ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 616.1-623.2

ตอนที่ 616 - 1 เจ้ากล้าจุมพิตข้าหรือไม่?

 

เมื่อกลับมาถึงเมืองดวงดาราก็เต็มท้องฟ้าแล้ว เมื่อส่งคุณหนูสวีกลับไปถึงทางเข้าของค่ายใหญ่ คนทั้งหลายต่างยืนอยู่ไกลๆ ยักคิ้วหลิ่วตาหัวเราะแปลกประหลาด สีหน้าแปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


สวีจื่อฉิงรีบก้มหน้าลงไป มองตำหนิหลินหว่านหรงเล็กน้อย แก้มขาวกระจ่างใสซับสีแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว “ต้องโทษเจ้าที่มาแกล้งข้า ทำให้พวกเขาหัวเราะเยาะข้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง จับมือนางพร้อมประชิดข้างใบหูอันขาวกระจ่างใสแล้วเป่าลมหายใจเซียนเบาๆ พูดเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “ให้พวกเขาหัวเราะไปเถอะ วันหลังโอกาสเช่นนี้ยังมีอีกมากมายนัก หัวเราะไปหัวเราะมาเดี๋ยวก็ชินเอง ข้าก็ผ่านมาแบบนี้นั่นล่ะ” 


 


 


“ขี้เกียจจะพูดกับเจ้าแล้ว ข้ากลับล่ะ!” คุณหนูสวีใบหน้าใบหูแดง ถอนตัวแล้วกำลังจะจากไป 


 


 


“ไม่รีบๆ” หลินหว่านหรงรีบจับมือนาง หัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “มีอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง ข้ายังไม่ทันได้บอกเจ้าเลยนะ!” 


 


 


เขาเอ่ยวาจาพลางขยิบตาอย่างมีเลศนัย ทำหน้าตาเหนียมอายแล้วประชิดใบหน้าเข้าไปใกล้ 


 


 


เจ้ามีเรื่องสำคัญอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีก?! ดวงตาที่พูดได้คุณหนูสวีเบิกกว้าง มองดูใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่คืบของเขา ใจเต้นรัวดังตึกตัก ฝ่ามือมีเหงื่อซึม  


 


 


หลินหว่านหรงจุมพิตเบาๆ ลงบนดวงหน้าอันงามยวนเย้าที่แดงสดใสราวกับจะหยาดหยดออกมาเป็นน้ำได้ใบหน้านั้น หัวเราะพร้อมพูดว่า “ก็คือเรื่องนี้ เจ้าว่าสำคัญมากไหมล่ะ!” 


 


 


“เฮ เฮ เอาอีก เอาอีก!” พวกของเกาฉิวผิวปากเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังสลับกันไปมา 


 


 


สวีจื่อฉิงสั่นเทาเบาๆ ไปทั้งร่าง ใบหน้าแดงปลั่งดั่งโลหิต หมุนกายแล้วหนีไปราวกับโผบิน “เจ้าคนต่ำช้าคนนี้ ข้าเกลียดเจ้าตายแล้ว!” 


 


 


“คุณหนูสวี คืนนี้ฝันดีนะ!” หลินหว่านหรงโบกมือพร้อมหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง 


 


 


“ฝันกับผีเจ้าน่ะสิ!” สวีจื่อฉิงหงุดหงิดโมโห หยุดฝีเท้าทันที จากนั้นก็ก้มลงแล้วหยิบทรายขึ้นมาสองกำ หมุนกายแล้วปาส่เขา หลินหว่านหรงร้องอ๊าๆ แปลกประหลาดแล้วกระโดดหลบ สองมือปัดฝุ่นดินเปะปะวุ่นวาย คุณหนูสวีหัวเราะพรวดเบาๆ มองเขาด้วยความรักอันล้ำลึกหลายครา นางหมุนกายแล้วเข้าไปในค่ายอย่างรวดเร็ว 


 


 


พวกของหูปู้กุยส่งเสียงเอหัวเราะแปลกประหลาดพร้อมเดินเข้ามาหา เหล่าเกาส่งเสียงจึ๊จ๊ะทอดถอนชมเชย “ดูดู นี่ก็คือฝีมือ! ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้ว ขอเพียงเป็นเพศเมีย ต่อให้เป็นแมลงวันตัวเมียก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือน้องหลิน! กุนซือสวีก็ตกหลุมพรางเช่นนี้ พวกเจ้าถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วล่ะสิ?!” 


 


 


พวกของหูปู้กุยตู้ซิวหยวนนับถืออย่างศิโรราบ ประสานมือคารวะกันอย่างต่อเนื่อง หลินหว่านหรงส่งเสียงฮึออกมาคราหนึ่งพร้อมกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ประจบให้มันน้อยหน่อย! วันหลังตอนที่ข้ากับคุณหนูสวีคุยเรื่องส่วนตัวกัน พวกท่านห้ามแอบมองข้าแล้ว! ข้าเหลือวิชาท่าไม้ตายแค่นี้ หากถูกพวกท่านเรียนรู้ไปจนหมด แล้วข้ายังจะอยู่ผายลมอย่างไร!” 


 


 


ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดัง  ถือว่าสวรรค์ทำให้คนสมหวังเสียที ได้เห็นแม่ทัพหลินกับกุนซือสวีคืนดีกับตาตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ดีงามอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง  


 


 


พูดคุยกันครู่หนึ่งก็มืดค่ำมากแล้ว หลินหว่านหรงมีเรื่องในใจจึงไม่ได้อยู่ในค่าย เขาโบกมือลาทุกคนแล้วออกมา ท้องฟ้ายามราตรีกระจ่างใส ดวงดาราดารดาษเต็มท้องฟ้า เมืองซิงชิ่งกลางดึกเงียบสงบเป็นพิเศษ มีเสียงสุนัขเห่าเด็กร้องเป็นระยะ ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่จริงๆ มากยิ่งขึ้น 


 


 


เมื่อเดินเข้าไปในลานบ้านขนาดเล็กแห่งนั้นก็มีกลิ่นหอมปะทะจมูกเข้ามา เปลวเทียนเปล่งแสงหรุบหรู่สะท้อนเงาอยู่บนกระดาษกรุหน้าต่าง ขาวสะอาดสงบนิ่ง อ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


“พี่สาว!” ประตูไม้บานนั้นยังไม่ได้ลั่นดาล เพียงผลักเบาๆ ก็เปิดออกแล้ว เขาเดินเข้าไปด้านในด้วยความยินดี ได้กลิ่นหอมจางๆ ของยา ทว่าภายในบ้านกลับไม่มีผู้ใด 


 


 


เมื่อเลิกผ้าม่านเข้ามาในห้อง บนโต๊ะวางเตาต้มชาขนาดเล็กซึ่งกำลังต้มยาเดือดปุดๆ อยู่ สตรีนางหนึ่งประชิดไปเบื้องหน้าเตา ริมฝีปากน้อยสีแดงสดเป่าผิวน้ำที่เดือดพล่านเบาๆ ไอน้ำบางลอยวนอยู่เบื้องหน้าใบหน้านาง 


 


 


นางใช้สองมือประคองชามด้วยความระมัดระวัง เงยหน้าอย่างแช่มช้าแล้วยิ้มให้เขา “โจรน้อย ต้องกินยาแล้ว!” 


 


 


“พี่สาว…” หลินหว่านหรงจมูกร้าวระบม เบ้าตาแดง เดินก้าวเข้าไปแล้วจะกอดนาง 


 


 


“กินยาก่อน!” นางเซียนเนตรงามเปล่งประกาย ยิ้มพร้อมดันชามยาส่งไปเบื้องหน้าเขา ขวางฝีเท้าเขาเอาไว้ หลินหว่านหรงอืมคราหนึ่ง จากนั้นก็รับยาไป ไม่สนใจว่ามันทั้งร้อนทั้งขม ดื่มอึกๆ คำโตลงไปหลายอึก 


 


 


เขาดื่มยาลงไปจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว หนิงอวี่ซีผงกศีรษะเล็กน้อย ตวัดผ้าออกมาจากอก เช็ดคราบที่มุมปากเขาอย่างใส่ใจ หัวเราะพร้อมเอ่ยออกมาว่า “แบบนี้ก็พอใช้ได้ เพียงแต่วันนี้ข้ากลับประหลาดใจอยู่บ้าง เหตุวันนี้เจ้าถึงกลายเป็นคนว่าง่ายเช่นนี้?!” 


 


 


“ข้าเป็นคนแบบนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่นา” เขาหัวเราะร่วนพร้อมนั่งลงบนขอบเตียง มองดวงหน้าอันงามพิสุทธิ์ของนางเซียนพร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยน “พี่สาว ข้ากอดท่านได้หรือไม่?! เชื่อข้า ที่บริสุทธิ์ใจแบบนั้น!” 


 


 


นางเซียนหนิงหน้าแดงสดใส นี่กลับประหลาดนัก หรือว่าโจรน้อยจะเปลี่ยนสันดานไปแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาไหนเลยจะมีมารยาทเช่นนี้ อย่าว่าแต่บริสุทธิ์ใจเลยต่อให้เป็นเรื่องแย่กว่านี้เป้นร้อยเท่า เขาก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำมาก่อน 


 


 


“เจ้ามาถามข้าทำไม” หนิงอวี่ซีก้มหน้า เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ “มีครั้งใดบ้างที่ยังไม่ตามใจเจ้าอีก?!” 


 


 


โจรน้อยหัวเราะร่วนพร้อมใช้ศีรษะดันไปที่หน้าอกนาง ออกแรงเสียดสีอยู่หลายครั้ง นางเซียนร่างร้อนรุ่ม ใจเต้นเร็วรี่ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมอกตนคนนั้นกลับหยุดการเคลื่อนไหว เพียงกอดนางแน่นเท่านั้น ราวกับจะต้องการจะหลอมละลายเข้าไปในร่างนาง 


 


 


นี่เป็นอะไรไปน่ะ เขากลับทำตัวเรียบร้อยขึ้นมาจริงๆ? หนิงอวี่ซีรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นางก้มหน้ามอง เห็นว่าโจรน้อยเบิกตากว้าง ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายสุกสกาว กำลังมองนางอย่างเหม่อลอย ความอ่อนโยนที่มีอยู่ภายในดวงตานั้นต่อให้เป็นดาบเหล็กอันแข็งแกร่งก็ถูกเขาหลอมละลาย 


 


 


นางเซียนใจเต้นเร็วรี่ ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งความทุกข์และความสุขต่างเอ่อท้นขึ้นมาภายในใจ น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างภายในชั่วพริบตา  


 


 


“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงมองข้าเช่นนี้?” 


 


 


หัวเราะทั้งน้ำตา ยื่นมืองามเรียวยาวออกไปแล้วค่อยๆ ปัดทรายที่เปื้อนเส้นผมเขาเบาๆ  


 


 


หลินหว่านหรงตะกายร่างขึ้นมาแล้วจับมือนางแน่น มองนางอย่างเหม่อลอย “พี่สาว เมื่อเช้าตอนที่เจอพวกหูปู้กุย ข้ารู้สึกดีใจมาก แต่พอหันกลับมาแล้วทำไมกลับไม่เห็นท่านเลย!” 


 


 


นางเซียนหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “เจ้ากับพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง กำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่ ข้าอยู่ข้างกายเจ้าจะไม่สะดวก ดังนั้นจึงย่อมหลบไป! ทำไม เจ้ายังกลัวว่าข้าจะหนีไปอีกหรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวเบาๆ ออกมาว่า “ไม่ขอปิดบังพี่สาว ข้ากังวลว่าท่านจะจากข้าไป หากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีใครโอ๋ให้ข้ากินยา กอดข้านอน ไม่มีใครแอบฝังเข็มให้ข้ากลางดึกอีก ข้าไม่มีพัด ไม่มีหมอน ไม่มีพี่สาวนางเซียน แล้วชีวิตนี้ยังจะมีความหมายอะไรกันอีก?!” 


 


 


นางเซียนหนิงเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาของเขา แล้วกล่าวระคนหัวเราะอย่างอ่อนโยน “พูดเหลวไหล ข้าไม่ได้รอเจ้า อยู่ที่นี่มาตลอดหรอกหรือ?! เมื่อก่อนอาจยังลังเลอยู่บ้าง แต่นับตั้งแต่ตอนที่เจ้าเอาตัวมาขวางอยู่หน้าข้า ข้าก็รู้แล้วว่าทุกภพทุกชาติไม่อาจสลัดคำสาปร้ายเช่นโจรน้อยอย่างเจ้านี้ได้อีกแล้ว! ให้ข้าไปจากเจ้า คงได้แต่เอาชีวิตข้าไปแล้วล่ะ!” 


 


 


“วางใจๆ ไม่มีผู้ใดทำร้ายพี่สาวได้!” โจรน้อยจับมือนางอย่างหน้าชื่นตาบาน กล่าวด้วยความหนักแน่นออกมาว่า “ข้ารู้ เพราะท่านเป็นอาจารย์ของชิงเสวียนเลยไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริงมาก่อน ดังนั้นท่านถึงคิดกลับไปที่ยอดเขาเชียนเจวี๋ย! แต่ว่าพี่สาวโปรดวางใจ ข้าต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย! ท่านคิดดู ข้าเป็นใครกัน? ข้าคือหลินซานผู้มีชื่อเสียงโด่งดังนะ! เจียงหนานเจียงเป่ย ทั้งนอกและในฉางเฉิง มีใครบ้างที่ไม่รู้ความสามารถของพี่หลินซาน ฮิฮิ!” 


 


 


นางเซียนเช็ดน้ำตา หัวเราะพร้อมส่ายหน้า “กลับรู้จักแต่คุยโว! หากเจ้ามีความสามารถก็จัดการเรื่องของข่านใหญ่ทูเจวี๋ยนั่นให้ได้ก่อน ข้าถึงจะเชื่อเจ้า!” 


 


 


นี่มันช่างไม่อยากพูดถึงเรื่องไหนก็พูดถึงเรื่องนั้นเสียจริง จิตใจอันฮึกเหิมเมื่อครู่มลายไปสิ้นภายในชั่วพริบตา หลินหว่านหรงส่ายศีรษะด้วยหน้าตาอมทุกข์ ถอนหายใจยาวคราหนึ่ง “พี่สาวไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ เรื่องของข้ากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์เกี่ยวพันถึงบ้านเมือง ถือว่าต้องจากเป็นจากตาย ทั้งรักทั้งแค้น สิ่งที่ท่านคิดได้ก็มีเกือบหมด แล้วไหนเลยจะแก้ไขได้ง่ายดายขนาดนั้น? หากข้าไปเจรจากับนางจริง จะรักก็ไม่รัก จะแค้นก็ไม่แค้น ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ทั้งยินดีทั้งเสียใจแบบนี้จะเจรจาออกมาเป็นสภาพเช่นไรได้?!” 


 


 


โจรน้อยพูดจามีเหตุผลอยู่บ้าง สถานการณ์ที่ตัดไม่ขาด จัดการก็ยิ่งยุ่งแบบนี้ เกรงว่าจะทำให้แนวโน้มยากจะจัดการมากขึ้นมากกว่า! 


 


 


นางเซียนผงกศีรษะเล็กน้อย “วุ่นวายอยู่บ้าง เพียงแต่ ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะดีกว่าสถานการณ์ตอนนี้กระมัง! ตอนนี้สองแคว้นกำลังประจันหน้าไม่ยอมกัน หากไม่ระวังก็จะสูญเสียทั้งสองฝ่าย ประชาชนทุกข์เข็ญ! ถึงเวลาก็จะสั่งสมความแค้นยากหวนคืน สองฝ่ายเป็นเหมือนน้ำกับไฟ จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มตายถึงจะเลิกรา สถานการณ์เช่นนั้นปราศจากผู้ได้รับผลดี!” 


 


 


หลินหว่านหรงเงียบงันไปนาน จากนั้นจึงเอ่ยออกมาเบาๆ “พี่สาว ความหมายของท่านคือข้าควรไป?!” 


 


 


“มีเรื่องบางอย่าง หากเอาแต่หลบหนีนั่นกลับไม่อาจสบายใจได้ ไม่สู้เปิดอกเผชิญหน้า จะเป็นหรือตายก็ต้องรู้ให้แน่ชัดจะดีกว่า!” หนิงอวี่ซีลูบไล้เส้นผมเขาเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่อาจมีผลกระทบต่อปณิธานของเจ้าได้ ทุกอย่างเจ้าต้องเป็นคนตัดสินใจถึงจะถูก” 


 


 


ไปหรือไม่ไปดี?! หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ รู้สึกว่าความทุกข์ยากในชีวิตมนุษย์ไม่อาจมีสิ่งใดเหนือกว่านี้แล้ว!!  

 

 


ตอนที่ 616 - 2 เจ้ากล้าจุมพิตข้าหรือไม่?

 

ลมทะเลทรายพัดอย่างบ้าคลั่งส่งเสียงดังซ่าๆ กวาดม้วนผ่านทะเลทรายและทุ่งหญ้า หมุนวนขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็ปลิวกระจายไปทั่วจนเกิดเป็นฝนทราย เป็นภาพอันแสนจะยิ่งใหญ่นัก 


 


 


อาชาพ่วงพีหลายตัววิ่งห้อตะบึงมาแล้วหยุดนอกปะรำยาว สวีจื่อฉิงกระโดดลงจากม้าศึก สะบัดฝุ่นดินบนตัว ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร พายุทะเลทรายรุนแรงขนาดนี้ไม่เคยเห็นที่ชายแดนมานานหลายปีแล้ว” 


 


 


“เมื่อเทียบกับพายุหมุนในทะเลแห่งความตาย ทรายแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้?!” เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังข้างใบหูนาง ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่เร็วไม่ช้า คล้ายเสียงที่ลอยล่องมาจากสรวงสวรรค์ 


 


 


คุณหนูสวีหันหน้ากลับมา เห็นว่าข่านใหญ่ดาบทองผู้งดงามคนนั้นหยุดม้าแล้วยืนชดช้อยอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ กำลังทอดสายตามองทรายที่ปลิวอยู่เต็มท้องฟ้า ดวงตาบัดเดี๋ยวเปล่งประกาย บัดเดี๋ยวหมองหม่น บัดเดี๋ยวเอียงอาย บัดเดี๋ยวเศร้าโศก ประหนึ่งภาพเขียนอันล้ำลึกภาพหนึ่ง ใบหน้าด้านข้างของนางสูงสง่างามยวนเย้าอ่อนโยน เปล่งประกายเรืองรองเบาบาง สูงส่งสะดุดตาราวกับดอกเหมยอันบริสุทธิ์ผุดผ่องท่ามกลางลมทะเลทรายอันบ้าคลั่ง  


 


 


สวีจื่อฉิงประสานมือเล็กน้อย กล่าวเสียงเจื้อยแจ้วออกมาว่า “ข่านใหญ่ช่างมาเช้าเสียจริง!” 


 


 


“คุณหนูสวีก็เหมือนกันมิใช่หรือ?!” อวี้เจียสายตาเรียบเฉย กวาดตามองด้านหลังคราหนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อย “แม่ทัพเฒ่าหลี่ไม่ได้มา คุณหนูสวีเองก็พาผู้ติดตามมาไม่กี่คน ต้าหัวไม่ให้ความสำคัญเช่นนี้ ดูท่าการเจรจาวันนี้เหมือนจะไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่นะ!” 


 


 


“ข่านใหญ่กล่าวเร็วเกินไป” คุณหนูสวีแค่นเสียง “สองฝ่ายเจรจาไม่เกี่ยวว่าจะมีจำนวนคนมากเท่าใด จอมทัพหลี่ไม่ได้มาด้วยตนเองเพราะท่านมอบหมายทุกสิ่งให้ข้าแล้ว ขอเพียงข่านใหญ่มีความจริงใจ จื่อฉิงจะเป็นตัวแทนต้าหัวอย่างเต็มที่ พวกเราคุยได้ทุกเรื่อง” 


 


 


อวี้เจียแหงนหน้ามองทรายที่มีอยู่เต็มท้องฟ้า เงียบงันอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “เอาเถอะ ถือว่าสวรรค์ประทานโอกาสในการเจรจาครั้งสุดท้ายให้พวกเราสองฝ่าย หวังว่าคุณหนูสวีจะรักษาไว้ด้วยดี สองแคว้นของเราจะประสบสันติสุขหรือว่าประหัตประหาร บางทีอาจอยู่ที่ความคิดชั่ววูบของคุณหนูสวีแล้ว” 


 


 


สวีจื่อฉิงยิ้มหยัน “คำกล่าวนี้น่าจะเป็นข้าที่กล่าวกับข่านใหญ่!” 


 


 


อวี้เจียหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อยพร้อมตวาดเบาๆ “ลู่ตงจ้าน!” 


 


 


ราชครูทูเจวี๋ยใช้มือแตะหน้าอก กล่าวด้วยความเคารพ “ท่านข่านใหญ่มีรับสั่งอันใดพ่ะย่ะค่ะ?” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวเรียบๆ “ให้ราชครูทูเจวี๋ยของเราเจรจากับกุนซือสวีคิดว่าคงไม่ได้ผิดต่อต้าหัวที่มาเป็นแขก ราชครู เงื่อนไขที่ข้าเสนอเจ้าเข้าใจแจ้มชัดแล้วใช่หรือไม่?! นั่นคือขีดจำกัดที่ทูเจวี๋ยเราจะทนได้แล้ว ห้ามถอยแม้แต่ก้าวเดียว” 


 


 


ลู่ตงจ้านผงกศีรษะเล็กน้อย ท่าทางมั่นอกมั่นใจ สวีจื่อฉิงเข้าใจ ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยกำหนดเงื่อนไขแน่นอนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว การเจรจากับลู่ตงจ้านก็แค่พอเป็นพิธีเท่านั้น เห็นชัดว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน ความแข็งกร้าวของอวี้เจียกับความกล้าที่ยอมตายของนาง ต้าหัวกับทูเจวี๋ยยากจะบรรลุข้อตกลงได้ตลอดกาล  


 


 


การเจรจาจะสิ้นสุดกันไปแบบนี้หรือ?! เขาไม่มาจริงหรือ? เขาละทิ้งสตรีผู้ยอดเยีย่มเช่นนี้ได้จริงหรือ? ต้าหัวกับทูเจวี๋ยจะรบกันไปตลอดกาลเช่นนี้หรือ? สวีจื่อฉิงถอนหายใจอย่างเงียบงันคราหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรยินดีหรือกลัดกลุ้ม ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาภายในจิตใจ  


 


 


“คุณหนูสวี เจ้าคิดว่าสองแคว้นของเรายังมีความจำเป็นต้องเจรจากันต่อไปอีกหรือ?” อวี้เจียสายตาสงบนิ่ง จ้องดวงตาสวีจื่อฉิงเขม็ง คล้ายมีแรงกดดันมหาศาลที่ยากจะบรรยายได้กดทับจิตใจคุณหนูสวีอย่างรุนแรง 


 


 


สตรีแห่งทุ่งหญ้าซึ่งเป็นเจ้าผู้ปกครองแห่งยุคผู้นี้ บารมีหาใช่ธรรมดา สวีจื่อฉิงสงบลมหายใจ ขณะกำลังจะเอ่ยวาจาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังกระหึ่ม มีม้าห้อตะบึงท่ามกลางฝุ่นทรายจากสถานที่อันห่างไกล กลับเป็นทหารต้าหัวนายหนึ่ง 


 


 


ทหารผู้นั้นเดินตรงไปเบื้องหน้าคุณหนูสวีพร้อมคุกเข่า “เรียนกุนซือสวี ท่านแม่ทัพแจ้งว่าชาวทูเจวี๋ยชอบเช่นการกดดันเช่นนี้! พวกเรากับทูเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องเจรจากันอีกต่อไป ขอท่านกุนซือโปรดกลับค่ายโดยเร็วขอรับ” 


 


 


ท่านแม่ทัพ? ท่านแม่ทัพคนไหน? สวีจื่อฉิงอึ้งเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกล่าวด้วยความตื่นเต้นยินดี “เขา เขามาแล้ว?!” 


 


 


“ขอรับ! ท่านแม่ทัพเชิญกุนซือสวีกลับค่ายโดยเร็ว!” 


 


 


สวีจื่อฉิงหมุนกายด้วยความยินดี ทอดสายตามองทะเลทรายอันห่างไกล รถม้าคันหนึ่งจอดสงบนิ่ง ผ้าม่านรถขยับวูบไหวเล็กน้อย ทรายเหลืองปลิวว่อนจนแทบจะกลบมิด จากสถานที่ที่จอดอยู่ ห่างจากปะรำแค่ไม่กี่ลี้ ทว่ารถม้ากลับไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว 


 


 


คุณหนูสวีหัวเราะพลางผงกศีรษะ เอ่ยกับอวี้เจียด้วยท่าทีหยิ่งผยอง “ในเมื่อข่านใหญ่คิดว่าพวกเราสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องเจรจากันอีก เช่นนั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว พบกันบนสนามรบวันหน้าก็แล้วกัน จื่อฉิงขอลา!” 


 


 


นางพลิกตัวขึ้นม้า หวดแส้อย่างเร็วรี่ อาชาพ่วงพีตัวนั้นร้องยาวๆ คราหนึ่ง สะบัดกีบเท้าแล้วมุดเข้าไปท่ามกลางลมทะเลทราย วิ่งห้อตะบึงไปยังสถานที่อันห่างไกล 


 


 


เหตุการณ์นี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคน ความเร็วในการถอนตัวออกจากการเจรจาของต้าหัวกลับรวดเร็วกว่าที่ชาวทูเจวี๋ยคิดเอาไว้มาก บอกจะมาก็มา บอกจะไปก็ไป ปราศจากการชักช้าแม้แต่น้อย 


 


 


ราชครูทูเจวี๋ยอึ้งอยู่นาน ผ่านไปเนิ่นนานถึงพูดด้วยความสงสัยเสียงแผ่วเบา “ท่านข่านใหญ่ ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?! หรือว่าจะเปิดศึกกับต้าหัวตอนนี้จริง? ท่านข่านใหญ่ ท่านข่านใหญ่!” 


 


 


เขาเอ่ยถามต่อเนื่องหลายครั้ง ทว่าอวี้เจียกลับไร้ปฏิกิริยาแม้แต่น้อย แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่ได้ยิน 


 


 


ลู่ตงจ้านรีบเงยหน้า เห็นว่าสายตาของข่านใหญ่ดาบทองกำลังจ้องมองสถานที่อันห่างไกลอย่างลึกซึ้ง ส่วนมือน้อยที่กุมดาบทองกลับสั่นเทาเล็กน้อย 


 


 


“ท่านข่านใหญ่…” 


 


 


“เตรียมม้า!” อวี้เจียร้องเรียกเบาๆ น้ำเสียงยืนกรานอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


มีทหารม้าทูเจวี๋ยส่งอาชาเหล็กมาให้ อวี้เจียมองรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ไกลๆ คันนั้น ใจเต้นรัวดังตึกตักในบัดดล นางพยายามสงบลมหายใจอย่างเต็มที่ กระโดดขึ้นคร่อมม้าอย่างรวดเร็ว พร้อมตวาดว่า “ไป!” เสียงดังเจื้อยแจ้ว โถมกายพุ่งทะยานไปยังสถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าสีทอง 


 


 


ลู่ตงจ้านเห็นแล้วก็ตื่นตระหนก รีบโบกมือ “ท่านข่านใหญ่ นั่นคือเขตแดนต้าหัว มิอาจไปได้ มิอาจไปได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


อวี้เจียท่าร่างแข็งแรง เคลื่อนที่รวดเร็วดั่งสายลม ไหนเลยจะได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกของมัน เมื่อเห็นสวีจื่อฉิงไปถึงหน้ารถม้าคันนั้น กำลังยื่นศีรษะเข้าไปด้านในพร้อมเอ่ยวาจา รอยยิ้มบนใบหน้างดงามยวนเย้ายิ่งกว่าบุปผา รถม้าคันนั้นก็หมุนเปลี่ยนทิศทาง กำลังจะเคลื่อนที่กลับไป 


 


 


“ไป!” ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยตวาดอย่างรุนแรง เล็งรถม้าที่เริ่มเคลื่อนที่อย่างแช่มช้าคันนั้น ใช้ฝีมือการขี่ม้าออกมาจนถึงขีดสุด อาชาใต้ร่างพุ่งปราดออกไปดั่งดาวตก ทรายส่งเสียงหวีดหวิวข้างใบหูนางดั่งห่าธนู 


 


 


สามร้อยจั้ง สองร้อยจั้ง เมื่อเห็นว่ารถม้าคันนั้นใกล้ตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ผ้าม่านที่ขยับวูบไหวมองเห็นอย่างชัดเจน อวี้เจียกัดฟันกรอดทันที หวดแส้ดังขวับ อาชาใต้ร่างแหงนหน้าส่งเสียงร้อง พุ่งไปถึงราวกับสายฟ้าฟาด 


 


 


“หยุด!” ม้าแหงนหน้ากู่ร้อง เงาร่างสีทองสายหนึ่งหยุดอยู่หน้สรถม้าราวกับสายอสุนีบาตกรีดท้องนภา ม้าศึกของทั้งสองฝ่ายหยุดฝีเท้าพร้อมกัน กู่ร้องยาวดังกึกก้องไม่หยุด 


 


 


สวีจื่อฉิงตกใจยิ่งนัก เอ่ยด้วยโทสะออกมาว่า “ข่านใหญ่ทูเจวี๋ย เจ้ารุกล้ำเขตแดนต้าหัวโดยพลการ คิดจะทำสิ่งใด?!” 


 


 


อวี้เจียส่ายหน้าอย่างเงียบงัน กระโดดลงจากม้าเบาๆ เดินไปข้างหน้าอย่าแช่มช้าทีละก้าว ทีละก้าว ยิ่งเข้าไปใกล้ ใจก็เต้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น แทบจะสะกดกลั้นลมหายใจตนเองไม่อยู่แล้ว 


 


 


ร่างกายนางสั่นเทาเล็กน้อย พิงเพลารถอย่างหมดแรง ยื่นมืองามอันเรียวยาวออกไปลูบไล้ผ้าม่านรถอย่างอ่อนโยน น้ำตาทำให้สองตาพร่าเลือนในบัดดล “คนที่อยู่ในรถ เจ้ากล้าจุมพิตข้าหรือไม่?!”  

 

 


ตอนที่ 617 พบกันอีกครา

 

สวีจื่อฉิงอยู่ใกล้นางมากที่สุด เมื่อเห็นข่านใหญ่ยืนพิงราวกั้น น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน จอนผมขาวและการตัดพ้อโดย ไร้ซึ่งสรรพสำเนียงนั้น ราวกับว่าแม้แต่ฟ้าดินก็ยังต้องล่มสลายให้ 


 


 


สตรีผู้ซื่อสัตย์จริงใจเช่นนี้บนโลกนี้จะมีสักกี่คนกัน? คุณหนูสวีจมูกร้าวระบม เบือนหน้าไปเล็กน้อย กลับต้องน้ำตาไหลรินเพราะสตรีชนเผ่านอกด่านผู้นี้ 


 


 


ความเงียบงันอันไร้ประมาณราวกับจะทำให้ลมทะเลทรายหยุดชะงัก  


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ภายในรถบังเกิดเสียงถอนหายใจหนักๆ ขึ้นมาคราหนึ่ง “กลับไปเสียเถอะ ล่วงล้ำพรมแดนมาแล้ว!”  


 


 


เสียงนี้แม้ว่าจะแผ่วเบา ทว่ากลับเหมือนกระบี่คมที่ออกจากฝัก อวี้เจียร่างสะท้านอย่างรุนแรง น้ำตาไหลรินดั่งสายฝน กลับสะอึกสะอื้นจนไม่อาจพิงร่างกายได้อีกต่อไป “เหตุใดต้องถึงไม่กล้าจุมพิตข้า เพราะอะไร เพราะอะไร?!” 


 


 


นางใช้สองมือประคองร่างกับเพลารถ นิ้วมือเรียวยาวทั้งสิบนิ้วประหนึ่งจะจิกให้จมลึกลงไปในตัวไม้ ร่างกายสั่นระริกอย่างรุนแรงราวกับกระชอนที่กำลังแกว่งไกว เสียงแทบจะเหมือนนกขมิ้นที่ร่ำร้องจนกระอักโลหิต คล้ายร่ำไห้คล้ายตัดพ้อ ถุงน้ำที่ห้อยอยู่ด้านหลังแกว่งไกวอย่างรวดเร็วตามร่างกายของนาง มุมที่ผ่านการปะชุนนั้นปักเป็นผีเสื้อโบยบินคู่หนึ่งอย่างวิจิตรบรรจง บินวูบไหวไปมา ประหนึ่งบุปผาผีเสื้อที่งดงามที่สุดท่ามกลางลมพายุทะเลทราย  


 


 


ท่ามกลางความเงียบงัน ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากผ้าม่านอย่างแช่มช้าด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อย รอยฟันลึกบนหลังมือมองเห็นได้อย่างชัดเจน คล้ายจันทร์เสี้ยวอันงดงามบนท้องนภา  


 


 


อวี้เจียร่ำไห้อย่างเงียบงัน น้ำตาดั่งสายฝน นางรีบยื่นมือน้อยที่สั่นระริกอย่างรุนแรงออกไป สามชุ่น สองชุ่น ห่างกันแค่คืบ ทว่าว่ามือนางกลับค่อยๆ เชื่องช้าลง ร่างกายสั่นสะท้านราวกับหลิวต้องลม น้ำตาเปียกชุ่มสาบเสื้อภายในชั่วพริบตา  


 


 


มืองามลดลงเบาๆ เมื่อสัมผัสถูกฝ่ามืออันกว้างใหญ่นั้นร่างกายนางก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง นั่งล้มพับอ่อนยวบอยู่บนพื้น นิ้วทั้งห้าจิกเข้าไปในเนื้อฝ่ามือเขาอย่างรุนแรง สัมผัสได้ว่าฝ่ามืออันอบอุ่นของเขานั้นกำลังสั่นเทาไปพร้อมกับจิตวิญญาณของนาง  


 


 


“ข้าแค้นเจ้า!” ข่านดาบทองผู้งดงามกล่าวพึมพำกับตัวเอง แนบใบหน้าลงบนฝ่ามืออันอบอุ่นและกำลังสั่นเทาของเขาอย่างช้าๆ น้ำตาไหลลงบนฝ่ามือเขาอย่าเงียบงันทีละหยดทีละหยด ลมทะเลทรายกวาดม้วนเข้ามาทว่ากลับไม่อาจกลบความเปล่งประกายนี้ได้  


 


 


เมื่อเงียบเช่นนี้ทุกคนจึงไม่กล้าเอ่ยวาจา ด้วยกลัวว่าหากเอ่ยปากก็จะส่งผลกระทบต่อภาพอันแสนจะงดงามที่สุดบนโลกนี้  


 


 


ลมพายุไม่รู้ว่าหยุดไปตั้งแต่เมื่อใด บนร่างกายและเส้นผมของข่านดาบทองเต็มไปด้วยเม็ดทราย นางนั่งอย่างสงบนิ่งอยู่บนพื้นทรายข้างรถ ใบหน้าแนบอยู่บนฝ่ามืออันกว้างใหญ่นั้น ดวงตาอันงดงามทั้งสองข้างหลับสนิท ขนตาเรียวยาวเต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างที่ยังไม่แห้ง ทว่าน้ำตาจะไหลจนเหงือกแห้งไปหมดแล้ว  


 


 


ราชครูทูเจวี๋ยกับผู้ติดตามสิบกว่าคนทางด้านหลังซึ่งไม่รู้ว่าตามมาทันตั้งแต่เมื่อใดค้อมกายลงเล็กน้อยพร้อมเบาๆ ว่า “ท่านข่านใหญ่ พวกเราควรกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านข่านใหญ่ ท่านข่านใหญ่!”  


 


 


เขาร้องเรียกอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ถึงกระนั้นอวี้เจียกลับเหมือนไร้สติ ไม่ตอบแม้แต่น้อย 


 


 


ลู่ตงจ้านอับจนปัญญา ประสานมือคารวะเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ที่อยู่ในรถ คือใต้เท้าหลิน?!”  


 


 


“พี่ลู่ พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว!” ใต้เท้าหลินถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง 


 


 


เสียงนี้ถ้าไม่ใช่หลินซานแล้วจะเป็นใครได้อีก? ราชครูทูเจวี๋ยมองข่านดาบทองที่นั่งขดตัวอยู่บนพื้น ฉะนั้นจึงแค่นเสียงออกจมูกด้วยความหงุดหงิดโมโห “พบหน้า?! ใต้เท้าหลิน ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง เจ้าหลบอยู่ในรถ เจ้ามองเห็นข้าแต่ข้ากลับมองไม่เห็นเจ้า!”  


 


 


ลู่ตงจ้านกำลังทวงความยุติธรรมให้ข่านดาบทอง! ใต้เท้าหลินเงียบงันอยู่นาน จากนั้นจึงถอนหายใจ “พี่ลู่ ความรู้สึกของข้าท่านเข้าใจหรือ?!”  


 


 


จะเข้าใจได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ประสบการณ์ของแต่ละคน ลู่ตงจ้านคิดแล้วคิดอีก จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญาเช่นกัน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี  


 


 


อวี้เจียร่างสั่นระริกเล็กน้อย เบิกตาโพลงขึ้นมาทันที มองฝ่ามือที่เต็มไปด้วยคราบโลหิตนั้น บนนั้นมีรอยเล็บขนาดเล็กละเอียดกระจัดกระจายสะเปะสะปะจนแทบจะจมลึกลงไปถึงกระดูก คราบโลหิตจางๆ แปดเปื้อนใบหน้านางจนกลายเป็นสีแดง นางพลันกัดฝ่ามือนั้นอย่างรุนแรงด้วยน้ำตาร้อนนองหน้า จากนั้นก็ผละออกไปราวกับสายฟ้าแลบ “เข้าใจอะไร? ข้าไม่เข้าใจ! ข้าแค้นเจ้า ข้าจะแค้นเจ้าตลอดไป!” 


 


 


นางส่งเสียงร้องคราหนึ่งจากนั้นก็วิ่งโถมตัวเข้าไปในพายุทะเลทราย รวดเร็วดั่งสายลม แม้แต่รองเท้าก็ทิ้งไว้โดยไม่สนใจ นางวิ่งเข้าไปในลมทะเลทรายอย่างเอาเป็นเอาตาย ถุงเท้าสีขาวบริสุทธิ์กลายเป็นสีเหลืองหม่นภายในชั่วพริบตา  


 


 


“ขอลา!” ลู่ตงจ้านรีบประสานมือคารวะ ควบม้ากลับไปพร้อมกับผู้ติดตามจำนวนสิบกว่าคนนั้น ไล่ตามเงาร่างของข่านดาบทองไป “แม้แต่จุมพิตสักครั้งก็ยังไม่ยอมเลยหรือ?! โจรน้อย เจ้าออกจะใจไม้ไส้ระกำเกินไปแล้ว!” เงาร่างที่วิ่งเปะปะวุ่นวายของอวี้เจียค่อยๆ จากไปไกล หนิงอวี่ซีปล่อยผ้าม่านลง ดวงตาทั้งสองข้างอดเปียกชื้นไม่ได้  


 


 


เมื่อมองดูฝ่ามือที่มีรอยโลหิตของตน เขามองดูด้วยท่าทีเหม่อลอย ทันใดนั้นร่างก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง หอบหายใจพร้อมส่ายหน้า “พี่สาว ข้าไม่กล้าจุมพิตนางจริงๆ เพราะขอเพียงจุมพิตนางแค่ครั้งเดียว ข้าก็ไม่อาจหักใจอำมหิตได้ตลอดกาล แค่ก…” 


 


 


เขาไอออกมาอย่ารุนแรง เจ็บปวดจนต้องโน้มตัวลงไป ใบหน้าผุดสีแดงเข้มสดใส เจ็บปวดราวกับอวัยวะภายใจฉีกขาด โลหิตสดๆ ไหลทลักออกมาจากมุมปากราวกับสายฝน 


 


 


“โจรน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? โจรน้อย…” นางเซียนร้องด้วยความตกใจ รีบกอดเขาเข้าไปในอ้อมอก 


 


 


โจรน้อยหน้าซีด หน้าอกสั่นสะท้านอย่างเร็วรี่ โลหิตไหลซึมออกมาไม่หยุด ไหลออกมาจากมุมปากไปจนถึงหน้าอก น้ำตาบนใบหน้าไหลพรั่งพรูราวกับคันกั้นแม่น้ำฮวงโหพังทลาย ยิ่งเช็ดก็ยิ่งมากขึ้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หยุดไม่อยู่  


 


 


“พี่สาว!” เขากอดนางเซียนหนิง ซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมอกอันแสนจะอบอุ่นของนาง กลับร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดราวกับเด็กน้อย ยิ่งร้องเสียงก็ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ ร้องโหยหวนปิ่มว่าจะขาดใจ ตัดทะลุผ่านลมพายุทะเลทราย ดังสะท้อนก้องไปทั่วทุ่งหญ้าและทะเลทรายไม่หยุด 


 


 


นางเซียนกอดเขา ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาแม้แต่ประโยคเดียว เพียงกอดเขาแน่นเท่านั้น แบ่งปันความทุกข์ระทมอันไร้ประมาณที่มีอยู่ภายในใจเขา 


 


 


ข่านดาบทองซึ่งเพิ่งไปถึงเขตพรมแดนร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง คล้ายสัมผัสอะไรได้เยี่ยงนั้น นางหมุนกายกลับมาอย่างแช่มช้า ทอดสายตามองไปยังสถานที่อันห่างไกล นั่งล้มพังพาบอยู่บนพื้นอย่างเงียบงัน 


 


 


“อัวเหล่ากง…” นางร้องเรียกด้วยเสียงอ่อนโยน หัวเราะไปหัวเราะมาน้ำตาก็นองสองแก้ม… 


 


 


“หากเอ่ยถึงวันนี้ น้องหลินกระอักโลหิตแปดตำลึง เยวี่ยหยาเอ๋อร์หลั่งน้ำตาห้าจิน ทำให้ฟ้าดินหม่นหมอง สุริยันจันทราอับแสง! ลมทะเลทรายคลุ้มคลั่ง ทุ่งหญ้าหิมะโปรย ถือว่าความจริงใจของอวี้เจียทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ความรักของน้องหลินทำให้ผีสางเทวดาร่ำไห้! ไม่ว่าชนเผ่านอกด่านหรือว่าชาวต้าหัวต่างตื้นตันจนน้ำหูน้ำตาไหล คุกเข่าขอให้สวรรค์คุ้มครองให้คนมีรักสุดท้ายได้สมหวัง” 


 


 


“เหล่าเกา เจ้าจะพูดให้ช้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจดไม่ทันแล้ว!” ตู้ซิวหยวนเขียนไม่หยุด หมอบยู่บนกระดาษขาวพู่กันเสี่ยวข่ายโบกสะบัดไม่หยุด จดบันทึกเรื่องแต่งของเหล่าเกาไว้ทุกถ้อยคำ 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะพร้อมตบโต๊ะ “จดผายลมน่ะสิ! อย่าไปฟังเจ้านี้พูดเพ้อเจ้อ น้องหลินกระอักโลหิตแปดตำลึงก็ชั่งมันเถอะ เยวี่ยหยาเอ๋อร์หลั่งน้ำตาห้าจิน? นั่นยังไม่ตัวแห้งแล้วหรือ ยังมีลมทะเลทรายคลุ้มคลั่ง ทุ่งหญ้าหิมะโปรย ชนเผ่านอกด่านชาวต้าหัวคุกเข่าอีก เจ้านึกว่านี่คือการบุกโจมตีเค่อจือเอ่อร์หรือไงหา?! เพียงแต่การศึกที่ราชธานีทูเจวี๋ยถึงควรจดบันทึกแบบนี้ได้จริง เหล่าเกาไม่ได้คุยโว! ขอวกกลับมา หลายวันก่อนแม่ทัพหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์กลับมาโดยไม่ได้แม้แต่จะเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ เหล่าเกาเจ้ากลับกลับแพร่เรื่องแต่งนี้ไปถึงเหลาสุราโรงน้ำชา นั่นไม่ใช่การชี้นำปวงชนให้เข้าใจผิดหรอกหรือ?” 


 


 


“ก็แค่เอาหลายเรื่องมาผสมกันก็เท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นทำให้เข้าใจผิด” เกาฉิวกระโดดลงจากโต๊ะ หยิบชาขึ้นมาแล้วกระดกดื่มเสียงดังอึกๆ ราวกับหิวกระหายพร้อมเช็ดมุมปาก หัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “วันก่อนไม่ได้พบ พรุ่งนี้ไม่ใช่ว่าจะได้พบหน้ากันแล้วหรือ?! ถือว่าจองเรื่องเด็ดๆ ล่วงหน้าก็แล้วกัน! น้องหลินพูดแล้ว การเจรจาวันพรุ่งนี้เขาจะไปด้วยตัวเอง! ข้าเป็นฝ่ายไปขออนุญาตมาแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปด้วย เหล่าหู เจ้าจะไปหรือไม่?!” 


 


 


ไม่ใช่แค่หูปู้กุย แม้แต่สวี่เจิ้นหลี่อู่หลิงที่ฟังอยู่ด้านข้างก็ร้อนใจ ส่วนตู้ซิวหยวนก็ยิ่งตบพู่กัน “พวกเราจะไปด้วย!” 


 


 


การเจรจารอบที่สองเกิดเหตุพลิกผัน แปรเปลี่ยนเหนือความคาดหมาย ยังไม่ทันเริ่มก็จบลงแล้ว เมื่อวานเช้าชาวทูเจวี๋ยส่งสารซึ่งเขียนโดยข่านดาบทองมาให้อีกครั้ง นัดหมายการเจรจาครั้งที่สามในวันพรุ่งนี้ ทว่าความจริงทุกคนต่างรู้ดีว่านี่คืออวี้เจียต้องการนัดแม่ทัพหลิน! ผู้ที่มีประสบการณ์ร่วมเป็นร่วมตาย ทุกข์สุขพบจากร่วมกับพวกเขา ใครบ้างจะไม่อยากดูให้ถึงที่สุด? ส่วนชะตาของทูเจวี๋ยและต้าหัวค่อยตัดสินหลังจากนี้ 


 


 


เกาฉิวผงกศีรษะ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไปหมดย่อมดีแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของน้องหลินเป็นเช่นไรแล้ว?!” 


 


 


“เรื่องนี้ทุกคนวางใจได้” หลี่อู่หลิงกล่าวระคนหัวเราะ “มีฝีมือทางการแพทย์ของท่านน้าสวี ทั้งยังมีนางเซียนผู้ลึกลับคนนั้นอีก เกรงว่าตอนนี้พี่หลินคงมีความสุขจะตายแล้ว ไม่อย่างนั้นอีกประเดี๋ยวพวกเราไปแอบฟังกันก็ได้?!” 


 


 


หูปู้กุยส่งเสียงจึ๊ๆ ตบกบาลเสี่ยวหลี่จื่อคราหนึ่ง “เจ้าเด็กนี่เพิ่งอายุเท่าไหร่ เหตุใดมีแต่ความคิดพิเรนทร์เต็มไปหมดเหมือนเหล่าเกาได้?!” 


 


 


เหล่าเกาเต้นผาง หลี่อู่หลิงระเบิดโทสะ ทุกคนต่างหัวเราะกันขรม  


 


 


“เจ้าพวกนี้โหวกเหวกอะไรกัน?!” ผู้บาดเจ็บนอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงจากกระโจมที่อยู่ไกลๆ ก็อดขมวดคิ้วมุ่นพร้อมแค่นเสียงไม่ได้ “กำลังพูดนินทาข้าอยู่หรือเปล่า? ท่านย่ามัน โบยสามร้อยไม้ให้หมด! คุณหนูสวี ข้าลุกจากเตียงได้หรือไม่? ตอนนี้ข้ารู้สึกมีเรี่ยวแรงทั้งร่าง ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!” 


 


 


กุนซือสวีมองค้อนเขาอย่างจนใจ นั่งลงหน้าเตียงเขาเบาๆ “ร่างกายนี้ของเจ้าเปลือกนอกดูดีมาก ทว่าภายในกลับต้องพักฟื้น มิเช่นนั้นหากเลือดลมไม่สงบ ความกลัดกลุ้มทำร้ายจิตใจจนกระอักโลหิตออกมาหลายคำเช่นวันก่อน ชีวิตนี้ของเจ้าเกรงว่าคงลุกมาใช้กระบองฟาดคนไม่ไหวแล้วล่ะ” 


 


 


ลุกใช้กระบองไม่ได้? ปัญหานี้หนักหนาเกินไปแล้ว คนป่วยตกใจจนหน้าซีด หุบปากไม่พูดไม่จา 


 


 


คุณหนูสวีหัวเราะพลางส่ายหน้า ควักกล่องผ้าแพรขนาดเล็กออกมาจากอกแล้วส่งใส่มือเขา “ให้เจ้า” 


 


 


บนกล่องผ้าแพรนั้นปักหัวหมาป่าสีทองหัวหนึ่ง หลินหว่านหรงใจสั่นสะท้าน รีบพูดขึ้นมาว่า “นี่คืออะไร?” 


 


 


“ยา!” สวีจื่อฉิงถอนหายใจแผ่วเบา “ยาที่ชนเผ่านอกด่านส่งมาให้!” 


 


 


นั่นไม่ใช่อวี้เจียส่งมาให้หรอกหรือ? หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เปิดกล่องผ้าแพรนั้นออกอย่างแช่มช้า ภายในกล่งใช้ผ้าสีทองห่อยาลูกกลอนขนาดเล็กไว้เม็ดหนึ่ง สีขาวปลอดทั้งเม็ด ส่งกลิ่นหอมสะอาดออกมาเป็นระยะ ด้านข้างยังมีมนุษย์ต้นหญ้าขนาดจิ๋ววางไว้ตัวหนึ่งอีกด้วย  


 


 


ไม่เห็นมานาน มนุษย์หญ้าตัวนี้กลับสวมชุดอันวิจิตรบรรจง ถักทอด้วยผ้าไหม เพียงหน้าตาเจ้าเล่ห์นั้นกลับยากจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล 


 


 


กุมมนุษย์หญ้าตัวนั้นอยู่ในมือ ผ่านไปเนิ่นนานอารมณ์เขาก็ยากจะสงบลงได้ เจ้าของชิ้นนี้กับถุงน้ำและหนังแพะหลายแผ่นต่างเป็นสิ่งที่นางเซียนหนิงค้นออกจากตัวอวี้เจียก่อนที่จะลบความทรงจำ จากนั้นก็ห่ออย่างดีพร้อมฝังไว้ริมทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์ คิดไม่ถึงว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะตามหาทั้งหมดกลับมาได้! 


 


 


จมูกร้าวระบม เขาบีบเม็ดยานั้นอย่างแรง แหงนหน้าแล้วเอาใส่ปาก เม็ดยาไม่รู้ว่าทำมาจากสิ่งใด พอเข้าปากก็ละลายทันที ในความเย็นแฝงกลิ่นหอม ทั้งยังหวานอีกด้วย 


 


 


แม่หนูนั่นรู้ว่าข้ากลัวขมด้วยหรือ? เขาถอนหายใจยาวงเงียบๆ  


 


 


“หรือว่าเจ้าไม่กลัวว่านางจะส่งยาพิษให้เจ้า?” สวีจื่อฉิงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามแผ่วเบา 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “คุณหนูสวีต้องตตรวจสอบด้วยตัวเองแล้วแน่นอน แล้วข้ายังจะกลัวอะไรกันอีก?” 


 


 


คุณหนูสวีหน้าแดงเล็กน้อย แค่นเสียงด้วยความโมโหออกมา “เจ้ากลับเชื่อใจนางมากนักนะ! ธนูที่นางยิงใส่เจ้าดอกนั้น เจ้าไม่ใส่ใจสักนิดเลยหรือ?!” 


 


 


คำถามนี้ถามได้ตรงประเด็น เขาคิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงจับมือสวีจื่อฉิงพร้อมยิ้มแย้ม “ยิ่งใส่ใจก็ยิ่งวางไม่ลง! เจ้าอยากให้ข้าใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ?!” 


 


 


นี่ควรตอบเช่นไร?! คุณหนูสวีลังเลอยู่นาน จากนั้นจึงส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญาพร้อมถอนหายใจเบาๆ “เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้รวบรวมความฉลาดปราดเปรื่องและสติปัญญาทั่วทั้งแผ่นดินไว้กับตนจริงๆ ให้ความสำคัญกับความรักและคุณธรรม ความรักหนักแน่นยิ่งกว่าทองคำ หากข้าเป็นบุรุษ ข้าก็ไม่อาจหักใจทอดทิ้งนางเช่นกัน เพียงแต่เจ้าต้องจำไว้ บนโต๊ะ เจรจา นางมิใช่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ แต่เป็นข่านใหญ่ทูเจวี๋ย เจ้าเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยกับนางได้จริงหรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม ครุ่นคิดอยู่นาน แย้มยิ้มพร้อมตอบว่า “น่าจะได้กระมัง ไม่อย่างนั้นเลือดหลายกระอักเมื่อวันก่อนจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ? หรือว่าต้องให้ข้ากระอีกอีกรอบ?!” 


 


 


“พูดเหลวไหล!” คุณหนูสวีรีบกดปากเขาเอาไว้ 


 


 


หลินหว่านหรงกะพริบตา อาศัยจังหวะจุมพิตที่นิ้วมืออันเรียวยาวของนางเบาๆ สวีจื่อฉิงใบหน้าใบหูแดง รีบหดมือกลับไป 


 


 


“เจ้าดูสิ ของพวกนี้คือชุดใหม่ รองเท้าถุงเท้าใหม่ที่ส่งมาจากเมืองหลวงให้เจ้า พวกนางแต่ละคนต่างทำให้เจ้าสองชุด! ยังมีอีก จดหมายจากทางบ้านตั้งมากมายนี้ล้วนส่งมาให้เจ้าทั้งนั้น!” คุณหนูสวีหยิบห่อผ้าขนาดยักษ์ออกมาห่อหนึ่ง กลับเป็นอาภรณ์ที่ส่งมาจากเมืองหลวงทั้งสิ้น จดหมายจากทางบ้านหนาเตอะนั้นก็กองพะเรอ ในช่วงสามเดือนที่เข้าออกห้วงความเป็นความตายนี้ สวีจื่อฉิงเก็บรวบรวมและจัดระเบียบให้เขาทั้งหมด 


 


 


ดึงจดหมายติดมือออกมาฉบับหนึ่ง กลับส่งมาตั้งแต่ร้อยวันก่อนแล้ว บนกระดาษจดหมายขาวสะอาดวาดรูปสตรีที่กำลังหัวเราะงามเฉิดฉันเบาๆ นางหนึ่ง ท้องน้อยที่นูนขึ้นแอ่นขึ้นสูง ดวงหน้าอันงามพิลาสเปล่งประกายอ่อนโยน บนกระดาษจดหมายเขียนสั้นๆ เพียงสองคำ “หลินหลาง…” ที่เหลือนั้นคือคราบน้ำตาเป็นดวงๆ  


 


 


เขากำกระดาษจดหมายนั้นอยู่ในมือ ผุดลุกขึ้นมาทันที กลับทำให้คุณหนูสวีตกใจสะดุ้งโหยง “เป็นอะไรไป?!” 


 


 


เขาเช็ดหางตาที่เปียกชื้น มองดูราตรีอันมืดสนิทนั้นพร้อมเอื้อนเอ่ยเบาๆ “เจรจา! เจรจาเดี๋ยวนี้! เจรจาเสร็จแล้วพวกเราก็กลับบ้าน! เมียข้าคลอดลูกให้ข้า ข้าต้องเฝ้าอยู่ข้างกายนาง!” ยากเย็นนักกว่าจะได้อยู่ร่วมกันอีก ยากเย็นนัก เขาทอดถอนใจคราหนึ่ง  

 

 


ตอนที่ 618 - 1 พานพบ

 

ตลอดทั้งคืนไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ใบหน้าอันงดงามของคุณหนูใหญ่ อวี้ซวง เฉี่ยวเฉี่ยว เซียนเอ๋อร์ ผุดขึ้นตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ยังมีคุณหนูเซียวที่ใกล้จะคลอดอีก นางแอ่นท้องโย้แย้มยิ้มให้ตนเอง รัศมีของมารดาอันอ่อนโยนอบอุ่นจิตใจคนราวแสงตะวันยามวสันต์ 


 


 


ผ่านไปสักพักกลับนึกถึงอวี้เจียซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามห่างออกไปเป็นร้อยลี้ผู้นั้นอีก ดวงหน้างามพิลาสดั่งบุปผา สีขาวสะอาดบริเวณจอนผมนั้น ราวกับสลักเสลามาจากหยกและน้ำแข็ง ทำให้คนยากลืนเลือนไปตลอดกาล 


 


 


พลิกตัวกลับไปกลับมา ยากจะข่มตาหลับได้จริงๆ ไม่สู้ตื่นแต่เช้ามืดไปเลยจะดีกว่า ภายในค่ายทหารเงียบสงัด ทหารลาดตระเวนเยื้องย่างด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบาและแช่มช้า เมื่อเห็นเขาเดินเยื้องย่างออกมาก็รีบค้อมกายแสดงความคารวะ นัยน์ตาเปี่ยมล้นด้วยความเคารพเทิดทูน 


 


 


ทิศบูรพาปรากฏแสงเงินแรกอรุณรำไร เป็นเวลายามห้าแล้ว ร่องรอยเผาไหม้จากศึกใหญ่ที่อู่หยวนซึ่งอยู่ไม่ไกลนักยังคงหลงเหลืออยู่ ซากศพและกระดูกของชนเผ่านอกด่านกับดวงวิญญาณผู้กล้าชาวต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนถูกทรายกลบจนหมดสิ้น มีเพียงดาบใหญ่ที่ปักอยู่บนดินเท่านั้นที่ยังพอให้เห็นความรุนแรงของการศึกในวันวานได้รางๆ  


 


 


ทัพใหญ่สองแสนตั้งค่ายอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เผชิญหน้าไกลๆ กับชนเผ่านอกด่านที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ทุกคนต่างกำลังรอคอย รอคอยผลการเจรจาของทั้งสองฝ่าย จะรบหรือสงบศึก สุดท้ายก็ต้องรู้ผลที่แน่ชัด  


 


 


ชะเง้อมองไปทิศอุดร ท่ามกลางทรายสีเงินอันกว้างใหญ่ไพศาล ทุ่งหญ้าและทะเลทรายประสาน เส้นแบ่งเขตพร่าเลือนไปตั้งแต่แรก มองไม่เห็นกระโจมของชนเผ่านอกด่าน ยิ่งไม่รู้ว่าอวี้เจียอยู่ที่ใด และนางกำลังทำอะไรอยู่ 


 


 


“เหตุใดถึงไม่นอนให้มากสักหน่อย?!” เสียงห่วงใยของคุณหนูสวีดังมาจากข้างหลัง กลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้ามา นางยืนข้างกายหลินหว่านหรงอย่างเงียบงัน 


 


 


“นอนไม่หลับน่ะสิ!” เขาถอนหายใจ เบือนหน้ามาเหลือบมองคราหนึ่ง ถึงกระนั้นกลับต้องนิ่งงันไป คุณหนูสวีสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูทั้งร่าง ในความสูงยาวอรชนอ้อนแอ้นแฝงด้วยโครงร่างอันงดงาม ขับเน้นส่วนโค้งส่วนเว้าและรูปร่างอันอวบอิ่มของนางจนหมดสิ้น เรือนผมงามดั่งเมฆาเกล้าขึ้นสูง เสียบปิ่นหยกยาว ให้ความรู้สึกแปกใหม่และสูงสง่า นัยน์ตางดงามเปล่งประกายวับวาว ขนตาเรียวยาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย ใบหูขาวกระจ่างใสงดงามดั่งหยก ดวงหน้าผุดผ่องงดงามยวนเย้าสดใสดั่งผัดแป้งเติมชาด  


 


 


กุนซือหญิงที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างพิถีพพิถัน ปลดชุดเกราะเปลี่ยนเป็นสวมชุดกระโปรง สมกับคำที่ว่ามีความงามควบคู่สติปัญญาเสียจริง ความอ่อนโยนและแข็งกร้าวอยู่ร่วมกัน ช่างให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ เขามองจนต้องอ้าปากกว้าง พูดไม่ออกอยู่นาน  


 


 


“มองอะไร? ตาทึ่ม!” 


 


 


“ชุดนี้สวมให้ข้าดูเป็นพิเศษหรือ?!” เขาเบิกตาโพลงจ้องตาไม่กะพริบ สำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ผงกศีรษะด้วยความยินดีอย่างต่อเนื่อง “งดงาม งดงามจริงๆ! คุณหนูสวี ข้าชอบเจ้าสวมชุดกระโปรงมากที่สุด รูปร่างดีจะแย่แล้ว! ชุดเกราะเย็นเฉียบพวกนั้นไม่ควรสวมอยู่บนตัวเจ้า” 


 


 


“ไม่ได้สวมเพื่อเจ้าเสียหน่อย!” คุณหนูสวีเบือนหน้าไป ใบหน้าร้อนลวก เห็นชัดว่าพูดปากไม่ตรงกับใจอยู่บ้าง 


 


 


เลือกสวมชุดสตรีที่ไม่ได้เห็นมานาน แต่งตัวเสียใหม่ในวันที่อวี้เจียเจรจากับหลินซาน เห็นชัดว่าต้องการประชันสูงต่ำกับข่านดาบทองคนนั้น ต่อให้คุณหนูสวีจะแข็งกร้าวอีกสักเพียงใดแต่ก็เป็นผู้หญิง ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้หญิงควรมีย่อมไม่ขาดนางไปคนหนึ่งแน่ 


 


 


หลินหว่านหรงรู้อยู่เต็มอก เขาหัวเราะร่าพร้อมจับมือนาง “ไม่ได้สวมให้ข้าดู เช่นนั้นสวมให้ผู้อื่นดูหรือ น่าเสียดาย หญิงงามอันดับต้นๆ ของแผ่นดินกลับไม่ไว้หน้าข้า!” 


 


 


คุณหนูสวีส่งเสียงหึคราหนึ่ง เบือนหน้าไปด้วยโทสะบางๆ มือน้อยขยับบิด เพียงแต่มีคนจับไว้แน่นเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะทำเช่นไรนางก็ไม่อาจดิ้นหลุดออกไปได้ 


 


 


ขณะที่กำลังแง่งอนกันอย่างมีความสุขนั้น ที่ด้านหลังกลับมีเสียงหัวเราะกระจ่างชัดดังแว่วเข้ามาเสียงหนึ่ง “หลินซาน จื่อเอ๋อร์ พวกเจ้าอยู่ตรงนี้นี่เองนะ! อย่างนั้นก็ดีเลย!” 


 


 


สวีจื่อฉิงร้องอ๊ะ รีบชักมือกลับ ใบหูร้อน ใบหน้าดั่งแต้มชาด ค้อมเอวลงพร้อมเอ่ยเบาๆ “ท่านจอมทัพ ท่านหาพวกเราหรือเจ้าคะ?!” 


 


 


จอมทัพหัวเราะพร้อมผงกศีรษะ เดินไม่เร็วไม่ช้าเข้ามาหา พวกเหล่าหูตู้ซิวหยวนติดตามอยู่ข้างหลังเขา ยักคิ้วหลิ่วตาให้หลินหว่านหรง สีหน้าคลุมเครืออย่างบอกไม่ถูก คล้ายกำลังแอบหัวเราะเยาะที่เขาแอบลักกินแล้วถูกจับได้ 


 


 


หลี่ไท่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขา มองสำรวจหลินหว่านหรงอย่างเงียบๆ สีหน้าจริงจังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดถึงถอนหายใจหนักๆ ออกมา “รบกับชาวทูเจวี๋ยมานานหลายปีขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ขอเจรจากับพวกเรา! จะหลั่งโลหิตท่วมแผ่นดินหรือว่าเก็บอาวุธเข้าคลัง หลินซาน ทุกอย่างต้องดูที่เจ้าแล้วล่ะ” 


 


 


ความหวังของหลี่ไท่ค่อนข้างสูงมาก หลินหว่านหรงพลันรู้สึกว่าภาระที่อยู่บนร่างหนักอึ้งขึ้นอีกหลายส่วน บางทีจิตใจของอวี้เจียก็คงเป็นเช่นนี้ด้วยกระมัง! 


 


 


เขายิ้มขื่นพร้อมผงกศีรษะ “ท่านจอมทัพวางใจเถอะขอรับ จะเจรจาได้ดีสักเพียงใดข้าไม่กล้าบอก เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้ามั่นใจว่าทำได้ รับรองว่าต้าหัวเราไม่มีวันเสียเปรียบขอรับ!” 


 


 


พ่อค้าหน้าเลือดเช่นหลินซานพูดว่าไม่มีวันเสียเปรียบ นั่นแสดงว่าต้องได้กำไรแน่นอน คนใต้หล้าต่างรู้หลักการนี้ หลี่ไท่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างมีความสุข “ได้ยินว่าเจ้าทำการค้ายังไม่เคยขาดทุนมาก่อน มีคำพูดนี้ของเจ้า ข้าก็วางใจอย่างยิ่งแล้ว!” 


 


 


เจ้าน่ะวางใจ แต่ข้ากลับกังวลใจ! เขาถอนหายใจดังเฮ้อ ส่ายหน้าอย่างเงียบงัน 


 


 


เมื่อเห็นสวีจื่อฉิงที่ใบหน้าดั่งแต้มชาด กระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุข หลี่ไท่ก็พลันยิ้มแย้ม “จื่อเอ๋อร์ เจ้ามานี่!” 


 


 


คุณหนูสวีใจเต้นรัวเสียงดังตึกตัก รีบส่งเสียงอืมเบาๆ พร้อมเยื้องย่างเข้าไปหาอย่างแช่มช้า จอมทัพจับมือนางพลางถอนหายใจยาว “สตรีผู้อ่อนแอคนหนึ่งต้องใช้พลังกายและมันสมองอย่างเต็มที่เพื่อสู้รบอยู่บนสนามรบถือว่าไม่ง่ายดายเลย แต่ตระกูลหลี่ของข้าก็ยังทำให้เจ้าต้องเสียช่วงเวลาวัยสาวสะพรั่งจนเจ้าต้องอับแสง ข้ารู้สึกละอายใจเสียจริง” 


 


 


“ท่านจอมทัพ!” สวีจื่อฉิงร้องด้วยความตกใจ ร่ำไห้พลางล้มลงกราบกราน 


 


 


หลี่ไท่ส่ายศีรษะ ตวาดเสียงทุ้มหนัก “หลินซาน เจ้ามานี่!” 


 


 


“อ้อ!” หลินหว่านหรงรีบรับคำ กระโดดก้าวย่างอย่างเร็วรี่ไปเบื้องหน้าเขา 


 


 


“ก่อนออกจากเมืองหลวงข้าปรึกษากับสวีเว่ยแล้วว่าต้องทำให้ความปรารถนาของจื่อเอ๋อร์เป็นจริง หาสามีที่ถูกใจนางให้จงได้” 


 


 


หลี่ไท่มองเขาคราหนึ่ง ส่งมือคุณหนูสวีไปที่มือเขาช้าๆ “ตอนนี้ข้ามอบจื่อเอ๋อร์ให้เจ้าแล้ว! นางอายุมากกว่าเจ้าสองปี เจ้าต้องดูแลนางให้ดีนะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง ท่านจอมทัพ ไอ้เหตุผลนี้ของท่านมันดูเหมือนจะย้อนศรนะ?! 


 


 


หลี่ไท่ถลึงตาโต “อึ้งอะไร? เจ้ากล้าไม่ยอมหรือ!” 


 


 


“มิได้ๆ” เขารีบกุมมือกุนซือหญิงแน่น หัวเราะร่าแล้วเอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะไปวางของหมั้นหมายที่บ้านคุณหนูสวีเมื่อใด ดังนั้นถึงได้ใจลอยไปชั่วขณะขอรับ ขออภัย ขออภัย” 


 


 


สวีจื่อฉิงเอียงอายและยินดีระคนกัน เกาฝ่ามือเขาเบาๆ คราหนึ่ง ความรู้สึกนุ่มนิ่มชาวูบวาบนั้นกวักวิญญาณเขาไปจนหมดสิ้น 


 


 


“ยากนักที่เจ้าจะมีความคิดเหล่านี้” หลี่ไท่หัวเราะพร้อมผงกศีรษะ “นี่ก็ต้องดูความจริงใจของเจ้าแล้ว! เจ้าจงวางใจได้ องค์หญิงชูอวิ๋นทางนั้นให้ข้ากับสวีเว่ยไปบอกกล่าว องค์หญิงน่าจะไว้หน้าตาเฒ่าอย่างพวกเราสองคนบ้างกระมัง!” 


 


 


ชิงเสวียนไม่ได้ไม่เห็นชอบกับคุณสมบัติของสวีจื่อฉิง เพียงแต่เป็นห่วงว่านิสัยของนางออกจะหยิ่งผยองเกินไป วันหลังหากทุกคนเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมาจะวุ่นวายจนไม่อาจลงรอยกัน ทำให้ครอบครัวไม่สมานฉันท์! 


 


 


สุดท้ายความกังวลที่มีอยู่ภายในใจก็ยากจะหลีกเลี่ยง มองกุนซือหญิงซึ่งกำลังเขินอายและยินดีแวบหนึ่ง จากนั้นเขาจึงอดเอ่ยปากอย่างระแวดระวังไม่ได้ “คุณหนูสวี หากเจ้าแต่งเข้าบ้านไปแล้วจะทะเลาะกับชิงเสวียนของข้าหรือไม่?!” 


 


 


นี่พูดอะไรกัน?! สวีจื่อฉิงข่วนฝ่ามือเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห แค่นเสียงแล้วเอ่ยว่า “ข้าเป็นหญิงปากร้ายอย่างนั้นหรือ? หากนางไม่ทำร้ายข้า ข้าจะทำร้ายนางได้หรือ วันหลังข้าไม่ทำร้ายนางก็จะทำร้ายเจ้าโดยเฉพาะ ใครใช้ให้เจ้าไปทำตัวเจ้าชู้สำรวยอยู่ข้างนอก!!” 


 


 


พรืด! ทุกคนต่างเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น ที่แท้ด้วยความหงุดหงิดโมโห คุณหนูสวีกลับพูดเสียงดังไปสักหน่อย คำพูดตำหนิติเตียนภายในครอบครัวเช่นนี้กลับเข้าหูทุกคนครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว แล้วนั่นยังจะไม่หัวร่องอหายอีกหรือ? แม้แต่หลี่ไท่เองก็ยังอดหัวเราะพรวดออกมาไม่ได้ 


 


 


สวีจื่อฉิงส่งเสียงร้องคราหนึ่งพร้อมใช้สองมือปิดบังใบหน้า ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นมาอีก หลินหว่านหรงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หัวเราะฮ่าๆ แห้งๆ สองครั้งพร้อมประสานมือคารวะไปรอบทิศ “น่าขัน น่าขันแล้ว!” 


 


 


เมื่อเห็นแสงอรุณโผล่พ้นขอบฟ้าอยู่รำไร ดวงตะวันใกล้ปรากฏ สุดท้ายก็เป็นหลี่ไท่ที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้พวกเขาสองคน “เอาล่ะ สายแล้ว เจ้ากับจื่อเอ๋อร์ก็รีบออกเดินทางให้เร็วสักหน่อยเถอะ!” 


 


 


เหล่านายทหารเตรียมม้าเรียบร้อยตั้งแต่แรก หลินหว่านหรงกับสวีจื่อฉิงพลิกตัวขึ้นม้า ประสานมือคารวะให้แม่ทัพชรา จากนั้นจึงหมุนกายแล้วจากไป พวกของหูปู้กุยตู้ซิวหยวนควบม้าตามอยู่ข้างหลังพวกเขา  

 

 


ตอนที่ 618 - 2 พานพบ

 

แม้จะเป็นยามเช้าตรู่ ทว่าลมทะเลทรายก้ยังพัดพาไม่หยุด ทว่าความรู้สึกกลับต่างไปโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนคือรีบไปออกรบ เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ไหนเลยจะผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นตอนนี้ 


 


 


ทุกคนกินอาหารแห้งจำนวนหนึ่งอย่าลวกๆ ขี่ม้าเอ้อระเหยบนทะเลทราย ทอดสายตามองดวงตะวันสีแดงที่ตัดผ่านไอหมอกในทะเลทรายอยู่ไกลๆ เพียงชั่วพริบตาแสงสุริยาก็สาดส่องไปทั่ว ตกกระทบใบหน้าจนเป็นสีแดง ช่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก พวกของหูปู้กุยตู้ซิวหยวนเกาฉิวกลับบังเกิดความคึกคักสนุกสนาน ส่งเสียงร้องวิ่งไล่จับท่ามกลางแสงอรุโณทัย คึกคักยิ่งนัก 


 


 


กลับเป็นคุณหนูสวีที่มีจิตใจละเอียดถ้วนถี่ เมื่อเห็นหลินหว่านหรงนิ่งเงียบมาตลอดทางจึงรีบกุมมือเขาเบาๆ ความรักอันไร้เสียงนั้นทำให้คนซาบซึ้งใจ 


 


 


ไม่รู้ว่าเดินทางไปนานเท่าใด ทรายสีเหลืองค่อยๆ เลือนหาย ณ สถานที่อันห่างไกลนั้นพื้นที่สีเขียวมรกตขนาดใหญ่มหึมาตกกระทบม่านจักษุ ในที่สุดเขตรอยต่อระหว่างทะเลทรายกับทุ่งหญ้าก็ปรากฏใกล้เพียงตรงหน้า 


 


 


“ดูเร็ว!” คุณหนูสวีพลันส่งเสียงตกใจ 


 


 


ปะรำที่สร้างขึ้นระหว่างเขตรอยต่อของสองแว่นแคว้นล้อมด้วยผ้าโปร่งสีชมพูชั้นหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ผ้าโปร่งขยับพลิ้วไหวไปตามสายลมทะเลทราย ราวกับเทพธิดาฉางเอ๋อโบกสะบัดแขนเสื้ออย่างเร็วรี่ ทั้งยังเหมือนเมฆาซึ่งกำลังเคลื่อนคล้อยอย่างงามสง่าริมขอบฟ้า 


 


 


ภายในผ้าโปร่งสีชมพูมีบุปผาสีสันสดใสอยู่เต็มไปหมด ทั้งสีแดง สีขาว สีน้ำเงิน สีชมพู ทั้งรู้จักบ้าง ทั้งไม่รู้จักบ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นบุปผาป่าที่เพิ่งจะเด็ดมา ต่างประดับด้วยหยาดน้ำค้างที่ส่องประกายสีสันสดใสงามตา แต่ละช่อต่างประชันกันผลิบาน เมื่อมองไกลๆ ทะเลบุปผาประหนึ่งพรหลากสีสันที่สลักเสาอยู่ ณ ริมขอบฟ้า 


 


 


ใจกลางกลุ่มบุปผานั้นปูด้วยดอกอีลี่ซา (ดอกกุหลาบ) สีแดงสด ดั่งเมฆาที่เปล่งระกายเรืองรองงดงาม มีสตรีสวมหมวกถักด้ายทองนางหนึ่ง ชุดกระโปรงของชนเผ่านอกด่านแผ่สยาย นางนั่งสงบนิ่งอยู่กึ่งกลางหมู่มวลบุปผาสีแดงเพลิง สีขาดสะอาดที่แต้มข้างจอนผมเป็นสีที่งดงามมากที่สุดท่ามกลางมวลบุปผชาติ 


 


 


ทุ่งหญ้าสีเขียวจีที่ทอดยาวเชื่อมถึงขอบฟ้า หมู่บุปผาหลากสีสันอันไร้ประมาณ โฉมสะคราญซึ่งปรากฏเพียงในภาพวาดเท่านั้น ไม่เพียงพวกของเหล่าเกา แม้แต่สวีจื่อฉิงก็ยังอดมองจนเหม่อลอยไปไม่ได้ 


 


 


ภาพความงดงามอันยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ มีแค่สตรีชนเผ่านอกด่านผู้ร้อนแรงไม่รับการผูกมัด กล้ารักกล้าแค้นเช่นนี้เท่านั้นถึงกล้าแสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ หากเปลี่ยนเป็นสตรีต้าหัว ผู้ใดจะกล้าทำเช่นนี้บ้าง? และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ สวีจื่อฉิงก็รู้สึกอิจฉาสตรีแห่งทุ่งหญ้า รักอย่างร้อนแรง แค้นอย่างเผ็ดร้อน ชีวิตของนางช่างสมบูรณ์นัก ไร้ซึ่งความเสียดายอันใด! 


 


 


“งดงามเหลือเกิน!” ในที่สุดคุณหนูสวีก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ในฐานะที่เป็นสตรี การทอดถอนชมเชยนี้ออกมาจากใจจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่านางชมเชยบุปผาหรือว่าชมเชยตัวคนกันแน่ 


 


 


เกาฉิวเห็นแล้วก็ทอดถอนใจไม่หยุด ควบม้าไล่ตามหลินหว่านหรงไปสองก้าว เอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “น้องหลิน เจ้าดูสิ เยวี่ยหยาเอ๋อร์กำลังรอเจ้าอยู่นะ!” 


 


 


ข่านดาบทองผู้งดงามเงยหน้าขึ้นมาจากมวลบุปผาสีสันตระการตา สายตาอ่อนโยนพุ่งตรงมาที่ทะเลทราย 


 


 


เห็นๆ อยู่ว่ามีแต่ทุ่งหญ้าเขียวขจีและบุปผาสีแดงเต็มไปหมด ร้อนแรงยิ่งนัก เพียงแต่สีขาวข้างจอนผมของนางกลับเพิ่มความเศร้าโศกาจางๆ ท่ามกลางความร้อนแรงนี้ 


 


 


หลินหว่านหรงเบ้าตาเปียกชื้น “ใช่แล้วล่ะ นางกำลังรอข้าอยู่!” 


 


 


เขาพลิกตัวลงจากม้า ริมฝีปากขมุบขมิบหลายครั้ง เท้าคิดจะขยับไปข้างหน้า ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ขาทั้งสองข้างกลับเหมือนกรอกด้วยตะกั่ว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย 


 


 


“ไปกันเถอะ!” มือน้อยอันอบอุ่นอ่อนนุ่มข้างหนึ่งกุมมือขาอย่างเงียบๆ เสียงแผ่วเบาของคุณหนูสวีดังข้างใบหู “สตรีในโลกหล้า หากเอ่ยถึงความร้อนแรงยึดมั่นจริงใจ นางถือเป็นอันดับหนึ่ง! ผู้ใดก็ไม่อาจเทียบนางได้!” 


 


 


หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ สงบลมหายใจกระชั้นถี่ครู่หนึ่ง ขยับฝีเท้าแล้วก้าวไปเบื้องหน้าอย่างแช่มช้า   


 


 


เท้าของเขาย่ำลงไปในทราย เงียบงันไร้สรรพสำเนียง ถึงกระนั้นทุกคนกลับกลั้นลมหายใจ ไม่กล้าปล่อยลมหายใจออกมาแรงๆ  


 


 


ร้อยจั้ง แปดสิบจั้ง ห้าสิบจั้ง ใบหน้าดำทะมึนนั้นเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปบ้าง แม้แต่รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากก็ไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย อวี้เจียกำอีลี่ซาที่อยู่ในมือแน่น ร่างกายสั่นระริกอย่างรุนแรงราวกับกระชอน ปล่อยให้หนามกุหลาบอันแหลมคมทิ่มตำนิ้วมือ โลหิตสดๆ แปดเปื้อนบุปผาอันงดงามนี้ที่ละหยดทีละหยด 


 


 


พุ่มดอกไม้อันไร้ประมาณงดงามราวกับเทพนิยาย เมื่อย่ำเท้าเข้าไปเบาๆ ก็บังเกิดเสียงดังสวบสาบ มวลบุปผชาติที่มีเต็มพื้นที่กำลังขับขานบทเพลง ทำให้คนหน้ามืดตาลายราวกับไม่ใช่เรื่องจริง 


 


 


เหนือศีรษะคือท้องนภาสีครามบริสุทธิ์ เบื้องหน้าเต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย ราวกับอยู่ในดินแดนแห่งบุปผา ไม่ว่าจะขยับเขยื้อนเช่นไร ทอดสายตามองเช่นไรก็มีแต่สีเขียวสีแดง สีสันสดใสเต็มไปหมด ราวกับว่าโลกนี้หมุนโคจรในดงบุปผา จุดศูนย์กลางของการโคจรก็คือสตรีผู้งามพิลาสยวนเย้าซึ่งกำลังนั่งอย่างสงบนิ่งนางนั้น 


 


 


เรือนผมงามดั่งเมฆาปล่อยสยายราวกับน้ำตกสีนิลที่ไหลถั่งท้น ท่ามกลางแสงอรุโณทัยสาดส่อง ผิวขาวกระจ่างใสขาวสะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทินราวกับหยกงามจากสระสวรรค์ ดวงหน้าอันงดงามอ่อนโยนราวกับสลักเสลาจากหยกงาม ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์! ยังคงเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นดังเดิม! 


 


 


เพียงแต่สีขาวผุดผ่องสองข้างที่เพิ่มมาใหม่นั้นเฉกเช่นหิมะที่ไม่มีวันหลอมละลาย ประดับอยู่ที่จอนผมนาง ทำให้ไม่อาจลืมเลือนไปทุกภพทุกชาติ 


 


 


ใจเขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ร่างชะงักค้างราวกับมนุษย์ไม้ ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะก้าวไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าทีละก้าว ทีละก้าวด้วยร่างกายอันสั่นเทา บุปผาไร้ประมาณที่อยู่ใต้เท้าเขาส่งเสียงสวบสาบเบาๆ สีแดงสีเขียวลอยล่อง กลิ่นหอมจางๆ ฟุ้งขึ้นมา แต่เขากลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อย 


 


 


อวี้เจียร่างค่อยๆ สั่นระริก นางไม่เปล่งวาจา จ้องเขาเขม็ง ภายในดวงตาอันล้ำลึก ไอน้ำที่เบางบางดั่งผ้าโปร่งค่อยๆ เอ่อขึ้นมา กลีบริมฝีปากสีแดงสดทั้งสองขมุบขมิบพึมพำกับตนเองไม่หยุด 


 


 


เมื่อเห็นสายตาดุจลูกเกาทัณฑ์นั้นของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หลินหว่านหรงลำคอแห้งผาก ระยะทางเพียงไม่กี่จั้งนี้แต่ละย่างก้าวล้วนหนักอึ้งราวพันชั่งย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกว่าอยากหันหัวกลับแล้ววิ่งหนีไปด้วยสภาพทุลักทุเล เขาสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเองด้วยการสูดลมหายใจ ย่างก้าวด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางความเงียบสงัด เขาได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นถี่ของอวี้เจียกับเสียงหัวใจเต้นโครมครามของตัวเองว่ามีจังหวะเดียวกันอย่างชัดเจน  


 


 


ยากลำบากยิ่งกว่าย้ายขุนเขาเสียอีก เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาทีละก้าว ย่ำลงบนดวงดอกกุหลาบสีสันสดใสนั้น แต่ละย่างก้าวอันหนักแน่นเหมือนกระแทกลงบนจิตใจตน ยิ่งเข้ามาใกล้ ประกายกระจ่างใสที่มีอยู่ในดวงตาเขาก็เห็นอย่างชัดเจน อกงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์สะท้อนอย่างรุนแรง หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน 


 


 


“อ๊า!” เสียงตะโกนดังลั่น ในที่สุดข่านดาบทองผู้เงียบงันก็ระเบิดอารมณ์ มือทั้งสองข้างของนางมีโลหิตไหลริน คว้าดอกกุหลาบสีแดงสดที่อยู่ข้างกายมาอย่างรวดเร็ว ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย ปาใส่คนที่เดินย่างก้าวเข้ามาหาอย่างแช่มช้าอย่างรุนแรง 


 


 


ทีละช่อทีละกำพร้อมน้ำค้างและโลหิต กระแทกใบหน้าและร่างกายเขาประหนึ่งฝนบุปผาที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้า จากนั้นก็ร่วงหล่นอย่างเงียบงัน กลิ่นหอมปะทะจมูก ทว่าจิตใจกลับร้าวรอนอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


สีแดงเพลิงเต็มพื้น กลีบบุปผาเต็มพื้น ท่ามกลางน้ำตาพร่ามัว นางไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ใช้สองมือคว้าอย่างเร็วรี่ สีแดงเพลิงพร้อมเสียงลมหวีดหวิวรุนแรงกระแทกใบหน้าและหน้าอกเขาราวกับคนเสียสติ ดอกไม้ที่มีอยู่เต็มไปหมดนี้กลายเป็นอาวุธที่ใช้โจมตีของนาง 


 


 


กลางดงบุปผาอันงดงาม กลีบบุปผาลอยล่อง เฉกเช่นพิรุณสีแดงเพลิงตกกระทบใบหน้าเขา แผ่วเบาและอ่อนโยน ราวกับมือของอวี้เจีย  

 

 


ตอนที่ 618 - 3 พานพบ

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์น้ำตานองหน้า กุหลาบที่มีอยู่เต็มไปหมดนั้นถูกนางปาจนหมด ถึงกระนั้นนางกลับไม่คิดจะหยุดยั้ง หยิบดอกไม้ขึ้นมากิ่งหนึ่ง ถอนออกไปอย่างแรงโดยไม่แม้แต่จะดู 


 


 


เสียงปังทึบๆ ช่อบุปผานั้นกระแทกลงบนหน้าอกกว้างของเขาโดยไม่เบี่ยงเบนแม้แต่น้อย 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์สั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางไม่เงยหน้าขึ้น ทว่าน้ำตาดั่งสายพิรุณภายในชั่วพริบตา 


 


 


“ข้า…จะตี…เจ้า…” นางพูดพึมพำกับตนเอง ดอกไม้กระแทกหน้าอกคนที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผู้นั้น ทว่ากลับแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึก 


 


 


“อ๊า!” กลีบดอกไม้ปลิวว่อนดั่งสายฝน อวี้เจียใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย มุดเข้าสู่อ้อมออกเขา รัวกำปั้นดั่งรัวกลอง ทุบหน้าอกเขาอย่างหนักหน่วง  


 


 


นางเปล่งเสียงร่ำไห้ดังลั่น ความโศกศัลย์พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า ราวกับนกขมิ้นร่ำไห้จนกระอักโลหิต น้ำตาไหลรินใส่หน้าอกเขาเป็นสาย 


 


 


“ข้าจะถล่มบรรพชนท่านปู่มันสิบแปดรุ่น เหตุใดชาวทูเจวี๋ยถึงต้องรบกับพวกเราด้วย?!” เหล่าหูเช็ดหางตาแดงก่ำอย่างแรง กล่าวด้วยความเดือดดาล “มิเช่นนั้นน้องหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากเพียงใด!” 


 


 


ตู้ซิวหยวนถอนหายใจหนักๆ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “จะว่าอย่างไรดีล่ะ หากปราศจากการรบ อวี้เจียกับแม่ทัพหลินชาตินี้ก็จะไม่มีวันได้พบกัน! เจ้าว่ารบหรือไม่รบดี?” 


 


 


คำถามนี้ช่างยากจะตัดสินเสียจริง หูปู้กุยหัวเราะแล้วตอบว่า “สนใจมันทำไม พวกเราดูแค่ผลลัพธ์ก็พอ! เพียงแต่ปัญหาตรงหน้านี้ถือว่ายากแก้ไข แม่ทัพหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์กอดกันกลมแล้ว แล้วการเจรจานี้จะทำเช่นไร?!” 


 


 


คนทั้งหลายต่างใช้สายตาแอบมองร่างสวีจื่อฉิงที่อยู่ด้านข้าง หากบอกว่าเหตุการณ์นี้ผู้ที่มีความรู้สึกสลับซับซ้อนมากที่สุดก็น่าจะเป็นกุนซือสวีแล้ว 


 


 


คุณหนูสวีส่ายศีรษะด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ควรเจรจาเช่นไรก็เจรจาเช่นนั้น นี่เพิ่งจะเริ่มต้น! อวี้เจียเป็นข่านดาบทองที่ทำให้ชาวทูเจวี๋ยศิโรราบได้ ไหนเลยจะยอมสยบง่ายดายเยี่ยงนี้?!” 


 


 


ราวกับต้องการพิสูจน์คำพูดของนาง นางกำนัลทูเจวี๋ยนางหนึ่งเดินตัดผ่านทุ่งบุปผา ค้อมกายแล้วคุกเข่าข้างกายอวี้เจียพร้อมเอื้อนเอ่ยเบาๆ “ทูลท่านข่านใหญ่ ท่านราชครูสั่งให้ข้ามากราบทูล ใต้เท้าอ๋องซ้ายมาถึงแล้ว การเจรจากับต้าหัวกำลังจะเริ่ม ขอเชิญท่านข่านใหญ่เสด็จเพคะ!” 


 


 


อวี้เจียอืมเบาๆ เงยหน้าขึ้นจากหน้าอกเขาพร้อมรีบเช็ดน้ำตา มองเขาอย่างเลื่อนลอย 


 


 


ใช่แล้ว ควรถึงช่วงเจรจากันแล้ว! หลินหว่านหรงรีบเช็ดหางตาพร้อมยิ้มให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์เล็กน้อย เขาฉีกปากยิ้ม น่าเกลียดยิ่งกว่าวานรเสียอีก  


 


 


มองดูคราบน้ำตากระจ่างใสบนใบหน้าเขา อวี้เจียแววตาอ่อนโยน แนบใบหน้าลงบนหน้าอกเขาโดยไม่รู้ตัว นางกำนัลนางนั้นคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่กล้าเงยหน้า  


 


 


มีเงาร่างงดงามร่างหนึ่งเดินตัดผ่านดงบุปผาเข้ามาอีกเงาหนึ่ง โค้งคำนับแล้วคุกเข่าข้างกายอวี้เจีย “ทูลท่านข่านใหญ่ ท่านอ๋องซ้ายมาถึงแล้ว การเจรจากับต้าหัวกำลังจะเริ่ม ท่านราชครูขอเชิญท่านข่านใหญ่เสด็จเพคะ!” 


 


 


กราบทูลด่วนต่อเนื่องสองครั้ง อวี้เจียถอนหายใจเบาๆ ลุกยืนอย่างแช่มช้า มองเขาอย่างหมดแรง หมุนกายแล้วเดินจากไปอย่างเร็วรี่ นางกำนัลทั้งสองรีบตามอยู่ข้างหลังนาง 


 


 


เด็กคนนี้ กลับหนีเร็วเสียจริงนะ! เขาส่ายหน้าด้วยความจนใจ ยิ้มขื่นคราหนึ่ง ถึงกระนั้นกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังสวบสาบ อวี้เจียผู้นั้นกลับวิ่งห้อตะบึงกลับมาอีก 


 


 


เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ถลึงตาใส่เขาด้วยความเดือดดาล เก็บช่อบุปผาที่เหลืออยู่บนพื้นขึ้นมาช่อหนึ่งแล้วหวดใส่หลังเขาอย่างรุนแรงสองครั้ง จากนั้นก็แค่นเสียงลมหายใจเบาๆ พร้อมหมุนกายแล้ววิ่งจากไป 


 


 


สองครั้งนี้ของจริง ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย หลินหว่านหรงเจ็บจนต้องแยกเขี้ยว นังหนูคนนี้หักใจลงมือได้จริงๆ นะ! เขาพ่นลมหายใจยาว ทว่ากลับรู้สึกประหลาดใจ ดวงหน้างดงามซึ่งทั้งยินดีทั้งตำหนิ เต็มไปด้วยน้ำตาดั่งดอกหลีต้องฝนพรำของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กลับฝังรากลึกอย่าง ไม่อาจลบเลือนไปตลอดกาล 


 


 


“อวี้เจียตีจริงๆ?” ตู้ซิวหยวนเอ่ยด้วยความสงสัย “เมื่อครู่ยังกอดแม่ทัพหลินร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่เลย เหตุใดเพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนแปลงแล้ว?” 


 


 


“นี่ยังไม่ง่ายดายอีกหรือ น้องหลินกอดผู้อื่นอยู่ตั้งครึ่งค่อนวันแต่ไม่พูดไม่จาสักคำเดียว ช่วงเวลาล้ำค่าเยี่ยงนี้ถูกเขาทำให้เสียเปล่าจนหมดสิ้น แล้วจะไม่ให้ผู้อื่นโมโหได้อย่างไร” เหล่าหูส่ายหน้าส่ายหัวพูดวิเคราะห์ “อีกอย่างนะ วันนั้นเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนเขาขวางรถม้าขอให้เขาจุมพิตคราหนึ่ง แต่กลับถูกเขาปฏิเสธอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย! สำหรับสตรีผู้อ่อนแอนางหนึ่ง นี่ถือเป็นการลบหลู่มากเพียงใด? เมื่อเอาหลายเรื่องนี้มารวมกัน ฮิฮิ ตามความเห็นข้า ข่านใหญ่หวดเขาสองครา นั่นถือว่าเห็นใจเขาแล้ว!” 


 


 


มีเหตุผล เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของเหล่าหู กลับไม่เสียทีที่ตีแล้วจริงๆ! 


 


 


“ใจของสตรี ดั่งงมเข็มในมหาสมุทร!” หูปู้กุยรู้สึกทอดถอนใจอย่างรุนแรง คนทั้งหลายได้ยินแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง มีแค่คุณหนูสวีที่แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ 


 


 


หลินหว่านหรงเดินย้อนกลับมาอย่างแช่มช้า สีหน้าแปลกประหลาด ไม่เหมือนร้องไห้และไม่เหมือนหัวเราะ ตู้ซิวหยวนรีบเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ ราชทูตชนเผ่านอกด่านส่งสารมาแล้ว การเจรจาใกล้จะเริ่ม พวกเราจะไปเลยหรือไม่ขอรับ?” 


 


 


แม่ทัพหลินผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจัง คุณหนูสวีกลับจับแขนเสื้อเขาไว้แล้วพูดว่า “รอเดี๋ยว ให้ข้าดูแผลเจ้าก่อน!” 


 


 


“ดูแผลข้า?” เขากล่าวพลางหัวเราะร่วน “เมื่อวานไม่ใช่เพิ่งดูไปหรือ? ตอนเช้าก็หายแล้ว!” 


 


 


สวีจื่อฉิงกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ไม่ใช่แผลเก่า เป็นสองครั้งเมื่อครู่ ที่เด็กอวี้เจียคนนี้ตี!” 


 


 


“สองทีนี้ก็เรียกแผลด้วย?” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง คุณหนูสวีกลับไม่ถามไถ่ ปลดเสื้อตัวบนเขาโดยไม่สนใจผู้ใด เสื้อเกราะผ้าไหมเสียหายจากลูกเกาทัณฑ์ไปแล้ว เขาไม่ได้สวมอีก แผ่นหลังจึงมีรอยบวมสองเส้นอย่างชัดเจน 


 


 


สวีจื่อฉิงแค้นจนกัดฟันกรอด รีบหยิบยาทาออกมาจากถุงใส่สมบัติของตนแล้วทาให้เขา เอ่ยอย่างหงุดหงิดออกมาว่า “สตรีชนเผ่านอกด่านผู้นี้เหตุใดถึงลงมือโหดเ**้ยมเยี่ยงนี้! เจ้าเองก็เหลือเกิน ปล่อยให้นางตีอย่างโหดเ**้ยมโดยไม่ส่งเสียงสักแอะเดียวได้อย่างไร?!” 


 


 


คุณหนูสวีบอกว่าตีอย่างโหดเ**้ยม อย่างนั้นก็ถือว่าตีอย่างโหดเ**้ยม! หลินหว่านหรงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร โดนสองทีนี้ ตอนเจรจาค่อยเอาคืนเป็นเท่าตัวก็ได้แล้ว” 


 


 


“หรือว่าถ้าไม่โดนสองทีนี้ ตอนเจรจาก็จะไม่เอาคืนแล้ว?” คุณหนูสวีดวงตาผุดประกายน้ำตา มือที่กดนวดอดลงน้ำหนักเพิ่มอีกไม่ได้ “หากเป็นผู้อื่นตีเจ้า เจ้าจะทนเช่นนี้อีกหรือ…ข้าว่าเจ้าเห็นใจนางชัดๆ!” 


 


 


ผู้หญิงพอหึงแล้วก็ไร้เหตุผล แม่ทัพหลินเจ็บจนแยกเขี้ยว ทว่ากลับไม่กล้าเปิดโปง  


 


 


“ใจของสตรี ดั่งงมเข็มในมหาสมุทร!” เมื่อเห็นสภาพอันน่าอนาถของน้องหลิน ครานี้แม้แต่เหล่าหูก็ยังอดส่ายหน้าทอดถอนใจไม่ได้ 


 


 


ผ้าโปร่งพลิ้วไหว เบื้องหน้าปะรำที่อยู่ข้างทุ่งหญ้านั้นมีชาวทูเจวี๋ยสิบกว่าคนยืนรอคอยอย่างสงบนิ่งแล้ว หลินหว่านหรงเยื้องย่างเข้าไปอย่างแช่มช้า ลู่ตงจ้านเข้ามารับหน้าพร้อมประสานมือคารวะ “ใต้เท้าหลิน พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว!” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ พี่ลู่” หลินหว่านหรงยิ้มแย้ม “วันนี้อากาศไม่เลว ดูท่าว่าจะดีกว่าสองวันก่อนมากนัก!” 


 


 


เจ้ายังมีหน้าเอ่ยถึงสองวันก่อนอีก? ลู่ตงจ้านแอบเหลือบมองข่านใหญ่ผู้เงียบงันคราหนึ่ง รู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจเสียจริง! 


 


 


“เจ้าคือหลินซานที่หักขาถูสั่วจั่ว?! ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มีความสามารถอันใดกัน?” ชนเผ่านอกด่านรูปร่างกำยำล่ำสันคนหนึ่งเดินออกมา ตวาดราวกับเทพผู้ดุร้าย 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “ผู้น้อยก็คือหลินซาน! หรือว่าท่านก็คืออ๋องซ้ายปาเต๋อหลู่? อืม หน้าตามีเอกลักษณ์มาก เหมือนถูกปืนใหญ่ยิงใส่ที่อู่หยวนเลย!” 


 


 


พวกหูปู้กุยต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ปาเต๋อหลู่เต้นผางเป็นเจ้าเข้า ต้องการโผเข้ามาระหว่างที่สนทนากัน 


 


 


“พอแล้ว!” เสียตวาดเจื้อยแจ้วแจ่มชัดดังขึ้น อ๋องซ้ายรั้งมือกลับไปอย่างเดือดดาล ไม่กล้าอุกอาจ 


 


 


หลินหว่านหรงหันหน้ากลับมา มองดวงหน้าอันงามพิลาสนั้นของนางอย่างเงียบงัน จอนผมขาวนั้นทิ่มแทงหัวใจเขาราวกับเข็มเงิน 


 


 


อวี้เจียจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น กุมสองมือแน่น แม้แต่ร่างกายก็ยังยังสั่นเทา 


 


 


เงียบสนิท 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทั้งสองคนแทบขยับริมฝีปากพร้อมกัน 


 


 


“แม่ทัพหลิน…” 


 


 


“ข่านใหญ่…” 


 


 


เสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา แต่กลับเหมือนดาบแทงร่าง หลินหว่านหรงจมูกร้าวระบม อวี้เจียเบือนหน้าไปอย่างหมดแรง น้ำตากระจ่างใสสองสายไหลรินอย่างเงียบงัน  

 

 


ตอนที่ 619 เรื่องบังเอิญที่แสนงดงาม

 

เพียงแต่ยามนี้เรื่องราวเกี่ยวพันถึงภาพรวมของสองแคว้นและชีวิตของคนจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้มีความรู้สึกมากมายเพียงใดก็ทำได้เพียงฝังลงไปในส่วนลึกขอจิตใจเท่านั้น หายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง สงบสติอารมณ์อันพลุ่งพล่าน มองดูดวงหน้าอันงดงามดั่งบุปผาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นพร้อมยื่นมือออกไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข่านใหญ่ เชิญ!” 


 


 


อวี้เจียหน้าซีด ผ่านไปเนิ่นนานถึงกัดฟันกรอดพร้อมยื่นมือออกไป “แม่ทัพหลิน เชิญ!” 


 


 


ทั้งสองฝ่ายต่างประจำตำแหน่งคนละฟาก เดินกรูกันเข้าไป ปะรำในวันนี้ต่างจากวันก่อนเล็กน้อย บริเวณกึ่งกลางโต๊ะตัวนั้นปักบุปผาสีชมพูเอาไว้หลายกิ่ง กลิ่นหอมจางๆ ลอยเตะจมูก สีสันงดงามตระการตา เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับสถานที่อันโกโรโกโสแห่งนี้ขึ้นมาอีกหลายส่วน  


 


 


“เชิญนั่ง!” หลินหว่านหรงเอ่ยปากก่อน ค่อยๆ นั่งลงตรงตำแหน่งประธานของฝั่งต้าหัว สวีจื่อฉิงนั่งข้างกายเขา พวกเกาฉิวยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยท่าทีดุร้าย 


 


 


อวี้เจียยกกระโปรงยาวเบาๆ นั่งฝั่งตรงข้ามเขาอย่างเงียบงัน นางไม่มองหน้าเขา สายตากลับเคลื่อนไปที่ร่างสวีจื่อฉิงอย่างแช่มช้า มองประเมินนางอยู่นาง ข่านใหญ่ถอนหายใจแผ่วเบา เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “คุณหนูสวี เจ้างามมาก!” 


 


 


เดิมทีสวีจื่อฉิงก็ตั้งใจแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อมาประชันกับนางอยู่แล้ว ครั้งได้ยินคู่ต่อสู้เอ่ยปากชมเชย ในความยินดีกลับระคนด้วยความเขินอายอยู่บ้าง นางรีบจับมือหลินหว่านหรง ถึงกระนั้นกลับรู้สึกว่าฝ่ามือเขาเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม 


 


 


ข่านใหญ่มองเขาคราหนึ่ง ขมกรามแน่น หรุบตาลงต่ำอย่างเงียบๆ “ราชครู เริ่มกันเถิด!” 


 


 


ลู่ตงจ้านรับคำ เดินออกมาจากด้านหลังข่านใหญ่ ประสานมือพร้อมพูดว่า “ใต้เท้าหลิน ไม่ทราบข้อเสนอที่ทูเจวี๋ยเราเสนอไป ทางแคว้นท่านพิจารณาเป็นเช่นไรแล้ว?!” 


 


 


“เงื่อนไข เงื่อนไขอะไร?!” หลินหว่านหรงเลิกคิ้ว เอ่ยถามไม่เร็วไม่ช้า 


 


 


ราชครูทูเจวี๋ยย่อมรู้ว่าเขาแสร้งไขสือ ถึงกระนั้นก็มิอาจมิตอบได้ “ขอเพียงต้าหัวปล่อยตัวท่านข่านน้อยกับอ๋องขวาเราทันที ภายในห้าปีทูเจวี๋ยเราจะพักรบ ไม่รุกรานชายแดนต้าหัวแม้แต่ก้าวเดียว ขณะเดียวกันก็ยินดีมอบวัวและแพะหนึ่งพันตัว สาวงามหนึ่งร้อยคน ม้าเหงื่อโลหิตสิบตัวเป็นบรรณาการแก่ต้าหัว เพื่อแสดงเจตนาในการคืนดีของสองแคว้น” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะช้าๆ กล่าวระคนยิ้มออกมาว่า “ที่แท้ที่พี่ลู่เอ่ยถึงก็คือเรื่องนี้นี่เอง! นี่คือความจริงใจของพวกท่าน? หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเราก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว ทุกคนกลับไปลับดาบเตรียมทำศึกกันดีกว่า!” 


 


 


ต้าหัวปฏิเสธทันควันกลับไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย ลู่ตงจ้านมองอวี้เจียแวบหนึ่ง คล้ายขอความเห็นจากนาง 


 


 


สายตาของข่านใหญ่ดาบทองประดุจสายฟ้า จ้องมองเขาเขม็ง กล่าวเสียงแผ่วเบาและเลื่อนลอยออกมาว่า “คุยกับคนฉลาดไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม แม่ทัพหลิน ข้ารู้ว่าต้าหัวของเจ้าไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ให้เจ้าเสนอเงื่อนไขออกมาเถอะ! เหมาะก็คุย ไม่เหมาะก็ไม่คุย!” 


 


 


“ข่านใหญ่เป็นคนเร็วใจถึง ชัดเจนยิ่งนัก!” หลินหว่านหรงมองนางพลางยิ้มแย้ม ทว่าสายตากลับเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอพูดตามตรง ขอเพียงทูเจวี๋ยทำตามความต้องการสี่ประการของต้าหัวเราครบถ้วน ทุกอย่างก็ไร้ปัญหา!” 


 


 


ความต้องการสี่ประการ? อวี้เจียครุ่นคิดเล็กน้อย ใจแอบรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย “เชิญว่ามา!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “ประการแรก สองแคว้นลงนามข้อตกลงสงบศึก ภายในห้าสิบปีทูเจวี๋ยมิอาจเข้ามารุกรานต้าหัว หากตระบัดสัตย์ ขอให้ทูเจวี๋ยรับการลงทัณฑ์จากเทพแห่งทุ่งหญ้าไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน! ขอข่านใหญ่โปรดเขียนเรื่องนี้เป็นลายลักษณ์อักษร ป่าวประกาศทั่วหล้า!” 


 


 


ข้อนี้กลับไม่ได้เหนือความคาดหมายมากนัก อวี้เจียเอ่ยอย่างแช่มช้า “สองแคว้นหยุดรบ ข้าไม่คัดค้าน! เพียงแต่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ป่าวประกาศทั่วหล้า ทูเจวี๋ยเราไม่เคยมีมาก่อน ขออภัยที่ยากจะยอมรับได้!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “ไม่ยอมรับก็ต้องยอมรับ! ความจริงแล้วเรื่องป่าวประกาศทั่วหล้านี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์จริงจังมากนัก ก็แค่เป็นข้อผูกมัดเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเจ้าเท่านั้น หากในอนาคตผิดคำ จะได้ให้ชาวโลกรู้ว่าคำพูดของชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าเชื่อถือไม่ได้ก็เท่านี้เอง! หากแม้แต่เรื่องนี้ก็รับไม่ได้ ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง ข่านใหญ่ ที่ตามมาหลังจากนี้ก็คุยกันไม่ได้แล้ว!” 


 


 


เมื่อเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจเปี่ยมล้นของเขา ผีสางถึงจะรู้ว่าหลังจากนี้เขาจะเสนอเงื่อนไขอะไรอีก อวี้เจียสายตาเรียบเฉย “เงื่อนไขข้อนี้ขอให้ข้าพิจารณา! ประการที่สองล่ะ?” 


 


 


“ประการที่สอง ที่จริงก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร” หลินหว่านหรงเดินย่ำเท้าช้าๆ หัวเราะพร้อมพูดว่า “ให้เพิ่มจำนวนของชดเชยที่พี่ลู่กล่าวเมื่อครู่เหล่านั้นเป็นห้าเท่า ส่งมาให้ทุกปี ส่งเป็นเวลายี่สิบปี!” 


 


 


“เจ้าฝันไปเถอะ!” อวี้เจียยังไม่ทันพูด อ๋องซ้ายทูเจวี๋ยปาเต๋อหลู่ที่อยู่ทางนั้นกลับเต้นเป็นเจ้าเข้าแล้ว “ให้ชาวต้าหัวอย่างพวกเจ้าชดเชยให้พวกเรายังพอว่า!” 


 


 


“ข้าฝันหรือ?!” หลินหว่านหรงกล่าวระคนยิ้ม “ใต้เท้าปาเต๋อหลู่ ใช้วัวใช้แพะไม่กี่ตัวก็เอามาแลกผู้ปกครองทุ่งหญ้ากับอ๋องขวาของเจ้าได้แล้ว การค้านี้ใครเป็นผู้คิด? เหตุใดใต้เท้าถึงไม่ยินดี? หรือว่าตัวเจ้าคิดจะเป็นผู้ปกครองทุ่งหญ้า?!” 


 


 


“เจ้าพูดเหลวไหล!” ปาเต๋อหลู่ตวาดด้วยโทสะกำลังจะโผเข้าหา เหล่าเกาพุ่งปราดเข้ามาขวางหน้ามันไว้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะลงมือ บรรยากาศตึงเครียดทันที 


 


 


ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าเมื่อเทียบกับข้อที่สอง เงื่อนไขข้อแรกของเขาไม่ถือเป็นเงื่อนไขแม้แต่น้อย! อวี้เจียสูดลมหายใจยาวๆ จ้องดวงตาของเขาอย่างดุดัน ขบกรามแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา 


 


 


หลินหว่านหรงเงยหน้าเงียบๆ มองนางอย่างเงียบงัน ใบหน้าไร้ความรู้สึก 


 


 


สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน ภายในดวงตาแต่ละฝ่ายต่างเย็นเยียบ ปราศจากความอบอุ่นโดยสิ้นเชิง! การตระกองกอดอันแสนจะอบอุ่นท่ามกลางพิรุณกุหลาบปลาสนาการไปสิ้นราวกับเมฆาที่ลอยล่องอยู่ริมขอบฟ้า! 


 


 


บนโต๊ะเจรจาปราศจากอัวเหล่ากงและเยวี่ยหยาเอ๋อร์ มีแค่แม่ทัพหลินกับข่านใหญ่ นี่คือความจริงที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้! 


 


 


นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดข่านใหญ่ดาบทองก็ก้มหน้าลงอย่างหมดแรง ไม่ให้เขามองเห็นำอน้ำบางที่เอ่อขึ้นในดวงตาตน “ชาวต้าหัว พูดเงื่อนไขข้อที่สามของพวกเจ้ามาเถอะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ “ข่านใหญ่ เจ้ามั่นใจว่าเจ้าอยากฟังเงื่อนไขข้อที่สามจริงหรือ?” 


 


 


อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมา พลันคำรามด้วยโทสะราวกับเสียสติออกมา “เจ้ากล้าพูดต่อหน้าข้า แล้วเหตุใดข้าถึงไม่กล้าฟังต่อหน้าเจ้า?! เจ้าพูด เจ้าพูดมาเร็ว!” 


 


 


หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด “ได้! ประการที่สาม ทูเจวี๋ยถอยกลับไปทางเหนือของปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ! ทางใต้ของปาเยี่ยนเฮ่าเท่อให้ต้าหัวเราดูแล!” 


 


 


“อะไรนะ? เจ้าจะบังคับยึดปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ แถมยังมีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลแลอุดมสมบูรณ์หลายร้อยลี้นั่นอีก?” ครานี้ราชครูทูเจวี๋ยซึ่งมีท่าทีเคารพนบนอบมาตลอดก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน ตวาดออกมาด้วยโทสะใบหน้าแดงก่ำ “ใต้เท้าหลิน เจ้าช่างทำเกินไปแล้วจริงๆ!” 


 


 


“เกินไปหรือ?” หลินหว่านหรงเบือนหน้าไปพร้อมกล่าวเรียบๆ “เรื่องการเจรจาเดิมทีเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างยินยอม แล้วพูดว่าเกินไปได้อย่างไร?!” 


 


 


อวี้เจียร่างสั่นระริกอย่างรุนแรง หน้าขาวซีดไปหมด นางจ้องเงาหลังหลินหว่านหรงอย่างดุดัน กัดฟันพร้อมเค้นออกมาทีละคำ “แม่ทัพหลิน เจ้ามองข้าแล้วพูดได้หรือไม่?!” 


 


 


แม่ทัพหลินพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ถึงกระนั้นกลับยืนกรานที่จะยืนนิ่ง “ข่านใหญ่เกิดมางดงามยิ่งนัก ดังนั้นข้าไม่อาจมองเจ้า!” 


 


 


อวี้เจียจับที่พักแขนของเก้าอี้อย่างหมดแรง นิ้วเรียวยาวทั้งสิบต่างไร้สีเลือด แทบจะจมลงไปในเนื้อไม้ นางหลับตาทั้งสองข้างช้าๆ สะกดกลั้นน้ำตาที่จะทะลักออกมาจากเบ้าตาอย่างเต็มที่ มองแผ่นหลังเขาพร้อมเอื้อนเอ่ยเบาๆ ว่า “ครั้งนี้เป็นเจ้าบีบบังคับข้าอีกแล้ว!” 


 


 


ร่างของหลินหว่านหรงนิ่งชะงัก ถอนหายใจออกมายาวๆ “ก็ยังเป็นคำพูดเดิม ข้าบีบบังคับตัวเองเท่านั้น!” 


 


 


คำพูดแฝงความนัยนี้มีแค่พวกเขาสองคนที่รู้ ข่านใหญ่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองเห็นภาพนอกเมืองเค่อจือเอ่อร์ในกาลก่อนอย่างเลือนราง มองเห็นธนูอันแสนสะเทือนเลื่อนลั่นดอกนั้น มองเห็นเขาล้มลงตรงหน้าตนอย่างแช่มช้า โลหิตท่วมร่างนั้นย้อมทุ่งหญ้าจนชุ่มโชก ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ยังมีเงื่อนไขข้อที่สี่อีก ลองพูดมาให้หมดเลยก็สิ!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน “จะต้องฟังให้ได้หรือ?!” 


 


 


“ต้อง!” 


 


 


“ได้!” หลินหว่านหรงหันกลับมาอย่างแช่มช้า “ตกลงเงื่อนไขสามข้อแรก ข้าจะคืนซาเอ่อร์มู่ให้เจ้า! เวลาก็คือสิบปีหลังจากนี้!” 


 


 


“ไร้ยางอาย!” อวี้เจียทนไม่ไหวอีกต่อไป ตวาดด้วยโทสะคราหนึ่ง ผุดลุกขึ้นมา ดึงกิ่งบุปผาที่อยู่กลางโต๊ะแล้วปากระแทกใส่เขาอย่างหนักหน่วง 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความจนใจ กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าพูดถูกมาก ข้าก็เป็นคนไร้ยางอายเช่นนี้ล่ะ!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์นั่งลงทันที เงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่หน้าตาบึ้งตึง ไม่เปล่งวาจา การเจรจาตกอยู่ในสภาพชะงักงันทันที 


 


 


คุณหนูสวีฟังอยู่ด้านข้างมานาน อดเดินไปข้างกายเขาไม่ได้ นางกุมมือเขาพร้อมส่งเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ “เจ้าคนนี้นี่นะ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงหักใจอำมหิตได้? ยื่นข้อเสนอราคาสูงลิ่วขนาดนี้ เจ้ากำลังจะบีบนางให้เสียสติไปแล้วนะ!” 


 


 


อำมหิตหรือ? เขายิ้มขื่นพลางส่ายหน้า “หากข้าไม่ยื่นข้อเสนอราคาสูงลิ่ว แล้วนางจะต่อรองราคากลับมาอย่างแรงได้อย่างไรกัน การเจรจาคือการพูดออกมา นางมีกำหนดไว้ในใจอยู่แล้ว!” 


 


 


สัมผัสถึงอาการสั่นเทาเล็กน้อยจากกลางฝ่ามือเขาได้ สวีจื่อฉิงเข้าใจขึ้นมาทันที แม้เขากำลังบีบคั้นเยวี่ยหยาเอ๋อร์อยู่ แต่นั่นไม่เท่ากับว่ากำลังบีบคั้นตนเองด้วยหรอกหรือ? คุณหนูสวีอดส่ายหน้าไม่ได้ “ถือว่าข้ารู้เสียที เจ้าโหดเ**้ยมกับตัวเองมากกว่าที่ทำกับนางเสียอีก!” 


 


 


หลินหว่านหรงกุมมือนางอย่างเงียบงัน ถือว่าให้คำตอบแล้ว 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทันใดนั้นอวี้เจียก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “ราชครู อ๋องซ้าย พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ข้าต้องการคุยกับแม่ทัพหลินเพียงลำพัง!” 


 


 


ลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่ถอยออกไปเงียบๆ พวกหูปู้กุยเองก็จากไปอย่างรู้ความ 


 


 


เห็นหลินหว่านหรงจับมือกุนซือสวีไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว อวี้เจียจึงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “แม่ทัพหลิน ข้าคิดจะคุยกับเจ้าเพียงลำพัง!” 


 


 


“ไม่ต้องแล้ว!” หลินหว่านหรงส่ายหน้ายืนกราน “บนโต๊ะเจรจา ข้าจะไม่ปิดบังเรื่องใดกับคุณหนูสวีเด็ดขาด!” 


 


 


“แต่ข้าอยากเชิญคุณหนูสวีให้จากไปชั่วคราว!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ลุกยืนขึ้น เสียงดังขึ้นมากทันที  


 


 


“ข้าบอกว่าไม่ต้อง!” หลินหว่านหรงถลึงตาดุร้าย จับมือสวีจื่อฉิงแน่นมากยิ่งขึ้น 


 


 


เจ้าคนนี้ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ข่านใหญ่ดาบทองโมโหจนอกงามสะท้อนอย่างเร็วรี่ ขบกรามแน่น จ้องมองเขาอย่างดุร้าย สองตามีไอน้ำบางรื้นขึ้นมา 


 


 


สวีจื่อฉิงรีบดิ้นหลุดจากมือเขาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ในเมื่อข่านใหญ่มีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าเพียงลำพัง อีกทั้งยังเกี่ยวพันถึงความลับของสองแว่นแคว้น ข้ารั้งอยู่ไปก็จะไม่สะดวกมากจริงๆ ข่านใหญ่ เจ้ากับเขาค่อยๆ คุยกัน! จื่อฉิงขอลา!” 


 


 


คุณหนูสวีหมุนกายแล้วจากไป หลินหว่านหรงดึงแขนเสื้อนางอย่างเร็วรี่ แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ 


 


 


ข่านใหญ่ดาบทองมองเขาพลางยิ้มหยันอย่างเงียบงัน “ทำไม เจ้ากลัวข้ามากหรือ? ก่อนหน้านี้แม่ทัพหลินยังพูดจาฉอดๆ หยุดรบ ชดใช้ แบ่งดินแดน ตัวประกันอยู่เลย วิธีการอันแสนจะทารุณโหดร้ายทั้งหมดที่เจ้าคิดได้ก็เอามาใช้กับข้าจนหมดสิ้น ไม่ใช่น่าเกรงขามมากหรืออย่างไร? แล้วเหตุใดตอนนี้กลับมากลัวได้?!” 


 


 


ความเฉลียวฉลาดของเยวี่ยหยาเอ๋อร์นั้นไร้ข้อกังขา เงื่อนไขทั้งหลายที่หลินหว่านหรงเสนอมาก็เพื่ออ้อมประเด็นทั้งสี่นี้ แม้จะไม่แพร่งพราย ทว่ากลับถูกสตรีชนเผ่านอกด่านผู้นี้มองออกเพียงแวบเดียว 


 


 


“ข้ากลัวอะไร?” ภายในปะรำอันกว้างใหญ่เวิ้งว้างว่างเปล่า เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น หลินหว่านหรงแค่นเสียงหนักๆ ออกมา เมื่อมองดวงตาที่เปียกชื้นเล็กน้อยของอวี้เจีย กลับอดหงุดหงิดจิตใจว้าวุ่นไม่ได้ เขาโบกมือด้วยความโมโห “ห้ามร้อง ร้องแล้วก็ไม่งามเท่าคุณหนูสวี!” 


 


 


อวี้เจียตบโต๊ะดังปัง ร่ำไห้อย่างเร็วรี่ “แต่ข้าจะร้อง ต่อให้ข้าเป็นสตรีที่อัปลักษณ์มากที่สุดบนโลกใบนี้ เจ้าก็ไม่มีวันยุ่งได้!” 


 


 


เมื่อเห็นจอนผมสีขาวราวหิมะนั้นของนาง หลินหว่านหรงก็ส่ายหน้าอย่างหมดแรงอยู่บ้าง “ขอเจ้าจงจำเอาไว้ เจ้าคือข่านใหญ่ดาบทองที่ผู้คนบนทุ่งหญ้าต่างเคารพและเกรงกลัว อย่าเอะอะอะไรก็หลั่งน้ำตา จะเป็นที่หัวเราะเยาะของคนเอาได้!” 


 


 


“ข่านใหญ่ดาบทองแล้วจะทำไม?” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวอย่างมีน้ำโห “ชีวิตนี้ของข้าเคยร้องไห้ต่อหน้าคนเพียงผู้เดียว! แต่เจ้าคนผู้นี้กลับชอบหลอกลวงนางมากที่สุด ชอบทำร้ายนางมากที่สุด!” 


 


 


“หรือว่าเจ้าไม่เคยหลอกข้า?!” หลินหว่านหรงอดส่งเสียงหงุดหงิดออกมาไม่ได้ พูดด้วยความเดือดดาล “ใครที่จงใจออกจากเมืองซิงชิ่งไปที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ แล้วไปโผล่ตรงหน้าข้าโดยเฉพาะ จงใจเป็นเชลยของข้าโดยเฉพาะ กระทั่งว่ายังคิดจะจับตัวข้าอีก?! หากไม่ใช่ว่าข้าฉลาดหลักแหลม คงตกอยู่ในเงื้อมมือมารเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว!” 


 


 


“เจ้าก็ชอบคิดเองเออเอง! นึกว่าเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่มากหรืออย่างไร” อวี้เจียค้านหัวชนฝา ยิ้มหยันเย็นชา “ข้าไปปรากฏตัวที่เมืองซิงชิ่งเพราะข้าชอบรวบรวมข่าวสารของต้าหัวด้วยตัวเอง ส่วนเจ้าน่ะหรือ เป็นเพราะท่านอาจารย์ลู่ตงจ้านเอ่ยถึงต่อหน้าข้าอยู่หลายครั้ง ส่วนที่ต้าหัวก็มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับตัวเจ้าแพร่หลายอยู่ไม่น้อย ข้าถึงได้สนใจบ้าง! ที่เมืองซิงชิ่ง การลอบสังหารหลี่ไท่กับเจ้าเป็นแผนของข้าจริง! แต่ว่าที่ข้าไปปรากฏตัวที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อก็เพราะข้าต้องการรีบกลับเค่อจือเอ่อร์ ถึงได้พลาดพลั้งตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้า นั่นถือเป็นเรื่องบังเอิญทั้งสิ้น เจ้านึกว่าข้าจะใช้เกียรติของข่านใหญ่ดาบทองไปล่อลวงเจ้าโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ? น่าหัวร่อ! หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าอยู่ที่นั่น ทัพใหญ่หลายแสนของข้าคงฆ่าพวกเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้ว!” 


 


 


ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง นี่ข้าเข้าใจผิดแล้วจริงๆ! เขาหงุดหงิดและอายจนกลายเป็นโมโห “ถ้าอย่างนั้นหลังจากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้วล่ะ? คิดหาวิธีการมาต่อกรกับข้าสารพัดอย่าง คิดเพ้อเจ้อว่าจะทำให้ข้ายอมสยบ นี่ก็เป็นเรื่องเท็จด้วยหรือ?” 


 


 


อวี้เจียใบหน้าซับสีชมพูบางๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “บางทีอาจมีแบบนั้นอยู่บ้าง! แต่ข้าตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้า ยังจะมีวิธีหลุดพ้นที่ดียิ่งกว่านี้อีกหรือ? ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวก็คือตอนนั้นข้าดูแคลนเจ้าไป! น่าแค้นใจที่ข้ากลับลืมคำโบราณที่ว่าสังหารศัตรูไปสามพัน ตนเองสูญเสียไปแปดร้อย!” 


 


 


“พูดแบบนี้คือเรื่องบังเอิญทั้งนั้น?” 


 


 


“อืม เรื่องบังเอิญ เรื่องบังเอิญที่แสนจะงดงามมากที่สุด!” อวี้เจียถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง รอยยิ้มและคราบน้ำตาผลิบานพร้อมกัน ทำให้คนรู้สึกรวดร้าวใจ  

 

 


ตอนที่ 620 หมาป่าทะเยอทะยาน

 

เป็นเรื่องบังเอิญที่สวยงามมากที่สุดในโลกจริงๆ! เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาเบาๆ หลินหว่านหรงตัดสินใจว่าจะเงียบ เบือนหน้าไปอย่างเงียบงัน หลบเลี่ยงสายตาของนาง 


 


 


“อัวเหล่ากง” 


 


 


“ขอให้เจ้าโปรดเรียกชื่อต้าหัวของข้า!” 


 


 


“หลินซานอัวเหล่ากง” 


 


 


จะตายแล้วนะ! เขารีบสูดลมหายใจยาวๆ หมุนกายไปอย่าแช่มช้า ส่ายหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “ข่านใหญ่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องเตือนสติเจ้า! ตอนนี้พวกเรากำลังเจรจากันอยู่ ไม่ได้คุยเรื่องอื่นกัน ขอให้เจ้าโปรดจริงจังสักหน่อย!” 


 


 


อวี้เจียกัดฟันกรอด หลุบตาลงไปอย่างเงียบงัน “เจ้าอยากเจรจากับข้ามากจริงหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่ข้าอยาก เรื่องนี้แต่เดิมก็เป็นชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าที่เสนอมา!” 


 


 


“เช่นนั้นก็ได้” ข่านดาบทองตบโต๊ะอย่างเดือดดาล ผุดลุกขึ้นมา “ตอนนี้ข้าจะตอบเจ้า! ใต้เท้าหลิน เงื่อนไขสี่ข้อที่เจ้าบอกมา ข้าไม่ตกลงสักข้อ!” 


 


 


“เจ้าแน่ใจ?” หลินหว่านหรงยิ้มหยันเย็นชา  


 


 


มองดูใบหน้าดำทะมึนนั้นของเขาแล้ว อวี้เจียก็ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง “มั่นใจแล้วจะทำไม? ซาเอ่อร์มู่เป็นบุตรชายของข่านผีเจีย การเสียสละเพื่อทุ่งหญ้านั่นถือเป็นเกียรติยศของเขา! เพื่อความสุขของคนในเผ่าเรา อวี้เจียยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ ไม่ยอมถูกเจ้าข่มขู่เด็ดขาด!” 


 


 


มองดูร่างที่ที่สั่นระริกราวกับไม่อาจต้านทานลมได้ของนาง หลินหว่านหรงพลันแหงนหน้าแล้วหัวเราะออกมายาวๆ “ยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ที่ดียิ่งนัก! ข่านใหญ่ คำพูดใหญ่โตพวกนี้เอาพูดปลอบใจหลอกราษฎรทูเจวี๋ยของเจ้าน่ะได้ แต่อย่าเอามาเอ่ยต่อหน้าข้า คนแซ่หลินไม่โดนลูกไม้นี้แน่! ข้าขอพูดอย่างไม่เกรงใจเลยก็ได้ หากเจ้ามีความกล้าที่จะละทิ้งซาเอ่อร์มู่ เสด็จพ่อของเจ้าคงไม่เอาภาระอันหนักอึ้งนี้มอบให้เจ้าแล้วล่ะ!” 


 


 


“เจ้า!” อวี้เจียหน้าซีด กัดฟันจนส่งเสียงดังกรอดกรอด อกงามสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง แม้แต่นิ้วมือก็ยังสั่นระริก 


 


 


หลินหว่านหรงคล้ายมองไม่เห็นสายตาของนาง เดินย่างก้าวพลางส่ายหน้า กล่าวเย้ยหยันออกมาว่า “สมมติว่าต่อให้เสียสละซาเอ่อร์มู่ไปแล้วคนในเผ่าเจ้าจะได้รับความสุขเพราะเหตุนี้หรือ? การรบที่ควรรบก็จะไม่รบ คนที่ควรตายไปก็จะไม่ตาย? ช่างเป็นเรื่องสมมติที่น่าหัวร่อ! คุณหนูอวี้เจีย การหลอกลวงผู้อื่นนั้นย่อมน่าแค้นใจ แต่การหลอกตัวเอง นั่นกลับน่าสงสารและน่าเศร้ามากนะ!” 


 


 


แต่ละคำของเขาล้วนเย็นเยียบดั่งศิลาน้ำแข็ง ทว่ากลับทำให้ความหวังของอวี้เจียสลายไปจนหมดสิ้นภายในชั่วพริบตา 


 


 


ข่านดาบทองหลับตาลงอย่างหมดแรง นั่งล้มลงบนเก้าอี้ทันที “เจ้า มองจุดตายของข้าออกตั้งแต่แรก!” 


 


 


“ก็เหมือนกันเท่านั้นนั่นล่ะ เจ้าต้องการคุยส่วนตัวกับข้า นั่นไม่ใช่กำลังหาจุดตายของข้าอยู่หรือ” เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่น “บางที ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วว่าการที่ข้ามีชีวิตอยู่นั้นหาใช่ความสุขของเจ้าไม่!” 


 


 


“จะใช่ความสุขของข้าหรือไม่ ไม่ต้องให้เจ้ามาถาม!” อวี้เจียกัดฟันกรอดพร้อมตวาดอย่างมีน้ำโห นางเงยหน้าขึ้นมาในทันที ดวงตาผุดประกายเย็นเยียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็พูดจากเปิดอกกันไปเลย! เงื่อนไขสี่ข้อของเจ้า แต่ละข้อรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ข้า แต่ราษฎรทูเจวี๋ยของข้าก็ไม่มีวันตกลง!” 


 


 


“ไม่จำเป็น!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ขอเพียงข่านใหญ่นั่งลงคุยกันได้ก็ต้องมีวิธีแก้ไขแน่นอน! ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่!” 


 


 


เขานั่งลงไม่เร็วไม่ช้า สายตาจดจ้องร่างเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ไม่ยิ้มแย้มไม่เอ่ยวาจา ท่าทางอันสุขุมลุ่มลึกนั้นทำให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์แค้นใจจนกัดฟันกรอดกรอด ใคร่เข้าไปอัดหน้าเขาสักหมัดหนึ่ง 


 


 


“ข้านับถึงสาม หากเจ้ายังไม่นั่งลง เช่นนั้นก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว!” เขาแบมือ พร้อมยิ้มบาง “หนึ่ง! สอง! สาม!” 


 


 


“เจ้ากล้า?!” ข่านดาบทองตวาดเสียงเจื้อยแจ้วคราหนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำ จับเก้าอี้พลิก กลับนั่งหันหลังเขา 


 


 


การเจรจาแบบนี้บนโลกนี้กลับมีน้อยนัก! เขาส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่น แต่เป็นเช่นนี้กลับตรงกับความต้องการเขา หากเผชิญหน้าอวี้เจียโดยตรง พอพูดถึงประเด็นสำคัญ จะหักใจได้หรือไม่ เขาปราศจากความมั่นใจแม้แต่น้อย 


 


 


“เงื่อนไขสี่ข้อ พวกเราคุยทีละข้อกันก็ได้! ข้อแรก ข่านใหญ่มีความเห็นค้านหรือไม่?!” 


 


 


เมื่อเทียบกับอีกสามข้อ ข้อนี้ถือว่าช่างใจกว้างและมีเมตตามาก! อวี้เจียแค่นเสียง กล่าวเย้ยหยันออกมา “หยุดรบข้าเห็นด้วย! เพียงแต่การป่าวประกาศไปทั่วหล้านั้นกลับลำบาก! อีกอย่าง กระดาษแผ่นเดียวจะควบคุมยาวนานถึงห้าสิบปี? ไม่รู้ว่าเจ้าโง่จริงหรือว่าแกล้งโง่กันแน่?!” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าคิดจะควบคุมไปกี่ปี?!” 


 


 


“อย่างมากก็สามสิบ” อวี้เจียอึ้ง ทันใดนั้นก็ตบเก้าอี้อย่างเดือดดาล “หลอกให้ข้าพูดอีกแล้ว! เจ้าคนหลอกลวงผู้กลิ้งกลอก!” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวเย้ยหยัน “ข่านใหญ่ ทุกคนต่างมีสายตาแจ่มชัด! ใครหลอกใครก็ยังไม่แน่จริงๆ นะ!” 


 


 


อวี้เจียกัดปากด้วยท่าทีแข็งกร้าว ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “คนหลอกลวงผู้ฉลาดเฉลียว!” 


 


 


“ป่าวประกาศทั่วหล้าอะไรที่ว่ามันก็แค่การเล่นตัวอักษรเท่านั้น เขียนให้มันยิ่งใหญ่อลังการอย่างหาที่เปรียบมิได้ก็ได้ ข้าไม่เชื่อว่ากับอีแค่ไม่กี่ประโยคนี้เจ้าก็ยังเขียนไม่ออก” หลินหว่านหรงโบกมืออย่างเย็นชา “พูดให้มันตรงไปตรงมาสักหน่อยเถอะ ข้อนี้ ข่านใหญ่ตกลงหรือไม่?” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่ายหน้าหนักแน่น “พูดเงื่อนไขให้หมดก่อน แล้วข้าจะพิจารณาทั้งหมดเอง เจ้ามาถามข้าตอนนี้ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น!” 


 


 


นังหนูคนนี้ฉลาดนัก นางจงใจรวมสี่ข้อให้เป็นเรื่องเดียว จากนั้นก็นำหนึ่งในนั้นวนย้อนกลับไปกดดันฝ่ายตรงข้าม บีบคั้นให้เขาถอย 


 


 


หลินหว่านหรงไม่เปิดโปง กล่าวเรียบๆ ออกมาว่า “เช่นนั้นข้อที่สอง บรรณาการยี่สิบปี!” 


 


 


อวี้เจียผุดลุกขึ้น หันหน้ากลับมามองเขาอย่างเย็นชา “มากที่สุดคือหนึ่งปี!” 


 


 


“ยี่สิบปี!” 


 


 


“หนึ่งปี!” อวี้เจียตบเก้าอี้ด้วยความเดือดดาล! 


 


 


หลินหว่านหรงกระแทกโต๊ะหนักๆ เสียงดังปัง “ข้าบอกว่ายี่สิบปี! ห้ามขาดแม้แต่ปีเดียว!” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าฆ่าข้าไปเลย!” อวี้เจียคำรามด้วยโทสะเสียงดังลั่น ใช้เท้าถีบเก้าอี้อยู่ด้านข้างออกไปอย่างมีโทสะ กระแทกโต๊ะเจรจาเสียงดังปังจนแตกหักกระจายปลิวกระเด็น! ทั้งสองเบิกตาโพลงพร้อมกัน ถลึงตามองฝ่ายตรงข้ามด้วยความเดือดดาล ราวกับราชสีห์ที่กำลังโกรธกริ้วสองตัว ไม่มีใครยอมถอยให้ใคร! 


 


 


ทุกคนที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงดังลั่นมาจากด้านในปะรำครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสะเทือนแก้วหู ราวกับจะพลิกคว่ำปะรำให้ถล่มลงมา ไม่เหมือนการเจรจา แต่กลับเหมือนกำลังต่อยตีกันอยู่ เพียงแต่จอมทัพของทั้งสองฝ่ายไม่ได้เอ่ยวาจา ไม่ว่าใครจึงไม่กล้าเข้าไป! 


 


 


“อย่าเอาท่าทีสังหารคนมาทำให้ข้าตกใจกลัว นั่นไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรตินัก!” หลินหว่านหรงถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อย! 


 


 


“แต่ข้าฆ่าเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง!” อวี้เจียเบือนหน้าไป น้ำตารื้น “ห้าปี! นี่คือขีดจำกัดของข้า!” 


 


 


“สิบปี! นี่คือขีดจำกัดของข้าเช่นกัน!” หลินหว่านหรงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ปล่อยโอกาสให้นางโต้แย้ง “เงื่อนไขข้อที่สาม ทางใต้ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ!” 


 


 


ข่านดาบทองค่อยๆ สงบอารมณ์อันพลุ่งพล่าน นัยน์ตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง “เจ้าคิดจะให้ข้าเฉือนแบ่งแผ่นดิน? ข้าขอให้เจ้าอย่าเพ้อฝันถึงดินแดนของชาวทูเจวี๋ยเรา ขอพูดอย่างไม่เกรงใจตามความสัตย์จริง ต่อให้เจ้าได้ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อไป เจ้าคิดว่าจะเฝ้ารักษาได้สักกี่วัน?!” 


 


 


แม้ใบหน้านางจะดูถูกดูแคลน ถึงกระนั้นสิ่งที่พูดกลับเป็นเรื่องจริง 


 


 


“จะเฝ้ารักษาได้หรือไม่ นั่นมันเรื่องของข้า ข่านใหญ่ไม่ต้องกังวล!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข้าก็แค่อยากเตือนเจ้า ตอนนี้เจ้าไม่มีทางเลือก!” 


 


 


อวี้เจียเสียใจและเดือดดาลระคนกัน กำหมัดจนแน่น “ข้าขอบอกเจ้าคนใจอำมหิตเช่นเจ้าเหมือนกัน หากตัดแบ่งดินแดนให้เจ้า ข้ากับซาเอ่อร์มู่จะกลายเป็นคนบาปแห่งทุ่งหญ้า ไม่มีหน้ากลับไปพบราษฎรของข้า เสด็จพ่อของข้าได้อีก หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นไม่สู้ให้กับซาเอ่อร์มู่ตายตกตามกันไปเลยจะดีกว่า!” 


 


 


คุยมาจนถึงขั้นนี้ เบื้องหน้าเหมือนเป็นทางตัน ไม่อาจหาทางออกได้เลย หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาว “เอาเถอะ ข้าถอยก้าวหนึ่ง ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อไม่ต้องอยู่นอกอาณัติทูเจวี๋ยก็ได้…” 


 


 


อวี้เจียนิ่งอึ้ง “เจ้า เจ้าพูดจริงหรือ?!” 


 


 


เขาผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจัง “เรื่องที่ข้าพูดไปแล้วย่อมคำไหนคำนั้น ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อยังคงเป็นดินแดนของชาวทูเจวี๋ย เพียงแต่ข่านใหญ่ต้องรับปากเงื่อนไขข้าเรื่องหนึ่ง…วันหน้าดินแดนหลายร้อยลี้จากทางใต้ของปาเยี่ยนเฮ่าเท่อยังคงเป็นคงพวกเจ้า แต่เจ้าต้องป่าวประกาศว่าจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเขตการค้าเสรีระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ย!” 


 


 


“เขตการค้าเสรี?” ข่านดาบทองตกใจ “หมายความว่าอะไร?!” 


 


 


“ภายในเขตการค้าเสรีนี้ ทั้งสองฝ่ายห้ามตั้งกองทัพ เหลือเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความสงบสุขโดยเฉพาะก็พอ! ขอข่านใหญ่มีราชโองการ อนุญาตให้พ่อค้าต้าหัวลงทุนและแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างอิสระที่นี่ได้ อนุญาตให้ราษฎรสองแว่นแคว้นโยกย้ายสำมะโนครัว ทำการค้าร่วมกัน แต่งงานกัน ส่งพัสดุหากัน เดินทางหากันได้อย่างอิสระ อนุญาตให้ทั้งสองแคว้นเผยแผ่วัฒนธรรมกันอย่างอิสระ! ขณะเดียวกันต้าหัวเราจะส่งเจ้าหน้าที่เฉพาะทางรวมถึงนำประชากรบางส่วนโยกย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ เพื่อถ่ายทอดทักษะอันโดดเด่นของต้าหัวเรา อาทิ วรรณศิลป์ภาพวาดจรรยาและดนตรี เพาะปลูกทำเกษตรกรรม การก่อสร้าง ชาวทูเจวี๋ยเองก็ถ่ายทอดทักษะการขี่ม้าให้พวกเรา! นอกจากนี้พวกเราจะสร้างตึกรามบ้านช่องจำนวนมากภายในเขตการค้าเพื่อให้ราษฎรจากทั้งสองแคว้นอยู่อาศัย! ถือเป็นการตอบแทนที่ทูเจวี๋ยมอบพื้นที่ให้ ภาษีที่เก็บได้ภายในเขตการค้าเสรีให้แบ่งตามสัดส่วนแก่ทั้งสองแคว้น!” 


 


 


อวี้เจียเป็นชนชั้นฉลาดหลักแหลมเพียงใด เมื่อได้ฟังไปไม่กี่ประโยคก็หน้าซีด! นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ชี้จมูกเขาแล้วพูดว่า “เขตการค้าเสรีที่ดีนักนะ! เจ้า เจ้าหมาป่าทะเยอทะยาน!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน “คำพูดของข่านใหญ่ข้าไม่เข้าใจ! ข้อเสนอที่ข้าเสนอนี้ทั้งไม่ต้องตัดแบ่งดินแดนเจ้า ทั้งยังเปลี่ยนแปลงชีวิตชาวทูเจวี๋ยให้ดีขึ้น ฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ถือว่าเป็นแผนที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แล้วไปเอาหมาป่าทะเยอทะยานมาจากที่ไหนกัน?” 


 


 


อวี้เจียแหงนหน้าพร้อมถอนหายใจยาว เศร้าใจและเดือดดาลระคนกัน “ตอนนี้ข้าถึงเข้าใจ เจ้าเสนอเรื่องตัดแบ่งดินแดนแล้วยังมาหน้าทำตามีเมตตายอมถอยก้าวหนึ่งอะไรที่ว่า ที่แท้เรื่องนี้เจ้าก็วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่แรกเจ้าไม่ได้คิดจะครอบครองปาเยี่ยนเฮ่าเท่อเลย เพราะเจ้ารู้ว่ามันไม่อาจครอบครองได้ เจ้าทำเพื่อเขตการค้าเสรีอะไรที่ว่านี่! พูดจาเสียน่าฟัง ลงทุนการค้า เผยแผ่วัฒนธรรมอะไรกัน! เจ้าต้องการให้ชาวทูเจวี๋ยเราร่ำเรียนเขียนอ่าน เพาะปลูกทำการเกษตร อาศัยในบ้านเรือน ครั้นพวกเรายอมรับชีวิตอันสงบสุขเช่นนี้ ผู้ใดยังจะอาวรณ์กระโจมและหลังม้า เลี้ยงสัตว์เร่ร่อนอีก? เมื่อมีประกายแสงจาเขตการค้าแห่งนี้ ทั่วทั้งทุ่งหญ้าก็ไม่มีวันสงบสุข คนในเผ่าจะชื่นชอบชีวิตเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ! ขอเพียงพวกเราออกจากหลังม้า ทูเจวี๋ยก็เท่ากับทำลายวิทยายุทธตัวเอง ทุกสิ่งต่อให้ไม่บุกโจมตีก็พังทลายไปด้วยตนเอง!” 


 


 


“ส่วนไอ้การค้าแต่งงานเดินทางกันได้ที่เจ้าว่ามาก็เพื่อให้ทูเจวี๋ยกับต้าหัวหลอมรวมกัน หลายร้อยปีหลังจากนี้ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อแห่งนี้จะกลายเป็นดินแดนกันชนทางธรรมชาติระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ย ทหารม้าทูเจวี๋ยเราจะบุกไม่ได้อีกต่อไป! เจ้าคิดลงทุนน้อยได้ผลประโยชน์มาก ตัดภัยร้ายที่จะตามมาตลอดกาล นี่ไม่ใช่หมาป่าทะเยอทะยานแล้วจะเรียกว่า?” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์พูดตรงประเด็น สิ่งที่ร้ายกาจมากที่สุดบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่าการรุกรานทางวัฒนธรรมแล้ว! สิ่งนี้สูงส่งยิ่งกว่าการครอบครองดินแดนไม่รู้เท่าไหร่! 


 


 


“หมาป่าทะเยอทะยาน?” มองดูใบหน้าเศร้าเสียใจและเดือดดาลของข่านดาบทองนั้น หลินหว่านหรงส่งเสียงหัวเราะดังลั่นทันที ส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง 


 


 


แม้เสียงหัวเราะของเขาจะบ้าคลั่ง ทว่าสายตากลับกระจ่างใสมาก ภายในม่านตาสะท้อนเงาอันงดงามร่างหนึ่ง อวี้เจียมองเขาอย่างเหม่อลอย รู้สึกใจเหมือนมีดกรีดทันที “ห้ามเจ้าหัวเราะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงกวาดสายตามองนางคราหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ข่านใหญ่ เมื่อก่อนเจ้าเคยพูดกับข้า ทูเจวี๋ยบุกโจมตีต้าหัวก็เพราะสวรรค์ไม่ยุติธรรม มอบดินแดนอุดมสมบูรณ์ให้ต้าหัว ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องการยึดแผ่นดินต้าหัว ให้ราษฎรของเจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นั่นไม่ใช่หรืออย่างไร?” 


 


 


“นั่นแล้วจะทำไม?” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด 


 


 


“ใช้ก็ดี” หลินหว่านหรงยิ้มเย็นชา “ข้าอยากถามคำหนึ่ง ข่านใหญ่เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากมีวันหนึ่งพวกเจ้ายึดแผ่นดิน ต้าหัวได้จริง เจ้ากับคนในเผ่าเจ้าจะมีชีวิตเช่นไร? พวกเขายังจะขี่ม้า ยิงธนู อยู่กระโจมในทุ่งหญ้าเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่?!” 


 


 


อวี้เจียครุ่นคิดเล็กน้อย หน้าซีดทันที 


 


 


“ไม่กล้าตอบ?!” เขาหัวเราะเสียงดังอย่างเดือดดาล “ให้ข้าบอกเจ้าก็แล้วกัน เมื่อเข้าด่านพวกเจ้าก็ต้องร่ำเรียนเขียนอ่าน เพาะปลูกทำการเกษตร อยู่ในตึกรามบ้านช่อง เสพสุขกับชีวิตอันแสนจะสงบสุขนั้นอยู่ดี! ความฝันที่พวกเจ้าไล่ตามหามาหลายร้อยปีนี้ ชีวิตที่มีความสุขที่เจ้าอยากให้ราษฎรของเจ้ามีอะไรที่ว่า ข้าไม่ต้องใช้อาวุธสักชิ้นเดียวก็ให้เจ้าตอนนี้ได้แล้ว! แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่กล้ายอมรับอีก? ตบหน้าตัวเองมันสนุกมากนักหรือ?” 


 


 


ข่านดาบทองอายและโมโหระคนกัน ถึงกระนั้นกลับไม่อาจโต้เถียง ด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่านจึงใช้เท้าเตะเศษเก้าอี้ไม้ตัวนั้น กระแทกไปที่เขาอย่างหนักหน่วง  


 


 


“หงุดหงิดและอายจนโมโหก็ไร้ประโยชน์” หลินหว่านหรงหน้าตาถมึงทึง กล่าวอย่างแช่มช้าออกมาว่า “อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า! ข้าถอยก้าวหนึ่งให้แล้ว จะตัดแบ่งดินแดนหรือว่าสร้างเขตการค้าเสรี เจ้าเลือกเอาเอง!” 


 


 


เส้นทางสองสายนี้ล้วนเป็นกับดักที่เขาวางไว้ทั้งสิ้น ไม่มีทางเลือกแม้แต่น้อย! อวี้เจียเงยหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโห ประกายน้ำตาภายในดวงตาวูบไหว “หากข้าไม่เลือกทั้งสองอย่างล่ะ?!” 


 


 


เขาพูดเบาๆ “การเจรจาส่วนการเจรจา แต่ความอดทนของข้าก็มีขีดจำกัดเช่นกัน! หวังว่าข่านใหญ่จะเข้าใจ!” 


 


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้ารู้สึกเช่นไร?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาอย่างเงียบงัน หน้าซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ “เมื่อก่อน ข้าอยากเห็นเจ้าทุกวัน ฝันก็ยังอยากคุยกับเจ้า! แต่วันนี้เมื่อยืนอยู่หน้าเจ้า ข้ากลับหวังว่าตัวเองจะตายโดยเร็ว! มีเพียงเช่นนี้เจ้าถึงไม่รังแกข้า!”  

 

 


ตอนที่ 621 จิตใจโหดเหี้ยม

 

พี่สาวอันฝังเข็มพิษลงไปในร่างอวี้เจีย ชีวิตของนางกำลังหดหายไปเรื่อยๆ ทุกวัน มองดูสายตาสิ้นหวังหดหู่ของอวี้เจีย ใจของหลินหว่านหรงคล้ายถูกหินยักษ์หนักพันชั่งกดทับ ลมหายใจสับสนวุ่นวาย ผ่านไปเนิ่นนานไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาได้ 


 


 


“อัวเหล่ากง ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” อวี้เจียมองเขาพร้อมเอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ กำหมัดแน่นอย่างเงียบงัน มีโลหิตปรากฏให้เห็นระหว่างซอกนิ้วอยู่รำไร “หากเจ้าไม่เรียกชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้า ข้าตอบเจ้าสิบเรื่องก็ยังได้!” 


 


 


“ข้าเรียกของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? หากเจ้าไม่ชอบ ไม่ต้องตอบก็ได้แล้ว!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์เดือดดาลยิ่งนัก 


 


 


มองดูดวงตาที่เบิกกว้าง ท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของนาง หลินหว่านหรงกล่าวอย่างอับจนปัญญา “ได้ เจ้าถามมาเถอะ!” 


 


 


อวี้เจียมองเขา ใบหน้าพลันอ่อนโยนลงอย่างหาที่เปรียบมิได้ ก้มหน้าลงพร้อมถามเสียงค่อยออกมา “หากวันหนึ่งข้าตายไปแล้วเจ้าจะคิดถึงข้าหรือไม่” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวใจกระตุกวูบ อดกล่าวด้วยโทสะออกมาไม่ได้ “พูดจาเหลวไหลอะไร เจ้าไม่ตายหรอก!” 


 


 


“ท่าทางหลอกลวงคนของเจ้าช่างน่าเกลียดเสียจริง!” อวี้เจียยิ้มให้เขาพร้อมหันหน้าไปอย่างเงียบงัน ไหล่อันบอบบางสั่นระริกเป็นระยะ “ข้าตายแล้วห้ามเจ้าคิดถึงข้า! เหมือนช่วงเวลาที่เจ้าตายไปนี้ ข้าไม่คิดถึงเจ้าเลยสักนิด!!” 


 


 


“ปัง” หลินหว่านหรงตบโต๊ะหนักๆ คราหนึ่ง โลหิตสีแดงสดจำนวนเล็กน้อยที่แทบมองไม่เห็นแปดเปื้อนอยู่บนโต๊ะ “เจ้าคิดถึงข้า ข้าคิดถึงเจ้าอะไรกัน ตอนนี้คือช่วงเจรจา! ยังมีเงื่อนไขอีกสี่ข้อ! จะสงบหรือจะรบ เจ้าคิดเองก็แล้วกัน!” 


 


 


อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมาในบัดดล คราบน้ำตาบนใบหน้ายังไม่แห้ง ถึงกระนั้นสายตากลับลดฮวบจนถึงจุดเยือกแข็ง นางกล่าวอย่างเย็นชาออกมาว่า “เจ้าจะคุมตัวซาเอ่อร์มู่อยู่ที่ต้าหัวสิบปี? ใต้เท้าหลิน ข้าขอโน้มน้าวเจ้าว่าอย่าฝันกลางวันเลย! การลบหลู่เช่นการคุมตัวข่านเช่นนี้ เจ้าคิดว่าอาณาประชาราษฎร์ทูเจวี๋ยจะตกลงหรือไม่? เพื่อศักดิ์ศรีแห่งทุ่งหญ้า พวกเขาต้องรบกับต้าหัวจนตัวตายโดยไม่เสียดายชีวิตตนเองแน่!” 


 


 


“คุมตัว? ข้าบอกว่าจะคุมตัวตั้งแต่เมื่อไหร่?!” หลินหว่านหรงกล่าวเย็นชา “ข่านใหญ่ดูแคลนข้าเกินไปแล้ว! ต้าหัวเรามีคำศัพท์อย่างหนึ่งเรียกว่าการเรียนพร้อมท่องเที่ยว! ข่านน้อยชื่นชมความยิ่งใหญ่และลึกซึ้งของวัฒนธรรมต้าหัว เข้ามาในแผ่นดินภาคกลางด้วยตนเอง เดินทางรอนแรมเพื่อศึกษาหาความรู้ ท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดิน เยี่ยมคารวะอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง สิบปีหลังจากนี้ร่ำเรียนสำเร็จกลับคืนสู่บ้านเกิด แสดงฝีมือที่มีอยู่ทั้งหมด สร้างความสุขให้ราษฎรทูเจวี๋ย! นี่จะเป็นตำนานอันแสนจะงดงามมากเพียงใด!” 


 


 


อวี้เจียร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง กล่าวด้วยความเสียใจระคนเดือดดาล “การละลายประเพณีและวัฒนธรรมบนทุ่งหญ้าของข้า เรียกการค้าเสรี! คุมตัวข่านทูเจวี๋ยเราก็ตั้งชื่อเสียสวยงามว่าเดินทางหาความรู้! ใต้เท้าหลิน เจ้าวางแผนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว แผนการเยี่ยม ฝีมือเยี่ยม!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “การหลอมรวมชนชาติแต่เดิมก็เป็นแนวโน้มที่ต้องเกิดอยู่แล้ว แล้วจะบอกว่าข้าวางแผนได้อย่างไร? เจ้าลองคิดดู หลายปีนี้สองแคว้นเรารบกันไม่หยุด โลหิตไหลนองเป็นท้องธาร แต่การเดินทางทำการค้าใต้ดินระหว่างชนชาตินั้นเคยหยุดหรือไม่?! แม้แต่ในทะเลแห่งความตายก็ยังฝังกลบคู่รักต่างชนชาติที่ร่วมเป็นร่วมตายกันคู่หนึ่งเลย! การทำการค้าแต่งงานเดินทางเชื่อมโยงกันนี้ มีอะไรผิดตรงไหน?” 


 


 


“อย่างนั้นที่เจ้าคุมตัวซาเอ่อร์มู่ล่ะคืออะไร?” ข่านใหญ่ดาบทองกล่าวด้วยโทสะเสียงดัง “เขาอายุยังน้อย เหมือนหยกที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไน หากเจ้าสอนพิณหมากอักษรภาพวาด ซือฉือเกอฟู่ สิ่งทอการปลูกสร้าง…” 


 


 


“สอนเรื่องพวกนี้ไม่ดีหรือ?” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “มีหลายคนที่อยากเรียนก็ยังเรียนไม่ได้เลย!” 


 


 


อวี้เจียสองตาเบิกโพลง ตวาดเจื้อยแจ้วอย่างมีน้ำโห “หากเรียนเรื่องพวกนี้กับเจ้า ต่อไปพอเขากลับทุ่งหญ้า เกรงว่าแม้แต่ม้าก็ขี่ไม่ได้แล้ว! ซาเอ่อร์มู่เป็นพญาอินทรีสยายปีก เป็นนายแห่งทุ่งหญ้าในอนาคต! เจ้าทำเช่นนี้แล้วจะให้เขาปกครองราษฎรทูเจวี๋ยได้อย่างไร?” 


 


 


“ปกครองราษฎรนั้นใช้สมอง ไม่ใช่การขี่ม้ายิงธนู! เหตุผลนี้เจ้าเข้าใจมากกว่าข้า!” 


 


 


“ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่อยากเข้าใจตลอดกาล!” อวี้เจียส่งเสียงดัง พลิกคว่ำโต๊ะตรงหน้า ใบหน้าน้ำตานอง “เจ้าคิดแต่จะทำให้ทูเจวี๋ยของข้าอ่อนแอลง! แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากปราศจากซาเอ่อร์มู่ ข่านใหญ่ก็จะมีแต่เปลือกที่ว่างเปล่า หากต้องการรักษาตำแหน่งข่านของซาเอ่อร์มู่ ข้าต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากมากเพียงใด? ข้าต้องยืนหยัดบนทุ่งหญ้าเพียงคนเดียวถึงสิบปี! สิบปีเชียวนะ ชีวิตคนเรามีกี่สิบปีกัน?! เจ้าเคยคิดแทนข้าบ้างหรือไม่?! เจ้าคนจิตใจโหดเ**้ยมคนนี้นี่!” 


 


 


นางยืนอยู่ตรงนั้น เปล่งเสียงร่ำไห้โศกา ปล่อยให้น้ำตาไหลริน สาบเสื้อเปียกชุ่มภายในชั่วพริบตา 


 


 


“นี่เป็นเรื่องที่ข่านใหญ่ต้องคิด ไม่เกี่ยวกับต้าหัวของข้า!” หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด สองตาเปียกชื้นโดยไม่รู้ตัว ก้มหน้าเพื่อหลบประกายน้ำตาของนาง 


 


 


“อ๊า!” อวี้เจียซึ่งเดือดดาลจนถึงขีดสุดคำรามออกมาอย่างเร็วรี่ จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นแล้วตบลงบนใบหน้าเขาอย่างหนักหน่วง! 


 


 


การโจมตีนี้รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เพียงกะพริบตาก็บรรลุถึง! หลินหว่านหรงดวงตาเย็นชา ถึงกระนั้นกลับบังเกิดความรู้สึกเสียใจอย่างไม่อาจจะบรรยายได้ขึ้นมาอย่างหนึ่ง เขาหลับสองตาอย่างแช่มช้า ไม่หลบไม่หลีก ยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ  


 


 


“เพียะ!” เสียงตบครานี้ทั้งคมทั้งชัด ปะทะใบหน้าเขาตรงๆ ใบหน้าแดงก่ำไปหมด ใบหน้าบวมเป็นก้อนใหญ่ รอยนิ้วมือเรียวยาวห้าสาย มองเห็นอย่างชัดเจน 


 


 


เขายืนนิ่งอย่างเงียบงัน ราวกับมนุษย์น้ำแข็งที่ไร้ความรู้สึก! 


 


 


อวี้เจียสายตาชะงักงัน มองเขานิ่งๆ แม้แต่ลมหายใจก็ยังหยุด! 


 


 


เสียงตบนี้ดังมาก แม้แต่พวกของพวกของเหล่าเกาที่อยู่ข้างนอก ได้ยินอย่างชัดเจน! ด้วยความร้อนใจ ทุกคนไม่อาจทนต่อไปได้อีก ต่างบุกเข้ามา ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ทุกคนตะลึงงันทันที ยังไม่ทันได้สติกลับมา “เพียะ” ร่างคุณหนูสวีดั่งสายฟ้า พุ่งปราดไปข้างหน้าเสียงดังขวับ ตบอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง ฟาดลงบนใบหน้าขาวกระจ่างใสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์! 


 


 


ความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นราวประกายไฟ ยังดูไม่จบก็สิ้นสุดไปแล้ว! เมื่อเห็นข่านใหญ่ถูกรังแก ลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่ก็บุกเข้ามาพร้อมขู่คำรามด้วยโทสะ เหล่าเกาหูปู้กุยขวางอยู่เบื้องหน้าพวกมันอย่างเย็นชา 


 


 


อวี้เจียแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหิน บนดวงหน้าที่เหมือนดั่งหยกประทับรอยนิ้วสีแดงก่ำห้านิ้ว ถึงกระนั้นนางกลับปราศจากปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย! ริมฝีปากของนางสั่นระริกอย่างรุนแรง ยื่นมือออกไปอย่างแช่มช้า เข้าใกล้ใบหน้าของเขาทีละนิ้วๆ เห็นๆ อยู่ว่าห่างกันแค่คืบเท่านั้น แค่มือนางกลับสั่นจนสูญเสียทิศทางไป  


 


 


รอยประทับสีแดงเพลิงเฉกเช่นรอยมือของตน ร้อนแรงดั่งถ่านแดง ท่ามกลางความรู้สึกอันรางเลือน ทันใดนั้นก็นึกถึงนิทานเรื่องลายมือที่เขาเคยเล่าให้ตนฟังขึ้นมาได้ แต่ละเส้นนั้นคล้ายสลักอยู่บนใบหน้าเขา  


 


 


นางลูบใบหน้าเขาอย่างแช่มช้า ความรู้สึกอบอุ่นซึ่งเหมือนจริงถึงเพียงนี้ลวกมือนางภายในชั่วพริบตา ทำให้นางสั่นเทาไม่หยุด  


 


 


“เพราะอะไร เพราะอะไรเจ้าถึงทำแบบนี้กับข้า!” นางพึมพำกับตนเอง ที่มุมปากมีโลหิตไหลซึมออกมาอย่างแช่มช้า ลูบไล้ใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยนและเงียบงัน ดวงตาเผยประกายอ่อนโยนราวกับวารี 


 


 


“เงื่อนไขสี่ข้อที่ต้าหัวเราเสนอออกไป หวังว่าข่านใหญ่จะพิจารณาให้ถ้วนถี่! คนแซ่หลินจะรออยู่ตรงนี้สามวัน เลยเวลาแล้วจะไม่รอ!” หลินหว่านหรงแววตาหม่นหมอง สาวเท้าเดินออกจากปะรำโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป 


 


 


สามวัน? อวี้เจียนั่งร่างอ่อนยวบอยู่บนพื้น มองดูรอยฝ่ามือสีแดงสดบนโต๊ะ นางหลั่งน้ำตาดั่งสายฝนออกมาทันที 


 


 


… 


 


 


ตะวันยามสนธยาสีโลหิตค่อยๆ ร่วงหล่น ณ ริมขอบฟ้า ทรายปลิวฟุ้งทั่วท้องนภา ประหนึ่งผ้าคลุมหน้าสีเหลืองหม่นที่ช่วยปิดบังโฉมหน้าให้มันชั้นหนึ่ง กระโจมสีขาวสะอาดหลายกระโจมกระจัดกระจายอยู่ในทะเลทราย ถูกคลุมด้วยทรายละเอียดสีเหลืองทองภายในชั่วพริบตา 


 


 


ทอดสายตามองเงาร่างอันว้าเหว่ ณ บริเวณที่ดวงอาทิตย์ลาลับอยู่ไกลๆ พวกหูปู้กุยสามคนเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า ทอดถอนใจออกมาพร้อมเพรียงกันทันที ส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา 


 


 


เหล่าหูถอนหายใจลึกๆ คราหนึ่ง “เห็นๆ อยู่ว่าทั้งสองคนคุยกันส่วนตัว คุยกันหวานชื่น อี๋อ๋อกันไปสักหลายประโยค ทุกอย่างก็จบแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ลุกลามจนเป็นแบบนี้ ต่อไปจะทำเช่นไร? บนโลกนี้มีสตรีคนใดที่กล้าตบแม่ทัพหลินบ้าง เฮ้อ หรือว่าสวรรค์จะทำร้ายคนมีความรักจริงๆ?” 


 


 


ตู้ซิวหยวนผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ภารกิจสำคัญของกองทัพและบ้านเมืองทั้งยังระคนด้วยบุญคุณความแค้นของคนรักอีก เป็นเรื่องที่ลำบากใจอันดับหนึ่งในแผ่นดินนับแต่โบราณมา เกรงว่าคงแก้ไขไม่ง่ายดายขนาดนั้น!” 


 


 


เหล่าเกาแค่นเสียงอย่างดุดัน “บุญคุณความแค้นบ้านเมืองอะไรนั่นล้วนเป็นแต่เรื่องจอมปลอม มีแค่ความรักระหว่างชายหญิงเท่านั้นถึงจะจริงแท้มากที่สุด! หากทำให้น้องหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ต้องเสียดายไปทั้งชีวิต นั่นสวรรค์ถึงจะไม่มีตา!” 


 


 


พวกเขาสามคนเดือดดาลรู้สึกไม่เป็นธรรม ปรึกษากันอยู่ครึ่งค่อนวันกลับหาวิธีการไม่ได้สักอย่างเดียว คงไม่ใช่ต้องบังคับมัดตัวเยวี่ยหยาเอ๋อร์มาหรกนะ! ต่อให้มัดตัวมาได้ แม่ทัพหลินก็ไม่แน่ว่าจะต้องการ! เรื่องความรู้สึกชายหญิงนี้ แต่เดิมก็สลับซับซ้อนหาใดเปรียบอยู่แล้ว เมื่อบวกสถานะของคนทั้งสองกับบุญคุณความแค้นของสองแคว้นเข้าไปอีกก็ยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่! 


 


 


“เจ็บหรือไม่?!” คุณหนูสวีนั่งข้างกายหลินหว่านหรง ลูบใบหน้าเขาเบาๆ เมื่อเห็นรอยนิ้วสีแดงสดบนใบหน้าเขาก็ทั้งปวดใจและหงุดหงิด 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย หัวเราะร่าพลางพูดว่า “เดิมทีก็เจ็บอยู่บ้าง เพียงแต่พอคุณหนูสวีนวดให้ข้าไปหลายที นั่นมันช่างสบายเหลือแสน ต่อให้เป็นบาดแผลที่ใหญ่กว่านี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว!” 


 


 


สวีจื่อฉิงใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขา กล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้ายังมีหน้าหัวเราะออกมาได้อีกนะ เจรจากันอยู่ดีๆ เหตุใดถึงตบตีขึ้นมาได้? อีกอย่าง ด้วยฝีมือของเจ้า นางจะตีเจ้าได้อย่างไร?” 


 


 


“คนมีเสียตัว ม้ามีเสียก้นนี่นา!” เขาหัวเราะร่วน “เจ้าไม่ได้ช่วยข้าแก้แค้นแล้วหรือ ฝ่ามือนั้นของเจ้า เกรงว่าคงทำให้นางจำไปทั้งชาติแล้วล่ะ!” 


 


 


คุณหนูสวีหยิกเอวเขาอย่างแรงด้วยความโมโหพร้อมพูดตำหนิ “สงสารนางก็พูดมาตามตรง! อย่านึกว่าข้าไม่รู้ เพราะเจ้าบีบคั้นนางโหดเ**้ยมเกินไปเลยรู้สึกผิด ดังนั้นถึงจงใจถูกนางกระทำทีหนึ่งเพื่อให้สบายใจ! มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของเจ้า หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นตีเจ้า มันคงตายไปร้อยรอบตั้งแต่แรกแล้ว!” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวอย่างจนใจ “คุณหนูสวี เรื่องบางอย่างทำเป็นเลอะเลือนไปบ้างไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องแก้ผ้าข้าล่อนจ้อนด้วย? ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด พวกเหล่าเกาดูอยู่นะ!” 


 


 


คุณหนูสวีหน้าแดงพลางร้องเหอะ ทุบหน้าอกเขาเบาๆ สองครา ซบหน้าอกเขาอย่างเงียบงัน 


 


 


ฝั่งตรงข้ามห่างออกไปหลายร้อยลี้คือเขตแดนของชาวทูเจวี๋ย กระโจมขาวสะอาดสิบหลังเบ่งบานอยู่บนทุ่งหญ้าราวกับบุปผาน้อยที่สะอาดผุดผ่อง มองไม่เห็นเงาร่างของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด และไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ 


 


 


คุณหนูสวีสายตาเลื่อนลอย มองกระโจมที่เป็นจุดกระจัดกระจายนั้น ทันใดนั้นก็พูดเสียงเบาออกมาว่า “บางครั้งข้าก็เห็นใจเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้มากจริงๆ! คนที่งดงามและฉลาดหลักแหลมเช่นนั้นกลับชอบอันธพาลต่ำช้าคนหนึ่งได้ แถมเจ้าอันธพาลคนนี้ดันเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่ของนางสุดอีกด้วย! ความสุขอันยิ่งใหญ่มากที่สุดกับความทุกข์อันยิ่งใหญ่มากที่สุดบนโลกนี้มาให้นางเผชิญจนหมดสิ้น!” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “อันธพาลต่ำช้าอะไรกัน! ให้มันรวบรัดสักหน่อย พูดชื่อข้าออกมาเลยก็ได้ ข้าไม่มีทางปฏิเสธ! เพียงแต่ข้ากลับรู้สึกแปลกใจ เจ้าที่เป็นไหน้ำส้มใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดพออยู่ต่อหน้าอวี้เจียกลับละลายกลายเป็นน้ำได้?! นางมีเสน่ห์มากขนาดนั้นเชียวหรือ!” 


 


 


“เพราะรู้สึกเห็นใจ” สวีจื่อฉิงกอดเขา กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “เมื่อลองคิดว่าช่วงเวลาที่เจ้าเข้าทุ่งหญ้าแล้วข้ามีความรู้สึกเช่นไร ข้าก็เข้าใจว่าหลังจากที่นางพลั้งมือฆ่าเจ้าไปแล้วจะรู้สึกอย่างไร และนางได้พบเจ้าอีกครั้งตะตื่นเต้นยินดีเช่นไร! อันธพาลน้อย เจ้าลองคลำหัวใจข้า เจ้าก็จะรู้!” 


 


 


หัวใจอันอบอุ่นของคุณหนูสวีสั่นระรัวดังตึกตัก ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็นึกถึงจอนผมขาวของอวี้เจีย รู้สึกขาดอากาศหายใจในบัดดล 


 


 


สวีจื่อฉิงเอ่ยเสียงเบา “พอข้าเห็นสัญญาที่เจ้าเขียน ข้ามักรู้สึกว่าอวี้เจียตบเจ้าหนึ่งครั้ง นั่นถือว่าสงสารเจ้าแล้ว! นางฆ่าเจ้าก็ไม่เกินเลย! ไม่รู้ว่าคนใจคอโหดเ**้ยมเช่นเจ้าหักใจทำลงไปได้อย่างไรจริงๆ?!” 


 


 


แม้แต่กุนซือหญิงก็ยังเรียกร้องความเป็นธรรมให้อวี้เจีย เห็นได้ว่าบีบคั้นนางจนต้องทุกข์ระทมเกินไปแล้วจริงๆ ด้วย! หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน คลายมือออกไปอย่างแช่มช้า ประกายสีเงินกระจ่างวูบ ในมือเขากุมเข็มเงินคมกริบสองเล่ม ปลายเข็มนั้นแทงลึกเข้าไปในนิ้วมือเขา โลหิตซึมเต็มฝ่ามือ 


 


 


“เจ้า!” สวีจื่อฉิงตกใจอย่างยิ่ง รีบสาละวนช่วยเขาห้ามเลือดมือเป็นระวิง น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว “นี่เจ้าทำเพื่ออะไรกัน?!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว “ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าไม่ควรนั่งอยู่ที่โต๊ะเจรจา! หากไม่บีบคั้นตัวเอง ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าจะคุยกับนางแล้วออกมามีสภาพเป็นเช่นไร!” 


 


 


คุณหนูสวีถอนหายใจทั้งน้ำตา โมโหจนทุบหน้าอกเขาอย่างแรงหลายครั้ง “ตอนนี้ข้าหึง หึงมาก! ชีวิตนี้ของเจ้ามีเพื่อข้าเช่นนี้!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง โอบนางเข้าสู่อ้อมอก “วางใจได้ ตอนนี้เจ้าเป็นเมียข้า สถานะสูงส่งขึ้นหนึ่งขั้น ข้าจะมีแต่ดีกับเจ้ามากขึ้น มากขึ้นมากขึ้นเท่านั้น! อ๊ะ นึกออกแล้ว เมื่อไหร่พวกเราจะกลับไปคลำหาปลาที่ทะเลสาบเวยซาน คลำที่ห้องของหนิงเอ๋อร์ คราวนี้รับประกันว่าไม่มีทางพลาดแน่!” 


 


 


“ลามก!” กุนซือร้องเหอะเบาๆ แล้วรีบเบือนหน้าหนีไป ทว่ารอยยิ้มเอียงอายและยินดีกลับผุดขึ้นเต็มใบหน้า 


 


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน เหล่าเกาที่อยู่ทางนั้นก็วิ่งปรี่เข้ามาหาพร้อมชี้ไปยังสถานที่อันห่างไกล “น้องหลิน คุณหนูสวี ทางทูเจวี๋ยมีคนมาแล้ว!” 


 


 


มีคนมา? หรือว่าจะมาส่งข่าวให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์? นี่เพิ่งจะไม่กี่ขั่วยาม นางก็ตัดสินใจเร็วขนาดนี้แล้ว?! หลินหว่านหรงรีบเงยหน้าขึ้นมา ทอดสายตามองไปก็เห็นว่า ณ เส้นแบ่งเขตแดนมีรถม้าขนาดกว้างใหญ่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างแช่มช้าคันหนึ่ง อาชาพ่วงพีสี่ตัววิ่งเคียงคู่ ก่อเป็นฝุ่นทรายเบาๆ  


 


 


“ใครกัน?!” หลินหว่านหรงกระโดดเข้าไปหาพร้อมตวาดเสียงดังด้วยโทสะ  

 

 


ตอนที่ 622 - 1 เพลิงรัก

 

มีนางกำนัลทูเจวี๋ยนางหนึ่งออกมาจากรถม้า หน้าตาหมดจดเยาว์วัย ใช้มือแตะหน้าอกพร้อมแสดงการคารวะต่อเขาด้วยความเคารพ “คารวะใต้เท้าใบ้!” 


 


 


ใต้เท้าใบ้? หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง ชื่อนี้กลับมีเอกลักษณ์มาก! 


 


 


ภาษาต้าหัวของสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นแข็งกระด้างอยู่บ้าง เมื่อเขามองอย่างถ้วนถี่หลายคราก็ต้องกล่าวด้วยความตกใจออกมาทันที “เอ๊ะ เป็นเจ้า?!” 


 


 


สวีจื่อฉิงขยี้เท้าเขาเบาๆ ด้วยความหงุดหงิดโมโห “บอกมาตามตรง ตอนเจ้าอยู่ทูเจวี๋ยไปรู้จักสาวน้อยมากเท่าใดกันแน่?!” 


 


 


“คุณหนูสวีเข้าใจผิดแล้ว!” เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ที่ข้าจำพี่สาวน้อยคนนี้ได้ก็เพราะตอนที่อยู่ในวังทูเจวี๋ยวันนั้น นางปรนนิบัติข้าล้าง…อ้อ ล้างมือ! นางยังชมข้าอีกด้วย ‘ผู้กล้า ท่านช่างกล้ามากจริง ๆ นะเจ้าคะ’ ข้าได้ยินแล้วก็ดีใจมาก! ใช่แบบนี้หรือไม่ พี่สาวน้อย?” 


 


 


มีคุณหนูสวีอยู่ด้านข้าง เขาไม่กล้าพูดว่าผู้อื่นเคยปรนนิบัติเขาชำระล้างร่างกายมาก่อน! นี่คือหนึ่งในนางกำนัลสองคนที่เป็นหัวหน้านางกำนัลในวังหลังของข่านดาบทอง วันนั้นพวกนางรับคำสั่งให้รับตัวเจ้าใบ้เข้าวัง ทั้งยังชุดเขาชำระล้างร่างกายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตัวเองอีกด้วย ความยวนเย้าที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นมีตั้งมากมาย! คิดไม่ถึงว่าอวี้เจียจะพาพวกนางมาด้วย ถือว่าคนรู้จักได้กลับมาพบกันอีกครั้งจริงๆ เลยนะ! 


 


 


นางกำนัลน้อยทูเจวี๋ยใบหน้าแดงระเรื่อ ก้มหน้าพร้อมกล่าวด้วยความเอียงอาย “ใต้เท้าใบ้ยังจำพวกเราได้หรือเจ้าคะ?! ตอนนั้นท่านไม่พูดกับพวกเรา พวกเรายังนึกว่าท่านหูหนวกเป็นใบ้จริงเสียด้วยซ้ำ!” 


 


 


“อ้อ อาการใบ้ของข้ารักษาหายแล้ว แถมยังกล้ามากขึ้นอีกด้วยนะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน มองสำรวจด้านหน้าด้านหลังรถหลายครั้งเห็นว่าผู้ที่มาจากทางฝั่งนั้นมีนางกำนัลน้อยเพียงสี่ห้าคนเท่านั้น มีสาวน้อยที่กำลังเอ่ยวาจาผู้นี้เป็นหัวหน้า แสดงความเคารพเขาพร้อมเพรียงกัน ถึงกระนั้นกลับไม่เห็นเงาของบุรุษแม้แต่ครึ่งคน! 


 


 


เขากะพริบตา แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “พี่สาวน้อยผู้นี้ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ?” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยตอบด้วยความเคารพนบนอบ “ข้ารับพระบัญชาจากท่านข่านใหญ่มาส่งน้ำสุคนธ์[1] สำหรับชำระล้างร่างกายให้ใต้เท้าใบ้เจ้าค่ะ!” 


 


 


น้ำสุคนธ์สำหรับชำระล้างร่างกาย? น้ำที่ใช้อาบน้ำ? หลินหว่านหรงประหลาดใจยิ่งนัก! 


 


 


สาวน้อยปรบมือเบาๆ เหล่านางกำนัลทูเจวี๋ยนำไม้กั้นรอบรถม้าออกไป เผยให้เห็นถังไม้ขนาดยักษ์สูงเท่าครึ่งตัวคนหลายถัง ไอร้อนค่อยๆ ลอยอ้อยอิ่งขึ้นมา ในถังน้ำพรมด้วยกลีบดอกกุหลาบจำนวนนับไม่ถ้วน กำลังลอยล่องอยู่บนผิวน้ำ สีแดงเพลิงสดใส กลิ่นหอมกรุ่นลอยเตะจมูก! 


 


 


แหล่งน้ำในทะเลทรายมีค่ามากเพียงใด และมีแค่ข่านดาบทองผู้สูงศักดิ์เท่านั้นถึงชำระล้างร่างกายในทะเลทรายได้! เมื่อเทียบกับกระโจมสีเหลืองทอง แสงโคมสว่างไสว นางกำนัลและบ่าวไพร่มากมายเต็มไปหมดของอวี้เจีย ชาวต้าหัวดูอนาถามากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ตอนออกมานอกจากม้าศึก กระโจมค้างแรมและอาหารแห้งแล้ว ของที่หยิบติดมือมาได้ก็แทบจะไม่มี! นี่คือความแตกต่างระหว่างเจ้าผู้ปกครองกับสามัญชน! 


 


 


หลินหว่านหรงแค่นเสียง โบกมือด้วยความหงุดหงิดโมโห “ข้าไม่ชอบอาบน้ำ พวกเจ้ายกกลับไปดีกว่า!” 


 


 


“ใต้เท้า!” สาวน้อยตกใจจนหน้าถอดสี คุกเข่ากราบกรานลงกับพื้นเสียงดังตึงพร้อมหมอบกราบ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก บรรดานางกำนัลที่อยู่ข้างหลังนางต่างโขกศีรษะด้วยความหวดกลัวและลนลาน! 


 


 


“ลุกขึ้น ลุกขึ้นให้หมด นี่พวกเจ้าเป็นอะไรไป?!” หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยง รีบยกมือประคองนาง 


 


 


สาวน้อยเงยหน้าขึ้น พูดเสียงสั่นด้วยความตกใจ “ใต้เท้าใบ้ ขอท่านโปรดรับน้ำสุคนธ์นี้ให้ได้เจ้าค่ะ! ท่านข่านใหญ่ตรัสว่าหากพวกเราไม่อาจส่งมอบน้ำสุคนธ์นี้ให้ท่านด้วยตนเองได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับไปตลอดกาล!” 


 


 


ทรราชย์ ทรราชย์สุดๆ! หลินหว่านหรงกัดฟันกรอดแค่นเสียงฮึ่มๆ หลายครั้ง ประคองเหล่าสาวน้อยให้ลุกขึ้นมาด้วยความจนใจ จากนั้นก็มองสวีจื่อฉิงอีกครา หัวเราะพร้อมพูดว่า “น้ำสุคนธ์นี้ให้กุนซือใช้ดีกว่า! ข้าหนังหยาบกระด้าง ไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น! คุณหนูสวีสวยขนาดนี้ หากชำระล้างผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ นั่นจะยิ่งจันทร์หลบบุปผาอาย ข้าชอบมากเลย!” 


 


 


สวีจื่อฉิงแค่นเสียงด้วยความอายและหงุดหงิด เบะปากแล้วพูดว่า “น้ำสุคนธ์นี้ผู้อื่นมอบให้เจ้า ข้าไม่ต้องการ!” 


 


 


นางกำนัลทูเจวี๋ยที่เป็นหัวหน้าป้องปากพร้อมหัวเราะเบาๆ “ขอบังอาจเรียนถามว่าท่านผู้นี้คือคุณหนูสวีใช่หรือไม่? ข่านใหญ่ของเราทรงเตรียมน้ำสุคนธ์ให้ท่านเช่นกัน!” 


 


 


“ให้ข้า?!” สวีจื่อฉิงตกใจ ดวงตาอดเผยแววตื่นเต้นยินดีไม่ได้ 


 


 


ความฉลาดหลักแหลมของอวี้เจียนั้นไม่ต้องสงสัย สำหรับสตรีผู้งดงามและรักความสะอาดเช่นสวีจื่อฉิงนี้หากได้ชำระล้างร่างกายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์กลางทะเลทราย ถือเป็นสิ่งยวนใจอันหาใดเปรียบได้จริงๆ 


 


 


สาวน้อยส่งเสียงอืมพร้อมปรบมือเบาๆ เหล่านางกำนัลยกถังไม้ขนาดยักษ์ลงมาอีกถังหนึ่ง เหมือนที่มอบให้หลินหว่านหรงทุกประการ กลีบดอกกุหลาบลอยกระเพื่อมเล็กน้อย ไอน้ำลอยเอื่อย กลิ่นหอมปะทะจมูก! 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้ช่างน่ารักเสียจริง! คุณหนูสวีถอนหายใจเบาๆ อย่างเงียบงัน เมื่อนึกถึงฝ่ามือที่มอบให้นางวันนี้กลับรู้สึกผิดอยู่บ้าง! 


 


 


“ท่านข่านใหญ่ตรัสว่ามีผู้งดงามและฉลาดหลักแหลมเช่นคุณหนูสวีมาแสดงความห่วงใยและดูแลใต้เท้าใบ้เช่นนี้ ทำให้เขาไม่ถูกรังแก พระองค์ทรงยินดีมาก จะทรงซาบซึ้งในบุญคุณของคุณหนูสวีไปตลอดกาล!” 


 


 


นี่มันคำพูดอะไรกัน?! ข้าตบเจ้า เจ้ากลับมาซาบซึ้งข้า! จิตใจของอวี้เจียกระจ่างใสดั่งน้ำแข็งและหิมะ มองแยกแยะอย่างชัดเจน แม้แต่คุณหนูสวีก็ยังอดจมูกร้าวระบมไม่ได้! นางหยิกเอวหลินหว่านหรงอย่างแรง กล่าวสะอึกสะอื้น “เหตุใดเจ้าทำกับนางเยี่ยงนั้น? เจ้ามันคนจิตใจโหดเ**้ยม!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าถอนหายใจ สองตาเปีกชื้น เงียบงันไม่เอ่ยวาจา  


 


 


เกาฉิวเดินวนอยู่ข้างรถม้าด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน ประชิดเบื้องหน้านางกำนัลชนเผ่านอกด่านที่ยืนนิ่งอยู่นางหนึ่ง ฝืนหน้าด้านแล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “พี่สาวน้อยคนนี้ ขอถามว่ามีคนเตรียมน้ำสุคนธ์ให้ข้าหรือไม่?” 


 


 


นางกำนัลชนเผ่านอกด่านมองเขาแล้วพูดด้วยภาษาจีนอันแข็งกระด้าง “เจ้าเป็นใคร?” 


 


 


“ข้าชื่อเกาฉิว ข่านใหญ่ของพวกเจ้าต้องรู้จักข้าแน่! นางกับน้องหลิน…อ้อ เรื่องมงคลของนางกับใต้เท้าใบ้เกิดจากข้าส่วนหนึ่งนะ!” 


 


 


“เกาฉิว?” นางกำนัลน้อยขมวดคิ้วพร้อมส่ายหน้าอย่างแช่มช้า “ไม่เคยได้ยิน! เจ้าหน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ ต้องการน้ำสุคนธ์ไปทำอะไร อาบทรายไม่ดีกว่าหรือ!” 


 


 


ตู้ซิวหยวนกับหูปู้กุยสองคนนิ่งอึ้ง ทันใดนั้นก็ทุบท้องเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นพร้อมกัน 


 


 


น้ำใจอันยิ่งใหญ่ของอวี้เจียไม่อาจปฏิเสธได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้เป็นหัวหน้าสั่งการให้ทุกคนย้ายน้ำสุคนธ์เข้าไปในกระโจม หลินหว่านหรงหันหน้าไป เมื่อเห็นเกาฉิวกำลังกระโดดโลดเต้นวนรอบแม่นางน้อยที่อยู่ข้างรถม้าก็อดหัวเราะฮิออกมาไม่ได้ “เจ้าเหล่าเกาคนนี้นี่ เหตุใดแม้แต่แม่นางน้อยทูเจวี๋ยก็ยังไม่ละเว้น?” 


 


 


มองดูไอน้ำที่ลอยเอื่อยอยู่ในกระโจม คุณหนูสวีอดรู้สึกยินดีปรีดาไม่ได้ ขณะที่เร่งฝีเท้ากลับยังไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดไว้อีกหลายประโยค “แล้วเจ้าละเว้นหรือ? ยังมีหน้ามาว่าผู้อื่นอีก!” 


 


 


หลินหว่านหรงฉีกปากยิ้ม ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอย่างว่าง่าย 


 


 


สวีจื่อฉิงเดินไปถึงทางเข้ากระโจม จู่ๆ ก็หันหน้ากลับมา นางหน้าแดงแค่นเสียงพูดออกมาว่า “ขอเตือนเจ้า ห้ามแอบดู!” 


 


 


“ข้าสงสัยว่าเจ้ากำลังเตือนให้ข้าตั้งใจแอบดู!” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “แต่ว่านะ เรื่องลามกเช่นการแอบดูพรรค์นี้ข้าจะทำลงได้อย่างไร ดูอย่างโจ่งแจ้งก็ได้นี่นา! คราวหน้าต้องบอกเยวี่ยหยาเอ๋อร์ว่าให้น้ำพวกเราสองคนแค่ถังเดียวก็พอ ไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำ!” 


 


 


“พรืด” สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้เป็นหัวหน้าซึ่งตามอยู่ด้านหลังทั้งสองคนส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เล็กน้อย คุณหนูสวีมองค้อนเขาด้วยความอายและหงุดหงิด หมุนกายแล้วเดินเข้าไปในกระโจม จากนั้นก็รวบมัดปิดผ้าม่านอย่างแรง! 


 


 


เมื่อเข้ามาในกระโจมของตนเอง ไอน้ำและกลิ่นหอมของบุปผาลอยเต็มห้อง เขาบิดขี้เกียจยาวๆ จากนั้นจึงหันกลับไปมองคราหนึ่ง ทว่ากลับต้องตกใจสะดุ้งโหยง “พี่สาวน้อย เจ้า เจ้าทำอะไร?” 


 


 


อาภรณ์ที่อยู่บนร่างของสาวน้อยปลดออกไปกว่าครึ่ง เผยให้เห็นหน้าอกและต้นขาขาวสะอ้านออกมาให้เห็น นางก้มหน้าลงด้วยความเอียงอาย ท่านข่านใหญ่ทรงกำชับข้าว่าให้ปรนนิบัติใต้เท้าใบ้ชำระล้างผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เจ้าค่ะ!” 


 


 


“ไม่ต้องๆ” ไหน้ำส้มนั้นอยู่ติดกันนะ หลินหว่านหรงตกใจจนขวัญหายแล้ว รีบกดมือนางไว้ สายตาไปอยู่ที่หน้าอกนาง “ข้าอาบเอง เจ้าวางใจเถิด ข้าต้องอาบให้ขาวสะอาด ขาวยิ่งกว่าตรงนี้ของเจ้าอีก! พี่สาวน้อย รบกวนเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าคนนี้เป็นคนขี้อาย!” 


 


 


“เพราะเหตุใดเจ้าคะ? คราวก่อนตอนอยู่ในวังไม่ใช่พวกเราปรนนิบัติใต้เท้าท่านหรอกหรือ…” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบปิดปากนาง เบิกตาโพลงพร้อมพูดออกมาเบาๆ “ยามนี้ เวลานี้เจ้าอย่าพูดเหลวไหลนะ หากให้คนได้ยินเข้า ชื่อเสียงของข้าจะถูกทำลาย! ข้าเป็นคนขี้อายเหมือนเจ้า เข้าใจหรือไม่?” 


 


 


“ที่แท้ท่านก็กลัวคุณหนูสวีนี่เอง!” สาวน้อยทูเจวี๋ยแอบหัวเราะด้วยความเขินอาย ก้มหน้าลงไปอย่างแช่มช้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะรอตรงทางเข้าก็ได้เจ้าค่ะ!” 


 


 


นางทับอาภรณ์ ถอยออกไปที่ทางเข้ากระโจม ปล่อยผ้าม่านลงแล้วนั่งคุกเข่า หลินหว่านหรงตบอก ราวกับยกภาระอันหนักอึ้งออกไป! 


 


 


กลีบบุปผาอันงดงามลอยกระเพื่อมไหวเบาๆ อยู่บนผิวน้ำทีละกลีบ ติดอยู่บนหน้าอกและแผ่นหลังเขาอย่างแช่มช้า กลิ่นหอมเบาบางชำแรกเข้าจมูก สีแดงเพลิงนั้นย้อมกระโจมให้เป็นสีแดงไปครึ่งหนึ่ง  


 


 


ความชุ่มชื่นของน้ำร้อนชำแรกเข้าทุกรูขุมขน อบอุ่นสุขสบายราวกับอาบไล้สายลมยามวสันต์ ทั่วทั้งสรรพางค์กายตั้งแต่บนจรดล่างต่างมีกระแสอบอุ่นไหลผ่าน เขานอนอย่างเกียจคร้านอยู่ในถังไม้ พิงขอบไม้อันแข็งแรงนั้นพร้อมตีผิวน้ำเบาๆ หยดน้ำกระจ่างใสกระเซ็นไปรอบด้าน สาดลงบนเส้นผม ใบหน้าและลำคอ ถึงกระนั้นเขากลับรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข สายตาไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กำลังทำอะไรอยู่นะ? ยังแค้นข้าอยู่หรือเปล่า ถ้าแค้นข้า แล้วนางเอาน้ำสุคนธ์มาให้ข้าทำไม? ถ้าไม่แค้นข้า…ไอ้ความเป็นไปได้นี้มีไม่ค่อยมาก! 


 


 


จิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย ทันใดนั้นก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “พี่สาวน้อย เคยเห็นเจ้ามาก็หลายครั้งขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ” 


 


 


สาวน้อยที่อยู่นอกกระโจมตอบเบาๆ ว่า “ข้าชื่อเซียงเสวี่ย พี่สาวที่ร่วมปรนนิบัติท่านเพื่อล้าง…ล้างมือร่วมกับข้าชื่อว่าน่าหลาน พวกเราปรนนิบัติท่านข่านใหญ่มาตั้งแต่เด็กแล้วเจ้าค่ะ!” 


 


 


“น่าหลาน เซียงเสวี่ย อวี้เจีย แต่ละชื่อต่างดีขึ้นเรื่อยๆ” หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม กล่าวชมเชยไม่ขาดปาก 


 


 


เซียงเสวี่ยเม้มปากหัวเราะแล้วพูดว่า “ชื่อของใต้เท้าใบ้ก็เพราะมากนะเจ้าคะ อัวเหล่ากง อัวเหล่ากง…” 


 


 


“เอ่อ ชื่อของข้ามีแต่คนพิเศษเท่านั้นถึงจะเรียกได้!” หลินหว่านหรงหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วนหลายครั้ง “พี่สาวน้อยเซียงเสวี่ย เจ้ารู้ชื่อข้ามาจากที่ไหนหรือ?” 


 


 


“ในห้องของท่านข่านใหญ่ข้าเห็นป้าย…อ้อ ไม่ใช่ ข้าเดาเอาน่ะเจ้าค่ะ!” สาวน้อยทูเจวี๋ยรีบก้มหน้าลงไป 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีขมขื่น “ป้ายวิญญาณของข้าล่ะสิท่า? ไม่เป็นไรหรอก เดิมทีข้าก็เป็นคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง! ใช่แล้วล่ะ พี่สาวน้อย เหตุใดข่านใหญ่ถึงต้องส่งน้ำมาให้ข้าอาบด้วยล่ะ” 


 


 


“ส่งน้ำสุคนธ์ยังมีเหตุผลด้วยหรือเจ้าคะ? ท่านข่านใหญ่ไม่ได้ตรัสไว้!” เซียงเสวี่ยขมวดคิ้ว ตอบด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติและรวดเร็ว ไม่เหมือนกำลังปิดบังอะไร 


 


 


คำถามนี้ของข้ามันช่างซื่อบื้อเสียจริงนะ ส่งน้ำอาบมาให้ยังจะมีเหตุผลอะไรมากมายขนาดนั้นอีกเล่า? เขาส่ายหน้าพร้อมหัวเราะเยาะตัวเอง “เช่นนั้นตอนเจ้าออกมา ท่านข่านใหญ่กำลังทำอะไรอยู่หรือ?” 


 


 


สาวน้อยหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “เหมือนท่านเจ้าค่ะ เพียงแต่เร็วกว่าท่านไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นเอง!” 


 


 


เหมือนข้า? เช่นนั้นไม่ใช่ว่านางกำลังอาบน้ำเหมือนกันหรอกหรือ? เดิมทีมาเข้าร่วมการเจรจา ตอนนี้ดีเลย กลายเป็นงานอาบน้ำไปแล้ว! 


 


 


สนทนากับเซียงเสวี่ยไปหลายประโยคก็ไม่ได้อะไรกลับมาสักเท่าไหร่ เขารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ผุดลุกขึ้นเสียงดังขวับ สาวน้อยทูเจวี๋ยเมื่อได้ยินเสียงน้ำจึงรีบเอ่ยออกมาว่า “ใต้เท้าใบ้ ท่านชำระเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ ข้าจะเข้าไปส่งอาภรณ์ให้ท่านเจ้าค่ะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม เซียงเสวี่ยเลิกผ้าม่านเดินเข้ามาด้วยท่าทีระแวดระวัง สองมือประคองอาภรณ์สีเหลืองทองหลายชิ้น ใบหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา “ใต้เท้าใบ้ นี่คืออาภรณ์ที่ท่านข่านใหญ่ทรงตัดให้ท่านเจ้าค่ะ!” 


 


 


ชุดที่อวี้เจียตัดให้ข้า? นางที่เป็นสตรีชนเผ่านอกด่านคนหนึ่งกลับตัดชุดเป็นด้วย? เขานิ่งอึ้ง รับอาภรณ์มาอย่างเหม่อลอย 


 


 


อาภรณ์ชุดนี้มีหลากหลายสารพัดสิ่ง จากข้างนอกถึงข้างใน มีครบทุกสิ่งอย่าง! กลิ่นหอมสะอาดจางๆ ลอยปะทะจมูก แต่ละฝีเข็มมองเห็นอย่างชัดเจน เป็นร่องรอยของการทำด้วยมือ ฝีเข็มแน่นขนัด ประณีตและเป็นระเบียบ สิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดก็คือเสื้อตัวยาวด้านนอกซึ่งเป็นสีเหลืองทองทั้งตัวกอปรด้วยความสูงศักดิ์เย็นเยียบ ทว่าเมื่อสัมผัสด้วยมือกลับอ่อนนุ่มเรียบลื่น เบาจนแทบไม่รู้สึก ราวกับปีกจักจั่นที่แสนจะบางเบา 


 


 


หลินหว่านหรงลูบไล้เสื้อคลุมยาวสีเหลืองทองตัวนี้ รักใคร่จนไม่อยากจะวางมือ ถึงกระนั้นกลับอดทอดถอนด้วยความตกใจออกมาไม่ได้ “นะ…นี่ออกจะเตะตาเกิดไปแล้วกระมัง! เพียงแต่เนื้อผ้ายังถือว่าไม่เลวนะ!” 


 


 


“นี่คือสิ่งที่ท่านข่านใหญ่ทรงทำให้ท่านโดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้คลุมอยู่บนป้ายวิญญาณของท่านเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมา เมื่อสายตากวาดไปเห็นหน้าอกเปลือยของเขา กลับต้องร้องอ๊ะแล้วนิ่งงันไป 


 


 


“ไม่ต้องกลัว นี่คือหลักฐานที่ข้าไม่ตาย” หลินหว่านหรงตบบ่านาง 


 


 


“ใต้เท้าใบ้ ท่านแค้นท่านข่านใหญ่มากหรือไม่เจ้าคะ?” 


 


 


แค้นหรือ? เขายิ้มขื่นคราหนึ่ง จากนั้นก็ออกแรงผงกศีรษะ 


 


 


“ใต้เท้าใบ้ ขอท่านโปรดอย่าแค้นพระองค์เลย” เซียงเสวี่ยกล่าวด้วยความตกใจและเศร้าโศก “ท่านเคยเห็นผู้ที่ทุกคืนต้องกอดป้ายวิญญาณถึงจะหลับสนิทหรือไม่? ตอนที่ท่านตาย ท่านข่านใหญ่ก็สิ้นชีวิตตามท่านไปด้วยเจ้าค่ะ!” 


 


 


“ข้าแค้นที่ธนูดอกนี้ของนางเบาเกินไป! หากข้าตายไปจริง เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มสิ่งใดทั้งสิ้นแล้ว!” 


 


 


คำพูดประโยคนี้ทั้งขื่นขมและร้าวรอน แม้แต่นางกำนัลน้อยชนเผ่านอกด่านที่เป็นคนนอกก็ยังอดร้าวรอนใจไม่ได้ 


 


 


ฝีมือของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ถือเป็นหนึ่งในใต้หล้าจริงๆ! แม้จะทำโดยอาศัยเงาในความทรงจำ แต่ชุดนี้เมื่อสวมบนร่างเขากลับเหมือนตัดตามแบบออกมา เพิ่มส่วนหนึ่งก็จะยาว ลดทอนส่วนหนึ่งก็จะสั้น สนิทแนบแน่นพอดิบพอดี ขนาดไม่ขาดไม่เกิน มิน่าเล่านางถึงยิงธนูสามดอกต่อเนื่องได้อย่างเลิศภพจบแดน! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] น้ำสุคนธ์ คือน้ำร้อนที่ผสมด้วยส่วนผสมที่มีกลิ่นหอมต่างๆ เพื่อใช้แช่อาบน้ำ  

 

 


ตอนที่ 622 - 2 เพลิงรัก

 

เซียงเสวี่ยปรนนิบัติเขาสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อยด้วยความระมัดระวัง ลูบรีดชุดยาวสีเหลืองทองตัวนั้นเบา ๆ พร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “ใต้เท้า ท่านข่านใหญ่ทรงให้ข้าบอกท่านว่าชุดนี้ต่อให้ไม่พอดีตัว ท่านก็ห้ามทิ้งเจ้าค่ะ!” 


 


 


แม่หนูนี่กลับบ้าอำนาจ! หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พอดีตัว พอดีตัวมาก! ข้อเสียเพียงอย่างเดียว อืม ก็คือกางเกงในเล็กไปหน่อย! เจ้าไม่ได้บอกข่านใหญ่ว่าข้าเป็นบุรุษที่กล้าหาญมากหรอกหรือ” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยสองแก้มแดงซ่าน ส่งเสียงหัวเราะออกมา  


 


 


เมื่อเดินออกมาจากกระโจมพวกของตู้ซิวหยวนก็เบิกตาโพลงพร้อมกัน พุ่งขวับเข้ามารายล้อม มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่งเสียงทอดถอนดังจึ๊จ๊ะการสวมชุดสีทองเช่นนี้เดิมทีเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเชื้อพระวงศ์ แต่คนเหล่านี้คือพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา อีกทั้งสถานะของหลินหว่านหรงก็ยังตั้งอยู่ตรงนั้นอีก แล้วผู้ใดยังจะวิพากษ์วิจารณ์ 


 


 


“หวา สมกับคำที่น้องหลินเคยพูดไว้ประโยคนั้นเลย คนอาศัยอาภรณ์ม้าอาศัยอาน หากคิดถึงความสวยงามให้มองหลินซาน!” เหล่าเกาส่ายหน้าส่งเสียงจึ๊ๆ กล่าวด้วยความอิจฉา “ชุดนี้ไปซื้อมาจากที่ใด? ข้าจะไปซื้อมาสักสิบชุด!” 


 


 


เหล่าหูตบกบาลเขาคราหนึ่งพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “เจ้านี่นะ ค่อยเกิดใหม่ชาติหน้าเอาก็แล้วกัน!” 


 


 


คุณหนูสวีชำระล้างร่างกายเสร็จตั้งนานแล้วเช่นกัน เรือนผมงามเปียกชื้นแผ่สยาย ริมฝีปากสีชาดเปล่งประกาย ดวงหน้างดงามหมดจด เมื่ออยู่ใต้แสงจันทราอันเย็นเยียบก็ยวนเย้าน่าลุ่มหลงอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


มองดูหลินซานซึ่งโดดเด่นกว่าผู้อื่น สายตาของนางก็เต็มไปด้วยความรัก ป้องปากหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที กล่าวตำหนิด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ปิดทองบนร่าง ไม่เหมือนพระโพธิสัตว์ แต่ยังคงเป็นอันธพาลน้อยคนนั้นอยู่ดี!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ แอบลูบคลำเอวคอดกิ่วอันอ่อนนุ่มของนาง “อันธพาลเข่นข้านี้จะปีนป่ายขึ้นนกเฟิ่งหวงเช่นเจ้า! ฮ่าๆ…” 


 


 


เขาหัวเราะอย่างชั่วร้าย ขณะที่กำลังจะโอบกอดนาง ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ขึ้นในหูเบาๆ เสียงกระดิ่งลมอันไพเราะเสนาะหู ราวกับเสียงวิญญาณที่ลอยล่องท่ามกลางสายลม ลอยเข้ามาอย่างแช่มช้า 


 


 


ณ สถานที่อันห่างไกล เสลี่ยงสีทองขนาดกว้างใหญ่หลังหนึ่งซึ่งห่อหุ้มอยู่ใต้ผ้าโปร่งสีชมพูหนาทึบค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาหาอย่างแช่มช้า ผู้ที่หามมาต่างเป็นนางกำนัลทูเจวี๋ยในวัยกำดัดหน้าตาหมดจดงดงาม พวกนางเยื้องย่างแผ่วเบาแช่มช้า มาด้วยท่าทางสบายอารมณ์ บัดเดี๋ยวยกขึ้นบัดเดี๋ยวย่อลง ผ้าโปร่งบางที่ผ่านการปักเป็นชั้นๆ พลิ้วไปตามสายลมดั่งเมฆาลอยเอื่อย มองเห็นตั่งแดงอันอ่อนนุ่ม ผ้าห่มผ้าแพรสีเหลืองทองที่อยู่ภายในเสลี่ยงได้รำไร กลิ่นหอมสะอาดจางๆ คล้ายมีคล้ายไม่มีลอยเอื่อยเข้ามา 


 


 


สวีจื่อฉิงเบิกตาโพลงในบัดดล เอ่ยด้วยความตกใจออกมาว่า “นี่พวกนางกำลังทำอะไรหรือ” 


 


 


“หรือว่าจะรับตัวแม่ทัพหลินเข้าวัง?” หูปู้กุยหัวเราะฮิฮะ ขอเพียงเป็นผู้ที่ผ่านศึกเค่อจือเอ่อร์ มิอาจไม่คุ้นเคยต่อเสลี่ยงนี้ได้ วันนั้นอวี้เจียก็ใช้เสลี่ยงนี้รับผู้กล้าใบ้เข้าวังไป เพียงแต่วันนี้เสลี่ยงนี้มีขนาดกว้างใหญ่ยิ่งกว่า หรูหรายิ่งกว่า ส่วนผู้ที่หามนั้นก็กลายเป็นสตรีชนเผ่านอกด่านวัยกำดัดหน้าตาหมดจดแทน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอวี้เจียต้องการทำสิ่งใด 


 


 


ผู้ที่มากับเสลี่ยงนี้ก็คือนางกำนัลทูเจวี๋ยที่ชื่อว่าน่าหลานผู้นั้น นางแตะอกเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยความเคารพนบนอบ “ท่านข่านดาบแห่งทองทูเจวี๋ยขอเชิญใต้เท้าหลินแห่งต้าหัว มีธุระต้องหารือเจ้าค่ะ!” 


 


 


เข้าสู่ยามราตรีแล้ว อวี้เจียยังจะหาข้าอีก นางอยากปรึกษาเรื่องอะไร? 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิ เอ่ยถามด้วยความสงสัยออกมา “พี่สาวน้อยน่าหลานคนนี้ ไม่ทราบว่าข่านใหญ่อยู่ที่ใด แล้วนางต้องการตามหาข้าเพื่อปรึกษาเรื่องอะไรหรือ ไม่ขอปิดบังเจ้า ข้าเพิ่งชำระล้างร่างกายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ คงเหมาะแก่การหลับนอนเท่านั้น ไม่เหมาะแก่การออกเดินทาง!” 


 


 


เหตุผลเฉไฉเช่นนี้ก็มีแค่แม่ทัพหลินเท่านั้นที่คิดออกมาได้ พวกของตู้ซิวหยวนกำลังฝืนกลั้นหัวเราะกันอยู่ 


 


 


พี่สาวน้อยน่าหลานเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เรื่องเกี่ยวพันถึงอนาคตของทูเจวี๋ยและต้าหัวสองแว่นแคว้น สำคัญยิ่งนัก ท่านข่านใหญ่ตรัสว่าขอเพียงใต้เท้าหลินพบพระองค์ก็จะเข้าใจเองเจ้าค่ะ! พระองค์ยังตรัสอีกว่าไปหรือไม่ไปอยู่ที่ความยินยอมของใต้เท้า หากท่านไม่ยินยอม พระองค์ก็ทรงไม่ฝืนบังคับ! ต่อไปเสียใจภายหลังก็อย่าโทษว่าพระองค์ไม่ได้เตือนท่านก่อนเจ้าค่ะ!” 


 


 


อยู่ที่ความยินยอมอะไรกัน นี่คือการข่มขู่มัดมือชกกันอย่างโจ่งแจ้งชัดๆ คาดโทษใหญ่โตแล้วยังจะให้ข้าไม่ไปได้อีกหรือ? หลินหว่านหรงเกาศีรษะ คุณหนูสวีรีบจับมือเขา พูดเสียงเบาออกมาว่า “จงระวังว่ามีแผนการ!” 


 


 


“ท่านข่านใหญ่ยังตรัสอีกว่าหากใต้เท้าหลินไม่เชื่อพระองค์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว!” อวี้เจียคล้ายคาดเดาถึงเรื่องนี้ได้ ประโยคเบาๆ เพียงประโยคเดียวก็ทำให้คนอับจนคำพูด 


 


 


หูปู้กุยกล่าวด้วยความตึงเครียดอยู่บ้าง “ทำอย่างไรดี จะไปหรือไม่ไปกันแน่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงมองสวีจื่อฉิงแวบหนึ่ง คุณหนูสวีแค่นเสียงแล้วเบือนหน้าไป “เจ้าอย่ามาถามข้า เจ้าอยากไปก็ไป ต่อไปหากเสียใจภายหลังจะได้ไม่ต้องมาโทษว่าวันนี้ข้าขัดขวางเจ้า!” 


 


 


“ขอใต้เท้าหลินโปรดขึ้นเสลี่ยงเจ้าค่ะ!” นางกำนัลทูเจวี๋ยคล้ายได้รับคำสั่งมา ไม่ยอมให้เขามีโอกาสขบคิดมากเท่าใดนัก 


 


 


หลินหว่านหรงสูดลมหายใจลึก กัดฟันกรอดในทันที เขาย่างก้าวออกไปแล้วย่ำเท้าขึ้นบนเสลี่ยงสีเหลืองทองนั้น 


 


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไป!” คุณหนูสวีถอนหายใจแผ่วเบา ทว่าเสียงกลับเบาจนแม้แต่ตนเองก็ยังไม่ได้ยิน 


 


 


บรรดาสาวน้อยทูเจวี๋ยขยับหมุนร่างกายอย่างแช่มช้า เสลี่ยงขนาดยักษ์ถูกยกขึ้นสูง แกว่งไกวไปมาเล็กน้อยกลางอากาศ เคลื่อนที่ไปยังเขตพรมแดนของสองแคว้น เพิ่งนั่งลงบนตั่งอันอ่อนนุ่มนั้น กลิ่นหอมอันคุ้นเคยก็ลอยปะทะจมูก ผ้านวมหนาอ่อนนุ่มเรียบลื่น เฉกเช่นผิวอันกระจ่างใสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อบอุ่นอ่อนนุ่มจนทำให้ร่างของคนสั่นเทิ้ม เขาล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างแช่มช้า เมื่อทอดสายตามองท้องฟ้ายามราตรีที่ขยับวูบไหวอยู่ในผ้าโปร่งซึ่งกำลังแกว่งไกวไปมานั้นก็รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งล่องลอย ไม่รู้ว่าโบยบินไปที่ใด 


 


 


ผ้านวมหนาค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหว ทันใดนั้นร่างอันอ่อนนุ่มงดงามร่างหนึ่งก็ดีดออกมาราวกับสายฟ้า ยึดลำคอเขาเหมือนแม่เสือดาวผู้ปราดเปรียว เสียงแผ่วเบาอ่อนโยนทว่าเย็นชาดังข้างใบหูเขา “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้า?” 


 


 


ใต้แสงจันทรา นางสวมเพียงเสื้อคลุมนอนเบาบางตัวหนึ่งเท่านั้น เรือนผมงามที่เปียกชุ่มแผ่สยายราวกับน้ำตกสีนิล ผิวกระจ่างใสดั่งหยกงามจากสระสวรรค์ ดวงตากระจ่างใสทั้งเย็นชา นางมองเขาอย่างเย็นชา เส้นโค้งอันงดงามกรีดเป็นระลอกคลื่นอันงามพิลาส อกขาวกระจ่างใสเปล่งประกายวับวาว ท่อนขาเรียวยาวกดท้องเขาอย่างหนักหน่วงดั่งเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผา 


 


 


หลินหว่านหรงไอออกมาหลายครั้งอย่างเร็วรี่ เขาทอดสายตามองนางพร้อมเอื้อนเอ่ยเบาๆ “ครั้งหน้าตอนที่ฆ่าข้าโปรดจำไว้ว่าให้ใช้ดาบได้หรือไม่?” 


 


 


ดวงตาเย็นเยียบของอวี้เจียพลันมลายกลายเป็นสายฝน ตกกระทบใบหน้าเขาอย่างเงียบงัน 


 


 


“อ๊า!” นางตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว พยายามออกแรงกดเขาอย่างแรง เงื้อมืองามขึ้นแล้วกระแทกลงบนบ่าและแขนของเขาทีละกำปั้นอย่างหนักหน่วง แต่ละกำปั้นล้วนกระแทกอย่างหนักแน่น เสียงตุบตับได้ยินอย่างชัดเจน แม้แต่ม่านกระโจมขนาดมหึมานั้นก็ยังเหมือนเริ่มขยับวูบไหว บรรดาสาวน้อยที่หามเสลี่ยงต่างเบิกตาโพลง งุนงงไม่เข้าใจ 


 


 


หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด ไม่ส่งเสียงแม้แต่แอะเดียว 


 


 


เมื่อเห็นรอยนิ้วสีแดงสดบนใบหน้าและริมฝีปากที่เขากัดจนโลหิตไหลริน ดวงตาสุกใสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์พร่าเลือน ความรักและความเจ็บปวดที่มีภายในดวงตาประหนึ่งดาวหางที่สว่างวูบ นางทุบลงไปทีละกำปั้น ถึงกระนั้นกลับยิ่งเบาแรงลงไปเรื่อยๆ เบาจนไม่รู้สึก 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงไม่เอาคืน? ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าสงสารข้า เจ้าต้องตีข้า รีบตีข้าสิ!” นางซบอยู่บนหน้าอกเขาอย่างหมดแรง เท้าน้อยออกแรงถีบเตะ น้ำตาดั่งสายฝน ร้องไห้จ้าเสียงดัง 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้สงสารเจ้า ข้าก็แค่ไม่ชินกับการตีผู้หญิง!” 


 


 


อวี้เจียร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง นางออกแรงสะบัดแขนเขาออกไป ขณะที่น้ำตาพร่างพรมก็เหยียดสองนิ้วออกไป ทั้งรวดเร็วและรุนแรง แทงไปที่ตาทั้งสองข้างของเขา 


 


 


“เจ้าจะทำอะไรน่ะ!” ด้วยความโมโหและตกใจ หลินหว่านหรงคว้าจับข้อมือขาวสะอาดของนาง ถึงกระนั้นกลับรู้สึกว่าแม่สาวน้อยคนนี้มีเรี่ยวแรงมหาศาล แทบจะจับนางไม่อยู่ 


 


 


อวี้เจียจับมือเขาแน่น จากนั้นก็กัดหลังมือเขาอย่างแรง ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ออกมา “ข้าอยากเห็นเจ้าปวดใจและสงสารข้า! โลกนี้หากปราศจากความปวดใจของเจ้า ข้ายอมมีชีวิตอยู่ในความมืดมิด!” 


 


 


“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!” เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำตาคลอดเบ้า 


 


 


“ข้าไม่ได้บ้า เป็นเจ้าที่บ้า!” อวี้เจียกระเด้งขึ้นมาทันที กางนิ้วทั้งห้าแล้วจับใบหน้าเขา “เหตุใดเจ้าต้องเสแสร้ง เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าโหดร้ายทารุณเพียงใด! ข้าตีเจ้า ข้าตีเจ้าให้ตาย!” 


 


 


มือทั้งสองข้างของนางดั่งสายลม เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงข้างใบหน้าเขา หลินหว่านหรงเบี่ยงหลบเล็กน้อย นิ้วทั้งห้าของนางไปอยู่ที่หน้าอกเขา คว้าจับด้วยความเดือดดาล เสียงแควกเร็วรี่ดังขึ้น สาบเสื้อตรงหน้าอกถูกดึงจนขาด 


 


 


นางร่างสั่นสะท้าน นิ่งชะงักงันทันที! 


 


 


รอยแผลขนาดเท่าข้อมือแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ หน้าตาบิดเบี้ยว ประทับลงบนหน้าอกเขา ประทับลงไปถึงกระดูก 


 


 


เกาทัณฑ์ที่ลั่นฟ้าสะเทือนดินนี้จะเจ็บปวดฝักลึกตราตรึงเช่นไร เขาไม่เคยพูดมาก่อน! 


 


 


“ตีเลย เหตุใดเจ้าถึงไม่ตี ตีเลยสิ!” หลินหว่านหรงเหมือนราชสีห์ที่กำลังเดือดดาล ออกแรงบิดมือทั้งสองข้างของนางออกพร้อมตวาดคำรามใส่นางเสียงดัง น้ำตาร้อนไหลพร่างพรูลงบนใบหน้า  


 


 


มองดูรอยประทับฝังลึกนั้นอย่างเงียบงัน อวี้เจียใช้มือปิดปาก ร่างกายสั่นระริกเร็วรี่ น้ำตาดั่งน้ำทะลักเขื่อน สะอึกสะอื้นจนแทบขาดลมหายใจ 


 


 


“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากเห็นข้ามากหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าบีบให้ข้ามาที่โต๊ะเจรจาหรอกหรือ ตอนที่ข้ามายืนตรงหน้าเจ้า เจ้าเคยคิดถึงจุดจบของพวกเราหรือไม่?! ข้าชอบเจ้า ดังนั้นข้าถึงไม่อาจมอบอนาคตที่ไร้จุดจบแก่เจ้าได้! เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าข้ากำลังพูดอะไรอยู่ เจ้าเข้าใจหรือไม่?!” เขาตวาดเสียงดังลั่น แหบแห้งด้วยความเดือดดาล เขายกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา ถึงกระนั้นยิ่งเช็ดก็ยิ่งมาก ทำให้อาภรณ์เปียกชุ่มไปหมด 


 


 


“อัวเหล่ากง!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา ยินดียิ่งนัก นางหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที น้ำตาแปดเปื้อนใบหน้า ประหนึ่งดอกหลีที่งดงามมากที่สุด 


 


 


“ไม่ต้องเรียกข้า!” เขาจิตใจสับสนลนลาน โบกแขนเสื้อด้วยความโมโห 


 


 


“เจ้าเป็นคนโง่ที่โง่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก!” นางหัวเราะไปหัวเราะมาแล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้ไปร้องไห้มาก็หัวเราะอีก ทว่ากลับไม่รู้ว่าสภาพจิตใจใดถึงเป็นสภาพจิตใจที่แท้จริง 


 


 


มองดูดวงหน้างดงามลายพร้อยของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม จอนผมขาวดั่งหิมะ อารมณ์เขาพลันสับสนวุ่นวายในบัดดล ไม่อาจเบือนหน้าหนีไปได้เลย 


 


 


อวี้เจียยื่นมือออกไปอย่างแช่มช้า สั่นระริกพลางลูบไล้ใบหน้าเขา ใช้ฝ่ามืออันอบอุ่นและอ่อนโยนมากที่สุดหลอมละลายคราบน้ำตาที่อยู่ใบหน้าเขาทีละหยด ทันใดนั้นนางหัวเราะด้วยความอายระคนยินดีออกมาทันที “อัวเหล่ากง ข้าอยากกัดเจ้าทีหนึ่ง!” 


 


 


“ไม่ได้ เจ้ากัดเจ็บเกินไป ข้าโดนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว!” เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด 


 


 


อวี้เจียหัวเราะเบาๆ “เจ้าวางใจ คราวนี้ข้าต้องอ่อนโยนมากแน่นอน..ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย!” 


 


 


นางโผเข้าไปด้วยความเดือดดาล ไหล่งามเปลือยเปล่าคู่นั้นกระหวัดรัดลำคอเขาอย่างแน่นหนาประหนึ่งอสรพิษน้อยขาวสะอาดตัวหนึ่ง จากนั้นก็กัดหน้าผาก หางคิ้ว จมูก ริมฝีปากเขาอย่างรุนแรง… 


 


 


ร่างยวนเย้าที่กำลังสั่นระริกของนางถือเป็นตัวยาชั้นดี สร้างความสั่นสะเทือนภายในชั่วพริบตา เพลิงรักไร้ประมาณแผดเผารุนแรงดั่งฟืนแห้งที่แตกระเบิด พัดผ่านทะเลทรายและทุ่งหญ้าราวกับสายลม 


 


 


“อ๊า!” ความอัดอั้นทั้งหมดระเบิดออกมาจนหมดสิ้นภายในเสี้ยววินาทีนี้ หลินหว่านหรงพลิกมือโอบ กดนางไว้ใต้ร่างอย่างหนักหน่วงประหนึ่งนักมวยปล้ำที่เสียสติ แทบจะบดขยี้เอวคอดกิ่วอ่อนนุ่มนิ่มของนางจนแหลกลาญ ปากใหญ่อันร้อนระอุของเขาประทับลงบนริมฝีปาก ลำคอ และหน้าอกนางราวกับสายฝน  


 


 


ใต้เสื้อคลุมเรียบลื่นว่างเปล่า ร่างเปลือยเปล่าเปล่งประกายเย็นใต้แสงจันทร์อันงดงามและเศร้าสร้อย เทือกเขาสูงชันขยับขึ้นลงรุนแรง กระจ่างใสราวกับโฉมสะคราญที่สลักเสลามาจากหยก! 


 


 


น้ำตาไหลริน เยวี่ยหยาเอ๋อร์กอดเขาอย่างบ้าคลั่ง รัดร่างเขาดั่งอสรพิษ ไม่ให้เขาเงยหน้า ไม่ให้เขาหายใจ ต้องการให้เขาจมหายไปในอ้อมกอดตน 


 


 


“อึ๊” เสียงร้องเจ็บปวดเบาๆ ดังขึ้นมาคราหนึ่ง คล้ายมนตราในการจากลาวัยของสาวน้อย นางร่างสั่นระริกเล็กน้อย ห้วงสมองขาวโพลน น้ำตาคลอเบ้า เงยหน้าขึ้นมาทันที จากนั้นก็ตบหน้าเขาอย่างแรง “ใครใช้ให้เจ้ารังแกข้า!” 


 


 


เพิ่งสัมผัสใบหน้าเขา รอยนิ้วสีแดงสดก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า นางแววตาอ่อนโยนลง ไม่ลงมือต่อไปอีก ประคองใบหน้าเขาอย่างเงียบงัน น้ำตาไหลรินพร้อมเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ “อัวเหล่ากง ขอเจ้าจงรุนแรงกับข้าอีกนิด แรงอีกนิด! อัวเหล่ากง ข้าต้องการให้เจ้ารักข้า รักข้าอย่างรุนแรง!” 


 


 


นางกอดเขาทันที อกอวบอิ่มเรียบลื่นดั่งหยกมันแพะเบียดชิดหน้าอกเขา กัดเขาอย่างบ้าคลั่ง ทิ้งรอยประทับของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ไว้ที่ลำคอ หน้าอก และบาดแผลเขาจนหมดสิ้น 


 


 


ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่เสลี่ยงจอดสงบนิ่งอยู่บนเส้นแบ่งเขตแดน สั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง เบื้องหลังผ้าโปร่งบางเบานั้นคือภาพแห่งวสันต์อันไร้สิ้นสุด บรรดาสาวน้อยที่หามเสลี่ยงล้วนมีใบหน้าแดงก่ำ ประกายตากระเพื่อมไหว คิดจะมองแต่กลับไม่กล้ามอง 


 


 


เหล่านางกำนัลรีบดึงผ้าม่านโปร่งสีชมพูลงทีละชั้น คล้ายหมอกควันสีชมพูที่ลอยฟุ้งอย่างแช่มช้า ล้อมเสลี่ยงขนาดมหึมานั้นไว้ภายใน น่าหลานกับเซียงเสวี่ยสาวน้อยที่เป็นหัวหน้าสองคนใบหน้าดั่งแสงอาทิตย์อัสดง พาเหล่านางกำนัลน้อยคุกเข่าหน้าเสลี่ยงอย่างแช่มช้า ใจเต้นขาสั่น ถึงกระนั้นกลับไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นขึ้นมา 


 


 


ทอดสายตามองเสลี่ยงที่สั่นกระเพื่อมไม่หยุดอยู่ไกลๆ เกาฉิวรีบขวางอยู่เบื้องหน้าสวีจื่อฉิง ส่งเสียงด้วยความตกใจออกมาว่า “เอ๊ะ เหมือนจะแผ่นดินไหวแล้ว! เหล่าหู เจ้ารู้สึกหรือไม่?” 


 


 


“ไม่ใช่แค่แผ่นดินไหว แถมไหวอย่างรุนแรงอีกด้วย แม้แต่เสื้อผ้าก็ไหวก็หลุด!” เหล่าหูยืนข้างเหล่าเกา เสียงหนักอึ้ง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


“ที่ร้ายกาจมากที่สุดก็คือเขาไหวได้นานมาก!” ตู้ซิวหยวนยืนเคียงข้างพวกเขาสองคน ทั้งสามมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่หัวเราะไม่ยิ้มแย้ม กลายเป็นกำแพงมนุษย์อันแข็งแกร่งผืนหนึ่ง ขวางสายตาสวีจื่อฉิงไว้พอดี 


 


 


คุณหนูสวีสีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีด ทอดสายตามองผ้าโปร่งสีชมพูที่ขยับวูบไหวนั้น นางขยับฝีเท้า มีหลายครั้งที่ทนไม่ไหวคิดจะบุกเข้าไป ลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ขยี้เท้าอย่างแค้นใจ หมุนกายแล้วจากไป  

 

 


ตอนที่ 623 - 1 ข้าคือดวงตาของเจ้า

 

“อัวเหล่ากง…” 


 


 


“หืม?!” 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงชอบข้า?” 


 


 


“อ้อ…นี่ก็ น้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าเคยพูดว่าชอบเจ้าด้วยหรือ?!” 


 


 


“ต่ำช้า ไร้ยางอาย คนถ่อยพูดจากลับกลอก! ข้าจะตีเจ้า!”  


 


 


เสียงกำปั้นดังตุบตับราวกับเสียงหัวใจเต้นของหนุ่มสาวสองดวง! เขาหัวเราะร่วนพลางมองดูนาง ทันใดนั้นก็ประชิดใบหน้าเข้ามาพร้อมจุมพิตลงบนริมฝีปากสีแดงสดที่งามหยาดเยิ้มราวกับจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้นั้นเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “อย่าถามข้าว่าชอบเจ้าเพราะเหตุใด ก็เหมือนกับอย่าถามหาว่าเหตุใดถึงต้องหายใจ!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซบอยู่บนอ้อมอกเขา มองเขาด้วยความรู้สึกทั้งตกใจทั้งยินดี ขนตายาวกระเพื่อมไหวเบาๆ “อัวเหล่ากง ถ้อยคำรักที่เจ้าเคยเอ่ยออกมา เคยอยู่ในรวมบทกวีที่ต้าหัวหรือไม่? เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าโอ๋ข้า ข้าล้วนมีความสุขจนอยากจะกัดเจ้าด้วยนะ?!” 


 


 


“อย่ากัดเลยจะดีกว่า เจ้าลองดูสารรูปของข้าในตอนนี้สิ อีกสักครู่จะไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไรกันเล่า?!” เขาส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด 


 


 


เมื่อมองรอยประทับสดใหม่ที่แสนจะชัดเจนแต่ละรอยบนหน้าผาก ใบหู ใบหน้า และหน้าอกเขา เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็หัวเราะพรวดออกมา ใช้หน้าอกอ่อนนุ่มนิ่มบดเบียดแนบชิดหน้าอกเขา ความอวบอิ่มกดทับหน้าอกเขาอย่างหนักหน่วง อุ่นร้อนเปียกชื้น ทั้งอ่อนทั้งนุ่ม เสน่ห์ยั่วยวนเร้าภายในดวงตาคล้ายจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้ “ข้าจะให้เจ้าออกไปพบหน้าผู้คนเช่นนี้! ข้าจะให้คนทั้งแผ่นดินรู้ว่าอัวเหล่ากงเป็นบุรุษของข้า เป็นบุรุษของข้าทุกภพทุกชาติ!” 


 


 


“เอ่อ ต้องขอโทษอย่างมากแล้วล่ะ! เจ้าก็รู้ว่าข้อเสียอันยิ่งใหญ่มากที่สุดของข้าคนนี้ก็คือขี้อาย ขี้อายมาก!” เขาลูบไล้เนื้ออ่อนนุ่มเรียบลื่นประดุจผ้าไหมบริเวณเอวอันคอดกิ่วของนางอย่างแช่มช้า สัมผัสอันอ่อนนุ่มชำแรกจนถึงกระดูก ถ้อยคำของเขาเป็นปกติยิ่งนัก ถึงกระนั้นเสียงกลับกำลังล่องลอย  


 


 


“เช่นนั้นข้าคงต้องขัดขวาการอายของเจ้าแล้ว!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ จับมือที่กำลังซุกซนของเขาขึ้นมาข้างหนึ่งย่างแช่มช้า นำใบหน้าแนบฝ่ามือเขาพร้อมกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “บุรุษของข้า ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว!”  


 


 


ใจเขาทั้งวูบทั้งวาบ ตรวจตราร่างกายนางสะเปะสะปะ “สิบหก!”  


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์เอ่ยด้วยความรู้สึกขบขัน “ดีเหลือเกิน เจ้าอายุมากกว่าข้าแค่ปีเดียว!” 


 


 


“เป็นไปไม่ได้น่า อายุ สิบห้าก็โต…ขนาดนี้แล้ว?” 


 


 


“นี่มีอะไรน่าแปลก? เทียบกับคนบางคนไม่ได้หรอก อายุสิบหกก็รู้จักทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้แล้ว!” 


 


 


ช่างเป็นสาวน้อยที่ฉลาดคนหนึ่งเสียจริง! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง สูดดมผมงามของนางอย่างหนักหน่วงไปหลายครั้ง 


 


 


อวี้เจียประคองมือทั้งสองข้างของเขาไว้แล้วนำใบหน้าฝังลงไปในนั้น กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “เยวี่ยหยาเอ๋อร์ของเจ้าปีนี้อายุสิบเก้าแล้ว! เจ้าห้ามลืมล่ะ!”  


 


 


“ลืมเจ้านั่นไม่เท่ากับลืมตัวข้าเองหรือ!” สองตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างเงียบงัน 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความยินดี ยิ้มพรายในบัดดล นางประคองฝ่ามือเขาด้วยความระมัดระวังพร้อมพิจารณาอยู่นาน ทันใดนั้นก็เบ้ปากพร้อมแค่นเสียงพูดขึ้นมาว่า “อัวเหล่ากง เหตุใดเส้นความรักของเจ้าถึงได้แตกกิ่งก้านสาขามากขนาดนี้?!” 


 


 


“โอ๊ะ เป็นไปไม่ได้กระมัง เจ้าต้องดูผิดแน่!” เขาเบิกตาโพลง รีบรั้งมือกลับไป “ข้ามีชื่อเสียงในเรื่องซื่อสัตย์มั่นคงในรักมาตลอด ที่ต้าหัวการเป็นที่เลื่องลือ ใครๆ เขาก็พูดกัน!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “วิธีการดูลายมือนี้เป็นเจ้าสอนข้า ข้าดูอย่างละเอียดมาก แล้วจะผิดได้อย่างไร?!” 


 


 


“อ้อ…อันที่จริงเป็นแบบนี้” เขากลอกตาอย่างรวดเร็ว “กิ่งก้านสาขาพวกนี้ที่จริงแล้วก็คือหัวใจเก้าห้องในตำนาน แต่ละห้องล้วนปราดเปรื่อง เป็นสัญลักษณ์ของคนที่ฉลาดมากที่สุด” 


 


 


“ถ้าเจ้ามีหัวใจเก้าห้อง แต่ละห้องล้วนเจ้าชู้ถึงจะถูก!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซบอยู่บนหน้าอกเขา ทุบหน้าอกเบาๆ ด้วยโทสะบางๆ เมื่อสายตาไปอยู่บนรอยแผลขนาดยักษ์ สายตาก็อ่อนโยนโดยพลัน เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “แผลนี้เจ้าต้องเก็บไว้ตลอดกาล ห้ามเจ้าไปขอตัวยาลบรอยแผลเป็นจากพี่สาวนางเซียนอะไรนั่นเด็ดขาด!”  


 


 


เขานิ่งงัน รีบถามว่า “เพราะอะไรหรือ น้องสาว?” 


 


 


อวี้เจียแนบใบหน้าลงบนรอยแผลลึกนั้นอย่างแช่มช้า น้ำตาคลอเบ้า ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ “นี่คือสัญลักษณ์ที่ข้าสลักทิ้งไว้ให้เจ้า! ทิ้งอยู่บนร่างเจ้าและสลักอยู่ที่ใจของเจ้าด้วย เป็นของเยวี่ยหยาเอ๋อร์! ไม่ว่าเจ้าจะแค้นข้าหรือว่ารักข้า ข้าก็จะให้เจ้าจดจำข้าไปทุกภพทุกชาติ!” 


 


 


แม่หนูคนนี้ แม้แต่การบ้าอำนาจก็ยังทำให้คนปวดใจได้! หลินหว่านหรงยิ้มอย่างเงียบงัน โอบนางเข้าสู่อ้อมอกแน่น สูดดมจอนผมหอมกรุ่นของนางเบาๆ  


 


 


ใต้จันทร์เสี้ยว ผิวนางเรียบลื่นดั่งผ้าไหมที่แวววาว ร่างเปลือยเปล่าเปล่งประกายระยิบระยับ ประหนึ่งทูตสวรรค์ผู้งดงามและยั่วยวนใจมากที่สุดที่สวรรค์ประทานให้โลกมนุษย์ 


 


 


ลูบจอนผมสีขาวทั้งสองข้างนั้นอย่างแช่มช้า เส้นผมอ่อนนุ่มแต่ละเส้นต่างกระทบเข้าไปในจิตใจ หลินหว่านหรงเอื้อนเอ่ยเบาๆ ออกมาว่า “น้องสาว วิชาแพทย์ของเจ้าดีขนาดนี้ จะทำให้มันกลับคืนสู่สภาพเดิม คืนเส้นผมสีนิลงดงามดั่งเมฆาให้เจ้าได้หรือไม่” 


 


 


อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมาทันที เบิกตาโพลงพร้อมมองดูเขา ส่งเสียงคำรามดังลั่น “ทำไมต้องคืนสู่สภาพเดิมด้วย? รังเกียจว่ามันไม่งดงามหรือ?”  


 


 


“ไม่ใช่ๆ” หลินหว่านหรงรีบโบกมือ “งามมาก! แต่เดิมเจ้าก็เป็นสตรีผู้งดงามงามมากที่สุดบนทุ่งหญ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งสูงส่งหลุดพ้นจากทางโลก บริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งเมฆขาว!” 


 


 


“นี่คือสัญลักษณ์ของคำว่าตลอดกาล!” นางถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน กล่าวยืนกรานเสียงเบาออกมา “หากครั้งหน้าเจ้ายังกล้าทำให้ข้าลืมเจ้าอีก ข้าจะได้เดินตามมันทีละก้าว ทีละก้าว ไม่ว่าจะกี่ปี ไม่ว่าจะกี่ชาติ ข้าก็ต้องหาเจ้าให้เจอ! เจ้ากล้าลองหรือไม่?” 


 


 


เขาจมูกร้าวระบม รีบเบือนหน้าไป ประกายน้ำตาวูบไหว 


 


 


“เจ้าพูดมาสิ กล้าหรือไม่กล้า?!” อวี้เจียสายตาลุ่มลึก ขางามเรียวยาวทรงพลังเตะขาทั้งสองข้างของเขาอย่างมีน้ำโห อกอวบอิ่มเปลือยเปล่าชูชันรับลม สั่นกระเพื่อมไหว เรือนร่างโค้งเว้าโก่งนูนประหนึ่งราวกับลูกท้อที่สุกงอม 


 


 


อัวเหล่ากงหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วนใจสองครา ไม่กล้าหันหน้า “เอ่อ ไม่มีคราวหน้า ไม่มีคราวหน้า!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยกเท้าน้อยอันขาวกระจ่างใสขึ้นมาแล้วขยี้ลงบนต้นขาเขาอย่างหนักหน่วงหลายครั้ง แค่นเสียงแล้วพูดออกมาว่า “คิดอยู่แล้วว่าเจ้าไม่กล้า! เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะส่งน้ำสุคนธ์ให้เจ้าอีก เจ้าจะมาหรือไม่มา?!” 


 


 


“เรื่องการเจรจายังไม่เสร็จสิ้นเลยนะ ยังมีรายละเอียดตั้งมากมาย…” 


 


 


อวี้เจียน้ำตาคลอ กล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “อยู่ดีๆ มาพูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไมกัน?! ข้าถามเจ้าว่าจะมาหรือไม่มา! ห้ามลังเล ห้ามกะพริบตา ตอบเดี๋ยวนี้!” 


 


 


นางโผเข้าหา นิ้วมือเรียวยาวแหวกหนังตาเขา ไม่ให้เขากะพริบตา 


 


 


หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถึงแค่นเสียงออกมา ปล่อยเขาไปด้วยความอายและยินดีระคนกัน 


 


 


หลินหว่านหรงขยี้ตาด้วยความอับจนปัญญา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดวงตากระจ่างใสของข้าแต่เดิมก็ไม่โตอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าแหวกจนกลายเป็นตาสองชั้น พอกลับไปผู้อื่นคงจำข้าไม่ได้แล้วล่ะ!” 


 


 


“ข้าจำเจ้าได้ก็พอ! หึ เย็นพรุ่งนี้ข้าจะส่งอีก!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่า “ยิ่งส่งมากข้าก็ยิ่งชอบ ทางที่ดีที่สุดคือส่งทั้งชาติ!” 


 


 


อวี้เจียพอได้ยินก็นิ่งงันทันที นางมองเขาเบาๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มยินดีอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นน้ำตากลับไหลพร่างพรูออกมา 


 


 


“เป็นอะไร? ไม่ร้อง ไม่ร้อง ที่ข้าพูดเป็นความจริงนะ! หากมีคำพูดใดเป็นเท็จ ขอให้ข้าถูกฟ้าผ่า ไม่ตายดี!” หลินหว่านหรงปวดใจ รีบกอดนาง ตบบ่าเรียบลื่นอ่อนนุ่มของนางเบาๆ  


 


 


“ข้ารู้ ข้ารู้!” อวี้เจียทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ กอดเขาแน่นพร้อมเอ่ยว่า “อัวเหล่ากง เจ้าจะจดจำข้าตลอดไปหรือไม่!” 


 


 


“แน่นอน!” 


 


 


“จะคิดถึงข้าตลอดไปหรือไม่?” 


 


 


“นี่ยังต้องสงสัยอีกหรือ?!” 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่จุมพิตข้า?!” 


 


 


ระหว่างที่เขานิ่งอึ้ง กลีบริมฝีปากสีแดงสดร้อนแรงสองกลีบก็กัดเขาอย่างรุนแรง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ราวกับเป็นมนุษย์งูร่างเปลือยเปล่าตัวหนึ่ง ท่อนแขนกระจ่างใสโอบรัดลำคอของเขา ขาเรียวยาวรัดแน่นอยู่ที่ข้อพับขาของเขา ภูเขางามไร้ที่ติทั้งสองลูกบดเบียดอยู่บนลำตัว ขยับเปลี่ยนท่าทางไม่หยุด นางส่งเสียงครางอย่างต่อเนื่อง… 


 


 


ไหวอีกแล้ว! นี่ครั้งที่เจ็ดที่แปดแล้วนะ ฟ้าก็ใกล้สว่าง ยังไม่จบไม่สิ้นอีกหรือ?! น่าหลานกับเซียงเสวี่ยและสาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งหลายใช้สายตาเหลือบมองเบาๆ หน้าแดงด้วยความอาย จากนั้นก็คุกเข่าลงไปอย่างแช่มช้าอีกครา!  

 

 


ตอนที่ 623 - 2 ข้าคือดวงตาของเจ้า

 

 


 


 


ฟ้าสว่างจ้า เสลี่ยงกว้างที่จอดอยู่ ณ เส้นพรมแดนของสองแคว้นหลังนั้นสงบเงียบไปนาน ในที่สุดผ้าโปร่งสีชมพูก็ค่อยๆ ถูกดึงแหวกออก 


 


 


มีศีรษะคนมุดออกมาศีรษะหนึ่ง เขาเหล่มองรอบด้านอย่างระแวดระวัง เมื่อเดินออกไปกลับได้ยินเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนหลายเสียงดังข้างใบหู “คารวะใต้เท้าเจ้าค่ะ!” 


 


 


“อ้อ” เขารีบหันหน้าไปพร้อมใช้มือปิดบังใบหน้า “ที่แท้ก็เป็นพี่สาวน้อยทั้งหลายนี่เอง เมื่อคืนลำบากแล้ว!” 


 


 


เซียงเสวี่ยน่าหลานและนางกำนัลทั้งหลายหน้าแดงด้วยความเขินอายพร้อมกัน “เป็นเรื่องที่พวกเราสมควรกระทำแล้ว ใต้เท้า ท่านลำบากแล้วเจ้าค่ะ!” 


 


 


ข้าลำบากจริงๆ! เขาหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง เลิกผ้าม่านขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปทางทะเลทรายอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ดูเร็ว ดูเร็ว นั่นคือใคร?!” ตู้ซิวหยวนร้องด้วยความตกใจ รีบผลีกสองคนที่กำลังงีบหลับด้านข้างให้ตื่น 


 


 


หูปู้กุยลืมตา มองผู้ที่เดินเข้ามาหาจากในทะเลทรายอยู่หลายครั้งด้วยความงัวเงีย จากนั้นก็สูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไปทันที 


 


 


คนผู้นั้นโครงร่างและอาภรณ์ดังเดิม โครงหน้าดูแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง เพียงแต่ที่หน้าผาก หางตา ใบหน้า ใบหู ลำคอ และแขนกลับประทับรอยฟันเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งตื้นทั้งลึกหลายรอย แต่ละรอยล้วนต่างกันไป กลับถูกคนใช้ฟันกัด หกไม่ใช่เวลาสักหลายวัน เกรงว่าคงไม่มีทางเลือนหาย รอยประทับริมฝีปากสีแดงสดแต่ละรอยนั้นราวกับจันทร์เสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วน 


 


 


มารดาข้า! สถานการณ์รบนี้ช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน! แต่ละคนต่างมองหน้ากัน รู้สึกทอดถอนชมเชยเสียจริง 


 


 


หลินหว่านหรงสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามา หัวเราะโบกมือพร้อมพูดว่า “อรุณสวัสดิ์ พี่ชายทั้งหลาย กินข้าวกันแล้วหรือยัง? เอ๊ะ เหตุใดพวกท่านถึงขอบตาดำขนาดนี้? ต้องพักผ่อนให้มากนา!” 


 


 


พักผ่อนผายลมน่ะสิ หากไม่ใช่พวกเราดูต้นทางให้เจ้า เจ้าคงถูกคุณหนูสวีฟนจนตายไปตั้งนานแล้ว ยังมาถามว่าเหตุใดพวกเราถึงขอบตาดำอีก นั่นยังจะขาวได้อีกหรือ? 


 


 


หูปู้กุยมองหน้าเขา ตู้ซิวหยวนมองหน้าอกเขา เกาฉิวกลับต่ำช้าลามกกว่าบ้าง เขาเบิกตาโพลงพร้อมจ้องส่วนล่างของเขาโดยเฉพาะ คนทั้งหลายต่างมองเขาขึ้นๆ ลงๆ รอบฟันแต่ละแถวตั้งแต่ตั้งแต่หัวจรดเท้าช่างน่าตื่นตระหนกจนพูดไม่ออกเลยจริงๆ ฝีมือการใช้ปากของอวี้เจียถือเป็นหนึ่งในแผ่นดินเช่นเดียวกับธนูต่อเนื่องสามดอกของนางเลยนะ! 


 


 


หลินหว่านหรงตกใจทันที รีบถอยหลังไปหลายก้าว “พี่เกา ตาท่านมองไปที่ไหนกันน่ะ?” 


 


 


เหล่าเกาจ้องส่วนล่างเขาพร้อมหัวเราะร่วน “น้องชาย พวกนี้คือผลงานชั้นยอดของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ใช่หรือไม่! จึ๊จึ๊ รอยฟันกัดนี้มันช่างล้ำเลิศเหลือเกิน วะฮะฮ่า!” 


 


 


คนทั้งหลายเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น สีหน้าลามกอย่างบอกไม่ถูก หลินหว่านหรงหน้าแดง เขาเดินทางกลางคืนมามากย่อมไม่กลัวผีสางอยู่แล้ว ดังนั้นจึงหัวเราะแห้งๆ หลายครั้งพร้อมพูดว่า “มิได้ ข้ากับข่านใหญ่แค่ปรึกษาหารือกันเรื่องทิศทางในอนาคตของสองแคว้นเท่านั้นเอง ล้ำเลิศน่ะล้ำเลิศ แต่ก็ลำบากมากเลยนะ ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืนเลย!” 


 


 


ความลำบากของเจ้าพวกเราเข้าใจ! พี่ชายทั้งสามส่งเสียงสนุกสนานร่าเริง ยังเป็นตู้ซิวหยวนที่มีมโนธรรมดีอยู่บ้าง เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับไปมองอย่างระแวดระวัง “ท่านแม่ทัพ ท่านรีบไปดูกุนซือสวีสักหน่อยจะดีกว่า นางไม่ได้ออกมาจากกระโจมตลอดคืนเลยนะขอรับ!” 


 


 


พอเอ่ยถึงสวีจื่อฉิง หลินหว่านหรงก็หัวสมองพองโตในทันที ท้องนภาเป็นผ้าห่ม ผืนแผ่นดินเป็นเตียง มังกรทองกระโดดข้ามภูผากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์มาทั้งคืน น้ำใสใจจริงของสตรีชนเผ่านอกด่านนั้นเป็นสิ่งที่บุรุษต่างชมชอบ เพียงแต่ทุกสิ่งนี้อยู่ในสายตากุนซือหญิง หากบอกว่านางไม่หึงหวง ตีให้ตายก็ไม่มีใครเชื่อ! 


 


 


ครั้นเห็นท่าทางก้มหน้าก้มตาด้วยความลำบากใจของแม่ทัพหลิน สามคนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงสักแอะเดียว  


 


 


กระโจมของกุนซือสวีอยู่ติดกับของเขา ถังไม้ที่ชำระล้างร่างกายเมื่อคืนยังวางอยู่ด้านนอก น้ำเย็นบุปผาโรย ปราศจากไอร้อนแม้แต่น้อย ฟังอยู่นอกกระโจมด้วยความระมัดระวังอยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่านางยังอยู่ข้างในหรือไม่ 


 


 


“คุณหนูสวี คุณหนูสวี!” ทำขวัญกล้าตะโกนเรียกอยู่หายครั้ง ภายในเงียบสงัดยิ่งนัก ปราศจากคนตอบกลับมา 


 


 


เขาเลิกผ้าม่านขึ้นเบาๆ เห็นเพียงว่าบนเตียงที่ทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ นั้นมีเงาร่างสูงโปร่งนอนอยู่ร่างหนึ่ง ทั้งร่างห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่ม ปราศจากการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย  


 


 


เขาแอบเดินเข้าไปหา ประชิดถึงขอบเตียง ฝืนหน้าด้านร้องเรียกเบาๆ “กุนซือสวี…” 


 


 


“คุณหนูสวี…” 


 


 


“จื่อเอ๋อร์…” 


 


 


“ที่รัก…” 


 


 


“ห้ามเจ้าเรียก!” เมื่อเผชิญการบุกอย่างหน้าด้านๆ ของเขา ในที่สุดคุณหนูสวีก็ขยับตัว สะบัดผ้าห่มออกไปด้วยความหงุดหงิดโมโห นอนตะแคงหันหาเขา แค้นเสียงเย็นชาด้วยความเดือดดาล 


 


 


“อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าไปเรียกคนอื่นแล้วนะ!” 


 


 


“พรึบ!” ผ้าห่มและหมอนปลิวเข้ามาราวกับดาบที่ออกจากฝักพร้อมกัน คุณหนูสวีพลิกตัวลุกขึ้น สองตาบวมแดง อกงามสะท้อนขึ้นลงเร็วรี่ เบิกตาโพลงจ้องมองเขาอย่างดุร้ายราวกับจะกินเขาอย่างนั้น 


 


 


หลินหว่านหรงก้มหน้าลง ฉวยโอกาสกอดร่างนางแล้วพูดขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ได้พูดว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์น่าเวทนา ให้ข้าดีต่อนางสักหน่อยหรอกหรือ?” 


 


 


“ข้าให้เจ้าดีต่อนางสักหน่อย แต่ไม่ได้ให้เจ้าไปร่วมหลับนอนโดยไม่ได้วิวาห์!” สวีจื่อฉิงหยิกแขนเขาด้วยความเดือดดาล น้ำตาร่วงเผาะ “พวก…พวกเจ้ากลับยังทำต่อหน้าข้า…สุนัขชายหญิง ชายโฉดหญิงชั่ว อยู่ร่วมกันโดยปราศจากพ่อสื่อแม่ชัก ไม่รู้จักยางอาย ทำให้ข้าโมโหตายแล้ว” 


 


 


นางด่าทอต่อเนื่องเป็นชุด ส่วนมือก็ออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หยิกแขนเขาอย่างรุนแรง หลินหว่านหรงแยกเขี้ยวยิงฟัน กอดร่างนางไว้ จุมพิตใบหูนางคราหนึ่ง หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อคุณหนูสวีเคียดแค้นการอยู่ร่วมกันโดยปราศจากพ่อสื่อแม่ชักเช่นนั้น ข้ากับเจ้ามีพ่อสื่อแม่ชัก ถือว่าอยู่ร่วมกันได้ล่ะสิท่า!” 


 


 


สวีจื่อฉิงหน้าแดงซ่าน ร่างอ่อนระทวยทันที กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “เจ้ามีแต่กลิ่นของสตรีทั้งร่าง อย่ามาแตะต้องข้า!” 


 


 


“อ้อ!” เขารับคำคราหนึ่ง ค่อยๆ ปล่อยมือพร้อมก้มหน้าลง หน้าตาละห้อย น่าสงสารยิ่งนัก 


 


 


ท่าทางน่าเวทนาสงสารของเขานั้นกลับยิ่งทำให้คุณหนูสวีหงุดหงิด นางกัดแขนเขาอย่างรุนแรงคราหนึ่งด้วยน้ำตาร้อนคอลเบ้า “ไม่ให้เจ้าแตะต้องข้า เจ้าก็ไม่แตะต้อง? เจ้าเชื่อฟังขนาดนี้เชียว ทำให้ข้าโมโหตายแล้วจริงๆ!” 


 


 


ผู้หญิงนี่น้า ไม่อาจตอแยได้จริงๆ! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กอดร่างนางไว้ในอ้อมอก ก้มหน้าแล้วจุมพิตริมฝีปากหอมกรุ่นของนาง กล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องออกมาว่า “เช่นนั้นพวกเราอยู่ร่วมกันโดยมีพ่อสื่อแม่ชักกันทุกวัน อยู่ร่วมกันทั้งชาติ! คุณหนูสวี จื่อเอ๋อร์ ที่รักคนดี เจ้ายินดีเป็นเมียข้าหรือไม่?” 


 


 


คำพูดน่าขนลุกพรรค์นี้ก็มีแค่เขาที่พูดออกมาได้ คุณหนูสวีหน้าแดงก่ำ ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนคนจับจุดตายเอาไว้ เมื่อเจอกับคนหน้าหนาเช่นนี้ไม่อาจใช้เหตุผลได้เลย! 


 


 


“คำพูดเหล่านี้ของเจ้าเอาไปพูดกับข่านชนเผ่านอกด่านผู้งดงามคนนั้นแล้วสิท่า?” ระหว่างที่รู้สึกเอียงอายระคนยินดี สวีจื่อฉิงกลับบังเกิดความร้าวรอนอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาอีกด้วย 


 


 


ไอ้คำถามนี้ควรตอบอย่างไรดี? เขาส่ายหน้า ไม่เอ่ยวาจา 


 


 


สวีจื่อฉิงมองเขาหลายครั้ง อดแค่นเสียงเบาๆ ไม่ได้ หยิบถุงน้ำหลายใบที่อยู่ข้างกายมา จากนั้นก็เทน้ำใส่มือแล้วเช็ดหน้าเขาอย่างแรง เพียงแต่ต่อให้นางจะมีเรี่ยวแรงมากอีกสักเพียงใด ริมฝีปากสีชาดยังไม่อาจเลือนหาย แล้วจันทร์เสี้ยววงแล้ววงเล่าจะถูกกำจัดไปได้อย่างไร?! 


 


 


“ดูนางทำเรื่องดีๆ เข้าสิ! นี่กัดเจ็บหรือไม่? แล้วเจ้าจะไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไร?!” คุณหนูสวีตบหน้าเขาหลายครั้ง ทั้งสงสารทั้งโมโห รอยฟันแต่ละรอยนั้น หากไม่ใช้เวลาสักหลายวันเกรงว่าคงไม่เลือนหาย! 


 


 


“อย่าสิ้นเปลืองน้ำสิ!” หลินหว่านหรงถูกนางเช็ดจนหนังหน้าแทบจะลอกออกมาแล้ว ดังนั้นจึงรีบแยกเขี้ยวร้องเรียก “น้ำสุคนธ์ที่เจ้าใช้อาบชำระยังอยู่ด้านนอกอยู่เลย ข้าไปล้างสักหน่อยก็ได้แล้ว วางใจได้ ข้าไม่รังเกียจความสกปรกแม้แต่น้อย!” 


 


 


เจ้าคนไร้ยางอาย! คุณหนูสวีใบหน้าใบหูแดง ร่างอ่อนยวบทันที “ห้ามเจ้าเอ่ยถึงน้ำสุคนธ์นั่นอีก! เสียทีที่เมื่อคืนข้ายังซาบซึ้งใจนาง ไหนเลยจะรู้ว่านางกลับมีแผนเช่นนี้! ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว!” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นหากคืนนี้นางส่งน้ำสุคนธ์มาให้ เจ้าจะรับหรือไม่?” 


 


 


“รับ…หืม?!” 


 


 


“อ้อ ข้าหมายถึงสมมติ สมมติ!” หลินหว่านหรงรีบหัวเราะฮ่าๆ 


 


 


กุนซือหญิงเหล่มองเขาหลายครั้ง ทั้งขมขื่นทั้งร้าวรอน กัดฟันกรอดพร้อมพูดว่า “ไม่ใช่แค่วันนี้ พรุ่งนี้เกรงว่าก็ยังจะเอามาให้ล่ะสิท่า? ชายโฉด หญิงชั่ว!” 


 


 


คุณหนูสวีมีหลี่ไท่เป็นพ่อสื่อ คนแซ่หลินยอมรับด้วยตนเอง แม้จะยังไม่ได้ทำพิธีหมั้นหมาย ถึงกระนั้นกลับเป็นหลินฮูหยินอย่างถูกต้องแท้จริงแล้ว ประโยคที่นางด่านี้ถูกต้องยิ่งนัก 


 


 


ชายโฉดก้มหน้า รู้สึกกระดากใจที่จะพูดจริงๆ เมื่อดูจากท่าทางนั้น เขากลับใช้เจ้าน้ำสุคนธ์นี้ด้วยความสำราญนัก 


 


 


สวีจื่อฉิงกล่าวด้วยความโมโห “เจ้าไม่กลัวว่านางจะใช้แผนหญิงงาม จงใจทำให้เจ้ายอมถอยหรอกหรือ?” 


 


 


“หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นที่ข้าใช้ก็คือแผนชายงามแล้วล่ะ!” หลินหว่านหรงถอนใจขื่นขมอย่างเงียบงัน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม