เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 627-628
ตอนที่ 627 ให้นางเข้ามา
ยามเช้าเป็นช่วงเวลาประชุมราชกิจพอดี มีเหล่าขุนนางที่สวมชุดขุนนางรวมตัวกันเป็นกลุ่ม พวกเขาพูดคุยไปพลาง เดินไปตำหนักอวิ๋นเซียวที่ใช้หารือเรื่องราชการไปพลาง
ทว่าเมื่อพวกเขามาถึงประตูตำหนักอวิ๋นเซียว ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด
ด้านหน้าของประตูใหญ่มีคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่!
จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องแปลก ตำหนักอวิ๋นเซียวสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เข้มงวดและเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจปล่อยให้คนเข้าออกได้ง่ายๆ
ทว่าการคุกเข่าหน้าประตูตำหนัก…ก็มิใช่คราแรกที่มีเช่นนี้
คราก่อนก็เป็น…ซูหลีผู้ที่สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตอันดับสามก็มิใช่ถูกลงโทษที่นี่หรือ
ทว่าซูหลีผู้นี้ก็มักมีเรื่องแปลกๆ ให้คนงง คนทั่วไปหากถูกฮ่องเต้ลงโทษถึงขนาดนี้ เกรงว่าคงไม่มีอนาคตอะไรแล้ว
ทว่าซูหลีนั้นไม่เหมือนกัน นางไม่เพียงแต่จะมีอนาคต อีกทั้งยังเป็นอนาคตที่ยิ่งใหญ่ มิหนำซ้ำนางยังสอบติดบัณฑิตอันดับสามของการสอบ!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้คนที่เดินไปมาก็อดเกิดความสนใจกับผู้ที่คุกเข่าอยู่มิได้
พวกเขาทนต่อไปไม่ไหวจนต้องเดินเข้าไปดู ครั้งนี้เป็นใครกัน ที่ถูกลงโทษให้คุกเข่าที่นี่
เมื่อเดินเข้าไปมอง…
“ถ้านฮวาซู?” ใบหน้าของซูหลีมีความกระอักกระอ่วน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงฉีกยิ้มประหลาดๆ ให้กับคนที่เดินเข้ามา
ฉินเย่หานให้คนนำนางมาที่นี่ และไม่เอ่ยว่าจะทำอะไรกับนาง เพียงสั่งให้นางคุกเข่าที่นี่เท่านั้น
อาภรณ์ที่นางสวมใส่ยังเป็นอาภรณ์ชุดเมื่อวาน ดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่แตกต่างกับยามปกติก็คือไม่มีผ้าพันหน้าอกไว้ ทำให้นางรู้สึกระแวดระวังอยู่บ้าง
กอปรกับทางนี้มีคนเดินไปมา นางช่าง…
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางคุกเข่าที่นี่ พูดตามข้อเท็จจริง นางควรจะชินได้แล้ว ทว่าวันนี้ร่างกายของนางไม่สบายเป็นอย่างมาก เมื่อคืนนี้ฉินเย่หานคนป่าเถื่อนผู้นั้นเคี่ยวกรำนางเป็นจำนวนไม่น้อย
ในเวลานี้นางรู้สึกเมื่อยเอวปวดหลังระบมไปหมด ที่ใดก็รู้สึกไม่สบายทั้งนั้น
แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ฮ่องเต้ทรงไม่ถ่ายทอดคำสั่งออกมา นางก็ต้องคุกเข่าต่อไป
“ใต้เท้าซู นี่ซูหลีของสกุลท่านสร้างปัญหาอะไรอีกกัน” เรื่องซูหลีคุกเข่าอยู่หน้าประตูนี้ ในชั่วพริบตาเดียวก็เป็นข่าวลือไปทั่ว ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นซูไท่และคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา และมีคนผู้หนึ่งถามเขาอย่างเย้ยหยัน
ใบหน้าของซูไท่เขียวคล้ำ เขาก็อยากรู้เช่นกันว่า สรุปแล้วซูหลีก่อเรื่องอะไรอีก!
ให้กำเนิดบุตรคนนี้ ช่างทำให้อายุขัยของเขามีน้อยลงไปหลายปี ทุกวันเขาต้องถูกซูหลีผู้นี้ทำให้โมโหจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
หากซูไท่รับรู้ว่า บุตรที่ไม่เอาไหนของเขาที่จริงแล้วเป็นสตรี อีกทั้งยังถูกฮ่องเต้จับได้ เกรงว่าเขาคงจะล้มพับหมดสติไปแล้ว
ทุกคนล้วนรู้จักนาง เมื่อเห็นนางแล้วจึงมีทัศนะต่อนางดีกว่าครั้งแรกไม่น้อย จนกระทั่งมีคนพูดหยอกล้อนางหลายประโยค
ซูหลีได้แต่นิ่งเงียบ…
นี่ยังเทียบไม่ได้กับการตัดศีรษะนางทิ้งเสีย!
ไม่ง่ายเลยที่นางทนคุกเข่าจนขุนนางของราชสำนักมาถึงจนครบ ในช่วงที่การประชุมราชกิจยามเช้ากำลังจะเริ่ม ซูหลีค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เอวที่ยืดตรงก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ร่างกายทั้งร่างแน่นิ่งลงไปที่พื้น
นางทั้งรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอนเป็นอย่างมาก นางอยากจะหลับแล้ว ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว
“เรียกนางให้ไสหัวเข้ามา!” ทว่าฉินเย่หานกลับไม่ปล่อยนางไป ซูหลีเพียงผ่อนคลายไม่กี่วินาที ก็ได้ยินเสียงแผดร้องด้วยโทสะดังขึ้น
นางสั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกนี้ ไม่ต้องแหงนศีรษะขึ้นไปมอง นางก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร
น้ำเสียงของฉินเย่หานนี้ ก็ทำให้เหล่าขุนนางตกใจเช่นกัน ในความทรงจำของพวกเขา ฮ่องเต้ทรงมิเคยกริ้วโกรธขนาดนี้มาก่อน
เหอะ เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ซูหลีผู้มีความสามารถในการยั่วยุทำให้ผู้อื่นโมโห นี่ถือว่าไม่มีใครมีความสามารถทำได้นอกจากนางโดยแท้!
“ถ้านฮวาซู ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ท่านเข้าไป” ทางด้านหวงเผยซานก็รีบมาถ่ายทอดคำสั่งของฉินเย่หาน แม้จะตวาดชื่อซูหลีออกมา ทว่าคนที่ตกใจจนหน้าซีดเผือดกลับเป็นหวงเผยซาน
“กระหม่อมน้อมรับบัญชา!”
ตอนที่ 628 ขึ้นมาคุกเข่า
ที่จริงซูหลีได้ยินแล้ว ทว่านางไม่อยากเข้าไป
และไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทรงลงโทษนางอย่างไร…
ในใจของซูหลีมีความเป็นทุกข์และหวาดหวั่น เป็นอีกครั้งที่นางปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนด้วยการก้มหน้ายืดตัวตรงเช่นนี้ หลังจากถูกหวงเผยซานเดินนำเข้าไป นางก็ไม่กล้าเอ่ยคำพูดที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระออกมา เพียงเลิกชุดอาภรณ์ขึ้นและคุกเข่าลงไปทันที
ในตำหนักอวิ๋นเซียวเงียบสงัดเป็นอย่างมาก เส้นสายตาของขุนนางทุกคนเคลื่อนไปที่ร่างของนาง
นอกจากเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผู้สูงศักดิ์ที่เข้าร่วมการสอบเอินเคอ[1]ครั้งนี้อย่างไหวอ๋องฉินม่อโจวอยู่ด้วย
“มาทางนี้!” ขณะที่ซูหลีกำลังก้มหน้าคุกเข่าลงอย่างว่านอนสอนง่าย ทว่ากลับได้ยินเสียงของคนที่อยู่เบื้องบน เอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทันทีใบหน้าของนางกระตุก นางก็มองไปที่หวงเผยซานอย่างไม่รู้ตัว
หวงเผยซานก็จนปัญญาแล้ว เขาเพียงส่งสายตาที่อยากจะช่วยแต่ไม่อาจช่วยอะไรได้ให้แก่นาง
ซูหลีเห็นดังนั้นก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ นางเพียงคลานขึ้นไปทางพระที่นั่งนั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นจริงๆ
ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่เคยมีขุนนางคนใดถูกเรียกมาที่หน้าบัลลังก์มังกรของฮ่องเต้มาก่อน ซึ่งตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นทั่วทั้งตำหนักอวิ๋นเซียว
คนผู้นี้ถูกเรียกให้ไปอยู่เบื้องหน้า ทว่าฉินเย่หานกลับไม่เอ่ยอะไรออกมาสักประโยค เพียงใช้สายตาเย็นชามองซูหลีเท่านั้น
ซูหลีถูกเขามองเช่นนี้จนรู้สึกหวาดกลัวขนลุกซู่ไปหมด นางลุกขึ้นยืนอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อคิดดูแล้วรู้สึกว่านางควรจะนั่งลงจะดีเสียกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ฮ่องเต้ทรงทำตัวประหลาดในเวลานี้ หากนางทำอะไรที่ยุแหย่เขาขึ้นมา เกรงว่าคงจะทำให้ศีรษะของนางหลุดออกจากบ่าในทันที
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูหลีจึงรีบคุกเข่าลงในทันที
“…” ขุนนางทุกคนนิ่งเงียบ
“…” ฉินเย่หานก็เช่นกัน
“หากจะคุกเข่าก็ไปคุกเข่าด้านข้าง!” เมื่อนางคุกเข่าลงเช่นนี้ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองขุนนางทั้งราชสำนัก หรือจะมองนางกันแน่?
“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีรออยู่พักใหญ่ ก็เพียงรอคำพูดเช่นนี้เท่านั้น เขาไม่ได้เอ่ยว่าจะตัดศีรษะนาง และไม่ได้พูดเรื่องตัวตนการเป็นสตรีของตน
เมื่อเปรียบเทียบกับการที่เขาให้นางคุกเข่าเพียงอย่างเดียว นี่ถือว่าไม่เลวมากแล้ว
ดังนั้นทันทีที่ฉินเย่หานเอ่ยคำพูดประโยคนี้ ซูหลีก็รีบคุกเข่าคลานไปที่ด้านข้างอย่างว่านอนสอนง่าย หยุดอยู่ที่ข้างโต๊ะมังกรและคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย
นางนั้นทำตัวว่านอนสอนง่ายแล้ว ทว่าภาพลักษณ์นี้กลับทำให้ผู้ที่มองรู้สึกทะแม่งๆ
ในการประชุมราชกิจยามนี้ มีคนที่ยั่วยุโทสะของฮ่องเต้ และถูกลงโทษโดยการคุกเข่ามาจำนวนนับไม่ถ้วน ทว่ามิเคยเห็นวิธีการคุกเข่าประเภทนี้มาก่อน อีกทั้งยังคุกเข่าอยู่ที่ข้างโต๊ะมังกรของฮ่องเต้
ซูหลีผู้นี้ช่างไม่ธรรมดาโดยแท้ ไม่รู้ว่าท่าทางเช่นนี้ของนางเป็นการได้รับความโปรดปราน หรือไม่ได้รับความโปรดปรานกันแน่
ในใจของเหล่าขุนนางนั้นรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก แม้จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้าและอยู่ในกิริยาท่าทางปกติเกินจะเปรียบ
ทว่าทางด้านหวงเผยซานก็ค่อนข้างจะงุนงงเช่นกัน จนกระทั่งเขาถูกฉินเย่หานใช้สายตาเย็นชาตวัดมองปราดหนึ่ง ในเวลานี้เขาถึงดึงสติกลับมาและรีบเอ่ยว่า
“หากมีเรื่องอะไรก็กราบทูล หากมิมีก็จบการประชุม!”
จู่ๆ ก็เริ่มการประชุมและปิดการประชุมราชกิจเช่นนี้!
เหล่าขุนนางที่อยู่เบื้องล่างรู้สึกประหลาดใจมาก ทว่าแม้จะประหลาดใจอย่างไรคนที่คุกเข่าอยู่ด้านบนก็ไม่ใช่พวกเขา เพียงแต่ด้านบนมีคนเพิ่มขึ้นอีกคน จึงเลี่ยงทำให้ผู้คนเกิดความสนใจมิได้
การประชุมราชกิจยามเช้าก็เป็นเช่นนี้ บรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้ก็เพิ่งเริ่มขึ้น
ขุนนางในราชสำนักก็รายงานเรื่องราชสำนักและว่าราชการกับฮ่องเต้ต่อไป ดูแล้วมิได้แตกต่างกับยามปกติเลยสักนิด
ทว่า…
ขอเพียงฉินเย่หานปรายตาขึ้นมา ก็จะสามารถเห็นผู้ที่คุกเข่าอย่างว่าง่ายอยู่ด้านข้าง
ในตอนแรกก็ยังดีอยู่ หลังของนางยังถือว่าเหยียดตรงอยู่ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานนางก็ไม่สามารถทนคุกเข่าต่อไปได้
เมื่อคืนนางถูกเคี่ยวกรำจำนวนไม่น้อย วันนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่พร้อมกับฮ่องเต้ กอปรกับน้ำเสียงขณะพูดที่ต่ำสูงเป็นจังหวะ ขณะที่ซูหลีคุกเข่าก็เริ่มง่วงหงาวหาวนอนแล้ว!
ในตอนแรกนางยังสามารถควบคุมได้อย่างมีสติ ทว่าผ่านไปไม่นานก็ทนต่อไม่ไหว
——
[1] การสอบเอินเคอ ในราชวงศ์ชิงนอกเหนือจากการสอบธรรมดาแล้ว ในวันเฉลิมฉลองของราชสำนัก จะมีการเปิดสอบพิเศษยังเรียกอีกอย่างว่า ‘การสอบอินเคอ’
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น