ยอดสตรีฉางอิ๋ง 61.2-67

 ตอนที่ 61 วิกฤตหลายชั้น (2)

โดย

Xiaobei

เพื่อกดสัญชาตญาณความหวาดกลัวและคลื่นไส้นี้ นางจึงมีท่าทีเชยเมยและสงบอย่างเห็นได้ชัด


               แต่ตอนนี้เมื่อเจียงเจิงเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่าปลอดภัยชั่วขณะแล้ว… พอจิตใจของเว่ยฉางอิ๋งผ่อนคลายลง สัญชาตญาณของนางจึงได้กดเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว


               เพียงแต่นางต้องการอาเจียนออกมาให้รู้สึกสบายขึ้นบ้างแต่ก็กลับทำไม่ได้ เมื่อคนเราอาเจียนออกมาอย่างหนักแล้วก็จะรู้สึกโรยแรง…เมื่อมีเว่ยฉางเฟิงอยู่ เจียงเจิงก็ต้องแบกเขา หากเว่ยฉางอิ๋งไร้เรี่ยวแรงแล้ว หรือต้องให้เว่ยชิงแบกนาง? ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องว่าหญิงชายไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกัน เดิมทีในหกคนนี้ มีสามคนที่มีวรยุทธและต้องปกป้องอีกสามคน ลวี่อีและลวี่ฉือนั้นตัดทิ้งไปได้ทันที หากเว่ยฉางอิ๋งเกิดล้มไปอีกคน เช่นนั้นก็กลายเป็นว่าผู้มีแรงจะต่อสู้มีเพียงสองคน และคนที่ต้องปกป้องกลับเพิ่มมาอีกหนึ่งคน!


               ยิ่งไปกว่านั้นหากจะให้เว่ยฉางเฟิงไล่ตามให้ทัน เจียงเจิงและเว่ยชิงก็สามารถสับเปลี่ยนกันแบกเขา…


               ด้วยเหตุนี้หากเว่ยฉางอิ๋งล้มไป ไม่เพียงทำให้การเดินทางล่าช้าลงไปอีกมาก หากได้พบกับศัตรูขึ้นมา ความเป็นไปได้ที่จะถูกจับก็ยิ่งมากขึ้นด้วย!


               ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งนั้นเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด นางปิดปากไว้ ร่างกายสั่นน้อยๆ เว่ยฉางเฟิงมองดูนางอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร แววตาร้อนรนแต่กลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพียงแต่กระซิบเสียงเบาว่า “ท่านพี่?”


               แต่กลับเห็นว่าแววตาของเว่ยฉางอิ๋งมีประกายดุดัน มือกุมที่คอ หลังจากนั้นพักใหญ่ สีนางของนางก็กลับมาซีดอีกครั้ง เพราะสะกดความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้ แล้วกล่าวอย่างอ่อนล้าว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”


               เมื่อวางมือลงนั้น มีรอยนิ้วที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งอยู่ที่คอทั้งสองข้างของนาง…


               เว่ยฉางเฟิงออกแรงกำหมัดแน่น หากไม่ใช่เพราะตนไร้ความสามารถจนเกินไป ด้วยฝีมือของท่านพี่ ตั้งแต่ตอนที่คนชุดดำยังมิทันพบเห็นนาง นางก็สามารถแอบหลบเข้าป่าและหนีรอดไปได้แล้ว! แต่ในยามนี้ตนกลับเป็นตัวถ่วงให้ท่านพี่และองครักษ์ผู้ภักดี ต้องมาหนีตายอยู่ตรงนี้ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง


               เดิมที่เว่ยฉางเฟิงคิดมาโดยตลอดว่าวรยุทธก็เป็นเพียงวิชาเล็กๆ น้อยๆ แต่สิ่งที่พลิกเมฆคว่ำฝนที่แท้จริงก็ยังคงเป็นกลยุทธ เป็นแผนการ เป็นปัญญาที่สั่งสมมาอย่างมากมายหลังจากอ่านตำรานับหมื่นเล่ม


               แต่ในยามนี้ เขากลับเข้าใจแล้วว่า ต่อหน้าดาบและกระบี่นั้น ปัญญาที่อยู่ในมือซึ่งบอบบางไร้เรี่ยวแรง…ก็เป็นเพียงเรื่องตลกสีซีดจางเท่านั้นเอง


               สมมติว่าครานี้สามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้… เว่ยฉางเฟิงคิดอยู่ในใจยังไม่ทันจบ จู่ๆ กลับได้ยินเจียงเจิงใช้น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์กล่าวกับลวี่อีและลวี่ฉือว่า “พวกเจ้าไปได้แล้ว!”


               “อ๋า?!” ไม่เพียงแค่ลวี่อีและลวี่ฉือเท่านั้นที่ตกใจ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ออกปากไปทันใดว่า “ท่านลุงเจียง?”


               “ตลอดทางที่พวกเราเดินมามีร่องรอยชัดเจน ช้าเร็วพวกโจรก็จักตามมาทัน” เจียงเจิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เรี่ยวแรงของพวกนางในยามนี้ใช้ไปจนแทบไม่เหลือแล้ว ต่อไปพวกเราจะต้องไปให้เร็วยิ่งกว่านี้! หากพวกนางไปด้วยก็จะตามไม่ทัน ประการต่อมา ผลที่ตามมาหากยังอยู่ที่นี่เพียงแค่คิดก็รู้ได้แล้ว! มิสู้ให้พวกนางไปเสียก่อน โชคดีบางทีก็จะรอด หากโชคร้ายแล้ว…อีกสักพักเมื่อรั้งท้ายก็จะเป็นเช่นเดียวกัน”


               เขามองไปยังลวี่อีและลวี่ฉือที่ยามนี้หน้าตาซีดเผือดและมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งด้วยสีหน้าวิงวอน แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าคิดให้ดียามนี้คุณหนูใหญ่และคุณชายห้าต่างตกอยู่ในอันตราย ไม่อาจปกป้องพวกเจ้าได้แล้ว! ก่อนนี้ที่คุณหนูใหญ่เข้ามาในป่ายังไม่ลืมถีบพวกเจ้าเข้ามาก่อนก็นับว่าแสดงน้ำใจทั้งหมดที่นายมีให้แก่บ่าวแล้ว! ยามนี้ ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าจะมีความภักดีต่อนายอย่างที่สุดหรือไม่แล้ว!”


               “พวกเจ้าสองคนเลือกเส้นทางไปสักทาง หากโชคดีไม่มีพวกโจรไล่ตามพวกเจ้า กลับยังจะมีทางรอด หากมีโจรตามมา ผลก็จะลงเอยเช่นเดียวกับตามพวกเรามา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากคุณหนูใหญ่และคุณชายห้าสามารถกลับไปยังเฟิ่งโจวได้ ก็จะตบรางวัลให้แก่ครอบครัวพวกเจ้าอย่างงาม!” เจียงเจิงเอื้อมมือไปบังเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ พลางกล่าวเสียงหนักว่า “หากยังคงติดตามคุณหนูใหญ่ไม่ปล่อย ต่อไปตามไม่ทันขึ้นมา หรือจะหวังให้คุณหนูใหญ่แบกพวกเจ้าเดินไป? ถึงยามนั้นเมื่อหลุดจากกลุ่ม แล้วถูกข่มเหงจนตัวตายยังเป็นเรื่องเล็ก…พวกเจ้าคิดว่าเรื่องที่พวกเจ้าไม่คิดถึงคนส่วนมาก ไม่คำนึงถึงบุญคุณที่คุณหนูใหญ่ช่วยพวกเจ้ามาก่อนนี้ จนทำให้การหลบหนีของนายล่าช้านั้น จะปิดบังท่านประมุขไปได้หรือ?! ถึงยามนั้นแล้วครอบครัวพวกเจ้า…พวกเจ้าเลือกเอาเองเถิด!”


               คำพูดของเจียงเจิงนั้นกล่าวออกมาอย่างชัดเจนมากแล้ว ว่าเขาต้องการให้ลวี่อีและลวี่ฉือไปก่อน ประการแรกนั้นคือไม่ต้องการจะให้เป็นภาระในการเดินทาง ประการต่อมาก็เพื่อทำให้พวกโจรที่ไล่ตามมาทำงานได้ลำบากยิ่งขึ้น คนที่ตามไล่ล่าพวกเขานั้นมีจำนวนไม่น้อย แม้จะถูกสังหารไปบ้างแล้ว แต่พวกที่เหลืออยู่ก็ยังคงมีจำนวนมาก


               เมื่อพวกมันพบร่องรอยว่าคนที่ตามล่าแยกกันหนีไปคนละทาง ก็จักต้องแยกกันออกไปตามหา… เช่นนี้ก็เท่ากับว่าใช้ลวี่อีและลวี่ฉือแบ่งจำนวนคนที่ตามไล่ล่าออกไป แม้ว่าด้วยความอ่อนล้าที่สาวใช้ทั้งสองมีจะไม่สามารถทำให้แยกออกไปได้นานสักเท่าใด แต่อย่างไรก็สามารถลดความกดดันเรื่องคนที่ไล่ตามมาได้บ้าง


               ไม่มีผู้ใดสามารถหลบเลี่ยงจุดจบจากความตายได้เพราะเหตุนี้


               ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเจียงยังให้ลวี่อีและลวี่ฉือแยกเดินไปก่อน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เชื่อใจพวกนาง และเป็นกังวลว่าเมื่อตนเองแยกไปก่อนหรือไปพร้อมกับพวกนาง เมื่อพวกนางเห็นทิศทางที่ไปแล้ว ไม่ว่าด้วยความเคียดแค้นหรือด้วยความหวาดกลัวก็อาจจะหักหลังและบอกกับพวกโจร!


               เว่ยฉางอิ๋งคิดอยากจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่าเมื่อมองไปยังเว่ยฉางเฟิง นางก็กลับขบริมฝีปากและนิ่งเงียบเอาไว้


               ดังเช่นที่เว่ยฉางเฟิงให้ความสำคัญกับเว่ยชิงมาก แต่หากต้องเลือกระว่างเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิง เขาก็ยังคงต้องละทิ้งเว่ยชิงผู้จงรักภักดี และเลือกพี่สาวของตนเอง ลวี่อีและลวี่ฉือคอยปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งมาแต่เล็ก ความผูกพันของนายและบ่าวนั้นเพียงคิดดูก็รู้แล้วว่ามากมายเพียงใด แต่เพื่อความปลอดภัยของเว่ยฉางเฟิง เว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบยอมรับคำของเจียงเจิง แล้วสละลวี่อีและลวี่ฉือ


               นางลอบขบริมฝีปาก ก้มมองมือทั้งคู่ของตน แล้วคิดอย่างเสียใจว่า ‘ข้าพยายามถึงเพียงนี้แล้ว แต่เหตุใด…มิต้องเอ่ยถึงเรื่องหลังออกเรือน… เพียงแค่สาวใช้สองนาง ยามนี้ข้าก็ยังปกป้องไม่ได้?’


               เพียงสัมผัสถึงสายตาเย็นเฉียบของเจียงเจิง จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งก็กลับสงบลง… ยามนี้หาใช่ยามจะมาเจ็บปวด บนถนนหลวงนั้นมีองครักษ์ล้มตายไปมาก และในนั้นก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นพี่น้องทั้งที่ใกล้ไกลของตระกูลเว่ย… พวกเขากลับถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีผู้ใดยอมแพ้หรือร้องขอชีวิต ด้วยความทุ่มเทของคนเหล่านี้… หากเว่ยฉางเฟิงไม่อาจมีชีวิตรอดกลับไปรุ่ยอวี่ถัง…


               จะว่าโหดร้ายก็ตาม ต่ำช้าก็ช่าง ในยามนี้นางมีเพียงเป้าหมายเดียว ด้วยเหตุนี้ อย่าว่าแต่สาวใช้ แม้แต่ตนเองก็สามารถละทิ้งไปได้โดยไม่ลังเลสักนิด!


               … ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ฉางเฟิงก็จักต้องกลับไปยังรุ่ยอวี่ถังอย่างปลอดภัย!!!


ตอนที่ 62 ข้าแซ่เว่ย

โดย

Xiaobei

               เมื่อผ่านพ้นหมอกขาวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ภาพเบื้องหน้าก็พลันกระจ่างชัด ฝนปรอยๆ ไม่เพียงไม่อาจบดบังสายตา ยิ่งกลับชะล้างทั้งหุบเขาจนชุ่มชื้นเขียวชอุ่ม


               บนหุบเขาไม่ห่างไปนัก กระท่อมไม้แถวยาวที่เพิ่งจะสร้างเสร็จ ยังคงมีกลิ่นอายของไม้ที่เพิ่งตัดออกมาอย่างชัดเจน


               นอกกระท่อมไม้มีกันสาดบังฝนขนาดกว้างหนึ่งจั้งที่ใช้หญ้าแฝกสีเขียวครึ่งเหลืองครึ่งมุงด้านบนเอาไว้ ใต้กันสาดมีชายร่างกำยำสี่ห้าคนนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟ กำลังย่างไก่ป่า กระต่ายป่าสองสามตัว คำพูดจาของคนพวกนี้ล้วนกักขฬะหยาบโลนยิ่ง ทั้งยังมีคนผู้หนึ่งคงเป็นเพราะเกี่ยงว่านั่งข้างไฟแล้วร้อน จึงได้ถอดเสื้อชั้นนอกออกไปเสีย เผยให้เห็นแผงอกที่เต็มไปด้วยขน เมื่อเห็นว่ามีคนจากนอกเขาเข้ามา คนสองสามคนนี้จึงได้กวาดตามองสงเดชไปแวบหนึ่ง ชายร่างกำยำที่เปลือยท่อนบนก็มิได้มีท่าทีจะสวมเสื้อเลยแม้แต่น้อย แล้วหันกลับมายังกระต่ายป่าบนกองไฟ ถามเสียงดังว่า “หู่หนู สองคนนี้คือผู้ใด? พาเข้ามาทำไม!”


               “แขกสำคัญที่คุณชายรอมาหลายวัน” ผู้ที่นำคนเข้ามาในหุบเขาดูท่าแล้วเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบสามสิบสี่ปี สวมเสื้อเนื้อผ้าหยาบมอมแมม แต่ใบหน้ากลับหล่อเหลา ยามพูดจายิ้มแย้มแจ่มใส กระทั่งสองแก้มยังมีลักยิ้มดังเด็กสาวที่เห็นชัดเจนหนึ่งคู่ เขาตอบชายเปลือยร่างท่อนบนไปส่งๆ ประโยคหนึ่ง แล้วหันหน้ามาอธิบายกับแขกที่สวมงอบไว้บนศีรษะและสวมชุดยาวแขนเสื้อกว้างว่า “คนพวกนี้เป็นโจรที่อยู่รอบๆ ภูเขาขอรับ คุณชายบ้านเราไม่ได้คิดว่าพวกมันเป็นชาวบ้านที่มีพิษภัย จึงให้พวกมันมาอยู่ข้างกาย เพื่อคอยรับใช้… พวกมันจึงได้มาทำงานให้คุณชาย แต่ยังมิใคร่เข้าใจเรื่องมารยาท หวังว่าทั้งสองท่านโปรดอย่าได้แปลกใจ”


               ผู้มาเยือนที่เดินอยู่ข้างหน้า ดูไปแล้วคล้ายสูงศักดิ์กว่าอีกคน แต่ตัวกลับสูงกว่ากว่าเด็กหนุ่มเพียงน้อยนิดเท่านั้น เขาเดินนำหน้าไปเล็กน้อย คล้ายแสดงท่าทีว่ามิได้ใส่ใจ ผู้มาเยือนอีกคนที่อยู่ข้างหลังไปครึ่งก้าวมีท่าทีององอาจ กลับเอ่ยถามเสียงหนักว่า “คุณชายของเจ้าอยู่ที่ใด?  ‘เชิญ’ พวกเรามาประสงค์สิ่งใด?”


               เด็กหนุ่มหู่หนูยิ้มแย้มพลางโค้งตัวคำนับ แล้วหันหน้าไปทางห้องในกระท่อมไม้ห้องหนึ่งที่อยู่ห่างจากกองไฟที่สุดเป็นการเชื้อเชิญแขก “คุณชายกำลังรออยู่ในห้อง…เชิญขอรับ!”


               เมื่อก้าวเข้าไปภายในห้อง กลับเห็นว่าแม้ห้องจะว่างเปล่า มีเพียงแท่นนอนที่เพิ่งจะเร่งทำจนเสร็จไม่กี่ชิ้น แต่ในห้องก็ยังแบ่งออกเป็นห้องชั้นในและชั้นนอกสองส่วน


               หู่หนูเชิญพวกเขามานั่งอย่างเอาใจใส่ แล้วไปรินน้ำชาอยู่ข้างๆ จึงได้กล่าวว่า “คาดว่าคุณชายคงจะจดจ่ออ่านหนังสืออยู่ ข้าน้อยจะเข้าไปรายงานสักคำ”


               พวกแขกยกน้ำชาขึ้นมา นำมาแตะที่ริมฝีปากแล้ววางลง ประหนึ่งว่ารับรู้แล้ว


               หู่หนูเดินเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว สักพักหนึ่งจึงได้ยินเสียงที่ไม่ช้าไม่เร็วเกินไปดังออกมาจากข้างใน “แขกมาถึงประตู มิได้ไปต้อนรับ โปรดให้อภัยด้วย!”


               หลังจากเสียงพูดนั้น คนผู้หนึ่งสวมชุดขาวดังเมฆก็เดินออกมา


               เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผู้มาเยือนทั้งสองคนที่นั่งอยู่ก็ตกตะลึงขึ้นมาพร้อมกัน และเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนผู้นี้ ยิ่งตกใจเสียกว่าเดิม…แขกที่สอบถามเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ถึงกับหลุดปากไปว่า “คุณชายซิน?!”


               คนผู้นี้สวมชุดขาวดังเมฆ รูปงามสุขุม ประหนึ่งเดือนงามหิมะขาว เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางทุกสิ่งในห้องไม้นี้ ดูราวไข่มุกล้ำค่าที่มีประกายแวววาว! นี่มิใช่หนุ่มชาวบ้านที่เคยมาแสดงท่าที ‘ฝากตัว’ กับเว่ยฉางเฟิงที่เชิงเขาไผ่น้อย ซึ่งมีนามว่าซินหย่งหรอกรึ?!


                 “เป็นข้าน้อยเอง” ซินหย่งยิ้มราบเรียบ ภายในห้องประหนึ่งมีลมอุ่นพัดมา เขานั่งลงที่ที่นั่งหลัก หู่หนูที่เข้าไปเชิญเขาก่อนหน้านี้เดินไปยืนด้านหลังเขาทันที ทั้งนายและบ่าวแม้ผู้หนึ่งจะสวมเพียงชุดขาวของชาวบ้านธรรมดา อีกคนกระทั่งสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ทว่าเมื่อผู้หนึ่งนั่งผู้หนึ่งยืน และหันหน้ามาหาทุกคนเช่นนี้ ก็หาได้รู้สึกถึงความขัดสนต้อยต่ำของผู้ยากไร้เลยแม้สักน้อย


               บนที่นั่งแขก แม้เว่ยชิงจะมิได้ถอดงอบออก แต่เขาก็นึกสภาพใบหน้าเขียวคล้ำของตนเองได้!


               ซินหย่งมิได้สังเกตเขานัก พลันพุ่งสายตาไปยังที่นั่งของแขกสำคัญทันใดแล้วยิ้มน้อยๆ “คุณชายห้าเดินทางมาลำบาก คาดว่าหากคุณชายมิได้กลับมาเสียที บ้านท่านจักต้องร้อนใจเป็นแน่ ดังนั้นข้าน้อยจักไม่อ้อมค้อมแล้ว กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ที่ข้าน้อยเชิญคุณชายห้ามา นั้นก็เพื่อ…”


               เขายังมิทันพูดจบ ก็เห็นว่า ‘เว่ยฉางเฟิง’ ที่วินาทีก่อนยังนั่งสงบนิ่งอยู่ พลันขยับกายอย่างว่องไวในบัดดล!


               ซินหย่งและหู่หนูที่อยู่ข้างหลังเพียงรู้สึกว่าตาพร่ามั่วไปชั่วขณะ…คอของซินหย่งก็ถูกบีบเอาไว้ แล้วถูกลากลงมาจากที่นั่งหลัก!


               “หากกล้าส่งเสียงสักคำ ข้าจะตัดหูเขาทิ้งเสีย!” เสียงตะคอกที่เย็นเฉียบและแจ่มชัดลอดออกมาจากใต้งอบ!


               หู่หนูพลันมีน้ำโหในสีหน้า แต่คงเพียงเพราะเป็นห่วงซินหยงยิ่งนัก เขาอ้าปากแล้วก็ปิดลงเสีย แล้วเพียงเอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณชายบ้านข้ามิได้มีเจตนาร้ายต่อพวกท่าน ก่อนนี้หากมิได้คุณชายจัดการไปรับ พวกท่านก็คงตายด้วยน้ำมือคนร้ายไปนานแล้ว ไยต้องทำถึงเพียงนี้?! ท่านนี่ช่างแล้งน้ำใจเสียจริง!”


               เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของนาย จึงรีบอธิบายแทนซินหย่ง แต่กลับหลงลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไป แต่ตัวซินหย่งหาได้หลงลืมไม่ ม่านตาของเขาพลันหดเล็กลง แล้วกล่าวอย่างตื่นตระหนกและเคืองโกรธว่า “เจ้า… เจ้าไม่ใช่เว่ยฉางเฟิง! เจ้าเป็นผู้ใดกัน?!”


               งอบที่เปียกชุ่มถูกเปิดขึ้น แล้วโยนไปบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่แข็งกร้าวหากยังไม่สูญเสียความงดงามไป ดวงตาของหญิงสาวดำวาวโดดเด่น จับจ้องไปยังซินหย่งอย่างเย็นชา นางบีบมือแน่นเข้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ไปว่า “เลิกพูดไร้สาระ! เป็นผู้ใดสั่งการเจ้ามา? พวกคนลอบโจมตีและเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกัน!”


               “ข้ารู้แล้ว” ขณะที่ชีวิตอยู่ในกำมือผู้อื่น ซินหย่งผู้นี้กลับสุขุมจนน่าประหลาด ความแปลกใจที่มีหญิงสาวปลอมตัวเป็นเว่ยฉางเฟิงของเขานั้นพลันสลายไปในพริบตา ขณะที่ถูกบีบคอ เสียงของเขาแหบพร่า แต่ยังคงพูดอย่างได้จังหวะไม่ช้าไม่เร็วว่า “ท่านเป็นพี่สาวร่วมท้องของเว่ยฉางเฟิง คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเว่ย เว่ยฉางอิ๋ง? ได้ยินว่าด้วยเหตุที่ว่าที่สามีของท่านคือบุตรหลานของสกุลเสิ่นแห่งซีเหลียง จึงได้ฝึกวรยุทธมาแต่ยังเยาว์เพื่อให้บ้านสามีเอ็นดู… เดิมทีนึกว่าในเมื่อต้องการเอาใจให้บ้านสามีดีใจ จึงร่ำเรียนส่งเดชไปสักสองสามกระบวนท่า เมื่อไปถึงบ้านเสิ่นแล้วจักได้พูดคุยกับเสิ่นจั้งเฟิงได้รู้เรื่อง…ไม่คิดว่าจะมีฝีมือถึงเพียงนี้! ดูท่าแล้วคำเล่าลือก็เป็นเพียงคำเล่าลือ ท่านจักต้องไม่เพียงต้องการเอาใจบ้านสามีจึงได้ฝึกวรยุทธ มิเช่นนั้น…”


               เว่ยฉางอิ๋งตบหูเขาไปฉาดหนึ่งอย่างไม่ร้อนรน เพื่อตัดบทคำของเขา ใบหน้าขาวยองไยของซินหย่งพลันบวมแดงขึ้นมาแถบหนึ่ง… ชายผู้นี้สง่างามเหนือคน แต่เมื่อว่ากันเรื่องความสามารถกลับเป็นเช่นเว่ยฉางเฟิง ที่ต่างก็เป็นบัณฑิตที่อ่อนแอบอบบาง หู่หนูเห็นดังนั้นก็โมโหโกรธายกใหญ่ เขากำหมัดแน่น กล่าวเสียงหนักว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ย ความน่าเกรงขามของท่าน ทำได้เพียงลงมือเช่นนี้กับคุณชายบ้านเราซึ่งเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอเช่นนั้นรึ? ไม่คิดหรอกหรือว่า ครานี้หากมิได้คุณชายส่งกำลังคนไป พวกท่านไม่กี่คนนี้จะยังคงรักษาชีวิตเอาไว้ได้?!”


               “ในเมื่อเจ้าสามารถส่งคนไปขวางพวกลอบทำร้ายเหล่านั้นได้ คิดไปคงรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ไปแจ้งเตือนก่อน? หากแต่ยื่นมือเข้ามาแทรกกลางทาง อาศัยช่วงที่มีอันตราย บีบบังคับให้ฉางเฟิงพาเว่ยชิงเพียงผู้เดียวมาหาเจ้าด้วยตนเอง… เจ้ายังกล้าว่าเจ้ามิมีแผนการใดรึ?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะหนหนึ่ง ไม่ใส่ใจหู่หนู หากแต่จ้องตรงไปที่ซินหย่งแล้วว่า “พูด! เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ แล้วเป็นผู้ใดบ้านไหนส่งมา บังอาจลอบทำร้ายพวกเราพี่น้อง?!”


               ยามนางเอ่ยถามก็ออกแรงบีบมือไปโดยไม่รู้ตัว ซินหย่งถึงกับไอออกมาอย่างแรง เว่ยฉางอิ๋งบีบอยู่พักใหญ่ จึงยอมคลายแรงลงบ้าง แต่กลับเห็นว่าซินหย่งหัวเราะออกมา “หากข้าน้อยมีเจตนาร้าย ลำพังไม่เอ่ยถึงว่าเหตุใดก่อนหน้านี้จึงส่งคนไปช่วยพวกท่าน ก็เอ่ยถึงว่ายามนี้ให้พวกท่านเข้ามาภายในห้อง และพบกันเพียงลำพัง… ต่อให้ผู้ที่มาวันนี้มิใช่คุณหนูใหญ่ คุณชายชิงของตระกูลท่านผู้นี้ ก็มิใช่เป็นผู้ห้าวหาญองอาจหรอกหรือ? และคนสองสามคนนอกกระท่อมนั่น คาดว่าคุณหนูใหญ่คงจักได้เห็นแล้ว แม้จะต่ำต้อย แต่ก็เป็นพวกที่ทำทุกสิ่งได้โดยไม่คำนึงถึงชีวิต! แม้ว่าพวกมันหนึ่งคนจะมิได้มีฝีมือสูงส่งเช่นคุณหนูใหญ่… แต่หากบุกเข้ามาพร้อมกัน คิดว่าคุณหนูใหญ่และคุณชายชิงก็คงต้องปวดหัวกระมัง? หากข้าน้อยต้องการจะป้องกันทั้งสองท่าน ยามนี้ฝนก็ยังตกอยู่ ไยต้องให้พวกมันออกไป แล้วไม่ให้พวกมันรออยู่ด้วยกันในนี้เล่า?!”


               เว่ยฉางขมวดคิ้ว ราวกับว่ายังเชื่อถือไม่ได้ มือหนึ่งกลับไพล่ไว้ด้านหลัง แล้วแอบส่งสัญญาณลับ เว่ยชิงเข้าใจ ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง แล้วกล่าวเตือนด้วยเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่ คำของคนผู้นี้มีเหตุผล ไยไม่ปล่อยเขาไป แล้วค่อยๆ สอบถามสาเหตุอย่างละเอียดเล่า?”


               “เห็นแก่ที่ลูกผู้พี่ขอร้องให้เจ้า ข้าจักเชื่อเจ้าสักชั่วเค่อ!” เว่ยฉางอิ๋ง ‘ลังเล’ อยู่เกือบเค่อจึงได้ยอมคลายมือออก แต่ก็ยังคงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เพียงแค่ จะให้ดีเจ้าและคนรับใช้คนนี้ของเจ้าฟังคำสักหน่อย หากมิใช่ว่าจะทำให้คนข้างนอกตื่นตระหนก ก็อย่าได้หาว่าข้าลงมืออย่างไร้น้ำใจ!”


               “กระท่อมไม้คับแคบ ทั้งเจ้าบ้านและแขกห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ด้วยฝีมือของคุณหนูใหญ่และคุณชายชิง ความเป็นตายของพวกข้าทั้งนายบ่าว ก็มิใช่จะอยู่ในมือทั้งสองท่านหรอกรึ? ในเมื่อข้าน้อยได้โยกย้ายผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไป แล้วรับทั้งสองท่านเข้ามา ย่อมมิได้มีเจตนาร้าย… และหาได้มีเรื่องต้องละอายใจไม่” ซินหย่งกระแอมไอแล้วยืดตัวยืนขึ้น บนในหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ไม่เปลี่ยน กลับกลายเป็นหู่หนูเสียอีกที่รีบไปที่มุมห้องแล้วนำผ้าเช็ดหน้ามาให้เขาเช็ดบาดแผลที่ลำคอ พลางกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “คุณชายเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?”


               ซินหย่งรับผ้าเช็ดหน้ามากดไว้ที่ลำคอ แล้วสะบัดมือ หู่หนูจึงได้ถอยหลบไปข้างๆ อย่างจนใจ ได้ยินเพียงซินหย่งกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เดิมทีคำที่ข้าน้อยจะกล่าวนั้น ควรคุยกับเว่ยฉางเฟิงเป็นดีที่สุด ทว่าคุณหนูใหญ่รักใคร่น้องชาย แล้วปลอมตัวเป็นเขามา… และข้าน้อยก็กลับมิอาจจะอยู่ที่นี่ได้นานนัก จึงทำได้เพียงพูดกับคุณหนูใหญ่แล้ว”


               ระหว่างที่พูด เขามองเว่ยชิงหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “ลูกผู้พี่เป็นดังพี่ชายแท้ๆ ไม่มีสิ่งใดที่ฟังไม่ได้”


               เว่ยชิงกลับไม่กล้าปล่อยให้เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นคุณหนูสูงศักดิ์อยู่ลำพังกับซินหย่งนายบ่าว ด้วยเหตุนี้จึงมิได้มีท่าทีจะหลบเลี่ยงออกไป


               ซินหย่งยิ้มออกมาหนหนึ่ง แล้วว่า “สิ่งที่ข้าน้อยจะบอกแก่คุณหนูใหญ่ก็คือ คุณหนูใหญ่น่าจะรู้ว่าผู้ลอบทำร้ายที่พบเจอในครานี้เป็นผู้ใดสั่งการมา?”


               “ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่บังอาจลอบทำร้ายผู้สืบสกุลสายหลักของตระกูลเว่ยในเขตเฟิ่งโจว ก็จักต้องตายสถานเดียว!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างทะนงตน


               ซินหย่งเห็นได้ว่านางไม่มีท่าทียินยอมลดละความโอหัง จึงกลับหัวเราะออกมาอย่างมีเงื่อนงำ แล้วว่า “ความปราดเปรื่องของฉางซานกงนั้น ในยามนั้นเป็นที่รู้กันทั้งในราชสำนักและประชาชน หนก่อนที่ตีนเขาไผ่น้อย ข้าน้อยได้พูดคุยกับคุณชายห้าคราหนึ่ง คุณชายห้ามีความฉลาดหลักแหลม แม้อายุยังน้อย แต่กลับมีคุณลักษณะเช่นคนตระกูลใหญีพึงมี! ทว่ายามนี้ ดูไปแล้วคุณหนูใหญ่ก็หาใช่ว่าคนธรรมดาจะเทียบเทียม…”


               เว่ยฉางอิ๋งฟังคำพูดนี้แล้ว คิ้วเข้มของนางขมวดเข้าเล็กน้อย และฟังซินหย่งพูดต่อไปว่า “เมื่อคุณหนูใหญ่เข้ามาก็ลงมือทันที ดูท่าช่างหยิ่งผยองและเหี้ยมหาญ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีเจตนาที่ลึกล้ำ… ทางหนึ่งเป็นกังวลว่าเบื้องหลังของข้าน้อยจะยังมีผู้อื่นที่ประสงค์ร้ายต่อคุณหนูใหญ่ หากข้าน้อยเป็นตัวประกันไม่ได้ ก็ยังเป็นแผงกำบังลูกธนูได้ อีกทางหนึ่ง หากสามารถทำให้ข้าน้อยตื่นตกใจเสียจนพูดสิ่งที่รู้ออกมา และพูดอย่างไม่ปิดบังใดๆ ได้เป็นดีที่สุด หากไม่เป็นเช่นนั้น ดีชั่วคุณหนูใหญ่ก็เป็นหญิง ต่อให้หลังจากนี้ข้าน้อยพิสูจน์ได้ว่าคุณหนูใหญ่เข้าใจผิด คุณหนูใหญ่ก็เพียงสำนึกผิดอย่างจริงใจ ข้าน้อยเป็นชายชาตรีก็คงไม่อาจจะไล่เรียงเอาความกับคุณหนูไม่เลิกรา ใช่หรือไม่?”


                เขาหรี่ตา ยิ้มอย่างราบเรียบ “หากเพียงเพื่อบีบบังคับและตบตีข้าน้อย… คุณหนูใหญ่ก็สามารถให้คุณชายชิงผู้นี้ลงมือ แล้วไยต้องเสื่อมเสียเกียรติ ใช้มือนี้มาลงมือด้วยตนเองและสัมผัสกับเนื้อตัวของข้าน้อยเล่า?”


               เว่ยฉางอิ๋งฟังจนถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าค่อยๆ หนักอึ้งลง กำลังจะเอ่ยบางสิ่ง ซินหย่งกลับยังไม่ยอมหยุด รีบพูดต่อไปว่า “ที่คุณหนูใหญ่ลงมือด้วยตนเอง ย่อมเพราะเตรียมการเอาไว้ว่าหากอีกสักพักมีเหตุให้ต้องเก็บกวาด คุณหนูใหญ่ก็จะสามารถใช้ฐานะที่เป็นหญิงทำให้หนักกลายเป็นเบาได้ก็เพียงเท่านั้น! อย่างไรหากเป็นคุณชายชิงลงมือ เขาทั้งเป็นชายและมีฐานะเป็นองครักษ์ หากข้าน้อยจงใจทำให้เขาลำบาก .. แม้คุณใหญ่จะไม่ยินยอม ก็เกรงว่าเพื่อคุณหนูใหญ่แล้ว คุณชายชิงก็จะไม่ยอมรามือ เห็นได้ว่าแม้คุณหนูใหญ่จะย้ำแต่ว่าสงสัยในความจริงใจของข้าน้อยว่าเป็นมิตรหรือศัตรู แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังไม่กล้าตัดสินชัดเจน เพียงแต่คุณหนูใหญ่มีฐานะสูงส่ง ครานี้กลับถูกข้าน้อยส่งคนไปเชิญมาอย่างฝืนใจ ทั้งยังไม่รู้สักน้อยว่าข้าน้อยมีเจตนาใด… ในยามที่ไม่ยินยอมจะพูดคุยแต่กลับต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จึงได้ใช้วิธีเช่นนี้ เพื่อต้องการทดสอบดู จึงได้วางแผนชิงลงมือก่อน!”


               “จะว่าไป แม้ข้าน้อยจะมองแผนการของคุณหนูใหญ่ได้อย่างชัดเจน ทว่าก็ยังวางท่าไม่ลง จนยังมาหาเรื่องระรานคุณหนูหลังจากที่ตนเองเสียท่าไปเมื่อครู่นี้ หากผู้ที่ลงมือเมื่อครู่นี้เป็นคุณชายชิง ข้าน้อยก็ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในฐานะจำยอมเช่นนี้แล้ว”


               “ฉางซานกงมีคนรุ่นหลังเช่นนี้ นับเป็นโชคใหญ่หลวงจริงๆ” ซินหยิ่งคล้ายจักหัวเราะจนลืมตัว แล้วส่ายหัว พูดจนถึงตรงนี้จึงได้หยุดปากลง


               เว่ยฉางอิ๋งขบคิดอยู่เกือบเค่อ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะเย็นออกมา “เจ้าอธิบายการกระทำของข้าทุกๆ อย่างตั้งแต่ข้าเขาประตูมา ทั้งยังจงใจเอ่ยเรื่องที่ยามข้าบีบคอเจ้านั้นได้สัมผัสเนื้อตัวเจ้า! ก็มิใช่มีเจตนาจะทำให้ข้าเสียสมาธิ จักได้ไม่มีแก่ใจมากลั่นกรองคำพูดที่เจ้าจะพูดต่อไปได้อย่างเต็มที่ก็เท่านั้น! ว่าไปแล้วในยามนี้ข้ามีเพียงลูกผู้พี่อยู่ด้วย ภายนอกหุบเขานี้ยิ่งมีค่ายกลอำพรางไว้ หากไม่มีเด็กหนุ่มชื่อหู่หนูผู้นี้นำทาง พวกข้าก็ถึงขั้นออกไปจากหุบเขาไม่ได้! หากสังหารเจ้าแล้ว พวกข้าก็มิอาจมีชีวิตรอดเช่นกัน ดังนั้นในหุบเขานี้ ผู้ที่ได้เปรียบจริงๆ มิใช่เจ้าหรอกรึ? แต่เห็นไดว่าเจ้าก็ไร้ความเชื่อมั่นจะเกลี่ยกล่อมข้าต่อไป จึงได้ใช้วิธีเช่นนี้ ให้มีโอกาสมีชัยมากขึ้น! เมื่อใจเจ้าสั่นคลอนแล้ว ด้วยเห็นว่าเรื่องนี้มิอาจสำเร็จได้ ไยต้องแข็งขืน?”


               ซินหย่งได้ยินคำพลันหัวเราะเสียงดัง “คำกล่าวนี้ของคุณหนูใหญ่ ก็มิใช่ว่าต้องการจะทำให้ข้าน้อยเสียสมาธิหรอกหรือ?” รอยยิ้มของเขาพลันหายไปทันที แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ดีมาก! ฉางซานกงมีหลานแท้ๆ เช่นเจ้าและเว่ยฉางเฟิงทั้งคู่นี้ ดูท่าแล้วอนาคตของรุ่ยอวี่ถังก็ยังคงมีโอกาสจะสืบทอดต่อไปในสายของพวกเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็พอจะไปพิจารณาว่าจะติดต่อกับฉางซานกงต่อไป!”


               เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก “ท่าน…ท่านเป็นผู้ใดกันแน่? ในตระกูลสูงศักดิ์มิเคยได้ยินว่ามีตระกูลใหญ่แซ่ซินเลย เมื่อเรื่องจนถึงบัดนี้แล้ว ท่านยังต้องแสดงละครตบตาด้วยการปลอมตัวเป็นชาวบ้านดังเช่นที่ตีนเขาไผ่น้อยไปไย?”


               นางจดจ้องไปยังคนชุดชาวดังเมฆตรงหน้า “บังอาจถาม…ท่านเป็นคนของตระกูลใด?!”


               ซินหย่งคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มและมองไปที่นาง เกือบเค่อจึงได้เอ่ยออกมาที่ละคำว่า “ข้า  แซ่  เว่ย!”


_____________________________


ตอนที่ 63 เบื้องหลังซับซ้อน

โดย

Xiaobei

                เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงต่างนิ่งเหม่อ เว่ยซินหย่งยิ้มถากถางคราหนึ่งแล้วว่า “บุตรชายอนุแห่งจือเปิ่นถาง เว่ยชิงหย่ง…หากจะนับไป คุณหนูใหญ่ควรจะเรียกข้าว่าท่านอาจึงจะถูก!”


                “ท่านคือ…หลานชายของจิ่งเฉิงโฮ่ว?” สายตาของเว่ยฉางอิ๋งจ้องนิ่ง


                เว่ยซินหย่งกล่าวอย่างราบเรียบ “มิผิดฐานะเดียวที่บิดาผู้ล่วงลับเป็น ก็คือน้องชายคนละแม่ของเว่ยฉี!”


                เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงสบตากัน ในดวงตาต่างมีแววของความสงสัย


                จือเปิ่นถังต้องการช่วงชิงตำแหน่งตระกูลสายหลักของรุ่ยอวี่ถัง ข้างฝ่ายจิ่งเฉิงโฮ่วเว่ยฉีก็ต้องการตำแหน่งเสาหลักของแคว้นของเว่ยฮ่วน…แม้ฉากหน้าจะไม่มีผู้ได้ประกาศออกมา แต่สำหรับผู้ที่เป็นคนรุ่นหลังและบุตรหลานสายเลือดตรงในตระกูลซึ่งเว่ยฮ่วนฝากฝั่งความหวังอันใหญ่หลวงเอาไว้ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้อย่างไร? จะว่าไปเว่ยซินหย่งผู้นี้แม้จะเป็นคนของจือเปิ่นถัง ทั้งยังเป็นหลานชายของเว่ยฉี กว่าครึ่งหนึ่งจะต้องมีความเกี่ยวพันกับพวกลอบสังหารครานี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำกล่าวว่าไม่มีเจตนาร้ายและไร้เรื่องละอายใจที่ว่าไว้ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงเรื่องไร้แก่นสารอย่างยิ่งเสียแล้ว


                 ทว่าเว่ยซินหย่งกลับเอาแต่เรียกชื่อเว่ยฉีตรงๆ อยู่ตลอดเวลา หาได้มีความเคารพจิ่งเฉิงโห่วผู้นี้แต่อย่างใดไม่ จึงกลับดูไม่เหมือนบุตรหลานของจือเปิ่นถังเอาเสียเลย?


                แล้วฟังเว่ยชิงหย่งกล่าวต่อไปว่า “ข้าและเว่ยฉีพ่อลูกมีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน นับแต่สิบปีก่อนก็สมัครใจมาคอยสืบหาความลับของจือเปิ่นถังและรายงานให้ฉางซานกงล่วงรู้ เพื่อเป็นการขอบคุณ ฉางซานกงจึงได้มอบเงินทองจำนวนมากมาช่วยเหลือข้าอย่างลับๆ จึงพอให้ข้าได้เลี้ยงชีพและร่ำเรียน… การแลกเปลี่ยนนี้เดิมทีก็ราบรื่นและมั่นคงมาโดยตลอด ทว่าสองปีนี้ในเฟิ่งโจวสงบนิ่งนัก และฉางซานกงก็สูงวัยมากแล้ว ข้าจึงสงสัยยิ่งว่าจะติดต่อกับฉางซานกงต่อไป หรือต้องหาผู้อื่น… พอดีกับที่ข้าได้ตัดสินใจออกจากเมืองหลวง จึงได้เดินทางมาดูด้วยตนเอง ยามนี้ได้เห็นพวกเจ้าพี่น้องดูท่าใช้การได้ อย่างนั้นการร่วมมือนี้ก็ยังมีต่อไปได้”


                เว่ยฉางอิ๋งไม่ชอบวิธีการพูดจาดังผู้สูงศักดิ์มีต่อผู้น้อยอย่างที่เขาทำเป็นอย่างมาก จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เรื่องราวเป็นเช่นนี้หรือไม่ ยังมิทันได้พบท่านปู่ ลำพังเพียงคำท่านไม่กี่คำ ยังตกลงสิ่งใดไม่ได้ ท่านว่าท่านและเว่ยฉีพ่อลูกมีความแค้นใหญ่หลวง แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นความแค้นใด ที่ทำให้ท่านไม่แยแสและหักหลังจือเปิ่นถัง? ความจริงแล้วเว่ยฉีก็ยังเป็นบุตรสายเลือดตรง ในยามนี้ก็รับช่วงดูแลจือเปิ่นถัง ไยต้องมาถือสาคนรุ่นหลังเช่นท่าน?”


                หลังจากเอ่ยถามไปแล้ว คนที่สงบนิ่งมาโดยตลอดอย่างเว่ยซินหย่งก็มิได้เอ่ยคำใดเลยอยู่ครึ่งเค่อเต็มๆ จากนั้นเนิ่นนาน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วจ้องมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งด้วยแววตาที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ พลางว่า “ข้าไม่อยากได้ยินคนเอ่ยถามคำถามนี้ เจ้าอย่าได้ถามอีกเป็นดีที่สุด… ครานั้นยามข้าไปหาท่านปู่ของเจ้า ยังมิทันโตเท่าหู่หนูผู้นี้เสียด้วยซ้ำ แต่แม้จักเป็นเช่นนั้น ฉางซานกงก็หาได้มองข้าเป็นข้าบริวาร ข้ากับเขาก็ต่างคนต่างหยิบฉวยสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น! เจ้าคิดว่าเจ้าจะปราดเปรื่องและเก่งกาจว่าฉางซานกงเมื่อสิบปีก่อนรึ? เจ้ากับเข้าได้พูดคุยกันหนแรก ต่างทดสอบซึ่งกันเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่เมื่อล้ำเส้นกันและกันแล้วเกรงจะมีแต่เสียไม่มีได้ และเป็นเพียงเรื่องโง่ๆ เท่านั้น!”


                ท่าทีแข็งกร้าวของเขาที่พลันเกิดขึ้นทำให้บรรยากาศภายในห้องแข็งกร้าว สายตาของหู่หนูพลันมองเห็นโอกาสในวิกฤต เว่ยชิงกลับขมวดคิ้วและขบคิดอย่างรวดเร็วว่าจักรอมชอบสถานการณ์นี้ได้อย่างไร… เว่ยฉางอิ๋งพลันหัวเราะเย้ยหยันออกมาแล้วกล่าวอย่างไม่ยอมลงให้ว่า “ข้าหาได้ปราดเปรื่องเก่งกาจเช่นท่านปู่ไม่! เพียงแต่ท่านคงจักหลงลืมไป เมื่อครู่นี้ท่านก็ได้กล่าวแล้วว่า ในห้องที่มีขนาดเพียงเท่านี้ ด้วยกำลังแสนบอบบางของพวกท่านนายบ่าวสองคน เป็นตายก็ขึ้นอยูกับข้า! แล้วท่านยังกล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า?”


                สองคนไม่ใครยอมให้ใคร ต่างจ้องกันตาเขม็งอยู่เกือบเค่อ แต่ก็ยังเป็นเว่ยซินหย่งเก็บสายตานั้นไปก่อนแล้วส่ายหัวพูดว่า “ดังนั้นข้าจึงต้องให้เว่ยฉางเฟิงมา เว่ยฉางเฟิงที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อให้เป็นประมุขในอนาคต จักเข้าใจดีว่าเวลาใดควรสงบปากสงบคำ! ส่วนคุณหนูใหญ่ที่ถูกเอาใจจนเสียคนเช่นเจ้า กลับรู้จักเพียงไม่ยอมลงให้ผู้ใด”


                เห็นชัดว่าคำถามเมื่อครู่นี้ของเว่ยฉางอิ๋งแทงใจดำของเขาเสียแล้ว น้ำเสียงของเว่ยซินหย่งเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบในทันใด เขาไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งตอบโต้คำกล่าวนี้ ก็พูดต่อทันทีว่า “ข้าไม่อยากจะพูดกับเจ้าให้มากความ คำพูดต่อไปจักให้เจ้าส่งต่อแก่ฉางซานกง ข้าจักพูดเพียงหนเดียว เจ้าจงจำให้ดี!”


                “ผู้ที่ลอบสังหารพวกเจ้าพี่น้อง เป็นตระกูลหลิวพามา โดยอาศัยข้ออ้างว่ามาส่งผู้สืบสกุลมาที่เฟิ่งโจวและยังคงแฝงตัวอยู่ใกล้ๆ เฟิ่งโจว! เหตุที่สามารถลอบทำร้ายพวกเจ้าได้ ก็เพราะสะใภ้ของจิ้งผิงกงได้สอบถามกับหลิวซีสวินที่ไปร่วมงานเลี้ยงในรุ่ยอวี่ถังก่อนนี้เรื่องเวลาที่พวกเขาจะออกเดินทางจากเฟิ่งโจว!”


                “มองจากฉากหน้า ครานี้ทางสายของพวกเจ้าลำบากเอาการ แต่ความจริงแล้วเจ้าและเว่ยฉางเฟิงยังคงปลอดภัยดี จึงกลับพูดได้ว่าเพียงถูกรังแกเล็กน้อย… คาดว่าฉางซานเฟิงคงจักใช้ข้ออ้างอันใหญ่หลวงนี้ไปสอบสวน ‘ปี้อู๋’ ที่ไม่อาจเร่งมาได้ทันกาล ความเกรียงไกรของรุ่ยอวี่ถังสายนี้ในภายภาคหน้า ก็จักสามารถอยู่ในกำมือของฉางซานกงอย่างแท้จริงเสียที…”


                เว่ยฉางอิ๋งจักเอาแต่พะวงกับคำพูดที่เขาพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกแล้ว พลางกล่าวอย่างงงงันว่า “ช้าก่อน! ‘ปี้อู๋’ เป็นองครักษ์ลับของบ้านตระกูลเว่ยของข้า เหตุใดจังมิได้อยู่ในการควบคุมของท่านปู่อย่างแท้จริง?!”


                เว่ยซินหย่งกวาดตามมองนางอย่างเย็นชาหนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างถากถางว่า “ตัวเจ้าเองเป็นบุตรสาวคนโตสายเลือดตรงของบ้านใหญ่ หรือลืมไปแล้วว่าฉางซานกงนั้นหาใช่บุตรของบ้านใหญ่และหาใช่บุตรคนโตไม่! ครานั้นท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าได้มอบตำแหน่งประมุขให้แก่ฉางซานกง ว่ากันตามหลักแล้ว ‘ปี้อู๋’ ก็ควรจะอยู่ในภายใต้อาณัติของประมุข แต่ฮูหยินของท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าเป็นกังวลว่าฉางซานกงจะไม่รู้จักพอและวางแผนฮุบเอาบรรดาศักดิ์จิ้งผิงกงที่สืบทอดกันมายาวนาน ด้วยเหตุนี้จึงได้เกลี่ยกล่อมให้ท่านทวดของเจ้ามิได้มอบ ‘ปี้อู๋’ ให้ฉางซานกงดูแล หากแต่มอบให้แกจิ้งผิงกงคนปัจจุบัน… เมื่อฉางซานกงต้องการใช้ ‘ปี้อู๋’ ทุกครั้งก็จักต้องไปรายงานต่อจิ้งผิงกงเสียก่อน แล้วมีจิ้งผิงกงเป็นผู้ออกคำสั่ง! แม้จิ้งผิงกงจะเจรจาความง่าย และไม่ชอบธรรมเนียมเช่นนี้ ทุกครั้งที่ฉางซางกงเอ่ยขอ ไม่ถามแม้แต่เหตุผลเขาก็รับคำแล้ว… ทว่าเมื่อบุตรชายของท่านลุงจิงผิงกงของเจ้าเติบโตแล้ว ก็ได้รับเรื่องเหล่านี้ไปดูแล!”


                เขายิ้มเยาะพลางถามว่า “เจ้าและเว่ยฉางเฟิงมีฐานะสูงศักดิ์เพียงใดในรุ่ยอวี่ถัง? เหตุใดคนข้างกายเจ้าจึงมิแทบเคยเห็นคนของ ‘ปี้อู๋’? นั่นเพราะแม้ฉางซานกงจะพยายามมาหลายปี และได้ความภักดีจากคนบางส่วนใน ‘ปี้อู๋’ แต่แท้ที่จริงแล้วฐานะไม่ชัดแจ้งก็พูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ! ทั้งยังกลัวว่าหากบังคับยึดเอา ‘ปี้อู๋’ จักเป็นการกระตุ้นให้บุตรชายของจิ้งผิงกงทำการบางอย่างในยามจนตรอก เห็นได้จากที่กระทั้งผู้ที่อยู่ข้างกายเว่ยฉางเฟิงก็เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาๆ เท่านั้น! และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ยามนี้เว่ยฉางเฟิงอายุสิบห้าปีแล้ว แต่ฉางซานกงกลับยังไม่ยอมให้เขาไปเป็นขุนนางในเมืองหลวง… ไม่อาจใช้งาน ‘ปี้อู๋’ ได้โดยตรงยังไม่ว่า กระทั่งเชื่อถือก็ยังมิได้เลย! ยิ่งไปกว่านั้นสายเลือดของฉางซานกงมีเพียงแค่หลานชายผู้นี้ผู้เดียว แล้วจักกล้าให้เขาไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร?”


                “หลายเดือนก่อน ฉางซานกงเดินทางไปปราบปรามกองโจรที่เขาเฟิ่งฉีด้วยตนเอง…โอ๋.. โจรโฉดเหล่านั้นก็คือพวกที่อยู่ข้างนอกสองสามคนนั่นและยังมีพวกที่เคยช่วยพวกเจ้าด้วย เจ้าคงจะรู้ว่านี่เป็นเพราะสาเหตุใด?” เว่ยซินหย่งกล่าวเงียบๆ ว่า “พวกโจรกลุ่มนี้เป็นสินน้ำใจที่ข้าทำให้แก่ฉางซานกงมานับสิบปี ส่วนการต่อสู้กับกองโจรในครานั้น…ในยามที่ฉางซานกงจะออกเดินทางนั้นเอง ก็ได้ไปดึงดันขอเอา ‘ปี้อู๋’ ในกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดและจงรักภักดีต่อบุตรชายของจิ้งผิงกงที่สุดมาจากมือของบุตรชายจิ้งผิงกง และพวกมันก็รบอยู่บนเขาเฟิ่งฉีจนตายไปแทบทั้งหมด!  ลำพังแค่พวกมันไม่กี่คนข้างนอกนั่นก็ลงมือสังหาร ‘ปี้อู๋’ ที่กำลังนอนหลับฝันแล้วถูกพวกของตนเองมัดเอาไว้ไปสิบกว่าคนแล้ว! ทั้งยังมีที่ตายไปในการสู้รับครั้งใหญ่ที่เมืองทางเหนืออีกจำนวนหนึ่ง… หากคนพวกนี้อยู่ในมือของฉางซานกง แล้วพวกลอบสังหารที่ตระกูลหลิวไปหามาอย่างยากลำบากเหล่านั้น มีหรือจะสังหารคนของพวกเจ้าจนยับเยินได้ง่ายดายเช่นนี้?!”


                “แน่นอนว่า พวกลอบสังหารที่พวกเจ้าพบครานี้ และที่ฉางซานกงลอบลงมือกับ ‘ปี้อู๋’ ทั้งสองหนนั้นก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างมาก อย่างไรเสียไม่ว่าจะว่ากันเรื่องอาวุโสหรือว่ากันเรื่องกลวิธีของฉางซานกงแล้วล้วนด้อยกว่าบุตรชายของจิ้งผิงกง


 หากให้ฉางซานกงลงมือเช่นนี้อีกหนสองหน ไม่ช้าก็เร็ว ‘ปี้อู๋’ ก็จะต้องออกจากอาณัติของจิ้งผิงกง! หนนี้บุตรชายจิ้งผิงกงก็ถูกฉางซานกงบีบบังคับอย่างยิ่งยวดแล้ว…”


                สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งถอดสีจนเขียวคล้ำ จนแทบจะยืนไม่ติด พลางว่า “ความหมายของเจ้าคือ การลอบสังหารหนนี้เป็น…เป็นท่านลุงของข้าและตระกูลหลิวร่วมมือกัน?”


                “บางทีอาจยังมีองค์ฮองเฮารวมอยู่ด้วย?” เว่ยซินหย่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ดีชั่วอย่างไร คนที่อยากเห็นหายนะของฉางซานกงมีมากมายนัก อย่างเช่นว่าครานี้จือเปิ่นถังก็มิใช่ว่าไม่ได้เตรียมการจะมีส่วนร่วมด้วย”


                เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแน่น กล่าวว่า “จือเปิ่นถังทำการใด?”


                เว่ยซินหย่งพูดอย่างราบเรียบ “ควรจะกล่าวว่าเตรียมทำการใด… ที่พวกเจ้าพี่น้องต่างไม่เป็นไร โดยเฉพาะที่เว่ยฉางเฟิงปลอดภัยจากอันตรายและรอดไปได้ ก็แน่นนอนว่าจือเปิ่นถังหาได้ทำการใดไม่”


                “…” เว่ยฉางอิ่งก้มหน้าลงขบคิดอยู่เกือบเค่อ ที่สุดก็เข้าใจแล้ว “หรือจักเกี่ยวพันกับท่านอารองของข้า?”


                …พวกลอบทำร้ายเป็นตระกูลหลิวนำมา โอกาสลงมือนั้นหลอกถามมาได้จากหลิวซีสวิน จวนจิ้งผิงกงก็ไม่มีทางมั่นใจได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะรบเร้าแม่เฒ่าซ่งให้นางออกมาส่งคนที่นอกเมือง ดังนั้นแล้วเป้าหมายการลอบสังหารครานี้ก็คือเว่ยฉางเฟิง


                เว่ยเจิ้งหย่าบุตรชายของจิ้งผิงกง… ก็คือคนที่เว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิง เว่ยเกาชวนต่างเรียกขานว่าท่านลุง การที่เขาจงใจวางแผนทำร้ายหลานในสายตระกูลหลัก เป้าหมายนั้นนอกจากตำแหน่งประมุขของตระกูลแล้วจะยังมีสิ่งใดได้อีก?


                แต่แม้ว่าแม่เฒ่าซ่งจะกล่าวเตือนเว่ยฮ่วนหนแล้วหนเล่า และตัดสินใจฝึกฝนให้เว่ยฉางเฟิงรับหน้าที่ดูแลรุ่ยอวี่ถังต่อไป ทว่าหากเว่ยฉางเฟิงเกิดเรื่อง ต่อให้เว่ยฮ่วนจะโศกเศร้าเสียใจก็ส่วนโศกเศร้าเสียใจ ในสายของเขาก็มิใช่ว่าไม่มีผู้สืบสุกลคนอื่นๆ อย่างไรก็ไม่ควรจะไปลงมือที่รุ่นหลาน เพียงแต่นอกจากเว่ยฉางเฟิงแล้ว ผู้ที่มีโอกาสจะรับช่วงตำแหน่งประมุขอย่างไร้ข้อกังขาก็คือเว่ยเซิ่งอี๋


                …เรื่องที่แม่เฒ่าซ่งกีดกันบุตรชายของอนุผู้นี้หาใช่ความลับใดไม่ ไม่กี่เดือนก่อน ด้วยเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งถูกฮูหยินซูตำหนิ จึงได้ร้อนรนดังไฟสุมและเรียกให้เว่ยฉางซุ่ยกลับมาเป็นตัวประกัน


                สมมติว่าเว่ยฉางเฟิงสิ้นชีพ และเมื่อตระกูลเว่ยสืบหาฆาตกรที่แท้จริง แล้วกลับพบว่ามีความเกี่ยวพันกับเว่ยเซิ่งอี๋ ต่อให้เกี่ยวพันเพียงน้อยนิด แม่เฒ่าซ่งหรือจะยอมละเว้นบุตรของอนุผู้นี้?!


                ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าว่าอาจเป็นคนนอกยุยงเขา แต่แม่เฒ่าซ่งที่เดิมทีก็คิดว่าเว่ยเซิ่งอี๋จักต้องคิดการร้ายต่อเว่ยฉางเฟิงอยู่แล้ว ยามเมื่อนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่สูญเสียหลานชายสายเลือดตรงซึ่งมีเพียงผู้เดียว ผู้ใดเล่าจักรู้ว่านางจะทำการใด?


                แต่เมื่อเว่ยฮ่วนไร้ซึ่งเว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นหลานชายสายเลือดตรงและเป็นความหวังอันใหญ่หลวงแล้ว ก็จักต้องทะนุถนอมเว่ยเซิ่งอี๋ บุตรชายคนรองที่มีความสามารถมากที่สุดเอาไว้ให้ดี…


                เมื่อเป็นดังนี้แล้วตระกูลทางสายของเว่ยฮ่วนก็จะไม่เกิดความวุ่นวาย นี่ต่างหากคือโอกาสทองที่เว่ยจิ้งหย่าจะได้รับช่วงของรุ่ยอวี่ถังและชิงตำแหน่งประมุขของตระกูลกลับมาได้!


                คำตอบนั้นชัดเจนยิ่ง เว่ยซินหย่งถึงขั้นคร้านจะยืนยัน แล้วกล่าวต่อไปว่า “ยังมีข่าวอีกข่าวหนึ่ง เกรงว่าฉางซานกงก็คงจะรู้แล้ว ก็คือ ในศพของพวกที่มาลอบทำร้ายมีชาวเผ่าหรงอยู่ด้วย ข้าได้ยินมาว่าก่อนนี้ยามตระกูลเจียงส่งทายาทมาที่เฟิ่งโจว และเพื่อมาดูแลลูกผู้พี่หญิงข้างบิดาเจ้าด้วยนั้น ก็ได้นำบ่าวกลุ่มหนึ่งมาด้วยและบอกว่าเป็นข้ารับใช้ของหลิวจี้เจ้าที่ตงหู เพื่อมาปรนนิบัติแม่หม้ายหลิวจี้จ้าวและทายาทที่รับมาอุปการะในครานี้… แต่ทันทีหลังจากนั้น จวนจิ้งผิงกงก็อ้างว่าในจวนไม่มีที่ทางเพียงพอ จึงส่งคนทั้งหมดไปอยู่ในชนบท เมื่อเจ้ากลับไปเจ้าลองไปสอบถามดูได้ว่าในหมู่บ้านเหล่านั้นมีร่องรอยของคนพวกนั้นหรือไม่! พวกเจ้าพี่น้องถูกโจมตีที่นอกเมืองเฟิ่งโจว หากไม่โยนความรับผิดชอบให้แก่พวกเผ่าหรง ในเขตทะเลนี้ล้วนมิมีตระกูลใดยินยอมหรือบอกว่าสามารถรับผิดชอบความแค้นอันใหญ่หลวงนี้ได้”


                “ก่อนหน้านี้ไม่นานมิใช่ว่าเพิ่งจะมีราชโองการประกาศเกียรติคุณให้แก่ชัยชนะครั้งใหญ่ที่เมืองเหนือหรอกรึ? ว่ากันว่ายังตัดหัวแม่ทัพเผ่าหรงที่มีภูมิหลังบางอย่างนายหนึ่งด้วย ยามนี้เผ่าหรงรุกคืบเข้ามาแก้แค้นใกล้เฟิ่งโจว ก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล” เว่ยซินหย่งกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ปีนั้นหลังจากที่ลูกผู้พี่หญิงฝั่งบิดาของเจ้าสูญเสียสามีไปและกลับมาบ้านมารดา เดิมทีก็เพื่อมาครองตัวเป็นหม้าย แต่กลับมิได้นำบ่าวไพร่ของสามีกลับมา และมิได้รับบุตรบุญธรรมในทันที เกรงว่านี่คงจะเป็นการทิ้งปมบางอย่างเอาไว้ อย่างไรเสียแพะรับบาปก็สามารถผลักไสให้แก่ชนเผ่าหรง แต่เมื่อชนเผ่าหรงมีคนน้อยเกินไปก็ดูไม่น่าเชื่อถือ.. แต่หากมีชนเผ่าหรงจำนวนมากบุกเข้ามาในเฟิ่งโจวด้วยความโกรธแค้น ยังมิต้องเอ่ยถึงว่าหลังจากนั้นตระกูลหลิวจะถูกไล่เบี้ยหาความรับผิดชอบที่ไร้ความสามารถเฝ้าชายแดน หน้าตาของชนเผ่าหรงนั้นแตกต่างจากชาวต้าเว่ยเช่นเราสิ้นเชิง หากเกิดมีแม้สักคนเข้ามาก็จัดต้องสังเกตเห็นได้โดยง่าย ดังนั้นจึงมีเพียงกำลังพลที่ซ่อนตัวอยู่ในสกุลหลิวแห่งตงหูเท่านั้น อาศัยอำนาจของตระกูลหลิวจึงจะสามารถลบเลี่ยงจากสายตาผู้คนได้ ส่งผลให้ก่อนเกิดเรื่องนั้นฉางซานกงไม่อาจล่วงรู้มาก่อน!”


                เขานิ่งเงียบไปสักพัก จึงพูดต่อว่า “หากครานี้ไม่เกิดเรื่อง ข้าก็คงคิดไม่ออกว่าในบรรดาบ่าวไพร่ที่ว่านั้น มีความเป็นไปได้อย่างมากว่ามีชาวเผ่าหรงจำนวนไม่น้อยซ่อนตัวอยู่!”


                แววตาของเว่ยฉางอิ๋งนิ่งสงบไปเกือบเค่อ แล้วว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ หากบอกว่าจือเปิ่นถังวางแผนทำร้ายฉางเฟิงเพื่อขึ้นครองตำแหน่งเสาหลักของแคว้น ส่วนท่านลุงก็เพื่อหวังตำแหน่งประมุขของตระกูล… แล้วตระกูลหลิวเล่า? ถึงแม้ท่านป้าทั้งสองต่างก็เป็นบุตรสาวของตระกูลหลิวก็ตาม ทว่ายามนี้ตระกูลหลิวก็หาได้ไม่มีบุตรสาวไม่ จนยามนี้ฉางเฟิงก็ยังมิได้หมั่นหมาย แล้วเหตุใดจึงไม่ให้บุตรสาวแต่งกับฉางเฟิง ทั้งยังมิต้องวุ่นวายด้วย? หากท่านลุงร่วมมือกับจือเปิ่นถังจริงๆ  ก็จักต้องยินยอมมอบตำแหน่งเสาหลักของแคว้นให้! เมื่อถึงเวลานั้นรุ่ยอวี่ถังก็จักต้องตกอยู่ในมือของท่านลุง แล้วจักมาเทียบเท่ายามนี้ได้อย่างไร?”


                เว่ยซินหย่งกล่าวราบเรียบว่า “ข้าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายกับเจ้า ทว่าเห็นแก่ความกล้าหาญที่มาตามสัญญาแทนน้องชายในวันนี้…บอกใบ้เจ้าสักประโยคก็มิเป็นไร… ไม่เพียงแค่ลูกผู้พี่ของเจ้านางนั้นที่ไม่อยากแต่งเข้าตำหนักตะวันออก ยามนี้ฮองเฮาเองก็มิได้ต้องการบุตรสาวสายเลือดตรงของตระกูลซ่งเล้ว!”


                เว่ยฉางอิ๋งตกใจ โพล่งถามไปว่า “ความหมายของท่านคือ ยามนี้ฮองเฮาต้องการบุตรสาวตระกูลหลิวมากกว่า? การที่ราชองครักษ์อี้ผ่านมาทางเฟิ่งโจวครานี้…เติ้งจงฉี… เป็นฮองเฮาจงใจจัดการ?!”


                “เรื่องเหลานี้ไม่เกี่ยวกับข้า” เว่ยซินหย่งกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าก็ไม่ต้องการจะเปลืองแรงไปอธิบายให้เจ้า…สรุปแล้ว เจ้าเอาคำพูดนี้กลับไปบอกฉางซานกง บอกเขาเรื่องที่ข้าช่วยพวกเจ้าพี่น้องครานี้รวมทั้งคำพูดเหล่านี้ ข้าต้องการแลกกับภาษีที่นา และคนอีกผู้หนึ่ง!”


                เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแล้วว่า “เจ้าต้องการแลกกับผู้ใด?”


                ภาษีที่นานั้นนางมิได้สนใจ ทางเหนือของเฟิ่งโจว หลายปีมานี้ลมดีฝนดี เก็บเกี่ยวได้ไม่เลว ในยุ้งเสบียงของเมืองก็มีเก็บอย่างเพียงพอ แม้ทางเหนือจะถูกพวกเผ่าหรงรุกรานบ่อยครั้ง แต่มิได้มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อทั้งเมือง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยมรดกตกทอดของตระกูลเว่ย แม้ในยุ้งของเมืองจะไม่มีเสบียง ภายในตระกูลเว่ยเองก็มีข้าวเปลือกกักตุนไว้ตลอดเวลาและเพียงพอใช้ไปได้ถึงสิบปี


                …คลังเสบียงที่มีมากมายถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแค่ตระกูลเว่ยเท่านั้น ในยามนี้เกิดเรื่องไม่สงบไปทั่วหล้า แม้จะเป็นชาวบ้านทั่วไป หากพอมีเงินเหลือ ก็อยากจะกักตุนเสบียงสำรองเอาไว้ใช้ ชนชั้นสูงที่เคยดำรงอยู่ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งรัชสมัยเช่นตระกูลเว่ยนี้ เมื่อสังเกตเห็นลมโชยหญ้าไหวก็จักตระเตรียมสิ่งต่างๆ เอาไว้ให้ทั้งคนทั้งตระกูลเพื่อใช้ยามขัดสน หาไม่แล้วก็จักมิสามารถสืบทอดความรุ่งเรื่องต่อไปได้


                ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงสามารถสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าในค่าแรงที่เว่ยชินหย่งต้องการนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เขาเอ่ยถึงผู้นั้นต่างหาก


                ปรากฏว่าความรู้สึกของนางมิผิดจริงๆ เว่ยซินหย่งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “โม่ปินเว่ย!”


                “นี่เป็นไปไม่ได้!” เว่ยฉางอิ๋งไม่แม้จะคิดก็ปฏิเสธเขาไปแล้ว “คนผู้นี้ถูกเว่ยฉางเฟิงทาบทามมานานแล้ว เจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียเถิด!”


                ทว่าเว่ยซินหย่งกลับยิ้มอย่างเดาทางไม่ได้ “คำเจ้านั้น นับสิ่งใดไม่ได้ ไยไม่กลับไปสอบถามฉางซานกงดูเล่า?”


_______________________


ตอนที่ 64 กลับมาอย่างกล้ำกลืน

โดย

Xiaobei

                การต่อรองของเว่ยซินหย่งเสร็จสิ้นลงแล้ว การเจรจาของเขาและเว่ยฉางอิ๋งตั้งแต่ต้นจนจบมิเคยมีความเป็นมิตร จนยามนี้ทั้งสองฝ่ายต่างมิได้มีท่าทีจะทักทายปราศรัยกันต่อไป เว่ยซินหย่งกล่าวขวานผ่าซากไปว่า “ข้าจักให้หู่หนูส่งพวกเจ้ากลับไป…ความปลอดภัยในการเดินทางครั้งนี้เจ้ามิต้องเป็นกังวล รับรองว่าจักพาพวกเจ้ากลับไปถึงในตัวเมืองเฟิ่งโจวอย่างปลอดภัย เพียงแต่เมื่อกลับถึงเฟิ่งโจวแล้ว มิต้องเอ่ยถึงเว่ยชิง อนาคตของเจ้า บอกได้ว่าพูดยากเสียแล้ว”


                ทางหนึ่งเขาพูดออกมาเช่นนี้ แต่อีกทางหนึ่งกลับเผยสีหน้าเย้ยหยัน พลางกุมที่คอของตนโดยไม่ได้ตั้งใจ


                เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจความหมายของเขา เพราะเขาไม่จำเป็นต้องประจวบเหมาะมาเจ็บคอในยามนี้ หากแต่เป็นการย้ำเตือนตนว่าเป็นผู้ลงมือทำร้ายเขา ลำพังเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ละเมิดเรื่องชายหญิงห้ามใกล้ชิดกันแล้ว ประสาอะไรที่ยามนี้นางแตะเนื้อต้องตัวชายอื่นที่มิใช่คนครอบครัวและมิใช่สามี?


                นับแต่ถูกไล่ล่าในป่า ในสถานการณ์ที่คับขันอย่างนี้ โจรโฉดแห่งเขาเฟิ่งฉีที่อยู่ในอาณัติของเว่ยซินหย่งได้ออกมาช่วยเหลือพวกเขาจากการปิดล้อม จากนั้นกลับยื่นข้อเสนอให้เว่ยฉางเฟิงตามพวกมันมาหนหนึ่ง…และสามารถพาคนมาด้วยได้มากที่สุดเพียงคนเดียว


                เพื่อให้พี่สาวหนีรอดไปได้เว่ยฉางเฟิงจึงตอบรับข้อแม้นี้โดยมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาอายุยังน้อย ทั้งยังคิดเห็นเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋งว่าคนพวกนี้โฉดชั่วมากว่าดี ในขณะที่กำลังจิตใจร้อนรนสับสนอยู่นั้น เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเสนอให้เขาออกไปคุยกันตามลำพังเพื่อพูดจากันสองสามประโยคเขาก็รับคำ…


                จากนั้นนางก็ตีน้องชายจนหมดสติและเปลี่ยนเสื้อชั้นนอกกับเขา อาศัยว่ายามนั้นฝนกำลังตก และพวกเขาต่างก็สวมงอบที่เพิ่งสานขึ้นมาใช้ชั่วคราวมาอำพรางใบหน้า กอปรกับในป่ารกทึบแสงสลัว เว่ยฉางเฟิงยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ และเว่ยฉางอิ๋งก็มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าหญิงสาวทั่วไป สองพี่น้องสูงไล่เลี่ยกัน แล้วพรางตัวเป็นเว่ยฉางเฟิงพาเว่ยชิงออกไปตามนัดหมาย เว่ยฉางอิ๋งนั้นรู้อยู่แล้วว่าชื่อเสียงของสตรีที่ตนมีจักต้องหมดสิ้นไปแน่นอน


                หากนางตายไป ด้วยฐานะของตระกูลเว่ย ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสตรีผู้แข็งแกร่งที่เสียสละเพื่อน้องชาย…หากนางยังอยู่ คุณหนูสูงศักดิ์ที่มิได้ออกเรือน และมีเพียงเว่ยชิง ลูกผู้พี่อีกสายหนึ่งซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็นพี่ชายในตระกูลเดินทางไปด้วย แต่กลับเข้ามาในรังโจร ทั้งยังมาอยู่ภายในห้องกับชายสามคนอยู่เป็นนาน…


                ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใด หากเล่าลือออกไป ชื่อเสียงของนางก็จะยับเยินไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่ตระกูลเว่ยก็จะต้องพลอยลำบากไปด้วย… ดังนั้นมองจากสภาพการณ์โดยรวมแล้ว ความจริงนางควรตายไปเสียเป็นดีที่สุด


                แม้ยามนี้จะพูดได้ว่า นางรู้แล้วว่าการเสียสละของนางในครานี้ ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น แต่เว่ยฉางอิ๋งก็มิได้สำนึกเสียใจที่มาแทนน้องชาย


                ไม่ว่าจะอย่างไร เว่ยฉางเฟิงก็ไม่สมควรมีอันตรายใด ซึ่งสิ่งนี้มิใช่แค่เพียงเพราะความรักใคร่กันของพี่น้องร่วมท้อง และมิใช่เพียงเพราะคำนึงถึงตระกูลทางฝั่งบ้านใหญ่ หากแต่คำนึงถึงตระกูลฝั่งเว่ยฮ่วนทั้งสาย… บุญคุณอันใหญ่หลวงของบิดามารดาที่ได้เลี้ยงดูเว่ยฉางอิ๋งจนเติบใหญ่ แต่เล็กท่านปู่ท่านย่าก็เห็นนางเป็นเช่นมุกล้ำค่าในฝ่ามือ ความรุ่งเรืองและล่มสลายของตระกูลสายของเว่ยฮ่วนนั้น นางจึงมิอาจนิ่งดูดาย!


                เช่นเดียวกับเรื่องช่วยเหลือตระกูลซ่งที่ฮูหยินซ่งปิดบังแม่เฒ่าซ่ง… ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของรุ่ยอวี่ถัง


                ยามนี้เว่ยซินหย่งย้ำเตือนนางถึงสถานการณ์หลังนางกลับบ้านไป… คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยที่อีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้จะต้องออกเรือน แต่เมื่อออกมาส่งลูกผู้พี่ทั้งชายหญิงกลับเมืองหลวง กลับต้องมาเจอคนลอบทำร้าย พาน้องชายและชายกลุ่มหนึ่งหนีมาในป่า… ผู้ใดเล่าจักรู้ว่าต่อจากนี้ไปจะเกิดเรื่องไร้ที่มาที่ไปใดขึ้นอีก?


                แม้จักกำชับทั้งเจียงเจิงและเว่ยฉางเฟิงเป็นมั่นเหมาะว่าห้ามให้เรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งออกไปพบตามนัดหมายที่ไร้แก่นสารแทนเว่ยฉางเฟิงนี้แพร่งพรายออกไป แต่ตอนที่ลูกน้องของเว่ยซินหย่งเข้ามาช่วยนั้น ก็ไม่สามารถสังหารพวกลอบทำร้ายไปได้ทั้งหมด พื้นที่ที่พวกเขาถูกไล่ตามจนทันนั้นเป็นป่ารกทึบเกินไป จึงมีพวกลอบทำร้ายที่เห็นว่าท่าไม่ดีและอาศัยความรกทึบในป่าหลบหนีไปได้…


เมื่อรุ่ยอวี่ถังพบว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ประตูใหญ่ทั้งสี่ของเฟิ่งโจวหรือจะไม่ถูกกวดขันอย่างแน่นหนา? รวมทั้งในป่าแถบนี้ด้วยเช่นกัน


ยามเว่ยฉางเฟิงและเจียงเจิงกลับไป และเว่ยฉางเฟิงสวมเสื้อตัวนอกของเว่ยฉางอิ๋ง จึงไม่มีทางปิดบังได้อยู่แล้ว…. ทั้งยังมีเรื่องที่จวนจิงผิงกงอีก!


                เว่ยฉางเสียนครองตัวเป็นหม้ายมาได้สองปีแล้ว การลอบสังหารครานี้ได้ซุ่มตระเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน แต่ที่สุดกลับทำพลาดไปเพียงน้อยนิด โดยยังคงปล่อยให้เว่ยฉางเฟิงหนีรอดไม่ต้องขึ้นสวรรค์ กระทั่งมอบโอกาสให้เว่ยฮ่วนควบคุม ‘ปี้อู๋’ ได้โดยสมบูรณ์! บุตรชายของจิ้งผิงกงพ่ายแพ้ยับเยิน ไร้ซึ่งความหวังใดๆ แล้วจักยอมปล่อยเว่ยฉางอิ๋งไปได้หรือ?


                เพียงคิดก็รู้ว่า เมื่อเว่ยเจิ้งหย่าวางแผนทำร้ายเว่ยฉางเฟิงไม่เป็นผล แต่หากสามารถจัดการหลานสาวสายเลือดตรงเพียงคนเดียวของเว่ยฮ่วนชนิดว่าบีบให้มั่นคั้นให้ตาย ทำลายการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเว่ยและเสิ่น ก็ยังนับว่าพอระบายความแค้นไปได้!


                เขาก็ไม่จำเป็นต้องลงแรงอะไรมากมาย เพียงแค่นำเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งไปตามนัดแทนน้องชายเล่าลือออกไป… ด้วยแรงผลักดันและการกระจายข่าวของทั้งผู้ที่จงใจและไม่จงใจ เรื่องที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยเข้าไปในป่าพร้อมชายกลุ่มหนึ่งแล้วกลับออกมาและทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น… โดยไม่มีสิ่งใดบุบสลาย และถูกส่งตัวกลับมาโดยมิได้มีผู้ใดบังคับฝืนใจ หากแต่กลับบ้านไปด้วยตนเอง… เหตุใดตระกูลเว่ยจึงได้มีคุณหนูที่ไร้ยางอายเช่นนี้?


                ต่อให้เมื่อนางกลับไปแล้วปลิดชีวิตตนในทันใด ก็ยังเกรงว่าพวกหัวโบราณคร่ำครึกจะยังเห็นว่าเป็นการทำให้ธรณีประตูบ้านตระกูลเว่ยเปรอะเปื้อนเสียด้วยซ้ำกระมัง?


                เว่ยชิงเองก็คิดถึงบทลงเอยของเว่ยฉางอิ๋งหลังจากนางมาแทนเว่ยฉางเฟิงไว้เช่นกัน เพียงแต่เขาก็เป็นเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง ที่คิดว่าการนัดหมายที่ไร้ที่มาที่ไปโดยสิ้นเชิงทั้งยังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดแม้แต่น้อยนี้ มีแปดหรือเก้าส่วนจากสิบที่ไม่น่าเชื่อถือ แม้จะบอกว่าคนพวกนั้นช่วยพวกเขามาจากน้ำมือของพวกลอบทำร้าย แต่ใจคนร้อยเล่ห์ หากเอาตัวเว่ยฉางเฟิงไปเป็นตัวประกัน เช่นนั้นแล้วรุ่ยอวี่ถังควรจักทำเช่นไร?


                เขามากับเว่ยฉางอิ๋งด้วยตนเอง นอกจากเพราะคนพวกนั้นรับคำว่า ‘เว่ยฉางเฟิง’ สามารถพาคนหนึ่งคนมาด้วยได้แล้ว ยังเพราะเขายังคงคิดว่าตนทำหน้าที่อารักษ์ขาขาดตกบกพร่อง จึงพร้อมใจจะสู้จนตัวตายไปพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋งอยู่ภายในป่า


                บนทางที่มาสู่หุบเขาแห่งนี้ ทั้งสองคนต่างเตรียมพร้อมที่จะไปโดยไม่กลับเอาไว้แล้ว แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าเว่ยซินหย่งกลับเคยติดต่อกับฉางซานกง? ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีเรื่องมากมายที่ต้องการให้ฉางซานกงช่วยเหลือ แม้จะไม่ชอบเว่ยฉางอิ๋ง แต่ก็กลับมิได้คิดจะทำร้ายพวกเขา


                เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจึงปลอดภัยแล้ว แต่เว่ยฉางอิ๋งจะทำอย่างไรเล่า?


                ฟังคำเตือนด้วยความประสงค์ร้ายของเว่ยซินหย่ง เว่ยชิงอดจะกำมือแน่นไม่ได้ และไม่ต้องการให้เว่ยฉางอิ๋งตอบโต้เร็วเกินไป หลังจากสิ้นเสียงเว่ยซินหย่งแทบจะในทันที นางก็ใช้น้ำเสียงเย้ยหยัน ค่อยๆ กล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “ข้าไม่เหมือนกับท่าน แต่ไรมาจือเปิ่นถังก็เป็นเพียงสายย่อย ภาวะผู้นำหรือจะสู้สายหลักเช่นรุ่ยอวี่ถังได้? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบิดาท่านเป็นบุตรของอนุ ทั้งยังสิ้นบุญไปแล้ว! ข้ายังคงเป็นบุตรสาวสายเลือดตรงของรุ่ยอวี่ถัง มีผู้ใหญ่คอยทะนุถนอมหนักหนามาแต่เล็ก! ต่อให้สูญเสียชื่อเสียง เข้าบ้านตระกูลเสิ่นไม่ได้… ผู้ใหญ่ก็จักไม่มีวันไม่สนใจข้า และจักต้องคอยคิดหาหนทางอื่นเพื่อช่วยข้า ไม่ว่าจะอับจนปานใด ก็ไม่มีวันต้องเป็นเด็กกำพร้าไร้คนเหลียวแลเช่นเจ้า จนถึงขั้นต้องออกมาหักหลังจือเปิ่นถังเพื่อหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นการหาโอกาสในวิกฤตของเจ้าจะยังมีความหมายใดอีก?”


                ดาบนี้โต้กลับทั้งรวดเร็วทั้งโหดเหี้ยม สีหน้าของเว่ยชิงหย่งแทบจะหม่นคล้ำลงไปในทันใด!


                … คนทั้งสองที่ในนามแล้วควรนับได้ว่าเป็นอาหลานร่วมสกุล เปิดฉากปะทะกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันทั้งยังที่จ้องกันตาเขม็งอยู่เกือบเค่ออีกครั้ง เว่ยซินหย่งยิ้มเยาะพลางลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อแล้วว่า “พูดได้ดี เพียงแต่ว่าเมื่อเรื่องจวนตัวเข้ามา เจ้าคงถึงจักได้สำเหนียกถึงความน่ากลัวของ ‘คำคนกลับผิดเป็นถูก คำว่าร้ายป่นกระดูกได้’!


                เมื่อพูดไม่ลงรอยกัน ต่างคนจึงต่างเงียบ เรื่องสำคัญได้ว่าจบแล้ว จึงได้แยกย้ายไปคนละทาง


                รุ่ยอวี่ถังในตัวเมืองเฟิ่งโจว


                เพราะเว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งกลับมาได้อย่างปลอดภัย คนหนึ่งก่อนคนหนึ่งหลัง บรรยากาศเคร่งเครียดเพราะความตื่นกลัวที่เคยมีภายในจวนก็บางเบาลง


                ทว่า…


                ก็เพียงแค่บางเบาลงเท่านั้น


                เป็นถึงรุ่นหลานของประมุขตระกูลเว่ย และกลับถูกโจมตีที่นอกเมืองไปเพียงยี่สิบลี้…ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่องครักษ์ล้มตายไปจนหมด แม้แต่เว่ยเกาชวนหลานสายรองก็ยังต้องธนูถึงสองดอก! แม้เว่ยเกาชวนจะดวงแข็ง หลังจากตกจากม้าก็ถูกท้องม้าทับตัว กลับสามารถซ่อนตัวเขาเอาไว้ได้ ทั้งยังได้เจียงเจิงที่ตามมาทันช่วยจัดการ และพาหนีจากพวกลอบทำร้าย และหนีรอดไปจนถึงยามที่กองหนุนตามมาทัน จึงไม่ถึงกับล้มตาย แต่ก็บาดเจ็บไม่น้อย


                ที่สำคัญที่สุดก็คือหลานชายและหลานสาวบ้านใหญ่ต่างถูกบีบให้ต้องหนีเข้าไปในป่าลึกข้างถนนหลวง เผชิญกับวิกฤตหลายครั้งหลายหนถึงได้หนีเอาชีวิตรอดมาได้และแยกกลับมากันคนละหน!


                ไม่ว่าเว่ยฮ่วนจะเก็บตัวสักเพียงใด ก็ไม่มาทางไม่ไล่เบี้ยเอาความให้ถึงที่สุด!


                ดังนั้นเมื่อเว่ยฉางอิ๋งกลับมา เว่ยฮ่วนจึงมิได้อยู่ที่รุ่ยอวี่ถังแล้ว หากแต่อยู่ที่จวนจิ้งผิงกง และกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเรียกร้องหาความเป็นธรรมจาก ‘ปี้อู๋’ ที่ละเลยต่อหน้าที่


                แม่เฒ่าซ่งที่อยู่ภายในจวน สำรวจดูหลานสาวทั้งน้ำตา เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เปราะเปื้อนยับเยินไปทั้งตัว จนกระทั่งท่านหมอจี้อธิบายเป็นรอบที่ห้าว่านอกจากรอยกิ่งไม้เกี่ยวบาดเจ็บสองสามแห่งแล้ว เว่ยฉางอิ๋งมิได้บุบสลายเลยแม้แต่น้อย ยามนั้นเองจึงได้ปล่อยมือที่จับตัวเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้แน่นตั้งแต่แรกพบนางลง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นทุกคนก็ออกไปก่อนเถิด”


                “เจ้าค่ะ” รุ่นอวี่ถังเกิดเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ ผู้คนในที่นั้นต่างก็เข้าใจในสถานการณ์ดี จึงตอบรับอย่างว่าง่าย นอกจากเฉินหรูผิงและเว่ยชิงแล้ว นอกนั้นก็ค่อยๆ ถอยออกไปอย่างแผ่วเบา


                เมื่อเรียบร้อยแล้ว แม่เฒ่าซ่งจึงได้หันไปมองเว่ยชิงที่นับแต่เข้าประตูมาก็คุกเข่าอยู่ภายในโถงมาโดยตลอด “เจ้าก็ลำบากแล้ว”


                เว่ยชิงกล่าวออกไปอย่างระมัดระวังว่า “ข้าน้อย…”


                “โดยตำแหน่งนั้นเจ้าเป็นองครักษ์ของฉางเฟิง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นคนตระกูลเว่ย ว่าไปแล้วท่านปู่ทวดของเจ้า ข้าก็เคยเรียกขานอย่างนับถือว่าท่านอาสาม ส่วนตัวแล้วไม่จำเป็นต้องเรียกขานตัวเองเช่นบ่าวไพร่ อย่างไรก็นับว่าเป็นลูกหลานสกุลเว่ย!” สายตาของแม่เฒ่าซ่งนั้นอิดโรยนัก ทว่าน้ำเสียงกลับยังสงบ แล้วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เท่าที่รู้มา ในการลอบโจมตีครานี้ เจ้าไหวตัวเป็นรองก็แต่เจียงเจิง! ยิ่งไปกว่านั้นยังยืนยันจะคอยระวังหลังให้ฉางเฟิงและฉางอิ๋งโดยไม่คำนึงถึงชีวิต… และยังไปตามนัดหมายกับฉางเฟิงด้วย นับว่าสร้างผลงานใหญ่หลวง จึงไม่อาจปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้น้ำใจ!”


                เว่ยชิงได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า ‘ไปตามนัดหมายกับฉางเฟิง’ ก็เข้าใจอยู่ภายในใจ จึงกล่าวว่า “การพบปะในหุบเขานั้น ล้วนอาศัยความปราดเปรื่องของคุณชายห้าที่โต้ตอบได้อย่างทันท่วงที จึงสามารถปลอดภัยกลับมาได้ ชิงมิกล้ารับความชอบขอรับ”


แม่เฒ่าซ่งพยักหน้าน้อยๆ พยายามครองสติเอาไว้ และพยายามเอ่ยชมเขาไปสองสามประโยค จึงให้เขากลับบ้านไปพักผ่อน รอจนเว่ยชิงไปแล้ว แม่เฒ่าซ่งจึงได้หันมาหาเว่ยฉางอิ๋ง ถอนหายใจเบาๆ แล้วว่า “สวรรค์ทรงโปรด เจ้า…เจ้าเด็กคนนี้กลับมาอย่างปลอดภัย..เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งไปสักพักจึงว่า “เจ้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนเสียซวงก่อนเถิด…อึ่ม… ยามนี้ฉางเฟิงไปอยู่ที่นั่น บอกว่าเมื่อเจ้ากลับมาก็อยากจะได้พบกับพี่สาวก่อน ไปสลับเสื้อผ้ากับเขาคืนมา…ส่วนเรื่องอื่น รอเจ้าพักผ่อนดีแล้วค่อยว่ากัน”


                เว่ยฉางอิ๋งไม่ยอมถูกเว่ยซินหย่งเย้ยหยัน เมื่อเว่ยซินหย่งเอ่ยถึงปัญหาที่นางจักต้องประสบเมื่อกลับไปที่เฟิ่งโจว นางจึงจงใจตอบโต้กลับไปอย่างมิได้ลังเลเลยแม้สักน้อย เพียงแต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดทางกลับมานั้นนางใจเต้นไม่เป็นส่ำเป็นนักหนา ยามนี้ได้ยินแม่เฒ่าซ่งบอกว่าเว่ยฉางเฟิงไปอยู่ที่เรือนเสียซวง นางก็นิ่งเหม่อไปเล็กน้อย แล้วดวงตาก็พลันชื้นขึ้นมา…


                เห็นชัดว่าพวกผู้ใหญ่ก็คำนึงถึงชื่อเสียงของนาง หากนางยังคงมีชีวิตอยู่และกลับมาที่เฟิ่งโจว จึงได้จัดการเช่นนี้


                ตอนนี้เว่ยฉางเฟิงไปอยู่ที่เรือนเสียซวง แม่เฒ่าซ่งชมเชยเว่ยชิงว่ามีความชอบเรื่องที่ไปตามนัดพร้อมกับ ‘เว่ยฉางเฟิง’ ก็เพื่อเป็นการสับเปลี่ยนลำดับการกลับบ้านของพี่น้องทั้งสอง แล้วปิดบังความจริงเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งไปตามนัดแทนน้องชายเอาไว้!


                การที่นางไปพบเว่ยซินหย่งภายในหุบเขานั้น แม้จะมีเรื่องถกเถียงกัน แต่ก็นับว่าไปและกลับมาได้อย่างปลอดภัย ยังคงไม่บุบสลายใดๆ เพียงแต่หากว่ากันตามตัวชี้วัดความบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ตระกูลชั้นสูงต้องการแล้ว ด้วยฐานะคุณหนูสูงศักดิ์เช่นนางนี้ ปกติแล้วเมื่อออกไปข้างนอกก็จังต้องระมัดระวังไม่ให้ชายแปลกหน้าได้เห็นใบหน้าของตน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเดินทางไปกับชายหลายคนเป็นการส่วนตัวเลย…


                หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลเสิ่นไม่มาขอล้มเลิกการแต่งงานเอง ตระกูลเว่ยก็ไม่อาจให้เว่ยฉางอิ๋งแต่งออกต่อไปได้แล้ว


                ส่วนบทลงเอยที่รักษาหน้าตาของเว่ยฉางอิ๋งได้ดีที่สุดก็คือหาสถานที่เช่นศาลเจ้าไปออกบวชเสีย และใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบเหงาตลอดไป แต่หากพวกผู้ใหญ่สังเวชนาง ก็จะหาคนอื่นไปบวชแทนนาง แล้วให้นางแอบแต่งงานกับชายคนอื่น แต่นางก็จะไม่สามารถใช้นามของคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยได้อีก จักต้องกำหนดชื่ออื่นให้นาง และไม่สามารถจะไปมากับที่บ้านได้อย่างเปิดเผย


                แต่ยามนี้เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งได้เตรียมการเมื่อหลานสาวมีชีวิตรอดกลับมาเอาไว้แล้ว โดยการเรียกให้หลานชายปลอมตัวเป็นหลานสาวและไป ‘พักฟื้น’ อยู่ที่เรือนพักของหลานสาว ยามนี้หลานสาวกลับมาแล้ว จึงอ้างว่าไปเยี่ยมเยือนและสับเปลี่ยนตัวกันในยามนั้น… เมื่ออธิบายเช่นนี้ก็จะเข้ากับสถานการณ์ได้พอดิบพอดี และสามารถช่วยให้เว่ยฉางอิ๋งพ้นจากชะตากรรมที่จะถูกคนในตระกูลขอให้ไปออกบวชในศาลเจ้าชั่วชีวิตได้แล้ว!


                แม่เฒ่าซ่งสังเกตเห็นความตื้นตันของหลานสาว พลันเม้มปากและกล่าวเป็นนัยว่า “เจ้ากลับมาบ้านแล้ว เรื่องอื่นไว้ให้ผู้ใหญ่จัดการ เด็กดี เจ้าไปอย่างวางใจเถิด…ที่นี่ ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้า!”


                เว่ยฉางอิ๋งนั้นเชื่อมั่นในกลอุบายของท่านปู่และท่านย่า นางผ่อนลมหายใจยาว พลางจดจ้องไปยังผู้เป็นย่าคราหนึ่งอย่างตื้นตัน “เจ้าค่ะ!”


                แม่เฒ่าซ่งได้เตรียมการเอาไว้นานแล้ว โดยให้เฉินหรูผิงส่งเว่ยฉางอิ๋งกลับไปเรือนเสียซวง บนทางเดินระเบียงตลอดทางกลับไปนั้นไร้ผู้คน ไม่ถามก็รู้ว่าเป็นฮูหยินผู้เฒ่าไล่ออกไปจนหมดก่อนหน้านี้ แม้การกระทำเช่นนี้จะน่าสงสัย ทว่าในเมื่อไม่มีหลักฐานไม่มีพยาน ชื่อเสียงงดงามของคุณหนูตระกูลเว่ยก็จักไม่ถูกทำลายไปได้โดยง่ายเช่นนั้น


                เมื่อกลับไปถึงเรือนเสียซวง กลับเห็นว่าหน้าเรือนเล็กๆ ที่ยามปกติครึกครื้นยิ่งนักยามนี้ประตูกลับปิดสนิท เงียบสงัด และแม้ว่าจะอยู่นอกผนังก็ยังได้กลิ่นยาที่ชัดเจนมาก


                เว่ยฉางอิ๋งอดจะขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ คิดในใจว่า ‘นี่ไม่เหมือนยาน้ำกล่อมประสาท หรือว่าภายหลังฉางเฟิงได้รับบาดเจ็บ? เพียงแต่ยามนั้นที่ข้ายืนส่งท่านลุงเจียงพาเขากลับไปก่อนด้วยสายตานั้น ก็ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลแล้ว ด้วยความสามารถของท่านลุงเจียง ตามหลักแล้วฉางเฟิงก็ไม่น่าถึงกับได้รับบาดเจ็บจึงจะถูก…หรือเพราะข้ออ้างว่า พักฟื้น จึงจงใจทำกลิ่นยานี้ออกมา?’


                ในขณะที่นางกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น เฉินหรูผิงก็ได้เปิดกลอนประตู เมื่อประตูเรือนเปิดออก หญิงสาวที่มาให้เห็นแม้จะสวมชุดของสาวใช้ แต่หน้าตากลับไม่คุ้นเคยยิ่งนัก ล้วนมิใช่คนที่เคยอยู่ในเรือนเสียซวง ทั้งยังไม่ใช่คนในเรือนหลิวหวาด้วย เว่ยฉางอิ๋งพลันอดตะลึงค้างไม่ได้


_______________________


ตอนที่ 65 มาเยี่ยม

โดย

Xiaobei

                ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังสงสัยว่าสาวใช้ที่ไม่คุ้นหน้าผู้นี้มาจากที่ใดกัน ก็เห็นว่าเฉินหรูผิงก้าวเข้าไปภายในแล้ว จึงรีบเดินตามไป ทั้งสามคนเดินเข้าไปในระเบียงทางเดินโดยไม่ส่งเสียงใด จากนั้นเฉินหรูผิงก็หันหน้ากลับมาถามสาวใช้ผู้นั้นว่า “คุณชายห้ากลับมาแล้ว ได้ยินว่าสองวันมานี้คุณหนูใหญ่นอนหลับไม่ค่อยดี จึงได้มาดูก่อน…ฮูหยินยังอยู่ข้างในหรือไม่?”


                “ข้าน้อยขอแสดงความยินดีที่คุณชายห้ากลับมาอย่างปลอดภัย!” สาวใช้ผู้นั้นหันไปคำนับเว่ยฉางอิ๋งก่อนคราหนึ่ง แล้วตอบว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินมีอาการอ่อนเพลีย คุณหนูใหญ่จึงสั่งให้คนส่งฮูหยินกลับไปก่อนเจ้าค่ะ”


                “เช่นนี้ก็ดี” เฉินหรูผิงดูท่าทางไม่ต้องการจะเห็นขัดกับฮูหยินซ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ผ่อนคลายลง”


                แม้เว่ยฉางอิ๋งจะสงสัยเรื่องที่มีสาวใช้ที่ไม่รู้จักมาเพิ่มในเรือนพักของตนแต่กลับคำนึงถึงน้องชายมากกว่า เมื่อเห็นเฉินหรูผิงไถ่ถามความเสร็จ จึงเข้าเดินเข้าไปภายในห้องก่อน


                เมื่อผลักประตูเปิดออก ที่ใต้หน้าต่างทางทิศตะวันตกนั้น ก็เห็นเว่ยฉางเฟิงสวมเสื้อตัวยาวไม่เก่าไม่ใหม่ซึ่งสวมเป็นปกติตอนอยู่บ้าน เขาอาจเพิ่งอาบน้ำมา ปล่อยผมยาวสยายนั่งอยู่บนตั่งไม้ แม้จะปล่อยผมลงมา แต่เขาก็ยังคงนั่งตัวตรงอยู่ข้างหลังโต๊ะ และอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ


                นอกจากเขาแล้ว ภายในห้องไม่มีใครอีก… เรือนที่ว่างเปล่า แตกต่างกับเสียงหัวร่อต่อกระซิกที่ลอดออกไปนอกกำแพงตั้งแต่เช้ายันค่ำเมื่อก่อนนี้อย่างสิ้นเชิง… ลวี่อีและลวี่ฉือคงจะตายไปในป่าแล้ว ลวี่ฝางและลวี่ปิ้น ยังมีเด็กหญิงรับใช้ที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษรจูอีกสี่คน และแม่นมแซ่เฮ่อ…


                เว่ยฉางอิ๋งมองไปภายในห้องที่มีเพียงน้องชาย นางนิ่งเหม่อไปเกือบเค่อ ยามนั้นเองเว่ยฉางเฟิงกำลังพลิกหน้าหนังสือ ได้ยินเสียงประตูเปิด พลันปรายตาไปมองคราหนึ่ง… ทันใดนั้นเองเขาก็สะดุ้งไปทั้งตัว ทั้งยังผลักโต๊ะตรงหน้าจนล้ม แล้วร้องเรียกเสียงหลงว่า “ท่านพี่!”


                “คุณหนูใหญ่และคุณชายห้าโปรดอย่าเพิ่งพูดคุยกันเจ้าค่ะ!” ทันใดนั้นเองเฉินหรูผิงพลันเอ่ยเสียงแข็งขึ้นมาขัดจังหวะสองพี่น้องที่กำลังจะสอบถามถึงเรื่องราวของกันและกัน แล้วเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ข้าน้อยให้ฉินเกอไปเตรียมห้องอาบน้ำเอาไว้แล้ว… คุณชายห้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากับคุณหนูใหญ่เถิดเจ้าค่ะ เกรงว่าฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงกำลังจะมาแล้ว!”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างตกอกตกใจว่า “นางจักมาทำสิ่งใด?” แม้เดิมทีนางจะไม่ชอบเว่ยฉางเสียนเป็นทุกเดิม แต่กับป้าสะใภ้แซ่เสี่ยวหลิวกลับมิได้รู้สึกอย่างไร แต่ก็นับได้ว่าให้ความเคารพนับถือ ทว่านับแต่ได้รู้จากเว่ยซินหย่งว่าที่มีคนลอบทำร้ายนางครานี้ ก็เพราะนางแซ่เสี่ยวหลิวหลอกถามเอากับหลานชายร่วมสกุล… หรือบางทีอาจไม่จำเป็นต้องหลอกถาม ในเมื่อเรื่องครานี้ฮองเฮากู้ก็มีส่วนร่วมด้วย… สนมเอกเติ้งยังสั่งให้เติ้งจงฉีที่เป็นหลานแท้ๆ มาทำงาน ฮองเฮากู้ก็ต้องการให้ตระกูลหลิวได้ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท เช่นนั้นหลิวซีสวินเป็นที่ต้องสงสัยเป็นอย่างยิ่ง


                เมื่อยามนี้ได้ยินว่านางเสี่ยวหลิวจะมา เว่ยฉางอิ๋งก็เรียกนางว่าป้าสะใภ้อีกไม่ไหวเสียแล้ว


                เว่ยฉางเฟิงและเฉินหรูผิงต่างก็มีสีหน้าไม่ต้อนรับนางเสี่ยวหลิว เฉินหรูผิงยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “นับแต่คุณชายห้ากลับมาก่อน จวนจิ้งผิงกงแทบจะส่งคนมาเยี่ยมทุกวันวันละหน! และผู้ที่มาก็ล้วนเป็นญาติที่เป็นหญิง เช่นฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงหรือคุณหนูรอง ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้คนเอายามาต้มไว้ภายในเรือนตลอดทั้งวัน เพื่อเป็นข้ออ้างว่าคุณหนูป่วยหนัก ต้องการพักผ่อนอย่างสงบโดยสิ้นเชิง จึงสามารถกันพวกนางเอาไว้ไม่ให้เข้ามาเยี่ยมถึงข้างตั่งนอนตามที่พวกนางต้องการ แต่เมื่อจวนจิ้งผิงกงทำการหนนี้ไม่สำเร็จ ก็คิดจะแนะนำหมอให้มารักษา… โชคดีที่วันนี้คุณหนูกลับมาแล้ว เช่นนั้นวันนี้ก็พบฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงสักหน่อย เพื่อให้นางตายใจเสียทีเจ้าค่ะ!”


                การที่จวนจิ้งผิงกงไม่ยอมลดละและไม่ยอมรามือเสียทีเช่นนี้ ดูท่าว่าหมายมั่นปั้นมือจะต้องเอาเรื่องของเว่ยฉางอิ๋งมาเล่นงานเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งให้จงได้ เหตุครานี้เร่งร้อนนัก เว่ยฉางอิ่งพี่น้องต่างก็ยังมิทันมีเวลาเล่าเรื่องที่เผชิญมา เว่ยฉางอิ๋งจึงเข้าไปหลังฉางกั้นในทันทีเพื่อปลดเสื้อตัวนอกออก


                เฉินหรูผิงตามเข้าไปดูแลนางที่หลังฉากกั้น มือของนางที่กำลังช่วยเว่ยฉางอิ๋งปลดเสื้อออกนั้นรู้สึกถึงอาการสั่นได้ชัดเจน จนเว่ยฉางอิ๋งต้องปรายตามามองอย่างสงสัย… เพราะยามนี้เพิ่งจะเป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง เสื้อผ้าที่เว่ยฉางอิ๋งสวมอยู่ก็ไม่ได้มากมาย ไม่นานก็ถอดเสื้อตัวนอกออกและส่งให้แก่เฉินหรูผิง เป็นการบอกว่าให้นางนำออกไปให้เว่ยฉางเฟิง… เพียงแค่เฉินหรูผิงกลับไม่ได้ไป นางกอดเสื้อตัวนอกเอาไว้ กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ปิ่นที่ตรงนี้เบี้ยวแล้ว คงเพราะโดนงอบ อย่างไรก็ดึงออกมาเสียก่อนเถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นอีกสักครู่คงจักร่วงลงมา!”


                เว่ยฉางอิ๋งมิได้เคลือบแคลงนาง จึงยกมือขึ้นไปคลำที่มวยผม…เมื่อนางยกมือขึ้น  แขนเสื้อตัวในก็ย่อมไหลลงมา เผยให้เห็นลำแขนขาวผุดผ่องดังหิมะ แต้มพรหมจรรย์สีแดงสดบนท้องแขนของนางยังคงมีสีแจ่มชัด


                เมื่อเห็นดังนั้น เฉินหรูผิงพลันถอนหายใจยาวโดยไร้ซุ่มเสียงใด!


                เว่ยฉางอิ๋งเดินทางไปกับชายกลุ่มหนึ่งแทนน้องชายแล้วกลับมา ที่แท้แล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ไม่เพียงแค่คนนอกจะพากันคาดเดาไปในทางร้าย แล้วจักให้คนในบ้านตนเองไม่เป็นกังวลได้อย่างไร แม้ว่าก่อนหน้านี้ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า เว่ยฉางอิ๋งจะมีสีหน้าที่นับได้ว่าสงบราบเรียบ ตะ…แต่ว่าเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้หากไม่ดูให้แน่ใจแล้วจักให้วางใจได้อย่างไร?


                เพียงแต่หากเว่ยฉางอิ๋งเกิด…จริงดังว่า ต่อให้ถามอ้อมค้อมเพียงใด ก็ไม่ใช่เท่ากับเป็นการแทงมีดลงไปบนหัวใจของนางอีกคราหรอกหรือ? หรือถึงแม้เว่ยฉางอิ๋งจะยังคงไม่บุบสลายใดๆ แต่ก็เพิ่งผ่านเรื่องเป็นตายมา ทั้งยังทำไปเพื่อปกป้องน้องชาย กว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ มาได้ยินการซักไซ้ในเรื่องที่อ่อนไหวเช่นนี้ก็จะต้องคิดว่าคนในบ้านกำลังรังเกียจตน ยังดีที่… แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้สงบเสงี่ยมเช่นคุณหนูบ้านใหญ่ทั่วไป แต่หญิงสาวในตระกูลใหญ่ต่างก็ต้องแต้มแต้มพรหมจรรย์ และนางก็ต้องแต้มด้วยเช่นกัน


                เฉินหรูผิงใช้อุบายเล็กน้อยก็สามารถทำภารกิจที่แม่เฒ่าซ่งมอบให้มาได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นผลลัพธ์ที่แม่เฒ่าซ่งแทบจะต้องเอาชีวิตไปแลกมา เมื่อหินก้อนมหึมาหล่นพ้นดวงใจไป ฝีเท้าที่นางก้าวออกไปนั้นจึงรวดเร็วกว่าเดิมมาก


                นางเร่งแต่งตัวให้เว่ยฉางเฟิงประหนึ่งว่าเพิ่งจะคลุกดินคลุกทรายกลับมา และกำชับไปสองสามประโยค ให้เขากลับไปที่เรือนหลิวหวาเสียก่อน จากนั้นก็เรียกฉินเกอ สาวใช้ที่เว่ยฉางอิ๋งไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนผู้นั้นเข้ามา บอกให้นางคอยปรนนิบัติยามเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำ แล้วพลันเดินสาวเท้ายาวรวบสามก้าวเป็นสองก้าว เร่งกลับเรือนหลักเพื่อรายงายข่าวดีต่อแม่เฒ่าซ่ง


                เว่ยฉางอิ๋งมิได้สังเกตถึงจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดที่เฉินหรูผิงกลับเรือนเสียซวงมาพร้อมตน หากแต่ไปให้ความสนใจว่าสาวใช้ที่นางเห็นตอนที่เข้ามาในห้องอาบน้ำเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่นางรู้จัก ก่อนนี้ได้พบกับฉินเกอที่ข้างนอกนั่น แต่เพราะมัวแต่ดูเว่ยฉางเฟิงอยู่จึงมิได้ไต่ถามอย่างละเอียด ยามนี้นางจึงขมวดคิ้วแล้วว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด? คนที่เคยอยู่ที่นี่เล่า?”


                ฉินเกอก้าวออกมาคำนับข้างหน้าแล้วว่า “ก่อนนี้คุณหนูใหญ่ต้องการพักผ่อนอย่างสงบ คนในเรือนมีมากเกินไป ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้จัดแจงให้ออกไปจำนวนหนึ่ง แล้วให้พวกข้าน้อยมาปรนนิบัติคุณหนูใหญ่ ข้าน้อยฉินเกอ พวกนางคือเยี่ยนเกอ เจวี๋ยเกอ และหานเกอเจ้าค่ะ”


                สาวใช้อีกสามนางคำนับพร้อมกัน “คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ คิดในใจว่าอาจเพราะเด็กรับใช้เล็กๆ อย่างพวกของจูหลานนั้นร่าเริงเกินไป กลัวว่าพวกนางจะเก็บคำพูดไว้ไม่อยู่ จึงได้ส่งให้พวกนางไปที่อื่น เพียงแต่ลวี่ฝางและลวี่ปิ้นก็ยังนับได้ว่าสำรวมเรียบร้อย เหตุใดจึงถูกไล่ไปเสียแล้ว? หรือเพราะพวกนางไม่น่าเชื่อถือพอ?


                ยิ่งไปกว่านั้น นางเฮ่อเล่า?


                นางจึงเอ่ยถามว่า “แม่นมของข้าก็ถูกย้ายออกไปด้วยหรือ?”


                ฉินเกอยิ้มออกมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กล่าวว่า “แน่นอนว่าท่านป้าเฮ่อยังอยู่ เพียงแต่ท่านป้าเป็นกังวลถึงคุณหนูใหญ่อยู่ทุกวันทุกคืน เมื่อวานนี้จึงมีไข้ ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงว่านางจะป่วยหนัก จึงสั่งให้ส่งไปนอกเรือนเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “มีไข้?”


                “คุณหนูใหญ่มิต้องเป็นกังวลไปเจ้าค่ะ แม้ท่านป้าเฮ่อจะถูกส่งไปนอกเรือน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ส่งท่านหมอไปตรวจอาการแล้ว บอกว่าพักผ่อนสักวันสองวันก็จะหายเจ้าค่ะ” ฉินเกอรีบว่า “เมื่อนางหายดีแล้ว อย่างไรก็ต้องมาปรนนิบัติคุณหนูใหญ่อย่างแน่นอนทีเดียวเจ้าค่ะ”


                ดังนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงค่อยโล่งอก นางเองก็เพลียแล้ว อีกสักพักยังต้องไปพบนางเสี่ยวหลิวอีก จึงไม่ได้เอ่ยให้มากความ พยักหน้าแล้วถอดเสื้อผ้าก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำ


                หลังจากอาบน้ำแล้ว ฉินเกอและเยี่ยนเกอเข้ามาช่วยนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และเพราะเป็นคนที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ไม่เหมือนพวกของลวี่ฝางทั้งสี่คนที่คุ้นเคยกับความชอบพอของเว่ยฉางอิ๋ง จึงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะทำให้นางพึงพอใจได้


                เมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำและกลับเข้าภายในห้อง เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางเสี่ยวหลิวยังไม่มา จึงได้เอนกายลงนอนบนตั่งไม้อยู่เป็นนาน แล้วให้เจวี๋ยเกอและหานเกอเอาผ้าซับผมนางให้แห้ง


                เดิมทีนางคิดจะนอนเอนหลังสักพัก เพียงแต่สองวันนี้นางเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน เพิ่งจะเอนกายลงไปก็หลับไปเสียแล้ว


                และมิรู้ผ่านไปนานเท่าใด เว่ยฉางอิ๋งถูกคนเขย่าตัวปลุกให้ตื่น พลางเอ่ยถามสาเหตุด้วยอาการงัวเงีย ได้ยินฉินเกอขยับเข้ามาใกล้หูแล้วพูดเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”


                “หือ?” เว่ยฉางอิ่งงุนงงอยู่เกือบเค่อ แล้วพลันได้สติคืนมา รีบคว้ามือของฉินเกอเอาไว้แล้วว่า “แล้วคนไปอยู่เสียที่ใด?”


                “เมื่อครู่นี้เสี่ยวซือจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าวิ่งมา บอกว่าพวกนางเพิ่งจะไปคราวะฮูหยินผู้เฒ่า กำลังเดินทางมาเจ้าค่ะ” ฉินเกอเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งจะลุกขึ้นมานั่ง จึงรีบกดนางเอาไว้ แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วันนี้คุณชายห้ากลับมาและมาเยี่ยมคุณหนูใหญ่ นับได้ว่าคุณหนูใหญ่ฟื้นตัวขึ้นมามาก… เพียงแต่ก่อนนี้ป่วยมาตลอด แล้วครานี้จะลุกขึ้นมาจากตั่งได้อย่างไร? ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินใหญ่ต่างก็เป็นผู้มีจิตใจกว้างขวางมีเมตตา จักต้องไม่มาคิดเล็กคิดน้อยกับคุณหนูใหญ่เป็นแน่”


                เมื่อได้ยินนางกล่าวเตือน เว่ยฉางอิ๋งที่กำลังนอนและอยู่ในอาการงัวเงียจึงเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าครานี้ตนเองไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาสระหวีผมเผ้าเตรียมตัวออกไปต้อนรับ จึงได้นอนลงไปอีกครั้งอย่างวางใจ พลางว่า “ครานี้ข้าเองก็รู้สึกแทบจะลุกไม่ขึ้น กลายเป็นดีเสียอีก”


                ฉินเกอปิดปากหัวเราะ “คุณหนูใหญ่กล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ”


                ทางนี้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว รออีกหนึ่งเค่อ ก็เห็นเฉินหรูผิงเดินเข้ามากับนางเสี่ยวหลิวและนางซู เมื่อได้กลิ่นยา ภายในเรือนจึงได้เริ่มเอ่ยถามถึงอาการ ผู้ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกคือเจวี๋ยเกอ ห่างออกไปในระยะหน้าต่างเปิดแง้มครึ่งบานกั้น ได้ยินเพียงเจวี๋ยเกอตอบไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “…วันนี้คุณชายห้ากลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ลุกจากเตียงไม่ได้ จึงตั้งใจมาเยี่ยมก่อน เมื่อคุณหนูใหญ่เห็นคุณชายห้า ก็กลับมีอาการดีขึ้นอย่างมาก ยามนี้เริ่มรู้สึกตัวและมีกำลังขึ้นมาบ้างแล้วเจ้าค่ะ”


                …นางเสี่ยวหลิวและนางซูมีอาการสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นเฉินหรูผิงเสียอีกที่หัวเราะออกเสียงออกมาอย่างสบายใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังกล่าวกับฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงว่า สาเหตุที่คุณหนูใหญ่ล้มป่วย ล้วนเพราะเป็นห่วงคุณชายห้า วันนี้คุณชายห้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว หากคุณหนูใหญ่จะมีอาการดีขึ้น เช่นนั้นในวันนี้จวนของเราก็นับว่ามีเรื่องมงคลคู่มาสู่ประตูแล้ว! ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ… แม้วันนี้ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินใหญ่จะไม่มา ฮูหยินผู้เฒ่าก็กำลังจะส่งคนไปที่จวนจิ้งผิงกงเพื่อแจ้งข่าวดีอยู่พอดีเชียวเจ้าค่ะ! ท่านว่าวันนี้เป็นวันดีหรือไม่เจ้าคะ?”


                นางเสี่ยวหลิวดูเหมือนเพิ่งจะไหวตัวทันขึ้นมา พลันฝืนยิ้ม “แม่นมเฉินกล่าวถูกต้องแล้ว”


                มิรู้ว่าเป็นเพราะนางไม่เชื่อหรือเพราะไม่วางใจ จึงได้กล่าวต่อไปว่า “ในเมื่อเด็กคนนี้อาการดีขึ้นแล้ว กลับมิรู้ว่าพวกเราจะเข้าไปดูสักหน่อยได้หรือไม่? หากนางหลับอยู่ พวกเราก็ถอดเครื่องประดับออกแล้วค่อยเข้าไป…”


                เว่ยฉางอิ๋งอยู่ข้างในได้ยินจนถึงตรงนี้ จึงส่งสายตาไปยังฉินเกอที่อยู่ตรงหน้า ฉินเกอเข้าใจ จึงเดินออกไปแล้วว่า “คุณหนูใหญ่ตื่นอยู่เจ้าค่ะ เมื่อได้ยินว่าฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินใหญ่มาแล้ว จึงให้ข้าน้อยออกมาเชิญทั้งสองท่านเข้าไปเจ้าค่ะ!” แล้วเอ่ยอีกว่า “แม่นมเฉินก็เชิญเข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”


                เกือบเค่อหลังจากนั้น นางเสี่ยวหลิว นางซู และเฉินหรูผิงจึงได้เข้าไปภายในห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งสวมเสื้อตัวใน มีเสื้อตัวนอกคลุมบ่าอยู่ ปล่อยผมยาวสยาย พิงอยู่ที่พนักพิงด้วยท่าทางดูอิดโรยไร้เรี่ยวแรง นางเสี่ยวหลิวพลันแสดงความรักใคร่ออกมาทางแววตา  กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ฉางอิ๋งเจ้าลุกขึ้นได้แล้วรึ? ครานี้รู้สึกเช่นใด?”


                หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งเหนื่อยอ่อนและไม่ได้นอนหลับดีๆ พอดีกับที่ในลำคอก็แหบพร่าเล็กน้อย และมีอาการเลือดลมกลางลำตัว[1]ไม่เพียงพอ ยามนี้จึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อครู่นี้ได้พบกับฉางเฟิง ข้าก็วางใจแล้ว ยามนี้จึงรู้สึกว่าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ยังคงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ได้ยินท่านป้าและพี่สะใภ้ใหญ่เข้ามาในเรือน ก็กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะร้องเรียก จึงทำได้เพียงให้ฉินเกอออกไปเชิญ…”


                “เจ้าเด็กคนนี้ พวกเรามาเยี่ยมเจ้า ช้าเร็วก็ต้องเข้ามาอยู่ดี” นางเสี่ยวหลิวรีบกล่าว “หากทำให้เจ้าร้อนใจจนพักฟื้นไม่ดี กลับเป็นพวกเราทำการไม่ควรเสียอีก”


                เฉินหรูผิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วว่า “หลายวันมานี้คุณหนูใหญ่เอาแต่นอนไม่ได้สติเกรงว่าจะไม่รู้ ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงและฮูหยินของนายใหญ่เป็นห่วงคุณหนูใหญ่ยิ่งนัก ทุกๆ วันแทบจะต้องมาเยี่ยมวันละหนึ่งหนเชียว!” คำพูดนี้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาได้จริงดังนั้น แต่กลับมีน้ำเสียงเสียดสีที่รู้สึกได้ไม่ยาก


                “เป็นเช่นนี้เอง!” เว่ยฉางอิ๋งเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว จึงได้มองไปยังนางเสี่ยวหลิวและนางซูอย่างซาบซึ้งเป็นนักหนา “เพราะฉางอิ๋งไม่ดีเอง เอาแต่เป็นห่วงน้องห้า จนต้องนอนซมอยู่บนเตียง ทำให้ท่านป้าและพี่สะใภ้ใหญ่ต้องเป็นกังวล!”


                แววตาของนางเสี่ยวหลิวส่องประกายวิววับ อุทานออกมาว่า “พวกเราหรือจะนับว่าเป็นกังวลได้? หากจะบอกว่ากังวลก็ต้องเป็นมารดาของเจ้า!” นางเอ่ยราวกับว่ามิได้ระมัดระวังใดๆ “ได้ยินว่านางก็เพิ่งจะเดินออกมาจากเรือนของเจ้านี่? อาการไอที่มีมาหลายวันนี้ก็มิรู้ว่าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?”


                เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพูด สีหน้าของเฉินหรูผิงพลันเปลี่ยน แล้วแย่งพูดไปทันใด “ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงจำผิดเสียแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่มีอาการปวดหัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ไอเจ้าค่ะ”


                “…” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเย็นวาบอยู่ในใจ พลางนึกด่าความร้ายกาจของนางเสี่ยวหลิว และรู้สึกว่าโชคดีที่เฉินหรูผิงอยู่ด้วย แต่กลับเห็นว่าเมื่อนางเสี่ยวหลิวทดสอบตนล้มเหลว ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางซูพลันหัวเราะแก้สถานการณ์ “หลายวันนี้ท่านแม่เอาแต่เป็นห่วงฉางอิ๋ง จึงได้จำผิดไป”


                “อายุมากแล้วความจำก็ไม่ดี กลายเป็นเรื่องน่าขันของพวกเจ้าไปเสียแล้ว” นางเสี่ยวหลิวกลับมามีสีหน้าปกติดังเดิม แล้วกล่าวเยาะตนเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


                ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ทักทายปราศรัยกันสักพัก เพราะนางเสี่ยวหลิวเอ่ยถึงฮูหยินซ่ง เว่ยฉางอิ๋งยังคงเคืองเรื่องนี้อยู่ จึงทนเสแสร้งไม่ได้นานนัก เมื่อรู้สึกว่าพูดคุยกันพอควรแล้วจึงอ้างว่าตนอ่อนเพลียแล้ว… และแน่นอนว่าเฉินหรูผิงย่อมช่วยนางไล่คนไป


                รอจนจัดการให้นางเสี่ยวหลิวและนางซูไปแล้ว สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันหนักอึ้งลง เอ่ยถามฉินเกอว่า “ท่านแม่ปวดหัวรุนแรงหรือไม่?”


                ฉินเกอไม่กล้าปิดบัง “ด้วยฮูหยินเป็นห่วงคุณหนูใหญ่ ทำให้ธาตุไฟรุมเร้าจึงได้ปวดศีรษะเจ้าค่ะ สองวันนี้นอนไม่หลับเลย ท่านหมอจี้ให้ยากล่อมประสาท เมื่อดื่มยาแล้วจึงนอนหลับไปได้เกือบเค่อ… คิดว่าเมื่อฮูหยินรู้ว่าคุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว ก็จักต้องหายอย่างรวดเร็วเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งตระหนักดีว่ามารดารักใคร่ตนเองและน้องชายมากเพียงใด ครานี้พี่น้องทั้งสองคนต่างประสบอันตราย แต่ก็เอาชีวิตรอดมาจากในป่าได้อย่างหวุดหวิด แม้จะลำบากแสนเข็ญ แต่แม้ตัวฮูหยินซ่งจะอยู่ในรุ่ยอวี่ถังซึ่งมีความปลอดภัย ก็เกรงว่าคงไม่มีสักเวลาที่จะสุขสงบได้ เมื่อฟังฉินเกอพูดออกมาดังนั้นแล้วก็ถอนใจ กล่าวว่า “เจ้าให้ใครสักคนไป มิต้องไปรบกวนท่านแม่ยามนอน รอจนท่านแม่ตื่นแล้ว ให้รายงานทันทีว่าข้าปลอดภัยมิเป็นไรแล้ว”


                แม้ฉินเกอจะรู้ว่าแม่เฒ่าซ่งจะต้องสั่งให้คนไปบอกกล่าวกับแม่นมซือเสียตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังรับคำและเรียกให้เยี่ยนเกอวิ่งไปบอก


____________________________


[1] เลือดลมกลางลำตัว หรือ 中气 เป็นลมปราณที่อยู่ควบคุมการทำงานของม้าม กระเพาะ ลำไส้ อวัยวะที่เกี่ยวกับการย่อยและแยกสารอาหาร


ตอนที่ 66 ความเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง

โดย

Xiaobei

                เยี่ยนเกอไปครานี้ ยามกลับมานางกลับพาฮูหยินซ่งที่ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำมาด้วย เมื่อเห็นสีหน้าอดโรยเป็นที่สุดของมารดา สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็เปลี่ยนไปทันที พลันต่อว่าเยี่ยนเกอว่า “ข้าแค่บอกให้เจ้าไปบอกกับแม่นมซือสักคำ เหตุใดเจ้ายังกล้าทำให้ท่านแม่ตกใจ?”


                ฮูหยินซ่งฝืนยิ้ม สะบัดมือแล้วกล่าวว่า “อย่าไปโทษเยี่ยนเกอ เมื่อครู่นี้ข้าบอกว่าจะกลับไปนอนสักพัก แต่ที่ไหนเล่าจักนอนหลับลง? ก่อนเยี่ยนเกอจะมาท่านย่าของเจ้าก็ได้ให้คนมาบอกเรื่องที่เจ้ากลับมาแล้ว… แต่คิดว่าพอเจ้าอาบน้ำแล้วก็เกรงว่าจะพักผ่อน จึงไม่ได้มารบกวนเจ้า ครานี้เยี่ยนเกอมา พอถามได้ความว่าเจ้าตื่นแล้ว จะให้ข้าไม่มาดูได้อย่างไร?”


                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาเช่นกัน สะอื้นพลางว่า “ข้าไม่เป็นไร ท่านแม่โปรดวางใจเถิด”


                ฮูหยินซ่งรู้จากทางแม่เฒ่าซ่งแล้วว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับมาอย่างปลอดภัย แต้มพรหมจรรย์บนแขนก็ยังอยู่ บวกกับการปลอมตัวของเว่ยฉางเฟิงก่อนหน้านี้ เรื่องคราวนี้มีแปดส่วนที่น่าจะปิดบังเอาไว้ได้ ยามนี้จึงไม่ควรสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ บุตรสาวที่น่ารักใคร่เป็นที่สุดหลังจากนอนพักผ่อนแล้วกลับมีสีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา กระซิบเบาๆ ว่า “สวรรค์คุ้มครอง! ที่สุดลูกข้าก็กลับมาแล้ว!”


ทว่านางก็มีแรงข่มใจได้เพียงประโยคเดียว…เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด ฮูหยินซ่งที่เป็นคนเคร่งขรึมมาโดยตลอดก็พลันลุกขึ้น โผตัวมานั่งบนตั่งไม้แล้วกอดเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้แน่น!


เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง รู้สึกได้ว่าฮูหยินซ่งแทบจะเอาแรงทั้งหมดที่มามากอดตนเอาไว้ ท่ามกลางความตื้นตันนั้น เล็บของนางก็เกือบจะจิกลงไปในเนื้อของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ภายในใจมีความปวดร้าวที่ไม่รู้ที่มา จึงหันมือกลับไปกอดตอบฮูหยินซ่ง คนที่อยู่ภายในห้องล้วนเข้าใจดี จึงพากันเงียบไม่ส่งเสียงใด ปล่อยให้แม่ลูกกอดกันไปเนิ่นนาน ยามฮูหยินซ่งคลายมือนั้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา จนทำให้เสื้อทับด้านในที่เว่ยฉางอิ๋งสวมอยู่เปียกไปรอยใหญ่ นางพลางเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา พลางจ้องมองดูบุตรสาวอยู่เนิ่นนาน คิดจะเอ่ยคำแต่กลับถูกเสียงสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ…


ยามนี้เองแม่นมซือจึงได้กล่าวเตือนว่า “ยามนี้คุณหนูใหญ่และคุณชายห้าล้วนกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เห็นทีเพราะสวรรค์คุ้มครองคนดี ฮูหยินควรขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง ยามนี้สติของคุณหนูฟื้นคืนแล้ว หากร้องไห้ไปกับฮูหยิน เกรงว่าจะยิ่งทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ไปอีก”


                เมื่อเห็นว่าคำพูดนี้หาได้เตือนสติฮูหยินซ่งจากความปวดร้าวได้ไม่ จึงได้กล่าวเตือนไปอีกว่า “วันนี้นางเสี่ยวหลิวยังได้พานางซูมาด้วย น่าสงสารคุณหนูใหญ่ต้องถูกปลุกขึ้นมาขณะนอนพักเพื่อต้อนรับพวกนาง…”


                 ปรากฏว่าเมื่อฮูหยินซ่งได้ยินคำจึงได้เช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปสองสามหน แล้วกล่าวด้วยแววตาเคียดแค้นว่า “เว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิว… ไม่ว่าท่านพ่อท่านแม่จะทำอย่างไร ชาตินี้หากจวนจิ้งผิงกงไม่ตายข้าจะไม่ยอมรามือ!!”


                “ท่านแม่”  เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่ายามนี้ฮูหยินซ่งร่างกายไม่สู้ดี ไม่ต้องการให้นางว้าวุ่นใจอีก ยิ่งไปกว่านั้นการลอบโจมตีหนนี้ แม้จะรู้ว่าจวนจิ้งผิงกงเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด ทว่าเรื่องเช่นนี้จักต้องมีการเตรียมการเอาไว้นานแล้ว อีกทั้ง ‘ปี้อู๋’ ก็อยู่ในมือของเว่ยเจิ้งหย่า มีหรือจะจับได้ไล่ทันได้ง่ายดายปานนั้น? เมื่อยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ด้วยฐานะที่จิ้งผิงกงเป็นทั้งสายเลือดโดยตรงทั้งเป็นบุตรคนโต แม้เว่ยฮ่วนจะเป็นประมุข ในทางแจ้งนั้นเมื่อไม่มีพยานหลักฐานใดก็ไร้หนทาง


                ต้องรู้ว่าเว่ยฮ่วนครองตำแหน่งประมุขของตระกูลมานานปี เป็นคนปราดเปรื่อง ฝีมือในการปกครองเมืองลึกล้ำ บุตรชายผู้สืบสกุลในสายของเขาก็นับว่าใช้ได้ โดยเฉพาะบุตรคนรองและหลานชายบ้านใหญ่ต่างก็เป็นผู้มีความสามารถ…ในสถานการณ์เช่นนี้ เว่ยเจิ้งหย่ายังกล้าว่างแผนชิงตำแหน่งประมุข ทั้งยังเก็บ ‘ปี้อู๋’ ไว้ในมืออย่างเหนี่ยวแน่น และยังได้ชายาเป็นนักเขียนเรืองนามในเขตทะเล มีหรือจะมีคนรุ่นหลังที่มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย?


                บางทีเขาอาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาโดยตลอด ทั้งยังไม่อาจขุดรากถอนโคนและตอบโต้ได้ง่ายดายปานนั้น!


                เรื่องหนนี้แม้ว่าเว่ยฮ่วนยังอยู่ที่จวนจิ้งผิงกง ยังไม่ได้ยินคำที่หลานสาวบอกกล่าวต่อแม่เฒ่าซ่งก่อนหน้านี้ ทว่าต่อให้เว่ยฮ่วนได้รู้เรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดก่อนจะไปจวนจิ้งผิงกงแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจจะพูดออกไปตรงๆ ได้ เขาทำได้เพียงอาศัยขออ้างว่าขอกำลังของ ‘ปี้อู๋’ ไปช่วยเหลือหลานชายผู้สืบสกุลคนสำคัญของตระกูลที่กำลังได้รับเคราะห์ ขอให้เว่ยเจิ้งหย่าจัดการ ‘ปี้อู๋’ ให้ดี ใช้เหตุผลนี้มาเพื่อฉกชิงอำนาจการดูแล ‘ปี้อู๋’ ลดความแข็งแกร่งของเว่ยเจิ้งหย่า หากลงมืออย่างชัดแจ้ง ก็เกรงแต่ว่าคนในใต้หล้าจะพากันโจษจันว่าเว่ยฮ่วนละโมบโลภมาก ตนมีตำแหน่งประมุข ตำแหน่งเสาหลักของแคว้น อีกทั้งเป็นฉางซานกง ยังต้องการครองบรรดาศักดิ์จิ้งผิงกงที่สืบทอดกันมาไม่เคยเปลี่ยนในสายของพี่ชายในบ้านใหญ่อีก… ซึ่งบรรดาศักดิ์นี้อย่างไรก็จะต้องมอบให้แก่เว่ยเจิ้งหย่า และถือเป็นการให้โอกาสจือเปิ่นถังด้วย


                เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก กล่าวด้วยหน้าตาจริงจังว่า “ท่านแม่ไยต้องโกรธเกรี้ยว? อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องครานี้ เพราะคนทั้งบ้านเราล้วนต้องจำได้อยู่แล้ว! ยังมีเวลาอีกถมเถ ทางนั้นมีฐานะเป็นทั้งญาติในสายเลือดของพวกเรา ทั้งเป็นบุตรชายสายเลือดตรงคนโต หากไม่แน่ใจ ก็อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น รอจนมีโอกาส มีหรือที่พวกเราจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย? ยิ่งไปกว่านั้น ครานี้พวกเขาก็ลงทุนลงแรงไปมาก แต่กลับสังหารบ่าวไพร่ของเราไปได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น หาได้ผลประโยชน์ใดเลยไม่! ข้าและฉางเฟิงกลับมาอย่างปลอดภัย ได้ยินว่าเกาชวนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีชีวิตรอดกลับมาได้… อย่าได้มองแต่ว่านางเสี่ยวหลิวและนางซู ‘มาเยี่ยม’ ข้าทุกวัน ไม่แน่หรอกว่ายามที่พวกนางอยู่ในจวนจิ้งผิงกง อาจจะโกรธเสียจนต้องไล่บ่าวไพร่ออกมาแล้วตนเองก็ได้แต่เต้นเร่าๆ อยู่ทุกวี่วันก็มิรู้ได้!”


                ฮูหยินซ่งได้ยินบุตรสาวกล่าวจนต้องหัวเราะออกเสียงออกมา ความโกรธแค้นที่เคยมีอยู่เต็มลำคอก็จางหายตามไปด้วย แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ดี ดี ดี! เจ้าว่าอย่างไรแม่ก็จะว่าตามเจ้า…” แล้วเอือมมือไปประกบที่ข้างแก้มของนาง ทั้งรู้สึกหวาดกลัวและตื้นตัน “โชคดีที่เจ้าไม่เป็นไร! มิเช่นนั้น ข้าจักไปบอกกับท่านพ่อของพวกเจ้าว่าอย่างไร?”


                …เว่ยฉางอิ๋งกลับมาอย่างปลอดภัยครบสมบูรณ์ ทำให้ภูเขาที่อยู่ในใจของทุกคนในรุ่ยอวี่ถังถูกยกออกไป


                แม้แต่ฮูหยินซ่งเองก็ยังคิดว่า หลังจากปลอบขวัญเด็กรุ่นหลานทั้งสามคนแล้ว ต่อไป… ก็จักต้องช่วยเว่ยฮ่วนวางแผนเรื่อง ‘ปี้อู๋’ และวางแผนเอาคืนพวกตระกูลหลิว จือเปิ่นถัง และฮองเฮากู้แล้ว


                เมื่อเป็นตระกูลสูงศักดิ์ หาได้ไม่คุ้นเคยกับเรื่องวางกลอุบาย เมื่อหลานชายและหลานสาวบ้านใหญ่ต่างก็ปลอดภัย เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งก็มีความอดทนเพียงพอเพื่อรอวันไปล้างแค้น


                ทุกสิ่งดำเนินไปดังนี้กว่าครึ่งเดือน ทุกคนในรุ่ยอวี่ถังต่างก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม ในเมืองเฟิ่งโจวก็สุขสงบ มิได้มีข่าวลืออันใดแพร่ออกไปเลยแม้แต่น้อย


                 แต่ในขณะที่ทุกคนเกือบจะลืมเรื่องลอบทำร้ายนี้ไปสักพักอยู่นั่นเอง ดินเหนียวก้อนใหญ่ก็ถูกเข็นเข้ามาที่เรือนหลังด้วยความระมัดระวัง ให้แม่เฒ่าซ่งจดจ้องอยู่หนึ่งเค่อเต็มๆ นางจึงได้ถามไปด้วยใบหน้าเขียวคล้ำว่า “นี่มัน…นี่มันหมายความว่าอย่างไร?!”


                ผู้ที่ส่งก้อนดินเหนียวนี้มาก็คือสองสามีภรรยา เว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิว


                เว่ยเจิ้งหย่าอายุใกล้ปีที่ห้าสิบ สมกับที่เป็นนักเขียนเรืองนามในเขตทะเล มีความสง่างามเหนือธรรมดายิ่งนัก ใบหน้าของเขาถึงกับคล้ายเว่ยเจิ้งหงเป็นอย่างมาก ท่าทีองอาจงดงาม ทั่วกายอบอวลด้วยกลิ่นอายของผู้ร่ำเรียนหนังสือ เมื่อได้ยินคำก็กล่าวไปอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “เรียนท่านอาสะใภ้รองเรื่องเป็นเช่นนี้… หลายวันก่อนนี้พวกเด็กๆ ฉางอิ๋งถูกลอบทำร้ายที่นอกเมืองเฟิ่งโจว เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกใจเสียจริงๆ! เคราะห์ดีที่บ่าวไพร่ภักดี ยอมตายถวายชีวิต จึงได้ปกป้องเอาพวกเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย”


                แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างไร้ความอดทนว่า “เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว เด็กทั้งสามคนต่างก็ตกใจกันไม่เบา คำพูดนี้ ยามนี้อย่าเอ่ยถึงดีกว่า… เจ้าเอาก้อนดินเหนียวนี้มาทำสิ่งใด?”


                “หลานคิดว่าเหตุที่หลานชายและหลานสาวทั้งสามกลับมาได้อย่างปลอดภัย นอกจากเพราะสวรรค์คุ้มครองแล้ว ก็เพราะมีบ่าวที่ภักดี ดังนั้นจึงเห็นสมควรยิ่งให้มีการบันทึกความจงรักภักดีของบ่าวไพร่สองสามคนนี้เอาไว้สักครา หากมิใช่แผ่นป้ายตั้ง ก็น่าจักมีบันทึกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นการสดุดีแก่พวกเขา สำหรับพวกเราแล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่กลับเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่ข้าผู้ภักดีไปแสนนาน!” เว่ยเจิ้งหย่ากล่าวออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ โดยหาได้รับผลกระทบจากแม่เฒ่าซ่งที่ขมวดคิ้วแน่นขึ้นทุกทีเลยแม้แต่น้อย “เรื่องเล็กน้อยนี้ หลานคิดว่าไม่ต้องให้ท่านอารองและท่านอาสะใภ้รองต้องยุ่งยากเกินไป เมื่อเตรียมการไว้เสร็จสรรพแล้ว จึงค่อยมารายงาน แล้ว…”


                เขาชี้ไปยังก้อนดินเหนียวตรงหน้า… ก้อนดินเหนียวนี้ยาวราวหกฉื่อ[1] กว้างราวสี่ฉื่อ ในก้อนดินเหนียวยังมีสิ่งของพวกรากไม้ใบหญ้าจำนวนมากติดมาด้วย เศษไม้เศษหญ้าเหล่านั้นล้วนยังไม่ทันแห้งเหี่ยว แต่ที่แห้งไปแล้วกลับคือรอยเท้า


                รอยเท้าอย่างน้อยสามสี่คู่ทั้งเล็กใหญ่ รอยเท้าคู่หนึ่งเรียวเล็กงดงามกว่ารอยอื่นๆ เป็นอย่างมาก และชัดเจนยิ่งนักในสายตาของแม่เฒ่าซ่ง… และนี่เองคือสาเหตุที่เมื่อแม่เฒ่าซ่งได้เห็นแล้วจึงมีสีหน้าเขียวคล้ำ


                เพียงแต่แม่เฒ่าซ่งไม่มีทางยอมรับเป็นเด็ดขาด จึงกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “แล้วสิ่งใด?”


                “หลานตั้งใจว่าจะเขียนบทความหนึ่งบท เพื่อชื่นชมบ่าวไพร่ที่ปกป้องหลานชายและหลานสาวทั้งสามกลับมา กอปรกับระยะนี้หลานมีเวลาว่างค่อนข้างมาก จึงพาคนเข้าไปในป่าหนหนึ่ง เพื่อไปดูว่าหลานๆ ได้ไปพบเจอสิ่งใดในป่าบ้าง และเพื่อให้ได้ขัดเกลาคำใหม่ๆ และประโยคใหม่ๆ มาเขียนด้วย” ด้วยความเป็นนักเขียนเรืองนามเช่นเว่ยเจิ้งหย่านี้ การสรรหาและขัดเกลาคำใหม่ๆ ขึ้นมาถือเป็นเรื่องใหญ่ ว่ากันจริงๆ แล้ว การขึ้นเขาลงห้วยไปเพื่อสรรหาแรงบันดาลใจในชั่วเวลานั้นๆ ให้ได้คำสักประโยคหรือสักตัวอักษรก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด… การที่เขาอธิบายออกมาเช่นนี้และนำมาพูดในเวลานี้ถือว่าสมเหตุสมผล “แล้วเมื่อเดินตามรอยเท้าไป ก็หาที่ที่หลานสาวฉางอิ๋งและหลายชายฉางเฟิงแยกกันในป่า แต่กลับพบว่า… ผู้ที่เจียงเจิงคุ้มครองกลับมานั้น คล้ายไม่ใช่หลานสาวฉางอิ๋ง?”


                ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “เรื่องนี้กลับฟังแล้วน่าขัน มิใช่ฉางอิ๋งแล้วจักเป็นผู้ใดได้? หรือจะเป็นฉางเฟิง? คนที่เหล่าผู้มีคุณธรรมในป่าเชื้อเชิญไปเป็นฉางเฟิง… ชายหญิงนั้นแตกต่างกัน หรือพวกเขาไม่มีตาดู!” เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงคนหนึ่งกลับมาก่อนอีกคนกลับมาทีหลัง หาได้กลับมาในเวลาเดียวกัน เรื่องนี้ย่อมต้องมีคำอธิบายต่อคนภายนอก


                ความจริงเรื่องที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากกองโจรที่เว่ยซินหย่งซึ่งเป็นไส้ศึกในจือเปิ่นถังชุบเลี้ยงเอาไว้บนเขาเฟิ่งฉีนั้น แน่นอนว่าไม่อาจจะเปิดเผยได้ ดังนั้นคำอธิบายของรุ่ยอวี่ถังต่อภายนอกก็คือในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงถูกผู้ลอบทำร้ายล้อมอยู่นั้น มีชาวบ้านผู้หนึ่งเข้ามาเก็บยาในป่า เมื่อได้ยินเสียงเข้าจึงได้ช่วยพวกเขาเอาไว้


                หลังจากนั้นเว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งต้องการจะไปขอบคุณเหล่าผู้มีคุณธรรมในป่า ด้วยรู้สึกตื้นต้นในน้ำใจอันใหญ่หลวงของอีกฝ่าย ดั้งนั้นเว่ยฉางเฟิงจึงให้พี่สาวกลับมาที่บ้านก่อน ส่วนตนเองเดินทางไปพบผู้มีพระคุณเพื่อคารวะสักครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เสียเวลาไปสองวันจึงเพิ่งกลับมา


                “ท่านอาสะใภ้รองไม่ทราบ” เว่ยเจิ้งหย่ายิ้มบางๆ ออกมาแล้วว่า “ที่ที่ขุดดินเหนียวนี้ออกมาอยู่ในป่าลึก มีกิ่งก้านใบไม้หนาแน่น อีกทั้งล้วนเป็นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปี ยังไม่เอ่ยถึงว่านี่เป็นเหตุให้แสงมืดสลัวเป็นอย่างยิ่ง ได้ยินว่าวันนั้นยังมีฝนตกอีกด้วยนี่? ยามฉางเฟิงและฉางอิ๋งกลับมาก็ต่างสวมงอบ ดูไปแล้วก็หาใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการไปตามนัดหมายแทนกัน!”


                “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร?” แม่เฒ่าซ่งมีท่าทีแตกหักในทันที พลางตบโต๊ะอย่างโมโหโกรธา “คนที่กลับมาก่อนก็คือฉางเฟิง! หลายวันนั้น ฮูหยินบุตรจิ้งผิงกง สะใภ้ใหญ่ และบุตรสาวเจ้าก็มิใช่ว่ามาเยี่ยมอยู่ทุกวันหรอกรึ? มีคราใดที่พบว่าเป็นฉางเฟิง เจ้าว่ามา!”


                เว่ยเจิ้งหย่าเพียงยิ้มอ่อนๆ ให้กับความโกรธเกรี้ยวของแม่เฒ่าซ่ง แต่กลับเอ่ยอีกว่า “ท่านอาสะใภ้รองมิต้องโกรธเคือง หลานเพียงคิดว่า แม้รอยเท้าที่อยู่บนก้อนดินเหนียวนี้ดูละม้ายเป็นของหลานสาวฉางอิ๋ง แต่…ก็เป็นไปได้ว่าเมื่อฉางเฟิงและเหล่าผู้มีคุณธรรมที่ช่วยพวกเขาไว้ในป่าจากไปแล้ว ฉางอิ๋งอาจจะไม่นอนใจ จึงได้เดินตามไปสองสามก้าวในที่เดิม”


                ประเดี๋ยวเขาก็พูดเรื่องนี้ ประเดี๋ยวก็พูดเรื่องนั้น เดาเจตนาได้ยาก… แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้ว แต่กลับไม่ต่อความเรื่องนี้ เพียงกล่าวว่า “ผู้ที่กลับมาก่อนนั้นเป็นฉางอิ๋ง ข้ายังมิได้แก่จนเลอะเลือน จนถึงขั้นแยกแยะหลานสาวและหลานชายไม่ออก จะว่าไปการที่เด็กสามคนนี้ถูกดักซุ่มโจมตีบนถนนหลวง แล้วจากนั้นก็ถูกบีบให้ต้องหนีเข้าไปในป่า พวกลอบทำร้ายก็ยังจับไม่ได้ เหตุใดเจ้ายังต้องเสี่ยงเข้าไปในป่าอีกเช่นนี้? หากเจอคนร้ายในที่นั้น เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมา แล้วจักให้ภรรยาและบุตรสาวของเจ้าทำเช่นไร? คนก็อายุจะห้าสิบแล้ว ยังทำการบ้าบิ่นเช่นนี้! การสรรหาคำใหม่นั้นสำคัญถึงเพียงใด จึงจำเป็นต้องเข้าไปในป่าเสียให้ได้?”


                เว่ยเจิ้งหย่ารีบขอบคุณความห่วงใยของอาสะใภ้ แล้วกล่าวตอบว่า “อีกประการหนึ่ง จะว่าไปเหล่าผู้มีคุณธรรมช่วยฉางอิ๋งและฉางเฟิงเอาไว้ในป่า แม้เด็กทั้งสองคนจะตามไปเป็นแขกและขอบคุณพวกเขาด้วยกัน ก็มิเห็นเป็นไร อยู่ดีๆ หญิงสาวตัวคนเดียวอย่างฉางอิ๋งจะไปตามนัดแทนฉางเฟิงได้อย่างกันไรกัน? ดังนั้นที่วันนี้หลานเอาก้อนดินเหนียวนี้มา ย่อมมิได้ด้วยสงสัยหลานสาว หากแต่เป็นเพราะสาเหตุอื่น”


                แม่เฒ่าซ่งจิบน้ำชาอึกหนึ่ง แล้วครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จึงได้กล่าวออกไปอย่างราบเรียบว่า “สาเหตุใด?”


                “จะว่าไปนี่ก็เป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาจากคนทางบ้านแม่ของสะใภ้ใหญ่ของบ้านเราซึ่งนำของมาส่งเมื่อวานนี้” เว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิวสบตากันหนหนึ่ง นางเสี่ยวหลิวจึงได้ถอนหายใจ กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านอาสะใภ้รอง เรื่องเป็นเช่นนี้ เมื่อวานนี้คนจากบ้านซูมาส่งของให้สะใภ้ใหญ่ แล้วเอ่ยถึงเรื่องหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ในเมืองหลวง บอกว่ามีคนที่พูดสำเนียงเฟิ่งโจวไปขวาง…ขวางขบวนของท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยฉีในเมืองหลวง!”


                “เพราะท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองได้ยินว่าเป็นคนเฟิ่งโจว เห็นแก่ไมตรีจิตของท่านอารอง จึงได้ตั้งใจลงมาจากเกี้ยวเพื่อสอบถามสาเหตุ ผู้ใดจักรู้ว่าคนผู้นั้นกลับ… กลับร้องห่มร้องไห้ออกมากลางถนน บอกว่าเดิมทีเขาเป็นชาวบ้านตาดำๆ คนหนึ่งในเฟิ่งโจว เพียงเพราะเขาไปตัดไม้ในป่า แล้วบังเอิญไปพบว่า… ฉางอิ๋งถูกชายหลายคนลักพาตัวไป แล้วเขาจึงได้ถูกบ้านเราตามฆ่า!”


                สีหน้าของนางเสี่ยวหลิวเต็มไปด้วยความกังวล “ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ ได้ยินว่าคนผู้นั้นยังวาดภาพของฉางอิ๋งออกมาด้วย… แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ? ยามนี้เรื่องกำลังเป็นที่โจษจันอย่างกว้างขวางในเมืองหลวง เกรงว่า… คนบ้านเสิ่นคงจะกำลังเดินทางมาแล้ว!”


                “ดังนั้นพวกเราจึงได้รีบให้คนไปขุดเอาดินเหนียวที่บริเวณนั้นกลับมา เพื่อมิให้หากพวกคนบ้านเสิ่นรู้เข้า แล้วจะเกิดความแคลงใจที่ไม่ควรมี” นางเสี่ยวหลิวกล่าวด้วยท่าทีเอาใจว่า “ตอนนี้รอยเท้าที่สามารถพบเห็นได้ที่นั่นก็ถูกขุดออกไปหรือทำลายไปแล้ว ท่านอาสะใภ้รองโปรดวางใจ แม้คนบ้านเสิ่นจะไปดูที่เกิดเหตุ ก็จะไม่มีทางได้พบเห็นร่องรอยที่ไม่ควรจะพบเห็นแล้ว…”


                เสียง ‘เพล็ง’ ดังขึ้น ถ้วยชาในมือฮูหยินซ่งถูกปัดจนคว่ำอยู่บนโต๊ะ…


_____________________________


[1] ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยามแบบจีน มีความยามประมาณ 14 นิ้ว


ตอนที่ 67 เสิ่น หลิว ซู

โดย

Xiaobei

                เว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิวมาหาด้วยตัวเอง และเรื่องราวที่ต้องการนำมาบอกกล่าวผ่านก้อนดินเหนียวที่นำมามอบให้นั้นก็หาใช่เรื่องลมๆ แล้งๆ เพราะบ่ายวันนั้น แม่เฒ่าซ่งก็ได้รับจดหมายที่เว่ยเจิ้งอินส่งคนให้เดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อนำมามอบให้ ในจดหมายใช้น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวบรรยายถึงเรื่องราวที่มีคนมาขวางเกี้ยวร้องเรียน…


                เรื่องที่มีชาวบ้านเฟิ่งโจวไปร้องห่มร้องไห้ขวางขบวนของเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยฉีขณะเดินทางกลับจากวังหลวงบนถนนจูเชว่ซึ่งนับเป็นถนนที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองหลวงนั้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากพากันหยุดดู


                ประเด็นหลักคือ เมื่อชาวบ้านผู้นี้ตะโกนร้องไห้จนทำให้เว่ยฉีลงมาจากเกี้ยวแล้ว พอเด็กรับใช้ข้างกายเว่ยฉีบอกกล่าวถึงฐานะของเว่ยฉี เพื่อต้องการให้ชาวบ้านผู้นั้นรู้ว่าควรจะคาราวะอย่างไร ไม่คิดว่าเพียงเด็กรับใช้เอ่ยคำว่าเว่ยออกมาคำเดียว ชาวบ้านเฟิ่งโจวที่ก่อนนี้พุ่งตัวฝ่าองครักษ์เข้ามายื่นคำร้องอย่างไม่คิดชีวิตกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สองสามประโยค ก็พลันเก็บคำร้องไปทันใดและคิดจะวิ่งหนี


                เรื่องผิดปกติเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะไม่สงสัย? ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเหตุที่นานครั้งเว่ยฉีจะเผยตัวบนท้องถนน ไม่มีทางปล่อยให้คนจู่ๆ อยากขวางขบวนก็ขวาง อยากจะไปก็ไปเช่นนี้เป็นเด็ดขาด หาไม่แล้วชาวบ้านร้านตลาดก็จะเห็นฉาก ‘ชาวบ้านเดินทางพันลี้เข้าเมืองหลวงเพื่อร้องเรียนตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว กลับไม่ดูตาม้าตาเรือวิ่งเข้ามาในมือของเว่ยฉีซึ่งเป็นคนในตระกูลเว่ยเช่นกัน’ บนถนนกลางเมือง


                …ซึ่งแน่นอนว่าเว่ยฉีที่ ‘เคารพ’ เว่ยฮ่วนมาโดยตลอดย่อมไม่มีทางเชื่อคำกล่าวของชาวบ้านเพียงหนึ่งคน เขามิทันฟังความของชาวบ้านผู้นั้นจนจบ ก็พลันต่อว่าอีกฝ่ายอย่างโมโหโกรธาว่าพูดจาเลอะเลือน ถึงขนาดกล้าให้ร้ายหลานสาวบ้านใหญ่ของขุนนางคนสำคัญ กระทั่งแทบจะตีคนผู้นั้นจนตายอยู่กลางถนน! ไม่คิดว่าตอนแรกชาวบ้านผู้นั้นยังกล้าๆ กลัวๆ แต่พอถูกขู่จนตกใจเช่นนี้ กลับไม่สนสิ่งใดอีก เมื่อตอนที่ถูกเว่ยฉีสั่งคนให้กดเขานอนลงเพื่อรับการโบยตีนั้น เขากลับเล่าออกมาเสียงดังลั่นว่าตนเคยได้เห็นเว่ยฉางอิ๋งถูกกระทำให้เสียหายอยู่ภายในป่า และนับจากนั้นเขาจึงกลายเป็นเป้าไล่ล่าของรุ่ยอวี่ถัง ทั้งยังเล่าอย่างละเอียดเป็นอย่างมากด้วย… กระทั่งลักษณะสำคัญต่างๆ ที่อยู่บนต้นไม้ใบหญ้ากี่แห่งต่อกี่แห่งก็ยังบรรยายออกมาจนหมด!


                เรื่องราวต่างจากที่นางเสี่ยวหลิวเล่าอยู่เพียงที่เดียว นั่นก็คือชาวบ้านผู้นี้ไม่เคยวาดภาพใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งออกมา กลับกลายเป็นว่าเขาตะโกนบรรยายรูปร่างหน้าตาของเว่ยฉางอิ๋งออกมาสองสามประโยค และมีศิลปินที่ชำนาญการวาดภาพแบบดานชิง[1]อยู่ข้างทาง ‘พอดี’ จึงได้ ‘ลอง’ วาดภาพออกมาภาพหนึ่งตามสิ่งที่เขาพรรณนาออกมา…และแพร่สะพัดกันออกมาเช่นนี้นั่นเอง


                และเมื่อภาพภาพนี้วาดเสร็จไม่นาน ชาวบ้านผู้นั้นก็ยังตะโกนความเป็นมาตั้งแต่ต้นจนจบเสียดังลั่น จนคนแถวนั้นต่างได้ยินกันหมด สุดท้ายจึงถูกองครักษ์ของเว่ยฉีตีจนตายคาที่อยู่บนถนน


                เว่ยฉียังประกาศออกไปด้วยโทสะมหันต์ หากให้เขาได้ยินคำว่าร้ายนายผู้หญิงในบ้านขุนนางคนสำคัญอีก ก็จะต้องเป็นเช่นคนผู้นี้!


                …แต่เพียงคิดก็รู้แล้วว่า คนนอกต่างพากันคิดมาโดยตลอดว่าในปีที่เว่ยฮ่วนเกษียณตัวจากราชการนั้น ก็ได้ผลักดันให้เว่ยฉีได้รับตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายปกครอง ซึ่งนับว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเว่ยฉี ส่วนหลายปีมานี้เว่ยฉีเองก็ไปคารวะเว่ยฮ่วนอยู่ทุกเทศกาลไม่เคยขาด


                ในเมื่อเว่ยฉีเข้าข้างและช่วยเหลือเว่ยฮ่วนถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้วที่เขาตีชาวบ้านที่มาฟ้องร้องเว่ยฮ่วน และยังให้ร้ายต่อชื่อเสียงหลานสาวของเว่ยฮ่วนก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา… ไม่ว่าการให้ร้ายนี้จะเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ดีชั่วอย่างไร เว่ยฉีก็ต้องตอบแทนบุญคุณของเว่ยฮ่วน ต่อให้จริงก็ต้องกลายเป็นเท็จ!


                แต่หากเป็นเท็จ ไยเว่ยฉียังมิทันแม้จะสืบสวนก็ตีคนจนตายเสียแล้วเล่า? เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดว่าเขาออกโรงปกป้องเว่ยฮ่วน… อย่างไรเสียเรื่องก็เป็นไปตามที่ชาวบ้านผู้นี้เป็นกังวลและหวาดกลัวจนคิดจะหลบนี้ไปก่อนหน้านี้ว่า เว่ยฉี…ไม่เพียงแค่ติดหนี้บุญคุณเว่ยฮ่วนอย่างใหญ่หลวง เขาเองก็ยังเป็นลูกหลานตระกูลเว่ยด้วย! ด้วยความสัมพันธ์และด้วยหลักการแล้วก็จะไม่มีทางยอมรับว่าสตรีในตระกูลเว่ยถูกกระทำจนเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นแน่


                ดังนั้นแล้ว เรื่องนี้…เกรงว่าจะมีโอกาสอย่างมากว่าจะเป็นเรื่องจริง!


                ภายใต้การคาดเดากันไปเช่นนี้ แต่พยานหลักฐานในตอนนั้นกลับถูกเว่ยฉีปิดทับไปสิ้นแล้ว หลังจากนั้นบทสรุปของเรื่องนี้กลับยิ่งแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว! คำเล่าลือลุกลามรุนแรง ยังไม่ทันถึงกลางคืนก็แทบจะแพร่ไปทุกซอกทุกมุมในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งลือยิ่งเกินจริงไปกันใหญ่… จนกระทั่งก่อนค่ำวันนั้น มีคนหลายคนจงใจมาวนเวียนอยู่ในบ้านของน้องสะใภ้ของเว่ยเจิ้งอิน แม้มิได้เอ่ยชัดเจน แต่ทั้งที่ได้ยินและไม่ได้ยินต่างก็มาเพื่อจะไถ่ถามถึงเรื่องนี้


                เดิมทีนั้นมิต้องพูดว่าแต้มพรหมจรรย์บนแขนของเว่ยฉางอิ๋งยังอยู่ ต่อให้ไม่มีแล้วจริงๆ ก็คงทำได้เพียงใช้เหตุผลทำนองว่าคุณหนูตระกูลเว่ยป่วยหนักเพื่อเป็นข้ออ้างล้มเลิกสัญญาแต่งงาน ไม่มีทางบอกชัดไปว่าเว่ยฉางอิ๋งเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว… เรื่องนี้ไม่เพียงแค่เป็นหน้าตาของตระกูลเว่ย ต้องรู้เสียก่อนว่าเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงนั้นไม่เพียงหมั้นหมายกันมาแต่เล็ก แม่สื่อก็ไปแล้วพยานต่างๆ ก็มีแล้วจะเหลือก็แต่เข้าพิธีแต่งงานเท่านั้น เมื่อพิจารณากันจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งนับว่าเป็นคนบ้านเสิ่นเสียตั้งนานแล้ว!


                ซึ่งก็หมายความว่า หากเว่ยฉางอิ๋งถูกคนทรามทำลาย คนที่ต้องเสียหน้าก็คือตระกูลเว่ยและตระกูลเสิ่น สองปีมานี้กำลังอำนาจของรุ่ยอวี่ถังถดถ้อยลง แต่ตระกูลเสิ่นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อีกประการ สาเหตุที่กำลังอำนาจของรุ่ยอวี่ถังลดน้อยลงไปอีกเช่นในยามนี้ก็เพราะคุณหนูบ้านใหญ่ของสายหลักตระกูลเว่ยถูกข่มเหง ในทางลับนั้นเรื่องเอาคืนก็ส่วนเรื่องเอาคืน แต่ในทางแจ้งนั้นเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด


                ละครตลกที่มีคนออกไปขวางเกี้ยวร้องทุกข์นี้ ไม่เพียงทำให้ชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งที่ยังไม่ทันได้ไปเมืองหลวงต้องย่อยยับแล้ว กระทั่งเสิ่นจั้งเฟิงที่สองสามปีมานี้กำลังมีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งในเมืองหลวงก็พลอยกลายเป็นตัวตลกไปด้วย!


                ฮูหยินซ่งโกรธเสียจนสั่นไปทั้งตัว “ข่มเหงกันเกินไป! ข่มเหงกันเกินไปแล้ว! เจ้าแก่เว่ยฉี! ไอ้คนสารเลวเว่ยเจิ้งหย่า! ลงมือกับคนรุ่นหลังทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงอย่างเอาให้มั่นคั้นให้ตาย ทั้งยังสร้างข่าวลือไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้… ช่างไม่กลัวเลยหรือว่าทำเลวไว้มากมายถึงเพียงนี้แล้วทั้งบ้านจะไม่ได้ตายดี?”


                “กลัวอะไร?” ใบหน้าของแม่เฒ่าซ่งแข็งกร้าวดังเหล็ก แต่ก็ยังคงสงบนิ่ง แล้วกล่าวราบเรียบว่า “สองทางนี้สร้างข่าวลือใหญ่โต พูดกันอย่างมั่นอกมั่นใจว่าความบริสุทธิ์ของฉางอิ๋งสิ้นไปแล้ว แต่ความบริสุทธิ์ของฉางอิ๋งยังอยู่นี่เป็นความจริง จริงที่ไม่มีวันเท็จไปได้!”


                ฮูหยินซ่งร้องไห้ออกมา พลางเอาผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าเอาไว้ พูดอย่างเจ็บปวดใจว่า “ท่านแม่เอ่ยเช่นนี้มีหรือข้าจะไม่รู้? เพียงแต่เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น ชื่อเสียงของฉางอิ๋งก็จะต้องเสียหาย ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านก็ทำให้สามีเสียหน้าเสียแล้ว แล้ววันหน้าทางบ้านสามีจะมองนางเช่นไร? เอาเฉพาะเรื่องเมื่อนางไปถึงเมืองหลวง พวกสตรีตระกูลสูงต่างๆ ที่ไปมาหาสู่ จะพูดจากันว่าอย่างไร? พวกคนที่ประสงค์ร้ายอยู่แล้วนั้นยังไม่ต้องพูดถึง เหตุใดคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปยามก่อนออกเรือนนั้นต่างก็อยู่กันเงียบเชียบ คนภายนอกต่างไม่รู้ไม่เห็น แต่กลับเป็นนางที่มีข่าวลือต่างๆ นานาออกมา… สงสารลูกข้า บริสุทธิ์ไร้มลทินอยู่แท้ๆ กลับต้องมาถูกเยาะหยันและวิพากย์วิจารณ์เช่นนี้!”


                “เรื่องนี้ล้วนเป็นสิ่งที่จนปัญญา” เมืองหลวงห่างไกลถึงเพียงนั้น เมื่อมีระยะทางแสนไกลกางกั้นอยู่ ต่อให้แม่เฒ่าซ่งมีกลอุบายลึกล้ำปานใด ก็ยังไม่หนทางจะช่วยปกป้องหลานสาวให้พ้นจากลมจากฝน ภายใต้ความจนใจนั้น จึงทำได้เพียงคิดในแง่ดีเข้าไว้ “ดีที่เด็กคนนี้มิใช่คนอ่อนแอ… พวกเราตระเตรียมบ่าวไพร่ที่จะไปอยู่กับฉางอิ๋งหลังแต่งงานให้เป็นพวกมีความสามารถ ให้พอจะช่วยเป็นกำลังหนุนให้นางได้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของฉางอิ๋งก็แข็งแรงมาโดยตลอด เสิ่นจั้งเฟิง… ในเมื่อเป็นผู้ที่มีวรยุทธเหนือคน ก็คิดว่าจะต้องมีร่างกายแข็งแรงกำยำ พอเข้าบ้านไปแล้วก็อดทนเอาสักหน่อย เมื่อมีผู้สืบสกุลแล้ว ซูซิ่วม่านก็จะปกป้องนางเอง ซูซิ่วม่านก็หาใช่คนที่รังแกได้ง่ายๆ!”


                “ฉางอิ๋งอุตส่าห์ปลอดภัยกลับมา แต่กลับต้องแบกรับชื่อเสียๆ เช่นนี้!” ไม่ว่าฮูหยินซ่งจะคิดอย่างไรก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจแทนบุตรสาว “นางอุตส่าห์ทำเพื่อฉางเฟิงจึงได้กลับมาช้าวันสองวัน! เด็กคนนี้รักใคร่พวกพ้องน้องพี่ปานนี้ ไม่กลัวแม้ต้องเสียสละตนเอง… แล้วยามนี้กลับมาถูกไอ้พวกสารเลวทำร้ายจนเป็นเช่นนี้!”


                นางจงเกลียดจงชังโดยเฉพาะเว่ยเจิ้งหย่า “ไม่ว่าอย่างไร ฉางอิ๋งก็ให้ความเคารพนับถือพวกเขาสามีภรรยามาโดยตลอด! แต่พวกเขากลับใจบาปหยาบช้าถึงเพียงนี้ ใครๆ ต่างว่ากันว่าเคราะห์กรรมอย่าให้ถึงภรรยาและลูก แม้แต่หลานสาวเขาก็กลับไม่ยอมละเว้น! อ้างว่าจะทำบันทึกให้กับบ่าวไพร่ที่ภักดีจึงได้เข้าป่าไปขุนดินเหนียวมา…ทั้งยังจงใจขุดไปก่อนจะเกิดเรื่องขวางเกี้ยวร้องทุกข์ในเมืองหลวง อาศัยฐานะที่เป็นลุงอีกสายหนึ่งของฉางอิ๋ง ยามนี้ผู้ใดเล่าจักไม่คิดว่าทุกสิ่งเป็นเพราะบ้านเราสันหลังหวะ ทางหนึ่งก็ไล่ฆ่าคนผู้นั้น อีกทางหนึ่งก็ทำลายหลักฐาน? ไม่มีผู้ใดจะบอกว่าเหตุที่ไม่ใช่คนในตระกูลสายเราเป็นผู้ลงมือ ก็เพื่ออำพรางสายตาคนจึงได้ไหว้วานพวกเขาเท่านั้น! ท่านลุงใหญ่สง่างามเหนือคนในแผ่นดิน เหตุใดจึงได้มีลูกสารเลวเช่นนี้!”


                แม่เฒ่าซ่งกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ทางเว่ยเจิ้งหย่านั้นข้ามีวิธีแล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็ยังเป็นการต้อนรับคนที่มาจากบ้านเสิ่น… เจ้าคิดว่าเหตุที่เว่ยฉีลงมือครานี้ เพื่อประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับเรารุ่ยอวี่ถัง เพียงเพราะต้องการใช้เรื่องของฉางอิ๋งมาทำให้พวกเราไม่สุขสงบสักพักเท่านั้นหรือ? ฉางอิ๋งเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น!”


                ฮูหยินซ่งตกใจ กล่าวว่า “ท่านแม่?”


                “เมื่อครู่นี้ในจดหมายของนางหวงเพิ่งจะมาถึงช้ากว่าจดหมายของเจิ้งอินเพียงครึ่งชั่วยามเศษ” แม่เฒ่าซ่งกุมหน้าผาก สายตาหนักอึ้งพลางว่า “ได้ยินมาว่าข่าวนี้ยังเป็นฉางหว่านบังเอิญไปได้ยินมา บอกว่าเว่ยเซิ่งอี๋… ครานี้ก็นับว่าเป็นเว่ยเซิ่งอี๋มีน้ำใจ จึงให้นางหวงส่งข่าวกลับมาบอก” นางมองตาฮูหยินซ่งคราหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หลิวรั่วเหยียบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลหลิว สนใจในตัวเสิ่นจั้งเฟิงเป็นอย่างมาก!”


                เมื่อเห็นว่าฮูหยินซ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แม่เฒ่าซ่งยังยกมือขึ้นเป็นการบอกให้นางเงียบเสียงอย่าได้เอะอะ แล้วพูดต่อว่า “ลำพังเพียงความต้องการเล็กน้อยของบุตรสาวบ้านใหญ่ก็ยังสามารถทำให้ตระกูลหลิวดึงตัวเว่ยฉีมาคิดการต่อฉางอิ๋งเพื่อนางได้… หลังจากที่เว่ยเซิ่งอี๋ได้ยินฉางหว่านบอกเรื่องนี้ กลับนึกถึงเรื่องที่ลือออกมาจากตำหนักกลางเมื่อไม่กี่วันก่อนได้… ว่าเพราะฮ่องเต้ได้เห็นซ่งตวนที่อายุยังน้อยแต่มี ‘ความดีความชอบ’ จากชัยชนะครั้งใหญ่ที่หัวเมืองทางเหนือของเฟิ่งโจว หลายวันก่อนยังได้เห็นราชองครักษ์ชินที่มาเข้าเฝ้าทุกคนต่างหล่อเหลาสูงใหญ่ องอาจผ่าเผย ด้วยความความสนพระทัยจึงได้ปรึกษาขุนนางทั้งซ้ายขวาว่า ทรงคิดอยากจะละเมิดกฎเกณฑ์เอากำลังราชองครักษ์ชินจำนวนหนึ่งไปใช้ในกองทัพ ลองดูว่าจะสามารถคัด ‘ชายหนุ่มที่มีความสามารถ’ เช่นซ่งตวนออกมาสักคนสองคนหรือไม่!”


                แม่เฒ่าซ่งหรี่ตา “ได้ยินมาว่าการประลองหน้าพระพักตร์ทุกๆ ปี เสิ่นจั้งเฟิงมีชัยไปเสียทุกครั้ง! ดังนั้นฮ่องเต้จึงคาดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมาก!”


                ดวงตาของฮูหยินซ่งพลันอาบด้วยสีเลือด นางกำมือแน่น ยิ้มเยาะอยู่เบาๆ ว่า “ดี! ดีมาก! ให้ร้ายลูกสาวข้า แล้วกลับยังคิดแย่งลูกเขยข้าอีกรึ? จะเอาเช่นนั้นจริงๆ…”


                “เจ้าสงบใจก่อน!” แม่เฒ่าซ่งกลับมีสีหน้าหนักอึ้ง ตำหนินางไปประโยคหนึ่ง จึงได้พูดต่อไปว่า “เจ้าคิดว่าเมื่อบ้านตระกูลหลิวสนใจเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว ต้องการจะทำลายการแต่งงานครานี้ แล้วจะให้หลิวรั่วเหยียแต่งเข้าได้รึ?”


                เมื่อเห็นฮูหยินซ่งตกใจ แม่เฒ่าซ่งจึงยิ้มเยาะแล้วว่า “กี่หนต่อกี่หนก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงได้ที่หนึ่ง ส่วนหลิวซีสวินแห่งตระกูลหลิวได้ที่สอง ดูไปแล้วก็เป็นโอกาสทองที่ฮ่องเต้จะคัดสรรราชองครักษ์ชินไปชายแดนเพื่อสร้างผลงาน! ลูกบ้านอื่นก็แล้วไป แต่เด็กทั้งสองคนนี้ประการแรกด้วยตัวของพวกเขาเองต่างก็เป็นผู้มีการศึกษา ประการต่อมาข้างหลังพวกเขาก็ยังเป็นตระกูลที่มีการสืบทอดด้านบู๊ หากคิดว่าจะมิได้ผลงานกลับมาวังก็ถือเป็นเรื่องยาก! ปรากฏว่ากระดูกชิ้นโตที่ขวางคออยู่…คู่หมั้นของเสิ่นจั้งเฟิงถูกกล่าวหาว่าเสียความบริสุทธิ์ ทั้งยังเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปทั่วเมือง! เจ้าว่าหากเป็นชายหนุ่มบ้านใดพบเจอเรื่องเช่นนี้ แล้วจักไม่ว้าวุ่นใจ?!”


                “ไม่ว่าเสิ่นจิ้งเฟิงจะดีเช่นไรเขาก็ไม่ได้แซ่หลิว! บ้านหลิวเองก็หาได้ไม่มีบุตรหลานที่มีความสามารถ เหตุใดจึงต้องใช้ลูกสาวไปหลอกล่อบุตรหลานบ้านอื่น? ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีความสามารถที่แท้จริงๆ เพียงแค่เสน่ห์ของหญิงสาวก็จะสามารถหลอกล่อเขาได้หรือ? สาเหตุที่ตระกูลหลิวทำเช่นนี้ ก็เพื่ออาศัยโอกาสนี้โค่นล้มเสิ่นจั้งเฟิง!” แม่เฒ่าซ่งพูดอย่างเย็นชาว่า “ในตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกในเขตทะเล ตระกูลเสิ่น หลิว และซูต่างก็เป็นตระกูลฝ่ายบู๊ เพียงแต่ตระกูลซูต่างกับตระกูลเสิ่นและหลิว ชิงโจวอยู่ไกลออกไปทางทิศใต้ของต้าเว่ย ต้องเผชิญหน้ากับพวกแมนจูที่อยู่ในป่าทึบทางใต้ นับแต่สังหารพวกแมนจูจนพวกเขาขลาดกลัวไปเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาก็ไม่ค่อยกล้ามารุกรานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นป่าทึบทางใต้เป็นป่าหนาแน่น พื้นที่ส่วนมากทำการเกษตร พวกแมนจูเก็บยาล่าสัตว์อยู่เป็นอย่างดี และมาแลกเปลี่ยนสิ่งของกับชาวเว่ย ก็สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้ เพียงโจมตีพวกเขาหนหนึ่งจนหวาดกลัว ก็สามารถอยู่ได้อย่างสุขสบายไปพักใหญ่!


                “แต่ตระกูลเสิ่น กับตระกูลหลิวนั้นไม่เหมือนกัน! ตระกูลเสิ่นถูกคุกคามโดยตรงจากเผ่าชิวตี๋ ส่วนตระกูลหลิวมีภาระหนักอึ้งในการสู้รบต่อต้านพวกหรงที่อยู่ทางเหนือ! เผ่าชิวตี๋ก็ดี พวกเผ่าหรงก็ดี อาณาเขตของพวกเขา ล้วนเป็นดินที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ดินแล้งรกร้าง ทำได้เพียงอาศัยการเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก โดยปกติแล้วก็จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยว่าน้ำและหญ้าสมบูรณ์หรือไม่ หากวันใดประสบกับภัยหิมะหรือโรคระบาดร้ายแรง… นอกจากจะบุกโจมตีลงมาทางใต้ลงใต้บุกเข้าโจมตีจนถึงต้าเว่ยแล้ว พวกเขาก็ไร้ทางรอด!”


                แม่เฒ่าซ่งสูดหายใจลึก “ตระกูลซูปราบปรามความวุ่นวายเพียงหนเดียว ลงมือหนักสักหน่อยก็สามารถรักษาความสงบมาได้หลายสิบปี! หากลงมือเบาสักหน่อยก็ยังอยู่อย่างสุขสงบได้สิบกว่าปี แต่ตระกูลเสิ่นตระกูลหลิวกลับมิได้โชคดีเช่นนี้! แม้ปีนี้จะสังหารพวกตี๋และหรงจนเลือดหลั่งดังแม่น้ำ ปีหน้าเมื่อพวกตี๋และหรงไม่มีอาหาร ไม่ลงใต้ก็จะต้องตาย! ดังนั้นมีหรือจะสุขสบายได้? การสู้รบล้วนต้องใช้เงินทอง ตระกูลเสิ่น ตระกูลหลิวแม้จะมีมรดกมากมายเช่นบ้านเรา แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่ หากไม่ถึงยามที่จำเป็นจนหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วจะให้เอาทรัพย์สมบัติในบ้านตนไปเลี้ยงดูทหาร จักเป็นไปได้อย่างไร? แต่งบประมาณที่ราชสำนักมอบให้กับกองทัพในแต่ละปีนั้นมีจำกัด  ดังนั้นตลอดสองปีมานี้จึงมีการแย่งชิงกองส่งเสบียงกันอย่างรุนแรง ตระกูลเสิ่นได้กำหนดเป็นการภายในแล้วว่าจะให้เสิ่นจั้งเฟิงเป็นประมุขคนต่อไป ตระกูลหลิวก็คล้ายว่าจะเลือกหลิวซีสวินคนนั้นแล้ว…เช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือยัง?”


                ฮูหยินซ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครา กล่าวว่า “ที่แท้เป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลเสิ่นและหลิว! แต่กลับลากเอาฉางอิ๋งให้รับเคราะห์ไปด้วย!” แต่นางก็ยังไม่อาจวางใจ “แม้จักเป็นเช่นนี้ แต่ยามนี้เรื่องของฉางอิ๋งกำลังเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แม้ตระกูลเสิ่นจะรู้ดีว่าถูกเล่นงาน แต่ก็จักยอมเสียหน้าเรื่องนี้ไม่ได้…” นางส่งเสียงซี่ต่ำๆ ออกมาคราหนึ่ง แล้วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านแม่ ท่านว่า… ตระกูลเสิ่นจะ… จะถอนหมั้นเพื่อเสิ่นจั้งเฟิงหรือไม่เจ้าคะ?”


                สำหรับตระกูลเสิ่นแล้ว เมื่อสะใภ้ที่ยังไม่ได้เข้าบ้านต้องสงสัยว่าไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จ…ก็เป็นเรื่องเป็นราววุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นจริงว่า หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งถูกลอบทำร้ายก็เคยต้องไประเห็ดระเหเร่ร่อนในป่ามาระยะหนึ่ง สุดท้ายยังเป็นองครักษ์ชราคนหนึ่งพากลับบ้านมาเพียงลำพัง หากจะว่ากันตามตรงแล้ว หากสะใภ้เช่นนี้ถูกต้องสงสัยเรื่องความบริสุทธิ์ ก็ต้องโทษตระกูลเว่ยที่มิได้ปกป้องบุตรสาวของตนให้ดี


                อำนาจของรุ่ยอวี่ถังในยามนี้อ่อนลง…แต่อนาคตของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นยังยาวไกลและยิ่งใหญ่ เพื่อไม่ต้องให้เขาต้องว้าวุ่นใจเรื่องคู่หมั้น จนทำให้เสียโอกาสทองในการสร้างฐานะการงานและไขว่คว้าตำแหน่งสูงๆ ในยามนี้ สู้ยกเลิกสัญญาแต่งงานกับตระกูลเว่ยไปเสียเลยมิได้ แล้วไปหาบุตรสาวตระกูลใหญ่มีหน้ามีตาที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องคนอื่นให้เขา… แม้ทำเช่นนี้จะนับเป็นการสร้างความแค้นกับรุ่ยอวี่ถัง แต่สำหรับตระกูลเสิ่นแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงที่ถูกกำหนดให้รับตำแหน่งประมุขคนต่อไปย่อมสำคัญกว่าแน่นอน!


                ว่าที่นายหญิงใหญ่ของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง หนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลจะให้เป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงหมองมัวได้อย่างไร?


                หากเปลี่ยนเป็นเว่ยฉางเฟิง ตระกูลเว่ยก็จะต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน… ไม่ว่าอย่างไรเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลตนก็ย่อมสำคัญที่สุด


                แววตาของแม่เฒ่าซ่งดำดิ่งลึกจนหาที่สุดไม่ได้ เหม่อมองไปยังลายบนพรมที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เนิ่นนานจึงได้พูดว่า “รอจนคนตระกูลเสิ่นมาถึงแล้ว พวกเราคอยดูท่าทีของเขา… ค่อยกว่ากันก็แล้วกัน! หากท่าทีของพวกเขาไม่ถูกต้อง เช่นนั้น… พวกเราก็จะเป็นฝ่ายบอกยกเลิกสัญญาแต่งงานก่อน! ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็จะไม่มีวันส่งฉางอิ๋งไปอยู่วัดหรือสถานที่ทำนองนั้นเด็ดขาด เรื่องนี้เจ้าวางใจได้!”


                ฮูหยินซ่งฟังด้วยความตื่นตระหนก แววตาเคว้งคว้าง น้ำตาไหลรินลงมามิอาจหยุดได้… นางรักใคร่บุตรสาวคนโตที่มีเพียงคนเดียวนี้เป็นที่สุด คอยอบรบสั่งสอนบุตรสาวให้มีคุณสมบัติของว่าที่นายใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล แต่ยามนี้กลับมาถึงขั้นที่ทำได้เพียงขอให้ไม่ต้องส่งนางไปอยู่วัดเท่านั้นหรือ?


                แต่ฟังน้ำเสียงของแม่เฒ่าซ่ง… นี่ถึงกับเป็นเรื่องที่แม่เฒ่าซ่งจะทำให้ได้ด้วยแรงกำลังทั้งหมดที่มีแล้ว…


_________________________


[1] ชิงดาน เป็นการวาดภาพแบบจีนชนิดหนึ่ง โดยเน้นการใช้สีน้ำเงิน-เขียว และสีแดง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม