ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 617-623

ตอนที่ 617 ถูกทหารจากทะเลล้อม

 

ในตอนที่หลี่ว์ซู่กำลังคำนวณเม็ดเงินจากการมาโบราณสถานครั้งนี้ ทันใดนั้นเฉินไป่หลี่ก็ร่อนลงสู้พื้นพร้อมกับเฉิงชิวเฉี่ยวและกองกำลังเสริมของเขา 


 


 


“ปู่ ทำไมถึงมานี่ได้ล่ะ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัยและค่อยๆ เอาเครื่องคิดเลขในมือเก็บเข้าไปในตราแผ่นดิน 


 


 


เมื่อเฉินไป่หลี่เห็นเครื่องคิดเลขนั้นเขาก็เลิกคิ้ว เอาจริงๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงเก็บของแบบนั้นไว้ในที่เก็บของล่องหน… 


 


 


“กองกำลังเสริมของเฉิงชิวเฉี่ยวจะมาประจำตามแนวป้องกันแล้ว” เฉินไป่หลี่ตอบ “ให้พวกเขาไปประจำแทน” 


 


 


“แล้วพวกเราล่ะ” หลี่ว์ซู่อึ้ง 


 


 


“พวกนายทุกคนก็ไปรับช่วงต่อจากกองกำลังเสริม ถ้ามีทหารจากทะเลมารวมตัวกันเยอะค่อยไปช่วยที่นั่น” เฉินไป่หลี่ตอบ “เดี๋ยวจะบอกทิศทางที่ต้องไปจากข้างบนฟ้าให้เอง” 


 


 


ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไป คนที่ถูกรับเลือกให้เป็นกองกำลังเสริมนั้นเป็นพวกระดับสูงทั้งนั้น คนอื่นๆ อาจหยุดพักเป็นระยะๆ ได้ แต่กองกำลังเสริมทำแบบนั้นไม่ได้ แถมพวกเขายังต้องไปอยู่ที่ที่อันตรายที่สุดตามแนวป้องกันอีก 


 


 


เกาะนี้ใหญ่มาก ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าทหารจากทะเลนั้นจะเข้ามาโจมตีจากตรงไหน เพราะฉะนั้นกองกำลังเสริมจึงเป็นกองที่สำคัญมากๆ 


 


 


ตอนแรกทุกคนก็ชื่นชมเฉิงชิวเฉี่ยวและทีมของเขา เพราะคนที่ได้เป็นกองกำลังเสริมหมายความว่าพวกเขานั้นเก่งกาจจริงๆ แต่กองพันที่ 42 ที่ไม่ได้เก่งอะไรแบบนั้น ทว่ากลับถูกขอให้สลับหน้าที่กับทีมของเฉิงชิวเฉี่ยว 


 


 


เฉิงชิวเฉี่ยวมองไปทางหลี่ว์ซู่ด้วยความดีใจ “พี่หลี่ว์ซู่ ฝากจัดการด้วยนะ!” 


 


 


เฉาชิงฉือก้าวออกมาจากกลุ่มคนแล้วพูดกับหลี่ว์ซู่อย่างใจเย็น “เราหวังพึ่งนายนะ” 


 


 


เฉาชิงฉือนั้นปกติเป็นคนเย็นชาและไม่ชอบพูด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคุ้นเคยกับหลี่ว์ซู่เป็นอย่างดี 


 


 


หลี่ว์ซู่ทำอะไรมากไม่ได้ “งั้นฉันก็ฝากพวกนายจัดการแนวป้องกันให้ดีด้วยนะ” 


 


 


เขารู้ว่าเฉินไป่หลี่นั้นเห็นความแข็งแกร่งของเขาแล้ว และเห็นความสามารถของกองทัพกว่าสามร้อยคนในชุดเกราะทองแดงแล้วด้วย ความแข็งแกร่งขณะที่สวมเกราะนี้ หากใช้ให้ปกป้องแค่พื้นที่เพียงที่เดียวก็เสียของแย่ 


 


 


เมื่อก่อนนั้นทหารที่ใส่ชุดเกราะหนักจะขยับตัวไม่ค่อยสะดวก ทหารที่ใส่เกราะที่อยู่ประจำป้อมปราการจะเคลื่อนไหวเร็วๆ ไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับต่างออกไปแล้ว ผู้คนที่อยู่ข้างหลังเขานั้นไม่เป็นตัวถ่วงเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใส่เกราะที่หนักกว่าร้อยกิโลกรัมอยู่ก็ตามที 


 


 


หลี่ว์ซู่ยิ้มออกมาแล้วหันไปเอ่ยกับมั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ “ไปกันเลยไหม” 


 


 


มั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ฮึกเหิมกันขึ้นมา พวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงกันทั้งนั้น ทุกคนอยากจะได้ช่วยมากกว่านี้ในสถานการณ์คับขันเพื่อจะได้รับเกียรติยศ 


 


 


นี่อย่างกับตอนเลือกตัวละครในเกมเลย คนหนุ่มๆ หลายๆ คนก็อยากจะแบกทีมในเกม แต่กลับไม่เหมาะกับความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาอยากจะแสดงความสามารถมากกว่านี้ อยากจะเปลี่ยนกระแสน้ำในยุคของตัวเองและช่วยปกป้องโลก… 


 


 


ทันใดนั้นเองเฉินไป่หลี่ก็ถลาตัวขึ้นฟ้า “เตรียมตัวต่อสู้ กองทัพจากทะเลกำลังมากันแล้ว!” 


 


 


ทหารจากทะเลพวกนี้ราวกับไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยกันเลย พวกมันโถมเข้ามาโจมตีกันอีกระลอกแล้ว 


 


 


หลี่ว์ซู่นั้นสงสัยเป็นอย่างมาก ทำไมทหารจากทะเลพวกนี้ถึงมีเยอะขนาดนี้นะ ทำไมถึงส่งกันออกมาต่อสู้ได้เรื่อยๆ เรื่องนี้จะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย 


 


 


เขาตรวจดูระบบ ดูเหมือนจะรายการของคนแซ่เค่อปรากฏขึ้นมาจำนวนหนึ่งที่ให้แต้มอารมณ์กับเขา คงจะดีถ้าเขาเจอพวกคนที่ให้แต้มอารมณ์กับเขาได้ 


 


 


แล้วเฉินไป่หลี่ก็ชี้ให้ไปทางตะวันออกเฉียงใต้! 


 


 


กองพัน 42 เดินหน้าตามหลี่ว์ซู่ไป ทั้งกองพันนั้นมีคนมากกว่าสามร้อยคน พวกเขากำลังเคลื่อนพลกันบนพื้นเกาะที่ไม่สม่ำเสมอกัน ดูราวกับว่าคลื่นดินสีฟ้านั้นกำลังจะถล่มก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่ๆ เลย 


 


 


มีบางคนที่ยังไม่เคยเห็นระลอกสีทองแดงนี้มาก่อน เมื่อนักเรียนห้องเต้าหยวนได้เห็นกองทัพเกราะทองแดงมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาก็เลยตะโกนกันอย่างหมดหวัง 


 


 


“พี่น้องทั้งหลาย เราถูกทหารจากทะเลล้อมแล้ว…” 


 


 


“แย่แน่! เราตายแน่ๆ!” 


 


 


“แนวป้องกันข้างหลังเราโดยทำลายแล้วเหรอ” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากจางเชียน +999..] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


ตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกาย เขาได้แต้มอารมณ์จากการทำให้คนกลัวได้สินะ แหม กลยุทธ์นี้ไม่เลวจริงๆ! 


 


 


เขาไม่ได้พูดตะโกนเสียงดัง “สหายร่วมรบทั้งหลาย!” และเขาก็นำทีมไปต่อสู้กับทหารจากทะเล เพราะเขาอยากได้แต้มอารมณ์เพิ่มอีก หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาจะได้แต้มอารมณ์มาเยอะขนาดที่ว่าเอาไปจุดประกายดาวดวงที่เจ็ดได้เลย! 


 


 


กลุ่มนักเรียนจากห้องเต้าหยวนที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้แต่มองการต่อสู้ตรงหน้าพวกเขาอย่างอึ้งๆ แล้วอยู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดขีด “ทหารจากทะเลหักหลังกันเองแล้ว มันทะเลาะกันเหรอ อย่างกับองค์รัชทายาทกับองค์ชายอีกคนต่อสู้แย่งบัลลังก์กันเลยแน่ะ กองทัพขององค์รัชทายาทเลยส่งคนไปเก็บคนขององค์ชายอีกคน…” 


 


 


พวกเด็กผู้ชายทำหน้างงสุดๆ ใครทำอะไรกับใครนะ 


 


 


“เดี๋ยวก่อน เห็นนั่นกันหรือเปล่า หน้าของกองทัพนั้นไม่ได้เป็นสีฟ้านะ!” มีคนตะโกนออกมาด้วยความตกใจ 


 


 


แล้วทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็นึกได้ว่านั่นเป็นคนของกองพันที่ 42 ได้ งั้นคนพวกนี้ก็เป็นสหายร่วมรบน่ะสิ! เมื่อกี้พูดบ้าอะไรกันน่ะ! 


 


 


มั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ก็งงตามไปด้วย ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงไม่ยอมบอกว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นใครนะ พอเงียบแล้วดูใจร้ายใจดำขึ้นงั้นเหรอ 


 


 


ตอนที่เฉินจู่อานและคนอื่นๆ กำลังเร่ขายเกราะทองแดงกันอยู่นั้น พวกเขาก็เล่าให้ฟังด้วยว่าหาเกราะพวกนี้มาได้อย่างไร แต่พวกเขากลับคิดว่ามันเป็นวิธีที่ยุ่งยาก ยากพอๆ กับการเอาชนะศัตรูเลย 


 


 


ทว่าพอพวกเขาเห็นกองพันที่ 42 เคลื่อนไหวกันอย่างราบรื่นและคล่องแคล่ว พวกเขาก็ตกตะลึง มีคนจำนวนหนึ่งที่กำลังอัดทหารจากทะเล ส่วนอีกพวกหนึ่งก็รอโจมตีตอนสุดท้าย ทุกคนต่างมีหน้าที่ประจำของตัวเอง ทุกอย่างเลยออกมามีประสิทธิภาพมาก 


 


 


อย่างกับว่าพวกเขาเป็นทีมผลิตสินค้าและพวกทหารจากทะเลเป็นสินค้านั่นล่ะ เมื่อกองทัพทะเลพุ่งเข้าไปหากองพันที่ 42 ไม่นานก็จะโดนถอดอะไรออกไปสักชิ้นสองชิ้น 


 


 


หลังจากที่หลี่ว์ซู่ได้กำจัดทหารจากทะเลกันไปแล้ว เขาก็ไม่ได้นำทีมไปที่อื่นๆ อีก จริงๆ แล้วจุดที่อันตรายนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เฉินไป่หลี่เลยส่งสัญญาณให้พวกเขาไปทางทิศอื่นต่อ ขนาดกระบี่บินของเฉินไป่หลี่เองก็ยังไม่สามารถโจมตีไปทั่วทุกบริเวณที่ต้องการได้ 


 


 


พอระลอกทองแดงพวกนั้นจากไป ทหารจากทะเลกลุ่มนั้นก็ถูกกำจัดไปไม่เหลือ และพวกเขาก็ทิ้งเกราะที่แงะออกมาได้ไว้บนพื้น 


 


 


ครั้งนี้หลี่ว์ซู่ไม่ได้เอาเกราะทองแดงไปและปล่อยมันทิ้งไว้ให้คนอื่นเก็บไปได้ เขาหาเงินมาได้ทั้งหมดกว่าสิบล้านหยวนในการมาโบราณสถานครั้งนี้แล้ว ถ้าได้มากกว่านี้เดี๋ยวได้มีเรื่องกับเนี่ยถิงอีก แล้วก็จะเป็นเหมือนคราวก่อนที่หลี่ว์ซู่ต้องโอนเงินห้าแสนหยวนออกไปทุกวัน เขาจะไปขอเพิ่มวงเงินโอนให้มากกว่านี้ก็ได้ แต่ถ้าโอนเงินจำนวนมากๆ ไป ทั้งบัญชีโอนและบัญชีรับอาจถูกระงับได้ ซึ่งเป็นปัญหาของการจัดการจำนวน เขาต้องคำนวณให้ดีๆ เพื่อจะไม่ต้องมีปัญหากับเนี่ยถิง 


 


 


นอกจากนี้ผู้คนตามแนวป้องกันทางตะวันออกเฉียงใต้ตกใจกันหลายครั้ง พวกเขาจะพูดกันว่า ‘ไม่นะ เราถูกล้อมแล้ว’ ต่อมาก็จะพูดว่า ‘อ้าว นี่มันสหายเราเองนี่!’ วงจรนี้เกิดขึ้นหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้ว 


 


 


หลี่ว์ซู่ก็เลยได้แต้มอารมณ์มาแบบไม่ขาดสาย เขาตรวจดูระบบหลังบ้านแล้วก็เห็นว่า เขาได้แต้มอารมณ์มาตั้งแสนแต้มเลยทีเดียว!  

 

 


ตอนที่ 618 ไพ่ตายของหลี่ว์ซู่

 

ลองจินตนาการดูว่าสถานการณ์สิ้นหวังขนาดไหนตอนที่ตัวคุณโดนทหารจากทะเลกว่าร้อยๆ คนประกบหน้าหลังอย่างกับแซนด์วิช!


 


 


ด้วยเหตุนี้หลี่ว์ซู่ก็เลยกำลังมีความสุขกับการได้แต้มอารมณ์เยอะๆ มีเด็กหนุ่มที่คิดว่าตัวเองกำลังจะตายได้สารภาพรักกับเด็กผู้หญิงว่า “ต่อให้เราไม่ได้โชคดีเกิดมาด้วยกัน แต่ฉันก็หวังว่าเราจะได้จากไปด้วยกันนะ”


 


 


แม้เด็กผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกตราตรึงใจหลังจากได้ยินที่เขาพูด แต่สุดท้ายเธอก็ปฏิเสธเขาไปในตอนท้าย


 


 


แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแบบจบสวยอยู่เหมือนกัน เฉินจู่อานได้ยินว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งสารภาพรักกับเด็กผู้ชายด้วยกัน และลงเอยกันเสียด้วย…


 


 


กระนั้นความรู้สึกทั้งดีทั้งร้ายมากมายก็ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขาหลังได้รู้ว่าศัตรูที่เข้ามานั้น แท้จริงแล้วเป็นสหายร่วมรบของพวกเขาเอง…


 


 


หลายคนสงสัยว่ากองพันที่ 42 นั้นกลายเป็นกลุ่มที่เชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร


 


 


ที่บอกว่าเชื่อถือไม่ได้ก็เพราะพวกเขาทำคนอื่นกลัวหัวหดขณะที่ยกพวกกันเข้ามาแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็เชื่อถือได้เพราะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งกันเหลือเกิน ด้วยการนำของหลี่ว์ซู่นั้น ทำให้เขาทำลายขบวนทัพของศัตรูและเหลือเพียงเกราะทองแดงกองไว้ตามหลัง แถมยังไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสเลยด้วย…


 


 


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งทีมนั้นกลายเป็นที่ชื่นชมและน่ารำคาญไปด้วยในเวลาเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากองเกราะทองแดงที่ทิ้งไว้ให้นั้นเป็นเหมือนของที่เทวดาผู้พิทักษ์วางไว้ให้ ช่วยให้พวกเขาอุ่นใจขึ้น


 


 


อย่างไรก็ตามก็มีบางคนที่ไม่สามารถตามต่อสู้ไปพร้อมกับคนอื่นๆ ได้ในระหว่างการประจันหน้าที่ดุเดือด


 


 


นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เก่งหรอก แต่เพราะเริ่มหมดแรงแล้วต่างหาก!


 


 


พวกเขาวิ่งไปมาตลอดเพื่อช่วยเหลือคนนั้นทีคนนี้ทีทุกครั้งที่มีคนต้องการ


 


 


ทหารจากทะเลตนหนึ่งเลยใช้โอกาสนั้นแทงเข้าไปที่ร่องของเกราะทองแดงบริเวณต้นขาของคนหนึ่ง หลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวทันที “คนของเราล้มลงแล้ว! ไปปกป้องเขา!”


 


 


ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการออกนอกแผน เพราะการที่ทีมนั้นลดความเร็วลงอาจทำให้ถูกศัตรูล้อมได้


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจแล้ว คนของเขาต้องปลอดภัยก่อนเป็นอันดับแรก!


 


 


กองพันที่ 42 เลยจัดขบวนแบบตั้งรับเป็นวงกลมและเอาคนเจ็บไว้ตรงกลาง มั่วเฉิงคงคำรามออกมา “อุ้มคนเจ็บไว้ แล้วฟังคำสั่งจากพี่ซู่ต่อ!”


 


 


ทันใดนั้นเอง ทหารจากทะเลก็รวมตัวกันขึ้นมาล้อมพวกเขาจากข้างนอก


 


 


มั่วเฉิงคงพึมพำเบาๆ “พระเจ้าช่วยเราด้วย ฉันยังไม่อยากมาตายที่นี่”


 


 


นั่นคงเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้มากที่สุดแล้ว สำหรับผู้บำเพ็ญเองก็ไม่สามารถทนการต่อสู้นานๆ กว่าห้าชั่วโมงติดกันได้ เฉินจู่อานพูดเยาะ “จะมาตายในมือของคนที่มาจากทะเลพวกนี้น่ะเหรอ ให้ตายเถอะ สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว พวกนี้กระจอกจะตาย ไม่มีใครจะมาตายวันนี้หรอก เชื่อฉันสิ!”


 


 


มั่วเฉิงคงชะงัก เขาไม่เข้าใจเลยว่าเฉินจู่อานมั่นใจอะไรใรตัวหลี่ว์ซู่ขนาดนั้น!


 


 


ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังกริ๊งระหว่างพื้นโลกกับสวรรค์ แล้วทันใดนั้นลำแสงอสนีบาตสีม่วงก็พุ่งออกมาจากตัวหลี่ว์ซู่ มันทะยานขึ้นไปแตกกระจายบนฟ้าราวกับพลุ ดึงความสนใจจากทุกคนท่ามกลางความมืดมิด!


 


 


กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!


 


 


ณ จุดศูนย์กลางของขบวน หลี่ว์ซู่หลับตาลง ตั้งใจจดจ่อกับการโจมตีศัตรูด้วยพลังดาบรัศมีของเขา เขาพยายามที่จะยิงมันออกไปที่กะโหลกของศัตรูที่ไร้การป้องกันใดๆ!


 


 


เล็งไปที่ตัวเดียวก็ง่ายอยู่หรอก แต่เล็งไปที่หลายๆ เป้าหมายในเวลาเดียวกันนั้นไม่ง่ายเลย หลี่ว์ซู่เองยังไม่สามารถทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบได้


 


 


พลังดาบพลาดเป้าไปโดนส่วนที่มีเกราะทองแดงป้องกันบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าดาบเปล่งแสงจะมีพลังมากขนาดนี้ เพราะมันสามารถโจมตีศัตรูได้โดยตรง และมันยังสามารถส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเกราะทองแดงได้อีกด้วย…


 


 


“ใช้ไพ่ตายแล้วสินะ” เฉินจู่อานอุทานออกมาขณะมองดาบรัศมีอสนีบาต


 


 


หลี่ว์ซู่รู้ว่าการฟื้นฟูดาบรัศมีของเขาต้องใช้เวลามากอยู่เหมือนกัน ทำให้การใช้ไพ่ตายของเขานั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ว่าคนของเขานั้นเริ่มจะถึงขีดจำกัดของพวกเขาเองแล้ว


 


 


เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเป็นคนหยุดการต่อสู้นี้ด้วยตัวเอง


 


 


ทุกสายตานั้นจับจ้องไปที่หลี่ว์ซู่ที่กำลังจดจ่ออยู่กับการควบคุมดาบเปล่งแสงอยู่ แล้วทันใดนั้นเฉินจู่อานก็ตะโกนออกสุดแรงเกิด “กล้าหาญเข้าไว้! อย่าทำให้กองพันของตัวเองเสียชื่อ! ฆ่ามันให้หมด!”


 


 


แล้วจากนั้นเฉินจู่อานก็เป็นคนแรกที่พุ่งตัวออกไป สีหน้าของเขาดุดันมาก และหลังจากนั้นกองพัน 42 ที่ติดอยู่ในดงศัตรูก็เดินหน้าออกไปและทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า!


 


 


และในตอนนั้นเองที่ผู้คนได้สัมผัสพลังอันยิ่งใหญ่ของหลี่ว์ซู่


 


 


ทหารจากทะเลล่าถอยกันกลับไปในทะเล พวกที่โดนฟ้าผ่ากะโหลกไปแล้วก็สลายกลายไปเป็นฝุ่นไป ส่วนพวกที่ถูกฟ้าผ่าเฉยๆ นั้นเอาไว้ค่อยจัดการทีหลัง


 


 


หลังการต่อสู้อันดุเดือดจบลง กองพันที่ 42 ก็ล้มลงหลังแบกน้ำหนักเกราะหนักกว่า 50 กิโลกรัมมาตลอด พวกเขาทรุดตัวลงกันบนพื้น ทำให้กองพันอื่นๆ ที่เห็นนั้นมองพวกเขาอย่างเกรงๆ


 


 


“ใครก็ได้ขอมือมาฉุดฉันขึ้นไปหน่อยได้ไหม ยืนขึ้นเองไม่ได้เลย เหนื่อยเป็นบ้า” คนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา


 


 


“ช่วยฉันด้วยสิ ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ตายหรอกน่า มีพี่ซู่อยู่นี่”


 


 


“ฮ่าๆ ถ้ามีทหารอีกระลอกมาอีก เราได้ตายกันแน่ๆ”


 


 


“อย่าห่วงเลยเรามีพี่ซู่!”


 


 


เฉินจู่อานที่นอนอยู่บนพื้นถามขึ้นมา เขาแทบจะขยับหัวไม่ได้ “เซวี่ยเหมย เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”


 


 


แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เขาร้องเรียกอีกรอบ “เซวี่ยเหมย อยู่ไหนน่ะ! พี่ซู่ ช่วยผมหาเซวี่ยเหมยหน่อย!”


 


 


ในขณะที่ตะโกนอยู่นั้น เฉินจู่อานก็รวบรวมพลังงานเฮือกสุดท้ายเพื่อลุกขึ้นมา เกราะของเขากระทบกันเกิดเป็นเสียงกร๊องแกร๊งขณะเคลื่อนไหวตัว


 


 


ทันใดนั้นเองก็มีมือเล็กๆ คว้าจับมือเขาไว้ “ฉันไม่เป็นไร ฉันอยู่ข้างๆ นายแล้วนี่ไง ไปพักเถอะ ฉันก็ต้องไปพักด้วยเหมือนกัน เธอเปลี่ยนมุมมองของฉันที่มีต่อเธอมากนะจู่อาน”


 


 


อยู่ๆ ก็มีใครตะโกนขึ้นมาอย่างหัวเสีย “ได้ยินเปล่า อวดความรักกันไม่อายฟ้าดินไม่อายคนเลย!”


 


 


แต่พอพูดจบก็มีเสียงหัวเราะตามมา ทุกคนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ชนะการต่อสู้ละนะ


 


 


นักเรียนห้องเต้าหยวนคนอื่นๆ ที่รีบวิ่งมากลับดูเหตุการณ์กันอย่างอึ้งๆ หลี่ว์ซู่ยังคงยืนอยู่ในสนามรบขณะที่คนอื่นๆ ล้มลงไม่เป็นท่า มีคนบอกเอาไว้ว่าทีมนั้นๆ เป็นอย่างไร ให้ดูที่หัวหน้า และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทีมเด็กผู้หญิงของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นจึงแข็งแกร่งมาก


 


 


แล้วทีมนี้ล่ะ เป็นทีมแบบไหนกัน


 


 


คนอื่นๆ รีบเข้าไปช่วยมั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืน พวกเขาพูดออกมาด้วยความจริงใจว่า “เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมไปเลย” 

 

 


ตอนที่ 619 สถานการณ์ใหม่

 

หลังจากการต่อสู้จบไป กองพัน 42 ก็ได้รับฉายาใหม่มา ทั้งระลอกคลื่นทองแดง ทั้งคลื่นเศษซากสีทองแดง 


 


 


มั่วเฉิงคงไม่ได้ว่าอะไรถ้าจะมีฉายา ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นระลอกคลื่นหรือเป็นเศษซากอะไรก็ตามแต่ ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือทีมของเขาได้อยู่เหนือกองพันอื่นๆ ที่มีจำนวนเท่าๆ กันแล้ว ชื่อของพวกเขากลายเป็นที่จดจำไปทั่วเกาะ นี่ทำให้พวกมีความรู้สึกมีเกียรติขึ้นมา 


 


 


ในตอนที่คนอื่นๆ เข้ามาช่วยกันฉุดเขาขึ้นจากพื้นและขอบคุณพวกเขาอย่างจริงจังแล้ว สมาชิกในกองพัน 42 ก็ไม่ได้แสดงท่าทีทำท่าซาบซึ้งอะไร อย่างมั่วเฉิงคงเองที่ได้หวังซูฉุดให้ลุกขึ้นยืน เขาก็จ้องตากลับอย่างสงบ 


 


 


“ปล่อยฉันไว้เถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก แค่เจ็บตัวตรงนั้นแล้วก็ตรงนี้นิดหน่อย ปล่อยฉันนอนแบบนี้แหละ” 


 


 


หวังซูพูดไม่ออกเลย 


 


 


พวกเขาเป็นเพื่อนกันมากว่าเจ็ดปี เพราะฉะนั้นหวังซูเลยนั่งเป็นเพื่อนข้างๆ มั่วเฉิงคง 


 


 


ในขณะเดียวกัน เฉินจู่อานที่กำลังกุมมือแน่นอยู่กับตู้เซวี่ยเหมยก็ปฏิเสธคนอื่นที่จะเข้ามาช่วยดึงขึ้นทั้งหมด แถมยังปฏิเสธคนที่จะเข้ามาช่วยตู้เซวี่ยเหมยให้ลุกขึ้นยืนอีกด้วย ตู้เซวี่ยเหมยนั้นนอนอยู่เคียงข้างเขาอย่างสงบเงียบระหว่างที่เวลาผ่านไป 


 


 


เมื่อคนที่เหลือมีแรงลุกขึ้นมาแล้ว มั่วเฉิงคงก็เอ่ยถาม “จู่อาน เอาจริงๆ แล้วความเร็วในการฟื้นฟูร่างกายของนายน่าจะเร็วกว่าพวกเราทั้งหมดเลยนะ ทำไมยังมานอนแบบนี้อยู่อีก” 


 


 


ได้ยินแบบนั้นตู้เซวี่ยเหมยก็รีบชักมือกลับ เฉินจู่อานยืนขึ้นและจ้องมั่วเฉิงคง “ตั้งใจพูดใช่ไหม” 


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะ “ลุกขึ้นมาได้แล้วทุกคน ได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว” 


 


 


แล้วทุกคนก็มาสังเกตเห็นว่าอาหารที่ได้รับวันนั้นเยอะกว่าปกติมาก ใครคนหนึ่งสงสัยจนถามออกไป “ทำไมให้ข้าวเราเยอะจังครับวันนี้” 


 


 


นักเรียนห้องเต้าหยวนที่กำลังแจกจ่ายอาหารก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ให้เยอะก็เพราะว่าพวกนายช่วยไว้เยอะน่ะสิ ราชันฟ้าเฉินสั่งเอาไว้ เพราะงั้นก็กินให้อร่อยนะ!” 


 


 


พอได้รับการปฏิบัติพิเศษแบบนี้ก็เลยทำให้ทุกคนมีความสุข เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าตัวเองได้รับความเคารพก็เลยดีใจกันเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าตัวเองสมควรได้รับมันจริงๆ 


 


 


แล้วทันใดนั้นเฉินจู่อานก็เห็นว่าหลี่ว์ซู่เงียบไป เขาเลยเอ่ยทัก “พี่คิดอะไรอยู่ พี่ซู่” 


 


 


หลี่ว์ซู่หันมามองเขาก่อนตอบ “เราจะสู้ต่อไปแบบนี้ไม่ได้ ฉันว่ากองทัพจากทะเลนั่นมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ยังไงเราก็ต้องเอาดวงตาแห่งค่ายกลมาให้ได้ จะได้ออกจากโบราณสถานนี่ได้สักที” 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้บอกเรื่องข้อมูลที่เขาได้มาจากบันทึกแต้มอารมณ์ แต่เขารู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง การที่พวกทหารจากทะเลนั้นสลายกลายเป็นฝุ่นแบบนั้น อีกทั้งคนจากทะเลแซ่เค่อนั่นก็ไม่สนใจชีวิตของทหารตัวเองเท่าไหร่เลย 


 


 


การต่อสู้แต่ละระลอกนั้นทำให้ทหารจากทะเลนั้นตายไปเป็นหมื่นชีวิต แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะหยุดลงเลย 


 


 


หรือใต้น้ำนั่นจะมีทหารรอต่อสู้เยอะมากจริงๆ 


 


 


ความคิดที่จะลงไปสำรวจใต้น้ำของหลี่ว์ซู่นั้นแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อเขาเองก็มีพลังสายธาตุน้ำ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะลงไปสำรวจใต้น้ำนั่น 


 


 


“พี่คิดว่าเจ้าพวกทหารใต้น้ำจะยอมให้ดวงตาแห่งค่ายกลกับพวกเราไหม ถ้าเราทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง เช่นเต้นขอฝนแบบที่ทำกันสมัยก่อน” เฉินจู่อานเริ่มจินตนาการไปไกล 


 


 


หลี่ว์ซู่ตอบกลับอย่างรำคาญ “อย่างมงายนักเลยน่า เมื่อก่อนคนต้องถวายหัวหมูสามหัวก่อนเต้นขอฝนนะ นายจะเสียสละหัวตัวเองให้มังกรน้ำ [1] ไหมล่ะ” 


 


 


เอ๊ะ แต่แล้วจู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามังกรน้ำที่ว่านั่นก็อาศัยอยู่ในกระบี่เฉิงอิ่งของเขานี่ ลองถามดูดีไหมว่าพิธีกรรมเต้นขอฝนใช้ได้ผลจริงรึเปล่า มีหวังเจ้ามังกรนั่นได้ควันออกหูกับคำถามโง่ๆ แบบนี้แหง! 


 


 


มั่วเฉิงคงถามขึ้น “จู่อาน นายกับตู้เซวี่ยเหมยคบกันยัง” 


 


 


เฉินจู่อานตอบกลับอย่างเขินอาย “คิดว่านะ” 


 


 


มั่วเฉิงคงพูดขึ้นมา “ครั้งก่อนฉันชอบผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าบอก ตอนหลังฉันเลยเข้าหาเธอก่อนแต่ไม่สำเร็จซะงั้น เธอเป็นคนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นนักเรียนห้องเต้าหยวนด้วย” 


 


 


“เห็นมั้ย นี่ได้เรียนรู้มาจากฉันน่ะสิ” เฉินจู่อานอวด “มัวรีรออยู่ไม่ได้หรอก ไหนบอกมาสิว่าเข้าหาเธอยังไง” 


 


 


“ก็ชวนไปดูหนัง” มั่วเฉิงคงตอบ “แต่เธออยากไปเจอพ่อแม่ฉันแทน” 


 


 


เฉินจู่อานชะงัก “ไปเจอพ่อแม่เลยเนี่ยนะ เร็วไปไหม! เธอพูดว่าไงกันแน่” 


 


 


มั่วเฉิงคงจะตอบแต่เขาทำหน้าหม่นหมองไปหมด 


 


 


“เธอบอกว่า ‘ไปดูแม่เธอสิ’ ” 


 


 


เฉินจู่อานอึ้งจนพูดไม่ออก 


 


 


“ฮ่าๆ เป็นผู้หญิงที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวจริงๆ” หลี่ว์ซู่ออกความเห็น 


 


 


ในขณะนั้น ทุกคนต่างก็ใช้โอกาสนี้เพื่อนอนพักผ่อนเอาแรงเพราะไม่มีใครรู้ว่าการต่อสู้ระลอกหน้าจะมาเมื่อไหร่ ในความคิดของพวกเขา ทหารจากทะเลพวกนั้นดูจ้องจะบุกเข้ามาที่ชายหาดตลอดเวลา 


 


 


หลังจากการปะทะกันรอบนั้น หลายคนต่างพากันสวมใส่เกราะทองแดงแต่ผลออกมาอย่างที่หลี่ว์ซู่คิดเลย มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะโชคดีมีเกราะครบชุด 


 


 


ไห่กงจื่อได้อกแตกตายแน่ เพราะเขาเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนี่นะ หลี่ว์ซู่คิด… เขามองไปรอบๆ แล้วก็เห็นว่ามีหลายคนที่เหน็ดเหนื่อย กระนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น ต้องชมเนี่ยถิงเลยว่าการส่งพวกนักเรียนมาที่โบราณสถานนั้นประสบความสำเร็จพอตัว 


 


 


พวกเขาเป็นนักสู้ตัวจริงแล้ว แต่ก็ยังต้องฝึกซ้อมกันเพิ่มอยู่ละนะ 


 


 


ห้องเต้าหยวนเพิ่งก่อตั้งมาได้แค่ปีเดียวเท่านั้น แต่กลับอบรมฝึกฝน ผลิตกลุ่มคนที่มีความสามารถขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ 


 


 


การฝึกฝนทหารนั้นก็มีราคาที่ต้องจ่าย ก่อนหน้านี้ก็มีคนเสียชีวิตไปเกือบพันคนเพราะทหารจากทะเลนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือได้ง่ายๆ เลย พวกเขาเสียกำลังคนหนุ่มสาวไปมาก 


 


 


ในขณะที่กำลังพักอยู่นั้น บางคนก็เริ่มคร่ำครวญกับเพื่อนที่เสียไป จะเศร้าก็เศร้าได้ แต่จากนี้ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป 


 


 


ขอให้คนที่จากไปหลับให้สบาย ได้ไปอยู่ในที่ดีๆ ส่วนคนที่ยังอยู่ก็ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ 


 


 


ตอนนี้เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการจบการต่อสู้นี้ให้ได้เร็วที่สุด 


 


 


เฉินไป่หลี่ค่อยๆ ร่อนลงมาจากฟ้าแล้วลงมาหยุดข้างๆ หลี่ว์ซู่ เขาเอ่ยถามออกไป “นายคิดยังไงเรื่องดวงตาแห่งค่ายกล” 


 


 


“ตอนนี้ไม่รู้เลยครับ” 


 


 


“อืม ถ้าคิดอะไรได้ก็มาบอกด้วยแล้วกัน” เฉินไป่หลี่เดินออกไปหลังพูดจบ ทุกคนประหลาดใจมาก เพราะเฉินไป่หลี่ถึงกับมาถามความเห็นจากหลี่ว์ซู่ด้วยตัวเองเลย! 


 


 


แต่เฉินจู่อานนั้นเห็นจนชินแล้ว… 


 


 


ทันใดนั้นก็มีระลอกการโจมตีเข้ามาอีก แต่ครั้งนี้นักเรียนห้องเต้าหยวนที่อยู่ทั่วทั้งเกาะนั้นแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง 


 


 


“ให้ตายเถอะ หรือว่านี่เป็นเพราะพวกเศษซากทองแดงนั่น…” 


 


 


“อะไรน่ะ กองทัพใหม่เหรอ!” 


 


 


ทหารที่บุกเข้ามาจากทะเลเกือบหนึ่งในสามนั้นเป็นคนเปลือยกายครึ่งตัวโดยไม่มีเกราะทองแดงหรือถือหอกสามง่ามมาเลย… 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] เทพเจ้าแห่งสายฝนในตำนานของจีน  

 

 


ตอนที่ 620 ทหารในชุดเกราะสีดำ

 

หลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเกาะกำลังมองไปทางกลุ่มทหารจากทะเลที่ไม่ใส่เสื้อพวกนั้น เขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “ทหารจากทะเลพวกนี้จนกันขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ใช่แล้วมั้ง!” 


 


 


“ไม่เข้าใจเหรอว่าทำไมพวกเขาถึงจน…ขนาดนี้ได้” เฉินจู่อานเหน็บกลับ แต่ก็ไม่กล้าจะหืออะไรมาก… 


 


 


มั่วเฉิงคงถอนใจด้วยอารมณ์เต็มตื้น “จู่อาน ฉันสัมผัสได้ถึงความอยากเอาชีวิตรอดของนาย มา ไหนลองบอกมาสิว่ารู้สึกยังไง” 


 


 


“ไปไกลๆ เลย!” เฉินจู่อานตอบกลับอย่างหัวเสีย เขาเคยบอกไปแล้วว่าไม่เคยมั่นใจอะไรเลยถ้าต้องพูดเรื่องพวกนี้กับหลี่ว์ซู่… 


 


 


สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดของพวกทหารจากทะเลพวกนี้ก็คือเกราะทองแดง พวกนักเรียนห้องเต้าหยวนต้องใช้พลังอย่างมากในการฆ่าทหารพวกนี้ พอตอนนี้ทหารจากทะเลเปลือยเปล่าครึ่งท่อน พวกนักเรียนก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป… 


 


 


ในตอนที่ทหารจากทะเลสวมเกราะแล้วบุกเข้าโจมตีนั้นดูน่าสะพรึงกลัวมาก รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวพวกมันทำให้กลุ่มนักเรียนไม่กล้าเข้าไปปะทะด้วย 


 


 


แต่ตอนนี้… นักเรียนห้องเต้าหยวนกลับหวั่นใจกลัวว่าพวกทะเลเปลือยครึ่งท่อนพวกนี้จะเริ่มตั้งวงก๊งเบียร์กันแทน… 


 


 


สู้กันในสภาพแบบนี้จะดีเหรอ 


 


 


หลี่ว์ซู่ยังไม่ได้รับสัญญาณจากเฉินไป่หลี่ว่าจะให้ไปช่วยเสริมกำลังที่ไหนต่อ เขาเลยใช้เวลานี้ลองคิดดูว่าได้เบาะแสอะไรมาบ้างในโบราณสถานแห่งนี้ 


 


 


สิ่งที่หลี่ว์ซู่สงสัยคือเรื่องที่ว่าเกราะของพวกทหารหายไปแล้ว ทำไมพวกมันถึงยังดาหน้าบุกกันเข้ามาอีก 


 


 


ทหารพวกนี้จะเข้ามาโจมตีทุกๆ ห้าชั่วโมง คนที่ควบคุมพวกมันอยู่เบื้องหลังไม่ได้สนใจเลยว่าพวกมันจะอยู่หรือตาย เรื่องนี้แปลกมาก ถึงจะมีทหารมากมายมหาศาลอยู่ใต้ทะเลก็เถอะ เขาก็ไม่ควรที่จะส่งพวกมันขึ้นมาบนฝั่งราวกับไม่ต้องการพวกมันอีกต่อไปแล้วเช่นนี้ 


 


 


แต่ถ้าเกิดว่า… ถ้าเกิดทหารพวกนี้ไม่ได้ตายไปจริงๆ ล่ะ! 


 


 


หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อทหารจากทะเลตาย มันจะสลายกลายไปเป็นฝุ่น เขาเคยคิดว่าฝุ่นพวกนั้นอาจเป็นศพของพวกมันก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ 


 


 


ในตอนแรก ไม่ว่าทหารจากทะเลจากตายไปมากเท่าไหร่ก็ตาม มันจะโผล่กันมาใหม่พร้อมเกราะทองแดงบนตัว แต่ตอนนี้กลุ่มเศษซากทองแดงของพวกเขาได้วิ่งวุ่นไปรอบเกาะ ทหารจากทะเลพวกนี้ก็เลิกสวมเกราะทองแดงไปดื้อ 


 


 


ราวกับว่าพวกมันอยากทำให้นักเรียนบนเกาะนี้เหนื่อยเล่นอย่างงั้นล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลี่ว์ซู่ก็สงสารพวกทหารพวกนี้จริงๆ แต่ถ้าที่พวกทหารพวกนี้ทำไปไม่ใช่เพื่อหวังเงินล่ะ 


 


 


ถ้าทหารจากทะเลพวกนี้สามารถเกิดใหม่ได้ในไม่กี่ชั่วโมง หรือใช้พลังงานจากในโบราณสถาน หรือไม่ก็ใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง แต่เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญก็คือถ้าทหารพวกนี้เกิดขึ้นมาใหม่จริงๆ งั้นในครั้งต่อไปทหารทั้งหมดก็ต้องเปลือยครึ่งท่อนกันแบบนี้น่ะสิ นักเรียนห้องเต้าหยวนรับไม่ได้กันหรอกนะ! 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าคนที่ควบคุมทหารจากทะเลพวกนี้อยู่คงไม่คาดคิดหรอกว่าจะมีใครที่ไหนมาถอดชุดเกราะของพวกทหารออก… 


 


 


เขาตรวจดูบันทึกแต้มอารมณ์ในระบบแล้วก็พบว่ามีแต้มอารมณ์มากมายจากคนแซ่เค่อ 


 


 


ทหารจากทะเลเข้ามาโจมตีอีกระลอกหนึ่งแล้ว ถึงแม้ทุกคนจะได้พักจากการต่อสู้แล้วก็ตาม ทว่าก็ได้พักแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งแค่นี้ไม่พอหรอก ไม่มีเวลาพอสำหรับการนอนพักเลย 


 


 


ถ้าเป็นต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ นักเรียนห้องเต้าหยวนก็จะอ่อนเพลียมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะเหนื่อยติดต่อกันจากการต่อสู้ครั้งที่แล้ว ลากยาวไปถึงการต่อสู้ระลอกถัดไป 


 


 


และนี่อาจทำให้พวกเขาล้มกันได้ 


 


 


“จะทำยังไงดีนะ” หลี่ว์ซู่ถาม 


 


 


เขาไม่รู้เลยว่าที่เดาไปนั้นถูกต้องหรือเปล่า แต่เขาต้องคิดถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไว้ก่อน 


 


 


“ไปกันเถอะ ไปฆ่าพวกกองทัพทะเลกัน” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น ถึงแม้หนึ่งในสามของทหารนั้นจะเปลือยครึ่งท่อนและนี่ก็ช่วยลดระดับความตึงเครียดในการป้องกันตามแนวไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะไม่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขาอีกต่อไปและพวกเขาก็ไม่สามารถอู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว หลี่ว์ซู่เองก็มีแผนประจันหน้าอยู่เหมือนกัน 


 


 


ด้วยความเห็นแก่ตัวส่วนตัว หลี่ว์ซู่พาระลอกทองแดงของเขาไปที่กองพัน 1 ที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่ ไม่ว่าเขาจะไปช่วยใคร สุดท้ายแล้วมันก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกไปช่วยเสี่ยวอวี๋ 


 


 


แต่พอพวกเขาไปถึงกองพันที่ 1 หลี่ว์ซู่ก็พบว่าเสี่ยวอวี๋และคนในทีมของเธอฆ่าพวกทหารจากทะเลไปหมดแล้ว! 


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถอนหายใจ “อะไรกันเนี่ยเจ้าพวกนี้ ไม่เห็นรู้สึกเลยว่าพวกมันขึ้นมาจากทะเล” 


 


 


ใครคนหนึ่งถามขึ้นมา “ถ้ามาจากทะเลต้องเป็นยังไงล่ะ” 


 


 


เสี่ยวอวี๋ตอบกลับ “ก็ต้องกินได้สิ เหมือนล็อบสเตอร์หรือไม่ก็หอยนางรมไง แต่พวกเรากินทหารจากทะเลไม่ได้ เสียชาติเกิดที่เป็นทะเลชะมัด” 


 


 


ผู้คนที่อยู่รอบตัวเธอถึงกับพูดไม่ออก จริงอยู่ที่อาหารนั้นเป็นความภาคภูมิใจของประเทศจีน ตามปกติแล้วการที่มีสิ่งมีชีวิตเข้ามารุกรานนั้นถือว่าเป็นภัยธรรมชาติอย่างหนึ่ง ล็อบสเตอร์เองก็เคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาบุรุกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นชาวนาก็เลยต้องเพาะเลี้ยงมัน 


 


 


ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าอายมากสำหรับสินค้านำเข้านี้ 


 


 


และในตอนนั้นเอง ทหารจากทะเลหลักร้อยก็ปรากฏตัวขึ้นมาเหนือน้ำแล้วพุ่งเข้ามาโจมตี ตอนนี้พวกมันมีเกราะใหม่แล้ว เป็นเกราะสีดำมัน เอาไปเทียบกับเกราะทองแดงเมื่อกี้ไม่ได้เลย 


 


 


ทหารพวกนี้ถือดาบยาวเล่มใหญ่เข้ามากันด้วย ดูคมมากทีเดียว ราวกับแค่ออกดาบครั้งเดียวก็ถึงแก่ความตายได้เลย 


 


 


ทหารกว่าร้อยตนพวกนี้ประสานงานกันอย่างแม่นยำมาก เสียงฝีเท้าของพวกมันทั้งหนักแน่นและพร้อมเพรียงกัน ดูแล้วเหมือนกลองที่ตีก่อนเริ่มสงคราม พวกมันกำลังดาหน้าเข้ามาเพื่อเข่นฆ่า! 


 


 


หลี่ว์ซู่ที่อยู่ห่างออกไปไม่สามารถประเมินความแข็งแกร่งของพวกมันได้เลย เหมือนกับว่าคลื่นพลังงานของพวกมันนั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน 


 


 


“ไปกันเถอะ! ไปทำลายขบวนของมันกัน!” หลี่ว์ซู่นำกลุ่มระลอกทองแดงของเขาไปเพื่อโจมตี หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่นี่แล้ว เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไป 


 


 


แต่อย่างไรก็ตาม พอระลอกทองแดงของหลี่ว์ซู่ใกล้เข้าไปนั้น พวกทหารเกราะสีดำก็หยุดลงกลางทางและถอยกลับลงไปในทะเลก่อนที่ทีมของหลี่ว์ซู่จะไปถึง… 


 


 


หลี่ว์ซู่งงมาก 


 


 


ทำไมต้องหนีไปหลังจากแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองด้วยล่ะ ไม่อยากเข้ามาโจมตีงั้นเหรอ 


 


 


“หรือพวกมันจะกลัวโดนโจมตี” เฉินจู่อานประหลาดใจ หรือว่าถ้าตีโดนเกราะทองแดงแล้วก็ไม่คิดมาก แต่ถ้าตีโดนเกราะสีดำแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ ความคิดนี้ดูจะสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว 


 


 


หลี่ว์ซู่พาทีมของเขาไปฆ่าทหารจากทะเลที่แนวป้องกันข้างๆ แทน พวกเขากำจัดศัตรูได้ง่ายๆ ในทุกที่ที่พวกเขาไป เหมือนกับดายหญ้าแห้งๆ ทิ้งหรือไม่ก็ทำลายไม้ผุๆ แม้แต่ทหารธรรมดาๆ เองก็ถอยทัพและกลับไปในทะเลเหมือนกัน! 


 


 


การโจมตีแบบนี้มาเร็วไปเร็ว แนวป้องกันในหลายๆ ที่ก็จู่โจมทหารจากทะเลกลับไปเหมือนกัน 


 


 


“ครั้งนี้ดูง่ายกว่าเดิมนะ ดูเหมือนว่าเราจะได้พักกันหน่อยแล้วสิ” มั่วเฉิงคงพูด 


 


 


“ทำไมพวกทหารพวกนั้นถึงมีเกราะสีดำล่ะ ฉันว่าเราจะต้องบอกเรื่องนี้กับราชันฟ้าเฉินด้วยนะ เราจะลดกำแพงลงไม่ได้หรอก” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา 


 


 


แล้วจู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งพูดขึเนมาด้วยความตกใจ “เดี๋ยวนะ แล้วหัวหน้าเราไปไหนแล้วล่ะ” 


 


 


ตอนนี้มั่วเฉิงคงไม่ใช่หัวหน้าแล้ว หลี่ว์ซู่ต่างหาก ตั้งแต่ที่พวกเขาได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังเสริมนี้ ทุกคนต่างก็พากันยอมรับให้หลี่ว์ซู่เป็นหัวหน้าแทน  

 

 


ตอนที่ 621 หลี่ว์ซู่โดนเปิดเผยตัวตน

 

“เมื่อกี้หัวหน้ายังอยู่ข้างฉันอยู่เลย หายไปเร็วขนาดนั้นได้ยังไง!” ผู้คนในทีมนั้นมองหน้ากันไปมา


 


 


“เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งเห็นเข้าเหมือนกัน ก่อนที่ทหารจากทะเลจากถอยไป เขายังมาช่วยกันฉันจากการโจมตีอยู่เลย” ใครคนหนึ่งพูด


 


 


“หัวหน้า!” มั่วเฉิงคงตะโกน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา


 


 


ทั้งกลุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อแล้ว พวกเขาเพิ่งเสียหัวหน้าไป…


 


 


เฉินจู่อานคิดทบทวน มันแปลกๆ อยู่นะ ด้วยความสามารถขนาดหลี่ว์ซู่แล้ว เขาไม่น่าถูกลักพาตัวไปแบบนั้นได้ เฉินจู่อานจำได้ว่าตอนที่ทหารพวกนั้นถอยไป มีทหารหน้าสีฟ้าตนหนึ่งมองมาทางเขาแล้วกะพริบตาให้ ตอนนั้นเฉินจู่อานคิดว่าทหารตนนั้นน่าจะบ้าไปแล้ว เราเป็นคนละสายพันธุ์กันเลยนะ! จะมาจีบกันแบบนี้ไม่ได้!


 


 


แต่พอคิดดีๆ แล้วนั่นต้องเป็นหลี่ว์ซู่แน่ๆ เลย!


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้บอกใครว่าเขาจะลงไปในทะเลเพราะเขาไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรข้างล่างทะเลนั่น เขาไม่รู้เลยว่าเขาสามารถออกท่าอะไรใหญ่ๆ ในน้ำได้หรือเปล่า แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาจะไปทำอะไรแผลงๆ ในน้ำ ถึงอย่างไรเขาก็คงโบ้ยความผิดไปให้คนอื่นได้สบายๆ …


 


 


เขาแอบบอกใบ้เฉินจู่อานไปเรื่องที่เขาลงมาใต้ทะเล อย่างน้อยเฉินไป่หลี่ก็ต้องรู้ ถ้าเขาติดอยู่ใต้ทะเลนานเกินไป เฉินไป่หลี่อาจมาช่วยเข้าก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องให้เฉินไป่หลี่รู้เรื่อง แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าเฉินจู่อานจะเข้าใจที่เขาบอกใบ้ไปหรือเปล่า จะได้ไม่เที่ยวไปบอกคนอื่น หลี่ว์ซู่คิดว่าเฉินจู่อานน่าจะเข้าใจที่เขาสื่อไปนะ


 


 


แต่นั่นแหละ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…


 


 


แต่แล้วเฉินจู่อานก็ไม่ทำให้หลี่ว์ซู่ผิดหวังเลย เฉินจู่อานรีบไปหาเฉินไป่หลี่เพื่อบอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าใครจะพยายามหาหลี่ว์ซู่กันมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่ได้ปริปากบอกอะไรออกไป


 


 


เฉินไป่หลี่ครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้นว่า “นั่นมันอันตรายเกินไปนะ”


 


 


“อาจารย์ที่สองครับ จะลงไปช่วยเขาไหมครับ” เฉินจู่อานถามอย่างสงสัย


 


 


“เชื่อใจเขาดีกว่า” เฉินไป่หลี่บอก “เขาต้องรู้ความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ดีน่า”


 


 


แต่เฉินจู่อานกลับไม่ชอบใจ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไป เฉินจู่อานก็มักจะถูกเฉินไป่หลี่สงสัยและดูถูกอยู่ตลอด แต่เฉินไป่หลี่กลับเชื่อใจหลี่ว์ซู่โดยไม่พูดอะไรสักคำ สองมาตรฐานเกินไปแล้วนะ! แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปเพราะอาจารย์ที่สองของเขานั้นอารมณ์เดือดง่าย เขาได้ยินว่าตอนที่เฉินไป่หลี่เห็นทหารจากทะเลเมื่อวาน เขาก็อารมณ์เสียมากแล้ว เมื่อเขาลงมือจริงๆ แม้แต่ทหารเกราะทองแดงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา


 


 


เมื่อเฉินไป่หลี่รู้ว่าเกราะทองแดงสามารถถอดออกได้ เขาก็เผลอทำร้ายทหารจากทะเลสองตนไปด้วยความเสียดาย…


 


 


เฉินไป่หลี่ถอดเสื้อคลุมเต๋าออกแล้วทอดสายตาออกไป เฉินจู่อานพูดขึ้น “อาจารย์ที่สองครับ ผมรู้สึกว่าการแสดงฝีมือของผมในโบราณสถานครั้งนี้น่ะ…”


 


 


“ออกไปซะ”


 


 


ที่ใต้น้ำ ทหารจากทะเลที่ถอยออกมาแล้วกลับไปรวมตัวกันบริเวณทิศตะวันตกของเกาะ หลังจากนั้น พวกเขาก็ถอยกลับไปทางด้านทิศตะวันตก


 


 


หลี่ว์ซู่ใส่หน้ากากเพื่อทำตัวให้แนบเนียนไปกับทหารจากทะเล เขาเพิ่งรู้ว่าทหารจากทะเลนั้นไม่เดือดร้อนอะไรเมื่อเจอกับแรงต้านใต้น้ำเลย หากหลี่ว์ซู่ไม่ใช่ผู้มีพลังสายธาตุน้ำแล้วเขาคงไม่สามารถตีเนียนด้วยได้แบบนี้หรอก


 


 


เขาอยู่ในน้ำได้สบายมาก เมื่อตอนที่พลังธาตุน้ำของเขาเลื่อนเป็นระดับ C เขาก็อยู่ไม่ไกลจากการประสานธาตุน้ำแล้ว การเดินเหินในน้ำไม่ถือเป็นปัญหาของหลี่ว์ซู่เลยสักนิด


 


 


พวกเขาเดินกันอยู่ใต้ก้นทะเล บรรยากาศรอบข้างเป็นสีดำทะมึนไปหมด


 


 


เมื่อรอบข้างมืดแบบนี้ หลี่ว์ซู่จึงได้แต่พึ่งพลังธาตุน้ำของตัวเองในการจับสัมผัสของการเคลื่อนไหวรอบๆ ตัว เขาเพิ่งเห็นว่ามีทหารใต้ทะเลกว่าหมื่นคนที่อยู่ในชุดเกราะทองแดงตรงหน้าเขากำลังว่ายน้ำอยู่


 


 


ไม่เหมือนกับพวกเขาสักนิด หลี่ว์ซู่และคนที่เหลือกำลังเดิน แต่ทหารพวกนั้นกลับว่ายน้ำ แตกต่างกันสุดๆ


 


 


หรือกลุ่มทหารจากทะเลที่หลี่ว์ซู่แอบปะปนมาด้วยนี้จะเป็นกลุ่มที่ควบคุมทหารทั้งหมดและใช้แซ่เค่อกันนะ หลี่ว์ซู่พร้อมที่จะสร้างความปั่นป่วนแล้ว เขามีโอกาสโจมตีเจ้าพวกแซ่เค่อแล้ว ถ้าสู้กันซึ่งๆ หน้าจริงก็คงยากหน่อยที่ต้องรับมือกับระดับ C กว่าสิบตน แต่ถ้าแอบโจมตีคงง่ายกว่ามาก พออยู่ท่ามกลางทหารจากทะเลด้วยกันเองแล้วดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ระวังตัวกันเลย


 


 


ไม่มีใครสังเกตเลยว่ามีมนุษย์แทรกซึมเข้ามาในขบวนของพวกมันแล้ว…


 


 


หลี่ว์ซู่เห็นว่ามีทหารธรรมดาๆ ที่ไม่มีความคิดของตัวเอง พวกมันก็แค่เดินไปข้างหน้าเท่านั้น


 


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็มาถึงตรงคูน้ำ มีอะไรบางอย่างที่แวววับซ่อนอยู่ในคูน้ำนั้นและว่ายน้ำไปมา


 


 


เจ้าพวกแซ่เค่อนั้นเดินกันไปที่คูน้ำนั้น ทหารจากทะเลตนอื่นๆ ก็ตามกลุ่มนี้ไปที่คูน้ำ หลี่ว์ซู่ตามไปข้างหลังติดๆ เมื่อเข้าได้เข้าไปแล้วก็พบว่านี่เป็นอีกโลกหนึ่งไปเลย ข้างใต้นี้มีปราสาทคริสตัลอยู่ก้นบึ้งทะเล มันส่องแสงประกายงดงามอย่างกับรูปภาพ ราวกับว่าหลุดออกมาจากเทพนิยาย!


 


 


หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ เข้าไปในปราสาท พวกทหารจากทะเลธรรมดาๆ ยืนกันเงียบๆ ในปราสาทนั้น มีแท่นแท่นหนึ่งที่ส่องแสงสีเขียวออกมาก


 


 


ทหารแซ่เค่อโปรยเศษฝุ่นในมือไปบนแท่น แล้วทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็สังเกตเห็นว่ามีทหารทะเลกว่าสิบตนเดินออกมาจากแท่นด้วยแขนอันเปลือยเปล่า แล้วจากนั้นก็มีทหารจากทะเลมากมายหลายตนตามหลังออกมาอีก


 


 


มีคลื่นพลังงานแผ่ออกมาจากตัวของพวกมันแต่ไม่เข้มข้นมากเท่าไหร่ แต่แล้วจู่ๆ มันกลับเพิ่มระดับความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


หลังจากที่ทหารแซ่เค่อตนนั้นโปรยฝุ่นผงเสร็จ เขาก็เดินออกจากปราสาทไป หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจไปทำอะไรต่อ ทหารจากทะเลธรรมดาๆ พวกนั้นต่างพากันนั่งขัดสมาธิและหลับตากันอยู่ในปราสาท หลี่ว์ซู่มองตามกลุ่มพวกนั้นไป


 


 


เขารู้สึกว่าทหารจากทะเลข้างๆ เขานั้นฟื้นฟูพลังกายกันได้เร็วมาก หลี่ว์ซู่เดาถูกแล้ว พวกทหารธรรมดาๆ พวกนี้ไม่ได้ตาย เจ้าแซ่เค่อนั่นเอาฝุ่นผงไปโปรยในแท่นแล้วก็เรียกทหารธรรมดาๆ ให้ฟื้นชีวิตกันขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เป็นแท่นที่ประหลาดอะไรอย่างนี้ เขาสงสัยมาก


 


 


ในขณะที่ทหารจากทะเลกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตากันอยู่นั้น หลี่ว์ซู่ก็แอบลืมตาขึ้นแล้วแอบมองไปที่แท่น ในขณะนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าเจ้าโกลาหลที่หลับไหลอยู่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ราวกับว่ามันสนใจแท่นนี้มาก


 


 


หลี่ว์ซู่แอบมองไปยังทหารที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเห็นว่าทหารพวกนี้ก็เหมือนหุ่นเชิดที่โดนเอาเชือกเชิดหุ่นออกไปแล้ว เขาลังเลใจเล็กน้อยก่อนที่จะปล่อยเจ้าโกลาหลออกไป!


 


 


เจ้าโกลาหลที่แปลงร่างเป็นมังกรนั้นว่ายออกไปที่แท่น


 


 


มันกัดแท่นนั้นแล้วกลืนเศษสีเขียวที่มันกัดออกมา


 


 


ทันใดนั้นก็มีพลังงานปล่อยออกมาจากแท่นนี้ เจ้าโกลาหลกินพลังงานนี้ไปอย่างเอร็ดอร่อยเลย แล้วทหารที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็กลายเป็นฝุ่นผงอีกรอบ พวกทหารที่ใส่เกราะทองแดงอยู่เองก็ค่อยๆ สลายไป เกราะทองแดงที่ไม่มีอะไรมารองรับก็ร่วงหล่นตกลงบนพื้น


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มอารมณ์เสียเล็กน้อย เขาโดนเปิดเผยตัวเร็วเกินไปแล้ว และเขายังไม่ได้เตรียมตัวเลย! เขาเอาเจ้าโกลาหลที่กำลังหม่ำแท่นสีเขียวอยู่เก็บกลับเข้าไปในตราแผ่นดิน แล้วมันก็ผล็อยหลับลึกไปอีกรอบ หลี่ว์ซู่รู้ว่าตอนที่เจ้าโกลาหลแปลงร่างนั้น มันไม่ได้แปลงร่างอย่างสมบูรณ์เสียทีเดียว ถ้าจะให้อธิบายก็คือ ถ้าไม่มีไห่กงจื่อ มันจะไม่สามารถใช้ของตัวเองในการแปลงร่างได้อย่างสมบูรณ์


 


 


จู่ๆ เจ้าโกลาหลที่กินแท่นสีเขียวเข้าไปก็มีกรงเล็บงอกออกมาเป็นห้ากรงเล็บ ไม่ใช่สี่กรงเล็บแล้ว!


 


 


ทหารจากทะเลแซ่เค่อกลับเข้ามาอย่างเร่งรีบพร้อมเกราะทองแดงที่สวมอยู่บนตัว เมื่อเขาว่าเห็นแท่นหายไปแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขาถามออกมา “ใครเป็นคนทำลายแท่นมังกรของฉัน ทหาร!”


 


 


เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขามองไปที่หลี่ว์ซู่ที่กำลังหลอกว่าเขาเป็นทหารจากทะเลอยู่ “ทำไมแกไม่หายไปด้วยล่ะ!”


 


 


หลี่ว์ซู่ทำตัวไม่ถูก คนอื่นหายไปแล้วแต่ว่าเขากลับอยู่ตรงนี้


 


 


เขานิ่งเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบออกไป “ว่าจะหายตัวไปหลังจากนี้น่ะครับ…”


 


 


ทหารจากทะเลแซ่เค่อสับสนไปหมด


 


 


ทหารจากทะเลนั้นล้วนมีชีวิตขึ้นมาได้จากแท่นมังกรนี้ ตอนนี้มันหายไปแล้ว แกจะบอกว่าเดี๋ยวหายตามไปได้ไง


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเค่อเหวินหลี่ +666!]


 


 


แล้วในเวลาเดียวกันนั้นก็มีกระบี่บินสีขาวเล่มบางเหมือนกับด้ายตัดหัวเค่อเหวินลี่ออกไป ฝูฉื่อนั่นเอง!


 


 


[ได้แต้มค่าอารมณ์จากเค่อเหวินหลี่ +1000!]


 


 


หลี่ว์ซู่เลยจัดการปลอมตัวเป็นเค่อเหวินหลี่เสียเลย แต่ร่างของเค่อเหวินหลี่ไม่ได้สลายกลายเป็นฝุ่นผงไป เขาเลยเอาร่างของเค่อเหวินลี่ใส่ไปในตราแห่งแผ่นดิน ก่อนที่ทหารจากทะเลจะเข้ามา จากนั้นก็แกล้งทำเป็นเดินเข้าไปในปราสาทและทำสีหน้าตกใจสุดขีด! 

 

 


ตอนที่ 622 ลำดับชั้นที่เข้มงวด

 

แท่นมังกรงั้นเหรอ ชื่อนี้เหมือนบอกใบ้อะไรอยู่เลย หลี่ว์ซู่นึกถึงตอนที่เจ้าโกลาหลกลืนแท่นมังกรลงไปนั้น และเจ้ามังกรที่อยู่ข้างในนั้นก็ดูรอแทบไม่ไหวที่จะโดนกลืนลงไป เหมือนกับว่ามันติดอยู่ข้างในอย่างนั้นแหละ


 


 


งั้นพลังของทหารใต้ทะเลก็ไม่ได้มาจากโบราณสถานอย่างที่เขาคิด แต่มาจากมังกรต่างหาก


 


 


พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว กลุ่มคนจากทะเลนี่เป็นใครกันแน่นะ มาจากไหนกันด้วย หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจอย่างมาก


 


 


แต่อย่างไรก็ตาม การที่เขาทำลายแท่นมังกรไปแล้วนั้นก็น่าจะช่วยให้พวกที่อยู่บนเกาะสบายขึ้นมาได้หน่อย อย่างน้อยๆ พวกนักเรียนก็ไม่ต้องปะทะกับทหารจากทะเลเป็นหมื่นแล้วล่ะ


 


 


สถานการณ์เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ หลังจากการต่อสู้จบลง นักเรียนห้องเต้าหยวนก็กำลังคุยกันอย่างเผ็ดร้อนเลยว่าจะเอาเกราะทองแดงกันมาอย่างไรดี เพราะคนส่วนมากยังไม่ได้เกราะเต็มชุดมาสวมใส่เพื่อป้องกันกันเลย ยกเว้นกลุ่มของระลอกทองแดง


 


 


แต่ท้ายที่สุดแล้วกองทัพจากใต้ทะเลก็ไม่กลับมาอีกเลย…


 


 


ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร พวกเขาได้พักผ่อนกันอย่างเต็มอิ่มและกลับมารู้สึกกระปรี้กระเปร่ากันอีกครั้ง พวกเขารอที่จะโจมตีระลอกหน้าอย่างใจจดจ่อ แต่กลับไม่มีใครโผล่ออกมาเลย


 


 


เฉินจู่อานและเฉินไป่หลี่รู้กันว่าเป็นฝีมือของหลี่ว์ซู่ เฉินจู่อานที่นั่งอยู่ข้างๆ ตู้เซวี่ยเหมยกำลังมองทะเลอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ ครุ่นคิดสงสัยว่าหลี่ว์ซู่ทำแบบนั้นได้อย่างไรนะ


 


 


ตีเนียนไหลไปกับศัตรูไปใต้ทะเลคนเดียว ฟังดูแล้วเท่ชะมัด แต่เฉินจู่อานทำแบบนั้นไม่ได้หรอก


 


 


ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่ใช้เวลารอหนึ่งนาทีเต็มๆ กว่าจะมีคนใต้ทะเลมาถึง ในเวลานั้นเขาทำสีหน้าตกใจค้างไว้อยู่ตลอด เมื่อคนมา ทุกคนก็ชะงักไป จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นขณะจ้องไปยังแท่นมังกร “เกิดอะไรขึ้นน่ะเค่อเหวินหลี่!”


 


 


หน้ากากนี่เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์จริงๆ ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ หลี่ว์ซู่ไม่มีทางโดนจับได้ภายใต้หน้าของเค่อเหวินหลี่แน่นอน ทุกคนล้วนจ้องไปที่แท่นมังกรกันหมด


 


 


หลี่ว์ซู่เกือบลืมชื่อใหม่ของเขาไปแล้ว เขารีบตอบกลับไปทันทีเมื่อรู้ว่าคนนั้นกำลังพูดกับเขาอยู่ “ไม่รู้เหมือนกัน! มาถึงก็เป็นแบบนี้แล้ว!”


 


 


ทันใดนั้นทหารเกราะสีดำก็เดินเรียงกันมาอย่างใจเย็น ตามมาด้วยทหารเกราะสีดำอีกร้อยตนอย่างพร้อมเพรียง ทหารที่เป็นหัวหน้ามองมาที่ปราสาทแล้วพูดว่า “มีมนุษย์เข้ามาที่นี่ การทำลายแท่นมังกรนั้นถือเป็นความผิดร้ายแรง ทุกคนออกไปตามหาตัวไอ้มนุษย์นั่นมา!”


 


 


ทหารทุกตนในเกราะทองแดงยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์รับคำสั่ง “ครับท่าน!”


 


 


หลี่ว์ซู่หันไปมองกองเกราะทองแดงที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น แต่ไม่มีใครสนใจจะเอาไปเก็บให้เรียบร้อย แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้…


 


 


ที่จริงแล้วเขาก็คงจะหยิบมันขึ้นมาแล้วล่ะถ้าพวกทหารจากทะเลไม่มาถึงไวกันขนาดนี้เสียก่อน คงเป็นภาพที่แปลกน่าดูถ้าเห็นว่าเขากำลังเก็บชุดเกราะทองแดงกว่าพันชุดแบบนี้คนเดียว


 


 


หลี่ว์ซู่ตีเนียนไปกับพวกศัตรูและแอบมองพวกทหารชุดดำ พวกเขาดูจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า จะดีแค่ไหนนะถ้าเขาเอาเกราะสีดำมาด้วยเหมือนกัน


 


 


เขาสงสัยว่าทหารชุดสีดำพวกนี้จะเป็นพวกไม่มีความคิดเป็นของตัวเองหรือเปล่า เขาสะกิดทหารคนหนึ่งที่เดินผ่านหน้าไป ขณะที่เขากำลังแกล้งหามนุษย์คนนั้นหรือก็คือ ‘ตัวเอง’ อยู่


 


 


ทหารชุดดำคนนั้นมองกลับมา “หืม?”


 


 


“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรครับ” หลี่ว์ซู่บังคับตัวเองให้ยิ้มออกไปอย่างแหยๆ เจ้าพวกนี้มีความคิดเป็นของตัวเองนี่นา…


 


 


หากคิดตามหลักการแล้ว ถ้าทหารพวกนี้ไม่มีความคิดของตัวเองก็น่าจะยังมีแท่นมังกรอื่นอีกในปราสาทแห่งนี้ หลี่ว์ซู่เดินตามคนอื่นๆ ที่แยกย้ายกันไปหามนุษย์คนนั้น โชคเข้าข้างเขาจริงๆ เพราะเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเค่อเหวินหลี่ นี่คงยากกว่าตอนไปญี่ปุ่นอีก เพราะตอนนั้นเครือข่ายฟ้าดินให้ข้อมูลเกี่ยวกับคิริฮาระ โยสุเกะมาอย่างแน่นเลย


 


 


ถ้าคนใกล้ชิดเค่อเหวินหลี่เกิดสงสัยขึ้นมาละ หลี่ว์ซู่คิดอะไรอย่างอื่นไม่ออกเลยนอกจากกองเกราะทองคำที่ถูกทิ้งไว้ในปราสาทนั่น!


 


 


“เค่อเหวินหลี่ นายจะไปไหนน่ะ มนุษย์คนนั้นน่าจะแข็งแกร่งน่าดู ตามมา!” คนคนหนึ่งตะโกนมา


 


 


หลี่ว์ซู่ก็หยุดลงทันที “…ได้ครับ”


 


 


เขารู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาเลย หลี่ว์ซู่เดินตามกลุ่มของพวกเขาห้าคนไปแล้วทำทีเป็นค้นหาทุกซอกทุกมุมของปราสาท


 


 


เขาค่อยๆ รวบรวมสติของเขา กลยุทธ์ตอนนี้ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือเขาจะฆ่าทุกคนที่สงสัยในตัวเขา…


 


 


อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีระดับ B โผล่มา และเขาก็ได้เปรียบในน้ำอีกด้วย เขาเลยมั่นใจว่าจะสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้เมื่อทุกอย่างเกิดพังขึ้นมา


 


 


หลี่ว์ซู่พยายามเงียบไว้ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าถ้าพูดอาจจะพูดอะไรผิดไป เขารู้ว่าการค้นหานี้ไร้ประโยชน์ เพราะเป้าหมายของการค้นหาก็คือตัวเขาที่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเจ้าพวกนี้นี่แหละ


 


 


หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าทหารทะเลนั้นพยายามไม่เดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูสวยงามยิ่งใหญ่กว่าปราสาทรอบๆ ราวกับว่ามนุษย์ที่ตามหาอยู่ไม่มีทางเข้าไปซ่อนตัวในที่แบบนั้นได้อย่างนั้นแหละ


 


 


เขาเดินตามทหารพวกนี้ไปค้นหาทุกซอกมุมของปราสาทอีกหลัง หากดวงตาแห่งค่ายกลถูกเก็บไว้ใต้ทะเลละก็ หลี่ว์ซู่ก็เริ่มคิดแล้วว่าดวงตาคงถูกซ่อนอยู่ในปราสาทหลักนั่น


 


 


“เอาละ ไปรายงานกัน” ทหารที่อยู่ในเกราะทองแดงพูดออกมา


 


 


“เดี๋ยวเราก็โดนทำโทษกันอีก” ใครคนหนึ่งบ่นออกมา “ถ้าเจอไอ้มนุษย์นั่นเมื่อไหร่ มันโดนเราสับเป็นชิ้นๆ แน่!”


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ เขาคงได้ช่วงเวลาดีๆ กับคนใต้ทะเลแน่เลยล่ะ ถ้าเขาคิดออกแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป


 


 


เขายังไม่อยากเคลื่อนไหวอะไรตอนนี้เพราะต้องใช้เวลากว่าสองวันทีเดียวกว่าจะฟื้นฟูดาบรัศมีของเขากลับมาได้ ไว้ค่อยจัดการทีหลังยังไม่สาย ตอนนี้เขาต้องทำให้กลืนไปกับทุกอย่างที่นี่ก่อน


 


 


หลี่ว์ซู่ตามกลุ่มคนอื่นๆ ไปด้านข้างปราสาท ทหารตนหนึ่งรวบรวมความกล้าและรายงานออกไป “ท่านครับ เราหามนุษย์คนนั้นไม่เจอครับ”


 


 


ทหารชุดดำกำลังนั่งบนเก้าอี้เบาะในปราสาท เขามองดูทหารกว่ายี่สิบคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชาแล้วขู่ร้องออกมา “ไอ้พวกขยะ ไปทำเองสิไป”


 


 


หลี่ว์ซู่งงไปเลย หมายความว่าไงนะ หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที พวกทหารที่อยู่ข้างๆ เขาก็แยกกันไปเป็นสองแถวและถอดหมวกออก หลี่ว์ซู่เพิ่งเห็นว่าทรงผมของพวกเขานั้นแปลกมาก พวกเขามีเปียที่ขดไว้อยู่ข้างบนหัว จากนั้นก็


 


 


ป๊าบ! แล้วก็ ป๊าบ! อีกที


 


 


หลี่ว์ซู่มองด้วยความตกใจขณะที่ทหารกำลังตบหน้ากันและกันอย่างแรง ทำไมลำดับขั้นที่นี่มันเข้มงวดแบบนี้เนี่ย พวกทหารยศต่ำๆ จะถูกสั่งให้ตบหน้ากันเองถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จเหรอ


 


 


ทหารที่อยู่ตรงข้ามหลี่ว์ซู่ถอดหมวกของเขาออกแล้วมองมาอย่างงงงวย 

 

 


ตอนที่ 623 มีคนตาย!

 

เสียงตบนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากทำตามคนอื่น เขาไม่ยอมโดนตบฟรีๆ หรอก! 


 


 


ขณะเดียวกันนั้น คู่ของเขาก็เตรียมจะตบหน้าเขาเข้าให้แล้ว แต่ยังทำไม่ได้เพราะหลี่ว์ซู่ยังไม่ได้ถอดหมวกออก ถ้าจะให้ตบหมวกก็คงเจ็บมือแน่ 


 


 


“ตบฉันเร็ว ถ้าไม่งั้นละก็…” 


 


 


ตอนที่เขากำลังจะบอกให้หลี่ว์ซู่ถอดหมวกออก หลี่ว์ซู่ก็บอกออกไปว่า “งั้นต้องขอโทษด้วยนะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่ตบหน้าเข้าไปเน้นๆ ฉาดใหญ่จนเขาหมดสติลงไปกับพื้น ขาของเขากระตุกแหง็กๆ เหมือนกำลังจะตาย 


 


 


เค่อเหวินตัวถึงกับเงียบ 


 


 


ทุกคนต่างมองไปยังหลี่ว์ซู่… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเค่อเหวินตัว +666…] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


ทหารในชุดดำที่นั่งอยู่ก็มองมาเหมือนกัน เขาใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งกว่าจะรวบรวมสติได้ เขาเคยมีความสุขที่เห็นพวกนี้ถูกทำโทษแบบที่ทำให้อับอายนะ แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนตายที่นี่ 


 


 


นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย! 


 


 


ในขณะที่คนอื่นมองมาอย่างประหลาดใจสุดขีด หลี่ว์ซู่ก็มองลงไปกับพื้นอย่างช่วยไม่ได้ ทำไมเจ้านี่อ่อนแบบนี้ล่ะ… 


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ความแข็งแกร่งของหลี่ว์ซู่ตอนนี้เทียบเท่ากับระดับ B เลยทีเดียว กลับกัน ทหารพวกนี้เพิ่งจะขึ้นมาระดับ C ช่วงเริ่มต้นเท่านั้นเอง เมื่อไม่มีเกราะป้องกันตัวแล้ว พวกมันทนพลังของหลี่ว์ซู่ไม่ได้หรอก 


 


 


ทหารชุดสีดำลุกขึ้นมาแล้วเดินมาที่หลี่ว์ซู่ เขาก่นด่าทหารที่นอนกองอยู่บนพื้น “ไอ้สวะเอ๊ย!” 


 


 


แล้วก็หันกลับมายังหลี่ว์ซู่ “ถอดหมวกออก!” 


 


 


ทหารที่เหลือเริ่มรู้สึกสงสารเค่อเหวินหลี่ขึ้นมา เพราะหากโดนทหารชุดดำทำโทษส่วนตัว โอกาสรอดของเขาก็เหลือน้อยเต็มกลืน 


 


 


เมื่อก่อนก็มีผู้ขบถต่อทหารชุดดำเหมือนกัน แล้วก็จบไม่สวยกันไป ในโลกของพวกเขานั้น ทหารชุดดำจะคร่าชีวิตพวกเขาไปอย่างไรก็ได้ตามต้องการ 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่ทำตามที่เขาสั่ง เขาก้มหัวลงแต่ก็ใส่หมวกไว้อยู่แบบนั้น 


 


 


“ทำไมยังใส่หมวกอยู่อีก” ทหารชุดดำถามอย่างเย็นชา 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดไปสองวินาทีก่อนตอบกลับ “ผมเย็นหัวครับ…” 


 


 


ทหารชุดดำได้ยินแล้วก็พูดไม่ออก 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเค่อจื้อ +666!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…] 


 


 


เอามาเป็นเหตุผลได้ไงฟะ! 


 


 


หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดในใจว่าหากถอดหมวกออกแล้วจะตีเนียนต่อยังไงได้บ้าง แต่ว่าทรงผมของเขาไม่เหมือนคนอื่นนี่ ถึงหน้ากากนี่จะทำให้ผมของเขาเป็นสีฟ้าแต่ก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนทรงให้ด้วย 


 


 


เพราะงั้นเขาจะถอดหมวกออกไม่ได้ ถึงจะอยากถอดก็เถอะ! 


 


 


หลี่ว์ซู่ถอนใจอย่างสิ้นหวัง ทำไมทุกอย่างต้องเป็นไปเหนือความคาดหมายด้วยเนี่ย… 


 


 


แต่แล้วทหารชุดดำคนนั้นก็เหวี่ยงหอกสามง่ามใส่หลี่ว์ซู่เสียงดัง 


 


 


แล้วกระบี่ล่องหนเฉิงอิ่งในมือหลี่ว์ซู่ก็ปรากฏขึ้นมาในมือของเขาทันที หลี่ว์ซู่ตะโกน “ไปเลย!” 


 


 


เม็ดทรายสีขาวใต้ทะเลนั้นพุ่งออกมาจากพื้นของปราสาท กระเด็นเข้าใส่หน้าของทหารทุกคนก่อนพวกเขาจะทันได้ตั้งตัว 


 


 


หลี่ว์ซู่ก้าวถอยหลังเพื่อหลบหอกสามง่ามทันที เขาเอี้ยวตัวหลบและกระโดดไปข้างหน้า เหวี่ยงกระบี่ไปยังรอยแยกระหว่างหมวกของทหารชุดดำและเสื้อเกราะ 


 


 


ทหารชุดดำคนนั้นอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าจะมีการซุ่มโจมตีแบบนี้จากศัตรูที่แข็งแกร่งมาก ดูเหมือนว่าเขาจะมีอาวุธล่องหนไม่ธรรมดาในมือ แต่ทหารชุดดำก็ไม่สามารถตอบสนองได้เร็วพอ อีกทั้งหอกสามง่ามนี้ก็ดูงกๆ เงิ่นๆ เมื่อเทียบกับกระบี่เฉิงอิ่ง! 


 


 


ทหารชุดดำนั้นเอี้ยวตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเอาชีวิตรอดจากการโจมตีและใช้ความแข็งแกร่งของเกราะเพื่อป้องกัน แต่กระนั้น จู่ๆ กระบี่บินสองเล่มก็ได้พุ่งมาจากแผนภูมิดาราของหลี่ว์ซู่ นี่แหละ ไพ่ตายของหลี่ว์ซู่ที่ซ่อนไว้! 


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว แค่กระบี่ฉิงอิ่งอย่างเดียวก็ช่วยจบการต่อสู้ได้แล้ว แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากให้เกราะพวกนี้เป็นรอย… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเค่อจื้อ +1000!] 


 


 


ในขณะเดียวกันทหารคนอื่นๆ ก็ได้ถูกกำจัดไปหมดด้วยทรายขาวทะเลลึก แอนโธนี่ที่หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจปรากฏขึ้นมาจากพื้นและจัดทรายให้เป็นเส้นอย่างเรียบร้อย “น่าประทับใจไหม!” 


 


 


หลี่ว์ซู่ชะงัก “ถึงกับเรียงออกมาเป็นเครื่องหมายอัศเจรีย์ได้เลยเหรอ…” 


 


 


เส้นสายนั้นเต็มไปด้วยการรอคอยที่จะได้คำชม หลี่ว์ซู่ยิ้มอย่างดีใจ “ควบคุมแอนโธนี่ได้เก่งมากแล้วนี่ น่าประทับใจจริงๆ” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้วล่ะ!” แล้วก็มีเส้นเพิ่มมาและเครื่องหมายอัศเจรีย์อีกหนึ่งอัน 


 


 


ทุกคนคิดว่าหลี่ว์ซู่มาคนเดียว แต่เขาฉลาดกว่านั้น ทำไมเขาต้องเสี่ยงคนเดียวละ ในเมื่อรู้ว่าสัตว์ประหลาดใต้น้ำนี้อย่างน้อยๆ ก็มีพลังระดับ B 


 


 


เพราะแอนโธนี่เป็นวิญญาณ ก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้อากาศหายใจ อีกอย่างเขายังเคลื่อนไหวในท้องทะเลลึกนี่ได้อย่างอิสระเพราะอย่างไรก็ยังมีดินอยู่ 


 


 


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายอดมนุษย์ที่มีพลังสายธาตุดินนั้นแข็งแกร่งมาก เป็นสาเหตุว่าทำไมองค์กรต่างๆ ถึงต้องมีกลุ่มรักษาความปลอดภัยเผื่อสำหรับผู้มีพลังสายธาตุดิน รวมถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกลุ่มทวยเทพถึงใช้โครงเหล็กหลากชนิดสร้างใต้ดินในป้อมปราการของพวกเขา ว่ากันว่ายอดมนุษย์ที่มีธาตุโลหะนั้นยังรับมือง่ายกว่ายอดมนุษย์ที่มีธาตุดิน 


 


 


แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่ายอดมนุษย์ที่มีธาตุโลหะจะไม่เก่งนะ พวกเขามีพลังมากอย่างน่าตกใจเลยล่ะ แต่พวกเขาไม่สามารถโจมตีอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ได้เฉกเช่นผู้มีพลังธาตุดินต่างหาก 


 


 


หลี่ว์ซู่บอกแผนนี้ให้เสี่ยวอวี๋รู้แล้ว เพราะอย่างนั้นแอนโธนี่เลยตามเขามาติดๆ ที่ใต้เท้าของเขา 


 


 


หลี่ว์ซู่เก็บซากของทหารที่ตายแล้วลงไปในตราแผ่นดินและเปลี่ยนร่างตัวเองให้เป็นทหารในชุดเกราะสีดำ… 


 


 


การปลอมตัวเข้ามาที่นี่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาถึงต้องเปลี่ยนร่างไปเรื่อยๆ แบบนี้… 


 


 


การปลอมตัวที่กลุ่มทวยเทพประสบผลสำเร็จกว่านี้เยอะเพราะมาที่นี่แล้วเขาต้องเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปเฉลี่ยทุกๆ สองชั่วโมงแล้วเนี่ย ขนาดเขาเองยังเครียดเลย 


 


 


หลี่ว์ซู่เดาขนาดของชุดเกราะสีดำซึ่งดูดีกว่าเกราะสีทองเยอะเลยถ้าดูจากแค่รูปร่างภายนอกแล้ว และมันคงจะเพิ่มพลังต่อสู้มากขึ้นด้วย 


 


 


เป็นอาวุธร้ายกาจถึงตายในสนามรบเลยทีเดียว! 


 


 


แอนโธนี่หัวเราะชอบใจขณะจมตัวเองลงไปบนพื้น ต่อจากนั้นไม่นาน หลี่ว์ซู่ก็เดินออกมาเห็นหัวหน้าของทหารชุดเกราะดำกำลังเดินตรงมาที่เขา… 


 


 


จะเอายังไงต่อดีเนี่ย เขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเจ้านี่เลยด้วยซ้ำ! หรือคราวนี้เขาจะโดนกระชากหน้ากากอีก… 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม