เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 629-636

 ตอนที่ 629 แค่ยืนก็ยืนไม่มั่นคง


 


 


ศีรษะเล็กๆ ของนางค่อยๆ ค้อมไปทางด้านหน้า


 


 


นางคุกเข่าได้อย่างลำบาก ตุปัดตุเป๋ไปหมด หวงเผยซานที่มองดูอยู่ด้านข้างยังรู้สึกว่านางจะล้มลงไปบนพื้นหรือไม่


 


 


เขาอยากจะเข้าไปรับซูหลีเอาไว้ ทว่าก็กลัวว่าจะทำให้ฉินเย่หานโมโห เขาจึงได้แต่ยืนร้อนใจอยู่ด้านข้าง


 


 


ทว่าฉินเย่หานไม่ใช่ว่าไม่เห็น เพียงแต่สีหน้าของเขากลับฉายแววประหลาดอมยิ้ม เขาเห็นท่าทางของซูหลีก็อดหวนคิดถึงกริยาท่าทางสวยหยาดเยิ้มจนถึงขีดสุดยามที่อยู่ใต้ร่างตนเองเมื่อคืนมิได้


 


 


จนกระทั่งถึงตอนนี้ แม้นางจะไม่รู้สึกตัว ทว่ากลับทั้งร่ำไห้ทั้งตะโกนว่าไม่ต้องการแล้ว


 


 


เช้าวันนี้กลับต้องอธิบายกับเขาอย่างห้าวหาญและองอาจ จนถึงบัดนี้กลับแบกรับแทบไม่ไหวแล้ว


 


 


ที่น่าแปลกเป็นอย่างมากก็คือ ซูหลีถูกลงโทษให้คุกเข่านานเช่นนี้ ทว่าฉินเย่หานเห็นนางที่สัปหงกขณะคุกเข่า สีหน้าของเขากลับดูดีขึ้นไม่น้อย


 


 


หากเปรียบกับตอนที่เริ่มประชุมราชกิจ กลับมีสีหน้าอ่อนโยนกว่าเดิมมิน้อย


 


 


แม้ใบหน้าจะไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่าหวงเผยซานนั้นที่เข้าใจกิริยาท่าทางของฉินเย่หานที่สุด ในชั่วขณะนี้กลับเห็นหัวคิ้วของฉินเย่หานคลี่คลายออก


 


 


เขาจึงทราบทันทีว่าฉินเย่หานไม่ได้โมโหเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว


 


 


นี่ช่างประหลาดโดยแท้ เมื่อครู่ซูหลีใช้หัวชนฮ่องเต้แล้ว หวงเผยซานยังคิดว่าฮ่องเต้จักต้องจัดการอะไรกับซูหลีอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่จัดการอะไรกับซูหลี อีกทั้งเมื่อเห็นซูหลีสัปหงก อารมณ์ของฮ่องเต้ดีขึ้นอย่างประหลาดยิ่ง


 


 


นี่…


 


 


สรรพสิ่งในโลกนั้นช่างประหลาดโดยแท้ หวงเผยซานรู้สึกว่าสุดท้ายก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่สามารถพิชิตอีกสิ่งหนึ่งได้


 


 


แน่นอนว่าคำพูดนี้ แม้อาศัยความกล้านับร้อยของเขา เขาก็ไม่กล้าเอ่ยคำพูดนี้ออกมา


 


 



 


 


“จบการประชุมได้!” เมื่อเสียงก้องกังวานนี้จบลง ร่างทั้งร่างที่แน่นิ่งสนิทพลันลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน


 


 


ตอนที่ไม่ลืมตาขึ้นยังดี ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาดุจบึงน้ำที่หนาวเย็นคู่นั้นพอดี


 


 


ดวงตาคู่นั้นจ้องมองซูหลีตาไม่กะพริบ มองดูจนหัวใจของซูหลีเต้นแรงกระหน่ำ อาการสัปหงกหายไปในพริบตา


 


 


“ถวายบังคมพะย่ะค่ะฝ่าบาท!” ขุนนางที่อยู่เบื้องล่างต่างพากันคุกเข่าและเอ่ยขึ้นพร้อมๆ กัน


 


 


ในที่สุดซูหลีก็รู้สึกตัว ตายแล้ว ตายแล้ว


 


 


ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ทรงลงโทษให้นางคุกเข่า ทว่านางกลับนั่งสัปหงก บัดนี้การประชุมราชกิจได้จบลงแล้ว นางเพิ่งจะตื่นขึ้น ฉินเย่หานจะไม่ยิ่งโมโหหรอกกระมัง


 


 


หวงเผยซานผู้นั้นจริงๆ เลย เห็นนางเผลอหลับไปแล้วก็ไม่เรียกนางสักนิด กลับปล่อยให้นางหลับไปเช่นนี้


 


 


การสัปหงกในตำหนักอวิ๋นเซียว ในอดีตไม่เคยมีปรากฏมาก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครที่กระทำอะไรแปลกๆ นอกจากนางแล้ว!


 


 


“หึ” ในขณะที่ซูหลีกำลังขุ่นเคือง พลันได้ยินเสียงเย็นที่แสดงความไม่พอใจดังขึ้น ทันทีที่ชายตาขึ้นก็พบฉินเย่หานที่ลุกขึ้นและเตรียมก้าวเท้าเดินออกไป


 


 


นางอ้ำอึ้งไป บัดนี้เกิดอะไรขึ้นอีก


 


 


นางยังต้องคุกเข่าที่นี่ต่อไป หรือต้องย้ายที่คุกเข่ากัน


 


 


“ถ้านฮวาซูยังไม่รีบตามไปอีก!” หวงเผยซานรีบเดินตามหลังฉินเย่หานไปอย่างรีบร้อน เมื่อหันศีรษะกลับมายังเห็นซูหลีที่ยังคุกเข่าอย่างทึ่มทื่อจึงพูดเตือนสตินางประโยคหนึ่ง


 


 


คิดไม่ถึงว่านางจะคุกเข่าบนพื้นนานจนเกินไป กอปรกันเมื่อวานร่างกายของนางทำงานหนักเกินไป ทำให้ร่างกายบางส่วนรู้สึกเจ็บปวดอยู่


 


 


ในเวลานี้เมื่อต้องการจะลุกขึ้น ก็พยายามฝืนร่างกายตนเองให้ทรงตัวอยู่นาน ทว่าแม้แต่เท้าก็ยังลุกไม่ขึ้นรู้สึกเหน็บชาทั้งร่างกาย


 


 


ซูหลีเริ่มรู้สึกร้อนใจ ด้านข้างยังมีขันทีผู้น้อยที่เป็นผู้ติดตามฉินเย่หานเห็นนางอับจนหนทาง เขาจึงเดินเข้ามาพยุงนางขึ้น นางถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซขึ้นมาได้


 


 


เพียงแต่ท่าเดินของนางนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก


 


 


บัดนี้หากมีนางข้าหลวงที่ถนัดเรื่องระหว่างชายหญิงอยู่ล่ะก็ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้ซูหลีทำอะไรมา


 


 


“นี่เจ้าเป็นอะไร แม้แต่ยืนก็ยังยืนไม่มั่นคง!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 630 กระหม่อมมิได้เจตนา


 


 


น่าเสียดายคนที่นี่ล้วนเป็นคนหยาบกระด้าง ซูหลีเดินโซซัดโซเซลงมาจากพระที่นั่ง จี้ฉินเห็นท่าทางของนางก็อดเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงประโยคหนึ่งมิได้


 


 


ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าก็แดงระเรื่ออย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้


 


 


นี่จะให้นางพูดอย่างไรดี อย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยความนัยออกมาได้ว่าเมื่อคืนฮ่องเต้มีความต้องการไม่จำกัด ดังนั้นนางถึงได้แข้งขาอ่อนดังนี้กระมัง


 


 


คำพูดนี้หากพูดออกมา ซูหลีก็ไม่ต้องมีชีวิตต่อไปแล้ว!


 


 


“มะ ไม่เป็นไร เพียงแค่คุกเข่านานไปเท่านั้น แข้งขาอ่อน!” ซูหลีโบกมือไปมา นางอธิบายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเกินจะเปรียบ


 


 


จี้ฉินได้ยินดังนั้นจึงใช้สายตาแปลกประหลาดมองนางปราดหนึ่ง


 


 


น่าเสียดายที่คุณชายเหล่านี้หาได้เข้าใจปัญหาของร่างกายสตรีเสียที่ไหน เขาเพียงมองปราดหนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้าอย่างลังเลใจและเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า


 


 


“เจ้าก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ เมื่อวานพึ่งจะร่วมงานเลี้ยงของฮ่องเต้ วันนี้เจ้ากลับก่อเรื่องอะไร ช่างขยันหาเรื่องไม่หยุดหย่อนโดยแท้!”


 


 


เมื่อซูหลีได้ยินดังนั้น ก็เผยยิ้มออกมาแบบขมขื่นและมีรอยกังวล นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางเต็มใจกระทำเสียหน่อย


 


 


ใครจะรู้ว่าฉินเย่หานจะกระทำเรื่องเช่นนี้ต่อนางกัน…


 


 


“ไม่สามารถใช้คำพูดคำเดียวอธิบายเรื่องทั้งหมดได้ ข้าขอตัวไปก่อน รอข้าผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปก่อน ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้า!” ซูหลีไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกนาน หลังจากพูดกับจี้ฉินไม่กี่ประโยคนางรีบก้าวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ฉินเย่หานยังโกรธนางอยู่ หากนางไปถึงช้าเช่นนั้นเกรงว่าคงจะยิ่งร้ายแรงกว่าเดิมโดยแท้!


 


 


“เฮ้อ…” จี้ฉินยังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่านางรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วมาก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไปจากตรงหน้าจี้ฉิน เพียงแต่ท่าเดินกึ่งวิ่งของนางนั้นดูทะแม่งๆ


 


 


จี้ฉินมองดูแล้วอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ เวลาคุกเข่านานเกินไปจะเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ


 


 


“ไปเถอะ” ฉินมู่ปิงที่ยืนถัดจากจี้ฉิน เขารับฟังบทสนทนาระหว่างซูหลีกับจี้ฉินทั้งหมด ในดวงตามีประกายความซับซ้อนพาดผ่าน ทว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงเรียกจี้ฉินให้เดินออกไปพร้อมกัน


 


 


ทั้งสองไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางอะไร เดิมทีพวกเขาไม่ควรปรากฏตัวในการประชุมราชกิจยามเช้าวันนี้ ทว่าทางสำนักเต๋อซั่นมีเรื่องที่ต้องกราบทูลฮ่องเต้ อีกทั้งเป็นเรื่องด่วนมาก อาจารย์ผู้ดูแลไม่มีอภิสิทธิ์เข้ามาในท้องพระโรง จึงให้ฉินมู่ปิงที่เป็นซื่อจื่อเข้ามากราบทูล


 


 


เมื่อฉินมู่ปิงเข้ามา แน่นอนว่าเขาก็ถือโอกาสพาจี้ฉินมาด้วย ทั้งสองคนอยู่ติดกันเป็นเงาตามตัวมาโดยตลอด ทุกคนเห็นจนชาชินกับเรื่องนี้แล้ว


 


 


เดิมพวกเขาปรากฏตัวบนท้องพระโรงควรจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นถึงจะถูก ใครจะรู้ว่าวันนี้ซูหลีจะก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น กลับทำให้มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นพวกเขาทั้งสองคน


 


 



 


 


ทางด้านซูหลีวิ่งเหยาะๆ ตามหลังฉินเย่หานตลอดทาง จนเข้าไปยังภายในห้องทรงอักษร


 


 


ทันที่ที่เข้าไป ซูหลีก็พบกับหวงเผยซานที่กำลังเดินออกไปข้างนอก


 


 


“หวงกงกง!” ซูหลีรีบคว้ามือเขาเอาไว้และเอ่ยว่า “ฮ่องเต้…?”


 


 


นี่นางกำลังถามถึงอารมณ์ของฮ่องเต้อย่างอ้อมๆ


 


 


หวงเผยซานส่ายหน้าอย่างไร้อารมณ์ เพียงแต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาแล้ว ซูหลีก็ทราบทันทีว่าอารมณ์ของฉินเย่หานคงจะไม่ค่อยดีนัก


 


 


นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมาเฮือกหนึ่ง จึงปล่อยมือหวงเผยซานออก และผงกศีรษะให้กับเขา จากนั้นเดินเข้าไปภายในห้องทรงอักษรอย่างยอมรับชะตากรรมของตัวเอง


 


 


ในชั่วขณะนี้ ฉินเย่หานกำลังนั่งอยู่ภายในห้องทรงอักษร มีเขาแต่เพียงผู้เดียว ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติเขากลับไม่หลงเหลืออยู่ภายในสักคน


 


 


ทันทีที่ซูหลีเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจจึงเต้นตึกตักในทันที


 


 


นางรู้สึกว่าฉินเย่หานเจตนาแยกผู้ติดตามข้างกายให้ออกไปจากห้อง ก็เพื่อจะจัดการกับนาง!


 


 


ไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็สามารถหลบหนีออกไปได้ ทว่าครานี้นางไม่สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้


 


 


นางกัดฟันและหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก้าวเท้าเดินเข้าไปคุกเข่าข้างกายของฉินเย่หานด้วยจิตสำนึก และเอ่ยว่า


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์ทรงยังโกรธกระหม่อมหรือไม่ ฝ่าบาท… กระหม่อมมิได้มีเจตนาเช่นนี้!”


 


 


พูดจบนางก็ยื่นมือไปดึงชายเสื้อของฉินเย่หานเอาไว้


ตอนที่ 631 เอาใจ


 


 


ฉินเย่หานหลุบตามองนาง และมองเห็นใบหน้าเจือไปด้วยรอยยิ้มเอาใจของนาง ดวงตากลมสดใสเปล่งประกายแวววาวเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ที่มองเห็นทุกคนถึงกับรู้สึกใจอ่อน


 


 


ที่จริงแล้วหลังจากทำให้นางทรมานมาตลอดเช้านี้ ฉินเย่หานก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าอย่างไรก็ยังมีความโกรธหลงเหลืออยู่ ใครใช้ให้ซูหลีแสดงท่าทางที่ยอมตายเสียดีกว่าจะเข้าไปเป็นสนมในวังหลังเล่า


 


 


ในขณะนี้เมื่อเห็นนางปฏิบัติต่อตนด้วยท่าทีออดอ้อนออเซาะ ฉินเย่หานก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เพียงจ้องมองนางตาเขม็งเท่านั้น


 


 


“ฮ่องเต้ ฝ่าบาท กะ กระหม่อม…” เมื่อคุกเข่ามาตลอดเช้า ที่จริงแล้วซูหลีก็เข้าใจว่าเหตุใดฉินเย่หานถึงโมโห


 


 


ใจความสำคัญก็เป็นเพราะนางปฏิเสธเรื่องเข้าไปเป็นสนมในวังหลัง หากกล่าวว่าเป็นเพราะเรื่องการเป็นสตรีของนาง นางคาดว่าฮ่องเต้คงจะไม่กริ้วถึงขนาดนั้น หากทรงโกรธขนาดนั้นจริงๆ ทำไมเมื่อวานยังจะกลืนกินนางอีก


 


 


ไม่ลากนางไปตัดศีรษะเสียเลยเล่า


 


 


สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะเรื่องที่นางไม่รู้จักวางตัวและปฏิเสธเรื่องการเข้าไปอยู่ในวังหลัง


 


 


ดวงตาซูหลีเคลื่อนวูบไหวเล็กน้อย ในใจคอยให้กำลังใจตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน ผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “กระหม่อมเลื่อมใสและศรัทธาฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


คำพูดประโยคนี้คล้ายกับประโยคสารภาพรัก ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องทรงอักษรดีขึ้นกว่าเดิมโดยฉับพลัน


 


 


ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง แววตาสื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจน


 


 


ซูหลีที่ถูกเขามองเช่นนี้ นางรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นกระหน่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดประโยคนี้ของนางหรือเป็นเพราะสายตาของฉินเย่หานสื่อออกมาอย่างตรงไปตรงมาเกินไป


 


 


นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “กระหม่อมไม่สมัครใจเข้าไปอยู่ในวังหลัง มิใช่เป็นเพราะรู้สึกโมโหในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน” เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา แม้แต่ตัวนางเองอดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่ตัวเอง


 


 


นี่เพื่อชีวิตน้อยๆ ของตน แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ไม่ต้องการแล้ว!


 


 


ใครบอกว่าไม่สนใจ! นางให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากรู้หรือไม่!? เพียงแต่บัดนี้ไม้กลายเป็นเรือไปเสียแล้ว[1] นางยังจะสามารถทำอะไรได้อีกหรือจะให้ฆ่าตัวตายเลียนแบบสตรีบริสุทธิ์อะไรพวกนั้นหรือ นางเสียดายชีวิตเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีเรื่องมากมายที่ต้องไปกระทำ ไยจะสามารถตายในเวลานี้ได้


 


 


ยิ่งกว่านั้นอย่างไรนางก็ถือเป็นคนที่มาจากยุคสมัยใหม่ เนื้อเยื่อบางๆ ชั้นนั้นอย่างไรก็ไม่อาจเป็นชีวิตของนางได้ ในเมื่อไม่มีแล้วก็ไม่มีแล้ว


 


 


นางจะสามารถผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร นี่ถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเท่าที่เจอมา


 


 


ในใจซูหลีทราบดีว่า แม้สถานการณ์ตรงหน้าตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมาก ทว่าหากวันนี้นางสามารถทำให้ฉินเย่หานพอใจได้ เช่นนั้นก็คงเป็นการขจัดปัญหาสำคัญในใจออกไปได้ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลว่า เรื่องการปลอมตัวเป็นบุรุษของตนจะทำให้นางต้องตายหรือไม่


 


 


ดังนั้นมีเรื่องดีก็มีเรื่องร้าย หากเปรียบเทียบกันแล้วเรื่องที่ถูกคนกินจนเรียบเมื่อวาน ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้นแล้ว


 


 


“ฝ่าบาททรงทราบดีว่า กระหม่อมเป็นคนที่ไม่มีระเบียบนัก การเข้าไปอยู่ในวังหลังก็เหมือนกับการตัดแขนของกระหม่อมแล้ว นี่…” ซูหลีพูดถึงตรงนี้ก็ชายตามองฉินเย่หาน ภายในดวงตารูปดอกท้อที่งดงามคู่นั้นใสแจ๋ว กิริยาท่าทางที่ปราดเปรียวเป็นอย่างมาก กะพริบตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร


 


 


ฉินเย่หานถูกนางมองเช่นนี้ แม้เบื้องลึกของหัวใจจะมีความโกรธมากขึ้นเพียงใด ก็แสดงความโกรธออกมาไม่ได้


 


 


เขาเพียงมองนางและแค่นเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา ทว่าน้ำเสียงนี้กลับไม่ได้เย็นยะเยียบเฉกเช่นแต่ก่อน


 


 


ซูหลีจึงรู้สึกว่านางเดินมาถูกทางแล้ว


 


 


“นอกจากนี้ ที่กระหม่อมกล่าวว่าจะตอบแทนราชสำนัก ไม่ใช่ข้ออ้าง อย่างเรื่องโรคระบาดฝ่าบาทก็ทอดพระเนตรเห็นแล้ว หากกระหม่อมเข้ามาอยู่ในวังหลัง เช่นนั้นในวันหน้าภายในราชสำนักเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระหม่อมก็มิอาจยื่นมือเข้าไปยุ่งได้ ตั้งแต่อดีตสตรีในวังหลังมิอาจแทรกแซงงานราชการแผ่นดินได้! ฝ่าบาทก็คงจะไม่ริเริ่มเรื่องนี้เพื่อกระหม่อมหรอกกระมัง”


 


 


ซูหลีเอ่ยทุกอย่างให้จบในเวลาเดียว


 


 


ฉินเย่หานมองนางด้วยแววตาที่อ่อนลง แม้จะรู้ว่าเนื้อความส่วนใหญ่ในคำพูดของนางนี้ล้วนเพื่อทำให้ตนเองหลุดพ้น ทว่านางที่ฟุบหน้าลงที่บนเข่าของเขาด้วยท่าทางที่ว่านอนสอนง่าย กลับทำให้เขาอารมณ์ดีมาในทันที


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 632 สังคมศักดินาที่ชั่วร้าย


 


 


นางเป็นคนเฉลียวฉลาดโดยแท้!


 


 


“ฝ่าบาท…” เมื่อเห็นฉินเย่หานไม่เอ่ยอะไร เพียงแต่มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงจำนวนไม่น้อย ซูหลีก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศภายในห้องทรงอักษรรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พิงท่อนขาของฉินเย่หานและลุกขึ้นมา


 


 


จากนั้นนางจึงหลับตาของตนเองลง คล้ายกับตัดสินใจอะไรบางอย่างมิปาน นางพลันโน้มตัวเข้าใกล้ฉินเย่หาน


 


 


“จุ๊บ!” ริมฝีปากอ่อนนุ่มของซูหลีสัมผัสกับริมฝีปากของฉินเย่หานครู่หนึ่ง จนเกิดเป็นเสียงดังขึ้น


 


 


ใบหน้าของซูหลีแดงระเรื่อคล้ายกับจะระเบิด นางไม่เคยกระทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลยตลอดที่ใช้ชีวิตมาสามชาติแล้ว! ขายหน้านัก! ขายหน้าจนถึงที่สุด!


 


 


สังคมศักดินาที่ชั่วร้ายนี้ ถูกคนกลืนกินเข้าไปแล้ว ยังต้องพูดออดอ้อนให้เขาดีใจอีก ซูหลีนั้นรู้สึก…


 


 


สมองของนางสับสนไปหมด ในชั่วพริบตาเดียวก็ฉุกคิดถึงเรื่องนู่นนี่ได้จำนวนไม่น้อย ขณะที่นางกำลังจะถอยออกมา พลันรู้สึกว่าช่วงเอวของตนถูกกระชับไว้แน่น ซูหลีเริ่มรู้สึกเกร็ง จากรีบลืมตาขึ้นมองที่ฉินเย่หาน


 


 


ทว่ากลับเห็นริมฝีปากของเขาที่กดลงบนใบหน้าของนาง


 


 


จิตใต้สำนึกของซูหลีอยากจะหลบเขา ทว่าความคิดนี้พาดผ่านเข้ามาในใจเพียงพริบตาเดียว เขาก็กดร่างของนางลงไปเสียแล้ว


 


 


ช่างเถอะ ในเมื่อมีอำนาจสู้เขาไม่ได้ อย่างไรก็ต้องยอมก้มหัว


 


 


ทว่าจุดจบของการก้มหัวก็คือ…


 


 


“อื้อ!” จุดที่อ่อนนุ่มบางส่วนของนางถูกเขากอบกุมไว้ในมือ


 


 


ซูหลีอยากจะผลักมือเขาออกทันที ทว่าก็สายไปเสียแล้ว


 


 


กว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ถูกคนตรงหน้ากดลงบนโต๊ะมังกรสีดำและกินนางอย่างพึงพอใจเสียแล้ว


 


 


เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ภายในห้องทรงอักษรก็เกิดเสียงคลุมเครือต่างๆ นานาดังขึ้น


 


 


ซูหลีก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ ได้พักผ่อนในช่วงเช้าแล้ว นางถูกเขาแยกร่างและถูกจับกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกในขณะที่นางรู้สึกตัวดี


 


 


ด้านนอกห้องทรงอักษร หวงเผยซานที่เฝ้าประตูอยู่นั้นหูผึ่ง สามารถได้ยินเสียงซูหลีส่งเสียงร้องหรือไม่นะ


 


 


เขากล้าฟังเพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นจึงรีบเอาศีรษะของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าที่จะรับฟังต่อ


 


 


ทว่าในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลง


 


 


อย่างไรซูหลีก็มีวิธีจัดการเรื่องนี้ ฮ่องเต้ทรงโกรธเสียขนาดนี้ กลับถูกนางปลอบประโลมจนสงบลงได้ แม้จะต้องใช้วิธีนี้ก็ตาม…


 


 


หวงเผยซานไอออกมาเบาๆ มีบางเรื่องที่ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ขอเพียงแค่มีวิธี เช่นนั้นก็เป็นวิธีที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ


 


 


การเคลื่อนไหวภายในยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฉินเย่หานส่งเสียงทุ้มต่ำเรียกข้ารับใช้เข้ามา หวงเผยซานก็เกือบจะหลับที่ด้านนอกแล้ว


 


 


เมื่อเขาจะรู้สึกตัว ก็ถึงได้เรียกให้คนนำน้ำร้อนเข้าไป


 


 


เพราะอุปนิสัยของฉินเย่หานเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าเหลือคนคอยปรนนิบัติเอาไว้ภายใน จึงต้องรอคนด้านในเอ่ยว่าเข้ามาได้ เขาถึงสามารถนำคนเข้าออกภายในได้


 


 


ขณะที่หวงเผยซานเข้าไป ซูหลีก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ใบหน้าของนางนั้นแดงก่ำประหนึ่งมีเลือดไหลออกมามิปาน


 


 


หวงเผยซานไม่กล้ามองซูหลีมากนัก ทว่าซูหลียิ่งก้มศีรษะจับชายเสื้อของตนเอง


 


 


สวรรค์ แม้แต่มือของนางตอนนี้ก็ยังสั่นไม่หยุด!


 


 


ฉินเย่หานที่เย็นชาและเยือกเย็น ไยเมื่อเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ กลับคล้ายกับสุนัขจิ้งจอกก็มิปาน!


 


 


อีกทั้งยังเป็นสุนัขจิ้งจอกที่หิวโซ!


 


 


เมื่อครู่ซูหลีรู้สึกว่าตนใกล้จะหมดสติไปแล้ว เขาก็ยังไม่เสร็จสักที


 


 


นี่ช่าง…


 


 


ในใจของซูหลีรู้สึกแปลกๆ นางนั้นมิได้เข้าวังหลัง ทว่ากลับกระทำเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ต่างกับนางสนมในวังหลังเลยสักนิด


 


 


ไม่ว่าอย่างไรในใจนางก็รู้สึกเสียใจ ทว่าอย่างไรในชาตินี้นางก็ไม่คิดจะออกเรือน บัดนี้กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ถือว่ามีแต่เรื่องไม่ดี เพียงแต่ในใจของนางมีความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป ทำให้ใจนางรู้สึกว่างเปล่า ไม่เป็นตัวของตัวเองเป็นอย่างมาก


 


 


“หวงเผยซาน”


 


 


“บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ!” ขณะที่กำลังครุ่นคิด กลับเห็นฉินเย่หานเดินออกมา


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไม้กลายเป็นเรือ เป็นสำนวน หมายถึง เรื่องราวมันเสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้


ตอนที่ 633 ใต้เท้าเซ่าซือ[1]ขั้นหนึ่งระดับล่าง!


 


 


ทันทีที่ซูหลีปรับสีหน้าได้ก็เหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างอดไม่ไหว


 


 


“เตรียมพู่กันกับหมึก” ใบหน้าของฉินเย่หานไม่มีความทุกข์ร้อน ดวงตาที่มืดครึ้มคู่นั้นขณะที่หยุดอยู่ที่ร่างของซูหลี กลับมีกลิ่นอายบางอย่างเพิ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ซูหลีถูกเขามองเช่นนี้ หัวใจจึงสั่นสะท้าน


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานรีบเดินเข้ามา ฝนหมึกและส่งพู่กันให้ฉินเย่หานอย่างกระตือรือร้นยิ่ง


 


 


ดวงตาลุ่มลึกของฉินเย่หานคู่นั้นจ้องที่ซูหลีพริบตาหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบพู่กันขึ้นมา และเริ่มตวัดเขียนตัวอักษร


 


 


หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาจึงวางพู่กันในมือลง และนำสิ่งที่เขียนเสร็จส่งต่อให้กับหวงเผยซาน


 


 


หวงเผยซานรับมาแล้วก็มองดูแวบหนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างมีความหมายลึกซึ้ง


 


 


ทว่าเขาเป็นคนเฉลียวฉลาด อีกทั้งไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมา เพียงจ้องมองที่พระราชโองการครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มแย้มให้กับซูหลีและเอ่ยว่า


 


 


“ยินดีกับถ้านฮวาซูด้วย อ้อ ไม่สิ ควรจะเป็นใต้เท้าซูแล้ว!”


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงอ้ำอึ้ง ใต้เท้าซูหรือ?


 


 


นางเหลือบตามองพระราชโองการในมืออย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าเผยความฉงนสงสัยออกมา


 


 


“ใต้เท้าซูดูเองเถิดขอรับ” ที่นี่ไม่มีผู้อื่น เมื่อเห็นว่าฉินเย่หานไม่สั่งให้หวงเผยซานอ่านเนื้อความในพระราชโองการ หวงเผยซานจึงส่งพระราชโองการไปตรงหน้าซูหลี


 


 


ให้ซูหลีอ่านเอง


 


 


ทันทีที่ซูหลีชำเลืองมอง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปในทันที


 


 


นี่ฉินเย่หานแต่งตั้งนางเป็นขุนนางแล้ว ในพระราชโองการเขียนอย่างชัดเจน โดยการชมนางไม่กี่ประโยคก่อน จากนั้นจึงกล่าวว่าวิธีการรักษาโรคระบาดของนางใช้ได้ผล เป็นคณูปการที่ยิ่งใหญ่ จึงแต่งตั้งนางเป็นเซ่าซือ ขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง!


 


 


ซูหลีดูแล้ว ในใจจึงรู้สึกระแวง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่คำว่าขั้นหนึ่งระดับล่าง ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจแล้ว


 


 


ขั้นหนึ่งระดับล่างคือตำแหน่งอะไรกัน


 


 


จะว่าไปแล้ว บิดานางในอดีตก็คลุกคลีอยู่ในสนามของขุนนางหลายสิบปี ก็เป็นแค่เสนาบดีซื่อหลางกรมขุนนางฝ่ายซ้ายขั้นสามเท่านั้น ทว่าทันทีที่นางเข้ามาในราชสำนัก แม้จะได้ตำแหน่งขั้นหนึ่งระดับล่าง นี่ช่างชวนให้หมดคำพูดโดยแท้


 


 


แน่นอนว่าแม้จะอยู่ในตำแหน่งขั้นหนึ่งระดับล่าง ทว่าตำแหน่งเซ่าซือนั้น หากพูดอย่างจริงจังแล้ว แทบจะไม่มีอำนาจอะไรทั้งสิ้น


 


 


เซ่าซือ เซ่าฟู่ เซ่าเป่า ที่จริงแล้วก็คือตำแหน่งไต้ซือ ไท่ฟู่ ไท่เป่า เป็นตำแหน่งขุนนางผู้ช่วย ทว่าตำแหน่งไท่ซื่อขั้นหนึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางใหญ่ เช่นนั้นก็จำเป็นต้องมีไท่จื่อ[2] ถึงจะสามารถมีไต้ซือได้


 


 


ตำแหน่งไต้ซือ แค่เห็นชื่อก็พอจะรู้ความหมาย ก็คือราชครูฝ่ายวังตะวันออกของไท่จือนั่นเอง


 


 


ทว่าบัดนี้ฮ่องเต้ยังเยาว์วัย อีกทั้งมิมีพระราชโอรส


 


 


ดังนั้นพวกไท่ซือ ไท่เป่าก็แค่ตำแหน่งว่างๆ เท่านั้น ฟังแล้วดูน่าฟัง ทว่าหากพูดอย่างจริงจังแล้ว ยังไม่ดีเท่าตำแหน่งเสนาบดีกรมขุนนางของบิดาซูหลี


 


 


ทว่าไต้ซือป๋ายนั้นมิเหมือนกัน แม้เขาจะเป็นไต้ซือ ทว่าสกุลป๋ายมีชื่อเสียงและอิทธิพลมาก อีกทั้งเขายังเคยอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทมาก่อน แม้องค์รัชทายาทพระองค์นั้นจะถูกปลดแล้วก็ตาม ทว่าหลังจากนั้นเขาก็เป็นคนที่มีสายตาคมกริบที่สามารถมองเห็นในสิ่งที่ทุกคนมองข้าม นั่นก็คือหลิงอ๋อง ซึ่งก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เขาจึงมีอนาคตเป็นเช่นนี้


 


 


ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสองรุ่น แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่ผู้อื่นเทียบไม่ติด


 


 


ส่วนซูหลีที่เป็นเซ่าซือนั้น…


 


 


ซูหลีหรี่ตาลงเล็กน้อย นี่ช่างทำให้นางเชื่อมโยงและคิดถึงอีกคนได้อย่างง่ายๆ นั่นก็คือจี้เหิงหราน


 


 


จี้เหิงหรานคือเซ่าฟู่ ซึ่งแตกต่างจากตำแหน่งเซ่าซือของซูหลีไม่มากนัก ทว่าเขาเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจอย่างแท้จริง


 


 


บัดนี้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งนางเป็นเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง เบื้องลึกจักต้องมีความหมายอะไรบางอย่าง นี่เป็นสิ่งที่สามารถทำให้ผู้อื่นไปตริตรองอย่างละเอียดได้คำรบหนึ่ง


 


 


สรุปแล้ว นี่ก็ถือเป็นเกียรติอันดับสูงสุด


 


 


ทว่าซูหลีนั้นคู่ควรแล้ว


 


 


ไม่ใช่เพราะนางขึ้นชื่อว่าเป็นบัณฑิตถ้านฮวา ทว่าเป็นเพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โรคระบาดที่ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมได้มาโดยตลอด กลับถูกนางแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย


 


 


อีกทั้งหากรอดูต่อไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อ โรคระบาดสามารถควบคุมได้จริงๆ นางก็คงมีชื่อเสียงเลื่องลือไปอีกยาวนาน


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คณูปการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ มอบตำแหน่งเซ่าซือให้แก่นางก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว!


 


 


กอปรกับนางไม่ได้อาศัยแค่วิธีการควบคุมโรคระบาดอย่างเดียว นางยังเป็นผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางอย่างเป็นทางการด้วย!


 


 


 


 


——


 


 


[1] เซ่าซือ เป็นชื่อตำแหน่งขุนนาง จัดเป็นตำแหน่งราชครู


 


 


[2] ไทจื่อ เป็นชื่อตำแหน่ง หมายถึงองค์รัชทายาท


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 634 จำคำพูดของเราไว้ให้ดี


 


 


กอปรกับสถานะนี้ของนาง จึงไม่ถือว่าเป็นการให้อะไรนางเกินกว่าเหตุ


 


 


ทว่านางถือว่าเป็นผู้ที่มีอายุน้อย ตำแหน่งเซ่าซือนี้ หากพูดอย่างจริงจังแล้ว หากฮ่องเต้ทรงมิใช้นางทำเรื่องสำคัญแล้วละก็ นี่ก็คงเป็นแค่ตำแหน่งขุนนางที่น่าฟังก็เท่านั้น


 


 


ดังนั้นการให้ตำแหน่งนี้จึงถือว่าเหมาะสมแล้ว


 


 


ข้อแรกถือเป็นการตอบแทนคณูปการของซูหลี ข้อสองเป็นการไม่ให้นางยืนอยู่ตำแหน่งสูงเกินไป


 


 


ส่วนเรื่องจะสามารถใช้ทำเรื่องสำคัญได้หรือไม่นั้น…


 


 


หวงเผยซานกวาดตามองไปยังบนโต๊ะมังกรที่ถูกเก็บเรียบร้อยอย่างห้ามไม่ได้ เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะให้พูดอะไรให้มากความอีก


 


 


“ใต้เท้าซู ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก!” หวงเผยซานมองไปยังซูหลีที่รับพระราชโองการไว้โดยไม่พูดไม่จา เขาจึงพูดเตือนสติซูหลีด้วยเสียงแผ่วเบา


 


 


ซูหลีดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบคุกเข่าลงและเอ่ยว่า “กระหม่อมมิมีทางทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”


 


 


พูดจบ นางก็คำนับลงไปที่พื้น


 


 


การแสดงความขอบคุณนี้ ออกมาจากใจจริงของนาง


 


 


นางกลายเป็นซูหลีเกือบจะปีหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ก้าวเดินแต่ละก้าวจนมาถึงวันนี้


 


 


ตำแหน่งเซ่าซือนี้แม้จะไม่มีอำนาจอะไร ทว่าทุกคนก็ทราบดีว่า นี่เป็นตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ขอเพียงมีตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่นี้ และสามารถที่อยู่ในแวดวงขุนนาง นั่นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว


 


 


เมื่อมีตำแหน่งเช่นนี้แล้ว นางอยากจะพลิกคดีสกุลหลี่เพื่อต้องการล้างมลทินให้กับคนจำนวนหนึ่งร้อยสี่สิบสามคน ก็คงกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


ฉินเย่หานได้ยินดังนั้นจึงมองนางด้วยแววตาลุ่มลึกปราดหนึ่ง ในสายตานั้นเผยความคลุมเครือบางอย่างที่ทำให้คนยากจะเข้าใจ เขาพลันเอ่ยขึ้นว่า “แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็อย่าลืมคำพูดที่เราเคยพูดไว้!”


 


 


คำพูด? คำพูดอะไรกัน


 


 


ซูหลีครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัว เมื่อครู่เขากดนางไว้บนโต๊ะมังกร และทั้งบีบบังคับให้นางเอ่ยว่า นางเป็นคนของเขา…ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ทว่านางก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีก นางเพียงก้มศีรษะใช้น้ำเสียงตอบรับเขาโดยไม่รู้สึกตัว มิหนำซ้ำเขายังไม่กล้าเอ่ยอะไรมาอีก


 


 


ฉินเย่หานได้ยินดังนั้น ความรู้สึกภายในดวงตาก็อ่อนโยนลงถึงหลายส่วน


 


 



 


 


“นายน้อย!” ชุยตานเห็นซูหลีที่เดินออกมาจากภายในวัง เขาจึงรีบเข้าไปต้อนรับทันที


 


 


คราที่ซูหลีเข้าวัง เป็นระยะเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน จนกระทั่งตอนนี้ถึงจะออกมา จึงทำให้ผู้อื่นรู้สึกเป็นกังวล


 


 


เมื่อคืนมีขันทีผู้หนึ่งบอกเขาว่า ซูหลีเมาสุราแล้วคงต้องนอนภายในวังหลวงหนึ่งคืน


 


 


ในใจเขารู้สึกเป็นกังวลมาก ทว่าเขาไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ จึงถูกบังคับให้ออกไปจากตรงนี้ วันนี้เขาก็มาที่นี่แต่เช้า และรออยู่ที่นี่ตลอดทั้งช่วงเช้าจนกระทั่งถึงบัดนี้ พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วซูหลีเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้น


 


 


ไม่รู้ว่าเรื่องเกิดอะไรขึ้นกัน


 


 


“นายน้อย ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ชุยตานมองซูหลีอยู่นาน กลับเห็นซูหลีที่ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยมาก ขณะที่เดินเหินยังมีความเกียจคร้านอยู่บ้าง ในทางกลับกันใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มนั้นกลับใสผ่องราวกับจะบีบน้ำออกมาได้ก็มิปาน ช่างทำให้ผู้ที่จ้องมองเกิดความไหวหวั่นเป็นอย่างมาก


 


 


แม้แต่ชุยตานยังแอบรู้สึกว่า ซูหลีนั้นดูมีเสน่ห์กว่าเมื่อวานตอนเช้าก่อนเข้าไปในวังอยู่หลายส่วน


 


 


เขาสะบัดศีรษะไปมา จากนั้นรีบสะบัดความคิดแปลกประหลาดนั้นออกไปจากสมองของตน


 


 


“ไม่เป็นไร กลับกันเถอะ” ซูหลีโบกมือไปมา ถอนหายใจลากยาว นางรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ทว่าความเหน็ดเหนื่อยของนางไม่สามารถพูดกับผู้อื่นได้


 


 


หากชุยตานรู้ว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านมานางทำเรื่องอะไรในวังหลวงมาแล้วบ้าง เกรงวาคงจะตกใจจนคางร่วงหล่น


 


 


ซูหลีก็ไม่อยากเอ่ยถึงเช่นกัน สุดท้ายเรื่องนี้ก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ในเมื่อนางได้สิ่งที่ตนอยากได้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องดีกระมัง


 


 


“…ขอรับ” ชุยตานเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของนาง คล้ายกับว่าแม้แต่ตอนเปิดปากพูดก็ยังรู้สึกเมื่อยล้า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไรอีก เขาเพียงประคองนางขึ้นรถม้าเท่านั้น


 


 


จากนั้นขับรถม้าออกจากวังหลวง


 


 


เมื่อเดินทางไปครู่หนึ่ง ซูหลีพลันสั่งให้ชุยตายกลับหัวรถม้าไปทางสำนักเต๋อซั่น


 


 


ชุยตายก็ไม่ถามอะไรมาก เพียงทำตามที่ซูหลีสั่งการ


ตอนที่ 635 กลับสู่สำนักเต๋อซั่น


 


 


หากอิงจากข้อเท็จจริงแล้ว ซูหลีสอบติดขุนนางแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาที่สำนักเต๋อซั่นอีก


 


 


ตั้งแต่สำนักเต๋อซั่นก่อตั้งมาก นางเป็นคนแรกที่สอบผ่านการสอบเคอจวี่


 


 


ซึ่งทำให้คนทั้งสำนักเต๋อซั่นล้วนดีใจโดยแท้


 


 


ทว่านี่มีความนัยว่า ซูหลีจะหลุดพ้นจากสำนักเต๋อซั่นและกลับไปอยู่ที่จวนแล้ว


 


 


นางพลันฉุกคิดได้ว่า อยากจะถือโอกาสใช้เวลาไม่กี่วันนี้ไปที่สำนักเต๋อซั่นสักครั้งหนึ่ง เพื่อนำของที่เหลืออยู่ที่นั่นกลับมา และดูสถานที่ที่นางอาศัยจนใกล้จะครบปีปราดหนึ่ง


 


 


หากพูดอย่างจริงจัง เวลาที่ซูหลีอยู่ในสำนักเต๋อซั่น ส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ความสุข


 


 


ได้รู้จักสหายจำนวนไม่น้อย


 


 


แม้คนเหล่านั้นจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญมีชื่อเสียงในเมืองหลวง ทว่าหลังจากใกล้ชิดกับพวกเขาแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่าพวกเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกสำนักฉยงสือที่โอ้อวดว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเลย อีกทั้งยังเที่ยงตรงกว่าคนเหล่านั้นเสียด้วย


 


 


ซูหลีรู้สึกชื่นชอบสำนักเต๋อซั่น


 


 


แม้ในตอนแรกนางจะมาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงก็ตาม


 


 


“เอ๋!” เมื่อรถม้าหยุดเคลื่อนตัว ซูหลีจึงเดินลงจากรถม้าและเข้าไปภายในสำนัก


 


 


เวลานี้สีท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว ทั่วทุกสารทิศนั้นปกคลุมไปด้วยความมืด ภายในสำนักเต๋อซั่นนั้นดูเงียบสงัดมาก


 


 


ซูหลีมาเยือนอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ ก็ไม่สร้างความตกใจและรบกวนผู้อื่น นางมองสำนักเต๋อซั่นที่เงียบสงัดในยามค่ำคืนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินกลับเรือนขาวของตนเองไป


 


 


วันนี้นางเหนื่อยเหลือเกิน นางถูกฉินเย่หานกระทำเช่นนั้นหลายต่อหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของนางเพิ่งจะเคยได้รับเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก จะทนรับกับเรื่องแบบนี้ได้ที่ไหนกัน ทันทีที่กลับถึงเรือนขาว ซูหลีก็เอนศีรษะหลับไปอีกทันที


 


 


การนอนหลับในครั้งนี้เป็นการหลับค่อนข้างลึก อีกทั้งยังหลับสนิทเป็นพิเศษ


 


 



 


 


ทันทีที่นางตื่นขึ้น ดวงตะวันที่อยู่นอกหน้าต่างก็เพิ่งเริ่มขึ้น ซูหลีหรี่ตาลงอย่างไม่คุ้นชิน เมื่อไม่มีไป๋ฉินและเย่ว์ลั่วติดตามอยู่ข้างกาย การรู้สึกตื่นนี้ถึงเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่นางไม่ได้ทำมานานแล้ว


 


 


นางลุกขึ้นนั่งบนเตียงคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้ลุกขึ้นแต่งตัวและมัดผม จากนั้นก็เดินไปที่สำนักเต๋อซั่น


 


 


“เอ๋ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ ซูหลีถูกแต่งตั้งเป็นเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่างอย่างนั้นหรือ”


 


 


“นี่ยังสามารถจะเป็นเรื่องเท็จได้อีกหรือ ข้าได้ยินมาว่าเช้าวันนี้มีคนในวัง นำของกำนัลไปส่งที่จวนสกุลซูแล้ว”


 


 


“เฮ้อ ซูหลีมีอนาคตกว้างไกลโดยแท้ วันก่อนยังถูกฮ่องเต้ลงโทษอยู่เลย หลังจากนั้นอีกวันเขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางเสียแล้ว…”


 


 


ซูหลีเดินไปถึงด้านนอกของห้องเรียนก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน เมื่อฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เนื้อหาในบทสนทนาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของนาง


 


 


นางเลิกคิ้วขึ้นทันใด และฉีกยิ้มออกมาบางๆ ดูเหมือนว่านางไม่อยู่ที่สำนักเต๋อซั่น สหายร่วมห้องเรียนของนางก็ยังคิดถึงนางเป็นอย่างมาก!


 


 


“พูดอะไรกันอยู่ มัวสุมหัวกันกระซิบกระซาบกันอยู่ได้!” เมื่อซูหลีคิดได้เช่นนี้ จึงตวัดพัดในมือของตนให้คลี่ออก และเดินเข้าไปในห้องเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


 


 


“ไม่มีอะไรขอรับ ท่านอาจารย์…” คนที่จับกลุ่มคุยกันเมื่อครู่ ทันใดนั้นก็คล้ายกับนกที่แตกรังมิปาน รีบกระจายออกจากกลุ่มสนทนา


 


 


ที่สำคัญก็คืออาจารย์ผู้สอนในสำนักเต๋อซั่น มีอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นคนหัวสมัยเก่าเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เห็นพวกเขาพูดคุยกัน คำพูดประโยคแรกที่เขาพูดจะเป็นคำพูดที่ซูหลีเอ่ยเมื่อครู่นี้


 


 


ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ทุกคนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และคิดว่าอาจารย์ท่านนั้นมาแล้ว ใครจะคิดว่าทันทีที่แหงนศีรษะจะพบซูหลียืนอยู่ตรงหน้าทุกคน


 


 


“ซูหลี!” หวงฮ่าวเอ่ยอย่างตกใจ “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!? เจ้ายังกล้าสวมรวยเป็นอาจารย์ จิ๊!”


 


 


“สวมรอยเป็นอาจารย์อะไรกัน ใครสวมรอยเป็นอาจารย์กัน พูดจาส่งเดช!” เมื่อซูหลีเลิกคิ้วขึ้น นางก็เอ่ยด้วยความโกรธอย่างไม่ลังเล “หูข้างไหนของเจ้าได้ยินข้าสวมรอยเป็นอาจารย์กัน”


 


 


หากพูดเรื่องการปะทะฝีปากกัน ทั้งสำนักเต๋อซั่นยากจะมีคนต่อกรกับซูหลีได้ หวงฮ่าวรีบหยุดพูด ไม่เอ่ยกับซูหลีให้มากความ


 


 


“ไยจู่ๆ เจ้าถึงโผล่มาที่นี่ได้” จี้ฉินหยุดชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปหาอยู่ข้างกายซูหลีด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา


 


 


“ข้ามาไม่ได้รึ” ซูหลีกวาดตามองเขาปราดหนึ่งและเอ่ยว่า “จะพูดอย่างไร ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักเต๋อซั่นนะ!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 636 มาก่อกวน


 


 


“มาได้สิ เพียงแต่เจ้าเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางมิใช่หรือ เดินทางมาที่นี่ในเวลานี้คงจะไม่เหมาะสมกระมัง” เจียงไห่ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยต่อ


 


 


“ใช่ พวกเรายังคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาแล้ว” แม้แต่คนที่พูดน้อยที่สุดอย่างเซี่ยเสียน ก็ยังพูดเอ่ยเสริมอย่างอดไม่ได้


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงโบกมือไปมา และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จะไม่กลับมาได้อย่างไร แม้ว่าจะออกไปแล้ว เช่นนั้นก็ควรจะเลี้ยงสุราทุกคนเสียก่อน ต้องสนุกกันก่อนถึงจะออกไปได้ มิเช่นนั้นที่ข้าคิดถึงสำนักเต๋อซั่นอยู่ตั้งนาน นั่นมิใช่คิดถึงอย่างเปล่าประโยชน์หรือ”


 


 


ทันทีที่นางเอ่ยเช่นนี้ คนที่อยู่ด้านล่างต่างพากันหัวเราะ


 


 


เดิมทีนางหายหน้าหายตาไปหลายเดือน ทั้งยังสอบผ่านการสอบเคอจวี่อย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำบัดนี้ยังถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางอีก นี่จึงทำให้ผู้คนเกิดความห่างเหิน


 


 


เพียงแต่หลังจากนางมีอนาคตที่เจิดจรัสแล้ว คำพูดเพียงไม่กี่ปะโยคของนางก็เหมือนกับกลับมาเป็นดังแต่ก่อน ตอนที่ทุกคนนั้นมีสถานภาพที่เหมือนกัน


 


 


คนในสำนักเต๋อซั่นจึงผ่อนคลายลง และกลับมาหัวเราะเสียงดังอย่างเป็นธรรมชาติ


 


 


“ดังนั้นเจ้าจะพาพวกเราไปเที่ยวเตร่เมื่อไหร่กัน” ฉินมู่ปิงมองนางและเอ่ยกับนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


 


 


“ถือโอกาสเอาฤกษ์ดีตอนนี้ ก็คือวันนี้” ซูหลีเป็นคนที่ไม่หวั่นเกรงเรื่องใด นางเลิกคิ้วขึ้น ทันทีที่ตบมือก็กำหนดวันเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว


 


 


ทว่าเมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ คนที่อยู่โดยรอบต่างมองหน้ากัน


 


 


นางไม่ต้องเรียนหนังสือที่นี่ต่อไปแล้ว ทว่าพวกเขาไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย หากไม่ใช่เพราะมีเรียน พวกเขาจะปรากฏตัวที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ทำไม


 


 


“ทำไมรึ ไม่กล้าหรือ” ซูหลีชำเลืองมองพวกเขาที่ไม่พูดไม่จา จากนั้นจึงยิ้มบางและเอ่ยอย่างเยาะเย้ย


 


 


“มีอะไรที่ไม่กล้ากัน!”


 


 


“เช่นนั้นก็ไปเถอะ!”


 


 


“พวกเราปีนกำแพงออกไปเที่ยวก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแรก!” คนในสำนักล้วนเป็นคุณชายที่ใช้เงินอย่างสนุกสนาน จะกลัวเรื่องเสียเงินที่ไหนกัน ทุกคนต่างพากันเคาะโต๊ะตกลงในทันที


 


 


“ได้ ข้ารู้แล้วว่าทุกคนไม่รู้สึกกลัว ไปกันเถอะ พวกเราออกไปเที่ยวกัน เรื่องวันนี้เป็นซูหลีที่เป็นคนต้นคิด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง!” ซูหลีตบอกตัวเอง แสดงท่าทีที่กล้าหาญ


 


 


“พอเถิด ไม่ใช่เพิ่งจะถูกลงโทษหรือ”


 


 


“วันไหนเขาไม่ถูกลงโทษ ในใจคงจะคันยิบๆ!”


 


 


“ฮ่าๆๆๆ!”


 


 


ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะซูหลี ทว่ากลับเคลื่อนไหวกันไม่หยุดหย่อน ต่างฝ่ายต่างเก็บข้าวของของตนเอง กลุ่มคนเดินอย่างทะนงองอาจตามหลังซูหลีไป และเดินไปนอกห้องเรียน


 


 


“เจ้า! พวกเจ้า!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เดินออกจากประตูก็พบกับอาจารย์ซึ่งเป็นผู้สอนในวันนี้ อาจารย์ท่านนั้นถูกหมู่คณะของพวกเขาทำให้ตกใจ อาจารย์ชี้ที่พวกเขาอยู่นาน ทว่ากลับไม่เอ่ยอะไรออกมาสักประโยค


 


 


“อาจารย์ วันนี้ทุกคนกำลังอารมณ์ดี ก็ไม่ต้องเรียนอะไรแล้ว พวกเราจะออกไปเที่ยวเล่น อาจารย์ก็พักผ่อนก่อนเถิด ลาก่อนขอรับ!” ซูหลีเดินหยุดอยู่ด้านข้างของอาจารย์ท่านนั้นด้วยใบหน้าทะเล้น จากนั้นพูดอธิบาย…ไม่สิ ควรจะบอกว่านางแจ้งเรื่องนี้กับอาจารย์ท่านนี้ จากนั้นพาทุกคนเดินออกนอกประตูไป


 


 


“เจ้า! ซูหลี! พวกเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” พวกเขาเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงอาจารย์ท่านนั้นไว้ด้านหลัง เมื่อร่างของพวกเขาค่อยๆ หายไป จึงโมโหจนล้มพับไป


 


 


โดยปกติยามซูหลีอยู่ในสำนักเต๋อซั่นถือว่าเป็นคนดื้อรั้น คิดไม่ถึงว่าแม้คนผู้นี้จะไม่ใช่คนของสำนักเต๋อซั่นแล้ว ก็ยังสามารถนำผู้อื่นก่อเรื่องเช่นนี้ได้


 


 


พวกซูหลีเพิ่งจะเดินออกไป ส่วนทางด้านอาจารย์ผู้สอนในสำนักเต๋อซั่นก็พาอาจารย์ผู้ดูแลไปรายงานเรื่องทั้งหมดนี้กับฮ่องเต้


 


 


เขารายงานว่าซูหลีผู้นั้นไม่แยแสกฎเกณฑ์ของสำนักเต๋อซั่น โดยการนำนักเรียนทุกคนมุ่งออกจากสำนักเต๋อซั่นยามกลางวันแสกๆ พวกเขาจะขัดขวาง ก็ขัดขวางเอาไว้ไม่ได้!


 


 


หลายปีมานี้ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้สักครั้งหนึ่ง เหล่าผู้เฝ้ายามของสำนักเต๋อซั่นยังไม่ทันจะมีกิริยาโต้ตอบ พวกซูหลีก็เดินออกไปเสียแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม