ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 610-616

 ตอนที่ 610 ไล่ต้อนปลิดชีพถึงในน้ำ 


 


 


เฉิงชิวเฉี่ยวยังงุนงงไม่หายหลังเดินจากมาแล้ว จะเสียเวลาไปช่วยทำไมในเมื่อมีหลี่ว์ซู่อยู่ในทีมนั้นแล้วนี่ 


 


 


อันที่จริงเขาเห็นหลี่ว์ซู่อยู่แนวหน้าตั้งแต่พวกเขาไปถึง เฉิงชิวเฉี่ยวรู้ดีว่าหลี่ว์ซู่แข็งแกร่งกว่าตน วัดจากที่เคยร่วมต่อสู้กับหลี่ว์ซู่ในทีมเดียวกันมาแล้ว เห่าจื้อเชาก็บอกมาอย่างนั้นเหมือนกัน 


 


 


หลังจากนั้นมาเขาก็กลายเป็นแฟนคลับของหลี่ว์ซู่ พวกหัวกะทิระดับ A หลายๆ คนหลังจากได้เห็นฝีมือเขาแล้วก็ยกย่องให้หลี่ว์ซู่นั้นเป็นพี่หลี่ว์ซู่ด้วย 


 


 


แต่แน่ล่ะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเคารพชื่นชอบหลี่ว์ซู่หรอก เฉิงชิวเฉี่ยวเองก็เป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยเท่านั้น มีแต่พวกที่เคยอยู่ทีมเดียวกับหลี่ว์ซู่เท่านั้นล่ะถึงจะรู้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้แข็งแกร่งแค่พลังต่อสู้อย่างเดียว 


 


 


คนอื่นๆ ที่ไม่ล่วงรู้อะไรต่างก็พากันคิดแบบอื่น เพราะตอนที่หลี่ว์ซู่ไปทำภารกิจที่ญี่ปุ่นกลับมา ข้อมูลของเขาทั้งยศทหารและความสามารถอื่นๆ ล้วนโดนปกปิดทั้งหมด 


 


 


พวกเขายังคงคิดว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นผู้มีพลังระดับ C เท่านั้นในขณะที่พวกเขานั้นได้เลื่อนเป็นระดับ C ขั้นสูงแล้วหลังจากทำภารกิจสำเร็จ พวกเขาไม่ใช่แค่ผู้บำเพ็ญระดับ E หน้าใหม่อย่างตอนฝึกฝนที่ค่ายทหารแล้ว 


 


 


ดังนั้นจึงมีหลายคนที่ลืมเรื่องของหลี่ว์ซู่ไปแล้ว เพราะพวกเขาเชื่อว่าอนาคตของเครือข่ายฟ้าดินนั้นอยู่ในมือของพวกเขาเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้มีพลังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 


 


 


มั่วเฉิงคงพยายามจะมองดูหลี่ว์ซู่ให้ชัดๆ เขาเป็นนักเรียนที่มาจากวิทยาลัยทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและไม่ได้ฝึกฝนร่วมกับเสี่ยวอวี๋ เขาเลยไม่เคยได้ยินชื่อหลี่ว์ซู่มาก่อน เดี๋ยวนะ พอคิดดีๆ แล้วเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนี่นา หลี่ว์ซู่เป็นฮีโร่ของชาติที่เพิ่งฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งนี่… 


 


 


คนที่ได้รับความเคารพยกย่องจากหัวกะทิระดับ A ให้เป็นพี่ชายขนาดนี้ไม่มีทางเป็นไอ้กระจอกแน่ๆ 


 


 


ถ้าอย่างนั้นหลี่ว์ซู่บอกว่าเขาอยู่ระดับ D ขั้นกลางก็น่าเป็นเรื่องโกหก อย่างน้อยๆ เขาต้องอยู่ระดับ C ขั้นสูงละน่า! มั่วเฉิงคงรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา หลี่ว์ซู่ยังไม่ได้ใช้กระบี่บินในตอนนี้ แปลว่าเขายังควบคุมสถานการณ์ได้อยู่สินะ 


 


 


เอาเข้าจริงๆ แล้ว เขากำลังดูสนุกมากเลยต่างหาก… 


 


 


ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่ก็พาทีมรุดหน้าบุก แต่ทีมอื่นๆ กลับถอยหลังกลับไป หลี่ว์ซู่ใกล้ไล่ตามพวกทหารจากทะเลไปถึงรังของมันได้แล้วในตอนที่ใครหลายๆ คนกำลังรอให้คนอื่นมาช่วย… 


 


 


กองทัพจากท้องทะเลคงวางแผนไม่ยอมโจมตีไปทีม 42 ในคืนแรกเพื่อหลอกให้พวกเขาตายใจ คืนที่สองจะได้บุกทะลวงเข้ามาได้อย่างราบรื่น แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าจะโดนทำลายขบวนรบได้ง่ายๆ … 


 


 


หลี่ว์ซู่นั้นเริ่มสนุกกับการเข่นฆ่าพวกเขาแล้ว เขาทำหอกสามง่ามพังไปสองอันด้วยความตื่นเต้น แม้เขาจะรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่วิธีนี้ก็เป็นวิธีโจมตีที่ดีที่สุดแล้ว หอกสามง่ามนี้ทั้งน้ำหนักพอดีมือและความยาวพอเหมาะพอเจาะ 


 


 


ดังนั้นเขาเลยฉกหอกสามง่ามมาแทนที่หอกสองอันที่พังไปแล้วเดินหน้าบุกต่อ เขาบีบให้กองทัพจากทะเลล่าถอยลงไปในน้ำ 


 


 


ที่จริงแล้วพวกทหารตั้งใจจะถอยหนีไปใต้น้ำแล้วเปลี่ยนไปโจมตีแนวป้องกันฝั่งอื่นๆ แทน และในตอนที่เฉินจู่อานคิดจะหยุดพักเอาแรงสักหน่อย เขาก็ต้องรีบวิ่งไปคว้าตัวหลี่ว์ซู่ที่กำลังจะกระโดดลงไปในทะเลกลับมา “อย่าโดดนะพี่! พี่ทำแบบนั้นไม่ได้นะ!” 


 


 


ผู้คนต่างจับจ้องมองมาทางหลี่ว์ซู่ด้วยความตกใจ ยอดฝีมือคนนี้ถึงกับอยากตามลงไปปลิดชพศัตรูในน้ำเลยเหรอ น่าทึ่งจริงๆ 


 


 


ไหงการปะทะกันคืนที่สองถึงราบรื่นกว่าคืนแรกได้ละเนี่ย ทั้งๆ ที่จำนวนของศัตรูมีเยอะกว่าเดิมด้วยซ้ำ… 


 


 


หลี่ว์ซู่นั้นเม้มปากด้วยความขัดใจ เขารู้ว่าเขาขโมยหอกสามง่ามมาได้มากกว่าสองร้อยเล่มแล้ว แต่เขายังอยากได้อีกนี่! 


 


 


ทำไมเขาชอบโบราณสถานน่ะเหรอ ก็เพราะว่ามีของดีๆ ให้เก็บแบบนี้ไงล่ะ! หากเกิดอันตรายขึ้นมา หลี่ว์ซู่ก็ใช้จะสายตาอันแหลมคมเพื่อหาประโยชน์ในอันตรายนั้นให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ทุกคนมัวแต่เกรงกลัวพวกศัตรูอยู่ หลี่ว์ซู่กลับเห็นข้อดีจากอาวุธหอกสามง่าม… 


 


 


ทันใดนั้นเขาก็หมุนตัวกลับไปและสังเกตเห็นว่าทีม 43 นั้นถูกกองทัพจากทะเลไล่ต้อนจนต้องถอยกลับเข้าหาฝั่งกว่าร้อยเมตร ในกลุ่มนั้นมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากอีกด้วย หลี่ว์ซู่พลันยกแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วตะโกน “พี่น้องทั้งหลาย ไปรวมกับสหายร่วมรบทีม 43 ของเรากันเถอะ!” 


 


 


แล้วเขาก็นำทัพไปหาทีมที่ 43 แต่อย่างไรก็ตาม แทนที่เขาจะเข้าไปรวมกลุ่มกับสมาชิกคนอื่นๆ เขากลับทะลวงเข้าไปในขบวนรบของทหารจากทะเลราวกับเป็นมีดผ่าตัดอันแม่นยำที่ตัดแยกทั้งสองฝั่งออกจากกันเป็นเส้น! 


 


 


ภาพที่ปรากฏในชั่วขณะนั้นคือมหาสมุทรตัดกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หลี่ว์ซู่นั้นก็อยู่ในสภาพพร้อมสู้สุดๆ ไม่มีศัตรูจากทะเลคนไหนสามารถรอดชีวิตไปจากหอกสามง่ามของเขาได้ 


 


 


มีศัตรูคนหนึ่งพยายามยกหอกสามง่ามขึ้นมาสู้กับหลี่ว์ซู่ แต่อยู่ๆ ก็ล้มลงไปกับพื้นเสียงดังปัง และเมื่อหัวเข่าของมันสัมผัสกับหินด้านล่าง หินพวกนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที 


 


 


ความแข็งแกร่งของหลี่ว์ซู่นั้นไม่ใช่อะไรที่พวกระดับ D จะต้านทานได้เลย! 


 


 


เสียงกระดูกที่แตกไปนั้นทำให้คนในทีมหลี่ว์ซู่ขนลุกซู่ มันคงจะต้องเจ็บปวดอย่างหาที่สุดไม่ได้แน่นอน! 


 


 


ทีม 43 ที่แนวป้องกันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ใครคนหนึ่งตะโกนอย่างดีใจเมื่อเขาเห็นอะไรบางอย่างจากที่ไกลๆ “ทีมข้างๆ มาช่วยพวกเราแล้ว! พวกเขาทำให้พวกสัตว์ประหลาดพวกนี้หาทางหนีไม่ได้แล้ว โจมตีพวกศัตรูกลับกันเถอะพี่น้องทั้งหลาย!” 


 


 


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ หลี่ว์ซู่ก็นำทีม 42 กลับไปที่แนวป้องกันของตัวเองอีกครั้ง… 


 


 


“ทีม 42 ทำอะไรอยู่น่ะ…” หัวหน้าทีม 43 พึมพำอย่างหมดหวัง เขารู้สึกราวกับว่าความกดดันกลับเข้ามาอีกครั้ง งั้นพวกเขาก็ถอยกลับไปเหมือนเดิมแล้วกัน… 


 


 


“เดี๋ยวก่อนเพื่อนๆ ถ้าพวกเราสู้ไม่ไหวก็ถอยกลับกันเถอะ!” การเปลี่ยนกลยุทธ์ในคราวนี้กลับทำให้ทุกคนสับสนมากขึ้น… 


 


 


หลี่ว์ซู่นำทีมถอยกลับไปก็เพราะเจ้าพวกทหารจากท้องทะเลนั่นพยายามจะใช้ประโยชน์จากการป้องกันที่ปวกเปียกของแนวป้องกันของทีม 42 ทว่าตอนนี้พวกมันกลับถูกบีบให้กลับไปในทะเลอีกครั้ง! 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนมุทะลุหรอกนะ ผู้คนคงสาปส่งเขาแน่ถ้าเขาปกป้องแนวปกกันของตัวเองไม่ได้และปล่อยให้พวกศัตรูวิ่งเข้ามา 


 


 


พอเขาฉกหอกสามง่ามราวยี่สิบเล่มมาได้แล้ว เขาก็โบกมือและตะโกนออกไปในขณะที่กองทัพจากทะเลถอยกลับไป “ไปช่วยทีม 43 กันเถอะทุกคน!” 


 


 


และนั่นก็ทำให้ทั้งทีมตะโกนขานรับและกลับเข้าไปอีกครั้ง 


 


 


และทีม 43 ก็ตกตะลึงไป ทำอะไรเนี่ย ทำให้เรางงกันรึไง 


 


 


ช่วยบอกให้ชัดๆ หน่อยได้ไหมว่าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ 


 


 


ไม่นานกองทัพจากทะเลก็หยุดโจมตีแนวชายฝั่งบริเวณที่ทีม 42 อยู่ มนุษย์พวกนี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ชอบโกหกหลอกลวง เดี๋ยวก็ไปเดี๋ยวก็มา! 


ตอนที่ 611 ระดมทุน


 


 


นักเรียนจากห้องเต้าหยวนจากทีม 42 รู้สึกว่าคืนนี้ราบรื่นกว่าที่คิดไว้มาก เพราะกว่ากองทัพทะเลจะเข้าถึงตัวพวกเขาได้ พวกมันก็เสียท่ากันไปแล้ว


 


 


ที่จริงแล้วนักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็ร่วมต่อสู้ด้วยกันในคืนแรก และพวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความกดดันถึงแม้จะมีพวกหัวกะทิระดับ A คอยเป็นแนวหน้าในการสู้ก็ตามเพราะกระบี่บินของพวกเขาทำอะไรศัตรูไม่ค่อยได้


 


 


ด้วยเหตุนี้ทีม 42 จึงรู้สึกประหลาดใจกันมาก หลี่ว์ซู่ยังไม่ทันจะได้ใช้วิชากระบี่บินเลยนะ!


 


 


ในขณะเดียวกันนั้นหลี่ว์ซู่ก็บุกทะลวงเข้าไปในขบวนรบของศัตรูด้วยหอกสามง่ามสองอันในมือ


 


 


กระนั้นหลี่ว์ซู่เองก็ประเมินอีกฝ่ายต่ำไปเหมือนกัน เขาตกตะลึงมากที่กองทัพพวกนี้งอกกองกำลังเสริมกองใหม่มาเพิ่มได้เรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


ทหารจากท้องทะเลเร่งขึ้นฝั่งมาทีละคนพร้อมหอกสามง่ามในมือ พวกมันตรงเข้ามาหาหลี่ว์ซู่ จากนั้นก็ระเหยกลายเป็นหมอกควัน


 


 


ห้าชั่วโมงหลังจากนั้นการโจมตีระลอกแรกก็จบลง หลี่ว์ซู่ที่เหนื่อยล้านั่งลงบนกำแพงหินแล้วถามมั่วเฉิงคง “ตอนกลางคืนนี่ยาวนานแค่ไหนน่ะ”


 


 


“ตอนเราเข้ามาที่นี่มันก็เกือบรุ่งสางแล้ว คงมีคนล้มตายมากกว่าเดิมถ้าตอนกลางคืนยาวนานกว่านั้น” มั่วเฉิงคงตอบ “ตอนนี้เราคงประเมินความยาวของช่วงกลางคืนได้จากตอนกลางวันนี่แหละ ถ้ากลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน กลางคืนก็น่าจะกินเวลาสักเก้าวันได้”


 


 


“ตอนนี้เวลาเพิ่งผ่านมาแค่ห้าชั่วโมงหลังจากเข้าช่วงกลางคืนเองนะ” หลี่ว์ซู่ทำหน้าเครียด “นับจำนวนผู้ที่เสียชีวิตก่อน ที่เหลือแยกย้ายกันไปนอนพักได้”


 


 


มั่วเฉิงคงทำตามคำสั่งเขาโดยดี การต่อสู้ห้าชั่วโมงที่ผ่านมาทำให้ทีม 42 ทั้งหมดเห็นแล้วว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นหัวหน้าที่มีฝีมือจริงๆ


 


 


เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงรอฟังคำสั่งจากหลี่ว์ซู่ว่าจะให้ทำอะไรต่อไป


 


 


“บาดเจ็บเล็กน้อยร้อยสามสิบเก้าคน บาดเจ็บสาหัสสิบสองคน เสียชีวิตสามคน” มั่วเฉิงคงรายงาน เสียงของเขาอ่อนลงไปเรื่อยๆ ขณะพูด ถึงแผลบาดเจ็บจะหายเร็วๆ นี้แต่สหายร่วมรบที่จากไปไม่มีทางฟื้นกลับคืนมาได้อีกแล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดชะงักไปก่อนพูดต่อ “เอาพวกเขาทั้งสามคนไปฝัง คนเจ็บให้ไปพักก่อน คนที่เหลือแบ่งกลุ่มคอยเฝ้ายามตามแนวป้องกันเป็นกะ จัดการให้ที


 


 


“แล้วนายล่ะ” มั่วเฉิงคงถาม


 


 


“ฉันจะไปพักที่กำแพงหิน”


 


 


พอเขาพูดออกไปอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมแต่ทุกคนต่างก็รู้สึกปลอดภัยกันขึ้นมาทันที


 


 


อันที่จริงการที่พวกเขาสร้างกำแพงหินไว้ไม่ใช่เพื่อขัดขวางไม่ให้พวกกองทัพจากทะเลเข้ามาหรอก เพราะถึงอย่างไรกำแพงหินนี่ก็ต้านกำลังศัตรูระดับ C และระดับ D เอาไว้ไม่ได้


 


 


กำแพงหินนี้สร้างเอาไว้ให้พวกเขาสบายใจระหว่างที่พักเอาแรงในช่วงสงครามต่างหาก จะได้ไม่ต้องมาคอยระแวงว่าจะมีใครขว้างหอกสามง่ามมาจากทะเลเหรือเปล่า


 


 


ในตอนนั้นเอง ผู้รับหน้าที่ดูแลเกาะปลอดภัยแห่งนี้ก็เข้ามาเยี่ยม เขามาถามว่ามีจำนวนคนบาดเจ็บและเสียชีวิตไปเท่าไหร่ในแต่ละทีม และบอกให้นำสมาชิกที่บาดเจ็บทั้งหมดไปยังสถานพยาบาลเพื่อรักษา ถึงพวกเขาจะมีพลังฟื้นฟูบาดแผลได้ แต่ยังไงก็ต้องล้างแผลเพื่อไม่ให้ติดเชื้อ นอกจากนี้บางคนก็ต้องเย็บแผลด้วย


 


 


นี่เป็นเรื่องทุกคนเรียนรู้มาขณะฝึกทหาร


 


 


หลังจากที่ได้ยินจำนวนคนเจ็บและเสียชีวิต ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทีมนี้มีคนเสียชีวิตน้อยจัง ขอโทษนะ ไม่ได้จะพูดให้ดูไม่ดี แต่แค่ประหลาดใจที่สมาชิกส่วนใหญ่ปลอดภัย เพราะทีมอื่นๆ ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บกันมาเยอะ แต่สำหรับทีมนายที่มีแค่สามร้อยคนกลับตายไปแค่สามคนเอง นั่นเยี่ยมยอดมากเลยนะ ไม่ได้จะบอกว่าให้เจ็บกันมากกว่านี้หรอก แค่จะบอกว่าทีมนายแข็งแกร่งมากน่ะ”


 


 


มั่วเฉิงคงได้ยินประโยคแรกก็เดือดขึ้นมา กระนั้นพอได้ฟังคำอธิบายแล้วก็เข้าใจ “พวกเราโชคดีที่มียอดฝีมืออยู่ด้วยน่ะ”


 


 


“อ้าว คิดว่าในทีม 42 ไม่มีหัวกะทิระดับ A อยู่ด้วยเสียอีก”


 


 


“ฮ่าๆ” มั่วเฉิงคงหัวเราะอย่างมั่นอกมั่นใจและไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เพราะถ้าหลี่ว์ซู่ถูกย้ายไปที่อื่นขึ้นมา เขาจะทำยังไงล่ะ


 


 


ตอนนี้ผู้รอดชีวิตทั้งหมดในทีมต่างก็หวังพึ่งหลี่ว์ซู่กัน พวกเขายอมให้คนอื่นเอาตัวหลี่ว์ซู่ไปง่ายๆ ไม่ได้หรอก


 


 


มั่วเฉิงคงแอบมองหลี่ว์ซู่จากหางตา เขากำลังนั่งหลับตาพักอยู่บนกำแพงหิน พอมั่วเฉิงคงเห็นหัวหน้าทีม 43 เดินเข้าไปหาหลี่ว์ซู่ เขาก็ตะโกนบอกคนในทีมด้วยกังวลว่าเรื่องที่หลี่ว์ซู่เป็นยอดฝีมือจะถูกเปิดเผย “เข้าไปปกป้องเขา! อย่าให้ทีม 43 เข้าใกล้เขาได้!”


 


 


คนในทีม 42 เข้าใจขึ้นมาทันที นี่ราวกับว่าคนทั้งทีมจะต้องช่วยกันปกป้องไม่ให้ทีม 43 ขโมยหัวหอกของทีมไปได้ มากกว่าแค่เข้าไปปกป้องหลี่ว์ซู่…


 


 


แล้วทุกคนก็เร่งรี่เข้าไปหาผู้บุกรุกคนนั้น หัวหน้าทีม 43 ชื่อหวังซูพูดไม่ออกเลย “มั่วเฉิงคง เราเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่าเนี่ย ทำไมทำกันแบบนี้ล่ะ มิตรภาพเจ็ดปีของเราไม่มีความหมายเลยเหรอ”


 


 


มั่วเฉิงคงยิ้มตอบ “หวังซู ไม่ว่ายังไง นายก็ห้ามเอาตัวเขาไป”


 


 


แต่หวังซูกลับตะโกนออกมาในทันใด “มาร่วมกับทีม 43 ของเราเถอะครับท่านยอดฝีมือ! พวกเราระดมทุนให้ได้นะ!” นั่นเป็นความคิดของหวังซูเอง เอาเข้าจริงๆ แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ เงินเทียบความสำคัญกับชีวิตไม่ได้เลย และพวกเขาก็สามารถระดมทุนบริจาคจากทุกคนได้


 


 


มั่วเฉิงคงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “หวังซู นายจำได้ไหมว่าใครแบกนายไปที่สถานพยาบาลตอนที่นายข้อเท้าแพลงหลังจากแข่งบาสมาน่ะ!”


 


 


เขามีเหตุผลที่จะตื่นตระหนกแบบนี้ เพราะจุดอ่อนของหลี่ว์ซู่นั้นเห็นได้ชัดเจน เขายอมอยู่กับทีมเพื่อเงินห้าร้อยหยวนที่เขาจ่ายไว้เป็นค่ามัดจำไงล่ะ!


 


 


หวังซูตอบกลับอย่างใจเย็น “ขอโทษนะ ลืมไปแล้วอะ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเกิดนอกโบราณสถานนี่”


 


 


“อย่าหวังเชียวว่าความรวยของนายจะทำให้นายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หวังซู ยอดฝีมือของเราไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก…”


 


 


แต่เฉินจู่อานกลับถอนหายใจแล้วตบไหล่มั่วเฉิงคง “เขาเป็นคนแบบนั้นแหละ โอ๊ย! ปล่อยผมนะพี่ซู่!”


 


 


ไม่มีใครเห็นเลยว่าหลี่ว์ซู่มาข้างหลังเฉินจู่อานตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาหยิกเนื้อหลังต้นคอของเฉินจู่อานแล้วปล่อยออกจากนั้นก็คลี่ยิ้มแป้น “เรื่องระดมทุนนั่นไม่จำเป็นหรอก เพราะฉันจะไม่ไปจากทีม 42 แต่สัญญาว่าจะไปช่วยพวกนายหลังจากฉันแน่ใจแล้วว่าแนวป้องกันของทีม 42 ปลอดภัยแล้ว”


 


 


หวังซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ขอให้ผมได้ขอบคุณแทนทีมด้วยนะครับ ส่วนเรื่องระดมทุนนั่นผมไม่พูดเล่นนะ อยากมาร่วมกับทีม 43 เมื่อไหร่ก็ได้เสมอเลย”


 


 


เอาจริงแล้ว หลี่ว์ซู่คงตอบตกลงถ้าในทีม 42 ไม่มีจำนวนผู้เสียชีวิตเลย แต่ตอนนี้คนตายไปแล้วตั้งสามคน แล้วเขาจะมีหน้าทำแบบนั้นได้อย่างไร ที่สุดแล้วข้อสำคัญที่เขาเรียนรู้มาทั้งหมดในการมาหลัวปู้พัวนี่ก็คือ… ในต่างประเทศนั้นมีอิสระกว่าจริงๆ


ตอนที่ 612 ตามหาคนบนเกาะ 


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งบนกำแพงป้องกันและมองดูดวงดาวบนท้องฟ้า เขาไม่รู้เลยว่าจะใช้เวลาช่วงกลางคืนนี้ทำอะไรดี 


 


 


เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการตามหาดวงตาแห่งค่ายกล ถ้าหาเจอก็จะพาทุกคนออกไปจากสถานการณ์ยากลำบากในตอนนี้ได้ แต่ดวงตาแห่งค่ายกลถูกซ่อนไว้ใต้น้ำทะเลลึก พวกเขาจะลงไปค้นหามันได้อย่างไรกัน 


 


 


หลี่ว์ซู่มองลงไปในทะเล เขาเริ่มร้อนใจแล้ว เขาปะทุพลังสายธาตุน้ำก็เลยไม่รู้สึกกังวลเหมือนคนอื่นๆ เขาไม่ต้องห่วงเรื่องการหายใจหรือการเคลื่อนไหวใต้น้ำ กลับกันแล้วเขามีได้เปรียบมากเมื่ออยู่ใต้น้ำต่างหาก 


 


 


ถึงแม้วิธีการบังคับน้ำของหลี่ว์ซู่นั้นจะค่อนข้างประหลาด แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับการรับมือในน้ำหรอก 


 


 


หลังกองทัพจากทะเลจะถูกฆ่าตายไป ศพของพวกมันก็หายไปด้วย ขนาดเกราะทองแดงยังสลายกลายเป็นผุยผงแล้วหายวับไปเลย นี่ทำให้หลี่ว์ซู่เสียดายอยู่หน่อยๆ 


 


 


ตอนนี้เขาเก็บหอกสามง่ามมาได้มากกว่าเล่มแล้ว หลังจากที่เจ้าโกลาหลตื่นขึ้น เขาจะให้อาวุธสามง่ามพวกนี้กับมันเป็นอาหาร แต่โอกาสแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆ น่ะสิ หลี่ว์ซู่ชักอยากอาวุธให้โกลาหลเพิ่มอีก 


 


 


ตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะพอมีเกราะทองแดงร่วงหล่นอยู่แถวนี้บ้างก็ได้ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะสิ เพราะเกราะทองแดงนั้นจริงๆ แล้วก็ถือว่าเป็นอาวุธด้วย เพราะฉะนั้นจะทิ้งซากเอาไว้ก็คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ 


 


 


หลังจากหลี่ว์ซู่เก็บหอกสามง่าม เขาก็เริ่มคิดว่าเก็บเกราะทองแดงมาไว้ด้วยเป็นยังไง ถ้าสหายร่วมรบของเขาได้ใส่เกราะนี้เหมือนกันล่ะ ก็คงจะมีคนเจ็บน้อยลงใช่ไหม 


 


 


เพราะการต่อสู้นั้นทวีความดุเดือดมาก หลี่ว์ซู่เลยไม่ได้ดูว่าเขาได้แต้มอารมณ์มาเท่าไหร่บ้าง จนเขาเพิ่งมารู้สึกได้นี่แหละว่ามีอะไรแปลกๆ เพราะเขาไม่ได้แต้มอารมณ์เลยยังไงล่ะ! 


 


 


ตอนนั้นถึงเขาจะสู้กับเจ้ากระรอกแต่เขาก็ยังได้แต้มอารมณ์มาบ้างนิดหน่อย แล้วเขาจะไม่ได้แต้มอารมณ์จากทหารใต้ทะเลมาแม้แต่แต้มเดียวได้ยังไงกัน 


 


 


เดี๋ยวนะ มันมีรายชื่อที่เป็นชื่อแปลกๆ อยู่นี่ 


 


 


[แต้มอารมณ์จากเค่อลาลา +999!] 


 


 


[แต้มอารมณ์จากเค่อตัวอู๋ +1000!] 


 


 


ชื่อพวกนี้ไม่ใช่ชื่อจีนที่เห็นได้ทั่วไปเลยนี่ ถ้ามันโผล่มาแค่ชื่อเดียวก็คงบอกได้ว่าเป็นชื่อที่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ แต่พอมีสองชื่อโผล่มาติดกันแบบนี้มันชัดจะยังไงๆ อยู่ 


 


 


“งั้นพวกกองทัพใต้ทะเลนั่นก็ถูกใครควบคุมไว้อยู่สินะ เหมือนกับกิ้งก่ากินคนพวกนั้น หรือว่าเค่อลาลากับเค่อตัวอู๋เป็นคนควบคุมกิ้งก่าในพื้นที่นี้กัน?” หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอย่างหนัก “งั้นทหารใต้ทะเลอย่างเค่อลาลากับเค่อตัวอู๋มีกี่คนเนี่ย แข็งแกร่งขนาดไหนด้วย” 


 


 


หืม หลี่ว์ซู่ดูแต้มอารมณ์หนึ่งพันแต้มที่ได้มาจากเค่อตัวอู๋แล้วก็ใช้ความคิด ถ้าเป็นสถานการณ์ทั่วไป เขาจะหนึ่งพันแต้มเฉพาะตอนที่คนที่มอบแต้มให้กำลังจะตายนี่ หรือไม่ก็เฉพาะเหตุการณ์พิเศษจริงๆ เท่านั้น เขาฆ่าทหารระดับ C ไประหว่างการต่อสู้ หรือทหารระดับ C คนนั้นคือเค่อตัวอู๋หรือเปล่านะ 


 


 


ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็สรุปได้ว่าคนควบคุมน่าจะอยู่ระดับ C แน่นอนแหละว่าต้องมีคนที่แข็งแกร่งกว่าคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง หลี่ว์ซู่ไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครที่อยู่ระดับ B เลยสักคนเดียวในโบราณสถานนี้ 


 


 


ถึงโบราณสถานนี้จะไม่ใหญ่เท่าเกาะช้าง แต่ด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเช่นนี้แล้ว มีโบราณสถานแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้นแหละที่จะไม่มีสัตว์ประหลาดระดับ B เลย 


 


 


ที่โบราณสถานเกาะช้างนั้น หลี่ว์ซู่คิดว่าการพบปะกับระดับ A นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หลังจากได้อ่านกระทู้ของมูลนิธิแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าเกาะช้างนั้นเป็นโบราณสถานที่พิเศษออกไปเนื่องจากมีมารโลหิตนรกและปรมาจารย์หุ่นเชิดอยู่ 


 


 


หลี่ว์ซู่มองไปในทะเล เขาตัดสินใจว่าจะไม่กระโจนลงไปในน้ำตอนนี้ เขารู้สึกว่าจะต้องรอจังหวะเหมาะๆ ก่อน 


 


 


ในขณะที่กองพันที่ 42 กำลังนอนพัก พวกเขาสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่ที่นั่งพักอยู่บนกำแพงหินคนเดียวแล้วก็พลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา พวกเขาอยากเข้าไปนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้วยหรอก แต่หลี่ว์ซู่ไม่ยอมให้พวกเขาทำแบบนั้น 


 


 


เขากำลังรอคอยให้มีหอกสามง่ามเขวี้ยงมาอีก ถ้าให้คนอื่นไปนั่งเป็นเพื่อนด้วย เดี๋ยวคนพวกนั้นจะขโมยหอกสามง่ามของเขาเอา 


 


 


หลี่ว์ซู่รอมาได้สองสามชั่วโมงแล้วแต่ก็นยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่ว์ซู่พูดกับมั่วเฉิงคง “ไม่ต้องรีบออกมาตามหาฉันนะ เดี๋ยวไปจัดการอะไรในเกาะนี้หน่อย ฉันจะเดินไปนะ แล้วเดี๋ยวกลับมาอีกทีถ้าเสร็จเรื่องแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรจะรีบกลับมาอย่างด่วนเลย ก็บอกว่าเดี๋ยวจะกลับมาด่วนๆ เลยไง! ปล่อยฉันไปได้แล้ว!” 


 


 


มั่วเฉิงคงปล่อยหลี่ว์ซู่ออกด้วยความเขินอาย “อะแฮ่ม สัญชาตญาณน่ะ สัญชาตญาณ… ว่าแต่พี่ซู่ พี่จะไปไหน” 


 


 


“จะไปหาคน” หลังจากหลี่ว์ซู่พูดเสร็จเขาก็หายไปในความมืดบนเกาะ เขาจะไปหาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ 


 


 


เสี่ยวอวี๋นั้นนั่งอยู่ในอีกฟากหนึ่งของเกาะ เธอเป็นพวกที่มาถึงกลุ่มแรกๆ และเธอก็อยู่ที่นี่มาสิบวันแล้ว 


 


 


ใบหน้าที่เคยสะอาดสะอ้านกลับตอนนี้กลับเปือนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นมอมแมม เธอเป็นแนวหน้าของกองพันที่ 1 ในการต่อสู้มาโดยตลอด 


 


 


มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าเพื่อนที่ดีหรือเพื่อนที่ไม่ดีนั้นวัดได้ในช่วงที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เกณฑ์นี้ฟังดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ เพราะตัดสินว่าเป็นเพื่อนที่ดีหรือเพื่อนที่เหมาะสมไหมแค่เพราะคนคนนั้นยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่นไหม 


 


 


งั้นการเห็นแก่ตัวนิดๆ หน่อยๆ นั้นถือเป็นเรื่องแย่เหรอ ถ้ามีคนไม่ยอมเสี่ยงชีวิตเอาตัวเข้าแลกเพื่อเพื่อนแล้ว แปลว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนจะจบหรือเปล่า ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก 


 


 


แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นก็ยอมปกป้องชีวิตสหายร่วมรบจากกองทัพใต้ทะเล ทุกคนเลยเชื่อว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่พาพวกเขาเข้าไปสู่การต่อสู้แบบฝึกหัด พอมีคนเห็นเสี่ยวอวี๋นั่งอยู่บนกำแพงป้องกัน พวกเขาก็เลยพูดขึ้นมา “เสี่ยวอวี๋ นั่งตรงนั้นมันอันตรายนะ มานอนเถอะ เธอเองก็ต้องพักเหมือนกัน” 


 


 


“ฉันไม่เป็นไร พวกเธอไปนอนเถอะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดเรียบๆ 


 


 


เธอไม่ได้นอนมากนักหรอก ถึงแม้เธอจะเป็นพวกขี้เกียจและชอบนอนก็เถอะ เธอเป็นเหมือนเทพผู้พิทักษ์บนชายหาดนี้ เฝ้ายามปกป้องพื้นที่ของเธอไว้ 


 


 


เธอไม่ได้เป็นพวกเห็นแก่ตัวเลย หลังจากไปฝึกฝนที่ค่ายทหารกันมา เธอก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับพวกเขา ความใจดีที่พวกเพื่อนๆ มีให้ทำให้เสี่ยวอวี๋มีความคิดว่าพวกเขาไม่ควรต้องมาตายอย่างไร้เหตุผลที่นี่ 


 


 


แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นเป็นพวกดีสุดขั้วหรือชั่วสุดขีดกันนะ มันไม่มีคำตอบตายตัวหรอก แต่ที่แน่ๆ เธอรู้ว่าคนเราเปลี่ยนเป็นคนดีกันได้ 


 


 


สำหรับพวกเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักเรียนห้องเต้าหยวนแล้ว เธอไม่บ่นสักนิดเลยถึงแม้เธอจะแบกความรับผิดชอบเอาไว้หนักหน่วงเต็มบ่าของเธอ 


 


 


ทุกคนในกองพันที่ 1 นั้นเปลี่ยนอาวุธเป็นหอกสามง่ามกันแล้ว พวกเขามีกันไม่มาก แค่ร้อยคนเท่านั้น ส่วนหอกสามง่ามที่เหลือ พวกเขาก็เอาไปกองๆ กันไว้แถวๆ เท้าของเสี่ยวอวี๋ตามที่เธอสั่งมา 


 


 


กลุ่มเด็กผู้หญิงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พวกเธอเตือนหลี่ว์เสี่ยวอวี๋แล้วส่ายหัวอย่างหมดหวังก่อนเดินกลับกันไป 


 


 


“เธอไม่คิดจะพักเลยแฮะ เราทำยังไงกันดี เสี่ยวอวี๋…แข็งแกร่งชะมัดเลย” 


 


 


“ไปอยู่เป็นเพื่อนเธอกันเถอะ” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดออกมา 


เด็กผู้หญิงต่างมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร กระนั้นก็มีคนหนึ่งที่เห็นด้วย แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปทางกำแพงป้องกัน 


 


 


พวกเธอทั้งหมดนั่งบนกำแพงเป็นแถว แล้วเสี่ยวอวี๋ก็หัวเราะออกมา “พวกเธอทั้งหมดไปพักเถอะ ฉันไม่เป็นไร” 


 


 


เด็กผู้หญิงอีกคนหัวเราะออกมา “เราปล่อยให้เธอนั่งคนเดียวแบบนี้ไม่ได้หรอก เธอพูดอย่างกับว่าเราไม่ดีพออย่างนั้นแหละ เสี่ยวอวี๋ ทำไมเธอถึงแข็งแกร่งแบบนี้เนี่ย เราทนไม่ได้กันหรอกนะ” 


 


 


เสี่ยวอวี๋ยิ้มตอบแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ 


 


 


ทุกคนรู้จักนิสัยเสี่ยวอวี๋ดี เมื่อมีกองพันข้างๆ มาคุยด้วยเรื่องที่อยากจะเป็นพันธมิตรกัน เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอไม่ได้เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีอะไรขนาดนั้น ก็เลยไม่ค่อยอยากคุยกับคนแปลกหน้ามากเท่าไหร่ 


 


 


พวกผู้หญิงมักจะพูดกันว่าเสี่ยวอวี๋นั้นเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ซึ่งนี่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเธอได้รู้จักกันมากขึ้น 


 


 


แต่ไม่ว่าพวกเธอจะรู้สึกสนิทสนมกับเสี่ยวอวี๋มากแค่ไหน ถ้าเสี่ยวอวี๋ไม่อยากจะคุยกับใครก็ไม่ควรบังคับเธอให้พูดออกมา 


 


 


เธออาจจะเป็นออทิสติกอ่อนๆ ก็ได้ ทั้งเสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กันมาก่อน แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความจริง 


 


 


เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่นั้นต้องพึ่งกันและกันตลอด ทำพวกเขาจะเปิดใจให้กันและกันเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่าเสี่ยวอวี๋อาจะมีอาการออทิสติกอ่อนๆ เสี่ยวอวี๋ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว 


 


 


เพราะสำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว เสี่ยวอวี๋นั้นปกติ 


 


 


จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็ถามขึ้นมา “เสี่ยวอวี๋ ถามหน่อยสิ เธอจะเอาหอกสามง่ามพวกนั้นไปทำอะไรเหรอ” 


 


 


“หลี่ว์ซู่คงจะชอบมันน่ะ” แล้วตาของเสี่ยวอวี๋ก็กลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “เขาเป็นคนโลภมากเลยแหละ เพราะงั้นถ้าเขามาเห็นอาวุธพวกนี้แล้วก็คงมีความสุข” 


 


 


เสี่ยวอวี๋ไม่ได้แสดงฝีมือของเธอเท่าไหร่ในคราวนี้ แอนโธนี่เข้าไปซ่อนตามโขดหินและดินบนเกาะเพื่อความปลอดภัย ส่วนจอห์นสันเธอเก็บเอาไว้ในหลุมดำ 


 


 


เธอไม่ได้บอกใครเรื่องที่เขามีที่เก็บของแบบล่องหนเพราะหลี่ว์ซู่เคยห้ามเธอเอาไว้ 


 


 


“หลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่ พูดถึงหลี่ว์ซู่ทั้งวัน” เด็กคนหนึ่งล้อเธอ “ทำไมเขายังไม่มาอีกล่ะ” 


 


 


สีหน้าของเสี่ยวอวี๋หม่นลง “ไม่รู้สิ เขาคงทำอย่างอื่นที่สำคัญอยู่มั้ง” 


 


 


แต่แล้วอยู่ๆ พวกเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง “เสี่ยวอวี๋!” 


 


 


เสี่ยวอวี๋หันกลับไป แล้วเธอก็เจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งยิ้มให้เธอท่ามกลางดวงดาวบนท้องฟ้า 


 


 


เสี่ยวอวี๋ที่ใครต่อใครต่างก็เอ่ยปากชมว่าเป็นคนแข็งแกร่งพลันร้องไห้ออกมาทันที “ช้าชะมัดกว่าจะมา! ไปทำอะไรมาเนี่ย! ฉันกลัวแทบตายแน่ะว่าจะออกไปจากที่นี่คนเดียวไม่ได้! ตอนแรกที่มาเนี่ยฉันโดนทหารจากทะเลทำบาดเจ็บด้วยนะ แผลเพิ่งหายเมื่อวานเอง เจ็บมากเลย! แล้วขนมของฉันก็หมดแล้วด้วย เอาขนมมาด้วยหรือเปล่า” 


 


 


เสี่ยวอวี๋ร้องไห้น้ำตาไหลเต็มหน้าเหมือนกับน้ำตก พวกเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ อึ้งไปเลย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เสี่ยวอวี๋ผู้แข็งแกร่งกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง… 


 


 


หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ…หลี่ว์ซู่? 


 


 


พวกเด็กผู้หญิงมองหน้ากันด้วยความงงงวย พวกเธอไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นใคร แต่พวกเธอเบื่อที่จะฟังเรื่องหลี่ว์ซู่จากเสี่ยวอวี๋แล้ว 


 


 


สำหรับเสี่ยวอวี๋แล้ว หลี่ว์ซู่นั้นไม่มีใครจะเอาชนะได้ และไม่มีอะไรที่หลี่ว์ซู่จะทำไม่ได้ 


 


 


แล้วตอนนี้พวกเธอก็ได้เห็นหลี่ว์ซู่ตัวเป็นๆ สักที อืม…ก็ไม่แย่นะเนี่ย แต่ก็ไม่เหมือนกับที่คิดเท่าไหร่ 


 


 


พวกเธอเห็นหลี่ว์ซู่ยิ้มอย่างไร้เดียงสาราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้ทำอันตรายเขาได้ เขาดูเป็นคนที่…แกล้งได้ง่ายๆ เลยนี่?! 


 


 


หลี่ว์ซู่รีบเช็ดน้ำตาบนหน้าเสี่ยวอวี๋ เขาไม่เคยรู้สึกว่าเสี่ยวอวี๋เป็นเด็กขี้แง มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เธอร้อง ตอนนั้นเสี่ยวอวี๋ต้องดูแลเขาตอนที่เขาไม่สบายเป็นไข้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอร้องไห้ไปต้มน้ำไป คอยเอาผ้าอุ่นมาเช็ดหน้าเขาให้ มีอีกครั้งหนึ่งที่เขาโรมรันอยู่กับการปะทุธาตุน้ำ แล้วก็มีตอนนี้แหละ 


 


 


เธอร้องไห้เพราะเขามาสองครั้ง แต่ครั้งนี้เธอร้องเพราะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เธอไม่อยากจะรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น แต่เธอก็ยังต้องมาปกป้องชีวิตคนอื่น เธอไม่กล้าไปอวดกับคอรัลเรื่องอยากจะเป็นราชันฟ้าเลย… 


 


 


พอพวกเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เสี่ยวอวี๋เห็นเธอปล่อยโฮ พวกเธอก็เข้าใจ เสี่ยวอวี๋ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พวกเธอคิด และเธอก็ไม่ยอมให้คนอื่นเห็นจุดอ่อนของเธอง่ายๆ 


 


 


เสี่ยวอวี๋ยอมลดกำแพงของตัวเองลงแค่กับหลี่ว์ซู่เท่านั้น 


 


 


แล้วทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็คว้าเอาขนมออกมาจากตราแผ่นดินกองเป็นภูเขาวางไว้ตรงหน้าเสี่ยวอวี๋ เธอนั่งขัดสมาธิและแกะขนมออกมากิน “ช็อกโกแลตล่ะ เอามาด้วยไหม” 


 


 


“เอามาอยู่แล้ว” หลี่ว์ซู่ยื่นกล่องช็อกโกแลตสองสามกล่องให้… 


 


 


เกาะนี้ห้ามไม่ให้เอาอาหารเข้ามา พอเด็กผู้หญิงคนอื่นเห็นเสี่ยวอวี๋กินแล้วก็รู้สึกอิจฉาอยู่หน่อยๆ เสี่ยวอวี๋เลยผลักขนมบางส่วนแบ่งให้พวกเธอบ้าง “กินด้วยกันสิ” 


 


 


กลุ่มเด็กผู้หญิงดีใจกันอย่างมาก พวกเธอไม่ยั้งตัวเองและกินขนมกันคำใหญ่ คะแนนความชื่นชอบเสี่ยวอวี๋ของพวกเธอพุ่งทะลุกราฟไปแล้ว! 


 


 


ถึงพวกเธอจะรู้สึกอึ้งๆ ที่หลี่ว์ซู่มีที่เก็บของล่องหน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้ก็คือการกิน 


 


 


หลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นก็อ้าปากค้าง เสี่ยวอวี๋คนนี้เป็นคนเดียวกับคนที่ยอมให้เฟรนช์ฟรายส์เขาแค่ครึ่งอันหรือเปล่าเนี่ย 


 


 


เสี่ยวอวี๋เหลือบมองหลี่ว์ซู่ “ฉันอยากเป็นราชันฟ้า เพราะงั้นนี่ก็เป็นเรื่องที่ฉันควรทำนี่” 


 


 


“เสี่ยวอวี๋ เธอฉลาดนะ” หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมา เขาลืมไปเลยเรื่องราชันฟ้าอะไรนั่น แต่เสี่ยวอวี๋ยังคงจำได้ เขาไม่หวังให้เสี่ยวอวี๋จำได้เรื่องราชันฟ้าหรอก ตอนที่เสี่ยวอวี๋พูดถึงเรื่องราชันฟ้า หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าเธอดูนารูโตะ [1] มากเกินไป เพราะอุซึมากิ นารูโตะใฝ่ฝันอยากเป็นโฮคาเงะ [2]  


 


 


แต่แล้วจู่ๆ ก็มีหอกสามง่ามสามเล่มพุ่งมาที่เสี่ยวอวี๋ ราวกับว่าพวกมันรอเสี่ยวอวี๋ลดกำแพงลงมาโดยตลอด พวกเขาพยายามจะกำจัดเธอทิ้ง! 


 


 


พวกเด็กผู้หญิงตะโกนออกมาด้วยความตระหนก “ระวัง!” 


 


 


ในขณะที่พวกเธอร้องนั้น หลี่ว์ซู่ก็ถลาออกไปข้างหน้าแล้วคว้าหอกสามง่ามสามเล่มนั้นไว้ จากนั้นก็ขว้างหอกกลับไปทีละเล่ม เกิดเป็นฝุ่นผงลอยขึ้นเหนือน้ำจางหายไป 


 


 


หอกสามเล่มอันนั้นกำจัดทหารทั้งสามคนไปทั้งหมด! 


 


 


หลี่ว์ซู่ที่ว่านี่ไม่ใช่เด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่คิดว่าไม่มีอะไรในโลกจะมาทำร้ายอะไรเขาได้ แต่เขาเป็นยอดฝีมือที่มีคุณสมบัติจะเป็นราชันฟ้าได้เลยนี่! พวกเด็กผู้หญิงมองเขาด้วยความชื่นชม 


 


 


“นี่มัน…สุดยอดไปเลย!” 


 


 


ตอนที่พวกเธอพูดกัน จู่ๆ พวกเธอก็เห็นทะเลมีฟองฟอดขึ้นมา ตอนแรกพวกเธอคิดว่าอาจจะเป็นทหารจากทะเลที่กลับมาเพื่อโจมตีอีกครั้ง แต่พวกเธอกลับเห็นหอกสามง่ามทั้งสามเล่มกลับเข้ามาในมือของหลี่ว์ซู่ 


 


 


“พลังธาตุน้ำนี่!” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง นารูโตะ 


 


 


[2] หัวหน้าของหมู่บ้านมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนารูโตะ 


ตอนที่ 614 เกราะทองแดง


 


 


“หลี่ว์ซู่ หายไปไหนมาเนี่ย ทำไมฉันถึงเสกร่างปลอมของเธอในโบราณสถานไม่ได้” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามขณะเคี้ยวขนมตุ้ยๆ


 


 


“หา” หลี่ว์ซู่ประหลาดใจ “ฉันไม่เห็นจะได้สัญญาณอะไรเลยตอนเธอเสกร่างปลอม หรือว่าข้างในโบราณสถานนี้กับข้างนอกมันเป็นคนละโลกกัน”


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ครุ่นคิด “ช่างเถอะ”


 


 


เธออยากจะโทษหลี่ว์ซู่ในเรื่องนั้น แต่ก็คิดได้ทีหลังว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของกฎในโบราณสถาน ไม่ใช่ความผิดของหลี่ว์ซู่


 


 


พวกเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ถอนใจออกมาด้วยความเขินอายเมื่อมองหลี่ว์ซู่ก็หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่ด้วยกัน “น่ารักจัง เด็กผู้หญิงก็ต้องแบบนี้ละนะ”


 


 


“ถึงว่าแหละ เธอถึงพูดถึงแต่หลี่ว์ซู่ทั้งวัน”


 


 


“จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็น่ารักนะ พวกเธอไม่คิดบ้างเหรอ” มีใครบางคนถามขึ้นมาอย่างขวยเขิน


 


 


“น่ารักเหรอ ก็ธรรมดาๆ แหละ แต่ฉันว่าเขาเก่งมากเลย ดูจากที่เขาฆ่าทหารทะเลไปตั้งสามคนเมื่อกี้ ไม่ต้องพยายามอะไรเลยนี่! เจ๋งชะมัด! พวกเธอว่าใครเก่งกว่ากันระหว่างเขากับพวกหัวกะทิระดับ A”


 


 


“ฉันว่าเขาเก่งกว่านะ ตอนที่เฉิงชิวเฉี่ยวพูดอะไรกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นครั้งแรกน่ะ เขาถามว่าเธอเคยเห็น ‘พี่หลี่ว์ซู่’ หรือเปล่า ดูสิว่าชิงเฉียวเคารพเขามากแค่ไหน” การวิเคราะห์นี้ดูฟังเข้าท่า


 


 


“ก็จริงนะ งั้นฉันขอยกให้หลี่ว์ซู่เป็นไอดอลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!”


 


 


และในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดุดันดังมาจากกลุ่มที่เฝ้ายามอยู่ตามแนวป้องกัน “ศัตรูบุก!”


 


 


ทว่าทะเลตรงหน้าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นกลับนิ่งสงบเป็นปกติ…


 


 


หลี่ว์ซู่พุ่งตัวขึ้นไปประมาณสิบเมตรบนฟ้าเพื่อมองเกาะที่ปลอดภัยจากข้างบน เขาเห็นว่ามีการโจมตีไปทั่วทั้งเกาะยกเว้นบริเวณที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่


 


 


เขาร่อนลงมาบนพื้นและพูดว่า “เสี่ยวอวี๋ เฝ้าที่นี่ไว้กับพวกเขานะ ฉันต้องกลับไปกองพัน 42 ก่อน”


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็ไม่ได้จะบังคับให้หลี่ว์ซู่อยู่ต่อ “ได้ เจอกันหลังสู้เสร็จนะ”


 


 



 


 


ในขณะนั้น มั่วเฉิงคงและทีมก็ถอยกลับเข้ามา เขาพยายามมองหาหลี่ว์ซู่ “ยอดฝีมือคนเก่งของเราสัญญาว่าเขาจะกลับมานี่ ทำไมเขาถึงทิ้งเราไว้แบบนี้”


 


 


“มั่นใจในตัวเขาเถอะน่า” เฉินจู่อานต่อสู้อย่างดุเดือดด้วยหอกสามง่ามในมือ “เขากลับมาแน่ถ้าเขาสัญญาอย่างนั้นแล้ว ก่อนที่เขาจะมา พวกนายมาหลบอยู่หลังฉันแล้วต่อสู้กับพวกศัตรูไปด้วยกัน!”


 


 


ทันใดนั้นหอกสามง่ามก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลังพวกเขาราวกับสายฟ้าฟาด และลอยข้ามกองพัน 42 ไปปักอยู่ที่ร่างของทหารทะเลอย่างจัง ร่างนั้นปลิวไปด้านหลังด้วยแรงมหาศาลนั้น พาให้ทหารแถวๆ นั้นล้มตามลงไปด้วย ขบวนรบของพวกศัตรูแตกออกทันที!


 


 


มั่วเฉิงคงร้องตะโกนอย่างดีใจ “ยอดฝีมือคนเก่งของเรากลับมาแล้ว!”


 


 


หลี่ว์ซู่หยิบเอาหอกสามง่ามสองเล่มออกมาจากตราแผ่นดินในเวลาไม่กี่วินาทีแล้วกระโจนขึ้นจากพื้นจนทำให้พื้นและรองเท้าของเขาระเบิดออกด้วยแรงอันทรงพลังนั้น เขาร่อนลงตรงกลางโดยมีศัตรูล้อมรอบ!


 


 


ในขณะที่พวกเขากำลังรอให้หลี่ว์ซู่ฆ่าพวกศัตรูอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้น อยู่ๆ เขาก็ตะโกนขึ้นมา “อย่าฆ่ามันตรงๆ ฉันจะซัดมันให้อ่อนแรงก่อนแล้วพวกนายก็ถอดเกราะมันออกมา จากนั้นค่อยฆ่าทิ้ง! อย่าลืมเก็บเกราะไว้นะ!”


 


 


มั่วเฉิงคงไม่เข้าใจ


 


 


เฉินจู่อานเองก็พูดไม่ออก


 


 


ว่าไงนะ!


 


 


แต่พวกเขาก็ทำตามที่บอก หลี่ว์ซู่ปัดป่ายหอกสามง่ามในอากาศ ในขณะที่คนอื่นๆ นั้นลากพวกทหารจากทะเลเข้ามาในฝูงชนและทุบตีเพื่อถอดเอาเกราะพวกมันออกมาก่อน


 


 


และแล้วเด็กนักเรียนห้องเต้าหยวนผู้เชื่อฟังก็กลายเป็นคนทะลึ่งผีทะเลกันหมด…


 


 


พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าพอถอดเกราะออกและปลิดชีพพวกมันแล้ว มันจะยังคงเหลือซากเอาไว้อยู่!


 


 


“ใช้ได้ซะงั้น!” มั่วเฉิงคงประหลาดใจ


 


 


“เออแฮะ ใช้ได้จริงๆ ด้วย” เฉินจู่อานร้องอุทาน “พี่ซู่นี่เก่งเรื่องขโมยของจริงๆ ผมล่ะอายแทน”


 


 


แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนฮึกเหิมขึ้นมา


 


 


หลี่ว์ซู่ตะโกนออกไป “ถอดเกราะออกมาแล้วสู้ต่อไป!”


 


 


ไว้พวกเขาค่อยไปคุยกันทีหลังว่าจะเอายังไงกับเกราะทองแดงพวกนี้ดี ตอนนี้ต้องใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด จะได้บาดเจ็บกันน้อยลง


 


 


กระนั้นเกราะที่ถอดออกมาก็ไม่ได้ติดกันเป็นชุดเดียว เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งคนที่ใส่เฉพาะปลอกแขน หมวกนิรภัย ที่รัดคาง และเกราะขา แม้ว่าการสวมเกราะจะไม่ได้ทำพวกเขาเคลื่อนไหวลำบากอะไร แต่พอใส่แล้วก็ดูแปลกๆ เหมือนกัน!


 


 


สีหน้าหลี่ว์ซู่มืดคล้ำเมื่อได้เห็นว่าสมาชิกในทีมเชื่อฟัง ‘ดี’ ขนาดไหน แต่ก็ไม่มีเวลามาจ้ำจี้จ้ำไชอะไรแล้ว ตอนนี้ต้องหยุดการเคลื่อนไหวของฝ่ายศัตรูก่อน


 


 


แล้วในขณะนั้นพวกเขาก็ตั้งแถวเรียงกันเป็นระเบียบด้านหลัง


 


 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่คิดว่าสถานการณ์คงวุ่นวายมาก แต่ที่จริงแล้วพวกนักเรียนกลับขยันขันแข็งและทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ


 


 


และในตอนที่กำลังต่อสู้กันนั้น หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินใครบางคนตะโกนมาจากทางด้านหลัง “ฉันไม่มีเกราะส่วนอกเหลืออยู่เลย ใครมีบ้าง”


 


 


“ขอหมวกนิรภัยหน่อย ใครมีบ้าง”


 


 


“มีที่รัดคางเหลือ ใครจะเอาไหม”


 


 


หลี่ว์ซู่นิ่งอึ้งไป ก่อนร้องถาม “นี่ทำบ้าอะไรกันอยู่”


 


 


นี่ชักไปกันใหญ่ ไม่ใช่อย่างที่เขาต้องการแล้ว! มั่วเฉิงคงและคนที่เหลือดึงสติกลับมาทันที แต่แล้วก็มีใครบางคนพึมพำเบาๆ จากข้างหลัง “เอ่อ… อยากได้ที่รัดคางอ่ะ เมื่อกี้ใครบอกว่ามีนะ…”


 


 


“เลิกเสียเวลาได้แล้ว! เดี๋ยวก็จะได้ทุกอย่างที่อยากได้เองนั่นแหละถ้าไปฆ่าพวกศัตรูน่ะ!” หลี่ว์ซู่คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด


 


 


“ได้ๆ เข้าใจแล้ว” ตอนนี้สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดก็คือทำให้หลี่ว์ซู่เย็นลง เพราะฉะนั้นพวกเขาจะทำตามหลี่ว์ซู่สั่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขาอารมณ์เสียไปมากกว่านี้


 


 


หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง กองพัน 42 จำนวนกว่าร้อยคนก็อยู่ในสภาพสวมเกราะทองแดงกันอย่างครบครันเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีบางส่วนที่ยังประกอบเกราะไม่ครบเพราะศัตรูที่เข้ามาเริ่มบางตาลง


 


 


หลี่ว์ซู่มองไปยังกองพัน 43 และคิดไปถึงที่หวังซูบอก เขาบอกไว้ว่าอะไรนะ ระดมทุนใช่ไหม!


 


 


“พี่ชาย ไปช่วยกองพัน 43 กันเถอะ!” หลี่ว์ซู่นำหน้าไปและพุ่งไปสู่แนวป้องกัน แต่หลี่ว์ซู่ดูจะลืมอะไรไปบางอย่าง!


 


 


หวังซูเกือบจะฉี่แตกใส่กางเกงเมื่อเห็นว่ามีกองทัพชุดเกราะทองแดงมุ่งหน้ามาทางพวกเขา “กองพันที่ 42 โดนเก็บไปหมดแล้ว! กองกำลังช่วยเหลือของศัตรูกำลังมุ่งหน้ามา ถอย! ทุกคนถอย!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหวังซู +999]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…]


ตอนที่ 615 ระลอกเกราะทองแดง 


 


 


หลี่ว์ซู่ที่อยู่แถวหน้าของการปะทะเองก็สวมเกราะทองแดงเพื่อป้องกันไม่ให้การบาดเจ็บแล้วเหมือนกัน ถึงพวกกองทัพจากทะเลจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากได้แผลหรอก เมื่อเห็นว่าทีมของหวังซูนั้นล่าถอยกลับด้วยความกลัว หลี่ว์ซู่จึงถอดหมวกออกแล้ววิ่งตามไป “อย่าวิ่งหนี! เราเป็นฝ่ายพันธมิตร!” 


 


 


“…โห!” หวังซูร้องอุทานหลังจากเห็นหน้าหลี่ว์ซู่โผล่ออกมา 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหวังซู +199!] 


 


 


“อย่าถูกปั่น พี่น้องทั้งหลาย! พวกเขาไม่ใช่ศัตรู!” หวังซูรีบตะโกนบอก “ที่เราระดมทุนไปได้ผลด้วย! รีบไปสมทบฆ่าศัตรูร่วมกับกองพันที่ 42 กันเถอะ!” 


 


 


แล้วพวกเขาก็จิตใจฮึกเหิมกันขึ้นมา ตอนแรกพวกเขาสงสัยว่าที่ร่วมระดมทุนไปนั้นจะได้ผลหรือเปล่า แต่มันก็ได้ผลจริงๆ! 


 


 


ด้วยการนำขบวนของหวังซู กองพันที่ 43 พากันมุ่งหน้ากันไปอย่างรวดเร็วและทะลวงเข้าไปในขบวนทัพที่ถอยกันไปแล้วในฝั่งทะเล ทุกคนใจสู้กันมาก! 


 


 


จะว่าไปแล้วยุคนี้เป็นยุคที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะผู้ชายหลายคนต่างก็ใฝ่ฝันอยากลงสมรภูมิต่อสู้ดูสักครั้ง กระนั้นสำหรับผู้หญิงแล้วอาจจะไม่ใช่ เพราะผู้หญิงทุกคนไม่ได้โชคดีมีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นผู้นำทัพ 


 


 


อยู่ๆ หวังซูก็นึกขึ้นได้ว่ามีอะไรแปลกๆ ทำไมกองพันที่ 42 ถึงไม่ค่อยดุดันเลยเทียบกับก่อนหน้านี้ ว่าแต่พวกเขาไปเอาเกราะทองแดงมาจากไหนกันนะ! 


 


 


แต่แล้วจากนั้นเขาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นทีมของหลี่ว์ซู่ลากกลุ่มนักรบจากทะเลที่ไม่สามารถขยับตัวได้เข้าไปในฝูงชน แล้วลอกคราบเกราะของพวกมันออก 


 


 


จากนั้นก็สวมเกราะของพวกมันแทน! 


 


 


“กลยุทธ์บ้าอะไรเนี่ย” หวังซูแทบไม่เชื่อสายตา 


 


 


ไม่มีใครจะมานั่งคิดเรื่องเกราะเพราะมันจะสลายไปหลังจากที่พวกศัตรูตายไป แต่หลี่ว์ซู่นั้นกลับคิดแผนแยบยลขนาดนี้ออกมาได้ ทำให้สมาชิกทีมของเขาแข็งแกร่งพอก่อนที่จะถอดเกราะของศัตรูออกและทำให้ตัวเองมีพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้น 


 


 


แต่อย่างไรก็ตามกองพันที่ 43 นั้นรู้สึกขอบคุณความช่วยเหลือจากกองพันที่ 42 เป็นอย่างมาก ไม่งั้นกว่ากองเสริมของเฉิงชิวเฉี่ยวจะมาถึง พวกเขาคงตกที่นั่งลำบากกันแล้ว 


 


 


ไม่นานการเคลื่อนไหวของหลี่ว์ซู่ก็กลับมาว่องไวอีกครั้ง เขาดูราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เขาทำให้ทหารจากทะเลสามคนแน่นิ่งไป ไม่สามารถขยับตัวได้ในพริบตาเดียว เขาแข็งแกร่งแบบไม่มีใครสู้ได้เลย 


 


 


“โห! เท่มาก!” หวังซูตะโกนอย่างตื่นเต้น 


 


 


ส่วนคนอื่นๆ ในกองพันที่ 43 ก็ร่วมตะโกนไปกับเขาด้วย พวกเขาต่อสู้อย่างกล้าหาญและแบ่งมีเวลาไปสังเกตการณ์ฝั่งของหลี่ว์ซู่ด้วย 


 


 


“ถ้ากองพัน 42 เอาชนะศัตรูได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน!” หวังซูกู่ร้องอย่างสดใส 


 


 


แต่แล้วจู่ๆ กองพันที่ 42 ก็ถอยกันอีกครั้ง! 


 


 


“บ้าเปล่าเนี่ย! อย่าเพิ่งไปสิเพื่อน!” หวังซูตะโกน 


 


 


สมาชิกกองพัน 42 แต่ละคนลากข้อเท้านักรบทะเลแล้ววิ่งกลับมาในแดนของตัวเองโดยไม่ลังเล… 


 


 


นี่เป็นเพราะหลี่ว์ซู่รู้สึกว่ากลยุทธ์ต่อสู้ในตอนแรกนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพพอ พวกเขาต้องทำให้ศัตรูเคลื่อนไหวไม่ได้ในครั้งเดียวเพื่อให้ทุกคนทำงานของตัวเองได้ 


 


 


และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือทุกคนในทีมของเขานั้นได้เกราะทองแดงแบบจัดเต็มกันมา ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขายังมีเกราะเพิ่มกันมาอีกสิบชุดด้วย… 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่พอใจแค่นั้น “ไปขโมยเกราะมาเพิ่มอีก! แต่ระวังด้วยนะทุกคน! ฉันเห็นว่ามีพวกศัตรูตายไปก่อนที่เราจะเอาเกราะมาได้ด้วย! ระวังอย่าให้เป็นแบบนั้นอีกรอบล่ะ!” 


 


 


แล้วทันใดนั้นกองพันที่ 42 ก็รู้สึกตัวว่าเป้าหมายของพวกเขานั้นค่อยๆ ห่างไกลจากกองพันอื่นๆ ไปมากแล้ว… 


 


 


แต่ก่อนที่กองพัน 43 จะหาคำตอบได้ ก็มีระลอกเกราะทองแดงพุ่งกลับมาอีกครั้ง และใช้กลยุทธ์แบบเดิมด้วย… 


 


 


“พวกเขานี่แปลกที่สุดในเกาะแห่งความปลอดภัยเลยนะ” หวังซูถอนใจขณะที่เห็นหลี่ว์ซู่นำทัพออกไปอีกรอบ… 


 


 


การต่อสู้นี้กินเวลานานถึงสามชั่วโมง ครั้งนี้กองพันที่ 43 ได้รับความช่วยเหลืออย่างดีเลย เพราะการที่กองพัน 42 เข้าไปบุกรุกพื้นที่ชายหาดจนทำให้ศัตรูไม่สามารถรวมตัวกันได้ 


 


 


พอการต่อสู้จบลง หวังซูก็พาทีมมาขอบคุณกองพันที่ 42 


 


 


ในขณะนั้นที่แนวป้องกันของกองพันที่ 42 ทุกคนกำลังคุยกันอย่างมีความสุข พวกเขาไม่ได้ถอดเกราะออกกันเลยสักนิด ทุกคนดูเตรียมตัวพร้อมสำหรับการปะทะที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ 


 


 


ข้างๆ พวกเขามีเกราะทองแดงสุมกันอยู่เป็นตั้งหลายร้อยชุด… 


 


 


ดวงตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกายหลังจากเห็นหวังซูเดินเข้ามา “ยินดีต้อนรับหัวหน้าหวัง ฉันมีเรื่องธุรกิจจะคุยด้วย” 


 


 


หวังซูกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “ขอเดานะ จะมาขายเกราะทองแดงให้ใช่หรือเปล่า…” 


 


 


“ฮ่าๆ ฉลาดนี่!” หลี่ว์ซู่หน้าตาสดใส คุยกับคนฉลาดนี่มันง่ายจริงๆ! ตอนแรกเขาก็ลังเลที่จะขอเงินกันซึ่งๆ หน้า ก็มีการค้าขายนี่แหละที่เป็นทางเลือกที่พอเป็นไปได้ 


 


 


“ห้าแสนหยวนต่อชุด ไม่มีต่อ แต่จะจ่ายมาเป็นเงินมัดจำก่อนก็ได้ เป็นไงล่ะ ไม่แพงมากใช่ไหม จะเซ็นสัญญาก็ได้เหมือนกันนะ ฉันให้นายพิเศษแค่คนเดียวเลย” หลี่ว์ซู่ยิ้ม เขาเรียนรู้มาจากมั่วเฉิงคงเพื่อนรักของหวังซูว่าครอบครัวหวังซูนั้นร่ำรวย! 


 


 


หวังซูรู้ว่ามันเป็นราคาที่สมเหตุสมผล และเกราะทองแดงนี้ยังสามารถใช้แลกเป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนได้ด้วย ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดแบบนี้หลี่ว์ซู่กลับคิดวิธีขายของได้ ไม่เหมือนใครจริงๆ! 


 


 


“ขอยี่สิบชุด แล้วจะเซ็นสัญญาให้” หวังซูกัดฟันพูด 


 


 


หลี่ว์ซู่ก็ถอนใจออกมาด้วยความทุกข์ใจ เขาหันกลับไปคุยกับมั่วเฉิงคง “ตอนแรกฉันคิดว่าเขาน่าจะให้มากกว่านี้นะ…” 


 


 


หวังซูกัดฟันแน่น คนรวยๆ เกลียดอะไรมากที่สุดรู้ไหม พวกเขาเกลียดที่คนอื่นคิดว่าพวกเขาเป็นพวกไม่มีเงินน่ะสิ! “งั้นสามสิบชุด!” 


 


 


“ตกลง!” 


 


 


แค่สิบนาทีหลังจากนั้น นักเรียนห้องเต้าหยวนในชุดเกราะทองแดงก็เริ่มโฆษณากันไปปากต่อปาก กองพันต่อกองพัน แล้วบรรยากาศของเกาะปลอดภัยนี้ก็เปลี่ยนไปด้วยเหตุประการฉะนี้นี่เอง… 

 

 

 


ตอนที่ 616 พลังพิเศษ

 

กองพันที่ 42 ตอนนี้กลายเป็นขบวนค้าขายในโบราณสถานไปเสียแล้ว พวกเขาใช้โอกาสที่พวกทหารจากใต้ทะเลถอยทัพกลับไปแล้วนี้แวะเวียนไปเยี่ยมกองพันต่างๆ เพื่อโฆษณาขายเกราะทองแดงที่พวกเขามี หลี่ว์ซู่บอกว่าเขาจะให้ค่านายหน้าด้วย 


 


 


นอกจากนี้เขายังมีข้อเสนอที่สำคัญมากให้อีกอย่าง นั่นคือเขาจะไม่ขอเกราะทองแดงที่กองพัน 42 ใส่อยู่คืน 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้ว่าไม่มีใครยอมทำงานให้เขาฟรีๆ หรอก เขาให้ค่านายหน้าไปก็เพื่อให้เพื่อนๆ ทุ่มเทให้กับการขายมากขึ้น ทุกคนเตรียมใจเรื่องเกราะทองแดงนี่อยู่แล้วเพราะหลี่ว์ซู่ได้บอกพวกเขาไปเรียบร้อย เขาจะปล่อยให้คนพวกนี้ใส่เกราะทองแดงไปก่อน เพราะที่สุดแล้ว ที่พวกเขาได้ใส่เกราะทองแดงกันอยู่ตอนนี้นั้นก็เป็นฝีมือของหลี่ว์ซู่ทั้งนั้น 


 


 


ด้วยเหตุนี้หลี่ว์ซู่เลยยื่นข้อเสนอให้พวกเขา ก็เหมือนกับเขามอบเกราะทองแดงให้พวกเขาไปเลยนั่นล่ะ หลังจากกลับไปได้ พวกเขาสามารถมอบเกราะทองแดงนี้ให้กับเครือข่ายฟ้าดินได้ ถือเป็นความสำเร็จทางทหารที่ยอดเยี่ยมอย่างหนึ่ง 


 


 


หลังจากหลี่ว์ซู่ครุ่นคิดกับตัวเอง เขาก็รู้สึกว่าไม่สามารถเก็บเกราะทองแดงเอาไว้ได้ มันไม่เหมือนกับอาวุธหอกสามง่าม เกราะนี่ยกให้ผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ สวมได้ และเกราะนี้เรียกได้ว่าเป็นอาวุธกลยุทธ์ทางทหารสำหรับเครือข่ายฟ้าดินเลยทีเดียว 


 


 


ถ้าพวกเขาสามารถเอาเกราะทองแดงมาประมาณพันชุดได้ เครือข่ายฟ้าดินก็สามารถเอาไปให้ผู้บำเพ็ญสวมใส่และสร้างกองทัพกว่าพันคนขึ้นมาได้ แล้วถ้าเอากองทัพนี้ไปสู้กับผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ กองทัพก็อาจกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นสองเท่าได้ ยิ่งถ้าศัตรูเป็นผู้บำเพ็ญลับก็ยิ่งจะกำจัดได้มากขึ้น 


 


 


นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักเรียนห้องเต้าหยวนต้องมีกำลังคนมากกว่านี้ถึงจะเอาชนะทหารจากทะเลที่มีความสามารถพอๆ กับพวกเขาได้ นั่นล่ะถึงจะพอสู้กันได้อย่างสูสี… 


 


 


จากที่เขาเห็นแล้ว เกราะพวกนี้น่าจะมีประโยชน์มากกว่าถ้าไปอยู่ในมือของเครือข่ายฟ้าดิน 


 


 


เนี่ยถิงคงไม่ยอมให้หลี่ว์ซู่เก็บอาวุธพวกนี้ไว้กับตัวด้วยเหมือนกัน ตอนนี้หลี่ว์ซู่เลยมีความคิดแตกต่างออกไป 


 


 


ในสมัยที่เขาอายุได้ห้าขวบ เขาไม่อยากถูกเด็กคนอื่นๆ รังแกในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า 


 


 


พอเขาอายุได้สิบขวบ เขาอยากจะเก็บเงินได้เยอะๆ แล้วออกไปท่องโลกกว้าง 


 


 


พออายุสิบสี่ปี เขาอยากใช้เงินเก็บที่มีซื้อรองเท้าสีขาวให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ 


 


 


พออายุสิบหกปี เขาก็แค่อยากที่จะมีชีวิตรอด 


 


 


และในตอนนี้ที่เขาอายุได้สิบแปดปี เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าอยากได้อะไร เขาแค่อยากจะทำในสิ่งที่อยากทำก็เท่านั้น 


 


 


ทั้งชีวิตของเขานั้น มันไม่สำคัญหรอกที่เขาจะหาเลี้ยงพึ่งตัวเองและไม่ไปลักขโมยใคร ไม่สำคัญเลยที่เขาปฏิเสธคำชักชวนให้ไปเรียนกระบี่กับของหลี่เสียนอี หรือตอนที่เขาปฏิเสธรับตำแหน่งราชันฟ้า หลี่ว์ซู่แค่อยากจะเป็นคนดีที่ไม่อยากทำความชั่วก็เท่านั้น 


 


 


ความคิดนี้ฝังอยู่ในหัวของเขาราวกับลูกธนูที่ปักเข้าไป เป็นหลักการของชีวิตเขามาตลอด นั่นคือการพึ่งพาตัวเองและการรู้ผิดชอบชั่วดี 


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดชั่วร้ายนั้นก็เหมือนรังมดที่อยู่เหนือเขื่อนน้ำ หลายคนคงคิดว่าการทำผิดนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไร แต่รังมดนั้นได้แผ่ขยายลงไปในเขื่อนเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายแล้วคนที่คิดไม่ดีก็จะมีภัยตามมาเอง 


 


 


มีคนจากกองพัน 42 บางคนกลับกันมาบ้างแล้ว เฉินไป่หลี่รู้ดีว่าหลี่ว์ซู่นั้นกำลังเร่ขายเกราะทองแดงอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ถ้าเป็นคนอื่นคงจะถูกยึดเกราะทองแดงไปแล้ว แต่คนขายกลับเป็นหลี่ว์ซู่นี่แหละ 


 


 


เฉินไป่หลี่เลยกะว่าจะปิดตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น มีใครในโลกนี้ไม่เห็นแก่ตัวบ้างล่ะ ถ้าเขาไม่เห็นแก่ตัว เฉินจู่อานคงจะไม่ได้ไปฝึกกับพวกหัวกะทิระดับ A หรอก เฉินไป่หลี่เองก็ไม่ใช่นักบุญมาจากที่ไหน เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเป็นคนดีด้วย 


 


 


มั่วเฉิงคงที่ยืนอยู่ข้างๆ หลี่ว์ซู่เอ่ยขึ้น “เรามีเกราะทองแดงเหลืออยู่อีกเจ็ดสิบแปดชุด แต่เราคงจะขายได้แค่สามสิบชุดเท่านั้นล่ะ ทำอะไรมากไม่ได้หรอก นักเรียนบางคนไม่มีเงินจริงๆ เด็กผู้หญิงหลายคนเป็นลูกสาวเศรษฐีก็จริงแต่ก็ไม่อยากซื้อกันเท่าไหร่นัก ส่วนเด็กผู้หญิงอีกจำนวนหนึ่งที่มาฝึกทหารด้วยกันยังคิดว่าอยากจะให้คนอื่นปกป้องอยู่เลย” 


 


 


หลี่ว์ซู่ได้ยินแล้วเงียบไป “งั้นให้พวกเธอซื้อเกราะไปให้เด็กผู้ชายที่พวกเธอชอบได้ไหมล่ะ ติดอยู่ในนี้ด้วยกันมาตั้งสิบกว่าวันแล้ว จะสานสัมพันธ์กันก็คงง่ายหน่อยล่ะ…” 


 


 


เฉินจู่อานตกใจ “พี่ซู่นี่หาเงินเก่งจริงๆ! แต่แบบนั้นจะได้ผลใช่มั้ย จะมีคนใจดีซื้อของแพงๆ ให้คนอื่นด้วยเหรอ” 


 


 


“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก” หลี่ว์ซู่ตอบ “ไป ลองบอกแบบนี้กับพวกเธอดูตอนที่เอาายเกราะไปขายพวกผู้หญิง” 


 


 


เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เกาะนี้ก็ได้คำขวัญใหม่ ‘ถ้ารักเขาก็ให้เกราะทองแดงกับเขาแล้วให้เขาปกป้องเธอสิ…’ 


 


 


พอเห็นกองพันที่ 42 เร่ขายเกราะให้กับคนอื่น นักเรียนห้องเต้าหยวนก็พูดอะไรไม่ออก นี่พวกเขาเป็นนักเรียนห้องเต้าหยวนจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย 


 


 


เฉินจู่อานไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้หญิงที่ไหนที่ซื้อเกราะนี่ไปจริงๆ … 


 


 


“บ้าหรือเปล่าเนี่ย” เฉินจู่อานพูดไม่ออก “พวกหล่อนคิดจะให้ของราคามากกว่าห้าแสนหยวนกับคนอื่นง่ายๆ แบบนั้นเลยน่ะนะ!” 


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะชอบใจ “ก็ถ้ามันเป็นแค่เกราะเฉยๆ ก็อาจจะขายไม่ออก แต่มันช่วยเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งได้มากขึ้น นักเรียนห้องเต้าหยวนก็ต่างอยากจะเลื่อนระดับกันทั้งนั้นนี่ หลายคนที่ติดอยู่แค่ระดับ D ถ้าได้เกราะที่สามารถเพิ่มพลังให้ได้แถมยังเป็นเหมือนเครื่องรางแห่งความรักห้อีก ทำไมพวกเขาจะไม่อยากได้ล่ะ มีผู้ชายคนไหนไม่ดีใจที่ได้ใช้เงินของคนอื่นมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้ตัวเองกัน” 


 


 


มีข่าวลือบนเกาะว่ากองพันที่ 42 นั้นไม่ธรรมดา ราวกับว่าจู่ๆ ก็มีคนไม่ธรรมดามาร่วมขบวนด้วยอย่างนั้นแหละ! 


 


 


มีคนถามเฉินจู่อานว่าได้เกราะทองแดงมาอย่างไร เฉินจู่อานก็ตอบไปตามที่หลี่ว์ซู่บอกมาเป๊ะๆ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถหาเกราะมาได้หรือไม่ วิธีการไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา 


 


 


หลี่ว์ซู่บอกความลับนี้ออกไปก็ไม่ได้เสียอะไรหรอก หากคนอื่นๆ หาเกราะมาใส่เองได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่พวกเขาเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอดได้ 


 


 


เฉินจู่อานรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นทั้งเทวดาและซาตาน เขากล้าทำธุรกิจในที่อันตรายแบบนี้แต่ผู้คนก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนใจดีอย่างไม่มีข้อแม้… 


 


 


ความรู้สึกนี้ทำให้เฉินจู่อานนั้นสับสนจนจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว… 


 


 


มั่วเฉิงคงถามขึ้นมาอย่างสงสัย “จู่อาน พี่ซู่เป็นคนแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ” 


 


 


เฉินจู่อานถอนใจตอบ “ถ้าได้เจอเขาเมื่อก่อนละก็ รับรองว่านายหมดตัวแน่ กางเกงนายก็ไม่เว้นหรอกนะ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ อย่างน้อยตอนนี้นายก็มีชุดเกราะมาเพิ่มพลังตัวเองนะ” 


 


 


มั่วเฉิงคงนั้นเหมือนจะหายไปในความคิดตัวเอง “จู่อาน ฉันได้ยินว่านายพยายามทำตัวสนิทสนมกับพี่ซู่มาตลอดเหรอ” 


 


 


ท้ายที่สุดแล้วความคิดของเฉินจู่อานก็ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ถ้าหลี่ว์ซู่ทำอะไร เขาก็จะทำตามทุกอย่างที่หลี่ว์ซู่ปล่อยให้เขาทำ 


 


 


เฉินจู่อานครุ่นคิดอย่างหนัก เขาอยากจะพูดออกไปว่า ‘ไม่หรอก ฉันแตกต่างจากนายนะ’ แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ถอนใจตอบอีกรอบ “อืม ใช่… เดี๋ยวนะ ฉันสงสัยมาสักพักแล้วล่ะ นายทำตัวสนิทกับพี่ซู่อย่างนี้ได้ยังไงกัน” 


 


 


มั่วเฉิงคงนิ่งไปนานกว่าจะตอบออกมา “เป็นความสามารถที่ปะทุขึ้นมาน่ะ ฉันไม่เคยพลาดเลยนะ” 


 


 


เฉินจู่อานอึ้งไป เขาอ้าปากเพื่อจะพูดแต่ก็ไม่มีคำพูดอะไรเล็ดลอดออกมา เขาทำได้แต่พึมพำออกไปคำเดียวเท่านั้น “สุดยอด!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม