แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 620-633

 บทที่ 620 หญิงชายร่วมมือ งานหนักไม่หวั่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ตึง ตึง!”


เสียงตึงตังดังใกล้เข้ามาราวกับเสียงกลองระรัว!


แค่เพียงเสียง ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่ารุนแรง


“เร็วเข้า!”


พวกหลิงม่อออกแรงวิ่งไปทางประตูใหญ่บานนั้นอย่างสุดกำลัง ขณะเดียวกับที่พวกเขาพุ่งเข้าไปในประตู ซอมบี้สองตัวนั้นก็วิ่งมาถึงด้วยความเร็วอันน่ามหัศจรรย์แล้วเหมือนกัน


เพล้งง!


ผนังอาคารสั่นสะเทือนอย่างแรง และบานประตูกระจกที่ถูกกระแทกออกก็แตกละเอียดในชั่วพริบตา เศษกระจกกระจายไปทั่วทิศ


หลังลดแขนลง พวกหลิงม่อก็หันไปมองทางประตูทางเข้า


ซอมบี้ผู้หญิงตัวนั้นกำลังก้มหน้า และยืนมองพวกเขาจากด้านนอกตู้โชว์กระจกที่แตกเสียหาย จังหวะนั้นเกิดการประสานสายตาขึ้นชั่วขณะ


“มันกำลังมองฉัน มันมองฉันอยู่!” มู่เฉินตัวเกร็งไปทันที


“วิ่งต่อสิโว้ย!” หลิงม่อตะคอกเสียงดัง


ด้วยความสูงสามเมตรอาจทำให้พวกมันเคลื่อนไหวลำบากในบางสถานที่ แต่ในร้านค้าแบบนี้ไม่มีทางหยุดยั้งพวกมันได้แน่


หลิงม่อรู้สึกว่าสาเหตุที่พวกมันไม่ได้พุ่งเข้ามาทันที อาจเป็นเพราะมีเหตุผลอย่างอื่นอยู่


อย่างสายตาที่ซอมบี้หญิงตัวนั้นมองพวกเขา ให้ความรู้สึกเหมือนแมวที่กำลังเล่นไล่ตะครุบหนู


ซอมบี้ตัวนี้ไม่เพียงมีแขนขาที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังมีสติปัญญาสูงขึ้นอีกด้วย…


หลิงม่อฉวยโอกาสตรวจสอบดวงแสงแห่งจิตของพวกมันดูครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ต้องสูดลมหายใจลึกทันที


ชนชั้นสูง…หรืออาจถึงระดับเข้าเมืองเลยก็ว่าได้!


ซอมบี้สองตัวนี้คือซอมบี้ระดับสูงที่แท้จริง!


“วิ่งๆๆๆ!”


หลิงม่อตะโกนบอก พลางนำทางพวกเขาวิ่งขึ้นไปชั้นบน


“เจอของจริงเข้าแล้วไง! ปกติพวกมันจะเร่ร่อนไล่เหยื่อไปทั่ว ทำไมต้องมาบังเอิญเจอพวกเราด้วยวะ!” มู่เฉินวิ่งตามอยู่ข้างหลัง พลางคำรามอย่างโมโห


“อะแฮ่ม…” หลิงม่อแอบยกมือขึ้นรูดซิปกระเป๋าตัวเองเงียบๆ เพื่อปกปิดสิ่งที่ส่งกลิ่นล่อซอมบี้เข้ามาให้มิดชิด


บนร่างกายเขาไม่ค่อยมีอย่างอื่นมากนัก แต่ไม่มีทางขาดแคลนสิ่งล่อใจซอมบี้อย่างแน่นอน อย่างเช่น…ก้อนเหนียวหนืด


“มันคือตัวอะไรกันแน่?” หลิงม่อถาม


“อะไรนะ?” มู่เฉินใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว ในสถานการณ์อย่างนี้ ทำไมหลิงม่อยังเอาแต่ติดใจเรื่องนี้อยู่ได้?


ทว่าสำหรับหลิงม่อ ซอมบี้ไม่ใช่สัตว์ประหลาดเพียงอย่างเดียว


ทุกครั้งมีซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ปรากฏตัว ก็แสดงว่าวิวัฒนาการของเชื้อไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใหม่


และความเป็นไปได้เหล่านี้ ก็บ่งบอกถึงเส้นทางที่พวกเย่เลี่ยนอาจจะต้องก้าวเดินไปในอนาคต


แน่นอนว่าซอมบี้ยักษ์ จะต้องเป็นสิ่งที่หลิงม่อหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถแน่นอน


สำหรับคนปกติ ขนาดตัวเท่านั้นใหญ่เกินไป…


“ถ้านายไม่บอก แล้วพวกฉันจะสู้กับพวกมันได้ยังไง?” หลิงม่อพูดขึ้นอีกครั้ง


มู่เฉินกับสวี่ซูหานป้าปากค้าง “สู้?”


คนทั่วไปเมื่อเห็นขนาดตัวที่สูงใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีทางคิดจะสู้อย่างแน่นอน!


ขนาดต้นขายังไม่ใหญ่เท่าข้อมือของพวกมัน แค่ฝ่ามือเดียวก็ถึงตายได้แล้ว จะสู้ยังไงวะ?


“เหลวไหลน่า พวกมันไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแน่นอน” หลิงม่อพูดอย่างมั่นใจ


มู่เฉินอยากคัดค้าน แต่หลังจากครุ่นคิด กลับรู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว


ใช่แล้ว เกรงว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกมันเจอมนุษย์กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ พวกมันไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่


เลือดเนื้อของมนุษย์ไม่ได้หมายถึงอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่มากกว่าคือความกระหายอย่างรุนแรงที่เกิดจากสัญชาตญาณ


“พวกเราซวยแล้ว” หลิงม่อถอนหายใจยาวๆ


เขาหันไปบอกกับหลิงม่อว่า “นั่นไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดา แต่เป็นซอมบี้ที่ถูกเลี้ยงมาด้วยยาซอมบี้”


“ซอมบี้อะไร?” หลิงม่อขมวดคิ้วถาม


ขณะที่คุยกันพวกเขาก็ได้วิ่งไปจนถึงชั้นสามแล้ว แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาจากด้านล่างก็ยังคงดังชัดเจน


“บันไดนี้จะสร้างมาสูงขนาดนี้ทำไมวะ!” มู่เฉินเดือด “ยาซอมบี้ที่พูดถึงก็คือ…”


“ตอนนั้น พวกฉันอยากลองผสมยาแก้อักเสบและยาต้านเชื้อไวรัสนานาชนิดเข้าด้วยกัน ว่ามันจะสามารถส่งผลที่น่าทึ่งต่อเชื้อไวรัสได้หรือไม่ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นการลองผิดลองถูกอย่างหนึ่ง แต่หลังจากที่พวกฉันปล่อยตัวยาออกไป กลับพบว่าซอมบี้ในเมืองกลับยิ่งมีพฤติกรรมชอบโจมตีมากขึ้น ร่างกายของพวกมันเองก็เกิดการกลายสภาพไปด้วยบางส่วน แต่กลับไม่มีร่องรอยว่าพวกมันจะหลุดพ้นจากการติดเชื้อ”


ไม่รู้ว่าสวี่ซูหานวิ่งมาอยู่ข้างๆ หลิงม่อตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเป็นคนพูดแทรกขึ้น


“ถึงแม้พวกเราปรารถนาแรงกล้าที่จะกำจัดยาซอมบี้ชุดแรกที่ปล่อยออกไป แต่นายก็รู้ดีว่าเชื้อไวรัสแพร่กระจายเร็วแค่ไหน…”


“เดี๋ยวนะ เธอหมายความว่า เมืองนี้ถูกพวกเธอใช้เป็นหนูทดลอง?” หลิงม่อถาม


สวี่ซูหานเม้มปาก “พวกเราทำไปเพราะความเจตนาดี”


“แล้วซอมบี้สองตัวข้างล่างนั่น…” หลิงม่อเพิ่งจะพูด เสียงโครมครามก็ดังมาจากด้านหลัง จากนั้นเงาร่างมหึมาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง


“พวกมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราตั้งใจสร้างขึ้น แต่พวกมันคือสายพันธุ์ที่เกิดจากการกินยาซอมบี้มาเป็นเวลานาน” มู่เฉินรองเสียงหลง แล้วคำรามว่า “บอกก็บอกไปหมดแล้ว นายจะรับมือกับมันยังไง?”


หลิงม่อรีบวิ่งเข้าไปในมุมห้องมุมหนึ่งแล้วหยุด จากนั้นก็มองไปทางซอมบี้ตัวนั้นอย่างระมัดระวัง


ยังคงเป็นซอมบี้หญิงตัวนั้นเหมือนเดิม มันยืนอยู่ตรงสุดทางเดิน ในท่าโค้งเอวก้มหน้า และยังคงจ้องพวกเขาด้วยสายตาอย่างนั้น


“ฟู่ว!”


หลิงม่อพ่นลมหายใจออกมายาวๆ


สิ่งที่พวกมู่เฉินบอกต้องไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอน แต่อย่างน้อยสิ่งที่เกี่ยวกับยาซอมบี้น่าจะไม่ผิด


“ฉันก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงได้ตัวสูงขนาดนี้ ที่แท้ก็กินฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตนี่เอง” หลิงม่อบ่นอุบอิบ


ถึงแม้ซอมบี้หญิงจะยังไม่เริ่มโจมตี และนั่นก็ถือเป็นโอกาสดีสำหรับพวกเขา แต่หลิงม่อกลับไม่รีบร้อนทำอะไร


ตอนนี้เขากำลังคิดถึงอีกปัญหาหนึ่งอยู่ : ซอมบี้เพศชายตัวนั้นล่ะ?


พฤติกรรมของซอมบี้สองผัวเมียคู่นี้ทำให้หลิงม่อระแวงอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าพวกมันไม่ได้บ้าบิ่นไร้หัวคิดเหมือนซอมบี้ธรรมดา


“หาที่กำบังก่อน” หลิงม่อจ้องซอมบี้หญิงเขม็ง พลางขยับปากพูด


สวี่ซูหานและเย่เลี่ยนถอยหลังไปก่อน และมองหาตำแหน่งที่สามารถใช้เป็นที่กำบังกายได้


ชั้นสามของที่นี่เป็นร้านกาแฟ พื้นที่ตรงกลางค่อนข้างโล่ง ฝั่งหนึ่งของทางเดินมีโต๊ะและเก้าอี้ ส่วนอีกฝั่งคือเปียโน


มีเพียงบริเวณติดหน้าต่างเท่านั้นที่เป็นที่นั่งสไตล์หรูหรา มีราวรั้วและแผงกั้น


ถึงแม้สิ่งของทีเป็นเครื่องประดับตกแต่งเหล่านี้จะอ่อนแอมาก แต่มีก็ยังดีกว่าไม่มี


สวี่ซูหานมุ่งหน้าไปทางหน้าต่างก่อนเป็นคนแรก ส่วนเย่เลี่ยนพอมองซ้ายมองขวา ก็เลียนแบบมนุษย์คนนี้โดยการเดินไปยืนอยู่ข้างหลังโต๊ะตัวหนึ่ง


ซย่าจื้อกับมู่เฉินถอยออกไปคนละด้าน เพื่อพยายามดึงตัวออกจากขอบเขตการโจมตีของซอมบี้หญิง


หลิงม่อกับซย่าน่า และหลี่ย่าหลินยืนคนละมุมเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วยืนเผชิญหน้ากับซอมบี้


“โฮกก!”


ซอมบี้หญิงที่จ้องพวกเขาไม่วางตา จู่ๆ ก็คำรามขึ้นมา เสียงคำรามก้องดังสะท้อนอยู่ในร้านกาแฟ มันสั่นสะเทือนจนหลิงม่อได้ยินเสียง “วิ้งๆ” ดังอยู่ในหู


“คน…”


ซอมบี้หญิงเค้นเสียงพูดคำคำหนึ่งออกมา ถึงแม้เลือนรางไม่ชัดเจน แต่ก็พอฟังออกว่ามันเป็นภาษาคน


“สติปัญญาไม่เลวจริงๆ…” หลิงม่อขมวดคิ้ว


ยิ่งสติปัญญาสูงก็แสดงว่าพลังจิตยิ่งแกร่ง และประสิทธิภาพที่ได้เมื่อใช้พลังจิตโจมตีพวกมันก็จะยิ่งแย่ลง ยิ่งไปกว่านั้น ซอมบี้ตัวนี้ยังมีศีรษะที่ใหญ่ขนาดนั้น


จู่ๆ ซอมบี้หญิงก็มองไปที่ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลิน และพยายามขยับปากพูดอีกครั้ง “พวกเดียว…”


หลิงม่อใจเต้น “ตึกตัก” ทันที ยัยซอมบี้ตัวนี้นี่…


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงโครมครามก็ได้ดังมาจากทางฝั่งหน้าต่าง


เสียงกระจกแตกดังสนั่นไปทั่วห้องโถง และเงาร่างดำขนาดใหญ่เงาหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ หน้าต่าง


“สวี่ซูหาน!”


“เด็กโง่!”


พวกหลิงม่อหันไปทางนั้นพร้อมกัน และตะโกนอย่างตกใจ


มือใหญ่น่ากลัวข้างนั้นยื่นเข้ามาจากนอกหน้าต่าง และคว้าไปทางสวี่ซูหานที่อยู่ใกล้หน้าต่างที่สุด


การตอบสนองของสวี่ซูหานถือว่าเร็วมากแล้ว เธอรีบหันปากปืนกลับไป แล้วลั่นไกพร้อมกับถอยกรูดออกมา


ทว่าถึงแม้ว่ากระสุนจะยิงโดนซอมบี้ตัวนั้น แต่กลับไม่สามารถส่งผลอันตรายถึงชีวติให้มันได้เลย


มันไม่แม้แต่จะหยุดโจมตีด้วยซ้ำ…


และนับตั้งแต่ที่มันปรากฏตัวที่ข้างหน้าต่าง ยกมือพังกระจก จนถึงตอนที่ไขว่คว้าไปทางสวี่ซูหาน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาสองวินาทีเท่านั้น


ขณะเดียวกันนั้น ซอมบี้หญิงก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน


มันก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้ามาราวกับรถถัง


เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกหลิงม่อก็ไม่อาจหันไปช่วยเหลือพวกเธอได้แล้ว


ตอนนี้หลิงม่อเข้าใจแล้ว ซอมบี้คู่นี้ไม่เพียงเคลื่อนไหวพร้อมกัน แต่พวกมันยังทำงานร่วมกันเป็นทีมด้วย!


ซึ่งในเผ่าพันธุ์ซอมบี้ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก!


สวี่ซูหานยังคงยิงพลาดเป้าเรื่อยๆ จนกระทั่งมือข้างนั้นตวัดเข้ามาทางศีรษะของเธอ


ได้ยินเสียงลมแรงพัดเข้ามาข้างหู สวี่ซูหานสมองขาวโพลนไปทันที


ตายแน่ๆ…


แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เงาร่างหนึ่งก็โฉบผ่านหน้ามือข้างนั้นไป เงาร่างนั้นอุ้มเธอขึ้น แล้วโยนออกไปอีกทาง


สวี่ซูหานที่ไม่ทันตั้งตัวเลยซักนิดรู้สึกเพียงว่าจู่ๆ ตัวเองก็ล้มลงบนโต๊ะตัวหนึ่ง ขณะเดียวกับที่รู้สึกเจ็บที่แผ่นหลัง เธอก็มองเห็นเงาร่างนั้นอย่างชัดเจน


“เย่เลี่ยน?”


สวี่ซูหานมึน เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ เธอลืมไปสนิทเลยว่าข้างกายตัวเองยังมีเย่เลี่ยนอยู่อีกคน


เด็กสาวคนนี้ปกติมักจะมึนๆ อึนๆ ได้ยินพวกเขาพูดอะไรก็มักจะทำหน้าตาสงสัยอยู่ตลอดเวลา แต่เธอกลับไม่เคยเป็นฝ่ายชวนพวกเขาคุยก่อนเลยซักครั้ง


บางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนเย่เลี่ยนกำลังหลบเลี่ยงพวกเธอ เหมือนต้องการจะรักษาระยะห่างกับพวกเขา


แต่คิดไม่ถึง เมือกี้ตอนที่เธอคิดว่าตัวเองจะต้องถูกฉีกเป็นสองท่อนแน่ๆ กลับได้เด็กสาวคนนี้ช่วยชีวิตไว้


“รีบกลับมา!”


ในที่สุดสวี่ซูหานก็ได้สติกลับคืนมา เธอยื่นมือคลำไปรอบๆ ตัว เพื่อตามหาปืนของตัวเอง


จากที่เธอดู เย่เลี่ยนที่ตัวเล็กขนาดนั้น ไม่มีทางสู้ซอมบี้ตัวนั้นได้แน่


—————————————————————————–




บทที่ 621 โลกภายนอกที่ไม่เคยได้สัมผัส

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อยู่ไหนเนี่ย ออกมาเดี๋ยวนี้นะ…”


สวี่ซูหานคลำมือบนพื้นเพื่อหาอาวุธของตัวเองอย่างร้อนใจ ขณะเดียวกันก็จ้องไปที่เย่เลี่ยนอย่างกังวล


ทว่าความคิดของเธอมีจุดที่ผิดไปเล็กน้อย ถึงแม้เย่เลี่ยนร่างกายผอมบาง ยิ่งเทียบกับซอมบี้ชายก็ยิ่งดูบอบบางอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่เธอกลับเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไว


ปืนไรเฟิลในมือเธอเปลี่ยนบทบาทไปได้เรื่อยๆ สวี่ซูหานเห็นกับตาว่าขณะที่เย่เลี่ยนกระโดดขึ้นกลางอากาศ เธอพลิกตัวใช้ด้ามปืนตีข้อมือของซอมบี้ชายตัวนั้น


“โฮกก!”


จากเสียงร้อง กาตีครั้งนั้นทำให้มันเจ็บไม่น้อย


บนร่างกายของซอมบี้ยักษ์ชายตัวนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แม้แต่กระสุนก็ยังยากที่จะเจาะทะลุ แต่ก็ยังมีบางจุดที่ค่อนข้างบอบบาง


อย่างเช่นตรงข้อต่อกระดูก และจุดที่เย่เลี่ยนมักโจมตีเสมอก็คือตำแหน่งเหล่านี้


เหยื่อถูกแย่งไปจากมือก็ทำให้ซอมบี้ยักษ์ชายตัวนี้โกรธมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อมันถูกตีอย่างนี้จะโกรธขนาดไหน


มันคลุ้มคลั่งขึ้นอีกหลายเท่าทันที ขณะเดียวกับที่ดำเนินการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง มันก็ยังพยายามจะเข้ามาในตัวอาคารอีกด้วย


“ปล่อยให้มันเข้ามาไม่ได้นะ!” สวี่ซูหานหน้าเปลี่ยนสีทันที เธอตะโกนบอกเสียงดัง


ถ้าหากปล่อยให้ซอมบี้สองตัวที่รู้จักร่วมมือกันลอบโจมตีมารวมตัวกัน พวกเขาคงไม่มีโอกาสรอดออกไปอย่างครบสามสิบสองแน่นอน


และสำหรับมนุษย์ที่ทั้งอ่อนแอและเปราะบาง “ถอยออกไปอย่างครบสามสิบสอง” ก็หมายถึงต้องไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายนิ้ว


เพราะถ้าหากได้รับบาดเจ็บก็หมายถึงต้องตัดแขนขาทิ้ง หรือไม่ก็ต้องฆ่าตัวตาย


แน่นอนความจริงแล้วยังมีอีกหนึ่งทางเลือก นั่นก็คือหวังพึ่งโชคชะตา


ทว่าสำหรับการเดิมพันครั้งใหญ่ขนาดนี้ คนส่วนใหญ่ไม่มีใครแบกรับไหว


“หาเจอแล้ว!”


ในที่สุดสวี่ซูหานก็คลำหาปืนจนเจอ แต่เมื่อเธอลุกยืนแล้วยกปืนขึ้นเล็งไปที่ซอมบี้ยักษ์ชายตัวนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าแขนของตัวเองกำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง


สัตว์ประหลาดตัวนั้นเกือบฆ่าเธอแล้ว เกือบแล้วจริงๆ…


และเธอก็ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกที่เหมือนความตายอยู่แค่ตรงหน้ามานานมากแล้ว


เป็นความรู้สึกที่แย่สุดๆ และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถทำให้หัวใจที่เต้นรัวกลับมาสงบอีกครั้งได้


“ฟู่วว!”


เธอหายใจกระชั้นสองครั้ง แล้วยกเท้าขึ้นอย่างยากลำบาก


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งดึงตัวเธอไว้จากด้านข้าง


“ซย่าจื้อ?” สวี่ซูหานหันไปมองเจ้าของมือข้างนั้นอย่างตกใจ


“ตึงง!”


เสียงตึงตังดังสะท้านไปทั่วห้องโถงอีกครั้ง ขณะเดียวกันเครื่องใช้ในบ้านก็แตกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายไปทั่ว


และด้านเย่เลี่ยนก็มีเงาร่างของใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ความช่วยเหลือจากสาวเลือดผสมทำให้เธอกดดันน้อยลงมาก


แต่หลิงม่อและซย่าน่าที่กำลังคนน้อยลงไปหนึ่งคน กลับดูรับมือได้ยากลำบากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ซอมบี้ยักษ์สองตัวนั้นเองก็เหมือนจะสังเกตได้ พวกมันเริ่มโจมตีอย่างดุดันและรุนแรงมากขึ้น เพื่อที่จะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง


“ตอนนี้?” สวี่ซูหานแลดูตะลึงเล็กน้อย


ซย่าจื้อมองเธออย่างสงสัย แล้วพยักหน้าแรงๆ


“แต่ว่า…” สวี่ซูหานอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป


ใช่แล้ว ตอนนี้คือโอกาส และเป็นโอกาสที่จะไม่มีอีกเป็นหนที่สอง


ซอมบี้ธรรมดาจัดการได้ง่ายเกินไปสำหรับพวกหลิงม่อ ซอมบี้ฝูงใหญ่พวกเขาก็ไม่มีทางเข้าใกล้เด็ดขาก


แต่ปีศาจดุร้ายสองตัวนี้ กลับสามารถสร้างความเดือดร้อนครั้งใหญ่ให้พวกเขาได้


ทว่าพอคิดถึงตรงนี้ สวี่ซูหานกลับนึกถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือตอนไหนพวกเขาไม่เคยอยากเจอกับปีศาจอย่างนี้ แต่พวกหลิงม่อกลับสามารถต่อกรกับพวกมันซึ่งๆ หน้าได้…


“ฉัน…”


สวี่ซูหานรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ จู่ๆ เธอก็เกิดลังเลขึ้นมา


แต่ซย่าจื้อที่ไม่ชอบเปิดปากพูดมาโดยตลอดกลับตัดบทเธอ “เธอคงไม่อยากตายใช่ไหม?”


คำพูดนี้ทำเอาสวี่ซูหานอึ้ง


เมื่อสิบวินาทีที่ผ่ามาเธอเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังจากการที่ความตายมาเยือน ตอนนี้เธอกลัวความตายยิ่งกว่าเวลาไหนๆ


“ฟู่ว…ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามแผน?” สวี่ซูหานสูดหายใจลึกๆ แล้วถาม


“อืม ฉันจะไปบอกเอง…” ซย่าจื้อยังพูดไม่ทันจบ ก็แนบตัวติดผนังแล้วเดินออกไป


“ฟู่ว…” สวี่ซูหานสูดหายใจลึกๆ แล้วหันไปมองเย่เลี่ยน จากนั้นก็กระชับปืนในมือแน่น…


“ชิบหายย!”


มู่เฉินสบถด่าเสียงดัง พลางยกมีดขึ้นตวัดไปมา เพื่อปัดป้องขาโต๊ะครึ่งท่อนที่ลอยเข้ามาทางเขา


ซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนี้ เหมือนเครื่องจักรทำลายล้างที่ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยชัดๆ!


ทั้งโต๊ะ กำแพง แผงกั้น ไม่มีอะไรที่ถูกมันมองว่าเป็นอุปสรรคเลยซักอย่าง!


กระทั่งสิ่งของเหล่านี้กลับกลายเป็นอาวุธของมัน ทำให้พวกหลิงม่อต้องคอยหลบอย่างน่าสมเพชขึ้นไปอีก


แม้แต่หลิงม่อก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพุดถึงมู่เฉินเลย


ความรู้สึกที่ทำได้เพียงหลบและถูกกระทำอย่างนี้ ทำให้มู่เฉินอยากจะคำรามออกมาเสียงดังๆ


“ตึงง!”


ซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นเร่งความเร็วอีกครั้ง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากพวกหลิงม่อไม่มากนัก


โต๊ะตัวนั้นแหลกละเอียดคาที่ เศษชิ้นส่วนโต๊ะที่ปลิวว่อนไปทั่วราวกับลูกระเบิด มาพร้อมกับหมัดสองหมัดของมันที่จู่โจมมายังศีรษะของพวกเขาสองคนอย่างกะทันหัน


“ว๊ากกก!”


มู่เฉินร้องเสียงหลง พลางรีบกลิ้งตัวไปกับพื้น


แต่เขาเร่งรีบเกินไป ทำให้ถูกเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ล้มอยู่บนพื้นขวางไว้ระหว่างทาง


แต่ในตอนนั้นเองซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นกลับเซ จนตัวของเธอโยกไปโยกมา


มู่เฉินฉวยโอกาสรีบถอยไปข้างหลัง ขณะเดียวกันก็มองไปที่หลิงม่อ


เทียบกับสภาพน่าสมเพชของเขา หลิงม่อดูสบายกว่ามาก


เขายังคงหยุดอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้า นิ้วทั้งห้ารวบเข้าหากัน พลางบิดหมุนข้อมือช้าๆ


จากการกระทำของเขา ข้อเท้าข้างหนึ่งของซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นราวกับถูกเชือกมัดไว้แน่น มันกำลังเหวี่ยงหมัดออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่หมัดเหล่านั้นกลับพลาดเป้าทุกครั้ง


“เทพมาจากไหนวะ!”


มู่เฉินลอบด่าในใจ แต่กลับต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลิงม่อร้ายกาจมากจริงๆ


สามารถต่อกรกับซอมบี้ประเภทนี้ซึ่งๆ หน้าได้ แล้วยังไม่เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ในสายตาของมู่เฉินเท่านี้ก็เจ๋งมากแล้ว


แต่ที่เจ๋งยิ่งกว่าก็คือ หลิงม่อสามารถต้านทานพวกมันไว้ได้…


ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาทึ่งยิ่งกว่าก็คือการร่วมมือกันของหลิงม่อและซย่าน่า หลิงม่อเพิ่งจะพันธนาการซอมบี้ยักษ์หญิงไว้ได้ ซย่าน่าก็โฉบกายไปปรากฏตัวอยู่ข้างหลังมันทันที


เคียวดาบเล่มนั้นถูกยกขึ้นสูงดัง “ควับ” จากนั้นก็ถูกฟันลงไปเต็มแรง


“โฮกกก!”


ซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นออกแรงกระโจนไปข้างหน้า พละกำลังมหาศาลทำให้มันสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของหลิงม่อไปได้


ทว่าคมดาบยังคงเฉือนผ่านแผ่นหลังของมันไป หยาดเลือดพลันกระเซ็นขึ้นกลางอากาศ


“โฮกกก!”


ซอมบี้ยักษ์หญิงคำรามเจ็บปวด มันหมุนกายหันไปกระโจนใส่ซย่าน่า แต่ซย่าน่าได้กระโดดลอยออกไปข้างหลัง เพื่อถอยห่างจากซอมบี้ยักษ์หญิงก่อนแล้ว


เสียงโครมครามวุ่นวายดังขึ้นอีกครั้ง เศษชิ้นส่วนเครื่องใช้ในบ้านที่ลอยกระจายไปทั่วทุกที่


“ชิบบ…” หลิงม่อเซไปเซมาเล็กน้อย เขากัดฟันสบถเบาๆ


วิธีมัดข้อเท้าที่เคยใช้ได้ผลมาโดยตลอด พอเอามาใช้กับซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนี้กลับทำให้มันล้มไม่ได้


และเมื่อกี้ตอนที่มันหลุดไปได้ หลิงม่อรู้สึกราวกับเส้นประสาทในสมองของตัวเองเกือบถูกกระชากออกไปด้วย


“ไม่ได้ผลอีกหรอ? เชี่ยแล้ว ทำยังไงดีๆ!” มู่เฉินตะโกนอย่างสติหลุด


“ช่วยหุบปากหน่อยได้ไหม?” หลิงม่อกลอกตามองบน


เจ้าหมอนี่นี่มันเครื่องส่งเสียงรบกวนชัดๆ เลย เวลาต่อสู้โดยเฉพาะตอนนี้ น่ารำคาญยิ่งกว่าเฟิ่งจื่อซวนซะอีก


………..


“ฮะ…ฮะ…”


ขณะเดียวกัน ในห้องประชุมแห้งหนึ่ง ณ ฐานทัพฟอลคอนที่สอง


อวี่เหวินซวนที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดกำลังอ้าปากกว้าง ย่นจมูก ใบหน้ากระตุกสั่นเบาๆ


ทว่าสุดท้ายเขาก็จามไม่ออก ทำได้เพียงสูดจมูกฟุดฟิด เอนกายพิงไปข้างหลัง แล้วถามว่า “ใช้สิ พวกเราพูดถึงไหนแล้วนะท”


คนที่เขาถาม คือผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะประชุม


แต่ผู้ชายคนนี้กลับกำลังมีสีหน้าที่แย่สุดๆ…


“เหมือนปวดไข่มาก แล้วก็เหมือนท้องผูก…” อวี่เหวินซวนพึมพำ


“ขอโทษด้วย หัวหน้าของเราเขาค่อนข้าง…” จางอวี่ถอนใจอย่างเจ็บปวด แล้วพูดเสียงเบาๆ อยู่อีกทางหนึ่ง


ชายคนนั้นหางตากระจุก แล้วพูดเสียงเบา “ไม่เป็นไร ชินเล้วล่ะ”


“นี่ พวกนายอย่านินทากันต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นสิ?” อวี่เหวนซวนบี้จมูกแดงๆ ของตัวเองไปมา แล้วบอก


“พวกเรามาคุยธุระกันดีกว่า…ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจก็ตามว่าทำไมต้องแยกคุยสองครั้งกับฟอลคอนทั้งสองแห่ง…” ชายคนนั้นหันหน้าไป แล้วบอกว่า “เมื่อกี้พวกเราพูดถึงเรื่อง การสร้างพื้นที่ผสานร่วมมือ…”


“อ้อใช่ เกือบลืมไปเลย แต่ทำไมคุณไม่มองผมล่ะ?” อวี่เหวินซวนถลึงตา แล้วถาม


“ตอนนี้พวกเราได้รวมตัวกับกลุ่มผู้รอดชีวิตเล็กๆ ส่วนมากของเมือง X แล้ว ที่เหลือ หลังจากที่พวกเราสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมา พวกคุณก็สามารถยื่นความช่วยเหลือเข้ามาได้ ทันทีที่รวมตัวกันสำเร็จ พื้นที่ย่านนี้ก็จะ…”


ชายคนนั้นเมินอวี่เหวินซวน เขายื่นมือออกไปชี้ตำแหน่งของเมือง X บนแผนที่ตรงหน้า จากนั้นก็ลากนิ้วออกเป็นวงกว้าง “ที่นี่ก็จะกลายเป็นถิ่นของมนุษย์อย่างพวกเรา”


“แต่ก่อนหน้านี้คุณบอกว่า…” อวี่เหวินซวนม้วนผมเล่น แล้วพูดขึ้น


ชายคนนั้นเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง เขาลากนิ้วชี้ไปยังเมืองข้างเคียง จากนั้นก็ลากออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หยุดที่จุดจุดหนึ่ง “ถูกต้อง พวกเรามาจากค่ายผสานความร่วมมือตรงนี้”


“และที่นั่นก็คือโลกภายนอก ที่พวกคุณยังไม่เคยสัมผัส”


ชายคนนั้นพูดต่อ


อวี่เหวินซวนเม้มปาก แล้วจ้องไปที่จุดนั้น


แต่ในสายตาของเขา กลับประกายแววสนใจขึ้นมาแวบหนึ่ง…


“ถิ่นของมนุษย์…ดีมากเลย ดีมาก…แต่ว่า ผมอยากรู้ว่าถิ่นของซอมบี้อยู่ที่ไหน?” อวี่เหวินซวนยิ้มบาง แล้วถามขึ้น


ชายคนนั้นนิ่ง จากนั้นมุมปากก็กระตุกสั่น “ฉันฆ่านายซะเลยดีไหม…




บทที่ 622 เข้าใจเชิงลึก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เอาเถอะ ผมจะพูดง่ายๆ แล้วกัน…”


สุดท้าย ชายคนนั้นก็ยังคงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อสายตาที่จับจ้องมาของอวี่เหวินซวน ถูกคนบ้าจ้องไม่วางตาขนาดนี้ ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก


“เพราะสถานการณ์๘องเราแตกต่างกันมาก ดังนั้นทิศทางวิวัฒนาการ และลักษณะเด่นของซอมบี้ ล้วนมีจุดที่แตกต่างกัน แต่ข้อแตกต่างเหล่านี้หากไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบที่แน่ชัด ก็จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะหากพูดกันถึงที่สุดแล้วพวกมันล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นหากไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบชัดเจน ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้” ชายคนนั้นพูดต่อ “อีกอย่างพวกเราจะให้พวกคุณไปเฉยๆ ก็คงไม่ได้ ในเมื่อร่วมมือกันแล้ว ก็ควรแสดงความจริงใจต่อกันทั้งสองฝ่ายถึงจะถูก”


“แล้วคุณต้องการอะไร?” จางอวี่ถาม


“พวกคุณต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนกว่านี้กับพวกเรา ต้องละเอียดกว่าข้อมูลที่พวกคุณเอาออกมาตอนนี้ พูดตามตรง สิ่งที่พวกคุณให้มาในตอนนี้มันไม่ละเอียดมากพอ การกลายสภาพของอวัยวะ การกลายสภาพของแขนขา พฤติกรรมความเคยชินของฝูงซอมบี้…เรื่องพวกนี้แค่ตรวจสอบดูหน่อยก็รู้แล้ว สิ่งที่พวกเราต้องการคือข้อมูลเชิงลึก อะไรที่เหมือนกับจิตวิทยาของซอมบี้ หรือไม่ก็ชีววิทยาชองซอมบี้” ชายคนนั้นพูดอย่างรวดเร็ว


“นั่นมันก็…” จางอวี่ทำหน้าลำบากใจ


คิดว่าใครๆ ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องซอมบี้รึไงวะ!


คนส่วนมากแค่รู้ว่าจะหลบซอมบี้พ้นอย่างไรก็พอแล้ว แต่เรื่องอย่างความสนใจ งานอดิเรก และแนวโน้มการเลือกคู่ของซอมบี้ เรื่องพวกนี้…ใครจะไปสนกัน?


“พูดถึงเชิงลึก…” อวี่เหวินซวนจับปากกาด้ามหนึ่งขึ้นมา แล้วใช้นิ้วควงไปมา พลางพูดขึ้นอย่างใช้ความคิด “ผมมีตัวเลือกที่ดีอยู่คนหนึ่ง”


พอเขาพูดออกไป ทุกคนในที่ประชุมต่างหันไปมองเขาเป็นตาเดียว


มีคนอย่างนี้อยู่จริงๆ หรอ? ใครกัน?


แม้แต่ชายคนนี้ที่เสนอข้อเรียกร้องนี้ออกมาก็ยังอึ้ง “มีจริงๆ?”


“อื้ม!” อวี่เหวินซวนพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ


ถูกต้องแล้ว คนที่เขานึกถึง ก็คือน้องเขยของเขานั่นเอง…


หากจะแข่งเรื่องความเข้าใจเชิงลึกที่มีต่อซอมบี้ จะมีใครสู้หลิงม่อได้อีก


“แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง…ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน” อวี่เหวินซวนขมวดคิ้ว


“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา” ชายคนนั้นหันหน้ากลับไปมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง “เธอคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านการตามหาคน”


“สามารถให้ข้อมูลอะไรฉันได้บ้าง? ชื่อแซ่ รูปร่างหน้าตา เมื่อก่อนเคยไปที่ไหนมาบ้าง สถานที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะไป?”


เด็กสาวคนนั้นก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นดันปีกหมวกแก๊ปขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาคู่นั้นจ้องไปที่อวี่เหวินซวน


“เอ่อ…ชื่อหลิงม่อ” อวี่เหวินซวนบอก


“ห๊ะ?” เด็กสาวคนดังกล่าวอึ้งไปทันที……


ตอนนี้หลิงม่อไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังโดนใครบางคนหมายหัวอยู่ ความสนใจทั้งหมดของเขาในตอนนี้ กำลังพุ่งเป้าไปยังซอมบี้ยักษ์หญิงที่คลุ้มคลั่งไปแล้วตัวนี้


ความสูงสามเมตรทำให้มันใช้ได้แต่มือและเท้า แต่กลับไม่สามารถจำกัดขอบเขตการเคลื่อนไหวของมันได้ ตอนนี้มันเหมือนกอริลลาตัวใหญ่ที่กำลังไล่ตะปบไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง


แต่เมื่อกอริลลาตัวนี้มีทั้งร่างกายที่กำยำแข็งแรงและความเร็วที่น่ากลัว มันก็ได้กลายร่างไปเป็นรถถังทำลายร้างในร่างสัตว์


ความสามัคคีของซย่าน่าและหลิงม่อสามารถทิ้งรอยแผลไว้บนร่างของมันสิบกว่ารอย แต่ด้วยความเหนียวแน่นของกล้ามเนื้อและขนาดร่างกายของมัน ล้วนเป็นสิ่งรับประกันว่าบาดแผลเหล่านี้จะไม่ส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิตแน่นอน


ตรงกันข้าม เลือดสดๆ และความเจ็บปวดยังกลับไปกระตุ้นมัน และกระตุ้นคู่ครองของมันด้วย


ทุกครั้งที่ซอมบี้ยักษ์หญิงได้รับบาดเจ็บ ซอมบี้ยักษ์ชายก็จะพยายามกระโจนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง


แต่การกระทำอย่างนั้นของมันกลับทำให้ตัวเองตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของอันตราย ทุกครั้งที่เป็นอย่างนี้ พฤติกรรมไม่กลัวตายของมันจะทำให้รอยแผลบนตัวมันเพิ่มขึ้นเสมอ


และการบาดเจ็บของมัน ก็จะกลับไปกระตุ้นซอมบี้ยักษ์หญิงด้วยเช่นกัน


“วงจรอุบาทว์ชัดๆ…”


หลิงม่อสังเกตเห็นจุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าพอพวกมันอาละวาดไปมาอย่างนี้ สภาพของชั้นสามก็ถูกพังแทบจะไม่เหลือชิ้นดีแล้ว


เสียงอึกทึกครึกโครมขนาดนี้แต่กลับไม่มีซอมบี้ธรรมดาถูกดึงดูดเข้ามาซักตัว นั่นเป็นเพราะกลิ่นอายอันน่ากลัวของซอมบี้ชนชั้นสูงสามตัวและซอมบี้เจ้าเมืองอีกสองตัว


การต้องต่อสู้กับพวกเดียวกันที่อยู่ในระดับเจ้าเมือง ทำให้พวกเย่เลี่ยนตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ทั้งตื่นเต้นและมีความสุข


โชคดีที่พวกเธออยู่กับหลิงม่อมานานแล้ว และมีสายสัมพันธ์ทางจิตของหลิงม่อคอยควบคุม ถ้าไม่อย่างนั้นเดาว่าเหตการณ์ในตอนนี้คงจะต้องนองเลือดขึ้นอีกร้อยเท่า


“ทำได้เพียงทำสงครามเผาผลาญพลังงานแล้วล่ะ ประเด็นคือจะให้พวกมันกลับมาอยู่รวมกันไม่ได้” หลิงม่อร่วมต่อสู้กับซย่าน่าไปพลาง คิดในใจไปพลาง “จุดเด่นของพวกมัน คือจุดอ่อนของพวกมันในขณะเดียวกัน”


ทว่าการร่วมมือกันอย่างนี้ของซอมบี้ผัวเมียคู่นี้ กลับทำให้หลิงม่อประทับใจเล็กน้อย


เรียกว่า…ความเป็นซอมบี้หรือเปล่านะ?


ถึงแม้พวกมันจะแสดงออกผ่านความโหดร้ายและการนองเลือด แต่พอลองนึกถึงอวี๋ซือหรานและป้านเยว่ในตอนแรก ก็เหมือนว่าพวกเธอจะใส่ใจกันและกันอยู่


แต่พอหลิงม่อเผลอคิดเรื่องอื่นไปแวบเดียว เปียโหนหลังนั้นก็ลอยข้ามหัวเขาไปอย่างเฉียดฉิว


หลิงม่อที่หยังศีรษะชาสบถออกมาอย่างเดือดดาล “ชิบ!”


และมู่เฉินในตอนนี้ก็กำลังคิดอะไรบางอย่างในใจเหมือนกัน แต่เรื่องที่เขาคิดกลับเป็น…


ไหนล่ะสัญญาณที่ตกลงกันไว้?


ตั้งแต่เมื่อกี้เขาก็ไม่เห็นเงาของซย่าจื้ออีกเลย แต่สัญญาณดังกล่าวก็ยังไม่ถูกส่งมาจนถึงตอนนี้


ถึงแม้จะดูใจแคบไปบ้าง…แต่ตอนนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดในการหนี


ถึงเขาจะรู้ว่าหลิงม่อไม่มีทางนั่งดูพวกเขาหนีไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน และเรื่องอย่าง “เขากำลังถูกซอมบี้รั้งไว้อยู่ ดังนั้นฉันจะหนีไปจากที่นี่อย่างสบายๆ” ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอัตราความสำเร็จในตอนนี้สูงกว่าเวลาไหนๆ


ส่วนเรื่องใจแคบ…


ก่อนที่จะไล่ล่าพวกเขา พวกหลิงม่อต้องหนีจากซอมบี้สองตัวนี้ไปให้ได้ก่อน เท่านี้ก็ถือว่าใจกว้างมากพอแล้วในสายตามู่เฉิน


ความจริงพวกเขาไม่ค่อยเข้าใจพวกหลิงม่อนัก ตอนนี้พวกเขาแสดงออกชัดเจนเลยว่าต้องการจะฆ่าซอมบี้สองตัวนั้น


ฆ่าซอมบี้ระดับสูง? ทำอะไรเกินกำลังตัวเองชัดๆ!


คนทั่วไปหากไม่ใช่ว่าถูกบีบบังคับให้ต้องสู้ แม้แต่ซอมบี้พวกเขาก็ยังไม่อยากหาเรื่องเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซอมบี้ระดับสูง


อันตรายที่ทั้งสองฝ่ายต้องแบกรับไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแม้แต่น้อย!


สู้ตายกับซอมบี้ แถมยังไม่ได้อะไรตอบแทนอีก นี่เขาคิดดีแล้วหรอ!


ขณะเดียวกับที่บ่นในใจ มู่เฉินก็กำลังคิดว่า อย่างไรหลังจากนี้เจาก็ไม่มีทางหนีรอดจากเงื้อมมือหลิงม่อได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาควรทำตัวให้กวนประสาทน้อยลงหรือไม่?


อย่างเช่น อีกเดี๋ยวพอสัญญาณถูกส่งมา เขาก็ต้องวางแผนรั้งพวกหลิงม่อไว้ ขณะเดียวกันก็เลือกเส้นทางที่มีซอมบี้น้อยหน่อย เพื่อช่วยพวกหลิงม่อให้หนีจากสัตว์ประหลาดสองตัวนี้…


แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ร่างกายของมู่เฉินก็ค้างแข็งไป


เขารู้สึกเหมอนตรงเอวของเขาถูกอะไรบางอย่างจี้ไว้…


“อย่าขยับ”


เสียงนิ่งๆ ดังมาจากด้านหลัง ทำให้สีหน้าของมู่เฉินที่เดิมตกใจมากอยู่แล้วประหลาดยิ่งกว่าเดิม


“ซย่าจื้อ?”


มู่เฉินกำลังคิดจะหันกลับไป ก็รู้สึกเหมือนถูกต่อยเข้าที่เอวแรงๆ หนึ่งครั้ง


ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาตัวสั่นเทิ้ม ขณะเดียวกันมีดในมือของเขาก็ถูกแย่งไปด้วย


การกระทำที่ชัดเจนนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายไม่ได้กำลังล้อเล่น


แต่ว่า…นี่มันเรื่อง XX อะไรวะ?!


ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งของร้านกาแฟก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นทันใด และเสียงที่ดังปนมา คือเสียงกรีดร้องของสวี่ซูหาน


“อ๊าาาาา…”


สีหน้าของมู่เฉินดูแย่ลงกว่าเดิมทันที เขายังไม่ทันพูดอะไร ก็รู้สึกเหมือนถูกดึงแขนไปไพร่หลังแล้ว จากนั้นเขาก็ถูกลากให้ถอยหลังไปยังช่องบันได


“ซย่าจื้อ นายอยากตายรึไงวะ!”


มู่เฉินคำรามเสียงต่ำ ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือหลิงม่อที่กำลังถูกซอมบี้ยักษ์หญิงวิ่งไล่อยู่ กำลังวิ่งไปทางมุมนั้น…


………..


“แม่ง นายทำบ้าอะไรวะ!”


ขณะเดียวกับที่ถูกลากให้เดินลงข้างล่าง มู่เฉินตะคอกเดือดดาลไปด้วย


“โอ๊ย!”


แผ่นหลังเขาถูกทุบอย่างแรงกอีกครั้ง ทำให้มู่เฉินอดร้องเจ็บปวดออกมาไม่ได้


ต่อมาเขาก็ถูกกดตัวไว้กับผนังอย่างแรง ซย่าจื้อพุ่งเข้ามาประชิดด้านหน้า และยัดปืนเข้าไปในปากเขา


“ฉันเกลียดเวลาแกพูดที่สุด หุบปากซะ ทุกครั้งที่ฉันได้ยินแกพูด ฉันก็ยากจะระเบิดหัวแกซะให้รู้แล้วรู้รอด”


ซย่าจื้อยังคงทำหน้าตายไร้อารมณ์เหมือนเดิม เวลาพูดน้ำเสียงก็ไร้คลื่นอารมณ์


แต่เนื้อหาที่เขาพูดออกมา กลับทำให้มู่เฉินช็อกค้างไปเรียบร้อยแล้ว


“นาย…”


“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้จะทำอะไร” ซย่าจื้อกระตุกมุมปาก “ฉันแค่อยากจะหนีเท่านั้นเอง แต่น่าเสียดาย ที่นี่ไม่ใช่แผนโง่ๆ ของนาย”


“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ ฉันก็แค่ทำไปเพื่อมีชีวิตรอด จะบอกว่าเพื่อชีวิตที่ดีกว่าก็ได้” ซย่าจื้อส่ายหน้าไปมา แต่สีหน้าของเขากลับยากจะดูออกว่าเขากำลังยิ้มหรือไม่


“ถ้าหากไม่ใช่ว่าพวกหลิงม่อแกร่งเกินไป แล้วพวกแกดันอ่อนแอเกินไปล่ะก็ ฉันคงไม่ต้องทำแบบนี้แล้ว ที่เหลือก็ต้องรบกวนแกด้วยแล้วกันนะ”


ซย่าจื้อกระชากผมของมู่เฉินอย่างแรง มู่เฉินถูกเตะเข่าใส่ท้องอย่างจังทำเอาเขาขาอ่อนทรุดลงกับพื้น


“เคร้ง!”


ซย่าจื้อโยนมีดทิ้งลงไปตรงมุมเลี้ยวบันไดของชั้นล่าง จากนั้นเขาก็วิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว


ทว่าก่อนที่เขาจะวิ่งลงไปตรงทางเลี้ยวบันได จู่ๆ เขากลับหยุด แล้วหันมาชูมือให้มู่เฉิน


ชูสองนิ้ว แล้วยังใบหน้าเรียบเฉยนั่นอีก


จากนั้นเขาจึงค่อยวิ่งลงไปอย่างบ้าคลั่ง และหายตัวออกไปจากครรลองสายตาของหลิงม่อ


“แม่เอ็งเถอะ…”


มู่เฉินนอนขดตัวอย่างเจ็บปวด เขาค่อยๆ ลากสังขารไปทางบันได




บทที่ 623 ตีตัวตุ่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนนี้มู่เฉินเสียใจจนแทบอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ในใจก็เอาแต่ด่าตัวเองว่าโง่ไม่หยุด!


ทำไมเขาคาดไม่ถึงเลยล่ะว่าจะลงเอยอย่างนี้! หรือว่า เขาคิดง่ายเกินไปตั้งแต่แรกแล้ว…


อุปสรรคของเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่ความเชื่อใจซึ่งกันและกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่มันยังมีแผนการในใจของคนข้างตัวอีกด้วย


ความรู้สึกที่ถูกหักหลัง และถูกคนปั่นหัวอย่างนี้ ทำให้มู่เฉินเดือดดาลมากกว่าที่เคยผ่านมา เพลิงโทสะนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ถูกหลิงม่อจับเป็นตัวประกันและเบี้ยต่อรองหลายร้อยเท่า


ถ้าหากจนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของซย่าจื้ออีกล่ะก็ สมองของเขาก็คงติดเชื้อไวรัสแล้วล่ะ


ซย่าจื้อไม่เพียงอยากเป็นคนที่หลบหนีไปจากที่นี่ แต่ยังคิดจะฉวยโอกาสคว้าประโยชน์ไว้ด้วย อย่างเช่น…กำจัดขวากหนามอย่างเขา


“หึหึ…ฉันกลับคิดว่ามันกำลังล้อเล่น!”


ถ้าหากไม่ใช่ว่ากำลังเจ็บท้องจนแทบจะตายอยู่แล้ว มู่เฉินอยากจะเอาหมัดต่อยหัวตัวเองแรงๆ ซักหนึ่งที


รู้ทั้งรู้ว่าซย่าจื้อจ้องจะเสียบตำแหน่งของเขาอยู่ แต่เขากลับไม่คิดเอามาใส่ใจ!


แต่เท่าที่ดูแล้ว เรื่องที่เขาไม่ค่อยสนใจ สำหรับซย่าจื้อกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


พอนึกถึงสายตาของซย่าจื้อที่มองเขาอย่างดูแคลนและผยองเต็มที่ แล้วยังมีสัญลักษณ์มือที่สื่อว่าเขาชนะแล้วนั่นอีก…


“แม่งเอ๊ย!”


มู่เฉินพยายามคลานไปจนถึงข้างบันได จากนั้นก็ยกมือขึ้นจับราวบันไดตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน


เขามองไปที่มีดเล่มนั้น แล้วยืดเอวขึ้นอย่างยากลำบาก


ไล่ตามซย่าจื้อ? ไม่ทันแล้ว สภาพของเขาในตอนนี้ตามไม่ทันแน่นอน


ถ้าอย่างนั้น…กลับไปช่วยสวี่ซูหาน? มู่เฉินกันกลับขึ้นไปมองข้างบน


เขาไม่เห็นว่าสวี่ซูหานกำลังทำอะไรอยู่ แต่จากที่ซย่าจื้อพูด เขาก็พอเดาอะไรได้รางๆ แล้ว


ซย่าจื้อไม่เพียงหลอกใช้เขา แต่ยังคิดจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือ ให้ถ่วงเวลาพวกหลิงม่อไว้ซักพัก


และไม่ต้องสงสัยเลย พวกเขาไม่อาจรั้งพวกหลิงม่อไว้ได้ สุดท้ายก็มีแต่จะถูกพวกหลิงม่อฆ่าทิ้งเท่านั้น


และวิธีที่จะทำให้หลิงม่อระเบิดโทสะ และสูญเสียสติก็คือ…


“ทำร้ายผู้หญิงของเขา…” สมองของมู่เฉินคำนวณถึงความเป็นไปได้ที่มากที่สุด ขณะเดียวกันความเย็นก็แผ่ซ่านขึ้นมาจากเท้ากระจายไปทั่วตัว


ซย่าจื้อลงมือได้อำมหิตมาก!


รู้ทั้งรู้ว่าแฟนสาวคือจุดเดือดของหลิงม่อ แต่คนคนนี้ก็ยังเลือกใช้เรื่องนี้ จากนั้นก็หลอกใช้ให้สวี่ซูหานลงมือ


ถ้าเป็นอย่างนี้สวี่ซูหานต้องตายแน่ๆ มู่เฉินที่บาดเจ็บก็คงไม่รอด มีแค่เขาซย่าจื้อที่จะหนีรอดออกไปได้


วิธีที่ดีที่สุดในการหยุดเรื่องนี้ ก็คือต้องทำให้หลิงม่อที่กำลังโมโหเชื่อว่าตัวเขาบริสุทธิ์ให้ได้…


แต่ในสถานการณ์อย่างนั้น เขาจะยอมสงบนิ่งเพื่อฟังเขาอธิบายเรื่องซับซ้อนอย่างนี้จริงหรอ?


เกรงว่าเพิ่งจะได้ยินพวกเขาเปิดปากพูดว่า “จริงๆ แล้วพวกเราวางแผนหนี” หลิงม่อก็คงจะฆ่าพวกเขาทันที


ส่วนอีกหนึ่งวิธี ก็คือช่วยสวี่ซูหานออกมา และอาศัยความวุ่นวายข้างใน พยายามหนีไปอย่างสุดความสามารถ


ถ้าหากจะให้เขาหนีเอาตัวรอดในสถานการณ์อย่างนี้ ก็สู้ฆ่าตัวตายเสียยังจะดีกว่า


“ซย่าจื้อ!”


มู่เฉินเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน กัดฟันกรอดแล้วคำรามเสียงดัง “ถ้าหากฉันยังไม่ตาย ก็รอดูวันที่ฉันจะจับแกโยนให้ซอมบี้กินเถอะ!”


จากนั้นเขาก็จับด้ามมีดแน่น ร้อง “ว๊าก” เสียงดัง แล้ววิ่งขึ้นไปข้างบน…


“ฟู่ว!”


ใต้แสงจันทร์ เงาร่างหนึ่งวิ่งเข้าไปในซอยเล็กๆ เส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยืนพิงผนัง พลางหอบหายใจเร็วระรัว


เขาเงยหน้าขึ้น แล้วมองออกไปยังตึกเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล


บนระเบียงชั้นสาม ซอมบี้ยักษ์น่ากลัวตัวนั้นยังคงทุบกำแพงดัง “ปึงปังๆๆ” อย่างต่อเนื่อง บางครั้งมันก็กระโดดขึ้นลงเหมือนลิง เพื่อหลบการโจมตีที่มาจากด้านในอาคาร


และเสียงโครมครามที่ดังออกมาจากด้านในอย่างต่อเนื่องนั้น ก็ดังมากพอที่จะทำให้เดาได้ว่าข้างในกำลังวุ่นวายกันขนาดไหน


เมื่อเสียงตะโกนของผู้ชายดังกึกก้องออกมา ไม่นานก็เงียบลงหลังจากกรีดร้องทรมาน ใบหน้าไร้อารมณ์ของเงาร่างนี้ก็เผยรอยยิ้มออกมา


“ขอบใจนะ” เขาฉีกยิ้ม แล้วพูดเสียงเบา


หลังก้มหน้ามองปืนในมือแวบหนึ่ง ซย่าจื้อก็หันไปมองรอบตัว


“จะเล่นทั้งที ก็ต้องเล่นให้ใหญ่หน่อย…” ซย่าจื้อพึมพำกับตัวเอง “ใช่ไหมล่ะ?”


เขาหันไปมองหน้าต่างบานนั้นอีกครั้ง จากนั้นหมุนตัว และหายเข้าไปในซอยเล็กๆ เส้นนั้นไปอย่างรวดเร็ว…


………..


“โอ๊ย!”


มู่เฉินร้องลั่นเจ็บปวด เขากุมท้องแล้วล้มลงไปกับพื้น


ทว่าสายตาของเขากลับจ้องเม็งไปยังเบื้องหน้า ปากก็อ้ากว้างจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งฟอง “ทะ…ทำไมกัน?”


“ขอโทษที…” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับเป็นสวี่ซูหานที่เพิ่งจะใช้ด้ามปืนทุบเขา แถมตอนนี้เธอก็ยังทำหน้ารังเกียจเขา…


และในอาคาร ก็ยังคงเต็มไปด้วยเสียงดังวุ่นวาย แถมยังรุนแรงกว่าเมื่อกี้อีกต่างหาก…


ซอมบี้เจ้าเมืองสองตัวนี้รับมือยากมากจริงๆ ไม่เพียงตัวใหญ่ยักษ์เท่านั้น แต่ด้านอื่นๆ ก็ยังแข็งแกร่งว่าซอมบี้ธรรมดามากอีกด้วย


ทว่าการที่พวกมันมัวแต่ถ่วงกันไปถ่วงกันมากลับเปิดโอกาสให้หลิงม่อ ไม่นานหลิงม่อก็นึกวิธีที่จะฆ่าพวกมันได้


“รุมโจมตีตัวหนึ่งก่อน พอโจมตีตัวนี้จนบาดเจ็บ อีกตัวก็จะคลั่งขึ้นมาเอง แล้วถึงเวลานั้นพวกเราค่อยหันกลับไปโจมตีตัวนั้น สรุปคือตัวไหนคลั่งให้โจมตีตัวนั้น เหมือนเกมทุบตัวตุ่น เพียงแต่พวกเราสามารถควบคุมได้ว่าตัวไหนจะโผล่หัวออกมาให้ทุบก่อน” หลิงม่อหลบหลีกการโจมตีจากซอมบี้ยักษ์หญิง พลางตะโกนบอก


“เป็นแผนที่ชั่วร้ายมาก…”


“แต่เธอชอบใช่ไหมล่ะ?” หลิงม่อตัดบทซย่าน่าอย่างรวดเร็ว


ซย่าน่ายิ้มบางๆ จากนั้นก็ใช้การกระทำตอบคำถามเขา เธอยกเคียวดาบขึ้นสูง และฟันไปที่แผ่นหลังของซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้นทันที “ฮาโหล ซอมบี้มินนี่!”


“โฮกกก!”


สัมผัสอันตรายจากข้างหลัง ทำให้ซอมบี้ยักษ์หญิงรีบหันไปยกฝ่ามือตบออกไปทางซย่าน่าอย่างรวดเร็ว


แต่ซย่าน่าที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศกลับหัวเราะ “คิกคิก” ร่างกายของเธอพลันลอยขึ้นสูง จนติดอยู่กับเพดาน


“ไม่ได้มีแค่พวกแกที่เป็นผัวเมียกันหรอกนะ!” หลิงม่อตะโกน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปกระชากสุดแรง


ซอมบี้หญิงตัวนั้นยังยืนไม่ทันมั่นคง ก็ถูกกระชากเท้าอย่างแรง ร่างกายของมันจึงเซไปเซมาทันที


และซย่าน่าที่ลอยอยู่กลางอากาศรีบพุ่งลงมาทันที เคียวดาบถูกฟันลงไปบนหัวไหล่ของซอมบี้ยักษ์หญิงอย่างแรง เลือดสีแดงพุ่งกระฉูดไปทั่ว


ซอมบี้ยักษ์หญิงที่ได้รับบาดเจ็บกรีดร้องเสียงแหลม และนั่นก็ได้ไปกระตุ้นซอมบี้ยักษ์ชายที่ยังคงอยู่นอกหน้าต่าง


“ระวัง! ซอมบี้มิกกี้!” หลิงม่อตะโกนเตือนเสียงดัง


“โฮกกกก!!”


ซอมบี้ยักษ์ชายคำรามเสียงก้อง มันใช้มือตะครุบของหน้าต่าง เสียง “แกร๊กๆๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งผนังก็เกิดรอยแยกเป็นเส้น


มันถูกกันให้อยู่ข้างนอกมาโดยตลอด และตอนนี้พอได้ยินเสียงซอมบี้ยักษ์หญิงได้รับบาดเจ็บหนักกันอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดมันก็คลุ้มคลั่ง


ด้วยพละกำลังของมัน หากมันกระชากขอบหน้าต่างนานกว่านี้อีกหน่อย เป็นไปได้มากว่าผนังอาจถล่มลงมาจริงๆ


แต่หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของหลิงม่อ เงาร่างหลายเงาก็ได้พุ่งเข้าไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้าซอมบี้ยักษ์ชายทันที จนทำให้ซอมบี้ยักษ์ชายต้องเงยหน้าขึ้นมอง


ร้อยบุปผาบานสะพรั่งของหลี่ย่าหลิน ก่อกวนศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อซอมบี้ยักษ์ชายพุ่งเป้าโจมตีไปที่เธอแทน รุ่นพี่ก็โฉบตัวหายวับไป พริบตาเดียวเธอก็ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังในจุดที่ห่างออกไปหลายเมตร และหลบการโจมตีอันคลุ้มคลั่งของซอมบี้ยักษ์ชายได้พอดี


และระหว่างคำรามเดือดดาล ซอมบี้ยักษ์ชายกลับไม่ทันสังเกตเห็น ว่ารูปืนสีดำสนิทกำลังจ่อไปที่หัวของมัน


“ฟึ่บ!”


กระสุนเจาะทะลุเนื้อ หยาดเลือดสีแดงฉานกระจายไปทั่ว ร่างกายท่อนบนของซอมบี้ยักษ์ชายโน้มเอียงไปข้างหลัง มันยังไม่ทันล้มลงไป เงาร่างหนึ่งก็ไปปรากฏตัวอยู่ด้านบนของหน้าต่างแล้ว


หลี่ย่าหลินห้อยหัวลงมาจากบนหน้าต่าง จูบอสรพิษเฉือนผ่านลำคอของซอมบี้ยักษ์ชายอย่างรวดเร็ว


ท่ามกลางเลือดสดๆ ที่ทะลักออกมา เธอจิกผมของซอมบี้ยักษ์ชายแน่น จากนั้นก็ตีลังกาตลบหลังกลางอากาศ เหวี่ยงมันเข้าไปในอาคารอย่างแรง


เมื่อถูกโจมตีต่อเนื่องและได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายของซอมบี้ยักษ์ชายก็กระตุกสั่นไม่หยุด แต่ไม่นานมันต้องสิ้นลมอย่างแน่นอน


เมื่อหลี่ย่าหลินย่อกายลงไปอย่างรวดเร็ว และใช้มีดแทงไปที่ศีรษะด้านหลังของ๙อมบี้ยักษ์ชาย ทันใดนั้นซอมบี้ยักษ์หญิงก็กรีดร้องออกมาอย่างทรมานแสนสาหัส


“โฮกกกกก!”


มันพลิกตัวแล้วกระโดดขึ้นจากพื้น จากนั้นก็ยกมือกระชากแขนอีกข้างที่ถูกฟันจนห้อยต่องแต่งอยู่ข้างลำตัวทิ้ง


เลือดที่พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งย้อมร่างกายครึ่งท่อนของมันจนแดงไปหมด ทว่านั่นกลับยิ่งกระตุ้นให้ดวงตาของมันแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม


ทว่าหลังจากที่ซอมบี้ยักษ์หญิงคลุ้มคลั่ง มันกลับไม่ได้เลือกที่จะโจมตีพวกเขา แต่หันไปวิ่งเข้าใส่ศพของซอมบี้ยักษ์ชายแทน


หลี่ย่าหลินหลบออกไปอย่างรู้เท่าทัน แต่ในมือของเธอกลับมีไวรัสนางพญาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งก้อนแล้ว


เห็นซอมบี้ยักษ์หญิงพุ่งเข้าไปราวกับรถถัง หลิงม่อถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว


เขารู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาทันที การเคลื่อนไหวที่หมายจะโจมตีชะงักลงทันที บางทีสัตว์ประหลาดพวกนี้ อาจไม่ได้สูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปก็ได้…


“โฮกกกกก!”


ซอมบี้ยักษ์หญิงกระชากศพของซอมบี้ยักษ์ชายขึ้น จากนั้นก็ชูขึ้นกลางอากาศ


“เอ๋?” หลิงม่อรู้สึกใจคอไม่ดีโดยสัญชาตญาณทันที เขาเบิกตากว้างแล้วมองซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนั้น “เฮ้ยๆๆๆ…”


“แคว่ก!”


แขนทั้งสองข้างของศพถูกกระชากจนหลุดอย่างแรง จากนั้นก็ร่างกายส่วนที่เหลือก็ถูกขว้างมาทางพวกหลิงม่อดัง “สวบ”


“เชี่ยยยย!”




บทที่ 624 การกลืนกินจากเงา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ระเบิดซากศพลอยลงมาจากข้างบนพร้อมหยดเลือดที่สาดกระจายไปทั่ว ภาพที่เห็นทำเอาหลิงม่อหน้าถอดสีครั้งใหญ่


ทันใดนั้นเขาตระหนักได้ว่า ตัวเองเข้าใจบางอย่างผิดอย่างมหันต์…บางทีในสัญชาตญาณของซอมบี้สัตว์ป่าพวกนี้อาจมีอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ แต่วิธีการคิดของพวกมันไม่เหมือนกับมนุษย์อย่างแน่นอน


อย่างเช่นซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนี้ พฤติกรรมของมันไม่มีวันที่มนุษย์จะเข้าใจได้!


“นั่นคู่ครองของแกไม่ใช่เรอะ! ใช้ประโยชน์จากร่างกายของมันขนาดนั้นไม่เหมาะสมมั้ง เฮ้ย!”


ไม่เพียงแค่กระชากแขนหลุดเท่านั้น แต่ยังขว้างศพเข้ามาอีก!


แถมการขว้างศพครั้งนี้ก็ช่างปาได้ฉลาดลึกล้ำเหลือเกิน!


ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากถูกร่างกายขนาดมหึมาของซอมบี้ยักษ์ชายทับจะเป็นอย่างไร ถึงแม้จะหลบได้ แต่ยังมีเลือดมากมายที่พุ่งกระฉูดออกมาจากแผลแขนขาดของมันนั่นอีกล่ะ!


แค่เพียงเลือดพวกนั้นกระเด็นเข้าตาหรือปากของหลิงม่อเพียงหยดเดียว เขาจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่นอน


นั่นมันซอมบี้ระดับเจ้าเมืองเลยนะ! ถึงจะเป็นหลิงม่อ ก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายในสถานการณ์อย่างนี้


เขารีบโฉบกายหลบออกไปด้านข้างทันที ขณะเดียวกันก็รีบดึงเสื้อขึ้นเพื่อคลุมศีรษะตัวเองให้มิด


ซอมบี้ยักษ์หญิงคิดจะหนีจริงๆ แต่ตอนนี้มันไม่อาจเอาชนะศัตรูที่มีมากกว่าได้…


ถึงแม้ระเบิดซากศพที่มันขว้างออกมาจะกำจัดหลิงม่อได้ชั่วคราว แต่ก็ยังมีซอมบี้สาวอีกสามตัว…


ขณะเดียวกับที่หลิงม่อหลบออกไป เขาก็ได้แผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกไปกางตาข่ายให้พวกเธอ ขณะเดียวกับที่หยิบยื่นทางหลบให้พวกเธอ เขาก็ดีดร่างพวกเธอให้ตามซอมบี้ยักษ์หญิงที่กำลังจะพุ่งไปทางหน้าต่างได้ทันเวลา


เขาเพิ่งเรียนรู้วิธีนี้สดๆ ร้อนๆ โดยมีต้นฉบับซึ่งก็คือ “ระเบิดซากศพ”


ซอมบี้สาวสามตัวดิ่งลงมาจากกลางอากาศ และหยุดซอมบี้ยักษ์หญิงได้ทันเวลา เมื่อแขนขาดไปข้างหนึ่ง และไม่มีความช่วยเหลือจากซอมบี้ยักษ์ชาย บวกกับการเข้าร่วมครั้งสุดท้ายของหลิงม่อ มันจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว


หลายนาทีต่อมา ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันยุ่งเหยิง หลิงม่อยื่นมือออกไปรับไวรัสนางพญาของซอมบี้เจ้าเมืองสองก้อนมาจากเย่เลี่ยน


เมื่อเห็นการตกผลึกของเชื้อไวรัสอันบริสุทธิ์ สายตาของหลิงม่อก็ดูร้อนรุ่มขึ้นมา


เหงื่อที่ไหลท่วมตัวตอนนี้ ถือว่าไม่เสียเปล่า …


และอาจเป็นเพราะขนาดของร่างกาย ขนาดของนางพญาสองก้อนนี้จึงได้ใหญ่ผิดปกติตามไปด้วย


เมื่อเทียบกับนางพญาของซอมบี้เจ้าเมืองที่หลิงม่อเคยได้มา สองก้อนนี้ใหญ่ขึ้นประมาณหนึ่งในสาม และระดับความบริสุทธิ์ก็สูงกว่ามากด้วย


เมื่อเป็นอย่างนี้ เชื้อไวรัสก็เหมือนกับน้ำมันที่เป็นแรงขับเคลื่อนของซอมบี้จริงๆ และนางพญาก็เป็นเหมือนเครื่องยนต์


นางพญาที่ใหญ่และบริสุทธิ์ยิ่งกว่า จึงจะสามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า


“เดี๋ยวๆๆๆ…” หลิงม่อตบมือหลี่ย่าหลินที่แอบยื่นเข้ามาเงียบๆ จากนั้นก็เอานางพญาสองก้อนเก็บติดตัวทันทีท่ามกลางสายตาคาดหวังของซอมบี้สาวสามตัว


“ตอนนี้ไม่ได้” หลิงม่อยกมือขึ้นเช็ดมุมปากให้เย่เลี่ยน


เบ่เลี่ยนเบิกตากว้าง จากนั้นก็ขยับปากไปมาเล็กน้อย และแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก


หลังเก็บนางพญาเสร็จ หลิงม่อก็ยกมือปาดเหงื่อ จากนั้นก็หันไปมองทางประตูทางเข้าร้านกาแฟ…


ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่กำลังรอให้เขาไปจัดการ…


ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ขณะที่สวี่ซูหานยกปืนขึ้นเล็งไปทางเย่เลี่ยน ร่างกายของเธอก็กระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่


อาจเป็นเพราะความหวาดกลัวเมื่อกี้ยังไม่หายไป…สวี่ซูหานคิดอย่างนี้ในใจ


แต่ความรู้สึกที่อย่างไรก็ไม่อาจกดนิ้วลงบนไกปืนนี้ กลับทำให้จิตใจของสวี่ซูหานเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย


ความจริงภารกิจของเธอไม่ได้ซับซ้อนเลย—พยายามโจมตีเย่เลี่ยนให้บาดเจ็บมากที่สุด เพื่อหลอกล่อความสนใจจากพวกหลิงม่อ…จะให้ดีที่สุด ก็ฆ่าเธอเลยยิ่งดี


แต่ตอนนี้ในขณะที่มองแผ่นหลังของเย่เลี่ยน สวี่ซูหานกลับทำใจลงมือไม่ได้


แต่ว่า มันคือโอกาส และเธอก็ต้องทำ…


“อ๊าาา!”


สวี่ซูหานตะโกนลั่นเสียงดัง แต่สุดท้ายเธอก็ยกปากปืนขึ้นฟ้า ยิงไปที่โคมไฟเหมือนต้องการระบายอารมณ์


ทว่าเมื่อเธอก้มหน้าลงมา ด้านหน้าก็มีใครคนหนึ่งยืนอยู่แล้ว หลิงม่อ…


แม้กระทั่งเย่เลี่ยนที่เมื่อกี้ยังดูเหมือนไม่มีท่าทีระวังเธอเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอคนนั้นก็ไปปรากฏตัวอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง


พริบตาเดียว ขณะเดียวกับที่สวี่ซูหานถอนหายใจยาวๆ เธอก็รู้สึกเหมือนเย็นสะท้านไปทั้งตัว


……….


“ดังนั้นนายก็เลยรู้หมด?” มู่เฉินหันไปมองหลิงม่อที่ยืนพิงประตูอยู่


“ก็ประมาณนั้น…” หลิงม่อลูบจมูก “พวกนายต้องคิดตะหนีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่พวกนาย…หักมุมมาก ฉันนี่ตกใจไม่เบาเลยล่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้พวกนายคงไม่อยากหนีอีกแล้วใช่ไหม?”


“แค่นี้ขีวิตฉันก็ลำบากมากพอแล้ว…ช่วยอย่ามาถากถางซ้ำเติมกันได้ไหม?!” มู่เฉินตอกกลับเขาพร้อมหน้าตาบูดบึ้ง จากนั้นก็หันไปมองสวี่ซูหาน


ขณะที่ทั้งสองมองตากัน ต่างคนต่างอ่านอารมณ์ “หงุดหงิด” จากสายตาอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน


คนหนึ่งถูกทิ้ง คนหนึ่งถูกหลอก ความรู้สึกของพวกเขาสองคนในตอนนี้เห็นชัดว่าแย่ถึงขีดสุด


กลับกลายเป็นหลิงม่อผู้อยู่ใจกลางวังน้ำวนที่ยังคงสงบนิ่ง ไม่แม้กระทั่งบันดาลโทสะ นั่นทำให้มู่เฉินและสวี่ซูหานรู้สึกละอายใจเล็กน้อย แต่พอคิดดูดีๆ ก็โล่งใจมากกว่า


อาจเป็นเพราะหลิงม่อไม่เก็บเรื่องที่พวกเขาสร้างปัญหามามองเป็นเรื่องใหญ่ ถึงได้ดูเฉยๆ อย่างนี้…


แต่ทำไมพอคิดอีกทีแล้วกลับรู้สึกว่ามันน่าเศร้าล่ะ? มู่เฉินร่ำร้องอยู่ในใจ


จู่ๆ เขาก็หันไปมองสวี่ซูหานแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “แต่ว่า ทำไมเธอต้องทุบฉันด้วย?”


“ซย่าจื้อบอกว่าให้ฉันโจมตีเย่เลี่ยนเพื่อทำให้หลิงม่อเสียสมาธิ จากนั้นพวกนายจะลอบโจมตีเขา ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายทำเรื่องโง่ๆ” สวี่ซูหานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“เอาเถอะ…ถึงจะเจ็บมาก แต่ฉันให้อภัยเธอ แต่ฉันก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ ทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัยอีกครั้ง


เรื่องนี้คือเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากสวี่ซูหานลงมือจริงๆ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ป่านนี้พวกเขาคงจบเห่ไปนานแล้ว


สวี่ซูหานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ฉันไม่รู้…”


“นี่คือความผิดพลาดของซย่าจื้อ เขาควรจะให้เธอไปลอบโจมตีหลิงม่อ” จู่ๆ มู่เฉินก็มองไปทางหลิงม่อ แล้วบอกว่า “ทำอย่างนั้นแผนทิ้งเพื่อนของเขาจึงจะสมบูรณ์”


สวี่ซูหานเองก็เงยหน้ามองหลิงม่อ แต่ไม่นาน เธอก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง


“เธอ…” มู่เฉินนิ่งไป แล้วมองสวี่ซูหานอย่างตะลึง จากนั้นก็เบิกตากว้างหันไปมองหลิงม่อ


“เอ่อ…” จู่ๆ หลิงม่อก็เปิดปาก ตัดบทมู่เฉิน “แล้วแผนของพวกนายตอนนี้คืออะไร?”


เพิ่งจะพูดจบ หลิงม่อกลับรู้สึกว่าจู่ๆ ข้างหลังก็สว่างวูบวาบขึ้นมา


เขาหันกลับไปมองข้างนอกอย่างตะลึงเล็กน้อย


และพอมองออกไป สีหน้าของเขาก็บูดบึ้งขึ้นมาทันใด


“ซย่าจื้อของพวกนายนี่ ใจคอโหดเหี้ยมจริงๆ เลยนะ…” หลิงม่อพูดอย่างเย็นชา


เวลานี้ เปลวเพลิงกำลังโหมไหม้อยู่นอกหน้าต่าง !


“เคร้งคร้างๆ!”


ซย่าจื้อทิ้งถังน้ำมันลงบนดาดฟ้า จากนั้นก็มองไปรอบๆ


ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน จุดสว่างสีแดงๆ มากมายกำลังเข้ามาใกล้ตึกแห่งนี้อย่างรวดเร็ว


เหล่าซอมบี้ที่กำลังวิ่งเข้ามาตามถนนเพื่อพุ่งใส่เปลวเพลิง ถึงแม้ไม่ได้แกร่งเท่าซอมบี้เจ้าเมืองสองตัวนั้น แต่ด้วยจำนวนของพวกมัน กลับสามารถสร้างปัญหาให้ยุ่งยากกว่าเดิม


ภาพนี้มากพอที่จะทำให้ผู้รอดชีวิตคนอื่นแข้งขาอ่อนได้ แต่กลับทำให้ซย่าจื้อเผยรอยยิ้มออกมา


รอยยิ้มนั้นบนใบหน้าเขาปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และดูหยิ่งผยองได้ใจมากผิดปกติ…


“พวกแกคงคิดว่าฉันจะหนีสินะ?” จู่เขาก็ฉีกยิ้ม “แต่ฉันไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนพวกแกหรอกนะ…”


หลังจากพึมพำกับตัวเอง เขาก็ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง จากนั้นก็กำหมัดแน่นทันที


ความรู้สึกที่สามารถกุมชะตาชีวิตคนอื่นไว้ในมือ ช่างดีเหลือเกิน!


ใครเล่าจะคิดว่าก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิด เขาเป็นเพียงแค่ชายคนหนึ่งที่วันๆ ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าหัวหน้า กลับบ้านก็ยังต้องเผชิญหน้ากับเสียงบ่นและทะเลาะ?


ตอนที่ภัยพิบัติเกิดขึ้น ตอนแรกเขาเองก็หวาดกลัว และสิ้นหวังมากเหมือนกัน…


แต่เมื่อความสามารถพิเศษในตัวถูกปลุกตื่น เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว


บางที…นี่อาจจะเป็นโอกาส โอกาสที่จะทำให้เขาหลุดพ้นออกมาจากชีวิตที่ไร้ความน่าตื่นเต้น และน่าเบื่อสุดนั่น!


แต่ความคิดนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่นานซย่าจื้อก็ค้นพบว่า เมื่อเทียบกับคนที่อยู่รอบตัวแล้ว ตัวเองยังคงไม่เป็นที่สะดุดตาอยู่ดี


เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด! ไม่ใครสนใจเขา เวลาเดินอยู่บนถนนก็ไม่มีใครเหลียวมองเขาซักนิด เวลาอยู่ในบริษัทก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาซักคน!


ซย่าจื้อเคยคลุ้มคลั่ง และเคยหงุดหงิด แต่ไม่นาน เขาก็นึกวิธีดีๆ ออก


ในเมื่อไม่มีใครสนใจเขา ถ้าอย่างนั้น…เขาก็ซ่อนตัวเองไว้ให้มิดชิดก็แล้วกัน!


ทว่าขณะเดียวกับที่ซ่อนตัว เขาก็กำลังใช้ประโยชน์จากการเสแสร้งนี้ เพื่อค่อยๆ เข้าใกล้พวกโง่ที่สำคัญตัวเองนักหนา แต่กลับไม่ระวังตัวแม้แต่น้อย


ก็เหมือนกับว่าเขากำลังรับบทเป็นเงามาโดยตลอด จากนั้นจู่ๆ ก็เกิดคลุ้มคลั่งแล้วกลืนกินคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้า!


“คนอย่างพวกแก ต้องมีคนคอยเป็นตัวประกอบให้เสมอสินะ? แต่ความรู้สึกที่ถูกตัวประกอบผลักลงเหวอย่างนี้ เป็นไงบ้างล่ะ?”


ซย่าจื้อหัวเราะเย็นชา พลางส่ายหัวไปมา


ทว่าอาศัยแค่ผลักสวี่ซูหานและมู่เฉินตกลงไปในเหว ไม่มีวันเพียงพอแน่นอน…


ซย่าจื้อขยับปากไปมา แล้วพึมพำชื่อของใครคนหนึ่งออกมาเบาๆ “หลิงม่อ”


“ดื่มด่ำกับมันให้เต็มที่” พูดไป เขาก็เล็งปืนไปที่เชือกเส้นหนึ่งตรงข้างๆ เท้า


“สวบ!”


ท่ามกลางเสียงแหวกอากาศแหลมๆ ดอกไม้ไฟกลุ่มใหญ่พลันระเบิดในพริบตา ส่องแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้า




บทที่ 625 ฝ่าวงล้อม

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวลานี้ พวกหลิงม่อได้พุ่งตัวไปที่หน้าต่างแล้ว


ขณะเดียวกับที่ดอกไม้ไฟระเบิด พวกเขาก็มองเห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ดาดฟ้า


ทว่าขณะที่เย่เลี่ยนยกปืนขึ้น คนคนนั้นก็ได้ดึงประตูดาดฟ้าปิดอย่างช้าๆ


มุมนี้สามารถบังร่างเขาได้ทั้งร่าง เย่เลี่ยนจึงทำได้เพียงลดแขนลงอย่างช่วยไม่ได้


สวี่ซูหานเองก็เช่นกัน แต่การเคลื่อนไหวของเธอช้ากว่าเย่เลี่ยนหนึ่งก้าว


สีหน้าเวลาเธอมองซย่าจื้อ แสดงออกถึงความสับสน ไม่เหมือนกับความโกรธขึ้งของมู่เฉิน


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ บานประตูที่กำลังปิดลงช้าๆ ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง


ท่ามกลางสายตาของทุกคน มือข้างหนึ่งยื่นออกมานอกประตู จากนั้นก็โบกมาทางพวกหลิงม่อช้าๆ


“ชิบ!”


มู่เฉินพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างแรง พลางสบถด่าอย่างโมโห


“ปัง!”


ดอกไม้ไฟอีกลูกระเบิดได้เวลาเหมาะเจาะ และหลังจากประกายดอกไม้ไฟที่เจิดจ้าแยงตาจางหายไป บนดาดฟ้าก็ไร้เงาคนแล้ว


“แม่มันเถอะ!” มู่เฉินกัดฟันกรอดและสบถด่าหยาบคาย “มันยังกล้ากลับมาอีก!”


“ทำไมจะไม่กล้า? เขาเตรียมตัวมานานแล้ว และยังระวังตัวมากอีกด้วย” หลิงม่อหรี่ตามองดาดฟ้าตรงข้าม “พวกนายคงไม่ต้องพูดถึง เขาต้องรู้จักพวกนายดีมากอย่างแน่นอน และที่ผ่านมา เขาอยู่กับพวกเราตลอดเวลา อย่างน้อยเขาก็คงเดาสถานการณ์ได้บ้างล่ะ”


พูดไป จู่ๆ หลิงม่อก็ยื่นตัวออกไปข้างนอก แล้วเอื้อมมือไปดึงสายไฟหนาๆ เส้นหนึ่งมา แสงสว่างจากไฟทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปลายสายอีกด้านของสายไฟห้อยลงไปบนพื้น


“แม้แต่ทางเดินสายไฟระหว่างอาคารสองหลัง เขาก็ยังตัดมันทิ้ง ดูท่าแล้วเขาไม่เพียงแต่ระวัง แต่ยังรอบคอบคิดมากด้วย”


ไม่ว่าจะเป็นหลิงม่อหรือว่าสามสาวซอมบี้ ล้วนสามารถปีนป่ายไปยังอาคารตรงข้ามโดยอาศัยสายไฟแบบนี้ วิธีนี้พวกเขาเคยใช้ตอนที่หลบเลี่ยงซอมบี้ แต่ในสถานการณ์คับขันอย่างนี้อีกฝ่ายกลับยังจำมันได้ขึ้นใจ บอกได้เลยว่าคนคนนี้ใจเย็นจนน่ากลัว


“เรื่องสุดท้าย” หลิงม่อหันกลับมา พลางแสยะยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเขาตัดสินใจย้อนกลับมาฆ่าซ้ำสอง ก็แสดงว่าแผนการของเขาไม่ได้แค่ต้องการหลบหนี รวมถึงกำจัดพวกนายทิ้งเท่านั้น”


“แล้วเขาคิดจะทำอะไรอีก?” มู่เฉินถามพร้อมเบิกตากว้าง


หลิงม่อยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง แล้วบอกว่า “กำจัดฉัน”


“แต่ว่า…” สวี่ซูหานอ้าปากอย่างลังเล แล้วพูดเสียงเบาว่า “ไม่แน่ว่าเขาอาจแค่อยากหยุดพวกนายไว้?”


“หึหึ” หลิงม่อเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วบอกว่า “ดอกไม้ไฟทั้งสว่างและเสียงดังขนาดนั้น คิดว่ามีแค่ซอมบี้หรอที่จะถูกดึงดูดเข้ามา?”


พอเขาพูดคำนี้ออกไป บรรยากาศพลันเงียบกริบขึ้นมาทันที


สีหน้าของมู่เฉินช็อกหนักยิ่งกว่าเดิม ส่วนสวี่ซูหานก็ถอนหายใจ แล้วทำท่าคอตก


มีเพียงพวกเย่เลี่ยนที่ก้มหน้าลงไปมองเปลวเพลิงข้างล่าง รวมถึงดอกไม้ไฟที่ระเบิดลูกแล้วลูกเล่า


ถึงแม้ว่าในความทรงจำมนุษย์ พวกเธอต้องเคยเห็นดอกไม้ไฟมาแล้ว แต่พอได้มาเห็นภาพอย่างนี้อีกครั้งหลังจากกลายร่างแล้ว ความรู้สึกย่อมแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


เดาว่าเวลามนุษย์ปกติดูดอกไม้ไฟ คงจะไม่มองด้วยสายตากระหายการเข่นฆ่า แต่ซอมบี้เป็นอย่างนั้น…


สามสาวซอมบี้ผู้เต็มไปด้วยรังสีเข่นฆ่ายืนอยู่ตรงหน้าบานหน้าต่าง และกำลังเบิกตากว้างจ้องดอกไม้ไฟบนท้องฟ้ายามค่ำคืน…


“เขาบ้าไปแล้ว” ผ่านไปครู่ใหญ่กว่ามู่เฉินจะเค้นคำนี้ออกมาได้


“แค่กำจัดพวกนาย ทำให้เขาได้แค่การเลื่อนตำแหน่งในนิพพานสาขาย่อย แล้วยังมีปัญหาหลงเหลืออยู่อีก แต่ถ้าหากฆ่าฉันซะ ก็จะสามารถกำจัดต้นตอของปัญหา แล้วยังได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม พอคำนวณดูแล้ว ได้ผลประโยชน์มากกว่าอันตราย” หลิงม่อบอก


คำพูดของหลิงม่อทำให้มู่เฉินและสวี่ซูหานต่างเงียบไปทั้งคู่ ถึงแม้พวกเขาจะนึกเรื่องนี้ได้แล้ว แต่พอได้ยินหลิงม่อพูดออกมาจากปาก กลับยังคงรู้สึกมึนตึ๊บไปหมด


“รีบไปกันเถอะ ถ้ายังไม่ไปอีกก็คงจะไม่ทันแล้ว” หลิงม่อก้มหน้ามองข้างล่าง แล้วบอก


พวกมู่เฉินเองก็มองออกไปด้วย สีหน้าของพวกเขาดูย่ำแย่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้


เปลวไฟลุกโหมหนักขึ้นเรื่อยๆ ซอมบี้ที่วิ่งมาจากรอบทิศมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าซอมบี้พวกนี้จะยังตามหาพวกเขาไม่เจอ แต่พวกมันกลับถูกเปลวเพลิงดึงดูดให้เข้ามาใกล้บริเวณร้านกาแฟ


ทันทีที่พวกเขาโผล่หน้าออกไป สิ่งที่จะต้องเผชิญก็คือการล้อมโจมตีจากซอมบี้จำนวนมหาศาล


เหมือนเกมตีตัวตุ่นรอบใหม่ เพียงแต่พวกเขากลายไปเป็นตัวตุ่นผู้โชคร้ายเท่านั้นเอง และสิ่งที่ใช้ทุบพวกเขาไม่ใช่ค้อนธรรมดา แต่เป็นกรงเล็บอันแหลมคมของซอมบี้


“แต่ว่าซย่าจื้อ…” มู่เฉินขบกรามแล้วพูดเสียงลอดไรฟัน แม้ในสถานการณ์อย่างนี้ เขาก็ยังไม่อยากปล่อยซย่าจื้อให้ลอยนวลไป


โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าตัวเองต้องเอาตัวรอดอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางวงล้อมซอมบี้ แต่ซย่าจื้อกลับหน้าระรื่นวิ่งกลับไปนิพพานสาขาย่อย เขาทำใจลืมความโกรธแค้นนี้ไม่ลงจริงๆ


ทว่าพอเขามองไปทางหลิงม่อ กลับค้นพบอย่างตกตะลึงว่าเจ้าหมอนั่นยังคงยิ้มหน้าบานได้อยู่อีก


สถานการณ์อย่างนี้ก็ยังยิ้มออกมาได้?!


พอเห็นมู่เฉินทำหน้าตกใจจนเบ้าตาแทบถลนออกมาจากเบ้า หลิงม่อกลับพูดเพียงว่า “เขาหนีไปไหนไม่รอดหรอก”


“…ไหนนายลองบอกซิว่าหยุดสถานการณ์นี้ได้อย่างไร? แค่จะเอาตัวรอดยังยากเลย…”


มู่เฉินเพิ่งจะอุทานในใจ แต่ไม่นานก็ได้ยินหลิงม่อพูดขึ้นมาว่า “เรื่องที่พวกนายวางแผนเล่นงานฉัน ฉันยังไม่ลืมหรอกนะ แต่ตอนนี้มาร่วมมือกันก่อน…”


“ค่อยคิดบัญชีหลังเรื่องจบเถอะ” สวี่ซูหานพูดแทรก เขาเงยหน้ามองหลิงม่อ แล้วบอกว่า “มีเงื่อนไขอะไร ถึงเวลานั้นขอแค่บอกมา อะไรก็ได้ที่นายพอใจ แต่ถ้าหากพวกเรามีชีวิตรอดไม่พ้นคืนนี้ พูดเรื่องพวกนี้ไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร”


หลังพูดจบ เธอไม่รอให้หลิงม่อตอบ แต่กลับเดินผ่านหลิงม่อไปเลย


เสี้ยววินาทีที่เดินเฉียดไหล่กัน หลิงม่อก็ได้ยินเสียงพูดเบาๆ “ฉันไม่ได้อยากฆ่านาย”


“อ่า…” หลิงม่อยกมือขึ้นลูบจมูกด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็หันไปมองแผ่นหลังของสวี่ซูหาน


สวี่ซูหานในตอนนี้ กับตอนที่เขาเพิ่งเจอเธอเหมือนจะมีอะไรแตกต่างกันมาก เสียงฝีเท้าที่ไม่ต่างอะไรจากเวลาปกติ ตอนนี้กลับดูเหมือนหนักอึ้งเหลือเกิน…


อาคารหลังนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟได้ถูกเปลวเพลิงและฝูงซอมบี้ห้อมล้อมไว้จนมิดแล้ว พวกหลิงม่อเพิ่งจะวิ่งลงไปถึงชั้นสอง ก็ถูกควันสีดำและซอมบี้อีกสามสี่ตัวต้อนให้ถอยกลับขึ้นไปดังเดิม


“ไปบนดาดฟ้า!” หลิงม่อนำทุกคนวิ่งกลับทางเดิม


แสงไฟฉายที่ส่ายไปส่ายมาไม่หยุดส่องไปยังช่องบันไดอันมืดมิด และตอนนี้ด้านนอกมีแต่เสียงดังวุ่นวายเต็มไปหมด


“ปุ้งง!”


เสียงสนั่นดังมาจากก้านหลัง ทำให้มู่เฉินที่วิ่งรั้งท้ายสุดก้มตัวลง แล้วยกมือขึ้นกุมหัวโดยสัญชาตญาณ ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นเกาะราวบันได “เชี่ยย!! เสียงอะไรวะ!”


“แค่เสียงกระจกระเบิด อาคารแบบนี้ไฟลุกลามเร็วมาก เร็วเข้า!” หลิงม่อเร่ง


“พวกนายรอฉันด้วยเซ่!” มู่เฉินยกมือขึ้นกุมท้อง พลางตะโกนเรียกด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว


ทว่าตะโกนก็ส่วนตะโกน แต่เขากลับไม่กล้าชะงักเท้าแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ว่าจะถูกซอมบี้กินหรือถูกไฟครอก ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ฟังดูไม่น่ารื่นเริงเท่าไหร่


ประตูดาดฟ้าถูกเปิดทิ้งไว้ ทำให้พวกเขาประหยัดเวลาได้หน่อย ทว่าหลังจากที่ก้าวเท้าเหยียบเศษเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้น หลิงม่อก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที


เห็นชัดว่าที่นี่เคยเกิดเหตนองเลือดครั้งใหญ่มาแล้ว และสิ่งที่หลงเหลืออยู่นอกจากบานประตูพังๆ ก็มีเศษชิ้นส่วนน่าสงสัยที่ร่วงอยู่บนพื้นเหล่านี้


หากชักช้าอีก พวกเขาก็อาจกลายเป็นเศษชิ้นส่วนพวกนี้ก็ได้


กลิ่นไหม้เกรียมเริ่มลอยโชยมาตามอากาศ กลิ่นแรงจนแทบจะสำลัก ควันดำโขมงเริ่มทะลักขึ้นมา พร้อมกับเสียงระเบิดต่างๆ ที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ


เสียงฝีเท้าซอมบี้วิ่งขึ้นบันไดดังมาไม่ขาดสาย เย่เลี่ยนปิดประตูเหล็กเก่าๆ บานนี้ดังปัง จากนั้นก็ยืนหันหลังชนประตูเพื่อยืนขวางไว้ชั่วคราว


“ทางนี้”


หลิงม่อใช้ไฟฉายสาดส่องไปทั่วดาดฟ้า จากนั้นก็เลือกตำแหน่งหนึ่ง แล้วหันหน้าไปถาม “พวกนายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพ ถ้าต้องกระโดดไกลๆ หน่อยก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”


มู่เฉินและสวี่ซูหานรีบวิ่งไปยืนข้างหลิงม่อ จากนั้นก็มองระยะห่างที่กว้างประมาณ 4 – 5 เมตรนั้น “ไม่มีปัญหา…คิดว่านะ”


อาคารสองหลังนี้ไม่เพียงห่างกันค่อนข้างไกล แต่ดาดฟ้าของอาคารอีกหลังกลับสูงกว่าดาดฟ้าของอาคารหลังนี้ประมาณ 1 – 2 เมตร ซึ่งนั่นหมายความว่าระดับความยากของการกระโดดจะเพิ่มขึ้นมาก


แต่ถ้าหากไม่กระโดดตอนนี้ ต่อไปแม้แต่โอกาสลองก็จะไม่มีอีกแล้ว


ประตูเหล็กด้านหลังเย่เลี่ยนกำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง เสียงตึงตังๆๆ ดังอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งผนังก็ยังสะเทือนไปด้วย เศษฝุ่นผงถูกแรงสะเทือนทำให้ร่วงลงมามากมาย


เหล็กดัดตรงขอบประตูก็เริ่มหลุดจากโครงแล้ว หากเป็นอย่างนี้ไม่ว่าเย่เลี่ยนจะแรงเยอะอีกแค่ไหน ก็คงจะยื้อได้อีกไม่นาน


ประตูก็หลุดแล้วยังจะขวางอะไรได้อีก?


“เร็วเข้า!” หลิงม่อเร่งเร้า


หลี่ย่าหลินและซย่าน่าเดินไปอยู่ข้างดาดฟ้า พวกเธอกำลังโจมตีซอมบี้ที่กำลังปีนขึ้นมาตามท่อระบายน้ำ พร้อมกับร่างท่วมไฟอย่างรุนแรง


ซอมบี้พวกนั้นกรีดร้องคำรามเสียงดังจากการถูกเปลวเพลิงห่อหุ้ม พวกมันพยายามยื่นมือที่เต็มไปด้วยฟองเลือด และถลอกปอกเปิกจากการถูกไฟครอกมาทางพวกเธอ


“เธอก่อน” หลิงม่อมองสวี่ซูหาน แล้วพูดขึ้น




บทที่ 626 วิธีทักทาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฉัน?”


สวี่ซูหานมองหลิงม่ออย่างผิดคาดเล็กน้อย หลังลังเลครู่หนึ่ง เธอก็รีบพยักหน้าทันที


ทว่าก่อนกระโดดขึ้น เธอกลับยื่นปืนในมือมาทางนี้ “ถ้าฉันเคลื่อนไหวผิดปกติ นายก็ยิงฉันซะ”


“เอ่อ…” คำพูดนี้ทำเอาหลิงม่อกระอักกระอ่วนไปทันที ถึงแม้เขาจะยังไม่ไว้ใจพวกเธอจริงๆ แต่พอเธอพูดออกมาอย่างนี้…


โดยเฉพาะน้ำเสียงของเธอ ทำไมถึงได้ฟังดูแปลกๆ อย่างนั้นล่ะ…


ไม่รอให้หลิงม่อพูดอะไรมากไปกว่านั้น สวี่ซูหานก็วิ่งออกไปเพื่อเตรียมความพร้อมสองก้าว จากนั้นก็กระโดดขึ้นสูง


ศักยภาพร่างกายของเธอดูอ่อนแอกว่าพวกมู่เฉินอย่างเห็นได้ชัด เธอฝืนเกาะขอบอาคารฝั่งตรงข้ามไว้ได้อย่างเฉียดฉิว จากนั้นก็เหวี่ยงตัวขึ้นข้างบน ทิ้งตัวลงบนดาดฟ้าของอาคารหลังนั้น


สวี่ซูหานยืนขึ้นอย่างมั่นคง หลิงม่อรู้สึกว่าสายตาของเธอมองมาที่ตัวเองอีกครั้ง


เหมือนเธอต้องการจะสื่อว่า ดูสิ ฉันไม่ได้หนีไปไหนใช่ไหมล่ะ…


“ตานายแล้ว” หลิงม่อเร่งมู่เฉิน


มู่เฉินมองมีดในมือตัวเองอย่างสับสัน จากนั้นก็ยื่นมีดมาให้หลิงม่อด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง “ฉัน…โอ๊ย!”


เขายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนเตะเข้าที่ข้อพับเข้าหนึ่งที “รีบไปเซ่!”


มู่เฉินเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ เขาถูกชกท้องอย่างแรงจนถึงตอนนี้อาการก็ยังไม่ดีขึ้น หลังกระโดดข้ามไปเขาก็คว้าขอบอาคารแล้วเหวี่ยงร่างกายท่อนล่างขึ้นไปข้างบนสองสามครั้ง แต่กลับยังไม่สามารถปีนขึ้นไปได้


สุดท้ายสวี่ซูหานก็ต้องคว้าแขนเขาไว้ แล้วช่วยลากเขาขึ้นไปข้างบน


“พี่หลิงพี่ไปก่อน พวกเราจะระวังหลังไว้ให้” ซย่าน่ายกเคียวดาบฟันเงาร่างท่วมไฟให้ร่วงลงไปข้างล่าง แล้วหาจังหวะหันกลับมาบอก


“ได้” หลิงม่อเองก็ไม่ชักช้า หลังกระชับกระเป๋าเป้บนหลัง เขาก็ยกแขนขึ้นทันที


การกระทำนี้ทำให้มู่เฉินและสวี่ซูหานต่างตกตะลึง คนคนนี้เขาจะไม่วิ่งก่อนกระโดดหรอ?


แต่ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมา พวกเขาก็ต้องปากอ้าตาค้างมองหลิงม่อลอยตัวขึ้นจากที่เดิม จากนั้นก็ทิ้งตัวลงข้างกายพวกเขาอย่างสง่างาม


“เชี่ย…” มู่เฉินหันไปมองหลิงม่ออย่างตกตะลึง จากนั้นก็อดถามไม่ได้ “วิธีนี้ของนายพาคนอื่นลอยข้ามมาด้วยไม่ได้หรอ?”


“ได้สิ…” หลิงม่อพยักหน้า


“แล้วทำไมนาย…” มู่เฉินนึกถึงสภาพของตัวเองที่เมื่อกี้พยายามเขย่งร่างกายท่อนล่างเหมือนกบ แต่คนคนนี้กลับเอาแต่เร่งเร้าอยู่ข้างล่างนั่น…


“ก็มันต้องอุ้ม” คำพูดนี้คำพูดเดียวทำให้มู่เฉินต้องเงียบปากทันที ไม่นานเขาก็ทำท่าตัวสั่น แล้วสะบัดหัวไปมา


กลับเป็นสวี่ซูหานที่พอได้ยินประโยคนี้ สีหน้าก็ดูเย็นชาขึ้นทันตาเห็น เธอรับปืนในมือหลิงม่อคืนมาโดยไม่พูดไม่จา


“เตรียมตัวนะ!” หลิงม่อหันกลับไปตะโกนใส่ดาดฟ้าตรงข้าม


หลี่ย่าหลินกับซย่าน่าหันหลังกลับไปก่อน สองสาวซอมบี้วิ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง ยังไม่ทันเห็นว่าพวกเธอตั้งใจกระโดดแต่อย่างใด แต่ชั่วพริบตาพวกเธอก็ทิ้งตัวลงบนพื้นข้างกายอย่างผ่อนคลาย พวกเธอเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีสะดุดเลยแม้แต่น้อย


ถึงแม้จะแค่กระโดดข้ามตึก แต่จากรายละเอียดก็เห็นถึงความแตกต่างของพลังแล้ว และมู่เฉินก็ต้องตะลึงค้างไปอีกรอบ สู้หลิงม่อไม่ได้ไม่เท่าไหร่ แต่นี่แม้แต่เด็กสาวที่อยู่กับเขามู่เฉินก็ยังสู้ไม่ได้


เขาไปได้สาวๆ พวกนี้มาจากไหนกันเนี่ย?!


ผู้หญิงที่มีพร้อมทั้งหน้าตา รูปร่าง และความสามารถอย่างนี้ อยู่ที่ไหนก็ถือว่าเป็นสินค้าชั้นเยี่ยม เกรงว่าทั่วทั้งนิพพานก็ยังคัดเลือกออกมาได้ไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมหลิงม่อถึงมีอยู่ตั้งสามคนล่ะ…


พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็อดมองสวี่ซูหานที่อยู่ข้างกายไม่ได้


พอมองตามสายตาของสวี่ซูหานไป ก็เห็นภาพที่หลิงม่อกำลังอ้าแขนรับซย่าน่าและหลี่ย่าหลินพอดี…


“ต้องอ้าแขนรับด้วยหรอ!” มู่เฉินกลอกตามองบน แล้วลอบบ่น


พอหลี่ย่าหลินและซย่าน่ากระโดดข้ามมา เย่เลี่ยนก็เดินออกมาจากประตูบานนั้นทันที


“โครม!”


ประตูเหล็กถูกกระแทกปลิวทันที ซอมบี้สิบกว่าตัววิ่งเบียดกันเข้ามาบนดาดฟ้า


ขณะเดียวกันก็ยังมีซอมบี้หลายตัวที่ไฟลุกท่วมร่างกำลังปีนป่ายขึ้นมาตามท่อระบายน้ำ พวกมันคำรามและวิ่งตามเย่เลี่ยนมาติดๆ


“ฟึ่บ!”


ซอมบี้ตัวหนึ่งเพิ่งจะกระโดดลอยขึ้นกลางอากาศ ก็ถูกกระสุนยิงใส่ จนร่วงลงไปบนพื้นอย่างแรง


หลิงม่อหันไปมอง ก็เห็นสวี่ซูหานลั่นไกออกไปอย่างต่อเนื่อง


เหล่าซอมบี้ที่อยู่ค่อนข้างใกล้เย่เลี่ยนพากันทยอยล้มลงไปอย่างแปลกประหลาด และแทบทุกตัวก็มีรูกระสุนปรากฏอยู่บนศีรษะ


ทว่าสีหน้าของหลิงม่อกลับดูซีดขาวเล็กน้อย การต่อสู้กับซอมบี้เจ้าเมืองเมื่อกี้ เผาผลาญพลังจิตของเขาไปมากจริงๆ


ซ้ำถูกสวี่ซูหานและมู่เฉินจ้องอยู่อย่างนี้ เขาจะดึงซอมบี้สาวมาจูบลึกซึ้งเนิ่นนานก็ไม่ได้…


“เร็วๆ!”


หลิงม่อขื่นแขนออกไป แล้วตะโกน


เย่เลี่ยนกลับวิ่งไปจนถึงขอบสุดของดาดฟ้า จากนั้นก็กระโดดลงไปข้างล่าง


“กรี๊ดด!”


สวี่ซูหานกรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ทันที สู่เฉินเองก็ตกใจเช่นกัน


ถูกซอมบี้มากมายขนาดนั้นไล่ตาม ซ้ำยังมีซอมบี้ไฟท่วมร่างรวมอยู่ด้วย ผู้รอดชีวิตทั่วไปมีความเป็นไปได้มากที่จะตกใจจนกระโดดตึก


แต่เย่เลี่ยนจะเป็นอย่างนั้นหรอ…


ทว่าไม่นานพวกเขาก็พบว่า ตัวเองคิดมากไป


ซอมบี้ที่วิ่งไล่ตามมาติดๆ พวกนั้นก็กระโดดตามลงไปด้วย


แต่ขณะเดียวกับที่ซอมบี้พวกนั้นร่วงดิ่งลงพื้น เย่เลี่ยนที่กำลังเกาะราวกั้นตรงขอบดาดฟ้ากลับกระโดดขึ้นมาอีกครั้ง


และเพิ่งจะยืนมั่นคง เธอก็เขย่งเท้ากระโดดขึ้นกลางอากาศจากที่เดิม และมาถึงดาดฟ้าฝั่งนี้โดยไม่เปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย


“อย่ามัวแต่อึ้ง จัดการพวกมันก่อน!”


หลิงม่อแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกไปจัดการซอมบี้ตัวหนึ่งที่กระโจนขึ้นกลางอากาศทันที ปากก็ตะโกนบอกเสียงดัง


พวกเขาอยู่ที่สูง แล้วยังมีระยะห่างอีกห้าเมตรเป็นตัวช่วย บวกกับหนวดสัมผัสของหลิงม่อและปืนอีกสองกระบอก ไม่นานซอมบี้สิบกว่าตัวบนดาดฟ้าตรงข้ามก็ถูกจัดการจนสิ้นซาก


ทว่าอีกไม่นานก็จะมีซอมบี้วิ่งขึ้นมามากกว่านี้ หลิงม่อมองเห็นซอมบี้ตัวหนึ่งที่หัวลุกเป็นไฟวิ่งมาจนกถึงขอบดาดฟ้า


“วิ่งๆๆๆ!” หลิงม่อโจมตีซอมบี้ตัวนั้น จากนั้นก็พาทุกคนวิ่งไปยังอาคารอีกหลัง


โชคดีที่อาคารเหล่านี้ความสูงไม่แตกต่างกันนัก ขอเพียงไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเขาก็ยังคงสามารถหนีออกไปได้อย่างราบรื่น


………..


ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ขณะที่ดอกไม้ไฟส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ด้านในตึกสูงใหญ่ตึกหนึ่งในเมืองตงหมิง ดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองไปยังประกายดอกไม้ไฟหลากสีสันเหล่านั้นผ่านบานกระจกหน้าต่าง


“ไม่คิดว่าเมืองตงหมิงของเรา จะยังมีคนเป็นคนอื่นอยู่ด้วย แถมวิธีการทักทายนี้ ช่างโดดเด่นไม่เหมือนใครจริงๆ” เขาเขย่าแก้วเหล้าในมือไปมา แล้วพูดขึ้น


และบนโซฟาที่อยู่ข้างหลัง ก็มีใครอีกคนนั่งอยู่ คนคนนั้นก็กำลังจ้องออกไปด้านนอกหน้าค่าง พอประกายไฟสว่างวาบ รอบแผลเป็นบนใบหน้าของเขาก็ชัดเจนขึ้น


“หมายเลข 0 สัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ชายหน้าแผลเป็นกลับพูดเรื่องอื่นขึ้นมา


“พักนี้ทำไมหมายเลข 0 ไม่ค่อยได้เรื่องเลย? อ้ายเฟิง คุณไม่ค่อยเต็มที่กับตำแหน่งหัวหน้าใหญ่แห่งสาขาย่อยเลยนะ” คนคนนั้นยังคงยืนหันหลังให้อ้ายเฟิง พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาหรือดังเกินไป


สีหน้าของอ้ายเฟิงหงิกงอลงทันที “ใช่ คนที่ส่งออกไปก็หายตัวไป เรื่องที่หมายเลข 0 บาดเจ็บก็ยังจัดการไม่ได้ ตอนนี้ยังถูกคนอื่นมาหยามถึงที่อย่างนี้อีก…”


“คุณรู้ก็ดีแล้ว” คนคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ตอนแรกผมจะมาคุยเรื่องค่ายผสานความร่วมมือของมนุษย์กับคุณ แต่ว่าคุณจัดการปัญหาเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนเถอะ ใช่สิ” จู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับมา แล้วถามว่า “ในเมื่อหมายเลข 0 สัมผัสไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นคนคนเดียวกับที่ทำร้ายหมายเลข 0?”


“ก็แค่เสนอความเห็นน่ะนะ” เขาพูดไป แล้วก็ยกแก้วเหล้าชูไปทางมู่เฉิน จากนั้นก็ยกขึ้นกระดกรวดเดียวหมด “คุณควรขอพรให้เป็นอย่างนั้นนะ เพราะถ้าหากเป็นคนคนเดียวกัน เรื่องนี้ก็คงจะจัดการได้ในครั้งเดียว”


แต่ขณะที่เขาวางแก้วเหล้าแล้วเดินผ่านอ้ายเฟิงไป คนคนนี้กลับชะงักฝีเท้าอีกครั้ง “ใช่สิ เผื่อเหตุฉุกเฉิน ผมเตรียมคนคนหนึ่งไว้ให้คุณ”


“นั่นมัน…” อ้ายเฟิงที่เงียบมาโดยตลอดพลันเบิกตากว้าง แล้วลุกพรวดขึ้นยืน


เขายังไม่ทันพูดอะไร คนคนนั้นก็ยื่นมือมาตบไหล่เขา “จากความหวังดี อย่าปฏิเสธกันเลย”


หลังจากที่เขาจ้องอ้ายเฟิง แล้วเห็นว่าอ้ายเฟิงไม่พูดอะไร จึงตบไหล่เขาอย่างพึงพอใจอีกครั้ง “ดีมาก”


จากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางประตู แล้วตะโกน “เฉินเล่อ! เข้ามา!”


แอ๊ด—


ขณะที่ยานประตูถูกเปิดออกช้าๆ อ้ายเฟิงก็หันสีหน้าที่ไม่ค่อยดีไปมอง


อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว แต่ขณะที่เงาร่างของคนคนนั้นปรากฏตัวที่ประตู อ้ายเฟิงก็ยังคงรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง


ชายร่างสูงคนนั้น ที่สูงจนแทบจะเท่าขอบด้านบนของประตูอยู่กำลังยืนอยู่ในเงามืด ส่งแรงกดดันมาให้อ้ายเฟิงเงียบๆ


“พี่อ้ายเฟิงดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากเจอผมทุกครั้งเลยนะ” เสียงหัวเราะคิกคักดังเข้ามาจากด้านนอก


ไม่นาน เงาร่างเล็กและเตี้ยเงาหนึ่งก็เดินออกมาจากเงาร่างสูงใหญ่นั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าอ้ายเฟิง


เขาคือเด็กหนุ่มที่ยังอายุไม่มาก ผมที่ถูกย้อมจนแดงไปทั้งหัวดูเหมือนเปลวเพลิงเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์


ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้ม สองมือสอดเข้าในกระเป๋ากางเกงวอร์ม ฟันของเขาขาวจนแทบจะสะท้อนแสงได้


“นายอีกแล้ว…” สายตาของอ้ายเฟิงกลับมองผ่านเด็กหนุ่มคนนี้ไป และยังคงจดจ้องไปยังเงาร่างที่ยืนอยู่หน้าประตู “มันต่างหาก…”


เมื่อดอกไม้ไฟอีกลูกทอแสง ท่ามกลางประกายไฟที่ไหววูบขึ้นมา อ้ายเฟิงมองเห็นดวงตาสีแดงอ่อนๆ คู่หนึ่ง…


—————————————————————————–


บทที่ 627 ยังเห็นใจกันอยู่ไหม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“โหดร้ายจริงๆ” เฉินเล่อเม้มปาก เขาลากเก้าอี้มานั่งด้วยตัวเอง จากนั้นก็ล้วงของบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า


อ้ายเฟิงเพิ่งจะเหลือบมองไป ก็ต้องหันหน้ากลับมาอย่างสะอิดสะเอียน


ในมือของเฉินเล่อคือก้อนเนื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดก้อนหนึ่ง เขาผิวปาก แล้วโยนเนื้อก้อนนั้นไปทางประตู


ท่ามกลางความมืดเงาร่างนั้นเพียงโยกกายเล็กน้อย เนื้อก้อนนั้นก็หายวับไปกลางอากาศ ไม่นานเสียงเคี้ยวอาหารก็ดังตามมาติดๆ


“อย่าบอกนะว่าเนื้อนั่นมัน…” อ้ายเฟิงอดถามไม่ได้


“คิกคิก พี่น่าจะทายถูกแล้วล่ะ” เฉินเล่อยิ้มตาหยี


“เชี่ย…” อ้ายเฟิงพ่นคำหยาบออกมา จากนั้นก็มองไปที่ชายคนนั้น


แต่เขายังไม่ทันพูดอะไร ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “ไม่ได้ เรื่องนี้คุณจะปฏิเสธไม่ได้ คุณรู้อยู่แล้ว ว่าภารกิจของผมครั้งนี้ก็คือแสดงความสำเร็จครั้งล่าสุดให้พวกคุณได้เห็น แล้วผมขอถามคุณหน่อย มีวิธีไหนที่ดีกว่าการแสดงให้เห็นผ่านการต่อสู้จริงๆ ไหมล่ะ?”


“แต่ปัญหาคือมันเป็นแค่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ…” อ้ายเฟิงยังคงเสนอความเห็นที่ต่างออกไป


“โถ่ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าสำเร็จไปกว่า 80% แล้วแท้ๆ” ชายคนนั้นกอดอก มือข้างหนึ่งบีบคาง แล้วพูดขึ้นพร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย “และเพราะยังไม่สมบูรณ์แบบ มันถึงได้ต้องการผ่านการต่อสู้จริงๆ มากกว่านี้ไงล่ะ! ถ้าหากมันสามารถเติบโตจนกลายเป็นร่างสมบูรณ์อยู่ที่นี่ได้ คุณก็จะมีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้เหมือนกันนะ! อ้ายเฟิง คุณหยุดอยู่แค่ระดับนี้มานานเกินไปแล้วนะ คิดให้ดีๆ หากคุณยังเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีคนมาแทนที่คุณแน่ พอถึงตอนนั้นคนที่จะต้องออกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอาจกลายเป็นคุณก็ได้ ปมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไง แต่ถึงอย่างไรผมคนหนึ่งล่ะที่จะไม่มีวันกลับไปใช้ชีวิตอย่างนั้น”


อ้ายเฟิงเม้มปาก เขาขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ที่บอกว่าเติบโตจนกลายเป็นร่างสมบูรณ์อยู่ที่นี่ หมายความว่าอย่างไร?”


“พวกเราขาดข้อมูลอีกแค่นิดเดียว และข้อมูลเหล่านี้ไม่ว่าจะผ่านการทดสอบจากภายในอีกซักกี่ครั้ง ผลที่ได้ล้วนไม่เคยแม่นยำ นั่นเป็นเพราะพวกเราขาดตัวทดลองที่เหมาะสมยังไงล่ะ! พวกเราต้องการมนุษย์ ต้องการผู้มีความสามารถพิเศษที่เก่งกาจ! ผมคิดว่า…คนที่มีความกล้าจุดดอกไม้ไฟตอนกลางคืน ถึงจะไม่ใช่คนที่ทำร้ายหมายเลข 0 ในครั้งก่อน ก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถมากแน่นอน”


“นั่นมันตัวทดลองชั้นเยี่ยมชัดๆ” ชายคนนั้นพูดขึ้น สีหน้าของเขากลับยิ่งดูมั่นใจมากขึ้น


ตามคาด ผ่านไปไม่นาน อ้ายเฟิงก็พยักหน้า “ได้ เอาตามที่คุณว่าแล้วกัน”


และในตอนนั้นเฉินเล่อก็หมุนตักลับมาเกาะพนักเก้าอี้ เอาคางเกยข้างบน แล้วเงยหน้ามองอ้ายเฟิงกับชายคนนั้น “ตอนนี้ผมไปฆ่าพวกนั้นได้รึยัง?”


………..


“ทางนี้”


อีกฟากหนึ่งของถนน เงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง


ห่างออกไปจากข้างหลังพวกเขาไม่ไกล คือเหล่าฝูงซอมบี้และอาคารบ้านเรือนที่ถูกไฟเผา แล้วยังมีควันสีตำโขมงที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า


“โครม!”


ขณะที่วิ่งไปจนถึงด้านหน้ารถเก๋งคันหนึ่ง เด็กสาวกับเคียวดาบคู่ใจซึ่งวิ่งนำอยู่ด้านหน้าสุดก็กระโจนขึ้นสูง ฟันซอมบี้ที่กระโดดมาจากข้างหลังรถจนมันร่วงลงบนพื้นเสียงดังโครม


“กรร กรร…”


ร่างกายครึ่งท่อนโดนฟันจนเกือบขาด แต่มือทั้งสองข้างของซอมบี้ตัวนั้นกลับยังคงจับเคียวดาบไว้แน่น พร้อมกับอ้าปากคำรามเสียงดัง


การเคลื่อนไหวของเด็กสาวกับเคียวดาบคู่ใจกลับไม่หยุดนิ่งแค่นั้น หลังจากที่ฟันลงไป ตัวดาบพลันบิดหมุนทันใด จากนั้นก็กระชากออกไปอย่างรวดเร็ว นำเอาสายเลือดพุ่งกระฉูดตามออกมาด้วย


ถึงตอนนี้เด็กสาวกับเคียวดาบคู่ใจจึงทิ้งเท้าลงพื้นอย่างสง่างาม แต่ฝีเท้าของเธอกลับไม่คิดจะหยุดเพราะเหตุนี้ หลังจากที่เท้าทั้งสองข้างแตะพื้น เธอก็รีบก้าวเท้าทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วต่อทันที


เด็กสาวสองคนและเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนที่วิ่งตามติดๆ อยู่ข้างหลังก็ทำอย่างเดียวกัน กลับเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งซึ่งวิ่งรั้งท้ายสุด ที่ดูลังเลอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่วิ่งข้ามศพซอมบี้ตัวนั้นไป


ช่วยไม่ได้ ซอมบี้ตัวนั้นทรวงอกถูกฟันจนเหวอะหวะเป็นแผลใหญ่ แต่มันยังคงพยายามที่จะยืดลำตัวท่อนบนขึ้น เพื่อจะคว้าตัวพวกเขา…


“หลิงม่อ มีซอมบี้อีกมากกำลังวิ่งมาทางนี้” มู่เฉินวิ่งตามไปอยู่ข้างหลิงม่อ แล้วพูดขึ้นพร้อมหอบหายใจระรัว


เขามองหน้าหลิงม่ออย่างหงุดหงิดสุดๆ คนคนนี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตแท้ๆ ทำไมถึงไม่เหนื่อยเหมือนหมาหอบล่ะ? การต้องกระโดดข้ามตึกไปมาอย่างนี้เมื่อเทียบกับวิ่งบนพื้นราบ ต้องใช้เรี่ยวแรงมากกว่าหลายเท่าเชียวนะ บวกกับตอนกลางวันก็ไม่ได้พักผ่อนแต่อย่างใด ตกกลางคืนเขาก็ต่อสู้กับซอมบี้เจ้าเมืองสองตัวนั้นอีก ตอนนี้เขาและสวี่ซูหานต่างดูไม่จืดเลยทีเดียว


ตามหลักแล้วหากพวกเขาทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายเหนื่อยจนหอบแฮกๆ อย่างนี้ หลิงม่อซึ่งเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตก็ควรเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นแล้วจึงจะถูก


แต่ถึงแม้เขาจะหอบเหมือนกัน หน้าผากก็มีเหงื่อไหลเหมือนกัน แต่กลับเห็นได้ชัดว่ายังมีแรงเหลืออยู่


ช่างเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ!


ส่วนเด็กสาวสามคนนั้น…มู่เฉินเพียงแค่มองพวกเธอแวบเดียว แล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบอย่างรวดเร็ว


ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ อย่างน้อยเหลือศักดิ์ศรีไว้ให้ตัวเองซักนิดก็ยังดี…


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็หนีออกมาจากกับดักเปลวเพลิงได้สำเร็จแล้ว แต่เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำสูงขึ้นเรื่อยๆ กลับเป็นเหมือนไฟสัญญาณที่เรียกให้ซอมบี้มารวมตัวกัน ซอมบี้จากที่ไกลๆ ทยอยวิ่งพุ่งไปรวมตัวกันที่นั่น


“เขาคำนวณเวลาไว้ด้วย ถึงพวกเราจะเก่งอีกแค่ไหนก็คงจะหนีออกมาจากเขตอันตรายได้ในเวลาประมาณนี้ แต่ไฟกลับไหม้แรงขึ้นตอนนี้พอดี” หลิงม่อยันมือสองข้างไว้กับเข่า สูดหายใจลึกๆ มองไปข้างหน้าพร้อมกับพูดขึ้น


“เชี่ย! นี่มันบีบบังคับให้เราเดินเข้าสู่ความตายด้วยทุกวิถีทาง! ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาไปถึงไหนแล้ว!” มู่เฉินกัดฟันกรอด


“ไม่ต้องใจร้อน…” หลิงม่อกลับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา


มู่เฉินกับสวี่ซูหานมองรอยยิ้มนั้นอย่างอึ้งๆ อีกแล้ว…คนคนนี้ยิ้มได้ทุกสถานการณ์จริงๆ…


ทว่าความมั่นใจนี้ของเขา ไปเอามาจากไหนกันแน่?


ขณะนั้น หลิงม่อพลันตวัดสายตาไปมองยังอีกทางหนึ่ง สิ่งที่เขาเห็น คือถนนที่สกปรกและมีขยะเกลื่อนเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ปรากฏใน “ดวงตา” อีกคู่ของเขา กลับเป็นสายเชื่อมทางจิตสีแดงกึ่งโปร่งใสยาวๆ สองเส้น…


เชือกที่เกิดจากการแข็งตัวของพลังงานทางจิตสองเส้นนี้บิดกันเป็นเกลียวหลวมๆ มันประกายแสงสีแดงออกมาเป็นระยะๆ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายเทพลังงานทางจิตออกไป


พวกมันแผ่ออกไปยังอีกฟากของถนนเส้นนั้น พุ่งทะลุผ่านอาคารก่อสร้างและกำแพง และสุดท้ายปลายสายอีกด้านของเชือกเส้นนี้ก็พุ่งทะลุเข้าไปในร่างกายของคนสองคน


เส้นหนึ่งเข้าไปในร่างกายของหมีแพนด้ากลายพันธุ์ ส่วนอีกเส้นก็เข้าไปในผ้าพันคอของเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่ง


ดวงตาของอวี๋ซือหรานประกายแดงอ่อนๆ หน้าอวบอิ่มเหมือนเด็กทารกของเธอกำลังทำแก้มป่อง


เธอยื่นมือออกมาตบหัวหมีแพนด้ากลายพันธุ์เบาๆ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนตัวมัน “ไปกันเถอะเสี่ยวป๋าย ไปเผชิญหน้ากับโชคชะตาอันโหดร้ายที่ต้องถูกมนุษย์ใช้แรงงานกันต่อเถอะ เหอะ…มนุษย์หน้าโง่…”


“เดี๋ยวก่อน ต้องหลบเลี่ยงเปลวเพลิง มนุษย์กลัวนายจะถูกย่างสด” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็พูดขึ้น


ทันทีที่เงาสีขาวโฉบไหว ไม่นานมันก็หายเข้าไปในซอยเล็กๆ เส้นหนึ่ง…


“พักผ่อนพอรึยัง? เร่งความเร็วกันหน่อย” หลิงม่อหันหน้าไปมองมู่เฉิน แล้วบอกว่า “ดูเหมือนซอมบี้ทางนั้นจะน้อยกว่ามาก ไปทางนั้นกัน”


เขาชี้ไปยังทางแยกเส้นหนึ่ง ซย่าน่าที่อยู่ข้างหน้าสุดรีบพุ่งตัวออกไปโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำ


แต่พอได้ยินคำนี้ มู่เฉินก็อดถอนหายใจยาวๆ ไม่ได้ แต่กลับต้องยกมือขึ้นกุมท้องและออกวิ่งตามไปอย่างเสียมิได้


ทว่าขณะที่สวี่ซูหานวิ่งผ่านเขาไป มู่เฉินที่กำลังถอนหายใจยาวๆ กลับได้ยินเธอพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ตอนนี้รู้แล้วสินะว่าวันนั้นของเดือน ผู้หญิงต้องรู้สึกยังไงบ้าง? นายชอบพูดอยู่เสมอไม่ใช่หรอว่าไม่ว่าจะสถานการณ์ก็ต้องอดทนฝึกซ้อมต่อไป? ตอนนี้นายจะได้เจอกับตัวเองซะบ้าง”


มู่เฉินอึ้งไปก่อน จากนั้นก็โมโห “เชี่ย! พวกเธอยังมีความเห็นใจกันอยู่บ้างไหมเนี่ย! อย่าเอาเรื่องเมื่อก่อนมาเป็นอารมณ์สิ! จะว่าไป…มีใครจะช่วยแบกฉันขึ้นหลังหน่อยได้ไหม? นี่! พวกนายเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ยอมช่วยหรอ?”


และในตอนนั้นเอง ซย่าน่าที่พุ่งตัวไปจนถึงทางเลี้ยวพลันกระโดดถอยหลัง แล้วทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างสง่างาม


พอเห็นท่วงท่าของเธอ มู่เฉินถึงกับแปลกใจระคนดีใจ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนดีๆ เหลืออยู่แน่นอน! เอางี้ฉันจะหากระดานลื่นหรือรถลาก…”


“จะให้ดีหาโลงศพเลยสิ”


จู่ๆ เสียงพูดเคล้าเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ตัดบทมู่เฉินที่กำลังพูด


และเสียงที่เหนือความคาดหมายนี้ ทำให้ทุกคนต่างค่อยๆ หยุดวิ่ง แล้วหันไปมองยังทิศทางที่ซย่าน่ายืนอยู่อย่างระแวดระวัง


ไม่นาน เงาสีดำเงาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่มุมเลี้ยวของถนน ต่อมาเงาร่างของใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากตรงนั้น


ใต้แสงจันทร์สาดส่อง เงาร่างของคนคนนั้นพาดยาวออกไป ทว่าผู้เป็นเจ้าของเงากลับเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งตัวเล็กและค่อนข้างเตี้ย


เขายืนอยู่ใต้ไฟข้างถนนที่พังไปแล้ว สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ผมสีแดงเพลิงดูสะดุดตามากกว่าสิ่งใด


ยามเผชิญหน้ากับพวกหลิงม่อ กระทั่งรวมถึงปากปืนสองกระบอกที่เล็งไปยังศีรษะเขา เด็กหนุ่มคนนี้กลับยังคงสงบนิ่งมาก จนถึงขั้นผ่อนคลายเลยด้วยซ้ำ


เบาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วหัวเราะคิกคักพูดว่า “ล้อเล่นน่า”


“พวกนายไม่ได้ใช้โลงศพหรอก” เขายังคงพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย แต่กลับสามารถทำให้คนฟังรู้สึกขนตั้งชันได้


และหลังจากเงียบไปหลายวินาที หลิงม่อก็กระตุกยิ้มมุมปาก แล้วตอบว่า “นายก็เหมือนกัน”


—————————————————————————–



บทที่ 628 ความสำคัญของการเลือกฝ่าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“โอ้ อย่างนั้นหรอ?” เด็กหนุ่มอ้าปากทำท่าตกใจ จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “อีกเดี๋ยวเราก็ได้รู้”


ผู้มาไม่ประสงค์ดี


ถึงแม้ทั้งสองจะพูดจาสองแง่สองง่าม แต่ทุกคนกลับได้กลิ่นชนวนสงครามอย่างชัดเจน


แม้แต่หลี่ย่าหลินก็ยังหันไปถามเย่เลี่ยนเสียงเบาว่า “มนุษย์คนนี้ พวกเราจัดการได้หรือเปล่า?” พูดไปเธอก็ขยับนิ้วมือ แล้วพูดต่อว่า “ถึงแม้จะกินเนื้อไม่ได้ แต่ได้ฉีกเนื้อก็ยังดี…มนุษย์พูดไว้ว่าวาดรูปแป้งทอดแก้ความหิวโหย ฉันว่าประโยคนี้พูดถึงเราได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ…”


เย่เลี่ยนเงยหน้ามองรุ่นพี่ จากนั้นก็ส่ายหน้าเงียบๆ


“หมายถึงจัดการตอนนี้ไม่ได้? หรือว่าถ้าหลิงม่อลงมือเมื่อไหร่พวกเราก็ตามได้?” หลี่ย่าหลินทำท่าครุ่นคิด แล้วถามอีกครั้ง


“อื้ม…อื้ม…” เย่เลี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจังสองครั้ง จากนั้นก็มองไปทางเด็กหนุ่มคนนั้น “มี…ปัญหา…”


ไม่ได้มีแค่เย่เลี่ยนที่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มมีปัญหา สวี่ซูหานเองก็ไม่ได้ยิงเขาทันทีเหมือนกัน


ความจริงแล้วเธอรับรู้ได้ชัดเจนกว่าเย่เลี่ยนหลายเท่า เธอบางนิ้วไว้บนไกปืน หน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาบางๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อาจกดไกปืนได้


ถึงเด็กหนุ่มจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล เหมือนหากเธอเคลื่อนไหวแค่เพียงน้อยนิด วินาทีถัดไปจะต้องเกิดเรื่องที่น่ากลัวขึ้นอย่างแน่นอน


ความรู้สึกนี้เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับอสูรกายที่กำลังตั้งท่าโจมตี และมองหาช่องโหว่ของเหยื่ออย่างใจเย็น


ขณะที่สองสาวซอมบี้กำลังซุบซิบกันเสียงเบา มู่เฉินและสวี่ซูหานก็มองตากันแวบหนึ่ง ทว่าสีหน้าของพวกเขาทั้งสองคนกลับดูไม่ค่อยดีนัก


เมืองตงหมิง ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งและเป็นสนามทดลองของนิพพานสาขาย่อย จะยังมีผู้รอดชีวิตอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มนิพพานอยู่อีกเสียที่ไหน? ถึงแม้จะมี ก็ไม่มีทางที่จะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลานี้อย่างแน่นอน


ดังนั้นแม้ว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มจะไม่เป็นที่คุ้นเคย แต่พวกเขากลับรู้ได้ทันที ว่าเขาเป็นคนของนิพพาน


และตอนนี้เด็กหนุ่มก็กำลังจ้องพวกเขาอย่างสนอกสนใจ สายตาของเขากวาดมองผ่านใบหน้าของพวกเขาทุกคน แล้วจู่ๆ ก็หยุดจ้องอยู่ที่มู่เฉิน


“ดูท่าทางของคุณแล้ว รู้จักผม?” เด็กหนุ่มถาม


แต่มู่เฉินกำลังจะอ้าปากพูด เด็กหนุ่มก็ปรบมือเสียงดัง “เข้าใจแล้วๆ คุณไม่ได้รู้จักผม แต่คุณรู้ว่าผมเป็นใคร ใช่ไหมล่ะ? งั้นก็ขอแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน ผมชื่อเฉินเล่อ แล้ว…” เขาสอดส่ายสายตามองไปอีกครั้ง “ใครคือมู่เฉินกันล่ะ?”


มู่เฉินหันไปมองหน้าหลิงม่อแวบหนึ่ง พอเห็นเขาไม่ได้ห้าม จึงพยักหน้าบอกว่า “ฉันเอง ฉันคือมู่เฉิน” จากนั้นก็ชี้ไปที่สวี่ซูหาน “คนนี้คือเพื่อนร่วมทีมของฉัน”


พอเห็นเด็กหนุ่มมองมาทางตัวเอง สวี่ซูหานก็กัดริมฝีปาก แล้วค่อยๆ ลดปืนลง


“จริงๆ ด้วยแฮะ ถ้าอย่างนั้น เขาคนนี้คือคนที่พวกคุณออกมาตามหา?” เด็กหนุ่มเบนสายตาไปทางหลิงม่อ เขาถือว่าเป็นคนหัวไวไม่เบา ในเมื่อมู่เฉินไม่ได้แนะนำใครต่อ ก็แสดงว่าคนที่เหลือไม่ใช่คนของนิพพาน และถ้าหากไม่ใช่คนของนิพพาน ก็เป็นไปได้มากว่า ต้องเป็นเป้าหมายในการทำภารกิจในครั้งนี้ของมู่เฉิน


มู่เฉินหันไปมองหน้าหลิงม่ออีกครั้ง จากนั้นก็ตอบ “ใช่ เขาคือหลิงม่อ พวกเราได้ทำข้อตกลงในการทำงานร่วมกันแล้ว…”


เขาพูดไวมาก ดูออกว่าค่อนข้างกังวล ถึงแม้จะถูกซย่าจื้อหักหลัง แต่ไม่แน่ว่าการได้เจอคนของนิพพานล่วงหน้าอย่างนี้อาจเป็นเรื่องดี นี่ถือเป็นโอกาส เขาอาจฉวยโอกาสนี้เพื่อพลิกสถานการณ์ขึ้นนำซย่าจื้อได้


ถ้าหากตอนที่เฉินเล่อเจอพวกเขา พวกหลิงม่ออยู่ในสภาพบาดเจ็บหรือล้มตาย หรืออยู่ในสถานการณ์ที่แย่สุดขีด ก็คงไม่มีปัญหาอะไรให้คิดอีก ทว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูอย่างไรหลิงม่อก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ ดังนั้นจากสไตล์การทำงานของนิพพาน อย่างไรก็น่าจะคิดที่จะเจรจากับหลิงม่อต่อ…


แม้ว่าซย่าจื้อจะวางแผนได้อย่างละเอียดรอบคอบแค่ไหน แต่กลับต้องสะดุดตอตั้งแต่แรก สวี่ซูหานไม่ได้ลงมือทำร้ายเย่เลี่ยนอย่างที่เขาคาดไว้ หลิงม่อเองก็รู้ตัวและมีการเตรียมตัวตั้งนานแล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น


“หึหึ” ในตอนที่มู่เฉินกำลังอธิบาย จู่ๆ เฉินเล่อกลับหัวเราะออกมา


มู่เฉินมองเขาอย่างแปลกใจ แต่เฉินเล่อกลับทำท่าทางไม่ยี่หระ และเขย่งเท้าโยกตัวไปมาอยู่กับที่ “อืมม…ผมไม่สนใจสิ่งที่คุณพูดหรอก ตอนที่ผมออกมาผมได้รับคำสั่งแค่คำสั่งเดียวเท่านั้น”


พอได้ยินมาถึงตรงนี้ หัวใจของมู่เฉินก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


“ดังนั้นผมมีทางเลือกให้สองทาง A คือพวกคุณเชื่อฟังผม หลังจากกลับไปก็จะมีโอกาสเลื่อนขั้นหนึ่งขั้น B พวกคุณเชื่อฟังเขา จากนั้นผมก็…” เขาหัวเราะพร้อมกางฝ่ามือออก แล้วบอกว่า “ฆ่าพวกคุณให้หมด”


“เคร้ง!”


เขาเพิ่งจะพูดจบประโยค เย่เลี่ยนก็ลั่นไกออกไปด้วยความเร็วดั่งฟ้าแลบ ปลายกระบอกปืนเทพเจ้าสายฟ้าสว่างวูบ ขณะเดียวกันเสียงวัตถุกระทบกันแหลมๆ ก็ดังมาจากทางเสาไฟข้างถนนต้นหนึ่ง


“อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” เฉินเล่อไปปรากฏตัวอยู่อีกจุดหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ทว่าเขาเพิ่งจะอ้าปากพูด ปากปืนของเย่เลี่ยนก็หันตามไปทันที


พลาดเป้าเหมือนเดิม ทว่าคราวนี้หลิงม่อกลับมองเห็นอย่างชัดเจน


“เป็นเงามายา ไม่ใช่ตัวจริง” หลิงม่อดึงแขนเย่เลี่ยน แล้วบอกเธอ


พลังพิเศษนี้เหมือนพลังพิเศษของผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งที่หลิงม่อเคยเจอ ทว่าฝีมือกลับห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว


ภาพมายาในครั้งนั้นหลิงม่อสามารถมองเห็นได้ด้วยการสำรวจทางจิต แต่ครั้งนี้เขากลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นก็บอกได้เพียงว่านี่ไม่ใช่แค่ร่างมายา และเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ธรรมดาด้วย


ตามคาด เงาร่างอีกเงาร่างหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นในอีกตำแหน่งหนึ่ง รายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างไปจากเดิม แต่เมื่อใช้พลังสำรวจทางจิต หลิงม่อก็มองเห็นดวงแสงแห่งจิตของเขา…


หลิงม่อสำรวจดูอย่างละเอียด แต่กลับไม่พบอะไร


ที่เด็กหนุ่มพูดจาอวดดีขนาดนี้ เพราะเขามีของดีอยู่จริงๆ


“พวกพี่สาวพี่ชาย อย่าใจร้ายกันอย่างนี้สิ” เฉินเล่อยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น “แต่ทำไมหยุดโจมตีแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าคราวนี้อาจเป็นร่างจริงก็ได้นะ”


“เคร้ง!”


เงาร่างนั้นหายตัวไปอีกครั้ง ทว่าเย่เลี่ยนไม่ได้ลั่นไก แต่บนพื้น กลับมีรูเล็กๆ หนึ่งรูเพิ่มขึ้น


ครั้งนี้คนที่ลงมือคือหลิงม่อ เขาตั้งใจแปลงสภาพหนวดสัมผัสให้กลายเป็นสสาร และเลือกร่างกายของเฉินเล่อเป็นเป้าในการโจมตี


แต่สิ่งที่ทำให้หลิงม่อแปลกใจคือเขาทั้งไม่ได้สัมผัสโดนร่างจริง และไม่ได้สัมผัสโดนพลังงานทางจิตด้วย


“พี่หลิงท่านนี้ช่างใจจืดใจดำแท้…” เฉินเล่อที่ปรากฏตัวอีกครั้งส่ายหน้าอย่างเสแสร้ง เขาหันไปพูดกับมู่เฉินและสวี่ซูหานอีกครั้ง “พวกคุณคิดจะยืนมองผมถูกโจมตีเฉยๆ อย่างนั้นหรอ?”


พอได้ยินอย่างนั้นหลิงม่อก็หันไปมองพวกเขา ทว่าเขากลับไม่ได้พูดอะไร


สวี่ซูหานและมู่เฉินต่างไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร ชัดเจนว่า พวกเขาเองก็กำลังสู้กับความคิดของตัวเองอยู่


“หรือว่า พวกคุณคิดจะทำตัวเป็นชาวประมง?” (คนที่เก็บเกี่ยวและฉวยประโยชน์) เฉินเล่อหัวเราะแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง แต่คำพูดนั้นกลับทำให้สวี่ซูหานและมู่เฉินเย็นสะท้านไปทั้งตัวราวกับยืนอยู่ในโรงน้ำแข็ง


เป็นชาวประมง? อย่าว่าแต่เรื่องที่เฉินเล่อดูไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้คนอื่นหยิบฉวยประโยชน์จากตัวเองเลย อาศัยแค่นิสัยของหลิงม่อ พวกเขาไม่มีทางได้ทำอย่างนั้นแน่นอน


ส่วนเรื่องลงมือ…ความสามารถของหลิงม่อได้สยบพวกเขาอย่างอยู่หมัดแล้ว แต่เฉินเล่อคนนี้ก็ดูไม่ใช่คนฝีมือธรรมดา อีกอย่างถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของนิพพาน…


ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับใคร ทันทีที่ตัดสินใจ พวกเขาก็ไม่มีโอกาสหันหลังกลับอีกต่อไป


ควรเลือกฝ่ายไหนดี?


“ฉัน…” จู่ๆ สวี่ซูหานก็ถอยหลังไปสองก้าว


“เธอทำอะไรน่ะ?” มู่เฉินถามอย่างตกใจสุดๆ


เธอมองมู่เฉิน แล้วหันไปมองหลิงม่ออย่างลึกซึ้ง “ฉันอยากเลือกที่จะ…ไป”


เสี้ยววินาทีนี้ สายตาของเธอทำให้หลิงม่อรู้สึกเหมือนมีความนัยแฝงอยู่ แต่กลับไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรดี


ตอนนี้ท่าทางของผู้หญิงคนนี้ดูเหนื่อยล้ามาก บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ อาจเป็นเรื่องที่เธอไม่มีวันอยากอัดเสียงไว้ไปตลอดกาล


“นี่เธอ…” มู่เฉินมีอาการลิ้นพันกันจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ


ที่สวี่ซูหานพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเธอจะออกจากกลุ่มนิพพานเท่านั้น แต่หมายความว่าเธอต้องการออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง


และความยากลำบากในการทำอย่างนั้น เขาไม่อยากจะจินตนาการเลยด้วยซ้ำ


ทางเลือกนี้ก็ทำให้หลิงม่อผิดคาดไม่น้อย ผู้หญิงคนนี้ใช่คนเดียวกับที่เอาแต่ตัวสั่นอยู่ในห้างฯ ใต้ดินไหม?


ต้องบอกก่อนว่าทุกวันนี้เธอมีพร้อมทุกอย่างในนิพพานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่พักชั่วคราวซึ่งปลอดภัยไร้อันตราย อาหารที่สะอาด หรือเงื่อนไขชีวิตที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้รอดชีวิตคนอื่นไม่มี และสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เธอไขว่คว้ามาโดยแลกกับการเสี่ยงอันตรายทำภารกิจ


เธอยอมปล่อยไปง่ายๆ อย่างนี้เลยหรอ?


“เธอ…” มู่เฉินแทบจะขมวดคิ้วเป็นปม แล้วนี่จะให้เขาเลือกยังไงเล่า!


สาเหตุที่สวี่ซูหานทำอย่างนี้ มู่เฉินคิดออกเพียงอย่างเดียว คือเธอไม่อยากสู้กับหลิงม่อ


“แต่ฉันไม่ชอบไอ้หลิงม่อนี่โว้ย!” มู่เฉินคลั่ง เขาไม่อยากปล่อยให้ตำแหน่งของตัวเองหลุดลอยไปอยู่ในมือซย่าจื้อ และไม่อยากทำให้ชีวิตตกต่ำด้วยสาเหตุนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากถูกฆ่าเสียตั้งแต่วันนี้…


ทว่าพอคิดอีกที ที่สวี่ซูหานเลือกทางนี้ ถือว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว


เธอเลือกที่จะไป แต่ไม่ได้เลือกอยู่ฝ่ายหลิงม่อ เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเธอไม่ได้บีบให้มู่เฉินต้องเลือก


ถึงแม้เขาเลือกที่จะอยู่ฝ่ายนิพพาน เขาก็จะไม่ต้องสู้กับเพื่อนร่วมทีมอย่างเธอ…


—————————————————————————–



บทที่ 629 ไม่ชอบหน้าฉัน แต่ก็สู้ฉันไม่ได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

สวี่ซูหานค่อยๆ ถอยออกไปด้านข้าง ซึ่งด้านหลังของเธอคือตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่ง


เธอก้าวถอยหลัง พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไปทางพวกหลิงม่อเบาๆ


“ลาก่อน” เธอพูด พร้อมยกมุมปากยิ้มให้พวกเขา


เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูทั้งขมขื่น และจำใจ


ถึงแม้จะเป็นเส้นทางสู่การอยู่รอดเหมือนกัน แต่ทิศทางที่แต่ละคนเดินไปมักแตกต่างกันเสมอ


และสำหรับสวี่ซูหาน เธอไม่อาจเดินเส้นทางเดิมอีกต่อไปแล้ว


“พี่หลิง” ซย่าน่าหันมามองหลิงม่อ แล้วถามอย่างสงสัย “พี่เป็นอะไรไป?”


“หา?” หลิงม่อได้สติ เขาส่ายหัวแล้วบอกว่า “เปล่า แค่นึกถึงคนบางกลุ่มแล้วก็เรื่องราวบางเรื่อง…”


“อย่างนั้นหรอ…” ซย่าน่าเหมือนจะไม่เข้าใจ ทว่าเธอก็ยังรู้สึกได้ว่า ดวงตาของหลิงม่อคู่นั้นผิดปกติไปจากเดิม


ท่ามกลางความลึกล้ำและประกายเจิดจ้าในดวงตาคู่นั้น เหมือนมีบางสิ่งแฝงอยู่รางๆ


“ความรู้สึกของมนุษย์ ช่างซับซ้อนจริงๆ…” เธอพึมพำกับตัวเอง


ขณะเดียวกับที่มองสวี่ซูหานจากไป พลังจิตของหลิงม่อก็กำลังจดจ่ออยู่ที่เฉินเล่อ


ทว่าเด็กหนุ่มคนนี้กลับไม่ได้เคลื่อนไหวผิดปกติแต่อย่างใด เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม ยืนจ้องสวี่ซูหานพร้อมกับหัวเราะคิกคัก


แต่ในตอนที่สวี่ซูหานถอยเข้าไปในตรอกเต็มตัว และกำลังเตรียมจะหันหลังไป ทันใดนั้น หลิงม่อกลับสัมผัสได้ถึงความเย็นชาในดวงตาของเฉินเล่อ


เขาหัวใจกระตุกวูบ พลันตะโกนออกไปทันที “ระวัง!”


ขณะเดียวกัน เงาร่างดำเงาหนึ่งกระโดดลงมาจากตึกเล็กๆ ด้านข้าง แล้วทิ้งตัวลงด้านหน้าของสวี่ซูหานดัง “ปึง”


ถึงแม้สวี่ซูหานจะได้ยินเสียงตะโกนเตือนของหลิงม่อแล้ว แต่กลับตั้งตัวรับมือไม่ทันเลยแม้แต่น้อย


เสี้ยววินาทีที่เงาร่างดำนั้นทิ้งตัวลงพื้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีมือข้างหนึ่งบีบลำคอของตัวเองไว้แน่น จากนั้นเท้าของเธอก็ลอยขึ้นเหนือพื้น ร่างทั้งร่างพลันถูกโยนออกไปด้านหลังอย่างแรงทันที


เคลื่อนไหวเร็วเกินไปแล้ว!


เวลานี้หนวดสัมผัสทางจิตที่ถูกควบคุมโดยจิตของหลิงม่อได้พุ่งเข้าไปใกล้เงาร่างดำแล้ว แต่เงาร่างดำกลับรู้ตัวและโฉบร่างหลบไปด้านข้างอย่างว่องไว


หลิงม่อกัดฟันกรอด หนวดสัมผัสเส้นนั้นพลันหักเลี้ยวด้วยความเร็วสูงพุ่งตามร่างสวี่ซูหานที่ปลิวออกไป และดึงตัวเธอกลับมาก่อนที่ร่างกายจะกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลัง


วินาทีที่หนวดสัมผัสโดนตัวสวี่ซูหาน หลิงม่อรู้สึกได้ถึงพละกำลังอันมหาศาลปะทะเข้ากับตัวเองอย่างแรง ความเจ็บปวดเข้าเล่นงานที่ขมับทันที


“สัตว์ประหลาดชนิดไหนอีกละเนี่ย!”


หลิงม่อหน้าเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาตอบสนองทันเวลา ป่านนี้หนวดสัมผัสคงจะถูกโจมตีจนแตกซ่านไปตั้งแต่ที่โดนตัวสวี่ซูหานแล้ว


อาศัยแค่พละกำลังจากเนื้อกายก็สามารถทำได้ขนาดนี้แล้ว แม้แต่ซอมบี้เจ้าเมืองสองตัวเมื่อกี้เมื่อเทียบกับเงาร่างดำนี้ ก็ยังด้อยกว่าหนึ่งขั้น


“พรึ่บ!”


หลิงม่อยื่นแขนออกไปรับตัวสวี่ซูหานที่ถูกหนวดสัมผัสดึงตัวกลับมาได้ แล้วถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


ทว่าเพิ่งจะถามออกไป หลิงม่อก็ต้องอึ้งค้างไป


เวลาเพียงชั่วพริบตา สวี่ซูหานที่เมื่อกี้ยังมีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่กลับเปลี่ยนไปจนมีสภาพเป็นอย่างนี้…


เธอเบิกตากว้าง ริมฝีปากบางอ้าออกเล็กน้อย เสียงไอเบาๆ ถูกเปล่งออกมาจากลำคอ


และบนคอของเธอก็มีรูแผลปรากฏขึ้นมาห้ารู เลือดสดๆ กำลังไหลทะลักออกมาจากรูแผลเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง


อาศัยแค่ความลึกของแผลระดับนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ แต่กลิ่นเชื้อไวรัสอันคุ้นเคยนั่น กลับทำให้สีหน้าของหลิงม่อย่ำแย่สุดขีด


เขาหันไปมอง พบว่าเงาร่างดำนั้นกำลังค่อยๆ เดินออกมาจากความมืด มือขวาทิ้งลงข้างลำตัว หยดเลือดกำลังไหลลู่ไปตามนิ้วมือของเขาลงสู่พื้น


“ฉัน…” สวี่ซูหานพูดเสียงเบาอย่างยากลำบาก เธอมองหลิงม่อ ราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างชัดเจนแล้ว ขอบตาเริ่มแดงรื้นเรื่อยๆ


“ฉัน…ฉันไม่อยาก…” พูดยังไม่ทันจบ น้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างเป็นทาง


“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” หลิงม่อรีบบอก


สวี่ซูหานมองหลิงม่ออย่างเหม่อลอย ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้อีก


“เอาก้อนเหนียวหนืดให้เธอกิน” หลิงม่อลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งสวี่ซูหานที่ตัวอ่อนไปทั้งตัวให้ซย่าน่าที่ยืนอยู่ข้างๆ


เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมตัวเองถึงได้ตัดสินใจทำอย่างนี้ บางทีอาจเป็นเพราะไม่อยากเห็นเธอตายไปต่อหน้าต่อตาก็ได้ กลิ่นเชื้อไวรัสจากตัวเธอแรงมาก แตกต่างกับกลิ่นเชื้อไวรัสจากตัวซอมบี้ธรรมดาราวฟ้ากับเหว หากเป็นอย่างนี้เธอไม่เพียงแต่จะติดเชื้อ แต่จะตายอย่างน่าอนาถยิ่งกว่า


ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะเป็นทั้งเพื่อนและศัตรูกัน แต่เพราะการตัดสินของเธอเมื่อกี้ หลิงม่อไม่อาจนิ่งดูดายได้


ซย่าน่าเองก็เงยหน้ามองหลิงม่ออย่างฉงนเล็กน้อย จากนั้นก็กระเถิบเข้าไปดมดู “ไม่ใช่เชื้อไวรัสธรรมดา…”


“ถ้าอย่างนั้นก็ดูเธอไว้ก่อน” หลิงม่อพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไป


ตั้งแต่ติดเชื้อจนเริ่มทำงาน ใช้ระยะเวลาประมาณยี่สิบนาที…


เวลานี้ดวงตาของหลิงม่อพลันแปรเปลี่ยนเป็นแน่นิ่งขึ้นมาทันที และยังเปล่งกระกายยิ่งกว่าเมื่อกี้


เงาร่างดำนั้นเองก็เพิ่งจะเดินออกจากเงาสิ่งก่อสร้าง และเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาให้เห็นพอดี


ถึงจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ตอนที่เห็น หลิงม่อก็ยังคงตกใจอยู่ดี


เดิมทีเขานึกว่าคงจะเป็นซอมบี้ระดับสูงตัวหนึ่ง แต่นั่น…กลับดูเหมือนคนมากกว่า…


อายุประมาณ 30 ปี เพศชาย หุ่นกำยำสมส่วน กล้ามเนื้อแน่นสมบูรณ์ ซ้ำยังสวมชุดกีฬาไว้อีกด้วย


ยอกจากดวงจาสีแดงเลือดตู่นั้นแล้ว เขาดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย


แต่ดวงตาของเขานอกจากสีตาที่ดูผิดปกติแล้ว สายตากลับดูต่างออกไปจากซอมบี้มาก


สายตาของซอมบี้ยามที่เผชิญหน้ากับมนุษย์ มักเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและความดุร้าย เหมือนกำลังประเมินมดตัวหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังจดจ้องอาหารเลิศรส


แต่สายตาที่เขามองพวกหลิงม่อ กลับเหม่อลอยไร้จุดหมายมาก…


อาการนี้ค่อนข้างเหมือนอาการของหุ่นซอมบี้ที่ถูกหลิงม่อควบคุม แต่หลังจากที่หลิงม่อใช้พลังสำรวจทางจิต เขากลับยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม


ดูจากดวงแสงแห่งจิตที่รวนมากนั่นแล้ว เขาน่าจะเป็นซอมบี้ไม่ผิดแน่


แต่พลังจิตอันแข็งแกร่งนั่น กลับมีแค่มนุษย์เท่านั้นที่จะมีได้


ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ เกรงว่าคงต้องใช้คำว่า “มัน” มาเรียกสิ่งมีชีวิตประเภทนี้อย่างช่วยไม่ได้แล้ว


“นั่นมันอะไร…” มู่เฉินที่ตะลึงค้างไปได้สติกลับคืนมาในที่สุด เขาพูดตะกุกตะกักออกมาเบาๆ


เขามองสวี่ซูหานที่นอนพิงอยู่ในอ้อมอกของซย่าน่า ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ


เรื่องราวทั้งหมดเมื่อกี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาแทบจะมองตามไม่ทันด้วยซ้ำ


ทว่าลำคอที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของสวี่ซูหาน กลับเป็นตัวบ่งบอกทุกอย่างอย่างชัดเจน


และในเวลานี้ เฉินเล่อก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายสัตว์ประหลาดตัวนั้น และกำลังมองพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


สีหน้าของมู่เฉินและหลิงม่อ เหมือนจะทำให้เขาพอใจมาก


“แก…แม่งเอ๊ย…” มู่เฉินดวงตาแดงก่ำ พลางคำรามเสียงต่ำอย่างไม่เป็นภาษา


“ชู่ว เดี๋ยวซอมบี้ได้ยินเข้าจะไม่ดีนะ อย่าตื่นตูมนักสิ…” เฉินเล่อยิ้มหวานพลางนกนิ้วขึ้นแตะปาก แล้วบอกว่า “ก็เธอรนหาที่เอง คนระดับผมจะจัดการคนทรยศซักคนสองคน ไม่น่าจะมีปัญหานี่เนอะ?”


“เธอไม่ได้ทรยศนิพพาน!” มู่เฉินเค้นเสียงรอดไรฟัน


“อืออ…” เฉินเล่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “มาตีตัวออกห่างนิพพานในเวลาอย่างนี้ แตกต่างอะไรกับทรยศล่ะ? ผมให้โอกาสเธอแล้ว แต่เป็นเธอที่เลือกฝ่ายผิดเอง เลือกทางเดินผิดเอง อย่างนี้เขาเรียกว่าเลือกทางเดินผิดคิดจนตัวตาย แล้วยังไงต่อล่ะ คุณจะเลือกยังไง?”


เขากำมือ แล้วมองมู่เฉินอย่างลุ้นๆ


“แก…” มู่เฉินกระชับด้ามมีดแน่น เส้นเอ็นบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมา “ตีตัวออกห่างแล้วยังไง? ที่ผ่านมาเธอเอาชีวิตไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อนิพพานมาโดยตลอด แกคิดจะฆ่าก็ฆ่าได้เลยหรอ?!”


“ที่เธอทำไปก็เพื่อตัวเองหรือเปล่า? ถ้าคุณเลือกผิด ผมก็ฆ่าคุณเหมือนกัน”


คำพูดที่ไม่แยแสของเฉินเล่อ ท่าทางไม่ยี่หระของเขา กระตุ้นต่อมโมโหของมู่เฉินอย่างรุนแรง


ตอนนี้เขารู้สึกได้แค่ว่าเลือดกำลังขึ้นหน้า…ช่างหัวเรื่องผลประโยชน์แล้วโว้ย! ฉันจะฆ่าไอ้เด็กบ้านี่ซะ!


พอเห็นสายตาของมู่เฉิน เฉินเล่อก็เข้าใจกระจ่างทันที


ทว่าเขาไม่ได้โมโห กลับยินดีเสียอีก “อืม ผมเข้าใจแล้ว ก็ไม่เลวนะ ผมชอบที่จะเห็นคนแบบคุณคลั่ง คุณไม่ชอบชี้หน้าผม แต่กลับสู้ผมไม่ได้…ฮ่าฮ่า”


“แต่ว่า…”


เฉินเล่อหันไปมองหลิงม่ออีกครั้ง แล้วพูดขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ “คุณร้ายกาจไม่เบาเลยนะ ผมก็นึกว่าจะได้เห็นคนทรยศร่างเละเป็นโจ๊กซะอีก เฮ้อ…แต่ก็ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวค่อยดูก็ได้นี่ ลองเดาดูสิ ถ้าทุกคนกลายสภาพเป็นเนื้อเละๆ ผสมรวมกัน จะยังแยกออกอยู่ไหมว่าใครเป็นใคร?”


พูดไป เขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ราวกับว่ามองเห็นภาพดังกล่าวแล้วอย่างไรอย่างนั้น


เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้ “ร่าเริง” แสดงด้านที่โรคจิตออกมาอย่างนี้ มู่เฉินพลันรู้สึกขนลุกชันทันที


“ถ้าไง นายก็ลองกับตัวเองดีไหม?” หลิงม่อตอบพร้อมรอยยิ้มเย็นเยียบ


ความตื่นเต้นในแววตาของเฉินเล่อจางลงเล็กน้อย เขายืนตัวตรง หรี่ตามองหลิงม่อ พลางเชิดคางอย่างท้าทาย “คุณก็ลองดูสิ แต่ขอบอกว่าไว้ก่อนว่าโอกาสช่างริบหรี่…”


“ตึง!”


เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็ถูกหนวดสัมผัสของหลิงม่อจู่โจมเข้าตรงๆ จนร่างปลิวออกไปด้านหลัง


“เก๊กหาอะไรนักหนาวะ!”



บทที่ 630 โจมตีดุดัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่เสี้ยววินาทีที่กระแทกโดนเสาไฟฟ้า เฉินเล่อกลับหายตัว “ฟึบ” ไปทันที


ไม่นาน เฉินเล่ออีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ด้านข้างสัตว์ประหลาดตัวนั้น ทว่าครั้งนี้เขายังไม่ทันได้เปิดปากพูด ก็ถูกหลิงม่อกำจัดทันที


และใน “สายตา” ของหลิงม่อตอนนี้ หนวดสัมผัสมากมายนับไม่ถ้วนได้ห้อมล้อมและประสานตัวกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่รอบตัวเขา


หนวดสัมผัสเหล่านี้จะกลายสภาพเป็นสสารทันทีที่เขาเพ่งสมาธิ และกำจัดเฉินเล่อที่ปรากฏกายออกมา


“ทำอย่างนี้ไป…”


“ก็เป็นแค่…”


“การขัดขืน…


“ที่ไร้ประโยชน์…”


“ยอมแพ้ซะเถอะ”


เมื่อเฉินเล่อปรากฏตัวแล้วหายไปติดต่อกันหลายครั้ง ในที่สุดหลิงม่อก็จับใจความประโยคที่เขาพูดออกมาได้


ทว่าสิ่งที่เฉินเล่อได้กลับคืนไป กลับเป็นเสียงหัวเราะเย็นชาแกมดูถูกของหลิงม่อ “ฉันก็แค่ไม่อยากฟังแกพูดพร่ำทำเพลงอีก ไอ้โง่”


เฉินเล่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้บนใบหน้าของเขากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม


เขามองหลิงม่อด้วยสายตานิ่งงัน แล้วพูดว่า “แกว่าใคร…”


“ไอ้โง่” หลิงม่อพูดกับเฉินเล่อที่ถูก “กระตุ้นต่อมโมโห” อย่างท้าทาย


เฉินเล่อหายตัวและปรากฏตัวๆ อีกหลายครั้ง แต่เขากลับเร็วสู้หนวดสัมผัสของหลิงม่อไม่ได้


ไม่ว่าเขาจะเลือกปรากฏตัวในเวลาแบบไหน ระยะห่างเท่าใด หลิงม่อก็สามารถกำจัดเขาได้ในทันทีทุกครั้ง ไม่เปิดโอกาสให้เขาแม้แต่ “วินาทีเดียว”


และในระหว่างนั้นสีหน้าของเฉินเล่อก็เริ่มบึ้งตึง สายตาก็เหี้ยมโหดมากขึ้นเรื่อยๆ


ทว่าหลิงม่อไม่ได้เอาแต่จดจ่ออยู่กับการต่อสู้กับเฉินเล่อ ความจริงเป้าหมายหลักของเขาก็คือสัตว์ประหลาดที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างหาก


“กร๊อบๆ…” สัตว์ประหลาดตัวนั้นกำหมัดแน่น บิดคอไปมาเล็กน้อย


มันยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว มู่เฉินก็ถือมีดวิ่งพุ่งเข้าไปก่อนแล้ว


“อย่าทำอะไรโง่ๆ!” หลิงม่อเพิ่งจะพูดจบ ก็มองเห็นสัตว์ประหลาดที่ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นโฉบร่างพุ่งเข้าไปหามู่เฉินด้วยความเร็วสูง


“สวบ!”


เสียงแหวกลมดังขึ้น มู่เฉินรู้สึกเพียงภาพตรงหน้าเบลอไปหมด จากนั้นเงาสีดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามากระแทกศีรษะของตัวเองอย่างจัง


หมัดตรง แต่สามารถใช้หมัดธรรมดาให้ดุดันร้ายกาจได้ขนาดนี้ หลิงม่อเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก


การระเบิดพลังในพริบตาของสัตว์ประหลาดตัวนี้น่ากลัวสุดๆ แม้แต่หลิงม่อที่ยืนห่างขนาดนี้ ก็ยังรู้สึกได้ถึงกระแสลมแรงที่ลอยมาปะทะใบหน้า


ถ้าหากว่าถูกหมัดนั้นเล่นงานจังๆ เดาว่าป่านนี้สมองของมู่เฉินคงเละกระจุยไม่เหลือชิ้นดีแล้วแน่ๆ…


มู่เฉินเองก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเร็วขนาดนี้ วินาทีนั้นสมองของเขาขาวโพลนไปหมด เขาโฉบร่างหลบไปด้านข้างโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ


หมัดลูกนั้นลอยเฉียดปลายจมูกเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่มู่เฉินยังไม่ทันตั้งตัว ก็รู้สึกว่าลำคอถูกโจมตีอย่างแรง ร่างเขากระเด็นปลิวออกไปข้างหลังทันที


นี่มันอะไรเนี่ย ทำไมเร็วขนาดนี้!


หนึ่งหมัดพลาดเป้า แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้กลับสามารถเหวี่ยงแขนมาทางด้านข้างเพื่อโจมตีเขาต่อทันที!


มู่เฉินที่ล้มกระแทกพื้นอย่างแรงยกมือขึ้นกุมคอ เขาอ้าปากอาเจียนลมอย่างทรมานอยู่หลายครั้ง ไม่นานเลือดและน้ำลายก็พุ่งออกมาพร้อมกัน


แต่สัตว์ประหลาดตัวนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ขณะที่ร่างมู่เฉินตกถึงพื้น มันก็กระโจนขึ้นสูง และหมายจะพุ่งชนมู่เฉินจากกลางอากาศ


มู่เฉินที่เพิ่งถูกโจมตีอย่างแรงมองเห็นพื้นรองเท้าสีดำกำลังพุ่งมาทางศีรษะของตัวเอง แต่เขากลับไม่มีแรงจะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ…


แต่ทันใดนั้น ในเสี้ยววินาทีที่พื้นรองเท้ากำลังจะกระแทกหัวเขา สัตว์ประหลาดกลับกระเด็นออกไปด้านข้าง และกระแทกเข้ากับเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งดัง “โครม”


และในทันที เงาร่างมากมายได้โฉบไหวไปมาอยู่รอบตัวของมัน เงาร่างเหล่านี้เพียงโฉบผ่านไปผ่านมาอย่างรวดเร็ว บนร่างกายของมันก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นหลายแผล


ไม่รอให้มันมีโอกาสหลบ หลิงม่อก็พุ่งเข้าไปทางมัน มือทั้งสองข้างเปลี่ยนท่าไปมาไม่หยุด


“ฉึกๆๆๆ!”


ดวงตาของมันถูกจู่โจมหลายครั้งติดกัน จนตาซ้ายมีเลือดพุ่งออกมา


“อ๊ากกก…”


มันอ้าปากตะโกนลั่น ดิ้นทุรนทุรายอย่างรุนแรง เหมือนมันหลุดออกจากพันธนาการบางอย่างที่มองไม่เห็น จากนั้นก็วิ่งพุ่งเข้าไปทางหลิงม่อ


แต่หลิงม่อกลับลอยขึ้นกลางอากาศ และหยุดในจุดที่ห่างจากพื้นไปหลายเมตร


ส่วนเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็เสียหลักสะดุด ในขณะที่ยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคง ข้างกายก็มีเงาร่างหลายเงาปรากฏขึ้นอีกครั้ง


“อ๊ากกก!”


เสียงครวญครางของสัตว์ประหลาด บาดแผลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บนร่างของมัน ทำให้มู่เฉินที่กำลังไออย่างหนักตะลึงตาค้างไปทันที


สัตว์ประหลาดที่เขาไม่สามารถต้านทานได้ กลับถูกพวกหลิงม่อกำราบไว้ได้…


โดยเฉพาะหลิงม่อ เขาเป็นแค่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตแท้ๆ แต่กลับไม่ได้มีเพียงพลังตอบสนองทางจิตอันรวดเร็ว การตอบสนองทางร่างกายก็ยังแข็งแกร่งมากด้วย


การเคลื่อนไหวของเขาดูออกได้ไม่ยาก เขากำลังใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ จงใจเข้าใกล้สัตว์ประหลาดตัวนั้น จากนั้นก็อาศัยพลังตอบสนองอันยอดเยี่ยมของตัวเองสู้กับมัน


ต้องบอกก่อนว่าระยะใกล้ขนาดนั้น หากโดนข่วนเข้าแค่เพียงครั้งเดียว เขาก็จะกลายเป็นสวี่ซูหานคนต่อไปทันที


ต้องมีจิตแกร่งกล้าขนาดไหน จึงจะสามารถทำเรื่องอันตรายอย่างนี้ได้โดยที่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง


เพื่อปกป้องแฟนสาวที่สู้เคียงข้างเขางั้นหรอ?


มู่เฉินเดาถูกต้องแล้ว หลิงม่อทำไปเพราะเหตุผลนี้จริงๆ


สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่เหมือนซอมบี้ธรรมดา มันจ้องจะสู้กับมนุษย์เป็นหลัก…เหมือนมันไม่มี “ความสนใจ” อะไรเป็นพิเศษ


ทว่าเมื่อเทียบกับหลี่ย่าหลินที่เคลื่อนไหวรวดเร็วสุดขีดและเย่เลี่ยนที่คอยเล็งปืนจ้องหาโอกาสอยู่ข้างๆ แล้ว เห็นชัดว่ามนุษย์ผู้ “เชื่องช้า” อย่างหลิงม่อเป็นที่สะดุดตามากกว่าอยู่แล้ว


เขาดึงดูดความสนใจของสัตว์ประหลาดตัวนี้จนสำเร็จ และก็กำลังใช้พลังจิตก่อกวน รวมถึงการโจมตีรูปแบบต่างๆ เล่นงานมัน


ไม่นานบนร่างกายของมันก็มีรอยแผลสิบกว่ารอยเพิ่มขึ้นมา เลือดสดๆ และความเจ็บปวดทำให้มันเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งอย่างรวดเร็ว


“อ๊ากกกกก!”


หลังจากที่ถูกหลี่ย่าหลินฟันอีกครั้ง และถูกยิงไหล่ซ้ายอีกหนึ่งนัด สัตว์ประหลาดพลันคำรามเสีบงดังขึ้นมาทันที


สีเลือดในดวงตาของมันเข้มขึ้นกว่าเดิม กล้ามเนื้อตามร่างกายก็เริ่มกระตุกอย่างรุนแรง


เลือดบนบาดแผลเหวอะหวะตรงหัวไหล่ของมันกำลังหยุดไหลอย่างรวดเร็ว บาดแผลตื้นลึกมากมายบนร่างกายของมันก็เช่นกัน


กระทั่งระหว่างที่เนื้อกายของมันกำลังสมานกัน บาดแผลเหล่านั้นก็ดูจางลงมาก…


“นี่มันอมตะชัดๆ…” มู่เฉินอึ้ง


“มานี่” จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนขากางเกงของตัวเองถูกดึง พอหันกลับไปมองด้วยความตกใจกลัว กลับพบว่าเป็นซย่าน่า


ไม่รอให้เขาพูดอะไร ร่างกายท่อนบนของเขาที่เพิ่งจะยืดขึ้นก็เสียการทรงตัว ผลคือเขาถูกลากกลับหัวกลับหางเข้าไปในมุมมุมหนึ่ง


“ชะ…ช่วยด้วย…”


ซย่าน่าโยนตัวเขาไปไว้ข้างๆ สวี่ซูหาน แล้วบอกว่า “นายเฝ้าเธอไว้ สังเกตม่านตาและสภาพจิตใจของเธอไว้ให้ดี”


“แล้วเธอ…ล่ะ? แค่กๆ…” มู่เฉินถามอย่างยากลำบาก


“ฉันกำลังจับตามองเจ้านั่นอยู่…” ซย่าน่าจับเคียวดาบ แล้วพูดเสียงเย็นชา


พวกหลิงม่อกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนั้นอย่างดุเดือด แต่ว่า ในที่นี้ยังมีเฉินเล่ออยู่อีกคน…


ถึงแม้ไม่ว่าเขาจะปรากฏตัวตรงไหนก็ถูกหลิงม่อกำจัดได้ทันทีทุกครั้ง แต่ระวังไว้ก่อนดีที่สุด


หลังจากที่เลือดหยุดไหล ร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นครั้งใหญ่


ทั้งความเร็ว และพละกำลัง ล้วนอัพเกรดขึ้นจนแข็งแกร่งกว่าเดิม


หลิงม่อเริ่มพันธนาการมันไม่อยู่อย่างช้าๆ และเย่เลี่ยนเองก็มองไม่เห็นช่องโหว่ในการยิงเลยแม้แต่น้อย แม้แต่การโจมตีของหลี่ย่าหลินก็ยังพลาดเป้าครั้งแล้วครั้งเล่า


สัญชาตญาณรับรู้ต่ออันตรายของมันเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก ทุกครั้งที่หลี่ย่าหลินโฉบร่างไปปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ มัน สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็จะหลบการโจมตีของเธอไปได้ก่อนเสมอ


และการจู่โจมของมันที่มีต่อหลิงม่อก็รุนแรงมากขึ้น หลิงม่อเริ่มรู้สึกกินแรงขึ้นมาบ้างแล้ว


ด้วยตาข่ายพลังจิตที่สร้างโดยหนวดสัมผัสทางจิต เขาสามารถใช้ความเร็วเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการได้ แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้กลับตามเขาทันทุกครั้ง


หลิงม่อเพิ่งจะใช้หนวดสัมผัสดึงตัวเองไปอีกทาง แต่ในขณะที่เพิ่งจะถึงที่หมาย เขาก็มองเห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นพุ่งเข้ามาหาตัวเองอีกครั้งทันที


หลิงม่อใจกระตุกวูบ ขณะเดียวกันก็ใช้หนวดสัมผัสดึงตัวเองไปอีกทาง แต่พอก้มหน้ามอง กลับพบว่าชายเสื้อของตัวเองถูกกระชากขาดไปส่วนหนึ่งแล้ว


“ฉิวเฉียดสุดๆ…” หลิงม่ออดรู้สึกหวาดเสียวไม่ได้


แต่เขายังไม่ทันเคลื่อนไหวอีกครั้ง ลมแรงๆ สายหนึ่งก็พัดเข้ามาจากด้านหลังทันที


“เคร้ง!” เฉินเล่อที่ปรากฏตัวอีกครั้งถูกโจมตีจนสลายตัวไป


ทว่าครั้งนี้หลังจากที่โจมตีเขาจนสลายแล้ว สีหน้าของหลิงม่อกลับแตกต่างไปจากเมื่อกี้เล็กน้อย


“สามารถโจมตีได้แล้ว? ไม่ใช่สิ…” หลิงม่อครุ่นคิด พลางกวาดมองไปรอบๆ


เฉินเล่อหายตัวไปอีกแล้ว แต่เขาน่าจะกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนซักแห่งเพื่อมองหาโอกาสอยู่ และต้องซ่อนอยู่แถวนี้แน่ๆ


หลิงม่อไม่รีบร้อน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ข้อมูลมากขึ้น


สงครามระหว่างผู้มีความสามารถพิเศษ จุดสำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจความสามารถพิเศษของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด


บางทีตอนนี้ เฉินเล่อเองก็อาจจะกำลังลอบสังเกตเขาอยู่ก็ได้…


“ปึง!”


สัตว์ประหลาดตัวนั่นพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง หลิงม่อลอยตัวขึ้นสูงในเสี้ยววินาที พริบตาเดียวเขาก็ไปโผล่อยู่ข้างหลังของมัน หนวดสัมผัสทางจิตเส้นหนึ่งถูกแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว


รอยเลือดพลันปรากฏอยู่บนต้นคอของมันทันที สัตว์ประหลาดยกมือขึ้นกุมต้นคอพร้อมกรีดร้อง ไม่รอให้ตัวเองล้มลงไปก่อน มันรีบหันหลังกลับมาแล้วเอาแขนฟาดไปทางหลิงม่อ


ขณะที่หลิงม่อใช้หนวดสัมผัสดึงตัวเองให้กระโดดถอยหลัง ในใจก็ตกตะลึง “พลังป้องกันก็สูงขึ้นด้วยเหมือนกัน การโจมตีจากหนวดสัมผัสรูปสสารทำได้แค่ทิ้งรอยแผลเล็กๆ ไว้ให้มัน เจ้านั่นมันตัวอะไรกันแน่เนี่ย?”


—————————————————————————–


บทที่ 631 ชีวิตคนเราก็เหมือนชุดเครื่องชา ที่เต็มไปด้วยแก้วชา

โดย

Ink Stone_Fantasy

(แก้วชา ในภาษาจีน พ้องเสียงกับคำว่าความทุกข์)


หลังจากตกตะลึง หลิงม่อก็รีบปรับเปลี่ยนการต่อสู้


เขารีบเปลี่ยนจากโจมตีเป็นตั้งรับทันที สองสาวซอมบี้เองก็เปลี่ยนจากโจมตีอย่างต่อเนื่องเป็นก่อกวนทุกรูปแบบแทน


การต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นลงอย่างรวดเร็ว มู่เฉินเห็นเพียงสัตว์ประหลาดตัวนั้นกำลังถูกคนสามคนจูงจมูก ให้วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่แถวๆ สี่แยกนั่น


“ทำอะไรกันน่ะ?” มู่เฉินไม่เข้าใจ เปลวเพลิงกำลังลามเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้ว นี่ไม่ใช่เวลามาถ่วงเวลานะ…


ซย่าน่าจับตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แล้วตอบว่า “รอดูไปเถอะ มันทนได้ไม่นานหรอก”


“หมายความว่าไง?” มู่เฉินยังคงงุนงง


ซย่าน่าเหลือบมองเขาด้วยหางตาเหมือนมองคนโง่ แล้วบอกว่า “นายก็ไม่ได้บาดเจ็บที่สมองซักหน่อยนี่…ช่างเถอะ ฉันบอกนายก็ได้ นายไม่รู้สึกหรอว่ามันร้ายกาจกว่าเมื่อกี้มาก?”


“รู้สึกสิ…” มู่เฉินน้ำตานองหน้า ถึงเขาจะไม่เข้าใจจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นถึงขั้นต้องเริ่มอธิบายจากเรื่องที่เห็นชัดขนาดนี้ก็ได้นี่


“แล้วนายคิดว่ามันปกติไหม?” ซย่าน่าพูดกับเขาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายเต็มทน


มู่เฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจกระจ่างแล้ว “อ้อ…อย่างนี้นี่เอง”


สัตว์ประหลาดตัวนี้จู่ๆ ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา เห็นชัดว่าเป็นเพราะมันถูกความเจ็บปวดกระตุ้น จนทำให้มันตกอยู่ในสภาวะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้


และภายใต้สภาวะนี้ พละกำลังที่มันต้องเผาผลาญก็มากขึ้นกว่าปกติหลายเท่า


พวกหลิงม่อสังเกตเห็นจุดนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาไม่เพียงไม่สู้กับมันโดยตรง แต่กลับเลือกใช้วิธี “จูงจมูกหมา” และกระตุ้นมันอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้มันคลุ้มคลั่งหนักกว่าเดิม


“ชั่วร้ายจริงๆ…” มู่เฉินพึมพำ แต่ก็เหลือบไปเห็นสายตาเย็นชาของซย่าน่าที่มองเขาพอดี


เขาใจเต้น “ตึกตัก” รีบฉีกยิ้มแล้วบอกว่า “ความจริงฉันกำลังชมเขาน่ะ…ไม่น่าล่ะพวกเธอมีกันแค่ไม่กี่คนก็ยังอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ประสบการณ์ในการต่อสู้ของพวกเธอนี่ยอดเยี่ยมสุดๆ”


“สัตว์ที่ถูกเลี้ยงมาในกรงอย่างไรก็สู้สัตว์ป่าไม่ได้” ซย่าน่าตอบ


“มึนเลย…” ตอนแรกมู่เฉินคิดจะเถียง แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ เขาหันไปมองสวี่ซูหานที่นั่งเหม่อพิงกำแพงโดยไม่พูดไม่จา แล้วหันกลับมามองตัวเอง


“ถูกเลี้ยงในกรงหรอ…เหมือนจะใช่จริงๆ ด้วยแฮะ ทำงาน รับรางวัล กลับกรง…” มู่เฉินคิดอย่างขมขื่น


จะว่าไป สมาชิกของนิพพานแทบจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันทั้งหมด


ระดับและตำแหน่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การได้รับการถูกปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน ได้มอบแรงขับเคลื่อนในการออกไปเสี่ยงชีวิตให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง


ซึ่งความจริงแล้ว นี่เป็นเพียงการนำเลือดเนื้อของทุกคนมารวมกันไว้ที่เดียว จากนั้นก็ให้คนบางกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าได้กลืนกินก็เท่านั้น


เหล่าคนที่ถูกกลืนกิน ก็พยายามสุดชีวิตที่จะหันกลับมาเป็นหนึ่งในคนที่จะไปกลืนกินคนอื่นต่อ


เมื่อเป็นอย่างนี้ จะยังมีมิตรและสหายที่แท้จริงอยู่อีกหรือ?


ความจริงในสายตาของคนที่อยู่ตำแหน่งค่อนข้างต่ำ คนที่อยู่ตำแหน่งสูงอาจเป็นแค่ก้อนหินขวางทางก็เป็นได้


อย่างเช่นซย่าจื้อ เขามองมู่เฉินเป็นแค่ก้อนหินขวางทางเท่านั้น…


และในสายตาของคนตำแหน่งสูง เหล่าสมาชิกระดับล่างที่กำลังไล่ตามหลังมาติดๆ ไม่ใช่ภัยอันตรายที่แฝงตัวอยู่หรอกหรือ?


กลไกการแข่งขันอย่างนี้ส่งเสริมให้นิพพานขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ภัยแฝงและความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ในนั้น มู่เฉินสัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านั้นแล้ว…


พอคิดอย่างนี้ จู่ๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นต่อการทรยศของซย่าจื้อมากขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว


เขาไม่ได้ทรยศ แค่มีชีวิตที่น่าสมเพชเกินไปเท่านั้น ก็เหมือนกับตัวเองในสมัยก่อน…


ขณะเดียวกันนั้น พวกหลิงม่อและสัตว์ประหลาดตัวนั้นยังคงวิ่งวนไปรอบๆ อย่างต่อเนื่อง


สัตว์ประหลาดที่สูญเสียสติปัญญาย่อมมองแผนการของหลิงม่อไม่ออก มันเหมือนลูกข่างที่ถูกพวกหลิงม่อปั่นจนหัวหมุน


การเผาผลาญพลังกายอย่างรวดเร็วกลับกระตุ้นให้มันเดือดพล่าน ทว่าคลั่งก็ส่วนคลั่ง การเคลื่อนไหวของมันกลับค่อยๆ ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด


กลับเป็นเฉินเล่อที่เอาแต่ผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนฟองสบู่ในร่างคนแต่ก็ถูกตีจนแตกทุกครั้งที่โผล่หน้าออกมา เขาเริ่มทนนิ่งดูดายไม่ไหวแล้ว


เขาปรากฏกายออกมาอีกครั้ง ข้างหลังของสัตว์ประหลาดตัวนั้นพอดี


อาศัยวิธีนี้ เขาสามารถเพิ่มเวลาให้ตัวเองได้อีกนิด


“วีดวิ้ว!”


แต่เขาเพิ่งจะผิวปากได้ครั้งเดียว หนวดสัมผัสของหลิงม่อก็พุ่งตรงมาถึงแล้ว


เฉินเล่อโกรธสุดๆ แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรหลิงม่อซึ่งมีพลังตอบสนองทางจิตที่รวดเร็วได้


ทว่าเสียงผิวปากของเขาก็ได้ผลอยู่บ้างเหมือนกัน ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดคำรามเสียงดังลั่น พลันกระโดดขึ้นสูง


หลิงม่อรับรู้ได้ถึงอันตรายทันที เขายังไม่ทันถอยหลัง สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว


“เร็วมาก!”


นึกว่าอาการคลุ้มคลั่งเมื่อกี้คือขีดจำกัดสูงสุดของสัตว์ประหลาดตัวนี้แล้วเสียอีก แต่ดูจากตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่คิดซะแล้ว


ทว่าแม้ร่างกายเขาจะถอยหลังไม่ทัน แต่ตาข่ายหนวดสัมผัสทางจิตกลับถูกกางขวางไว้ข้างหน้าเขาอย่างรวดเร็ว


หลิงม่อยังไม่ทันมองเห็นเงาร่างของสัตว์ประหลาดตัวนี้ชัดๆ การโจมตีของมันก็พุ่งเข้ามาถึงก่อนแล้ว


ขาทั้งสองข้างของมันเหมือนติดไขลานที่ถูกไขแล้ว มันจู่โจมหลิงม่อด้วยลูกเตะความถี่สูงอย่างต่อเนื่อง


แค่เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวินาที หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนพลังจิตของตัวเองกำลังแห้งเหือดไปอย่างรวดเร็วเหมือนน้ำรั่ว


ในตอนนั้นเอง หลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนก็ตามมาทันในที่สุด อาศัยการตอบสนองทางกายอันรวดเร็วของพวกเธอ จะให้ต้านทานสัตว์ประหลาดตัวนี้ไว้ซักครู่หนึ่งคงไม่มีปัญหา…


หลิงม่อเพิ่งจะพ่นลมหายใจโล่งอก ฝ่าเท้าอันหนักหน่วงที่อยู่ตรงหน้าก็พลันหายวับไปกับตา ไม่นานลมแรงสายหนึ่งก็พัดเข้ามาจากด้านหลัง


“นี่ก็เร็วเกินไปแล้วมั้ง!”


ไม่มีการสะดุดเกิดขึ้นขณะที่มันเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย หรือหากพูดตรงๆ ก็คือ—ไม่มีที่ติ!


สัตว์ประหลาดตัวนี้เปลี่ยนทิศทางอย่างต่อเนื่อง มันทั้งหลบเลี่ยงการโจมตีจากหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยน ขณะเดียวกันก็สร้างแรงกดดันให้หลิงม่ออย่างมหาศาล


หลิงม่อเองก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้ลิ้มลองรสชาติของการถูกโจมตีอย่างเดียวเร็วขนาดนี้


ถึงแม้เขาจะไม่มีบาดแผลเพิ่มขึ้นจำนวนมากเหมือนสัตว์ประหลาดตัวนั้น แต่พลังจิตถูกเผาผลาญไปมากขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี…


“ไม่สิ มันคลุ้มคลั่งมากไปกว่าเดิมไม่ได้แล้วแท้ๆ เป็นเพราะอะไรกันแน่? แล้วเสียงผิวปากนั่นอีก…”


หลิงม่อขมวดคิ้วแน่น เขามองหาโอกาสผละตัวออกจากการโจมตี พลางวิเคราะห์สถานการณ์ไปด้วย


ไม่รู้ทำไม เขามีความคิดที่บ้าคลั่งมากความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง…


แต่พอนึกถึงสภาพของสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้ว หลิงม่อก็อดส่ายหน้าในใจไม่ได้


เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง…


“วูบ!”


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ด้านหลังเย่เลี่ยนก็มีเงาร่างของใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น


ประกายดาบวาววับราวงูพิษแทงตรงไปยังแผ่นหลังของเย่เลี่ยน และสิ่งที่ปรากฏขึ้นพร้อมกันคือรอยยิ้มเยือกเย็นของเฉินเล่อ


ในมุมมองของเขา เด็กสาวที่ดูเอ๋อๆ คนนี้น่าจะเป็นคนที่เขื่องช้าที่สุดแล้ว


แถมตอนนี้เธอก็กำลังสนใจหลิงม่อกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่ จะทันสังเกตเห็นตัวเองที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวราวภูตผีได้อย่างไร?


กว่าเธอจะรู้ตัว มีดในมือของเฉินเล่อก็คงแทงเข้าไปสุดขั้วหัวใจของเธอแล้ว…


พอคิดว่าเลือดอุ่นๆ กำลังจะกระเซ็นใส่ใบหน้าตัวเอง สายตาของเฉินเล่อก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที


“แกปกป้องพวกเธออยู่ไม่ใช่หรอ? ฉันจะฆ่าพวกเธอต่อหน้าแกให้หมดก่อน ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษที่แกทำให้ฉันโกรธมากไป แล้วก็อวดเก่งเกินไป!”


“เคร้ง!”


ประกายดาบสายหนึ่งพุ่งเฉียดแผ่นหลังของเย่เลี่ยนไป และปะทะเข้ากับคมดาบของเฉินเล่อ


เฉินเล่อยังไม่ทันได้ตั้งตัว ประกายดาบนั้นก็ปัดมีดของเขาออกไป และชั่วพริบตาเดียวประกายดาบรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวก็ฟาดฟันลงมายังศีรษะของเขา


เฉินเล่อตะลึง พลันรีบโฉบกายถอยหลัง


เด็กสาวผมยาวฟันอากาศ แต่เธอกลับไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เธอรีบพลิกตัวดาบให้หันข้าง จากนั้นก็หมุนกายคว้างอย่างสง่างาม พาคมดาบพุ่งขวางเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว


“ชิบหายแล้ว…”


เฉินเล่อหลบหลีกอย่างทุลักทุเล อีกนิดเดียวเขาก็จะลงไปกลิ้งกับพื้นแล้ว


“นายคิดว่าฉันไม่มีตัวตนหรอ?” ซย่าน่ายิ้มเย็นชา พลางพุ่งเข้าไปพร้อมคมดาบอีกครั้ง


“สีหน้าของผู้หญิงคนนี้โรคจิตกว่าฉันซะอีก!” เฉินเล่อเพิ่งจะยืนตัวตรง ก็เห็นคมดาบฟาดลงมายังศีรษะตัวเองแล้ว


“หลิงม่อให้ฉันจับตามองนายอยู่ตลอด” ซย่าน่าพูดพร้อมหัวเราะคิกคัก


“เธอปกป้องเจ้าพวกนั้นอยู่ไม่ใช่หรอ!” เฉินเล่อถอยกรูด พลางคำราม


“เข้าใจคำว่าลำดับความสำคัญไหม?” ซย่าน่ากลอกตาขาวใส่เขา


ครั้งนี้เฉินเล่อยังไม่ทันหลบ ด้านหลังก็มีเงาร่างของใครบางคนปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


พอประกายดาบสว่างวาบ เขาก็หายตัวไปในพริบตา


“จิ๊…” ซย่าน่าลดเคียวดาบลง พลางมองซ้ายมองขวา และจากนั้นก็ถอยไปยืนอยู่ด้านหน้ามู่เฉินและสวี่ซูหานอีกครั้ง


ส่วนมู่เฉินที่หน้าซีดเผือดก็ค่อยๆ ลดมีดลงอย่างงงๆ หลังครุ่นคิด เขาก็ยกมีดขึ้นอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้


นึกแล้วเชียวความรู้สึกที่เหมือนถูกปกป้องนี่ต้องคิดไปเองแน่ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าภาพจินตนาการดีๆ จะถูกทำลายเร็วขนาดนี้…


“ทำไมรู้สึกเหมือนพวกฉันเป็นตัวช่วยในการลอบโจมตีให้เธอล่ะ? อย่างเมื่อกี้เฉินเล่อไม่คิดเลยว่าเธอจะลงมือ…”


พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกว่า ชีวิตตัวเองนั้นเต็มไปด้วยเรื่องน่าเศร้ามากมาย…


การลอบโจมตีของเฉินเล่อตกอยู่ในสายตาของหลิงม่อเช่นกัน ขณะที่สายตาของเขาเย็นชากว่าเดิม ในใจกลับกำลังคำนวณ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…เราเริ่มเข้าใจลักษณะเด่นของความสามารถพิเศษของเขาแล้ว อยากเล่นบทคนล่องหน? คอยดูเถอะ ฉันจะลากตัวแกออกมาให้ได้!”


และตอนนี้ ภายใต้การร่วมมือของเย่เลี่ยนกับหลิงม่อ สัตว์ประหลาดที่คลุ้มคลั่งไปแล้วก็เผยช่องโหว่ให้เห็นในที่สุด


เสี้ยววินาทีที่กำลังจะเปลี่ยนทิศทาง ร่างกายของมันถูกเย่เลี่ยงขวางไว้ได้ชั่วขณะ…


—————————————————————————–



บทที่ 632 เกิดมาหน้ากวนประสาท

โดย

Ink Stone_Fantasy

ช่องโหว่นี้ปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาที และหายไปในชั่วพริบตา คนทั่วไปแม้จะสังเกตเห็น แต่ก็ยากที่จะตอบสนองได้ทัน


เพราะถึงแม้จะสามัคคีกับเพื่อนร่วมทีมอีกมากแค่ไหน การเคลื่อนไหวของคนสองคนก็ไม่อาจพร้อมเพรียงกันได้ 100%


แต่หลิงม่อไม่เหมือนกัน ด้านหนึ่งเป็นเพราะเขาฝึกฝนการตอบสนองทางจิตจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว ในอีกด้านเป็นเพราะ เขาและเย่เลี่ยนมีจิตและความคิดเดียวกันแต่แรกอยู่แล้ว


ขณะที่ช่องโหว่ของสัตว์ประหลาดปรากฏขึ้น หลิงม่อก็เคลื่อนไหวทันทีโดยสัญชาตญาณ


เขาลอยตัวขึ้นสูงทันที หนวดสัมผัสสองเส้นพุ่งออกไปจากดวงแสงแห่งจิตของเขา เข้าไปดึงเท้าข้างนั้นที่เสียหลักของมัน


“โครม!”


สัตว์ประหลาดล้มเสียงดังโครมคราม จากนั้นก็กลิ้งหลุนๆ ออกห่างไประยะหนึ่ง และกระแทกเข้ากับรั้วกั้นข้างทางในที่สุด


ไม่รอให้มันลุกขึ้นยืน เทพเจ้าสายฟ้าในมือเย่เลี่ยนพลันลั่นกระสุนออกไปโดยพลัน


หยาดเลือดมากมายพุ่งกระฉูดออกมาจากร่างกายของสัตว์ประหลาด เสียงกรีดร้องของมันดังบาดหูขึ้นมาทันที


และการร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์ที่ราวกับเกิดจากการเคลื่อนไหวของคนคนเดียวนี้ ก็ทำให้มู่เฉินอึ้งเป็นรอบที่ร้อยของวันนี้ จากมุมมองของคนดู ลำดับการเคลื่อนไหวหน้าหลังของหลิงม่อและเย่เลี่ยนนั้นไหลลื่นมาก ถึงแม้ขั้นตอนดุดัน ผลที่ได้นองเลือด แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูการแสดงที่ผ่านการซักซ้อมมาก่อน แต่พอจินตนาการว่าเป็นตัวเอง ในสมองของมู่เฉินก็เหลือเพียงความตกตะลึง


ไม่ว่าจะวิเคราะห์อย่างไร เขาก็ไม่มีทางทำได้อย่างพวกหลิงม่อแน่นอน และเมื่อกี้ ถ้าหากพวกเขาคนใดคนหนึ่งเคลื่อนไหวช้าแม้เพียงศูนย์จุดวินาที ผลที่ได้คงไม่ออกมาเป็นอย่างนี้


“นี่สิถึงจะเรียกว่า Relationship Goal ที่แท้จริง…” มู่เฉินพึมพำขณะที่กำลังตกตะลึง


ขณะที่สัตว์ประหลาดล้มลงไป หลิงม่อไม่ได้พุ่งเข้าไปทันที แต่เขาเพ่งสมาธิก่อน จากนั้น “ใยแมงมุม” ที่แผ่ปกคลุมอยู่รอบด้านก็กลายสภาพเป็นสสารทันที


เสียงแค่นหัวเราะด้วยความไม่พอใจดังขึ้นกลางอากาศ ไม่นานเงาร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ ตัวเขา


คราวนี้หลิงม่อยังไม่ทันลงมือ เฉินเล่อก็เป็นฝ่ายหายตัวไปก่อน และวินาทีถัดมาเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้างสัตว์ประหลาดตัวนั้น


“แกทำได้ยังไง…” เฉินเล่อมองหน้าหลิงม่อด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ราวกับว่ายากที่จะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “แต่ว่า ฉันเข้าใจพลังของแกแล้วล่ะ การโจมตีที่มองไม่เห็น แต่มีขีดจำกัดเรื่องระยะห่างและอานุภาพ ยิ่งระยะห่างมากเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งอ่อน สามารถตั้งรับการโจมตีได้ แต่เดาว่าก็คงมีขีดจำกัดเหมือนกัน…”


เขาทำท่าครุ่นคิด แล้วพูดต่อว่า “พลังจิต แต่พลังงานทางจิตของแกจะยืนหยัดไปได้อีกนานแค่ไหนกัน?”


“ไม่เลวนี่” หลิงม่อเอ่ยปากชม


เดิมเฉินเล่อท่าทีได้ใจ แต่สายตาดูถูกของหลิงม่อ กลับทำให้รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางไป กลายเป็นความโกรธขึ้งเข้ามาแทนที่ เขาพูดเสียงเข้ม “หมายความว่าไง?”


“ไม่ได้มีแค่แกที่กำลังหยั่งเชิงอยู่นะ” หลิงม่อบอก “ฉันขอเดานะ การล่องหนของนาย น่าจะได้ผลแค่ในระยะ 30 เมตรใช่ไหมล่ะ?”


เฉินเล่อไม่พูด แต่สีหน้าของเขาบูดบึ้งทันที ซึ่งนั่นกลับเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด


ความจริงแล้ว ตอนนี้ในสมองของเขากำลังคิดอยู่เพียงเรื่องเดียว : เจ้าหมอนั่นรู้ได้ยังไง!


ไม่นาน เขาก็ตระหนักได้ว่า การโจมตีที่ดูอ่อนหัดและเสียเวลาทั้งหมดก่อนหน้านี้ของหลิงม่อ ความจริงก็คือการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง…


เฉินเล่อเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในการปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นเขาก็ได้ค้นพบว่าพลังจิตจู่โจมของหลิงม่อมีจุดอ่อนเรื่องระยะห่าง และหลิงม่อเองก็ค้นพบจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเขาเหมือนกัน


เดิมเขาสามารถอาศัยสัตว์ประหลาดมาหยั่งเชิงหลิงม่อได้อย่างสบาย แต่เพราะการโจมตีอย่างต่อเนื่องอันน่าโมโหของหลิงม่อ เขาเลยถูกกระตุ้นให้โกรธได้โดยง่าย


จากที่ดูตอนนี้ เมื่อกี้เขาคิดว่าหลิงม่อคือไอ้อ่อนที่น่าเบื่อคนหนึ่ง แต่ในใจของหลิงม่อกลับกำลังคิดอย่างได้ใจว่า เขามันก็แค่ไอ้หน้าโง่ที่โดนหลอกได้อย่างง่ายดาย…


“ดังนั้น แกก็เลยเป็นไอ้โง่ที่แท้จริงไงล่ะ” หลิงม่อส่ายหน้าไปมา แล้วบอก


เขี่ย! เฉินเล่อกำหมัดแน่น หน้าซีดเหมือนแผ่นเหล็ก


“แต่ตอนแรกฉันนึกว่าพลังล่องหนของนายไม่มีพลังโจมตี คิดไม่ถึงว่านายจะอดกลั้นไม่ลงมือไว้น่ะ” หลิงม่อพูดต่อ


“แล้วยังไง?” ถึงแม้จะรู้ดีว่าหลิงม่อกำลังใช้คำพูดเหล่านี้เพื่อล้วงความลับ แต่เฉินเล่อกลับอดถามต่อไม่ได้


หลิงม่อยังคงยิ้มอ่อนต่อไป “ความจริงนายเป็นผู้มีความสามารถทางด้านพลังจิต”


“อะไรนะ?!”


คราวนี้คนที่ตะโกนเสียงดังลั่น กลับเป็นมู่เฉินที่ยังพิงกำแพงอยู่


ตั้งแต่ที่เฉินเล่อแสดงความสามารถพิเศษของเขาให้เห็น มู่เฉินก็มั่นใจมากว่าเจ้าหนูคนนี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย


ความเร็วนั่น และท่าทางลึกลับนั่น…จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตไปได้อย่างไร?


อีกอย่างหากเป็นผู้มีพลังจิต หลิงม่อก็น่าจะดูออกตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อตอนแรกเขาดูไม่ออก แล้วทำไมจู่ๆ ก็คิดว่าเขาเป็นผู้มีพลังจิตกันล่ะ?


ตัวเฉินเล่อเองก็เหมือนจะตกใจมากเหมือนกัน หนึ่งวินาทีผ่านไป เขาก็ถามว่า “นายรู้ได้ไง?”


“ห๊า เรื่องจริงหรอเนี่ย!” มู่เฉินยกมือขึ้นตบหน้าผาก พลางพูดขึ้นอย่างตกใจ


“เพราะฝีมือนายแย่เกินไป” หลิงม่อตอบ แต่คำตอบของเขาเกือบทำมู่เฉินสำลักพรวดออกมา


ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเห็นใจเฉินเล่อบ้างแล้วสิ ท่าทางเด็กหนุ่มผมสีเพลิงที่กำลังกำหมัดแน่นและกัดฟันกรอด แต่กลับไม่สามารถโต้ตอบใดๆ ได้ ทำให้มู่เฉินเห็นแล้วอดรู้สึกเจ็บใจแทนไม่ได้


แข่งลองเชิงเพื่อล้วงความลับกับหลิงม่อ ผลปรากฏว่าเขาแพ้ยับเยิน!


ไม่เพียงเท่านี้ ยังถูกหลิงม่อพูดจาดูถูกรัวๆ เดาว่าตอนนี้เขาคงโมโหจนแทบขาดสติแล้ว


ผู้มีพลังจิตที่ไม่สามารถควบคุมจิตใจให้นิ่งสงบได้ เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ…


มู่เฉินเหลือบมองหลิงม่ออย่างกลัวๆ ตอนนี้เขาทั้งทึ่ง และหวั่นเกรงในตัวเด็กหนุ่มคนนี้


เทียบกับเฉินเล่อที่กำลังตกอยู่ในความหวาดระแวง หลิงม่อดูหลักแหลมกว่าอย่างเห็นได้ชัด


ตอนที่เพิ่งเจอเฉินเล่อ เขายังคิดว่าทั้งสองคนมีจุดคล้ายๆ กันอยู่บ้าง


พวกเขาชอบยิ้ม และทำท่าทางไม่ค่อยแคร์อะไรเหมือนกัน…คนแบบนี้มักเป็นคนที่มีความคิดความอ่านไม่เลว


แต่จากที่เห็นในตอนนี้ พอเทียบกับหลิงม่อแล้ว เฉินเล่อยังด้อยกว่าอีกหลายขุม “ความผ่อนคลาย” ของเขาถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของพลัง แต่หลิงม่อนั้นถึงแม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาก็ยังคงความคิดและท่าทีอย่างงนี้ไว้ได้เสมอ


ตอนนี้พอทั้งสองปะทะกันซึ่งๆ หน้า ความแตกต่างก็ปรากฏออกมาให้เห็นทันที


“ในเมื่อเป็นผู้มีพลังจิต เรื่องก็ง่ายขึ้นเยอะ…” น้ำเสียงของหลิงม่อฟังดูมีความมั่นใจมากขึ้น


“งะ…ง่าย” เฉินเล่อเผยรอยยิ้มคลุ้มคลั่งออกมาทันที น้ำเสียงพลันดูดุดันขึ้น “ดูออกก็ไม่มีประโยชน์หรอก ยังไงฉันก็ยังทำให้แกคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าฉันได้เหมือนเดิม แกรู้ไหมว่าฉันจะทำอะไรแก? ฉันจะให้แกมองดูแฟนสาวคนสวยของแกถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา จากนั้นก็ถูกหมายเลข 1 กินซะ! ฮ่าฮ่าฮ่า…ไม่ๆๆ ให้เธอกินดีกว่า”


เฉินเล่อพยักพเยิดไปทางสวี่ซูหาน “ให้แฟนสาวคนสวยคนนั้นของแก กินแฟนสาวคนอื่นๆ ของนายซะ ดีไหมล่ะ? ฮ่าฮ่าฮ่า…”


“เธอไม่ใช่แฟนของฉัน” หลิงม่อตอบอย่างใจเย็น


“…” เสียงหัวเราะของเฉินเล่อสะดุดทันใด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นคลั่งแทน ความรู้สึกที่ “ตัวเองอุตส่าห์แสดงพังออกมาอย่างเต็มที่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านซักนิด” อย่างนี้ ก็เหมือนกับออกหมัดต่อยปุยฝ้ายเต็มแรง จากนั้นก็มองดูมันค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิม


รู้สึกไร้ความสามารถ! และเคียดแค้น!


“แกหลงประเด็นแล้ว!”


แต่เสียงพูดของเฉินเล่อเพิ่งจะจบ หัวไหล่ของเขาก็มีรูแผลปรากฏขึ้นมาหนึ่งแผล


เฉินเล่อหายตัวไปขณะที่มีสีหน้าตกใจสุดขีด เพื่อหลบปืนของเย่เลี่ยนที่กำลังเล็งตามมาติดๆ


“จิ๊ ยิงไม่โดนหัว” หลิงม่อพูดอย่างเสียดาย


“ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบแต่กลับยังลอบโจมตีอีก…” มู่เฉินเองก็ปากอ้าตาค้าง ตอนนี้เขาไม่แน่ใจแล้วว่าหลิงม่อเป็นคนกวนประสาทอย่างนี้อยู่แล้ว หรือว่าเขาจงใจทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิกันแน่


ถ้าหากเป็นอย่างแรก คนคนนี้ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว นี่มันเหมือนสลักความไร้ยางอายกับความชั่วร้ายลงในสัญชาตญาณเลยนะ!


พริบตาเดียวเฉินเล่อก็ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังสัตว์ประหลาดตัวนั้น เขายกมือขึ้นตบมันหนึ่งที พลางใช้มือข้างเดียวกันกุมหัวไหล่ตัวเอง แล้วผิวปากด้วยความฉุนเฉียว!


“หมายเลข 1 ลุย!


เมื่อเสียงตะโกนของเฉินเล่อดัง หมายเลข 1 ที่สภาพเหมือนใกล้ตายรอมร่อ กลับลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ


ยิ่งกว่านั้น มันเพิ่งจะยืนขึ้น ก็ออกตัวพุ่งเข้ามาทันที


ระหว่างที่พุ่งมาข้างหน้า มันเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วสองครั้ง เพื่อหลบปากปืนของเย่เลี่ยน และพุ่งตรงมาหาหลิงม่อ


แต่หลิงม่อที่กำลังมองดูมันเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง ยิ่งรู้สึกบางอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


“มันไม่ใช่ซอมบี้!”


ความคิดนี้มักผุดขึ้นมาในสมองของหลิงม่อเป็นระยะๆ แต่ครั้งนี้ เขาค่อนข้างมั่นใจแล้ว


ขณะเดียวกันร่างของเฉินเล่อก็หายวับไปกับตา จากนั้นก็ตามมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างสัตว์ประหลาด เพื่อฉวยโอกาสใช้มันเป็นกำบังให้ตัวเอง “30 เมตรแล้วยังไง? แกออกห่างจากฉันให้ได้แล้วกัน!”


พูดจบ เขาก็สลายตัวเป็นฟองสบู่แล้วหายวับไป


“เลิกลอบโจมตี แล้วหันมาสู้พร้อมกันแล้วหรอ?” หลิงม่อหัวเราะเย็นชา “ทำหน้าที่เป็นคนเลี้ยงสัตว์ของแกไปเถอะ!”


หนวดสัมผัสหลายสิบเส้นที่เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว พุ่งเข้าไปยังหมายเลข 1 พร้อมกันทั้งหมด!


การหยั่งเชิงจบลงแล้ว และตอนนี้ เขาจะใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน!



บทที่ 633 การดูถูกจากซอมบี้

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไสหัวออกมาซะ!” เมื่องเสียงตะโกนของหลิงม่อดัง ร่างกายของหมายเลข 1 ที่กำลังพุ่งทะยานมาข้างหน้าพลันมีเลือดกระฉูดออกมามากมาย


และเฉินเล่อที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหมายเลข 1 ก็ถูกบังคับให้เผยตัวออกมา ถึงแม้ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขากลับถูกคำว่า “ไสหัว” ของหลิงม่อกระตุกต่อมโมโหไม่น้อย ปรากฏว่าหลิงม่อฉวยโอกาสที่เขาเผลอ โจมตีใบหน้าเขาทันที


เขานึกโชคดีในใจที่ตัวเองเบี่ยงหัวหลบทัน พลางโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น


กล้าทำให้เขาเสียโฉมงั้นหรอ…


ทว่าเจ้าหนูคนนี้ยังไม่ทันได้โต้กลับหรือพูดจาร้ายกาจใดๆ ออกมา หนวดสัมผัสอีกสองเส้นก็ถูกยิงออกมา ลมแรงที่ปะทะเข้ามากะทันหันทำให้เขาตกใจมาก เขารีบเบี่ยงกายหลบ และซ่อนตัวอีกครั้ง


ส่วนหมายเลข 1 ถึงแม้ไม่ได้ล้มลงไปง่ายๆ เพราะอาการบาดเจ็บ แต่กลับเคลื่อนไหวได้ลำบากกว่าเดิม


ช่องโหว่นี้ตกอยู่ในสายตาของหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนทันที สองสาวซอมบี้ร่วมมือกันยืนขวางอยู่เบื้องหน้าหลิงม่อ และเริ่มต่อสู้กับมัน


ตอนนี้พลังป้องกันของมันไม่ได้ร้ายกาจเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว นั่นยิ่งทำให้หลิงม่อมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้น


ความแข็งแรงของผิวหนังและกล้ามเนื้อของซอมบี้ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อโมโหจนเลือดขึ้นหน้าเท่านั้น แต่เกิดขึ้นจากระหว่างที่วิวัฒนาการ ร่างกายพวกมันได้ถูกเชื้อไวรัสปรับโครงสร้างใหม่ต่างหาก


ถึงแม้ว่าพวกมันใช้เรี่ยวแรงจนหมดแล้ว แต่ลักษณะเด่นอย่างนี้ไม่ใช่จะหายไปได้ง่ายๆ


แม้แต่ร่างกายของซอมบี้ระดับสูง ก็ไม่ได้ทำลายกันได้ง่ายๆ อย่างน้อยกับมนุษย์ที่ไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมมันก็เป็นอย่างนั้น…


แต่สภาพร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนี้กลับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด ซึ่งนี่ไม่ใช่ลักษณะเด่นของซอมบี้


บวกกับพลังโจมตีที่มันระเบิดออกมาเมื่อกี้ ยิ่งทำให้คำตอบในสมองของหลิงม่อชัดเจนยิ่งขึ้น…


“นายซ่อนตัวไปอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก” หลิงม่อยิงหนวดสัมผัสออกไปอีกหลายสิบเส้น และครั้งนี้เขาก็กระชากร่างเฉินเล่อโผล่ออกมาได้อีกครั้ง


เฉินเล่อหายตัวไปด้วยสีหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดสุดขีด


คู่ต้อสู้อย่างหลิงม่อ เขารู้สึกจนปัญญาจริงๆ


เพื่อรับมือกับการโจมตี เฉินเล่อจงใจซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เย่เลี่ยน พอทำอย่างนี้หลิงม่อก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง การโจมตีก็จะไร้ประสิทธิภาพ


แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะยังถูกจู่โจมจนต้องเผยตัวออกมา


“เจ้าโง่ ไม่รู้รึไงว่าพลังจิตมันเลี้ยวโค้งได้น่ะ?” หลิงม่อหัวเราะเย็นชาแล้วพูดขึ้น


เฉินเล่อกลอกตามองบนอย่างฉุนเฉียว “นี่คิดว่าฉันชื่อ ‘เจ้าโง่’ ไปแล้วรึไง!”


ทว่าเขาเองก็รู้ดีว่าหลิงม่อจงใจกระตุ้นให้เขาเผยตัวออกมาหรือไม่ก็เปิดฉากโจมตีก่อน ดังนั้นโมโหก็ส่วนโมโห แต่เขาก็ยังคงอดกลั้นต่อไป และเดินไปรอบๆ เพื่อหาโอกาสโจมตีอยู่อีกทาง


มู่เฉินถามซย่าน่าอย่างแปลกใจ “พลังจิตเลี้ยวโค้งได้?”


“มันเป็นความรู้ทั่วไปที่ควรรู้อยู่แล้วนะ…” ซย่าน่าส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย


“นี่มันความรู้ทั่วไปด้านไหนไม่ทราบ?” มู่เฉินอึ้ง


ซย่าน่ามองเขาด้วยหางตา แล้วพูดอย่างรำคาญเล็กน้อย “ช่างเป็นมนุษย์ที่โง่เง่าจริงๆ…เพราะสมองของนายมันทึบอย่างนี้ไงล่ะ ถึงไม่สามารถทำความเข้าใจความรู้ทั่วไปประเภทนี้ได้”


“…” มู่เฉินนิ่งอึ้งไปสองวินาที จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบปากตัวเองหนึ่งที “ใครใช้ให้นายปากมากเองล่ะ…”


ถูกเด็กสาวอายุ 17 – 18 ปีคนหนึ่งหยาม มู่เฉินยังหงุดหงิดมากขนาดนี้ ถ้าหากเขารู้ว่าตัวเองกำลังถูกซอมบี้ตัวหนึ่งดูถูกอยู่ ไม่แน่เขาอาจถึงขั้นคลุ้มคลั่งไปเลยก็เป็นได้…


เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งวินาที หนึ่งนาที สภาพของหมายเลข 1 ก็ย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว


หลิงม่อรับมือมันได้อย่างสบายมากขึ้นเรื่อยๆ และมีเวลาพูดมากกว่าเดิมตามไปด้วย “เอ๋ นายคงไม่ได้วิ่งออกนอกอาณาเขต 30 เมตรแล้วหรอกนะ? จะทิ้งสหายร่วมรบกันไปง่ายๆ อย่างนี้เลยหรอก? มันจะถูกรุมตายอยู่แล้วนะ”


“ไอ้หนู ท่าทางขึงขังของนายเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ? เฮ้อ ไอ้เราก็อุตส่าห์ชื่นชม ว่านายช่างกล้าหาญไม่กลัวความตาย…”


“ออกมาเถอะไอ้หนู ออกมาตัดสินให้รู้แล้วรู้รอด เอ่อ…ประโยคนี้กระดากปากจังแฮะ ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน”


“โธ่เว้ยย!”


เฉินเล่อสติแตกจนถึงขีดสุดยอดแล้ว เจ้าหมอนี่เอาแต่พูดจาเย้ยหยันเขาไม่หยุดหย่อน เขาอยากทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่สามารถนิ่งได้ขนาดนั้น


ความจริง เขาเองก็มักจะดูถูกคนอื่นอยู่เสมอ ยิ่งในการต่อสู้การพูดจาดูถูกนั้นมีผลไม่น้อย


มีความดุดันเด็ดเดี่ยวของหมายเลข 1 และความสามารถในการหายตัวของเขา กอปรกับการเย้ยหยันและคุกคามกลายๆ ไม่นานอีกฝ่ายก็ต้องพ่ายแพ้ไปด้วยความหวาดผวา


แต่ตอนนี้พอถูกคนอื่นเล่นงานด้วยวิธีเดียวกัน เขาจึงเพิ่งได้รู้ว่าความรู้สึกอย่างนี้ทรมานแค่ไหน!


และพอจิตไม่นิ่ง เขากลับเป็นฝ่ายเผยตัวออกมาเอง


“เชี่ย!”


เฉินเล่อสะดุ้งตกใจ เขากำลังคิดจะซ่อนตัวอีกครั้ง ท้องน้อยก็ถูกกระแทกอย่างแรงทันที


ขณะที่ความเจ็บปวดพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง เขาก็ถูกโจมตีจนตัวลอย และร่วงลงพื้นดัง “ตุบ”


“ใช่แล้ว อย่างนี้แหละ” หลิงม่อพูดไป ก็พลางเร่งฝีเท้าวิ่งตามเข้าไป หนวดสัมผัสสองเส้นพุ่งออกไป แทงทะลุร่างของเฉินเล่อที่กำลังตะเกียกตะกายฝืนลุกขึ้นยืน


“อ๊ากก!”


เฉินเล่อกรีดร้องเสียงดัง ในใจกลับตะลึงงัน


ทำไมเจ้าหลิงม่อคนนี้ถึงได้เร็วนัก! ถ้าไม่ใช่ว่าศักยภาพร่างกายเขาเองก็ไม่เลว เขาจะรับมือหมายเลข 1 ได้อย่างไร…


นี่มันแหกกฏชัดๆ เลยนี่ ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตที่ไหนเป็นอย่างนี้กัน?!


ทว่าในขณะที่หลิงม่อกำลังจะแผ่หนวดสัมผัสทางจิตอีกเส้นออกไป เพื่อจู่โจมเฉินเล่อที่กำลังตัวงออยู่ตรงนั้น จู่ๆ เขากลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น


“เอ๋?”


หลังจากที่ตาพร่ามัวไปขั่วขณะ หลิงม่อกลับค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งโจมตีไปกลับกลายเป็นแค่ถังขยะ…


“ภาพลวงตา? ไม่สิ เมื่อกี้มัน…”


หลิงม่อรีบหันไป หลังมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอย กลับมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมเลี้ยวของถนน


ห่างออกไปในระยะทาง 30 เมตร เฉินเล่อกำลังยกมือกุมไหล่และพยายามวิ่งหนีอยู่


แต่หลังจากประสานสายตากับหลิงม่อ ถึงแม้เขาจะเร่งความเร็วเต็มที่แล้ว แต่กลับไม่สามารถซ่อนตัวได้อย่างเมื่อกี้อีกต่อไปแล้ว


“คิดจะทิ้งหมายเลข 1?”


หลิงม่อหัวเราะเย็นชา เขาย่างเท้าวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว


เฉินเล่อตกใจจนหัวใจเต้นรัว แต่ด้วยสภาพร่างกายและสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ เขาจะวิ่งสู้หลิงม่อได้อย่างไร?


วิธีเดียวที่ทำได้คือ ขณะที่หลิงม่อเข้ามาในอาณาเขต 30 เมตร เขาต้องรีบซ่อนตัวทันที จากนั้นก็รีบหนีต่อก่อนที่จะถูกโจมตีให้เผยตัวออกมา…


ทว่าเห็นชัดว่าหลิงม่อไม่เปิดโอกาสนั้นให้เขา ขณะที่หลิงม่อยังอยู่ห่างจากเฉินเล่อ 30 เมตรนั้น เขายิงหนวดสัมผัสออกไปหลายเส้น ฉุดรั้งเฉินเล่อไว้จนล้ม


เฉินเล่อที่ล้มลงไปอย่างแรงยังไม่ทันลุกขึ้นยืนก็ถูกดึงไปข้างหลังทันที พริบตาเดียวเขาก็ถูกหลิงม่อใช้เท้าเหยียบแผ่นหลังแน่น


คราวนี้จะซ่อนตัวอย่างไรก็ไร้ผลแล้ว เฉินเล่อสีหน้าซีดเผือด ตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง


หลิงม่อก้มลงไปกระชากต้นคอเขา จากนั้นก็ดึงร่างเจ้าหนูคนนี้ให้ลุกขึ้นยืน


“นาย…ฆ่าฉันซะเถอะ…” ริมฝีปากของเฉินเล่อกระตุก เสียงพูดก็สั่นตามไปด้วย


หลิงม่อเหลือบมองหนึ่งที จากนั้นก็ชักมีดพกออกมาจากต้นขาท่ามกลางสายตาตื่นกลัวของเฉินเล่อ


ประกายวูบวาบของคมมีดเพิ่งจะส่องสว่างต่อหน้าเฉินเล่อครู่เดียว เจ้าหนูคนนี้ก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป


เขาอ้าปากตะโกนขึ้นมา “อย่าฆ่าฉัน! ขอร้องล่ะอย่าฆ่าฉันเลย!”


“เบาๆ หน่อยสิ…” หลิงม่อยังคงถือมีดไว้ แล้วมองหน้าเฉินเล่อที่กำลังกรีดร้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


หลังจากร้องลั่นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินเล่อก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง แล้วค่อยๆ หุบปาก


สีหน้าของเขาทั้งโกรธจัด แต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวในขณะเดียวกัน


“นาย…นายจะไม่ฆ่าฉัน?” เฉินเล่อยังคงมีความหวัง


“ฉันอยากรู้เรื่องบางอย่าง” หลิงม่อบอก


“ฉันไม่ได้อยากฆ่านาย คนออกคำสั่งไม่ใช่ฉัน ฉันแค่มาทำภารกิจเท่านั้น! ถ้านายฆ่าฉันจะมีคนอีกมากมาไล่ล่านาย ถ้านายปล่อยฉันไป ฉันจะบอกว่าฉันฆ่านายไปแล้ว เป็นไงล่ะ?” เฉินเล่อพูดรัวและเร็ว


หลิงม่อจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถาม “มีแค่นายกับหมายเลข 1 เท่านั้นที่มา?”


สีหน้าของเฉินเล่อนิ่งงันไปทันที ทว่าพอมีดของหลิงม่อขยับอีกครั้ง เขาก็รีบส่ายหน้าแรงๆ “พวกเราเดินทางได้ค่อนข้างเร็ว…ฉันมากับหมายเลข 1”


“แสดงว่าความเร็วของหมายเลข 1 ไม่เลวจริงๆ…ที่นายรีบฆ่าพวกฉันขนาดนี้ ก็เพื่อจะแย่งผลงาน?” หลิงม่อหัวเราะแล้วถามขึ้น


เฉินเล่อไม่พูดอะไร เขาจะกล้าตอบคำถามนี้ได้อย่างไร


หลิงม่อลากเขาเดินกลับทางเดิม พลางถามว่า “ความจริงเรื่องที่ฉันอยากรู้ไม่ใช่เรื่องพวกนี้”


“อะไรนะ?” เฉินเล่อนิ่ง ไม่อยากรู้เรื่องนี้ แล้วอยากรู้เรื่องไหนล่ะ?


อีกอย่าง…เดี๋ยวนะ งั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นคนเปิดปากขายข้อมูลด้วยตัวเองเลยน่ะสิ?


“หมายเลข 1…เป็นตัวอะไรกันแน่?” หลิงม่อหันกลับมามองหน้าเขา ด้วยสายตาแฝงนัยลึกซึ้ง


เฉินเล่อหน้าถอดสีอีกครั้ง เขาอ้าปากพะงาบๆ ส่ายหน้าเบาๆ “ก็เป็น…ซอมบี้…โอ๊ยย!”


หลิงม่อยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ แต่ไหล่ของเฉินเล่อกลับมีรูแผลเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรู


“ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด” หลิงม่อพูดอย่างเย็นชา


ความจริง เวลาต่างหากที่มีจำกัด…


การต่อสู้อันดุเดือดเมื่อกี้ ใช้เวลาไปก็ประมาณสิบกว่านาทีแล้ว และในอีกสิบนาทีที่จะถึงนี้ สำหรับสวี่ซูหานแล้ว เกรงว่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เธอจะประคองสติไว้ได้


และนี่คือเหตุผลที่หลิงม่อไว้ชีวิตเฉินเล่อชั่วคราว เขาต้องการรู้ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับหมายเลข 1


“มัน…” เฉินเล่อมืดแปดด้าน สิ่งที่เขามองเห็นจากสายตาของหลิงม่อไม่ใช่หยั่งเชิง แต่เป็นความมั่นใจ


หลิงม่อรู้ว่ามันไม่ใช่ซอมบี้…


แต่เขารู้ได้อย่างไร?!


ดวงตานั่น ท่าทางอย่างนั้น มองอย่างไรก็ซอมบี้ชัดๆ เลยนี่!


แม้แต่พวกผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อไวรัสที่สำนักงานใหญ่ หากไม่ผ่าร่างหมายเลข 1 ออกมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก็ยังไม่สามารถมองออกได้


อีกอย่าง…ความจริงแล้วหมายเลข 1 ไม่ต่างอะไรจากซอมบี้มากแล้ว…


ทว่าเขากลับไม่ได้นึกถึงสวี่ซูหานเลยซักนิด เพราะในความคิดเขา สวี่ซูหานไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว


บางทีที่หลิงม่อซักไซ้เรื่องหมายเลข 1 อาจเพราะแค่ความอยากรู้?


“อย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง” หลิงม่อขมวดคิ้วเบาๆ


ถึงแม้หลิงม่อไม่ได้ข่มขู่เขาอีก แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลกลับเตือนสติเฉินเล่อได้ดียิ่งกว่า


ในใจของเขาก็กำลังหวาดกลัวสุดขีดอยู่แล้ว ท่าทางของหลิงม่อในตอนนี้ ยิ่งน่ากลัวกว่าปกติเข้าไปอีก


ไม่รู้ว่าหลิงม่อเริ่มใช้วิธีทรมานเพื่อเค้นความจริงตั้งแต่เมื่อไหร่! สื่อสารกับคนแบบนี้ ไม่สามารถเดาทางอะไรได้เลยแม้แต่น้อย…


“นาย…นายจะฆ่าฉันไม่ได้นะ…” เฉินเล่อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“เงื่อนไขคือ?” หลิงม่อหรี่ตาเล็กลง


เฉินเล่อพยักหน้าสุดแรง จากนั้นก็พูดเสริมอย่างร้อนรน “เจ้าคนแซ่มู่นั่น ก็จะไม่เป็นอะไรเหมือนกัน ฉันจะปล่อยเขาไปก็ได้ แค่บอกไปว่าเขาก็ตายไปแล้วเหมือนกัน…”


“เดี๋ยว พูดมากไม่มีประโยชน์ พูดเรื่องหมายเลข 1 ก่อน” หลิงม่อบอก


เฉินเล่อยังคิดจะถ่วงเวลาต่ออีกซักนิด แต่ประกายเย็นเยียบในสายตาของหลิงม่อกลับทำให้เขาจำใจต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไป


ถ้ายังไม่พูดตอนนี้ บางทีเขาอาจตายทันทีเลยก็ได้ เขาไม่มั่นใจเลยว่าหลิงม่อสนใจความเป็นความตายของมู่เฉินหรือไม่ อย่างน้อยดูจากท่าทางของเขาในตอนนี้ เดาว่าน่าจะไม่สนใจมากกว่า…


—————————————————————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม