เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 611-618

 ตอนที่ 611 ถ้านฮวาผู้นั่งเกี้ยวเจ้าสาว


 


 


พอเซี่ยอวี่เสียนคิดเช่นนี้ก็เหลือบมองซูหลีเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ กลับเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์อย่างยิ่งภายใต้แสงอาทิตย์รำไร


 


 


เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะไปครู่หนึ่ง


 


 


“ไปกันเถอะ พี่เซี่ย พวกเรายังต้องไปวนรอบเมืองหลวงตั้งหนึ่งรอบ!”


 


 


“ได้”


 


 


……


 


 


ตั้งแต่ไหนแต่ไรมามีประเพณีให้จอหงวนขี่ม้ารอบเมือง เพื่อให้ประชาชนได้เห็นหน้าค่าตาจอหงวน และเป็นการเฉลิมฉลองไปพร้อมกัน


 


 


ทุกครั้งที่มีคนสอบได้ตำแหน่งจอหงวน ทุกตรอกซอกซอยจะมีคนจำนวนมากออกมาชื่นชม


 


 


และสตรีที่ใจกล้าบางคน จะนำดอกไม้สวยงาม โยนให้จอหงวนเพื่อแสดงไมตรี นี่เป็นวินาทีที่บัณฑิตเฝ้าฝันหา ถือเป็นช่วงเวลาที่ได้หน้าที่สุดในชีวิตแล้ว


 


 


ปีนี้ก็เช่นกัน


 


 


พอพวกซูหลีออกมาจากตำหนักอวิ๋นเซียว ก็มีคนมารอพวกเขาอยู่ด้านนอก


 


 


เซี่ยอวี่เสียนขี่ม้าสีขาวปลอด และถูกแขวนด้วยช่อดอกไม้ขนาดใหญ่บนร่าง ซูหลีเห็นเช่นนั้น ก็หัวเราะเยาะเขาว่าชุดเขาคล้ายกับเจ้าบ่าว ทำให้เซี่ยอวี่เสียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


 


แต่พอถึงคราวตนเอง นางก็หัวเราะไม่ออกเช่นกัน!


 


 


ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเสนอความคิดนี้ รู้ว่านางขี่ม้าไม่เป็น ก็เลยหาเกี้ยวให้นาง ให้นางนั่งเกี้ยวยังไม่เท่าไหร่ อย่างไรเสียก็เพราะนางขี่ม้าไม่เป็น


 


 


แต่ว่า…


 


 


ซูหลีมองเกี้ยวที่ตั้งอยู่ตรงหน้า มุมปากเกร็งกระตุกอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี


 


 


ผนังทั้งสี่ด้านของเกี้ยวถูกถอดออกและใช้ผ้าผืนบางสีชมพูอมม่วงคลุมแทน ตอนนี้ผ้าพวกนั้นถูกม้วนขึ้นด้านบน เผยให้เห็นที่นั่งสีขาวภายในตัวเกี้ยว


 


 


อันนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ทั่งสี่มุมของเกี้ยว ยังประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด


 


 


นี่มันเกี้ยวของเจ้าสาวชัดๆ!


 


 


กอปรกับวันนี้เซี่ยอวี่เสียนเป็นเจ้าบ่าว นางเป็นเจ้าสาวสินะ?


 


 


“แค่ก!” เซี่ยอวี่เสียนที่เพิ่งถูกซูหลีเยาะเย้ยเมื่อครู่ พอเห็นเกี้ยวเจ้าสาวของซูหลี ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้


 


 


ซูหลีรู้สึกอยากจะหนีไปในทันที


 


 


“ถ้านฮวาซู เร็วหน่อยขอรับ ชาวบ้านกำลังรออยู่” ขุนนางจากกรมพิธีการยืนอยู่ข้างเกี้ยว พูดกับซูหลีเบาๆ


 


 


ซูหลีสูดหายใจลึกเข้าปอด ช่างเถอะ ไหนๆ นางก็อาศัยหน้าตาถึงได้ตำแหน่งถ้านฮวามา มีอะไรที่จะทำไม่ได้อีก นั่งเกี้ยวเจ้าสาวก็นั่งเกี้ยวเจ้าสาวสิ


 


 


ดีกว่าให้นางขี่ม้าแล้วหน้าแตกกลางทางละกัน


 


 


นางสงบจิตใจ แล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวที่แปลกประหลาดนั้น


 


 


“ยกขึ้น!” ทันทีที่ขุนนางจากกรมพิธีการออกคำสั่ง เกี้ยวที่ซูหลีนั่งอยู่ก็ถูกยกขึ้น เกี้ยวต่างจากรถม้า เมื่อถูกยกขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทำให้ซูหลีเกือบจะล้มลงไป


 


 


พอนางทรงตัวได้ก็จับเบาะไว้แน่น กลัวว่าตัวเองจะกลิ้งตกลง แล้วจะกลายเป็นถ้านฮวาคนแรกที่ขายหน้า


 


 


แต่ถึงแม้ไม่ขายหน้าแต่เกี้ยวเจ้าสาวก็แปลกพิกลมากพอกัน


 


 


ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าโจวมา สามลำดับแรกในการสอบเคอจวี่ที่พิเศษอย่างยิ่งจะต้องไปยังใจกลางเมืองหลวงในสภาพเช่นนี้!


 


 


แถมยังจะตีฆ้องร้องป่าวตลอดทาง ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาคนจำนวนไม่น้อย ออกจากวังหลวงแล้ว ซูหลีก็เห็นหัวคนจำนวนมากด้านหน้าครรลองสายตา


 


 


ซูหลีหมดคำจะพูด…


 


 


ทำอย่างไรดี นางอยากจะปิดหน้าตนเองเสียจริงๆ ในช่วงเวลาแห่งเกียรติยศเช่นนี้!


 


 


นี่คือขบวนแห่จอหงวนอะไรกัน นี่กลั่นแกล้งนางชัดๆ!


 


 


“นั่นคือท่านจอหงวนใช่ไหม?”


 


 


“ว้าว หล่อมากเลย!”


 


 


“จริงด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจอหงวนจะหน้าตาดีขนาดนี้!”


 


 


“ข้างหลังยังมีคุณชายสง่างามกว่า!”


 


 


“ไหน ไหน?”


 


 


“ดูสิก็คนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาว!”


 


 


……


 


 


เกี้ยวเจ้าสาว!


 


 


ซูหลีกระตุกมุมปากเบาๆ ฝืนยิ้มออกมาให้เหมือนมีความสุข


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 612 เก็บไว้ได้หรือไม่


 


 


ที่แท้ฮ่องเต้ทรงรอตอนนี้อยู่!


 


 


ฮ่องเต้ใจแคบ!


 


 


ซูหลีบ่นอยู่ในใจ แต่ใบหน้าจำเป็นต้องแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม


 


 


นางจะระเบิดอารมณ์ไม่ได้ นางได้ตำแหน่งนี้มาเพราะหน้าตา ฉะนั้นต้องให้ทุกคนเห็นใบหน้าที่งดงามที่สุดของตนเอง!


 


 


ซูหลีเกร็งใบหน้าเช่นนี้มาตลอดทาง ยิ้มโง่งมวนรอบเมืองหลวงไปพร้อมกับเซี่ยอวี่เสียนและโจวฉิน


 


 


……


 


 


ภายในหอสุ่ยอวิ๋น


 


 


ภาพขบวนแห่จอหงวนด้านนอก ดึงดูดคนจำนวนไม่น้อยให้ออกไปดู ทำให้หอสุ่ยอวิ๋นที่ปกติแล้วคนจะแน่นตลอด สงบเงียบทันตา


 


 


“นายท่าน เกรงว่าจะเก็บซูหลีผู้นี้เอาไว้ไม่ได้” ห้องรับรองในหอสุ่ยอวิ๋นมีคนอยู่สองคน นั่งหนึ่งยืนอีกหนึ่ง แก่หนึ่งเด็กอีกหนึ่ง คนที่พูดอยู่นั่นก็คือชายชราที่ยืนอยู่


 


 


ฉินมู่ปิงเหลือบตามองด้านนอก ไปเห็นเข้ากับซูหลีที่นั่งเกี้ยวพิกลพิการ ในเกี้ยวเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด ซึ่งล้วนแต่เป็นดอกไม้ที่หญิงสาวโยนเข้ามาให้ตลอดทาง


 


 


หน้าตาซูหลีไม่เท่าไหร่แต่ความเสน่ห์ในการดึงดูดคนไม่ธรรมดาจริงๆ


 


 


ซึ่งนั่นก็จริง เกิดมามีใบหน้าราวมารทรงเสน่ห์ แถมตอนนี้เป็นถ้านฮวาอีก กลายหนึ่งในคนอายุน้อยที่มีความสามารถในเมืองหลวง จะไม่ให้คนรักคนหลงได้อย่างไรกัน?


 


 


บวกกับเรื่องรถเข็นก่อนหน้านี้ ซูหลีจึงแก้ชื่อเสียงของตัวเองให้ดีขึ้น


 


 


ตอนนี้หากไปถามชาวบ้านเรื่องซูหลี ที่จะได้ยินก็มีเพียงคำชื่นชมในตัวซูหลี


 


 


ทันทีที่คิดถึงเรื่องรถเข็น ใบหน้าของฉินมู่ปิงก็นิ่งขรึมลงไป


 


 


ลุงเฉิงที่อยู่ข้างๆ อ่านสีหน้าฉินมู่ปิงออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจเบาและเอ่ย “คนนี้ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย ก่อนนี้มอบภาพร่างรถเข็นให้ท่านอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ แต่เพียงครู่เดียวก็ถวายของที่เราทุ่มเททำให้แก่ฮ่องเต้”


 


 


“เจตนานี้ช่าง…”


 


 


สิ่งที่ลุงเฉิงพูด ฉินมู่ปิงย่อมเข้าใจ ซูหลีนางไม่ใช่แค่ถวายขึ้นไปเท่านั้น ทั้งยังรับความดีความชอบเอาไว้คนเดียว


 


 


เรื่องรถเข็นนี้ ซูหลีเป็นคนออกแบบพิมพ์เขียว แต่ทางฉินมู่ปิงก็ทั้งแรงงานและสิ่งของไปมาก แต่คนได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มีแค่ซูหลีคนเดียว


 


 


แต่ถ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็มันไม่เช่นนั้น หากซูหลีไม่ได้วาดภาพนั้นออกมาละก็ ชาตินี้ทั้งชาติฉินเฮ่าก็คงทำได้แค่นอนอยู่บนเตียง


 


 


ถ้าดูจากมุมนี้ ซูหลีก็ไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเขา


 


 


นางก็แค่…ฉลาดมากเกินไปหน่อย เจ้าเล่ห์มากไปก็เท่านั้น


 


 


ฉินมู่ปิงรู้สึกได้ว่า ซูหลีน่าจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างนางจึงไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขา ภาพร่างรถเข็นนางไม่ได้เป็นอย่างที่ลุงเฉิงพูดว่าซูหลีตั้งใจให้เขาเห็น แต่เป็นเพราะเจ้าตัวไม่ระวัง เขาจึงเห็นต่างหาก


 


 


ความไม่ระวังของนางนี้ หลังจากเกิดเรื่องแล้วนางก็ได้รับการชดเชย


 


 


อย่างน้อยตอนนี้ในใจเสด็จอา ซูหลีจึงเป็นคนที่สามารถเชื่อถือได้


 


 


“นายท่าน?” ลุงเฉิงเห็นฉินมู่ปิงไม่พูดจา พลันคิดว่าเขามีเรื่องกังวลใจจึงเปิดปากเรียกเขาอย่างอดไม่ได้


 


 


“ไม่รีบ” ฉินมู่ปิงละสายตา ใบหน้าดูมีเลศนัย “ซูหลีเจ้าเล่ห์เช่นนี้เพียงเพราะไม่มีรอยโหว่ให้คนอื่นจับได้ เรื่องที่ข้าเก็บงำอยู่ หากสามารถใช้เรื่องนี้ทำให้ซูหลีมาอยู่ฝ่ายเรา…”


 


 


คำพูดต่อจากนั้น ฉินมู่ปิงไม่ต้องพูดอะไรต่อ ลุงเฉิงก็เข้าใจ


 


 


“แต่เขาจะเชื่อฟังแต่โดยดีหรือขอรับ?” ลุงเฉิงยังคงมีความกังวลใจเล็กน้อย


 


 


“วางใจเถอะ” ฉินมู่ปิงจิบชา ใบหน้าของเขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ดวงตาคู่นั้นนิ่งขรึม “เรื่องนี้ไม่ปล่อยให้ซูหลีได้ปฏิเสธ!”


 


 


อย่างไรเสียนางก็สอบได้ตำแหน่งถ้านฮวา ถ้าความจริงเรื่องที่นางเป็นผู้หญิงถูกเป็นเผยออกมาละก็ สิ่งที่นางทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่าไป ไม่ใช่หรือ?



ตอนที่ 613 ความดีความชอบเป็นที่ประจักษ์แล้ว


 


 


ขบวนแห่ของจอหงวนในวันนี้ครื้นเครงอย่างมาก ผู้คนในตรอกซอกซอยทั้งเมืองหลวงต่างแห่กันมาดูจอหงวนและ ถ้านฮวารูปงามแห่งต้าโจว


 


 


ใช่สิมีการสอบเคอจวี่มาตั้งหลายปี แต่มีเพียงครั้งนี้ ที่จอหงวนกับถ้านฮวามีรูปร่างหน้าตาที่สง่างามเช่นนี้


 


 


โดยเฉพาะถ้านฮวาที่นั่งอยู่ในเกี้ยว ส่งรอยยิ้มให้ทีก็ทำให้รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดลอยไป!


 


 


ไม่ว่าจะชายหรือหญิง เด็กหรือคนแก่ ต่างก็ถูกวงหน้าน่าชมของซูหลีดึงดูดจนต้องแห่มาดู


 


 


อีกทั้งวันนี้ไม่ใช่วันธรรมดาเลย เริ่มจากคนสอบได้สามลำดับของเคอจวี่เรียกความสนใจจากทุกคน จากนั้นก็เรื่องคำพูดที่ซูหลีพูดในพระตำหนัก


 


 


ตอนสอบต่อหน้าพระพักตร์ มีขุนนางหลายคนไม่พอใจในท่าทีของซูหลีนัก คนที่คิดว่าซูหลีเป็นคนพูดจาไร้สาระก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกัน


 


 


ทุกคนยามอยู่ในตำหนักอวิ๋นเซียวสงบเงียบ แต่พอออกมาก็เล่าเรื่องนี้จนแพร่ไปทั่วเมืองหลวง


 


 


แน่นอนว่ารวมไปถึงเรื่องที่ซูหลีบอกว่าจะรับผิดชอบในคำพูดตนเองด้วย เรื่องนี้ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่ดี


 


 


อีกทั้งทุกคนก็รู้เรื่องที่ซูหลีมีเงินจำนวนมาก


 


 


เรื่องที่วันนั้นโวยวายที่หอสดับพิรุณ ล้วนแต่คิดว่าซูหลีมีเป้าหมายอะไร แต่วันนี้เป้าหมายนั้นปรากฏชัดเจนแล้ว แต่กลับยิ่งชวนให้ประหลาดใจมากขึ้นไป


 


 


ในนี้ มีคนที่ใจหายใจคว่ำที่สุด คงจะหนีไม่พ้นซูไท่


 


 


ความคิดของเขาถูกเหวี่ยงขึ้นลงไปมา ซูหลีทำให้ใจของเขาอยู่อย่างไม่สงบสุขเป็นอย่างมาก


 


 


สอบได้ตำแหน่งถ้านฮวาซูไท่ก็ดีใจไปสักพัก จากนั้นก็มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ซูไท่เกือบหายใจไม่ออก เกือบจะเป็นลมล้มลงไปแล้ว


 


 


ที่จริงซูหลีไม่จำเป็นจะต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ได้ตำแหน่งถ้านฮวามาแล้ว ย่อมต้องมีอนาคตที่ดีแน่


 


 


แต่กลับก่อเรื่องเช่นนี้ทำให้คนเห็นรู้สึกหวาดหวั่นและร้อนรน


 


 


ซูหลีก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่เวลาไม่รอใคร นางไม่สามารถปิดบังทุกคนไปได้ตลอดชีวิต นางทำได้เพียงลองเสี่ยงเช่นนี้


 


 


หากแก้ไขเรื่องโรคระบาดได้ ความดีความชอบใหญ่หลวงนี้อาจจะกลายเป็นป้ายตรารักษาชีวิตของตัวนางเองก็ได้ เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งสำหรับทั้งราชวงศ์ต้าโจว


 


 


ดังนั้นนางจึงต้องทำอย่างเสียไม่ได้


 


 


แต่ว่าการกระทำของนาง เป็นการผลักตัวเองให้ไปยืนอยู่ปากเหว กลบข่าวเรื่องการสอบได้จอหงวนของเซี่ยอวี่เสียนไปทันที และกลายเป็นบุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาในเมืองหลวง


 


 


ไม่ว่าจะเป็นขุนนางชั้นสูง คนชนชั้นสูงศักดิ์ หรือชาวบ้านธรรมดา ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอดูผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น


 


 


และเพราะซูหลีเป็นคนก่อเรื่อง ทำให้งานเฉลิมฉลองที่เดิมฮ่องเต้จะทรงจัดให้กับผู้ที่สอบได้สามลำดับแรกต้องเลื่อนเวลาออกไป เพื่อรอดูวิธีของซูหลีก่อน หลังจากไปทดลองใช้กับเมืองที่เกิดโรคระบาดก่อนแล้วค่อยจัดงานเลี้ยงใหม่อีกครั้ง


 


 


ดีที่เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ฮ่องเต้ส่งขุนนางคนสนิทเป็นคนไปจัดการ ใช้สูตรยาที่ซูหลีคิดค้นขึ้นมา หลังจากนั้นไม่เกินสามวัน หนึ่งในคนที่ติดเชื้อก็เริ่มดีขึ้น!


 


 


ถูกต้อง แค่เพียงสามวันก็เห็นผลแล้ว พวกหมอที่ไปด้วยตรวจดูอาการของคนไข้คนนั้น ยืนยันว่าไม่ตรวจพบเชื้อแล้ว เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอ จำเป็นต้องบำรุงร่างกายก่อน


 


 


พอมีหนึ่งก็มีสอง หลังจากนั้นก็มีตามมาเรื่อยๆ ผู้ติดเชื้อในเมืองเสฉวนก็ได้ยารักษาหายหมดทุกคน


 


 


ทั้งหลังจากใช้วิธีของซูหลีแล้ว เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนแล้ว ก็ไม่มีการระบาดของโรคอีก เป็นอย่างที่ซูหลีพูดเอาไว้ โรคระบาดถูกควบคุมได้แล้ว


 


 


แต่นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง


 


 


หลังจากที่คนติดโรคระบาดให้หายดีแล้วหลายคน ข่าวดีนี้ก็ถูกส่งมายังเมืองหลวง


 


 


ความดีความชอบของซูหลีในครั้งนี้ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนแล้ว!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 614 งานเลี้ยงเฉลิมฉลองภายในวัง


 


 


ทันใดนั้นเองชื่อเสียงของซูหลีก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง โด่งดังจนเหนือผู้เข้าสอบเคอจวี่คนใดๆในคราวนี้ ถึงขั้นโด่งดังกว่าขุนนางคนเก่าคนแก่ เป็นคนดังในเมืองหลวงในชั่วข้ามคืน


 


 


เดิมทีคนที่รอคอยดูการเปลี่ยนแปลงของบ้านสกุลซูและซูหลีต่างก็เคลื่อนไหวกัน


 


 


ภายในไม่กี่วัน ธรณีบ้านสกุลซูก็เกือบโดนคนมาเยี่ยมเหยียบจนพัง ซูไท่ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ใครมาก็ต้อนรับ หากไม่ได้คิดว่าจะเอิกเกริกเกินไป เขาอยากจะจัดงานเลี้ยงหลายๆ วันด้วยซ้ำไป


 


 


คนที่เคยดูถูกเขาซูไท่จงดูเอาไว้ให้ดี!


 


 


แต่เรื่องนี้ทำได้สำเร็จถือเป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องที่ตามมา อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป


 


 


อย่างเช่น…


 


 


“นายน้อย นายท่านให้ข้าน้อยส่งภาพวาดพวกนี้มาให้ท่านขอรับ” พ่อบ้านซูเดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ปฏิบัติตัวต่อซูหลีด้วยท่าทีที่นอบน้อม


 


 


ตอนนี้ทุกคนในบ้านสกุลซูปฏิบัติตัวต่อซูหลีด้วยความนอบน้อม พวกเขาสามารถเดินยืดอกด้วยความภาคภูมิใจอยู่ข้างนอกได้ เพราะนายของพวกเขาเป็นคนเก่งกาจเช่นนี้!


 


 


“…วางลงเถอะ” ซูหลีเหลือบตามองภาพวาดพวกนั้น กระตุกมุมปากอย่างอดไม่ได้


 


 


พวกคนในเมืองหลวงก็ว่างกันจริง คราวนี้นางมีชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ถึงขนาดถูกชาวบ้านขนานนามให้เป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้ เห็นได้ชัดว่าการช่วยจัดการเรื่องโรคระบาดในครั้งนี้ มีอิทธิพลต่อทั้งต้าโจวอย่างยิ่ง


 


 


เรื่องนี้อยู่ในการคาดเดาของซูหลี นางเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก


 


 


แต่ก็เพราะเรื่องนี้ ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมาต่อจากนั้น


 


 


ประเด็นสำคัญคือตอนนี้ซูหลีประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเด็ก พอสอบเข้ารับราชการได้ก็มีชื่อเสียงที่ดีขนาดนี้…แถมยังไม่แต่งงานด้วย!


 


 


แม่สื่อในเมืองหลวงพอได้ยินข่าวก็เริ่มเคลื่อนไหว ช่วงนี้คนที่ส่งภาพวาดผู้หญิงมาให้บิดานาง ก็มีมากมายก่ายกอง


 


 


บิดาของนางก็น่าสนใจนัก คราวนี้เขาคิดได้ว่าซูหลีประสบความสำเร็จแล้ว จึงได้คิดเรื่องการสมรสของซูหลีอย่างจริงจัง


 


 


ซูหลีหมดคำจะพูด…


 


 


นางสามารถหาลูกสะใภ้ได้หรือ?


 


 


หากแต่งหญิงสาวเข้ามานางก็จบเห่ อย่าว่าแต่เป็นขุนนางเลย ฝ่าบาทไม่ตัดหัวนางก็ถือว่าทรงดีกับนางมากแล้ว


 


 


ดังนั้นทุกครั้งที่เจอเรื่องเช่นนี้ ซูหลีก็เลี่ยงไป ไม่ตอบไม่สนใจไม่ทำอะไรทั้งสิ้น


 


 


นโยบายไม่สนใจไม่แยแสก็พอจะดับความกระตือรือร้นของซูไท่ไปได้บ้าง


 


 


แต่ถึงอย่างไรซูหลีก็เพิ่งจะเข้าสู่รับราชการได้ไม่นาน ไม่รีบร้อน!


 


 


“นายน้อยเตรียมพร้อมแล้วขอรับ” ชุยตานเดินเข้ามาเอ่ยเสียงแผ่ว


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนั้น ก็พยักหน้าเล็กน้อยและเอ่ย “ไปกันเถอะ”


 


 


วันนี้เป็นงานฉลองที่ฝ่าบาททรงจัดให้ ตัวหลักคือพวกเพิ่งสอบเคอจวี่อย่างซูหลี เดิมงานเลี้ยงนี้ควรจัดขึ้นในวันที่สอบเสร็จ แต่เพราะเรื่องวิธีแก้ไขปัญหาโรคระบาดของซูหลีทำให้ต้องเลื่อนออกไป


 


 


บัดนี้จัดการเรื่องโรคระบาดได้แล้ว งานเลี้ยงฉลองจึงได้ฤกษ์จัดขึ้น


 


 


วันนี้ซูหลีเข้าวังกับชุยตานคนเดียว อย่างไรเสียเป็นงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นภายในวัง ถึงนางจะพาไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วมาด้วย ก็เข้าไปข้างในไม่ได้ ต้องรออยู่ข้างนอกอยู่ดี


 


 


ซูหลีจึงไม่พาพวกนางมาเลยเสียดีกว่า อย่างไรเสียในวังก็มีสาวใช้กับขันทีคอยดูแลอยู่ แล้วนางก็ไม่ได้มีอะไรให้พวกนางทำด้วย


 


 


ก่อนออกจากบ้าน ก็ได้กินยาปลอมตัวไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับชุยตาน มุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวง


 


 


“หยุด” รถคันนั้นหยุดลงที่หน้าประตูวัง บัดนี้ท้องฟ้ามืดลงทั่วรอบบริเวณ ดีที่ตอนนี้ใกล้จะเดือนสี่แล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้น ลมที่พัดลอยมามีแต่ความเย็นสบายเท่านั้น ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวแต่อย่างใด


 


 


“รอข้าอยู่ตรงนี้” ซูหลีลงจากรถม้ากำชับชุยตานไม่กี่คำ แล้วก็เดินเข้าไปในวัง


 


 


ทว่า ตอนนางหมุนตัวจะไปนั้น ตาของชุยตานก็เกิดการกระตุกขึ้นมา



ตอนที่ 615 งานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักฉยงอวี้ 


 


 


ชุยตานเงยหน้ามองฟ้าขมวดคิ้วน้อยๆ 


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย 


 


 


แต่พอกลับมาคิดดูอีกที ที่นี่คือวังหลวง ใครจะสามารถมาทำเรื่องอะไรในนี้ได้ ชุยตานส่ายหัว แล้วเดินไปข้างรถม้า 


 


 


…… 


 


 


วันนี้งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นที่พระตำหนักฉยงอวี้ พระตำหนักฉยงอวี้เป็นตำหนักที่ไว้จัดงานเลี้ยงโดยเฉพาะ ปกติแล้วจะจัดงานฉลองปีใหม่พร้อมขุนนางน้อยใหญ่ที่นี่ 


 


 


เพียงแต่การเลี้ยงฉลองปีใหม่ครั้งก่อนๆ ซูหลีไม่เคยมาร่วมงานด้วย 


 


 


ดังนั้นครั้งนี้จึงถือว่าเป็นครั้งแรกที่นางมาที่พระตำหนักฉยงอวี้ 


 


 


พระตำหนักนี้ก็มีลักษณะคล้ายกับชื่อของมัน คือประดับประดาด้วยหินแกะสลัก สวยงามตระการตา ทันทีที่ซูหลีเดินเข้าไป ก็สัมผัสได้ถึงความหรูหราโอ่อ่าของที่แห่งนี้ 


 


 


ของตกแต่งภายในวังมีความวิจิตรหรูหรา พรมขนแกะที่เหยียบอยู่ด้านล่างนุ่มนิ่ม ราวกับกำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆ 


 


 


“ฝ่าบาท ถ้านฮวาซูมาถึงแล้ว” ขันทีที่นำซูหลีมาใจกลางตำหนัก จากนั้นก็คุกเข่าลง 


 


 


ซูหลีเดินตามหลังมาติดๆ พูดขึ้นว่า “ถวายบังคม ฝ่าบาท” 


 


 


“ลุกขึ้นเถอะ” พอซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืน ทันทีที่นางลุกขึ้นก็เห็นว่าวันนี้ฉินเย่หานใส่ชุดสบายๆ ทั้งยังไม่ใช่สีดำแต่เป็นสีขาวเป็นสีขาวที่สะดุดตาอย่างยิ่ง 


 


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นชุดสบายๆ แต่การตัดเย็บของฉลองพระองค์ก็ประณีตมาก ปักลายมังกรด้วยด้ายสีทองบนเสื้อ เป็นประกายวิบวับยามต้องไฟ ทำให้ดูน่าเกรงขาม 


 


 


ฉินเย่หานน้อยครั้งนักที่จะใส่เสื้อผ้าสีเช่นนี้ พอได้เห็นเข้า ก็รู้สึกว่าใบหน้าเขาใสราวกับหยก ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้ว ประกอบกับชุดที่ใส่ในวันนี้ยิ่งทำให้เขาดูดีอย่างถึงที่สุด 


 


 


ถึงแม้ว่าท่าทีของเขาก็ยังคงเย็นชาเหมือนเคย แต่ก็ไม่สามารถกดทับความสง่างามของเขาลงได้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


ซูหลีเหลือบมอง สาวใช้ที่ยืนอยู่รอบๆ บางคนถึงกับหน้าแดงไปเลย 


 


 


“ถ้านฮวาซู ทำไมเจ้าถึงมาเอาป่านนี้ คงไม่ใช่เพราะว่าเป็นถ้านฮวา เลยไม่อยากคบค้าสมาคมกับพวกเราเพื่อนร่วมสำนักกระมัง” ในขณะที่ซูหลีกำลังอึ้งอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหนึ่งลอยผ่านเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นฉินมู่ปิงที่กำลังถือจอกเหล้าในมือ มองนางด้วยใบหน้าเรียบเฉย 


 


 


ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ แล้วพูด “ซื่อจื่อพูดอะไรเช่นนั้น” 


 


 


ฉินมู่ปิงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ตรัสอะไรต่อ ทรงทอดพระเนตรมองนาง แล้วก็ดื่มเหล้าเข้าปาก ด้วยแววพระเนตรนิ่งเฉย 


 


 


ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทีของฉินมู่ปิงต่างไปจากปกติ 


 


 


“เชิญนั่ง” ฉินเย่หานตรัสด้วยสุรเสียงเยือกเย็น 


 


 


“ถ้านฮวาซู เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” นางกำนัลรีบเดินมา นำทางซูหลีไปนั่งที่ตำแหน่งด้านล่างของฉินเย่หาน 


 


 


“พี่สาว ข้าคิดว่าข้านั่งตรงนี้คงจะไม่เหมาะสมเท่าไรนัก” ซูหลีมองไปที่ตำแหน่งที่นั่ง แล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย 


 


 


วันนี้เป็นงานเลี้ยงพระราชทานฉลองการสอบคัดเลือกขุนนาง ที่นั่งข้างล่างตำแหน่งแรกของฮ่องเต้ควรให้เซี่ยอวี่เสียนมานั่งจึงจะเหมาะสม 


 


 


“เอ่อ…” สาวใช้รู้สึกตกใจเล็กน้อยทำท่าตัวไม่ถูก 


 


 


“ซูถ้านฮวารีบนั่งลงเถอะ นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาท” ยังดีที่หวงเผยซานสังเกตมาทางนี้ ทำให้เรื่องจบลงได้ เขาหัวเราะพลางพูดกับซูหลีว่า 


 


 


“นอกจากท่านจะเป็นถ้านฮวาแล้ว ท่านยังเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบอันใหญ่หลวงต่อราชวงศ์โจว นั่งตรงนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว” 


 


 


หวงเผยซานพูดขนาดนี้แล้ว ซูหลีก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก นางหันไปมองที่ฉินเย่หานแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งลงไปตรงนั้น 


 


 


ส่วนคนที่นั่งข้างขวาของนาง ถึงจะเป็นผู้ที่ควรได้ตำแหน่งถ้านฮวาครั้งนี้ เซี่ยอวี่เสียน 


 


 


“อาหลี เจ้ามาช้าไปนะ” เซี่ยอวี่เสียนพูดหยอกล้อซูหลีด้วยสีหน้าท่าทางปกติ 


 


 


ซูหลีได้ยินเข้ายิ้มแล้วเอ่ย “ก็นัดกันไว้แล้วว่าเวลานี้ คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะมากันเร็วขนาดนี้!” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 616 ดื่มสุรา 


 


 


“ฝ่าบาททรงพระราชทานจัดเลี้ยง ใครจะกล้ามาสาย มีแต่เจ้าที่ใจกล้าเช่นนี้!” เซี่ยอวี่เสียนกวาดตามองนาง ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย 


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนั้นลูบจมูกน้อยๆ รู้สึกเหมือนนี่เป็นความผิดของนาง! 


 


 


นางเอาแต่ฟังเซี่ยอวี่เสียนพูดจา จึงไม่ได้สังเกตเห็นแววตาฉินเย่หานที่จดจ้องนางไม่วางตาตั้งแต่เจ้าตัวย่างกรายเข้ามาในตำหนักฉยงอวี้ จนเห็นนางนั่งลงและพูดคุยกับเซี่ยอวี่เสียน 


 


 


ใบหน้าฉินเย่หานเรียบเฉยแต่ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงอย่างอันตราย 


 


 


หวงเผยซานที่ยืนด้านหลังเขาตัวสั่นเทิ้มอย่างอดไม่ได้ 


 


 


“ขุนนางทุกท่าน” ซูหลียังคงพูดคุยกับเซี่ยอวี่เสียน จู่ๆ ฉินเย่หานที่นั่งด้านบนก็ตรัสขึ้นมา 


 


 


นางนิ่งไปจากนั้นจึงเหลือบสายตาขึ้นไปมอง 


 


 


พลันเหลือบเห็นฉินเย่หานจ้องมาที่นางในแววตานางฉายแววตักเตือนอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ซูหลีงงุนงง… 


 


 


นางทำอะไรลงไป ทำไมฉินเย่หานถึงต้องเตือนนางด้วย? 


 


 


“คราวนี้ควบคุมโรคระบาดที่เสฉวนได้ เป็นผลงานของซูหลี” ที่เกินความคาดหมายที่สุดคือปากฉินเย่หานเรียกทุกคนแต่กลับชมซูหลีต่อหน้าบรรดาขุนนางทั้งหมด 


 


 


ซูหลีงุนงงไปเล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นฉินเย่หานยกจอกสุราหยกสีขาวตรงหน้าเข้าขึ้นมาพลางเอ่ย 


 


 


“ทุกท่านและเรา ร่วมกับดื่มไปกับขุนนางซูเถอะ!” 


 


 


ซูหลีตะลึงงัน… 


 


 


??? 


 


 


เดี๋ยวนะทำไมถึงมีวิธีแบบนี้ด้วย? 


 


 


นางคิดเอาไว้แล้วว่าฝ่าบาททรงพระราชทานเลี้ยง งานเลี้ยงวันนี้ต้องมีกิจกรรมการดื่มเหล้าแน่ 


 


 


แต่ความสามารถในการดื่มเหล้าของนาง หากให้ดื่มสุราขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคงจะก่อเรื่องอะไรแน่ ตอนนี้นางเพิ่งเริ่มขั้นที่หนึ่งจะปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้ 


 


 


แต่ก่อนนี้นางทำความดีความชอบ หากมีคนยกสุราเคารพนาง นางจะพูดอ้อมค้อมบอกว่าตนเองไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นแรมเดือน ไม่ค่อยสบาย ดื่มสุราไม่ได้ก็เรียบร้อย 


 


 


ใครจะคิดว่าคนแรกที่เรียกให้นางดื่มจะเป็นฮ่องเต้!? 


 


 


คราวนี้ลำบากแล้ว ซูหลีคงจะไม่สามารถใช้มุกเมื่อครู่ต่อหน้าคนจำนวนมากมายเช่นนี้ได้ 


 


 


จะผัดผ่อนใครก็ได้ แต่กับฮ่องเต้… 


 


 


นั่นเป็นการล่วงเกินอย่างมาก ถึงนางจะมีความดีความชอบนักหนา แต่โอรสสวรรค์จะยอมให้นางขัดขืนได้อย่างไร! 


 


 


ซูหลีหัวหมุนไปมาหลายรอบ แต่ในตอนที่นางกำลังฟุ้งซ่านนั้น นางกำนัลด้านหลังนางก็ก้าวเดินขึ้นไปด้านหน้า ส่งจอกสุราที่มีสุราเต็มจอกให้นาง 


 


 


“ถ้านฮวาซูเชิญ” นางกำนัลหน้าแดง ขณะสบตามองซูหลี ส่งจอกสุราด้วยใบหน้าแดงก่ำ 


 


 


ซูหลีจนปัญญา… 


 


 


นางตัวแข็ง แต่ก็รับจอกสุราจากนางกำนัลแต่โดยดี 


 


 


ฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนเห็นสีหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน มุมปากเขายกเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เพราะซูหลียังเป็นกังวลเรื่องสุราในจอกจึงไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มของฉินเย่หาน 


 


 


“ถ้านฮวาซู” ในตำหนักเงียบสนิท ฝ่าบาทบอกว่าจะทรงดื่มสุรากับซูหลี ตอนนี้ซูหลีต้องลุกขึ้นยืน แล้วดื่มสุราก่อนเพื่อเป็นมารยาทของข้าบริวาร 


 


 


เห็นนางไม่ขยับตัว หวงเผยซานจึงเอ่ยเตือนนาง 


 


 


ซูหลีทำอะไรไม่ได้ จำต้องลุกขึ้นยืนยกจอกสุราและเอ่ย 


 


 


“ขอบพระทัยฝ่าบาท” 


 


 


จากนั้นจึงส่งจอกสุราไปตรงหน้า ทันทีที่จอกสุราใกล้นาง กลิ่นหอมของสุราก็ลอยเข้าจมูกนาง ทำให้ซูหลีก็รู้สึกเมามายโดยที่ไม่ต้องดื่มลงคอ 


 


 


นางกัดฟัน ใจเต้นรัว จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้นสูงและยกดื่มจนหมด! 


 


 


“ประเสริฐยิ่ง!” รอบบริเวณก็มีเสียงเออออตามมาจากการกระทำดังกล่าว 



ตอนที่ 617 เมามาย 


 


 


รสสุราร้อนแรงไหลลงคอซูหลีไหลลงตามหลอดอาหารของนาง 


 


 


อึก! ซูหลีรีบร้อนดื่มสุราลงคอ หลังจากดื่มหมดนางก็แดงระเรื่อ 


 


 


ฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นเขาจึงยกสุราในมือขึ้นดื่มในรวดเดียว 


 


 


คนด้านล่างเห็นฮ่องเต้ทรงดื่มแล้ว ย่อมไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็ต่างยกจอกสุราขึ้นดื่มกันหมด 


 


 


“ต้าโจวมีคนหนุ่มที่มากความสามารถเช่นนี้ ช่างเป็นโชคดีของแคว้นนัก เราปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง!” 


 


 


ทว่านี่ยังไม่จบ! 


 


 


ฟากซูหลีที่ยังมึนๆ กับสุราอยู่ ก็เหลือบตามองฉินเย่หาน เขานิ่งค้าง แล้วจึงยกจอกสุราขึ้นอีกครั้ง พลางยิ้มมุมปากขณะจ้องซูหลี 


 


 


อย่าทำโจ่งแจ้งเกินไปได้ไหม! 


 


 


“…” ซูหลีไร้วาจาจะเอ่ย 


 


 


“ถ้านฮวาซูเชิญ” นางกำนัลรินสุราจนเต็มจอกส่งไปให้ 


 


 


ตอนนี้ในหัวซูหลีงุนงงไปเล็กน้อย ร่างกายนางนี้จะดื่มเหล้าไม่ได้จริงๆ เหมือนว่าพอดื่มเข้าไปฤทธิ์สุราก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี 


 


 


นางพยายามลืมตาขึ้นมองจอกสุราตรงหน้า ครู่ใหญ่กว่าจะชันกายลุกขึ้นยืนได้ และยกดื่มสุราในจอกจนหมด 


 


 


ทว่าซูหลีคิดไม่ถึงเลยว่าพอดื่มจอกนี้หมด ฉินเย่หานจะยกดื่มอีก 


 


 


นางสะบัดศีรษะตนเอง สติเริ่มไม่ค่อยแจ่มชัดนัก 


 


 


“อาหลี? อาหลี?” เซี่ยอวี่เสียนที่อยู่ข้างๆ เดิมไม่ทันได้สังเกตว่านางไม่ได้สติดี จึงยังคุยเสียงเบากับโจวฉิน จนเขาหันหน้ามองเห็นซูหลีแล้ว บนใบหน้าซีดเผือดของซูหลีก็แดงก่ำแล้ว 


 


 


บนใบหน้านางไม่สดใสหรือมีรอยยิ้มเย้ายวน แต่ดูไปแล้วลนลาน และโง่งม 


 


 


เซี่ยอวี่เสียนเรียกนางอย่างอดไม่ได้ 


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองเขา แววตาคู่นั้นเปล่งประกายวิบวับราวดวงดาว 


 


 


“แหะ!” คิดไม่ถึงเลยว่านางหันไปยิ้มกับเซี่ยอวี่เสียน แล้วจะยกจอกสุราที่ถูกรินจนเต็มหมดทั้งอึก! 


 


 


เซี่ยอวี่เสียนใบหน้าเปลี่ยนสีไปน้อยๆ เขาก็ไม่รู้ว่าซูหลีจะคออ่อนขนาดนี้ 


 


 


“เหวอ!” แต่ซูหลีที่ดื่มสุราสามจอกติดต่อกันก็เริ่มยืนไม่ค่อยไหวแล้ว นางโซซัดโซเซ จนเกือบล้มลงบนพื้น เซี่ยอวี่เสียนมองนางอยู่ตลอด เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็รีบร้อนเข้าประคองนาง! 


 


 


“เป็นอะไรไป?” จี้ฉินที่นั่งตรงข้าม เหลือบตามองเห็นภาพตรงหน้า ก็สาวเท้าเดินไปหาพวกเขาและเอ่ยถามเสียงแผ่ว 


 


 


เพราะวันนี้เป็นแค่งานเลี้ยงธรรมดาๆ จึงไม่ได้มีพิธีรีตองมากนัก ดังนั้นจี้ฉินจะลุกขึ้นยืนก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไร 


 


 


“เหมือนจะเมาแล้ว” เซี่ยอวี่เสียนประคองซูหลี ขมวดคิ้วมุ่น เขาอยู่ใกล้มากเสียจนได้กลิ่นหอมละมุนลอยมาจากร่างอีกฝ่าย 


 


 


กลิ่นหอมอบอวลนั้นลอยวนอ้อยอิ่งตรงปลายจมูกจนทำให้จิตใจเขาว้าวุ่นใจ 


 


 


“นี่…” 


 


 


“ใต้เท้าเซี่ย เดี๋ยวข้าดูแลใต้เท้าซูให้เอง” ในตอนจี้ฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทันทีที่เหลือบตาขึ้นมอง ก็เห็นหวงเผยซานเดินมาหาพวกเขา และยื่นมือจะรับซูหลี 


 


 


“หวงกงกง?” เซี่ยอวี่เสียนลังเล ไม่ปล่อยมือในทันที 


 


 


“ด้านหลังตำหนักฉยงอวี้มีพระตำหนักน้อย ให้ใต้เท้าซูไปนอนพักให้สร่างเมาได้พอดี จะให้เมาเช่นนี้ที่นี่เกรงว่าคงไม่เหมาะสมนัก” หวงเผยซานเห็นจึงรีบอธิบาย 


 


 


“เช่นนั้นก็…” หวงเผยซานคือตัวแทนของฉินเย่หาน เขาเดินมารับตัวซูหลี จะไม่ให้ก็ไม่ได้ เขาทำได้เพียงนิ่งไปแล้วจึงคลายมือออกพลางเอ่ย 


 


 


“ฝากกงกงด้วย” 


 


 


“ใต้เท้าเซี่ยพูดอะไรเช่นนั้น นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว!” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 618 อยู่ที่ตำหนักอวิ๋นซิน 


 


 


เรื่องที่ซูหลีก่อนั้น ฉินมู่ปิงเห็นเต็มสองตา 


 


 


นิ้วเรียวยาวของเขากำจอกสุราแน่น รอยดำมืดวูบไหวในดวงตาเรียวยาวราวนัยน์ตาหงส์ 


 


 


งานเลี้ยงพระราชทานวันนี้ ซูหลีเป็นตัวหลักอยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะช่วงนี้ซูหลีโดดเด่นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าตัวหลักจะมาสาย แต่พอเข้ามางานเลี้ยงไม่ได้นานเท่าไหร่ก็เมาแล้ว 


 


 


ฉินเย่หานเองที่เป็นคนเย็นชามาแต่ไหนแต่ไร วันนี้ยังดื่มถึงสามแก้วติดต่อกัน 


 


 


ไม่รู้เพราะอะไร ฉินมู่ปิงถึงได้รู้สึกว่าในนี้มีอะไรประหลาด 


 


 


แต่ถึงจะแปลกประหลาดไปหน่อย ตอนนี้ซูหลีเมาแล้วจริงๆ จะให้อยู่ในงานเลี้ยงก็ไม่ค่อยเหมาะสม 


 


 


ฉินมู่ปิงชะงักนิ่ง อยากจะเรียกข้ารับใช้ให้ไปดูซูหลี แต่พอย้อนคิดดู ที่นี่เป็นวังหลวงเขาควรระวังเอาไว้สักหน่อยน่าจะดีกว่า 


 


 


แต่ในตอนที่เขาลังเล ซูหลีก็ถูกหวงเผยซานพาออกจากตำหนักฉยงอวี้ไปแล้ว 


 


 


ฉินมู่ปิงกวาดตามองทางนั้น หลุบตาลงดื่มสุราที่เหลือในจอกจนหมด และสุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร 


 


 


หลังจากดื่มเหล้าไปแล้วเป็นจำนวนมาก คนที่เหลือก็เริ่มเมาไปกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟากของเซี่ยอวี่เสียน ที่ผู้สอบผ่านเหลือแค่เขาและโจวฉิน พวกเขาโดนมอมไปแล้วไม่น้อยสติเริ่มเลอะเลือน 


 


 


ตั้งแต่ซูหลีถูกแบกออกจากตำหนักฉยงอวี้ ฉินเย่หานก็ไม่แตะต้องสุราอีก เมื่อเห็นบรรยากาศในพระตำหนักครึกครื้น เขากลับยื่นพระหัตถ์ออกมาบีบขมับตนเอง 


 


 


“ฝ่าบาททรงเหนื่อยแล้วหรือ?” เมื่อเห็นฉินเย่หานทำท่าทางเช่นนี้ หวงเผยซานก็รีบก้าวประชิดพระวรกายอย่างรวดเร็ว 


 


 


ดวงตาฉินเย่หานนิ่งเรียบเฉยราวบ่อน้ำแห้ง กวาดสายพระเนตรมองเขา จากนั้นก็ค้อมศีรษะน้อยๆ และชันกายลุกขึ้นยืน 


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จ!” หวงเผยซานเห็นเช่นนั้น รีบร้อนลุกขึ้นยืน เดินออกไปด้านนอกพร้อมกับฉินเย่หาน 


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท!” นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่ถึงแม้ฝ่าบาทจะทรงพระราชทานเลี้ยง แต่หากทรงประทับอยู่ในตำหนัก พวกข้าราชบริพารก็ไม่มีใครกล้าผ่อนคลายได้เต็มที่ ดังนั้นปกติงานเลี้ยงพวกนี้พระองค์ก็จะไม่ทรงอยู่นาน 


 


 


ตอนนี้พอเห็นฮ่องเต้ทรงชันพระวรกายลุกขึ้น คนในตำหนักก็คุกเข่าทำความเคารพและส่งเสด็จโอรสสวรรค์ทันที 


 


 


ไม่ได้ต่างอะไรจากที่ผ่านมามากนัก ฉินมู่ปิงที่คุกเข่าอยู่ก็เหลือบสายตาขึ้นมอง ร่างที่ค่อยๆ หายไปในความมืด แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด 


 


 


เขามักรู้สึกว่าวันนี้ออกจะประหลาดเล็กน้อย แต่พอพูดขึ้นมาจริงๆ แล้วก็เหมือนกับว่าไม่ได้มีอะไรแปลกเสียหน่อย 


 


 


จะมีก็แต่… 


 


 


ซูหลีที่พอปรากฏตัวก็เมามายจนถูกคนหิ้วไปเก็บ ทำให้คนใส่ใจอย่างยิ่ง 


 


 


ทว่าพอฉินมู่ปิงฉุกคิดขึ้นมา ซูหลีฉลาดออกปานนั้นกระทั่งคนทั้งสำนักหมอหลวงมาจับชีพจรนางต่อหน้าสาธารณชน ก็ยังจับเรื่องที่นางเป็นอิสตรีไม่ได้ 


 


 


คนประเภทนี้ไม่ควรให้เขาต้องเป็นกังวลใจแทน 


 


 


ฉินมู่ปิงนิ่งชะงักไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ และหันหน้าไปพูดคุยกับคนรอบข้างแทน 


 


 


… 


 


 


ส่วนฟากฉินเย่หานที่มีหวงเผยซานเดินตามหลังต้อยๆ ก็เดินออกมาจากตำหนักฉยงอวี้ 


 


 


แต่เดินไปไม่กี่ก้าว ฉินเย่หานที่อยู่ด้านหน้าชะงักฝีเท้าและหันมองหวงเผยซานที่เดินตามหลังมา 


 


 


“คนล่ะ?” 


 


 


ทันทีที่หวงเผยซานได้ยินเช่นนี้ก็รีบค้อมกายลงเอ่ย “อยู่ที่ตำหนักอวิ๋นซิน บ่าวให้คนไปดูแลแล้ว” 


 


 


“อืม” ฉินเย่หานได้ยินเช่นนั้นก็ค้อมศีรษะรับน้อยๆ ไม่ตรัสอะไรอีก สาวเท้าเดินไปตำหนักอวิ๋นซิน 


 


 


หวงเผยซานละล้าละลัง ในแววตาฉายแววสับสน 


 


 


แค่เพราะซูหลีที่เมามายไม่ได้อยู่ตำหนักน้อยในตำหนักฉยงอวี้ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม