เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 61.4-63.2

ตอนที่ 61 - 4 เสน่ห์ล้นเหลือ

 

นางหมอบอยู่ในลานบ้านนอกวังบรรทมดัง “พลั่ก” เสียงหนึ่ง รองเท้าหุ้มข้อกองใหญ่กองหนึ่งเบื้องหน้ากระโดดออกไปอย่างหวาดผวา 


 


 


มองรูปแบบรองเท้าหุ้มข้อก็รู้ว่าเป็นองครักษ์ของทางจิ้งถิงนี้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ เสียงหนึ่ง หมอบอยู่บนพื้นเท้าคางกำลังคิดว่าจะอธิบายว่าปรากฏกายนอกประตูห้องบรรทมกงอิ้นกะทันหันได้อย่างไร รองเท้าหุ้มข้อกองหนึ่งนั้นเดินออกไปทันที 


 


 


“วันนี้อากาศดีนะเหอะๆ” 


 


 


“นั่นสิเหอะๆ” 


 


 


“สหายจังหน้าตาเจ้าแจ่มใสดีนะเหอะๆ” 


 


 


“สหายหวังหน้าตาเจ้าแจ่มใสเช่นกันเหอะๆ” 


 


 


“ประตูข้างเปิดอยู่ พวกเราต้องไปจัดวางกำลังป้องกันกันหรือไม่” 


 


 


“ยังเช้าอยู่เลย เปิดไว้ก่อนเถิด” 


 


 


คนกลุ่มหนึ่งเหลียวซ้ายแลขวา เดินไปประดุจมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น จิ่งเหิงปัวยืนขึ้นมาปัดฝุ่นบนหัวเข่า 


 


 


“วันไหนกงอิ้นถูกคนลักหลับยังไม่รู้เลย!” พึมพำเสียงหนึ่ง เดินผ่านทางประตูข้างที่ไม่มีใครเฝ้าอยู่กลับสู่พระราชอุทยานของตนเอง 


 


 


พอเข้าประตูมาก็มองเห็นจื่อหรุ่ย นางมาเช้ายิ่งกว่าปกติ ซ้ำยังขวางอยู่ตรงประตูข้างพอดิบพอดี จิ่งเหิงปัวพึมพำเสียงหนึ่งว่า “ซวยล่ะ” 


 


 


พอจื่อหรุ่ยมองเห็นนาง พลันก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปคืนเดียว อารมณ์ของนางสงบนิ่งลงไปมาก ซ้ำยังฟื้นคืนความสง่าผ่าเผยละเอียดรอบคอบก่อนหน้านี้ เสื้อผ้าแลดูเรียบร้อยเรียบง่ายยิ่งกว่ายามปกติ ไม่รู้ว่าทำไม จิ่งเหิงปัวมองเห็นนางที่เป็นแบบนี้แล้วกลับมีจิตใจเคารพเลื่อมใสเพิ่มขึ้น 


 


 


สตรีนางนี้ ก่อนเกิดภัยพิบัติไม่ได้ลืมตัวเสียกริยามากเกินไป หลังเกิดภัยพิบัติฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็ว คู่ควรที่จะเป็นบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถที่ใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังหลายปี ถูกคัดเลือกออกมาชั้นแล้วชั้นเล่าโดยแท้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่คิดว่าบุคคลที่มีความสามารถแบบนี้จะถอดใจทอดทิ้งภาระหน้าที่และหลักการส่วนตัวของนางโดยสิ้นเชิงด้วยเพราะบุญคุณที่ช่วยชีวิตเมื่อวานนี้ 


 


 


จื่อหรุ่ยถวายคำนับให้นางแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จไปที่แห่งใดเพคะ?” 


 


 


“สนทนาชีวิตสนทนาอุดมการณ์สนทนาผลกระทบของคุณธรรมจริยธรรมที่มีต่อจิตใจมนุษย์กับท่านราชครู” จิ่งเหิงปัวจัดแต่งจอนผม ยิ้มหยาดเยิ้มอย่างไร้ซึ่งสีหน้าละอายแม้เล็กน้อยครั้งหนึ่ง 


 


 


“โอ้” ลมแปดทิศพัดไม่สะท้านผิวหน้าของจื่อหรุ่ย เอ่ยอย่างสุขุมว่า “แม้เอ่ยว่าองค์ราชินีกับราชครูสามารถใกล้ชิดกันได้มากหน่อยเพื่อปรึกษาหารือเรื่องแคว้น ทว่าคล้ายยิ่งควรเป็นองค์ราชินีที่ทรงเรียกราชครูเข้าพบ แลมิใช่ทรงเสด็จไปด้วยพระองค์เอง หากถูกผู้คนพบเข้า เกรงว่าคงจะมีปัญหาอย่างยากหลีกเลี่ยงเพคะ” 


 


 


แม้ว่านางกำลังตักเตือนถึงกฎเกณฑ์ ทว่ากลับไม่เอ่ยถึงเรื่องบุกวังบรรทมของผู้อื่นยามราตรีสักประโยคเดียว อีกทั้งคำว่า “พบเข้า” ประโยคนั้น จิ่งเหิงปัวได้ยินแล้วรู้สึกว่าใช้คำได้มหัศจรรย์ ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ราชครูยุ่งเกินไป เจิ้นเข้าใจในความรู้สึกของเขาจึงเดินทางไปด้วยตนเอง จื่อหรุ่ยเจ้าดูสิ กระทำอย่างไรถึงทั้งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทั้งบรรลุจุดประสงค์ที่ข้ากับราชครูได้สนทนาชีวิตสนทนาอุดมการณ์สนทนาผลกระทบของคุณธรรมจริยธรรมที่มีต่อจิตใจมนุษย์ด้วยกันบ่อยครั้งเล่า?” 


 


 


“โอ้” ขุนนางหญิงผู้สง่าผ่าเผยละเอียดรอบคอบเอ่ยว่า “ภาระหน้าที่ของหม่อมฉันคือการตักเตือนกฎเกณฑ์แลขจัดความกลัดกลุ้มแก้ไขปัญหาเพื่อราชินี หากวันหน้าฝ่าบาทยังทรงต้องการจะสนทนาชีวิตและอุดมการณ์กับราชครู ขอทรงบอกกล่าวกระหม่อมแลให้กระหม่อมเฝ้ารับใช้อยู่รอบกายพระองค์ย่อมได้ หากมีหม่อมฉันอยู่ด้วย ต่อให้เป็นท่านเสนาพิธีการยังไร้หนทางตำหนิพระองค์ ด้วยเพราะหากเอ่ยถึงการสั่งสอนและการควบคุมกฎของพระราชวัง มีเพียงหม่อมฉันถึงเป็นผู้รับผิดชอบลำดับหนึ่งเพคะ” 


 


 


วาจานี้หมายถึงจะขันอาสาจะดูต้นทางให้นางเหรอ? 


 


 


ซ้ำยังเอ่ยได้จริงจังเปี่ยมเหตุผล กฎของพระราชวังเต็มปากอย่างหาได้ยาก 


 


 


ยอดอัจฉริยะโดยแท้ 


 


 


“เช่นนี้เป็นการดีที่สุดแล้ว!” จิ่งเหิงปัวปรบมือครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ทว่าให้เจ้ายืนเฝ้าทั้งคืนรู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อยแฮะ” 


 


 


“ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา” จื่อหรุ่ยเอ่ยว่า “หากพระองค์ทรงให้หม่อมฉันพักผ่อน หม่อมฉันย่อมไปพักผ่อนเพคะ” 


 


 


“หากข้าให้เจ้าพักผ่อนที่ห้องนอกที่สุดข้างลานบ้านห้องนั้นเล่า?” 


 


 


“ย่อมรับราชโองการ ดวงใจของหม่อมฉันอยู่กับพระวรกายของฝ่าบาท แม้ไกลจากฝ่าบาทสักหน่อย ทว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติภาระหน้าที่อย่างหูไวตาไวของหม่อมฉันเพคะ” 


 


 


ไกลไปหน่อย ห่างกันตั้งสองลานบ้าน จิ่งเหิงปัวเชื่อว่าต่อให้นางข่มขืนกงอิ้น เขาดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือ จื่อหรุ่ยคงจะไม่ได้ยินหรอก 


 


 


นางยิ้มแย้มดีใจมากยิ่งขึ้น 


 


 


“เช่นนี้ วันหน้าหวังว่าเจ้าจะตักเตือนข้าเกี่ยวกับกฎของพระราชวังให้เต็มที่ ช่วยเหลือข้าให้อยู่รอดในวังได้ดียิ่งขึ้น” 


 


 


“หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการของราชินีเพคะ” จื่อหรุ่ยก้มศีรษะอย่างเคารพนบนอบ 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มมองหาโดยรอบ กล่าวว่า “เฮ้อ ได้ยินว่าวันนี้มามาผู้ชี้นำจะมาสอนกิริยาวาจาทั้งในวังนอกวังและในพิธีการทุกพิธีให้ข้าอย่างเป็นรูปธรรม ทว่าวันนี้ข้ายังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า ขุนนางหญิงจื่อหรุ่ย เจ้าว่ามีวิธีใดที่ทั้งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทั้งขจัดการสอนได้เล่า?” 


 


 


“ทูลฝ่าบาท การมาถึงของมามาผู้ชี้นำมิใช่สิ่งที่หม่อมฉันจะหยุดยั้งได้ ทว่าหม่อมฉันมีฐานะเป็นขุนนางหญิงรับบัญชาข้างกายฝ่าบาท มีคุณสมบัติในการคัดเลือกรวมทั้งตรวจการณ์มามาผู้ชี้นำว่าได้มาตรฐานหรือไม่ หม่อมฉันทูลขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันตรวจการณ์มามาเหล่านี้เพื่อฝ่าบาทก่อนสักหน่อย ไม่ให้พวกนางเองเรียนรู้กฎเกณฑ์ได้ไม่ละเอียดเพียงพอ ไม่อาจสอนฝ่าบาทให้ดี ส่งผลกระทบต่อเกียรติภูมิของฝ่าบาทเพคะ” 


 


 


“ใช่ยิ่งนัก ใช่ยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวปีติยินดีในใจ พยักหน้าต่อเนื่อง กล่าวว่า “จะต้องตรวจการณ์ให้เต็มที่ จะให้ดีที่สุดตรวจการณ์ให้นานๆ ถึงจะดี” 


 


 


“คัมภีร์พิธีการต้าฮวงสิบบท กฎของพระราชวังหนึ่งพันแปดข้อ ข้อระเบียบทุกแบบแบ่งเป็นสามสิบเล่ม” จื่อหรุ่ยเอ่ยอย่างสงบเงียบว่า “คงจะไม่อาจตรวจการณ์ได้เสร็จสิ้นในวันเดียว หม่อมฉันอาจหาญทูลขอฝ่าบาททรงรอคอยหลายวันสักหน่อย หรืออาจจะนานยิ่งกว่านี้เพคะ” 


 


 


“ในใจข้ารีบร้อนยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวโศกศัลย์อย่างยิ้มแย้มหน้าบาน ร้องว่า “นานขนาดนี้เชียว!” 


 


 


“ให้ฝ่าบาทต้องทรงลำบากรอคอยแล้วเพคะ” จื่อหรุ่ยก้มหน้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะพรืด ตบไหล่ของจื่อหรุ่ย 


 


 


เป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ  


 


 


ไม่เสียแรงที่ช่วยนางไว้ครั้งหนึ่งตอนทะเลาะวิวาทกับกงอิ้นเมื่อวาน 


 


 


“ประเดี๋ยวข้าต้องไปพบขุนนางสำคัญ เข้าร่วมอภิปรายงานราชการ” นางกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขอคำปรึกษาจื่อหรุ่ยว่า “เจ้ามีคำแนะนำดีๆ ใดเสนอให้ข้าหรือไม่?” 


 


 


“ตามกฎเกณฑ์แล้ว ยามนี้พระองค์ไม่อาจอภิปรายงานราชการกับเหล่าขุนนางใหญ่โดยตรง ราชครูเป็นผู้มอบอำนาจให้พระองค์หรือเพคะ?” 


 


 


“ใช่แล้ว” 


 


 


“หม่อมแทบจะคาดการณ์ได้ว่าครึ่งชั่วยามก่อนหน้าจะต้องกำลังอภิปรายการกระทำนี้ของท่านว่าไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์อย่างแน่นอน ถึงขนาดอาจจะขับไล่พระองค์โดยตรงเพคะ” 


 


 


“ข้าอยากทำให้พวกเขาหุบปาก” 


 


 


“เพียงหุบปากหรือเพคะ?” 


 


 


“ไม่” จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา จ้องมองจื่อหรุ่ย 


 


 


“ข้ายังอยากจะทำหน้าที่ราชินีนี้ให้ดี ข้าไม่อยากเป็นหุ่นเชิดอีก ข้าอยากเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อราชินีของต้าฮวง ข้าคิดว่านับแต่ข้าเป็นต้นไปจะไม่มีราชินีกลับชาติมาเกิดอีก ข้าคิดว่า” นางหยุดไปชั่วครู่ กล่าวต่อว่า “จะไม่ทำให้คนผู้หนึ่งซึ่งให้โอกาสข้าผิดหวัง” 


 


 


ไม่แน่ว่ากงอิ้นต้องการให้นางออกหน้าจัดการเรื่องราวแทน เขากำลังให้โอกาสนาง 


 


 


แน่นอนว่านี่คือการทดสอบเช่นกัน 


 


 


นางคาดเดาความขัดแย้งและความลังเลในตอนนี้ของกงอิ้นได้รำไร 


 


 


ฝ่ายของเขาหวังให้เขายึดอำนาจราชินีถึงขนาดเนรเทศราชินี กลายเป็นจักรพรรดิบุรุษเพศ 


 


 


ทว่าความคิดในตอนแรกของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเพราะการปรากฏกายของนาง แต่การเปลี่ยนแปลงแฝงนัยด้วยการทรยศต่อฝ่ายของเขาทั้งหมด ความรับผิดชอบนี้แม้แต่เขายังแบกรับไม่ไหว 


 


 


ฉะนั้นเขาต้องการทดสอบความสามารถและความคิดของนาง หากนางพอจะแบกรับไหว เขาจะให้โอกาสนาง 


 


 


หากไม่ไหว ต่อให้นางได้เป็นราชินีนี้ ไม่ช้าก็เร็วนางคงถูกฝ่ายอำนาจที่จ้องรอตะครุบดั่งพยัคฆ์ทุกฝ่ายกลืนกิน กลับเป็นการทำร้ายนาง ยังไม่สู้เป็นหุ่นเชิดหรือเป็นสตรีธรรมดาใต้ปีกของเขา 


 


 


เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่ากงอิ้นจะเลือกแบบที่สองโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ เขาให้นางมีชีวิตอยู่นับว่าปราณีมากแล้ว 


 


 


นึกไม่ถึงว่าเขากลับยินยอมเสี่ยงอันตรายมอบโอกาสครั้งหนึ่งให้นาง 


 


 


นางย่อมจะไม่ถอดใจโดยไม่ได้ลองสักครั้ง 


 


 


กลุ่มสี่คนของสถาบันวิจัยสามารถก้าวผ่านการกักขังและการทดสอบที่ยาวนาน ยังคงไม่ถอดใจจะหาโอกาสหลบหนีออกไป ย่อมไม่มีคนขี้ขลาดตาขาวที่แท้จริง 


 


 


คำกล่าวนี้จริงใจต่อจื่อหรุ่ย นางเองอยากมองดูท่าทางของสตรีนี้ หากชัดเจนไม่เพียงพอ เช่นนั้นนับแต่นี้นางจะไม่เชื่อถือนาง 


 


 


จื่อหรุ่ยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ 


 


 


“ที่จริงแล้วในคัมภีร์พิธีการมีกฎเกณฑ์ที่ถูกคนมากมายหลงลืมไปข้อหนึ่งเพคะ” นางเอ่ยเชื่องช้า 


 


 


“ข้อใดหรือ?” จิ่งเหิงปัวดวงตากะพริบวูบ 


 


 


“ราชินีมีมีอำนาจในการอภิปรายงานราชการยามเร่งด่วนเพคะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า กงอิ้นเกิดปัญหานับได้ว่าเร่งด่วน แต่ว่าเรื่องนี้ไม่อาจกล่าวออกไป 


 


 


“เร่งด่วน…เร่งด่วน…” จิ่งเหิงปัวถูมือ เดินวนรอบทิศในตำหนัก ครุ่นคิดว่าเรื่องอะไรจะเร่งด่วนได้ถึงขนาดนั้น 


 


 


นางไม่อยากเข้าร่วมอภิปรายงานราชการแบบลำบากยากเข็ญ ได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นให้นั่งอยู่ด้านหนึ่งเป็นพื้นหลัง นี่คือการหยั่งเชิงก้าวเท้าสู่ศูนย์กลางอำนาจแห่งแคว้นครั้งแรกของนาง ตนเองจะต้องกุมอำนาจฝ่ายรุก มีการเริ่มต้นที่ดีถึงจะมีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม 


 


 


ความเร่งด่วนนี้ยังต้องเป็นความเร่งด่วนแบบยิ่งใหญ่ พอจะทำให้ตื่นตระหนก สำคัญพอ พอจะทำให้คนตื่นตระหนกจนสูญเสียสติ นางถึงจะมีโอกาสก้าวเท้าข้างหนึ่งสู่ใจกลางสนามการเมืองของต้าฮวง! 


 


 


จะสร้างประสิทธิผลแบบนี้ได้อย่างไร? 


 


 


ระเบิดอวี้จ้าว? เผาจิ้งถิง? อืม กงอิ้นคงบีบคอนางจนตาย 


 


 


นางเงยหน้า แววตาทอดไปถึงที่แห่งหนึ่ง ดวงตาประกายวูบฉับพลัน 

 

 

 


ตอนที่ 62 - 1 เล่นสนุกกับใจมนุษย์

 

จิ่งเหิงปัวเดินไปหลายก้าว เลี้ยวไปหน้าลานหน้าบ้าน จื่อหรุ่ยเดินตามมาห่มผ้าคลุมให้นาง เอ่ยว่า “หมู่นี้สภาพอากาศไม่ดี ฤดูกาลนี้มีพายุฝนฟ้าคะนองบ่อยครั้ง อาจมีฝนตกตลอดเวลา พระองค์ต้องทรงระวังด้วยเพคะ”


 


 


ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ เงยหน้ามองดูท้องฟ้ามืดครึ้ม หมู่นี้คล้ายจะอากาศแบบนี้ตลอด คาดว่าจะมีพายุฝนฟ้าคะนองในเร็ววัน


 


 


นางเงยหน้าขึ้น จ้องมองสิ่งปลูกสร้างห่างไกลแห่งหนึ่ง รูปแบบสิ่งปลูกสร้างนั้นแลดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง รูปทรงหอคอยมียอดแหลมสูง นางโพล่งปากถามว่า “นั่นคือที่ใดหรือ?”


 


 


“คือหอดูดาวของกองเซ่นไหว้เพคะ”


 


 


“ที่ทำงานของซังต้งหรือ?” จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วขึ้น ซังต้งกับเซวียนหยวนจิ้งคือสองคนที่ไม่เป็นมิตรต่อนางที่สุดในหมู่ขุนนางราชสำนักในตอนนี้ การกลั่นแกล้งทุกฝีก้าวตั้งแต่วางกับดักที่เมืองซีคังในตอนแรกสุดจนถึงในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ จินตนาการได้เลยว่าพวกเขาจะเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดบนเส้นทางความก้าวหน้าของตนเอง


 


 


“เพคะ ตระกูลซังสืบทอดตำแหน่งกองเซ่นไหว้หลายชั่วคน เอ่ยกันว่ามีศาสตร์การเสี่ยงทายที่โดดเด่นที่สุด ตำแหน่งสูงส่งยิ่งนักเพคะ”


 


 


“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าตระกูลซังทั้งไม่สนับสนุนราชินี แลไม่สนับสนุนกงอิ้น กระทั่งไม่ได้เชื่อถือเหยียลี่ว์ฉีขนาดนั้น แผนการของพวกเขาคือสิ่งใด?”


 


 


“หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องการเมือง แลไร้อำนาจกระทำการวิพากษ์วิจารณ์ รู้เพียงว่าตำแหน่งของตระกูลซังอยู่เหนือผู้ใด ทางตระกูลเองมีความสนิทสนมกับเผ่าหวงจิน ซ้ำยังเป็นตระกูลผู้ดีมีอำนาจเก่าแก่ของตี้เกอ แต่ก่อนเคยมีการกระทบกระทั่งกับตระกูลเหยียลี่ว์ด้วยเพราะแย่งชิงอำนาจ แลในฐานะตระกูลผู้ดีอาวุโสไม่อาจยอมรับภูมิหลังธรรมดาของราชครูฝ่ายขวาได้โดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางคือกองเซ่นไหว้ มีอำนาจในการออกความเห็นต่อการสืบทอดของราชินีมาหลายชั่วคน ย่อมไม่นำราชินีมาใส่ใจเป็นแน่ หรือพวกเขามีแผนการอื่นย่อมไม่อาจรู้ได้เพคะ”


 


 


“โอ้ กลุ่มอำนาจฝ่ายที่สาม” จิ่งเหิงปัวพยักหน้า สถานการณ์ของต้าฮวงไม่ใช่เพียงคำว่าราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาแย่งชิงอำนาจจะบรรยายได้ การก่อตั้งแบบพิเศษของหกแคว้นแปดชนเผ่าในราชสำนัก กำหนดให้ที่นี่เป็นดินแดนแห่งการเกี่ยวพันของอำนาจ สับสนวุ่นวายไม่หยุดหย่อนแห่งหนึ่ง ผู้ใดก็ตามเดินเข้าไปในตาซ่ายใหญ่สลับซับซ้อนซ่อนปมปากหนึ่งนี้ ต่างต้องระวังตัวไว้ว่าจะเดินออกมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่


 


 


นางมองดูยอดแหลมสูงเป็นพิเศษนั้น อดจะประหลาดใจไม่ได้


 


 


“ได้ยินว่าปลายฤดูร้อนต้าฮวงจะมีพายุฝนฟ้าคะนองมาก หลังคาทรงเสาสูงขนาดนี้ หรือว่าไม่เคยถูกฟ้าผ่าเลย?”


 


 


สิ่งปลูกสร้างทรงเสาในที่สูงถูกฟ้าผ่าได้โดยง่าย นี่คือความรู้ทั่วไป อีกทั้งสมัยโบราณไม่มีสายล่อฟ้า


 


 


“นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ตระกูลซังมีความมหัศจรรย์และถูกเทิดทูนเป็นกองเซ่นไหว้หลายชั่วคน เล่ากันว่าตระกูลพวกนางคือตระกูลเทพประทาน คือชนรุ่นหลังของเทพอัสนีบนโลกมนุษย์” จื่อหรุ่ยเอ่ยว่า “เอ่ยกันว่าผู้นำตระกูลซังรุ่นแรกเคยเสนอตนเองเป็นกองเซ่นไหว้ให้ปฐมจักรพรรดิ ยามนั้นปฐมจักรพรรดิทรงกำลังกลัดกลุ้มด้วยสิ่งปลูกสร้างในวังมักถูกฟ้าผ่าบ่อยครั้ง โพล่งพระโอษฐ์ตรัสว่า หากเจ้าสามารถสั่งให้ฟ้าไม่ผ่าเจ้า เจิ้นจะเชื่อความสามารถเทพประทานของเจ้า ภายหลังตระกูลซังของเจ้าต่างเป็นกองเซ่นไหว้แห่งต้าฮวงสืบต่อกันหลายชั่วคน ซ้ำยังจะสร้างตึกแหลมสูงเป็นพิเศษตึกหนึ่งให้บรรพบุรุษตระกูลซัง ซึ่งคือตึกนี้ในยามนี้” จื่อหรุ่ยชี้ไปยังตึกสูงนั้น เอ่ยสืบต่อว่า “เอ่ยขึ้นมาแล้วสิ่งที่แปลกประหลาดคือนับแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าพายุฝนจะรุนแรงเพียงใด ฟ้าผ่านี้ทำลายห้องหับในวังมากน้อยเพียงใด มีเพียงตึกสูงนั้นไร้ความเสียหายมาโดยตลอด พายุฝนครั้งสุดท้ายผ่าตรงพื้นดินเบื้องหน้าตึก สะบั้นพื้นดินออกเป็นร่องน้ำหลายสาย หอคอยสูงยังสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย นับแต่นั้น ชื่อเสียงมหัศจรรย์ของตระกูลซังได้เล่าลือสืบต่อกันมา ถึงกลายเป็นตระกููลขุนนางกองเซ่นไหว้ ตระกููลที่มีชื่อเสียงนับร้อยปี”


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าคาง มองหอคอยสูงนั้น ยิ้มแย้มแล้ว


 


 


จะก่อเรื่อง ก็ต้องก่อเรื่องใหญ่หน่อยสิ


 


 


“เทพประทาน? หากเรื่องนี้นับว่าเทพประทาน ข้าคงสวมรอยเป็นเจ้าแม่ซีหวังหมู่ได้แล้ว” นางพึมพำว่า “แต่นี่แค่บังเอิญเหรอ? หรือหลายร้อยปีก่อนก็เคยมีผู้ทะลุมิติมาคนหนึ่ง? ไม่ว่าจะอย่างไร ความมหัศจรรย์ของตระกูลซังควรจะจบสิ้นได้แล้ว…”


 


 


นางหันกายเดินกลับเข้าห้อง ลากกระเป๋าใบใหญ่ของตนเองแล้วรื้อของสิ่งหนึ่งออกมา คว้าไว้ในมือพิจารณาชั่วครู่ เงยหน้ายิ้มแย้มให้ท้องฟ้าครั้งหนึ่ง


 


 



 


 


ก่อนราชินีจะขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ ต้าฮวงไม่มีการออกว่าราชการยามเช้า เช้าตรู่ประมาณยามเหม่า[1] เหล่าขุนนางสำคัญจะรวมตัวดำเนินการปรึกษาหารือเรื่องแคว้นกันที่จิ้งถิง


 


 


ยามเช้าตรู่ ประตูตำหนักของจิ้งถิงได้เปิดออกแล้ว แม้ว่ากงอิ้นไม่ได้โผล่หน้ามา ทว่ากิจวัตรของจิ้งถิงจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทุกผู้คนต่างรู้ว่าจิ้งถิงผ่อนคลายเบื้องนอกแน่นหนาเบื้องใน หากคิดจะก่อเรื่องเล่นลูกไม้ใดข้างใน ยามเข้าเดินเข้าไปยามออกหามออกมาเสียทุกราย


 


 


เหมิงหู่ได้รับคำชี้แนะว่า “ปิดตำหนักพักผ่อนปรับกำลัง ราชินีจัดการการงานแทน หาโอกาสให้ความร่วมมือ” ของกงอิ้นในวันนี้แล้ว


 


 


แม้จะแปลกใจกับคำสั่งครั้งนี้ ทว่าเหมิงหู่ยังคงกระทำการตระเตรียมไว้บางส่วน เพิ่มการป้องกันห้องหนังสือของจิ้งถิงให้แข็งแกร่งขึ้น…ผู้ใดก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าการกระทำนี้จะนำพาท่าทีโต้ตอบใดกลับมา อาจโต้ตอบกลับอย่างดุเดือดเป็นไปได้ทั้งสิ้น


 


 


เหมิงหู่แปลกใจอยู่บ้างเช่นกัน นายท่านสงบนิ่งรอบคอบ บัดนี้ตนเองไม่ออกหน้า ให้ราชินีที่เพิ่งมาถึงซ้ำยังไม่ได้รับการยอมรับเผชิญหน้าฝูงขุนนางเพียงผู้เดียว จะดีจริงหรือ? มีความจำเป็นหรือ?


 


 


เหลือเวลาอีกครึ่งเค่อจะถึงยามเหม่า คนฝูงใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินก้าวเท้าเหยียบย่ำมา ท่าทางแตกต่างจากท่วงท่ามีชีวิตชีวาเหลือล้นยามปกติเหลือเกิน ซ้ำยังเคียงคู่ด้วยเสียงหาวอย่างต่อเนื่อง


 


 


“ใต้เท้าเซวียนหยวนเหตุใดวันนี้ใต้ตาบวมดำคล้ำ หรือสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี?”


 


 


“เหอะ…เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท ถูกยายชราบ้านข้ารบกวนอยู่ค่อนคืน…”


 


 


“ฮ่าๆ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินเซวียนหยวนอายุเข้าวัยกลางคน ยังคงบุคลิกดุจแรกแย้ม อิจฉาวาสนาความรักของใต้เท้าเซวียนหยวนเสียจริง”


 


 


“เอ่ยเหลวไหลอะไร ผู้ชราน่ะถูกยายชรานั่นรบกวนว่าจะเอากระโปรงใดไม่รู้ ที่ใดเล่าไม่มีกระโปรง จะให้ผู้ชราไปหาอยู่ได้!”


 


 


“อ๊ะ พวกเจ้าเอ่ยว่ากระโปรงหรือ? ใช่กระโปรงที่ปรากฏบนถนนใหญ่จิ่วกงเมื่อวานหรือไม่? เมื่อคืนข้าก็ถูกบุตรีสองคนบ้านข้ามารบกวนเช่นกัน เอาแต่เอ่ยว่ามองเห็นสตรีสองนางที่ถนนใหญ่จิ่วกงสวมใส่กระโปรงที่ต้าฮวงไม่มี กระโปรงที่สวยงามมหัศจรรย์ จะให้ข้าหากระโปรงนั้นให้พวกนางให้จงได้ แล้วเช่นนี้ เช่นนี้จะไปหามาจากที่ใดเล่า”


 


 


“พวกเจ้ากำลังเอ่ยถึงกระโปรงหรือ? บ้านข้าก็เช่นกัน แทบถูกเหล่าป้าน้าพี่สาวน้องสาวบุตรีอาละวาดจนเสียสติแล้ว สั่งให้คนไปสืบหากระโปรงใดเครื่องประดับใดรองเท้าใดนั้นทั่วทุกแห่งหน ตามหาทั่วทั้งตี้เกอ หาไม่เจอก็ไม่ดื่มชาไม่ทานอาหาร ผู้ชราไม่อยู่บ้านเพียงวันเดียว ในบ้านก็วุ่นวายอลหม่าน…”


 


 


“กระโปรงใดทำให้ผู้คนมากมายขนาดนี้หน้ามืดตามัวได้? กระโปรงเซียนหรือ?”


 


 


“แม้ไม่ใช่กระโปรงเซียนแต่คงไม่แตกต่างกันมากแล้ว เอ่ยกันว่ายามนี้สตรีทั่วทั้งตี้เกอต่างกำลังถกเถียงกันเรื่องกระโปรงนั้น ถกเถียงกันเรื่องสตรีสองนางนั้น เอ่ยว่าประทินโฉมใดประณีตอย่างไร เสื้อผ้าเป็นเอกลักษณ์อย่างไร ทั้งเครื่องประดับรองเท้าไม่มีสิ่งใดมิใช่สิ่งมหัศจรรย์ของโลกมนุษย์ สตรีนับมิถ้วนบ้าคลั่งเพื่อสิ่งนี้ ทั่วทั้งตี้เกอถูกพลิกแผ่นดินหาจนทั่ว เหล่าสตรีเป็นกลุ่มเป็นก้อนใหญ่พุ่งเข้าร้านเครื่องประดับร้านตัดเสื้อผ้าแล้วออกมาอย่างผิดหวัง ทำให้เถ้าแก่เหล่านั้นตีอกชกหัว เหล่าสตรีที่รักความงามเท่าชีวิตพวกนั้นแทบจะเสียสติกันจนสิ้นแล้ว”


 


 


“นั่นสิๆ ท่านนั้นของบ้านข้ายามสี่เรียกข้าลุกขึ้นมา เอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วเรื่องกระโปรง โอ้สวรรค์ ข้าเพิ่งนอนตอนยามสาม!”


 


 


“เจ้ายังได้นอนไปหลายชั่วยาม ข้าทนฟังอยู่ทั้งคืน! เหอะ…หากวันนี้ราชครูไม่มีเรื่องใด ต้องเสร็จสิ้นเร็วหน่อยถึงจะดี…”


 


 


“แลไม่รู้ว่าสตรีสองนางนั้นคือผู้ใด เอ่ยกันเพียงว่าเพริศพรายเพียงปราดเดียวจึงมองดูอย่างรีบร้อน ไม่มีผู้ใดมองเห็นใบหน้าชัดเจน แลไม่มีผู้ใดรู้ที่มา ทว่าสั่นสะเทือนตี้เกอได้ ทำให้ผู้มองเห็นทุกคนจดจำได้ไม่ลืมเลือน เจ้าลูกหมาไม่ได้เรื่องบ้านข้าคนนั้น เอ่ยกันว่าเมื่อคืนส่งคนไปสืบหาทั้งคืน…ข้าอยากจะรู้ว่าสตรีโฉมงามมอมเมาราษฎร์สองนางนั้นคือผู้ใด จะต้องขับไล่พวกนางออกจากตี้เกอ!”


 


 


“ใต้เท้าชิวไม่ทะนุถนอมนวลนางเอาเสียเลย ข้าเห็นว่าเรื่องนี้ส่วนมากเป็นเล่ห์เหลี่ยมการชักชวนแขกของหอนางโลมหอหนึ่งหอใด คัดเลือกสตรีสองนาง จงใจกระทำการลับๆ ล่อๆ ครั้งหนึ่งนี้ออกมา เชื้อเชิญให้ผู้คนตามหา หลังจากดึงดูดความสนใจของทุกคนได้แล้วค่อยเปิดเผยตัวตน มีชื่อเสียงขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว อืม ยามนี้ข้ากำลังรอว่าหอนางโลมหอใดจะเปิดเผยความลับ หาตัวเจอแล้วตบแต่งเป็นอนุภรรยาก็ไม่เลวนะ ได้ยินว่าเป็นของวิเศษเลิศล้ำทั่วหล้า แลไม่รู้ว่าเป็นสตรีของหอไฉ่ซิ่วหรือสตรีของเรือนอวี้ชุนกัน…”


 


 


คนกลุ่มหนึ่งเปล่งเสียงหัวเราะฮิๆ แสดงการเห็นด้วยออกมา คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับวุ่นอยู่กับการหาวนอนน้ำตาไหล


 


 


เหมิงหู่ที่อยู่ถัดจากปากประตูได้ยินการบ่นว่าและถกเถียงของพวกเขา สีหน้าแปลกประหลาด


 


 


 


 


[1] ยามเหม่า เวลา 05.00 ถึง 07.00 นาฬิกา 

 

 


ตอนที่ 62 - 2 เล่นสนุกกับใจมนุษย์

 

เหล่าขุนนางสำคัญเดินเป็นแถวยาวเหยียดเข้าสู่ห้องหนังสือกว้างขวางของกงอิ้น ต่างระงับความเหนื่อยล้าไว้ไม่ได้ งัวเงียง่วงงุน เซวียนหยวนจิ้งขยี้ตา เอ่ยกับเหมิงหู่ว่า “แต่ก่อนราชครูออกมาตรงเวลาเสมอ เหตุใดวันนี้ถึงมาสายไม่พบเห็น? หากราชครูมีกิจธุระ บอกกล่าวกันสักเสียงหนึ่ง อย่างไรเสียวันนี้ก็ไม่มีเรื่องราวสำคัญใด ไม่สู้แยกย้ายกันไป…”


 


 


เสียงวาจาของเขายังไม่ทันสิ้น ประตูเปิดดังแอ๊ดเสียงหนึ่งอีกครั้ง ผู้ยิ้มแย้มเอ่ยด้วยเสียงเกียจคร้านแลแหบแห้งเสียงหนึ่งว่า “ราชครูมีเรื่องสำคัญอื่นต้องจัดการ ส่วนเจิ้นวันนี้ก็มีเรื่องราวเร่งด่วนจะปรึกษาหารือกับขุนนางที่รักทุกท่าน การประชุมในวันนี้ให้เจิ้นมาจัดการเถิด”


 


 


ทุกคนหันหน้ากลับมาอย่างตกตะลึงยิ่งนัก


 


 


พลันมองเห็นจิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มยืนงดงามอยู่ปากประตู


 


 


นางสวมใส่ชุดคลุมสีเหลืองสว่างปักหงส์สีรุ้งที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง หรูหราลานตา ชุดนี้คือฉลองพระองค์ทั่วไปของราชินี ทุกคนต่างเคยเห็นจนชินแล้ว ทว่ายามนี้นางสวมใส่ ทุกคนกลับรู้สึกว่าพอดีร่างอย่างผิดปกติ ทรวดทรงราบเรียบ แววตาอดจะทอดลงบนช่วงเอวผอมเพรียวเรียวบางของนางไม่ได้ คราวนี้ถึงพบว่าไม่รู้ตั้งแต่ยามใด ชุดนี้เดิมทีเป็นฉลองพระองค์ทรงกระบอกได้เพิ่มเข็มขัดแพรต่วนสีน้ำตาลเส้นหนึ่งให้ราชินีองค์ใหม่ เพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย พลันรวบรัดความทะลักล้นและงามวิจิตรของทรวดทรงออกมา โดดเด่นกว่าราชินีทุกพระองค์ในอดีตที่เคยสวมใส่ฉลองพระองค์ชนิดนี้ทั้งสิ้น


 


 


นางมีเสน่ห์มหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ทุกครั้งที่ขึ้นเวที ล้วนมีความแปลกใหม่เล็กน้อยทำให้เบื้องหน้าผู้คนสว่างวูบ


 


 


จิ่งเหิงปัวเสพสุขแววตาของทุกคนอย่างสงบนิ่ง อมยิ้มจัดแต่งจอนผม ส่งสายตาที่ทั้งเคร่งขรึมทั้งกระชากวิญญาณให้ทุกคน


 


 


ผู้คนครึ่งหนึ่งยังคงเหม่อลอยเคลิบเคลิ้มท่ามกลางความสวยงามของนาง ผู้คนอีกครึ่งหนึ่งรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ได้ยืนขึ้นอย่างตกตะลึงนัก


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทสงบสุขหมื่นปี” นี่คือผู้มีเจตนาดี


 


 


“ฝ่าบาท! ที่แห่งนี้กำลังปรึกษาหารือเรื่องแคว้น พระองค์ทรงหลบหลีกไปชั่วครู่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” นี่คือผู้ที่ทั้งปฏิเสธทั้งไว้หน้าเล็กน้อย


 


 


“ฝ่าบาท! พระองค์ทรงกระทำเกินหน้าที่แล้ว! เรื่องแคว้นต้าฮวง พระองค์ไม่อาจทรงเข้าร่วมอภิปราย!” นี่คือผู้ที่ให้นางไสหัวไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย


 


 


สองแบบหลังครองจำนวนทั้งสิ้นมากกว่าสามในสี่ส่วน


 


 


ส่วนซังต้งได้ยิ้มแย้มเอ่ยกับเหมิงหู่ว่า “องครักษ์ทอดทิ้งหน้าที่นานเกินไป สถานที่เช่นนี้จะให้ฝ่าบาทเสด็จเข้ามาได้อย่างไรเล่า? อย่าเอ่ยว่านางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ต่อให้ขึ้นครองราชย์ การกระทำนี้ก็นับได้ว่าเป็นการท้าทายอำนาจบารมีของราชครูแล้ว”


 


 


“เรียนกองเซ่นไหว้” เหมิงหู่ไม่เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยว่า “เหมิงหู่เพียงกระทำการตามบัญชา”


 


 


หลายคนได้ยินวาจาประโยคนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน มองตามมาอย่างตกตะลึงว้าวุ่นในชั่วขณะ


 


 


ทุกคนไม่เข้าใจความนัยของกงอิ้น เช่นนี้คือจะให้ราชินีรูู้ตื้นลึกหนาบางหรือหวังโจมตีนางสักหน่อย ให้ภายหลังนางอยู่ในโอวาสกันเล่า? อย่างไรเสียยามนั้นราชินีองค์ก่อนก็เคยผุดเผยความประสงค์ไม่เรียบร้อยออกมาเล็กน้อย ภายหลังได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์อวี้จ้าว บัดนี้กงอิ้นจะยินยอมให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นอีกครั้งไปได้อย่างไร?


 


 


เพียงความนัยของเหมิงหู่ก็คลุมเครือ ไม่ได้ผุดเผยความนัยแท้จริงของกงอิ้นออกมาด้วยซ้ำ


 


 


หลังจากทุกคนชะงักไปครู่หนึ่ง ที่สุดแล้วยังคงได้เปรียบด้วยแนวคิดระบอบการปกครองที่มีรากฐานมั่นคง ผู้ชราท่านหนึ่งก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ขัดขวางเส้นทางของจิ่งเหิงปัวไว้


 


 


“ฝ่าบาท” เขาทำสีหน้าวาจาขึงขัง เอ่ยว่า “ราชครูอนุญาตให้พระองค์เสด็จเข้าสู่จิ้งถิงยามอภิปรายงานราชการคือคำสั่งเลอะเลือนของราชครู หลังเรื่องราวฝ่ายกระหม่อมย่อมจะเสนอการคัดค้านแด่ราชครู ทว่าในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้เลื่องชื่อแห่งต้าฮวง ควรปกป้องกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในยามนี้ของต้าฮวงเป็นหน้าที่ลำดับแรก จะทำลายกฎเกณฑ์ด้วยพระองค์เอง ถือวิสาสะวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในราชสำนักได้อย่างไร! ขอพระองค์ทรงรีบเร่งเสด็จถอยไป มิฉะนั้นกระหม่อมจะร่วมกับหกกอง พิจารณาคุณสมบัติในการสืบราชสันตติวงศ์ของพระองค์ใหม่อีกครั้ง! ขอฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักโดยพลัน!”


 


 


หลังกายเขา ฝูงชนกลุ่มใหญ่ทยอยลุกออกมา


 


 


“ขอฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักโดยพลัน!”


 


 


“ขอฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักโดยพลัน!”


 


 


คลื่นเสียงดุจกระแสน้ำขึ้น กำแพงมนุษย์ดั่งเหล็ก นางในที่รอคอยอยู่เบื้องนอกมีสีหน้าซีดเผือด ฉังฟังรีบตามขึ้นมาเบื้องหน้า ตักเตือนจิ่งเหิงปัวแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท อย่าได้ทรงท้าทายกฎเกณฑ์ตามตามพระทัย พระองค์ทรงหวังเสด็จมาจิ้งถิง ย่อมไม่อาจเข้ามาโดยตรงขนาดนี้ อย่างไรเสียเสด็จกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


ฝ่ายเซวียนหยวนจิ้งกลับกำลังกำชับด้วยเสียงเย็นชาว่า “รีบเร่งปิดกั้นประตูข้างเสีย! วันพรุ่งเชิญฝ่าบาททรงย้ายออกจากข้างห้อง เสด็จกลับสู่วังบรรทมของพระองค์เอง!”


 


 


“โอ้ ไม่ให้ข้าเข้าไปหรือ?” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวว่า “ไม่ให้ข้าเข้าก็ไม่ให้ข้าเข้าสิ ไยต้องโมโหโกรธากันขนาดนี้ ข้าล่ะกลั๊วกลัว”


 


 


นางตบหน้าอกไปพลาง ยิ้มตาหยีหันกายไปพลาง เดิมทีขุนนางบางส่วนนึกว่านางจะต่อต้าน ไม่คิดว่านางไม่เอาไหนเช่นนี้ ต่างผุดเผยสีหน้าทั้งประหลาดใจทั้งเหยียดหยามออกมา


 


 


“หาเรื่องให้ตนอับอาย!” เฟยหลัวที่มองดูอยู่เงียบเชียบโดยตลอดยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวคล้ายจะไม่ได้ยิน ยิ้มแย้มปรีดาหันกาย เดินไปพลางกล่าวไปพลางว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ไล่ข้าไปเองนะ? เช่นนั้น คำพยากรณ์เทพว่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้กำลังจะถูกฟ้าผ่าล้ม หากข้าไม่ได้ถ่ายทอดให้สำเร็จ คงไม่โทษข้านะ…”


 


 


ยามนี้เสียงผู้คนสับสนวุ่นวาย เสียงของนางไม่นับว่าชัดเจนเกินไป ทว่ายังคงมีคนส่วนหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คัดค้านอย่างดุเดือดที่สุดได้ยินเข้าแล้ว


 


 


“หยุดนะ!” เสียงของซังต้งดังขึ้น สูญเสียความสุขุมเล็กน้อย


 


 


จิ่งเหิงปัวทำคล้ายไม่ได้ได้ยิน เดินไปข้างนอกไปพลาง หัวเราะฮ่าๆ ไปพลาง


 


 


“ความมหัศจรรย์สวรรค์ประทานใด? ผู้แทนวิญญาณเทพใด? ไม่ถูกสายอสนีใด ตลอดชีวีมีมงคลใด?” นางกางแขนสองข้าง หัวเราะฮิๆ เผชิญหน้าท้องนภามืดครึ้มข้างนอก กล่าวว่า “เทพยดาจะรักใคร่เอ็นดูตระกูลหนึ่งไปตลอดได้อย่างไร? พวกเจ้ามีคุณธรรมใดมีความสามารถใดถึงได้สืบทอดตำแหน่งกองเซ่นไหว้นับร้อยปี? จักรพรรดิยังต้องสวรรคตรุ่นสู่รุ่นเลย กองเซ่นไหว้ตำแหน่งหนึ่งอาศัยสิ่งใดรุ่นสู่รุ่นต้องเจ้าควรได้เป็น?”


 


 


“หยุดนะ!”


 


 


จิ่งเหิงปัวหันกายมา เอียงศีรษะยิ้มแย้มมองดูซังต้ง ชี้ไปยังตนเอง กล่าวว่า “ไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว กองเซ่นไหว้ เจ้าควรเอ่ยว่า ฝ่าบาททรงช้าก่อนเพคะ”


 


 


“สำหรับคนที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ยังกล้าบุกจิ้งถิงมั่วซั่ว วาจาพิกลพิการเหยียดหยามตระกูลกองเซ่นไหว้ผู้หนึ่ง ข้าไม่จำเป็นต้องมีความเคารพ” บนใบหน้าที่ดูแลอย่างดีของซังต้ง ปลายคิ้วเชิดขึ้นเพียงน้อย พลันเห็นความดุเดือดรุนแรง


 


 


“เช่นนั้นย่อมได้” จิ่งเหิงปัวพยักหน้าตามอำเภอใจ กล่าวว่า “ประเดี๋ยวเจ้าคงจะเป็นกองเซ่นไหว้ไม่ได้แล้ว ก่อนดวงซวยต่างต้องดิ้นรนหาที่สิ้นชีพ ให้เจ้าได้ดิ้นรนสักหน่อย”


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จมาลับคมฝีพระโอษฐ์หรือ?” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ต้องขอให้ฝ่าบาทตรัสให้ชัดเจนว่า สิ่งใดเรียกว่าตระกูลกองเซ่นไหว้จะถูกทอดทิ้ง? หากฝ่าบาทตรัสวิธีการออกมาไม่ได้ เกรงว่าฝ่ายกระหม่อมไม่เพียงต้องสืบสาวความผิดที่ฝ่าบาททรงบุกจิ้งถิง ซ้ำยังสืบสาวโทษที่ฝ่าบาทตรัสวาจาเพ้อเจ้อใส่ร้ายป้ายสีขุนนางสำคัญ”


 


 


“เกียรติยศของตระกูลกองเซ่นไหว้ ไม่อาจให้มนุษย์กำจัดตามอำเภอใจ!” ซังต้งขานรับอย่างเย็นชา


 


 


“นั่นสิ ฉะนั้นเทพมากำจัดแล้ว” จิ่งเหิงปัวสะบัดเส้นผมยาวอย่างเป็นธรรมชาติ


 


 


“เทพองค์ใดจะมากำจัด? เทพสวรรค์ที่ต้าฮวงได้เซ่นไหว้บูชา มีเพียงกองเซ่นไหว้ตระกูลซังสามารถได้รับคำพยากรณ์เทพในการเสี่ยงทาย!”


 


 


“คลื่นแยงซีโหมซัดเคลื่อนคล้อยไป คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า” จิ่งเหิงปัวเดินไปเบื้องหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ นั่งลงบนตำแหน่งของกงอิ้นตรงกลางห้องอย่างเป็นธรรมชาติ ยกเท้าไขว่ห้าง มือเคาะบนพนักแขนเก้าอี้ กล่าวว่า “ผู้เปิดเผยของเทพยดาบนโลกมนุษย์ได้เปลี่ยนคนแล้ว!”


 


 


“ผู้ใด?”


 


 


ผู้ที่กังวลปัญหานี้มีมากเกินไป ถึงขนาดที่ไร้คนสังเกตว่านางได้นั่งลงอย่างสุขุมแล้ว


 


 


“แน่นอนว่าเป็นเจิ้นผู้ถ่อมตัวถ่อมตนไม่โอ้อวดความสามารถ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มชี้ไปยังจมูกตนเอง กล่าวว่า “เรื่องเรียกหาหงส์สีรุ้งขึ้นปะรำพิธีในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ พวกเจ้าหลงลืมกันสิ้นแล้วหรือ?”


 


 


ทุกคนต่างชะงักงัน


 


 


เรื่องราวยามนั้นที่จิ่งเหิงปัวพลันปรากฏกายบนปะรำพิธี ตนเองเอ่ยว่ามีหงส์สีรุ้งส่งเสด็จ ทุกตนก็เคยศึกษาพิจารณาด้วยความสงสัย ทว่าไม่มีผลลัพธ์ ผ่านไปไม่กี่วันก็หลงลืมไปแล้ว


 


 


“สิ่งที่เจ้าทำนั้นเป็นเพียงวิชาตัวเบาเคลื่อนย้ายกาย!” ซังต้งโต้แย้ง


 


 


“โอ้? มีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศขนาดนี้ด้วยหรือ?” จิ่งเหิงปัวฉวยมือชี้ไปยังองครักษ์ข้างนอก กล่าวว่า “เช่นนั้น พวกเจ้าที่พาองครักษ์เข้าวังมา เรียกผู้มีฝีมือสูงผู้ใดก็ได้มาสักคน ผู้ใดสามารถใช้เวลาในพริบตาเดียวเหินจากที่จิ้งถิงนี้ไปถึงห้องครัวในลานบ้านข้า ข้าจะจากไปโดยพลัน ยังจะโขกศีรษะขออภัยซังต้งอีกด้วย!”


 


 


ทุกคนต่างเงียบงัน ซังต้งสำลักไปชั่วครู่ สีหน้าแดงซ่าน


 


 


วิชาตัวเบาเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ต้าฮวงไม่มี ทอดสายตาไปทั่วทุกแคว้นคงหาไม่เจอเช่นกันกระมัง?


 


 


“มาๆๆ” จิ่งเหิงปัวเคาะโต๊ะ กล่าวว่า “นำเรื่องราวที่จะอภิปรายในวันนี้ออกมาเสียเถิด ข้ารับปากว่าจะช่วยราชครูฝ่ายขวาจัดการเรื่องราววันนี้ให้แทน”


 


 


“วาจาเมื่อครู่ยังไม่ได้ทรงอธิบาย เหตุใดยามนี้ฝ่าบาทต้องตรัสถึงเรื่องนี้?”เซวียนหยวนจิ้งขมวดคิ้ว


 


 


“โนๆ ไม่ใช่อธิบาย” จิ่งเหิงปัวส่ายนิ้วมือ กล่าวต่อไปว่า “คือถ่ายทอด”


 


 


“ทรงถ่ายทอดเรื่องใด?”


 


 


“ราชินีมีอำนาจในการอภิปรายงานราชการเร่งด่วน ด้วยเพราะข้าได้รับลางบอกเหตุของเทพสองเรื่อง เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ฉะนั้นข้าเรียกพวกเจ้ามาถ่ายทอดอภิปรายงานราชการ” จิ่งเหิงปัวยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง นิ้วเรียวยาวเคาะคางตามอำเภอใจ ทำเป็นมองไม่เห็นการขมวดคิ้วของขุนนางชราหลายคน


 


 


“ขอฝ่าบาทตรัสให้จบในครั้งเดียว เสแสร้งแกล้งกระทำไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย!” ซังต้งสูญเสียความอดทนในที่สุด


 


 


“เทพของกองเซ่นไหว้ซัง เอ่ยกันว่ายามนั้นปกป้องหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ไว้ไม่ให้อสนีบาตลงโทษ ถึงได้กลายเป็นตำแหน่งตระกูลกองเซ่นไหว้” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ส่วนคำพยากรณ์เทพที่ข้าได้รับเอ่ยว่าตระกูลซังไม่เคารพกฎหมาย ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ว่าด้วยตระกูลกองเซ่นไหว้ไม่อาจร่วมการเมือง สอดมือยุ่งเกี่ยวการเมืองระดับแคว้นต้าฮวงมานานหลายปี ความทะเยอทะยานมากล้นพฤติกรรมไม่ดีงาม ได้ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลด่างพร้อย จึงได้เพิกถอนศาสตร์เทพประทานของตระกูลซังแล้ว” นางชี้ไปยังหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ กล่าวว่า “ภายในสามวัน หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ต้องถูกฟ้าผ่า!”


 


 


ทุกคนตื่นตะลึง ซังต้งร้องเสียงแหลมว่า “วาจาเหลวไหล! เป็นวาจาเหลวไหลทั้งนั้น!”


 


 


“เอ่ยวาจาเหลวไหลหรือคำพยากรณ์เทพ มากที่สุดสามวันคงรู้แล้วไม่ใช่หรือ?”


 


 


ทุกคนเงยหน้ามองท้องนภามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก เมฆหมอกสีเทาคล้ำกลุ่มใหญ่แผ่คลุมขอบฟ้า เกรงว่าคืนนี้คงมีพายุฝน


 


 


“วาจาพิกลพิการ! เลวทรามใส่ร้ายป้ายสี!” ซังต้งพุ่งไปหาจิ่งเหิงปัวอย่างรวดเร็ว ร้องว่า “เกียรติภูมิแห่งตระกูลซังของข้าไม่อาจให้เจ้า…”


 


 


เหมิงหู่หันกายเพียงครั้ง นำพาองครักษ์กลุ่มหนึ่งกั้นขวางเบื้องหน้านางอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง


 


 


“สถานที่สำคัญเช่นจิ้งถิง” เหมิงหู่หลุบตาต่ำ ชักมีดออกมาครึ่งฝัก เอ่ยสืบต่อว่า “ห้ามใช้อาวุธ” 

 

 


ตอนที่ 62 - 3 เล่นสนุกกับใจมนุษย์

 

มหาปราชญ์ฉังฟังพุ่งเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัวด้วย ถลึงตาใส่ซังต้ง เอ่ยว่า “เหตุใดเจ้ากองเซ่นไหว้ซังต้องหุนหันพลันแล่นเช่นนี้? ฝ่าบาททรงแบกรับชะตากรรมของแคว้นต้าฮวงและปากท้องของอาณาประชาราษฎร์ เจ้ากล้าใช้กำลังประทุษร้ายหรือ?” 


 


 


“ผู้ที่เหยียดหยามชื่อเสียงดีงามนับร้อยปีแห่งตระกูลกองเซ่นไหว้ของข้า เป็นศัตรูต่อตระกูลซังของข้าตลอดกาล!” ซังต้งสูญเสียจิตใจสง่างามแต่ก่อนไปแล้ว เสียงแหลมคม 


 


 


จิ่งเหิงปัวเอนกายพิงอยู่บนเก้าอี้ แกะเกาเล็บพลางยกมือขึ้นเป่าบ่อยครั้ง ไม่ได้มองซังต้งแม้แต่แวบเดียว 


 


 


กล่าวอย่างโกรธเกลียดเคียดแค้นกันขนาดนี้ทำอะไร? หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยเห็นข้าเป็นเพื่อนด้วยเหรอ? 


 


 


จิ่งเหิงปัวนึกถึงคำกล่าวประโยคหนึ่งของไท่สื่อหลัน คนอื่นไม่ทำร้ายฉันฉันไม่ทำร้ายคนอื่น ถ้าคนอื่นทำร้ายฉันฉันต้องทำร้ายคืนเป็นเท่าตัว 


 


 


นี่คือคำกล่าวเพียงประโยคเดียวที่นางเห็นด้วยกับไท่สื่อหลัน 


 


 


“เหยียดหยามเจ้าหรือไม่ สามวันหลังจากนี้คงได้รู้กันแล้ว!” ฉังฟังไม่ร่นถอยแม้แต่น้อย 


 


 


“ใช่แล้ว” เฟยหลัวที่มองดูอยู่เงียบเชียบโดยตลอดลุกขึ้นโดยพลัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “กองเซ่นไหว้ไม่ต้องโกรธแค้นหรอก เอ่ยจนถึงที่สุดแล้ว วาจามิอาจเอ่ยพร่ำเพรื่อ เอ่ยออกมาจากปากย่อมต้องรับผิดชอบ ในเมื่อฝ่าบาทตรัสว่าภายในสามวันหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ต้องถูกฟ้าผ่า ฝ่ายข้าคอยมองดูย่อมได้ ทว่าหม่อมฉันกลับมีวาจาอยากทูลถามฝ่าบาท หากภายในสามวัน หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ปลอดภัยไร้ความเสียหาย พระองค์จะตรัสอย่างไร?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองสายตาวูบไหวไปมองนางแวบหนึ่ง 


 


 


ผู้หญิงที่เล่นการเมืองน่ะไม่งดงามเลย ดูความแปลกประหลาดแวววาวทั่วหน้านั่นสิ โฉมสะคราญคนหนึ่งแท้ๆ ทำท่าทางหน้าเบี้ยวปากสั่น 


 


 


จิ่งเหิงปัวแสดงตนว่าจะต้องเป็นหญิงแกร่งทางการเมืองรุ่นใหม่ที่ทั้งงดงามทั้งเปี่ยมด้วยพลังความสามารถที่แท้จริง 


 


 


“จะเอ่ยอย่างไรได้อีก? พวกเจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น” นางยิ้มตาหยีเท้าคางไว้ เอ่ยว่า “ไม่ให้ขึ้นครองราชย์เอย เนรเทศเอย พวกเจ้าไม่ใช่ครุ่นคิดมาโดยตลอดหรือ?” 


 


 


เฟยหลัวหัวเราะโดยไม่มีรอยยิ้ม 


 


 


“ทว่าในทางกลับกัน หากข้าเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าจะว่าอย่างไร?” 


 


 


“พระองค์ทรงเป็นราชินี เดิมทีพระองค์ควรจะถูกต้องเสมอ” คำตอบของเฟยหลัวเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก 


 


 


“ข้าถูกต้องเสมอ?” จิ่งเหิงปัวเบนสายตาชำเลืองมองนาง กล่าวว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าคือคนเลวทรามที่ทำลายแคว้นทำร้ายราษฎร์แน่ะ เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่?” 


 


 


ใบหน้าสีชมพูของเฟยหลัวขึ้นสีเขียวคล้ำในพริบตา 


 


 


“เหอะๆ ยกตัวอย่างเท่านั้นเองอย่าโกรธสิ เจ้าจะเป็นคนเลวทรามไปได้อย่างไรเล่า? เจ้าเป็นคนโหดเ**้ยมชัดแจ้ง อีกทั้งทำลายแคว้นทำร้ายราษฎร์ นี่คือความสามารถที่โฉมสะคราญระดับเลิศล้ำทั่วหล้าถึงจะมีได้ แม้ว่าเจ้าเองนับว่ารูปโฉมระดับปานกลาง ทว่ายังห่างชั้นอีกมากนัก” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดุจมวลผกา 


 


 


สีหน้าเขียวคล้ำของเฟยหลัวเปลี่ยนเป็นซีดขาวประหนึ่งน้ำค้างแข็ง เสนาหญิงแคว้นเซียงผู้เข้าสนามรบได้สนทนาเรื่องแคว้นได้วางกลอุบายได้เล่นเรื่องการเมืองได้ ปรับตัวต่อการด่ากราดต่อหน้าที่ทั้งชั่วร้ายทั้งไร้ยางอายเช่นนี้ไม่ได้เล็กน้อยไปชั่วขณะโดยแท้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวแสดงออกว่าเรื่องนี้จิ๊บจ๊อย ขอแค่นางได้รู้จักนักเลงคีย์บอร์ด 


 


 


สีหน้าของเซวียนหยวนจิ้งไม่น่ามองเช่นกัน เขาพบว่าราชินีองค์ใหม่แลดูอย่างเกียจคร้านผ่อนคลายไร้อารมณ์ ยามปะทะคารมณ์ขึ้นมากลับมีฝีปากดีเลิศเด็ดขาด สิ่งสำคัญคือไม่ว่าวาจาใดนางเอ่ยออกมาได้ทั้งนั้น คำว่าสังวรณ์สถานะตนคำหนึ่งนี้ไม่ดำรงอยู่เบื้องหน้านาง 


 


 


“ฝ่าบาทเหตุใดต้องตรัสวาจาอ้อมค้อม ไม่สู้ตรัสให้ตรงไปตรงมา” 


 


 


“เจิ้นไม่เคยเอ่ยวาจาอ้อมค้อมกับสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม คราวนี้ไม่ใช่เพราะไม่มีหนทางหรือ” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืนตรง กล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “ข้าจะเอ่ยถึงคำพยากรณ์เทพเรื่องที่สองแล้ว เทพยดาตรัสว่าข้าคือราชินีลิขิตสวรรค์ ท่านทรงเลือกให้ข้าจุติยังต้าฮวง ย่อมมีหน้าที่ช่วยชีวิตราษฎร ส่งเสริมต้าฮวงให้เจริญรุ่งเรือง ทว่าระบอบราชินีไม่อาจยุ่งเกี่ยวการเมืองในยามนี้ไม่สอดคล้องกับโองการของเทพ ราชินีผู้หนึ่งซึ่งงงงวยไม่รู้ความเรื่องแคว้น จะแสดงพลังที่เทพทรงประทานมาให้ได้อย่างไร?” 


 


 


“ใช่แล้ว!” ฉังฟังพยักหน้าต่อเนื่องโดยพลัน เอ่ยว่า “ฝ่าบาทเฉลียวฉลาดเปี่ยมพรสวรรค์ ความรู้ลึกซึ้งกว้างไกล มีปณิธานยิ่งใหญ่ความสามารถเลิศล้ำ หากปล่อยความสามารถเช่นนี้ทิ้งไว้ข้างหนึ่ง คือความสูญเสียของต้าฮวงของเรา ความสูญเสียของราษฎร กระหม่อมคิดว่าควรจะแก้ไขกฎหมาย อนุญาตให้ฝ่าบาทได้ทรงฟังการเมือง หรือเสนอคำแนะนำที่สมเหตุสมผลในเรื่องแคว้นอย่างเหมาะสมถึงจะถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเกาคาง…คนที่ผู้เฒ่านี้เอ่ยถึงใช่นางเหรอ? 


 


 


นางจำได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เหวินเจินประเมินนางคือปณิธานชั่วร้าย ไม่เป็นโล้เป็นพาย หน้าตาตะกละตะกลาม โง่เง่าชั่วชีวิต 


 


 


ประโยคนี้ล่ะ ซ้ำยังเป็นการประเมินสูงที่สุดของนางที่สามคนประเมินให้แล้ว 


 


 


“ราชินีทรงเป็นผู้ปกครองกิตติมศักดิ์แห่งแคว้น ทรงเป็นกษัตริย์แห่งจิตวิญญาณของราษฎรแห่งต้าฮวง ขณะทรงดำรงตำแหน่งไม่อนุญาตให้เข้าร่วมการเมือง สิ่งนี้คือกฎเหล็กนานนับร้อยปีของต้าฮวง คือบรรทัดฐานสำคัญอันดับหนึ่งซึ่งองค์ปฐมจักรพรรดิบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร!” เสียงของเซวียนหยวนจิ้งตัดเยื่อใย เอ่ยว่า “มหาปราชญ์ยังจำเชิงอรรถข้อสุดท้ายได้หรือไม่?” เขาทำสีหน้าอึมครึม เบื้องลึกนัยน์ตาแวววาวด้วยประกายเพลิงน่าสะพรึงกลัว เอ่ยทีละคำละคำว่า “ขอเพียงวางแผนดิ้นรนล่วงละเมิดกฎหมายนี้ จับจ้องหวังช่วงชิงตำแหน่งผู้ปกครองการเมืองระดับแคว้นต้าฮวง จงทำลายให้สิ้น!” 


 


 


สีหน้าของฉังฟังเปลี่ยนไปโดยพลัน เม้มริมฝีปากแน่น 


 


 


จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว นางคิดไม่ตกเล็กน้อยว่าจักรพรรดิผู้สถาปนาแคว้นต้าฮวงองค์นี้เป็นอะไรไปแล้ว แผ่นดินที่สร้างขึ้นไม่ให้ลูกหลานหลายชั่วคนสืบทอด กลับสร้างระบอบกลับชาติมาเกิดอะไรไม่รู้ ราชินีกลับชาติมาเกิดเป็นหุ่นเชิด อำนาจที่แท้จริงมักจะตกสู่ราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ตำแหน่งที่ไม่ใช่ทั้งกษัตริย์ไม่ใช่ทั้งขุนนาง แบบนี้หมายความว่าอะไรกันแน่? 


 


 


มองสีหน้าทุกคนในตอนนี้ ชัดเจนว่าเห็นด้วยกับเซวียนหยวนจิ้งทั้งนั้น 


 


 


แม้ว่าจิ่งเหิงปัวไม่ชื่นชอบอ่านหนังสือ แต่ได้ดูละครน้ำเน่าโบราณสมัยใหม่ของจีนและต่างประเทศมาไม่รู้เท่าไร เหล่าผู้เขียนบทที่เกรียงไกรใช้มันสมองที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่กว่าบอกนางว่ากลุ่มผลประโยชน์ใดๆ ก็ตามต่างไม่ยินยอมให้กำลังภายนอกคอยจ้องหาอำนาจของพวกเขาตามใจชอบ การดำเนินการปฏิรูประบอบและรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่มายาวนานใดๆ ก็ตาม หากก้าวร้าวรุนแรงเกินไป มักจะจบลงด้วยความล้มเหลว 


 


 


จุดนี้แม้แต่จักรพรรดิยังไม่มีข้อยกเว้น ยิ่งกว่านั้นนางเป็นราชินีที่ไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริงนางหนึ่ง? 


 


 


ไม่รีบร้อน ค่อยๆ กระทำ มีดอ่อนเฉือนเนื้อเจ็บปวดที่สุดแล้ว 


 


 


“ผู้ใดจะเข้าร่วมการเมืองกัน? ผู้ใดจะแย่งชิงอำนาจกัน?” นางเคาะโต๊ะ ดึงดูดแววตาทุกคนให้โถมเข้ามาแล้วกล่าวว่า “เจิ้นแสดงพลังที่เทพทรงประทานมากระทำการเล็กน้อยให้ราษฎรก็ไม่ได้หรือ? ตระกูลซังได้รับความนิยมชมชื่นจากเทพ ครอบครองตำแหน่งกองเซ่นไหว้ยาวนานหลายร้อยปี แลเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจของแคว้นนานหลายปีแล้ว ตระกูลซังทำได้ ราชินีองค์หนึ่งเช่นข้าทำไม่ได้หรือ?” 


 


 


“แลด้วยเพราะพระองค์ทรงเป็นราชินีจึงทรงทำไม่ได้!” 


 


 


“ไม่เข้าร่วมการเมือง ไม่อภิปรายการเมือง เพียงฟังการเมือง และออกแรงยามตนเองสามารถออกแรงได้ เช่นนี้ยังทำไม่ได้หรือ?” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นมาฉับพลัน เตะม้านั่งใต้ร่างตนพลิกไปในเท้าเดียว 


 


 


เสียงพลั่กเสียงหนึ่งดังกึกก้อง ม้านั่งกลิ้งอยู่ตรงฝ่าเท้าทุกคน ทุกคนต่างเงยหน้าด้วยความตื่นตะลึง มองดูนางอย่างปากอ้าตาค้าง 


 


 


บนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวไร้ซึ่งรอยยิ้ม ไอดุร้ายผนึกแน่นทั่วหน้า ดวงตาสะลึมสะลือ ผมยาวสยายพลันพลิ้วไหวไร้สุ้มเสียง  


 


 


ทุกคนมองนางอย่างงงงัน รู้สึกเพียงว่านางคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนอีกผู้หนึ่งโดยพลัน มีผู้นึกถึงคำพยากรณ์เทพที่นางพร่ำเอ่ย อดจะหดเกร็งดวงใจไม่ได้ 


 


 


หรือว่าเทพจุติแล้ว? เทพพิโรธแล้ว? 


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องมองเบื้องหน้าแน่นิ่ง แล้วพลันอ้าปาก 


 


 


“ไม่เข้าร่วมการเมือง ไม่อภิปรายการเมือง เพียงฟังการเมือง และออกแรงยามตนเองสามารถออกแรงได้ เช่นนี้ยังทำไม่ได้หรือ?” 


 


 


ประโยคหนึ่งซึ่งเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ทุกคนตกตะลึงจนหน้าถอดสี 


 


 


ด้วยเพราะเสียงพลันเปลี่ยนไปแล้ว 


 


 


เปลี่ยนจากเสียงสตรีที่เกียจคร้านแหบแห้งเล็กน้อยกลายเป็นเสียงประหลาดที่แยกเพศไม่ได้ แหบกระด้างไม่น่าฟัง! 


 


 


สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือยามจิ่งเหิงปัวเอ่ยวาจาประโยคนี้ เพียงอ้าปากแลมิได้ขยับปาก! 


 


 


ทุกคนเบิกตากว้างมองดูแววตาแข็งทื่อของจิ่งเหิงปัวอย่างตกตะลึง ผมยาวหลังกายนางพลันลอยขึ้นเชื่องช้า พลิ้วไหวอยู่ข้างหลัง 


 


 


โฉมสะคราญผู้ยืนทื่อ แววตาที่ชะงักค้าง เสียงประหลาดที่พลันเปล่งออกมา เส้นผมที่ลอยสยาย 


 


 


มองแล้วดุจเทพยดาประทับร่างในตำนาน 


 


 


หวาดกลัวกันทั่วห้องไปชั่วครู่ ต่างมองดูจิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างบนถัดจากโต๊ะ 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่เนิ่นนาน บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย 


 


 


ทุกคนอยากเร่งเร้า ทว่าถูกบรรยากาศลึกลับปกคลุม เคร่งขรึมเล็กน้อยไปชั่วครู่ 


 


 


เฟยหลัวพลันลุกยืนก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โค้งกายเพียงน้อย สะบัดผ้าคลุมโต๊ะที่ห้อยอยู่บนโต๊ะข้างกายจิ่งเหิงปัวออกในครั้งเดียว 


 


 


ในนั้นว่างเปล่าไร้เงาคน 


 


 


เฟยหลัวที่เดิมทีสงสัยว่าใต้โต๊ะมีคนร่วมแสดงซวงหวง[1]ให้จิ่งเหิงปัววางมือลงอย่างผิดหวัง แล้วมองดูข้างหลังจิ่งเหิงปัว 


 


 


หลังกายนางคือกำแพง ไม่ว่าอย่างไรคงซ่อนคนผู้หนึ่งไว้ไม่ได้ 


 


 


เฟยหลัวได้แต่กลับไปนั่งอย่างผิดหวังยิ่ง 


 


 


ใต้โต๊ะ 


 


 


เจ้าหมาโง่ห้อยหัวอยู่หลังพื้นโต๊ะ เกาะร่องไม้กระดานไว้อย่างแน่นหนา 


 


 


เฟยเฟยซ่อนอยู่ข้างโต๊ะ เกาะขอบโต๊ะไว้ หางสีขาวราวหิมะขนาดใหญ่เคลื่อนไหวพัดพาสายลมเป็นระลอกพลิ้วไหวผมยาวของจิ่งเหิงปัว 


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] ซวงหวง เป็นการแสดงชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยนักแสดงสองคน นักแสดงข้างหน้าจะแสดงท่าทางขยับปากแต่ไม่มีเสียง ส่วนคนที่สองจะแอบซ่อนอยู่ข้างหลังคนแรกคอยออกเสียง  

 

 


ตอนที่ 62 - 4 เล่นสนุกกับใจมนุษย์

 

จิ่งเหิงปัวที่ “เทพสวรรค์ประทับร่าง” ยกมือครั้งหนึ่งกะทันหัน 


 


 


เจ้าหมาโง่เปล่งเสียงตะโกนโทนประหลาดดังลั่นเสียงหนึ่งว่า “ย้าก!” 


 


 


เสียงครืนเสียงหนึ่งดังก้องตรงกลางลานบ้าน คล้ายดั่งฟ้าผ่าลงมาครั้งหนึ่งโดยแท้ จากนั้นมีเสียงกระเบื้องดินเผาแตกร้าวดังเพล้งพลั้งระลอกหนึ่ง 


 


 


สีหน้าของเหมิงหู่เปลี่ยนไปโดยพลัน ตะโกนว่า “แย่แล้ว!” ชิงออกไปด้วยฝีก้าวรวดเร็ว ทุกคนรีบร้อนตามมาด้วย จากนั้นยืนมองหน้ากันไปมาอยู่กลางลานบ้าน 


 


 


ในลานบ้านมีฝุ่นควันคละคลุ้ง 


 


 


บนพื้นมีกระเบื้องเคลือบแตกละเอียดร่วงหล่นอยู่กองหนึ่ง 


 


 


มีองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกโดยตลอดผู้หนึ่งชี้ไปที่หลังคาอย่างหวาดผวา เอ่ยเสียงดังว่า “มีก้อนหินร่วงลงมาจากท้องฟ้า! กระแทกตรงขอบหลังคา! พวกเรามองไม่เห็นคนผู้ใดปรากฏกาย!” 


 


 


ทุกคนกลับสูดหายใจเฮือกหนึ่ง มองหน้ากันไปมา ฉังฟังชะงักอยู่ชั่วครู่แล้วรีบกลับเข้าห้องก้าวหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวฟื้นคืนสู่ปกติ นั่งลงมาแล้ว ผมยาวสยายอยู่บนแผ่นหลัง เท้าศีรษะไว้อย่างอ่อนเพลีย กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “เมื่อครู่อะไรหรือ? เหตุใดพวกเจ้าถึงออกไปกันหมดแล้ว?” 


 


 


ฝ่ายพวกเซวียนหยวนจิ้งที่เข้ามาภายหลังพินิจนางอย่างสงสัย ยามนี้จิ่งเหิงปัวดูท่าทางร่างกายอ่อนแอ สีหน้างงงุน เหมือนท่าทางถูกเทพยดาประทับร่างในตำนานไม่มีผิดเพี้ยน 


 


 


มีเพียงซังต้งแอบกัดฟัน…สีหน้าและสภาวะเช่นนี้นับเป็นกรรมสิทธิ์แห่งตระกูลซังของพวกนาง! ถูกสตรีนี้เรียนรู้ไปยามใดกัน! 


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกเหนื่อยมากจริงแท้ 


 


 


ให้เฟยเฟยวางก้อนหินบนต้นไม้ใกล้หลังคาต้นหนึ่งไว้ก่อนแล้ว เมื่อครู่ถึงใช้ความคิดควบคุม เจ้าเฟยเฟยไว้ใจไม่ได้ ก้อนหินที่เลือกมาหนักเกินไป เมื่อครู่แววตานางชะงักค้าง แข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน แท้จริงแล้วก็คือสะสมพลังย้ายก้อนหินอยู่ 


 


 


นิ้วมือนางขยับครั้งหนึ่ง เก็บปากกาอัดเสียงใต้แขนเสื้อ คำกล่าวประโยคนั้นที่เจ้าหมาโง่อัดเสียงไว้ล่วงหน้า ประสิทธิผลไม่เลว 


 


 


“ฝ่าบาท…” ฉังฟังเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อครู่พระองค์…” 


 


 


“เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไปหรือ?” จิ่งเหิงปัวเสแสร้งแกล้งขยี้ดวงตา กล่าวว่า “เฮ้อ เมื่อคืนคล้ายจะนอนหลับไม่สนิท…” 


 


 


“เรื่องนั้น…” ฉังฟังเรียนรู้ลัทธิขงจื๊อ ไม่ได้เชื่อถือเรื่องราวพลังพิเศษเทพองค์ใดอย่างไรนัก ทว่าได้เห็นด้วยตาตนเอง แลไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรไปชั่วครู่ 


 


 


เหมิงหู่รับวาจามาอย่างทันเวลายิ่ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่พระองค์คล้ายได้ถูกเทพยดาประทับร่างพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อ๊ะ ใช่แล้ว” จิ่งเหิงปัวแอบซาบซึ้งใจ ทำท่าทางเข้าใจฉับพลันทันที กล่าวว่า “แต่ก่อนยามเทพสวรรค์ชี้แนะข้าล้วนเป็นความรู้สึกเช่นนี้ วันนี้รู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก…เทพสวรรค์ทรงพิโรธแล้วใช่หรือไม่?” 


 


 


ทุกคนต่างนิ่งเงียบ เหมิงหู่ชี้ไปยังหลังคาที่ถูกกระแทกเสียหาย 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้ามองดู ยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง 


 


 


“ข้าเอ่ยแล้วว่าสิ่งที่ข้าเป็นตัวแทนคือความประสงค์ของเทพยดา เทพยดาเพียงมีความปรารถนาเล็กน้อยสิ่งหนึ่ง ต้องการให้ข้าเป็นตัวแทนเขาบนโลกมนุษย์ กระทำความดีเล็กน้อยให้ราษฎร พวกเจ้ามนุษย์ธรรมดาเหล่านี้กลับกล้าหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยง เหยียดหยามโองการเทพ!” 


 


 


คนส่วนหนึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม ฝ่ายพวกเซวียนหยวนจิ้งไม่พอใจโกรธเคือง ทว่าหาวาจามาโต้แย้งไม่ได้ไปชั่วครู่ 


 


 


“ข้าคงไม่โต้แย้งกับพวกเจ้าแล้ว” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “พวกเจ้ามองเห็นคำพยากรณ์เทพ ได้ยินความปรารถนาของเทพแล้ว หากปฏิเสธดึงดันทำตามใจ ขั้นต่อไปย่อมเป็นการลงโทษต่อพวกเจ้า เฉกเช่นตระกูลซัง…” นางหันไปทางซังต้งทันที กล่าวสืบต่อว่า “ฉะนั้นเทพจะเรียกคืนพระคุณที่มีต่อตระกูลพวกเจ้าแล้ว” 


 


 


“เจ้าเอ่ยว่าเรียกคืนย่อมเรียกคืนหรือ?” ซังต้งยิ้มเยาะ เอ่ยว่า“เจ้าเอ่ยว่าเทพเลือกเจ้าใหม่อีกครั้งย่อมเป็นเจ้าหรือ? เจ้าเห็นว่าขุนนางสำคัญเกรียงไกรที่อยู่ในราชสำนักนี้เป็นเด็กน้อยให้เจ้าหลอกลวงหรือ?” 


 


 


“ผู้ใดหลอกลวงชาวโลกหลายปีรู้อยู่แก่ใจ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มปรีดาแตะคางนางครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “แน่นอนว่าข้ามีสิ่งพิสูจน์” นางหันไปทางฝูงขุนนาง กล่าวว่า “หากภายในสามวันฟ้าผ่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ จะพิสูจน์ได้ว่าเทพเรียกคืนพระคุณที่มีต่อตระกูลซังแล้วใช่หรือไม่?” 


 


 


ทุกคนนิ่งเงียบ หวังโต้แย้งทว่าหาเหตุผลไม่ได้ ตระกูลซังถือสายฟ้าผันผ่านไม่ผ่าตนเป็นพระคุณ หากฟ้าผ่า พระคุณย่อมหายไปแล้ว 


 


 


ฉังฟังเอ่ยว่า “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ซังต้งจ้องเขาอย่างรุนแรงปราดหนึ่ง ตาเฒ่าไม่เปลี่ยนสีหน้า 


 


 


“หากข้าสะสมสายฟ้าที่จะผ่าหอคอยสูงไว้ได้ คราวนี้คงพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่ได้รับพระคุณคือข้าใช่หรือไม่?” 


 


 


ทุกผู้คนต่างตกตะลึง 


 


 


สะสมสายฟ้า หมายความว่าอะไร? 


 


 


เดิมทีฝ่ายพวกเซวียนหยวนจิ้งคาดการณ์ว่าวาจาต่อไปของจิ่งเหิงปัวหากเอ่ยว่าหอคอยสูงถูกฟ้าผ่าย่อมพิสูจน์ได้ว่านางคือผู้ถูกเทพประทานเลือกคนใหม่ พวกเขาต้องโต้แย้งครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างแน่นอน ทว่าพอได้ยินวาจาประโยคหนึ่งนี้ อดจะชะงักงันไม่ได้ 


 


 


ไม่ว่าอย่างไร การสะสมสายฟ้าเป็นพฤติกรรมเหลือเชื่อ หวังปฏิเสธว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ปาฏิหาริย์คงไม่ได้ 


 


 


เพียงแต่… 


 


 


ซังต้งยังอยากโต้แย้ง เซวียนหยวนจิ้งหยุดยั้งนางไว้ ยิ้มเยาะมองทางจิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “ฝ่าบาทตรัสวาจาโอ้อวดยิ่งใหญ่นัก” 


 


 


“เอ่ยวาจาไม่ยิ่งใหญ่จะนับว่าเป็นปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเพียงน้อย 


 


 


“หากพระองค์ทรงทำไม่ได้?” 


 


 


“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” 


 


 


“เช่นนั้นเชิญฝ่าบาทเสด็จไปดูแลพระองค์ยามชราที่ลุ่มน้ำเฮยสุ่ยเถิด” 


 


 


“เรื่องนี้…” 


 


 


วาจาหลายประโยคก่อนหน้าง่ายดายเด็ดขาด ยามเอ่ยถึงลุ่มน้ำเฮยสุ่ย จิ่งเหิงปัวกลับลังเลไปเล็กน้อย ผุดเผยสีหน้าไม่แน่ใจออกมา คล้ายนึกไม่ถึงว่าบทลงโทษจะโหดร้ายเช่นนี้ มีความนัยว่าอยากถอนตัวออกกลางคัน 


 


 


เดิมทีซังต้งเห็นท่าทางนางได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ในใจไม่สบายใจ ยามนี้เห็นนางลังเล จึงรู้ว่าในใจนางอ่อนแอเช่นกัน แลไร้ความมั่นใจเต็มเปี่ยม มีชีวิตชีวาฮึกเหิมฉับพลัน ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ตระกูลซังของหม่อมฉันกล้ารับเรื่องนี้เป็นสัญญาเดิมพัน หากฟ้าผ่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ย่อมต้องถวายตำแหน่งกองเซ่นไหว้คืน ฝ่าบาทตรัสวาจามั่นพระทัย ยามนี้กลับทรงไม่กล้ารับแล้วได้อย่างไร?” 


 


 


“รับก็รับ ผู้ใดกลัวกันเล่า?” จิ่งเหิงปัวทำท่าทางทนการยั่วยุไม่ไหว อ้าปากตอบรับ แต่มองหอคอยสูงไกลห่างแวบหนึ่งอย่างไม่สบายใจอยู่บ้าง 


 


 


ซังต้งวางใจลงมาบ้างแล้ว นางไม่เชื่อวาจาที่เอ่ยว่าสะสมสายฟ้า สำหรับเรื่องฟ้าผ่า แน่นอนว่านางรู้สาเหตุที่หอคอยสูงตระกูลตนไม่ถูกฟ้าผ่า ตัดสินใจเนิ่นนานแล้วว่าภายในสามวันจะเพิ่มกำลังการป้องกัน ใช้สอยผู้มีฝีมือสูงจนสิ้น ต้องให้แม้แต่มดตัวหนึ่งยังไร้หนทางประชิดใกล้หอคอยสูง หากจิ่งเหิงปัวหวังจะไปก่อเรื่องที่หอคอยสูงหรือสะสมสายฟ้าจริง ต้องให้นางไปได้กลับไม่ได้! 


 


 


“หากข้าทำได้ เช่นนั้นความต้องการจะฟังการเมืองของข้าก่อนหน้านี้ พวกเจ้าคงไม่มีเหตุผลต่อต้านอีกแล้วกระมัง?” จิ่งเหิงปัวเคาะโต๊ะ 


 


 


ทุกคนมองกันปราดหนึ่ง รู้สึกว่าราชินีไม่อาจทำได้สำเร็จ ต่อให้สำเร็จก็เป็นเพียงการฟังการเมือง แลมิใช่การเข้าร่วมการเมืองอภิปรายการเมืองหรือกระทั่งตัดสินใจเรื่องแคว้น คล้ายไม่มีสิ่งใดสลักสำคัญ ยิ่งกว่านั้นราชินีดูท่าทางไม่ธรรมดาทีเดียว หากเสนอคำแนะนำสมเหตุสมผลต่อภารกิจปากท้องของราษฎรต้าฮวงได้จริง คล้ายว่าคงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย 


 


 


มีเพียงเซวียนหยวนจิ้งและเฟยหลัวไม่กี่คนที่ขมวดหัวคิ้วแน่น พวกเขาคงไม่ได้คิดง่ายดายเช่นนี้เป็นแน่ เขื่อนยาวพันลี้พังราบเพราะรังมด การกลืนกินอำนาจใดๆ เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยไม่สะดุดตาทั้งนั้น เริ่มแรกคือฟังการเมือง ต่อมาอาจจะยุ่งเกี่ยวการเมือง กระทั่งเข้าร่วมการเมืองอภิปรายการเมือง หากได้เริ่มต้นขึ้นก็อาจจะห้ามเรื่องต่อมาไม่ได้ 


 


 


อย่างไรเสียความคิดเห็นส่วนบุคคลอ่อนแอเสมอในความเห็นของกลุ่ม ยิ่งกว่านั้นแม้ว่ากำลังของตระกูลเซวียนหยวนจิ้งมีมากมายมหาศาล ทว่าเป็นเพียงขุนนางที่ปรึกษา เฟยหลัวเป็นเสนาหญิงแคว้นเซียง มีอำนาจฟังการเมืองทว่าไร้อำนาจตัดสินเรื่องแคว้นในราชสำนัก แต่ไหนแต่ไรมาอำนาจที่แท้จริงยึดกุมในมือของกงอิ้นรวมทั้งผู้สนับสนุนของเขาทั้งสิ้น 


 


 


ส่วนเหล่าผู้ใต้บัญชาของกงอิ้นกลับไม่มีกะจิตกะใจด้วยเพราะวันนี้กงอิ้นไม่อยู่ ซ้ำยังเห็นว่าสัญญาเดิมพันครั้งหนึ่งนี้ ไม่แน่ว่าราชครูตั้งใจหลอกลวงราชินีให้ติดกับ พอถึงยามนั้นจัดการราชินีในครั้งเดียวกันเล่า? 


 


 


ทุกคนต่างยอมรับอย่างสงบเงียบ มีเพียงฉังฟังเอ่ยอย่างเปี่ยมด้วยพลังว่า “ย่อมไม่มีข้อคิดเห็นแย้งใดอีกเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ทุกคนต่างรู้สึกว่าตาเฒ่าน่ารำคาญนัก จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยี รู้สึกว่าตาเฒ่าโคตรน่ารักเลย 


 


 


“เช่นนั้น นำสมุดของวันนี้ออกมาก่อนเถิด” จิ่งเหิงปัวแบฝ่ามือสีขาวราวหิมะออก กล่าวว่า “ข้าเก็บแทนราชครูก่อนแล้วกัน” 


 


 


ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดอีกครั้ง ไม่อยากจะส่งให้ คล้ายว่าการต่อต้านอีกครั้งในยามนี้ไม่มีความหมาย อย่างไรเสียภายในสามวันพอมีเวลาให้ตัดสินใจ พอถึงยามนั้นราชินีรับผิดชอบแล้วไสหัวไปหรือนั่ง ณ ที่แห่งนี้อย่างมั่นคง ยามนี้ให้นางได้สัมผัสสักหน่อย คงไม่อาจตัดสินสถานการณ์ใหญ่ได้ 


 


 


ทุกคนทยอยเสนอเรื่องที่ตนเองต้องการอภิปรายออกมา มอบสมุดมาให้ จิ่งเหิงปัวไม่กล่าวอะไร,เพียงแค่ฟังอย่างตั้งใจ วิเคราะห์จดจำอย่างเงียบเชียบในใจ 


 


 


ขุนนางที่นั่งอยู่หลายคนมองหน้ากัน เก็บหัวข้อสนทนาที่เดิมทีอยากจะเอ่ยไว้ เดิมทีวันนี้ขุนนางฝ่ายเหยียลี่ว์ฉีตั้งใจจะโต้กลับ จะช่วยเหยียลี่ว์ฉีออกมาจากการสืบสวนของสำนักเจาหมิง ทว่าวันนี้กงอิ้นไม่อยู่ ราชินีกระทำหน้าที่แทน เอ่ยเรื่องนี้กับราชินีไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ได้แต่ระงับอารมณ์เอาไว้ 


 


 


เหมิงหู่ร่นถอยไปทางหนึ่ง เบื้องลึกนัยน์ตามีแววประหลาดใจเบาบาง 


 


 


เขานึกไม่ถึงว่าภายใต้ความเสียเปรียบอย่างเด็ดขาดไร้ความช่วยเหลือแม้เพียงน้อย สุดท้ายแล้วฝ่าบาทจะนั่งลงบนตำแหน่งของที่แห่งนี้อย่างมั่นคงให้เหล่าขุนนางดำเนินการอภิปรายงานราชการล้อมรอบนางได้จริง  


 


 


นี่คือเรื่องที่ราชินีองค์ก่อนพยายามอยากกระทำทว่ากระทำไม่ได้มาโดยตลอด แลเป็นเรื่องที่ราชินีไม่น้อยกว่าสิบพระองค์ครุ่นคิดวิธีการต่างๆ หวังกระทำด้วยความคิดไม่พอใจ ทว่าต่างกระทำไม่ได้นับแต่ต้าฮวงสถาปนาแคว้นหลายร้อยปี 


 


 


ยามได้รับคำสั่งลับของราชครู เขาประหลาดใจยิ่งนัก รู้สึกว่าเรื่องนี้คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ถึงขนาดจัดวางกำลังองครักษ์ตระเตรียมชิงตัวจิ่งเหิงปัวออกมาภายใต้สถานการณ์ที่เหล่าขุนนางลงมือด้วยความตึงเครียด 


 


 


ผลลัพธ์คือยามนี้เขามองดูจิ่งเหิงปัวที่นั่งอยู่บนตำแหน่งของกงอิ้น ยิ้มแย้มจริงใจเอ่ยวาจากับเหล่าขุนนาง ดุจอยู่ในความฝัน 


 


 


เหลือเชื่อ 


 


 


เขาพลันถอนหายใจเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงข้อเท็จจริง อย่างไรเสียสายตาของราชครูเลิศล้ำเสมอ 


 


 


เพียงทว่า… 


 


 


ในใจเขาเฉียดผ่านด้วยความเป็นกังวลสายหนึ่ง ถอนใจไร้สุ้มเสียงภายในเบื้องลึกของจิตใจ 


 


 


… 


 


 


ยามขุนนางเลิกการประชุมที่จิ้งถิง จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ โบกมือส่งแขกด้วยรอยยิ้มตาหยี 


 


 


“ครั้งหน้าทุกท่านอย่าลืมมาให้ตรงเวลานะ!” นางไม่ลืมกำชับ 


 


 


ทุกคนแบะปาก…เอ่ยคล้ายว่าต่อไปนี้นางจะได้อภิปรายการเมืองที่นี่แล้วกระนั้น 


 


 


รอให้คนสุดท้ายเดินออกนอกประตู จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ฟ้าแลบพลันมืดพลันสว่างสายหนึ่งกำลังแบ่งแยกชั้นเมฆสีเทา จมดิ่งสู่ขอบฟ้าแล้วสูญหายดุจอสรพิษตัวหนึ่งในฉับพลันนั้น 


 


 


“เจ้าว่ายามใดข้าจะได้กลายเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า?” นางหันหน้าถามเจ้าหมาโง่ที่กระโดดขึ้นบนโต๊ะ 


 


 


“วันนี้นี่ล่ะ! วันนี้นี่ล่ะ!”  

 

 


ตอนที่ 63 - 1 สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่

 

เมฆคล้ำสีเทาดั่งทิวแถวค่อยๆ เคลื่อนคล้อยครึ่งท้องฟ้า แผ่สีเทาลึกล้ำหนักแน่นผืนหนึ่งคลุมลานบ้านของสำนักเจาหมิง 


 


 


สำนักเจาหมิงที่ใช้สำหรับคุมตัวขุนนางระดับสูงมาดำเนินการสอบสวนโดยเฉพาะ ทำให้ขุนนางในราชสำนักต้าฮวงได้ยินชื่อแล้วหน้าถอดสีแห่งนี้ ยามนี้สงบเงียบเชียบ เพียงเปิดหน้าต่างห้องข้างโถงในลานบ้านแห่งหนึ่งซึ่งติดกับทางหลักไว้ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่เบื้องหน้าหน้าต่าง กำลังยกนิ้วมือทำกรอบสี่เหลี่ยมกรอบหนึ่งเผชิญเมฆดำริมขอบฟ้า ดูท่าทางประหนึ่งกำลังคำนวณระยะทางที่เมฆดำเคลื่อนถึงหน้าต่าง 


 


 


บนศีรษะพลันแว่วเสียงนกร้องเสียงหนึ่ง เขาเงยหน้า ฝุ่นละเอียดร่วงหล่นจากบนคานขวาง ทว่าฝุ่นธุลีแลดูใหญ่กว่าปกติ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีแบมือรับ “ละอองธุลี” ละอองหนึ่งไว้ในฝ่ามือ ละอองธุลีร้าวสลาย ผุดเผยเศษกระดาษแผ่นน้อย 


 


 


“กงอิ้นไม่มา ราชินีจัดการแทน” 


 


 


เศษกระดาษรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จิ้งถิงในวันนี้ 


 


 


หัวคิ้วของเหยียลี่ว์ฉีเชิดความประหลาดใจสามส่วนออกมาเล็กน้อย 


 


 


จากนั้นเขาหลับตาลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ลืมตาขึ้นโดยพลัน 


 


 


ปราดแรกมองไปทางวังบรรทมของกงอิ้นในจิ้งถิง 


 


 


เขาเดินไปทางทิศทางนั้นหลายก้าวคล้ายกำลังคิดคำนวณ จากนั้นนิ้วมือเคาะบานประตู เสียงยาวครั้งหนึ่งเสียงสั้นสองครั้ง 


 


 


ผ่านไปไม่นาน หลังบานประตูปรากฏเงาคนผู้หนึ่งปานภูตพราย มองการแต่งกายแล้วคือขุนนางของสำนักเจาหมิง ทว่าก้มเอวโค้งกาย ไม่เห็นหน้าตา 


 


 


สองมือเขายื่นมีดน้อยเรียวบางเล่มหนึ่งมาให้ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีรับมา รอยยิ้มความรู้สึกเสียใจหลายส่วน หัวเราะแผ่วเบาเอ่ยว่า “ทนหน่อยนะ” 


 


 


คนผู้นั้นดั่งซาบซึ้งใจ พยักหน้าหันกาย ถลกสาบเสื้ออย่างนิ่งเงียบ ผุดเผยหลังเอว 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเจ็บปวดใจ ทว่าลงมือไม่เลยแม้แต่น้อยลังเล มีดน้อยทอดลงบนผิวกาย สลักเป็นอักษรโลหิต 


 


 


ในช่วงเวลาที่สำนักเจาหมิงกำลังมีขุนนางถูกไต่สวน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก หากมีผู้มีเรื่องเร่งด่วนจะออกไปข้างนอก ต้องดำเนินการตรวจค้นร่างกาย 


 


 


กฎเกณฑ์ของกงอิ้นเข้มงวดกวดขันตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้เป็นเจ้าสำนัก จะออกไปยามนี้ยังต้องตรวจค้น ซ้ำยังจำต้องถอดผ้าล่อนจ้อน 


 


 


เพียงแต่เวลาผ่านไปนาน ทุกผู้คนต่างคุ้นหน้าคุ้นตา คำสั่งบางอย่างย่อมปฏิบัติอย่างไม่ละเอียดลึกซึ้งจนเกินไปนัก แม้ไม่กล้าฝ่าฝืน ทว่าปกติแล้วจะไว้หน้าสหายร่วมอาชีพอยู่บ้าง เช่น เหลือผ้าเตี่ยวสักผืนอะไรนั้น 


 


 


รอยอักษรหลังเอวค่อยๆ ปรากฏ 


 


 


“กงอิ้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง คืนนี้ลองไปหยั่งเชิงได้” 


 


 


ซ้ำยังมีเครื่องหมายเล็กกระจ้อยเครื่องหมายหนึ่ง 


 


 


สลักเสร็จแล้วเช็ดโลหิตออกไป บุรุษนั้นล้วงผงยาออกมาสาดเองเพียงครั้ง รอยโลหิตจางลง แม้แต่รอยสลักยังไม่ค่อยชัดเจนแล้ว เช่นนี้รับรองว่าจะไม่มีรอยโลหิตเปื้อนเปรอะจนถูกผู้อื่นพบเจอ 


 


 


“จะต้องถ่ายทอด คว้าโอกาสไว้ พบความผิดปกติ ลงมือเด็ดขาด” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ย 


 


 


บุรุษพยักหน้า เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ 


 


 


พละกำลังลับซึ่งเป็นของเหยียลี่ว์ฉีต่างเป็นการสื่อสารทางเดียว การบรรยายด้วยปากของจารชนจากสำนักเจาหมิงผู้หนึ่งย่อมไม่อาจได้รับความเชื่อถือ สลักอักษรบนผิวกายและหลงเหลือสัญลักษณ์ของเหยียลี่ว์ฉีไว้ ถึงจะโยกย้ายพละกำลังเกรียงไกรซึ่งเป็นของเขาได้ 


 


 


หลังส่งจารชนนั้นเดินออกไป เหยียลี่ว์ฉีเงยหน้ามองเมฆดำ แสงสลัวสีเทาแพร่ขยายไปเกินครึ่งขอบฟ้าเสียแล้ว 


 


 


“คืนนี้นี่แล” เขาเอ่ย 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวรีบเดินกลับสู่วังบรรทมของตนเอง ปิดประตูเอาไว้ ห้ามไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามา 


 


 


นางนั่งลงบนเตียง เฟยเฟยกระโจนขึ้นบนหัวเข่าของนาง 


 


 


“เฟยของข้า” จิ่งเหิงปัวกอดมันไว้ ชี้ไปยังหอคอยสูงไกลโพ้น กล่าวว่า “คืนนี้ไปที่นั่น ทำลายของสิ่งหนึ่งให้พี่หน่อย” 


 


 


นางทำสัญญาณมือท่าทำลายล้าง หยิบปากกาขึ้นมาวาดสิ่งของรูปทรงกระบอกยาวสิ่งหนึ่งลงบนกระดาษ 


 


 


“คงจะมีรูปร่างประมาณนี้ สั้นยาวยากจะเอ่ย ทว่าคงจะไม่สั้นนัก ผลิตจากโลหะ หรืออาจจะเป็นรูปทรงอื่น สรุปคือจำต้องผลิตจากโลหะเสมอ ขอเพียงเจ้ามองเห็นเส้นเหล็กเส้นลวด นั่นคงจะเป็นของสิ่งนี้แล้ว ของสิ่งนี้น่าจะอยู่บนสุดของหอคอยสูง หรือคือที่ซึ่งเล่าขานกันว่าองครักษ์ป้องกันต่อเนื่องตลอดวันตลอดคืน” 


 


 


“สิ่งนี้คือสายล่อฟ้าแท่งหนึ่ง คืออุปกรณ์สำคัญที่ปกป้องไม่ให้หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกฟ้าผ่า ข้าไม่รู้ว่าตระกูลนางได้วิธีการลับใดมาหรือว่าบรรพบุรุษเคยมีผู้ทะลุมิติคนหนึ่ง อย่างไรเสียสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์คงจะเป็นสิ่งนี้” จิ่งเหิงปัวพูดจ้อข้างหูเฟยเฟยว่า “คืนนี้นางต้องส่งคนมากมายมาป้องกันเป็นแน่ ไม่อาจส่งผู้หนึ่งผู้ใดไปทิ้งชีวิต ถึงต้องให้เจ้าไป ต้องการให้ข้าส่งเจ้าหมาโง่ไปช่วยเหลือเจ้าหรือไม่?” 


 


 


เฟยเฟยส่ายหน้าสุดชีวิต…ช่างมันเถิด โลกมนุษย์มีหมาโง่ ย่อมต้องมีความดวงซวย 


 


 


“เช่นนั้น สัตว์ประหลาดน้อยอันตรายเจ้าเล่ห์แสร้งน่ารักแสร้งโง่เขลาของข้า!” จิ่งเหิงปัวตบศีรษะใหญ่ของมันครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “หลังจากพายุฝนตกลงมา ไปเลย! ไปถอนเจ้าหนึ่งเสาทลายฟ้าลงมาเถิด!” 


 


 


… 


 


 


เฟยเฟยส่ายหางขนาดใหญ่กระโจนออกไปอย่างปราดเปรียว 


 


 


จากนั้นจิ่งเหิงปัวจึงขึ้นเตียงตระเตรียมนอนหลับแล้ว 


 


 


ซังต้งจะจัดวางกำลังคนมากแค่ไหนมารับมือนาง ต่างสิ้นเปลืองแผนการโดยเปล่าทั้งสิ้น นางเป็นราชินี เคยเห็นราชินีเข้าสู่สนามรบด้วยตนเองเหรอ? 


 


 


นางเอนกายลงอย่างสบายอกสบายใจ นึกถึงคราวจิ้งอวิ๋นมาเล่าว่าหลังจากมามาผู้ชี้นำมาถึงแล้ว ถูกจื่อหรุ่ยถามจนเหงื่อท่วมหน้า ต่างรีบเร่งกลับไปเปิดคัมภีร์พระราชวังกับคัมภีร์พิธีการแล้ว พลันหัวเราะอย่างสบายใจยิ่งขึ้น 


 


 


แล้วรอคอยอีกสักครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าคงไม่มีใครไปขอเข้าพบที่จิ้งถิงอีก นางลุกขึ้นเดินไปทางจิ้งถิง อยากจะไปว่าดูกงอิ้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว 


 


 


เมื่อผ่านประตูข้าง นางมองเห็นประตูที่ไปสู่ทางหลักกับสำนักเจาหมิงปิดแง้มอยู่ ในใจกระตุกวูบ อดจะผลักออกสักหน่อยไม่ได้ 


 


 


ประตูเปิดออกเพียงน้อย มองเห็นประตูใหญ่สำนักเจาหมิงเปิดออกพอดี มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา นางยังนึกว่าเป็นเหยียลี่ว์ฉี พอมองโดยละเอียดเป็นแค่ขุนนางคนหนึ่ง หลังจากคนนั้นออกมาแล้ว มองเห็นทางหลักไร้เงาคนถึงหันกายปิดประตู หลังจากปิดประตูแล้วสองมือกุมหลังเอวครั้งหนึ่งโดยสำนึก บนใบหน้าเจือด้วยสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าท่าทางนี้แปลกประหลาด จากนั้นคิดแล้วอาจจะเจ็บหลังมั้ง? 


 


 


ในเมื่อไม่ใช่เหยียลี่ว์ฉี นางก็วางใจแล้ว ปิดประตูแล้วไปจิ้งถิงทางประตูข้างอีกบานหนึ่ง 


 


 


คราวนี้คุ้นเคยเส้นทาง มุ่งตรงไปยังห้องนอนของกงอิ้น แวบหนึ่งมองเห็นตำหนักใหญ่ยังเป็นปกติ คล้ายว่าแม้แต่ท่วงท่าเอนกายของกงอิ้นยังไม่เปลี่ยนแปลง อดจะแบะปากอย่างหมดสนุกไม่ได้ 


 


 


พอเดินเข้าไปมองดูใกล้ๆ ถึงพบว่ากงอิ้นไม่ได้กำลังนอนหลับ เขาหลับตาลงเพียงน้อย สีหน้าสงบนิ่ง ทว่ากลางหน้าผากผุดเผยสีผลึกน้ำแข็งหิมะผืนหนึ่งออกมาเลือนราง ควันขาวเบาบางผืนหนึ่งลอยสูงขึ้น ที่ซึ่งเว้าลงด้วยกระดูกไหปลาร้าประสานกันและบนหน้าอกของเขามีควันขาวลอยขึ้นสูงเช่นเดียวกัน กลางควันขาวมีสีครามเจือจางรำไรดั่งไร้รูปร่าง ควันสามสายค่อยๆ ลอยขึ้นเชื่องช้า สุดท้ายแล้วต่างลอยเข้าสู่ภายในศิลาขาวขนาดมหึมาทรงประหลาดบนเพดานก้อนนั้น ในศิลาขาวคล้ายมีควันหลั่งไหลลงมาอีกครั้ง คราวนี้คือลมปราณสีขาวบริสุทธิ์ ซึมแทรกสู่หว่างคิ้ว คอหอยและหน้าอกของกงอิ้น บนล่างแลกผสาน ทอดยาวไม่หยุดหย่อน 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ เหมือนกงอิ้นกำลังขับพิษ หรือกล่าวว่าพิษคงไม่เหมาะสม เทียนซือซั่นไม่ใช่พิษ ไม่มียาถอนพิษ หรือกงอิ้นกำลังขับไล่สิ่งสกปรกที่ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งหมดในร่างกาย สลายเป็นไอควันสีครามจางแบบนั้น ส่วนศิลาขาวนั้นมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับเครื่องฟอกอากาศ สูดสิ่งสกปรกเข้าไป หลังจากชำระล้างทำความสะอาดแล้วสลายเป็นปราณแท้บริสุทธิ์เป็นประโยชน์ ให้กงอิ้นสูดกลับสู่ร่างกาย 


 


 


แววตาของจิ่งเหิงปัวทอดลงบนชุดผ้าไหมที่บางจนแทบจะโปร่งแสงของเขาอีกครั้ง ในที่สุดจึงเข้าใจว่าทำไมเจ้าผู้หลีกเลี่ยงละเว้นคนนี้ถึงได้สวมใส่เสื้อผ้ายั่วยวนทรงเสน่ห์ขนาดนี้ในวังบรรทมของตนเอง แท้จริงแล้ววิธีฝึกฝนปราณแท้ชนิดนี้ของเขา ต้องการการแลกเปลี่ยนลมปราณโดยตรงระหว่างร่างกายกับศิลาขาว ถ้าสวมเสื้อผ้าหนาไปจะขับไอควันออกมาทั้งหมดได้อย่างไร? ตามจริงแล้วไม่สวมเลยสักชิ้นถึงได้ประสิทธิผลดีที่สุด เขาคงจะไม่ยินยอมถึงได้สวมเสื้อผ้าที่สวมแล้วเหมือนไม่ได้สวมขนาดนี้ชุดหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าเสียดาย เฮ้อ จะนอนแก้ผ้าก็นอนแก้ผ้าไปสิ ให้คนมองดูเนื้อหนังตั้งไม่น้อยแล้ว โหดร้าย! 


 


 


แต่วิธีฝึกฝนวรยุทธ์ของมหาเทพมหัศจรรย์มาก จิ่งเหิงปัวมีความรู้สึกแปลกประหลาดชนิดหนึ่งต่อคำว่า “ปัญญาหิมะ” สองคำนี้เสมอ รู้สึกว่าหากชื่อของวรยุทธชนิดหนึ่งเป็นเอกลักษณ์ คงจะต้องมีที่ซึ่งผิดปกติด้วยอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าสิ่งต้องห้ามของวรยุทธนี้อยู่ตรงไหน 


 


 


นางกำลังจ้องมองหน้าอกของคนอื่นแล้วฝันกลางวันเชื่อมโยงกัน กงอิ้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาดุจหยกดำดั่งธารสงบกลางเหวลึก ทะเลสาบเงียบเชียบไร้คลื่น มองจนจิ่งเหิงปัวสะท้านในใจ  

 

 


ตอนที่ 63 - 2 สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่

 

จากนั้นนางภาคภูมิใจขึ้นมา นั่งลงข้างกายเขาเชื่องช้า กล่าวว่า “วันนี้ข้า…” 


 


 


“ยินดีด้วย” เขาเอ่ย 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักงัน ที่แท้เขารู้แล้ว เขาติดตามความเคลื่อนไหวในห้องหนังสือของจิ้งถิงอย่างใกล้ชิดโดยตลอดเลยใช่ไหม? 


 


 


“มีความรู้สึกแปลกประหลาดใดหรือไม่?” นางจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวว่า “ไม่กลัวความทะเยอทะยานของข้าพวยพุ่ง สุดท้ายแล้วแย่งชิงตำแหน่งและอำนาจของเจ้าหรือ?” 


 


 


“หากเจ้ามีความสามารถนี้ มาแย่งชิงได้เลย” 


 


 


“ระวังเถิดถือดีมากเกินไปจะพลาดท่าเสียที” จิ่งเหิงปัวเชิดคางครั้งหนึ่ง 


 


 


กงอิ้นนั่งขัดสมาธิ นิ้วมือกวักเพียงครั้ง ผ้าคลุมสีขาวราวหิมะผืนหนึ่งบนชั้นวางข้างเคียงร่วงหล่นเชื่องช้า เขาหลับตาปรับปราณ 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูผ้าคลุมหนานั้นอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย จากนั้นดีอกดีใจขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าหายดีแล้วหรือ? ยังไม่ถึงสิบสองชั่วยามเลยนะ” 


 


 


“ทำได้เพียงท่วงท่าง่ายดาย หากหวังฟื้นคืนโดยสมบูรณ์ เกรงว่าคงต้องถึงเที่ยงคืน” 


 


 


“ข้าจำได้ชัดเจนว่ายามเย็นเมื่อวานเจ้าดื่มน้ำแกงแล้ว” จิ่งเหิงปัวคำนวณชั่วยามแล้วผิดปกติ 


 


 


“เกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ทำให้เสียเวลา” เขาชำเลืองตามองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดโดยไม่มีความละอายเลยแม้แต่น้อยว่าคงเป็นเมื่อคืนนางบุกเข้ามาขวางครั้งหนึ่งนั้น 


 


 


“หลายคืนนี้ซังต้งคงต้องเฝ้าดูแลหอคอยสูงเข้มงวดกว่าเดิม ผู้วิเวกตระกูลซังมีชื่อเสียงสะท้านตี้เกอ ไม่อาจดูแคลนกำลังการรบ” กงอิ้นเอ่ยโดยพลัน 


 


 


“เจ้ากำลังเตือนข้าหรือ? หวังดีขนาดนี้เชียว?” จิ่งเหิงปัวมองเขาด้วยหางตา คล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม 


 


 


“ทว่าข้ารู้สึกว่าเจ้าคงไม่ไปด้วยตนเองด้วยซ้ำ” กงอิ้นไม่ตอบรับหัวข้อสนทนาของนาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่มีอะไรจะกล่าวกับสติปัญญาของมหาเทพกงเลย หัวเราะฮิฮิ เอนกายข้างหมอนเขาอย่างเกียจคร้านแล้ว กล่าวว่า “การฆ่าไก่จะใช้มีดสวยงามเช่นข้านี้ได้อย่างไรเล่า? เฟยเฟยก็พอแล้ว” 


 


 


“ทดสอบเจ้าหน่อย” นางยื่นมือดึงผ้าคลุมของกงอิ้น กล่าวว่า “เจ้าทายสิว่าข้าจะทำอย่างไร? เจ้าทายสิว่าเหตุใดหอคอยสูงของตระกูลซังถึงหลบเลี่ยงฟ้าผ่าได้?” 


 


 


กงอิ้นยื่นมือคว้าชายผ้าของตนเองกลับมาจากมือนางก่อน…หากไม่สนใจอีกประเดี๋ยวคงล่อนจ้อนแล้ว พลางเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ส่วนยอดของหอคอยสูงคงจะฝังสิ่งที่สามารถป้องกันอสนีบาตไว้” 


 


 


“เก่ง!” จิ่งเหิงปัวปรบมือ กล่าวว่า “เจ้ารู้จริงด้วย” 


 


 


“ยามข้าอยู่ที่ต้าเยียน เคยเดินทางผ่านพระราชนิเวศน์แห่งหนึ่ง มองเห็นชายคาสองฝั่งมีเศียรมังกรเชิดขึ้น โอษฐ์มังกรมีลิ้นทองแดงยื่นคดเคี้ยวออกไปทางท้องนภา ข้าเดาว่าสิ่งนี้คงจะเป็นสิ่งที่ตอบรับสายฟ้าแลบ ภายใต้โคนลิ้นในโอษฐ์มังกรคงต้องมีเส้นทองแดงหรือเส้นเหล็กทะลุไปสู่พื้นดิน นำพาสายฟ้าไป” 


 


 


“เก่งมาก!” จิ่งเหิงปัวปรบมืออีกครั้ง ต้องยอมรับว่าสติปัญญาของกงอิ้นนับว่าล้ำเลิศ นางน่ะไม่เคยสังเกตเลยว่าต้าเยียนใช้สอยต้นแบบของสายล่อฟ้ามานานแล้ว 


 


 


“แท้จริงแล้วเคยมีหมอผีทูลเสนอปฐมจักรพรรดิให้วางกระเบื้องทองแดงทรงหางปลาบนยอดหลังคาของพระราชวัง สามารถป้องกันเพลิงสวรรค์ที่เกิดจากสายฟ้าได้ เสียดายว่าหมอผีท่านนั้นบังเอิญถูกฟ้าผ่าสิ้นชีพยามจัดวางกระเบื้องทองแดง คำเสนอแนะของเขาจึงกลายเป็นคำสาปแช่งอัปมงคล ไม่มีผู้ใดกล้าลองกระทำเช่นนั้นอีกเลย ภายหลังถึงได้ช่วยเหลือให้ตระกูลซังสมหวัง” 


 


 


“ควรจะจบสิ้นแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มหยาดเยิ้ม 


 


 


“ตระกูลซังมีฐานะเป็นตระกูลกองเซ่นไหว้ มีอำนาจโยกย้ายทหารองครักษ์มากกว่าสามร้อยนายดำเนินการปกป้องหอคอยสูงยามอันตรายทุกขณะ ฉะนั้นภายในสามวันนี้ ตระกูลซังมีพรรคพวกอยู่ในวังไม่น้อย หากหอคอยสูงถูกฟ้าผ่าจริง” กงอิ้นมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ระวังซังต้งกระทำการเลวร้ายด้วยจนตรอก” 


 


 


“เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวงอขาขึ้นข้างหนึ่ง ข้อศอกค้ำบนเข่า ไม่พบเห็นความร้อนรนบนใบหน้า ยิ้มแย้มจ้องมองเขา 


 


 


ตำหนักใหญ่แสงหม่นมืดมัว ทว่านางกลับสว่างไสวกลางส่วนลึกของแสงมัวสลัว เจิดจ้าพราวแพรวจากนัยน์เนตรถึงปลายเล็บ รอยยิ้มครึ่งหนึ่งคือความเป็นธรรมชาติยามยั่วเย้าแดนมนุษย์ อีกครึ่งหนึ่งคือความกล้าหาญแข็งแกร่งเกรียงไกร 


 


 


แววตาของกงอิ้นทอดลงสู่ริมฝีปากแดงที่แบะขึ้นมาเพียงน้อยโดยไม่รู้ตัวของนาง ในใจหวั่นไหวสะท้าน อดจะเบนสายตาออกไม่ได้ 


 


 


ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่วบางเพิ่มพูนในพริบตาเดียว กลบกลืนการใคร่ครวญโดยละเอียด 


 


 


สตรีนางนี้ นางคล้ายไร้ดวงใจ ทว่ายังมีดวงใจ 


 


 


นางสวยสดงดงาม หลงระเริง หอมหวน แลไม่สงวนตนที่จะประชิดใกล้ทุกผู้คน แสดงความสวยสดงดงามหอมกรุ่นของนางอย่างกระตือรือร้น ยามทุกผู้คนถูกเสน่ห์ของนางดึงดูดจนแววตาตามติดอย่างควบคุมไม่ได้ นางอาจจะเบนสายตาออกไปตามใจชอบอีกครั้งแล้ว 


 


 


นางมักใกล้ชิดเช่นนี้เสมอ ถึงขนาดที่เขาไม่อาจจำแนกว่าท่วงท่าอย่างไรของนางถึงเป็นความหวั่นไหวอย่างแท้จริง รอยยิ้มนุ่มนวลเหล่านั้น คิ้วที่เชิดขึ้น สายตาหยาดเยิ้มที่ชม้ายมาและท่วงท่าที่สนิทสนมคล้ายว่าสามารถมอบให้ทุกผู้คนที่นางมองแล้วสบายตา คล้ายว่าคือความสนิทสนมคือความชื่นชอบ แลคล้ายว่าหยุดลงตรงนี้ เพียงชื่นชอบ มิได้เติมเต็มความรัก 


 


 


ผู้หวั่นไหวง่ายทำตนเย็นชาเป็นที่สุด ผู้คล้ายเย็นชาหวาดกลัวความหวั่นไหว 


 


 


พลันนึกถึงยามพบกันครั้งแรก หากยามนั้นปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพอ่อนโยน บัดนี้จะมีสภาพการณ์เช่นไรเล่า? 


 


 


ในใจเขาเจ็บปวดเพียงน้อย ราวดวงใจถูกกลืนกิน 


 


 


ทว่าบนใบหน้ายังคงไม่ใส่ใจ เอ่ยว่า “หากซังต้งเข้าตาจนแล้วลงมือกำเริบเสิบสานในวัง จะนำพาความยุ่งยากมาให้ข้าเช่นกัน” 


 


 


“ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้ผู้เป็นปรปักษ์ขนาดนี้ผู้หนึ่งยึดกุมอิสระผืนหนึ่งซึ่งเจ้ายังไม่อาจก้าวก่ายในวัง เรื่องนี้ไม่คล้ายอุปนิสัยของเจ้านะ” 


 


 


กงอิ้นไม่เอ่ยวาจา 


 


 


เขายอมอ่อนข้อให้ด้วยเพราะเคยมีสัญญาลับต่อกัน กบฏวังครั้งหนึ่งในยามนั้น ช่วงสำคัญทุกขณะ ซังต้งกับเขาตกลงทำสัญญาร่วมกัน ถึงได้มีการสวรรคตโดยพลันของราชินีองค์ก่อนและการก้าวสู่ตำแหน่งของเขา 


 


 


ผู้รวมอำนาจต้องถูกอำนาจควบคุมไว้ ยามอำนาจของตระกูลซังเพิ่มพูน ควบคุมการทดแทนอำนาจของกษัตริย์หลายชั่วอายุคนครั้งแล้วครั้งเล่า ย่อมจะไม่ยินยอมตกอยู่ภายใต้ผู้อื่น ต้องการการแทนที่ทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นตระกูลซังคิดเองเออเองว่ามีบุญคุณต่อเขา ผู้มีบุญคุณมักจะยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น 


 


 


ตระกูลซังก่อการขลาดเขลาหลังจากเขาออกจากต้าเยียน คงจะเป็นฝีมือของเหยียลี่ว์ฉีด้วยส่วนหนึ่ง ทว่าเหยียลี่ว์ฉีนั้นไม่อาจใช้สอยตระกูลซังโดยสิ้นเชิง ตระกูลซังถึงผูกเป็นพันธมิตรกับตระกูลเซวียนหยวนด้วย เกรงว่าสิ่งที่ต้องการคงเป็นตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา 


 


 


สำหรับการต่อต้านราชินี แลด้วยเพราะแม้ว่าราชินีมีอำนาจจำกัด ทว่าสามารถสับเปลี่ยนโยกย้ายกองเซ่นไหว้ได้ ฉะนั้นสำหรับราชินีทุกนางที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซัง ตระกูลซังต่างหวังให้นางอย่าได้ดำรงอยู่ 


 


 


ทว่าความเหิมเกริมของตระกูลซังควรจะสำรวมได้แล้ว 


 


 


หากพวกนางลงมือ จะล่วงล้ำเส้นตายที่เขาอดกลั้นได้ 


 


 


แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่อาจอธิบายให้นางฟัง เขาเปลี่ยนแปลงหัวข้อสนทนา เอ่ยว่า “เหยียลี่ว์ฉีทำตนเรียบร้อยหรือไม่?” 


 


 


“ไม่มีความเคลื่อนไหวใด” จิ่งเหิงปัวกำลังอยากจะคุยเรื่องมองเห็นขุนนางแปลกประหลาดที่ปากประตูสำนักเจาหมิงกับกงอิ้น พลันได้ยินเสียงกระดิ่งถี่รัวระลอกหนึ่งแว่วมาจากหลังเตียง 


 


 


กงอิ้นยื่นมือเพียงครั้ง ลากเส้นทองคำสายหนึ่งออกมาจากหลังเตียง บนเส้นนั้นมีกระดิ่งน้อยผูกไว้ มือเขาถือกระดิ่งน้อย ตั้งใจฟังการสั่นไหวของเส้นและกระดิ่งน้อยโดยละเอียด 


 


 


นี่คงจะเป็นวิธีการสื่อสารระหว่างเขากับลูกน้องโดยเฉพาะ 


 


 


ผ่านไปชั่วครู่เขาเอ่ยว่า “อวี่ชุนขอเข้าพบ เอ่ยว่ามีหน้าที่สำคัญ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “เจ้าขยับเขยื้อนไม่ได้ไม่ใช่หรือ? ข้าจะไปฟังว่ามีเรื่องใด?” 


 


 


กงอิ้นลังเลเล็กน้อย พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อย่าออกห่างตำหนักใหญ่มากเกินไป” 


 


 


“เสียดายข้าหรือเสี่ยวอิ้นอิ้น?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ ลุกขึ้นเดินออกไป 


 


 


นางวิ่งเร็วเกินไป ไม่ได้มองเห็นข้างหลัง กงอิ้นเม้มริมฝีปาก หลุบขนตาลง 


 


 


ภายในตำหนักใหญ่มีกลไกสำหรับเปิดประตู ก่อนหน้านี้กงอิ้นได้บอกกล่าวจิ่งเหิงปัวแล้ว จิ่งเหิงปัวเปิดประตูออกไป มองเห็นอวี่ชุนผู้อวบอ้วนยืนอยู่ใต้ระเบียงพอดี 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหลังให้ประตูศิลาภาพภูเขาและสายน้ำ กล่าวว่า “กงอิ้นให้ข้ามาฟังว่าเกิดเรื่องใดขึ้น” 


 


 


อวี่ชุนผุดเผยสีหน้าลำบากใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ต้องเรียนราชครูต่อหน้า…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้โกรธเคือง 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าไปบอกเขาอีกครั้งเองสิ” 


 


 


“เฮ้อ! กราบทูลฝ่าบาท” อวี่ชุนพลันเอ่ยว่า “เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เจ้ากองเซ่นไหว้ซังส่งองครักษ์สามร้อยนายเข้าวังมาปฏิบัติหน้าที่ เอ่ยว่าจะเพิ่มการป้องกันหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ให้แข็งแกร่งขึ้น ราชองครักษ์เห็นว่าคนเหล่านั้นเปี่ยมกำลังวังชา ไม่คล้ายองครักษ์ธรรมดา กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการป้องกันพระราชวังจึงขอคำแนะนำโดยเฉพาะ นอกจากนี้ เจ้ากองเซ่นไหว้ซังเอ่ยว่าระยะนี้จะมีผู้ลักลอบเข้าหอคอยสูง กังวลว่าจะมีหัวขโมยซ่อนอยู่ภายในวัง เป็นภัยต่อความปลอดภัยของราชครูกับราชินี ขยับขยายวงล้อมองครักษ์จัดวางกำลังป้องกันเป็นพิเศษ ยามนี้ขยายมาถึงบริเวณจิ้งถิง เรื่องนี้ไม่ได้รับอนุญาต คนของพวกเรากำลังเจรจาหารือกับกองเซ่นไหว้ กองเซ่นไหว้ยืนกรานจะป้องกันจิ้งถิง ไม่ยอมจากไป พวกเราต้องการการออกคำสั่งของราชครู ขับไล่กองเซ่นไหว้” 


 


 


พอจิ่งเหิงปัวได้ฟังก็รู้ว่าเรื่องนี้พุ่งเป้ามายังนาง บางทีรอให้ถึงกลางดึกคืนพายุฝน ฟ้ามืดลมแรงมองเห็นไม่ชัดเจน แล้วจะมี “หัวขโมย” ปรากฏกายบริเวณจิ้งถิง จากนั้นองครักษ์กองเซ่นไหว้ไล่ล่าสังหารมาตลอดทาง ท่ามกลางการสู้รบที่ยากเข็ญยวดยิ่ง ฝ่าบาทโชคร้ายถูกหัวขโมยลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต ส่วนองครักษ์หอคอยกองเซ่นไหว้ที่กล้าหาญ หลังจากมหาสงครามอาบโลหิตได้โจมตีหัวขโมยจนสิ้นชีพ ชำระแค้นให้ฝ่าบาท นับแต่บัดนี้เริงระบำสงบสุขยิ่ง ความปีติยินดีล้นพ้น ทุกท่านดำรงตำแหน่งเดิม หอคอยสูงปลอดภัย 


 


 


“เรื่องนี้ต้องแนะนำสิ่งใดอีก? ไม่รู้ว่าควรจะไล่สุนัขที่บุกเข้าประตูตออกไปให้สิ้นโดยพลันหรือ?” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวว่า “ไปบอกพวกเขาว่าความปลอดภัยของเจิ้นกับราชครูย่อมมีราชองครักษ์และองครักษ์คั่งหลงคอยเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คนนอกมาวุ่นวาย คนของหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ปกป้องหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ให้ดีก็พอแล้ว ให้พวกเขาจำไว้ว่าหากสถานที่ของเจิ้นแห่งนี้เกิดเรื่องขึ้น ไม่จำต้องให้พวกเขามารับผิดชอบ หากหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้เกิดเรื่องขึ้น พวกเขาถึงจะศีรษะหลุดจากบ่า จัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจนก่อน” 


 


 


“เรื่องนี้…หากพวกเขายืนหยัด…” อวี่ชุนแอบชื่นชมราชินีที่แลดูเกียจคร้านทว่าแท้จริงแล้วมีนิสัยแข็งแกร่งของราชครูไปพลาง ลังเลเล็กน้อยไปพลาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกอย่างแท้จริงว่ากฎเกณฑ์ของกงอิ้นมีอำนาจเกินไป ไม่ยอมปล่อยอำนาจบ้าง ทำให้หัวหน้าองครักษ์เหล่านี้คิดมากขลาดกลัว ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น ไม่มีความโหดเ**้ยมแม้แต่นิดเดียว 


 


 


“ไป” นางฉวยมือชี้ไปยังช่างฝีมือที่ทาสีเสาระเบียงอยู่ไกลโพ้นผู้หนึ่ง กล่าวว่า “หิ้วถังสีของเขาออกไปวาดเส้นเส้นหนึ่งล้อมรอบจิ้งถิงกับวังบรรทมของข้า พาดลูกธนูโก่งคันศรภายในเส้น ผู้อื่นที่เหลือไม่อนุญาตให้ก้าวเข้ามาในเส้นแม้เพียงก้าวเดียว ได้ยินว่าในวังไม่ค่อยเรียบร้อย นี่คือการเพิ่มกำลังป้องกันจิ้งถิงของพวกเรา ประเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว พายุฝนฟ้าคะนองทัศนวิสัยไม่ชัดเจน หากมีผู้ใดบุกเข้ามา ถูกพวกเราสังหารด้วยนึกว่าเป็นหัวขโมย แล้วอย่าได้โทษพวกเราว่าไม่ได้บอกกล่าวก่อนล่วงหน้า” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” อวี่ชุนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ถูมือวิ่งจากไป หิ้วถังสีขึ้นมาแล้ววิ่งห้อ  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม