ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 611-615.2

ตอนที่ 611 ทหารหนีทัพ

 

อากาศร้อนระอุ คลื่นความร้อนปะทะใบหน้า เหมือนได้กลิ่นไหม้ของตะวันตกดิน ผืนทรายนอกด่านลอยฟุ้งอยู่เต็มท้องฟ้า เป็นสีแดงก่ำไปทั้งแถบ ได้ยินเสียงเพียะๆ เบาๆ คล้ายกำลังเผาอะไรบางอย่าง  


 


 


ประตูเมืองเมืองซิงชิ่งกึ่งเปิดกึ่งปิด มีคนเดินเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เพิ่มความหนาวเย็นให้เมืองชายแดนแห่งนี้หลายส่วน ทหารต้าหัวที่เฝ้าประตูเมืองสวมชุดเกราะ แต่ละคนล้วนเหงื่อท่วมตัว ถึงกระนั้นกลับไม่มีผู้ใดกล้าถอดชุดเกราะออกไป 


 


 


“แม้หนึ่งจอกร่ำไม่หมด ทว่าความคิดถึงมากเพียงไหน จิตวิญญาณแห่งกวนซานหลับฝันอย่างยาวนาน ทว่าข่าวคราวกลับไม่มี 


 


 


มุ่งหวังยามเมามาย ได้รักใคร่ยามหลับฝัน จอนผมล้วนขาวโพลน ทำได้เพียงคำนึงหา    


 


 


กระตุ้นห้วงแห่งรัก ฝืนสะกดความคิดถึง สุริยันจันทราเคลื่อนคล้อย 


 


 


ยามใดจะควบอาชาหวนคืน ยืนพิงรั้วคอยต้อนรับแย้มยิ้มพราย ชมข้าสวมอาภรณ์แดง เป็นนิรันดร์เคียงคู่ฟ้า!” 


 


 


เงาร่างอันอรชรอ้อนแอ้นน่าลุ่มหลงร่างหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทอดสายตามองดวงตะวันสีแดงสดที่อยู่ไกลๆ ปากพร่ำรำพันกับตนเอง แสงอาทิตย์ตกดินตกกระทบใบหน้านาง น้ำตาสองสายกระจ่างใสดั่งแก้วผลึก 


 


 


“ท่านน้าสวี!” 


 


 


มีเสียงเรียกขานมาจากทางด้านหลัง สตรีนางนั้นรีบเช็ดหางตาพร้อมหมุนกายกลับมา กล่าวเบาๆ ว่า “อู่หลิง เจ้ามาได้อย่างไร?!” 


 


 


“ท่านน้าสวี ท่านว่าพี่หลินเขาจะกลับมาหรือไม่ขอรับ?!” เสี่ยวหลี่จื่อกล่าวสะอื้น “นี่มันก็หนึ่งเดือนกว่าแล้ว…” 


 


 


นับตั้งแต่กลับมาจากทุ่งหญ้าคราวนี้ หลี่อู่หลิงตากแดดจนผิวคล้ำไปไม่น้อย อีกทั้งยังสูงขึ้นมาก ปราศจากหนุ่มน้อยที่ใบหน้าเยาว์วัยไร้เดียงสาคนนั้นอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นนายทหารอย่างแท้จริงผู้หนึ่งแล้ว  


 


 


สวีจื่อฉิงหน้าขาวซีด “ไม่มีทาง เขาต้องกลับมาแน่นอน” 


 


 


หลี่อู่หลิงก้มหน้าด้วยความหม่นหมอง “ท่านน้า ท่านไม่ได้เห็นธนูดอกนั้นของข่านใหญ่ทูเจวี๋ย สามดอกต่อเนื่อง พลานุภาพมหาศาล ต่อให้เทพเซียนก็ไม่อาจต้านทานได้” 


 


 


เทพเซียนก็ไม่อาจต้านทานได้? คุณหนูสวีน้ำตารื้น ส่ายหน้าด้วยความหนักแน่น “เทพเซียนไหนเลยจะไล่ตามเขาทัน? เขาเป็นคนที่เลวที่สุดบนโลกนี้ สวรรค์ไม่กล้ารับเขาไปหรอก” 


 


 


เสี่ยวหลี่จื่อผงกศีรษะ มองไปเบื้องหน้าอย่างเต็มไปด้วยความหวัง นอกด่านพายุทะเลทรายโถมกระหน่ำ หมนุวนเป็นวง กลบดวงอาทิตย์อัสดงสีแดงสดดวงนั้นไปครึ่งหนึ่ง 


 


 


“อู่หลิง เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ?!” คุณหนูสวีเงียบงันอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยปากถาม  


 


 


หลี่อู่หลิงรีบผงกศีรษะ “ท่านน้า ชาวทูเจวี๋ยกำลังรอคำตอบจากพวกเราอยุ่นะขอรับ! นับตั้งแต่จับตัวพวกข่านน้อยกับอ๋องขวาชนเผ่านอกด่านมา พวกมันก็ส่งทูตมาสืบข่าวคราวจากพวกเราวันเว้นวัน เมื่อครู่พี่จั่วชิวซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่เฮ่อหลานซานก็ให้ม้าเร็วมาส่งข่าว วันนี้ลู่ตงจ้านส่งสารมาอีกแล้ว บอกว่าต้องการเจรจากับพวกเราขอรับ” 


 


 


หูปู้กุยเดินทางข้ามผ่านทุ่งหญ้า แม้ชาวทูเจวี๋ยจะมีไพร่พลนับพันนับหมื่น แต่กลับปราศจากผู้ขัดขวาง ราชธานีถูกทำลาย ข่านน้อยกับอ๋องขวาถูกจับเป็นเชลย นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่แคว้นข่านทูเจวี๋ยอันกล้าแกร่งมาก่อน บวกกับพวกมันบุกโจมตีเฮ่อหลานซานอย่างรุนแรงก็ไม่ประสบความสำเร็จจนต้องถอยกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า สูญเสียโลหิตและชีวิตไปนับไม่ถ้วน ระหว่างที่กำลังโมโหเดือดดาล ชนเผ่านอกด่านก็ต้องตื่นตะลึงจากความมุ่งมั่นและไอสังหารของชาวต้าหัว 


 


 


เนื่องจากชาวทูเจวี๋ยบังเกิดความหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ช่วงหนึ่งเดือนมานี้พวกมันจึงค่อยๆ ถอยกลับไปที่ทุ่งหญ้า ทั้งสองฝ่ายตั้งทัพอยู่ที่เส้นเขตแดนของสองแว่นแคว้น แม้จะเกิดการปะทะเล็กๆ น้อยๆ เป็นบางครั้ง ถึงกระนั้นก็ไม่เคยเกิดศึกครั้งใหญ่ ในช่วงเวลาที่ประจันหน้ากันเช่นนี้ ระหว่างช่วงรอยต่อของทุ่งหญ้าและทะเลทรายกลับบังเกิดเขตกันชนอันแสนสงบสุขขึ้นอย่างหาได้ยากยิ่ง 


 


 


“เจรจา? พวกเราไม่รีบ ที่รีบน่ะคือพวกมัน!” สวีจื่อฉิงกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ สถานการณ์ในปัจจุบัน ต้าหัวกุมสิทธิ์ในการเป็นฝ่ายกระทำโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั่นต้องใช้ชีวิตทหารจำนวนนับไม่ถ้วนแลกกลับมา โดยเฉพาะเขาซึ่งไม่รู้ว่าเป็นหรือตายผู้นั้น 


 


 


ดวงตาของนางผุดประกายน้ำตาบางๆ ถอนหายใจยาวพร้อมเอ่ยว่า “จะจัดการข่านน้อยทูเจวี๋ยกับเชลยเหล่านี้เช่นไรต้องให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย ก่อนราชโองการจะมาถึง การเจรจาจะไร้ประโยชน์ ลู่ตงจ้านไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้ มันจงใจสร้างแรงกดดันให้พวกเรา ใช้การแลกสิทธิ์ในการเป็นฝ่ายกระทำกลับคืนไปบ้าง” 


 


 


หลี่อู่หลิงรีบผงกศีรษะ “ข้ามาก็เพราะเรื่องนี้ล่ะขอรับ ท่านน้า ท่านปู่ให้ข้ามาแจ้งท่าน ราชโองการของฝ่าบาทมาถึงแล้ว” 


 


 


… 


 


 


ท่ามกลางแสงสนธยา รถม้าคันเล็กๆ คันหนึ่งก่อฝุ่นทรายคละคลุ้ง เคลื่อนที่แช่มช้าเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แสงแดดยามเย็นตกกระทบหลังจนเปล่งประกายสีแดงเรืองรอง 


 


 


มีมืองามเรียวยาวข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหลังม่านรถม้า ดึงบังเ**ยนเพื่อเร่งม้าและปรับทิศทางเป็นบางครั้ง ทรายที่ปลิวว่อนสาดกระทบม่านหน้าต่าง ภายในตัวรถมีเสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง เหมือนกำลังไม่สบาย “พี่สาว ไม่ต้องเดินทางเร็วขนาดนี้ก็ได้ หยุดสักหน่อยเถอะ ลองคิดดูสิ เดินเล่นยามตะวันตกดิน มีแค่ท่านกับข้า ใบหน้าต้องแสงสายัณห์แดงระเรื่อ ทัศนียภาพดั่งภาพเขียน นี่จะเป็นเรื่องที่แสนรื่นรมย์เพียงใด!” 


 


 


รื่นรมย์เพียงใดไม่รู้ แต่ช้าขนาดไหนน่ะรู้แน่ พี่สาวส่ายหน้าอย่างจนใจ หัวเราะพร้อมเอ่ยกลับไปว่า “เจ้าคนนี้นี่นะ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพิ่งจะพักผ่อนไปหรือ? เช้าตื่นสาย กลางวันร้อนเกินไปเลยอยากจะนอน พระอาทิตย์ตกถึงจะออกเดินทาง หากทำตามเจ้า วันหนึ่งพวกเราจะเดินทางได้สักกี่ลี้กันหา?!” 


 


 


“เดินทางไม่ถึงก็ค่อยๆ เดินทางไป ข้าเป็นคนป่วยน้า” เสียงอ่อนระโหยโรยแรงนั้นไอออกมาหลายครา หอบหายใจพร้อมพูดขึ้นมาว่า “เดินทางช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร คนป่วยได้รับการดูแลเป็นพิเศษคือคุณธรรมแห่งฟ้าและดิน! รอให้วันหน้าพี่สาวอยู่เดือน ข้าจะดูแลท่านเช่นนี้เหมือนกัน กอดท่านไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว ท่านว่าดีหรือไม่?” 


 


 


“เหอะ!” พี่สาวใบหน้าใบหูแดง 


 


 


มองดูใบหน้าขาวซีดของคนป่วย พูดจาได้ไม่กี่ประโยคก็เริ่มหอบแล้ว นางรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที รีบจับมือของเขาไว้ บรรยากาศภายในรถร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงร่างกายของคนป่วยเท่านั้นที่เย็นเฉียบ นี่คืออาการอ่อนแรงขั้นสุดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ล้มเจ็บอย่างหนัก แม้บาดแผลภายนอกจะหายดีแล้ว แต่ธนูดอกนั้นสร้างความกระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายในอย่างรุนแรง ไหนเลยจะหายดีดังเดิมโดยง่ายดายได้?! 


 


 


“พี่สาว ผมยุ่งแล้ว” เมื่อเห็นน้ำตาภายในดวงตาของพี่สาว คนป่วยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ทัดปอยผมหลายเส้นข้างใบหูนางเบาๆ ด้วยความอ่อนโยนยิ่งนัก 


 


 


ในความหวานชื่นระคนความปวดใจ น้ำตาของพี่สาวไหลรินอย่างเงียบงัน นางกุมมือเขาเบาๆ ให้เขาประคอใบหน้าตนเอง “เจ้าน่ะ ไม่รู้ว่าดื้อด้านอะไรนักหนา นับตั้งแต่กลับจากปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ทุ่งหญ้าทะเลทรายราบเรียบไม่ยอมไป จะต้องให้ข้าอุ้มเจ้าข้ามเฮ่อหลานซาน เดินย้อนกลับเส้นทางเดิม เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าจะทนไหวได้หรือ? คราวนี้ดีเลย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และยิ่งไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว!” 


 


 


“ไม่รู้ก็ดี” เขาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “เหนื่อยแล้ว! คิดแต่จะหาสถานที่ที่ปลอดคนเพื่ออยู่อย่างสงบสักหน่อย ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องทำอะไร แค่นอนให้มาก นับตั๋วเงินสักหน่อย โอบพี่สาวบ้าง ทำมันให้ครบทุกอย่าง! ช่วงเวลานี้ช่างมีความสุขมากเลยนะ!” 


 


 


“พรืด!” พี่สาวหัวเราะพลางจิ้มจมูกเขา คราบน้ำตากับรอยยิ้มเบ่งบานพร้อมกัน “อย่านึกว่าข้าไม่รู้ความคิดของเจ้า…เจ้ากลัวว่าพวกเขาตามหาเจ้าเจอแล้วจะลากเจ้าไปที่โต๊ะเจรจา ไปเจอคนที่เจ้ากล้าเจอคนนั้นล่ะสิท่า?!” 


 


 


“พี่สาว ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ตลอดทั้งตัวข้าก็มีแค่ความลับเล็กๆ นี้เท่านั้น!” คนป่วยยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า เอ่ยออกมาด้วยความจนใจ “เอาเถิด ข้ายอมรับ ท่านพูดถูกแล้ว การเจรจานั่นเป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับข้า ใครก็ห้ามมารบกวนข้า ตอนนี้ข้าอยากเป็นแค่ทหารหนีทัพ หนีทัพอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล” 


 


 


“ทหารหนีทัพ กินยาได้แล้ว” พี่สาวยิ้มแย้มพลางส่ายหน้า หยิบยาออกมาจากกล่องเล็ก กลิ่นหอมสะอาดจางๆ ระคนกลิ่นขมเข้มข้นสายนึ่งลอยปะทะจมูกเข้ามา  


 


 


เห็นชัดว่าคนป่วยขมขื่นกับการกินยาตัวนี้ เขาตกใจนหน้าซีด “ไม่ ไม่กินได้หรือไม่? มันขมมากเลย!” 


 


 


“ไม่ได้!” ปราศจากการต่อรองแม้แต่น้อย 


 


 


“เช่นนั้นน้องชายจะขอร้องได้หรือไม่ ขอให้พี่สาวเคี้ยวเจ้ายานี่ให้แหลกก่อน จากนั้นค่อยป้อนใส่ปากข้าทีละคำๆ เช่นนั้นจะหวานขึ้นอีกนิด…อุ๊ หวานมาก!” 


 


 


“ปัง! ปัง!” ยังอยู่ในช่วงแห่งความหวานชื่น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตัวรถถูกกระแทกดังปังปัง ม้าหยุดการเคลื่อนที่ นางเซียนรีบรั้งริมฝีปากกลับไป มองค้อนเขาด้วยใบหน้าใบหูแดง  


 


 


คนป่วยระเบิดโทสะในบัดดล “ใครกัน? มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าเสียได้ นี่ข้ากำลังกินยาหวานอยู่นะ!” 


 


 


ภายนอกมีเสียงตวาดดังลั่นหลายเสียง “ที่อยู่ข้างในเป็นใครกัน หลบอยู่ในนั้นทำอะไร? ลงรถๆ มารับการตรวจตรา!” 


 


 


พี่สาวรีบยื่นศีรษะออกไปมองแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยความยินดี “ถึงเมืองเมืองซิงชิ่งแล้ว!” 


 


 


ซิงชิ่ง? คนป่วยรีบเลิกผ้าม่าน สองตากวาดมองเบาๆ  


 


 


กำแพงสูง เชิงเทียนอันแข็งแกร่ง หอคอยจุดสัญญาณไฟตั้งตระหง่าน เสียงร้องขายของดังโหวกเหวกโวยวาย ฝูงชนที่สัญจรไปมา โรงน้ำชาเหลาสุรา อูฐและม้า ปรากฏให้เห็นเด่นชัดภายในชั่วพริบตา 


 


 


ไม่ได้ยินเสียงแบบนี้มาสามเดือนกว่าแล้ว ช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน เสียงเอะอะของคนดังเข้าใบหู เขารู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งร่างราวกับได้กินก้อนน้ำแข็ง สองตาเปียกชื้นในบัดดล เมืองซิงชิ่ง ข้ากลับมาแล้ว! 


 


 


ระหว่างที่กำลังรู้สึกกระหยิ่มใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าพี่สาวกำลังดึงแขนเสื้อเขาอยู่อย่างรีบร้อน หลบไปข้างหลังเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นว่าทหารยามที่อยู่หน้าประตูรถกำลังมองพี่สาวอย่างเหม่อลอย น้ำลายหยดติ๋งๆ 


 


 


แม้พี่สาวจะแต่งกายด้วยชุดกระโปรงหยาบๆ ปักปิ่นไม้พร้อมใช้ผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า แต่เรือนร่างอันอวบอิ่ม ความงามล้ำเลิศนั้นไหนเลยจะปิดบังได้? ทหารยามที่อยู่นอกรถต่างมองจนตาลอย 


 


 


คนป่วยระเบิดโทสะทันที “มองอะไรกัน?! ใครกล้ามองเมียข้าอีก ข้าจะควักลูกตามันออกมา ขอบอกพวกเจ้า ข้าฆ่าคนมาหลายหมื่นคนแล้ว!” 


 


 


ผีอมโรคอย่างเจ้านี่นะ?! ทหารทั้งหลายหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เห็นเข้าเบ้าตาจมลึก หน้าขาวซีด ร่างกายส่ายโอนเอน อ่อนแอไม่อาจต้านทานลม ท่าทางเหมือนผีวัณโรคอย่างนั้น อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย แค่ฆ่าไก่ก็ยังทำให้คนอื่นลุ้นจนเหงื่อตก! 


 


 


“มาดุอะไรกันนักหนา แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยก็ยังไม่กล้ามาทำตัวดุต่อหน้าพวกเราเลย! ลงรถๆ รับการตรวจตรา เป็นการป้องกันไม่ให้ไส้ศึกชนเผ่านอกด่านปะปนเข้าไปในเมือง!” สวีจื่อฉิงปกครองทหารด้วยระเบียบวินัย ทหารใต้บังคับบัญชาทำได้แค่พูดเล่นเท่านั้น แต่ไม่กล้าทำตัวกำแหงจริงๆ  


 


 


นี่เขาเรียกว่าพยัคฆ์หลุดมาที่ราบถูกสุนัขรังแก ในเมื่อจะทำตัวเป็นทหารหนีทัพ อย่างนั้นก็คงทำได้เพียงลงจากรถรับการตรวจสอบอย่างว่าง่ายเท่านั้น เมื่อเห็นท่าทางเดือดดาลของเขา พี่สาวก็ฝืนสะกดกลั้นหัวเราะพลางประคองเขาลงมา 


 


 


ซบร่างพี่สาวอย่างอ่อนระโหยโรยแรง มองดูนายทหารเหล่านั้นพลิกค้นตัวรถเปะปะวุ่นวายไปรอบหนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงยอมเลิกรา จากนั้นจึงโบกมือแล้วปล่อยให้พวกเขาเข้าเมือง 


 


 


“ผีวัณโรค! ดอกไม้งามงดงามปักอยู่บนขี้ควาย!” ทหารนายหนึ่งไม่อาจสะกดกลั้นความอัดอั้นตันใจ แค่นเสียงด้วยความเดือดดาล 


 


 


มารดาเจ้าน่ะสิ! ดอกไม้ไม่ปักบนขี้ควายหรือว่าจะให้ขี้ควายปักดอกไม้? เขาเต้นเป็นเจ้าเข้า ต้องการพุ่งเข้าไปถกเถียง พี่สาวแย้มยิ้มพลางดึงตัวเขาไว้ด้วยท่าทีอ่อนโยนยิ่งนัก “ข้าชอบขี้ควายเช่นเจ้า!” 


 


 


เขาหัวเราะฮ่าๆ พร้อมรั้งมือกลับไป โอบเอวคอดกิ่วของพี่สาวแล้วพูดว่า “จริงหรือ? คิดไม่ถึงว่าพี่สาวจะมีความชอบที่พิเศษขนาดนี้! ขี้ควายนี่ดีน้า ขี้ควายมีสารอาหาร ใช้ให้อาหารดอกไม้โดยเฉพาะ มีคนคิดจะปักขี้ควาย นั่นยังต้องเข้าแถวรอเสียด้วยซ้ำ ฮ่าๆ” 


 


 


เมื่อนั่งรถม้าเข้าไปในเมืองก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาไม่ขาดสาย มีเสียงร้องขายของอยู่ทุกแห่งหน เหล่าคุณชายขี่ม้าขาว เหล่าคุณหนูสวมอาภรณ์ลวดลายงดงาม เหลาสุราและตึกรามเรียงราย เสียงสังคีตดังแว่ว ร่ายรำระบำฟ้อน บุรุษเกี้ยวสตรี อูฐม้ามากมาย 


 


 


ไม่ได้กลับซิงชิ่งมาสามเดือน เมืองชายแดนแห่งนี้ต่างจากขามาโดยสิ้นเชิง ทหารต้าหัวรบชนะหลายครั้ง ด่านเฮ่อหลานซานมั่นคงยากจะถูกทำลาย อีกทั้งไม่นานมานี้ยังจับตัวข่านน้อยกับอ๋องขวาของชนเผ่านอกด่านมาได้อีก ยินดีปรีดาไปทั้งต้าหัว เมืองซิงชิ่งแห่งนี้ให้ความรู้สึกของเมืองวสันต์นอกด่านอีกครั้งหนึ่ง อึกทึกคึกคักยิ่งกว่ากาลก่อน เห็นเงาของเจียงหนานได้รางๆ  


 


 


สามเดือนแล้ว ในที่สุดก็มีชีวิตรอดกลับมาโลกมนุษย์ได้เสียที เห็นแม่นางหลายคนกำลังยืนบิดเรือนร่างเรียกแขกอยู่หน้าประตูอยู่ไกลๆ เสียงหัวเราะสดใสดังไปทั่วทั้งถนนใหญ่ 


 


 


เป็นภาพที่คุ้นเคยมากเลยนะ ความพลุ่งพล่านภายในใจเขายากจะสะกดกลั้นจนอดยื่นหน้าออกมาพร้อมผิวปากกระเซ้าไม่ได้ “ไฮ พี่สาวคนนี้ ทำทุกอย่างราคาเท่าไหร่?! นวดท่านชายอะไรแบบนั้นน่ะ! เฮ้อ เป็นครั้งแรกของน้องชาย ไม่เชี่ยวชาญเลย ไม่รู้อะไรทั้งนั้น พอจะลดราคาได้หรือไม่?!” 


 


 


ครั้งแรกของวันนี้ของเจ้าล่ะสิ! หญิงนางโลมต่างกรูเข้ามาหา “คุณชาย ข้าก็ครั้งแรกนะเจ้าคะ เข้าห้องดื่มชาครึ่งตำลึง ค้างคืนแค่สองตำลึง ถูกและคุ้มค่า ท่านผิวดำขนาดนี้ก็ไม่ต้องจุดตะเกียง ประหยัดค่าน้ำมันตะเกียง จะลดให้ท่านอีกครึ่งตำลึง ราคาหนึ่งตำลึงครึ่งรวมอาหารว่างยามกลางคืนด้วยนะเจ้าคะ!” 


 


 


เจ้าคนสมควรตายคนนี้! พี่สาวใช้เข็มทิ่มก้นเขา 


 


 


“พี่สาว ข้าแซวพวกนางเล่น” คนป่วยเบ้ปากอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าแค่อยากตามหาความรู้สึกที่มีชีวิตรอดกลับมา!” 


 


 


พี่สาวไหนเลยจะไม่รู้ความรู้สึกของเขา เพียงแต่ความหึงหวงเป็นนิสัยที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของสตรี นางร่วงหล่นลงบนโลกมนุษย์ ไหนเลยจะปราศจากความรู้สึกทางโลกได้ นางหัวเราะพรวดอย่างไม่อาจสะกดกลั้น กล่าวด้วยความอายและหงุดหงิดออกมาว่า “ห้ามเจ้าพูดจาโจ่งแจ้งกับสตรีเหล่านี้เยี่ยงนี้!” 


 


 


“เข้าใจๆ ควรพูดกับพี่สาวถึงจะถูกใช่หรือไม่!” 


 


 


พี่สาวหน้าแดง ถึงกระนั้นกลับไม่ได้โต้เถียงอย่างน่าประหลาด 


 


 


“เอ๊ะ ถังหูลู่?!” คนป่วยยื่นศีรษะออกไปพร้อมรีบกวักมือเรียกด้วยความตื่นเต้น “เถ้าแก่ เถ้าแก่ ถังหูลู่ขายอย่างไร?!” 


 


 


“ไม้ละห้าอีแปะ! ขออภัยไม่ต่อราคา” 


 


 


ขออภัยไม่ต่อราคา! ซื้อถังหูลู่กับคุณหนูใหญ่ที่หางโจว สิบอีแปะข้าซื้อได้ตั้งสามไม้ 


 


 


“แปดอีแปะสองไม้เจ้าจะขายหรือไม่ วันนี้อากาศร้อน น้ำตาลละลายหมดแล้ว พรุ่งนี้เจ้าอย่าคิดที่จะขายอีกเลย! ข้าซื้อมาชิมดูก็ยังจะติดฟันด้วยซ้ำ!” 


 


 


“หืม เจ้าอยากได้สองไม้? อย่างนั้นก็ได้ แปดอีแปะ!” 


 


 


“น้ำตาลเหนียวดเหนอะแบบนี้ใครจะอยากควักเงินกันเล่า?! พี่สาว ให้เขาไปสิบอีแปะ พวกเราซื้อสามไม้! ไม่ให้ก็ไป!”…… 


 


 


“หวานหรือไม่?!” ได้มาอีกสองไม้ 


 


 


พี่สาวโตมาจนป่านนี้แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้กินเจ้าของสิ่งนี้ เมื่อเข้าปากก็รู้สึกหวานๆ เปรี้ยวๆ อร่อยยิ่งนัก นางเลียไปหลายครั้ง จากนั้นก็ยัดใส่ปากคนป่วยพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “เดิมทีไม้ละห้าอีแปะ เจ้าควักสิบอีแปะซื้อได้สามไม้ เจ้าควักเงินเพิ่ม เขาให้ถังหูลู่เพิ่ม ที่แท้ผู้ใดชนะกันแน่นะ?!” 


 


 


“ต่างคนต่างมีความสุข ข้ากับเขาต่างเป็นผู้ชนะ!” คนป่วยกัดถังหูลู่คำหนึ่ง ส่ายหน้าพลางยิ้มแย้ม “ความสุขก็คือเช่นนี้!” 


 


 


“โจรน้อย” พี่สาวเหม่อมองเขา ทั้งตกใจทั้งยินดีระคนกัน จู่ๆ ก็จุ๊บแก้มเขาพร้อมกล่าวด้วยความเอียงอาย “ข้าก็เหมือนเจ้า มีความสุขมาก!”  

 

 


ตอนที่ 612 - 1 เจรจา

 

จื่อฉิงหน้านิ่วคิ้วขมวด เพิ่งเดินเข้ามาในค่าย พวกของเกาฉิวมองเห็นอยู่ไกลๆ จึงรีบผลักหูปู้กุยที่อยู่ข้างกาย “เหล่าหู รีบไปถามคุณหนูสวีเร็วว่ามีข่าวคราวของน้องหลินหรือไม่?! จะเป็นหรือตายก็ต้องมีข่าวบ้างสิ ร้อนใจตายมารดามันจริงๆ แล้ว” 


 


 


หูปู้กุยทอดสายตามองหลายครั้ง จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “ถามผายลมอะไร เจ้าไม่เห็นสีหน้าของท่านกุนซือหรือ? หากมีข่าวคราวของแม่ทัพหลิน นางจะไม่ดีใจยิ่งกว่าผู้ใดหรอกหรือ?!” 


 


 


จริงดังคาด คุณหนูสวีซึ่งเงียบงันสายตาเหม่อลอยกลับเกือบเดินชนกระโจมที่อยู่ด้านข้าง เกาฉิวอดถอนหายใจไม่ได้ 


 


 


หูปู้กุยหยิบที่แปรงขนขึ้นมาแล้วแปรงขนม้าเหงื่อโลหิตที่อยู่ข้างกายตัวนั้นอย่างถ้วนถี่ ม้าเหงื่อโลหิตตัวนี้ หลินหว่านหรงมอบให้เขาด้วยตนเองก่อนออกเดินทางจากเมืองหลวง ในกองทัพที่มีผู้คนนับพันนับหมื่นนี้ ก็มีแค่ม้าตัวนี้เท่านั้นที่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง 


 


 


เกาฉิวลูบไล้แผงคออันอ่อนนุ่มของม้าล้ำค่า จากนั้นก็ถอนหายใจพร้อมพูดว่า “เหล่าหู เจ้าว่าหากม้าเหงื่อโลหิตตัวนี้ผสมพันธุ์กับม้าชั้นยอดของต้าหัวเรา ตัวหนึ่งเป็นพันธุ์ทูเจวี๋ย อีกตัวเป็นสายเลือดต้าหัว จะให้กำเนิดม้าชั้นดีออกมาได้จริงหรือไม่?!” 


 


 


“นั่นมันแน่นอน” เหล่าหูตบหลังม้า หัวเราะฮิฮะสองครา กล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง “การผสมพันธุ์นี้แม่ทัพหลินเป็นผู้เสนอ ยังจะผิดได้อีกหรือ? รอดูเถอะ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จะได้เห็นลูกม้าตัวน้อยแล้ว” 


 


 


“แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ!” เหล่าเกาผงกศีรษะ กล่าวพึมพำกับตนเอง “เช่นนั้นหากให้น้องหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผสมพันธุ์กันล่ะ? น่าจะยิ่งไม่เลวกระมัง!” 


 


 


หูปู้กุยนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังออกมาทันที หัวเราะไปหัวเราะมาตาก็แดง 


 


 


เมื่อเข้ามาในกระโจมก็เห็นจอมทัพหลี่ไท่ที่เส้นผมขาวโพลนกำลังทำหน้าตากลัดกลุ้ม เดินย่ำเท้ากลับไปกลับมาอยู่ในกระโจม คล้ายมีเรื่องที่จัดการยากยิ่งนัก คุณหนูสวีแอบเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาแล้วเอ่ยปากถามว่า “ท่านจอมทัพ ท่านตามหาข้าหรือ?!” 


 


 


“จื่อเอ๋อร์ เจ้ามาได้จังหวะพอดี” จอมทัพส่งม้วนผ้าแพรสีเหลืองทองให้ม้วนหนึ่ง เขาถอนหายใจพร้อมเอ่ยว่า “เกี่ยวกับการเจรจาของพวกเรากับชาวทูเจวี๋ย ราชโองการของฝ่าบาทมาถึงแล้ว” 


 


 


สวีจื่อฉิงรับม้วนผ้าฉบับนั้นมาแล้วกวาดตามอง ราชโองการฉบับนั้นเรียบง่าย มีแค่สี่คำเท่านั้น “หลินซานตัดสิน!” 


 


 


คุณหนูสวีหน้าซีด แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “นี่ หรือว่าฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบว่าเขา…” 


 


 


หลี่ไท่ส่ายหน้า “องค์หญิงชูอวิ๋นทรงตั้งครรภ์ เดือนหน้าก็จะคลอดแล้ว ไม่อาจรับการกระทบกระเทือนได้ เรื่องของหลินซานปิดบังได้ก็ต้องปิดบัง ข้าถวายสารลับแด่ฝ่าบาทแล้ว เรื่องนี้ในราชสำนักน่าจะมีเพียงฝ่าบาทที่ทรงทราบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงมีราชโองการเช่นนี้อีก?” 


 


 


จำได้รางๆ ว่าเขาใกล้จะเป็นพ่อคนแล้ว เพียงแต่กลับไม่รู้ว่าคนที่เป็นพ่อคนคนนี้ตอนนี้ไปอยู่ที่ใด? เขาจะเป็นหรือตาย จะร้อนหรือว่าหนาว? คุณหนูสวีไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป น้ำตาไหลอย่างเงียบงัน ไหลอาบสองแก้ม 


 


 


“จื่อเอ๋อร์เอ๋ย…” จอมทัพทอดถอนใจ ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าควรปลอบโยนเช่นไรดี 


 


 


“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สวีจื่อฉิงรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ปิดราชโองการฉบับนั้น จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบาออกมา “หลินซานตัดสิน…ตามความเห็นของจื่อเอ๋อร์ พระประสงค์ที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการฉบับนี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือต้องตามหาเขาให้พบ ไม่ว่าเป็นหรือตายเจ้าค่ะ” 


 


 


“ไม่ว่าเป็นหรือตาย?” หลี่ไท่กล่าวพลางขมวดคิ้ว “หากหลินซานยังมีชีวิตอยู่ทุกอย่างง่ายดาย เจรจานี้ควรให้เขาเป็นผู้ตัดสิน แต่หากเขาไม่อยู่แล้ว…” 


 


 


“นั่นก็คือ ‘หลินซานตัดสิน’ อย่างแท้จริงเจ้าค่ะ ชีวิตชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดอยู่ที่ตัวเขาเพียงผู้เดียว!” สวีจื่อฉิงดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ พูดพลางกัดฟันกรอด 


 


 


 “หลินซานตัดสิน!” ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้ใช้ความเป็นความตายของหลินซานมากำหนดความเป็นความตายของชาวทูเจวี๋ย หากหลินซานไม่อยู่แล้ว เชลยทูเจวี๋ยเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นข่านน้อยหรือว่าอ๋องขวาทูเจวี๋ยต่างไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป ต้าหัวจะสู้แลกชีวิตกับชาวทูเจวี๋ยจนถึงที่สุดโดยไม่เสียดายค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น 


 


 


ฝ่าบาทพิโรธจริงแล้ว! หลี่ไท่ผงกศีรษะเล็กน้อย “จื่อเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกว่าหลินซานยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” 


 


 


“เขาต้องมีชีวิตอยู่ เขาเลวขนาดนั้น…” คุณหนูสวีก้มหน้าลงไป สะอึกสะอื้นเงียบๆ  


 


 


หลี่ไท่หัวเราะพร้อมพูดว่า “นี่ก็ใช่แล้ว เจ้าหลินซานคนนี้นี่นะ วันๆ เอาแต่หัวเราะเฮฮา ไม่เคยเสียเปรียบมาก่อน หากเจ้าบอกว่าเขาตายแล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลยสักนิด!” 


 


 


สวีจื่อฉิงกัดฟันกรอด “พวกเราเมินชาวทูเจวี๋ยมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว หากลากออกไปโดยไม่ให้คำตอบพวกมันอีกเกรงว่าจะได้ผลตรงกันข้าม ในเมื่อฝ่าบาททรงมีราชโองการลงมาแล้ว ไม่สู้พวกเราเปิดการเจรจากับชนเผ่านอกด่าน คุยสักสองสามวัน หยุดสักสองสามวัน ทางหนึ่งจะได้รอข่าวของหลินซาน ส่วนอีกทางก็จะได้สืบท่าทีของชาวทูเจวี๋ย เดี๋ยวผ่อนคลายเดี๋ยวตึงเครียดให้ความหวังกับพวกมันเล็กน้อย จะได้ให้พวกมันไม่กล้าเปิดศึกโดยง่ายอีก ท่านจอมทัพเห็นเป็นเช่นไร?” 


 


 


“ดี ก็ทำตามนี้!” หลี่ไท่แค่นเสียงหนักๆ “แม้แต่ฝ่าบาทก็ทรงตัดสินพระทัยแล้ว หากหลินซานกลับมาไม่ได้ พวกเราก็ให้ชาวทูเจวี๋ยชดใช้หนี้เลือดด้วยเลือด!” 


 


 


… 


 


 


“เจ้าจะโกงหมากอีกแล้ว?! ไม่ได้!” เสียงตำหนิเจื้อยแจ้วดังขึ้นมา มืองามเรียวยาวข้างหนึ่งยืนออกไปทันที คว้าฝ่ามือมารซึ่งกำลังแอบเปลี่ยนเม็ดหมาก มองค้อนเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห 


 


 


“อ๊ะ…พี่สาวตำหนิข้าผิดไปแล้ว ข้าก็แค่เปลี่ยนขั้นตอนการเดินหมากที่เพิ่งลงไปเมื่อครู่เพื่อทำการทดลองก็เท่านั้นเอง” 


 


 


“นั่นยังไม่ใช่โกงหมากอีกหรือ?! ข้าจดให้เจ้าแล้ว นี่มันครั้งที่สิบแล้วนะ!” นางเซียนตีมือเขาด้วยความรู้สึกขบขัน 


 


 


“อย่างนั้นหรือ ครั้งที่สิบแล้ว? ข้าจำได้ว่าเพิ่งจะครั้งที่แปดชัดๆ นะ!” เขาหยิบหมากตัวนั้นกลับมาหน้าทะเล้น “ชีวิตคนเราไม่อาจหวนคืนก็เป็นเรื่องน่าเบื่อมากอยู่แล้ว หากแม้แต่บนกระดานหมากก็เป็นแบบนี้อีก อย่างนั้นมีชีวิตไปจะมีความหมายอะไร ให้ข้าโกงหมากอีกสักครั้งเถอะนะ พี่สาว?!” 


 


 


เจ้าคนนี้นี่นะ แม้แต่การโกงหมากก็ยังโกงอย่างสมเหตุสมผล สะทกสะท้อนใจมากมายเช่นนี้อีก นางเซียนหัวเราะพร้อมผลักกระดานหมากไปข้างหน้า “ไม่เล่นแล้วๆ หมากรุกต้าหัวนี้เจ้าเป็นคนสอนข้าชัดๆ แต่ทำไมกลับยังสู้ข้าไม่ได้!” 


 


 


โจรน้อยหัวเราะร่วนพร้อมจับมือนาง “นั่นก็เพราะพี่สาวนางเซียนฉลาด!” 


 


 


นางเซียนช่วยเขาสอดมุมผ้าห่มแล้วกระโดดลงจากเตียง ปรับไส้ของตะเกียงน้ำมันที่เป่งแสงหรุบหรู่ดวงนั้นเบาๆ ภายในห้องพลันสว่างไสวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นางมองออกไปด้านนอกด้วยความเอียงอายและยินดี ลานบ้านปรักหักพัง ประตูใหญ่ที่ขัดแน่น กำแพงดิน บ้านหลังคากระเบื้องสีดำ ภายในตรอกมีเสียงสุนัขเห่าหอน เสียงฝีเท้าคนที่หวนกลับบ้านยามค่ำคืน เสียงทารกร้องไห้ดังต่อเนื่องไม่หยุด เสียงหัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่ของสามีภรรยาบ้านหลังติดกัน ทุกสิ่งทุกอย่างต่างจริงแท้ถึงเพียงนี้ เมื่อมองเข้าไปในตัวบ้านอีกครา โต๊ะเก้าอี้ที่สร้างอย่างลวกๆ ชุดน้ำชาที่วางตั้งอยู่ แจกันกระเบื้องที่ปักดอกไม้ หมอนมังกรหงส์ ทุกเส้นด้ายทุกฝีเข็มบนร่างโจรน้อยล้วนเป็นนางที่ลงมือทำด้วยตนเอง เห็นอย่างชัดเจนแจ่มชัดถึงเพียงนี้ ทว่าในสายตานางกลับรู้สึกล่องลอยราวกับความฝัน 


 


 


เรื่องพวกนี้เป็นความจริงหรือ? นางลูบไล้ใบหน้าที่ร้อนลวก แอบมองโจรน้อยคราหนึ่ง ในความเขินอายแฝงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“ราตรีมิมาตามนัดหมาย เคาะหมากไส้ตะเกียงร่วงหล่น รสชาติของการเป็นผู้เร้นกายจากทางโลกมันช่างแตกต่างจริงๆ ด้วยนะ!” หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว ใช้สองมือหนุนศีรษะ ทอดสายตามองฝ้าเพดาน ส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย 


 


 


“เจ้าเป็นผู้เร้นกายจากทางโลกตัวปลอม เร้นไปเร้นมาก็ยังเร้นอยู่ในเมืองซิงชิ่ง” หนิงอวี่ซีจิ้มจมูกเขาคราหนึ่ง หัวเราะพลางอิงแอบอยู่ข้างกายเขา มองดูทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างเกิดจากหยาดเหงื่อของพวกเขา นางเซียนดวงตารื้นด้วยประกายน้ำตาบางๆ “โจรน้อย นี่คือบ้านของพวกเราจริงหรือ? ข้าไม่กล้าเชื่อเลย!” 


 


 


“ถ้ำอันหนาวเหน็บแม้จะซอมซ่อ แต่ก็ใช้หลบลมฝนได้ นี่คือบ้านของเรา อยากอยู่ที่นี่ไปทั้งชาติจริงๆ!” เขากอดนางเซียนอยู่ในอ้อมอก สูดดมกลิ่นหอมสะอาดผมเส้นผมนาง รู้สึกดื่มด่ำอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“อยากอยู่ที่นี่ไปทั้งชาติ?!” นางเซียนหนิงยิ้มแย้มพร้อมเอ่ยวาจา “เช่นนั้นวันนี้ตอนเที่ยงเป็นผู้ใดที่แอบเขียนจดหมายส่งทางบ้าน?…คุณหนูใหญ่ ข้าคิดถึงเจ้า! หนิงเอ๋อร์ วาดภาพหรือไม่? ที่รักเฉี่ยวเฉี่ยว คิดถึงข้าไหม? อวี้ซวงเอ๋ย เจ้าโตขึ้นอีกหรือไม่?…ฟังเจ้าพูดแล้วกลับรู้สึกเข็ดฟันอยู่บ้างนะ!” 


 


 


พูดชื่อสตรีตั้งมากมายขนาดนี้ภายในชั่วอึดใจเดียว หนิงอวี่ซีรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง อดจับมือเขาแน่นขึ้นอีกไม่ได้ 


 


 


โจรน้อยถอนหายใจแผ่วเบา “คิดถึงพวกนางอยู่บ้าง คราวนี้ข้าไปหลายเดือน ไร้ซึ่งข่าวคราว จดหมายที่พวกนางเขียนถึงข้าไม่รู้ว่าตั้งกองกี่ชั้นแล้ว หากข่าวที่ข้าตายในสนามรบแพร่ไปถึงหูพวกนาง นั่นเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะคิดเลย ที่เป็นห่วงมากที่สุดก็ยังเป็นชิงเสวียน เดือนหน้านางก็จะคลอดแล้ว พี่สาว ท่านว่าข้าจะไม่คิดถึงได้หรือ?!”  

 

 


ตอนที่ 612 - 2 เจรจา

 

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงชิงเสวียน หนิงอวี่ซีก็บังเกิดความรู้สึกสลับซับซ้อน ผ่านไปเนิ่นนานถึงลูบไล้เส้นผมเขาพร้อมกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปหาจุดพักทางการสักแห่งหนึ่ง จากนั้นก็รีบส่งจดหมายของเจ้ากลับไป เพื่อไม่ให้พวกนางคิดถึง! รสชาติแห่งความคิดถึงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทนไหว!” 


 


 


“อืม พี่สาวช่างดีเสียจริง” โจรน้อยซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล ซุกใบหน้าลงบนหน้าอกนาง ออกแรงดันอย่างเต็มที่ 


 


 


ลื่นจังเลย ใจเขาลอยล่อง เป่าลมหายใจเซียนใส่ส่วนนูนอันอ่อนนูนสองลูกนั้นเบาๆ อย่างไม่อาจอดทนไหว 


 


 


ใบหน้าของโจรน้อยราวกับอั้งโล่ที่กำลังตกกระทบลงบนหน้าอกตน ยังมีสองข้างที่ลื่นไหลไปมาไม่หยุดอีก นางเซียนหนิงหน้าแดงใจเต้นรัว รีบร้องออกมาพร้อมหยิกเอวเขาคราหนึ่ง กล่าวด้วยความเขินอายออกมาว่า “อา…อาการบาดเจ็บภายในเจ้ายังไม่หายดี ไม่อาจทำอะไรวู่วามได้ ห้ามคิดเรื่องเหลวไหลเด็ดขาด” 


 


 


“เรื่องเหลวไหลอะไร ข้าไม่เข้าใจ!” โจรน้อยเบิกตาโพลง กล่าวด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “พี่สาว ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่…ถึงข้าไม่อาจทำอะไรวู่วาม แต่ท่านทำตามใจชอบได้นี่นา!” 


 


 


รู้สันดานของเจ้าคนนี้ตั้งแต่แรก นางเซียนยิ้มพร้อมแกว่งเข็มเงินในมือ โจรน้อยรีบผงกศีรษะพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “อืม พี่สาวดูแลข้าทั้งวันทั้งคืน เห็นเหนื่อยเหลือแสน ข้าอ่านตำราค้นหาความหมายจองคำว่าเหลวไหลด้วยตัวเองก็แล้วกัน ไม่รบกวนให้พี่สาวต้องเล่าเองแล้ว” 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของเขา ดวงหน้าอันงดงามของหนิงอวี่ซีก็แดงสดใส “เจ้าคนโง่คนนี้ เหตุใดถึงเอาร่างกายตนเองมาล้อเล่น สิ่งที่ควรเป็นของเจ้าก็จะเป็นของเจ้า ยังจะหนีไปไหนได้อีก?!” 


 


 


คำพูดนี้ข้าชอบฟัง โจรน้อยนอนอยู่บนหน้าอกนางอย่างว่าง่าย ร่างกายไม่ขยับเปะปะวุ่นวายอีก…แต่มือเริ่มขยับเปะปะวุ่นวาย! 


 


 


ไม่ว่าง่ายก็ไม่ได้ ขยับรุนแรงไม่กี่ครั้งร่างกายก็เจ็บปวดราวกับจะแยกออกจากกัน! มีแค่มือที่เป็นอิสระ ปราศจากข้อติดขัดอันใด  


 


 


ตีก็ไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ แถมยังต้องดูแลเขาราวกับสมบัติล้ำค่าอีก แตะนิ้วเขาเพียงนิ้วเดียวตนเองก็เจ็บปวดไปจนถึงหัวใจ นางเซียนจนปัญญาเช่นกัน นางหน้าแดงพลางส่ายหน้า “เจ้านี่นะ ในเมื่อต้องการเป็นทหารหนีทัพ เช่นนั้นก็ทำให้มันหมดจดสักหน่อย กลับไปเมืองหลวงทันที ตอนนี้กลับดีเลย หนีไปหนีมา กลับหนีไม่พ้นเมืองซิงชิ่งแม้แต่ก้าวเดียว” 


 


 


“พี่สาว ท่านอย่าเอาแต่เปิดโปงข้าได้หรือไม่” หลินหว่านหรงพูดด้วยหน้าตาขมขื่น “ทำแบบนี้มันเจ็บมากเลยนะ!” (เป็นการเล่นคำภาษาจีน ซึ่งคำว่าเปิดโปงคือ 拆穿 ซึ่งหากแยกเป็น 拆 ปกติจะแปลว่าการทำลาสิ่งปลูกสร้าง แต่อีกความหมายจะหมายถึงการแยกของที่ประกบติดกันออก ส่วน 穿 มีหลายความหมาย ในที่นี้คือการแทงทะลุ) 


 


 


โจรน้อยต่ำช้า! นางเซียนอยู่กับเขามานาน แยกแยะความหมายในทุกประโยคของเขาได้ ดังนั้นจึงหยิกเอวเขาอย่างแรงคราหนึ่ง แค่นเสียงแล้วพูดว่า “นี่ข้ากำลังเตือนเจ้าอยู่! รู้หรือไม่ว่าเหตุใดหมากตาเมื่อครู่เจ้าถึงแพ้ข้า? ไม่ใช่วางหมากสู้ข้าไม่ได้ แต่เจ้าไม่มีสมาธิ ถึงได้วางแผนผิดตาแล้วตาเล่า!” 


 


 


เขาผงกศีรษะอย่างว่าง่าย ฟุบอยู่บนหน้าอกนางเซียนไม่ขยับแล้ว แม้แต่ฝ่ามือมารนั้นก็ไม่ลื่นไหลไปทั่วอีก ประกบนิ่ง ๆ ลงบนส่วนโค้งนูนอันอ่อนนุ่มบริเวณนั้นของนาง 


 


 


กลับแกล้งทำตัวน่าสงสารแล้ว! หนิงอวี่ซีสองแก้มแดงซ่าน อ่อนระทวยไปทั้งร่าง กล่าวด้วยความจนใจออกมาว่า “เจ้าอย่าเล่นพิเรนทร์เลย ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง วันนั้นในวังหลวงทูเจวี๋ย เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าจับตัวอวี้เจียได้ แต่เพราะเหตุใดกลับไม่จับตัวนางมา?!” 


 


 


“พี่สาว เหตุใดต้องถามเรื่องน่าเบื่อพวกนี้ด้วย พวกเรานอนหลับด้วยกันไม่ดีหรอกหรือ?!” โจรน้อยส่ายหน้าด้วยท่าทีเกียจคร้าน ถูไถบนหน้าอกนาง 


 


 


“เรื่องนอนหลับอีกประเดี๋ยวค่อยว่ากัน” นางเซียนหน้าร้อนลวก “เจ้าตอบคำถามข้ามาก่อน” 


 


 


โจรน้อยแหงนหน้าขึ้นมา สายตาจ้องเขม็ง ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ง่ายดายมาก จับตัวนาง พวกเราจะไม่ได้กลับมาตลอดกาล” 


 


 


“เพราะอะไร หรือว่าการจับตัวข่านใหญ่ข่านน้อยทูเจวี๋ยกลับมาพร้อมกันไม่ใช่เรื่องดี?!” นางเซียนถามด้วยความสงสัย 


 


 


โจรน้อยส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่น “ดังนั้นถึงบอกว่า พี่สาว ข้าอยากให้ท่านเป็นนางเซียน เรื่องวางแผนหลอกลวงกันไปมาพวกนี้มันไม่ค่อยเหมาะกับท่านเลย ท่านลองคิดดู อวี้เจียเหลือชีวิตแค่ไม่กี่เดือน ข้าจับตัวนาง บวกกับอ๋องขวาก็อยู่ในมือพวกเรา คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคนนั้นจะเป็นใคร?” 


 


 


“อ๋องซ้ายทูเจวี๋ย!” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นหากท่านเป็นมันท่านจะทำเช่นไร?” 


 


 


“ความหมายของเจ้าก็คือ…ฉวยโอกาสเข่นฆ่า กำจัดให้สิ้นซาก?!” นางเซียนตกใจยิ่งนัก “แบบนั้นพวกเราจะไม่ตายตกไปตามกันกับอวี้เจียหรอกหรือ?” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “ก็คือผลลัพธ์เช่นนี้ ผลักความผิดที่สังหารข่านใหญ่กับอ๋องขวามาให้ต้าหัวเราทั้งหมด โอกาสดีที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ใครจะพลาดได้? และเมื่อลดสิ่งผู้มัดเหล่านี้ไป ภายในทูเจวี๋ยก็จะยิ่งเป็นปึกแผ่น อย่างมากสองสามปีก็จะพลิกฟื้นกลับมา ถึงเวลาชายแดนของทั้งสองแคว้นก็ยังมีเพลิงสงครามไปทั่วอยู่ดี” 


 


 


“ส่วนบนทุ่งหญ้าผู้ที่รักใคร่ซาเอ่อร์มู่จากใจจริงก็มีแค่อวี้เจีย ขอเพียงมีนางอยู่ ปาเต๋อหลู่ถึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม พวกเราถึงผ่านทุ่งหญ้ามาอย่างราบรื่น มิหนำซ้ำซาเอ่อร์มู่ยังอยู่ในกำมือเราอีก หากทั้งสองแคว้นเจรจากันได้ดี ก็จะรับษาสันติภาพชายแดนได้อย่างน้อยยี่สิบปี” 


 


 


หนิงอวี่ซีกล่าวเบาๆ ออกมา “เช่นนั้นหากเจรจาไม่สำเร็จล่ะ?!” 


 


 


“เจรจาไม่สำเร็จ? นั่นก็ไม่เป็นไร” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “พวกเราจับตัวข่านน้อยกับถูสั่วจั่ว กลับมาอย่างราบรื่นแล้ว ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยเหลือเวลาชีวิตแค่สามสี่เดือน ถึงเวลาข่านใหญ่ข่านน้อยก็ต้องตาย ทูเจวี๋ยยังคงตกอยู่ในเงื้อมมือปาเต๋อหลู่ ที่ควรรบก็ยังต้องรบ สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือพวกเราไม่ได้เสียสละชีวิตที่ทุ่งหญ้า พวกเราได้กำไรแล้ว” 


 


 


ฟังการวิเคราะห์ของเขาถึงเข้าใจสิ่งที่แฝงอยู่ในนั้นขึ้นมาก นางเซียนถอนหายใจแผ่วเบา “เดินหนึ่งก้าวเห็นสิบก้าว! มิน่าเจ้าถึงรู้สึกเหนื่อย เจ้ากับอวี้เจียเดิมทีก็เป็นคนประเภทเดียวกัน” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ ข้ากับนางไม่ต่างกันเลย” โจรน้อยถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยล้า 


 


 


นางเซียนลูบผมเขาด้วยความปวดใจ “ได้ยินมาว่าการเจรจาระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ยซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอู่หยวนกับปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ เริ่มขึ้นแล้ว เจ้าจะไปดูหรือไม่…” 


 


 


“ฟี้ ฟี้” เสียงลมจมูกแผ่วเบาแว่วเข้ามา เมื่อก้มหน้ามอง เขาก็หลับลึกไปเสียแล้ว 


 


 


… 


 


 


ฝั่งหนึ่งคือทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ฝั่งหนึ่งคือทะเลทรายที่ฟุ้งกระจาย ทุ่งหญ้าตัดกับทะเลทราย ค่อยๆ แผ่ขยายทอดยาวไปจนถึงขอบฟ้าอันห่างไกล 


 


 


อู่หยวนกับปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ภายในรัศมีหลายร้อยลี้มีเสียงดาบดังเป็นระยะ ม้าศึกร้องระงม ต้าหัวและทูเจวี๋ยแต่ละฝ่ายต่างมีทหารชั้นยอดมารวมตัวกันสองแสนคน ม้าศึกของชนเผ่านอกด่านมีขนาดตัวสูงใหญ่ รูปร่างแข็งแรงกำยำ เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนพายุทะเลทรายที่ออกเคลื่อนที่ได้ทุกเมื่อ ส่วนต้าหัวนั้นกลับอาวุธเป็นระเบียบเรียบร้อย อยู่ในกฎระเบียบเข้มงวด ปืนใหญ่รุ่นใหม่จำนวนสี่สิบกระบอกจัดเรียงตามกระบวนทัพ เตรียมตัวยิงได้ทุกเมื่อ ทั้งสองฝ่ายต่างถอยออกไปห้าสิบลี้ ทว่าต่างฝ่ายต่างยังคงเผชิญหน้า จ้องมองกันอย่างดุร้าย 


 


 


ณ เขตชายแดนระหว่างสองแคว้น เหล่าช่างฝีมือชาวต้าหัวสร้างปะรำยาวซึ่งทำจากไม้ยาวหลายลี้ จากทะเลทรายของต้าหัวยาวจรดถึงทุ่งหญ้าของทูเจวี๋ย เมื่อทอดสายตามองอยู่ไกลๆ ก็เหมือนเส้นตรงบางๆ เส้นหนึ่ง 


 


 


อากาศเดือนเจ็ด ไอร้อนบีบคั้นผู้คน ภายในปะรำยาววางผลไม้และน้ำชาเต็มไปหมด กลิ่นหอมแผ่ซ่านไปทั่ว หากมองไม่เห็นเส้นแบ่งเขตแดนที่มองเห็นได้ชัดเจนบริเวณกึ่งกลางนั้น คงนึกว่าทั้งสองแคว้นกำลังเปิดงานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธไมตรี  


 


 


ตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย ทหารของสองแคว้นต้องถอยจากชายแดนแคว้นตนเองไปห้าสิบลี้ ผู้เข้าร่วมเจรจาจากทั้งสองฝ่ายมีฝ่ายละสิบคน ทหารองครักษ์อีกฝ่ายละยี่สิบคน ต่างห้ามพกพาอาวุธ ทั้งสองฝ่ายเมื่อนับรวมกันแล้วก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยคน 


 


 


เห็นชัดว่าชาวทูเจวี๋ยมีความจริงใจมากเป็นพิเศษ ลู่ตงจ้านปาเต๋อหลู่รวมถึงผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังพวกมันต่างสวมชุดชนเผ่านอกด่านหลวมกว้าง เพื่อแสดงว่าไม่ได้ซุกซ่อนอาวุธ 


 


 


เมื่อเห็นคณะชาวต้าหัวที่เดินมาจากสถานที่อันห่างไกล ลู่ตงจ้านเป็นฝ่ายนำรับหน้า ใช้มือหนึ่งแตะหน้าอกเป็นฝ่ายแสดงการคารวะก่อน “แม่ทัพเฒ่าหลี่ กุนซือสวี ลู่ตงจ้านขอคารวะ ผู้นี้คือปาเต๋อหลู่อ๋องซ้ายทูเจวี๋ยของเรา” 


 


 


ปาเต๋อหลู่ผู้นั้นไหล่หนาเอวใหญ่ ท่าทางดุร้าย เมื่อเห็นชาวต้าหัวก็ถลึงตาใส่พร้อมแค่นเสียงอย่างมีน้ำโหคราหนึ่ง ทว่าท่านจอมทัพกลับปราศจากความกริ่งเกรง หัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าก็คือแม่ทัพปาเต๋อหลู่? ศึกที่อู่หยวน หลายหมื่นที่ต้าหัวเรากำจัดไปนั่นเป็นลูกน้องของเจ้า?!” 


 


 


นี่ก็คือไม่อยากให้พูดเรื่องไหนก็ดันมาพูดเรื่องนั้น อ๋องซ้ายสีหน้าแปรเปลี่ยน ขณะกำลังจะอาละวาดกลับได้ยินเสียงแค่นลมหายใจของสตรีดังแว่วมาเบาๆ ปาเต๋อหลู่หน้าตาบึ้งตึง ไม่เอ่ยวาจา 


 


 


ทั้งสองฝ่ายเดินเข้าไปในปะรำ ลู่ตงจ้านเชิญให้แม่ทัพหลี่ไท่กับกุนซือสวีนั่งลง ส่วนมันกับปาเต๋อหลู่กลับยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้นั่งประจำที่ 


 


 


“ราชครูลู่ตงจ้าน แม่ทัพปาเต๋อหลู่ เหตใดถึงไม่นั่งประจำที่?!” คุณหนูสวีแย้มยิ้มพลางเอ่ยถาม 


 


 


ขุนนางสำคัญชาวทูเจวี๋ยทั้งสองส่ายหน้าเบาๆ ใช้มือเดียวแตะหน้าอกพร้อมกัน จากนั้นก็ค้อมกายแล้วจากไป 


 


 


ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังแบ่งออกเป็นสองฟาก บริเวณกึ่งกลางปรากฏเงาร่างงดงามร่างหนึ่ง นางยืนนิ่งอย่างเงียบงัน ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา สีขาวที่แต่งแต้มบริเวณจอนผมทั้งสองข้าง ประหนึ่งดอกนุ่นอันสูงส่งบริสุทธิ์มากที่สุดบนทุ่งหญ้า  

 

 


ตอนที่ 613 เปิดเผย

 

เรือนผมดำดั่งเมฆาเกล้าขึ้นสูง เปล่งประกายแวววาวราวกับหมึก เสียบปิ่นทอง ประหนึ่งฝังลงไปในเส้นผมอันดำขลับและเรียบลื่นนั้น นางสวมหมวกน้อยสีเหลืองทอง พู่ระย้าสองสายแกว่งไกวเบาๆ ข้างใบหู สูงสง่ามีราศี รูปโฉมและเรือนร่างงดงาม ชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านสีทองลากพื้นหญ้าเบาๆ ลอยแผ่สยายดังเมฆา เจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวัน 


 


 


ผิวพรรณนางขาวกระจ่างใสคล้ายบัวหิมะแห่งเทียนซาน ลำคอระหงดั่งหงส์ฟ้ารัดเชือกสีแดงเส้นบางๆ เส้นหนึ่ง เหรียญอีแปะต้าหัวเหรียญหนึ่งห้อยอยู่ตรงหน้าอกอันอวบอิ่มของนาง ปรางแก้มอันอ่อนโยนงดงามแผ่ประกายเรืองรองบางๆ ดั่งจมูกงามดั่งหยกเขาแกะสลัก มุมปากสีแดงชุ่มชื้นหยักยกเล็กน้อยราวกับจันทร์เสี้ยวบนขอบฟ้า 


 


 


สิ่งที่ทำให้คนตราตรึงใจมากที่สุดก็คือบริเวณโคนจอนผมของนางแต้มสีขาวราวหิมะไว้ทั้งสองข้าง บริสุทธิ์ผุดผ่อง งดงามไร้ที่ติดั่งดอกนุ่น ท่ามกลางความเงียบงันยิ่งเพิ่มความสูงส่งและงดงามเย็นชาอันน่าตื่นตะลึงขึ้นอีก ทำให้คนมิอาจลืมเลือนได้ตลอดกาล 


 


 


นางยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ลอยล่องเบาๆ ดั่งขนนก ดวงตาอันล้ำลึกทั้งสองข้างประหนึ่งน้ำแข็งเย็นหมื่นปี ไม่อาจสัมผัสความอบอุ่นใดๆ ได้ 


 


 


“เจ้า เจ้าคือ…” คุณหนูสวีลุกยืนขึ้นมาทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว มือสั่นเทาเล็กน้อย 


 


 


“ข้าชื่ออวี้เจีย และมีคนชอบเรียกข้าว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์” สตรีผู้นั้นหรุบตาลงพร้อมส่ายหน้าเบาๆ “เพียงแต่นี่ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า พวกเจ้าเรียกข้าว่าข่านดาบทองก็ได้!” 


 


 


สวีจื่อฉิงกัดฟันกรอด ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง น้ำตาไหลพรากดั่งสายฝน “เป็นเจ้าจริงด้วย เป็นเจ้าที่ฆ่าเขา!” 


 


 


ข่านใหญ่ดาบทองมองนางด้วยท่าทีเฉยชา เอ่ยเรียบๆ ออกมาว่า “คุณหนูสวีร้องไห้เพราะเรื่องนี้? หรือว่าข้าไปฆ่าคนรักของเจ้า?” 


 


 


สวีจื่อฉิงเช็ดน้ำตา รีบพูดออกมาว่า “เป็นคนรักของข้าแล้วจะทำไม ข้าชอบเขา! ก็ดีกว่าบางคนที่ต้องอยู่ในฝันร้ายทั้งชาติมากนัก!” 


 


 


“คุณหนูสวีมีความกล้ามาก” ข่านใหญ่เอ่ยเบาๆ “เพียงแต่เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าการมีชีวิตอยู่ในฝันร้ายจะไม่ใช่ความสุขอย่างหนึ่ง” 


 


 


อวี้เจียผู้นี้แม้จะเป็นชาวทูเจวี๋ย ทว่ากลับมีไหวพริบปฏิภาณเฉียบไว คารมคมคาย สิ่งนั้นเมื่ออยู่กับความสูงส่งและความงดงามเย็นชาที่มีมาแต่กำเนิดก็ยิ่งทำให้ผู้คนจดจำตราตรึง การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของนางทำให้กุนซือสวีนึกถึงคนที่สิ้นชีพใต้ธนูของนางผู้นั้นทันที อารมณ์พลันพลุ่งพล่าน ผ่านไปเนิ่นนานก็ยากจะสงบลงได้ 


 


 


หลี่ไท่รีบส่งสายตาให้สวีจื่อฉิง ยืนขึ้นพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ที่แท้ผู้นี้ก็คือข่านใหญ่ทูเจวี๋ยที่ยิงธนูสามดอกต่อเนื่อง ช่างสมเป็นยอดวีรสตรีเสียจริง แม้พวกเราจะมีฐานะเป็นศัตรูกัน แต่นายทหารใต้บังคับบัญชาของข้าก็ยังคงชื่นชมฝีมือการยิงธนูของข่านใหญ่อยู่ดี! ผู้ที่ยิงต่อเนื่องสามดอกได้ ใต้หล้านี้ไม่อาจหาคนที่สองได้อีก ข้าเองก็ยังละอายใจว่ามิอาจสู้ได้” 


 


 


คำชมเชยของหลี่ไท่ออกมาจากใจจริง หลายร้อยปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นต้าหัวหรือว่าทูเจวี๋ย ผู้ที่มีฝีมือในการยิงธนูอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้ก็มีแค่คนสองคนเท่านั้น เมื่อดูจากการที่อ๋องซ้ายทูเจวี๋ยซึ่งเดิมทีเป็นคนหยิ่งผยองแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอวี้เจียกลับยังไม่กล้าทำตัวเหิมเกริมตามอำเภอใจก็รู้แล้วว่าการยิงธนูต่อเนื่องสามดอกนี้สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวทูเจวี๋ย สตรีผู้อ่อนแอนางหนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้ก็เพียงพอให้ภาคภูมิใจแล้ว 


 


 


ถึงกระนั้นอวี้เจียกลับสีหน้าไร้ความรู้สึก ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แม่ทัพเฒ่าหลี่ไท่กล่าวชมเกินไปแล้ว ฝีมือการยิงธนูก็แค่ทักษะอย่างหนึ่งเท่านั้น เรียนรู้และฝึกฝนอย่างพากเพียรก็จะทำได้ มีเพียงความฉลาดและสติปัญญาเท่านั้นถึงเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากบนโลกนี้ เฉกเช่นทัพอัศจรรย์ที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าของพวกท่านนี้ คนที่กล้าหาญและชาญฉลาดเท่านั้นถึงจะมีความคิดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ตามความเห็นของอวี้เจีย ความคิดอันลึกซึ้งเช่นนี้จะต้องมาจากกุนซือต้าหัวแน่ใช่หรือไม่?!” 


 


 


สายตาดั่งน้ำแข็งของข่านใหญ่ไปอยู่บนใบหน้าคุณหนูสวี รอยยิ้มหยันภายในดวงตามองเห็นอย่างชัดเจน 


 


 


สวีจื่อฉิงใจดุดมีดกรีด กล่าวเสียงอ่อนโยนออกมาว่า “มีคนผู้หนึ่ง เขาฉลาดกว่าข้ามาก ความคิดนี้เป็นเขาที่เสนอออกมา เพียงแต่ต่อให้เขาฉลาดอีกสักเพียงใด ฝีมือยิงธนูอันยอดเยี่ยมของท่านข่าน สามดอกยิงต่อเนื่อง ช่างแม่นยำยิ่งนัก ไม่เบี่ยงเบนแม้แต่น้อย เยี่ยม! ข้าคิดว่าคุณหนูอวี้เจียจะต้องยินดีมากแน่นอน!” 


 


 


ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยขบกรามแน่น หน้าค่อยๆ ซีดเผือด คุณหนูสวีรู้สึกสะใจเล็กน้อย เมื่อลองสัมผัสดูอีกครั้งกลับเพิ่มความรวดร้าวขึ้นมา 


 


 


ภายในปะรำเงียบสงัด หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดอวี้เจียก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นั่งลงอย่างแช่มช้า ลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่ยืนอยู่ข้างหลังนางด้วยความเคารพ 


 


 


“ในเมื่อเป็นการเจรจา เช่นนั้นก็กล่าวกันอย่างเปิดอก” น้ำเสียงอวี้เจียค่อยๆ เย็นชา ดวงตากลับมากระจ่างใส “ราชครู เจ้าจงแจ้งเงื่อนไขทางฝั่งเราให้ให้จอมทัพหลี่กับกุนซือสวีทราบ ให้พวกเขานำไปเสนอฮ่องเต้ต้าหัวอีกที” 


 


 


ลู่ตงจ้านผงกศีรษะ เอ่ยเสียงดังออกมาว่า “ขอจอมทัพหลี่และกุนซือสวีโปรดกราบทูลฮ่องเต้ของท่านให้ทรงทราบ ขอเพียงแคว้นของท่านปล่อยตัวท่านข่านน้อยกับอ๋องขวาของพวกเราทันที ทูเจวี๋ยเราขอรับรองว่าอย่างน้อยภายในห้าปีจะหยุดพักการรบ ไม่รุกรานชายแดนต้าหัวอีกแม้แต่ก้าวเดียว ขณะเดียวกัน ข่านใหญ่ของเราทรงยินดีมอบวัวและแพะหนึ่งพันตัว สาวงามหนึ่งร้อยคน ม้าเหงื่อโลหิตสิบตัวแก่ต้าหัวเพื่อแสดงเจตนาอันดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของสองแว่นแคว้น” 


 


 


“กล่าววาจาใหญ่โตนัก!” คุณหนูสวีได้ยินแล้วก็ขนคิ้วตั้งชัน กล่าวเย้ยหยันเย็นชาออกมาว่า “หยุดพักการรบในระยะห้าปี ไม่รุกรานชายแดนของเราอีก? ฟังจากคำพูดของราชครูกลับเหมือนทูเจวี๋ยของพวกเจ้ารบชนะเยี่ยงนั้น ข่านใหญ่ ตอนนี้ผู้ใดขอร้องผู้ใด เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ? หากต้องการเสนอเงื่อนไข ยังไม่ถึงคราวชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้ากระมัง!” 


 


 


ข่านใหญ่ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เพียงเหล่มองลู่ตงจ้านคราหนึ่ง ราชครูทูเจวี๋ยจึงรีบพูดออกมาว่า “ข้าคิดว่ากุนซือสวีเข้าใจผิดแล้ว พวกเราชาวทูเจวี๋ยไม่เคยขอร้องผู้ใด ที่พวกเราเจราจากันตอนนี้มันก็แค่การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเท่านั้น!” 


 


 


อวี้เจียผู้นี้ไม่เพียงความต้องการจะไร้เหตุผล แม้แต่การพูดจาก็ไม่ยอมเอ่ยแม้แต่ประโยคเดียว! สวีจื่อฉิงโมโหจนหน้าซีด เบือนหน้าไปทันที คร้านที่จะมองนาง 


 


 


หลี่ไท่ก็เดือดดาลแล้วเช่นกัน “แลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมอะไรกัน? พักรบไม่กี่ปี วัวแพะพันตัวก็เอามาแลกข่านน้อยกับอ๋องขวาที่มีความสำคัญมากต่อทูเจวี๋ยได้แล้วหรือ? ลู่ตงจ้าน นี่คือการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมที่เจ้าว่าอย่างนั้นรึ?! ข้ากลับเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก” 


 


 


อวี้เจียหรี่ดวงตาทั้งสองลงเล็กน้อย ไม่เปล่งวาจา ลู่ตงจ้านพูดว่า “แม่ทัพหลี่ ท่านข่านดาบทองตรัสว่าอ๋องขวากับข่านน้อยเป็นชายชาตรีชาวทูเจวี๋ย เสียสละเพื่อบ้านเมืองเป็นเรื่องที่สมเหตุผล หากต้าหัวคิดจะเอาชีวิตของพวกเขามาข่มขู่ นั่นถือเป็นการแลกชีวิตจนจบสิ้นทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ขอเพียงพวกท่านแตะต้องนิ้วของท่านข่านน้อยแม้แต่นิ้วเดียว ทูเจวี๋ยเราก็จะตอบแทนเป็นร้อยเท่าด้วยเช่นกัน” 


 


 


“การแลกชีวิตจนจบสิ้นทั้งสองฝ่ายแล้วจะทำไม? ต้าหัวรายังต้องกลัวพวกเจ้าด้วยหรือ?!” คุณหนูสวีคิ้วตั้ง ชี้หน้าอวี้เจียแล้วพูดว่า “ข่านใหญ่ดาบทอง เจ้าไม่กล้าพูดกับพวกเราซึ่งๆ หน้าอย่างนั้นหรือ?!” 


 


 


อวี้เจียถอนหายใจแล้วลุกขึ้น เดินออกนอกปะรำไปย่างแช่มช้า ฝีเท้าแผ่วเบานุ่มนวล ถึงกระนั้นกลับแน่วแน่อย่างบอกไม่ถูก เมื่อเดินไปถึงทางออก จู่ๆ นางก็ยืนนิ่ง 


 


 


“คุณหนูสวี ขออภัยที่ข้ากล่าวตามตรง ทอดสายตาไปทั่วต้าหัว ผู้ที่มีคุณสมบัติคู่ควรกับข้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้น!” นางส่ายศีรษะเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนกระจ่างใสอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกำลังหวนรำลึกอะไรบางอย่าง แม้ว่ามันจะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว น้ำตาสองสายไหลรินอย่างเงียบงัน “เพียงแต่น่าเสียดาย…เขาตายไปแล้ว!” 


 


 


นางย่างก้าวเบา ๆ ออกไป จอนผมสีขาวปลิวไสวเบาๆ ท่ามกลางสายลมอ่อนบนทุ่งหญ้าราวกับปุยฝ้ายอันงดงาม…… 


 


 


…. 


 


 


“ฮัดชิ้ว!” เพิ่งเดินออกจากทางเข้าจุดพักของทางการก็จามอย่างแรง โจรน้อยเช็ดน้ำมูก เหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็หัวเราะร่าพร้อมพูดว่า “นี่ใครกำลังคิดถึงข้าอยู่นะ? ชิงเสวียนหรือว่าเซียนเอ๋อร์ หรือว่าทุกคนจะคิดถึงพร้อมกัน?!” 


 


 


หนิงอวี่ซีดึงกระชับชุดเขาให้แน่นขึ้นอีกนิด จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ “ให้เจ้าสวมเสื้อให้มากอีกนิด แต่เจ้าก็ดันไม่ฟังข้าอีก นี่เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเป็นหวัดขึ้นมาอีก นั่นจะทำเช่นไร?” 


 


 


เมืองซิงชิ่งในเดือนเจ็ดดวงตะวันร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง ทุกคนอยากจะแก้ผ้าเดินเหินให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่ดันมีแต่เขาที่ห่อหุ้มหนาเตอะเหมือนถุงทราย เมื่อไปเดินมาท่ามกลางฝูงชน ใครจะมองเขาเป็นครั้งที่สองบ้าง? 


 


 


โรคภัยมาดั่งภูผาถล่ม โลกภัยจรลีดั่งปั่นเส้นไหม ธนูของอวี้เจียนี้ช่างทรมานเขาแทบเป็นแทบตายเสียจริง กลางคืนเหงื่อออกท่วมตัว ส่วนกลางวันกลับหนาวสั่นไปทั้งร่าง หนึ่งร้อนหนึ่งหนาวนี้เขาทำใจไว้แล้ว หากไม่ใช่มีนางเซียนซึ่งมีฝีมือทางการแพทย์สูงส่งเช่นนี้อยู่ข้างกาย เขาจะทนไหวหรือเปล่าก็ยังพูดยากจริงๆ  


 


 


“จดหมายทางบ้านถึงเมืองหลวง ม้าที่เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวันกระมัง” เขาหอบหายใจพร้อมส่ายหน้าอย่างจนใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ “ตอนเขียนจดหมายเป็นช่วงหน้าร้อนที่ร้อนมากที่สุด พอถึงเมืองหลวงกลับเป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว นี่เขาเรียกว่าดาวเหนือเคลื่อนดวงดาราย้าย สุริยันจันทราผันผ่านดั่งกระสวยทอผ้า เขียนได้ไม่กี่ฉบับก็ใช้ชีวิตหมดไปชาติหนึ่งแล้ว” 


 


 


นางเซียนผงกศีรษะ เอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้าเป็นทหารหนีทัพ ไม่อยากจะสนใจเรื่องทางนี้อีก เช่นนั้นไม่สู้หนีให้มันถึงที่สุดสักหน่อย พวกเรากลับเมืองหลวงไปเลย พวกนางกำลังรอเจ้าอยู่ที่บ้านอยู่นะ!” 


 


 


ความคิดนี้วูบอยู่ในใจมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว กลับไปเมืองหลวง เฝ้าอยู่ข้างกายชิงเสวียน ดูนางคลอดลูก ไหนเลยจะไม่มีความสุขมากกว่าการอยู่ที่นี่? ต่อให้หลี่ไท่ลงโทษข้าสถานหนักเรื่องหนีทัพ ข้าก็ยอม 


 


 


“พี่สาว ท่านยินดีกลับไปกับข้าจริงหรือ?!” เขาจับมือนางเซียนหนิง มองดวงหน้าอันงามพิลาสของนางพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา 


 


 


หนิงอวี่ซีย่อมรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร ดังนั้นจึงอดหน้าร้อน ใจประหวั่นลนลานไม่ได้ นางรีบก้มหน้าแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับยอดเขาเชียนเจวี๋ย!” 


 


 


“เป็นไปไม่ได้น่า!” หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี “พี่สาว พวกเราก็เป็นแบบนี้แล้ว ท่านยังอยากจะกลับไปที่นั่นทำอะไรอีก?! ด้วยสภาพร่างกายของข้าตอนนี้ การปีนขึ้นยอดเขาไม่ใช่จุดแข็งของข้าเลยน้า” 


 


 


นางเซียนกล่าวระคนหัวเราะ “หากเจ้ากลับเมืองหลวงก็ต้องกลับบ้านก่อน เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย บนยอดเขาเชียนเจวี๋ยแห่งนั้นไม่มีที่ให้เจ้าอยู่!” 


 


 


“ไม่มีที่ให้ข้าอยู่?! เป็นไปไม่ได้น่า ข้ามีข้อแม้น้อยมากเลยนะ ทุกคืนกอดพี่สาวนอนก็ได้แล้วล่ะ…” 


 


 


หนิงอวี่ซีแย้มยิ้ม ส่ายหน้ายืนกราน โจรน้อยถอนหายใจอย่างหม่นหมอง ก้มหน้าลงไปอย่างเงียบงัน “พูดแบบนี้ พี่สาวนางเซียน สุดท้ายท่านก็ยังไปจากข้าอยู่ดีหรือ? เช่นนั้นก็ได้ ข้าไปพาดเชือกบนยอดเขาเชียนเจวี๋ยแล้วปีนไปก็ได้ ผ้าปูเตียง เสื้อผ้า รองเท้าถุงเท้ากางเกงใน เตรียมไปเองทั้งหมด!” 


 


 


นางเซียนหน้าแดงพลางมองค้อนเขา “เจ้าล้อเล่นอีกแล้วใช่หรือไม่ หากเจ้าปีนเชือกนั้นจริงจะไม่เอาชีวิตข้าแล้วหรือ?! หากข้าตามเจ้ากลับไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ นั่นไม่ใช่เอาชีวิตชิงเสวียนอีกหรือ?! นี่จะไม่วุ่นวายกันใหญ่หรือ” 


 


 


“จริงด้วย” เขาปรบมืออย่างแรงทันที “ทำไมข้าถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ! รบก็รบกันพอสมควรแล้ว คราวนี้พอกลับไป รอให้ชิงเสวียนคลอดลูกแล้ว ข้าจะคุยกับนางดีๆ พวกเรามักจะแอบลักลอบพบกันเสมอ แม้จะเร้าใจมาก แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้อยู่ดีนะ!” 


 


 


“ใครแอบลักลอบพบกับเจ้า?!” นางเซียนส่งเสียงเหอะ ทันใดนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาออกมา “การบำเพ็ญในชีวิตนี้ของข้าถือว่าถูกทำลายด้วยมือเจ้าแล้ว หากเจ้ามีความกล้าที่จะบอกชิงเสวียนให้แจ่มแจ้ง เช่นนั้นก็ให้มาหาข้า หากเจ้าทำให้นางหงุดหงิดใจ ข้าก็ไม่มีหน้าจะพบนาง เจ้าเองก็ไม่ต้องหาข้าที่ยอดเขาเชียนเจวี๋ยตลอดกาล” 


 


 


“เข้าใจๆ” เรื่องสตรีเขาขวัญกล้าเทียมฟ้า เขาจับมือพี่สาวนางเซียน ตบหน้าอกตนเสียงดังปักๆ โดยไม่ต้องคิด “พี่สาววางใจ ทุกอย่างให้ข้าจัดการ! เช่นนั้นก็เอาตามนี้ คืนนี้พวกเราเก็บสัมภาระ พรุ่งนี้เช้าตรู่เดินทางกลับเมืองหลวง” 


 


 


ช่วงเวลานี้ช่างสมกับคำว่าใจที่อยากกลับบ้านดั่งลูกธนูที่หลุดออกจากแล่งเสียจริง ทูเจวี๋ยอะไร อวี้เจียอะไร ไปตายให้หมดไป ข้าไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น 


 


 


คุณหนูใหญ่ เซียนเอ๋อร์ เฉี่ยวเฉี่ยว ชิงเสวียน ข้ากลับมาแล้ว เขาน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื่นเต้นในบัดดล จับมือน้อยของนางเซียนหันหน้าแล้วเดินไป เพิ่งจะหมุนกายก็รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมสะอาดพัดผ่านใบหน้า ร่างกายกระแทกเบาๆ คล้ายชนกับผ้าแพรไหมอันอ่อนนุ่มกลุ่มหนึ่ง ความรู้สึกอ่อนโยนและอ่อนนุ่มนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นเคย 


 


 


“ใครเอาดอกฝ้ายมาชนข้า…” เขาเงยหน้าด้วยความเดือดดาล ทว่ากลับต้องร้องอ๊ะออกมาคราหนึ่ง อ้าปากค้างแน่นิ่งไป 


 


 


เส้นผมที่แผ่สยายยุ่งเหยิง ดวงหน้างดงามซูบผอม เรือนร่างอวบอิ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง นางจ้องมองเขา น้ำตาไหลพรากดั่งห่าฝนเดือนหก บนถนนยาวที่อยู่ข้างหลังพลันมีอาชานับหมื่นวิ่งห้อตะบึง ปฐพีสั่นสะเทือนภายในชั่วพริบตา “ไป! ไป!” ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้ามา เหยียบย่ำถนนสายยาวจนพังทลาย 


 


 


“คุณ คุณหนูสวี เจ้า เจ้ามาได้อย่างไร…” 


 


 


“ข้าจะอัดเจ้าคนใจไม้ไส้ระกำเช่นเจ้า!” สวีจื่อฉิงตวาดอย่างรุนแรงคราหนึ่ง น้ำตาอันไร้จุดสิ้นสุดกลายสภาพเป็นสายฝนโปรยปรายเต็มท้องฟ้า กำปั้นดั่งสายฟ้าแลบ พุ่งโจมตีหน้าอกเขาราวกับโผบิน 


 


 


“อ๊ะ อย่าทุบ อย่าทุบข้าไม่ได้เจตนาจริงๆ ข้าเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บนะ” เขาตกใจจนหันกายแล้ววิ่งหนี สวีจื่อฉิงยืนนิ่งเหม่อมองเขา ทันใดนั้นก็ส่งเสียงโฮออกมา ปิดใบหน้าแล้วร้องไห้อย่างรุนแรง ชักเท้าแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


นี่มันอะไรกัน? ข้าเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจริงๆ นะ! เขาส่ายหน้า ทั้งยินดีทั้งรวดร้าวใจ 


 


 


“ฮี้!” เสียงร้องของม้าที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง เห็นว่าบนถนนที่ทอดยาวนั้นเต็มไปด้วยหัวคนและหัวม้า แน่นขนัดไปหมด มีถึงหลายหมื่นได้ 


 


 


“ท่านแม่ทัพ!” หูปู้กุย ตู้ซิวหยวน เกาฉิว สวี่เจิ้น หลี่อู่หลิง นายทหารจำนวนหลายหมื่นต่างประคองดาบพร้อมเพรียงกัน เสียงดังพรึบคราหนึ่ง ทุกคนต่างคุกเข่าลงไม่ยอมลุกขึ้น น้ำตาไหลพรากราวกับน้ำทะลักเขื่อน ไหลบ่าอย่างบ้าคลั่งไม่ยอมหยุด  

 

 


ตอนที่ 614 สั่งสอน

 

“ลุกขึ้นเถอะ รีบลุกขึ้นเร็ว” เขายื่นมือทั้งสองข้างไปประคองพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายตรงหน้าเหล่านี้ น้ำตาคลอเบ้ามาตั้งแต่แรก “ข้าก็แค่ขอลาพักร้อนสักหลายวัน ไปเที่ยวซ่องดื่มน้ำชาก็เท่านั้นเอง แบบนี้ก็ถูกพวกท่านตามจับตัวด้วยหรือ?!” 


 


 


พวกของหูปู้กุย เกาฉิว ตู้ซิวหยวนต่างสบตากัน ทันใดนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพร้อมกรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ที่ยกขาก็ยกขาไป ที่กอดศีรษะศีรษะไป ยกตัวเขาขึ้นจากนั้นก็พยายามออกแรงโยนขึ้นกลางอากาศ “เฮ! เฮ!” ตาลายเหลือเกิน! เขาตกใจจนรีบร้องเสียงดังออกมา “ข้าเป็นโรคกลัวความสูงนะ! นี่ เหล่าเกาอย่ามาลูบคลำข้า! มารดามัน ใครถอดกางเกงข้า?!”  


 


 


ใครยังจะไปสนใจเขาอีก! นายทหารจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้ามาแล้วรับร่างที่ร่วงลงมาของเขา จากนั้นก็โยนขึ้นสูงอีกครา เสียงหัวเราะและน้ำตาแห่งความยินดีต่างแผ่กระจายไปทั่ว 


 


 


ข้าเป็นทหารหนีทัพที่ล้มเหลวแล้วจริงๆ! มองดูใบหน้าที่หลังน้ำตาด้วยความตื่นเต้นแต่ละใบหน้าตรงหน้า เขาก็ทอดถอนใจ ส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญา ทั้งอยากหัวเราะแล้วอยากร้องไห้ “ข้าก็เคยพูดแล้วนี่นา คนดีถึงจะอายุสั้น ส่วนคนเลวจะต้องอยู่ถึงพันปี” เกาฉิววางร่างเขาลงพร้อมเช็ดน้ำตา หัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “น้องหลิน ยังมีอายุขัยอีกตั้งหลายร้อยปี ไหนเลยจะตายง่ายดายเยี่ยงนั้นได้?!”  


 


 


“ใช่ๆ” หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ “เหล่าเกา ไม่ขอปิดบังเจ้า เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเจ้าพูดจาเข้าหูขนาดนี้!” 


 


 


ตู้ซิวหยวนเฝ้ารักษาการณ์อยู่แนวหลัง ไม่เคยเข้าทุ่งหญ้าไปพร้อมกับพวกเขา เขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น เมื่อเห็นใบหน้าที่ขาวซีดของหลินหว่านหรงก็อดกล่าวด้วยความห่วงใยออกมาไม่ได้ “ท่านแม่ทัพ อาการบาดเจ็บของท่าน…” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ตู้ ทุกคืนท่านหาสาวน้อยมาให้ข้าสักหลายคน มาทุบขานวดหลัง ทำห้องอบไอน้ำอาบซาวน่า เชื่อว่าไม่เกิน แปดปีสิบปี ข้าก็หายเป็นปกติ”  


 


 


“ข้าก็คิดนะขอรับ เพียงแต่กลัวว่าบรรดาฮูหยินที่บ้านของท่านจะไม่ตกลง!” ตู้ซิวหยวนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง  


 


 


เมื่อแผนทหารหนีทัพล้มเหลวไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปทันก่อนชิงเสวียนคลอดลูกหรือไม่ เขาทั้งรู้สึกเสียดาย และทั้งรู้สึกยินดี ได้พบกับเหล่าพี่น้องใต้บังคับบัญชาที่พ้นคราเคราะห์รอดกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นหากไม่ใช่เจ้าตัวก็คงยากจะสัมผัสได้   


 


 


ไพร่พลจำนวนหลายหมื่นคนห้อมล้อมเขา ห้อตะบึงไปยังค่ายใหญ่ด้วยความคึกคัก เล่าประสบการณ์หลังจากแยกจากกันมาตลอดทาง ถือว่าเดินวนเวียนอยู่หน้าปากประตูผีมาหลายรอบแล้วจริงๆ ทุกคนต่างรู้สึกทอดถอนใจยิ่งนัก  


 


 


ยังไม่ทันเข้ากระโจมบัญชาการ หลี่ไท่ซึ่งผมเผ้าหงอกขาวก็ออกมาต้อนรับแล้ว หลินหว่านหรงรีบเดินไปข้างหน้าสองก้าว หัวเราะร่วนพลางประสานมือคารวะ “คารวะท่านจอมทัพหลี่! ไม่ได้พบกันนาน สุขภาพท่านจอมทัพแข็งแรง ย่างก้าวมั่นคง ดูดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก ช่างถือเป็นบุญของพวกเราเสียจริงขอรับ!” 


 


 


“พูดจาน่าฟังไม่กี่ประโยคก็คิดว่าข้าจะไม่จัดการทหารหนีทัพเช่นเจ้าแล้วหรือ?” หลี่ไท่ตีหน้าขรึมพร้อมส่งเสียงฮึคราหนึ่ง “หนีออกจากสนามรบโดยพละการ รั้งอยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับ เด็กๆ ลากตัวหลินซานออกไปแล้วโบยสองร้อยไม้!”  


 


 


“ท่านจอมทัพ!” นายทหารหลายหมื่นนายตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน   


 


 


หลินหว่านหรงไอแห้งๆ หลายครั้ง กล่าวด้วยความอับจนปัญญาออกมาว่า “ท่านจอมทัพอยากจะโบยก็โบยไปเถอะขอรับ อย่างไรเสียข้าก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว จะเอาให้ใครก็เหมือนกัน!”  


 


 


ขู่เจ้าเด็กนี่ไม่ได้จริงๆ ด้วย! หลี่ไท่มองประเมินร่างกายเขาหลายครั้ง กล่าวโดยไม่อาจสะกดกลั้นหัวเราะได้ “เดิมทีก็อยากจะพออยู่หรอก ถือว่าเจ้ายังมีผลงานอยู่บ้าง ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง! หนึ่งผลงานหนึ่งความผิดนี้ก็ถือว่าไม่มีรางวัลแล้วไม่ลงโทษก็แล้วกัน…เจ้าจะถลึงตามองทำไม ไม่ยอมรับหรือ?!  


 


 


“ยอมขอรับ ยอมขอรับ!”หลินหว่านหรงมองค้อน ผงกศีรษะอย่างอารมณ์เสีย  


 


 


จอมทัพยิ้มแย้มพร้อมเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่ หลินหว่านหรงฮึดฮัดตามอยู่ข้างหลังเขา หงุดหงิดไม่พูดไม่จา 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของเขา ครั้นเห็นว่ารอบด้านปลอดคน หลี่ไท่จึงกดเสียงต่ำ กล่าวละคนหัวเราะออกมาว่า “เจ้าก็อย่าบ่นเลย! ไม่ใช่ข้าไม่ตบรางวัลเจ้า จะโทษก็ต้องโทษที่เจ้ามีผลงานยิ่งใหญ่มากเกินไป ต่อให้ข้าอยากตบรางวัล แต่ก็อยู่เหนือความสามารถนะ”  


 


 


ไม่อยากตบรางวัลได้จริงๆ หากเอ่ยถึงตำแหน่งทางราชการ เขาเป็นแม่ทัพขวาแล้ว หากให้สูงขึ้นไปอีก ก็ต้องเป็นผู้นำสามทัพแทนหลี่ไท่ หากเอ่ยถึงชื่อเสียงก็ยิ่งเหมือนดวงตะวันยามเที่ยง ทัพเดี่ยวล้วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า ใช้กำลังจับกุมตัวข่านทูเจวี๋ย นี่เป็นเรื่องที่หลายร้อยปีมานี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถึงกระนั้นแต่ละเรื่องกลับเป็นจริงได้เพราะเขา เขาคือวีรบุรุษภายในใจชาวต้าหัวทุกคน เป็นบุคคลที่ใกล้เคียงเทพ 


 


 


“ข้าตบรางวัลเจ้าไม่ได้ แต่ว่านะ มีคนผู้หนึ่งที่ตบรางวัลเจ้าได้” จอมทัพส่งม้วนผ้าแพรสีทองให้เขาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ราชโองการของฝ่าบาท ดูเอาก็แล้วกัน!” 


 


 


บนราชโองการนั้นเรียบง่าย มีอักษรแค่สี่ตัวเท่านั้น หลินหว่านหรงพูดด้วยความตกใจ “หลินซานตัดสิน…นี่มันหมายความว่าอะไร?!”  


 


 


“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?!” หลี่ไท่ยิ้ม มองเขาแฝงความนัยล้ำลึก “พระประสงค์ของฝ่าบาทก็คือการเจรจากับชาวทูเจวี๋ยให้เจ้ามีสิทธิ์ตัดสินใจทั้งหมด!” 


 


 


เจรจากับชาวทูเจวี๋ย? ข้าเป็นคนตัดสินใจ?! เขาบังเกิดความรู้สึกอันรางเรือนบางอย่างขึ้นมาภายในใจ รีบส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า” 


 


 


“ไม่ได้ๆ ข้าไม่ถนัดการเจรจา ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้ยังได้รับบาดเจ็บอีก จิตใจและร่างกายเหนื่อยล้า การเจรจาครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทำได้ ท่านจอมทัพ ท่านรีบเขียนฎีกาถวายฝ่าบาท ขอพระองค์คืนรับสั่งเถอะ!”  


 


 


หลี่ไท่ส่ายหน้าอย่างแช่มช้า “เรื่องนี้ทำให้ได้ พระประสงค์ของฝ่าบาทชัดเจนมากแล้ว นับแต่บัดนี้ข้ากับจื่อเอ๋อร์ต้องเชื่อฟังเจ้า ไม่เพียงแค่การเจรจา ไพร่พลที่อยู่ในมือข้าเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องส่งมอบให้เจ้าเช่นกัน!”  


 


 


“หา!” หลินหว่านหรงตื่นตระหนกยิ่งนัก 


 


 


“มีอะไรให้ตกใจกันเล่า” จอมทัพยิ้มแย้มพร้อมมองเขา “ที่ข้าพาเจ้ามาก็เพื่อวันนี้! หลินซาน ข้าแก่แล้ว ได้ส่งมอบทหารเหล่านี้ให้เจ้าข้ารู้สึกวางใจมาก อาศัยความฉลาดและสติปัญญาของเจ้า อาศัยสถานะและบารมีของเจ้า ต่อให้พวกเขาไม่ถึงขั้นไร้เทียมทานแต่ก็ไม่มีวันเสียเปรียบแน่นอน!”  


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางโบกมืออย่างต่อเนื่อง “ท่านจอมทัพ ท่านอย่าล้อเล่นเลย นอกจากออกความคิดแผลงๆ บางอย่างแล้ว ท่านเห็นว่าข้ามีคุณสมบัติเป็นจอมทัพหรือขอรับ?”  


 


 


หลี่ไท่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพร้อมส่ายหน้า “หลินซานเอ๋ยหลินซาน เหตุใดเจ้าฉลาดเฉลียวมาทั้งชาติแต่กลับเลอะเลือนไปชั่วขณะได้นะ?!” 


 


 


ข้าเลอะเลือนอย่างไร? เขามองจอมทัพด้วยความงุนงง  


 


 


“จุดเด่นอันยิ่งใหญ่มากที่สุดของเจ้าคนนี้ก็คือความฉลาด มีฝีมือ มองคนออก ทำให้คนติดตามเจ้าอย่างศิโรราบ ข้ามอบทหารเหล่านี้ให้เจ้า เจ้าควบคุมนายทหารนับหมื่นนับแสนอยู่ในกำมือ แต่กลับไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นจอมทัพด้วยตัวเอง ขอเพียงเจ้ารู้จักใช้คนอย่างชาญฉลาด เลือกคนดีมีความสามารถที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีและรักษาหน้าที่มาปกครองทหารเหล่านี้ แล้วมันจะไปต่างอะไรกับการที่เจ้าคุมกำลังทหารด้วยตนเองอีก? ก็เหมือนที่ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อข้า…” หลี่ไท่ผงกศีรษะเบาๆ “นี่คือหลักการของผู้ที่อยู่เบื้องบน” 


 


 


คำพูดของหลี่ไท่นี้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขากับสวีเว่ยมีฐานะเป็นแขนซ้ายแขนขวาของต้าหัว น้ำหนักของคำพูดนี้ไม่บอกก็รู้ได้  


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา “เอ่อ ข้าก็ไม่เคยคิดมากมายขนาดนั้น วันหลังค่อยว่ากันก็แล้วกัน ท่านแม่ทัพเฒ่า ท่านยังแข็งแรงอยู่เลยนะขอรับ”  


 


 


เมื่อเห็นเขาบ่ายเบี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า หลี่ไท่ก็อับจนปัญญาเช่นกัน ดังนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “เช่นนั้นเรื่องการเจรจากับชนเผ่านอกด่านล่ะ? ฝ่าบาทตรัสอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องนี้มีแค่เจ้าที่ตัดสิน ผู้อื่นไม่อาจตัดสินใจได้” 


 


 


การเจรจาถือเป็นเรื่องที่ทำลายสมองมากเรื่องหนึ่งจริงๆ เขาถอนหายใจอย่างขมขื่นพร้อมส่ายหน้า 


 


 


แม่ทัพเฒ่าหลี่มองเขา กดเสียงต่ำ กล่าวอย่างมีเลศนัย “…ขอบอกข่าวเจ้าอีกอย่างหนึ่ง การเจรจาครั้งนี้ ชาวทูเจวี๋ยที่มานั้นคือข่านใหญ่ดาบทองผู้นั้น! หรือว่าเจ้าไม่อยากลองไปพบดู?!”  


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มา?! 


 


 


ใจเขารู้สึกขื่นขม ใช้มือหนึ่งแตะหน้าอกโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดรุนแรงยังไม่เลือนหาย ธนูดอกนั้นผูกความรักและบุญคุณความแค้นเอาไว้หมดเลยหรือ?! 


 


 


ความรู้สึกสารพัดสารพันเอ่อท้นขึ้นมาในจิตใจ เขารีบประสานมือคารวะ “ท่านแม่ทัพเฒ่า การเจรจาไม่ใช่ความถนัดของข้า มิหนำซ้ำข้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ช่วงนี้ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ขอฝ่าบาททรงเลือกผู้อื่นเถอะขอรับ ขอลา!”  


 


 


“หลินซาน หลินซาน…” หลี่ไท่เดิมทีคิดจะกระตุ้นความรู้สึกอยากเจรจาของเขาขึ้นมา ไหนเลยจะรู้ว่ากลับได้ผลตรงกันข้าม เมื่อได้ยินชื่อของอวี้เจีย เจ้าหนุ่มนี่กลับหันหัวแล้วจากไป เพียงชั่วพริบตาก็ออกไปนอกกระโจมแล้ว 


 


 


“ท่านแมทัพ เป็นอย่างไรบ้าง ท่านจอมทัพพูดอะไรกับท่านหรือขอรับ?” พวกของหูปู้กุย เกาฉิว ตู้ซิวหยวนกำลังรอเขาอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นเขาออกมาจึงรีบเข้าไปหา 


 


 


ยังจะพูดอะไรได้? เขาส่ายหน้ายิ้มขื่น ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยถามออกมา “พี่หู ชนเผ่านอกด่านพวกนั้นขังอยู่ที่ใด?!”  


 


 


“อยู่ในค่ายใหญ่นี้ล่ะขอรับ ท่านแม่ทัพ ท่านอยากจะไปดูพวกเขาหรือไม่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ พวกหูปู้กุยสามคนจึงรีบนำทางอยู่ข้างหน้า ผู้สูงศักดิ์และราชนิกูลทูเจวี๋ยที่จับตัวได้ในครั้งนี้มีทั้งหมดยี่สิบกว่าคน เมื่อหักผู้ที่ถูกสังหารใต้เมืองเค่อจือเอ่อร์ไป ที่เหลืออยู่ก็มีไม่ถึงสิบคน ในนั้นยังรวมถึงข่านน้อย ถูสั่วจั่ว และเจ้าคังหนิงสามคนอีกด้วย 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดถูกมัดแขนขา แยกขังอยู่ในห้องศิลาลายห้อง มีทหารเฝ้าอยู่ ป้องกันอย่างหนาแน่น ถูสั่วจั่วถูกขังเดี่ยวอยู่ในห้องหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารกครึ้มเต็มใบหน้า ขาข้างที่หักห้อยอยู่กับพื้น ปราศจากท่าทางหล่อเหลาสูงสง่าในกาลก่อน เมื่อได้ยินเสียงมันก็เงยหน้าขึ้นมาท่ามกลางความมืดพร้อมจ้องมองอยู่นาน ทันใดนั้นก็ขู่คำรามตวาดเสียงดังลั่นออกมา “เจ้า เจ้าคือหลินซาน”  


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “ไม่ผิด ข้าคือหลินซาน! ยากนักที่ท่านอ๋องขวาจะจำข้าได้ ไม่เสียทีที่เราได้สนิทสนมกันในงานแข่งขันชิงแพะรอบหนึ่ง!”  


 


 


ความคิดแค้นชิงชังทั้งเก่าและใหม่ขึ้นมาในจิตใจพร้อมกัน ถูสั่วจั่วลากขาข้างที่หักบุกเข้ามาราวกับเสียสติ จับซี่ลูกกรงเหล็กที่มีความหนาเท่ากับข้อมือของเด็กทารกพร้อมเปล่งเสียงขู่คำราม “เจ้าชาวต้าหัวผู้ต่ำช้าคนนี้ อวี้เจียเป็นของของข้า นางเป็นของข้า ข้าต้องการสู้ตัดสินกับเจ้า!” 


 


 


ถ้าสู้ตัดสินกันแล้วแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ เช่นนั้นเรื่องราวบนโลกใบนี้ก็ง่ายดายลงไปมากอย่างไม่ต้องสงสัย หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมาคราหนึ่งพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา “หลินซาน เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?!” เสียงเด็กน้อยแว่วเข้ามา ข่านน้อยทูเจวี๋ยที่อยู่ทางนั้นเบิกตาโพลงมองเขาด้วยความเดือดดาล แม้ซาเอ่อร์มู่จะอายุยังน้อย ถึงกระนั้นก็เป็นนายแห่งทุ่งหญ้าในอนาคต เมื่อในอาภรณ์อันยุ่งเหยิง ก็ไม่เห็นความหดหู่ท้อถอยมากเท่าใดนัก สิ่งนี้เกิดจากการสั่งสอนที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์มอบให้เขา  


 


 


หลินหว่านหรงเข้าไปใกล้ ผงกศีรษะแล้วพูดว่า “ใช่ ข้ายังไม่ตาย!” 


 


 


“เจ้าทำร้ายเสด็จพี่ของข้า เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ไปตายอีก?!” ซาเอ่อร์มู่ตวาดด้วยน้ำเสียงมีโทสะ ยื่นมือและเท้าออกมา ออกแรงพยายามจับใบหน้าเขา 


 


 


ขณะที่หูปู้กุยกำลังจะเข้าไปขวางอยู่เบื้องหน้า หลินหว่านหรงกลับส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย “ซาเอ่อร์มู่ เจ้าสาปแช่งให้ข้าไปตายได้ แต่ว่าข้าไม่ได้ทำร้ายพี่สาวเจ้า” 


 


 


“เจ้าโกหก!” ซาเอ่อร์มู่กล่าวอย่างมีน้ำโหโดยไม่ไว้ไมตรี “เสด็จพี่ของข้าชอบเจ้ามากขนาดนั้น แต่เจ้ากลับแกล้งเป็นใบ้มาหลอกนาง…” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องเดินทางรอนแรมไปที่เค่อจือเอ่อร์เพื่อแกล้งทำตัวเป็นคนใบ้?” หลินหว่านหรงตัดบทเขา เอ่ยอย่างเย็นชา 


 


 


“เพราะต้าหัวของพวกเจ้ากับทูเจวี๋ยของเรากำลังรบกันอยู่…” 


 


 


“แล้วเหตุใดต้าหัวกับทูเจวี๋ยถึงต้องรบกัน?!” หลินหว่านหรงหน้าบึ้ง “เป็นพวกเราชาวต้าหัวรังแกพวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยอย่างนั้นหรือ? เป็นพวกเราชาวต้าหัวแย่งของของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?!” 


 


 


“เพราะ เพราะ…” ข่านน้อยอ้ำอึ้ง พูดไม่ออก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กอายุห้าหกขวบคนหนึ่งเท่านั้น แนวความคิดเรื่องถูกและผิดหลายอย่างยังไม่มี จำเป็นต้องให้ผู้อื่นกรอกข้อมูลให้เขา   


 


 


“ซาเอ่อร์มู่ เจ้าเป็นห่วงและเอาใจใส่พี่สาวเจ้า ข้าชื่นชมมาก ข้ารู้เช่นกันว่าเจ้าไม่อยากให้นางถูกทำร้าย” หลินหว่านหรงกล่าวอย่างเย็นชา “เพียงแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยบุกรุกต้าหัว เข่นฆ่าพี่น้องของข้าไปมากเท่าไหร่แล้ว?! เจ้าไม่อยากให้พี่สาวเจ้าถูกทำร้าย แต่เพราะเหตุใดถึงต้องการให้พี่น้องของผู้อื่นถูกทำร้าย?!”  


 


 


“ข่านน้อย อย่าไปฟังมัน มันกำลังหลอกลวงพระองค์ เป็นมันที่ทำร้ายเสด็จพี่ของพระองค์!” ถูสั่วจั่วพลันพูดเสียงดังด้วยภาษาทูเจวี๋ย เหล่าหูแปลกลับมา หลินหว่านหรงเดือดดาลอย่างยิ่ง “ตบปากเจ้าสุนัขตัวนี้!” 


 


 


เหล่าเกาพุ่งเข้าไปตบปากอย่างหนักหน่วงดังเพียะๆ หลายครั้ง ถูสั่วจั่วล้มหนักๆ ลงกับพื้น ฟันและโลหิตปลิวกระเด็น  


 


 


ข่านน้อยเงยหน้าขึ้นมาอย่างดื้อดึง “เรื่องเหล่านี้ที่เจ้าพูด เสด็จพี่ของข้าไม่เคยบอกข้ามาก่อน ข้าไม่เชื่อ!” 


 


 


ต้นตอของโลกก็ยังอยู่ที่ตัวของนังหนูอวี้เจียคนนี้อยู่ดีล่ะนะ! หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ซาเอ่อร์มู่ ตัวเจ้าก็มีตา แล้วเห็นอะไรถึงไม่ไปดูด้วยตัวเอง? จากอู่หยวน เฮ่อหลานซาน จนมาถึงซิงชิ่ง ที่ใดบ้างไม่มีร่องรอยของไฟสงคราม? ที่ใดบ้างไม่มีโครงกระดูกของสหายร่วมอุทรชาวต้าหัวของข้า? หรือว่านี่จะเป็นเรื่องโกหก? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าทำหรอกหรือ?” 


 


 


ข่านน้อยคิดแล้วคิดอีก คิดจะโต้เถียง ถึงกระนั้นกลับพูดไม่ออก ผ่านไปเนิ่นนานถึงแค่นเสียงออกจมูก พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเสด็จพี่ถึงไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับข้ามาก่อนเลย?” 


 


 


หลินหว่านหรงมีแผนอยู่ในใจ นี่ก็เหมือนกับการเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ใครเขียนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขียนว่าอะไร 


 


 


“คำถามนี้วันหลังถ้ามีโอกาสเจ้าก็ไปถามพี่สาวเจ้าด้วยตัวเองเถอะนะ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ  


 


 


ข่านน้อยเบิกตาโพลงด้วยความตื่นเต้นยินดี “หลินซาน ที่เจ้าพูดนี่จริงหรือ? ข้ายังกลับไปพบเสด็จพี่ของข้าได้อีกหรือ?!” 


 


 


“นั่นมันแน่นอน ข้าไม่ใช่คนเลวเสียหน่อย!” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางผงกศีรษะ “เจ้าแค่วางใจก็พอ ข้าไม่มีทางสร้างความลำบากให้เจ้าแน่นอน! วันหลังถ้ามีโอกาส ข้ายังจะพาเจ้าไปเดินเตร็ดเตร่ให้ทั่ว ไปดูว่าพวกเราชาวต้าหัวดีดสีตีเป่า แต่งโคลงกลอนวาดภาพ เย็บปักถักร้อย สร้างสิ่งปลูกสร้างและบ้านเรือนอย่างไร ข้ายังจะสอนเจ้าอ่านตำรารู้หนังสืออีกด้วย ให้อ่านตำราภาพสีจำนวนมากของต้าหัวเรา…อืม เป็นของที่ข้าชอบอ่านมากที่สุดทั้งหมด!” 


 


 


สูงส่ง ช่างสูงส่งเสียเหลือเกิน! พวกของเหล่าหูได้ยินแล้วก็ตาโตอ้าปากค้าง ถ้าข่านน้อยเรียนรู้การดีดสีตีเป่าเขียนโครงกลอน การก่อสร้างและเย็บปักถักร้อย อ่านตำราภาพสีเหล่านี้ได้ แถมยังมีใต้เท้าหินเป็นผู้สั่งสอนด้วยตนเองอีก…โอยๆ พอกลับไปทุ่งหญ้า เขายังจะยกดาบได้อีกหรือ?! 


 


 


“หลินซาน เจ้าดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เล็กน้อย!” สีหน้าของข่านน้อยเหมือนไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์มากขนาดนั้นแล้ว “ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าคำถามหนึ่ง!” 


 


 


“อืม เชิญตามสบาย!” หลินซานใบหน้าประดับรอยยิ้มที่เป็นมิตรมากที่สุด   


 


 


ข่านน้อยเอนคอมองเขา “เจ้าชอบเสด็จพี่ของข้าหรือไม่?!”  

 

 


ตอนที่ 615 - 1 เจ้าตัดสินใจด้วยตัวเอง

 

“คำถามนี่น่ะเหรอ ไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับเด็กอยู่บ้างนะ” หลินซานเหงื่อแตกท่วมร่าง หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ซาเอ่อร์มู่ เจ้าอายุยังน้อยเกินไป อย่าถามเลยจะดีกว่านะ!” 


 


 


ซาเอ่อร์มู่แค่นเสียง ใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความดูแคลน “โอ๊ย ชอบก็คือชอบ มีอะไรไม่กล้ายอมรับกัน?! บนทุ่งหญ้าของเรา ขอเพียงเป็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ต่อให้ต้องแย่งก็ต้องแย่งนางกลับมาที่กระโจมให้จงได้ มาทำตัวลับๆ ล่อๆ หดหัวหดหางเช่นเจ้า อะไรก็ไม่กล้าพูด เป็นสิ่งที่ทำให้คนดูถูกมากที่สุด…เหตุใดเสด็จพี่ถึงชอบผีขวัญอ่อนเช่นเจ้านี้ได้นะ?!” 


 


 


เจ้าเด็กนี่พอด่าขึ้นมากลับไม่เลอะเลือนนะ! หลินหว่านหรงฉีกปากหัวเราะแห้งๆ หลายครั้ง ฉวยโอกาสช่วงที่คนไม่สนใจแอบปาดเหงื่อเย็น หมุนกายแล้วจากไปด้วยสภาพทุลักทุเล 


 


 


พวกของหูปู้กุยตามอยู่ข้างหลังเขา พูดโดยฝืนกลั้นหัวเราะออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ เจ้าเด็กนี่พูดจาเหลวไหล ท่านก็อย่าใส่ใจเลย พวกมันชาวทูเจวี๋ยไหนเลยจะเข้าใจสัมผัสความสวยงามด้านการเก็บงำความรู้สึกของบุรุษต้าหัวเช่นพวกเราได้?! โดยท่านแม่ทัพ ความอ่อนน้อมถ่อมตนและเก็บงำความรู้สึกนั้นโด่งดังในต้าหัวของเรามากเลยนะขอรับ!” 


 


 


อ่อนน้อมถ่อมตนเก็บงำความรู้สึก? นี่อยู่ฝั่งเดียวกับข้าด้วยหรือ เจ้าเหล่าหูคนนี้เห็นชัดว่ากำลังฉวยโอกาสแดกดันข้าอยู่นี่นา! เขาค้อนประหลับประเหลือบ หูปู้กุยเกาฉิวสองคนแอบเบือนหน้าไปแล้วหัวเราะเสียงดังทันที 


 


 


“ใช่แล้วๆ เก็บงำความรู้สึกก็สวยงาม!” ตู้ซิวหยวนรีบพูดแก้สถานการณ์ “ท่านแม่ทัพ จะไปพบเจ้าคังหนิงหรือไม่ขอรับ?! เสี่ยวหลี่จื่อรอที่จะจัดการมันอยู่ทุกวัน!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า โบกมือแล้วตอบว่า “ขี้เกียจไปดู พอเห็นเจ้านี่แล้วก็หงุดหงิด พี่เกา อีกประเดี๋ยวพวกท่านไปไต่สวนมันว่าในมือเจ้านี่ยังกุมของล้ำค่าที่บิดามันเหลือไว้อีกเท่าใด จะต้องขุดออกมาให้ข้าทั้งหมด” 


 


 


“ได้!” เกาฉิวร้องเสียงดังหลายครั้ง กล่าวระคนหัวเราะอย่างชั่วช้าลามกออกมา “พอดีเลย หลายวันนี้ข้าหายาตัวใหม่มาได้อีก ได้ยินว่าใช้เร่งน้ำนให้วัวตัวเมีย คราวนี้อ๋องน้อยมีบุญแล้ว!” 


 


 


ตกอยู่ในกำมือเหล่าเกาไหนเลยจะเกิดเรื่องดีได้? หูปู้กุยกับตู้ซิวหยวนขนลุกพร้อมกัน! 


 


 


“ไม่พบกันหลายวัน พี่เกาก็ยังชอบศึกษาค้นคว้าเหมือนเดิมนะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “เพียงแต่พวกท่านอย่างลงมือหนักเกินไปก็แล้วกัน เหลือครึ่งชีวิตให้อ๋องน้อย ใช้ครึ่งชีวิตอยู่บนเตียงก็พอแล้ว! เฮ้อ ช่วงนี้นับวันข้าก็ยิงมีเมตตามากขึ้นเรื่อยๆ ต้องทบทวนตัวเอง ต้องทบทวนตัวเองให้ดีๆ!” 


 


 


ขลุกอยู่ในค่ายใหญ่มาตลอดเที่ยง เมื่อนึกถึงสวีจื่อฉิงซึ่งจากไปพร้อมโทสะ ใจเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพียงแต่ตามหาจนทั่วอยู่ครึ่งค่อนวันกลับไม่พบแม้แต่เงาของนาง 


 


 


พวกของตู้ซิวหยวนทนเหงาไม่ได้ ต้องลากเขาไปพูดคุยสารทุกข์สุกดิบ บรรดาพี่น้องทั้งหลายต่างพูดคุยหัวเราะสนุกสนานกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ทุกครั้งที่เอ่ยถึงการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายที่แนวหน้า การเจรจาชะงักงัน ทุกคนก็มักมองเขาหลายครั้งคล้ายเจตนาคล้ายไม่เจตนา สีหน้าคาดหวังปรากฏให้เห็นโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา 


 


 


แสงสายัณห์ปกคลุมเต็มท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว เขาเดินออกมาจากค่าย เพิ่งพ่นลมหายใจยาวๆ ก็เห็นม้าตัวหนึ่งวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็วมาแต่ไกล ขุนพลหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ด้านบนเพิ่งมีอายุสิบสี่สิบห้าปี กลับเป็นหลี่อู่หลิง 


 


 


“เสี่ยวหลี่จื่อ เสี่ยวหลี่จื่อ…” เขารีบยิ้มแย้มโบกมือทักทาย ทว่าหลี่อู่หลิงกลับหน้าตาเย็นชา ถลึงตามองเขาอย่างดุร้าย ฝีเท้าม้าไม่หยุดยั้ง พุ่งขวับผ่านหน้าเขาไป 


 


 


นี่มันอะไรกัน ตอนที่เจอข้ายังไม่ใช่ดีอกดีใจอยู่หรอกหรือ?! หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง เขามือไวตาไว คว้าบังเ**ยนเอาไว้ ม้าศึกตัวนั้นร้องฮี้คราหนึ่งพร้อมยืนตัวตรง ส่ายหน้าส่ายหาง ร้องเสียงดังไม่หยุด หลี่อู่หลิงร่างฟุบอยู่บนหลังม้า แค่นเสียงลมหายใจคราหนึ่งพร้อมเบือนหน้าหนีไป 


 


 


“โอ้ เสี่ยวหลี่จื่อ นี่เป็นอะไรไปน่ะ?” เขาหัวเราะร่วนพร้อมดึงม้าศึกเอาไว้ ลูบแผงคอที่พลิ้วไสวอย่างแช่มช้า “ทำหน้าตาบึ้งตึงขนาดนั้น พี่หลินไม่ได้ทำผิดต่อเจ้านะ!” 


 


 


“ท่านไม่ได้ทำผิดต่อข้า” หลี่อู่หลิงถลึงตาใส่เขา กล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “ท่านรังแกท่านน้าสวีของข้า!” 


 


 


“คุณหนูสวี?!” หลินหว่านหรงตกใจ “นาง นางเป็นอะไร? ข้าไม่เคยคิดรังแกนางนะ!” 


 


 


หลี่อู่หลิงโมโหจนเช็ดน้ำตาตลอดเวลา กล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “ท่านน้าสวีหายตัวไปแล้ว ท่านยังกล้าพูดว่าไม่ได้รังแกนางอีกหรือ?” 


 


 


“คุณหนูสวีหายตัวไปแล้ว?!” เขาตกใจจนกระโดดตัวโยนทันที “เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! มิน่าข้าถึงหานางไม่เจอเลย!”  


 


 


“ก็พอเจอหน้าท่าน นางก็หายไปไหนไม่รู้ ข้าตามหามาตลอดบ่ายก็ไม่เห็นเงาของนาง!” 


 


 


สวีจื่อฉิงเป็นคนหนักแน่น ไหนเลยจะหายตัวไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น? หลินหว่านหรงครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้นก็หัวเราะฮิออกมาพร้อมพลิกตัวขึ้นมา “เสี่ยวหลี่จื่อ ขอยืมม้าศึกสักหน่อย!” 


 


 


“นี่ ท่านทำอะไร?! นี่พี่หลิน!” หลี่อู่หลิงตะโกนเรียกเสียงดัง หลินหว่านหรงกลับหวดแส้อย่างเร็วรี่ ม้าศึกตัวนั้นยกเท้าอย่างสุดแรง หายลับไปกับฝุ่นดิน  


 


 


พวกหูปู้กุยเดินออกมาจากค่ายด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ชะเง้อคอมองฝั่นดินที่คละคลุ้งอย่างรวดเร็วกลุ่มนั้น จากนั้นก็อดชูนิ้วโป้งกล่าวชมเชยไม่ได้ “เสี่ยวหลี่จื่อ ก็ยังเป็นเด็กอย่างเจ้าที่มีความคิดแผลงๆ อยู่มากมาย!” 


 


 


“นั่นมันแน่นอน” หลี่อู่หลิงส่ายหน้าดุกดิกไปมาพร้อมหัวเราะร่วน “ท่านน้าสวีดีกับพี่หลินมากขนาดนั้น แต่เขากลับชอบคิดถึงสตรีคนอื่น ไม่ทำให้เขาร้อนใจเสียบ้าง เขาก็ไม่รู้คุณค่าของท่านน้าสวีของข้า!” 


 


 


เกาฉิวส่ายหน้าถอนหายใจ พูดด้วยความเห็นใจอย่างยิ่ง “หากพูดถึงน้องหลินก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ อวี้เจียคนหนึ่งก็ทรมานจนเขาปวดเศียรเวียนเกล้า หน้าก็ยังไม่กล้าเจอ! แถมยังเพิ่มกุนซือสวีคุณหนูสวีอีก วันคืนหลังจากนี้จะอยู่ได้อย่างไร! เฮ้อ ผู้ชายพอมาถึงขั้นนี้ แค่คำว่าน่าอนาถยังจะพออีกหรือ?!” 


 


 


น่าอนาถหรือ?! หูปู้กุย ตู้ซิวหยวน หลี่อู่หลิงมองเขาด้วยโทสะพร้อมกัน ชีวิตที่ ‘น่าอนาถ’ แบบนี้ ทำไมถึงไม่มาถึงข้าบ้าง?! 


 


 


“ถือว่าข้าไม่ได้พูด ถือว่าข้าไม่ได้พูด!” เมื่อตกเป็นเป้าของทุกคน เหล่าเกาจึงหดคอกลับไปอย่างว่าง่าย หัวเราะแหะๆ “ที่จริงข้าก็อยากจะมีชีวิตน่าอนาถแบบนี้มากเช่นกัน จริงๆ นะ ยิ่งน่าอนาถเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!” 


 


 


ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนคล้อยจมลงเส้นขอบฟ้า ณ ขอบฟ้าอันห่างไกล แสงสายัณห์อันงดงามประหนึ่งอาภรณ์สีแดงชิ้นสิ้นท้ายของผืนพิภพ ลมทะเลทรายพัดอย่างบ้าคลั่งพร้อมเสียงหวีดหวิว ไอร้อนอันแสบร้อนพุ่งปะทะใบหน้า ทำให้ลมหายใจร้อนระอุในบัดดล 


 


 


หลินหว่านหรงห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ วิ่งออกจากเมืองพร้อมม้าเพียงลำพัง จากนั้นก็ยืนอยู่บนเนินลาดทอดสายตามองออกไปทั่วทุกสรารทิศ ดวงตะวันยามเย็นสีแดงโลหิต ลมพายุรุนแรงที่หมุนวน ทรายสีเงินที่มีอยู่เต็มไปหมด สิ่งเหล่านี้ทำให้คนลืมตาไม่ขึ้น ไหนเลยจะมองเห็นเงาของสวีจื่อฉิง 


 


 


นิสัยของแม่สาวคนนี้ช่างนิสัยดื้อด้านเสียจริงเลยนะ เจอกันครั้งแรกก็เป็นแบบนี้! เขาถอนหายใจยาว ดวงหน้าเศร้าโศกระคนยินดีของคุณหนูสวีที่ได้เห็นเมื่อเช้าตรู่ผุดอยุ่ตรงหน้า เขาอดส่ายหน้าเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อจำแนกทิศทางได้ก็ควบม้าขึ้นเหนือ เดินทางไปสี่ห้าลี้ภายในอึดใจเดียว  


 


 


เสียงลมหวีดหวิว ทรายสีเงินสาดกระทบใบหน้าไม่หยุด เจ็บปวดยิ่งนัก ณ ดินแดนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีจุดดำขนาดเล็กไม่เคลื่อนที่จุดหนึ่ง นั่งอยู่บนพื้นอย่างเงียบงัน เรือนผมสีนิลพลิ้วไสวปามสายลม กระโปรงยาวอันงดงามประหนึ่งธงที่โบกไสว ลมทะเลทรายอันไร้ขอบเขตพัดผ่านร่างกายอันอวบอิ่มของนาง กลายเป็นระลอกคลื่นที่แสนจะแปลกพิสดาร นางนั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความอ่อนโยน 


 


 


“คุณหนูสวี!” หลินหว่านหรงนั่งลงอย่างรวดเร็ว ใช้ฝ่ามือตบก้นม้า ให้ม้าศึกวิ่งห้อตะบึงท่ามกลางลมทะเลทราย 


 


 


เสียงลมบ้าคลั่งดังหวีดหวิว ทว่ากลับไม่อาจกลบเสียงของเขาได้ สวีจื่อฉิงร่างชะงักงันเล็กน้อย พูดอย่างเย็นชาโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา “เจ้ามาทำอะไร?!” 


 


 


“ข้ามาหาเจ้าน่ะสิ!” เขาหัวเราะร่าพลางเดินเข้าไปหา นั่งข้างกายนางอย่างแช่มช้า เบื้องหน้าคุณหนูสวีมีเนินทรายที่พูนขึ้นสูงเนินหนึ่ง คล้ายเกิดจากการใช้มือทำ น่าจะทำมาหลายวันแล้ว นางถือแผ่นไม้อยู่ในมือแผ่นหนึ่ง ทว่ากลับซ่อนอยู่ใต้กระโปรง มองไม่เห็นว่าใช้ทำอะไร 


 


 


สวีจื่อฉิงเบือนหน้ากลับมาพร้อมมองเขาอย่างเย็นชา ดวงตาโตอันแสนจะงดงามบวมแดงเล็กน้อย “มาหาข้าทำไม? มีสาวงามเคียงข้างแล้วก็ไม่ต้องออกรบ เจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสรเสรีแล้วหรอกหรือ?! ข้าจะเป็นหรือตายมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” 


 


 


หลินหว่านหรงเงยหน้าพลางหัวเราะร่วน “เจ้าเป็นหรือตายเกี่ยวอะไรกับข้า? เช่นนั้นความเป็นความตายของข้า เจ้าสนใจหรือไม่?! หากเจ้าไม่สนใจ ข้าตายไปก็ได้!” 


 


 


“ถุยๆ!” สวีจื่อฉิงตวาดเจื้อยแจ้วด้วยความเดือดดาล “เป็นตายอะไร เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “สำหรับคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งเช่นข้านี้ ความเป็นความตายมันก็แค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องยึดติดมากเกินไป”  

 

 


ตอนที่ 615 - 2 เจ้าตัดสินใจด้วยตัวเอง

 

สวีจื่อฉิงเงยหน้าในบัดดล น้ำตาคลอเบ้าแล้ว “เจ้าพูดเหลวไหล! ความเป็นความตายสำหรับเจ้าอาจเป็นแค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่ง แต่สำหรับบางคน นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างของนาง เจ้าคนต่ำช้าคนนี้ ที่แท้เจ้าเข้าใจบ้างหรือไม่?!” 


 


 


นางมองเขาอย่างสงบนิ่ง น้ำตาไหลรินไปตามปรางแก้มอันงดงามอ่อนนุ่มทั้งสองข้างอย่างเงียบงัน เม็ดทรายสีเงินหลายเม็ดแปดเปื้อนใบหน้านางพร้อมหยาดน้ำตา งดงามอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“คุณหนูสวี…” หลินหว่านหรงถอนหายใจอย่างเงียบงัน จับมือนางอย่างแช่มช้า สวีจื่อฉิงมือสั่นระริก ถึงกระนั้นกลับเบือนหน้าไปอย่างดื้อดึง ซ่อนมือน้อยอยู่ข้างหลัง 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ มือใหญ่เพียงออกแรงเล็กน้อยก็รวบมืองามอันอ่อนนุ่มของนางอยู่ในมือแน่น ทั้งสั่นเทาทั้งอุ่นร้อน เขาจับมือนางด้วยความอ่อนโยน “…ที่จริง ข้าเข้าใจทุกอย่าง!” 


 


 


สวีจื่อฉิงร่างสั่นระริกอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็ไม่อาจควบคุมต่อไปได้อีก หันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กอดเขาพร้อมเปล่งเสียงร่ำไห้ดังลั่น “เจ้าคนใจดำคนนี้ เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้? ข้าจะแค้นเจ้าจนตาย ข้าจะแค้นเจ้าจนตาย!” 


 


 


การไปครั้งนี้ก็สามเดือน เป็นตายไม่รู้ ไร้ซึ่งข่าวคราว! วันคืนเกือบร้อยวัน ความคะนึงหา ความเป็นห่วง ความน้อยใจนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ระเบิดออกมาจนหมดสิ้น น้ำตาไหลทะลักดั่งสายฝน อกงามสะท้อนขึ้นลงอย่างเร็วรี่ นางสะอื้นอย่างรวดเร็ว ขดตัวแน่นอยู่ในอ้อมอกเขา ร้องไห้จนเหมือนจะขาดอากาศหายใจ น้ำตาทำให้ชุดบริเวณหน้าอกของเขาเปียกชุ่มในบัดดล  


 


 


สงครามอันน่ารังเกียจนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต จากเป็นและจากตาย สู้กันไปสู้กันมาเช่นนี้เพื่ออะไรกันแน่?! หลินหว่านหรงสองตาเปียกชื้น กอดสวีจื่อฉิงแน่น ตบบ่าบอบบางของนางอย่างเงียบงัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว 


 


 


ลมทะเลทรายพัดพาอย่างบ้าคลั่ง ส่งเสียงหวีดหวิวไม่หยุด ทั้งสองอิงแอบซึ่งกันและกัน ในใจของพวกเขาผืนพิภพกลับเงียบสงัดและอบอุ่น แผ่นไม้ที่อยู่กดใต้กระโปรงสวีจื่อฉิงถูกพัดขึ้นมาเหนือผืนทราย บนแผ่นป้ายปราศจากตัวอักษร เพียงใช้ลายพู่กันจางๆ วาดออกมาเป็นเงาของคนสองคนเท่านั้น หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีอิงแอบแนบชิดกัน สิบนิ้วกุมประสาน ซบกันอย่างเงียบงัน ทรายที่มีอยู่เต็มท้องฟ้าปลิวอยู่ข้างกายพวกเขา ค่อยๆ กลบฝังพวกเขาอย่างแช่มช้า 


 


 


หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง เมื่อมองเนินทรายสูงตรงหน้าอีกคราเขาก็กะพริบตา พูดขึ้นมาทันทีว่า “นี่คือป้ายสุสานของพวกเราหรือ?!” 


 


 


คุณหนูสวีรีบหยุดการร่ำไห้ ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาพร้อมยื่นมือไปแย่งกลับคืนมา “ห้ามเจ้าดู เจ้ารีบคืนมาให้ข้า!” 


 


 


ป้ายสุสานนี้ยังวางนอนอยู่ หากถึงช่วงที่มันตั้งขึ้น สิ่งที่ฝังอยู่ใต้สุสานนี้ก็คือกองเสื้อผ้าของตนกับดวงวิญญาณอันงดงามของคุณหนูสวีแล้ว 


 


 


กองเสื้อผ้าของข้า?! เขาเหม่อมองเนินทรายนั้น จากนั้นก็ล้มตัวนอนบนเนินทรายอันอ่อนนุ่มทันที เขาก็แหงนหน้าแล้วหัวเราะออกมายาวๆ  


 


 


“เจ้าหัวเราะอะไร ห้ามหัวเราะ!” คุณหนูสวีโผเข้าหาด้วยความเดือดดาล ยื่นมือไปจะปิดปากเขา 


 


 


“ข้าไม่เคยเห็นสุสานของตัวเองมาก่อนเลย!” เขาจับมือสวีจื่อฉิง จมูกร้าวระบม กล่าวด้วยความอ่อนโยนและแน่วแน่ “ข้ารับปากเจ้า ในวันที่พวกเราแก่เฒ่าไปแล้ว ข้าจะสร้างสุสานเช่นนี้ขึ้นมา ทุกคนจะฝังอยู่ในนั้นทั้งหมด พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดไป เป็นตายไม่พรากจาก!” 


 


 


สวีจื่อฉิงน้ำตาไหลพราก ทุบอกเขาพร้อมกล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “หลอกให้ข้าร้องไห้ทำไม…ในสุสานของเจ้าไม่รู้ว่าต้องฝังคนมากเท่าใด! น่าโมโหตายแล้ว น่าโมโหตายแล้ว!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นั่นก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเจ้าจับมือข้า ข้าก็รู้ว่าเจ้าคือใคร ไม่ว่าเจ้าจะกลายสภาพเป็นเช่นไร ผู้ใดก็ไม่อาจพรากพวกเราจากกันได้! เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?!” 


 


 


“ข้าไม่เชื่อเจ้า…” สวีจื่อฉิงน้ำตานองหน้า ซบอกเขาอย่างแช่มช้า “…ยังจะเชื่อผู้ใดได้อีก?!” 


 


 


จะว่าไปก็แปลก ทะเลทรายลมพัดอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาสองคนจับมือกัน นอนอยู่บนสุสานของตนเอง ถึงกระนั้นภายในจิตใจกลับรู้สึกสงบสุขและอบอุ่นอย่างหาที่เปรียบมิได้  


 


 


หลินหว่านหรงจ้องมองป้ายสุสานนั้น จิตใจสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด “คุณหนูสวี เจ้าทำป้ายสุสานให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่” 


 


 


สวีจื่อฉิงแค่นเสียง กล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาและเลื่อนลอย “ตอนที่พวกหูปู้กุยกลับมาจากทุ่งหญ้าข้าก็ทำแล้ว” 


 


 


ประโยคต่อไปแม้นางจะไม่พูด แต่หลินหว่านหรงกลับรู้ดี หากตนกลับมาไม่ได้จริง เรื่องเล่าของการฝังทรายนั้นก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง นิสัยดื้อด้านของแม่สาวคนนี้ เขาเข้าใจกว่าผู้ใด ดังนั้นจึงถอนหายใจอย่างเงียบงัน โอบร่างคุณหนูสวีไว้ในอ้อมอกอีกครา  


 


 


สวีจื่อฉิงเงยหน้าทันที มองเขาด้วยความรู้สึกทั้งเขินอายทั้งไม่พอใจ “เหตุใดตอนนี้เจ้าก็ยังเรียกข้าว่าคุณหนูสวีอีก? ข้าไม่เหมาะสมที่จะถูกเรียกแบบอื่นใช่หรือไม่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน ประชิดข้างใบหูนางแล้วพูดว่า “เพราะตอนที่เรียกเจ้าว่าคุณหนูสวี ความรู้สึกนั้นมันพิเศษมากที่สุด ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้! ต่อให้อนาคตแต่งงานเข้าห้องหอขึ้นเตียงเป็นภรรยาแล้ว ข้าก็ยังเรียกเจ้าว่าคุณหนูสวีเหมือนเดิม ดีหรือไม่?!” 


 


 


คำพูดคำจาของเจ้าคนนี้ชอบแฝงความลามก นี่มันเกิดมาพร้อมกับเขาเลยหรืออย่างไร? สวีจื่อฉิงใบหูร้อน ใจเต้นรัวดังตึกตัก ไม่รู้ว่าควรกล่าวเช่นไรดี 


 


 


“ไอ้หยา นอนอยู่บนสุสานของตัวเองมันช่างสบายเสียจริง!” เขาถอนหายใจอย่างมือความสุข ใช้มือทั้งสองหนุนศีรษะ ม่านราตรีเงียบสงัด ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ท้องฟ้ากลับลายพร้อย ดวงดาราระยิบระยับบัดเดี๋ยวผลุบบัดเดี๋ยวโผล่ แสงหรุบหรู่จางๆ กับทรายสีเงินบนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลขับเด่นซึ่งกันและกัน งดงามเหลือคณา  


 


 


คุณหนูสวีลูบหน้าอกเขาอย่างแช่มช้า การเคลื่อนไหวอ่อนโยนเหลือคนา “ยังเจ็บหรือไม่?!” 


 


 


“ไม่เป็นไรแล้ว!” หลินหว่านหรงยิ้มแย้ม “ข้าคนนี้เป็นพวกหายเร็วอยู่แล้ว ไม่กลัวได้รับบาดเจ็บ!” 


 


 


สวีจื่อฉิงถอนหายใจ แนบใบหน้าบนหน้าอกเขาอย่างอ่อนโยน กล่าวเสียงเลื่อนลอยออกมาว่า “ข้าพบนางแล้ว”  


 


 


“ใคร? เจ้าเคยพบใคร?!” 


 


 


“ยังจะเป็นใครได้อีก? เจ้ายังมาแกล้งทำไขสือกับข้าอีกนะ!” สวีจื่อฉิงหยิกหลังเอวเขาอย่างแรงคราหนึ่ง 


 


 


“อ้อ นาง เจ้าพูดถึงนางเหรอ…ใครคือนางกันแน่?!” ยากนักที่จะแกล้งไขสือสักครั้งหนึ่ง เขาทำตาโต ใบหน้าเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องราว 


 


 


คุณหนูสวีฉลาดหลักแหลม ไหนเลยจะมองลูกไม้เขาไม่ออก ดังนั้นจึงมองค้อนเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห ถึงกระนั้นกลับอดส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ ออกมาอีกไม่ได้ “มิน่าถึงกวักวิญญาณเจ้าไปจนหมดสิ้น! ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยผู้นี้ เกิดมางามพิลาสพราวเสน่ห์ งดงามดั่งบุปผาและหยกงาม! ฝีมือการต่อสู้ก็ดี ตัวคนก็ฉลาด สถานะก็ยิ่งสูงส่งหาใดเปรียบเข้าไปอีก ไม่ว่าจะมองจากด้านใด นางก็ควรค่าให้ภาคภูมิใจ!” 


 


 


แม้แต่สวีจื่อฉิงที่เป็นศัตรูก็ยังชมไม่ขาดปากแบบนี้ เสน่ห์ของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ไม่อาจดูแคลนได้เลยจริงๆ! ไม่อาจแกล้งทำเป็นไขสือต่อไปได้อีก หลินหว่านหรงหัวเราะแห้งๆ สองครั้ง “เจ้าพูดถึงอวี้เจียหรือ นางไม่เลวจริงๆ เพียงแต่ทูเจวี๋ยมีคนตั้งมากมายขนาดนั้น ต้องมีสักคนสองคนที่ไม่เลวกระมัง นี่มีอะไรน่าแปลก?!” 


 


 


คุณหนูสวีแค่นเสียง “แค่ไม่เลวที่ไหนกัน ช่างยวนเย้าพราวเสน่ห์ ข้าเห็นก็ยังหลง แม้แต่ข้าที่เป็นสตรีเห็นแล้วก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ หรือว่าเจ้าไม่อยากจะพบนางอีกหรือ?!” 


 


 


“คงไม่ใช่ท่านจอมทัพให้เจ้ามาพูดโน้มน้าวหรอกนะ?!” หลินหว่านหรงทำหน้าขึ้นพร้อมส่ายหน้าอย่างเร็วรี่ 


 


 


สวีจื่อฉิงใบหน้าขมขื่น เบือนหน้าไปพร้อมพูดด้วยเสียงหงุดหงิด “ให้เจ้าไปพบกับคนรู้ใจอีกครั้ง สตรีคนใดบ้างที่จะยินดีมาพูดจาโน้มน้าวเช่นนี้?!” 


 


 


ความขมขื่นร้าวรอนภายในใจคุณหนูสวีกลับไม่อาจเสแสร้ง หลินหว่านหรงตบบ่านาง คิดจะพูดอะไรบางอย่าง พออ้อ้าปากกลับพูดไม่ออกสักคำ 


 


 


“การเจรจารอบแรกนั้นย่ำแย่เป็นที่สุด ท่าทีของอวี้เจียแข็งกร้าวยิ่งนัก เพียงยอมถอยเล็กน้อยเท่านั้น กระทั่งยังเคยพูดว่าหากพวกเรากล้าเอาข่านน้อยทูเจวี๋ยมาข่มขู่ นางจะยอมสู้ตายตกไปตามกันกับต้าหัวโดยไม่เสียดาย” สวีจื่อฉิงกล่าวแผ่วเบา “หากต้องรบขึ้นมาจริง พวกเราก็ไม่กลัว อย่างไรเสียก็สู้รบกันมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว! เพียงแต่คราวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ชาวทูเจวี๋ยยกกำลังออกมาทั้งรังก็เพราะตั้งเป้าหมายว่าจะแก้แค้นต้าหัว ไม่ว่าจะชิงเมืองได้หรือไม่ แต่ศึกนองเลือด ประชาชนประสบทุกข์ภัย นั่นเกรงว่าคงไม่อาจหลีกเลี่ยง!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงเฮ้อคราหนึ่ง ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา  


 


 


“สามวันหลังจากนี้การเจรจารอบที่สองก็จะเริ่มอีกครั้ง ด้วยนิสัยของอวี้เจียผู้นี้ นี่น่าจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายแล้ว!” คุณหนูสวีแนบใบหน้าลงบนหน้าอกเขา ฟังเสียงหัวใจเต้นดังตึกตักของเขา กล่าวน้ำตานองด้วยเสียงอันอ่อนโยน “จะมาหรือไม่มา ให้เจ้าตัดสินใจเอาเอง!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม