า เมื่อคืนฉันดื่มเยอะไปหน่อย”ความจริงไป๋ซู่เย่ไม่นึกเลยว่าถังซ่งจะยังคงท่าทีเป็นมิตรกับเธอได้ขนาดนี้ ซึ่งเธอรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากในเมื่อคนรอบข้างของเย่เซียวในอดีต ปัจจุบันล้วนเกลียดเธอเข้ากระดูก


“ไม่แนะนำให้ผมรู้จักหน่อยเหรอ?” ถังซ่งส่งสายผ่านอวิ๋นช่วน อวิ๋นช่วนลุกขึ้นยืนตั้งนานแล้วจึงยื่นมือออกไป “สวัสดีครับ ผมอวิ๋นช่วน เพื่อนของซู่ซู่”


ซู่ซู่


เรียกได้สนิทสนมเสียจริง


“ผมถังซ่ง เป็นเพื่อนเก่าของซู่ซู่ล่ะ”


อวิ๋นช่วนยิ้มกว้างกว่าเดิม “ยินดีที่ได้รู้จัก”


ไป๋ซู่เย่รู้ว่าถังซ่งคงเข้าใจผิดไปแล้ว แต่เห็นอวิ๋นช่วนไม่ได้อธิบายอะไร เธอจึงไม่คิดจะทำอะไรมากไปกว่านี้ อย่างไรเสียไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับถังซ่งบ่อยๆ อยู่แล้ว


ถังซ่งไม่ได้อยู่นานก่อนจะย้ายไปนั่งอีกโต๊ะ ไป๋ซู่เย่กับอวิ๋นช่วนถึงนั่งลงใหม่


ระหว่างทั้งคู่แม้จะไม่มีเรื่องให้พูดคุยมากนักแต่ข้อดีจุดหนึ่งของผู้ชายคนนี้คือไม่มีทางทำให้คุณรู้สึกแย่หรืออึดอัด ยิ่งไม่ปล่อยให้สถานการณ์ตรงหน้าเงียบจนอึดอัด เขาจะพูดขึ้นประโยคสองประโยคเพื่อคงบรรยากาศราบเรียบนี้ต่อไป


นี่คงเป็นข้อดีหากได้คบกัน


ไป๋ซู่เย่คิด หากคบกับเขาตามใจคุณหญิงไป๋ ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร


เพียงแต่ว่า…


……………………


วันนี้นานทีเย่เซียวจะทำงานให้เสร็จทุกอย่างก่อนมื้อเย็น กลุ่มหยูอันรอเขาที่โรงจอดรถภายในตึกตั้งนานแล้ว


เขาขึ้นรถล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรไปยังเบอร์หนึ่ง


“เรียกน้าหลี่มารับสาย” เขาพูดสั่งไปประโยคหนึ่งหลังอีกฝั่งรับสาย


“นายท่าน”ไม่นานเสียงน้าหลี่ดังมาจากอีกฟากของสาย


เย่เซียวทอดสายตาไปนอกหน้าต่างถึงถามเสียงนิ่ง “คืนนี้เธอได้บอกไว้ไหมว่าจะกลับมากี่โมง?”


“ท่านหมายถึงคุณไป๋หรือคะ?”


“อืม”


“วันนี้เธอไม่ได้ติดต่อดิฉัน คิดว่าน่าจะไม่ดึกค่ะ”


เย่เซียวพยักหน้า “ให้ครัวเตรียมมื้อเย็นไว้ หนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ผมน่าจะถึง”


“ค่ะนายท่าน”น้าหลี่ตอบรับเสร็จเย่เซียวถึงวางสาย


…………………………………………..


ตอนที่ 633 ไป๋ซู่เย่ คุณยังสะอาดอยู่ไหม? (2)

โดย

Ink Stone_Romance

อีกฟากหนึ่ง


ถังซ่งไม่ได้จดจ่อกับมื้ออาหารสักนิด มัวแต่แอบถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา


“เป็นอะไร?”คู่ควงมองไปทิศทางที่เขาแอบถ่ายรูปซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วถามอย่างฉงน “ทำไมต้องถ่ายพวกเขาตลอดเลย?”


“เธอไม่รู้อะไรที่รัก ทานข้าวของเธอไปนะ”


ถังซ่งปลอบหญิงสาวอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะโทรออกไปยังเบอร์หนึ่ง


รอสักพักอีกคนก็รับสาย “มีธุระเหรอ?”


“เย่เซียว ตอนนี้ฉันกำลังทานข้าวอยู่เมืองเยวี่ย”


ตอนนี้เย่เซียวกลับถึงบ้านแล้วและกำลังทานข้าวมื้อเย็นกับน่าหลัน ได้ยินเสียงถังซ่งจึงตอบด้วยอารมณ์เรียบนิ่ง “ฉันไม่มีอะไรที่ต้องการรู้”


“นายนี่ใจร้ายจริงๆ แต่ว่าฉันคิดว่าคำพูดต่อไปนี้ของฉัน นายจะต้องสนใจมากแน่ๆ”


เย่เซียวคร้านจะตอบกลับเขาแม้แต่คำเดียวก็ตาม ปล่อยให้เขาพูดเองเออเอง


“นายรู้ไหมว่าเมื่อกี้ฉันเจอใครที่ร้านอาหารร้านนี้? เจอซู่ซู่ของนาย ไม่สิ ตอนนี้เป็นคนของคนอื่นไปแล้ว”


เย่เซียวที่กำลังทานอาหารอยู่ชะงักมือไปเล็กน้อยแต่ยังไม่พูดอะไร ได้แต่รอให้ถังซ่งพูดต่อ


“เธอน่ะตอนนี้กำลังเดตกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ อีกฝ่ายดูไม่แย่เลยนะ อ้อ มอบช่อดอกไม้ให้เธอด้วย ทั้งสองคนนั่งด้วยกันมันสบายตาจริงๆ เลยนะ ถ้าให้ฉันพูดล่ะก็ ฉันรู้สึกว่าแววตาในการเลือกผู้ชายของเธอไม่เลวเลย”


เย่เซียวที่อยู่ทางนี้หายใจหนักอึ้งขึ้นมาก ตัดสายทิ้งโดยไม่คิดจะฟังต่อ


กระแทกโยนใส่โต๊ะแรงๆ


ถังซ่งพูดเองเพียงลำพังอยู่ครู่ใหญ่แต่สิ่งที่ตอบกลับเขาเหลือเพียงเสียง ‘ตู๊ดๆ’ เขาจิ๊ปากที “ไม่มีความอดทนเลย ฉันยังไม่ทันส่งรูปเลย!”


……………………


น่าหลันกำลังกินน้ำซุป ขณะที่เขาโยนโทรศัพท์ใส่โต๊ะจนเกิดเสียงดังกระแทกหูนั้น เธอสะดุ้งเฮือกจนแทบทำช้อนน้ำซุปหลุดมือ


ลอบสังเกตสีหน้าของเขาก่อนจะรู้สึกเกร็งไปตามๆ กัน คนรับใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ รวมถึงอาชิงล้วนกลั้นหายใจในชั่วพริบตา


บรรยากาศในห้องอาหารอึดอัดเสียจนแทบหายใจไม่ทั่วท้อง


โทรศัพท์ของเขาสั่นอีกหลายที


เขาหยิบไปดูผ่านๆ ตา เป็นรูปถ่ายที่ส่งมาจากถังซ่ง


รูปทุกใบทำให้สีหน้าของเขาถมึงทึงขึ้นทีละนิดๆ ให้ความรู้สึกเหมือนจะมีลมพายุซัดผ่านมาในไม่นาน


เย่เซียวหยิบโทรศัพท์ค้นหาเบอร์ผู้ติดต่อก่อนจะเจอเบอร์โทรที่เห็นผ่านตาครั้งเดียวก็จำจนขึ้นใจได้อย่างน่าแปลก หมายจะโทรออกแต่สุดท้ายกลับชะงักมือ ได้แต่โยนโทรศัพท์ทิ้งไปไกลอีกครั้ง


โทรศัพท์ไถลไปไกลบนโต๊ะ น่าหลันกลัวโทรศัพท์จะตกพื้นจึงรับโทรศัพท์ของเขาไว้ให้ ซึ่งชั่วขณะนั้นเองเพียงแวบเดียวก็เห็นชื่อผู้ติดต่อที่เด่นหราบนจอนั่น


ไป๋ซู่เย่


ที่แท้…เธออีกแล้ว…


หน้าอกบีบรัดแน่น


“เย่เซียว”รอผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดก็เอ่ยปากเบาๆ


“หืม?”


“อารมณ์ไม่ดีเหรอ?”


“…เปล่า”ปากบอกไม่แต่ใบหน้าที่เรียบตึงนั่นบ่งบอกอารมณ์ในตอนนื้ทั้งหมด


“งั้น…คุณจำได้ไหมว่าอีกสองวัน เป็นวันอะไร?” น่าหลันยิ้มมองเขา รอยยิ้มสดใสร่าเริง


เย่เซียวหยุดคิดเพียงครู่ก็จำได้ทันที


“วันเกิดครบสิบเก้าปีของคุณ”


น่าหลันรู้สึกอิ่มเอมใจมากเพราะเขายังจำวันเกิดตัวเองได้ ความรู้สึกบีบรัดในใจเมื่อครู่จางหายไปอย่างมาก เธอเริ่มลังเลและถามหยั่งเชิง “งั้น…อีกสองวันคุณว่างไหม? ฉันอยากไปพักผ่อนที่ริมทะเลมาตลอด ถ้าคุณว่าง เราไปด้วยกัน ได้ไหม?”


เย่เซียวในอดีตไม่มีทางปฏิเสธ


แต่ครั้งนี้กลับตอบว่า “ค่อยว่ากันอีกที”


คำตอบสั้นๆ ที่เด็ดขาดและเย็นชา


เธอรู้สึกว่าหัวใจทั้งดวงดำดิ่งลงเหวอีกครั้ง แม้เขาจะบอกเธอว่าไป๋ซู่เย่เป็นเพียงศัตรู แต่…หลังจากศัตรูคนนี้ปรากฏตัว เขาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน…


…………………………


เพื่อเป็นการเอาใจเธอ เดิมทีอวิ๋นช่วนอยากจะชวนเธอไปชมนิทรรศการภาพวาดตอนกลางคืน แต่ไป๋ซู่เย่ใช้เหตุผลที่ว่า ‘งานยุ่งทั้งวันเลยเหนื่อยนิดหน่อย’ เป็นการปฏิเสธแทน


“งั้นผมไปส่งคุณกลับเอง” ยังดีที่อวิ๋นช่วนไม่ได้ไล่ตามติดจนเกินไป


“ไม่เป็นไร ฉันขับรถมาเอง”


“ก็ได้ แต่คุณน่าจะให้ผมไปส่งคุณขึ้นรถนะ”


ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับโดยไม่ปฏิเสธอีกเป็นครั้งที่สอง กอดช่อดอกไม้เดินออกจากร้านอาหาร


ตอนออกจากร้านอาหารท้องฟ้ามืดแล้ว คนเก็บรถเดินมาส่งกุญแจ เธอนั่งลงฝั่งคนขับพลางโบกมือลากับอวิ๋นช่วน กำลังจะสตาร์ทรถไป


“เฮ้ รอผมก่อน”


เสียงถังซ่งดังขึ้นฉับพลัน ยังไม่ทันตั้งตัวประตูฝั่งข้างคนขับถูกเปิดออก ถังซ่งกอดช่อกุหลาบก่อนหน้าไว้ด้วยใบหน้ายิ้มคิกคัก เจ้าตัวนั่งลงเบาะข้างคนขับอย่างเคยชิน


ไป๋ซู่เย่มองเขาด้วยความสงสัย “ทำไม?”


“ขอติดรถไปด้วย คงไม่ว่ากันหรอกนะ? ที่นี่เวลานี้เรียกรถยากจะตาย”


“รถของคุณล่ะ?”


“ให้คนอื่นไปแล้ว สาวคนเมื่อกี้ เธอชอบ ก็เลยให้เป็นของขวัญเลิกกัน”


ไป๋ซู่เย่หลุดขำ สตาร์ทรถยนต์ “ไม่คิดว่าไม่ได้เจอกันสิบปี คุณยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”


ถังซ่งคาดเข็มขัดแล้วหัวเราะ “ผมว่าคุณต่างหากที่เปลี่ยนไปต่างจากเมื่อสิบปีก่อน”


“ยังไง?”


“ยิ่งอยู่ยิ่งสวย” ถังซ่งใช้สายตามองประเมินเธออย่างมีเลศนัยและร้ายกาจ แต่กลับไม่สร้างความรู้สึกเกลียดชังจากคนถูกมองได้เลย “หุ่นดีกว่าเมื่อก่อนมาก”


“ฉันต้องขอบคุณสำหรับคำชมจากอัจฉริยะหรือเปล่า?” ไป๋ซู่เย่สางผมยาวตรงไหล่คล้ายชินชากับท่าทางเช่นนี้ของเขา โต้กลับอย่างเป็นธรรมชาติ


“มิน่าเย่เซียวถึงได้มาถามหาเทคนิคบนเตียงกับฉัน”


ไป๋ซู่เย่ได้ยินประโยคนี้จากเขาก็เกือบจะเหยียบเบรกหัวทิ่ม เจอไฟแดงเธอถึงหยุดรถทันเฉียดฉิว “นิสัยที่ชอบพูดมั่วของคุณทำไมยังไม่เปลี่ยนอีก?”


“พูดมั่ว? พูดมั่วหรือเปล่า เย่เซียวรู้ดีที่สุด” เขาเป็นคนไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูด “เมื่อวานเขาเพิ่งโทรมาถามผมว่าจะต้องทำยังไงคุณถึงจะรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับเขา”


ไป๋ซู่เย่หน้าร้อนผ่าว


เธอรู้ความสัมพันธ์ของเย่เซียวกับถังซ่งดีว่ามีอะไรก็พูด


แต่…


ไม่คิดว่าระหว่างผู้ชายด้วยกันกลับปรึกษาเรื่องนี้กันด้วย


อีกอย่างวันนั้นที่เธอบ่นเรื่องเทคนิคของเย่เซียวแย่ ดูเหมือนเขาจะเก็บไปคิดมากจริงๆ ด้วย


“คุณรู้ไหมว่าภายหลังผมสอนเขายังไง?”


“…”ไป๋ซู่เย่จะตอบรับก็ไม่ใช่ ไม่ตอบรับก็ไม่ใช่ แต่แอบสงสัยด้วยจริงๆ


“ผมเรียกสาวๆ สุดเซ็กซี่ให้เขาห้าคน ให้พวกเธอสอนเขา แต่เจ้าหมอนั่นอะไรก็ช่วยไม่ได้แล้ว ไม่เรียนไม่ว่าแต่กลับหักแขนคนหนึ่งเพราะผู้หญิงคนนั้นจับตรงนั้นของเขานิดเดียว คุณว่าเขาโหดเหี้ยมเกินไปหรือเปล่า?”


ไป๋ซู่เย่คอยฟังอยู่และในที่สุดก็ตอบรับคำพูดเขา “ที่คุณพูดคงไม่ใช่ที่เรียกให้เขาเมื่อคืนหรอกนะ?”


“ก็เมื่อคืนนั่นแหละ”


ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง


“ฉะนั้น…สุดท้าย เขาก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย?”


“เรียนบ้าอะไรล่ะ! ผมเพิ่งไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว กลับไปผู้หญิงทั้งสี่ห้าคนก็หนีเขาไปหลบอยู่มุมเพราะกลัวแล้ว”


………………………………………………..


ตอนที่ 634 ไป๋ซู่เย่ คุณยังสะอาดอยู่ไหม? (3)

โดย

Ink Stone_Romance

ไป๋ซู่เย่อารมณ์ขึ้นอย่างน่าแปลกใจ


เธอถามเขาว่า “คุณลงที่ไหน?”


“โยนผมลงหน้าร้านขายรถแบรน์ดังสักร้านที่ยังไม่ปิดก็พอ”


รถยนต์ที่เพิ่งซื้อมาไม่ถึงหนึ่งเดือนให้คนอื่นไปแล้ว ตอนนี้ก็ทำได้แค่ซื้อคันใหม่


ไป๋ซู่เย่ชินชากับนิสัยสบายๆ ของเขาแบบนี้อยู่แล้วจึงไม่ได้ว่าอะไร


“คุณไม่อยากถามหน่อยหรือว่าสิบปีนี้เย่เซียวเป็นยังไงบ้าง?” ถังซ่งหาอีกประเด็นคุยให้เธอ


ไป๋ซู่เย่กระชับมือที่จับพวงมาลัยรถแน่นขึ้น


จะอย่างไรได้ล่ะ?


เมื่อนั้นเขาสูญเสียลูกน้องตั้งมากมาย เขาไม่มีทางทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ความจริงผมรู้สึกว่าคุณใจร้ายจริงๆ นะ ตอนนั้นกวาดล้างลูกน้องที่ถือว่าเก่งกาจที่สุดของเขาไป และครั้งนั้นโยวหมิงฉวยโอกาสที่เขาบาดเจ็บทรยศหักหลังเขา เจอการหักหลังสองครั้งติด ความรู้สึกเป็นยังไงผมจะไม่พูดแล้วกัน แต่ต่อหน้าลูกน้องทุกคน การเกิดเรื่องแบบนี้ติดๆ กันต้องไถ่โทษด้วยความตาย ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนคุกเข่าขอร้องเขาไว้ตอนนั้น คิดว่าลูกกระสุนสามนัดของเขาคงยิงฝังกะโหลกตัวเองไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เย่เซียวในตอนนี้จะเหลือเพียงเถ้ากระดูก” ขณะถังซ่งกล่าวอยู่น้ำเสียงพลันหนักอึ้งขึ้นอย่างมาก ไม่ได้มีท่าทีขี้เล่นเหมือนสักครู่เลย


“แต่สุดท้ายกระสุนพวกนั้นก็ฝังในตัวเขาอยู่ดี ทะลุท้องไส้ ผมช่วยเขาอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนถึงลากเขากลับมาจากประตูนรกได้ เขานี่ตายยากจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงตายไปแล้ว!”


ผ่านไปนานขนาดนี้แต่เวลาถังซ่งพูดขึ้นก็ยังเปลี่ยนน้ำเสียงไปจากเดิม สภาพย่ำแย่ของเซียวในตอนนั้นคงเป็นภาพที่โหดร้ายยามนึกถึงเสมอ


ไป๋ซู่เย่เพิ่งเคยได้ยินเรื่องเมื่อสิบปีก่อนเป็นครั้งแรก เธอไม่กล้าถาม ไม่กล้าสืบ เพราะกลัวได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้วตัวเองจะยิ่งรู้สึกผิด


มือที่จับพวงมาลัยสั่นไหวอย่างรุนแรง เธอรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว


เหยียบเบรกกะทันหันก่อนเทียบจอดรถไว้ข้างทาง


“คุณลงไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียวสักพัก”


สิ่งที่ควรพูดได้พูดหมดแล้วถังซ่งย่อมไม่อยู่นานไปกว่านี้ ปลดเข็มขัดนิรภัยเปิดประตูรถ นึกบางอย่างได้ก็หันกลับมามองเธอแวบหนึ่ง “คุณอย่าโทษว่าเย่เซียวกับพวกหยูอันเกลียดคุณเลย ความจริงผมก็เกลียดคุณเหมือนกัน”


ไป๋ซู่เย่ขยับปากอยากพูดอะไรแต่เหมือนมีของบางอย่างอุดไว้ตรงลำคอ ให้เธอพูดอะไรไม่ออก


ประตูรถถูกปิดลง


ไฟภายในรถดับสนิท


เธอนั่งอยู่ในรถด้วยความรู้สึกเย็นไปทั้งตัว


เย็นยะเยือก…


นอกหน้าต่างมีแสงไฟของรถยนต์ที่สัญจรไปมาส่องผ่านใบหน้าเธอ มีเพียงสีขาวหม่น เธอซบบนพวงมาลัยใช้มือกุมหน้าอกไว้อย่างแรง


ตรงนั้น เริ่มปวดอีกแล้ว…


หลายปีก่อนตอนเพิ่งกลับมาใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาที่หัวใจของเธอเจ็บปวดมากที่สุด คุณหมอหาสาเหตุไม่พบ ต่อมาจึงส่งเธอไปพบจิตแพทย์ถึงดีขึ้นหน่อย


หลายปีมานี้ดีขึ้นมากและแทบไม่เคยเจ็บอีกเลย แต่วันนี้จู่ๆ ก็กำเริบเสียได้…


…………………………


ไป๋ซู่เย่นั่งอยู่ในรถนิ่งๆ สามชั่วโมงกว่า ความเจ็บตรงหัวใจถึงบรรเทาลง


ผ่านไปพักใหญ่เธอล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าออกมาอยากโทรหาเย่เซียว แต่เพิ่งสังเกตว่าเธอไม่มีเบอร์โทรของเย่เซียวด้วยซ้ำ


ยังดีที่มีเบอร์บ้านเขา


เธอกดโทรออก หัวใจบีบแน่นจนรู้สึกเจ็บตอนได้ยินเสียงรอสายดัง ‘ตู๊ดๆ’


“ฮัลโหล”


“น้าหลี่”ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเฮือกใหญ่เพื่อให้น้ำเสียงตัวเองฟังดูปกติ “เย่เซียว กลับมาหรือยัง?”


“ค่ะ วันนี้นายท่านกลับมาเร็วมาก แต่ว่า…แค่อารมณ์ไม่ดีมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”


“วานคุณบอกเขาแทนฉันทีว่าคืนนี้ฉันไม่กลับไปที่นั่นแล้วนะ”


“อา งั้นคุณอย่าเพิ่งวางค่ะ ตอนนี้ฉันจะไปบอกนายท่านก่อน ท่านยังไม่นอนเลย”


น้าหลี่วางหูโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ก่อนขึ้นไปชั้นบน


“นายท่านคะ”


เย่เซียวเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาเปิดประตูทั้งที่ใช้พันขนหนูพันรอบเอว สีหน้าถมึงทึงอย่างเคย “เธอกลับมาหรือยัง?”


นี่มันกี่โมงแล้ว?!


“เปล่าค่ะ แต่คุณไป๋โทรกลับมาฝากฉันให้มาบอกท่านว่าคืนนี้ไม่กลับมาแล้ว ฉันยังไม่ได้วางสาย อยากมาถามท่านก่อน”


เย่เซียวไม่ได้ตอบอะไรแค่กระแทกปิดประตูอย่างแรง เดินไปหยิบหูโทรศัพท์อีกเครื่องในห้อง “ไป๋ซู่เย่ คืนนี้ถ้าคุณไม่ไสหัวกลับมานี่ คุณก็ไม่ต้องมาอีกแล้ว!”


น้ำเสียงฟังออกว่าเขากำลังพยายามระงับอารมณ์และอดทนอยู่


“ฉัน…”


เธออยากพูดบางอย่างแต่เขากลับกดวางสายอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ‘พลั่ก’ หูโทรศัพท์แทบถูกเขาเขวี้ยงใส่หัวเตียง


ไม่กลับมา?


ไปเดตกับผู้ชายคนนั้นอย่างสนุกสนานเลยไม่อยากกลับมา? คิดจะทำอะไรข้างนอก? นอนกับผู้ชายคนนั้น? เธอยังมีแผลติดตัว ทำได้หรือ?!


เย่เซียวยิ่งคิดยิ่งเดือดพล่าน อารมณ์คุกรุ่นไม่ดับมอดลงสักที


………………………………


ไป๋ซู่เย่รับรู้ถึงความโกรธของเย่เซียวผ่านโทรศัพท์ได้อย่างชัดเจน เธอจมอยู่ในความเงียบชั่วครู่สุดท้ายก็ทนเจ็บที่หัวใจกลับไปเผชิญหน้ากับเขา


เดิมที…


ไม่กล้าเผชิญหน้าเพราะความรู้สึกผิดเต็มอก


ขับรถกลับไปถึงบ้านเขาก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ท้องฟ้ายามค่ำคืนอ้างว้าง


ก่อนลงจากรถไม่ลืมที่จะหยิบดอกไม้ที่อวิ๋นช่วนให้ตัวเองติดมือมาด้วย ดอกไม้บานได้ไม่เลว ให้น้าหลี่หาแจกันใส่แล้วมาไว้ในห้องเธอได้


เธอกดกริ่งประตู


เดิมทีคิดว่าคนที่มาเปิดประตูให้ตนจะเป็นน้าหลี่ แต่ชั่วขณะที่เปิดประตูเธอนิ่งไปทันที


เย่เซียว


เขายืนอยู่ตรงประตูแผ่ออร่าเยือกเย็น ใช้สายตาเย็นชาจ้องเธอเขม็ง


“คุณ…ยังไม่นอนเหรอ?” นึกถึงคำพูดของถังซ่งเมื่อสักครู่ หัวใจก็บีบแน่นจนเจ็บแปลบอีกที


“ดอกไม้จากใคร?”เย่เซียวไม่ได้เบี่ยงตัวหลบแต่กลับขวางเธอไว้นอกประตู ทุกคำที่ออกจากปากราวกับพูดลอดไรฟัน


ไป๋ซู่เย่ดูออกว่าคืนนี้เขาอารมณ์แย่มากจริงๆ แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นตัวต้นเหตุ


ขอแค่ตัวเธอไม่ยุ่งกับเขาก็พอ


หากไปกระตุ้นเขา คิดว่าไฟโทสะคืนนี้ของเขาต้องถูกระบายที่เธออย่างไม่ต้องคิด ใช้วิธีทรมานเธอเป็นการระบายอารมณ์


เธอตอบเสียงเรียบ “เพื่อนให้”


“เพื่อนอะไร?”เขายังคงเป็นน้ำเสียงซักถามเช่นเดิม


“เพื่อนธรรมดา”


“เพื่อนธรรมดาให้ดอกไม้คุณ?” เย่เซียวสีหน้าแย่ลงกว่าเดิม ผู้หญิงคนนี้ขี้โกหกเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด เขาแค่นหัวเราะ “ไป๋ซู่เย่ เดิมทีคืนนี้คุณกะจะให้เขานอนกับคุณ ใช่ไหม?”


คำถามซักไซ้จากเขากลับขัดหูมากขึ้นเรื่อยๆ


“เย่เซียว คืนนี้คุณอารมณ์ไม่ดีใช่ไหม?” ไป๋ซู่เย่คิดว่าเขาจงใจหาเรื่องเธออยู่จึงสรรหาเหตุผลมาว่ากล่าวเธอเพื่อง่ายต่อการระบายอารมณ์ขุ่นมัวของเขาในคืนนี้ “ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณ ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีมาก คิดว่าคงแย่กว่าเดิมถ้าเห็นฉัน งั้นฉันไม่ขอเข้าไปแล้วกัน”


อย่างไรเสียดูท่าทางเขาไม่คิดจะปล่อยให้เธอเข้าไปอยู่แล้ว


ไป๋ซู่หันหลังเตรียมเดินกลับ


……………………………………..


 

 

 


ตอนที่ 635

 

อย่างไรเสียดูท่าทางเขาไม่คิดจะปล่อยให้เธอเข้าไปอยู่แล้ว


ไป๋ซู่เย่หันหลังเตรียมเดินกลับแต่ทันใดนั้นข้อมือเธอกลับถูกฉุดไว้อย่างแรง จากนั้นเจ้าตัวก็ถูกเขาช้อนตัวขึ้น


เธอสะดุ้งเฮือก “เย่เซียว?”


สีหน้าของเขาเรียบนิ่งจนน่ากลัว เพียงแค่จ้องเธอตาเขม็ง “ทิ้งดอกไม้ซะ!”


“…”ไป๋ซู่เย่กัดปาก “ดอกไม้นี่ทำอะไรให้คุณไม่พอใจ?”


“ทิ้ง หรือไม่ทิ้ง?”


ไป๋ซู่เย่คิดว่าการเป็นปรปักษ์กับเขาในเวลานี้ไม่ใช่หนทางที่ดีต่อเธออย่างแน่นอน จึงจำต้องขอโทษอวิ๋นช่วนแทน


เธอยกแขนยังไม่ทันทิ้งดีได้ยินอีกประโยคเอ่ยเสริมเข้ามา “โยนไกลๆ หน่อย!”


ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ ออกแรงโยนช่อดอกไม้ไปท่ามกลางความมืดของรัตติกาล


เย่เซียวอุ้มเธอกลับห้องนอนของเธอจากนั้นใช้เท้าปิดประตูแรงๆ ถัดมาไป๋ซู่เย่ถูกเขาโยนใส่เตียงอย่างไม่ปรานี เธอยังไม่ทันลุกจากเตียงดีกระโปรงก็ถูกเขาเลิกขึ้นเหนือเอวอย่างไร้มารยาท


แสงไฟสว่างเกินไป


ความอับอายพุ่งเข้ามา ขยับถอยหลังเล็กน้อย “คุณจะทำอะไร?”


“อย่าขยับ!”


ไป๋ซู่เย่จะไม่ขยับได้อย่างไร? เธอไม่รู้ว่าเย่เซียวต้องการทำอะไรเธอแต่ไม่ว่าอย่างไรคงไม่ใช่เรื่องดีนัก เธอคว้ามือเย่เซียวไว้ “แผลฉันยังไม่หายดี…”


เขาแค่นหัวเราะ “แผลยังไม่หายดีก็ดิ้นเร่าอยากมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นแล้ว?”


“ฉันไป…”


“หุบปาก!”เย่เซียวพลิกตัวเธอที่นอนอยู่บนเตียง จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็คร่อมทับเธอ ไป๋ซู่เย่เหนื่อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้อยู่กับเขาแล้วยิ่งรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิม ในสายตาของคนที่เกลียดชังเรา ไม่ว่าทำอะไรก็ผิดไปทั้งหมด


“เย่เซียว คุณต้องการทำอะไรกันแน่?”


“ผมต้องการรู้ว่าคุณยังสะอาดบริสุทธิ์อยู่ไหม ถ้าเมื่อกี้คุณเคยถูกผู้ชายคนอื่นสัมผัส ผมฆ่าคุณแน่” เย่เซียวดึงกางเกงเนื้อผ้าบอบบางของเธอลง


เธอเกร็งอัตโนมัติเพราะกลัวเจ็บ


แต่เย่เซียวไม่ได้รุกล้ำเธอจริงๆ แค่ตรวจสอบร่างกายเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เมื่อมั่นใจว่าตรงนั้นของเธอไม่มีแผลไปมากกว่านั้นและไม่มีร่องรอยจากผู้ชายคนอื่น เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น


“ตอนนี้ตรวจสอบเสร็จแล้ว…ปล่อยฉันได้แล้วใช่ไหม?” เสียงของไป๋ซู่เย่ฟังดูน่าสงสารไร้ที่พึ่ง รู้ว่าเขาไม่มีทางทำอะไรเธออีกก็ถอนหายใจโล่งอกที แต่…ยังรู้สึกลำบากใจมากอยู่ดี…


เย่เซียวไม่ได้ปล่อยแค่เอียงตัวซุกหน้ากัดคอเธออย่างแรงทีหนึ่ง ทิ้งรอยช้ำไว้ “ไป๋ซู่เย่ ในสามสิบวันนี้ ทางที่ดีคุณซื่อสัตย์ต่อผมด้วย”


เธอขยับตัวน้อยๆ หันข้างสบตาเขาด้วยดวงตาที่น้ำตารื้นเบาๆ “ถ้าฉันตอบตกลงว่าไม่นอนกับผู้ชายคนอื่น แล้วคุณล่ะ? คุณก็ไม่นอนกับผู้หญิงคนอื่นได้ไหม?


รวมถึง…น่าหลัน”


สี่พยางค์สุดท้ายเธอพูดเสริมไปหลังจากเว้นช่วงไปอึดใจ


เย่เซียวตะลึงงัน แค่นหัวเราะใส่เธอ “คุณมีสิทธิ์อะไรมาขอร้องให้ผมซื่อสัตย์กับคุณ? คนที่ติดหนี้คือคุณ ไม่ใช่ผม”


สายตาเยาะเย้ยของเขาคล้ายกำลังขบขันกับความโง่เขลาของเธอ ความไม่รู้จักเจียมตัว


หัวใจไป๋ซู่เย่เจ็บแปลบเหมือนถูกฉีกทึ้ง


ปลายคางของเธอถูกจับไว้ เขายังคงใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ เลื่อนเข้ามาใกล้เธอ “แล้วก็…อย่าหลงคิดไปเองว่า อยู่ที่นี่คุณจะสำคัญกว่าน่าหลัน เทียบกับเธอแล้วคุณแย่กว่ามาก ต่อจากนี้ถ้าฉลาดขึ้นมาบ้างก็อย่าหาเรื่องให้ตัวเองดูแย่”


“…”ไป๋ซู่เย่รู้สึกแค่ว่าตำแหน่งหัวใจคล้ายจะเจ็บมากกว่าเดิมแล้ว


แต่เย่เซียวพูดไม่ผิด ความคิดบ้าๆ ที่เธอเสนอออกมานั้นคล้ายเป็นการสร้างเรื่องให้ตัวเองดูแย่จริงๆ


เธอหลับตาลงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ “ตอนนี้คุณตรวจเสร็จแล้ว คิดว่าน่าจะระบายอารมณ์แย่ๆ ได้มากแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่น…ฉันอยากนอนแล้ว”


ใบหน้าของเธอฉายแววอ่อนล้า


ภายใต้แสงไฟดวงหน้าเล็กขาวซีด หัวคิ้วย่นเป็นปมคล้ายไม่ค่อยสบายตัวเท่าไร


เย่เซียวก้มหน้ามอง ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกบีบรัดที่อก ความสงสารปนเห็นใจผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ


แต่ความรู้สึกแบบนั้นกลับทำให้เขานึกต่อต้านและหงุดหงิด เธอเป็นผู้หญิงใจดำอำมหิต ไม่คู่ควรกับความสงสารและเห็นใจเลยสักนิดเดียว แม้แต่นิดเดียว


สุดท้าย…


ก่อนที่ความรู้สึกนี้จะขยายตัวมากขึ้น เขาลุกพรวดเดินออกจากห้องไป


ประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรงจนเสียงนั้นดังสะท้านอย่างน่าสะพรึงในยามค่ำคืนเช่นนี้ ไป๋ซู่เย่นอนอยู่ที่เดิมกุมหน้าอกอยู่พักใหญ่ถึงเปิดเปลือกตาอีกครา


มือลูบจับคอตัวเองไปมาเบาๆ ตรงนั้นยังมีสัมผัสอุ่นร้อนที่เขาทิ้งไว้ รวมถึง…รอยฟันของเขา…


ทันทีที่มือแตะความเจ็บก็แล่นขึ้นมา…


เธอคุดคู้ตัวเป็นก้อนอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามสะกดความรู้สึกแย่ๆ ที่เริ่มเอ่อล้นจากก้นบึ้งของหัวใจ


กระทั่งตอนนี้ยิ่งรู้ว่าระหว่างเธอกับเย่เซียว ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว…


เย่เซียวในอดีตกลัวจะทำเธอลำบากหรือเสียใจแม้จะน้อยนิดก็ตาม แต่ตอนนี้เย่เซียวกลับกลัวว่าเธอจะมีชีวิตสงบสุขเกินไป…


……………………


คืนนั้น


ไป๋ซู่เย่นอนพักบนเตียงอีกครึ่งชั่วโมงถึงลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า


รอทิ้งตัวนอนลงอีกครั้งก็เป็นเวลาเช้ามืดแล้ว


คล้ายว่านับจากเซ็นสัญญากับเย่เซียวไม่มีวันไหนที่หลับสนิทเลย บางทีคู่เวรคู่กรรมก็หมายถึงพวกเขานี่แหละ


วันรุ่งขึ้น


เธอเปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดทำงานแล้วออกไปทานอาหารเช้าแต่เช้าตรู่


น่าหลันกับเย่เซียวอยู่ตรงนั้นแล้ว


“อรุณสวัสดิ์ คุณไป๋” น่าหลันยิ้มทักทายเธอ


“อรุณสวัสดิ์”ไป๋ซู่เย่หยักหัวน้อยๆ แล้วนั่งลงโดยไม่มองเย่เซียวแม้แต่แวบเดียว ยังคงรู้สึกว่าพวกเขาสามคนนั้นช่างตลกสิ้นดี แต่น่าหลันไม่สนใจด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเธอจะยิ่งไม่มีสิทธิ์สนใจ


ยี่สิบห้าวัน


นับถอยหลังอีกยี่สิบห้าวัน


“ดอกไม้ที่อยู่ข้างนอกเมื่อวานเป็นของคุณไป๋เหรอ? วันนี้คนรับใช้เก็บเข้ามา ต้องการให้เสียบใส่แจกันไว้ในห้องคุณไหมคะ?”


“อืม ได้ค่ะ”


“ดอกไม้สวยมาก ต้องเป็นคุณคนไหนที่ชื่นชอบคุณไป๋ให้มาสินะคะ?” น่าหลันยิ้มคล้ายถามไปอย่างนั้น


ไป๋ซู่เย่ทานโจ๊กหนึ่งคำพลางตอบกลับเสียงเรียบ “อาจเป็นแฟนในอนาคต แต่ตอนนี้ยังไม่ยืนยันสถานะค่ะ”


เธอไม่ได้เหลือบมองข้างๆ แต่กลับรู้สึกถึงสายตาเยือกเย็นตวัดมองมาทางเธอเป็นการกดดัน


“เหรอคะ? งั้นถ้ามีข่าวดีเมื่อไหร่คุณไป๋ต้องบอกฉันนะ เรามาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ กัน”


ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบ เธอไม่ได้สนิทกับน่าหลันถึงขั้นนั้น น่าหลันต้องแกล้งทำตัวน่ารักต่อหน้าเย่เซียวแต่เธอไม่ต้อง


ท่าทางเย็นชาของเธอเรียกให้น่าหลันหน้าเสียไปชั่วขณะ มองไป๋ซู่เย่อีกทีสุดท้ายก็ไม่ได้ชวนคุยอีกต่อไป


“อยากได้ของขวัญอะไร?” รอบรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับสู่ความเงียบ อยู่ๆ เย่เซียวก็เอ่ยปากถาม


ผู้หญิงสองคนหันสายตามาทางเขาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย


เขากลับเบนหน้าหันไปมองน่าหลัน “วันเกิดครบรอบสิบเก้าปีไม่ใช่เหรอ? อยากได้ของขวัญอะไร?”


ไป๋ซู่เย่เห็นแค่หลังศีรษะ ไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้แต่ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะรู้ว่าอ่อนโยนมาก อีกทั้งจากท่าทางความสุขเต็มเปี่ยมของน่าหลันก็ดูออก


เธออดนึกถึงปีที่ฉลองวันเกิดอายุสิบเก้าอยู่ข้างเขาไม่ได้…


………………………………………..

 

 

 


ตอนที่ 636

 

เธออดนึกถึงปีที่ฉลองวันเกิดอายุสิบเก้าอยู่ข้างเขาไม่ได้…


เขาเลือกของขวัญไม่เป็นจึงยื่นการ์ดให้เธอหนึ่งใบ อารมณ์ที่เธอรอมาทั้งวันแต่กลับได้การ์ดมาแทนนั้นแทบร้องไห้ออกมาตรงนั้น


หลังวันนั้นเธอไม่สนใจเขาไปสองวันติด เย่เซียวอดทนง้อเธออยู่สองวัน ต่อมาวันที่สามก็ไม่สนใจเธออีกปล่อยให้เธองอนไปเรื่อยๆ แต่ภายหลังก็ได้ชดเชยด้วยภาพเก็บสะสมของ Alex มากมาย


เย่เซียวในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าง้อแฟนสาวได้เก่งกว่าเมื่อสิบปีก่อนเยอะทีเดียว


“ของขวัญเหรอ?”ขณะที่น่าหลันกำลังขบคิดเอาช้อนแตะใต้คางให้ดูน่ารักสมวัย “ฉันขอเวลามื้อเย็นคุณหนึ่งมื้อได้ไหม?”


“ง่ายแค่นี้เหรอ?”


“ไม่ง่ายเลย คุณงานยุ่งขนาดนี้ เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันตั้งนานแล้วนะ วันเกิดฉัน คุณหาเวลาว่างมาทานมื้อเย็นกับฉันได้ไหม?” พูดถึงตรงนี้น่าหลันลอบมองไป๋ซู่เย่ที่นั่งตรงข้ามตัวเองแวบหนึ่งก่อนพูดเสริมอีกประโยคด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แค่เราสองคนไม่มีคนนอก”


คนนอก


ไป๋ซู่เย่รู้อยู่แก่ใจดี รู้ว่าคำนี้หมายถึงตัวเอง


“น้าหลี่ โจ๊กวันนี้ต้มได้ดีมากเลย” เธอเบี่ยงหน้าไปพูดกับน้าหลี่เสียงเบาด้วยรอยยิ้ม น้าหลี่จึงยิ้มตามทีหนึ่ง “ถ้าคุณไป๋ชอบล่ะก็ จากนี้ฉันจะให้ห้องครัวทำให้คุณทุกเช้าเลยดีไหมคะ?”


“ดีสิ รบกวนด้วยนะ”


“ไม่รบกวนเลยค่ะ”


เย่เซียวหันกลับมาเห็นรอยยิ้มที่ไม่สนใจเรื่องอื่นบนใบหน้าเธอแล้วเรียกให้เขารู้สึกอัดอั้นในอก


“อาหารเย็นน่าจะทานกับคุณไม่ได้แล้ว” เย่เซียวเอ่ยเสียงเรียบ กำลังพูดกับน่าหลัน


น่าหลันนิ่งงัน


จากนั้นใบหน้าดวงเล็กสวยงามฉายแววผิดหวังอย่างปกปิดไม่มิด เธอใช้ช้อนคนโจ๊กในถ้วยไปมา หลุบตามองต่ำเผยให้เห็นเงาของแพขนตาจางๆ ขับให้เจ้าตัวดูน่าสงสารเล็กน้อย


จากปริมาณความเอ็นดูที่เย่เซียวมีต่อแฟนสาวตัวเองนั้น ไป๋ซู่เย่ไม่คิดว่าเย่เซียวจะปฏิเสธเธอเช่นกัน…


“ช่วงบ่ายผมจะไปสัมมนางาน ถ้าคุณไม่รู้สึกเบื่อเวลาอยู่กับผมก็เก็บกระเป๋าไปพร้อมกับผม”


ความคิดของเธอหยุดชะงักเพราะคำพูดของเย่เซียว


น่าหลันเองก็เหนือคาดเช่นกัน เงยหน้ามองเขาอย่างดีใจ


“คุณอยากไปพักผ่อนริมทะเล คิดว่าช่วงนี้น่าจะไปไม่ได้ แต่ผมพาคุณไปเดินเล่นต่างประเทศบ้างก็ดี หลังปีใหม่ผมจะหาเวลาว่างชดเชยวันหยุดนี้ให้” เสียงเย่เซียวยังคงราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์


น่าหลันกลับอดดีใจไม่ได้ ส่ายหัวอย่างนึกใส่ใจ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่าคุณยุ่งมาก”


ขอแค่ได้อยู่กับเขาความจริงจะอยู่ไหนก็เหมือนกัน! แน่นอนว่าเงื่อนไขคือต้องไม่มี ‘ศัตรู’ ของเขาอย่างไป๋ซู่เย่อยู่ด้วย


“อาชิง งั้นตอนนี้เธอรีบไปเก็บกระเป๋าช่วยฉันเลย” เธอหันกลับไปสั่งอาชิงด้วยความดีใจ ความผิดหวังเมื่อสักครู่หายเป็นปลิดทิ้ง


อาชิงพูดหยอกเธอ “คุณคะ นี่ยังเช้าอยู่เลย ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ”


เธอหน้าแดงระเรื่อเหลือบมองเย่เซียวด้วยความเคอะเขิน “บอกให้เธอไปก็ไปสิ”


…………


ไป๋ซู่เย่ก้มหน้าทานโจ๊กต่อราวกับใจจดใจจ่อนัก ไม่ได้เงยหน้าพูดสักประโยคหรือมองสองคนบนโต๊ะแม้แต่แวบเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ


เธอเจียมตัวดีจึงนั่งเงียบๆ ทำหน้าที่เป็นเพียง ‘คนนอก’ คนหนึ่ง ไม่รบกวนพวกเขา


…………………………


คืนนั้น


ไป๋ซู่เย่กลับไปที่เซียงเซี่ยกู่


สามทุ่มกว่าเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ทายาให้ตัวเองก่อนถือแก้วกาแฟยืนพิงขอบหน้าต่างบานใหญ่ ยามมองภาพกลางคืนของเมืองใหญ่โตที่อยู่ด้านใต้ น้าหลี่โทรมาถามเธอว่าจะกลับไปทางนั้นหรือไม่


“เขากับน่าหลันไปสัมมนาแล้วสินะ?” ไป๋ซู่เย่ถาม


“ค่ะ ไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว”


“งั้นฉันไม่กลับไปแล้ว คุณก็ไม่ต้องรอฉัน รีบพักผ่อนเถอะ” ไป๋ซู่เย่พูดจบก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “อ้อ ตอนเขาไปได้บอกไว้ไหมว่าจะกลับมาเมื่อไหร่?”


“เวลาสัมมนาของนายท่านคือสี่วัน น่าจะอีกสี่วันถึงกลับมา”


“งั้นสี่วันนี้คุณไม่ต้องรอฉัน ฉันคงไม่กลับไปแล้ว”


“รับทราบค่ะ”น้าหลี่ถอนหายใจ “คุณไป๋ คุณเองก็อย่าเสียใจมากนะคะ”


ไป๋ซู่เย่ยิ้มให้เงาตัวเองที่สะท้อนบนหน้าต่างทีหนึ่ง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ฉันจะเสียใจได้ยังไง?”


น้าหลี่เลยไม่พูดอะไรอีก


ไป๋ซู่เย่วางสายไป ห่อไหล่หดตัวพิงหน้าต่างเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ แสงไฟข้างล่างสว่างไสว รถยนต์สัญจรไปมาไม่เว้นช่วงห่างยิ่งสะท้อนความโดดเดี่ยวเธอได้ชัดมากขึ้น กาแฟที่เดิมทีหอมหวานในมือพอได้ชิมแล้วก็กลายเป็นรสขมอย่างบอกไม่ถูก


………………………………


วันรุ่งขึ้น


ไป๋ซู่เย่เพิ่งวางงานที่ทำเสร็จลงพลางเปิดคอมพิวเตอร์ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ไปยังหน้าเวยป๋อของน่าหลันตอนเสิร์ชค้นช่องเวยป๋อ เวยป๋อของเธอมีคนของกระทรวงความมั่นคงคอยจับตาดูอยู่เสมอเนื่องจากใกล้ชิดกับเย่เซียวมากที่สุด ในเมื่อจับตามองเย่เซียวไม่ได้จึงจำต้องลงมือจากคนรอบข้างเขา


งานพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเธอ แต่วันนี้เธอกลับเปิดมันขึ้นมาดื้อๆ


ตั้งแต่เมื่อคืนถึงวันนี้น่าหลันโพสต์เวยป๋อเพียงหนึ่งโพสต์สั้นๆ


วันที่พิเศษมีคนพิเศษที่สุดอย่างคุณ


แนบรูปสามรูป


รูปแรกคือเค้กวันเกิดที่มีเทียนปักอยู่ รูปสองคือของขวัญที่ถูกห่อไว้อย่างสวยงาม รูปสามคือรูปคู่ของเธอกับเย่เซียว


รูปคู่แบบไหนล่ะ?


พื้นหลังเป็นห้องในโรงแรมโดยเย่เซียวนั่งอยู่บนโซฟาอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ เธอยืนห่างเขาไปหน่อยๆ เผยหน้าน่ารักซุกซนคล้ายกำลังแอบถ่ายรูปคู่ แต่บรรยากาศของรูปนั้น ความอบอุ่นและความสุขแทบจะล้นออกจากภาพทีเดียว


ไป๋ซู่เย่มองนิ่งๆ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่ได้


เย่เซียวไม่ใช่คนที่ชอบถ่ายรูปต่อให้ถ่ายรูปตัวเองก็ไม่ยินยอมเท่าไร เมื่อก่อนเธอชอบหยิบกล้องหยอกเขา แอบถ่ายเขาในทุกท่วงท่า ทุกมุมกล้องและทุกสถานการณ์ ทุกครั้งเย่เซียวจะจับได้แล้วหันหน้ามามองเธอด้วยความระอาแต่ก็ไม่ห้าม ปล่อยให้เธอซนต่อไป


เธอในตอนนั้นจินตนาการเสมอว่าอยากเก็บรูปเหล่านั้นไว้ในกล้องตัวเองตลอดไป เพียงแต่ภายหลัง…


ทั้งกล้องและรูปภาพไม่หลงเหลืออีกต่อไป ตอนกลับมาสู่ทีมทางกระทรวงความมั่นคงได้ยึดสิ่งของทั้งหมดของเธอไป


“รัฐมนตรี”


ทันใดนั้นเองจู่ๆ ไป๋หลางก็ผลักประตูเข้ามา


ไป๋ซู่เย่หลุดจากภวังค์และปิดหน้าเว็บไซต์ทันที ความคิดในหัวก็หยุดเพียงเท่านั้น ไป๋หลางมองเธออย่างสงสัย “ทำอะไรน่ะครับ? ท่าทางมีพิรุจ”


“มีธุระเหรอ?”


“เอกสารจากกระทรวงอื่น คุณช่วยดูที”


“อืม”ไป๋ซู่เย่รับไว้ ไป๋หลางมองเธอด้วยสายตาประเมิน “เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ?”


“ดูโทรมมากเลยเหรอ?”


“นิดหน่อยครับ ขอบตาดำแล้ว”


“หลายวันนี้นอนไม่หลับเท่าไหร่”


“นอนดึกอีกแล้ว?”ไป๋หลางส่ายหัวถอนหายใจ “คุณคิดว่าตัวเองเป็นเด็กสาวอายุสิบแปดเหรอ นอนดึกทุกวันระวังแก่เร็วนะครับ”


………………………………………

 

 

 


ตอนที่ 637

 

ไป๋ซู่เย่กล่าว “ต่อให้ไม่นอนดึกก็เทียบกับเด็กสาวอายุสิบแปดสิบเก้าไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่หรือไง? เธอทั้งเด็ก สวย อ่อนเยาว์ บริสุทธิ์…ฉันจะเอาอะไรไปเทียบได้?”


ไป๋หลางชำเลืองมองเธอแวบหนึ่งรู้สึกว่าเธอแปลกๆ ไป


“เธอที่คุณพูดถึง…หมายถึงใครเหรอ?” เมื่อครู่เขาไม่ได้หมายความว่าจะเอาเธอไปเปรียบเทียบกับใครเลยนะ!


ไป๋ซู่เย่หลุดจากห้วงความคิดถึงรู้ตัวภายหลังว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรบ้าง


นี่เธอ…เอาตัวเองไปเทียบกับน่าหลันโดยไม่รู้ตัว?


นี่ช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดี ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เธอหมดความมั่นใจในตัวเองขนาดนี้? นี่ไม่ใช่เธอเลย


“ช่างเถอะ ฉันแค่พูดออกมาตามความรู้สึกน่ะ นายไม่ต้องฟังให้ละเอียดหรอก ไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว”


“ครับ”ไป๋หลางตอบรับเตรียมหันหลังเดินออกไป พอมาถึงหน้าประตูก็หันกลับมา “รัฐมนตรี ความจริงไม่ว่าคุณหมายถึงใคร แต่ในสายตาผม เด็กผู้หญิงอายุสิบแปดปีคนนั้นเทียบกับคุณไม่ได้แน่ๆ คุณทั้งมีความมั่นใจ ใจเย็น ฉลาด เข้มแข็ง ให้เด็กผู้หญิงอายุสิบแปดมายืนหน้าคุณก็เหลือแค่โพรงเปล่าๆ แล้ว”


ไป๋ซู่เย่อมยิ้มน้อยๆ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย


“พอแล้ว ถือว่าคำปลอบของนายได้ผล ออกไปเถอะ”


…………………………


ตั้งแต่วันนั้นไป๋ซู่เย่ก็ไม่ได้เปิดดูเวยป๋อของน่าหลันอีกแม้แต่แวบเดียว


เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป


เย่เซียวมีชีวิตของเขา นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันเข้าไปพัวพันได้ จุดนี้เธอรู้ชัดแก่ใจดีและเธอจะต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองด้วย


ฉะนั้นเมื่ออวิ๋นช่วนชวนเธอดูหนัง เธอจึงไม่ได้ปฏิเสธ


คืนนี้อวิ๋นช่วนยังคงใส่ชุดสูทเป็นทางการอย่างเคย เผยภาพลักษณ์สไตล์ผู้ประกอบการอย่างถูกต้อง เธอสวมกระโปรงสีม่วงสวยงามเหมือนทุกที


ในโรงภาพยนตร์คึกคัก อวิ๋นช่วนยื่นไอศกรีมให้เธอหนึ่งแท่ง “เดิมทีอยากเลือกห้องส่วนตัวแต่ผมเดาว่าคุณคงชอบโรงใหญ่แบบสาธารณะมากกว่า”


“อืม ดูหนังก็ต้องเลือกโรงที่คนดูเยอะๆ ถึงจะได้บรรยากาศสิ”


“หนังสยองขวัญ รับได้ไหม?” เขายื่นตั๋วให้เธอ


ไป๋ซู่เย่หัวเราะหลังดูตั๋วแวบหนึ่งพลางเอ่ยหยอกล้อ “ว่ากันว่าผู้ชายที่พาผู้หญิงมาดูหนังสยองขวัญน่ะคิดไม่ดี คุณชายอวิ๋น คุณล่ะ?”


อวิ๋นช่วนก็หัวเราะ “เพื่อนผมแนะนำมาบอกว่าไม่เลว”


“งั้นก็เชื่อเพื่อนคุณสักครั้งแล้วกัน แต่ฉันไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไป หนังแบบนี้อาจจะทำฉันตกใจยากนะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ถ้าทำคุณตกใจจริงๆ ผมจะไม่สบายใจเอา”


ทั้งคู่สบตาหัวเราะกันท่าทางเหมือนเพื่อนทั่วไป อุ้มถังป๊อปคอร์น ชิมรสชาติไอศกรีมเดินเข้าโรงภาพยนตร์


…………………………


ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ


ในโรงแรม


เย่เซียวนั่งพิงเก้าอี้มองไปนอกหน้าต่าง


ประเทศนี้เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดของชีวิตเขาสามปี มีความประทับใจต่อที่นี่เสมอ แต่ตอนนี้พอมองออกไปยังภาพทิวทัศน์กลางคืนนอกหน้าต่าง กลับรู้สึกว่าเทียบประเทศ S ไม่ได้เลยแม้แต่เศษหนึ่งส่วนหมื่น


ประเทศนั่น มีอะไรดึงดูดเขาอยู่?


ไม่คิดไปมากกว่านี้ก่อนถอนสายตาจรดที่โทรศัพท์บนโต๊ะ เงียบอึดใจถึงโทรไปยังเบอร์หนึ่ง


รอโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ได้น้าหลี่มารับโทรศัพท์พอดี


“นายท่าน”


“สองวันนี้เธอเคยกลับมาบ้างไหม?” เย่เซียวถาม


ตอนนี้น้าหลี่รู้แล้วว่า ‘เธอ’ในที่นี้หมายถึงใคร ตอบกลับไปอย่างไม่ต้องถามให้มากความ “ตั้งแต่วันแรกที่นายท่านไปสัมมนา คุณไป๋ก็ไม่กลับมาอีกเลย เธอบอกว่ารอคุณกลับมาเมื่อไหร่เธอค่อยมา”


เย่เซียวรับคำสั้นๆ ‘อืม’ แล้ววางสายไป


ผลลัพธ์นี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายเลย แต่เขาออกมาสัมมนางานทีก็ตั้งหลายวัน ปล่อยให้เธอสบายเกินไปหรือเปล่า?


เธอ…ตอนนี้ทำอะไรอยู่? จะสบโอกาสที่เขาไม่อยู่บ้านหลายวันนี้ไปเดตกับผู้ชายคนนั้นอีกไหม?


คิดถึงตรงนี้เย่เซียวก็ย่นคิ้วขมวดเป็นปม


……………………


หนังดำเนินถึงจุดสำคัญของเรื่อง โทรศัพท์ในกระเป๋าถือไป๋ซู่เย่ก็สั่นเครือไม่หยุด


เธอหยิบออกมาดูแวบหนึ่ง หน้าจอฉายเบอร์ยาวเหยียดเรียกให้เธอสติหลุดไปชั่วขณะ เย่เซียวหรือ? ตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศ จะโทรหาเธอทำไมกัน?


ครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้กดรับแต่อย่างใด มือกดวางสายไป


ดูหนังต่อ


ทางนี้


เย่เซียวได้ยินเสียงดังมาจากโทรศัพท์ ‘ตู๊ดๆ’นิ่งไปชั่วพริบตาจากนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นถมึงทึง


ดีมาก!


ผู้หญิงคนนี้กล้าวางสายเขา! เธอกำลังทำอะไรกันแน่?


ไป๋ซู่เย่ยืดนั่งตัวตรงอยากเพ่งสมาธิให้กับหนังอีกครั้ง แต่ไม่นานโทรศัพท์กลับดังขึ้นอีก


อวิ๋นช่วนหันหน้ามาถามเสียงเบา “มีเรื่องด่วนเหรอ?”


“เปล่า แค่สายจากคนน่าเบื่อคนหนึ่งน่ะ ขอโทษนะ ฉันขอรับแป๊บหนึ่ง”


เธอกดรับสายรีบพูดโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดก่อน “ตอนนี้ฉันดูหนังอยู่ น่าจะอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าคุณมีธุระ ค่อยโทรมาอีกทีตอนนั้นแล้วกัน”


มือปิดปากพยายามไม่ให้ตัวเองส่งเสียงดังรบกวนคนข้างๆ


“คุณดูหนังกับใคร?” เย่เซียวถามซักไซ้


“ฉันวางล่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”


“ไป๋ซู่เย่ คุณกล้า…”


คำว่า ‘วาง’ยังไม่ทันออกจากปากก็ได้ยินเสียง ‘ตี๊ด…’ ก่อนตามมาด้วยเสียง ‘ตู๊ดๆๆ’ส่วนเย่เซียวที่อยู่ทางนี้หายใจหนักอึ้งทันที


ไม่เคยมีใครกล้าวางสายเขา!


นอกจากไป๋ซู่เย่เมื่อสิบปีก่อน!!


เธอใจร้ายจริงๆ!


…………………………


เย่เซียวไม่ใช่คนประเภทขี้ตามตื๊อ เขาไม่โทรมาอีกเลย


เธอออกจากโรงภาพยนตร์ ข้างนอกฝนกำลังตกหนัก เมื่อจอดรถตรงหน้าไฟจราจรสีแดงเธอหยิบโทรศัพท์มาดูหลายครั้งเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังคงไม่มีสายเรียกเข้าจากเขา


อาจจะไม่โทรมาอีกแล้วล่ะ


วันฝนตกอากาศค่อนข้างเย็น เธอสวมเสื้อบางไปหน่อยรวมถึงจู่ๆ ก็มีญาติมาเยี่ยมเยียน ฉะนั้นเมื่อตากฝนออกไปซื้อน้ำตาลแดงก็เริ่มมีอาการเป็นหวัด


แต่สภาพร่างกายของเธอดีมาตลอดจึงไม่ใส่ใจกับอาการหวัดเล็กๆ น้อยๆ ดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว มือกุมท้องน้อยที่ปวดหน่อยๆ แล้วล้มตัวนอน


……………….


วันรุ่งขึ้นตื่นมาลำคอแห้งผาก มึนหัวจนแทบลุกจากเตียงไม่ได้ถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่อาการหวัดธรรมดา


อาจเป็นเพราะหลายวันนี้พักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายแย่ลงตามๆ กัน


เธอตัดสินใจฉวยจังหวะนี้พักผ่อนสักสองวัน


หลังโทรไปลาก็ซุกตัวเข้ากองผ้าห่มใหม่ นอนจนเจ้าตัวเกือบสลบเหมือดไป


ตลอดทั้งวันไม่มีข้าวตกถึงท้องสักคำ รวมถึงน้ำ


กลางคืนโทรศัพท์ดังอีกแล้ว เสียงดังรบกวนเธอเหมือนหัวแทบระเบิด


วาดมือตรงหัวเตียงอยู่นานถึงหยิบโทรศัพท์ได้ กดรับแนบหูทั้งที่ไม่ลืมตาด้วยซ้ำ


“มานี่!”


เย่เซียวหรือ?


“ไม่ไปแล้ว…”


“คุณมีสิทธิ์เลือกเหรอ?”


“อือ ฉันวางแล้ว ขอนอนอีกนิด” เธอพูดเสียงยานคางปนแหบแห้ง


ไม่คิดจะสนใจอารมณ์ในตอนนี้ของเย่เซียว เพราะเธอยังแทบจะดูแลตัวเองไม่ได้เลย


พูดจบหมายจะตัดสายทิ้งหากแต่ได้ยินเสียงตักเตือนของเย่เซียวดังขึ้น “ไป๋ซู่เย่ คุณลองวางสายผมอีกทีสิ”


……………………………

 

 

 


ตอนที่ 638

 

ถ้าอย่างนั้นไม่วางสายแล้วกัน


ไป๋ซู่เย่วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ไม่รอฟังเขาพูดอะไรก็พลิกตัวนอนต่อ


เย่เซียวที่อยู่อีกฟากของสาย ‘ฮัลโหล’ สองเสียงแต่ไม่ได้รับเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกที่ไม่เป็นจังหวะให้เขาย่นคิ้ว


จากนั้นเก็บโทรศัพท์คว้ากุญแจรถมุ่งหน้าออกไปข้างนอก


“เย่เซียว” น่าหลันเพิ่งวางสัมภาระเสร็จเดินออกมาจากห้อง “คุณจะออกไปเหรอ?”


“อืม”


“แต่ตอนนี้ดึกมากแล้วนะ”


“คุณเองก็รีบพักผ่อน”


“นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน คุณไม่เหนื่อยเหรอ?”


เย่เซียวกลับสับเท้าเดินต่อไปโดยไม่สนใจเธออีก น่าหลันคอยมองแผ่นหลังนั่นจนอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เขารีบออกไปขนาดนี้เพราะไปหาใคร? หรือว่า…เกี่ยวข้องกับไป๋ซู่เย่อีกแล้ว?


เดิมทีสัมมนาสี่วันแต่หลังจากเมื่อวานจู่ๆ เขาก็บอกว่าเลื่อนเวลาเสร็จก่อนกำหนด โต้รุ่งทำงานเพราะจะได้รีบกลับมา


น่าหลันอยากถามจริงๆ ว่าที่เขารีบกลับมาขนาดนี้เพราะไป๋ซู่เย่ใช่ไหม แต่ทำได้แค่เก็บคำถามเหล่านั้นไว้ในใจ


“คุณคะ ทำไมมายืนเหม่อตรงนี้ล่ะคะ? ออกไปเที่ยวกับนายท่านนานขนาดนี้ ไม่สนุกเหรอคะ?”


อาชิงยิ้มล้อเธอ


เธอดึงสติกลับมาแย้มปากยิ้ม “ไม่ได้ไม่สนุก สนุกมาก”


“นายท่านให้ของขวัญคุณด้วยสินะคะ?”


“แน่นอน”


เพียงแต่…นั่นไม่ใช่ของขวัญที่เขาไปเลือกเอง ขณะที่หยูอันมอบให้เธอนั้นยังดูออกถึงความผิดหวังของเธอได้ ปลอบเธอว่าเย่เซียวงานยุ่งเกินไปถึงได้วานให้เขาทำแทน


เธออดคิดไม่ได้ว่าเมื่อก่อนตอนวันเกิดไป๋ซู่เย่ เขาฉลองให้เธออย่างไร?


“พวกคุณอยู่โรงแรมเดียวกัน นอนห้องเดียวกันใช่ไหมคะ?” อาชิงยิ้มถามต่อ


น่าหลันหน้าแดง “เธอถามมากไปแล้ว”


“ดิฉันเป็นห่วงคุณไงคะ” อาชิงยิ้มคิกคัก “คุณว่าถ้าคุณอยู่ด้วยกันกับนายท่านแล้วฉวยโอกาสตอนนี้มีลูกของนายท่านสักคนก็ดีสิคะ! จากนิสัยของนายท่านจะต้องแต่งงานกับคุณทันทีแบบไม่ลังเลแน่!”


“เธอยิ่งอยู่ยิ่งไม่ระวังคำพูดนะ คำพูดแบบนี้พูดได้แค่ต่อหน้าฉัน ห้ามไปพูดต่อหน้าเย่เซียว” เธอดุกลบเกลื่อนไปที แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่ในใจกลับรู้สึกขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก


นอนห้องเดียวกัน?


ย่อมไม่มีทางเป็นอย่างนั้น


เย่เซียวมักรักษาระยะห่างกับเธอเสมอต่อให้หลายวันนี้เธอบอกใบ้อย่างชัดเจนตลอดแต่เขากลับทำเหมือนไม่เข้าใจอย่างเคย


……………………


ไป๋ซู่เย่หลับไม่ได้สติ เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตูก็ได้แต่ย่นคิ้ว ไม่ได้ลุกไปเปิดประตูแค่ดึงผ้าห่มขึ้นสูงคลุมโปงเพื่อปิดเสียงน่ารำคาญนั่น


แต่ยังดีที่กริ่งประตูไม่ได้ดังต่อหลังจากดังไปแค่สองครั้งก็ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ เธอพรูลมหายใจออกหลับตานอนต่อ


เย่เซียวหยิบกุญแจไขประตูเดินตรงไปยังห้องนอน


แวบเดียวเห็นเธอที่หลับอยู่บนเตียง


นึกถึงเรื่องที่เธอวางสายเขาเพราะดูหนังกับผู้ชายคนอื่นไฟโทสะก็ยิ่งลุกโชน หมายจะคิดบัญชีกับเธอสักหน่อยแต่พอเลิกผ้าห่มออก เผยใบหน้าเล็กแดงซ่านเพราะอาการป่วยให้เห็น เขาใจกระตุกวูบ ไฟโทสะแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอื่นทันที


“ไป๋ซู่เย่?” เขาเรียกเธอเป็นการลองเชิง


เธอเหมือนไม่พอใจที่มีคนมารบกวนตัวเอง คิ้วสวยขมวดน้อยๆ


เขาแตะหน้าผากเธอหยั่งเชิงก่อนนึกโกรธไม่ได้ “คุณเป็นไข้มานานเท่าไหร่แล้ว?”


เสียงนี้…


แพขนตาเธอกะพริบปริบๆ ม่านตาค่อยๆ เปิดออก เพราะถูกไข้เล่นงานเข้าทำให้ภาพตรงหน้าเหมือนเคลือบด้วยหมอกจางๆ แต่ก็พอจะเห็นร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงตัวเอง


“…เย่เซียว?”


เสียงแหบแห้งเรียกขานเบาๆ คิดว่าตัวเองกำลังฝัน


เย่เซียวตอนนี้อยู่ต่างประเทศ อืม…กำลังอยู่กับน่าหลัน…


อาจเป็นเพราะเวลาป่วยขึ้นมาทำให้ป้อมปราการของหัวใจอ่อนแอกว่าปกติ แค่นึกถึงเรื่องนี้หัวใจเธอเจ็บแปล๊บขึ้นที “เย่เซียว ฉันเกลียดคุณจริงๆ นะ…”


เสียงของเธอแหบพร่าแทบไม่เป็นคำ


เย่เซียวก็ได้ยินชัดเจนอยู่ดี


มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ชะงักไปครู่ ก้มหน้ามองเธอด้วยแววตาล้ำลึกน้อยๆ “เช่นกัน”


เสียงของเขาไม่ดังมากคล้ายพึมพำกับตัวเองมากกว่า


จากนั้นแค่เดินไปโทรศัพท์ที่ข้างหน้าต่าง


ถังซ่งที่ขณะนี้กำลังนอนหลับฝันดีอยู่ หงุดหงิดอย่างมากเมื่อถูกเสียงเรียกเข้าจากเขาปลุกให้ตื่น


“พี่ใหญ่ คงไม่ได้มาถามเรื่องสูตินรีเวชกับฉันอีกแล้วใช่ไหม? ฉันจะฆ่าคนได้เอานะ”


“ไข้ขึ้น ทำยังไง?”


“อะไรทำยังไง? ยัดตัวเองลงไปนั่งในตู้เย็นเพื่อลดอุณหภูมิหน่อยก็ได้แล้วนี่”


“ฉันจะลองเอานายไปแช่ตู้เย็นดูบ้าง” เย่เซียวกล่าวเสียงเย็นชา “นายมานี่ เดี๋ยวส่งตำแหน่งที่อยู่ไปให้”


“เดี๋ยวๆๆๆ นายโทรหาฉันดึกขนาดนี้แล้วยังจะส่งตำแหน่งที่อยู่อีก คนที่ไข้ขึ้นคือซู่ซู่ของนายเหรอ?”


‘ซู่ซู่ของนาย’ คำสั้นๆ ที่ปรับสีหน้าเย่เซียวให้ผ่อนคลายลงบ้างแม้แต่เขาเองยังไม่รู้ตัว หันกลับมามองหญิงสาวที่นอนคู้ตัวบนเตียงเป็นก้อนแวบหนึ่ง กล่าว “น่าจะไข้สูง เลยสติเลอะเลือนนิดหน่อย”


“ที่บ้านต้องมีกล่องยาแน่ๆ ในกล่องยาก็ต้องมียาลดไข้สิ นายลองค้นบ้านเธอดูแล้วให้เธอกินตามฉลากก็พอ อ้อ เอาถุงน้ำแข็งวางไว้บนหน้าผากเธอ ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยตามฉัน” เขาหาววอดที “ฉันนอนละนะ”


“อืม”


“ว่าแต่เย่เซียว ไม่ใช่ว่าฉันพูดว่าอะไรนายนะ ดูท่าทางของนายแบบนี้ หนทางที่ตกหลุมอีกครั้งก็ไม่ไกลแล้วล่ะ”


“…ไสหัวไป”


เย่เซียวกดตัดสายทันที


นึกถึงถ้อยคำของถังซ่งเมื่อสักครู่ก่อนมองหญิงสาวบนเตียงอีกที อยู่ๆ ความหงุดหงิดพุ่งแล่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


ตกหลุม?


นอกจากเขาโง่ แล้วยังเป็นประเภทโง่ดักดานแบบนั้น


ตอนนี้ดูแลเธอแค่ไม่อยากให้เธอได้เปรียบ ไม่อย่างนั้นเธอต้องหาข้ออ้างหนีเขาอีก


ฝันไปเถอะ!


คิดดังนี้ความหงุดหงิดที่สุมในอกก็มลายหายไปมากทีเดียว


เจอกล่องยาจากตู้อย่างราบรื่น แต่พอเปิดออกเขากลับนิ่งค้างไปชั่วขณะ


ในกล่องยามียาหลากหลายประเภททั้งขวดทั้งโหลล้วนเคยถูกเปิดใช้งานมาก่อนแล้ว เขาสุ่มหยิบแบบขวดมาดู


ยาหลายอย่างที่มีคุณสมบัติต้านโรคซึมเศร้าและรักษาอาการนอนไม่หลับ รวมถึงยาแก้ปวดกับยาบำรุงหัวใจ


หัวคิ้วขมวดแน่น


เย่เซียวปรายตามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงวูบหนึ่ง ยาพวกนี้เธอเคยกินมัน? ถ้าอย่างนั้น…นี่หมายความได้ว่าสิบปีมานี้…ความจริงเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย?


ความจริงนี่คือคำตอบที่เขาอยากได้มาตลอด ก่อนจะเจอเธอเขาหวังให้เธอจมอยู่กับความเจ็บปวดในช่วงสิบปีนี้อยู่ทุกเวลาที่หนึ่งวันนานเหมือนปี


แต่…


ณ เวลานี้ ยาในมือเหล่านี้กลับไม่ได้ให้ความสะใจเพราะได้แก้แค้นแก่เขา


วางยาไว้ที่เดิมแล้วค้นยาลดไข้ออกมาก่อนจะพบว่าเธอไม่ได้ต้มน้ำร้อนด้วยซ้ำ เขาจำต้องเดินอ้อมไปต้มน้ำร้อนที่ห้องครัวให้เธอ


ขณะที่ต้มน้ำอยู่ได้แต่คิดว่าตัวเองควรทิ้งเธอไป นี่เขาวิ่งโร่มาปรนนิบัติผู้หญิงคนนี้อย่างน่าแปลกแบบนี้? เขาบ้าไปแล้ว


………………………………..

 

 

 


ตอนที่ 639

 

ไป๋ซู่เย่รู้สึกแค่ว่าตัวเองเป็นเสมือนก้อนสำลีที่ตัวอ่อนไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกประคองขึ้นให้กลืนยาลงไป และคนคนนั้นเหมือนจะเป็นเย่เซียว


แต่เป็นฝันหรือความจริง เธอในตอนนี้ไม่มีสติไปถามหาความจริงอีกแล้ว


รอเธอกินยาเสร็จล้มตัวนอนเหมือนเดิม เย่เซียวไม่ได้กลับไปแค่ลากเก้าอี้มาคอยนั่งมองอยู่ไกลๆ


เธอหลับตานอนแน่นิ่งดูสงบมาก เจ้าตัวเหมือนดอกลิลลี่หนึ่งดอกที่ชุ่มฉ่ำท่ามกลางฝน ไม่ได้ดูมีชีวิตชีวาเหมือนทุกวันแต่กลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากขึ้น


น่าหลงใหล?


เย่เซียวเหยียดปากล่างอย่างประชด ถอนสายตาจากใบหน้าเธอไปยังความมืดมิดข้างนอก


ความหลงใหลแบบนี้แหละคือยาพิษ


ทำให้เขาสูญเสียลูกน้องไปมากมาย ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอดสิบปี


เขาต้องตักเตือนตัวเองอยู่เสมอ ให้ตัวเขาไม่ลุ่มหลงไปกับยาพิษหลอดนี้อีก


…………………………


วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป


ไม่รู้ผ่านนานแค่ไหน…


เมื่อไป๋ซู่เย่ตื่นมาอีกทีฟ้าข้างนอกก็สว่างแล้ว เธอเจ็บไปทั้งตัวเหมือนเพิ่งถูกรถใหญ่นาบผ่านไป ร่างกายใต้ผ้าห่มยิ่งเปียกชื้นเพราะเหงื่อเมื่อคืน


ทรมานจัง


เธอหอบหายใจอยากยันตัวลุกขึ้นแต่พอเงยหน้าเห็นภาพข้างๆ ก็ได้สะกดตัวเธอไว้นิ่ง


เย่เซียว…


เขานั่งบนเก้าอี้โดยขายาวสองข้างแยกออกสองมือประสานไว้บนหน้าขา เอนหลังน้อยๆ หลับตานอน ต่อให้อยู่ในท่าที่ไม่สบายตัวขนาดนี้หรือหลับคาเก้าอี้ตัวแคบเล็ก เขายังคงยืดตัวตรงรักษาความดูดีไว้ไม่ลดน้อยลง


เพียงแต่ตอนเขาหลับอยู่คิ้วเข้มกลับขมวดเป็นปม ความน่าเกรงขามบนองค์ประกอบใบหน้าที่ชัดเจนและติดเย็นชานั่นไม่เสื่อมคลายสักนิด


คนคนนี้ สัญชาตญาณของผู้บุกรุกมีมากเกินไป แม้แต่ตอนนอนยังไม่ปล่อยวางสักนิด


ชีวิตแบบนี้…บางทีก็ลำบากมากเหมือนกันสินะ…


คิดดังนั้นเธอเริ่มปวดใจโดยไม่รู้ตัว


เธอนอนบนเตียงหันข้างมองเขาจนเผลอเหม่อลอย แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องเข้ามาตกกระทบตัวเขา เธอได้แต่แอบหวังชั่วขณะให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้…


คนคนนี้อาจมีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่เธอจะกล้ามองตรงๆ แบบนี้สินะ


ไม่รู้ว่าเผลอมองไปนานเท่าไรกระทั่งเขาลืมตาขึ้นเธอถึงได้สติกลับมา สายตาสองคู่สอดประสานอย่างคาดไม่ถึงและไม่อาจหลบหลีกได้จนทั้งคู่ต่างแน่นิ่งกันไป


สายตาของเขาล้ำลึกมากกว่าและคาดเดาอารมณ์ไม่ได้


“คุณตื่นแล้วเหรอ?” รอสักพักในที่สุดไป๋ซู่เย่ก็หาเสียงตัวเองเจอ เพราะอาการหวัดทำให้เสียงแหบเล็กน้อย สายตาได้เลื่อนออกจากตัวเขาไปแล้ว รู้สึกประหม่าชอบกล


เย่เซียวจ้องเธอนิ่งอยู่พักหนึ่งจนเธอเริ่มกำผ้าห่มบนตัวแน่นเพราะทำตัวไม่ถูกเขาถึงเบี่ยงตาหลบ แต่ไม่พูดอะไรแค่ใช้มือนวดคลึงระหว่างคิ้วไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน


เธอเลิกผ้าห่มยันร่างที่อ่อนแอลุกขึ้นนั่ง พยายามหาเรื่องชวนคุยต่อ “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”


“ผมไปล้างหน้าสักหน่อย” เย่เซียวไม่ได้ตอบคำถามเธอ ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ ไม่นานเขาก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เจ้าตัวดูมีสติมากกว่าเดิม


ไป๋ซู่เย่เองก็ลุกจากเตียงเรียบร้อย กำลังกอดชุดนอนยืนพิงกำแพงห้องน้ำรอเขาออกมา


ฉะนั้นทันทีที่เย่เซียวออกมาก็เจอเธอ


“ทำอะไร?”


เขาเหล่มองชุดนอนที่เธอกอดอยู่ในมือ


“ฉันเหนียวตัวมากเลยอยากอาบน้ำหน่อย”


“เมื่อคืนยังไข้ขึ้นอยู่ ตอนนี้อาบน้ำได้ยังไง?” น้ำเสียงเขาไม่ค่อยดีนัก


“คุณมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหรอ?” ไป๋ซู่เย่กลับจับประเด็นสำคัญที่ประโยคหน้าของเขา ดวงตาเขาเห็นเส้นเลือดชัดเจน ดูท่าทางนั่งอยู่เก้าอี้ทั้งอย่างนั้นมาทั้งคืน ดูแลเธอหรือ? เธอจำได้รางๆ ว่าตอนนั้นหลงคิดว่าตัวเองแค่ฝันไป…


เย่เซียวโดนสายตาเธอจ้องมองจนเริ่มเป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูก ไม่ตอบถือว่ายอมรับเงียบๆ


ไป๋ซู่เย่อารมณ์ดีขึ้นอย่างน่าแปลก “งั้นคุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง? เท่าที่จำได้เหมือนว่าฉันไม่ได้ลุกไปเปิดประตูนะ อีกอย่างวันนี้คุณน่าจะสัมมนางานอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ?”


เพียงแต่ยามเอ่ยถึงคำถามสุดท้ายสายตาหม่นลงแล้วหม่นลงอีก เขาพาน่าหลันไปพักผ่อนแล้วไม่ใช่หรือ?


“พอหายเป็นหวัดแล้วคำถามเยอะขนาดนี้เลย?” คำถามทั้งหมดของเธอเย่เซียวไม่อยากตอบแม้แต่คำถามเดียว ตีหน้านิ่งยกแขนวัดอุณหภูมิบนหน้าผากเธออีกนิด เพิ่งล้างมือมาฝ่ามือของเขาค่อนข้างเย็น พอแตะหน้าผากเธอทำให้เธอรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก


“ไข้น่าจะลดแล้ว” เธอพึมพำ เพราะอยู่ใกล้เขามากเธอถึงรู้สึกว่ายังร้อนอยู่บ้าง


“อืม” เขาเก็บมือ


“งั้น…ฉันไปอาบน้ำก่อนล่ะ”


ท้ายที่สุดเย่เซียวไม่ได้ห้ามเธอ ปล่อยให้เธอเดินเข้าห้องอาบน้ำไป


…………………………


รอไป๋ซู่เย่ออกมาจากห้องอาบน้ำพบว่าในห้องไร้เงาของเขา เปิดประตูเดินออกไปกวาดมองทีหนึ่ง ห้องนั่งเล่นก็ไม่มี


ไปแล้ว…


มองห้องที่โล่งเปล่า ใจรู้สึกอ้างว้างอย่างน่าแปลก


บางทีตอนที่คนเราป่วยมักจะกลัวการอยู่คนเดียวสินะ มีความรู้สึกเหงาที่พูดไม่ออก


เธอไม่อยากคิดมากไปกว่านี้ ไปแล้วก็ไปเถอะ สิบปีมานี้เธอยังใช้ชีวิตเพียงลำพังมาได้ เคยชินกับสภาพนี้แล้วไม่ใช่หรือไง?


สูดหายใจทีกอดหมอนข้างนั่งบนโซฟา หยิบไดร์มาเป่าผม ไม่รู้ว่าโทรทัศน์กำลังฉายรายการอะไรเพราะเธอไม่มีกะจิตกะใจจะดู


ระหว่างที่เป่าไปเรื่อยๆ ประตูดัง ‘แกร๊ก’ ถูกเปิดออกจากด้านนอก เย่เซียวที่คิดว่ากลับไปแล้วกลับเข้ามาใหม่ เธอนิ่งไปชั่วครู่ปิดไดร์เป่าผม “คุณมีกุญแจห้องฉันได้ยังไง?”


“ปั๊มเอา”


“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


“คราวก่อน”


“…” ไป๋ซู่เย่พูดไม่ออกกะทันหัน คนคนนี้มือเท้ารวดเร็วนัก แต่ว่า “คุณไม่ได้กลับไปแล้วเหรอ?”


เย่เซียวมองเธอแวบหนึ่ง “เป่าผมเสร็จแล้วมาทานข้าวเช้า”


ฉะนั้น…


เมื่อครู่เขาไม่ได้กลับไปแต่ลงไปซื้ออาหารเช้าข้างล่าง?


ก้มหน้ามองถุงพลาสติกที่เขาหิ้วอยู่ เธอใจสั่นไหวน้อยๆ รออึดใจได้แต่ก้มหน้าตอบรับว่า ‘อื้ม’


เป่าผมเสร็จแล้วสวมชุดนอนโผล่มาในห้องอาหารนั้นเย่เซียวกำลังเทโจ๊กขาวจืดชืดใส่ถ้วย เธอมองแผ่นหลังนั่นด้วยใจที่เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก เขาเกลียดเธอขนาดนี้แต่กลับมาดูแลเธอในยามเธอป่วย เขาคิดอย่างไรกันแน่?


“ฉันทำเอง” ไป๋ซู่เย่เดินไปแย่งถุงโจ๊กมา เย่เซียวปรายตามองเธอเรียบๆ แวบหนึ่งไม่พูดอะไรปล่อยให้เธอทำตามสบาย เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จเลยสดชื่นอย่างมาก ระยะห่างที่ใกล้ชิดมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่ออกมาจากตัว แต่เห็นได้ชัดว่ายังไม่หายดี ดวงหน้าเล็กของเธอยังซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด


เธอตักใส่สองถ้วย ทั้งคู่นั่งตรงข้ามทานโจ๊กกันคนละถ้วย


ไร้เสียงบทสนทนา


……………………………….

 

 

 


ตอนที่ 640

 

“…ขอบคุณ”ระหว่างทานอยู่ในที่สุดไป๋ซู่เย่ก็ชิงเอ่ยทำลายความเงียบนี้ก่อน


“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ผมไม่ได้ทำเพราะความหวังดี” เย่เซียวเชยตามองเธอแวบหนึ่ง “อย่าคิดว่าป่วยแล้วผมจะปล่อยคุณไป”


เธอยิ้ม “ฉันก็รู้ว่าคุณไม่ได้หวังดีแต่ก็ต้องขอบคุณ ไม่ว่ายังไงฉันดีขึ้นได้เพราะคุณให้ยาลดไข้”


“ยาพวกนั้นในกล่องยา…” เย่เซียวกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดมือที่ทานข้าวอยู่ มองเธอด้วยสีหน้าประชดน้อยๆ “ทำไม เรื่องสิบปีก่อนสร้างแผลในใจให้ท่านรัฐมนตรีไป๋อย่างนั้นเหรอ? ทำเรื่องแบบนั้นไปก็กลัวผีมาเคาะประตูกลางดึกเลยนอนไม่หลับ ซึมเศร้า มีปัญหาทางจิต?”


เขาไม่อยากยอมรับว่าน้ำเสียงของตนนั้นแฝงการลองเชิงปนคาดหวังอยู่บางส่วน


ปีที่แยกจากกันสำหรับเธอแล้วมีผลกระทบมากแค่ไหน? หรือว่าคนที่เจ็บปวดมาตลอดมีเพียงคนเดียว


แค่เขาคนเดียว?


ไป๋ซู่เย่ลมหายใจขาดห้วง


เธอไม่คิดว่าจะถูกเขาเห็นยาลับๆ เหล่านั้นของตัวเองเข้า เธอเป็นคนรักในศักดิ์ศรี ด้านที่อ่อนแอของตนหรือมุมที่ย่ำแย่ ไม่อยากให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะเขาไม่ได้เด็ดขาด


“ถึงฉันจะใจเหี้ยมแต่สิบปีก่อนก็มีคนตาย บางครั้งตอนนึกถึงเลยอดรู้สึกแย่ไม่ได้ แต่ไม่ถึงขั้นที่คุณคิดหรอก ยาพวกนั้นเป็นยาที่สายลับอย่างเราต้องพกติดตัว คุณไม่ต้องคิดมาก” ไป๋ซู่เย่จงใจแสดงท่าทีสบายๆ ตักโจ๊กข้าวปากหนึ่งคำก่อนจะกล่าวต่ออย่างไม่รีบร้อนอะไร “ตอนนั้นฉันแค่ปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของเบื้องบน ด้านหนึ่งฉันไม่ได้ทำผิดต่อรัฐ อีกด้านก็ทำตามหน้าที่ให้สมกับเงินภาษีของประชาชน ฉันจะต้องกลัวอะไรล่ะ?”


ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องมีปฏิกิริยานี้…ไร้ความปรานี สุขุมและโหดเหี้ยม แต่ขณะที่คำพูดเหล่านั้นกลั่นออกมาจากปากเธอนั้นยังคงทิ่มแทงโสตประสาทการรับรู้ของเขาอยู่ดี


“คุณไม่ได้ทำผิดต่อรัฐและประชาชน ถ้างั้น ไป๋ซู่เย่ คุณทำผิดต่อผมไหม?” จู่ๆ เขาคิดว่าการที่มาดูแลเธอที่นี่มันช่างเป็นการหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ! “ผิดต่อลูกน้องที่ตายไปทั้งหมดของผมไหม?”


ทุกถ้อยคำคล้ายเล็ดลอดออกจากไรฟัน ใบหน้าฉายแววคุกรุ่นเต็มที ปลายนิ้วบีบปลายคางเธออย่างแรง


ไป๋ซู่เย่ในตอนนี้อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอถูกเขาบีบเข้าสีหน้ากลับแย่ลงกว่าเดิมแต่ไม่ได้ขัดขืน แค่ใช้มือจับข้อมือเขาเบาๆ สายตาแน่วแน่สบตาเขานิ่ง “เรื่องความภักดีกับคุณธรรมมันอยู่คู่กันไม่ได้มาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว ต่อหน้าผลประโยชน์ของประเทศชาติ ความสัมพันธ์พี่น้อง พ่อแม่ลูก คุณคิดว่า…เทียบกันได้ไหม?”


เทียบกันได้ไหม?! หมายความว่าในสายตาเธอ ความรักที่เขามอบให้ ล้วนเป็นแค่อาวุธที่เธอใช้ทำลายเขา!


“ฉะนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ คุณก็จะเลือกทางเดิม? ใช่ไหม?” ลมหายใจเขาหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ


ขนตาเธอกะพริบสั่น สุดท้ายคำที่เปล่งเสียงออกมาจากระหว่างปากคือ “…ใช่”


หากเลือกใหม่ได้เธอจะเลือกอย่างไร? สิบปีมานี้ไป๋ซู่เย่เคยถามตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน สัจจะกับหน้าที่ สุดท้ายคงอนุญาตให้เธอเลือกหน้าที่สินะ…


เย่เซียวกระชับแรงที่มือจนเส้นเลือดตรงหน้าผากปูดโปน ดวงตาแดงก่ำทำให้เขาดูโกรธเกรี้ยวและป่าเถื่อน เขาอยากจะบีบเธอให้ตายทั้งอย่างนี้เสียจริง!


แต่ท้ายที่สุดก่อนที่อารมณ์จะอยู่เหนือการควบคุม เขาสะบัดมือปล่อยเธอก่อนจากไปด้วยความเย็นชา


ประตูกระแทกปิดรุนแรง ไป๋ซู่เย่นั่งอยู่ตรงนั้นและหายใจเข้าออกแรงๆ หลายทีลมหายใจถึงกลับมาลื่นไหลเหมือนเดิม แต่หน้าอกเหมือนยังมีก้อนหินมหึมากดทับไว้อยู่


ความจริงการที่ทั้งสองคนไม่เข้ากันเหมือนไฟกับน้ำแบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นอีกยี่สิบสองวันที่เหลืออยู่จะให้เธอปล่อยวางความสัมพันธ์นี้ได้อย่างไร แล้วจะโล่งอกได้อย่างไร?


เธอไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด…


ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าไรจวบจนโจ๊กบนโต๊ะเย็นหมดแล้ว โทรศัพท์เธอดังขึ้นเพียงครู่ หยิบมาดูเห็นว่าเป็นข้อความสั้นๆ


ช่วงนี้อย่าโผล่มาให้ผมเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นรับผิดชอบผลเอง!


แม้อยู่ตรงหน้าจอโทรศัพท์ยังสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียงเขาได้ ไป๋ซู่เย่วางโทรศัพท์ลงเงียบๆ


ดูเหมือนว่าสามสิบวันแสนสั้นนี้ เธอจะได้เปรียบเสียแล้ว…


………………………………


หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเย่เซียวไม่เคยเรียกหาเธออีกเลย แน่นอนว่าเธอก็ไม่เคยติดต่อเย่เซียวก่อน เริ่มแรกอาการนอนไม่หลับเธอกำเริบอีกแล้วแต่สองวันนี้ปรับตัวได้ นอนเต็มอิ่มดี


บางทีเย่เซียวน่าจะจบสัญญาสามสิบวันนี้ล่วงหน้าแล้วล่ะ


เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่า…


หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง…


วันจันทร์ เมื่อเธอก้มหน้าจัดเอกสารภารกิจใหม่ในห้องทำงาน อวิ๋นช่วนโทรมา


“ซู่ซู่ คืนนี้ว่างไหม?”


“ทำไมเหรอ?”


“คืนนี้มีงานเลี้ยงโชว์สินค้าที่สำคัญงานหนึ่ง ผมขาดคู่ควง ตอนนี้คนที่นึกได้คนเดียวก็เหลือแค่คุณแล้ว”


ไป๋ซู่เย่ดูเวลาแวบหนึ่ง “ได้ กี่โมงล่ะ? ฉันเลิกงานแล้วไป ทันไหม?”


“ทันอยู่แล้ว งานเลี้ยงเริ่มสองทุ่ม”


“ฉันต้องใส่ชุดราตรีสีอะไร?”


“สีม่วงก็พอ เนกไทของผมวันนี้คือสีม่วง”


“โอเค ถึงตอนนั้นฉันขับรถไปเอง คุณส่งตำแหน่งสถานที่จัดงานเลี้ยงมาให้ฉันก็พอ”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ปฏิเสธอวิ๋นช่วน ไม่มีเหตุผลอื่นแค่เธอคิดได้แล้ว


ตลอดชีวิตของเธออีกยาวไกล ไม่ว่าจะทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อให้ผู้ใหญ่ที่บ้านสบายใจ เธอไม่มีทางครองโสดไปตลอดชีวิต


อวิ๋นช่วนเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง เธอไม่ได้คิดจะคบกับเขาในทันที แต่ตอนนี้ลองทำความรู้จักกันไปก่อน เธอคิดว่าตัวเองไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อต้าน


ความจริงอวิ๋นช่วนคิดเช่นเดียวกับเธอ ปัจจุบันเป็นสังคมนิยมอาหารฟาสฟู้ด ‘พบหน้ากันแค่ครั้งเดียวก็คบ สองครั้งก็ขึ้นเตียง’ อะไรแบบนี้ไม่เข้ากับพวกเขา เป็นเพื่อนกันไปก่อนก็ไม่แย่


ทั้งสองคนจะได้ไม่รู้สึกกดดันเกินไป


ไป๋ซู่เย่เลิกงาน ตกแต่งตัวเองเป็นพิเศษเพื่อเป็นการให้ความร่วมมือเขา เสร็จถึงรีบไปยังงานเลี้ยง


เมื่อเธอไปถึง อวิ๋นช่วนก็ยืนรอเธอที่ข้างนอกด้วยชุดเป็นระเบียบ


“รอนานแล้วเหรอ?”ไป๋ซู่เย่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิด “ระหว่างทางรถติดนิดหน่อยน่ะเลยมาช้าไปหน่อย”


“ไม่เป็นไร ผมก็เพิ่งถึง” อวิ๋นช่วนยกแขนขึ้นน้อยๆ ไป๋ซู่เย่ควงแขนเขาอย่างรู้หน้าที่


ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเข้าไปเห็นเพียงขบวนรถที่ขับเคลื่อนเข้ามาใกล้ แสงไฟหน้ารถแสบตาอย่างมาก สาดส่องให้ค่ำคืนที่มืดมิดสว่างโร่เหมือนกลางวัน ไป๋ซู่เย่เผลอหันข้างไปมองโดยไม่รู้ตัว แค่แวบเดียวก็เห็นรถและทะเบียนแสนคุ้นตาในขบวนรถ…


“งานเลี้ยงคืนนี้เป็นงานอะไรเหรอ?” ไป๋ซู่เย่ถามอวิ๋นช่วน


“จัดโดยสมาคมการค้าน่ะ คนที่มาเป็นคนในวงการธุรกิจกันทั้งนั้น”


เย่เซียวเป็นบุคคลที่คาบเกี่ยวทั้งการทหาร การเมือง ธุรกิจ เขาปรากฏตัวที่นี่ได้คงไม่แปลกหรอก


ไป๋ซู่เย่นึกถึงคำเตือนแสนใจร้ายในวันที่เย่เซียวกลับไปวันนั้นเธอก็ดึงสติกลับมา “เราเข้าไปกันเถอะ”


…………………………………….


ตอนที่ 641 กลับสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง (1)

โดย

Ink Stone_Romance

“คุณไป๋” ช่วงจังหวะที่เธอหันหลังมีเสียงหญิงสาวที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลังกะทันหัน เธอนิ่งชะงักไป อวิ๋นช่วนก้มถาม “รู้จักเหรอ?”


“ไม่ได้สนิทกันมาก”


“จะทักทายไหม?” อวิ๋นช่วนเคารพการตัดสินใจของเธอร้อยเปอร์เซ็นต์


เธอพยักหน้าแล้วค่อยๆ หันหลังกลับไป


คืนนี้เย่เซียวอยู่ในชุดสูทสีเข้มเป็นทางการ น่าหลันที่อยู่ข้างๆ สวมชุดราตรีสีขาวล้วนขับให้ดูสะอาดสดใสอย่างมาก ควงแขนเขายืนอยู่เคียงข้างก็ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กเข้าไปกันใหญ่ แม้ทั้งคู่จะอายุห่างกันไปสิบกว่าปี ก็ได้แต่บอกตามตรงว่านอกจากจะดูไม่ออกว่าอายุห่างกัน กลับดูเหมาะสมกันเสียมากกว่า


หยูอันยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา


สายตาที่มองประเมินของไป๋ซู่เย่ในวินาทีสุดท้ายก่อนถอนกลับไป ได้ประสานสายตาที่เย็นชาของเย่เซียว ใจเธอกระตุกวูบก่อนเบี่ยงสายตาหลบ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ มักรู้สึกว่าสายตาของเย่เซียวราวกับกำลังจดจ้องแขนที่กำลังควงอวิ๋นช่วนของเธออยู่ไม่ห่าง


ก่อนหน้าเขาต้องการให้เธอซื่อสัตย์ต่อเขา ตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมานานขนาดนี้ คงไม่ต้องแล้วใช่ไหม?


“คุณไป๋ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” คนที่ชิงพูดขึ้นก่อนยังคงเป็นน่าหลัน เธออมยิ้มเล็กน้อยคล้ายไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดในขณะนี้สักนิด


“นานจริงๆ”


น่าหลันเพ่งความสนใจไปที่อวิ๋นช่วนในพริบตา “นี่คือว่าที่แฟนที่คุณบอกไว้คราวก่อนสินะ? หรือว่าเพราะตอนนี้เป็นแฟนของคุณไปแล้วคุณเลยไม่มาอีก?”


ว่าที่แฟน…


อวิ๋นช่วนยิ้ม “เธอบอกคุณอย่างนี้จริงๆ หรือครับ?”


“อื้ม ใช่ค่ะ”น่าหลันพยักหน้ารับพลางหันไปมองเย่เซียวข้างๆ “ตอนนั้นคุณเองก็ได้ยินนี่นา ใช่ไหม?”


เย่เซียวสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ และไม่ตอบคำถามของน่าหลัน


เล็งสายตาเย็นชาไปทางอวิ๋นช่วนจนสายตาของผู้ชายสองคนปะทะกลางอากาศ อวิ๋นช่วนสะดุ้งตกใจกับดวงตาคมของเขา


คนคนนี้…สัญชาตญาณนักล่ารุนแรงเกินไป น่ากลัวจริงๆ


หรือว่าตัวเขาไปทำความผิดกับเขาเข้าอย่างนั้นหรือ?


แต่นี่เพิ่งเจอกันครั้งแรกชัดๆ


“ควรไปได้แล้ว”เย่เซียวแค่เปล่งเสียงพูดขึ้นอย่างเย็นชาสั้นๆ ไม่ได้อึกทึก ไม่ได้ทักทายราวกับไม่อยากเสียเวลาปรายตามองพวกเขาแม้แต่แวบเดียว ย่างกรายเข้าไปข้างในด้วยท่วงท่าราวกับราชาในยุคสมัยก่อน


เขาเดินนำเข้าไปล่วงหน้า ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจยาวแต่สายตาหม่นลงแล้วหม่นลงอีกยามที่มองแผ่นหลังที่เดินควงคู่กันนั้น


“ผู้ชายคนนั้นก็เพื่อนคุณเหมือนกันเหรอ?”


ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “ไม่ใช่เพื่อนฉันสักคน เราเองก็เข้าไปกันเถอะ”


อวิ๋นช่วนได้แต่สงสัยเพราะฟังจากคำพูดของหญิงสาวเมื่อสักครู่ รู้ถึงการมีตัวตนของเขาได้มันไม่ใช่เพื่อนธรรมดาเลย แต่คำเรียกขานว่า ‘คุณไป๋’กลับห่างเหินอย่างว่าจริงๆ


ถึงอย่างนั้นอวิ๋นช่วนก็ไม่ถามให้มากความ แค่เดินเข้าไปพร้อมไป๋ซู่เย่


…………………………


มีคนมาร่วมงานมากมาย


ชายชายหญิงหญิงสลับซับซ้อนกันไปมา หากปล่อยให้ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวเกรงว่าแค่ชั่วพริบตาก็คงหาไม่เจอแม้แต่เงา


แต่ไม่ใช่กับเย่เซียว…


ต่อให้มีคนมากแค่ไหน งานคึกคักอีกเท่าไร เขายังคงเป็นจุดรวมสายตาผู้คนอยู่วันยังค่ำ แค่เธอหันหน้าเพียงนิดก็สามารถเห็นเขาจากที่ไกลๆ ได้ ถูกผู้คนห้อมล้อมอยู่ตรงกลาง ชนแก้วกับแขกเป็นบางครั้ง เย็นชาแต่ไม่เสียมารยาท


ตลอดงานไม่รู้ว่าดึงดูดสายตาของหญิงสาวมากขนาดไหน ทุกคนต่างช้อนตามองด้วยความชื่นชม กระซิบพูดคุยว่าน่าเสียดาย


เนื่องจากคืนนี้น่าหลันคอยติดตามข้างเขาไม่ห่างราวกับกำลังประกาศให้ผู้หญิงทั้งโลกรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเธอ ห้ามใครแอบคิดเกินเลย เห็นได้ชัดว่าเย่เซียวเองก็ให้หน้าเธอเต็มที่ มือใหญ่โอบเอวเธอแทบไม่วางมือ


ไป๋ซู่เย่เลื่อนสายตาหนี กรอกเหล้าเข้าปากสองแก้วในครั้งเดียว แอลกอฮอล์ร้อนผ่าวไหลผ่านลำคอสู่กระเพาะ ความเย็นภายในถึงได้หายไปบ้าง


“น่าเบื่อเกินไปใช่ไหม?” อวิ๋นช่วนที่กลับจากพูดคุยกับคนอื่นเห็นแก้วเหล้าว่างเปล่าที่เธอวางลง


“เปล่า ยืนมองเฉยๆ แบบนี้ก็ดี” คนที่มาค่ำคืนนี้เป็นคนในวงการธุรกิจ คนในวงการธุรกิจเธอรู้จักไม่มาก แบบนี้กลับสบายเสียอีก ไม่จำเป็นต้องชนแก้วเยอะเกินไป


“เดี๋ยวเราเต้นรำไม่กี่เพลงก็ออกไปจากที่นี่กัน แค่มาก็พอแล้ว”


“ได้”


ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับ ดนตรีเชื่องช้าภายในงานค่อยๆ ดังขึ้น


การเต้นรำเปิดงานย่อมสำคัญ เดิมทีต้องเป็นการเต้นรำระหว่างประธานจัดงานกับคุณนาย แต่ประธานกลับเชื้อเชิญเย่เซียวกับน่าหลันอย่างเต็มที่ ความจริงเมื่อก่อนเย่เซียวไม่ชอบงานแบบนี้ เดิมทีไป๋ซู่เย่คิดว่าเขาคงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล แต่ครั้งนี้เขาเปล่า กลับก้มหน้าถามความเห็นของน่าหลันที่อยู่ข้างกายก่อน


น่าหลันพยักหน้า เขาจึงจูงมือเธอค่อยๆ เดินเข้าสู่บริเวณฟลอร์เต้นรำ


แผ่นหลังของทั้งคู่โยกย้ายไปมาภายใต้สายตาอิจฉาและอึ้งทึ่ง สิบปีผ่านไป ท่วงท่าการเต้นรำของเย่เซียวยังดูดีไม่เปลี่ยน


“พวกเขาเหมาะสมกันจริงๆ เลยนะ”


“ผู้หญิงคนนั้นน่าจะอายุน้อยอยู่สินะ ดูท่าทางก็ประมาณยี่สิบ แต่เย่เซียวสามสิบสองแล้ว”


“ผู้ชายตอนนี้น่ะนะ ก็ต้องชอบคนอายุน้อยๆ สิ เธอดูคนเขาอายุสิบแปดหน้าใสขนาดไหน หน้าเล็กๆ ฉ่ำจนน่าจะบีบน้ำออกมาได้”


เสียงกระซิบของคนข้างๆ แว่วเข้าหูไป๋ซู่เย่ เธอมองภาพที่ดูมีความสุขตรงหน้าจากไกลๆ ขอบตาร้อนผ่าวและเริ่มรื้นด้วยม่านใสบางๆ อย่างไม่รู้ตัว


เขามีความสุขก็พอ…


“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” อวิ๋นช่วนรู้สึกถึงความผิดปกติของเธอจึงแอบเป็นห่วง


“ไม่เป็นไร”ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “แค่เห็นภาพสามีภรรยาแต่ละคู่แล้วเศร้าใจน่ะ โสดนานเกินไปบางทีก็แอบเสียใจหน่อยๆ”


“คุณเป็นคนขี้อ่อนไหวขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่เหมือนเลยจริงๆ”


“ฉันดูเป็นคนแยกแยะมีเหตุผลเกินไปเหรอ?”


อวิ๋นช่วนพยักหน้าหนักแน่น “มาก”


เธอหัวเราะแล้วพูดตรงไปตรงมา “ฉะนั้นเมื่อกี้ที่ฉันพูดน่ะโกหกคุณหรอก ตอนนี้การเต้นรำเปิดงานจบแล้ว เราก็น่าจะเข้าไปเต้นรำได้แล้วใช่ไหม?”


“แน่นอนอยู่แล้ว เป็นเกียรติของผมเลย!” อวิ๋นช่วนโค้งตัวคำนับหน่อยๆ ยื่นมือให้เธออย่างสุภาพบุรุษ เธอยิ้มก่อนวางมือซ้อนมือเขา ไม่มองคู่ที่อยู่อีกทางหนึ่งอีกแม้แต่แวบเดียว


…………………………


น่าหลันจับสังเกตความผิดปกติของเย่เซียวได้ตั้งนานแล้ว


เขาไม่ใช่คนชอบเต้นรำ หากเป็นปกติงานแบบนี้คงชิ่งหนีไปนานแล้ว แต่คืนนี้ไม่ใช่แค่เต้นรำกับเธอเป็นการเปิดงาน ตอนนี้เพลงที่สอง เพลงที่สาม เขาไม่มีท่าทีจะจบสักนิด


บางครั้งพวกเขาจะเต้นรำสวนไหล่กับไป๋ซู่เย่และอวิ๋นช่วน ไป๋ซู่เย่ยังคงรอยยิ้มบนใบหน้าคุยกับอวิ๋นช่วน เสียงพวกเขาเบามากและหน้าใกล้อย่างมาก ทำให้ดูจากท่วงท่าแล้วบรรยากาศคลุมเครือเล็กน้อย น่าหลันสังเกตว่าทุกครั้งที่พวกเธอผ่านพวกเขาไปสีหน้าเย่เซียวจะเย็นชามากขึ้นทีละนิดๆ สุดท้ายทั้งตัวเหมือนปกคลุมด้วยน้ำแข็งก็ไม่ปาน ทำให้น่าหลันไม่กล้าจะหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ เป็นผลให้เต้นผิดจังหวะอีกต่างหาก


ขณะที่ทุกคนต่างจมอยู่กับความคิดตัวเอง กลับได้ยินเสียงดัง “พรึบ” ไฟภายในงานดับกะทันหัน


ดนตรีก็หยุดทันที


……………………………………..



ตอนที่ 642 กลับสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง (2)

โดย

Ink Stone_Romance

“หืม? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


“ไป รีบไปเช็คสายไฟเร็ว!”


ภายในงานตกสู่ความมืดไม่เห็นกระทั่งปลายนิ้ว ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นกะทันหัน


ไป๋ซู่เย่กับอวิ๋นช่วนเองก็หยุดเต้นรำ “ดูเหมือนจะไฟดับ”


“อืม หรือว่าเรากลับกันตอนนี้เลย? อาจจะใช้เวลาสักพักไฟถึงจะมา”


“ก็ดี”


“คุณจับมือผมไว้ เผื่อคลาดกัน” อวิ๋นช่วนเอ่ยเตือนเธอ


ขณะที่ไป๋ซู่เย่ยกมือจะกุมมือเขากลับถูกมือที่พุ่งมาจากไหนไม่รู้ว่าคว้าข้อมือไว้ ไม่รอให้เธอได้ทันตั้งตัวจากนั้นมีแรงมหาศาลกระชากตัวเธอออกมาจากกลุ่มคนที่อยู่ฟลอร์เต้นรำ


รอเธอได้สติเจ้าตัวก็ถูกร่างแกร่งที่ร้อนผ่าวของชายหนุ่มผลักติดเสาสไตล์โรมันอย่างแรง


กลิ่นอายอันคุ้นเคยของชายหนุ่มโอบล้อมเธอ


ไม่ต้องถาม เธอก็รู้ว่าคือใคร


“เย่เซียว ฉันควรกลับไปแล้ว” เธอดันไหล่เขาลองเชิงทีหมายจะขืนตัวหลุดจากเขา แต่นอกจากจะไม่สำเร็จกลับถูกมือใหญ่ของเขาโอบเอวคอดไว้ “ไม่ได้ทรมานคุณมาหนึ่งสัปดาห์ ดูเหมือนคุณจะสนุกมากนะ”


เขากดเสียงต่ำพูดชิดข้างหูเธอ


ในพื้นที่มืดสนิทเช่นนี้ เสียงทุ้มของชายหนุ่มให้ความรู้สึกเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก ไอร้อนปะทะหน้าเธอและเธอรู้สึกว่าใบหูเริ่มร้อนผ่าว


เพิ่งนึกถึงภาพเหล่านั้นก็เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบในใจ เธอเบี่ยงหน้าหลบอย่างดื้อรั้น หนีการรุกล้ำของเขา สองมือยันหน้าอกเขาไว้อย่างระแวง “ถึงจะไม่ได้ทรมานฉัน แต่มีน่าหลันอยู่กับคุณ คุณเองก็ดูมีความสุขดีไม่ใช่เหรอ?”


“ผมเคยเตือนคุณไว้ว่าถ้าปรากฏตัวต่อหน้าผมอีกทีก็รับผิดชอบผลของมันเอง คุณทำเป็นหูทวนลมเหรอ?” เย่เซียวเชยปลายคางเธอขึ้น “แล้วยังกล้าส่งสายตาพลอดรักกับผู้ชายอื่น ไป๋ซู่เย่ ผมอนุญาตหรือยัง?”


เธอกับอวิ๋นช่วนส่งสายตาพลอดรัก?


ถ้าหากพวกเขาถือว่าส่งสายตาพลอดรัก แล้วเขากับน่าหลันเรียกว่าอะไร? ตบะแตกต่อหน้าผู้คนหรือ?


ไป๋ซู่เย่รู้สึกอัดอั้นในใจ ความคุกรุ่นบางอย่างที่ตัวเองจัดการไม่ถูกเริ่มก่อตัว


กับการซักถามและกล่าวโทษอย่างไร้ที่มาที่ไปของเขา อารมณ์ของเธอแย่ลงในทันที


“เย่เซียว ตั้งแต่แรกจนจบ ฉันแค่เซ็นข้อตกลงกับคุณ ให้คุณเรียกเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น แต่ในสัญญาไม่ได้กำหนดว่าคุณจะก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของฉันได้” ไป๋ซู่เย่แกะมือที่บีบตัวเองจนเจ็บออก กลัวคนรอบข้างได้ยินจึงลดเสียงให้เบาลง แต่กลับโต้เถียงกับเขาด้วยเหตุผล “เขาเป็นเพื่อนฉัน และอาจจะเป็นแฟนในอนาคตของฉัน เราคบกันปกติ ส่งสายตาพลอดรักกันเมื่อไหร่? อีกอย่างต่อให้ส่งสายตาพลอดรักจริงๆ แล้วยังไง? ระหว่างเราพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือความสัมพันธ์ที่ผูกพันกันตามสัญญา บอกให้น่าเกลียดหน่อยก็คือเราสองคนเป็นแค่คู่ขาบนเตียง ตอนคุณอยากมีอะไรกับฉัน ฉันไปหาคุณก็พอ คุณเคยเห็นคู่นอนที่ไหนก้าวก่ายเรื่องความรักของอีกฝ่ายบ้างล่ะ?”


เย่เซียวใช้สายตาเย็นชาคู่นั้นจ้องเธอคล้ายจะดึงเส้นเอ็นดึงกระดูกออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ดื่มเลือดเธอกัดกินเนื้อหนังของเธอ เขารู้ว่าเธอใจร้ายแต่ไม่คิดว่าเรื่องมาถึงจุดนี้แล้วเธอกลับใจเย็นกว่าเขา มีสติกว่าเขา! ทั้งๆ คนที่แค้นคือตัวเองแต่ต้องให้เธอมาย้ำเตือนว่าระหว่างพวกเขาเป็นเพียงความสัมพันธ์คู่นอนกันเท่านั้น!


ความรู้สึกตกเป็นรองปนความแค้นเคืองกำลังพุ่งทำลายสติของเขาไม่หยุด เขารู้สึกว่าเขาแพ้อีกแล้ว! มีเพียงคนที่ไร้ความรู้สึก ปล่อยวางทุกอย่างได้จริงๆ ถึงจะมีสติอย่างเธอได้! จดจำความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างมีสติอยู่เสมอ!


เขาหัวเราะ รอยยิ้มนั่นทำให้ไป๋ซู่เย่รู้สึกเสียวสันหลังวูบ


“ดูเหมือนว่าคุณจะเจียมตัวดี ในเมื่อคุณชัดเจนขนาดนี้ว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นของผม งั้นเรื่องระหว่างเราก็ง่ายขึ้นเยอะ” ทุกถ้อยคำเย่เซียวแทบจะพูดลอดไรฟันออกมา


ไม่มีใครจะกระตุ้นเขาให้กลายเป็นสภาพนี้ได้! นอกจากเธอ! นอกจากผู้หญิงน่าโมโหตรงหน้าคนนี้! อาศัยเยื่อใยที่ยังหลงเหลือของเขาแล้วก็เอามีดแทงเขาได้ง่ายๆ ไม่ใจอ่อนใดๆ ทั้งสิ้น!


เย่เซียวสายตาขุ่นมัวคล้ายปีศาจ คล้ายซาตาน อยู่ๆ มือใหญ่เลื่อนจับลำคอเธอแล้วเลื่อนลงคว้าคอเสื้อกระชากออกอย่างป่าเถื่อน ชุดราตรีสีม่วงบนตัวเธอจะต้านแรงทำลายล้างของเขาไหวได้อย่างไร? เปิดรอยฉีกขาดขนาดใหญ่ฉับพลัน เธอรู้สึกเย็นวาบตรงหน้าอกและสีหน้าก็เปลี่ยนไป


“เย่เซียว คุณอย่าหื่นไม่เลือกที่ได้ไหม!” เธอกดเสียงอยากจะห้ามเขาอย่างร้อนใจ มือพยายามปิดหน้าอกบดบังภาพอนาจารที่อาจจะหลุดออกมาให้เห็น


ท่าทางไม่สนใจสิ่งรอบข้างของเขาไม่ได้แตกต่างจากสัตว์ที่เกิดอาการฮีทเลย ต้องรู้ว่าข้างๆ ยังมีคนอีกมากมายและต่างเป็นบุคคลมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งในนี้ไม่ได้มีแค่อวิ๋นช่วนแต่ยังมีน่าหลัน เดี๋ยวไฟมาจะเสียหน้าขนาดไหนหากทุกคนเห็นพวกเขาตกอยู่ในสภาพนี้?


“กับของเล่นชิ้นเดียว ผมก็หื่นจริงๆ นั่นแหละ ผมอยากเอาคุณต่อหน้าว่าที่แฟนในอนาคตของคุณ เอาจนคุณร้องขอชีวิตอยู่ใต้ร่างผม”เขาออกแรงอีกนิดก็ทำให้ชุดราตรีของเธอกลายเป็นเสื้อผ้าขาดริ้ว แต่หากไม่ใช่เพราะอยู่ในความมืด ทุกคนคงเห็นเธอทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว


มือของเขาไล้วนไปทั่วตัวของเธอ ไม่ได้ลูบไล้เพราะความรักแต่เป็นการใช้กำลัง ไป๋ซู่เย่เอนหลังพิงเสาสไตล์โรมันเย็นเฉียบข้างหลัง รู้สึกแค่เจ็บที่ถูกเขาบีบคลึงไปทุกตารางนิ้ว แต่สิ่งที่เจ็บมากกว่าคือหัวใจ…


ศักดิ์ศรีของเธอถูกเขาโยนลงพื้นเหยียบย่ำไม่เหลือชิ้นดี แต่เธอรู้ว่าเธอสมควร…


ตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจเซ็นสัญญาฉบับนั้น ต่อหน้าเขาเธอยังเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีก?


ของเล่น…


เป็นข้อสรุปที่เขามีให้เธอมาโดยตลอด…


ร่างกายถูกเขาจับพลิกหันหลัง ในขณะที่เธอทำใจพร้อมจะรับความเจ็บปวดที่ถูกแทรกตัวเข้ามาอย่างป่าเถื่อนเหมือนสองครั้งก่อน


“ทุกท่านครับทุกท่าน รบกวนอยู่ในความสงบ รออีกหนึ่งนาทีไฟก็จะมาแล้วครับ!”


Shit!


เย่เซียวอยากจะจัดการเธอต่อหน้าผู้ชายคนนั้นจริงๆ แต่เขายังไม่มีรสนิยมเล่นหนังสดต่อหน้าทุกคนจึงปล่อยเธอแล้วกระชากเธอเดินออกไป


“เย่เซียว ปล่อยฉันนะ!” เขาแรงเยอะมาก ข้อมือเธอราวกับจะถูกเขาบีบให้แหลกก็ไม่ปาน


ชั่วขณะที่เขากระชากประตูออกไฟก็มา ภายในงานสว่างพรึบ เธอถูกเขากระชากให้เดินออกไปแต่กำลังเจอปัญหาตรงหน้าเพราะมีผู้ชายในชุดเป็นระเบียบหลายคนเดินมา เธอปิดหน้าอกอย่างนึกโกรธ ตอนที่ไม่รู้ควรทำอย่างไรก็รู้สึกหนักที่ไหล่


เสื้อตัวนอกของเย่เซียวปิดหัวเธอไว้เพื่อช่วยปกปิดสภาพน่าลำบากใจของเธอ เธอชะงักไปชั่ววูบรีบเอาเสื้อเธอคลุมหลังไว้ หันกลับมามองเขาแต่เห็นได้แค่มุมข้าง ถึงอย่างนั้นยังพอจะเห็นใบหน้าเรียบตึงที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่ออย่างชัดเจน


เรียกให้คนหวั่นใจ


เธอรู้ว่าคืนนี้เธอหนีไม่พ้นแน่ แต่พอนึกถึงความรุนแรงป่าเถื่อนอย่างนั้นก็เผลอกอดตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว


…………………………………



ตอนที่ 643 กลับสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง (3)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวดึงแขนเธอก้าวเดินอย่างไว พอออกมาเห็นหยูอันยืนรออยู่นอกงานแต่ไกล หยูอันทำหน้าตกใจเมื่อเห็นพวกเขาออกมา


“นายท่าน”


“เอากุญแจให้ฉัน” เย่เซียวตอบกลับสั้นๆ ไม่ได้ให้คำอธิบายไปมากกว่านี้


เห็นสีหน้าถมึงทึงของเขาหยูอันไม่กล้าพูดอะไรได้แต่เอากุญแจรถให้เขา เขาฉุดกระชากไป๋ซู่เย่ไปยังรถกันกระสุน


“เย่เซียว เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ขึ้นรถไปกับคุณนะ!” เธอแอบหวังว่าเขาจะยังหลงเหลือสติอีกเพียงนิด


แต่เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ!


“ตอนที่ผมบอกจะเอาคุณ คุณมีสิทธิ์แค่อ้าขารอ คุณมีสิทธิ์ปฏิเสธตั้งแต่เมื่อไหร่?” เย่เซียวพูดทุกประโยคได้อย่างใจร้ายเหลือเกิน คล้ายจะมองเธอเป็นของเล่นที่ไม่มีชีวิตจริงๆ


เขาไม่ได้หรี่เสียงให้เบาลงจึงทำให้ลูกน้องข้างๆ ได้ยินกันถ้วนหน้า ไป๋ซู่เย่ยิ่งทวีความคุกรุ่น เจ้าตัวถูกอีกฝ่ายยัดเข้าไปในรถเหมือนถุงกระสอบ เธอบิดตัวอยากจะกระโดดลงรถ เย่เซียวปรายตาเย็นชามองเธอแวบหนึ่ง “ถ้าคุณกล้าลงรถ ผมไม่รังเกียจที่จะเล่นกับคุณตรงนี้ คุณเลือกได้”


“…”


ไป๋ซู่เย่ไม่กล้าขยับ เย่เซียวเป็นคนที่ทำทุกอย่างได้


เธอหดตัวกลับไปเหมือนเดิม


เย่เซียวไม่ได้ให้ลูกน้องตามมา รถยนต์พุ่งทะยานออกไปและไป๋ซู่เย่คาดเข็มขัดเงียบๆ ไม่พูดอะไร


ภายในรถอึดอัดอย่างมาก อึดอัดจนหายใจไม่ออก เธอรู้ว่าคืนนี้ไม่ว่าอย่างไรเธอก็หนีไม่พ้น เย่เซียวไม่มีทางปล่อยเธอแน่


เย่เซียวเหมือนอดใจที่จะให้บทเรียนเธอแทบไม่ไหวหรือว่าต้องการเธอ ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์โกรธหรือความต้องการที่ร่างกายอดทนถึงขีดจำกัด เขารอขับรถกลับไปไม่ได้ด้วยซ้ำ พลางหาโรงแรมที่ใกล้ที่สุดแล้วจอดรถ


…………………………


ภายในงานเลี้ยง


ไฟสว่างอีกครั้ง เสียงดนตรีคลอเคล้าไปทั่วงาน


น่าหลันกับอวิ๋นช่วนกวาดมองรอบข้างแต่ไม่มีคนที่หาอยู่ อวิ๋นช่วนมึนงงไปชั่วอึดใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าเธอไปห้องน้ำหรือเปล่า


แต่น่าหลันที่หาเย่เซียวไม่เจอ หัวใจกลับหนักอึ้ง


ยิ่งหันกลับไปแล้วไม่เจอเงาไป๋ซู่เย่ เธอจับชายกระโปรงขึ้นสับเท้าเดินไปข้างนอกอย่างไม่รอช้า


นอกงาน


พวกหยูอันยังคอยอยู่ เห็นน่าหลันที่รีบเร่งเดินมา เขาลงจากรถก้าวมาหา


“คุณน่าหลัน”


“เย่เซียวล่ะ?” น่าหลันถาม


“นายท่านขับรถไปแล้ว”


“กับเธอเหรอ? กับไป๋ซู่เย่!”


หยูอันเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้ารับ น่าหลันแสบจมูกก่อนที่หยดน้ำตาจะร่วงลงมาในทันที เธอรู้สึกตัวเองเป็นเหมือนตุ๊กตาที่ถูกทอดทิ้ง เย่เซียวไม่สนใจเธอสักนิด เธอมักจะหลอกตัวเองเสมอ ย้ำเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขามีนิสัยอย่างนี้ กับใครก็เหมือนกัน แต่เป็นก่อนที่ไป๋ซู่เย่จะยังไม่ปรากฏตัว


พอเธอปรากฏตัว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!


“คุณน่าหลัน ขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวทุกคนจะออกมาแล้ว” หยูอันเปิดประตูรถมองเธออย่างนึกสงสารวูบหนึ่ง อย่างไรเสียเธออายุเพียงสิบแปด ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น


น่าหลันรู้ว่าเธอเสียมารยาทแล้วแต่ดันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เธอก้าวขึ้นรถนั่งอยู่ในนั้น ในหัวมีแต่ภาพที่เย่เซียวอยู่กับไป๋ซู่เย่ ตอนนี้พวกเขากำลังทำอะไร? ตอนนี้เธอกลับไปจะเห็นพวกเขาบนเตียงพอดีใช่ไหม?


นึกถึงภาพเหล่านั้นมือที่กำชายกระโปรงอยู่ก็บีบแน่นถึงขั้นกระโปรงเกิดรอยยับเป็นชั้นๆ


…………………………


ไป๋ซู่เย่มองโรงแรมตรงหน้า ความจริงเธอรู้สึกโชคดี โชคดีที่เขาไม่ได้กลับไปบ้านหลังที่มีน่าหลันอยู่ด้วย


ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็คงต้องยอมรับมัน เธอใส่เสื้อตัวนอกเขาลงจากรถ ซึ่งเย่เซียวได้เช็คอินและหยิบการ์ดห้องชุดไว้เรียบร้อย


เขาทำหน้าบึ้งตึงมาตลอดทาง เดินไปทางไหนก็เหมือนเป็นตาพายุลูกใหญ่ เดิมทีมีแขกหลายคนจะขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกับพวกเขา แต่หลังจากเห็นสีหน้าเย่เซียวต่างก็ล้วนยิ้มเก้อ ถอยออกไปกล่าวกับไป๋ซู่เย่ “เราจะรอรอบต่อไป”


ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจพยักหน้าแล้วกดปิดประตูลิฟต์


ผู้ชายคนนี้สีหน้าน่ากลัวมากจริงๆ คิดว่าแม้แต่ภูตวิญญาณยังต้องเลี่ยง


ในบริเวณอันคับแคบของลิฟต์บรรยากาศรอบตัวอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แทบทำเอาคนหายใจไม่ออก


ฉะนั้นยามเสียงโทรศัพท์เธอดังขึ้นจึงกระแทกหูอย่างมาก เธอล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าใบเล็ก หน้าจอแสดงชื่อ ‘อวิ๋นช่วน’ ทำให้เธอนิ่งงัน คิดในใจว่าเย่เซียวยังอยู่ข้างๆ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้กดรับสาย หากเขาเอาแต่ใจอย่างไร้เหตุผลขึ้นมาสถานการณ์มีแต่จะซับซ้อนมากขึ้น


เสียงโทรศัพท์ไม่ดังขึ้นอีกเลย


เธอกำลังจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าถืออีกครั้งแต่จู่ๆ ก็ถูกเย่เซียวตะครุบข้อมือไว้ ออกแรงดึงเธอกระแทกหน้าอกเขา ชายหนุ่มใช้มือข้างเดียวโอบเอว อีกมือสอดเข้าใต้กระโปรงเธออย่างไม่เกรงใจ


“ทำไมไม่รับสาย? รู้สึกผิดเหรอ?”


“นี่มันที่สาธารณะ” ไป๋ซู่เย่เตือนเขาแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อสูทบนตัว มือคอยห้ามมือที่อยู่ไม่นิ่งของเขา “เย่เซียว คุณช่วยให้เกียรติฉันหน่อย”


“ให้เกียรติ?”เย่เซียวตาขุ่นลงอีกนิดเหมือนเธอเพิ่งพูดเรื่องที่น่าขำออกมา “สิบปีก่อนตอนคุณปั่นหัวผมเหมือนลูกไก่ในกำมือ ตอนที่คุณเหยียบย่ำหัวใจที่ผมมอบให้คุณอย่างไม่ปรานี คุณเคยคิดจะมาให้เกียรติผมบ้างไหม?”


ไป๋ซู่เย่ไร้คำโต้กลับทันควัน


หากเอาความผิดในอดีตมา เธอจะตกเป็นรองเขาเสมอไปและไม่สามารถยืดอกสู้หน้าได้ตลอดไป


เย่เซียวเกลียดเธอที่ไม่ตอบโต้ เขาดันเธอติดกำแพงลิฟต์ทันที ขบกัดคอเธออย่างนึกแค้น ไล่ลงมาที่ไหปลาร้า ลงมาเรื่อยๆ



“อือ เย่เซียว…อย่า…”


ไป๋ซู่เย่เปล่งเสียงจากลำคอ อยากผลักเขาออกแต่เวลาเขาโกรธขึ้นมา เรี่ยวแรงของเธอไม่ได้ช่วยอะไรเลย


“เจ็บไหม? หืม?” เขาดูดดุน งับใบหูเธอ หายใจหอบหนัก ดวงตาขุ่นมัว “ไป๋ซู่เย่ บอกผมมาว่าเจ็บไหม”


ไป๋ซู่เย่ไม่ใช่คนที่กลัวเจ็บ สนามรบ ระหว่างการฝึกซ้อมเธอเคยบาดเจ็บมามากเท่าไร? แต่กระทั่งตอนนี้เธอถึงรู้ว่าพอเป็นความเจ็บที่เย่เซียวเป็นคนมอบให้ตน ต่อให้เป็นเพียงความเจ็บอันน้อยนิดก็จะทวีคูณหลายร้อยหลายพันเท่า…


จินตนาการได้เลยว่า…


เมื่อนั้นที่เขาถูกเธอหักหลังและทำร้าย ยากจะอดทนไว้ขนาดไหน


เธอหอบหายใจ ปลายนิ้วดึงเสื้อเชิ้ตตำแหน่งเอวเขา เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาประชด “ความเจ็บแค่นี้ เทียบไม่ได้กับที่ฉันทำร้ายคุณหรอกใช่ไหม?”


เย่เซียวได้ยินเธอถามเช่นนี้รู้สึกเพียงว่าคำพูดของเธอจงใจโอ้อวดแกมประชด ย่นคิ้วแน่น ความแค้นพุ่งพรวดเข้ามาในอกเหมือนเปลวไฟ


“ถ้าคุณคิดว่าทำแบบนี้กับฉันแล้วจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง เย่เซียว คุณจะทรมานฉันยังไง ก็มาเถอะ…”


“ดีแล้วที่คุณคิดได้อย่างนี้ คืนนี้ต่อให้คุณร้องไห้ขอร้องผม ผมก็ไม่มีทางปล่อยคุณแน่!”


………………………………………..



ตอนที่ 644 กลับสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ว่าแล้วเขาก็ช้อนบั้นท้ายเธอเพื่อยกตัวขึ้น ให้สองขาของเธอรัดเอวเขาไว้


รอประตูลิฟต์เปิดออก ผลักประตูเข้าไป เขาดันตัวเธอติดประตูอย่างป่าเถื่อน


ตามด้วยฉีกชุดราตรีที่แทบปกปิดอะไรไม่ได้ออกจากตัวเธออย่างไม่รอช้า


เหมือนสองครั้งก่อนหน้า ไม่ให้โอกาสเธอได้ปรับตัว แทรกตัวเข้ามาในร่างกายที่ไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆ เป็นการเอาคืน


…………………………


เจ็บมาก


อาจเป็นเพราะความเจ็บที่จี๊ดขึ้นสมองจึงเหมือนถูกยาชาสะกดตัวไว้ ภายหลังไป๋ซู่เย่ตกอยู่ในสภาพสะลึมสะลือ รู้สึกแค่ว่าตัวเธอถูกเขาทรมานตั้งแต่หน้าประตูยันห้องนอน เย่เซียวหวังให้เธอร้องขอชีวิตอย่างยอมแพ้ แต่เธอเป็นคนดื้อรั้น ยอมแบกรับทุกอย่างเลยไม่ยอมส่งเสียงสักนิด


ปากล่างถูกกัดจนเลือดซึม


มือของเธอจับหัวเตียงแน่น ปลายนิ้วเสียดสีจนเลือดออกเพราะจับแรงเกินไป แม้แต่ตัวเองยังไม่ทันรู้สึกด้วยซ้ำ


ขนาดของเย่เซียวเดิมก็ใหญ่กว่าคนทั่วไปนัก ลำบากเหลือเกินที่จะให้ร่างกายไร้ประสบการณ์ของเธอรับขนาดของเขาไหว บวกกับเขาเป็นคนบ้าพลังแรงเยอะ ไป๋ซู่เย่ได้แต่รู้สึกว่าตัวเองภายใต้อาณัติเขาแทบจะถูกเขาทรมานจนร่างแหลก เย่เซียวเหงื่อแตกพลั่กเพราะความร้อน ไหลหยดบนผิวขาวเนียนของเธอ หลอมรวมกับเหงื่อของเธอ


ถูกเขาจัดการไปหลายครั้ง เธอไม่รู้เลยว่าระหว่างนั้นเขาไม่เคยหยุดพัก ไม่เคยให้โอกาสเธอได้หายใจเต็มปอด


โทรศัพท์ดังกะทันหันในจังหวะที่เธอเกือบจะหมดสติไป


เธอใช้แรงที่เหลืออยู่อันน้อยนิดคว้าโทรศัพท์ไปดูแวบหนึ่ง


อวิ๋นช่วน…


กำลังจะกดตัดสายกลับถูกเย่เซียวแย่งโทรศัพท์ไป


“เย่เซียว คืนฉันมา…”


“ไม่กล้ารับ?”


“คุณอย่าทำอะไรบ้าๆ…”


เย่เซียวรั้งตัวเธอขึ้นมาให้นั่งบนตัวเขา เขาใช้ตาจ้องเธออย่างดุดัน “กลัวเขาจะได้ยินว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไร กลัวเขาเลิกกับคุณเหรอ?”


“คุณคืนฉันมานะ!”


ไป๋ซู่เย่อยากแย่งโทรศัพท์คืนมาแต่เรี่ยวแรงถูกเขาสูบไปแทบไม่เหลือ เย่เซียวกลับฉวยจังหวะนี้กดรับสาย


“คุณ…”


“ไหน ครางดีๆ และให้เขาฟังให้ดี ให้เขารู้ว่าคุณก็แค่ของเล่นบนเตียงของผมเท่านั้น!” ถ้อยคำของเย่เซียวกำลังเหยียดหยามเธอถึงที่สุด


โยนโทรศัพท์ใส่เตียงจากนั้นพลิกตัวเธอให้หันหลังเข้าหาตัวเองก่อนจะกลืนกินเธอจากด้านหลัง


เธอขัดขืน ต่อต้าน สองมือเผลอคลำหาของบนหัวเตียงโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วแตะโดนโคมไฟคริสตัลบนหัวเตียงและถูกเธอกระชากลงมาด้วยสติที่พร่ามัว ‘เพล้ง!’ หนึ่งเสียง กระแทกหล่นใส่หัวเธอทันควัน


เย่เซียวที่กำลังครอบครองเธออยู่เหนือร่าง ร่างกายหยุดชะงักกึกยามเห็นฉากนี้


จากนั้น…


เลือดสีสดค่อยๆ ไหลจากศีรษะเธอย้อมผ้าปูที่นอนเป็นสีแดง


เธอนอนคว่ำหน้าอยู่แบบนั้น ไม่ขยับตัวอยู่พักใหญ่…


หน้าอกเขาเจ็บแปลบเหมือนถูกมีดแทงเข้าอย่างจัง เจ็บจนเผลอกลั้นหายใจ


มือใหญ่จับเอวเธอแรงๆ ไม่ยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจ “ไป๋ซู่เย่ คุณคงไม่คิดว่าใช้แผนเจ็บตัวแล้วผมจะปล่อยคุณไปหรอกนะ?”


“…” ไป๋ซู่เย่ยังนิ่งไม่ขยับ ไม่ตอบรับเขา แค่หายใจหนักๆ สองที


เสแสร้งต่อไปไม่ไหว เย่เซียวลุกพรวดจากตัวเธอแทบจะทันที พลิกเธอหันกลับมา ดวงตาเธอที่เปิดโพล่งอยู่ว่างเปล่าจนน่ากลัว เขารู้สึกเหมือนหัวใจทั้งดวงปั่นป่วนเข้าด้วยกัน น้ำเสียงแหบแห้ง “ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล!”


ไป๋ซู่เย่ไม่พูดอะไรเหมือนเดิมคล้ายหมดเรี่ยวแรงทุกอย่าง ขณะที่เขาพลิกตัวลงไปหยิบเสื้อเชิ้ตของตัวเองข้างนอกเพื่อจะสวมให้เธอ เธอลุกจากเตียงเดินสะเปะสะปะเข้าไปในห้องอาบน้ำ


ความแสบร้อนแล่นริ้วขึ้นมาจากระหว่างขา


จนถึงตอนนี้ยังจดจำการรุกล้ำอย่างป่าเถื่อนของเขาได้ดี


เธอยิ้มขมขื่น มองสภาพน่าสงสารของตนที่สะท้อนกระจก ทั้งชีวิตนี้คงมีเพียงเย่เซียวที่จะทำให้เธอตกอยู่ในสภาพทรุดโทรมขนาดนี้ได้ ขอบตาแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้ ความขมขื่นแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ


เห็นสภาพแทบดูไม่ได้ของเธอในตอนนี้ เขาน่าจะสบายใจขึ้นบ้างแล้วสินะ?


เย่เซียวหยิบเสื้อเชิ้ตจากข้างนอกเข้ามาแต่กลับไม่เห็นเงาเธอ ขมวดคิ้วเร่งฝีเท้าไปที่หน้าประตูห้องอาบน้ำ อยากเปิดประตูแต่ประตูถูกล็อกไว้


“ออกมา!”


เย่เซียวค่อนข้างร้อนใจปนหงุดหงิด ในสมองมีแต่ภาพที่เลือดอาบหัวของเธอแวบผ่านไปมา


ให้ตาย! ถ้าเธอใช้แผนเจ็บตัวเข้าแลก ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้เขาคงต้องยอม!


“คุณรอเดี๋ยว ฉันทำแผลอยู่…” เสียงไป๋ซู่เย่ดังแว่วออกมา ฟังดูอ่อนแรงเบาหวิวเช่นเดิม


บนชั้นวางของในห้องน้ำของโรงแรมปกติจะมีกล่องยาและในกล่องยาจะมีของง่ายๆ แค่มีแอลกอฮอล์ ผ้าพันแผลก็เพียงพอแล้ว ความจริงแผลเหล่านี้เป็นแค่แผลเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องยากอะไรถ้าเธอจะทำแผลเอง


เย่เซียวได้ยินแล้วเส้นเลือดบนหน้าผากเต้นตุบๆ “ผมจะพูดอีกครั้งเดียว คุณออกมา เดี๋ยวนี้!”


เธอไม่ตอบกลับเขา


วินาทีต่อมาได้ยินแค่เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น เย่เซียวยกเก้าอี้พังประตูกระจกจนแตกละเอียด เศษกระจกปลิวว่อนไปทั่วสารทิศรวมถึงหน้าผากเขาที่ถูกบาดเป็นรอยหลายรอย เขากลับไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ


แค่ก้าวขายาวเข้าไปใช้เสื้อเชิ้ตคลุมตัวเธอ ใช้ชุดคลุมอาบน้ำคลุมตัวเธออีกหนึ่งชั้นให้แน่นหนา


ครึ่งท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าแต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจสภาพตัวเองเท่าไร ช้อนตัวเธอขึ้นเดินเหยียบเศษกระจกออกไป


ไป๋ซู่เย่เพิ่งใช้ผ้าพันแผลทำแผลลวกๆ ในห้องอาบน้ำเมื่อสักครู่หากแต่ยังมีเลือดไหลไม่หยุด เธอที่มึนหัวเป็นทุนเดิมพอถูกเย่เซียวอุ้มก็ยิ่งมึนหนักเข้าไปกันใหญ่


“เย่เซียว…” เธอเรียกเขาเบาๆ เสียงแผ่วอย่างอ่อนแรง


“อืม” เขาตอบกลับเสียงขรึม ขายาวก้าวเข้าไปในลิฟต์ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าลิฟต์ช้าขนาดนี้!


“ตอนนี้…คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?”


ประโยคเดียวราวกับมีคนใช้กำปั้นทุบเข้ามาที่อกอย่างแรง


รู้สึกดีไหม?


รู้สึกดีบ้าดีบออะไร!


“…ทำไมไม่ตอบฉัน?” เธอมองเขาด้วยแววตาพร่ามัว


เขากัดฟันก้มมองเธออย่างแค้นใจ “คุณจงใจให้ผมรู้สึกแย่ ใช่ไหม?”


เธอยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ซบอกเขาไม่พูดอะไรอีก


เสียงหัวใจของเขาเต้นอยู่ชิดหู ทั้งรู้สึกสมจริงและมีพลังขนาดนั้น


เสียงที่ห่างหายกันไปนาน…


สิบปีมานี้เธอคิดถึงอ้อมกอดแบบนี้ของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก่อนเคยชินกับการฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นทุกคืน กอดเอวเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่ตอนนี้…


ระหว่างพวกเขาแม้แต่อ้อมกอดเดียว ยังต้องผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้…


………………………………


จนเย่เซียวอุ้มเธอลงมา คนที่ห้องโถงโรงแรมตกใจกันระนาว เมื่อครู่ตอนขึ้นไปผู้ชายคนนี้ก็น่ากลัวพอแล้ว ตอนนี้ออกมาอีกครั้ง ผู้หญิงกลับกลายเป็นสภาพนี้


นี่…


คงไม่เจอฆาตกรโรคจิตเข้าหรอกนะ?


พนักงานโรงแรมชั่งใจว่าควรไปปรึกษาผู้จัดการให้โทรแจ้งตำรวจดีหรือไม่


เย่เซียวกลับไม่สนใจสายตาที่มองมาของคนรอบข้าง อุ้มเธอเดินตรงดิ่งไปที่รถตัวเอง


……………………………………….



ตอนที่ 645 กลับสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง (5)

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนถังซ่งถูกปลุกตื่นจากความฝันก็แทบระเบิดอารมณ์


พอขับรถมาถึงห้องฉุกเฉินในตึกโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของตัวเอง พยาบาลตัวเล็กร้องไห้กระซิกเพราะเย่เซียวตั้งนานแล้ว พอเห็นถังซ่งก็เหมือนเจอฮีโร่ผู้ช่วยชีวิตไว้ก็ไม่ปาน


“ผู้อำนวยการ ในที่สุดคุณก็มา ถ้ายังไม่มา โรงพยาบาลนี้ต้องถูกรื้อออกแน่ๆ”


“ไม่ต้องกลัว มีผมปกป้องพวกคุณอยู่ คุณ เข้าไปเป็นลูกมือช่วยผมที” เขาชี้ไปยังหนึ่งในพยาบาลเหล่านั้น


พยาบาลตัวน้อยส่ายหัวถอยกรูดไปด้านหลังเล็กน้อย “ฉันกลัว”


“ดูสภาพขี้ขลาดของคุณสิ!” ถังซ่งลากพยาบาลตัวน้อยคนนั้นออกมาจากข้างหลังทันที “หน้านิ่งๆ ของเขาถึงจะน่ากลัวไปหน่อยแต่ก็ไม่กินคุณเข้าไปหรอกน่า”


……………………


ถังซ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ได้เห็นสภาพของเย่เซียว อย่าว่าแต่พยาบาลตัวน้อยเลยแม้แต่ตัวเองยังตกใจกับภาพที่เห็น


บนตัวไม่มีเสื้อผ้าก็แล้ว เศษกระจกยังเสียบคาบนผิวหนังและเลือดไหลไม่หยุด ตรงหน้าผากเลือดออกมากเสียยิ่งกว่า ไหลลงตามหางตา เมื่ออยู่คู่กับใบหน้าที่ดูดีปนเย็นชานั่นเหมือนปีศาจดูดเลือดที่ปรากฏตัวในภาพยนตร์ชัดๆ


“พี่ใหญ่ กลางคืนดึกๆ วิ่งมาหลอกคนอย่างฉัน ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? นั่งสิ ให้ฉันดูแผลให้นายหน่อย ถึงขนาดทำให้นายรีบร้อนจนไม่ทันใส่รองเท้าด้วยซ้ำ” ถังซ่งว่าแล้วจับหน้าเขาหันซ้ายขวา เย่เซียวปัดมือเขาออก


“ไม่ใช่ฉัน เธอต่างหาก”


“เธอ?”


พยาบาลตัวน้อยรีบเปิดม่านข้างๆ ขึ้น “ผู้อำนวยการ หลังศีรษะเธอบาดเจ็บ”


ถังซ่งเดินเข้าไปก็เห็นไป๋ซู่เย่กำลังนอนคว่ำบนเตียง ตัวอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำนอนหลับตาเบาๆ คล้ายอ่อนแรงนักหนา


ถังซ่งมองเธอแล้วหันกลับมามองเย่เซียวแวบหนึ่ง ใช้สายตาประเมินกวาดมองเขาก่อนจะจิปากที “นายเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือไง? กอดผู้หญิงนิดหน่อยก็ทำจนหลังหัวเธอเป็นแบบนี้?”


เย่เซียวตวัดตาเย็นชาไป


พยาบาลตัวน้อยข้างๆ หน้าแดงแปร๊ด มองผู้หญิงที่นอนคว่ำหน้าบนเตียงอีกครั้งด้วยสายตาสงสาร


คุณเย่เซียวเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกไม่มีผิด ไม่รู้จักทะนุถนอมผู้หญิงเลย


“ฉันว่านาย…”


“นายหุบปาก! รีบทำแผลก่อน” เย่เซียวไม่มีอารมณ์ฟังคำสอนของเขา


“ได้ๆๆ รีบทำแผลให้เธอก่อน” พยาบาลได้เตรียมยามาพร้อมแล้ว ถังซ่งเปลี่ยนเสื้อกาวน์ไปใส่ถุงมือไปก็มองเย่เซียวข้างๆ แวบหนึ่ง


เห็นเขานั่งอยู่ริมเตียงมองหญิงสาวบนเตียงนิ่งด้วยแววตาล้ำลึกยากจะคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


“นายเองก็ออกไปให้คนจัดการแผลบนตัวให้นายด้วย อย่างกับแต่งคอสเพลย์ผีดูดเลือด กลางคืนดึกดื่นมันน่าตกใจนะ” ถังซ่งกล่าว


“แผลเล็กน้อย”


“เธอเองก็แผลเล็กน้อย นายไม่ต้องประหม่าขนาดนั้น”


“…” เย่เซียวเม้มปากไม่พูดอะไรและไม่ขยับตัวอีก ถังซ่งรู้ว่าเขาไม่ฟังจึงหันกลับไปทำแผลให้ไป๋ซู่เย่ ไล่ตรวจแผลของเธอตั้งแต่หลังศีรษะมาจนถึงลำคอเธอ เขาถึงใช้ปลายนิ้วเปิดคอเสื้อคลุมอาบน้ำ เสียงเรียบนิ่งดังขึ้นฉับพลัน “ถ้านายยังมองลงไปอีก ระวังตาตัวเองด้วย”


“บัดซบ!” ถังซ่งสบถหยาบที “นายมันโรคจิต! คอเธอกับไหล่เธอมีแต่แผล จะไม่ให้ทำแผลหรือไง?”


“ไม่ต้องสนใจเขา…” ไป๋ซู่เย่กึ่งหลับกึ่งตื่น ลดคอเสื้อคุลมอาบน้ำลงมาด้วยตัวเองเปิดเผยลาดไหล่ทั้งสองข้าง ผิวขาวเนียนแต่กลับเต็มไปด้วยรอยกุหลาบและรอยฟันจากใครบางคน


“โรคจิตจริงๆ ด้วย นายทำลงไปได้ยังไง…ไม่สิ ใช้ปากสินะ!”


ผิวที่มีแต่จ้ำๆ มองดูแล้วน่าสะพรึงจริงๆ เย่เซียวไม่มีคำตอบโต้สำหรับคำกล่าวหาของถังซ่ง เขาย่ำเท้าไปประคองตัวเธอที่นอนคว่ำตัวอยู่มากึ่งพิงที่อกตัวเอง มือหนึ่งปัดเส้นผมยาวลอนของเธอไปอีกข้าง มือหนึ่งประคองเอวเธอไว้ เชยตาตวัดมองถังซ่งเป็นการตักเตือนวูบหนึ่ง “ถ้ากล้ามองไปทั่ว จะควักลูกตานายออกมาดองเหล้า”


“ของสวยงามอยู่ตรงหน้าฉันขนาดนี้แต่ฉันกลับมองไม่ได้ นายรู้ไหมว่ามันทรมานขนาดไหน?”


“หุบปาก” เย่เซียวถลึงตาดุดันใส่เขาที


ถังซ่งรู้ว่าจะหยอกล้อไป๋ซู่เย่ไม่ได้ อย่างน้อยจะหลอกล้อต่อหน้าเย่เซียวไม่ได้ ต่อให้ตอนนี้เขาเกลียดเธอ แต่เธอยังคงเป็นขีดความอดทนเส้นสุดท้ายของเขา เขาจะไปกระตุ้นไปท้าทายหรือล้อเล่นไม่ได้ทั้งนั้น


“เอากรรไกรมาให้ผม” เขาหันกลับไปบอกพยาบาล


เย่เซียวขมวดคิ้ว “จะตัดผมเหรอ?”


“อืม ต้องเย็บแผล ตัดจุกเดียวน่าจะดูไม่ออก”


“หลังเย็บแผลแล้วจะงอกขึ้นมาใหม่ไหม?”


“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ถังซ่งเขม่นใส่เย่เซียวแวบหนึ่ง “ทำไมนายมีปัญหาเยอะจังก็แค่ตัดผมเอง เมื่อก่อนไม่เห็นรู้สึกนายจะมีปัญหาเยอะขนาดนี้”


“รีบทำงานของนายไป!” เย่เซียวเม้มปากไม่พูดอะไรอีก


ไป๋ซู่เย่เท้าคางไว้ที่ไหล่เขา รู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยตัวเธอจึงสั่นกึกก่อนจะถูกเย่เซียวกระชับกอดไว้แน่น


สักพักได้ยินพยาบาลวิ่งเข้ามา “ผู้อำนวยการคะ เอ่อ…”


“เอ่ออะไร? อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ”


“…ที่นี่ไม่มียาชาแล้วค่ะ กุญแจโกดังอยู่ที่คุณหมอหู ตอนนี้เขาอยู่ที่อื่น พรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับมา”


“โรงพยาบาลพวกนายมันตกต่ำขนาดนี้เชียวเหรอ?” เย่เซียวเริ่มมีน้ำโห


“ใครจะรู้ว่านายจะทรมานคนเขาจนเป็นแบบนี้กลางดึกได้ล่ะ? ถ้านายบอกแต่เร็วหน่อยฉันคงเตรียมยาชาไว้ให้นายอยู่นี่นานแล้ว”


“นายอย่ามาต่อปากต่อคำ รีบคิดหาวิธีเร็ว!”


“หาวิธีอะไร? ไม่นายเปลี่ยนโรงพยาบาลก็ไม่ต้องใช้ยาชาไง”


“ไสหัวไป!” เย่เซียวไม่แม้แต่จะคิดเตรียมช้อนตัวเธอขึ้น ปลายนิ้วไป๋ซู่เย่จิกไหล่เขา “เย่เซียว อย่าขยับ…ฉันมึนหัวจะตายอยู่แล้ว…”


“นายไม่ต้องลำบากอะไรแล้วน่า จะเปลี่ยนโรงพยาบาลก็อีกตั้งสิบกว่ากิโลเมตร ไม่รีบเย็บแผลเกิดแผลติดเชื้อขึ้นมาจะเจ็บยิ่งกว่านี้”


“เย็บเถอะ” ไป๋ซู่เย่มุ่นคิ้วเป็นปม กัดฟันแน่น “เจ็บแค่นี้ ฉันพอทนได้…”


“เจ๋ง วีรสตรีของประเทศไม่ใช่เล่นๆ จริงๆ ด้วย เย่เซียว นายอย่าดูถูกเขาเชียว”


เย่เซียวหน้าตึงเสียยิ่งกว่าตึง ‘วีรสตรีของประเทศ’ ฉายานี้เธอได้มาเมื่อสิบปีก่อนที่เขาบาดเจ็บหนัก พอมาได้ยินเองกับหูตอนนี้มันช่างเสียดสีดีเหลือเกิน


………………


ถังซ่งใช้แอลกอฮอล์เช็ดปากแผลให้เธอแล้วเริ่มเย็บแผล


เธอเจ็บจนเหงื่อแตกพลั่ก ฟันล่างกัดจนริมฝีปากล่างเลือดซึมแต่ยังอดทนไว้ไม่ให้ตัวเองหลุดเสียงออกมา


ผู้หญิงคนนี้!


“เจ็บก็ร้องออกมา ไม่มีใครล้อเลียนคุณหรอก”


“บางทีความเจ็บพวกนี้ก็ต้องทนรับให้ได้ ทำไมต้องร้องออกมาล่ะ? ร้องออกมาก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความเจ็บ…”


เย่เซียวตาล้ำลึกขึ้นอีกนิด สายตาจ้องเธอไม่ห่าง


ฉะนั้น…


เมื่อครู่อยู่บนเตียงเธอถึงได้ไม่ร้องขอชีวิต?


ดื้อด้านจนน่าโมโห!


“นายเบาหน่อย!” เขาถลึงตาใส่ถังซ่งอย่างหงุดหงิด


ถังซ่งรู้สึกไม่ยุติธรรม “ฉันเบามากแล้วนะ อีกอย่างคนที่โดนเย็บไม่ทันร้องเจ็บ แต่นายกลับเก็บอารมณ์ไม่ได้ซะก่อน”


สุดท้ายเย่เซียวก็ไม่ตอบกลับอะไรอีก คอยมองหญิงสาวในอ้อมแขน เห็นขนตาเธอสั่นระริกรุนแรง ในใจทั้งอึดอัดทั้งเจ็บปวด


……………………………….



ตอนที่ 646 หลับไปพร้อมอ้อมกอด (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ยกแขนเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าให้เธอก่อนจะมีชั้นเหงื่อผุดขึ้นมาใหม่


“ยังทนไหวไหม?” เขาถามเสียงเบาปนแหบแห้งเล็กน้อย


เธอสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงรับคำจากเสียงในลำคอ ‘อืม’ มือเขาลูบไล้แผ่นหลังเธอเป็นการปลอบประโลมเบาๆ โดยไม่รู้ตัวคล้ายว่าทำแบบนี้แล้วจะช่วยบรรเทาความเจ็บให้เธอได้บ้าง


แม้ไป๋ซู่เย่จะหลับตาอยู่แต่เธอยังสัมผัสได้ถึงการปลอบประโลมจากเขาได้ดี หัวใจที่ขมขื่นในทีแรกเริ่มมีความอบอุ่นแผ่ซ่านมาแทนที่อย่างน่าแปลก ใจอ่อนยวบ…


ผู้ชายคนนี้นี่…


ควบคุมความรู้สึกเธอได้ง่ายๆ วินาทีก่อนเหยียบเธอให้ตกนรก วินาทีนี้พาเธอขึ้นสวรรค์ได้…


ความสุขความทุกข์ปะปนกันไป อารมณ์เฉยชาอารมณ์เดือดพล่านที่สลับปะทะกันไปมานั้นเรียกให้เธอรู้สึกมีอะไรติดตรงคอจนน่าอึดอัด แสบจมูกนิดๆ เพราะอยากร้องไห้


เธอรู้สึกแค่ว่าทุกความดื้อรั้นและเย่อหยิ่งของตัวเองจะถูกเขาพังทลายให้อ่อนแอลงไปหมด เธอก้มหน้าอ้าปากกัดไหล่เขาไว้ เย่เซียวตัวสะท้านก่อนจะสัมผัสถึงความเปียกชื้นตรงลาดไหล่ เขากลับไม่กล้าไปดูว่านั่นเป็นหยาดเหงื่อของเธอ หรือว่า…


น้ำตา…


ผู้หญิงที่หัวแข็งและใจร้ายคนนี้ น้ำตาไหลได้จริงๆ หรือ?


……………………


ถังซ่งคอยมองพวกเขาสองคน รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศเริ่มอึดอัด เขาไม่ได้พูดอะไรอีกแค่ถอนหายใจเงียบๆ ส่ายหัวแล้วทำแผลอย่างตั้งใจต่อไป


…………………………


ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น


แผลบนตัวเธอทั้งหมดถูกทำเสร็จสิ้นแล้ว ด้วยความชำนาญมือของเขาเธอจึงไม่ต้องเจ็บปวดมาก แต่พอเย็บเสร็จก็ทำเอาเจ้าตัวแทบหมดแรงเหมือนกัน


“ต้องพักดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เดี๋ยวจะส่งตัวไปที่ห้องพักวีไอพี” หลังทำแผลเสร็จถังซ่งเองก็ลอบถอนหายใจโล่งอก หากทำได้ไม่ดีเย่เซียวจะต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่


“อืม” เย่เซียวยังกอดไป๋ซู่เย่อยู่ไม่ได้ปล่อยมือ


ถังซ่งจิ้มไหล่เขาที “อย่ากอดอีกเลย ที่นี่มีพยาบาลคอยดูอยู่ไม่เป็นอะไรหรอก นายออกมา เดี๋ยวทำแผลให้”


เย่เซียวเงียบไปอึดใจ


หลุบตามองเธอในอ้อมแขนแวบหนึ่ง


เห็นได้ชัดว่าไป๋ซู่เย่ก็ได้ยินที่ถังซ่งพูดเลยฝืนขยับตัวให้เลื่อนลงจากไหล่เขา อ้อมแขนว่างเปล่าสร้างความเย็นวาบตรงอกแก่เย่เซียวไม่น้อย หมายจะรั้งเธอมากอดโดยไม่รู้ตัวแต่สุดท้ายสองมือก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศ กำหมัดแน่นเก็บมือ


น่าขำจริงๆ!


นี่เพิ่งผ่านไปครู่เดียวเท่านั้น ทำไมเขาถึงหลงใหลกับความรู้สึกนี้ได้?


………………


ไป๋ซู่เย่ถูกเข็นเข้าไปในห้องพักฟื้น


เย่เซียวนั่งอยู่ในห้องทำงานของถังซ่งปล่อยให้ถังซ่งทำแผลไปอย่างไม่สบอารมณ์ สูบบุหรี่ตามสบายเพราะไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีผู้ป่วยเข้าออก บวกกับรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีถังซ่งถึงปล่อยเลยตามเลย ไม่ได้ห้ามเขาสูบบุหรี่


ตอนทำแผลให้เขาได้จิปากไปหลายที “มีเศษกระจกแทงเข้าไปที่เท้าเยอะขนาดนี้ นายไม่เจ็บหรือไง?”


เจ็บไหม?


ตอนนี้เจ็บนิดๆ ล่ะ


แต่เมื่อครู่ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ หัวใจทั้งดวงอยู่ที่เธอทั้งหมด ใจจดใจจ่อคิดแต่ว่ารีบพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาลโดยเร็ว


ถังซ่งคีบเศษกระจกออกให้เขาทั้งหมดและพันแผลทุกแผลก่อนที่จะจุดบุหรี่ให้ตัวเองหนึ่งมวน “เมื่อก่อนฉันดูไม่ออกเลยนะว่าความรุนแรงของนายใช้กับผู้หญิงด้วย?”


เย่เซียวคร้านจะอธิบาย


“ดูจากร่องรอยบนตัวเธอ นายมีอะไรกับเธออีกแล้วใช่ไหม?”


เย่เซียวแค่นเสียงเย็นชา “นายดูละเอียดจังนะ!”


“แน่นอน หน้าที่ของหมอ” ถังซ่งถาม “ทำได้ไม่สะใจสินะ?”


“นาย…” เย่เซียวเตรียมเปิดปากด่า


“นายอย่ารีบร้อนจะด่าฉัน ฉันหวังดีกับนายต่างหากถึงได้พูดปากเปียกปากแฉะกับนาย จะบอกให้นะ เวลามีอะไรกับผู้หญิงที่ตัวเองรัก รู้ไหมว่าที่รู้สึกดีที่สุดคืออะไร?”


เย่เซียวดับหัวบุหรี่ แค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา “ฉันไม่มีผู้หญิงที่รัก”


“โอเคๆๆ! นายไม่รักเธอ เกลียดเธอ พอใจแล้วสินะ?” ถังซ่งแก้คำ “งั้นตอนที่มีอะไรกับผู้หญิง รู้ไหมตอนไหนรู้สึกดีที่สุด? ที่รู้สึกดีไม่ใช่การครอบครองเธอจากกำลังแต่ใช้เทคนิคทำให้เธอละลาย รับรองว่าเธอต้องหนีไม่รอด เสร็จครั้งนี้ยังอยากทำอีก นายเล่นทรมานเธอแทบตายทุกครั้ง ถ้าฉันเป็นเธอนะ แค่เห็นนายถอดเสื้อผ้าก็กลัว เกลียดนายเข้าไส้แล้ว!”


“ใครจะถอดให้นายดู?” เย่เซียวตอบกลับอย่างไม่พอใจ พอได้ยินเขาว่าเช่นนี้พานนึกถึงภาพที่ตัวเองขืนใจเธอที่โรงแรมด้วยอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดไปกันใหญ่


คว้ากุญแจรถเดินออกไป


“กลับแล้วเหรอ?” ถังซ่งถาม


เย่เซียวไม่แม้แต่หันกลับมา


“นายไม่สนใจไป๋ซู่เย่แล้ว?”


“สนใจไปแล้วไง” พาเธอมาโรงพยาบาล อยู่เย็บแผลเป็นเพื่อนเธอ เขาในฐานะศัตรูของเธอน่าจะหมดหน้าที่แล้ว ยังจะต้องสนใจอะไรอีก? เย่เซียวคิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่ต่อ เธอไม่ใช่ผู้หญิงของตน เป็นศัตรูของตนต่างหาก!


จุดนี้เขาจะต้องจำให้ขึ้นใจ


ถังซ่งมองแผ่นหลังนั่นพลางดับหัวบุหรี่ไปตามๆ กัน “ใจร้ายจริงๆ นะ”


…………………………


ก่อนถังซ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไปดูไป๋ซู่เย่ที่นอนพักอยู่บนเตียง


หลังศีรษะเจ็บไม่น้อย ความจริงไป๋ซู่เย่ก็หลับไม่สนิทพอ สะลึมสะลือ พอถังซ่งมาสำรวจดูยาของเธอทีจึงตื่น


“ยานี่มีส่วนผสมที่ช่วยให้หลับสบาย ฉีดเสร็จน่าจะนอนพักดีๆ ได้แล้ว” ถังซ่งบอกเธอ


“อืม งั้นฉันจะออกโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่?”


“หัวแตกแล้วยังรีบร้อนจะออกจากโรงพยาบาลอีกเหรอ? จากอาการของคุณอย่างน้อยก็ต้องพักสักสองสามวันล่ะ”


ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ ตั้งแต่ตัวเองมาพัวพันกับเย่เซียวก็ไม่เคยใช้ชีวิตราบรื่นสักวันเลย


“พอแล้ว ถ้าคุณไม่มีอะไรผมกลับก่อนล่ะ คุณเองก็รีบพักผ่อนเถอะ” ถังซ่งสั่งเธอ


“อืม” ไป๋ซู่เย่หยักหัวรับ สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ “เย่เซียวล่ะ? แผลเขาเป็นยังไงบ้าง?”


“ก็ดี ผมทำแผลให้เขาเสร็จเขาก็หยิบกุญแจรถกลับไปแล้ว”


“…อ่อ” ไป๋ซู่เย่รับคำสั้นๆ กลับไปนอนคว่ำบนหมอนเหมือนเดิม สายตากลับมองตรงไปข้างหน้าไม่พูดอะไร


ถังซ่งมองเธอ “ผิดหวังเหรอ?”


เธอชะงัก หัวเราะแผ่ว “ไม่หรอก แผลบนหัวก็ไม่ใช่เขาทำ จะให้ฉันขอให้เขารับผิดชอบงั้นเหรอ?”


เขาไม่ได้ทอดทิ้งไม่สนใจตัวเองแถมยังยอมพาเธอมาส่งโรงพยาบาล อยู่เย็บแผลเป็นเพื่อนเธอ นี่คงเป็นขีดจำกัดของเขาแล้วสินะ


หรือว่า…


หลงคิดว่าเขาจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อตัวเองเหมือนแต่ก่อน? เธอไม่โง่ถึงขั้นคาดหวังอย่างนั้น


“แผลของคุณ ไม่ใช่เขาเป็นคนทำเหรอ?”


“คุณเป็นเพื่อนกับเขามาตั้งหลายปี คิดหรือว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่เอาของฟาดใส่ผู้หญิงได้? ฉันไม่ระวังตัวเอง”


ถังซ่งหัวเราะ “เขาไม่ใช่คนที่จะเอาของทำร้ายผู้หญิงจริงๆ แต่คุณเป็นข้อยกเว้นนี่นา ผมเห็นเขามีความคิดอยากจะฆ่าคุณด้วยซ้ำ เลยคิดว่าเขาเป็นคนทำร้ายคุณไปโดยปริยาย”


ไป๋ซู่เย่แย้มปาก


ข้อยกเว้นนี้ สมกับเป็นข้อยกเว้นจริงๆ…


ถังซ่งกลับไปแล้ว


ห้องพักผู้ป่วยตกสู่ความเงียบอย่างผิดปกติ ทั้งที่ยามีส่วนผสมช่วยเรื่องหลับแต่เธอกลับลืมตามองไปนอกหน้าต่าง ความง่วงงุนลดน้อยลงกว่าเดิม


………………………………………….



ตอนที่ 647 หลับไปพร้อมอ้อมกอด (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวขับรถกลับบ้าน ไม่ทันระวังด้วยซ้ำว่าระหว่างทางสูบบุหรี่ไปกี่มวน ในหัวฉายแต่ภาพวนซ้ำไปมาของอีกคนเรียกให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น


กลับถึงบ้านคนที่หน้าประตูตกใจกันถ้วนหน้าเมื่อเห็นสภาพเขา


นี่โดนปล้นมาอย่างนั้นหรือ?


แต่ยังมีใครกล้าจะปล้นนายท่านหรือ? ไม่อยากมีชีวิตต่อแล้วหรืออย่างไร


……


น่าหลันขังตัวเองไว้ในห้องตลอดคืนอย่างทุกข์ใจ ไม่ว่าอาชิงจะปลอบเธออย่างไรเธอก็ไม่ตอบกลับสักคำ นั่งริมหน้าต่างนิ่งมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย รอคอยผู้ชายคนนั้น


เดิมทีเธอคิดว่าคืนนี้เขาไม่น่ากลับมาแล้วแต่ไฟหน้ารถที่ใกล้เข้ามากลับทำให้ตาเธอสว่างวาบ


ในคฤหาสน์มีเพียงเขาที่สามารถขับรถมาจอดหน้าประตูหลักได้


เธอที่แต่แรกยังนั่งนิ่งแทบจะไถลตัวลงจากริมหน้าต่างทันที อาชิงวิ่ง ‘ตึงตัง’ ขึ้นมาชั้นบน “คุณคะ รีบออกมาเร็ว นายท่านกลับมาแล้ว มาคนเดียวไม่มีคุณไป๋”


ได้ยินประโยคสุดท้ายน่าหลันพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง รอปรับลมหายใจได้เป็นจังหวะก็ดึงประตูเดินออกไป


ชั้นล่างเย่เซียวกำลังเข้ามา


“นายท่าน เป็นอะไรคะ? ทำไมถึงบาดเจ็บแบบนี้?”ครึ่งท่อนบนอันเปลือยเปล่าของเขารวมถึงใบหน้าแทบมีแต่รอยแผล แม้แต่คนรับใช้ที่เปิดประตูให้ยังสะดุ้งตกใจ


“ไม่เป็นไร” เย่เซียวเข้ามาเดินขึ้นไปชั้นบน ตอนนี้เขาต้องการอาบน้ำเพื่อชะล้างความหงุดหงิดไม่สบายใจทั้งหมด


ขึ้นไปชั้นบน


ปะทะกับน่าหลันที่อยู่ตรงชั้นบันไดพอดี


“ทำไมยังไม่นอน?” เย่เซียวถามเธอ


“…ฉันไม่รู้ว่าคุณไปไหน เป็นห่วงก็เลย…นอนไม่หลับ” น่าหลันมองเขาหน้าเศร้าๆ อยู่ๆ เดินลงไปก้าวหนึ่งสองแขนโอบเอวเขาเบาๆ แนบหน้ากับอกเขา “ฉันโทรหาคุณคุณไม่รับสาย กลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป”


เย่เซียวชะงักนิ่ง


ก้มหน้ามองใบหน้าของน่าหลันที่คล้ายคลึงกับใครบางคน ชั่วขณะหัวคิ้วขมวดเป็นปมแน่นกว่าเดิม


ใบหน้านั้นเหมือนคำสาปที่กำลังดึงทึ้งเส้นประสาทของเขา


อีกทั้ง…


ตอนนี้พอมองดีๆ ยิ่งรู้สึกว่าความจริงน่าหลันแตกต่างกับเธอมาก อย่างน้อยก็ต่างจากไป๋ซู่เย่ในเวลานี้อย่างสิ้นเชิง ใบหน้าอีกฝ่ายมีแต่ความมุ่งมั่นปนดื้อรั้นมากกว่า เคยโอนอ่อนซบอกเขาเหมือนน่าหลันแบบนี้ที่ไหนกัน?


หรืออย่างตอนเมื่อครู่ที่ไม่ได้ฉีดยาชา เจ็บขนาดนั้นเธอกลับไม่หลุดเสียงสักนิด


“เย่เซียว?”น่าหลันเห็นเขาไม่ตอบกลับอะไรอยู่นานเลยแหงนหน้ามองด้วยความฉงน


เขาหลุดจากภวังค์


“ผมไม่เป็นไร คุณไปนอนเถอะ” เย่เซียวคลายหัวคิ้วที่ขมวดออก หมดอารมณ์จะปลอบเธอพลางแกะสองแขนที่เกาะเอวออก “ตัวผมสกปรก ขึ้นไปก่อนล่ะ”


เดินไปอย่างไม่รอช้ายิ่งไม่มีใจจะกลับมามองท่าทางผิดหวังของน่าหลันสักแวบเดียว เหลือเพียงแผ่นหลังให้เธอได้เชยชม


น่าหลันยืนมองอยู่ด้านหลังนิ่ง สุดท้ายแค่ถอนหายใจหนักๆ


เย่เซียวยิ่งอยู่ยิ่งเย็นชากับเธอแล้ว…


ตัวจริงมาแล้ว ฉะนั้นตัวสำรองอย่างเธอก็ไม่เข้าตาเขาอีกต่อไป ใช่ไหม?


“คุณคะ” อาชิงมองเธอด้วยความเป็นห่วงแวบหนึ่ง


น่าหลันเอ่ยปาก “ไม่เป็นไร ฉันขึ้นไปก่อนล่ะ”


หลังเย่เซียวเข้าห้องปิดประตูเธอก็เข้าห้องตาม อาชิงถอนหายใจ “คุณคะ ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศคุณก็ยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีความสุข เมื่อก่อนดีจะตาย ตามหลังนายท่านไม่มีอะไรให้กังวล ทำไมตอนนี้ถึงไม่เหมือนเดิมล่ะคะ?”


“จะเหมือนเดิมได้ยังไง?” น่าหลันย้อนถามเสียงเบา ทุกประโยคแฝงด้วยความขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก


เมื่อก่อนระหว่างพวกเขาไม่มีบุคคลที่สาม เขาไม่ใช่คนที่จะเข้าใกล้ผู้หญิง เธอถึงไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีผู้หญิงคนใดแย่งเย่เซียวไปจากเธอ


แต่กระทั่งไป๋ซู่เย่ปรากฏตัวเธอถึงรู้ว่าความจริงไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง แต่เพราะผู้หญิงเหล่านั้นสู้ดอกฝิ่นต้นที่แห้งเหี่ยวในใจเขาไม่ได้เลย


ต่อให้ดอกไม้นั่นจะเหี่ยวเฉาไปสิบปีเต็มแล้วก็ตาม…


……………………


เย่เซียวอาบน้ำเสร็จใช้ผ้าขนหนูพันตัวออกจากห้องอาบน้ำ ใช้ผ้าเช็ดผมลวกๆ


ดึกมากแล้ว


ค่ำคืนแสนสงบไร้ซึ่งเสียงรบกวนยิ่งเงียบเท่าไรยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เปิดโทรทัศน์เปลี่ยนไปช่องใหม่ แต่ใจยังล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคล้ายหัวใจกำลังถูกบางอย่างกระชากไปมาอยู่


สุดท้าย…


สิบนาทีหลังจากนั้นเขาตัดสินใจยอมแพ้ ทิ้งผ้าขนหนู เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปที่ห้องของเขาเพื่อคว้ากุญแจรถออกจากบ้าน


“นายท่าน ดึกขนาดนี้แล้วยังจะออกไปอีกหรือคะ?” คนรับใช้รีบถามเมื่อเห็นเขาเดินลงบันไดอย่างเร่งรีบ


“อืม ไม่ต้องรอ คืนนี้ไม่กลับมาแล้ว”


“ค่ะ”


เขาหายไปจากคฤหาสน์ในเวลาอันรวดเร็ว


ชั้นบน น่าหลันไล่สายตามองตามรถของเขากระทั่งไฟรถหายไปจากสวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ สายตาเธอก็หม่นแสงลงทันที…


เถาวัลย์แห่งความอิจฉาริษยาค่อยๆ ฝังรากลึกลงในใจอย่างควบคุมไม่ได้ โตขึ้นเรื่อยๆ ยาวขึ้นเรื่อยๆ ล้อมพันรอบหัวใจของเธอ…


……………………


ส่วนผสมช่วยในการนอนหลับในยามีผลดีไม่น้อย หนึ่งชั่วโมงให้หลังไป๋ซู่เย่เข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด


ไม่รู้ตัวกระทั่งตอนพยาบาลมาตรวจห้องด้วยซ้ำ


ยิ่งไม่รู้ว่าเย่เซียวจะปรากฏตัวที่นี่


“คุณเย่เซียว” พยาบาลถอยออกมาจากห้อง กำลังจะเปิดประตูแทบจะชนอกชายหนุ่มเข้าอย่างจัง ตกใจจนหน้าซีดรีบถอยหลังทันควัน


เย่เซียวไม่พูดอะไร นิ้วชี้เรียวชิดปากเป็นเชิงให้เธอเงียบเสียงเผื่อรบกวนคนที่อยู่ข้างใน


พยาบาลกดเสียงเบาลงอย่างเชื่อฟัง “คุณไป๋หลับไปแล้วค่ะ”


“อาการตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”


“ฉีดยาแก้อักเสบไป ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไรค่ะ”


“อืม”


เย่เซียวพยักหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไรอีก โบกมือเป็นเชิงให้พยาบาลออกไป


เขาเช็คแผลบนตัวเธออย่างละเอียด พอเห็นว่าอาการดีขึ้นจึงถอนหายใจโล่งอก สีหน้าเรียบนิ่งเล็กน้อยยามนึกถึงคืนนี้ที่ใช้ความรุนแรงกับเธอ เขากึ่งนอนบนเตียง เลิกผ้าห่มอย่างระมัดระวัง ยื่นมือเข้าไปในกางเกงชุดผู้ป่วยเธอเพื่อทายาตรงส่วนนั้นให้เธอ ก่อนออกจากบ้านยังไม่ลืมไปหยิบหลอดยาจากห้องเธอด้วย การกระทำนี้ เย่เซียวคิดว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดมากกว่า


ถึงเธอจะน่าแค้นใจนัก สมแล้วที่ต้องทนรับทุกอย่าง แต่อย่างไรเสียเธอเป็นเพียงผู้หญิง อีกอย่างเขาไม่ได้ใจร้ายอย่างเธอ


ไป๋ซู่เย่หลับลึกมาก สะลึมสะลือแต่ก็ไม่ตื่น แค่ตอนที่ปลายนิ้วเขาแตะโดนแผลเธอ เธอครางออกมาเบาๆ เหมือนละเมอ “เจ็บ…”


เสียงเล็กเสียงน้อยอย่างนั้น หากเป็นวันปกติที่มีสติอยู่คงไม่มีวันได้ยิน


เย่เซียวรู้สึกโดนทุบที่อก ทุกความแข็งกร้าวอ่อนยวบยาบลงในฉับพลัน ประคองตัวเธอให้พิงบนอกเขา ปลายนิ้วบีบคลึงใบหูนิ่มเธออย่างเบาแรง “ผมจะเบามือ…”


มือผ่อนแรงลงอย่างมาก


ไป๋ซู่เย่ครางเสียงตอบรับ ‘อืม’ อย่างไม่มีสติ ซบหน้ากับอกเขาหลับต่อ


ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ แต่เย่เซียวกลับไม่ยอมปล่อยเธออีก ปิดเสื้อนอนลงบนเตียงและหลับไปทั้งอย่างนั้น


…………………………………………..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม