เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 619-626

 ตอนที่ 619 ชัดเจน 


 

แต่ถูกเขาส่งตัวไปพระตำหนักของฝ่าบาทอย่างพระตำหนักอวิ๋นซิน 


 


 


อย่าถามว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ เขาเป็นแค่บ่าว เรื่องที่ทำนั้นนายก็สั่งทั้งสิ้น ไหนเลยเขาจะสามารถตัดสินใจได้เอง! 


 


 


ความคิดบางอย่างโผล่ขึ้นในหัวหวงเผยซานแต่สุดท้ายก็ต้องโยนความคิดเหลวไหลพวกนั้นทิ้งไป รีบร้อนเดินตามมฉินเย่หานหายเข้าไปในม่านรัตติกาล 


 


 


… 


 


 


ภายในตำหนักอวิ๋นซิน 


 


 


ภายในพระตำหนักจุดไฟประดับประดา ยามปกติข้ารับใช้ที่มีก็เห็นจะมีแค่ขันทีทั้งสิ้น แต่วันนี้กลับต่างออกไป ภายในตำหนักนางกำนัลเพิ่มมาสองคน 


 


 


เพียงแต่ใบหน้าทั้งสองนั้นดูธรรมดา เป็นประเภทที่คนเห็นแล้วก็ลืม ไม่โดดเด่นสะดุดตา 


 


 


“ออกไปได้แล้ว!” หวงเผยซานที่เดินตามหลังฉินเย่หานเข้ามาในตำหนักเอ่ยสั่งเสียงหนึ่ง 


 


 


“เจ้าค่ะ!” นางกำนัลทั้งสองรวมถึงบรรดาขันทีต่างก็ลนลานถอยออกไป 


 


 


“ฝ่าบาท บ่าวทูลลา” ภายในตำหนักเงียบลงในทันที ในความเงียบนี้มีความประหลาดพิกลซ่อนอยู่ 


 


 


หวงเผยซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม 


 


 


แต่สิ่งที่ตอบเขากลับมามีเพียงความเงียบเท่านั้น 


 


 


เขาแหงนหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าฉินเย่หานเดินไปยังแท่นบรรทม พลันรีบก้มหน้าก้มตา เดินถอยออกด้วยเสียงฝีเท้าเงียบกริบ 


 


 


จนออกจากตำหนักอวิ๋นซิน ปิดประตูแล้ว หวงเผยซานถึงผ่อนหายใจออกอย่างโล่งอก 


 


 


“หวงกงกง” พอหวงเผยซานออกมาก็เห็นโจวเว่ยยืนอยู่ด้านข้าง ตอนแรกเขายังไม่ได้สังเกต พลันถูกอีกฝ่ายทำให้ตกใจ จึงกลอกตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ 


 


 


“ท่านเดินก็ไม่มีเสียงเลยหรือ?” 


 


 


โจวเว่ยได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่วันนี้ใบหน้าเขาแข็งกระด้าง และมีสีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขาปรายตามองหวงเผยซานสุดท้ายก็อดไม่ได้ 


 


 


“พวกเราไม่เฝ้าเช่นนี้จะดีหรือ?” 


 


 


หวงเผยซานได้ยินก็นิ่งไป ปรายตามองเขาและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วจะให้ทำอย่างไร ฝ่าบาทมีพระประสงค์ เจ้าและข้ามีความเห็นอะไรได้หรือ?” 


 


 


โจวเว่ยนิ่งไปและไม่พูดอะไรอีก 


 


 


นั่นก็จริง พระองค์เป็นนาย พวกเขาเป็นก็แค่ข้าราชบริพาร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามพระทัยโอรสสวรรค์อยู่ดี 


 


 


“แต่ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่า…” ถึงแม้ปกติโจวเว่ยจะเป็นคนทึ่มทื่อไปบ้าง แต่ก็รู้ว่าเรื่องบางอย่างทำไม่ได้ 


 


 


โดยเฉพาะเรื่องวันนี้หากแพร่งพรายออกไปเกรงว่าคงจะไม่ดีนัก 


 


 


“เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ใครจะรู้? สงบใจเถอะ ฝ่าบาททรงรู้ดี บ่าวอย่างเราๆ ทำตามที่รับสั่งก็พอแล้ว รู้หรือไม่?” หวงเผยซานสั่งสอนโจวเว่ยอย่างอดไม่ได้ 


 


 


อีกอย่างเขาไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะมีอะไร ฮ่องเต้ทรงเป็นโอรสสวรรค์ เป็นผู้สูงศักดิ์ หากทรงต้องการใคร นั่นก็คือบุญของคนผู้นั้น! 


 


 


โจวเว่ยเห็นเช่นนั้นก็กระตุกมุมปากน้อยๆ และไม่พูดอะไรอีก 


 


 


ที่จริงในใจเขายังมีบางคำพูด พวกเขาไม่พูด แต่ถ้านฮวาซูที่หลับไปในพระตำหนักจะไม่พูดหรือ? 


 


 


แต่พอย้อนคิดดูหากเขาเจอเรื่องเช่นนี้ก็คงจะไม่พูดเหมือนกัน 


 


 


ฝ่าบาทเป็นนายเหนือหัวของทั้งใต้หล้า เรื่องเช่นนี้จะให้ไปพูดที่ไหนได้? 


 


 


พูดไปแล้วก็รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้ก็เท่านั้น 


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ โจวเว่ยก็ปิดปากตนเองให้สนิท ไม่พูดอะไรมากอีก 


 


 


แต่ตอนนี้ในตำหนักอวิ๋นซิน ฉินเย่หานกำลังทอดเนตรมองแท่นบรรทมตรงหน้า ในดวงตาฉายแววคุกคาม 


 


 


ผ้าม่านรอบแท่นบรรทมถูกคลี่คลุมลงมาจนหมด แต่ก็ยังพอเห็นเงาคนผู้หนึ่งเอนกายอยู่ภายในเลือนราง 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 620 แน่วแน่อย่างยิ่ง 


 


 


ฉินเย่หานยืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังแท่นบรรทมมังกรขนาดใหญ่ 


 


 


เขายื่นมือยาวเลิกผ้าม่านโปร่งบางรอบเตียงออก 


 


 


เมื่อไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง ฉินย่หานก็เห็นคนที่กำลังหลับสนิทในทันที 


 


 


รอบบริเวณนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นสุราคละคลุ้ง 


 


 


เขายกมุมปากขึ้นน้อยๆ ตะเกียงในตำหนักอวิ๋นซินดับไปกว่าครึ่ง เพียงแต่ยังมีแสงเทียบวับไหวหลงเหลืออยู่ รูปโฉมขององค์ฮ่องเต้ที่หล่อเหลาชวนให้คนใจเต้นภายใต้แสงเทียน 


 


 


เสียดายก็แต่ตอนนี้ซูหลีเข้าสู่ห้วงนิทราจึงไม่ได้เห็นภาพที่ดงามนี้แม้แต่น้อย 


 


 


ฉินเย่หานคลายมือลง มองดูซูหลี 


 


 


วงหน้าซูหลีงดงามโดดเด่นอย่างยิ่ง กล้ามเนื้อราวหยกขาว สันจมูกเชิดรั้นขึ้น และยังมีริมฝีปากนุ่มละมุนที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน งดงามสมบูรณ์แบบไปทุกส่วน 


 


 


ฉินเย่หานรู้ดีว่าหากตอนนี้เจ้าตัวยุ่งตื่นขึ้นมาในแววตาดอกท้อที่งดงามชวนลุ่มหลวงนั้นจะต้องเต็มไปด้วยความร้อนรนวุ่นวาย ไม่แน่ว่าจะเดินไปเดินมา หาวิธีแผลงๆ เพื่อหนีออกจากที่นี่ 


 


 


เสียดายที่วันนี้เจ้าตัวคงไม่ตื่นแน่ 


 


 


คนผู้นี้อะไรก็ดีไปเสียหมด แย่อยู่สองเรื่องกล่าวคือ หนึ่งมิอาจดื่มสุรา สองขี่ม้าไม่เป็น ร่างกายบอบบางราวอิสตรี 


 


 


ฉินเย่หานจ้องซูหลีไม่วางตา ในแววตาฉายแววเจ้าเล่ห์ 


 


 


ซูหลีที่กำลังหลับไม่ได้สติเพราะฤทธิ์สุรา เหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น 


 


 


เหล้าสามแก้วกับนางถือว่ามากเกินไป ปกติแค่ได้กลิ่นสุราก็เมามายแล้ว นับประสาอะไรกับเหล้าสามจอกวันนี้ 


 


 


นางในตอนนี้ต่อให้ฟ้าถล่มลงก็หลับไม่ตื่น 


 


 


ฉินเย่หานแย้มสรวลน้อยๆ ปกติเขาไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใด ยากจะยิ้มแย้ม พระพักตร์หล่อเหลาอย่างที่สุด พลันแสดงร่องรอยอารมณ์ออกมาในยามนี้ 


 


 


แต่กลับมีกลิ่นอายชั่วร้ายบอกไม่ถูกแพร่กระจายออกมาด้วย 


 


 


แววตานั้นเปิดเผยดวงตาเจ้าชู้โลมเลีย เสมือนผู้ล่าหมายตาเหยื่อของตนเอง จดจ้องทำให้เหยื่อไม่อาจหนีไปไหนรอด 


 


 


เหตุการณ์ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ถึงซูหลีจะได้สติกลับมา นางก็หนีไม่รอด 


 


 


เพราะเขาไม่อยากให้นางหนีไป 


 


 


พอฉินเย่หานคิดได้ดังนี้ก็ทรุดตัวนั่งบนแท่นบรรทม ทรงนั่งลงแล้วเอื้อมพระหัตถ์ออกไปแตะเสื้อซูหลี 


 


 


วันนี้ซูหลีสวมชุดสีแดงแสบตาจนทำให้เนื้อนวลผุดผ่องอิ่มเอิบ งดงามจับตา 


 


 


มือใหญ่ที่เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของบุรุษเพศของฉินเย่หาน เอื้อมออกมากระตุกเสื้อคลุมของซูหลี 


 


 


ท่าทางเชื่องช้าเอื่อยเฉื่อย แต่ในสายตาเขาเหมือนมีสัตว์ประหลาดซุกซ่อนอยู่ อสูรร้ายตัวนั้นสามารถออกมาจากดวงตาเขาได้ตลอดเวลา และกลืนกินคนตรงหน้าลงไปทั้งตัว! 


 


 


“ฮึก!” ซูหลียังคงหลับใหล ใบหน้าน้อยแนบไปกับที่นอนนุ่ม และสะอึกออกมาอย่างเผลอไผล 


 


 


เสียงนี้เองเหมือนกับสัญญาณบางอย่างทำให้แววตาฉินเย่หานเปลี่ยนไป 


 


 


พรึ่บ ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปคลี่ชุดอีกฝ่ายออกทันที 


 


 


ชั้นแล้วชั้นเล่า ชุดที่สวมกันในฤดูใบไม้ผลินี้เดิมทีก็ไม่หนานัก ฉินเย่หานเองก็ไม่รีบร้อน เขาทำเหมือนแกะห่อของขวัญ บนใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา 


 


 


ด้วยท่าทางที่ทำไม่ให้โอกาสปฏิเสธ และแน่วแน่อย่างยิ่ง 


ตอนที่ 621 ไม่เอ่ยก็ถือว่าตกลงแล้ว 


 


 


เสื้อตัวในสุดก็ร่วงหลุดลงตามมา สายตาของฉินเย่หานหยุดอยู่บนสิ่งที่ไม่ค่อยปรากฏอยู่บนร่างของซูหลี 


 


 


ของสิ่งนั้นวางทับกันเป็นชั้นๆ มีความหนาเป็นอย่างยิ่ง ปกคลุมอยู่บนหน้าอกของซูหลีอย่างแน่นหนามิดชิด ทว่าแม้ของสิ่งนี้ปกปิดอยู่ ยามที่ปลดชุดอาภรณ์ตัวนอกนั้นแล้ว ในเวลานี้ก็เผยให้เห็นความงามเดิมมีที่อยู่อย่างชัดเจน 


 


 


เมื่อไม่มีเสื้อตัวนอกปกปิด กลับเผยให้เห็นร่องรอยบางอย่าง 


 


 


ดวงตาของฉินเย่หานมองอย่างลุ่มลึก ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย นัยน์ตากลับไม่มีความประหลาดใจเลยสักนิด 


 


 


เขาเพียงชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นมือออกมา… 


 


 


แควก ผ้าขาวที่ปิดบังภูเขาที่เชื่อมกันสองลูกอย่างขวางหูขวางตา ยามอยู่ในมือของเขาก็กลายเป็นเศษผ้าไปเสียแล้ว และเผยให้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามอย่างแท้จริงภายใน 


 


 


ริมฝีปากของฉินเย่หานอมยิ้มโดยตลอด จนกระทั่งถึงบัดนี้รอยยิ้มนั้นได้เลือนรางหายไปจากใบหน้าของเขาจนหมด อีกทั้งเขาผู้ซึ่งมีใบหน้าที่แสดงสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งมาโดยตลอด กลับเผยสีหน้าอย่างอื่นออกมา 


 


 


แม้แต่ลมหายใจก็ยังเปลี่ยนเป็นถี่แรงขึ้น 


 


 


“หนาว!” ซูหลีขยับไปมาอย่างไม่รู้สึกตัว ริมฝีปากเล็กขมุบขมิบเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา 


 


 


“แค่นี้ก็ไม่หนาวแล้ว” เป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งที่จะเห็นฉินเย่หานมีอารมณ์ดีเช่นนี้ เขาเอ่ยประโยคนี้กับนางที่กำลังนอนหลับใหล 


 


 


ขณะที่เขาเอ่ยกลับไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย เขาถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกมาและคลุมบนร่างของซูหลี 


 


 


อืม เหมือนกับที่จินตนาการไว้มิผิด เพียงปลายนิ้วแตะลงบนบริเวณนั้น ราวกับเปลวไฟที่กำลังแผดเผาเขาทั้งร่าง 


 


 


ความอ่อนยวบนี้ทำให้ความเย็นยะเยียบทั้งร่างถูกแผดเผาจะมลายหายไปหมดแล้ว 


 


 


“ได้หรือไม่” เขาโน้มเข้าไปใกล้ซูหลี ริมฝีปากร้อนดุจไฟของเขาประทับลงบนหว่างคิ้ว หน้าผาก…ประทับไปแทบทุกจุดบนใบหน้าของซูหลี 


 


 


“ในเมื่อไม่เอ่ย เราก็ถือว่าเจ้าตกลงแล้ว” ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาลุ่มลึก จากนั้นจึงประทับริมฝีปากของตนลงบนกลีบริมฝีปากที่เย้ายวนและคลุกเคล้าไปด้วยกลิ่นหอมของสุราในร่างซูหลี 


 


 


ดูดขบอย่างล้ำลึก 


 


 


“อื้อ” ซูหลีที่กำลังตกอยู่ห้วงแห่งฝัน ขยับศีรษะไปมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทว่ากลับถูกเขาใช้มือกดร่างเอาไว้ นางทำได้เพียงอ้าปากและปล่อยให้บุรุษที่อยู่เหนือร่างทำตามอำเภอใจ 


 


 


เมื่อริมฝีปากถูกจุมพิตเอาไว้เช่นนี้ ร่างกายของซูหลีจึงเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ นางยังคงอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว เพียงแต่รู้สึกถึงความประหลาดบนร่างกาย คล้ายกับถูกอะไรบางอย่างพัวพันบนร่างอยู่มิปาน 


 


 


ทันใดนั้น… 


 


 


“โอ๊ย!” ในขณะที่หลับใหลอยู่ นางกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดคล้ายร่างถูกฉีกออกมาเป็นเสี่ยงๆ จนอดที่จะร้องออกมาอย่างตกใจมิได้ 


 


 


ทว่าหลังจากเสียงร้องนั้นแล้ว แม้แต่ริมฝีปากของนางก็ถูกคนปิดไว้ และไม่ได้ยินเสียงอะไรใดๆ อีกเลย นางทำได้เพียงรับการถูกกระทำทั้งหมดนี้ไว้ 


 


 


ทำให้บุรุษที่อยู่บนร่างของนางรุกรานร่างกายของนางทุกกระเบียดนิ้วอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าและต่อเนื่อง 


 


 


ความรู้สึกล้ำลึกไปถึงกระดูก ลิ้มลองรสชาติแล้วติดใจจนต้องกินอีก 


 


 


ฉินเย่หานไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเรื่องระหว่างชายหญิงจะมีความสนุกสนานเช่นนี้ 


 


 


ดังนั้นราตรีนี้จึงอีกยาวนาน! 


 


 


… 


 


 


“เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” ด้านนอกตำหนักมีหวงเผยซานและโจวเว่ยยืนเรียงหน้ากระดาน โจวเว่ยที่ยืนอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยประโยคนี้ออกมา 


 


 


“คะ แค่กๆ!” หวงเผยซานได้ยินเช่นนั้นแทบจะสำลักน้ำลายตนเอง เขากวาดตามองไปทางโจวเว่ยคนเซ่อซ่าปราดหนึ่ง และเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า 


 


 


“ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น!” 


 


 


“…” โจวเว่ยหมดคำจะพูด 


 


 


ไม่ได้ยินก็ไม่ได้ยินสิ จะโมโหเช่นนี้ไปทำไมกัน!? 


 


 


เขามองไปที่หวงเผยซานอย่างรังเกียจปราดหนึ่ง จากนั้นหันศีรษะไปอีกทาง ไม่เอ่ยอะไรต่อ 


 


 


ทว่าโจวเว่ยไม่เห็นว่าหลังจากที่เขาหันกลับไป สีหน้าของหวงเผยพลันปรากฏประกายความสับสนออกมา คล้ายกับเบิกบานใจและคล้ายกับกังวลใจระคนกัน 


 


 


การเคลื่อนไหวภายในตำหนักติดต่อกันต่อเนื่องตลอดทั้งคืน จนกระทั่งท้องฟ้าเผยความสว่างดุจพุงปลา ทุกอย่างถึงได้สงบลง 


 


 


“ใครก็ได้เข้ามา” หวงเผยซานที่กำลังสัปหงกอยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงสะดุ้งโหยงตกใจในทันที 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 622 เมื่อซูหลีตื่นขึ้นมา 


 


 


“ใครก็ได้เข้าไปเร็วเข้า!” หวงเผยซานตกใจตื่นอย่างรวดเร็ว เขาจึงเรียกขันทีเป็นคนรับใช้ อีกทั้งยังให้สาวใช้ที่มีใบหน้าธรรมดาเข้าไปภายในตำหนัก 


 


 


“ฝ่าบาท น้ำได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากเข้าไปภายในตำหนัก หวงเผยซานกลับโบกมือให้กับคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ให้คนเหล่านั้นส่งเสียงออกมา 


 


 


“อืม” ฉินเย่หานตอบรับ ทางหวงเผยซานผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นนำคนเดินไปที่ข้างเตียงมังกร 


 


 


เมื่อเขาเดินไปถึงได้พบว่าฉินเย่หานสวมชุดลำลองสีขาว นั่งอยู่บนเตียงมังกร ทว่าเตียงมังกรที่อยู่เบื้องหลังของเขานั้น กลับถูกม่านตาข่ายบางปกคลุมไว้ จึงไม่สามารถมองเห็นด้านในอย่างชัดเจน 


 


 


หวงเผยซานไม่กล้าเดินไปดู เขาเพียงก้มศีรษะเดินเตามไปที่ห้องอาบน้ำที่อยู่ด้านข้างพร้อมกับฉินเย่หาน 


 


 


เหล่าข้ารับใช้ที่เดินตามเขามาก็เข้าไปภายในห้องอาบน้ำพร้อมกับเขา เหลือเพียงสาวรับใช้สองคนภายในเท่านั้น หลังจากที่พวกเขาเข้าไปภายในห้องอาบน้ำ พวกนางทั้งสองจึงเดินเข้าไป จากนั้นค่อยๆ เลิกผ้าม่านตาข่ายบางนั้นเปิดออก 


 


 


ทันทีที่เปิดม่านออกก็มีกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวโชยเข้ามา สาวใช้ทั้งสองหลุบตามองพื้น ไม่กล้าที่จะขยับอะไรทั้งสิ้น 


 


 


พวกนางเพียงมองที่ร่างสตรีที่นอนอยู่กลางเตียงผู้นั้น 


 


 


เส้นผมของนางที่ยาวจนถึงเอว ในเวลานี้แผ่กระจายอย่างยุ่งเหยิงบนเตียงมังกร ไรผมมีความเปียกชื้นเล็กน้อย ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ บนร่างสวมชุดลำลองสีขาวดุจหิมะอยู่ เพียงแต่คอเสื้อเปิดออกมากกว่าครึ่ง เผยให้เห็นรอยช้ำสีเขียวอมม่วงบนผิวของนาง 


 


 


สาวใช้นางสองกวาดตามองปราดหนึ่ง จากนั้นจึงก้มศีรษะลง ไม่กล้ามองนางต่อ 


 


 


พวกนางเพียงประคองซูหลีที่กำลังสะลึมสะลือให้ลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นพานางไปห้องอาบน้ำอีกห้องหนึ่ง 


 


 


ทันทีที่พวกนางเข้าไปในห้องอาบน้ำ ก็มีข้ารับใช้เข้ามาเก็บกวาดเตียงที่ยุ่งเหยิงจนสะอาดหมดจด 


 


 


ขณะจัดผ้าปูที่นอนให้เข้าที่เห็นรอยเลือดสีเข้มอยู่บนผ้าปู หลังจากข้ารับใช้เหล่านั้นชะงักไปเล็กน้อย ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เพียงเปลี่ยนผ้าปูที่นอนที่สะอาดอีกผืนหนึ่งเท่านั้น 


 


 


หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว 


 


 


สาวใช้ทั้งสองคนปรนนิบัติซูหลีอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์สะอาดให้แก่นางเสร็จ ก็ประคองนางกลับเข้ามาในห้อง 


 


 


ที่แปลกเป็นอย่างมากก็คือ ทั้งสองคนนี้มีฝีเท้าที่มั่นคง ร่างของพวกนางดูผอมอ่อนแอ ทว่ากลับมีพละกำลังมากมาย ซูหลีอยู่ในกำมือของพวกนาง คล้ายดั่งของสิ่งหนึ่งที่ถูกเคลื่อนย้ายได้ตามอำเภอใจ 


 


 


“โอ๊ย!” ภายใต้การเคลื่อนไหวไปมา ในที่สุดซูหลีก็ฟื้นคืนสติ 


 


 


ทว่านางกลับรู้สึกปวดหัว…ไม่สิ ไม่ใช่ปวดหัว รู้สึกเจ็บแปลบระบมไปทั่วร่างกาย ทั้งท่อนบนและท่อนล่างของร่างกายประหนึ่งถูกของบางอย่างกลิ้งทับมิปาน โดยเฉพาะบริเวณที่มิอาจบรรยายได้ทั้งรู้สึกทั้งเมื่อยและเจ็บไปทั่วกาย 


 


 


ที่จริงแล้วตลอดทั้งคืนนี้นางมิใช่ไร้สติสัมปชัญญะทั้งหมด ดื่มสุรามิใช่ถูกวางยาเสน่ห์ เพียงแต่ความแปรปรวนทำให้ไม่ได้ฟื้นคืนสติทั้งหมด นางไม่ใช่ว่าหมดสติจนไม่รู้สึกอะไร ทว่าอาการนั้นไม่ต่างกันมาก 


 


 


ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือยังจำได้ว่ามีคนผู้หนึ่งกดร่างของนางเอาไว้ 


 


 


ช้าก่อน… 


 


 


กดร่างของนางเอาไว้ อีกทั้งยังมีบางส่วนที่รู้สึกปวดเมื่อย! 


 


 


ซูหลีที่กำลังอยู่ในการอาการใจลอย พลันลืมตาขึ้นอย่างทันทีทันใด 


 


 


ทว่าสิ่งที่ซูหลีคาดไม่ถึงที่สุดก็คือ ภาพที่ปรากฏในสายตาเป็นภาพสีเหลืองกระจ่าง นี่… 


 


 


ภาพสถานที่แห่งนี้จะมองอย่างไรก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ในชั่วขณะนี้สมองของซูหลีประมวลภาพโดยฉับพลัน 


 


 


นี่คือที่ใด นางคือใคร เหตุใดนางมาอยู่ที่นี่ได้ 


 


 


ทว่าไม่รอให้นางรู้สึกแปลกใจอีกสักครู่ นางก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังขึ้น ซูหลีหันศีรษะไปมองอย่างรีบร้อน ก็พบกับ… 


 


 


ฉินเย่หานที่สวมชุดลำลองสีเหลืองสว่าง ปั้นหน้าเย็นชาเดินเข้ามาจากด้านข้าง ขณะที่หันศีรษะไปก็สบเข้ากับดวงตาของเขาพอดี! 


 


 


ซูหลีรู้สึกว่าแววตาของเขาเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา! 


ตอนที่ 623 ใจกล้าโดยแท้!


 


 


สัญชาตญาณของสตรีทำให้ในเวลานี้ซูหลีอยากจะยกมือขึ้นปิดหน้าอกของตนตามจิตใต้สำนึก


 


 


คิดไม่ถึง ทันทีที่นางยกมือขึ้น ก็พบว่าตนได้สวมชุดลำลองเอาไว้บนร่างแล้ว


 


 


อีกทั้ง…


 


 


ภายใต้ชุดลำลองกลับโล่งโจ้ง ผ้าที่นางใช้พันหน้าอกอยู่ดีๆ ก็หายไปแล้ว!


 


 


นี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่งระคนตกใจมาก!


 


 


ซูหลีรู้สึกตกใจในทันที และกระเด้งลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว ทว่าร่างกายที่ถูกคนใช้งานมาทั้งคืน จะทนความทรมานนี้ได้เสียที่ไหน นางพยายามจะลุกขึ้นก็ล้มลงไปอย่างช้าๆ ในทันที


 


 


“โอ๊ย!” ซูหลีทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนต้องส่งเสียงร้องออกมา และในเวลานี้เองสติสัมปชัญญะของนางก็กลับคืนมาในที่สุด


 


 


ความเจ็บปวดอย่างแปลกประหลาดบนร่าง โดยเฉพาะบริเวณนั้นที่ทั้งปวดทั้งเมื่อย นะ นี่…


 


 


“ตื่นแล้วหรือ” ฉินเย่หานกวาดตามองนางปราดหนึ่ง ใบหน้าฉายแววเย็นยะเยือกออกมา


 


 


ซูหลีถูกสีหน้าเย็นชาของเขาทำให้ตกใจ นางกอดร่างของตนเองอย่างสั่นสะท้าน


 


 


ไม่ใช่กระมัง!?


 


 


ใครก็ได้ช่วยบอกนางที นี่มันเกิดอะไรขึ้น


 


 


เหตุใดทันทีที่นางตื่นขึ้นถึงมาปรากฏตัวบนเตียงฉินเย่หานได้ อีกทั้งร่างกายยัง…


 


 


ซูหลีไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ชาติที่แล้วนางก็แต่งงานแล้ว แน่นอนว่าเพราะร่างกายของนางไม่แข็งแรง ยามใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับเสิ่นฉางชิงยังไม่รู้สึกทรมานเช่นนี้


 


 


ทว่าเรื่องที่ควรรู้ นางก็รู้ดี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนางก็เคยเป็นคนศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดมาก่อน อยู่ในที่ซึ่งมีการพัฒนาทางอินเทอร์เน็ต มีการเปิดกว้างในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แม้นางจะไม่เคยเรื่องอย่างว่ามาก่อน แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง


 


 


จึงพอจะรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้คืออะไร


 


 


ทว่า!


 


 


แม้จะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่นี่…


 


 


“ฮะ ฮ่องเต้!” ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มของซูหลีซีดเผือด ในเวลานี้นางไม่สนใจแม้กระทั่งปัญหาความบริสุทธิ์ของตนเอง นางเพียงพยายามทนต่อความเจ็บปวดคุกเข่าลงที่ด้านหน้าฉินเย่หาน


 


 


ทันทีที่นางเอ่ยปาก น้ำเสียงมีความแหบแห้งอย่างบอกไม่ถูก ทว่ายิ่งกว่านั้นคือน้ำเสียงอ่อนหวานที่ฉินเย่หานไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่ถือว่าเป็นเสียงของสตรีคนหนึ่ง


 


 


ฉินเย่หานกวาดตามองนางด้วยสายตาเรียบเฉย กลับเห็นเพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของนาง คล้ายกับนางรู้สึกว่าน้ำเสียงของตนเองเปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด จึงใช้มือจับที่ลำคอของตน


 


 


ซูหลีสามารถมั่นใจว่าประสิทธิภาพของยาปลอมตัวของนางไม่น่าหมดอายุ ทว่าในเวลานี้กลับหมดฤทธิ์เสียแล้ว หลังจากที่นางลูบที่ลำคอของตนเอง ก็พบว่าลำคอของตนเองโล่งโจ้ง ลูกกระเดือกที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยกลับหายไปในชั่วพริบตา!


 


 


สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นฉุกคิดได้ว่า ยาปลอมตัวนี้มีผลข้างเคียง นั่นก็คือนางไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับบุรุษได้ เพราะหลังจากที่มีความสัมพันธ์กับบุรุษ ประสิทธิผลของยาจะจางหายไปโดยปริยาย ทำให้การปลอมตัวทั้งหมดของนางหายไป


 


 


ทว่าปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนั้น ปัญหาก็คือ…


 


 


ไม่ว่าจะมียาปลอมตัวหรือไม่ ตัวตนการเป็นสตรีในเวลานี้ของนางได้ถูกเปิดเผยแล้ว!


 


 


นางกับฮ่องเต้ทำอะไรต่อมิอะไรกันแล้ว ฮ่องเต้จะทรงไม่สามารถรับรู้ว่านางเป็นสตรีได้อย่างไร!?


 


 


ในเวลานี้ซูหลีแทบอยากจะตบหน้าตนเองสักฉาด


 


 


ใครให้เจ้าดื่มสุรา!


 


 


ใครให้เจ้าดื่มสุรา!


 


 


ทุกอย่างในเวลานี้ อย่าว่าแต่เรื่องปิดซ่อนตัวตนเลย แม้แต่ความบริสุทธิ์ของตนเองก็ถูกชดใช้หมดแล้ว!


 


 


บัดนี้นางกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ทว่าบริเวณนั้นยังรู้สึกเจ็บปวด นางพอจะรู้ว่าเมื่อคืนฉินเย่หานคงกินนางไปหลายต่อหลายครา


 


 


ซูหลีพูดอะไรไม่ออก…


 


 


ส่งตัวมาให้ผู้อื่นกินจนเกลี้ยง เสร็จแล้วต้องคุกเข่ายอมรับผิด เรื่องโชคร้ายประเภทนี้ยังสามารถหล่นทับบนตัวนางอีก!


 


 


ในเวลานี้นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรถึงจะดี


 


 


จะถามฉินเย่หาน!? ไม่ นางไม่กล้า…


 


 


โขกศีรษะยอมรับผิด นางกลัวศีรษะหลุดออกจากบ่า


 


 


นี่!


 


 


“ซูหลี เจ้าช่างใจกล้าโดยแท้” ในขณะที่สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปมาอย่างต่อเนื่อง พลันได้ยินฉินเย่หานเอ่ยประโยคที่เย็นยะเยือกเช่นนี้ออกมา


 


 


“ฮ่องเต้!” สีหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางรีบเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้อย่างรีบร้อน อยากจะพูดอธิบายอะไรออกมา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 624 ไม่มีวิธีการอื่นอีกแล้ว


 


 


“กะ กระหม่อม…” ซูหลีคุกเข่าลงบนพื้นอยู่นาน ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค


 


 


นี่จะให้นางอธิบายอย่างไร


 


 


“ถ่ายทอดคำสั่งของเราออกไป” คิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานดูเหมือนจะไม่ให้โอกาสนางเลยแม้แต่น้อย ซูหลีแหงนศีรษะขึ้นอย่างรวดเร็ว นางมองเขาด้วยสายตายากจะบรรยาย


 


 


เป็นเพราะการเคลื่อนตัวไปมาของนาง ทั้งร่างนางสวมเพียงเสื้อคลุมชุดเดียว จากมุมมองของฉินเย่หานสามารถเห็นส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างซูหลี สายตาของเขาจึงลุ่มลึกขึ้น เขากวาดตามองซูหลีปราดหนึ่งและเอ่ยว่า


 


 


“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป รับซูหลีเข้าวัง แต่งตั้งเป็นหลีผิน[1]” ฉินเย่หานพูดจบก็สาวเท้าเดินออกไปทันที ด้านข้างมีขันทีผู้คล่องแคล่วหยิบเสื้อคลุมมังกรและรีบบรรจงสวมให้แก่เขา


 


 


“ฝ่าบาท ทรงมิอาจกระทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!” สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก นางไม่อาจเข้ามาอยู่ภายในวังหลังได้ แม้นางจะทราบดีว่า นี่เป็นวิธีการจัดการดีต่อนางที่สุดแล้ว


 


 


ฮ่องเต้ทรงมิกล่าวโทษที่โกหกจักรพรรดิ ในทางกลับกันยังแต่งตั้งให้นางอยู่ในตำแหน่งผิน ทรงแต่งตั้งให้กับสตรีนอกวังคนหนึ่งเช่นนี้ โดยเฉพาะสตรีผู้นี้เป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษไปสอบขุนนาง อีกทั้งยังสอบได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก


 


 


ฮ่องเต้มิทรงลงโทษนาง นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เลวแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องที่ทรงตรัสว่าจะแต่งตั้งอะไรนั่น!


 


 


ทว่า เรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องดีต่อสตรีผู้อื่นเท่านั้น ซูหลีมิเคยคิดที่จะเข้าไปอยู่ในวังหลวงมาก่อน หากนางมีความคิดเช่นนี้แล้วละก็ เช่นนั้นเรื่องที่ควรทำตั้งแต่ตอนแรกก็คือ วางแผนหาวิธีใกล้ชิดกับฮ่องเต้ มิใช่เดินอ้อมเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังเสียเวลาไปสอบเข้าราชการอะไรอีก


 


 


ทว่าคำพูดนี้ นางรู้ดีว่ามิอาจพูดออกไปตามตรงได้


 


 


หากเอ่ยคำพูดนี้ออกไป เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของนางคงจะรักษาเอาไว้ต่อไปไม่ได้


 


 


“ทำไมรึ” หลังจากคำพูดประโยคนั้นของนาง บรรยากาศภายในตำหนักอวิ๋นซินก็ต่ำลงจนถึงขีดสุด ในน้ำเสียงของฉินเย่หานมีความหนาวเหน็บแฝงอยู่ ทำให้ซูหลีอดที่จะตัวสั่นงกๆ มิได้


 


 


ทว่านางรู้ดีว่า หากไม่เอ่ยในตอนนี้ รอจนฮ่องเต้ถ่ายทอดพระราชโองการนี้อย่างเป็นทางการ ชีวิตนางคงจะจบเห่แล้ว


 


 


“…กะ กระหม่อมอยากจะตอบแทนบุญคุณของราชสำนัก เพื่อตอบแทนบุญคุณของฝ่าบาท เรื่องการเข้าวังหลัง หากกระหม่อมเข้าไปอยู่ในวังหลัง เกรงว่า…” ในการจ้องมองด้วยสายตาเย็นยะเย็นของฉินเย่หาน ทำให้น้ำเสียงของซูหลียิ่งเล็กและเบาลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดแทบจะไม่ได้ยินเสียงของนางเลย


 


 


“เข้ามาอยู่ในวังหลังของเรา ยังทำให้เจ้าลำบากใจมากนักหรือ” ฉินเย่หานแค่นยิ้มเย็นออกมา บรรยากาศภายในมีความหนาวเย็นแผ่ซ่านระลอกหนึ่ง อีกทั้งยังมีกลิ่นอายความอำมหิตเผยออกมาอีก


 


 


ซูหลีหดคอลง นางทราบดีว่าปัญหานี้หากตอบได้ไม่ดีนัก ศีรษะของนางคงจะหลุดออกจากบ่า!


 


 


“ฝ่าบาท มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีเอ่ยโต้แย้งอย่างรวดเร็ว นางชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เรื่องของโรคระบาดคราก่อน ฝ่าบาทก็ทรงเห็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


นางเอ่ยถึงเรื่องโรคระบาด ฉินเย่หานกวาดสายตาเยียบเย็นมองนาง ทว่าใบหน้าของเขายังไร้ซึ่งความรู้สึก ทำให้ผู้อื่นไม่อาจมองเขาออก


 


 


“กระหม่อมมีดวงชะตาเช่นนี้ ศึกษาวิชาแพทย์มาทั้งชีวิต อีกทั้งยังมีความสนใจในเรื่องราชการของทั้งแคว้นต้าโจว กระหม่อมต้องการตอบแทนราชสำนัก ไม่ใช่ต้องการล่วงเกิน กระหม่อมทราบดีว่า โทษที่กระหม่อมต้องได้รับคือโทษประหารชีวิต เพียงแค่เรื่องที่เป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษไปสอบขุนนาง นี่ก็สามารถทำให้ศีรษะของกระหม่อมหลุดออกมาจากบ่าได้แล้ว ทว่าทูลฝ่าบาท…”


 


 


ซูหลีเอ่ยถึงตรงนี้ ทันใดนั้นนางก็แหงนศีรษะขึ้น ภายในดวงตางามรูปดอกท้อคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายแวววาว ในชั่วพริบตานี้ ทำให้คนไม่กล้าที่จะสบตานางโดยตรง


 


 


ฉินเย่หานมองนางโดยไม่มีการตำหนิหรือชื่นชมใดๆ


 


 


“ฝ่าบาทก็ทรงทราบดี ในราชวงศ์ต้าโจวสตรีไม่สามารถเป็นขุนนางได้ ในเมื่อสตรีที่ได้รับตำแหน่งขุนนางหญิงล้วนมิอาจหารือราชกิจได้ กระหม่อมก็ไม่มีวิธีการอื่นอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ดังนั้นเจ้ายังกระทำเพื่อคุณธรรมหรือ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผิน (嫔) เป็นตำแหน่งนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งยศผินมีศักดิ์รองลงมาจากยศเฟย (妃)


ตอนที่ 625 เป็นหรือตาย


 


 


ใบหน้าของฉินเย่หานเย็นชาเป็นอย่างมาก ยามที่เอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา แฝงด้วยความถากถางอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ใบหน้าของซูหลีแข็งกระด้างในทันที ในเวลานี้นางไม่กล้าสงวนท่าทีอะไร เพียงเอ่ยว่า “มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…ในครอบครัวของกระหม่อม มีกระหม่อมเป็นบุตรคนเดียว ที่กระหม่อมปลอมตัวเป็นบุรุษ ที่จริงแล้วไม่ใช่เจตนาของกระหม่อมเลยแม้แต่น้อย มารดาที่สิ้นใจแล้วของกระหม่อมเพื่อต้องการรักษาตำแหน่งเดิมในสกุลเอาไว้ ตั้งแต่เล็กจึงจับกระหม่อมเลี้ยงแบบบุรุษมาตั้งแต่เล็ก”


 


 


“ก่อนหน้านี้กระหม่อมยังมิเข้าใจ และไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ กว่ากระหม่อมเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็สายไปเสียแล้ว ทุกคนต่างทราบว่าบิดาของกระหม่อมมีบุตรชายที่ไร้ประโยชน์คนเดียว กระหม่อมต้องการอะไรหรือจะกระทำอะไร ก็มีความสามารถไม่เพียงพอ!”


 


 


“หลายปีมานี้ กระหม่อมยังไม่อาจสารภาพตัวตนความเป็นสตรีของตนเองได้ เพราะต้องการปกป้องสกุลซู และปกป้องความปรารถนาสุดท้ายของมารดาผู้ซึ่งตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“พูดเช่นนี้ เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ใช่คนผิดแล้ว” ฉินเย่หานแค่นยิ้มเย็นออกมา ซูหลีนั้นถนัดพูดเฉไฉมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีวาทศิลป์ในการพูด พูดตามความจริง หากมิได้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคงน่าเสียดายไม่น้อย


 


 


ทว่าที่น่าเสียดายยิ่งกว่าก็คือ ลูกไม้เหล่านี้ของนางไม่สามารถใช้กับฉินเย่หานได้แล้ว


 


 


“แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม ไม่สิ กระหม่อมมีความผิด กระหม่อมสมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง!” ใบหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางโขกศีรษะลงพื้น แผ่นหลังของนางมีเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นเต็มไปหมด


 


 


ไม่ว่าอย่างไร โทษฐานโกหกหลอกลวงจักรพรรดิของนางนี้ก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้! จะว่าไปแล้วนางก็ยังได้รับความไม่เป็นธรรม ที่ประหลาดยอกแก่การเข้าใจก็คือ ทันทีที่ตนรู้สึกตัว ก็ถูกผู้อื่นกินจนเกลี้ยงเสียแล้ว ทั้งยังต้องคุกเข่าอธิบายกับผู้อื่นเช่นนี้อีก…


 


 


“เราให้ตัวเลือกเจ้าสองทาง” ประจวบเหมาะกับที่ฉินเย่หานแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพอดี แม้แต่ผมก็ถูกข้ารับใช้จัดทรงและสวมมงกุฎเรียบร้อยแล้ว


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงแหงนศีรษะขึ้นมองเขาอย่างขลาดกลัว


 


 


ฉินเย่หานเห็นท่าทางของนางแล้ว สีหน้าจึงเข้มขึ้น หากนางรู้จักกลัวจริง เมื่อครู่ก็คงตอบรับการเข้ามาเป็นสนมในวังหลวงแล้ว


 


 


เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนที่ใจกล้าบ้าบิ่น!


 


 


“หนึ่งคือเข้ามาอยู่ในวังหลัง สองคือตาย” ฉินเย่หานปั้นสีหน้าเยือกเย็น ดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นมีความลึกล้ำและอึดอัดจนทำให้คนที่มองอ่านไม่ออก


 


 


ร่างกายของซูหลีสั่นเทิ้ม นี่ดูเหมือนไร้ความเมตตาเกินไปแล้วกระมัง นี่เขาต้องการลงโทษนางถึงตาย เมื่อคืนไยถึงได้…ทำอะไรกับนางเช่นนั้นกัน


 


 


ดังนั้น นี่คือองค์จักรพรรดิผู้ซึ่งไร้ความเมตตาที่สุด การพูดเช่นนี้ถือเป็นเรื่องจริง!


 


 


“กระหม่อมสามารถเลือกตัวเลือกที่สามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีชายตาขึ้นและยิ้มอย่างอ่อนหวานให้กับฉินเย่หาน จากนั้นจึงเอ่ยประโยคนี้ออกมา


 


 


ในเวลานี้นางยังจะใช้วิธีลิงหลอกเจ้าเช่นนี้อีกหรือ


 


 


สีหน้าของฉินเย่หานพลันเคร่งขรึมลงในชั่วพริบตา


 


 


แม้แต่อากาศโดยรอบยังเสมือนกับถูกแช่แข็งเอาไว้ ซูหลีนั้นตกเป็นเป้าสายตาที่หนาวเหน็บของเขา แทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง


 


 


ในความเป็นจริงฉินเย่หานปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรม ภายในใจนางนั้นรู้สึกหวาดกลัวฉินเย่หาน


 


 


สามารถเอ่ยได้ว่า ทั้งราชวงศ์ต้าโจวผู้ที่นางหวาดกลัว และอ่านไม่ออกที่สุดก็คืนฉินเย่หาน


 


 


“ซูหลี ดูเหมือนเราจะดีต่อเจ้าเกินไปแล้วกระมัง!?”


 


 


ซูหลีดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงเย็นที่แผดดังออกมาของฉินเย่หาน นางมิได้หลุบตาลง มีประกายความซับซ้อนอย่างยิ่งยวดพาดผ่านในดวงตาของนาง


 


 


เรื่องต่างๆ ล่วงเลยมาถึงบัดนี้แล้ว นางสามารถทำได้เพียงพนันก็เท่านั้น พนันว่าฮ่องเต้จะทรงมีความโปรดปรานนางสักนิดหรือไม่!


 


 


ซูหลีสูดลมหายใจเข้าอย่างลึกๆ เฮือกหนึ่ง การดำเนินเรื่องของเรื่องนี้เกินความคาดหมายของนางไปแล้วจริงๆ นางไม่คิดเลยว่างานเลี้ยงที่ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้จัดอย่างปกติ จะก่อให้เกิดวิกฤตเช่นนี้


 


 


ทว่านางก็ทราบดีว่า ในเมื่อนางมีใจที่จะดำรงอยู่ในราชสำนัก วันนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมาถึง


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูหลีจึงไม่ลังเลใจอีก นางพลันโขกศีรษะลงบนพื้นและเอ่ยเสียงดังว่า “กระหม่อมผิดไปแล้ว ฮ่องเต้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ความหมายของคำพูดนี้ก็คือนางเลือกตัวเลือกที่สอง


 


 


พรึ่บ!


 


 


อุณหภูมิทั้งตำหนักอวิ๋นซินลดต่ำลงจนถึงขีดสุด


 


 


แม้แต่หวงเผยซานที่อยู่ข้างกายฉินเย่หาน ก็อดที่จะสั่นสะท้านตามมิได้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 626 ฝ่าบาทได้โปรดทรงเมตตา


 


 


“ดี!” สีหน้าของฉินเย่หานเข้มลงจนถึงขีดสุด เขาจ้องมองซูหลีตาไม่กะพริบ ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


“ฝ่าบาทได้โปรดทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานที่รับชมเรื่องราวทั้งหมดนี้ เขานำทุกคนคุกเข่าลงไปก่อน!


 


 


การคุกเข่าของเขานี้ ทำให้ทุกคนในตำหนักต่างพากันคุกเข่าทั่วหน้า ศีรษะของทุกคนฟุบไปบนพื้น ท่าทางที่เงียบกริบจนไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ดูเหมือนจะหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ที่จริงแล้วหวงเผยซานคิดไม่ถึงว่า ซูหลีจะมีความใจกล้าถึงขนาดนี้ ในเวลานี้ฮ่องเต้ทรงยื่นพระหัตถ์มาให้ถึงขนาดนี้ นางไม่รับไว้ก็ช่างเถอะ มิหนำซ้ำกล้าฝ่าฝืนและต่อต้านฮ่องเต้เช่นนี้ นี่มิใช่การรนหาที่ตายหรือ


 


 


ทว่าเขาก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ เขาอยู่ข้างกายฉินเย่หานมาตลอดหลายปี ยังมิเคยเห็นฉินเย่หานปฏิบัติต่อสตรีนางใดเช่นนี้มาก่อน


 


 


อย่าว่าแต่ดังเช่นเมื่อคืนที่ถูกเขาโปรดปรานตลอดทั้งคืน แม้แต่สัมผัสมือ นายท่านของเขาก็รังเกียจเข้ากระดูกดำแล้ว


 


 


ทว่าซูหลีผู้นี้สามารถทำให้ฮ่องเต้ทรงกลายเป็นเช่นนี้ได้


 


 


ยามที่ในตอนแรกหวงเผยซานยังคิดว่าซูหลีเป็นบุรุษ ในใจของเขายังมีความสับสนเกิดขึ้นระลอกหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นก็สามารถปล่อยวางได้แล้ว เขารู้สึกว่าขอเพียงนายท่านของเขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีก็ได้ทั้งนั้น


 


 


หลังจากนั้นมาที่จริงแล้วเขาก็เพิ่งทราบเรื่องนี้ตอนเช้า ซูหลีผู้นั้นช่างทำตัวปกติดำเนินชีวิตเรื่องนี้ได้อย่างล้ำลึกมาก หากมิใช่เพราะข้ารับใช้ที่เก็บกวาดเตียงของฮ่องเต้ พบรอยสีแดงบนผ้าปูที่นอน หวงเผยซานก็คงไม่รู้ว่านางเป็นสตรี!


 


 


แน่นอนว่าฮ่องเต้ทรงรับรู้หรือไม่ เขาก็ไม่ทราบอย่างชัดเจนเช่นกัน


 


 


ทว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยาก สตรีผู้หนึ่งที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ผู้ซึ่งเย็นชาเป็นอย่างมากของเขารู้สึกหวั่นไหวได้ เมื่อวานนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าอย่างไรหวงเผยซานก็ไม่ต้องการให้ซูหลีต้องตายเช่นนี้


 


 


อย่างไรก็ต้องเหลือลู่ทางด้านหลังไว้ให้แก่ฮ่องเต้มิใช่หรือ


 


 


“คุณชาย…แม่นางซูคงยังคิดมิตกในทันที ฝ่าบาททรงมิคิดเล็กคิดน้อยกับนาง ใช่หรือไม่ แม่นางซู?” ทางด้านหวงเผยซานรีบขยิบตาส่งสัญญาณให้กับซูหลีอย่างต่อเนื่อง


 


 


ทว่าซูหลีหมอบลงบนพื้นเช่นนี้ ไม่แม้แต่ขยับตัว ท่าทางของนางคล้ายกับมิได้ยินเสียงคำพูดของเขาก็มิปาน


 


 


“เหอะ!” ฉินเย่หานเห็นดังนั้น สีหน้าจึงยิ่งเย็นชากว่าเดิม เขาพลันเดินเข้าไปและยืนอยู่ตรงหน้าซูหลี หลุบตามองที่นางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า


 


 


“ดี ในเมื่อเจ้าเก่งกาจเช่นนี้ เราก็จะทำให้เจ้าสมหวัง!”


 


 


คำพูดประโยคนี้อึมครึมมาเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของความตายบางอย่าง


 


 


ซูหลีมิกลัวจริงหรือ


 


 


นางย่อมรู้สึกหวาดกลัว ทว่าเรื่องดำเนินจนถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ทำได้เพียงแบกรับมันเอาไว้ นางกัดฟันและควบคุมอารมณ์ความรู้สึกตนเองให้สงบและเยือกเย็น นางได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้แล้ว


 


 


อย่างมากก็แค่ตายก็เท่านั้น ดูสิว่านางยังมีโอกาสเกิดใหม่อีกครั้งหรือไม่ หากครั้งนี้สามารถกลับมาได้อีกครั้งจริง นางหวังว่าจะสามารถเกิดเป็นบุรุษคนหนึ่ง จะได้ลดเรื่องยุ่งยากจำนวนมากนี้ไปได้!


 


 


“ทหาร!” ฉินเย่หานออกคำสั่ง ผู้ที่นำทหารองครักษ์เข้ามาก็คือโจวเว่ย


 


 


โจวเว่ยยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทันทีที่เข้ามาก็สอดส่องสายตาไปทางหวงเผยซาน ทว่านางเพียงเห็นรอยยิ้มเจื่อนๆ ที่ปรากฏบนหน้าของหวงเผยซาน และส่ายหน้าให้แก่เขา


 


 


“ลากซูหลีไปที่ตำหนักอวิ๋นเซียว!” ฉินเย่หานเอ่ยประโยคนี้ทิ้งท้ายและหันหลังเอ่ยออกไป


 


 


ทว่ายังไม่ทันเดินออกไปได้ถึงสองก้าว เขาพลันหยุดฝีเท้าลงและเอ่ยออกมาด้วยความโกรธว่า “ให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” ข้ารับใช้รีบขานรับในทันที ทว่าหลังจากเขาเดินออกไป แข้งขาของซูหลีกลับอ่อนยวบลงในทันที นางถึงกลับทรุดลงนั่งบนพื้น


 


 


ยังดีที่ไม่ได้ลากนางไปประหารในทันที เพียงไปที่ตำหนักอวิ๋นเซียวเท่านั้น


 


 


หรือเขาต้องการเปิดโปงเรื่องที่นางปลอมตัวเป็นบุรุษต่อหน้าขุนนางในราชสำนัก?


 


 


เมื่อซูหลีคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ก็รู้สึกปวดสมองของตนทันที


 


 


ครานี้นางหนีออกไปได้ เรื่องแรกที่จะทำก็คือปรุงยาถอนฤทธิ์สุรา!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม