ชายาเคียงหทัย 62.1-64.1

ตอนที่ 62-1 พบเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อโดยบังเอิญ

 

 ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยกับเจ้ากรมเยี่ยจะยังคงมีสีหน้าบึ้งตึง แต่เยี่ยหลียังคงเห็นรอยยินดีในแววตาของทั้งคู่อยู่ ดูท่าที่ม่อซิวเหยามารับเยี่ยหลีด้วยตนเองนี้จะทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรบุตรสาวก็แต่งงานออกไปแล้ว ต่อให้ตระกูลเยี่ยโกรธเพียงใดก็คงไม่มีทางให้เยี่ยอิ๋งย้ายกลับมาอยู่ที่จวนให้ตระกูลเยี่ยเลี้ยงดูไปตลอดชีวิตดังเช่นที่เยี่ยหลีกล่าวได้ 


 


 


           ผ่านไปไม่นาน ม่อจิ่งหลีก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย อันที่จริงเยี่ยหลีแทบจำไม่ได้เลยว่าตนเคยเห็นม่อจิ่งหลีมีสีหน้ายินดีเมื่อไร สีหน้านั้นราวกับมีใครติดเงินเขาอยู่หลายร้อยตำลึงเช่นนี้ตลอดเวลา เมื่อเข้ามาข้างใน พอม่อจิ่งหลีเห็นเยี่ยหลีนั่งอยู่จึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเยี่ยอิ๋ง เยี่ยอิ๋งกัดริมฝีปากด้วยความน้อยใจ นางแค่นเสียงเล็กน้อยก่อนเมินหน้าหนีไม่สนใจเขา เจ้ากรมเยี่ยและฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่กระตือรือร้นและให้ความสนใจหมือนแต่ก่อน หวังซื่อหน้าบึ้งหนักยิ่งกว่า หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยไม่ได้ลอบถลึงตาใส่นาง นางคงได้เอ่ยปากถามไปตรงๆ แล้ว 


 


 


           เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ แววตาม่อจิ่งหลียิ่งดูขรึมไป สภาพจิตใจเขาก็ดูจะไม่สู้ดีนัก 


 


 


           อันที่จริงเรื่องการแต่งงานในครานี้ ม่อจิ่งหลี่น่าสงสารเสียยิ่งกว่าเยี่ยอิ๋งเสียอีก ไม่ใช่ตัวเขาสักหน่อยที่คิดอยากจะแต่งงานกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นนั่น หญิงที่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเยี่ยหลีนางนั้นจะรับนางเข้าตระกูลไปทำไมกัน เสด็จพี่ไม่ต้องการนางก็จับยัดมาให้เขาโดยไม่แม้แต่จะถาม พอกลับถึงตำหนักเยี่ยอิ๋งก็อาละวาดกับเขาไม่ได้หยุด องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ไม่รู้จักดีชั่วนั่นยังกล้าไปอาละวาดถึงจวนทูตบอกว่าไม่ยอมแต่งงาน นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน คิดว่าเขาต้องแต่งงานกับนางเท่านั้นหรือ ม่อจิ่งหลีถูกเยี่ยอิ๋งกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นก่อความรำคาญใจจนทนไม่ไหว เขาจึงเข้าวังไปทูลกับเสด็จพี่ว่าเขาต้องการล้มเลิกการแต่งงานไม่แต่งกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นแต่กลับถูกเสด็จพี่ตำหนิเสียยกใหญ่ก่อนตะเพิดออกมา หลังจากนั้นยังถูกเสด็จแม่กับท่านแม่ต่อว่าอีก ยิ่งคิดสีหน้าม่อจิ่งหลีก็ยิ่งแย่ลงไปใหญ่ เจ้ากรมเยี่ยเมื่อเห็นสถานการณ์ดูไม่ดีจึงกระแอมขึ้นเบาๆ “อิ๋งเอ๋อร์ ท่านอ๋องมารับเจ้ากลับตำหนัก เจ้าอยู่คุยกับท่านอ๋องดีๆ ก็แล้วกัน” 


 


 


           เยี่ยอิ๋งจึงได้หันมาทำตาแดงๆ มองหน้าม่อจิ่งหลีอย่างน่าสงสาร “ท่านอ๋อง…” 


 


 


           น้ำเสียงที่แสนจะขมขื่นนั้นทำให้เยี่ยหลีอดขนลุกไม่ได้ ม่อจิ่งหลีเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะดึงเยี่ยอิ๋งเข้ามากอดแนบอก “ไปกันเถิด กลับตำหนักกับข้า” 


 


 


           “ท่านอ๋อง…อิ๋งเอ๋อร์เป็นทุกข์เหลือเกิน…ฮือๆ…” เยี่ยอิ๋งร้องไห้สะอึกสะอื้นกับอกม่อจิ่งหลี ม่อจิ่งหลีกอดเอวเยี่ยอิ๋ง ฟังเยี่ยอิ๋งพร่ำบ่นถึงความทุกข์ใจของตนเงียบๆ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าเขาก็ดูดีขึ้นมาก 


 


 


           “กลับกันเถิด” ม่อจิ่งหลีอุ้มเยี่ยอิ๋งขึ้น เจ้ากรมเยี่ยและฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยพยักหน้า เขาหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่สนใจเยี่ยหลี แต่ในหัวเยี่ยหลีกลับนึกสงสัยว่า ที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้นางยังมองไม่ออกว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยเยี่ยอิ๋งจริงหรือเปล่า หรือเป็นห่วงเป็นใยเพียงใด คงเพราะ…จิตใจของคนหน้าตายนั้นยากจะคาดเดากระมัง แต่ถึงอย่างไรม่อจิ่งหลีที่หน้าตายก็ยังพอหลุดสีหน้าให้เห็นอยู่บ้าง เยี่ยหลีนั่งพิงเก้าอี้เท้าคางคิดเงียบๆ 


 


 


           เยี่ยหลีปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้นางอยู่ต่อของฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยกับเจ้ากรมเยี่ยอย่างอ้อมๆ ก่อนจะพาคนของตนกลับออกจากจวนเจ้ากรม เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลา เยี่ยหลีจึงคิดขึ้นได้ว่าตั้งแต่ตนแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องไปดูจะยังไม่เคยออกไปไหนมาไหนคนเดียวเลย แล้วจึงคิดขึ้นมาได้พอดีว่าซุนหมัวมัวบอกนางทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดม่อซิวเหยา เยี่ยหลีจึงตัดสินใจไปเดินดูว่ามีของขวัญที่เหมาะกับเขาหรือไม่ เมื่อตัดสินใจได้จึงเดินนำชิงหลวนและชิงซวงออกเดินไปยังตลาดที่คึกคักที่สุดของเมืองหลวง 


 


 


           เยี่ยหลีเดินไปตามถนนที่จ้อกแจ้กจอแจ เข้าออกมาหลายร้านแล้วก็ยังเลือกของที่พอใจไม่ได้ เยี่ยหลีคิดหนัก นางไม่รู้ว่าควรให้อะไรเป็นของขวัญจึงจะเหมาะสม ชิงซวงเมื่อเห็นท่าทางคิดหนักของเยี่ยหลีแล้วจึงทำใจกล้าเอ่ยปากถามนางว่า “พระชายา ท่านอยากซื้ออะไรหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีมองสาวใช้ที่ตาโตด้วยความอยากรู้อย่างลำบากใจ นางลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ซุนหมัวมัวบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของม่อซิวเหยา ข้าคิดจะหาซื้อของขวัญให้เขา” ชิงซวงถึงกับกลอกตาใส่นาง “พระชายา ท่านอยากให้ของขวัญท่านอ๋อง จำเป็นต้องมาหาถึงที่ตลาดนี่หรือเจ้าคะ” 


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป “เจ้าจะให้ของที่มีอยู่แล้วหรือ  จะดูไม่ดูไม่จริงใจไปหน่อยหรือไม่” ถึงแม้ของมีค่าในห้องนางจะมีอยู่ไม่น้อย แต่นอกจากภาพวาดและภาพเขียนอักษรแล้ว โดยมากก็เป็นพวกเครื่องประดับของผู้หญิง หรือว่าจะให้นางเลือกภาพวาดหรือภาพเขียนอักษรให้เขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ 


 


 


           ชิงหลวนยกมือปิดปากลอบหัวเราะ กะพริบตาปริบๆ ก่อนพูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋องไม่ได้ขาดของมีค่าเสียหน่อยเจ้าคะ หากพระชายาต้องการแสดงความจริงใจก็ทำของขวัญให้ท่านด้วยตนเองสิเจ้าคะ ต่อให้เป็นแค่ถุงใส่ของเล็กๆ สำหรับท่านอ๋องแล้วคงมีค่าเสียยิ่งกว่าให้ของโบราณอีกนะเพคะ” 


 


 


           “ถุงใส่ของหรือ” 


 


 


           ชิงซวงโบกมือ “ถุงใส่ของจะได้เรื่องอะไร พระชายาเย็บเสื้อให้ท่านอ๋องสักตัวดีหรือไม่เพคะ” 


 


 


           เย็บเสื้อหรือ…เยี่ยหลีก้มลงมองมือของตนเอง ตั้งแต่แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ดูเหมือนนางจะยังไม่ได้จับเข็มกับด้ายอีกเลย เพียงแต่…นี่ดูจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย 


 


 


           “ชายาติ้งอ๋อง?” 


 


 


           เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เยี่ยหลีจึงเตรียมตัวจะกลับตำหนัก แต่กลับมีเสียงหนึ่งจากทางด้านหลังลอยมาขวางไว้ เยี่ยหลีหันไปมองก็เห็นคู่พี่ชายกับน้องสาวลูกพี่ลูกน้องคู่หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน คิดอยากจะพูดว่าโลกช่างกลมเสียเหลือเกิน 


 


 


           “ซื่อจื่อ องค์หญิง” เยี่ยหลีพยักหน้าให้น้อยๆ เป็นการทักทาย เหลยเถิงเฟิงกลับดูเหมือนมองไม่เห็นท่าทีห่างเหินของเยี่ยหลี เขาจึงเดินหน้าเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “บังเอิญจริงเชียว ชายาติ้งอ๋องมาเดินเช่นคนเดียวหรือ” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ชิงหลวน ชิงซวง คารวะซื่อจื่อกับองค์หญิงเสีย” เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อคนนี้ตาบอดหรืออย่างไร ถึงได้ไม่เห็นว่าข้างกายนางยังมีคนเป็นๆ ยืนอยู่อีกสองคน 


 


 


           ปลายหางตาเหลยเถิงเฟิงกระตุกเล็กน้อย “อีกไม่กี่วันข้าน้อยก็จะต้องออกเดินทางกลับซีหลิงแล้วจึงคิดอยากหาซื้อของให้หลิงอวิ๋นเสียหน่อย ไม่ทราบว่า…พระชายาสามารถช่วยข้าได้หรือไม่” 


 


 


           เยี่ยหลีฝืนยิ้มตามมารยาท มองดูพี่น้องสองคนตรงหน้าที่คนหนึ่งดูเป็นกันเองส่วนอีกคนดูเย็นชานัก “เกรงว่าข้าคงช่วยอะไรไม่ได้” 


 


 


           “ได้อย่างไร พระชายาเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทั้งยังเป็นผู้ชนะแห่งงานบุปผานานาพรรณของปีนี้ สายตาท่านจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่” เหลยเถิงเฟิงพูดกลั้วหัวเราะ 


 


 


           เมื่อพูดถึงเพียงนี้แล้ว เยี่ยหลีจึงไม่กล้าปฏิเสธอีก ทำได้เพียงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ซื่อจื่อ องค์หญิง เชิญเถิด” 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นปรายตามองเยี่ยหลี สีหน้าเหนื่อยหน่ายดูไม่เหลือความตื่นเต้นอยู่เลย ดูท่าตั้งแต่ได้รับพระราชทานสมรสเป็นต้นมา นางก็คงอยู่อย่างไม่เป็นสุขนัก แต่ไม่รู้ว่าเหลยเถิงเฟิงใช้วิธีการอะไร ทำให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่มีนิสัยเช่นนั้นยอมเชื่อฟังเขาได้ ทั้งสามคนเดินนำผู้ติดตามไปตามถนน องค์หญิงหลิงอวิ๋นดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้แต่ตอนเดินยังต้องให้สาวใช้ข้างกายคอยประคอง ไม่ให้ไปเดินชนเข้ากับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เยี่ยหลีมองดูเด็กสาวที่ก่อนหน้านี้ฮึกเหิมไม่กลัวใคร ผ่านไปเพียงไม่กี่วันกลับเปลี่ยนเป็นเหมือนต้นโต้วเหมี่ยวที่แห้งเ**่ยวแล้วกระนั้น เยี่ยหลีอาศัยจังหวะช่วงที่เหลยเถิงเฟิงสั่งการให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นไปลองชุด เอ่ยถามขึ้นว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น มองเยี่ยหลีด้วยความสนใจ “พระชายากำลังเห็นใจหลิงอวิ๋นหรือ” 


 


 


          เยี่ยหลีปรายตามองเขา “ซื่อจื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางยังไม่เห็นใจ จะต้องให้คนนอกอย่างข้าเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่องหรือ” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอันใดหรอก ก็แค่เด็กเอาแต่ใจประท้วงอดข้าวเท่านั้นเอง” 


 


 


           ประท้วงอดข้าวงั้นหรือ 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “หวังว่าองค์หญิงคงจะไม่เป็นลมไปในพิธีสมรส” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงมั่นใจเต็มที่หรือจะพูดอีกอย่างก็คือไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขายิ้ม “พระชายาโปรดวางใจ แคว้นซีหลิงของพวกเราไม่มีทางให้เกิดเรื่องเสียมารยาทเช่นนั้นขึ้นแน่นอน ในวันแต่งงาน หลิงอวิ๋นจะต้องเป็นเจ้าสาวที่เจิดจรัสแน่นอน” เยี่ยหลีเมินหน้าไปมองสำรวจเครื่องประดับในร้าน นางไม่ชอบคนอย่างเหลยเถิงเฟิงนี่เลยแม้แต่น้อย นางไม่เชื่อว่าเหลยเถิงเฟิงจะไม่รู้ว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นเมื่อแต่งงานกับม่อจิ่งหลีมาอยู่ที่ต้าฉู่แล้วจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง เขาเพียงไม่สนใจเท่านั้น คนที่สามารถผลักลูกพี่ลูกน้องของตนไปสู่เส้นทางอันมืดมนได้อย่างหน้าตาเฉย ทั้งยังสามารถยิ้มและบอกว่าข้าทำเพื่อตัวนางได้เช่นนี้ จริงๆ แล้วเลือดเย็นและไร้หัวใจเสียยิ่งกว่าม่อจิ่งหลีเสียอีก เหลยเถิงเฟิงเห็นการเมินหน้าหนีของเยี่ยหลีอย่างชัดเจน เขายกยิ้มมุมปากก่อนพูดกับเยี่ยหลีว่า “ดูเหมือนชายาติ้งอ๋องจะมีสิ่งใดอยากชี้แนะข้าน้อยหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีปรายตามองเขาเรียบๆ “เปล่า ข้าไม่เคยอยากให้คำชี้แนะกับคนแปลกหน้า” 


 


 


           “คนแปลกหน้าหรือ” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะเสียงหลง “จะเป็นคนแปลกหน้าไปได้อย่างไร จะว่าไป…ของขวัญแต่งงานของข้าน้อย ติ้งอ๋องกับพระชายาพอใจหรือไม่” 


 


 


          เยี่ยหลีตอบว่า “กระบี่หลั่นอวิ๋นมีความหมายกับตำหนักติ้งอ๋องมาก จะไม่พอใจได้อย่างไร มีแต่จะลำบากซื่อจื่อเท่านั้น” 


 


 


           “ไม่เลย ไม่เลย…” เหลยเถิงเฟิงส่ายหน้ายิ้มๆ “กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นของขวัญให้พระชายา ส่วนของขวัญแสดงความยินดีของติ้งอ๋องกับพระชายานั้น ข้าน้อยให้คนนำไปให้ที่ตำหนักติ้งอ๋องในวันรุ่งขึ้นต่างหาก หรือว่าพระชายาจะไม่ได้รับ” 


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จ้องเหลยเถิงเฟิงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ซื่อจื่อช่างมีฝีมือยิ่งนัก ภาพวาดชื่อดังเช่นนั้น มีตั้งไม่รู้กี่คนที่คิดอยากได้แต่ไม่ได้ ซื่อจื่อกลับนำมาให้คนอื่นง่ายๆ” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ “ข้าน้อยเป็นคนหยาบกระด้าง ภาพวาดชื่อดังเช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่ละเอียดอ่อนจึงจะสามารถชื่นชมได้มิเช่นหรือ ดูท่า…ท่านติ้งอ๋องกับพระชายาคงจะพอใจมาก” เยี่ยหลีจ้องหน้าเขา แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น “ซื่อจื่อใส่ใจเช่นนี้ ข้ากับท่านอ๋องจะไม่พอใจได้อย่างไร จะว่าไปภาพวาดหญิงงามแห่งต้าฉู่ของหานหมิงเย่ว์นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียนานแล้ว เมื่อมีโอกาสได้เห็นรูปโฉมของยอดหญิงงามในอดีตเช่นนั้ ถือเป็นบุญวาสนาของเยี่ยหลีแล้ว” 


 


 


           “เกรงใจแล้ว” เหลยเถิงเฟิงกล่าว กึ่งยิ้มกึ่งบึ้งมองหน้าเยี่ยหลี “พระชายา ข้าน้อยไม่เชื่อว่าพระชายาจะไม่รู้ว่าหญิงในภาพคืออดีตคู่หมั้นของติ้งอ๋อง” 


 


 


           เยี่ยหลีมองหน้าเขา “ดังนั้น ที่ซื่อจื่อมอบภาพนั้นให้ก็เพื่อให้เยี่ยหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือ” 


 


 


           “มิกล้า” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ “พระชายามีทั้งความสามารถและความงาม เถิงเฟิงชื่นชอบยิ่งนัก จะกล้ามีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่…พระชายาก็ควรยอมรับว่า บางครั้ง…การไม่ได้มา ถึงเป็นเรื่องดีที่สุด มิใช่หรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ในโลกนี้มีของที่ไม่สามารถได้มาอยู่มากมาย ความคิดเช่นนี้ของซื่อจื่อจึงมิอาจมีได้” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะขำขัน “มีอะไรที่มิอาจมีได้กัน ข้าน้อยคิดว่าขอเพียงอยากได้ก็ควรจะจับไว้ให้มั่นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มิเช่นนั้นแล้วหากให้ผู้อื่นได้ไปโดยง่ายจะไม่มาคิดเสียใจภายหลังหรือ” 


 


 


          เยี่ยหลีหลุบตาลงจิบชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “องค์หญิงใกล้จะออกมาแล้ว ซื่อจื่อแน่ใจว่าจะพูดคุยไร้สาระกับข้าที่นี่หรือ” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “พระชายาเป็นคนตรงไปตรงมาดีจริง เถิงเฟิงยังสู้ไม่ได้” 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว มองหน้าเขานิ่งไม่พูดอะไร เหลยเถิงเฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีคน…อยากให้ข้าน้อยมาบอกพระชายา อีกอย่าง ข้าเองก็มีเรื่องที่อยากจะถามพระชายาเช่นกัน” 


 


 


           “ข้ารอฟังอยู่” 


 


 


           “มีคนให้ข้ามาบอกพระชายาว่า…ของของผู้อื่นถึงอย่างไรก็เป็นของของผู้อื่น” เหลยเถิงเฟิงยิ้มมองหน้าเยี่ยหลี 


 


 


           เยี่ยหลียังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน “ประโยคนี้…ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับของขวัญของซื่อจื่ออย่างไร” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงยักไหล่ “มิอาจรู้ได้ ข้าน้อยเพียงแค่รับหน้าที่มาบอกท่านเท่านั้น อีกอย่าง พระชายาไม่อยากฟังสิ่งที่ข้าน้อยต้องการจะถามหรือ” 


 


 


           “ซื่อจื่อเชิญพูดได้เลย” 


 


 


           “เมื่อสักครู่ข้าน้อยได้พูดไปแล้ว…ว่าข้าน้อยชื่นชอบพระชายามาก ไม่รู้ว่า…พระชายาสนใจอยากจะไปท่องเที่ยวที่แคว้นซีหลิงบ้างหรือไม่” 


 


 


           แววตาเยี่ยหลีขรึมลงทันที นี่นางกำลังถูกเกี้ยวหรือ หรือว่าเหลยเถิงเฟิงคิดว่าการลักลอบพาภรรยาติ้งอ๋องหนีไปเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจกันแน่ นางจ้องหน้าเหลยเถิงเฟิงนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนถอนหายใจน้อยๆ “ซื่อจื่อ…ถึงแม้ข้าจะสนใจอยากไปเที่ยวที่แคว้นซีหลิง แต่เกรงว่า…” 


 


 


           “เกรงว่าอะไรหรือ” เหลยเถิงเฟิงแววตานิ่งลึกยากจะคาดเดา 


 


 


           “เกรงว่า…ข้ายังไม่ทันก้าวเข้าไปเหยียบแคว้นซีหลิงก็คงตายคามือซื่อจื่อเสียแล้วกระมัง” เยี่ยหลีหัวเราะเยาะๆ หลังจากพูดประโยคเมื่อสักครู่ สีหน้าเหลยเถิงเฟิงนิ่อึ้งไปทันที ดูเหมือนจะคิดไม่ทันว่าควรแสดงสีหน้าเช่นไรดี ทำได้เพียงฝืนทำหน้านิ่งแล้วหัวเราะแห้งๆ “พระชายาพูดอะไรเช่นนี้ ข้าน้อยเอ่ยเชิญด้วยใจจริง” เยี่ยหลียิ้มพร้อมลุกยืนขึ้น “ถ้าเช่นนั้น หากอีกหน่อยมีโอกาส ข้ากับท่านอ๋องจะต้องไปเยี่ยมซื่อจื่อที่แคว้นซีหลิงเป็นแน่ วันนี้ข้าไม่รวบกวนเวลาของซื่อจื่อกับองค์หญิงแล้ว ขอตัวก่อน” 


 


 


           นางไม่สนใจว่าเหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่ที่นั้นจะมีสีหน้าเช่นไร เยี่ยหลีลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาทันที  

 

 


ตอนที่ 62-2 พบเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อโดยบังเอิญ

 

ในห้องโถง 


 


 


 เหลยเถิงเฟิงที่ถูกทิ้งไว้เท้าคางมองม่านไข่มุกตรงประตูที่สั่นไหวเพราะมีคนเดินออกไปอย่างใช้ความคิด รอยยิ้มบนใบหน้าดูจองหองและร้ายกาจขึ้นหลายส่วน “ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจนัก มิน่าม่อซิวเหยาถึงได้แต่งงานกับนาง” 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นเดินออกมาจากด้านใน และยังคงใส่ชุดเดียวกับที่ใส่เข้าไป ยืนอยู่ข้างประตูมองเหลยเถิงเฟิงด้วยสีหน้าต่อว่าต่อขาน เหยเถิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนหลุบตาลงปกปิดแววตาเย้ยหยัน “หลิงอวิ๋น ไม่ต้องคิดแล้ว พี่ทำไปเพราะเห็นแก่ตัวเจ้า เมื่อเทียบกับชายาหลีอ๋องที่แค่ดูก็รู้ว่าไม่มีสมองนั้นแล้ว ชายาติ้งอ๋องคนนี้จัดการยากเสียยิ่งกว่าเป็นไหนๆ ต่อให้เจ้าได้แต่งเข้าไปก็สู้รบปรบมือกับชายาติ้งอ๋องไม่ได้หรอก วันนั้นที่เจอเข้าไปยังไม่พอหรือ เจ้าเองก็รู้ดี ต่อให้ไม่มีเยี่ยหลี เจ้าก็ไม่ได้แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องอยู่ดี” 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องหน้าเขา “พี่กำลังช่วยเยี่ยหลีพูดหรือ” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ “เจ้าถือเสียว่าพี่ไม่ได้พูดก็แล้วกัน ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถพอจะไปหาเรื่องเยี่ยหลีได้ก็ไปเถิด ดูสิว่าครั้งต่อไปนางจะกล้ายิงทะลุหัวเจ้าหรือเปล่า พี่ไม่สนว่าเจ้าคิดจะทำอะไร อีกสามวันให้หลัง เจ้ายอมนั่งเกี๊ยวแต่งเข้าตำหนักหลีอ๋องไปให้เรียบร้อยเป็นพอ อย่าบังคับให้ข้าต้องเอายาให้เจ้าดื่ม” 


 


 


           “ข้าเป็นองค์หญิง ท่านกล้าหรือ!” 


 


 


           “พี่คิดว่าตอนที่เจ้าเอะอะจะมาต้าฉู่ให้ได้นั่นเพราะเจ้ารู้ประโยชน์ของตัวเจ้าเสียอีก” เหลยเถิงเฟิงมองหน้าด้วยสีหน้าเยาะหยัน “เจ้าคงไม่ได้คิดว่าที่เจ้ามาต้าฉู่ก็เพื่อมาเลือกราชบุตรเขย เจ้าชอบใครก็จะได้คนนั้นหรอกนะ” ต่อให้เป็นองค์หญิงที่เป็นที่โปรดปรานเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงแค่องค์หญิงเท่านั้น แค่องค์หญิงที่ต้องมาแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี…ริอ่านกล้ามาวางอำนาจต่อหน้าเขาเชียวหรือ 


 


 


 


 


 


           ที่ทำการคณะทูตแคว้นซีหลิง 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงให้คนนำตัวองค์หญิงหลิงอวิ๋นกลับเข้าห้องพัก แล้วเขาจึงได้หมุนตัวกลับเข้าห้องพักของตนเอง เมื่อปิดประตู แววตาของเหลยเถิงเฟิงเปลี่ยนเป็นดุดันประหนึ่งคมมีดมองไปยังมุมหนึ่งของห้อง ภายในห้องปิดทึบและไม่มีการจุดตะเกียงทำให้ดูมืดมนอย่างมาก ข้างโต๊ะกลมไม้ในห้องมีเงาของร่างหญิงสาวแสนเย้ายวนนั่งอยู่ เหลยเถิงเฟิงแววตาครึ้มลง จ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวในชุดดำนิ่ง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” หญิงในชุดดำหันหน้ากลับมา ดวงตาคู่งามปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด เพียงแต่ในดวงตาคู่นั้นที่ควรจะนิ่งเรียบประดุจสายน้ำ เวลานี้กลับดูมีประกายไฟอันแรงกล้า “เหตุใดเจ้าจึงต้องทำให้ข้าเสียเรื่องด้วย” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงแค่นเสียงเบาๆ พร้อมยิ้มเยาะ “ทำเจ้าเสียเรื่องหรือ ข้าทำให้เจ้าเสียเรื่องเรื่องอะไร” 


 


 


           “เรื่องหลิงอวิ๋น!” หญิงในชุดดำกัดฟันตอบ “หากเจ้าไม่ได้ทำให้เรื่องวุ่นวายเช่นนี้ หลิงอวิ๋นจะได้แต่งเข้าตำหนักหลีอ๋องได้อย่างไร” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงปล่อยตัวตามสบาย ก่อนเดินไปนั่งยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง “เจ้ายังกล้าพูดอีก หากไม่ใช่เพราะเจ้าพูดกรอกหูหลิงอวิ๋นทั้งวันทั้งคืน หลิงอวิ๋นจะได้แต่งงานเข้าตำหนักหลีอ๋องได้อย่างไร” แผนเดิมของพวกเขาไม่ใช่การให้องค์หญิงคนหนึ่งแต่งงานกับท่านอ๋องที่ไม่มีสมองแบบนั้น น่าเสียดายเมื่อเจอหลิงอวิ๋นแผลงฤทธิ์เข้า ทำอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่ยอมรับนางเข้าวัง หญิงในชุดดำส่งเสียงเหอะเบาๆ “หากหลิงอวิ๋นแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องจะไม่ยิ่งดีหรือ” 


 


 


           “อย่าฝันไปเลย หลิงอวิ๋นถูกเจ้าปั่นหัวเสียจนโง่งมไปหมดแล้ว หรือว่าเจ้าเองก็โง่ตามไปด้วยอีกคน” เหลยเถิงเฟิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าม่อซิวเหยาเป็นคนใจอ่อนอย่างนั้นหรือ หากหลิงอวิ๋นได้แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ไม่เกินหนึ่งเดือนพวกเราคงได้เก็บศพนางแน่ ต่อให้โชคดีนางไม่ตาย เจ้าคิดว่าด้วยปัญญาอย่างหลิงอวิ๋น นางจะไม่ถูกม่อซิวเหยาหลอกจนกลายเป็นพวกของเขาไปหรือ” ดูเหมือนหญิงคนนั้นจะถูกคำพูดเยาะเย้ยของเหลยเถิงเฟิงทำให้โกรธจัด นางพูดด้วยความโกรธว่า “ที่ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะช่วยเจ้าหรอกหรือ!” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ สีหน้าของเขาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ “ช่วยข้าหรือ หากช่วยข้าเหตุใดจึงไม่ให้โหรวอวิ๋นเป็นคนมา เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือว่าด้วยนิสัยของหลิงอวิ๋น ไม่มีทางที่จะทำให้ม่อซิวเหยาหลงรักได้ น่าเสียดาย…ข้าคิดว่าม่อซิวเหยามีโอกาสมากทีเดียวที่จะหลงรักเยี่ยหลี” 


 


 


           “ไม่มีทาง!” หญิงสาวร้องขึ้นด้วยความโกรธ หญิงในชุดดำรู้ตัวว่าตนเองเสียกิริยา จึงสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อสงบจิตสงบใจตนเองลง แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงให้นิ่งและฟังดูสบายๆ ขึ้น “เจ้าเลิกคิดที่จะหลอกข้าเถิด ม่อซิวเหยารสนิยมสูงเช่นนั้นจะชอบผู้หญิงที่ไม่มีอะไรดีอย่างเยี่ยหลีได้อย่างไร” 


 


 


           “ไม่มีอะไรดีหรือ…” เหลยเถิงเฟิงพึมพำกับตนเอง มองสำรวจหญิงในชุดดำคนนั้นอย่างใจลอย “ม่อซิวเหยารสนิยมสูงหรือ ก็ไม่เห็นจะเป็นเช่นนั้นนี้” 


 


 


           “พอแล้ว ข้าไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเจ้า” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงมองนางอย่างเกียจคร้าน “เช่นนั้นเจ้าก็บอกได้แล้วสิว่าที่มาที่ห้องข้าในเวลานี้ด้วยเรื่องอันใด” 


 


 


           “ข้าจะรั้งอยู่ที่ต้าฉู่อีกพักหนึ่ง” หญิงชุดดำเอ่ย 


 


 


           “ได้ แต่ไปอย่าได้กลับไปแคว้นซีหลิงอีกเป็นพอ” เหลยเถิงเฟิงโบกมือ บอกเป็นนัยๆ ว่านางไปได้แล้วอย่างไม่สนใจไยดี 


 


 


           “เจ้า!” หญิงชุดดำจ้องเขาด้วยความโกรธ พูดไม่ออกอยู่เป็นนาน เหลยเถิงเฟิงยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าจะรั้งอยู่ที่ต้าฉู่เพื่อทำการใด หญิงสาวที่ละโมบโลภมากเช่นเจ้านี้มีไม่มากนักจริงๆ เพียงแต่ให้ดีเจ้าก็ระวังตัวด้วย อย่าให้สุดท้ายแล้วเจ้าไม่ได้อะไรเลย” ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำ หญิงสาวกัดริมฝีปากด้วยความแค้นใจ “เหลยเถิงเฟิง เจ้าไม่พูดประชดประชันข้าสักวันแล้วจะอยู่ไม่เป็นสุขหรือ” เหลยเถิงเฟิงส่งเสียงเยาะหยัน ประสานสายตาเยียบเย็นที่ซ่อนแววเคียดแค้นกับหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าไม่ยั่วยวนชายหนุ่มไปทั่วแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หรือไร อย่าได้หวังลมๆ แล้งๆ ไปเลย ม่อซิวเหยาเขาไม่สนใจเจ้าหรอก” 


 


 


           “รู้หรือไม่ว่ารูปที่เจ้าให้คนนำไปให้นั้นไปอยู่เสียที่ใดแล้ว” เหลยเถิงเฟิงมองนาง จู่ๆ ก็มีรอยยิ้มมาดร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้า 


 


 


           หญิงในชุดดำจ้องเขาด้วยความระมัดระวัง เหลยเถิงเฟิงมองสำรวจนางอย่างนึกสนุก เห็นดวงตานางค่อยๆ มีแววกระวนกระวาย จึงได้หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ม่อซิวเหยาส่งไปให้ซูเจ๋อตั้งแต่วันนั้นแล้ว ต่อให้ซูจุ้ยเตี๋ยหน้าตางดงามหยาดเยิ้มเพียงใด แต่สำหรับม่อซิวเหยาก็เป็นเพียงคนที่ตายไปแล้วเท่านั้น เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอันใดได้หรือ เรามาพนันกันไหมเล่า ข้าคิดว่าอย่างไรม่อซิวเหยาก็ต้องหลงรักเยี่ยหลี” 


 


 


           หากเป็นไปได้ ประกายไฟในดวงตาของหญิงชุดดำคงได้เผาไหม้เหลยเถิงเฟิงจนเหลือเพียงผุยผงไปแล้ว ครั้งนี้นางใช้เวลามากกว่าเดิมในการข่มความโกรธไว้ ยังคงส่งยิ้มให้เหลยเถิงเฟิง “เช่นนั้นเจ้าเล่า เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิง เหตุใดจึงได้สนใจในตัวเยี่ยหลีเช่นนั้น” เหลยเถิงเฟิงตาเป็นประกาย รีบยิ้มแล้วกล่าวว่า “เพราะนางเป็นผู้หญิงของม่อซิวเหยาน่ะสิ แค่เฉพาะเรื่องนี้ คุณค่าของนางก็มากกว่าเจ้าไปมากโขแล้ว” หญิงในชุดดำเลื่อนสายตาไป หัวเราะเสียงใสขึ้นเบาๆ “เช่นนั้น…เจ้าไม่คิดอยากได้ผู้หญิงของม่อซิวเหยาหรือ หึหึ…คิดดูแล้ว หากคนทั้งใต้หล้ารู้ว่าภรรยาของม่อซิวเหยาหนีไปกับผู้ชายอื่น จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพียงใดกันนะ” 


 


 


           คิ้วคมของเหลยเถิงเฟิงขมวดเข้าหากัน มองหญิงในชุดดำด้วยสายตารังเกียจ “หากม่อซิวเหยารู้ เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องที่โชคร้ายที่สุดของเขาแล้ว หากข้าจะเอาชนะม่อซิวเหยา ก็ต้องเป็นการชนะอย่างเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนั้น” 


 


 


          “หึหึ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร การที่เขาได้พบข้า ควรเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตจึงจะถูก แน่นอนว่าข้าเองก็คิดเช่นนั้น” หญิงในชุดดำพูดเสียงเล็กเสียงน้อย แววตาอันเย้ายวนมีร่องรอยของความคะนึงหา “อีกอย่าง ม่อซิวเหยาพิการไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจออกรบได้อีก จะพูดอีกอย่างก็คือ เขาคงไม่อาจพ่ายแพ้ได้อีกตลอดไป เจ้ายังคิดที่จะเอาชนะเขาอย่างเปิดเผยอีกหรือ ตำนานตำหนักติ้งอ๋องไร้พ่ายมีมานานเป็นร้อยปีเชียวนะ…” 


 


 


           “พอแล้ว ไสหัวไปได้แล้ว อีกสามวันออกเดินทางกลับซีหลิง เจ้าจะลองรั้งอยู่ที่ตงฉู่เองก็ได้ เท่าที่ข้ารู้ หานหมิงเย่ว์กลับเจียงหนานไปแล้ว เจ้าลองดูก็ได้ว่าม่อซิวเหยาจะปรานีลูกน้องของเจ้าหรือไม่” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยเย้ยหยันด้วยสีหน้าบึ้งตึง หญิงในชุดดำยืนขึ้น มองเขาด้วยแววตาน่าสงสาร “ข้ารู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติต่อข้าอย่างโหดร้ายเช่นนี้ เจ้ากำลังหึงใช่หรือไม่ หรือเจ้าเห็นว่าข้าปกปิดใบหน้าแล้วไม่น่ามอง…” ระหว่างที่พูด หญิงสาวผู้นั้นก็ได้ยกมือขึ้นคิดจะถอดผ้าปิดหน้าออก เหลยเถิงเฟิงคว้าถ้วยชาบนโต๊ะขว้างลงกับพื้นทันที “ไสหัวไป!” 


 


 


           “เจ้า…เหอะ!” เมื่อถูกเขาขับไล่อย่างไร้มารยาทเช่นนี้ หญิงในชุดดำทิ้งมือลง จ้องมองชายบนเก้าอี้ก่อนสะบัดเสื้อจากไป  

 

 


ตอนที่ 62-3 พบเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อโดยบังเอิญ

 

เมื่อเยี่ยหลีกลับไปตำหนักติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยากำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า จึงได้เงยหน้าขึ้นมอง “กลับมาแล้วหรือ ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยมีเรื่องอันใดหรือไม่” เยี่ยหลีโบกมือไปมา พูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “เวลานี้จะมีเรื่องอันใดได้ น้องสี่กลับบ้านไปร้องห่มร้องไห้น่ะสิ ท่านย่าให้ข้ากลับไปพูดโน้มน้าวนาง แต่นางจัดการด้วยยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะฟังที่ข้าพูดเข้าหูได้อย่างไร แต่ระหว่างทางบังเอิญเจอเข้ากับซื่อจื่อกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นจากแคว้นซีหลิง” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วมองนาง เยี่ยหลีคิดอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าหัวข้อสนทนานี้ไม่มีอันใดน่าพูดถึงมากนักจึงได้หมุนตัวเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบายๆ ตอนออกมา ม่อซิวเหยาก็ยังคงก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ในห้อง นางเรียกให้พวกชิงสยานำพวกผ้าสีอ่อนออกมา 


 


 


           ชิงซวงเป็นคนมีไหวพริบดี เยี่ยหลีเอ่ยปากสั่งได้ไม่เท่าไร ยังไม่ทันนั่งลงดี นางก็เดินยิ้มหน้าบานนำผ้ามาให้เสียแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นสีอ่อนๆ อย่างสีขาวนวล เขียวอ่อน สีเหลืองนวลทั้งหมด ทั้งยังได้นำอุปกรณ์ต่างๆ มาให้ด้วยอย่างรู้งาน เยี่ยหลีหยิบผ้าขึ้นมาเทียบกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ย่นคิ้วเรียวจนแทบจะผูกติดกัน 


 


 


           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองท่าทางลังเลของนางด้วยควาสงสัย เขายิ้มน้อยๆ “ทำไมหรือ เสื้อผ้าที่ตำหนักทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ ได้ยินว่าในเมืองมีชุดของร้านเสื้อผ้าสองร้านที่ไม่เลว ไว้ให้พวกเขาส่งมาให้ดูที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องลำบากเช่นนี้หรอก” เยี่ยหลีไม่ได้ตอบว่าอะไร หากข้าซื้อชุดจากข้างนอกมาให้ท่าน หลินหมัวมัวกับแม่นมจะไม่บ่นข้าจนหูชาหรือ นางหันลงมองชุดที่ตนเองใส่อยู่ ก่อนคิดว่าตนเองเป็นคนเรื่องมากเช่นนั้นเชียวหรือ 


 


 


           เยี่ยหลีได้แต่กัดฟัน “เอาชุดเก่าของท่านให้ข้ายืมสักชุดสิ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มองเยี่ยหลีที่พยายามฝืนไม่แสดงออกทางสีหน้าด้วยความสงสัย ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตามองไปยังผ้าบนโต๊ะ แววตาวูบไหวเล็กน้อยก่อนหันไปมองเยี่ยหลียิ้มๆ “อยู่ข้างใน เจ้าไปเอาเองสิ” ตั้งแต่ที่เขาถูกส่งตัวมารักษาแผลที่เรือนนี้ หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็สั่งให้คนนำเสื้อผ้าที่อยู่ในห้องเดิมของเขาทั้งหมดย้ายมาไว้ที่นี่ แต่ดูเหมือนภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ของเขาคนนี้ดูจะมีนิสัยที่ดี ไม่แตะต้องข้าวของของคนอื่นตามใจ ถึงแม้คนอื่นที่ว่านั้นจะเป็นสามีของนางเองก็ตาม ดังนั้นถึงแม้ของของพวกเขาจะวางอยู่ด้วยกัน แต่อันที่จริงกลับต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครแตะต้องของของใคร 


 


 


           เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดลง หมุนตัวกลับมาหยิบสายวัดจากกล่องเย็บผ้าก่อนเดินกลับเข้าไป 


 


 


           ม่อซิวเหยาจ้องมองผ้าสีอ่อนแต่งดงามบนโต๊ะอย่างเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ระบายยิ้มขึ้นบางๆ สายตาที่เย็นชา มีแววอบอุ่นอย่างจริงใจขึ้นมาก 


 


 


           บางเรื่องจะไม่ทำก็ไม่ทำเลย หรือหากจะทำยิ่งทำเร็วได้ก็ยิ่งดี ดังนั้นกิจวัตรประจำวันของเยี่ยหลีจึงเพิ่มการเป็นสาวเย็บผ้าขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้หมัวมัวทั้งสองรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องที่คุณหนูของพวกตนตั้งแต่แต่งงานเข้ามาก็เอาแต่จับมีดจับกระบี่ ทำให้หมัวมัวทั้งสองร้อนใจจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะไม่ได้พูดอะไร แต่การที่พระชายาอยู่แต่กับมีดกับกระบี่ประหนึ่งเป็นนายทหารทั้งวันอย่างนั้นหาใช่เรื่องดีไม่ ในตระกูลสวีนอกจากคุณชายสามแล้ว ก็ไม่เคยมีคุณชายสายบู๊มาก่อนเลยในรอบหลายร้อยปี ต้องเป็นเพราะคุณชายสามสอนคุณหนูจนเสียคนเป็นแน่ หมัวมัวทั้งสองที่ไม่รู้ความจริง ได้แต่นึกกล่าวโทษสวีชิงเฟิงที่กำลังจะเข้าร่วมกองทัพอยู่ในใจ 


 


 


           พระชายาของพวกตนจะเย็บชุดให้ท่านอ๋องเป็นครั้งแรก ทำให้ตั้งแต่หมัวมัวไปจนถึงสาวใช้ข้างกายต่างคอยจับตามองกันเป็นพิเศษ จนเมื่อได้เริ่มลงมือทำแล้วเยี่ยหลีถึงได้ค้นพบเรื่องที่ทำให้หัวเสียอย่างมาก นางเย็บชุดของผู้ชายไม่เป็น สมัยที่ท่านแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ นางยังไม่โตพอที่จะเรียนเรื่องการเย็บเสื้อผ้า พอท่านแม่นางจากไปหนึ่งคือไม่มีคนสอน สองคือไม่จำเป็น จนทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท สุดท้ายจึงได้แต่ขอให้หลินหมัวมัวช่วยสอนนางเย็บชุดแบบตัวต่อตัว 


 


 


           เมื่อเย็บชุดเสร็จแล้ว บรรดาสาวใช้ต่างก็มารุมล้อมเยี่ยหลี ช่วยคิดว่าจะปักเป็นลายอะไรดี และควรใช้ด้ายสีอะไรในการปัก ควรจะจับคู่กับถุงใส่ของแบบใด หลายหัวหลายความคิดถกกันเสียงดังอย่างไม่จบไม่สิ้น ด้านม่อซิวเหยาก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ที่อ่านหนังสือของเขาย้ายจากห้องหนังสือมาอยู่ที่ห้องของพวกเขา ถึงแม้จะเป็นห้องที่อยู่ด้านนอก แต่เยี่ยหลีที่ถูกสาวใช้รุมล้อมอยู่นี้มักรู้สึกว่า ม่อซิวเหยาจะต้องได้ยินสิ่งที่พวกนางคุยกันอย่างแน่นอน นางจึงโกรธทั้งเจ็บใจจนอย่างจะตบสาวใช้ที่ปากมากพวกนี้ให้สลบกันไปให้หมด 


 


 


           “พระชายา…” เมื่อเห็นเยี่ยหลีหยิบแบบลายเมฆขึ้นมาเตรียมปัก ชิงซวงจึงเอ่ยทักอย่างไม่เห็นด้วย นางแทบอยากจะนำแบบนั้นมาทำลายทิ้งให้ไม่เหลือชิ้นดีเสียให้ได้ 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วมองนาง ชิงซวงจึงพูดต่อว่า “พระชายา นี่ท่านกำลังจะให้ของคนนะเพคะ ลายธรรมดาเกินไปจะให้ลงได้อย่างไรกัน” 


 


 


           เยี่ยหลีหน้าผากกระตุกขึ้นไม่หยุดทันที กับอีแค่เรื่องการทำชุดเท่านั้น นางจะมีความเห็นเยอะเกินไปหรือเปล่า ชิงซวงไม่ได้สนใจสีหน้าไม่พอใจของเยี่ยหลี นางรีบหยิบแบบสารพัดแบบออกมาวางตรงหน้าเยี่ยหลี มีทั้งลายมังกร ลายนกเหยี่ยว ลายเสือ แล้วยังแบบที่ซับซ้อนอย่างอื่นอีก อย่างรูปลายมงคลต่างๆ เป็นต้น ชิงซวงมองใบหน้าบึ้งตึงของเยี่ยหลี แล้วรีบหยิบลายหนึ่งออกมาให้อย่างเอาใจ “ชิงซวงถามมาให้พระชายาแล้วเพคะ ท่านอ๋องชอบลายนี้” 


 


 


           นางจ้องลายเหยี่ยวถลาลมตรงหน้า โกรธจนอยากจะทิ่มนางให้เสียทีหนึ่ง เมื่อชิงซวงเห็นสีหน้าของคุณหนูดูไม่ดีจึงรีบทำสีหน้าขออภัยก่อนรีบเดินตัวปลิวออกไปทันที เยี่ยหลีจับจ้องแบบลายบนโต๊ะอย่างเหม่อลอยพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมา ก่อนหยิบด้ายปักผ้าที่วางอยู่ขึ้นมาเตรียมเทียบสี ชิงสยาที่คอยรับใช้อยู่อีกด้านเอ่ยขึ้นว่า “เด็กชิงซวงคนนี้ช่างแก่นแก้วนัก แต่ที่นางทำก็เพราะคิดเผื่อพระชายานะเพคะ พระชายาอย่าได้โกรธนางเลยเพคะ” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองนาง พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เด็กคนนี้ถูกตามใจจนเคยเสียแล้ว ทั้งวันเอาแต่พูดพล่ามไม่หยุด” ชิงอวี้ระบายยิ้ม “ชิงซวงนี่คล่องแคล่วดีเหลือเกิน หรือไม่พระชายาก็ลงโทษนางให้ไปทำงานเย็บปักดูสิเพคะ” 


 


 


           ชิงสยาปิดปากลอบยิ้ม “วิธีการทำโทษของชิงอวี้นี้ก็โหดร้ายพอดู แต่หากพระชายาจะให้อภัยนาง คิดว่าชิงซวงคงยินดีที่จะยอมรับโทษเป็นแน่เพคะ” ชิงซวงมีนิสัยอยู่ไม่สุก งานที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คืองานเย็บปัก ปกติจะให้นางปักผ้าเช็ดหน้าสักผืน นางยังทำท่าเหมือนใครจะเอาชีวิตนางเสียอย่างนั้น แววตาเยี่ยหลีเปลี่ยนไป ใบหน้าดูมีอารมณ์ขันขึ้นหลายส่วน “ดีมาก ไปบอกชิงซวงให้ปักลายดอกเหมยเหมันต์รับปีใหม่ให้ข้า และจะต้องปักให้เสร็จภายในครึ่งเดือน หาไม่แล้ว…ก็ให้จัดการตัวเองก็แล้วกัน” 


 


 


           พวกชิงหลวนต่างกะพริบตากันปริบๆ พร้อมอมยิ้มรับคำ ลอบนึกสงสารชิงซวงในใจ รู้ทั้งรู้ว่าพระชายาอาย เจ้ายังจะไปถามท่านอ๋องให้อีก นางไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัว เอาตัวเองมาให้พระชายาลงโทษหรือ 


 


 


           “อาหลีจะปักอันใดหรือ” เสียงกังวานใสของม่อซิวเหยาดังขึ้นจากทางด้านนอก ทุกคนจึงรีบหันไปทำความเคารพ “ท่านอ๋อง” 


 


 


           ม่อซิวเหยามองสาวใช้ทั้งสามที่มีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า ก่อนเอ่ยปากสั่งว่า “ออกไปเถิด” 


 


 


           ทั้งสามโค้งตัวคำนับลา ปล่อยให้ท่านอ๋องและพระชายาอยู่ในห้องกันตามลำพัง 


 


 


           เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเข้ามา เยี่ยหลีจึงมองของในมืออย่างอายๆ “ท่านอ๋องว่างถึงเพียงนี้เชียวหรือ เดินไปเดินมาในห้องทั้งวัน” ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “ข้าไม่ต้องไปถวายรายงาน แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องจัดการ ย่อมว่างเป็นธรรมดา แต่สองวันมานี้อาหลีดูยุ่งเอาการทีเดียวนะ” เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขาอย่างไม่เห็นขัน เขาไม่เห็นหรือว่านางกำลังยุ่งกับอะไร เก้าอี้รถเข็นหยุดลงข้างกายเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ “อาหลีไม่ต้องอายไป ต่อให้เจ้าปักได้ไม่สวย ข้าก็จะไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก” 


 


 


           ดีมาก เยี่ยหลีปักเข็มลงไปที่ชุดด้วยความโกรธ กล้าบอกว่านางปักไม่สวยหรือ ฝีมือปักผ้าของนางแม้แต่ท่านป้าสะใภ้รองยังเอ่ยปากชมเชียวนะ นางหันไปมองม่อซิวเหยาพร้อมยิ้มจอมปลอมบนใบหน้า “ที่ไหนกัน ข้าปักได้ไม่ดี จะกล้าทำให้ท่านอ๋องเสียสายตาได้อย่างไร ไปเรียกคนจากห้องเย็บปักมานั่งทำก็แล้วกัน จะได้ประหยัดแรงข้าด้วย” 


 


 


           ม่อซิวเหยาได้แต่หัวเราะตาม “ความหมายของข้าคือไม่ว่าอาหลีจะปักออกมาเป็นอย่างไร ในสายตาของข้าก็สวยที่สุดเสมอ” 


 


 


           เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ ไม่อยากจะไปสนใจเขาอีก หมุนตัวไปอีกด้านก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ม่อซิวเหยานั่งเงียบอยู่ข้างๆ มองดูสีหน้าใช้สมาธิของเยี่ยหลีเงียบๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นเผยรอยยิ้มอันอบอุ่น  

 

 


ตอนที่ 63-1 จุดเปลี่ยนอันน่าตื่นเต้นในงานแต่งงาน

 

ด้วยเพราะงานแต่งงานคราวที่แล้ว ทำให้ตำหนักหลีอ๋องขายหน้าอย่างไม่มีชิ้นดี ดังนั้นมาคราวนี้ เสียนเจาไท่เฟยดูจะลงทุนลงแรงอย่างเต็มที่เพื่อกู้หน้ากู้ตากลับมา ขบวนรับชายาร่วมยิ่งใหญ่เสียจนเกือบจะเด่นเกินขบวนรับตัวชายาเอก แต่ด้วยเพราะฐานะขององค์หญิงหลิงอวิ๋นที่เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้น ทำให้คนนอกไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติประการใด แต่นี่ยิ่งทำให้สีหน้าของเยี่ยอิ๋งที่ไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งดูแย่ลงไปอีก ในวันงานนั้น เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาไปที่ตำหนักหลีอ๋องพร้อมกัน ม่อจิ่งหลียืนรอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูด้วยตนเอง เยี่ยหลีเคยชินกับหน้าไร้อารมณ์ของม่อจิ่งหลีเสียแล้ว ใบหน้าเขาไม่มีความยินดีอยู่เลย หากไม่ใช่เพราะชุดสีแดงสดที่สวมอยู่ หากไม่ใช่เพราะใบหน้าที่หล่อเหลาดวงนั้น เกรงว่าแขกไปใครมาคงได้นึกสงสัยว่าตนจะต้องก้มหน้ากลับไปเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวดำมาร่วมงานแต่งงาน 


 


 


ถึงตอนนี้ เยี่ยหลีเริ่มนึกสงสารเยี่ยอิ๋งเข้าจริงๆ เสียแล้ว เจ้าม่อจิ่งหลีนั่นไม่ได้เกิดมาเป็นคนเย็นชาโดยกำเนิด แต่ติดที่แสดงท่าทางเช่นนั้นจนเป็นนิสัย หากมีชายคนใดกล้าทำหน้าอยากตายเช่นนั้นในงานแต่งงานของเขา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าคงได้ถูกเขาเตะตายเป็นแน่ 


 


 


ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเข้าไปภายในตำหนักโดยมีหัวหน้าพ่อบ้านตำหนักหลีอ๋องเดินตามไปส่ง บอกเป็นนัยๆ ว่าม่อจิ่งหลีไม่ต้องสนใจพวกเขา ม่อจิ่งหลีเองก็ไม่มีเวลามาสนใจพวกเขาด้วยเหมือนกัน อาจด้วยเพราะต้องการกู้หน้าคืนจากคราวที่แล้ว ทำให้เสียนเจาไท่เฟยไม่เพียงจัดงานแต่งงานให้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังได้เชิญองค์ไทเฮามาเป็นประธานในการจัดการแต่งงานให้กับลูกชายตนเองอีกด้วย การได้มาประจบสอพลอองค์ไทเฮานั้น ถือเป็นโอกาสดีที่หาได้ยากนัก ดังนั้นชนชั้นสูงและมีผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในเมืองหลวงต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ไม่ว่าตนเองจะได้รับจดหมายเชิญหรือไม่ก็ตาม ทำให้ตำหนักหลีอ๋องมีแขกเหรื่อคึกคักอย่างถึงที่สุด 


 


 


“เป็นอะไรไป อาหลีกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เมื่อเห็นคนข้างกายมีสีหน้าสับสนลังเลใจแปลกๆ ม่อซิวเหยาจึงได้ถามขึ้นยิ้มๆ เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอกเพคะ เพียงแค่นึกสงสัยเล็กน้อยว่าหลีอ๋องสีหน้าเป็นเช่นนี้ตลอดทั้งปีเลยหรือเปล่า วันนี้ไม่ใช่วันมงคลใหญ่หรอกหรือ” หากเป็นคนอื่น ไม่แน่อาจคิดกันไปแล้วที่ทำเช่นนี้เพราะไม่พอใจงานแต่งงานที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ ม่อซิวเหยาหันกลับไปมองม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่หน้าประตู “จิ่งหลีไม่ชอบยิ้มมาตั้งแต่เด็กๆ คนที่คุ้นเคยกับเขาต่างก็ชินเสียแล้ว” เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้สนใจคำถามนี้จริงจังสักเท่าไร งานแต่งงานยังไม่ทันเริ่มดี แขกชายและแขกหญิงต่างจึงแยกไปอยู่ยังส่วนของตน ดังนั้นเมื่อเข้ามาในตำหนักจึงมีพ่อบ้านผู้ดูแลหญิงมาเชิญม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีให้ไปอยู่ในที่ที่แต่ละคนควรอยู่ทันที 


 


 


ผู้ดูแลหญิงตำหนักหลีอ๋องนำเยี่ยหลีเข้าไปยังตำหนักฝ่ายใน แขกผู้หญิงที่มาร่วมงานเลี้ยงตอนนี้ต่างรวมตัวกันอยู่ที่สวนดอกไม้ของตำหนักหลีอ๋อง ศาลาเล็กศาลาน้อยต่างมีคนจับจองนั่งคุยเล่นกันเต็มไปหมด หลังจากเดินผ่านคุณหญิงสองสามกลุ่มในสวนดอกไม้ และเอ่ยทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว เยี่ยหลีก็ถูกพามาที่ศาลาเล็กๆ อันหรูหราทางฝั่งตะวันออกของสวนดอกไม้ ภายในมีแขกผู้หญิงที่มีฐานะสูงส่งหรือไม่ก็มีอายุอานามมากหน่อยนั่งอยู่ เสียนเจาไท่เฟยพาเยี่ยอิ๋งออกมานั่งอยู่เป็นเพื่อนด้วยตนเอง เมื่อเห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของเยี่ยอิ๋งกับสีหน้าที่มีรอยของความไม่พอใจของเสียนเจาไท่เฟยแล้ว ทำให้เยี่ยหลีอดลอบถอนใจเบาๆ ไม่ได้ เยี่ยอิ๋งและเยี่ยเย่ว์ต่างก็เป็นบุตรสาวของหวังซื่อด้วยกันทั่งคู่ ทั้งยังล้วนเป็นคนมีเสน่ห์ เหตุใดจึงต่างกันได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าการตัดสินใจของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับเจ้ากรมเยี่ยจะถูกต้อง ถึงแม้ความงามของเยี่ยอิ๋งจะมีมากกว่าเยี่ยเย่ว์อยู่ขั้นหนึ่ง แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของนาง หากส่งเข้าวังไปคงถูกใครต่อใครฉีกเป็นชิ้นๆ เสียแล้ว 


 


 


“คารวะไท่เฟย” เยี่ยหลีเดินหน้าขึ้นไปทำความเคาระองค์ไท่เฟย 


 


 


เสียนเจาไท่เฟยทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นต้อนรับ แต่แน่นอนว่า เยี่ยหลีย่อมไม่อาจให้นางลุกขึ้นจริงๆ ได้ เยี่ยหลีไม่รอให้นางพูด รีบชิงยิ้มแล้วพูดขึ้นก่อนว่า “มาถึงกันมากเช่นนี้แล้วหรือ แต่อย่างไรข้าก็มาถึงช้าที่สุด ขอไท่เฟยอย่าได้ถือสา” เสียนเจ้าไท่เฟยขยับร่างกายเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง นางอมยิ้ม “ที่ไหนกัน ชายาติ้งอ๋องมาร่วมงานด้วย ถือเป็นเกียรติของตำหนักหลีอ๋องของพวกเรายิ่งแล้ว ไม่รู้ว่าติ้งอ๋อง…” เยี่ยหลียิ้ม “ท่านอ๋องก็มาด้วยเพคะ เพียงแต่ออกไปข้างนอกก่อนแล้ว อีกเดี๋ยวจึงจะสามารถมาคารวะไท่เฟยได้เพคะ” เสียนเจาไท่เฟยสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยชมเยี่ยหลีไม่ได้หยุด แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครถือเอาเรื่องการชื่นชมนี้เป็นสาระ ถึงแม้ชันษาของเสียนเจาไท่เฟยจะไม่น้อยแล้ว แต่เมื่อเทียบกันจริงๆ แล้วก็มีศักดิ์เทียบเท่ากับม่อซิวเหยา นางไม่ได้คิดแต่แรกแล้วว่าติ้งอ๋องจะมาคารวะนางด้วยตนเอง 


 


 


หลังจากเอ่ยทักทายกันไปมา เยี่ยหลีมองไปรอบๆ ศาลาหลังเล็ก ก่อนจะเห็นว่ามีแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น เพียงแต่องค์หญิงเจาหยางกับองค์หญิงเจาเหรินและฮูหยินผู้เฒ่าหวายังไม่มา หนานโหวฮูหยินที่นั่งอยู่แถวหน้าลุกขึ้นสละเก้าอี้ให้เยี่ยหลี เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พร้อมเอ่ยขอบคุณ หนานโหวฮูหยินเป็นแม่สามีของเยี่ยเจิน พี่สาวใหญ่ตระกูลเยี่ย เยี่ยหลีมีความประทับใจที่ดีกับฮูหยินท่านนี้ไม่น้อย นางจึงได้ยิ้มแย้มพูดคุยกับหนานโหวฮูหยินอยู่หลายประโยค 


 


 


ระหว่างที่นั่งฟังเหล่าฮูหยินสูงศักดิ์พูดคุยกันไปเกี่ยวกับเรื่องในเมืองหลวงที่พอจะพูดสู่กันฟังได้ ซึ่งเยี่ยหลีเองก็ได้พูดเสริมไปหลายประโยค เยี่ยหลีนึกสงสัยว่า เยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่ถัดจากเสียนเจาไทเฟยดูจะไม่เปิดปากพูดอะไรเลย นั่งอยู่เงียบๆ เพียงคนเดียวตรงนั้นยิ่งทำให้ดูเหมือนท่อนไม้ที่สวยงาม ด้วยเพราะงานในวันนี้ทำให้เยี่ยอิ๋งแต่งตัวไม่สง่างามทันสมัยเหมือนอย่างที่นางเคยแต่ง นางอยู่ในชุดสีแดงสดประดับลวดลายดอกโบตั๋นสีทองซึ่งเป็นชุดออกงานของพระชายา แต่กลับยิ่งทำให้นางดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ทำให้คนที่มองดูรู้สึกถึงความแปลก คงต้องพูดว่าเยี่ยอิ๋งถูกหวังซื่อตามใจจนเสียนิสัย จนไม่เหลือเค้าบุตรสาวสายหลักของตระกูลใหญ่อยู่เลย หวังซื่อเอาความฉลาดและเวลาของเยี่ยอิ๋งทั้งหมดไปทุ่มเทให้กับการเรียนฉิน หมากล้อม เขียนพู่กัน วาดภาพ โครงกลอน และร่ายรำ แต่อันที่จริงมีบุตรสาวผู้ดีมีตระกูลอีกมากที่ไม่ชำนาญเรื่องเหล่านี้ หรือไม่ก็เลือกเรียนเพียงศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งเท่านั้น พวกนางมีพื้นเพตระกูลที่เพียงพอ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้แต่งงานไปกับตระกูลที่ดี การที่มีลูกสาวมีความสามารถทำให้เป็นที่เชิดหน้าชูตา แน่นอนว่าย่อมดี แต่หากต้องเลือกระหว่างชื่อเสียงและความสามารถ กับทักษะในการควบคุมอำนาจจัดการภายในบ้านแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเลือกอย่างหลังด้วยกันทั้งนั้น 


 


 


“จะว่าไปชายาติ้งอ๋องกับอิ๋งเอ๋อร์คงไม่ได้พูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวมานานแล้ว คนแก่อย่างพวกเราคงไม่กล้าให้พระชายานั่งเบื่ออยู่คุยกับพวกเราที่นี่ได้ อิ๋งเอ๋อร์ ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนชายาติ้งอ๋องหน่อยไป” สายตาที่มองไปทางเยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียนเจาไท่เฟยของเยี่ยหลี เสียนเจาไท่เฟยย่อมรับรู้ได้จึงหันไปสั่งการเยี่ยอิ๋งให้นาง เยี่ยอิ๋งเหลือบมองเยี่ยหลีก่อนยกมุมปากขึ้นพร้อมลุกยืน เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นยิ้มให้เสียนเจาไท่เฟย “ถ้าเช่นนั้น ขอบพระทัยไท่เฟยที่ใส่พระทัยเพคะ ทุกท่าน เยี่ยหลีขอตัวก่อน” 


 


 


           เมื่อมองพี่น้องทั้งสองเดินจากไปแล้ว หนานโหวฮูหยินจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “จะว่าไป ชายาติ้งอ๋องคนนี้คำพูดคำจาดูสง่างาม ทำอะไรก็ดูดีเสียจริง หากเป็นบุตรสาวบ้านคนทั่วไปไม่รู้ว่าจะต้องน่าสงสารถึงเพียงไหน มิน่าฮูหยินผู้เฒ่าหวาถึงได้ชื่นชมชายาติ้งอ๋องคนนี้นัก” ทุกคนต่างพูดสนับสนุน พวกนางต่างก็เป็นคนที่มีบุตรสาว หากไม่มีชายาติ้งอ๋องแต่งเข้าไป ใครจะรู้ว่าอาจเป็นบุตรสาวของพวกนางก็ได้ที่ได้แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ฐานะของตำหนักติ้งอ๋องนั้นสูงส่ง แต่ทุกวันนี้ติ้งอ๋องไม่มีอำนาจอยู่ในราชสำนักเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นคนพิการเดินไม่ได้ หากลูกสาวที่พวกนางเฝ้าประคบประหงมจนโตต้องแต่งงานออกไปเช่นนี้คงได้ปวดใจตาย ดังนั้น เยี่ยหลีที่ได้แต่งออกไปก่อนเช่นนี้จึงอดรู้สึกเห็นใจและสงสารไมได้ ยิ่งเห็นว่านางอายุเพียงสิบห้าสิบหกเท่านั้น ได้แต่งงานไปกับเขยเช่นนี้แล้วยังรักษาท่าทางสุขุมเยือกเย็นได้เช่นนี้ ย่อมถือว่าไม่เลวทีเดียว 


 


 


           แต่กลับกัน ชายาหลีอ๋องที่เคยเป็นคนที่คุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงต่างนึกอิจฉานั้นกลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนสักเท่าใด ไม่ใช่ว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถทั้งฉิน หมากล้อม เขียนพู่กันและวาดภาพหรือ เหตุใดแม้แต่การต้อนรับแขกเพียงนี้ยังไม่รู้จักว่าอะไรเหมาะอะไรควร ไม่รู้ว่าหลีอ๋องชื่นชอบนางที่ตรงใดกัน ดูอย่างกับไม่ได้โตมาในจวนเดียวกันอย่างนั้น แน่นอนว่า คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ทุกคนต่างเพียงเก็บไว้ในใจ ไม่มีทางนำมาพูดต่อหน้าเสียนเจาไท่เฟยเป็นอันขาด  

 

 


ตอนที่ 63-2 จุดเปลี่ยนอันน่าตื่นเต้นในงานแต่งงาน

 

เยี่ยหลีเดินนำเยี่ยอิ๋งออกมายังสวนดอกไม้ ถึงแม้เยี่ยหลีจะพยายามเลือกเดินไปยังทางที่ห่างไกลจากผู้คน แต่ด้วยฐานะของทั้งสองก็ยังทำให้เป็นจุดสนใจของคนไม่น้อยอยู่ดี ยังดีที่ทุกคนยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้ดีว่าพระชายาติ้งอ๋องและพระชายาหลีอ๋องต้องการพูดเรื่องในอดีตฉันพี่น้องกันสองคนจึงไม่มีใครเข้ามารบกวน เยี่ยหลีเหลือบมองเยี่ยอิ๋งที่กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นอย่างน้อยอกน้อยใจแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ได้แต่ถามขึ้นว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไปกัน ชายาร่วมของม่อจิ่งหลียังไม่ทันได้แต่งเข้ามาเลยนะ ท่าทางน้อยอกน้อยใจของเจ้าทำให้ใครดูกัน”


 


 


           เยี่ยอิ๋งจ้องหน้านางอย่างโกรธๆ เอ่ยถามเสียงอ่อนว่า “ท่านว่า…ท่านอ๋องเขารักข้าด้วยใจจริงหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีได้แต่กลอกตาในใจ หากเขารักเจ้าด้วยใจจริงคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นหรอก


 


 


           “ตอนแรก…เขาเคยพูดว่าเขาชอบข้าเพียงคนเดียว จะดีกับข้าเพียงคนเดียว”


 


 


           เยี่ยหลีพยายามไม่ให้สีหน้าเรียบเฉยของตนเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว ในหัวพยายามนึกภาพคนหน้าตายอย่างม่อจิ่งหลีเอ่ยพร่ำคำรักกับเยี่ยอิ๋ง ในใจนึกขนลุก ชายหนุ่มหน้าตายที่จะแสดงอะไรออกมาสักนิดยังยากแสนยาก เจ้าต้องมีสายตาที่ดีเยี่ยมเพียงใดกันจึงทำให้ตัวเองเชื่อว่าเขาจริงใจต่อเจ้าได้


 


 


           “ทำไม…ทำไมตั้งแต่แต่งงานมาแล้วทุกอย่างจึงได้เปลี่ยนไป” เยี่ยอิ๋งถามขึ้นอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


 


 


           “เรื่องนี้…” เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนเองอยู่ดีๆ ก็มีวิญญาณแม่พระเข้าสิง ถึงขั้นนึกอยากเอ่ยปลอบเยี่ยอิ๋ง “นั่นมีประโยคหนึ่งพูดว่าอะไรนะ…การแต่งงานเป็นหลุมศพของความรักหรือ ในเมื่อเจ้าลงมานอนอยู่ในหลุมศพแล้วก็อย่าได้ไปคิดถึงเรื่องในอดีตอีกเลย” รีบตายรีบเกิดใหม่ดีกว่า ความรักหรือ อย่าโง่ไปหน่อยเลย นั่นเป็นเรื่องนอกเหนือจากหลุมศพไปอีก คำพูดแปลกๆ ของนางที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นนั้น ทำให้เยี่ยหลีถึงกับอึ้งไป หลุบตาลงพึมพำเสียงเบาว่า “หลุมศพ…ข้า ที่แท้ข้าไม่ควรแต่งงานหรอกหรือ” เยี่ยหลีได้แต่คิดอยากจะตบปากตัวเองเสียทีหนึ่ง แต่นางยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าเช่นเดิมว่า “แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ ชายหญิงจะเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเมื่อแต่งงาน ต่อให้เจ้าไม่ลงหลุมนี้อย่างไรเสียก็ต้องไปลงหลุมอื่น อย่างน้อยหลุมนี้ก็ดูดีหน่อยมิใช่หรือ เจ้าลองดูคุณหนูคุณชายทั้งหลายสิ ก่อนแต่งงานต่างก็รักกันหวานชื่น แต่เจ้าเคยเห็นหนังสือเล่มไหนที่เขียนเรื่องหลังแต่งงานของคุณชายมากความสามารถกับหญิงสาวผู้เลอโฉมหรือไม่”


 


 


           เยี่ยอิ๋งอึ้งไป ได้แต่ส่ายหน้า เยี่ยหลีพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่ถึงจะถูก ก่อนหน้าแต่งงานก็เป็นเรื่องของความรักใคร่ คลั่งไคล้ในกันและกัน หลังแต่งงานก็เป็นเรื่องการใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาและลูกน้อย เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย ในเมืองหลวงนี้มีคนกว่าเก้าในสิบส่วนต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ ไม่มีใครเขาหัวเราะเยาะเจ้าหรอก”


 


 


           เยี่ยหลีจ้องมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าประหลาด ประหนึ่งชีวิตนี้ไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้พูดขึ้นอย่างขัดใจว่า “เหตุใดท่านจึงไม่เป็นเช่นนี้ ในตำหนักติ้งอ๋องมีนายเพียงท่านกับติ้งอ๋องเพียงสองคนเท่านั้น”


 


 


           เอ๋ แม่นางนี่เจ้ากำลังอิจฉาข้าหรือ เยี่ยหลีโบกมือ “สถานการณ์ของพวกเราไม่เหมือนกัน เจ้าลองคิดดู หากให้เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋องของข้าเจ้าก็คงไม่ยอมใช่หรือไม่ ข้าเดาว่าคนส่วนมากคงไม่มีใครยอม เช่นนี้แล้ว…ท่านอ๋องก็จะมีแต่ข้าแล้วมิใช่หรือ”


 


 


           “เช่นนั้นหรือ” เยี่ยอิ๋งก้มหน้าใช้ความคิด เยี่ยหลีไม่ได้สนใจว่านางคิดอะไรอยู่ นางยังจำได้อยู่ว่าตนเองไม่ได้มาเพื่อเป็นเพื่อนคุยหรือช่วยรักษาสภาพจิตใจให้กับเยี่ยอิ๋ง เมื่อเห็นเยี่ยอิ๋งกำลังนิ่งคิดอย่างเหม่อลอย เยี่ยหลีจึงเอ่ยถามขึ้นโดยบังเอิญว่า “จะว่าไป…ข้าไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะชอบหลีอ๋อง ข้ายังคิดว่าเจ้าจะชื่นชอบคุณชายที่สุภาพสง่างามอย่างคุณชายเจ้าสำราญเสียอีก”


 


 


           เยี่ยอิ๋งจึงเรียกสติกลับมาได้ หน้าซับสีเลือดขึ้น จ้องนางพร้อมกัดริมฝีปาก “ตอนนี้ท่านมาโทษเรื่องที่ข้าแย่งหลีอ๋อง หรือว่ามาหัวเราะเยาะข้ากัน”


 


 


           เปล่า ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้าต่างหาก เยี่ยหลีจับมือนางขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกซึ้งว่า “ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ หรือว่าน้องสี่คิดจริงๆ ว่าข้าจะนึกเกลียดเจ้าเพียงเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว ก่อนหน้านี้ข้าเพียงแค่โกรธที่เจ้าไม่บอกความจริงกับข้าเท่านั้นเอง ถึงแม้พวกเราจะไม่ค่อยถูกกันมาตั้งแต่เล็กๆ แต่หากเป็นของที่เจ้าชอบ ข้าเคยแย่งเจ้าหรือ หากตอนนั้นเจ้าพูดกับข้าดีๆ พวกเราก็จะได้ยกเลิกงานหมั้นกันอย่างลับๆ ก่อน จะได้ไม่เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทำให้ทุกคนต้องขายหน้า”


 


 


           เยี่ยอิ๋งมองสีหน้าจริงใจของเยี่ยหลีอย่างเคลือบแคลงใจ นึกย้อนกลับไป ตั้งแต่เล็กจนโตนางเคยแย่งของเยี่ยหลีมาไม่น้อย แต่ทุกครั้งเยี่ยหลีไม่เคยที่จะพูดอะไร (นั่นเพราะนางขี้เกียจจะสนใจหรอก) เพียงแต่ตอนนั้นนางอยากให้เรื่องที่เยี่ยหลีถูกถอนหมั้นรู้กันไปทั่วจนทำให้นางขายหน้า จะได้คิดได้อย่างไรว่าสุดท้ายแล้วคนที่เสียหน้าจะเป็นตัวนางเอง เมื่อคิดได้เช่นนี้ ต่อให้เยี่ยอิ๋งเป็นคนที่ทระนงตนอย่างไรก็ยังอดรู้สึกทำอะไรไม่ถูกไม่ได้ แต่นางไม่มีทางยอมรับ เยี่ยหลีไม่ได้สนใจว่านางจะมีสีหน้าเช่นไร นางถอนใจและพูดอย่างอ้อมๆ ว่า “ว่าไปแล้ว ข้าคิดมาเสมอว่าน้องสี่จะได้แต่งงานกับคุณชายมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง คุณชายมากความสามารถกับหญิงสาวผู้เลอโฉมช่างสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก นี่ช่าง…เล่นตลกกับชีวิตคนเสียจริง”


 


 


           เยี่ยอิ๋งนึกอายจนหน้าแดง แน่นอนนางย่อมเคยวาดฝันว่าชายหนุ่มในฝันของตนจะเป็นอย่างไร และเคยวาดฝันว่าคุณชายเจ้าสำราญผู้หล่อเหลาในชุดสีขาวพริ้วไหวกำลังจูงมือนางอย่างอบอุ่น พร้อมจ้องมองนางด้วยสายตารักใคร่อย่างลึกซึ้ง เพียงแต่ต่อมาเมื่อได้รู้จักกับหลีอ๋อง ฐานะของหลีอ๋องกับการที่จะเหยียบเยี่ยหลีให้จมดินได้ทำให้นางค่อยๆ ลืมสิ่งที่ตนเองวาดฝันไว้ จนเมื่อนางหลงรักหลีอ๋องเข้าจิรงๆ จึงยิ่งรู้สึกว่านั่นเป็นเพียงความคิดในวัยเด็กของนางเท่านั้น แต่มาตอนนี้ สามีในฝันที่นางรักใคร่ด้วยใจจริงกลับทำกับนางเช่นนี้…หากว่า…หากว่าเป็นคนอื่น จะไม่มีทางทำกับนางเช่นนี้เป็นแน่…เยี่ยอิ๋งเกิดความสับสนขึ้นในใจ


 


 


           “ท่าน…ท่านไม่โกรธข้าจริงๆ หรือ” เยี่ยอิ๋งมองนางอย่างลังเล


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “คราวก่อนเจ้าก็พูดไปแล้ว ว่านั่นเป็นความต้องการของท่านพ่อมิใช่หรือ อาจเป็นเพราะท่านพ่อเห็นว่าข้าไม่เหมาะกับหลีอ๋องกระมัง แต่ตอนนี้ข้าว่าท่านพ่อทำถูกแล้ว ข้ากับหลีอ๋องไม่เหมาะสมกับจริงๆ ข้าพอใจกับชีวิตข้าตอนนี้มาก ติ้งอ๋องก็ดีมาก” เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและโอนอ่อนของเยี่ยหลีทำให้ความเคลือบแคลงใจของเยี่ยอิ๋งค่อยๆ หายไป ก่อนกัดมุมปากอย่างน้อยใจ “ท่านพ่อคงไม่เพราะรู้ดีว่าหลีอ๋องเป็นเช่นนี้จึงได้ให้ข้าแต่งงานกับเขาหรอกกระมัง ท่านแม่มักพูดเสมอว่าท่านพ่อกับท่านย่าเห็นท่านสำคัญที่สุด ท่านพ่อต้องคิดว่าหลีอ๋องไม่ดีแน่ๆ ถึงได้ให้ข้ามาแทนที่ท่าน” เยี่ยหลีถึงกับมองขึ้นฟ้า นั่นเป็นเพราะแม่เจ้าอยากให้เจ้าเกลียดข้าต่างหากเล่า เหตุใดข้าจึงดูไม่ออกเลยว่าสองคนนั้นเห็นข้าสำคัญ นางหันไปมองเยี่ยอิ๋ง แล้วเยี่ยหลีก็อดรู้สึกสงสารเจ้ากรมเยี่ยขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นลูกสาวสุดที่รักที่เขาเฝ้าประคบประหงมมาด้วยสองมือเชียวนะ


 


 


           “ใครไม่รู้บ้างว่าท่านพ่อรักเจ้าเป็นที่สุด คงเพราะคนมักมีสิ่งที่มองพลาดกันได้กระมัง เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นท่านพ่อพูดกับเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าลงเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ…ท่านพ่อบอกว่า ข้ากับพี่เจาอี๋เป็นพี่น้องแท้ๆ พี่เจาอี๋ย่อมรักใคร่ข้ามากกว่าเป็นธรรมดา หากข้าแต่งงานกับหลีอ๋องก็จะสามารถช่วยพี่เจาอี๋ได้มากกว่า หากมีพี่เจาอี๋อยู่ก็จะไม่มีใครกล้ารังแกข้า อีกอย่าง…หากข้าไม่แต่งงานกับหลีอ๋อง ต่อไปก็คงทำได้เพียงเลือกแต่งงานกับบุตรชายของขุนนางในราชสำนักสักคนเท่านั้น” หากเป็นเช่นนั้น เยี่ยหลีที่ได้แต่งงานกับหลีอ๋องและได้เป็นชายาหลีอ๋องแล้ว ตัวนางก็จะต้องอยู่ต่ำกว่าเยี่ยหลีไปตลอดชีวิตมิใช่หรือ


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า หากในตอนนั้นสถานการณ์ของนางกับติ้งอ๋องจะไม่ได้แปลกกว่าธรรมดาเช่นนั้น ฮ่องเต้ไม่มีทางให้บุตรสาวสองคนของเจ้ากรมเยี่ยแต่งงานกับท่านอ๋องของราชวงศ์เป็นอันขาด เพียงแต่…เท่านี้เองหรือ เยี่ยหลีรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ท่านพ่อของนางให้บุตรสาวคนเล็กแย่งคู่หมั้นบุตรสาวคนโตเพียงเพราะความลำเอียงอย่างนั้นหรือ คิดอย่างไรก็ดูไม่สมเหตุสมผล จะต้องมีเรื่องที่นางยังไม่รู้อีกเป็นแน่ แต่ดูจากท่าทีของเยี่ยอิ๋งแล้วนางคงไม่รู้ความจริงเช่นกัน แต่เวลาที่ผ่านมานี้ ทำให้เยี่ยหลีเข้าใจความจริงข้อหนึ่งว่า เยี่ยอิ๋งผู้เย่อหยิ่ง ทระนงตน ทั้งยังมีนิสัยเห็นแก่ตัวคนนี้ แต่เมื่อพูดถึงตัวตนที่แท้จริงแล้ว ความอาฆาตของนางเกรงว่าจะยังสู้เยี่ยซานและเยี่ยหลินไม่ได้เสียด้วยซ้ำ นางเพียงถูกหวังซื่อตามใจจนเกินไปเท่านั้น นางเป็นพวกเจ็บแต่ไม่จำที่แท้จริง ถึงแม้นางจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยจับตัวไปอบรมสั่งสอนมาหลายครั้ง แต่ผ่านไปไม่กี่วันนิสัยเดิมก็กลับมาอีก


 


 


           เมื่อคิดดูแล้วว่าคงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากคำพูดของเยี่ยอิ๋ง เยี่ยหลีจึงเตรียมที่จะลุกขึ้นเดินไป แต่กลับถูกเยี่ยหลีจับไว้ “ข้าควรทำอย่างไรดี”


 


 


         ข้าไม่ใช่แม่เจ้าเสียหน่อย เยี่ยหลีอดทนไว้ “เจ้าเป็นชายาเอกของหลีอ๋อง ต่อให้เป็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นก็จะไม่มีทางมีฐานะสูงไปกว่าเจ้า ขอเพียงเจ้าสามารถมัดใจม่อจิ่งหลีไว้ได้ และอย่าให้เสียนเจาไท่เฟยเกลียดเจ้า เจ้าย่อมใช้ชีวิตต่อไปได้ไม่ยากนัก” เยี่ยอิ๋งถลึงตามองนางด้วยความไม่พอใจ นางไม่ได้อยากใช้ชีวิตอย่างไม่ยากนัก แต่นางอยากใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจต่างหาก เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจหนักๆ “เช่นตอนนี้ เจ้าควรไปอยู่ต้อนรับแขกเป็นเพื่อนเสียนเจาไท่เฟย ให้ทุกคนได้รู้ว่าเจ้านี่แหละที่เป็นชายาเอกที่แท้จริงแห่งตำหนักหลีอ๋อง เข้าใจหรือไม่ หากมีคำถามอะไรอีกก็กลับไปให้ท่านย่าช่วยสั่งสอนเสีย เจ้าคงไม่คิดว่าข้าที่เพิ่งแต่งงาน ทั้งยังไม่มีแม่สามีต้องคอยเอาใจจะเข้าใจเรื่องพวกนี้มากกว่าท่านย่าหรอกกระมัง” การดึงผู้อื่นให้มารับเคราะห์แทนนั้นเยี่ยหลีไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าย่อมยินดีที่จะชี้แนะนางอยู่แล้ว “แต่หากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจ จะเขียนจดหมายมาหาข้าก็ย่อมได้ หากมีเรื่องที่คิดไม่ตก ข้ายังพอสามารถช่วยเจ้าออกความเห็นได้บ้าง ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ” ดังนั้น ไม่ว่าตระกูลเยี่ยหรือตำหนักติ้งอ๋องมีเรื่องอะไร เจ้าจะต้องแอบบอกข้า 

 

 


ตอนที่ 63-3 จุดเปลี่ยนอันน่าตื่นเต้นในงานแต่งงาน

 

เมื่อจัดการไล่เยี่ยอิ๋งไปได้แล้ว เยี่ยหลีถึงได้ถอนหายใจออกมายาวๆ อุตส่าห์ทนคุยไร้สาระอยู่กับเยี่ยอิ๋งเป็นครึ่งค่อนวัน แต่กลับถามอะไรที่ได้เรื่องออกมาไม่ได้เลย


 


 


           “คุณชายเฟิ่งซาน หากฟังจนพอแล้วก็เชิญออกมาเถิด” เยี่ยหลีปรายตามองยอดไม้ของต้นไม้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ


 


 


           “หึหึ…” บนยอดไม้ที่มีใบไม้รกครึ้มค่อยๆ ถูกแหวกออก ปรากฏชุดหรูหราสีแดงออกมาให้เห็น “พระชายาติ้งอ๋อง พบกันอีกแล้ว ช่างเป็นวาสนาเสียจริง เพียงแต่…พระชายารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้าน้อย” เยี่ยหลีปรายตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากคุณชายเฟิ่งซานไม่แต่งชุดสีฉูดฉาดเป็นที่สะดุดตาเช่นนี้ ทั้งยังกลิ่นหอมฟุ้งเตะจมูกนั่นอีก”


 


 


           “กลิ่นฟุ้งเตะจมูกหรือ” หางตาเฟิ่งจือเหยากระตุกขึ้นทันที ยกแขนเสื้อตนขึ้นดม กลิ่นใหม่ล่าสุดของร้านซูเหอไจนี้เป็นกลิ่นดอกอวี้หลันที่อ่อนที่สุดแล้ว จะถึงขั้นฟุ้งเตะจมูกได้อย่างไร หากไม่อยู่ใกล้ก็ไม่มีทางได้กลิ่น เขาเป็นคุณชายที่มีรสนิยมดีหรอกนะ ไม่ใช่พวกทึ่มคร่ำครึที่สาดผงหอมไปทั่วตัวพวกนั้นเสียหน่อย เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเฟิ่งจือเหยาแล้ว เยี่ยหลีก็ก้มหน้าลงยิ้มน้อยๆ เฟิ่งจือเหยามองสำรวจการแต่งกายของตน ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำลายภาพลักษณ์คุณชายเจ้าเสน่ห์ของเขาเลยแม้แต่น้อย จึงสรุปเอาเองว่าที่ตนถูกจับได้คงเป็นเพราะเยี่ยหลีบังเอิญเห็นชายเสื้อของตนเข้า เขายิ้มอย่างหลงไหลในตนเอง “ไม่คิดเลยว่าพระชายาจะใส่ใจในตัวข้าน้อยถึงเพียงนี้ เพียงแค่เห็นชายเสื้อเพียงนิดเดียวก็สามารถเดาได้แล้วว่าเป็นข้าน้อย ช่าง…เป็นเกียรติยิ่งแล้ว…”


 


 


           “คุณชายเฟิ่งซาน” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ “ไม่มีใครเคยสอนท่านหรือว่าภรรยาของสหายไม่ควรเกี้ยว หรือว่า…ข้าควรเอาคำพูดของท่านไปบอกท่านอ๋องดี อีกอย่าง ที่ข้ามั่นใจว่าเป็นคุณชายเฟิ่งซานก็เพราะทั้งเมืองหลวงนี้นอกจากชายหนุ่มที่แต่งงานใหม่ๆ แล้ว ไม่มีชายหนุ่มคนใดที่จะแต่งตัวได้…ตุ้งติ้งเช่นนี้”


 


 


           กึก…รอยยิ้มของเฟิ่งจือเหยาแข็งค้างอยู่บนในหน้า หากจับไว้ไม่มั่นอีกเพียงนิดเดียวคงได้ตกลงมาจากต้นไม้เสียแล้ว เขายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนยกมือขึ้นนวดใบหน้าที่แข็งค้างของตน “เอาเถิด เฟิ่งซานสำนึกผิดแล้ว ขอพระชายาโปรดอภัย”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างใจดี เฟิ่งจือเหยาเมินหน้าไปทำสีหน้าบิดเบี้ยว ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเหตุใดม่อซิวเหยาจึงได้แต่งงานกับเยี่ยหลี คนศีลไม่เสมอกันคงอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่เล่นละครเก่งเท่าเยี่ยหลีมาก่อน และแน่นอนว่าไม่เคยเห็นชายคนไหนเปลี่ยนสีหน้าได้เก่งเท่าม่อซิวเหยาเช่นกัน “จะว่าไป…ที่พระชายาพูดเมื่อสักครู่ช่างวิเศษจริงๆ การแต่งงานเป็นหลุมศพของความรักหรือ อืมอืม” เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่ เฟิ่งจือเหยาก็รู้สึกกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอาเหยาจะรู้ถึงความคิดของชายาของตนหรือไม่


 


 


           เยี่ยหลีไม่นึกกลัวเลยแม้แต่น้อย นางพยักหน้าอย่างจริงจัง “คุณชายเฟิ่งซานควรเชื่อข้า คำพูดประโยคนี้เป็นคำพูดเด็ดที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เชื่อว่าคุณชายเฟิ่งซานเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของข้า มิเช่นนั้นเหตุใดคุณชายที่อายุเท่านี้แล้วจึงยังไม่แต่งงาน”


 


 


         ปากเสีย! ข้ากับม่อซิวเหยาอายุเท่ากันหรอก


 


 


           เฟิ่งจือเหยายกมือลูบจมูก ก่อนยิ้มขื่นๆ “ข้าก็คิดอยากจะลงหลุมอยู่ แต่เสียดายที่อีกฝ่ายไม่ชอบข้า” ใบหน้าหล่อเหลาตามสมัยนิยมมีแววขมขื่นปรากฏขึ้นชั่วแวบหนึ่ง กับคนที่อกหัก รักเขาข้างเดียว หรือแอบรักแล้ว เยี่ยหลีไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรดี ได้แต่พูดว่า “ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มีที่ใดที่ไม่มีหญ้างามอยู่บ้าง” เฟิ่งจือเหยาประสานมือให้นางด้วยสีหน้าขื่นๆ เป็นการบอกว่าขอบคุณที่ปลอบใจ เยี่ยหลีไม่อยากไปกวนใจเขาให้ขุ่นอีก “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนคุณชายแล้ว ขอตัว”


 


 


           “นี่…” เมื่อเห็นหญิงสาวหมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่ลังเล ทำให้เฟิ่งจือเหยาถึงกับอึ้งไป “ท่านอ๋องของท่านให้ข้ามาดูท่าน บอกให้ท่านระวังตัวด้วย”


 


 


           “ขอบคุณมาก” ระวังหรือ เยี่ยหลีนิ่งคิดระว่างที่ค่อยๆ เดินจากมา


 


 


           เฟิ่งจือเหยาปล่อยให้ใบไม้กลับมาปิดบังร่างของตนเองอีกครั้งโดยแรง ปากก็ได้แต่พร่ำบ่นไม่หยุด “ข้ากลายเป็นตัวอะไรไปแล้วนี่ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ยังต้องใช้ข้า เป็นห่วงนักก็มาดูเองไม่ได้หรือไร ม่อซิวเหยา สิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าขอให้มันคุ้มค่ากับที่ข้าทำเพื่อเจ้าเถิดนะ มิเช่นนั้น…”


 


 


           พอกลับเข้ามาในสวนดอกไม้ หวาเทียนเซียงก็จับมือฉินเจิงและมู่หรงถิงเข้ามาหาด้วยความยินดี “หลีเอ๋อร์ เจ้าสบายดีหรือไม่” ฉินเจิงจับมือเยี่ยหลีพร้อมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง หวาเทียนเซียงหัวเราะ “เจิงเอ๋อร์ ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่ากังวัลใจไปเอง นางคนนี้จะไม่สบายดีได้หรือ ตอนนี้ในเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าพระชายาติ้งอ๋องห้าวหาญเพียงใด เพียงแค่ขู่ก็ทำให้องค์หญิงซีหลิงขวัญเสียจนลงไปคุกเข่าร้องไห้อยู่กับพื้นได้แล้ว”


 


 


           “อาหลี ใช้ได้เลยนะนี่” มู่หรงถิงตบบ่าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยชื่นชมเสียงดัง พร้อมด้วยรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง “น่าเสียดายจริงเชียว เรื่องวันนั้นข้ากลับไม่ได้เห็นกับตา อาหลี ไว้วันไหนว่างๆ เรามาประลองธนูกันเถิด” เยี่ยหลียิ้มพร้อมโบกมือไปมา “พอเถิด ก็แค่ขู่แม่นางน้อยเท่านั้น ข้ามิกล้าประลองธนูกับบุตรสาวแสนรักของท่านแม่ทัพมู่หรงหรอก เช่นนั้นจะไม่เท่ากับไม่เจียมตนหรือ” แต่มู่หรงถิงไม่เชื่อนาง “เหอะ ข้าไม่เชื่อหรอก! สรุปก็คือ ต้องประลองให้ได้!”


 


 


           “เอาล่ะ ถิงเอ๋อร์เจ้าพูดเรื่องอื่นได้หรือไม่ เจ้าอยากถูกท่านแม่ทัพมู่หรงไล่ตีอีกหรือ” ฉินเจิงพูดขึ้นด้วยความปวดหัว


 


 


           มู่หรงถิงส่งเสียเหอะๆ ด้วยความไม่พอใจ “เจิงเอ๋อร์ เจ้านี่ชอบยกท่านพ่อมาขู่ข้า”


 


 


           เยี่ยหลีมองฉินเจิงและหวาเทียนเซียงด้วยความสงสัย น่าเสียดายที่ทั้งสองถูกสายตาของมู่หรงถิงขู่ไว้จนไม่มีใครกล้าเปิดปากเล่าให้นางฟัง หวาเทียนเซียงลอบส่งสายตาไว้วันหลังค่อยคุยกันส่งให้นาง ส่วนฉินเจิงจับมือเยี่ยหลีพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่หลีเอ๋อร์แต่งงานไป นอกจากเทียนเซียงแล้วพวกเราไม่มีใครได้พบหน้าหลีเอ๋อร์เลยนะ” เยี่ยหลียิ้มอย่างรู้สึกผิด “ช่วงนี้ที่ตำหนักมีเรื่องนิดหน่อย ข้าเองก็ไม่ได้ออกไปไหน ไว้อีกสองสามวันพวกเจ้ามานั่งเล่นที่ตำหนักติ้งอ๋องไหมเล่า”


 


 


           ทั้งสี่คนหาที่ที่คนน้อยนั่งลง พวกฉินเจิงทั้งสามต่างสอบถามถึงชีวิตแต่งงานใหม่ของเยี่ยหลีด้วยความเป็นห่วง เยี่ยหลีไม่อยากให้เพื่อนต้องเป็นห่วงจึงเลือกเรื่องที่น่าสนุกออกมาเล่าให้พวกนางฟัง หวาเทียนเซียงเอ่ยด้วยความอิจฉาว่า “อาหลีถือว่าโชคดีที่สุด พวกที่กลัวไม่กล้าแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องพวกนั้นช่างไม่รู้จักคิด ดูสิชีวิตอาหลีตอนนี้สบายกายสบายใจเพียงใด แค่แต่งเข้าไปก็ได้เป็นประมุขหญิงของบ้านแล้ว คนก็น้อยไม่ต้องมีเรื่องให้แก่งแย่งชิงดีกัน อีกทั้งติ้งอ๋องไม่มีแม้แต่อนุ…” มู่หรงถิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เทียนเซียงพูดถูก ที่แท้ติ้งอ๋องก็เป็นคนดีจริงๆ” นางนึกเลื่อมใสในตำหนักติ้งอ๋อง


 


 


           แววตาฉินเจิงที่มองเยี่ยหลียังดูมีความเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย เยี่ยหลีอมยิ้มจับมือนางเพื่อบอกว่าตนสบายดี ฉินเจิงจึงได้พยักหน้า


 


 


           เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานพูดคุยกันอย่างออกรส เยี่ยหลีเองก็ผลักเรื่องกวนใจออกไปก่อนชั่วคราว ร่วมพูดคุยกับเพื่อนทั้งสามด้วยความสนุกสนาน จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมร้องดังขึ้น มู่หรงถิงดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองไปรอบๆ ตามหาที่มาของเสียงด้วยความระแวดระวัง เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ดูเหมือนจะดังมาจากที่นั่น”


 


 


           ทั้งสี่หันมองหน้ากัน ทางด้านนั้นดูเหมือนจะเป็นที่พักของหญิงสาว คนที่ได้ยินเสียงร้องนี้ไม่ได้มีเพียงพวกนางสี่คนเท่านั้น อย่างน้อยๆ มีคนกว่าครึ่งสวนดอกไม้ที่ได้ยินเสียงนี้ ในตอนนั้นเริ่มมีหลายคนที่เดินไปทางนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้ว มู่หรงถิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คราวนี้เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่เป็นอะไร แต่เป็นแขกที่มาเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแทนหรือ งานแต่งงานของตำหนักหลีอ๋องคงไปขัดหูขัดตาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ากระมัง” ฉินเจิงยกมือขึ้นปิดปากนางทันทีพร้อมถลึงตาดุใส่นางประหนึ่งจะบอกว่า “เรื่องพวกนี้พูดซี้ซั้วได้หรือ”


 


 


           “พวกเราก็ไปดูกันหน่อยเถิด” หวาเทียนเซียงเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น เรื่องตื่นเต้นในตำหนักหลีอ๋อง ไม่ไปดูก็เสียเที่ยวแย่สิ


 


 


           ส่วนที่เชื่อมระหว่างสวนดอกไม้กับเรือนหน้าเป็นส่วนของเรือนหลังเล็กอันวิจิตรงดงาม ซึ่งตำหนักหลีอ๋องจัดให้หญิงสาวที่มาร่วมงานมาพักผ่อนกันที่นี่ เรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวนี้ มีเพียงประตูเดียวคือประตูที่เข้าจากทางสวนดอกไม้ จึงทั้งสามารถป้องกันไม่ให้แขกผู้ชายจากทางเรือนหน้ามาปะทะกับแขกผู้หญิงโดยบังเอิญ ทั้งยังกันไม่ให้แขกทั้งหลายเข้าไปรบกวนหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในตำหนักอีกด้วย ตอนที่พวกเยี่ยหลีทั้งสี่คนเดินไปถึงหน้าประตูก็มีคนจำนวนไม่น้อยเดินเข้าไปก่อนแล้ว เยี่ยหลียืนอยู่หน้าประตูมองสำรวจไปรอบๆ หวาเทียนเซียงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “อาหลี มีอะไรหรือ” เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยตอบเสียงเบา “ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสียงร้องของหญิงสาวเมื่อสักครู่ดังมากทีเดียว” ในเรือนเช่นนี้ หากเป็นเสียงที่เกิดขึ้นในห้อง ไม่มีทางดังไกลจนได้ยินไปถึงครึ่งสวนดอกไม้เด็ดขาด ดังนั้น สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ มีคนตั้งใจกรีดร้องอยู่ในบริเวณของเรือนเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน


 


 


           “พวกเราไปอยู่ข้างหลังหน่อยเถิด เรื่องน่าตื่นเต้นเช่นนี้ไม่ต้องรีบไป” เยี่ยหลีพูดเสียงเบา


 


 


           หวาเทียนเซียงมองนางด้วยความสงสัย ถึงแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงพูดเช่นนี้ แต่นางก็ไม่ได้ขัดอะไร แต่จับมู่หรงถิงที่อยากพุ่งตัวเข้าไปใจจะขาดไว้คนละข้างเท่านั้น


 


 


           “ตายแล้ว เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” เพียงก้าวเข้าไปในศาลาดอกไม้ ก็มีหญิงสองคนรีบร้อนเดินหน้าแดงออกมาจากภายใน คนหนึ่งยังได้พูดว่า “ให้ใครไปตามเสียนเจาไท่เฟยมาเร็วเข้า”


 


 


           ทั้งสี่หันมองหน้ากัน เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ


 


 


           มู่หรงถิงพูดว่า “เจิงเอ๋อร์ พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกนี่ก่อน ข้าขอเข้าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เยี่ยหลีจับนางไว้ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “มู่หรง เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเจิงเอ๋อร์กับเทียนเซียงเถิด ข้าเข้าไปดูให้เอง” เมื่อเห็นหญิงสาวที่หน้าแดงเป็นลูกผิงกั่วสองคนนั้นแล้ว เยี่ยหลีก็พอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องนั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว หากให้มู่หรงถิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนเข้าไปแล้วเกิดเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเข้า คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่


 


 


           ฉินเจิงและหวาเทียนเซียงต่างก็เป็นคนฉลาด เมื่อลองคิดดูก็เข้าใจถึงความหมายของเยี่ยหลี หวาเทียนเซียงจึงพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเรารอก่อนก็แล้วกัน” เรื่องตื่นเต้นเช่นนี้ไม่ต้องรีบร้อนไปดูหรอก


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้าเข้าไปดูก่อนแล้วกัน” ที่นางกังวลที่สุดก็คือเยี่ยอิ๋งเด็กโง่คนนั้นนึกทำอะไรที่ไม่ควรทำขึ้นมา อีกอย่างนางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของชายาหลีอ๋อง ถึงตอนนี้แล้วหากนางจะยังนิ่งเฉยอยู่ก็คงดูกระไรอยู่ “ไม่ต้องกังวลไป พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เสียนเจาไท่เฟยน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”


 


 


           เมื่อหมุนตัวเข้าไปด้านใน หน้าประตูห้องๆ หนึ่งมีคนยืนอยู่หลายคน ทุกคนต่างยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าประหลาด ไม่รู้ว่าควรเข้าไปหรือถอยออกมาดี เยี่ยหลีมองสำรวจอยู่รอบหนึ่งก็เห็นว่าเป็นเด็กสาวกับหญิงสาวที่แต่งงานแล้วแต่อายุยังน้อยทั้งสิ้น ด้วยคนที่อายุมากหน่อยและมีฐานะสูงศักดิ์ต่างอยู่คุยเป็นเพื่อนเสียนเจาไท่เฟย ส่วนคนที่พอได้เรื่องได้ราวหน่อยต่างก็ไม่พูดคุยอยู่ตรงส่วนที่มีแขกอยู่มากทั้งนั้น คนที่เดินเล่นอยู่ภายนอกในเวลานี้กว่าครึ่งก็เป็นเด็กสาวกับหญิงแต่งงานแล้วที่อายุยังน้อยทั้งนั้น


 


 


           เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา ก็มีคนตั้งสติขึ้นมาได้ “พระ…คารวะพระชายาติ้งอ๋อง”


 


 


            หญิงสาวคนหนึ่งเมื่อเห็นเยี่ยหลีก็รีบทำความเคารพทันที ถึงแม้กิริยาท่าทางจะดูเรียบร้อยสง่างาม แต่ก็มิอาจปิดบังสีหน้าเขินอายบนใบหน้าไว้ได้


 


 


           “คารวะชายาติ้งอ๋อง” ทุกคนถึงได้ทำความเคารพตาม


 


 


           เยี่ยหลีมองดูสีหน้าแปลกๆ ของทุกคน ทั้งได้ยินเสียงครางและเสียงหอบหายใจดังออกมาจากในห้องที่ปิดประตูอยู่ครึ่งหนึ่ง นางเดินขึ้นหน้าไปอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นางเดินเข้าไปประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคน ก่อนหันมาพูดเสียงเรียบว่า “ออกไปก่อนเถิด อีกเดี๋ยวเสียนเจาไท่เฟยกับชายาหลีอ๋องก็คงจะมาถึงแล้ว” ทุกคนต่างหน้าแดงขึ้นด้วยความเขินอาย การแอบฟังนั้นเสียมารยาท ไม่ใช่ว่าพวกนางจะไม่รู้ แต่ด้วยสถานการณ์ประหลาดนี้ทำให้คิดอะไรไม่ออก แต่อย่างไรคงไม่อาจทำให้ทุกคนที่เข้ามาเงียบๆ และออกไปเงียบๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอกระมัง


 


 


           “พระชายากล่าวถูกแล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด” หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น คนอื่นๆ ก็ต่างทำตาม


 


 


           ที่น่าเสียดายคือ มีคนไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านไปเงียบๆ จู่ๆ ก็มีสาวใช้วิ่งร้องไห้เข้ามาจากที่ใดก็ไม่รู้ “องค์หญิง! องค์หญิงอยู่ข้างใน!”


 


 


           ปัง! ประตูที่ถูกงับปิดไว้ ถูกสาวใช้ผู้นั้นผลักเปิดโดยแรง ทำให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในอย่างชัดเจน


 


 


           หญิงสาวที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนต่างตัวแข็งประหนึ่งก้อนหิน องค์หญิงหรือ สวรรค์…นี่พวกนางกำลังพบเจอเหตุการณ์อะไรอยู่กันนี่


 


 


           เยี่ยหลีมองมือซ้ายที่ว่างเปล่าของตนนิ่ง ก่อนเก็บกลับเข้ามาเงียบๆ เอาเถิด เป็นนางที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง แต่สาวใช้ที่สมควรตายคนนั้นถึงขั้นกล้าสะบัดนางหลุด เป็นวรยุทธ์แล้วเก่งมากนักหรือ   

 

 


ตอนที่ 64-1 ฝ่าบาท พระสนมของท่านถูก…เสียแล้ว

 

      “กรี๊ด!”


 


 


           ได้ยินเสียงก็เรื่องหนึ่ง ได้เห็นภาพก็อีกเรื่องหนึ่ง ในที่สุดก็มีคุณหนูคนหนึ่งเรียกสติกลับคืนมาได้ ก่อนกรีดร้องออกมาอย่างอดไม่อยู่ จู่ๆ จึงมีเสียงแหลมบาดหูดังขึ้นพักหนึ่ง เยี่ยหลีได้แต่นึกอย่างนวดหู คุณหนูผู้น่าสงสารกลับไปรีบดื่มชาสงบจิตหลายๆ ถ้วยเถิด ยังโชคดี ถึงแม้คนข้างในจะกำลังเคลิบเคลิ้มกันมาก แต่การที่ประตูถูกกระแทกเปิดออกทั้งยังมีคนพุ่งตัวเข้าไปข้างในเช่นนี้ก็ยังทำให้พอรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ดังนั้นเมื่อประตูถูกเปิดออก คนข้างในจึงรีบตลบผ้าห่มขึ้นห่มร่างทั้งสองคนไว้มิดชิดโดยเร็ว แต่อันที่จริงก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะยังมีผ้าม่านผืนบางช่วยบังไว้อีกชั้นหนึ่งแน่ะ เยี่ยหลีลอบคิดในใจ


 


 


           แต่สาวใช้ที่บุกเข้าไปคนนั้นดูจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำลายชื่อเสียงของนายตนง่ายๆ ทันใดนั้นนางก็ยิ่งส่งเสียงดังยิ่งกว่าเดิม “ท่านอ๋อง ท่านทำอันใดองค์หญิงเพคะ!”


 


 


           ยังต้องถามอีกหรือ


 


 


           เสียงกรีดร้องของสาวใช้คนนั้นกลบเสียงกรีดร้องของบรรดาคุณหนูด้านนอกไปจนหมด ทั้งหมดต่างหันมองหน้ากัน นี่เป็นท่านอ๋องกับองค์หญิงท่านไหนกันนะ ตำหนักหลีอ๋องนี่จะจัดงานแต่งงานจะต้องไม่เคยดูฤกษ์มาก่อนเป็นแน่


 


 


           “ที่นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ในที่สุดเสียนเจาไท่เฟยก็รีบร้อนเดินนำคนเข้ามา เมื่อเห็นตรงปากประตูมีคนจำนวนมารายล้อมอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม เสียนเจาไท่เฟยก็พอรู้ว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดีอันใด คนที่ตามมาด้วยจึงมีไม่มากนักและดูจะเป็นคนที่ยากจะปฏิเสธได้ แต่สำหรับเยี่ยหลีแล้วก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าใด


 


 


           “ไท่เฟย ที่นี่…” เยี่ยหลีลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า “อย่างไรก็ให้คุณหนูทุกท่านออกไปพักก่อนเถิดเพคะ”


 


 


           สายตาที่เสียนเจาไท่เฟยมองเยี่ยหลีมีประกายเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “พระชายาพูดถูกแล้ว ทำให้คุณหนูทุกท่านตื่นตกใจแล้ว เชิญออกไปพักผ่อนดื่มชากันก่อนเถิด” แน่นอนว่าทุกคนย่อมเอ่ยรับคำ คุณหนูสูงศักดิ์ทุกคนต่างพากันซอยเท้าถี่เดินออกไปจากที่ที่บรรยากาศแปลกประหลาดเช่นนี้ เยี่ยหลีเดินตามคนกลุ่มใหญ่ เตรียมที่จะออกไปด้วยเช่นกัน แต่กลับถูกเยี่ยอิ๋งที่ยืนอยู่ข้างเสียนเจาไท่เฟยคว้าตัวไว้ “พี่สาม ท่านอยู่ก่อนได้หรือไม่ พวกเรา…ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นข้างใน…” เสียนเจาไท่เฟยเองก็พยักหน้า “ถูกแล้ว ชายาติ้งอ๋องอยู่ที่นี่ด้วยก็ดีเหมือนกัน หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะได้ช่วยเป็นพยานได้ พวกเราเข้าไปดูกันก่อนเถิด”


 


 


           เยี่ยหลีไม่รู้ว่าตนควรจะทำหน้าเช่นใดดีจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ “ถ้าเช่นนั้น…ให้ทั้งสองท่านที่อยู่ด้านในจัดการตนเองให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกมาเถิดเพคะ”


 


 


           เสียนเจาไท่เฟยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเอ่ยเสียงขรึมกับคนด้านในว่า “บังอาจ ยังไม่ออกมาอีก!”


 


 


           มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากภายใน เกิดเสียงวุ่นวายอยู่พักหนึ่งแล้วไม่นานก็มีร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากฉากบังตาตามมาด้วยร่างอันบอบบางของหญิงสาว


 


 


           “หลีเอ๋อร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!” เสียนเจาไท่เฟยเอ่ยเสียงเข้มขึ้น ชายหนุ่มร่างใหญ่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยสีหน้าเรียบเฉย หากไม่ใช่ม่อจิ่งหลีที่ควรจะอยู่รับแขกที่โถงหน้าแล้วแล้วจะเป็นใครไปได้อีก


 


 


           “ท่านอ๋อง!” เยี่ยอิ๋งร้องเสียงแหลมขึ้น ก่อนชี้ไปยังทั้งสองที่เดินออกมา ร่างของหญิงสาวโอนเอนจนเกือบยืนไม่อยู่ ทุกคนต่างเลื่อนสายตาจากม่อจิ่งหลีไปยังร่างของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเขา เพียงเห็นหญิงสาวผู้นั้นกับม่อซิวเหยาเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ผ้าผ่อนหลุดรุ่ย ดวงตาเย้ายวนของนางมีหยดน้ำตาคลออยู่ รอยแดงอ่อนๆ มีตั้งแต่ที่คอเรื่อยไปจนถึงบริเวณคอเสื้อ “องค์หญิงซีสยา…” น้ำเสียงของหนานโหวฮูหยินที่ยืนอยู่หลังองค์เสียนเจาไท่เฟยนั้นสั่นน้อยๆ ถึงแม้องค์ฮ่องเต้จะยังไม่รับองค์หญิงซีสยาเข้าเป็นพระสนมอย่างเป็นทางการ แต่ตระกูลผู้มีอิทธิพลที่มีแหล่วงข่าวของตนเองอย่างพวกเขา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่า ในวังกำลังจัดเตรียมพิธีแต่งตั้งนางให้เป็นพระสนม แม้แต่ราชทินนาม กรมพิธีก็ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว


 


 


           หนานโหวฮูหยินมองชายาติ้งอ๋องที่กำลังประคองเยี่ยอิ๋ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ไท่เฟย ชายาติ้งอ๋อง ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนัก พวกเราออกไปก่อนค่อยว่ากันเถิดเพคะ” เยี่ยหลีพยักหน้า “ฮูหยินพูดถูก ไท่เฟย มีเรื่องอันใดไว้ออกไปก่อนค่อยพูดกันเถิดเพคะ” เสียนเจาไท่เฟยมองม่อจิ่งหลีและองค์หญิงซีสยาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนพยักหน้า “ชายาติ้งอ๋องพูดถูก พวกเราออกไปกันก่อนเถิด พวกเจ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปเดี๋ยวนี้!”


 


 


           เมื่อกลับไปยังห้องโถงใหญ่แล้ว ผู้หญิงคนอื่นๆ ต่างถูกไท่เฟยให้คนนำไปพักผ่อนยังเรือนอีกด้านแล้ว แต่อย่างเยี่ยหลีและคนอื่นๆ ต่างก็ปลีกตัวกันออกไปไม่ได้แล้ว เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของหนานโหวฮูหยินรวมถึงบรรดาฮูหยินที่ติดตามเสียนเจาไท่เฟยมาแล้ว ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนจิตใจสงบอยู่มากทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับนางอยู่แล้ว ถือเสียว่ามาดูละครก็แล้วกัน


 


 


           เยี่ยอิ๋งนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ เสียนเจาไท่เฟย ทำให้บรรยากาศภายในที่ดูอึมครึมยิ่งดูมืดครึ้มหนักขึ้นไปอีก เสียนเจาไท่เฟยเห็นนางร้องไห้จนหมดความอดทนจึงหันไปมองนางพร้อมพูดเสียงเย็นว่า “หุบปาก! ทำเป็นแต่ร้องไห้!” เยี่ยอิ๋งไม่สนใจว่าไท่เฟยกำลังโกรธ เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวนี้กระทบกระเทือนจิตใจนางมากที่สุด ยังมีเรื่องอันใดที่เลวร้ายไปกว่าการที่คนที่ตนรัก คนที่เป็นสามีของตน ในวันที่กำลังจะแต่งชายาร่วมเข้ามายังเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงกับหญิงอีกคนคนหนึ่ง “ท่านอ๋องทำเรื่องเช่นนี้ เหตุใดไท่เฟยจึงได้ว่าข้า ไม่ใช่ความผิดข้า…”


 


 


           เสียนเจาไท่เฟยพูดด้วยความรำคาญว่า “หุบปากแล้วไปนั่งตรงอื่นเสีย!”


 


 


           เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ต่อให้เสียนเจาไท่เฟยคิดอยากจะปิดแต่ก็คงปิดไม่ได้ อีกอย่างวันนี้มีคนอยู่ที่นี่มีมากเกินไป ระหว่างทางที่พวกนางเดินมาเห็นสีหน้าของผู้หญิงเหล่านั้นก็รู้ว่าพวกนางกว่าครึ่งต่างรู้แล้วว่าเกิดอันใดขึ้นที่นี่ เสียนเจาไท่เฟยเองก็มิอาจปิดหูปิดตาคนได้ จึงได้ส่งคนไปเชิญราชนิกุลที่ใกล้ชิดกับตำหนักหลีอ๋องจากโถงหน้าเข้ามา ส่วนอีกด้านก็ให้ส่งม้าเร็วไปรายงานองค์ไทเฮาที่ยังไม่ได้ออกจากวังมาเป็นประธานในงานแต่งงานให้กับบุตรชาย


 


 


           รอจนพระญาติสนิทจากโถงหน้ามากันพร้อมแล้ว ม่อจิ่งหลีกับองค์หญิงซีสยาต่างจัดการตนเองเรียบร้อยแล้วต่างก็เดินตามกันเข้ามาพอดี เยี่ยอิ๋งมององค์หญิงซีสยา ถึงแม้จะดูออกว่าพยายามหวีผมเผ้าล้างหน้าล้างตาอย่างดีแล้ว แต่สีหน้าสีตายังคงดูอ่อนหวาน และยังมีความเขินอายจากเหตุที่เกิดเหตุบนเตียงเมื่อครู่อยู่ นางแค้นใจเสียจนพุ่งออกไปฉีกนางเป็นชิ้นๆ “เจ้าคนสารเลว!” องค์หญิงซีสยามองเยี่ยอิ๋งที่พุ่งตัวเข้ามาหานาง ด้วยอารามตกใจทำให้นางถอยไปข้างหลังจนสะดุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของม่อจิ่งหลีพอดี เยี่ยอิ๋งจึงโกรธจนตาแดงขึ้นทันที “เจ้าพวกชายโฉดหญิงชั่ว…เจ้าคนสารเลวข้าจะฆ่าเจ้า…” ทุกคนต่างเข้ามาดึงตัวเยี่ยอิ๋งไว้ ทั้งเอ่ยโน้มน้าวและปลอบโยนให้วุ่นวายไปหมด ทำให้แต่ละท่านที่เดินเข้ามาต่างขมวดคิ้ว


 


 


           เยี่ยหลีหันไปเห็นม่อซิวเหยาเข้ามาพอดี นางยิ้มน้อยๆ ไม่ได้สนใจเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปรับ “ท่านมาได้อย่างไร”


 


 


           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น มองเสียนเจาไท่เฟยที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประมุขด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียนเจาไท่เฟยเชิญท่านลุงและท่านอากับพี่ชายของม่อจิ่งหลีมา หนึ่งในนั้นคนที่มียศศักดิ์สูงที่สุดก็คือท่านติ้งอ๋องจึงย่อมขาดเขาไม่ได้ อีกอย่าง ชายาติ้งอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว จะมีติ้งอ๋องมาเพิ่งอีกคนก็ไม่ต่างอันใด


 


 


           “จิ่งหลี! นี่เจ้ากำลังเล่นอันใดกัน!” ท่านอ๋องผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่มีหนวดสีขาวและดูมีอำนาจไม่ธรรมดาคนหนึ่ง พูดด้วยความโกรธจนหนวดปลิวขึ้นมา เขาส่งเสียงเหอะๆ ก่อนชี้ไปยังเยี่ยอิ๋งที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ “นี่คือชายาที่เป็นตายอย่างไรก็จะต้องแต่งงานกับนางให้ได้มิใช่หรือ อีกอย่าง…วันนี้เป็นวันแต่งงานของเจ้า เชิญคนมามากมายแต่ตอนนี้เจ้ากลับสร้างเรื่องเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เสด็จพ่อกับเสด็จพี่ของเจ้าขายหน้าจนไม่เหลือแล้ว!”


 


 


           ม่อจิ่งหลีสีหน้าเรียบเฉย มุมปากกระตุกขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา ท่านอ๋องผู้เฒ่าท่านนี้เป็นพระเชษฐาของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นท่านลุงเพียงคนเดียวของม่อจิ่งฉี แน่นอนว่าย่อมมีอำนาจและอิทธิพลมาก ต่อให้ม่อจิ่งหลีไม่ให้ความสำคัญแต่ก็ไม่อาจขัดแย้งกับท่านลุงท่านนี้ได้ ท่านอ๋องอีกท่านที่อายุอ่อนกว่าเล็กน้อยดึงท่านอ๋องผู้เฒ่าที่กำลังโกรธจัดไว้ “พี่รองระงับความโกรธไว้ก่อน พวกเรานั่งลงฟังจิ่งหลีพูดก่อนเถิด อย่าไปทำให้เด็กๆ ตกใจเลย” ท่านนี้ถึงจะดูอารมณ์เย็นกว่ามาก แต่สีหน้าที่มองม่อจิ่งหลีก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจเช่นเดียวกัน อีกสองท่านที่เหลือต่างมีศักดิ์อาวุโสกว่าม่อจิ่งหลี หลายปีก่อนด้วยเพราะเรื่องของราชบรรลังก์ ทำให้มีความสัมพันธ์กับม่อจิ่งฉีและม่อจิ่งหลีไม่ดีนัก เมื่อได้ยินท่านลุงและท่านอาทั้งสองพูดเช่นนี้จึงต่างหาที่นั่งนั่งลง ถือเสียว่าดูละครก็แล้วกัน


 


 


           “อาหลีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา


 


 


           เยี่ยหลีได้แต่มองตอบเขา “บังเอิญพบเข้าน่ะ”


 


 


           ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ถามอันใดต่อ เขาดึงเยี่ยหลีให้นั่งลงข้างตน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม