สาวน้อยปลูกผัก 618-623
TQF:บทที่ 618 กอดคอร้องไห้ (1)
อาหาร
คนของตระกูลฟางยังไม่ทันจะได้สติเมื่อได้ยินคำนี้ หยูเฮงน้อยก็โบกมือน้อยๆ มีสัตว์อมตะเป็นฝูงปรากฏออกมา แรดดำ เสือป่าเมฆาม่วง ช้างหยก ช้างสิงโต และอีกมากมายก่ายกองนับร้อยตัว ทุกคนอึ้งกันไปหมด
ทั้งหมดนี้คือสัตว์อมตะ
หยูเฮงน้อยยิ้มกระหยิ่งอย่างพอใจเมื่อมองไปที่สัตว์อมตะเหล่านี้ “คุณหนู ท่านพูดถูกจริงๆ สัตว์อมตะของพวกเราต่างหากที่ดูดี ของพวกเขาน่ะขี้เหร่เกินไป ยากจะรักได้ลง เหมือนกับเจ้านายของพวกมันนั่นแหละ ไม่น่าดู”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มอ่อนโยนพลางพยักหน้าเบาๆ
หยูเฮงน้อยหันไปสั่งเหล่าสัตว์อมตะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไอพวกตัวใหญ่ โชคมาถึงแล้วนะ เจ้าพวกอัปลักษณ์พวกนั้นพวกเจ้ากินได้ทั้งหมด ไม่ต้องเกรงใจ ห้ามเหลือด้วย เข้าใจมั้ย”
“โฮกกก”
“อ๊างงง”
เหล่าสัตว์อมตะถูกสั่งไว้ว่าห้ามพูดภาษามนุษย์ จึงได้แต่รอบรับด้วยเสียงคำรามของตัวเอง
จากนั้นก็พากันพุ่งเข้าใส่สัตว์วิญญาณและสัตว์อมตะที่หมอบอยู่ขยับไม่ได้ อ้าปากฉีกกัดพวกมัน
“อย่าาา”
1 ในตาแก่รีบร้องตะโกนขึ้น เหล่าสัตว์วิญญาณและสัตว์อมตะเป็นรากฐานของพวกเขาตระกูลฟาง ถ้าหากถูกกินหมดละก็ ฐานะและอำนาจของพวกเขาตระกูลฟางต้องถูกกดขี่ลงไปเป็นแน่ พวกเขาจะยอมได้อย่างไร
แต่ก็ไม่มีใครสนใจเสียงร้องตะโกนของเขา โดยเฉพาะเหล่าสัตว์อมตะที่เมินเฉยจนถึงที่สุด ตั้งใจฉีกกัดเหล่าสัตว์วิญญาณและสัตว์อมตะที่ถูกสะกดอยู่
“กรี๊ดดด” ศิษย์หญิงอายุน้อยคนหนึ่งอดกรี๊ดไม่ได้เมื่อเห็นฉากนี้ รีบหันหน้าไปอีกทาง ไม่กล้ามองดูภาพที่สัตว์กินกัน
ตาแก่ที่อายุมากที่สุดมองเด็กรุ่นหลังที่เคยเฉิดฉายด้วยแววตายากจะบอกถึงความรู้สึก กล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ยัยซูหยุน เจ้าจะล้างบางพวกเราตระกูลฟางเลยหรือไง”
“เหอะๆ ที่แท้ยังมีคนรู้เหรอว่าข้าคือฟางซูหยุน ข้านึกว่าคนที่รู้จักข้าตายกันไปหมดแล้วซะอีก แม้แต่จะกลับบ้านยังต้องปูทางด้วยเลือด ไม่คิดเลยว่ายังมีคนรู้จักชื่อข้า รู้ว่าข้าเป็นคนตระกูลฟาง คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ”
สีหน้าฟางซูหยุนตลกตัวเอง มองไปยังคนที่ตัวเองสามารถเรียกได้ว่าอาจารย์ปู่ด้วยสายตาเย็นเฉียบ นางไม่เชื่อว่าการมาของตัวเองจะไม่มีใครรู้
มีคนไม่น้อยที่รู้ว่านางกลับมาตั้งแต่เมื่อคืน คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีแบบนี้ต้อนรับนาง
“ซูหยุนเอ๋ย นี่น่ะ นี่เป็นการเข้าใจผิด….” 1 ในผู้เฒ่าฉีกยิ้มโกหกหน้าตาย นึกก่นด่าเจ้าบ้านในใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน
ไม่ว่าจะมีความแค้นอะไรกับฟางซูหยุน อย่างไรซะตอนนี้วิทยายุทธของนางก็อยู่ระดับปรากฏเทพเทวาแล้ว อีกอย่างข้างกายนางยังมีก้าวสู่เทพเทวาอีกคน ถ้าหากตระกูลฟางได้ 2 คนนี้ละก็พลังที่มีอยู่ก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้น แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
จิตใจชั่วช้าจริงๆ มีเรื่องกับญาติตัวเองที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถเพราะความแค้นส่วนตัว น่าสังหารซะจริง
ที่สำคัญกว่านั้นคือในหมู่พวกนางมีปรมาจารย์ฝึกสัตว์อยู่ด้วย ดูสัตว์อมตะที่พวกนางปล่อยออกมาสิ ล้วนเป็นสายพันธุ์สูงส่งทั้งนั้น แล้วยังมีโอกาสเปลี่ยนเป็นสัตว์สวรรค์ได้อีกด้วย
คิดมาถึงตรงนี้ตาแก่พวกนี้ก็รู้สึกจิตใจรุ่มร้อนขึ้นมา ไม่รู้สึกปวดใจอีกแล้วเมื่อมองไปยังสัตว์อมตะที่กัดกินอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้พวกสัตว์อมตะกินเถอะ อย่างไรซะก็ยังมีสัตว์อมตะอยู่ที่ตระกูลฟางก็พอแล้ว
เจ้าพวกตาแก่พวกนี้หน้าด้านหน้าทนกล้าพูดคำแบบนี้ออกมา แต่หยูเฮงน้อยกลับหัวเราะพรืดออกมาอย่างไม่เกรงใจ ชี้ไปที่พวกเขา “ฮ่าๆๆ เข้าใจผิด เข้าใจผิดจริงๆเหรอ ถ้าพวกเราไ่ม่มีฝีมือปกป้องตัวเองพอคงจะถูกพวกเจ้ากำจัดทิ้งไปแล้ว ฮูหยินฟางก็แค่กลับบ้านตัวเองเท่านั้น แต่กลับต้องมาเจอกับการล่าสังหารจากพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า บอกชื่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ตาแก่ เจ้าพูดได้อย่างไม่อายปาก แต่พวกเราน่ะอายแทนเจ้า น่าขายหน้าจริงๆ”
คำพูดมากมายพรั่งพรูออกจากปากหยูเฮงน้อย ความดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้าเล็กๆนั่นทำให้ตาแก่เหล่านี้อายจนหน้าแดง
ความจริงก็เป็นแบบนี้ แต่จะให้พวกเขายอมรับหรือไง
แน่นอนว่าต้องไม่ยอมรับอยู่แล้ว
“แค่กๆๆ”
ตาแก่ชุดน้ำตาลที่ยังไม่ได้พูดอะไร นัยต์ตาที่เริ่มมัวหมองมองไปยังฟางซูหยุนที่สวยไม่น้อยลงเลยก่อนจะหันไปมองสาวสวยอีก 2 คน เขาหันไปตะคอกเสียงเย็นกับคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง “เจ้าบ้าน นี่มันเรื่องอะไรกัน”
สายตาของทุกคนมองไปที่นายท่านรองทันที นายท่านรองที่ปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วยิ้มเฝื่อนๆ ประสานมือตอบ “ท่านอาปู่ พวกทหารยามไร้มารยาท ผู้อาวุโสอันไม่รู้ว่าซูหยุนกลับมาจึงลงมือไป นี่ นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ”
“ถุย…” หยูเฮงน้อยทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป อดมองบนไม่ได้ ไม่มีคนที่ไร้ยางอายที่สุด มีแต่คนที่ไร้ยางอายกว่า
คนของตระกูลฟางรู้ดีอยู่แก่ใจว่านี่มันเรื่องอะไร ศึกชิงอำนาจบ้านรองเป็นผู้ชนะ ทุกคนย่อมเข้าใจว่าทำไมนายท่านรองถึงทำแบบนี้
ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดอะไรออกมา นอกจากให้อาจารย์ปู่ที่เก็บตัวอยู่มาจัดการเรื่องนี้
หากตอนนั้นอาจารย์ปู่แทรกแซงละก็ บ้านใหญ่ก็คงไม่แพ้อย่างอนาถขนาดนี้ ตอนนี้ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในบ้านโทรมๆ
TQF:บทที่ 619 กอดคอร้องไห้ (2)
ฟางซูหยุนไม่อยากจะฟังคำพวกนี้แล้ว สีหน้านางแข็งกร้าว “ในเมื่อรู้กันแล้วว่าข้าคือฟางซูหยุน ใครก็ได้บอกมาว่าพ่อแม่และน้องชายข้าอยู่ที่ไหน”
คำนี้ออกไปปุ๊บสีหน้าของคนไม่น้อยเปลี่ยนไป ใครๆก็รู้ว่าบ้านใหญ่ลงเอยอย่างไร ถ้าหากฟางซูหยุนรู้เข้าละก็จะเกิดอะไรขึ้น
คิดมาถึงตรงนี้มีตาแก่บางคนรู้สึกผิดขึ้นมาในแววตา ไม่ว่าอย่างไรคนบ้านใหญ่ก็ไม่ได้ทำผิดอะไรแต่กลับต้องมาลงเอยแบบนี้ ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี ตอนนี้ลูกสาวพวกนางมาปรากฏตัวแล้ว แต่….
ถ้าหากเป็นปกติเมื่อก่อน คนที่อยู่ที่นี่ไม่มีทางรู้สึกผิดกับสภาพเป็นอยู่ของบ้านใหญ่ หรือเรียกได้ว่าพวกเขาใกล้จะลืมบ้านใหญ่ที่จะตายแหล่มิตายแหล่ไปแล้ว
ตอนนี้…..
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่ใช่แค่บ้านรองที่รู้สึกได้ว่าไม่ดีแน่ บ้านสามก็มีท่าทีหวาดกลัว สภาพตอนนี้ของฟางหมิงเห้อเป็นฝีมือบ้านสามของเขา ส่วนคนบ้านสี่สงบกว่าเยอะ อย่างไรซะพวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เกินไป เทียบกับบ้านสองบ้านสามแล้วดีกว่ามาก
แต่ละคนมีสีหน้าที่บอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะตอบนางอย่างไรดี
ความคิดของพวกเขาถูกเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยล่วงรู้จนหมด ใบหน้างดงามทั้งคู่มีรอยยิ้มเหยียด มองคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นยะเยือก
ความโกรธที่ฟางซูหยุนข่มเอาไว้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง พูดเสียงเย็น “ทำไม ยังจะกีดกันไม่ให้ข้าไปเยี่ยมพ่อแม่และน้องชายของข้ารึไง หรือรังแกที่ข้าฟางซูหยุนไม่ได้กลับมาหลายสิบปี บัดนี้แม้แต่ประตูบ้านก็ไม่ให้เข้า หน้าของครอบครัวก็ไม่ให้เจอ หรือว่าเห็นข้าฟางซูหยุนรังแก่ง่าย”
ประโยคสุดท้ายนางใช้พลังเซียนในการตะโกนออกมา สะเทือนไปทั่วใต้หล้า กระจายไปรอบทิศ เกรงว่าครึ่งค่อนชิงยางล้วนได้ยินเสียงของนางหมด
สีหน้าของคนในบ้านตระกูลฟางเปลี่ยนกันไปอีกครั้ง
“คุณหนู ข้าจะพาท่านไปพบนายท่านและฮูหยินเอง”
อาเสียงกลับมาทันพอดีได้ยินคำพูดของฟางซูหยุน รีบตอบรับ
อาเสียงที่มีสีหน้าเคร่งเครียดปรากฏกายออกมาตามเสียง เมื่อเขาเห็นว่าทั้ง 4 คนยังยืนอยู่ด้วยสภาพปกติก็วางใจลง
เมื่อกี้เห็นคราบเลือดมากมายที่ประตูใหญ่ เขาตกใจจนใจเต้นแรง กลัวมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูและคุณหนูเล็กที่เพิ่งกลับมา
“อาเสียง อากลับมาพอดี”
ฟางซูหยุนพยักหน้าให้กับคนที่กำลังเดินมา ก่อนจะมองคนบ้านตระกูลฟางที่พูดอะไรไม่ออกด้วยสายตาผิดหวัง ในใจทั้บเจ็บปวดทั้งเคียดแค้น เอ่ยเสียงเข้ม “เสี่ยวเสี่ยว หยูเฮงน้อย พวกเราไปกันเถอะ”
“ท่านย่า คนขวางทางมันเยอะเกินไป ข้าว่าต้องให้พวกสัตว์อมตะช่วย”
มุมปากเฉิงเสี่ยวเสี่ยวยกขึ้น รอยยิ้มเย็นๆไม่ต่างกับของฟางซูหยุน ท่ามกลางสายตาทุกคน นางโบกมือเล็กน้อย บรรยากาศบิดเบือนและมีสัตว์อมตะอีกเป็นฝูงโผล่ออกมา
“โฮกกก”
“อ๊างงงง”
มีสัตว์อมตะอีกหลายร้อยตัวปรากฏกายขึ้น รวมเข้ากับหลายร้อยตัวเมื่อกี้เป็นสัตว์อมตะนับพันตัวพอดีที่อยู่ต่อหน้าทุกคน
คนตระกูลฟางอึ้งไปอีกรอบ มองไปที่ฝูงสัตว์อมตะตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย นับพันตัว สัตว์อมตะนับพันตัวเชียวนะ
แทบจะมากกว่าจำนวนทั้งหมดที่คนในชิงยางครอบครองแล้ว หลังจากที่คนพวกนี้ตะลึงเสร็จก็มีแววดีใจปรากฏในแววตา ถ้าหากทั้งหมดนี้เป็นของตระกูลฟางละก็ งั้น…
คิดมาถึงตรงนี้คนพวกนี้ก็ตื่นเต้นกันมาก แต่คนบ้านรองและบ้านสามกลับมีสีหน้าย่ำแย่
ยิ่งฟางซูหยุนแข็งแกร่งเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งแย่
พวกเขาคาดการณ์ได้ว่าสภาพของบ้านใหญ่ในวันนี้ก็คือสภาพของบ้านรองและบ้านสามในวันหน้า
คิดมาถึงตรงนี้คนของบ้านรองและบ้านสามก็สะท้านขึ้นมา เผยท่าทีหวาดกลัวออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ที่ว่างเล็กๆตรงนี้ถูกเหล่าสัตว์อมตะครอบครองไปแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวบอกกับหยูเฮงน้อยที่อยู่ข้างๆ “เจ้าว่าพอรึยัง ปล่อยออกมาอีกสักพันตัวดีมั้ย แต่ว่าไม่มีที่จะให้อยู่แล้วนี่นา”
“อิอิ กลัวทำไม พวกเราปล่อยเหยี่ยวหิมะ อินทรีย์ปีกเหล็ก นกไฟ หงส์ทอง นกไฟ ปล่อยเจ้านกพวกนี้ออกมาพวกมันไม่เปลืองที่หรอก” หยูเฮงน้อยเสนอด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า “เจ้าพูดถูก พวกเราเพิ่งจะเรียกออกมาแค่พันตัวเอง น้อยเกินไป เกรงว่าพวกเขาจะไม่เห็นอยู่ในสายตา เจ้าว่าจริงมั้ย”
พูดจบเฉิงเสี่ยวเสี่ยวโบกมืออีกครั้ง ไม่ได้ใช้ถุงสัตว์อมตะใดๆทั้งนั้น เรียกเจ้านกออกมากว่าพันตัวได้ในทันที
“จิ๊บๆๆๆ”
“จิ๊บๆๆๆ”
“จิ๊บๆๆๆ”
ในอากาศปรากฏนกออกมาอย่างคับคั่ง เสียงที่สะท้อนไปทั่วฟ้าไม่ได้แค่ทำให้คนตระกูลฟางทึ่งกันหมด คนทั้งชิงยางก็ทึ่งเหมือนกัน
แล้วยังมีพวกปีศาจเฒ่าจำนวนไม่น้อยรีบเดินทางมาที่ตระกูลฟาง
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวแสยะยิ้มกับคนตระกูลฟางที่อึ้งกันอยู่ “ตอนนี้จะหลบมั้ย ถ้าไม่หลบข้าจะสั่งให้สัตว์อมตะจู่โจม”
“อย่า อย่า..”
คำพูดมุ่งร้ายทำให้ตาแก่พวกนี้ได้สติกลับมาในที่สุด ครั้งนี้พวกเขาไม่ใช่แค่ตื่นเต้นดีใจ แต่หน้าเหี่ยวๆแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าประจบประแจง สายตาเร่าร้อนที่มองเฉิงเสี่ยวเสี่ยวราวกับของรัก แทบจะอุ้มชูไว้อยู่ในมือ กลับว่าจะทำให้นางไม่พอใจ
——————-
TQF:บทที่ 620 กอดคอร้องไห้ (3)
“ไป๊….”
กับคนพวกนี้แล้วเฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่มีสีหน้าดีๆให้เด็ดขาด พูดแค่คำเดียวก็หันกลับมาคุยกับอาเสียงที่เอ๋อไปแล้ว “ปู่เสียง รีบพาพวกเราไปหาท่านทวดเร็ว”
“เอ๋ อ่า….”
อาเสียงที่ได้สติกลับมากระพริบตามองไปยังทุกอย่างตรงหน้า ช่างจริงแท้ ทันใดนั้นก็มีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา เขาเช็ดไปพยักหน้าไป “คุณหนู คุณหนูเล็ก ข้าจะพาพวกท่านไปเอง ข้าจะพาพวกท่านไปตอนนี้แหละ”
“เจ้าสัตว์ทั้งหลาย เปิดทางหน่อย ถ้ามีพวกไม่มีตาก็กัดมันให้ตายเลย” หยูเฮงน้อยโบกไม้ตบยุงอันเล็กของนางพลางออกคำสั่งอย่างเกรียงไกร
คำพูดนี้ทำให้คนบ้านตระกูลฟางรีบหลบทางให้ ต่อให้เป็นพวกตาแก่ตระกูลฟางก็ไม่กล้าขวาง
สัตว์อมตะนับพันตัวคุ้มครองอาเสียงที่เดินอยู่ด้านหน้า เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจูงย่าตัวเองเดินตามหลัง ในอากาศก็มีเจ้านกนับพันตัวคุ้มครองอยู่ มาดขนาดนี้ทำให้คนตระกูลฟางมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ส่วนคนบ้านรองและบ้านสามสีหน้าหม่นหมอง เหลือเพียงความคิดเดียวในหัวพวกเขา “จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว”
เพิ่งจะเดินได้ไม่กี่สิบก้าวจู่ๆเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็หยุดลง หันหลังไปยิ้มให้กับตระกูลฟางที่อยู่ด้านหลังอย่างสดใส “จำไว้ให้ดีนะ ไปเรียกคนที่แซ่ฟางกลับมาให้หมด คนที่อยู่ในตระกูลอย่าคิดจะหนีออกไป ไม่อย่างนั้นข้าจะล้างบางพวกเจ้าตระกูลฟางซะ จำไว้ให้ดี ข้าไม่มีอะไรหรอกนอกจากสัตว์อมตะที่อยากจะมีเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าไม่ใช่ว่าข้ามีความสามารถขนาดนั้นละก็ลองดู”
พูดจบเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เลิกสนใจคนตระกูลฟางที่เป็นเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
เพียงแต่พวกเขาเดินต่อไปได้ไม่นาน ก็เห็นฝูงชนด้านหน้ารีบมาอย่างรีบร้อน เมื่อพวกเขาเห็นคนที่ถูกสัตว์อมตะจำนวนมากห้อมล้อมไว้ก็หยุดฝีเท้าลง
โดยเฉพาะคน 2 คนที่อายุราว 60-70 พวกเขานิ่งไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ จ้องเขม็งไปยัง 2 คนตรงหน้าที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะ
ฟางซูหยุนเห็นคนตรงหน้าก็ช็อคไปเหมือนโดนฟ้าผ่า น้ำตาเอ่อล้นเต็มเบ้า ตะโกนเสียงหลงขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านแม่….”
หลังจากที่เรียกเสร็จฟางซูหยุนก็กระโจนพุ่งเข้าไปคุกเข่าลง ร้องไห้ออกมายกใหญ่ “ท่านพ่อ ท่านแม่ หยุนเอ๋อกลับมาแล้ว หยุนเอ๋อทำผิดต่อพวกท่าน ท่านพ่อ ท่านแม่…”
2 สามีภรรยาฟางเต๋อหยวนยังอึ้งอยู่ มองไปยังลูกสาวตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อ ฟางเต๋อหยวนอ้าปากนิดหน่อยแต่ก็พูดอะไรไม่ออก
“หยุน หยุนเอ๋อ…” มู่หรงมู่เยวี่ยมองลูกสาวอย่างเหม่อลอย ยื่นมือทั้ง 2 ข้างที่สั่นเทาออกไปยกใบหน้าที่น้ำตาไหลอาบของลูกสาวขึ้น ยิ้มออกมาอย่างน่าเวทนา “หยุนเอ๋อ หยุนเอ๋อของ…”
ไม่ทันทีจะพูดจบร่างของมู่หรงมู่เยวี่ยก็ล้มลงและสลบไป
“ท่านแม่ ท่านแม่….”
ฟางซูหยุนโอบคนที่ล้มลงไว้อยู่ในอ้อมกอด ตะโกนขึ้นอย่างตกใจ
ฟางเต๋อหยวนเองก็ได้สติกลับมา เขารู้ว่าลูกสาวกลับมาแล้วจริงๆ เมื่อกี้ตอนอยู่ในบ้านได้ยินเสียงคำรามอันคุ้นเคยดังขึ้นเขาก็รู้แล้วว่าลูกสาวตัวเองกลับมาแล้วจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงพาเมียและลูกมาด้วยกัน และก็ได้เจอลูกสาวพวกเขาที่กลับมาแล้วจริงๆ
“ซูหยุน รีบอุ้มแม่เจ้ากลับไป นางแค่สลบไปเท่านั้น ไม่เป็นไร”
ฟางเต๋อหวินยังมีสติอยู่บ้าง เขาเห็นว่าลูกสาวร้อนใจจึงเอ่ยปลอบ
“ได้ๆ กลับไป” ฟางซูหยุนอุ้มแม่ของตัวเองและลืมหลานสาวไปเลย รีบเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนว่าด้านหน้านั้นใช่ที่พำนักของพ่อแม่รึเปล่า
เห็นท่านย่าที่สูญเสียการควบคุมไป เฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้แต่ถอนหายใจพลางโบกมือเก็บสัตว์อมตะนับพันตัวกลับไป ส่วนสัตว์อมตะที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้าไม่ได้เก็บ
นี่ถือเป็นคำขู่สำหรับคนตระกูลฟาง
ฉากเมื่อกี้ถูกคนตระกูลฟางและคนจากอิทธิพลต่างๆในชิงยางที่เดินทางมาเห็นหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรซะเรื่องที่บ้านใหญ่ตระกูลฟางเสียท่าและบ้านรองได้อำนาจแทนก็เป็นเรื่องที่อิทธิพลต่างๆในชิงยางรู้กันดี
แต่เรื่องที่ทำให้พวกเขาตกใจคือเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เพียงแค่โบกมือก็เก็บสัตว์อมตะนับพันไป และพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่านางเก็บสัตว์อมตะเหล่านั้นไปไว้ไหน เพราะพวกเขาไม่เห็นถุงสัตว์อมตะที่ว่าเลย
และในใจของพวกเขาก็เข้าใจดีว่าเด็กสาวตรงหน้านี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ฝึกสัตว์อะไรหรอก น่าจะเป็นเทพเจ้าแห่งการฝึกสัตว์มากกว่า
มีเพียงเทพเจ้าแห่งการฝึกสัตว์เท่านั้นที่จะสั่งการสัตว์อมตะเป็นฝูงๆได้ แม้ว่าปรมาจารย์ฝึกสัตว์ก็กำราบสัตว์อมตะได้ แต่อย่างมากก็ได้แค่ 10 กว่าตัว ได้เป็นหลายสิบตัวนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย
แต่เด็กสาวตรงหน้าโบกมือทีเดียวก้ได้สัตว์อมตะเป็นร้อยเป็นพัน นอกจากเทพเจ้าแห่งการฝึกสัตว์แล้ว ปรมาจารย์ฝึกสัตว์ไม่มีทางมีความสามารถมากขนาดนี้
ขณะนั้น ตาแก่ร้อยกว่าคนที่มองตระกูลฟางอยู่ไม่ปิดบังความอิจฉาและความเจ็บใจเลย
แน่นอนว่ามีบางคนที่เป็นญาติกับบ้านใหญ่ตระกูลฟาง ก่อนหน้านี้พวกเขาถือคนบ้านใหญ่ตระกูลฟางเป็นที่น่าอับอายและดูหมิ่น แต่บัดนี้พวกเขากลับรู้สึกภาคภูมิและยืดอก
ไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดอย่างไร เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจูงมือหยูเฮงน้อยก้าวเดินตามคนข้างหน้าช้าๆ
เห้อไป๋ยี่ตามอยู่ด้านหลังสุด เขาเดินไปพลางหันกลับไปมองคนที่ตามมาข้างหลังไปพลาง ราวกับเห็นคนพวกนี้เป็นศัตรูทั้งหมด
ไม่นานนักเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยก็มาปรากฏที่บ้านซอมซ่อหลังหนึ่ง แม้ว่าพื้นที่จะใหญ่ แต่เก่าจนน่าเกลียด ถือจะเทียบกับบ้านฟางที่ตัวเองอยู่ตอนเพิ่งทะลุมิติมาไม่ได้ แต่เทียบกับตึกและบ้านหรูหราโอ่อ่าที่ผ่านมานั้น บ้านนี้และสวนนี้ก็เป็นแค่ระดับบ้านฟางนั่นแหละ
————————–
TQF:บทที่ 621 กอดคอร้องไห้ (4)
ส่ายหน้านิดหน่อย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ก้าวต่อไป
จู่ๆหยูเฮงน้อยก็หันกลับไปจ้องคนตระกูลฟางที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างเหี้ยมโหด ก่อนจะเฮอะเสียงเย็น
คนตระกูลฟางก้มหน้าลงหมด พวกเขารู้แล้วว่าการกลับมามีอำนาจของบ้านใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
ส่วนตาแก่ตระกูลฟางแต่ละคนได้แต่ส่ายหน้ายิ้มขมขื่น พวกเขาเสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่กับย่าหลานฟางซูหยุนแล้ว ก็ได้แต่เอาอกเอาใจเพื่อได้รับการให้อภัยจากพวกนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการวางมาดเป็นผู้อาวุโสกว่าเลย
หลังจากที่พวกเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าไปแล้ว ฝูงเจ้านกของนางก็อุดประตูไว้ ไม่มีใครเข้าไปข้างในได้
“ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านแม่ อย่าทำให้ลูกตกใจสิ ท่านแม่….”
ได้ยินเสียงร้องเรียกรักใคร่ของท่านย่าแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมีสีหน้าช่วยไม่ได้พลางจูงมือหยูเฮงน้อยเข้าไป คนอื่นๆเมื่อเห็นพวกนางก็ไม่กล้าขวาง กลับมองพวกนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้จักคนพวกนี้ เมื่อเข้าไปในห้องแล้วก็เห็นคนเป็นฝูงล้อมอยู่ข้างเตียง ท่านย่าร้องเรียกอย่างไม่สบายใจ น้ำตาก็ไหลลงมาเรื่อยๆ
“ฮูหยินฟาง ฮูหยินทวดไม่เป็นอะไร ข้าให้นางตื่นมาก็ได้แล้ว”
หยูเฮงน้อยทนไม่ไหวกับบรรยากาศแบบนี้จึงเอ่ยปากขึ้น
ถึงตอนนี้ฟางซูหยุนถึงนึกหลานสาวและหยูเฮงน้อยออก รีบลุกขึ้น “เสี่ยวเสี่ยว หยูเฮงน้อย พวกเจ้าดูซิว่าท่านแม่ข้าเป็นอะไร”
“หยุนเอ๋อ พวกนางเป็น…”
ที่จริงฟางเต๋อหยวนอยากจะถามตั้งนานแล้ว แต่เห็นลูกสาวร้อนใจกับภรรยาตัวเองจึงได้แต่ทนไว้ สายตาทอดไปยังเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนลูกสาวตัวเองเปี๊ยบ
เขารู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าก็เป็นคนรุ่นหลังของตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าด้วยฐานะและตำแหน่งไหน
“ท่านพ่อ ลูกลืมแนะนำ” ฟางซูหยุนมองหลานสาวด้วยสายตารู้สึกผิด เดินมาจูงหลานสาวไว้ “ท่านพ่อ ลูกแต่งงานแล้ว มีลูก 1 คนชื่อว่าไป๋หยวน ส่วนนี่เสี่ยวเสี่ยวลูกสาวของไป๋หยวน ซึ่งก็คือหลานสาวของข้า กลับมาครั้งนี้ข้าพาแค่หลานสาวกลับมาด้วย ลูกข้าไป๋หยวนและหลานชายหลานสาวคนอื่นไม่ได้กลับมาด้วย ท่านพ่อโปรดอภัย”
“สวัสดีเจ้าค่ะท่านทวด ข้าชื่อเสี่ยวเสี่ยว เป็นเหลนแท้ๆของท่าน” เสี่ยวเสี่ยวคารวะท่านทวดตรงหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฟางเต๋อหยวนเพิ่งจะรู้ตอนนี้ว่าลูกสาวได้เป็นย่าคนแล้ว คนตรงหน้าก็คือเหลนแท้ๆของตัวเอง พยักหน้าด้วยความดีใจ “ดีๆ เด็กดี พวกเจ้ากลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดี”
“ท่านนี้คือ….” เขาถามขึ้นอีกครั้งเมื่อมองไปที่หยูเฮงน้อย
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจูงหยูเฮงน้อยมาพลางอธิบาย “ท่านทวด นางชื่อว่าหยูเฮงน้อย เป็นน้องสาวที่โตมาด้วยกันกับข้า”
“ท่านทวด ท่านเรียกข้าหยูเฮงน้อยก็ได้ ท่านวางใจเถอะ ข้าใจกว้างมาก ท่านอยากได้อะไรข้าก็หามาให้ได้ทั้งนั้น”
หยูเฮงน้อยเผยรอยยิ้มหวาน แต่คำพูดที่เอ่ยออกมาช่างน่าตกใจ แต่สิ่งที่นางพูดก็เป็นความจริง ไม่มีอะไรที่นางหามาไม่ได้
“ดี แม่นางนี่น่ารักจริงๆ”
เห็นเด็กสาวที่น่ารักแบบนี้ฟางเต๋อหยวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เห็นคำพูดนางเป็นคำพูดเด็กที่ไม่ทันคิด ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
หยูเฮงน้อยเข้าใจความคิดของเขา และก็ไม่ได้อธิบาย กลับละสายตาไปตรงข้างเตียง “ข้าจะให้ฮูหยินทวดตื่นขึ้นมา”
พูดจบก็มีแสงสีเขียวออกจากมือเล็กๆของหยูเฮงน้อยเข้าสู่ระหว่างคิ้วของมู่หรงมู่เยวี่ย
“หยุน หยุนเอ๋อ…”
คนที่เพิ่งฟื้นมารีบร้องเรียกลูกสาวที่ตัวเองคิดถึงทุกคืนวัน ฟางซูหยุนพุ่งเข้าไปทันที “ท่านแม่ ลูกอยู่นี่ ลูกอยู่นี่”
“หยุนเอ๋อ หยุนเอ๋อของข้า ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน หยุนเอ๋อของข้า…”
“ท่านแม่ ลูกไม่ดีเอง ลูกอกตัญญู ท่านแม่ ลูกขอโทษ ลูกปล่อยให้ท่านแม่เป็นทุกข์ ท่านแม่….”
2 แม่ลูกร้องห่มร้องไห้ ฟางซูหยุนโผเข้าสู่อ้อมกอดของแม่กอดกันกลม
ผู้คนรอบข้างก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ต่างพากันเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นความคะนึงถึงหลายสิบปีของแม่ลูกตรงหน้ากลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมา
แม้แต่ฟางเต๋อหยวนก็เอียงหัวเช็ดน้ำตา ความรู้สึกเขาเหมือนกับภรรยา ตั้งแต่ที่ลูกสาวหายตัวไปก็ใช้ชีวิตอยู่กับความคิดถึง
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ 2 แม่ลูกที่ร้องไห้อยู่ถึงสงบลง หลังจากนั้นคนในครอบครัวก็ทำความรู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็นฟางซูหยุนหรือเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็มีญาติที่ไม่รู้จักอยู่มาก
หลังจากที่รู้จักกันแล้วเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็จดจำได้ ปู่ทวดชื่อว่าฟางเต๋อหยวน ย่าทวดชื่อว่ามู่หรงมู่เยวี่ย ปู่เล็กชื่อว่าฟางหมิงเห้อ ภรรยาของเขาชื่อว่าหลี่เจียฉี
ต่อมาก็เป็นลูกชายของปู่เล็ก ฟางเส้าจิ่งอายุน้อยกว่าท่านพ่อตัวเอง 1 ปี ภรรยาของเขาชื่อว่าเหลียงรุ่ยหวง ไม่ว่าจะเป็นย่าเล็กหรือน้าสาวก็หน้าตาดีๆทั้งนั้น แต่พวกนางมาจากตระกูลเล็กๆ ไม่ใช่คุณหนูจากตระกูลใหญ่
ต่อมาก็เป็นคนที่รุ่นเดียวกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยว ลูกชายของน้าชายโตกว่านาง 2 ปี ชื่อว่าฟางซีเฉิง ถือว่าพี่ชายคนโต พี่ชายคนรองชื่อว่าฟางซีเสียน โตกว่านาง 1 ปี และยังมีพี่สาวอีกคนชื่อว่าฟางถงยวี่ โตกว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ยังต้องเรียกพี่อยู่
ส่วนน้าสาวอีกคนเป็นลูกสาวของปู่เล็ก ชื่อว่าฟางชิวหมิ่น บ้านสามีของนางค่อนข้างดี ท่านย่าทวดจัดการให้แต่งกับ 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ ตระกูลมู่หรง น้าชายชื่อว่ามู่หรงซีเจ๋อ แต่น้าสาวอยู่ที่บ้านมู่หรง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจึงยังไม่ได้เจอครอบครัวของนาง
ส่วนญาติในบ้านนั้นก็ได้เจอหมดแล้ว แน่นอนว่ายังมีอีก 1 คนซึ่งก็คือปู่เล็กที่เดินไม่ได้ยังไม่ได้เจอ
ฟางซูหยุนก็เป็นห่วงน้องชายตัวเอง หลับจากที่พบปะกับญาติๆแล้วก็รีบลากเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยไปพบน้องชายตัวเอง
เมื่อได้เจอกับน้องชายที่พักอยู่ห้องด้านหลัง 2 พี่น้องฟางซูหยุนก็กอดกันร้องไห้อีกครั้ง โดยเฉพาะฟางหมิงเห้อ เมื่อเห็นพี่สาวที่จู่ๆก็โผล่ออกมาก็ลืมว่าตัวเองพิการแล้ว ลุกพรวดขึ้นจนเกือบจะล้มออกมาจากเก้าอี้นอน โชคดีที่ฟางซูหยุนรับไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องบาดเจ็บ
————————
TQF:บทที่ 622 กอดคอร้องไห้ (5)
2 สามีภรรยาฟางเต๋อหยวนที่ตามมาเห็น 2 พี่น้องร้องไห้เสียใจก็น้ำตาไหลตาม
จนกระทั่งเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเดินเข้าไปทำความรู้จักกับปู่เล็กทุกคนถึงได้สงบลง ทั้งครอบครัวนั่งล้อมอยู่ด้วยกัน ฟางซูหยุนก็เล่าเรื่องของตัวเองอีกครั้ง
ในตอนนี้ครอบครัวฟางเต๋อหยวนถึงได้รู้ว่าทำไมฟางซูหยุนถึงหายตัวไป ทำไมถึงหานางไม่พบ ไม่มีใครนึกถึงว่านางจะถูกคำสาป และทะลุมิติไปที่ผืนดินอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
นึกไปถึงว่าเวลาหลายสิบปีได้ผ่านไปแบบนี้ ทั้งครอบครัวก็ปวดใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจที่ฟางซูหยุนรักษาชีวิตไว้ได้ในตอนนั้น
แน่นอนว่าฟางซูหยุนไม่ได้เล่าเรื่องทุกข์ทนทรมานที่เจอ บอกแค่ว่าตัวเองมีลูกชาย 1 คน ตอนนี้มีหลานชาย 2 คน หลานสาว 2 คน ส่วนเรื่องของสามีตัวเองก็แค่บอกคร่าวๆเท่านั้น ไม่ได้อธิบายอะไรมาก
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนฉลาด พอจะเดาออกได้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่นางปิดบังไว้ ไม่อย่างนั้นคงต้องเอ่ยปากเล่าว่าสามีตัวเองเป็นคนยังไง ทั้งคู่มีความสุขกันมั้ย อีกอย่างกลับมาครั้งนี้คนที่เป็นลูกเขยกลับไม่ได้มาด้วย แต่กลับเป็นหลานสาวที่ตามมา ก็พอจะอธิบายอะไรได้หลายอย่างแล้ว
หลังจากที่ทุกคนคุยเรื่องสัพเพเหระกันเสร็จ ฟางซูหยุนชำเลืองมองหลานสาวตัวเองถามขึ้น “เสี่ยวเสี่ยว ขาของปู่เล็กเจ้ารักษาได้มั้ย”
“หยุนเอ๋อ เสี่ยวเสี่ยวรักษาอาการบาดเจ็บได้เหรอ” ท่านย่าทวดชะงักไป อดถามขึ้นมาไม่ได้
คนอื่นๆก็มีสีหน้าคาดหวัง พวกเขาไม่ได้ดูแคลนเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพียงเพราะนางอายุน้อย แค่จากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ก็รู้แล้วว่าความสามารถนางนี้ไม่น้อย
ฟางซูหยุนยิ้ม มอง 2 สาวตรงหน้าด้วยความเอ็นดู “ท่านแม่ ไม่ใช่แค่เสี่ยวเสี่ยวที่รักษาได้ หยูเฮงน้อยก็ทำได้”
“ข้าขอดูท่านปู่เล็กหน่อยว่าอาการเป็นยังไง”
หยูเฮงน้อยรีบพุ่งไปข้างหน้า ยื่นมือเล็กๆออกไปบีบๆที่ขาของฟางหมิงเห้อ ไม่นานนักก็รู้ถึงสาเหตุ “ขาของท่านปู่ทวดถูกตีจนแหลกละเอียด และเศษกระดูกมากมายติดอยู่กับเลือดเนื้อ อย่าว่าแต่ยืนขึ้นเลย แค่จะรักษาให้หายก็ยากมาก”
“หยูเฮงน้อยพูดถูก ขาของเห้อเอ๋อเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าหากตอนนั้นสามารถหายาเม็ดเนี่ยผันได้ละก็ บางทีขาของเห้อเอ๋ออาจจะหายก็ได้ แต่ตอนนั้นข้าหาไปทั่วก็หายาเม็ดเนี่ยผันไม่ได้ ทำให้การรักษาล่าช้า เห้อ…”
เห็นลูกชายที่เดินไม่ได้แล้วฟางเต๋อหยวนก็มีสีหน้าเจ็บปวด ไม่มีพ่อคนไหนเห็นลูกชายที่เก่งกาจของตัวเองกลายเป็นแบบนี้จะไม่เสียใจหรอก
หยูเฮงน้อยกลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านปู่ทวด ท่านวางใจเถอะ พวกเราจะคืนท่านปู่เล็กที่แข็งแรงให้ท่านได้อย่างแน่นอน”
“หาาาา”
“จริงเหรอ เจ้าหนู เจ้าช่วยเห้อเอ๋อได้จริงเหรอ”
“เจ้าหนูน้อย เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บของสามีข้าได้จริงๆเหรอ”
“น้องสาว อาการของท่านปู่รักษาได้จริงๆเหรอ”
ทุกคนตื่นเต้นจนลุกฮือขึ้น มองหยูเฮงน้อยด้วยความคาดหวัง อาการบาดเจ็บของฟางหมิงเห้อเป็นเหมือนหนามที่ทิ่มแทงใจทุกคน ทุกคนอยากให้เขาหายดี อย่างไรซะเขาเพิ่งอายุ 50 กว่า ในโลกของผู้ฝึกฝนวิทยายุทธเขายังถือว่าหนุ่มอยู่
“ทุกคนวางใจได้ อาการบาดเจ็บของท่านปู่เล็กรักษาหายได้แน่” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยเรียบๆ หันไปมองคนที่นอนอยู่แล้วพูดต่อ “บนตัวท่านปู่เล็กไม่ได้มีแค่อาการบาดเจ็บเท่านั้น ยังถูกคำสาปอีกด้วย ถ้าหากไม่คลายคำสาปละก็ อาการบาดเจ็บของท่านปู่เล็กก็รักษาไม่หาย”
“เสี่ยวเสี่ยวพูดถูก เห้อเอ๋อถูกคำสาปอย่างไม่รู้สาเหตุ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกตีจนพิการในการประลอง”
พูดมาถึงตรงนี้ในตาของฟางเต๋อหยวนก็มีแววแค้น เขาเดาได้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า ความเป็นครอบครัวที่ว่าก็ไม่มีค่าอะไรเมื่อเทียบกับผลประโยชน์
ตาของฟางซูหยุนก็เต็มไปด้วยความแค้น กัดฟันกรอด “พวกเรา 2 พี่น้องถูกเขาลอบทำร้ายหมด ครั้งนี้ต้องชำระแค้นด้วยเลือด”
คนอื่นๆพยักหน้า ในช่วงหลายสิบปีนี้พวกเขาถูกข่มเหง ใช้ชีวิตเยี่ยงคนรับใช้ ความแค้นนี้ได้ฝังเข้ากระดูกไปตั้งเนิ่นนานแล้ว
“ใช่ พวกเราจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้เด็ดขาด” ฟางซีเสียนก็มีสีหน้าเคียดแค้น
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมีความคิดในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป คิดไปคิดมาก็พูดขึ้น “เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ข้าจะกับหยูเฮงน้อยจะรักษาอาการบาดเจ็บของท่านปู่เล็กให้หายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“รักษาตอนนี้เลยเหรอ?” ฟางเต๋อหยวนชะงักไป “เตรียมอะไรหน่อยมั้ย แล้วค่อยเริ่มพรุ่งนี้”
“ท่านปู่ทวด ไม่ต้องเตรียมอะไรหรอก พวกเราเริ่มกันตอนนี้เลย ทุกคนออกไปรอข้างนอกก่อน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหัว
หยูเฮงน้อยกล่าวขึ้นบ้าง “ใช่ ทุกคนออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ ข้ากับคุณหนูจะรักษาท่านปู่เล็กให้หายโดยเร็วที่สุด”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเราออกไปรอข้างนอกกันเถอะ ที่นี่ให้เป็นหน้าที่เสี่ยวเสี่ยว” ฟางซูหยุนรู้ฝีมือของหลานสาวดี และเชื่อเต็มร้อยว่านางจะรักษาทุกบาดแผลของน้องชายให้หายได้
พวกฟางเต๋อหยวนแม้แต่จะคลางแคลงใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เลือกที่จะเชื่อคนกันเองและพาทุกคนออกไป
เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองท่านปู่เล็กที่ดูแล้วอ่อนกว่าย่าตัวเองอีก 10-20 ปีแล้วอมยิ้ม พลางถามขึ้น “ท่านปู่เล็ก ท่านเชื่อข้ากับหยูเฮงน้อยมั้ย”
“เชื่อสิ เชื่ออยู่แล้ว เจ้ากับหยูเฮงน้อยเป็นเด็กที่ไม่ธรรมดา ข้าเห็นความหวังบนตัวพวกเจ้า” ฟางหมิงเห้อยิ้มบางๆ
“หา จริงหรือนี่”
หยูเฮงน้อยเบิกตากว้าง มองเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านปู่เล็ก ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้ากับคุณหนูไม่ธรรมดา”
“พรืดดด”
TQF:บทที่ 623 กอดคอร้องไห้ (6)
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหลุดขำออกมากับท่าทางจริงจังของนาง ยื่นมือไปขยี้หัวนางเบาๆ “ท่านปู่เล็กพูดเล่นกับเจ้า เจ้าก็แค่เด็กผู้หญิงคนนึงเท่านั้น มีตรงไหนที่พิเศษกัน”
“คุณหนู….” หยูเฮงน้อยบู้ปากพลางร้องอย่างไม่พอใจ นางรู้ว่าพูดเรื่องที่ตัวเองเป็นภูติไม่ได้ อย่างไรซะนี่ก็เป็นความลับ จะบอกคนอื่นไม่ได้
“เอาล่ะ เลิกเล่นได้แล้ว”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวปลอบนางพลางเอียงตามองคนตรงหน้า “ท่านปู่เล็ก เสี่ยวเสี่ยวจะทำให้ท่านหลับไปก่อน รอจนท่านตื่นก็น่าจะใกล้เดินได้แล้ว”
“ได้ เสี่ยวเสี่ยว เจ้าลงมือเลย” ฟางหมิงเห้อมองเด็กสาว 2 คนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม นึกไปถึงตอนเด็กๆที่ตัวเองวิ่งเล่นกับพี่สาว อารมณ์ดีขึ้นมาเยอะ
หยูเฮงน้อยตวัดแขน ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของฟางหมิงเห้อหลับใหลไปทันที
“คุณหนู เราเริ่มกันเถอะ ท่านไปผสมยา ข้าช่วยให้ขาของท่านปู่เล็กสมาน”
หยูเฮงน้อยเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากท่าทางซุกซนแปรเปลี่ยนเป็นหมอตัวเล็กๆที่จริงจังละเข้มงวด
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า เห็นว่านางเสกใบไม้ออกมา 2 ใบสีสันเขียวขจีที่กลายเป็นมีดเล่มคมในมือหยูเฮงน้อย ตัดชุดช่วงเข่าของฟางหมิงเห้อให้ขาด จนขาทั้งคู่โผล่ออกมา
ใบไม้กรีดกล้ามเนื้อออกจากกันเบาๆ และหยิบเอาเศษกระดูกที่ติดอยู่ในเนื้อออกมา โชคดีที่ฟางหมิงเห้อสลบไปแล้ว ไม่อย่างนั้นความเจ็บปวดระดับผ่าเนื้อกรีดกระดูกแบบนี้คงยากจะรับไหว
หยูเฮงน้อยเริ่มง่วนอยู่กับการลงมือ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกลับไปในมิติ เตรียมยาเม็ดยาผงยาน้ำต่างๆที่ต้องใช้เอาไว้
2 คนในบ้านยุ่งวุ่นวาย คนข้างนอกรออยู่ในห้องรับแขก ทุกคนต่างเป็นห่วงอยู่ในใจ แต่ไม่มีใครเอ่ยคำใดๆ ทั้งห้องรับแขกเงียบฉี่
คนทั้งครอบครัวรอในห้องรับแขก สวนด้านนอกก็มีคนเป็นกองรออยู่เช่นเดียวกัน พวกเขารออยู่ตั้งนานก็ยังไม่เห็นใครออกมา ตาแก่ทั้งหลายเริ่มอดรนทนไม่ไหว ส่งเสียงผ่านจิตให้กับพ่อบ้านอาเสียงที่เฝ้าอยู่ในสวน
เมื่อได้รับเสียงผ่านจิตจากเหล่าผู้อาวุโส อาเสียงไม่กล้าไม่แจ้ง เขาได้แต่เข้ามาบอกนายท่านของตัวเองว่าเหล่าผู้อาวุโสด้านนอกต้องการพบเขา
“ไม่พบ พบอะไรล่ะพวกเราไม่ว่าง” ในใจของฟางซูหยุนยังคงโกรธเคืองอยู่มาก ปฏิเสธทันที
ฟางเต๋อหยวนกลับขมวดคิ้ว มองลูกสาวที่มีสีหน้าโมโหกับสีหน้าแค้นใจของเด็กๆในบ้านก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “หยุนเอ๋อ พวกเราเป็นคนของตระกูลฟาง นี่เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะเป็นอย่างไร พวกเราก็จะเมินแบบนี้ไม่ได้ คนอื่นรู้เข้าจะหัวเราะเยาะเอา”
“พวกเขายังไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเลย พวกเราจะกลัวไปทำไม” ฟางซูหยุนยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม
มู่หรงมู่เยวี่ยมองสามีตัวเอง และมองลูกสาวกับเด็กคนอื่นๆในบ้าน พูดขึ้นอย่างทำอะไรไม่ได้ “หยุนเอ๋อ พวกเราจะทำให้พ่อเจ้าลำบากใจไม่ได้ ให้พวกผู้อาวุโสเข้ามาเถอะ”
“……” ฟางซูหยุนเม้มปากไม่พูดอะไรอีก
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็กในบ้าน เรื่องในบ้านต้องให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นผู้ตัดสิน ต่อให้นางเป็นย่าคนแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ก็ยังเป็นเด็กอยู่
ฟางเต๋อหยวนส่งสายตาให้อาเสียง ให้เขาไปเชิญคนเข้ามา
อาเสียงที่เข้าใจรีบออกไปทันที ผ่านไปไม่นานเขาก็รีบกลับมาพลางทูนด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “นายท่าน เหล่าสัตว์อมตะของคุณหนูเล็กเฝ้าอยู่ที่สวนด้านนอก ไม่ยอมให้เหล่าผู้อาวุโสเข้ามา ข้าน้อยก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี”
“พรืดดด”
พี่น้องาฟงซีเฉิงหลุดขำ นึกไปถึงเหล่าผู้อาวุโสที่วางมาดสูงส่งอยู่เสมอกลับทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์อมตะ แค่คิดก็ตลกแล้ว
——————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น