สาวน้อยปลูกผัก 614-617

 TQF:บทที่ 614 เส้นทางแห่งเลือด (1)


 


 


“แปลกจริง ซูเสวี่ยบอกว่านางโดนคำสาปไม่ใช่เหรอ ปกติแล้วแก้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่แก้ไม่ได้ วิทยายุทธก็สูงขึ้นอีกด้วย แถมยังมีลูกอีก ท่าทางหลายสิบปีมานี้ยัยนี่ก็มีชีวิตที่ดีนี่”


 


นายท่านรองขมวดคิ้วพลางเอ่ยต่อ “หลายปีที่ผ่านมานี้นางไปอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มีข่าวคราวของนางเลย ตอนนี้ก็มาปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันอีก หรือว่าจะมีเรื่องอะไร”


 


“นายท่าน หรือว่านายท่านใหญ่…”


 


“เป็นไปไม่ได้”


 


นายท่านรองสะบัดมือขัดคำพูดของพ่อบ้าน “หากพวกเขารู้ที่อยู่ของฟางซูหยุนจริงๆจะไม่เรียกนางกลับมาถึงหลายสิบปีเชียวเหรอ ตอนนี้กลับมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร พวกเขาคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไง อย่างมากก็แค่สบายใจขึ้นเท่านั้นแหละ”


 


“นายท่านพูดถูก ได้ข่าวว่าคุณหนูซูหยุนพายัยหนูกลับมาด้วยแค่ 2 คนเท่านั้น ต่อให้นางจะเคืองโกรธแล้วจะทำอะไรได้ พวกเราตระกูลฟางไม่ใช่อะไรที่นางจะทำอะไรได้”


 


“อื้ม เจ้าพูดถูก” ได้ยินคำพูดของพ่อบ้านแล้วนายท่านรองพึงพอใจมาก มีรอยยิ้มกระหยิ่มอยู่บนใบหน้า “สั่งลงไป พรุ่งนี้ห้ามเสียมารยาทเด็ดขาด คุณหนูฟางซูหยุนของเรากลับบ้านทั้งที อย่างไรซะก็ต้องให้เกียรตินางหน่อย เข้าใจมั้ย”


 


“ขอรับ นายท่าน” พ่อบ้านได้ยินคำนี้ก็เผยรอยยิ้มมีเลศนัย ความหมายถูกสื่อออกมาโดยไม่ต้องพูด


 


ไม่ว่าคืนนี้จะมีคนได้รับข่าวการกลับมาของคุณหนูฟางซูหยุนมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครมารบกวนคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยม และไม่มีใครไปรายงานข่าวที่บ้านในหลืบ


 


ค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบ


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ตื่นแล้วรู้สึกได้ว่าท่านย่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้ว่คิดอะไรอยู่


 


จนกระทั่งทานอาหารเข้าเสร็จ อาเสียงเข้ามาทักทายนางถึงได้สติกลับมาบ้าง


 


ท่าทางเมื่อคืนฟางซูหยุนจะแทบไม่ได้หลับได้พักผ่อนเลย


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจความรู้สึกของท่านย่า จึงตั้งใจชงน้ำผึ้งหยกให้นางดื่มก่อนจะออกเดินทาง


 


อาเสียงตั้งใจจะกลับไปด้วยแต่ฟางซูหยุนปฏิเสธ นางต้องการพาหลานสาวกลับไปด้วยตัวเอง


 


อาเสียงรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงตัดสินใจว่าสายๆค่อยกลับไป ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ตระกูลฟางต้องครึกครื้นอย่างแน่นอน เขาไม่อยากให้ครอบครัวฟางซูหยุนต้องถูกกดขี่ข่มเหง


 


ภายใจสายตาอันยากจะเข้าใจของเสี่ยวเอ้อในร้านที่จ้องมองมา พวกนางย่าหลานก็ขึ้นรถม้าไป เหล่าเสี่ยวเอ้อในร้านเองก็รู้กลายๆแล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร


 


เห้อไป๋ยี่ยังคงเป็นผู้ขับเคลื่อนรถไปยังบ้านตระกูลฟางตามคำบอกของฟางซูหยุน


 


ตระกูลฟางเป็น 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่แห่งชิงยาง เฉพาะบ้านตระกูลฟางก็มีพื้นที่มากถึงหลายพันไร่ บ้านเล็กใหญ่หลายร้อยหลัง คนที่อยู่ในนั้นมีนับหมื่นคน คนที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายมีนับร้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกศิษย์สายนอก แขกเหรื่อ ผู้อาวุโส ทหารยาม คนรับใช้ จำนวนประชากรไม่น้อยไปกว่าตำบลเล็กๆแน่นอน


 


ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาอยู่หน้าเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ป้ายขนาดใหญ่เขียนไว้ว่าบ้านตระกูลฟาง พลังลมปราณเข้มข้นโชยเข้าหน้า


 


เห็นถึงฐานะและความยิ่งใหญ่ตระกูลฟางแล้วเฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้แต่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “เอาตระกูลเฉิงที่ตี้ตูมาเทียบกับตระกูลฟางนี้ เหมือนปลาเล็กปลาใหญ่ดีๆนี่เอง เทียบไม่ติดเลย”


 


“อิอิ คุณหนู ท่านพูดถูก ตระกูลเฉิงเมื่อก่อนนี้น่ะราวกับบ้านกะโหลกกะลาที่บ้านนอก ส่วนตระกูลฟางอย่างกับพระราชวัง ต่างกันราวฟ้ากับดิน” หยูเฮงน้อยก็กล่าวอย่างยิ้มแย้ม


 


คำพูดของเจ้าตัวเล็กทั้ง 2 นี้ทำให้ใบหน้าตึงเครียดของฟางซูหยุนอ่อนลงมาไม่น้อย นางถอนหายใจ “ใกล้จะถึงแล้ว เตรียมตัวลงรถ”


 


และก็จริง เพิ่งจะเข้าประตูป้ายมาได้ไม่นานก็มีคนมาสกัดรถลากสัตว์วิญญาณไว้ ฟางซูหยุนหยิบแผ่นคริสตัลประจำตัวของตระกูลฟางออกมา ทหารยามชะงักไปก่อนจะรีบประสานมือปล่อยให้พวกนางผ่านไป


 


อะไรก็ปลอมได้ แต่กับแผ่นคริสตัลประจำตัวแล้ว ไม่มีใครอื่นใช้มันได้ ดังนั้นแผ่นคริสตัลประจำตัวจึงเป็นอุปกรณ์แยกแยะที่ดีที่สุด


 


รถลากสัตว์วิญญาณมาถึงหน้าประตู ทหารยามที่เฝ้าอยู่ไม่ทันได้เอ่ยถามก็เห็นสาวสวยทั้ง 3 ที่ก้าวลงมาจากรถ


 


ในชั่วขณะที่พวกเขาเหม่อลอย หยูเฮงน้อยก็เก็บรถลากสัตว์วิญญาณเข้ามิติทันที คนทั้ง 4 ยืนอยู่หน้าประตู


 


“พวก พวกเจ้าเป็นใครกัน”


 


ทหารยามในอดีตไม่ได้เฝ้าอยู่ที่นี่นานแล้ว ทหารยามในตอนนี้ไม่มีใครเคยเจอฟางซูหยุนเลย ดังนั้นพวกเขาต่างพิจารณาทั้ง 4 คนด้วยสายตาระแวง


 


ฟางซูหยุนยืนนิ่งๆอยู่หน้าประตู จากสีหน้าของนางเฉิงเสี่ยวเสี่ยวดูออกว่าอารมณ์นางค่อนข้างแปรปรวน จึงรีบยื่นมือไปกุมมือนางไว้แน่นพลางถ่ายทอดพลังเซียนเข้าสู่ร่างนาง


 


แปปเดียวฟางซูหยุนก็สงบจิตสงบใจได้ นางเอียงหัวพยักหน้ากับเฉิงเสี่ยวเสี่ยว ก่อนจะหันไปบอกกับเหล่าทหารยามเย็นๆ “ข้ากลับบ้านตัวเองไม่ได้รึไง”


 


“เจ้า?” ทหารยาม 1 ในนั้นเลิกคิ้วมองดูพวกนาง เผยสีหน้าดูหมิ่น “ล้อเล่นรึเปล่า เจ้าเป็นเจ้านายของพวกเราตระกูลฟางรึ ทำไมพวกเราไม่รู้ล่ะ รีบออกไปจากที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”


 


“บังอาจ…”


 


สีหน้าฟางซูหยุนเข้มขึ้น เอ่ยเสียงแข็ง “รีบไปบอกเจ้าบ้านของเจ้าซะ ข้าฟางซูหยุนกลับมาแล้ว”


 


“เจ้า…”


 


สีหน้าของเหล่าทหารยามเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ “ฮ่าๆๆ เจ้าคือคนของตระกูลฟางเหรอ? ข้าว่าเจ้าคือพวกไม่กลัวตายมาปลอมตัวสวมรอยเป็นคนตระกูลฟางมากกว่า นังหนู ไสหัวไปไวๆจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้ากับสหายของข้าจะไม่เกรงใจละนะ”


 


“ยัยนี่หน้าตาใช้ได้ พวกเราโชคดีเว้ย อย่าพลาดเชียวล่ะ”


 


“ฮ่าๆ ถูกต้อง ยัยคนสวย 3 คนนี้หน้าตาไม่เลว สวมรอยเป็นใครไม่สวมบังอาจมาสวมรอยเป็นเจ้านายตระกูลฟาง ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ มาอยู่กับข้าดีกว่า รับรองกินดีอยู่ดี……”


 


“เพียะ…”


 


เสียงตบดังลั่นขัดการเหยียดหยามของอีกฝ่ายลง และหยุดเสียงหัวเราะโอหังของพวกเขาไว้ คนที่ลงมือก็คือเห้อไป๋ยี่นี่เอง


TQF:บทที่ 615 เส้นทางแห่งเลือด (2)


 


 


คนที่เหยียดหยามเจ้านาย ตาย


 


ดังนั้นไม่ต้องให้ใครสั่ง เห้อไป๋ยี่ลงมือทันที แต่เขายังฆ่าเลยไม่ได้ อย่างไรซะที่นี่ก็เป็นบ้านของฮูหยินฟาง หากจะลงมือฆ่าใครจริงๆต้องรอคำสั่ง


 


“สหาย ฆ่าพวกมัน….” หัวหน้าทหารยามที่ถูกตบบ้วนเลือดออกมาพร้อมกับฟัน 2 ซี่ ตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล


 


คนของตระกูลฟางเคยถูกตบหน้าซะที่ไหน เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้จริงๆ


 


ฟางซูหยุนก็โมโหแล้วจริงๆ ไม่ทันที่หยูเฮงน้อยจะอาละวาด นางก็สั่งเลย “ไป๋ยี่ ฆ่าไอสารเลวพวกนี้ซะ”


 


“ขอรับ ฮูหยินฟาง”


 


ได้รับคำสั่งแล้วเห้อไป๋ยี่ก็เลิกออมมืออีกต่อไป 2 ขาออกแรงทันที ร่างกายราวกับธนูที่ขึ้นคัน พุ่งออกไปอย่างแรงจนเหลือเพียงเงาที่ยังอยู่ที่เดิม


 


“หืม?”


 


เมื่อเห็นความเร็วของเห้อไป๋ยี่ เหล่าทหารยามก็ตกใจไม่น้อย ไม่มีใครคาดคิดว่าคนรับใช้ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถลากจะไวได้ขนาดนี้ นี่มันเกินกว่าที่พวกเขารู้จริงๆ


 


กระเรียนเซียนถนัดเรื่องความเร็วอยู่แล้ว เรียกได้ว่าได้เปรียบในระดับนึงในด้านความเร็ว วิทยายุทธของมันไม่ต่างกับของทหารยามนัก แต่ร่างเดิมของมันเป็นเผ่าอสูร จึงได้เปรียบกว่ามนุษย์เยอะ


 


ดังนั้นไม่ทันที่พวกเขาจะตั้งตัว เห้อไป๋ยี่ก็พุ่งไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้ว


 


ในช่วงเวลาที่เห้อไป๋ยี่เห็นว่าคนพวกนี้ยังไม่ได้ตั้งตัว ในมือของเขาก็มีดาบที่มาจากไหนไม่รู้ ปลายดาบมีแสงสีขาววาบขึ้นทันทีที่กวาดไปยังทหารยามเหล่านี้


 


“อ๊ากก” เหล่าทหารยามคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเร็วขนาดนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าคนรับใช้คนนี้จะโจมตีอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น


 


เงาดาบซ้อนกัน ประกายวิบวับอย่างเย็นยะเยือก ความมุ่งร้ายที่ไวปานสายฟ้าเข้มข้นอย่างมากจนเหล่าทหารยามตัวสั่นขึ้นมา ผมตั้งขั้นด้วยความรับรู้ได้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามา ในปากส่งเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว


 


กรีดร้องส่วนกรีดร้อง ทหารยามเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดา พวกเขาตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว มีดในมือคอยปัดป้องกันตัวเอง


 


“แต๊งๆๆๆๆ”


 


เกิดการปะทะขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าทหารยามเหล่านี้จะพยายามป้องกันตัวเอง แต่พลังเซียนของอีกฝ่ายหนาแน่นกว่าพวกเขามาก มีดในมือหักสะบั้น พลังลมปราณจากดาบทิ่มแทงไปยังพวกเขา อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น


 


ประกายดาบเต็มไปด้วยคราบเลือด เสียงโหยหวนดังขึ้นไม่ขาดสาย


 


เพียงแค่แปปเดียวก็มีทหารยาม 4-5 คนล้มลงไป


 


หัวหน้าทหารยามเห็นสหายที่ล้มลงไป สีหน้าเขาซีดเผือกลงทันที มองคนพวกนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ ตะคอกด้วยเสียงสั่นเทา “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ กล้ามาอาละวาดที่ตระกูลฟาง พวกเจ้าอยากตายรึไง”


 


“พวกเราเป็นใคร? ก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่รึไงว่าพวกเราเป็นคนของตระกูลฟาง ไอสุนัขรับใช้ ไม่แหกตาหมาของแกดูดีๆล่ะ เฮอะ…”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหลือบมองเขาเย็นๆ หันไปบอกกับคนข้างๆโดยไม่แม้แต่จะมองทหารยามคนอื่นที่นอนจมกองเลือดอยู่ “ท่านย่า พวกเราเข้าไปกันเถอะ”


 


“ได้ พวกเราไปกัน” อย่างไรซะคนพวกนี้ก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร จากคำพูดที่ออกจากปากพวกเขาก็รู้ได้ถึงสันดานคนพวกนี้ ดังนั้นฟางซูหยุนไม่ได้คัดค้านอะไรกับการฆ่าพวกเขา


 


อีกอย่างวันนี้ต้องมีคนต้องหลั่งเลือดอยู่แล้ว


 


“ใครน่ะ…”


 


เพิ่งก้าวเข้าประตูบ้านตระกูลฟางมาก็มีเสียงตะโกนว่าดังมา ท่าทางเสียงโหยหวนเมื่อกี้จะสะเทือนไปถึงคนอื่นๆ


 


หลังจากที่มีเสียงฝีเท้าไวๆดังมา ก็มีทหารยามอีก 10 กว่าคนปรากฏตัวขึ้นภายใต้การนำของผู้เฒ่าคนหนึ่ง


 


เมื่อเห็นคนที่มา ฟางซูหยุนหรี่ตาลง นางไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน


 


“พวกเจ้าเป็นใครกัน กล้ามาอาละวาดที่บ้านตระกูลฟาง เด็กๆ จับนางไว้”


 


มีความตะลึงปรากฏขึ้นในแววตาของผู้เฒ่าเพียงแว้บเดียวก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาตอย่างโหดร้าย ก่อนจะสั่งให้คนข้างหลังลงมือทันที ราวกับไม่ต้องการให้ฟางซูหยุนได้มีโอกาสพูด


 


ฟางซูหยุนยังไม่ทันจะพูดอะไร ความเยือกเย็นรอบตัวเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็แผ่ซ่านออกไป นัยต์ตาสีดำกลายเป็นผาลึกที่มองไม่เห็นข้างล่าง “ลงมือเลย ฆ่าอย่าให้เหลือ”


 


วิทยายุทธระดับผู้เฒ่าอาจจะปิดบังคนอื่นได้ แต่ความคิดของเขาไม่มีทางปิดบังเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยได้เด็ดขาด ทั้ง 2 มองจิตใจที่แปรปรวนอยู่เมื่อกี้ของเขาออก


 


คนพวกนี้ได้รับคำสั่งมาตั้งแต่แรกแล้วไว้ดูถูกเหยียดหยามฟางซูหยุนที่กลับบ้านวันนี้ให้ถึงที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ให้คนพวกนี้รู้ไปเลยว่าหลั่งเลือดของใครอยู่


 


เมื่อได้ยินคำสั่ง ไม่ใช่แค่เห้อไป๋ยี่ที่ลงมือ หยูเฮงน้อยก็ออกโรงเช่นกัน นางแค่ตวัดไม้ตบยุงเล็กๆนั่นเพียงทีเดียวเท่านั้นก็กลายเป็นพัดอันใหญ่ พุ่งเข้าใส่คนเหล่านั้น


 


ในเมื่ออยากจะฆ่าจะแกง ก็จะไม่ออมมือเด็ดขาด


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยืนอยู่อีกด้านกับฟางซูหยุนด้วยท่าทีเรียบๆ แค่ 2 คนนั้นลงมือก็พอแล้ว


 


ผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มเมื่อเห็นทั้ง 2 ที่ลงมืออยู่ เพราะเขาไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตาจริงๆ


 


โดยเฉพาะหยูเฮงน้อย ผู้เฒ่าสัมผัสการเคลื่อนไหวของพลังเซียนหรือพลังวิญญาณในตัวนางไม่ได้เลย ย่อมไม่ใส่ใจนาง


 


ขณะนั้นริมฝีปากของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็คลี่ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน นางเชื่อว่าคนที่ยิ้มจนถึงตอนสุดท้ายได้คือตัวเองอย่างแน่นอน


 


และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หยูเฮงน้อยและเห้อไป๋ยี่ราวกับหมาป่าที่เข้าไปอยู่ในฝูงแกะ ไม้ตบยุงอันใหญ่ฟาดออกไปทีก็มีคนแหลกจนมองรูปร่างไม่ออก ส่วนดาบของเห้อไป๋ยี่กวาดไปทางไหนก็กลายเป็นคราบเลือดแนวยาว ไม่ดาบหักมีดหักก็มือขาดขาขาด


————————–


TQF:บทที่ 616 เส้นทางแห่งเลือด (3)


 


 


ทันใดนั้นก็เกิดเสียงโหยหวนขึ้นอีกระลอกๆ ทหารยามเหล่านี้ไม่มีแรงจะต้านทาน รอยยิ้มบนใบหน้าผู้เฒ่ายังไม่ทันได้จางหายไปก็แข็งอยู่บนใบหน้าซะแล้ว


 


การฆ่าอย่างเหี้ยมโหด เป็นการฆ่าอย่างเหี้ยมโหดอีกครั้งที่ไม่สามารถจะต้านทานได้


 


ใจของผู้เฒ่าเริ่มสั่น เขาตะโกนออกมาเสียงดัง “หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้…”


 


“ไม่มีปัญหา”


 


หยูเฮงน้อยตอบรับอย่างอารมณ์ดี ไม้ตบยุงในมือฟาดไปยังทหารรับจ้างคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เสียงแผละดังขึ้นก่อนที่คนทั้งคนจะเละเป็นโจ๊ก ตายไปอีกคน


 


“เจ้า เจ้า พวกเจ้า…”


 


ผู้เฒ่าที่ทั้งตกใจทั้งโกรธชี้ไปยัง 4 คนตรงหน้าที่ดูเหมือนไม่มีพลังการต่อสู้อะไร แต่เพียงผู้ใหญ่ 1 เด็ก 1 ก็ทำให้คนของเขาตายจนเหลือแต่เขาที่เป็นผู้นำคนเดียวเท่านั้น


 


“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว…”


 


“พรืดด”


 


หยูเฮงน้อยหัวเราะขึ้นอีก พัดในมือเล็กลงชี้ไปที่เขา “ตาเฒ่า เจ้านี่มันตลกจริงๆ เจ้าไม่ใช่เหรอที่สั่งพวกเขาให้ฆ่าเรา ทำไมกลายเป็นว่าพวกเราที่รังแกกันเกินไปได้ล่ะ จริงๆเจ้าไม่ใช่เหรอที่รังแกกันมากไป พวกเรายังไม่ทันจะพูดอะไรเลย เจ้าจะโวยวายไปทำไม”


 


“เจ้า….”


 


หยูเฮงน้อยทำให้เขาสะอึกไม่น้อย เป็นเขาเองจริงๆที่ไม่แม้แต่จะปล่อยให้อีกฝ่ายพูด สั่งลงมือฆ่าเลยทันที บัดนี้คนที่ตายกลับเป็นคนที่เขาพามา


 


“ดี ดี ดีมาก บังอาจมาฆ่าคนของพวกเราตระกูลฟาง พวกจ้าอย่าหวังว่าจะออกจากที่นี่ได้แม้แต่คนเดียว”


 


ความดุร้ายแวววาวอยู่ในสายา เขาตะคอกใส่คนตรงหน้าอย่างแค้นเคือง ขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าต้องรีบจัดการคนเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นหากมีคนอื่นมา จะลงมือก็ยากแล้ว


 


คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ตวัดมือขึ้น มีถุงสัตว์อมตะหลายถุงปรากฏอยู่ในมือเขา ก่อนจะสะบัดถุงออก แมงมุมเลือดหยกและสัตว์เกราะเหล็กเขาเดียวก็ปรากฏออกมา พลังลมปราณของพวกมันอยู่ระดับสัตว์อมตะแล้ว เรียกได้ว่าสัตว์อมตะ 10 กว่าตัวนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสุดๆ


 


ถ้าหากเป็นคนอื่นเมื่อเห็นของพวกนี้ละก็ ต้องกลัวจนหนีไปแน่ๆ แต่กับพวกเฉิงเสี่ยวเสี่ยวแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเห็นหมาเห็นแมว รู้สึกน่าสนใจยิ่งนัก


 


สัตว์อมตะก็ไม่ได้มีอะไรยิ่งใหญ่นี่ ในมิติของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวมีเป็นฝูง อยากจะมีเท่าไหร่ก็ได้ ฉะนั้นในสายตาพวกนาง สัตว์อมตะเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับหมาแมวเท่าไหร่


 


ขณะเดียวกันเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รู้แล้วว่าทำไมตระกูลฟางถึงแข็งกร้าวได้ขนาดนี้ มีสัตว์อมตะถึง 10 กว่าตัวนี้เป็นการเพิ่มพูนพลังจริงๆ ไม่มีใครกล้ายุ่งกับคนของตระกูลฟาง


 


“ลุย ไปฆ่าพวกนางให้ข้าซะ” นัยน์ตาของผู้เฒ่ามีประกายแห่งความเหี้ยมโหด ต้องการให้ฆ่าพวกนางให้ตาย


 


บนใบหน้าของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยมีรอยยิ้มพิลึกพิลั่น


 


พลังจิตที่มองไม่เห็นหลั่งไหลเข้าไปในหัวของเหล่าสัตว์อมตะ พวกมันถูกสะกดไว้อย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถรับคำสั่งอะไรได้อีก


 


ผู้เฒ่ายังไม่รู้ถึงสถานการณ์ เขาออกคำสั่งอย่างรีบร้อนและสะใจ “เร็วเข้า ไปฆ่าพวกนาง….”


 


“พอได้แล้ว เลิกโวยวายได้แล้ว”


 


หยูเฮงน้อยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ หันไปถามเขา “ตาเฒ่า มีอีกมั้ยเนี่ย สัตว์อมตะ 10 กว่าตัวของเจ้านี่ไม่พอชมจริงๆ เรียกมาเยอะกว่านี้หน่อยมั้ย เจ้าดูสิ พวกมันไม่เชื่อฟังคำสั่งเจ้าเลย หรือว่าเจ้าไปขโมยสัตว์เลี้ยงคนอื่นเขามา ถึงไม่มีใครเชื่อฟังคำสั่งเจ้า”


 


“เหลวไหล เหลวไหลทั้งเพ…”


 


ผู้เฒ่าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สัตว์อมตะที่เชื่อฟังมาโดยตลอดกลับไม่ตอบโต้อะไร ทำให้ปรมาจารย์ฝึกสัตว์อย่างเขาอับอายขี้หน้า


 


เขาเรียกถุงสัตว์อมตะออกมาอีกหลายถุงจากแหวนมิติ หลังจากนั้นก็ปล่อยสัตว์วิญญาณออกมาอีก 10 กว่าตัว


 


“เอ๋ สัตว์วิญญาณเหรอ? เสือฟันดาบ หมาป่ามารพายุ เสือดาวราตรี มดบินเนตรทอง ไม่เลวนี่ ถือว่ามีของสะสมอยู่บ้าง”


 


หยูเฮงน้อยวิพากษ์วิจารณ์ราวกับเป็นเพื่อนสนิทเขามานานหลายปีอย่างยิ้มแย้ม “ตาเฒ่า สัตว์เลี้ยงของเจ้านี่ท่าทางไม่เลวเลย แต่ว่าสัตว์อมตะยังไม่กล้าขยับเลย สัตว์วิญญาณก็ยิ่งไม่กล้าขยับเลยน่ะสิ”


 


ณ ที่นี้กำลังมีฉากฝึกสัตว์ นายท่านรองที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือมาตลอดก็เริ่มใจตุ้มๆต่อมๆ แม้จะไม่ได้ตั้งใจไปสืบดูด้วยจิต แต่เสียงโหยหวนที่ดังขึ้นเรื่อยๆเขาก็ได้ยินหมด


 


ไม่ใช่แค่เขาที่ได้ยิน เกือบจะทุกคนในบ้านตระกูลฟางล้วนได้ยินหมด เพียงแต่ทุกคนได้รับคำสั่งจากนายท่านรองไม่ให้ทำอะไรตามอำเภอใจ


 


ตอนนี้ทุกคนรู้หมดแล้วว่าปรมาจารย์ฝึกสัตว์ในบ้านปล่อยสัตว์วิญญาณและสัตว์อมตะออกมาจนหมด สถานการณ์จะเป็นอย่างไร


 


โดยเฉพาะคนที่ได้รับข่าวตั้งแต่เมื่อคืนก็ยิ่งอยากดูฉากสนุกๆ ถึงตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าฉากสนุกนี้อาจจะไม่ง่ายเท่าไหร่ที่จะดู


 


ในบ้านที่อยู่หลืบสุดของบ้านตระกูลฟาง คนทั้งครอบครัวนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก พวกเขาได้รับแจ้งมาตั้งแต่เช้าว่าจะมีคนใหญ่คนโตมาที่บ้านตระกูลฟาง ไม่อนุญาตให้ใครเพล่นพล่านตามอำเภอใจ ขณะเดียวกันก็อาจต้องให้ทุกคนไปออกงาน เพราะฉะนั้นทุกคนต้องอยู่ในบ้านของตัวเอง


 


เพียงแต่เมื่ออากาศเหนือบ้านตระกูลฟางมีเสียงโหยหวนดังขึ้นเป็นระลอกก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกงุนงง แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาดู


 


แต่ในที่ต้องห้ามบ้านตระกูลฟาง พวกปีศาจเฒ่าอยู่กันไม่สุขเท่าไหร่ พวกเขารู้สึกได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งมาเยือนบ้านตระกูลฟาง กำลังคิดอยู่ว่าจะออกหน้าดีมั้ย


 


“ลุย ลุยให้หมด…” ขณะนี้ เสียงตะโกนรวมถึงหนวดเคราต่างสั่นเทาไปหมด ในตามีประกายเย็นๆและความโกรธเคือง


————————


TQF:บทที่ 617 เส้นทางแห่งเลือด (4)


 


แต่เหล่าสัตว์วิญญาณก็ยังหมอบอยู่ที่พื้นโดยไม่ขยับ กลับมีความหวาดกลัวอยู่ในแววตา ไม่โต้ตอบกับคำสั่งของผู้เฒ่า


 


“ฮ่าๆๆ ตาเฒ่า เจ้าเสร็จแน่ ฮ่าๆๆ…..” เสียงหัวเราะชอบใจของหยูเฮงน้อยดังกึกก้องไปทั่วฟ้า ใบหน้าเล็กๆมีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม


 


“เจ้า นังเด็กอวดดี ข้าจะฆ่าเจ้าซะ….”


 


ถูกยัยเด็กน้อยเหยียดหยาม ใบหน้าของปรมาจารย์ฝึกสัตว์ที่วางตัวสูงส่งอยู่เสมอบิดเบี้ยว เขาคำรามด้วยความเหลืออด นัยต์ตาแคบลง ทั้งตัวมีรังศีอำมหิตเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมา


 


“แกร่กๆ…”


 


หลังจากที่เขาคำรามอย่างเดือดดาล ตาแก่ที่ผอมโกรกตอนแรกก็ขยายตัวออก ข้อต่อกระดูกทั่วร่างของเขาส่งเสียงแกร่กๆ มีแสงสีเหลืองแผ่ซ่านออกมาจากทั้งตัว ราวกับเทพเจ้าเกราะทองที่จุติลงมายังพื้นดิน ท่าทางน่าเกรงขามและไม่อาจะต่อต้านได้


 


2 มือของเขาใหญ่ขึ้นราวภูเขา 2 ลูก พุ่งเข้าใส่หยูเฮงน้อยด้วยความเร็วราวฟ้าผ่า


 


“ชิ ข้าก็อยากจะฆ่าเจ้าทิ้งเหมือนกันนั่นแหละหน่า” เสียงใสๆของหยูเฮงน้อยสะท้านไปทั่วทุกสารทิศ ร่างเล็กๆส่งพลังลมปราณออกมาอย่างพรวดพราดราวกับต้องการกลืนกินฟ้าดิน


 


“ข้าจะฆ่าเจ้า…” เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดดังขึ้นข้างหูทุกคนอย่างชัดเจนด้วยความเย็นยะเยือกที่หนาวถึงกระดูก


 


อีกฝ่ายมีวิทยายุทธระดับก้าวสู่เทพเทวา แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ได้เป็นกังวลแทนหยูเฮงน้อย อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นตัวเองก็เก็บเขาได้


 


 


“ดูซิว่าใครฆ่าใคร…”


 


น้ำเสียงของหยูเฮงน้อยเรียบง่ายและไม่ใส่ใจ ไม้ตบยุงในมือใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ภายใต้การลำเลียงพลังเซียนของหยูเฮงน้อย ไม้ตบยุงก็เปล่งแสงสีทอง น้ำหนักมากถึงหลายหมื่นตัน หากฟาดไปที่คนไม่ตายก็พิการ


 


“ตู้มมม..”


 


“แกร่กๆ….”


 


พัดของหยูเฮงน้อยไม่เคยพลาด เมื่อไม้ตบยุงฟาดไปที่ร่างเขาก็เกิดเสียงดังเหมือนพลุระเบิด ไม่ต้องบอกว่าที่หน้าอกอีกฝ่ายมีกระดูกหักไปกี่ซี่ เขาร้องอย่างโหยหวนพลางสำลักเลือดออกมาพรวดหนึ่ง หน้าอกบุบเข้า กระเด็นออกไปเหมือนว่าวที่ขาดออกจากด้ายกระแทกเข้ากับกำแพง เหลือเพียงรูที่มีรูปร่างคน


 


“หยุด…”


 


ในที่สุดก็มีคนมาถึงและตะโกนขึ้น มีตาแก่หลายคนปรากฏตัวออกมา ขณะเดียวกัก็มีคนวัยเยาว์หลายคนปรากฏตัวออกมาเช่นกัน บนใบหน้าของคนวัยเยาว์มีสีหน้าตกตะลึง


 


ฟางซูหยุนก็ได้เห็นเหล่าใบหน้าอันคุ้นเคย แต่นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จ้องเขม็งไปยังผู้เฒ่าเหล่านั้น


 


แม้ว่าเมื่อกี้นางจะไม่ได้ลงมือ แต่นางก็อยู่ในเหตุการณ์ เรื่องราวที่เกิดขึ้นนางก็มีส่วนร่วม ตั้งแต่เข้าประตูมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะมีคนมาปรากฏตัว ทำไมถึงเป็นแบบนี้คนฉลาดอย่างนางจะไม่รู้ได้อย่างไร


 


ในสายตาไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากเคียดแค้น ต่อให้นางจะกลับมาแล้ว อาแท้ๆของตัวเองก็ยังต้องการกำจัดนางโดยไม่สนสิ่งอื่นใด


 


จะไม่ให้แค้นได้อย่างไร


 


เริ่มมีคนตระกูลฟางออกมาเรื่อยๆ ทั้งคนแก่ ผู้ใหญ่และเด็กๆ ไม่นานก็มีคนมารวมตัวถึง 100 คน


 


โดยเฉพาะบางคนที่จำฟางซูหยุนได้ ตกใจจนตาแทบจะถลนออกมา


 


ที่สำคัญกว่านั้นคือข้างกายฟางซูหยุนมีเด็กสาวคนหนึ่งที่หน้าเหมือนนางเปี๊ยบ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแน่ๆ


 


คนที่ทึ่งที่สุดน่าจะเป็นพวกตาแก่ พวกเขาจ้องมองฟางซูหยุนและเฉิงเสี่ยวเสี่ยวโดยไม่ปกปิดความตกใจเลยแม้แต่น้อย


 


ฟางซูหยุนที่เพิ่งจะอายุ 50-60 เท่านั้นกลับมีวิทยายุทธระดับปรากฏเทพเทวา เทียบเท่ากับปีศาจเฒ่าอย่างพวกเขาที่มีชีวิตมาเกือบพันปี จะไม่ให้พวกเขาตะลึงได้อย่างไร


 


ต่อให้เป็นเจ้าบ้านของตระกูลฟางก็ยังอยู่แค่ระดับก้าวสู่เทพเทวาเท่านั้น ส่วนเด็กสาวข้างกายนางที่หน้าเหมือนกันกับนางก็เพิ่งจะมีอายุได้ 19-20 ปีเท่านั้น กลับมีวิทยายุทธถึงระดับก้าวสู่เทพเทวา


 


พวกเขาอึ้งกันไปหมด ตั้งแต่ออกมาจนถึงตอนนี้ไม่มีใครในพวกเขาพูดอะไร เพียงแค่ยืนมองพวกนางย่าหลานนิ่งๆ


 


กับการปรากฏตัวของคนตระกูลฟาง หยูเฮงน้อยเมินถึงที่สุด เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพียงแต่กวาดตาครั้งเดียวเท่านั้นก็ถือซะว่ามองไม่เห็น ไม่มีท่าทีอยากจะพูดอะไรแม้แต่น้อย


 


“คุณหนู สัตว์วิญญาณและสัตว์อมตะเหล่านี้จะทำอย่างไรดี หรือว่าพวกเราจะเก็บไว้” สายตาของหยูเฮงน้อยมองไปยังสัตว์วิญญาณและสัตว์อมตะที่หมอบอยู่ที่พื้นนิ่ง


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหลือบมองตามก่อนจะส่ายหัว “หน้าตาขี้เหร่เกินไป พวกเราอย่าเก็บไว้เลย”


 


“ไม่เอาเหรอ ก็ได้”


 


หยูเฮงน้อยยิ้มสดใส เดินไปข้างๆนางพลางเอ่ยยิ้มๆ “คุณหนู เหลือไว้ให้คนอื่นก็ไม่ดี อย่างไรซะก็เป็นอนุสรณ์ชัยชนะของพวกเรา เก็บไว้เป็นอาหารให้สัตว์อมตะของเราดีมั้ย”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม