ลำนำสตรียอดเซียน 61-89

 61 สำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แห่งสำนักจื่อซย่า

 


 


หลายวันต่อมา สำนักอวิ๋นอู้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แห่งสำนักจื่อซย่าอย่างเป็นทางการ


 


 


เมื่อนางได้รับอิสรภาพคืน โม่เทียนเกอรีบลงจากเขาไปพบท่านอารองเพื่อไปตรวจสอบว่าเขาสบายดีหรือไม่และเพื่อแจ้งเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น


 


 


เยี่ยเจียงเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดกับนาง “เจ้าต้องตั้งใจฝึกตน เจ้าไม่ต้องทำอะไร และเจ้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว ตราบใดที่เจ้าสามารถสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าได้ มันไม่ได้สำคัญเลยว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนในกลุ่มไหน”


 


 


ด้วยความสัตย์จริง โม่เทียนเกอไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับสำนักเท่าไร ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา มีเพียงท่านอารองที่พานางท่องไปทั่ว ทุ่มเททุกอย่างให้กับนาง และเลี้ยงนางจนเติบโต สำนักอวิ๋นอู้ไม่ได้ทำอะไรเพื่อนาง และนางเองก็ไม่ได้มีความข้องเกี่ยวโดยตรงกับสำนักมากนัก ในขั้วแห่งท้องฟ้าทั้งหมด หรืออาจจะทั่วโลกแห่งการฝึกตน คนส่วนมากล้วนยอมรับความจริงในข้อนี้แทบทั้งนั้น


 


 


การเข้าถึงระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ตอนนี้นางสามารถเลิกกินอาหารได้แล้ว และเพราะเหตุนั้น นางจึงขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คงความเสถียรให้กับดินแดนการฝึกตนและเรียนรู้เกี่ยวกับม่านพลัง ก่อนหน้านี้ นางไม่มีเวลาที่จะศึกษาหนังสือเกี่ยวกับฉีเหมินตุ้นจย่าที่นางได้มาจากหุบเขาหมีอู้เมื่อสองปีก่อน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับนางที่จะสามารถศึกษามันอย่างรอบคอบ


 


 


ในช่วงเวลาที่นางเก็บตัวเองอยู่ในห้อง ผลกระทบของการที่สำนักถูกยึดครองมีเพิ่มขึ้นอย่างหนักหน่วง สำนักจื่อซย่าส่งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคนเข้ามาควบคุม ตอนนี้ไม่มีเจ้าสำนัก มีเพียงแค่หัวหน้าสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้เท่านั้น


 


 


ผู้ที่รับหน้าที่หัวหน้าสำนักย่อยก็เป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกไปจากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากกลุ่มเจียง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเจียงซั่งหังนัก ความสัมพันธ์ของเขากับกลุ่มไม่ได้ใกล้ชิดขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความบาดหมางเกิดขึ้นระหว่างเขากับเจียงเฉิงเซียนอีก ดังนั้นจึงถือว่าดีมากแล้วที่เขาไม่ได้ถูกรังแก แล้วเขาจะได้รับการดูแลพิเศษได้อย่างไร


 


 


นอกเหนือไปจากสมาชิกของกลุ่มเจียง ก็ไม่มีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนไหนสามารถจะหลบหนีไปจากหายนะที่เลวร้ายนี้ได้ ขนาดกลุ่มผู้ฝึกตนยังได้รับผลกระทบ เพราะศิษย์ของสำนักส่วนมากมาจากกลุ่มผู้ฝึกตน สำนักจื่อซย่าจึงใช้คำขู่และคำสัญญา นอกจากการเชือดไก่ให้ลิงดู ถ้าจะให้พูดถึงก็คือการฆ่าศิษย์บางคนในแต่ละวันเพื่อเปลี่ยนให้ทุกๆ วันของพวกเขามีแต่ความหวาดกลัว


 


 


ตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขาส่วนมากที่อาศัยอยู่ที่สวนแห่งนี้เป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวผู้ซึ่งเข้าร่วมสำนักมาจากการรวมพลเซียน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนักในการนี้ อย่างไรก็ตาม มีศิษย์บางคนที่ได้รับผลกระทบและถูกฆ่าตาย ซึ่งถือว่าโชคดีที่สวีจิ้งจือไม่ได้อยู่ในกลุ่มเหล่านั้น


 


 


ในภายหลัง โม่เทียนเกอได้ยินว่าหวังเชี่ยนอีแต่งงานกับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังผู้สืบทอดจากสำนักจื่อซย่าและย้ายไปอาศัยอยู่ที่นั่น ผลที่ตามมา กลุ่มหวังจึงรอดอย่างหวุดหวิดและไม่ได้รับการติดตามสืบสวนอีกต่อไป


 


 


ด้วยเหตุนี้เอง โม่เทียนเกอจึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างหนัก สำหรับผู้หญิง สุดท้ายแล้วร่างกายของพวกเขาก็คือสมบัติชิ้นสุดท้าย ศิษย์พี่หวังเป็นผู้หญิงที่ภูมิใจในตัวเอง ถึงแม้ว่านางมีพ่อที่เป็นผู้ฝึกตนอยู่ในระดับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางก็ไม่เคยหยิ่งทะนงตัว อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วนางก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้


 


 


โม่เทียนเกอนึกย้อนไปช่วงเวลาที่เจอนางกับเฉินปิงที่หุบเขาหมีอู้ เมื่อพวกนางถูกคุกคามด้วยคำพูดหยาบโลนลามก ถึงแม้ว่าเฉินปิงจะโกรธจัด แต่ก็ควบคุมตัวเองกลับมาได้ ในทางกลับกัน หวังเชี่ยนอีมีแต่สบถคำสาปแช่งออกมา เมื่อนึกถึงตอนนี้ที่หวังเชี่ยนอีถูกบังคับให้แต่งงานกับลูกชายผู้สืบทอดของครอบครัวผู้มีอิทธิพล ผู้ซึ่งเป็นคนประเภทที่นางรังเกียจที่สุด จริงๆ แล้ว… ไม่มีใครสามารถควบคุมโชคชะตาได้


 


 


ระยะเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง โม่เทียนเกอก็ได้ยินข่าวสารบางอย่างเพิ่มเติม เฉินปิงถูกบังคับให้เป็นเมียน้อยของลูกชายเจ้าสำนักหลี่ ความงามและความสามารถของศิษย์พี่เฉินปิงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งสามกลุ่มผู้ฝึกตน ศิษย์หลายคนจากทั้งสามกลุ่มนั้นต่างชื่นชอบนาง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่เฉินปิงจะตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ความงามเป็นความโชคดี แต่ก็เป็นรากแห่งปัญหาได้หากนางไม่ได้ปลอมตัวเป็นผู้ชายและซ่อนสัดส่วนของผู้หญิงไว้ บางทีในวันนี้นางก็คงไม่มีจุดจบที่ดีเช่นกัน


 


 


โชคดีที่มู่หรงเยียนไม่ได้ตามรอยพวกนางไป เฉินปิงเสียสละตัวเองเพื่อช่วยนางไว้


 


 


หลายวันต่อมา โม่เทียนเกอได้รับเครื่องรางเรียกขานจากมู่หรงเยียน หลังจากที่นางผ่านช่วงเวลาที่โชคร้ายมาได้ นางได้ระบายถึงความไม่พอใจและความตั้งใจของนางที่จะขยันฝึกตน นอกเหนือจากการส่งเครื่องรางเรียกขานกลับไปพร้อมคำอวยพร โม่เทียนเกอก็ทำอะไรนอกเหนือไปจากนั้นไม่ได้แล้ว


 


 


หลายเดือนผ่านไป พายุที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากการผนวกรวมกันของทั้งสองกลุ่มค่อยๆ สงบลง


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอออกมาจากห้องของนาง นางก็เห็นว่าสหายสามคนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น นางรู้สึกแปลกใจอย่างช่วยไม่ได้พร้อมพูดว่า “พวกท่านทำอะไรกัน”


 


 


หลิ่วอีเตากวักมือเรียกนาง “ศิษย์น้องเยี่ย มานี่สิ มาปรึกษาร่วมกันหน่อย”


 


 


ด้วยคำถามที่เต็มไปหมด นางเดินเข้าไปหาพวกเขาและหาที่นั่งของตัวเอง นางไม่เชื่อว่าไม่ได้มีปัญหาเกิดขึ้น หลิ่วอีเตาและสวีจิ้งจือมารวมกันตรงนี้ก็หาใช่เรื่องแปลก ทั้งสองคนมีนิสัยที่เปิดเผยอยู่แล้ว ดังนั้นการรวมตัวและพูดคุยถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ตาม ฉินซีไม่เคยออกมาจากห้องของเขานอกเหนือจากมีเรื่องจำเป็น เขาจะอยู่ข้างนอกก็ต่อเมื่อมีปัญหาหรือหัวข้อที่พวกเขากำลังคุยกันเป็นเรื่องที่เขาสนใจ


 


 


หลิ่วอีเตาถามอย่างตื่นเต้น “ศิษย์น้องเยี่ยยังไม่ได้ยินเกี่ยวกับข่าวใหม่ล่าสุดใช่หรือไม่”


 


 


“ข่าวอะไร”


 


 


หลิ่วอีเตาทำให้รู้สึกว่ามีเงื่อนงำและหยุดไปชั่วระยะหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “ข่าวเกี่ยวกับยาสร้างฐานแห่งพลัง”


 


 


“อา…” นางเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หลังจากเกิดการทำลายล้างของสำนัก นางก็ลืมเกี่ยวกับการแข่งขันย่อยที่ควรจะถูกจัดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา “เกิดอะไรขึ้นหรือ พวกเขาจะจัดการแข่งขันย่อยอีกครั้งอย่างนั้นหรือ”


 


 


หลิ่วอีเตาส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยความตื่นเต้นถึงขีดสุด “ข้าได้ยินข่าวมาว่าเพื่อที่จะปลอบใจศิษย์ของสำนัก พวกเขาจะเพิ่มจำนวนยาสร้างฐานแห่งพลังที่จะมอบให้ และช่วยเหลือด้วยการเปลี่ยนวิธีในการมอบให้พวกเราด้วย”


 


 


“วิธีในการมอบคืออะไร พวกเราไม่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันย่อยแล้วหรือ”


 


 


หลิ่วอีเตาพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ครั้งนี้การแข่งขันย่อยถูกยกเลิกไปแล้ว”


 


 


ด้วยความสงสัย โม่เทียนเกอจึงถามต่อ “แล้วพวกเขาจะใช้วิธีในการมอบแบบไหนกัน”


 


 


สวีจิ้งจือผู้ที่นิ่งเงียบอยู่พูดขึ้นมาอย่างถากถาง “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะมีคนตายมากเกินไปแล้ว การที่จะจัดการแข่งขันย่อยจะทำให้พวกเขาดูเป็นคนที่เย็นชาและไร้ความปรานี ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนหลักการใหม่”


 


 


อารมณ์ของสวีจิ้งจือไม่สู้ดีนัก ถึงแม้ว่ากลุ่มสวีจะไม่ได้ติดร่างแหเข้ามาด้วย แต่พวกเขาก็อยู่ในช่วงเวลายากลำบากเช่นกัน สวีจิ้งจือนั้นมีท่านอาผู้ฝึกตนระดับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ท่านหนึ่งแต่เพราะท่านอาของเขาสนิทชิดเชื้อกับเจ้าสำนักฟัง ท่านอาของเขาจึงถูกบังคับให้กลับไปที่กลุ่มของเขาอย่างลับๆ โชคดีที่อาของเขารีบประกาศจุดยืนจึงทำให้ผู้อื่นไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินปิงและหวังเชี่ยนอีทำให้สวีจิ้งจือ ผู้ซึ่งเป็นเด็กของกลุ่มผู้ฝึกตนเช่นกันรู้สึกมีความเคียดแค้นอยู่ในใจ


 


 


เมื่อเห็นเขามีอารมณ์เช่นนี้ ฉินซีทำกระแอมเสียงอย่างไม่ตั้งใจก่อนพูดว่า “ศิษย์น้องสวี เจ้าใจเย็นและสงบจิตใจตัวเองสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วก่อน ตอนนี้คนที่อยู่เหนือเราคือสำนักจื่อซย่านะ”


 


 


ถึงแม้สวีจิ้งจือจะแสดงพฤติกรรมที่แข็งกระด้าง สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังคงเชื่อฟังแล้วทำตามเสียงนั้น เข้าเขาใจถึงความจริงข้อนี้ดี แต่ตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก เขาได้อะไรต่างๆ มาอย่างง่ายดาย นอกเหนือไปจากการแข่งรวมพลเซียนแล้ว เขาไม่เคยที่จะต้องผ่านเรื่องราวความโศกเศร้าเช่นนี้ ผลที่ตามมา เขาจึงไม่สามารถเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองได้


 


 


การพูดแทรกนั้นทำให้หลิ่วอีเตารู้สึกลำบากใจอย่างมาก สวีจิ้งจือกำลังอารมณ์ไม่ดีแต่เขาเองกลับรู้สึกตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม เขารีบซ่อนอารมณ์ตัวเองและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าสัตว์ปีศาจที่อยู่ลึกเข้าไปในอาณาเขตของเขาคุนอู๋นั้นต่างกระสับกระส่ายและกำลังจะทำให้เกิดปัญหา พวกกลุ่มเล็กๆ บริเวณที่อยู่ใกล้เคียงพวกเราเริ่มทำร้ายผู้คนอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุนั้น สำนักจึงตัดสินใจที่จะให้พวกเราที่เขาอวิ๋นอู้ได้รับรางวัลตามจำนวนของสัตว์ปีศาจที่เราจับได้ในหนึ่งวัน ศิษย์ที่อยู่อันดับต้นสิบกว่าคนจะถือว่ามีคุณสมบัติที่จะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังไป”


 


 


“อย่างนั้นเอง…” โม่เทียนเกอพูดพร้อมขมวดคิ้ว ทางใต้สุดของเทือกเขาคุนอู๋รวมถึงป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล พื้นที่นั้นได้รับการบอกกล่าวกันถึงเหล่าสัตว์ปีศาจระดับสูงนับไม่ถ้วน สำหรับพื้นที่บริเวณรอบๆ สำนักของพวกเขา มีเพียงสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งและสองเท่านั้น


 


 


กลุ่มพวกระดับหนึ่งนั้นเทียบเท่าได้กับดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณ ในขณะที่กลุ่มระดับสองจะเทียบเท่ากับระดับต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ตราบใดพี่พวกเขาคอยระวังตัว ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอย่างพวกเขาสามารถจัดการสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน สำหรับสัตว์ปีศาจระดับสองนั้น… ถึงแม้ว่าจะจัดการได้ยากกว่า แต่สัตว์ปีศาจนั้นใช้ม่านพลังและเครื่องรางไม่ได้อย่างพวกเขา พวกสัตว์ที่ใช้พลังเวทได้นั้นมีน้อยนัก ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณก็ยังสามารถฆ่าพวกมันได้ถ้าพวกเขาร่วมมือและจู่โจมพร้อมกัน ถึงแม้จะไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสที่จะหนีได้อยู่ดี


 


 


กระนั้นก็ตาม เมื่อเทียบกับการจัดการแข่งขันย่อย วิธีนี้ก็ฟังดูดีทีเดียว ในการแข่งขันย่อย ถึงแม้ว่ามีคนที่แข็งแกร่งมากพอ แต่ถ้าต้องเผชิญเข้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งพอๆ กัน ฝ่ายหนึ่งจะต้องออกจากสังเวียนในฐานะผู้แพ้ ถ้านึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็เป็นเพียงแค่รูปแบบสิทธิพิเศษที่ใช้ปลอบใจเหล่ากลุ่มผู้ฝึกตนเท่านั้น เพราะกลุ่มผู้ฝึกตนมีกำลังคนค่อนข้างมาก พวกเขาเพียงแค่ต้องมุ่งเป้าหมายไปที่สมาชิกกลุ่มเพียงแค่หนึ่งคนเพื่อให้ได้มาซึ่งยาสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น


 


 


ในทางกลับกัน สำหรับศิษย์คนอื่นๆ ไม่มีใครต้องการที่จะเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น สุดท้ายแล้วสิ่งที่พวกเขาอาจได้รับจากการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจอาจจัดว่าเป็นของรางวัลก็ได้


 


 


“พวกเราสามารถสู้ร่วมกันเป็นกลุ่มได้หรือไม่”


 


 


หลิ่วอีเตาส่ายหัว “งานนี้แตกต่างจากหุบเขาหมีอู้ ครั้งนี้ศิษย์ของพวกเราจะต้องแข่งกันเอง และแน่นอน ถ้าพวกเราบังเอิญเจอกันข้างใน การเดินทางร่วมกันนั้นเป็นไปได้ แต่โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นน้อยเหลือเกิน ป่าในเขาแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปนัก…”


 


 


โม่เทียนเกอเริ่มที่จะทำการคิดคำนวณอยู่ภายในจิตใจ กฎในครั้งนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือนางไม่ต้องกังวลวว่าจะมีคนเห็นนาง นางสามารถใช้วิธีการแบบไหนก็ได้ที่ต้องการ ส่วนข้อเสียคือนางจะต้องเพิ่มการระมัดระวังตัวให้มากขึ้นอีกเท่าหนึ่ง สุดท้ายแล้วนางก็ต้องต่อสู้กับสัตว์ปีศาจ ถ้านางไม่ระมัดระวังตัวมากพอ นางอาจจะถูกฝังอยู่ภายในกรามของเหล่าสัตว์ปีศาจก็เป็นได้


62 การออกเดินทางล่าปีศาจ

 


ป่ากว้างใหญ่แผ่ขยายไปไกลสุดลูกหูลูกตา พืชพรรณเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ปกคลุมกว่าหลายพันไมล์ไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


โม่เทียนเกอยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน มองสภาพรอบตัวในความเงียบ ที่นี่คือสุดเขตทางใต้สุดของแนวเทือกเขาคุนอู๋ ณ บริเวณที่แบ่งขอบเขตบางส่วนของป่า สัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ที่นี่ แม้ว่าบางตัวจะถูกเลี้ยงโดยผู้ฝึกตนและกลายเป็นสัตว์วิเศษ แต่ส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ในป่านี้อย่างอิสระ ทั้งใช้ชีวิต ฝึกตน และเปลี่ยนรูปร่าง


 


 


ตามตำนานว่ากันว่าในส่วนที่อยู่ข้างในสุดของป่า ณ บริเวณที่ใกล้ทะเลที่สุด มีสัตว์ปีศาจที่ได้เปลี่ยนรูปร่างและใช้รูปลักษณ์ของมนุษย์อาศัยอยู่ ถึงแม้ว่าโดยปกติพวกมันจะไม่ออกมาจากป่า ทว่านานๆ ครั้ง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะสั่งการสัตว์ปีศาจระดับต่ำกว่าให้ไปยึดเขตแดนที่เป็นของมนุษย์ผู้ฝึกตน


 


 


โดยทั่วไปภายใต้สถานการณ์ปกติ สัตว์ปีศาจมักจะทำไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในการจู่โจมแต่ละครั้ง พวกมันจะได้รับยาวิเศษไปมากมายซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อช่วยการฝึกตนของมันได้ เพราะเหตุนี้ พวกมันจึงชอบโจมตีเขตที่เป็นของมนุษย์ผู้ฝึกตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


 


เมื่อไหร่ที่การโจมตีมาถึงก็เหมือนกับการเสี่ยงโชคทุกครั้ง บางครั้งความเสียหายที่มนุษย์ผู้ฝึกตนต้องเจอนั้นยิ่งกว่าหายนะ ในขณะที่บางครั้ง พวกเขาจะเก็บซากของสัตว์ปีศาจจำนวนมากที่ยังอยู่ในสภาพดี ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการขัดเกลาเครื่องมือต่างๆ ได้


 


 


โม่เทียนเกอไม่เคยเจอประสบการณ์นี้มาก่อน นางเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับต่ำที่ไม่สำคัญอะไร ซึ่งอยู่ในเขาคุนอู๋มาประมาณแค่สิบปีเท่านั้น ในขณะที่การก่อกบฏของสัตว์ปีศาจครั้งล่าสุดนั้นเกิดขึ้นอย่างต่ำก็ห้าสิบถึงหกสิบปีมาแล้ว


 


 


ที่ยืนอยู่ข้างนางบนหน้าผาสูงชันนี้คือผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าสิบคน เช่นเดียวกับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายร้อยคน


 


 


ผลที่ตามมาจากการผนวกสำนักอวิ๋นอู้เข้ากับสำนักจื่อซย่าเห็นได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ตอนที่การแข่งขันย่อยภายในถูกจัดขึ้น ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณของสำนักอวิ๋นอู้ที่อยู่ระดับเจ็ดและสูงกว่ามีจำนวนมากกว่าสี่ร้อยคน แต่ปัจจุบันนี้ จำนวนของพวกเขาอาจจะยังมีไม่ถึงสามร้อยคนด้วยซ้ำ


 


 


ท่ามกลางผู้ฝึกตนเหล่านี้ โม่เทียนเกอไม่เห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันหลายคน ศิษย์พี่โจวไม่ได้มาด้วย เพราะระดับการฝึกตนของเขาเข้าถึงดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสิบเอ็ดแล้ว ทำให้เขาได้ส่วนแบ่งยาสร้างฐานแห่งพลังไปโดยปริยาย นอกจากนี้ ทางสำนักก็เพิ่งจะผ่านความพินาศมา เขาไม่อยากจะดึงดูดความสนใจคนอื่นจึงไม่ขอเข้าร่วม


 


 


หวังเชี่ยนอีและเฉินปิงก็ไม่มาเช่นกัน ทั้งคู่ต้องไปอาศัยอยู่ในสำนักงานใหญ่ของสำนักจื่อซย่า นางยังได้ยินมาอีกว่าทั้งสองคนถูกเลือกให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังมานานแล้ว ข่าวนี้ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยการเสียสละของพวกเขาก็ไม่ได้สูญเปล่า


 


 


มู่หรงเยียนเข้าร่วมด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ นางดูซีดเซียวและสวีบผอม ยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่มีเค้าของหญิงสาวที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นคนสวยเหลืออยู่ เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของนางเช่นนั้น โม่เทียนเกอทำได้แค่ถอนหายใจอยู่ภายใน แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยแบบนี้นางก็ไม่ต้องเจริญรอยตามเฉินปิงและหวังเชี่ยนอี


 


 


ในไม่ช้า กลุ่มคนปรากฏตัวขึ้นบนเส้นขอบฟ้าและเหาะมาทางพวกเขาก่อนที่คนพวกนั้นจะร่อนลงที่หน้าผาสูงชันนี้ พวกเขาคือศิษย์จากโรงเรียนจินเตา เหมือนกับศิษย์ของสำนักอวิ๋นอู้ แม้ว่าสีของชุดคลุมจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่มีสัญลักษณ์ของสำนักจื่อซย่าเพิ่มเข้าไปบนชุดคลุมของพวกเขา


 


 


จากการคาดคะเนของนาง โรงเรียนจินเตามีศิษย์ราวๆ หนึ่งร้อยคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ผ่านช่วงเวลาการกวาดล้างมาเหมือนกันเพราะทุกคนดูท้อแท้สิ้นหวัง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง แต่ก็ไม่มีใครที่ดูตื่นเต้นกับเรื่องนี้นัก ชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาเผชิญนั้นน่าสลดยิ่งกว่าที่สำนักอวิ๋นอู้ต้องเผชิญ


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่นำทางพวกเขามาคือชาวเต๋าในชุดคลุมแบบของโลกมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ โม่เทียนเกอจึงมองดูเขาอยู่นาน แม้ว่าผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะทุกคนในโลกแห่งการฝึกตนจะศึกษาปรัชญาแห่งเต๋า แต่ชุดนักพรตเต๋าของพวกเขาหลายชุดก็มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากของโลกมนุษย์


 


 


ในโลกมนุษย์ นักพรตเต๋าส่วนใหญ่จะใส่ชุดคลุมแบบติดกระดุมสีดำหรือไม่ก็สีน้ำเงินเข้ม หนาแต่ไม่ได้มีหลายชั้น ในทางกลับกัน ชุดนักพรตเต๋าส่วนใหญ่ในโลกแห่งการฝึกตนถูกตกแต่งให้สวยงาม ทั้งเสื้อผ้าด้านใน ชุดคลุมมีกระดุม ชุดคลุมด้านนอก และอีกหลายชั้นล้วนถูกปักด้วยลวดลายตรีลักษณ์ทั้งแปดและหยินหยาง สีสันหลากหลายแตกต่างกันถูกใช้เพื่อจำแนกแต่ละฝ่าย ดังนั้น พวกเขาจึงดูสง่างามแต่ก็ยังคงความรู้สึกเคร่งขรึม เมื่อเทียบกับนักพรตเต๋าในโลกมนุษย์ พวกเขายิ่งดูสวยงามประณีตและสูงศักดิ์ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงแทบไม่ใส่ชุดนักพรตเต๋าจากโลกมนุษย์ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงกิริยาอาการได้อย่างคนที่มาจากโลกผู้ฝึกตน


 


 


นักพรตเต๋าที่อยู่ตรงหน้านางคือผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างแน่นอน แต่กระนั้น เขากลับไม่สนใจเครื่องแต่งกายของเขาแม้แต่น้อย จากข้อเท็จจริงนี้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้คือคนที่มีจิตใจแห่งเต๋าอันหนักแน่น


 


 


เมื่อคนผู้นี้ปรากฏกายขึ้น หัวหน้าประจำสาขาเขาอวิ๋นอู้คนปัจจุบัน หัวหน้าสำนักย่อยเจียงทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะศิษย์พี่หลิน”


 


 


อย่างไรก็ตาม นักพรตเต๋าผู้นี้ไม่ได้แสดงความเคารพเขามากนักและเพียงแค่ส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ ก่อนจะหลับตาพัก


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงดูค่อนข้างอับอายหลังจากถูกเมินใส่


 


 


จากที่โม่เทียนเกอเห็น ศิษย์สำนักอวิ๋นอู้หลายคนดูจะแอบดีใจกับเรื่องนี้ เหมือนอย่างเช่นสวีจิ้งจือ เป็นต้น


 


 


ในทางกลับกัน เจียงซั่งหังดูค่อนข้างโกรธ ราวกับว่าเขาไม่สามารถทนเห็นสิ่งที่ผู้อาวุโสของเขาทำลงไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความเกลียดชังเผยอยู่เต็มหน้าเขาในขณะที่เขาจ้องไปยังผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวหน้าสำนักย่อยเจียง


 


 


โม่เทียนเกอพบว่าคนผู้นั้นคือเด็กจากกลุ่มเจียงที่ครั้งหนึ่งเคยรังแกเขา เจียงเฉิงเสียน เห็นได้ชัดว่า เจียงเฉิงเสียนคนนี้เป็นผู้สืบสกุลโดยตรงของหัวหน้าสำนักย่อยเจียง เขามักจะอยู่ข้างๆ หัวหน้าสำนักย่อยเจียงเสมอและดูภาคภูมิใจในตัวเองมาก


 


 


ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังจะไม่สนิทกัน นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรังเกียจเจียงเฉิงเสียนคนนี้หลังจากได้เห็นฉากตรงหน้า ลูกชายอภิสิทธิ์ชนของวงศ์ตระกูลทรงอิทธิพล ผู้ที่หวังพึ่งแต่เชื้อสายและผู้อาวุโสของตัวเองเพื่อทำตัวไร้ศีลธรรม ไม่เคยมุ่งมั่นกับการฝึกตนและไม่มีความสามารถอะไรที่แท้จริง… ไม่น่าแปลกใจที่เจียงซั่งหังจะรู้สึกว่าขัดหูขัดตา


 


 


หลังจากผ่านไปสักพัก กลุ่มคนอีกกลุ่มก็ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าและลอยมาทางพวกเขา จำนวนคนในกลุ่มนั้นมีมากกว่าจำนวนศิษย์ของทั้งสองกลุ่มรวมกันเสียอีก คนกลุ่มนั้นคือศิษย์แห่งสำนักจื่อซย่า


 


 


ผู้ฝึกตนที่นำทางศิษย์สำนักจื่อซย่าดูค่อนข้างเป็นมิตร แต่เมื่อเจอกับหัวหน้าสำนักย่อยเจียง เขาก็ดูเฉยเมยเช่นกัน แต่กระนั้น เขากลับนอบน้อมมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักพรตเต๋าคนนั้น


 


 


หลังจากทั้งสามคนสนทนากันสั้นๆ ทั้งหมดจึงเรียกอาวุธวิเศษประจำตัวของตัวเองมา ทันใดนั้น ม่านพลังเคลื่อนย้ายก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้วิธีเดียวกับที่ทำในหุบเขาหมีอู้ มีความเป็นไปได้ว่าสถานที่แห่งนี้ก็เคยถูกใช้เพื่อทดสอบศิษย์มาแล้วเหมือนกัน


 


 


“ศิษย์ทั้งหลาย ขึ้นมาทีละคน ห้ามแตกแถว!”


 


 


เมื่อผ่านเหตุการณ์หายนะเช่นนั้นมาแล้ว ศิษย์ของสำนักอวิ๋นอู้เก่าและโรงเรียนจินเตาเก่าทั้งนิ่งเงียบและไม่รู้สึกยินดียินร้าย ต่างกับพวกเขา ศิษย์สำนักจื่อซย่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พยายามปีนป่ายเพื่อให้ได้เข้าไปก่อนคนอื่น ศิษย์ของอีกสองกลุ่มไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยและยืนรออยู่เท่านั้น


 


 


โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ เพื่อดูศิษย์พี่ข้างๆ ตัวนาง หลิ่วอีเตาดูตื่นเต้น สวีจิ้งจือสงบนิ่ง ฉินซีดูมั่นคงและสุขุม และเจียงซั่งหังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จากนั้นนางจึงจับหน้าของตัวเอง สัมผัสได้ว่าสีหน้าของนางค่อนข้างแข็งทื่อ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ซ่อนอารมณ์ของตนเอง


 


 


นางมุ่งมั่นที่จะได้ยาสร้างฐานแห่งพลังมา ในอนาคต หากนางไม่สามารถทนวิธีการที่สำนักจื่อซย่าจัดการเรื่องต่างๆ ได้ นางก็แค่ต้องหาข้ออ้างเพื่อออกจากภูเขาและไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก อย่างไรเสีย สำนักจื่อซย่าก็ไม่มีเวลามาสนใจศิษย์ระดับล่างหรอก แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น คงจะเป็นการดีถ้านางได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังและสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้ในขณะที่ยังอยู่ในสำนัก มิเช่นนั้น ด้วยระดับการฝึกตนของนางที่อยู่แค่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าอายุขัยของท่านอารองใกล้จะหมดสิ้นลงแล้ว นางคงไม่กล้าจะจากไปตามอำเภอใจ


 


 


ขณะเดียวกับที่นางกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด นางก็พบว่าสวีจิ้งจือที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นางดูเหมือนกำลังตัวสั่น นางเรียกเขาเบาๆ “ศิษย์พี่สวี”


 


 


สวีจิ้งจือหันหน้ามา ใบหน้าซีดเผือดของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่พูดว่า “อืม”


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจและพูดว่า “เรายังไม่ได้เข้าไปเลย พี่จะเป็นลมตอนนี้ไม่ได้นะ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สวีจิ้งจือก็รีบปาดเหงื่อออกจากใบหน้า แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เป็นอะไร “ศิษย์น้องเยี่ยไม่ต้องกังวลไปหรอก”


 


 


“ข้าก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน” โม่เทียนเกอบอก “สถานการณ์ภายในป่าจะต้องอันตรายมาก ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่ได้รับอนุญาตให้ไปกันเป็นกลุ่ม ศิษย์พี่ต้องตั้งสติไว้นะ!”


 


 


สวีจิ้งจือพยักหน้ารับ หลังจากผ่านไปนาน เขาก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ เขาจึงกระซิบบอกนาง “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าเป็นกังวลมาก เห็นได้ชัดว่ามีความเป็นศัตรูกันระหว่างทั้งสามกลุ่ม การที่ส่งพวกเราทุกคนเข้าป่าไปพร้อมกันจะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งรึ”


 


 


โม่เทียนเกองุนงงจึงถามว่า “ทำไมหรือ”


 


 


หลังจากเงียบไป จู่ๆ สวีจิ้งจือก็กัดฟันพูดขึ้นมา” ถ้าข้าบังเอิญเจอไอ้เจ้าเจียงเฉิงเสียนนั่น ถ้าข้าทำได้อย่างเรียบร้อย ข้าจะ…”


 


 


สีหน้าอาฆาตปรากฏขึ้นชั่ววูบหนึ่งบนใบหน้าเขา ความหมายของเขาชัดเจนมากพอแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกกลัวกับคำพูดของเขา นางหันกลับไปมองรอบตัว แต่หลังจากที่นางเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา นางจึงคลายความเครียดลง นางกระซิบบอก “ศิษย์พี่สวีห้ามพูดไร้สาระแบบนั้น! พี่แค่ถูกความประหม่าเข้าครอบงำ…”


 


 


สวีจิ้งจือหลับตาและพยักหน้า ก่อนจะเช็ดเหงื่ออีกครั้ง “สิ่งที่ศิษย์น้องพูดก็ถูก” หลังจากเขาพูดเช่นนี้เขาก็หลับตาลงอีกครั้ง จดจ่ออยู่กับการทำสมาธิเพื่อสงบจิตใจ


 


 


โม่เทียนเกอคิดถึงสถานการณ์ของพวกเขา จากนั้นหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชุดคลุมและส่งต่อให้เขา “ศิษย์พี่สวี นี่คือเครื่องรางสงบจิตใจ ถ้าพี่ไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้ แค่แปะมันไปที่ตัวของพี่”


 


 


สวีจิ้งจือลืมตาขึ้น ไร้ซึ่งคำพูดมากมายที่ไม่จำเป็น เขารับเครื่องรางมาและพูดว่า “ขอบคุณศิษย์น้องเยี่ย”


 


 


นางจึงยิ้มให้และหยุดพูด หันเหความสนใจไปที่ม่านพลังเคลื่อนย้ายแทน


 


 


หลังจากพยายามกันค่อนข้างหนัก ศิษย์สำนักจื่อซย่าส่วนใหญ่เข้าไปได้แล้ว เมื่อทำตัวเองให้สงบลง นางจึงก้าวไปข้างหน้า เดินเข้าไปสู่ม่านพลังเคลื่อนย้าย


63 เข้าสู่ป่า

 


เมื่อม่านพลังเคลื่อนย้ายปล่อยลำแสงสีขาวสว่างจ้าออกมา โม่เทียนเกอแปะเครื่องรางป้องกันบนตัวของนางอย่างไม่ลังเล


 


 


สถานที่นี้แตกต่างจากหุบเขาหมีอู้ ไม่ว่าจะดีหรือแย่ หุบเขาหมีอู้นั้นได้รับการดูแลโดยผู้อาวุโสจากทั้งสามกลุ่มผู้ฝึกตน ถึงแม้ว่าจะมีสัตว์ปีศาจแต่พวกมันก็ไม่ได้มีมากนัก อีกอย่างหุบเขานั้นถูกปกคลุมไว้ด้วยกำแพงอาคมบางอย่าง ตราบใดที่แผ่นจารึกประจำตัวถูกแยกออกจากตัว ศิษย์คนนั้นก็จะไม่พบจุดจบด้วยการตาย


 


 


อย่างไรก็ตาม ในป่าของเขาลูกนี้ ชะตาของพวกเขาล้วนคาดเดาได้ยาก หลังจากที่พวกเขาถูกส่งเข้ามา ถ้าพวกเขาปรากฏตัวต่อหน้าสัตว์ปีศาจและโดนกัดเข้า โอกาสในการรอดชีวิตของพวกเขาไม่สามารถรับประกันได้ ซ้ำในตอนนี้ยังมีเรื่องวุ่นวายรุนแรงแฝงอยู่ระหว่างศิษย์ทั้งสามกลุ่ม ประกอบกับความเป็นจริงที่บางคนมีพฤติกรรมที่ไร้ซึ่งศีลธรรมในการที่จะแสวงหาผลประโยชน์ พวกเขาอาจจะต้องยอมสละชีวิตไว้ ณ ที่แห่งนี้


 


 


เพราะนางคาดเดาไว้นานก่อนหน้านี้นานแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้จะอันตราย นางได้แลกของส่วนตัวของนางบางอย่างกับเครื่องรางจากฉินซี ฉินซีได้ฝึกการวาดเครื่องรางมาระยะหนึ่งแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จบ้าง แต่ก็มีหลายชิ้นที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน เขาไม่ได้สนใจเครื่องรางพวกนี้มากนัก เพราะเขาเองยังมีอีกมากพอ ดังนั้นอีกสามคนที่เหลือจึงแลกสิ่งของกับเครื่องรางของเขาจนมากพอควร


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้มีศิลาวิญญาณเหลือมากนัก ดังนั้นนางจึงใช้อุปกรณ์บางอย่างในการแลกเปลี่ยนกับเขา เขาไม่ได้ติดใจอะไรนักเพราะเขากำลังจับจดอยู่กับการปรุงยาและขัดเกลาเครื่องมือ ดังนั้นเขาตอบรับการแลกเปลี่ยนของนางอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง


 


 


นางค่อนข้างมีความกังวลในการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางครั้งนี้ นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ร่ำรวยนัก ศิลาวิญญาณที่นางใช้ช่วงที่นางฝึกตนนั้นเป็นของรางวัล หรือไม่ก็เป็นกำไรที่นางได้มาจากการขายม่านพลังของนาง เพราะความสามารถพื้นฐานโดยธรรมชาติของนางไม่ได้ดีนัก นางจึงต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากในการฝึกตน จริงๆ แล้วสำหรับการแข่งขันย่อยของทั้งสามกลุ่มนั้น ท่านอารองเป็นคนที่เตรียมเครื่องรางและยาวิเศษให้นางด้วยการขายของของเขา สำหรับนางแล้ว นางไม่ได้มีของที่มีค่ามากนัก


 


 


นางมีศิลาวิญญาณเหลือเพียงหนึ่งร้อยอันและนางเลือกที่จะเก็บไว้เพราะจะต้องนำไปใช้สำหรับการวางม่านพลัง นางยังคงมีพืชวิญญาณบางชนิดและวัตถุวิญญาณบางอย่าง แต่ของส่วนมากถูกนำไปแลกกับศิลาวิญญาณแล้ว ของที่ยังเหลืออยู่ไม่ได้มีค่ามากพอที่จะนำไปขาย นางมีเครื่องรางน้อยลงและไม่ควรที่จะนำไปแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งศิลาวิญญาณ นอกเหนือไปจากสิ่งของพวกนี้ล้วนเต็มไปด้วยของที่นางเองก็ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้อย่างไร ฉินซีรู้จักของบางอย่างและแลกเครื่องรางของเขากับของพวกนั้น ในขณะที่ของบางอย่างเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นของเกี่ยวกับอะไรเช่นกัน


 


 


ยังคงมีไข่มุกที่นางได้มาจากชายของกลุ่มอัน ขนาดของมันคร่าวๆ เทียบเท่ากับกำปั้นของเด็ก และนางก็สัมผัสได้ว่ามันมีพลังวิญญาณอยู่ภายในนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าไข่มุกชิ้นนี้คืออะไร


 


 


ดังนั้น จากของที่เหลืออยู่ของนาง เครื่องมือวิญญาณบางอย่างยังถือได้ว่าเป็นของมีค่า ซึ่งส่วนมากนางได้มาจากชายของกลุ่มอันเมื่อสามปีที่แล้ว และนางยังไม่กล้าพอที่จะวางขายในตลาด อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางควรกังวลตอนนี้ อย่างน้อยที่สุด การเตรียมตัวของนางสำหรับการเดินทางครั้งนี้ก็มากเกินพอแล้ว


 


 


เมื่อนางถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในป่า โม่เทียนเกอรีบสำรวจพื้นที่รอบๆ ตัวนาง โชคดีที่ไม่มีเหล่าสัตว์ปีศาจหรือสิ่งที่คล้ายๆ กันในบริเวณนี้ ด้วยความรู้สึกโล่งใจ นางเดินทางต่อไปด้านหน้า วินาทีต่อมา นางรู้สึกว่าเท้าของนางก้าวลงไปบนอากาศก่อนที่ร่างกายของนางจะตกลงอย่างรวดเร็วไปที่พื้นด้านล่าง นางรีบใช้วิชาตัวเบา หาพื้นที่สำหรับเหยียบและกระโดดขึ้นไปจนถึงพื้นด้านบน


 


 


นี่เป็นพื้นที่สูงชันมาก เพราะมีเถาวัลย์พันอยู่ไปทั่วพื้นที่ พื้นที่ทางด้านหน้าของนางดูเหมือนเป็นพื้นแข็งซึ่งความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่เถาวัลย์ที่เกี่ยวติดกันเท่านั้น


 


 


โม่เทียนเกอตีหน้าผากตัวเอง นี่เป็นการเตือนปลอมๆ นางสำรวจรอบๆ ตัว แต่นางลืมสำรวจบริเวณพื้นดิน ดูเหมือนว่านางจะต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้ในอนาคต


 


 


นางถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หนาทึบ เหนือหัวของนางเต็มไปด้วยเถาวัลย์ที่แขวนอยู่เต็มไปทั่ว ในขณะที่พื้นดินนั้นถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้งทับถมกันจนหนา ยากที่จะมองหาทางเดินในนี้


 


 


นางหยิบหยกบันทึกที่จารึกแผนที่ของสถานที่นี้ออกมาจากชุดคลุมของนาง แต่นางพบว่าแผนที่นั้นทำอย่างคร่าวเกินไป ด้วยการที่ไม่มีจุดเด่นของพื้นที่นี้ นางไม่สามารถรู้ได้ว่านางอยู่จุดไหนบนแผนที่นั้น นางทำได้เพียงแค่ยอมแพ้ ซ่อนลมปราณของนางด้วยความระมัดระวัง หยิบกระบี่ป่าขจีของนางออกมาเพื่อเปิดทางให้กับตัวเองผ่านป่านี้ไป


 


 


สำหรับนางผู้ที่ฝึกวิชาของธาตุไม้ การมาที่นี่นั้นทำให้นางได้เปรียบ พลังวิญญาณธาตุไม้ในป่านี้เข้มข้นมาก ถ้านางจำเป็นที่จะต้องใช้มัน พลังของนางจะแข็งแกร่งมากขึ้น


 


 


ทันใดนั้น นางก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณด้านหลัง ในขณะที่นางกำลังมุ่งมั่นอยู่กับการสำรวจรอบๆ ตัว นางหลบออกไปจากทาง ใช้กระบี่ป่าขจีพยุงตัวเองเพื่อหันกลับมาด้านหลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ของนาง


 


 


ความจริงแล้วมันคืองูปีศาจหัวแบนหลากสี


 


 


นางขนลุกขนพองทันทีที่ได้เห็น นางคิดว่านางเป็นคนที่กล้าหาญ ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับงูปีศาจแบบนี้ นางก็รู้สึกอยากจะอาเจียนเล็กน้อย ทว่าคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก งูปีศาจตัวนี้มีแรงผลักดันค่อนข้างมาก ถ้านางไม่ได้ตั้งสติให้นิ่งมากพอและต้องจบชีวิตอยู่ในขากรรไกรคู่นั้นของมัน คงจะเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงยิ่งขึ้นไปอีก


 


 


งูตัวนี้ยาวมากกว่าหนึ่งจั้ง ขอบขากรรไกรเล็กและขรุขระ และมีหัวที่แบน ลิ้นของมันเคลื่อนไหวเข้าออกจากปากอย่างรวดเร็ว สายตามืดมนและเยือกเย็นจ้องเขม็งมาที่นาง แรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากตัวมัน ทำให้รู้ว่ามันคือสัตว์ปีศาจระดับแรก


 


 


ทันใดนั้น มันกระโจนพร้อมกับพ่นพิษสีดำเข้าหานาง


 


 


ในช่วงเวลานี้ เครื่องรางป้องกันบนร่างกายของนางทำหน้าที่ของมัน พิษตกลงสู่พื้นก่อนที่จะเข้าถึงตัวนาง หลังจากการโจมตีครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม กำแพงป้องกันบนร่างกายของนางสั่นสะท้านเหมือนกับจะแตกละเอียดได้ทุกเวลา นางไม่เสี่ยงด้วยการติดเครื่องรางป้องกันอีกอันบนตัวของนาง ภายหลังจากที่นางทำเช่นนั้น นางรีบจัดการกับกระบี่ป่าขจีด้วยการบังคับให้มันพุ่งตรงเข้าไปที่จุดตายของงูตัวนั้น


 


 


งูปีศาจตัวนี้คล่องแคล่วว่องไวมาก มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า บางครั้งยืดตัว บางครั้งหดตัวเพื่อตั้งรับกับกระบี่ป่าขจีของนาง


 


 


ในขณะที่โม่เทียนเกอกวัดแกว่งกระบี่ป่าขจีด้วยความระมัดระวัง นางก็หยิบเมล็ดพันธุ์บางอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพ ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่มันกำลังวุ่นวายกับกระบี่ป่าขจี นางขว้างเมล็ดพันธุ์ไปด้านหน้า เมื่อเมล็ดเหล่านี้สัมผัสเข้ากับตัวงูนั้น พวกมันก็โตขึ้นมาเป็นหนามเพลิงขดพันไปรอบงูปีศาจตัวนี้ ภาพที่เห็นทำให้นางรู้สึกสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย


 


 


อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา นางก็ต้องตกใจขีดสุดจนแทบจะตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง


 


 


งูตัวนั้นกำลังดิ้น แต่หนามเพลิงเหล่านั้นไม่สามารถทะลวงผ่านผิวของมันได้เลย ในทางกลับกัน เพียงแค่มันตวัดหาง หนามเพลิงเหล่านั้นก็ลอยกระเด็นไปบนอากาศ


 


 


ปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอเคร่งเครียดขึ้นมาทันที สิ่งที่นางประหลาดใจคือ เกล็ดของหนังงูตัวนี้แข็งมากขนาดที่หนามเพลิงไม่สามารถที่จะเจาะทะลุเข้าไปได้


 


 


หลังจากที่หลบหลีกกระบี่ป่าขจี สัตว์ปีศาจตัวนี้ก็หันหัวพุ่งเข้าหานาง มันพ่นบางอย่างออกมาจากปลายลิ้น แต่แทนที่จะพ่นพิษออกมา มันกลับพ่นหมอกหนาออกมาแทน


 


 


นางรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันที นี่คงจะเป็นหมอกพิษ! นางเพิ่มความรอบคอบมากขึ้น ในขณะที่พยายามกลั้นหายใจ นางก็หยิบยาออกมาจากกระเป๋าเอกภพและโยนเข้าไปในปาก เมื่อยาฟื้นคืนสติ เริ่มออกฤทธิ์ สติของนางเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้น


 


 


ด้วยกลัวว่าการต่อสู้นี้จะกินเวลานาน นางจึงหยิบเครื่องรางออกมาแล้วโยนไปที่ร่างของงูปีศาจ


 


 


คลื่นน้ำขนาดใหญ่สูงตระหง่านตกลงบนร่างของงูปีศาจพร้อมกับจับตัวกลายเป็นน้ำแข็งทันที ส่งผลให้มันเคลื่อนไหวได้ช้าลงทันใด กระบี่ป่าขจีพุ่งทะยานด้วยความเร็วไปด้านหน้า “ฉึก!” มันแทงทะลุเกล็ดโจมตีเข้าสู่จุดตายอย่างแม่นยำ


 


 


งูปีศาจบิดร่างกายของมันจนเป็นเกลียว แต่มันก็ไม่สามารถหลุดออกจากทั้งน้ำแข็งและกระบี่ป่าขจีได้ จนในที่สุดมันก็หยุดหายใจและนอนสิ้นใจไปอย่างสงบ


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเรียกกระบี่ป่าขจีกลับคืนพร้อมเช็ดทำความสะอาด นางมองไปยังน้ำแข็งที่จับตัวอยู่บนร่างของซากงูปีศาจด้วยความเสียดาย เครื่องรางเยือกแข็งนั้นไม่ใช่ของถูกเลย


 


 


อันตรายนั้นแฝงอยู่ได้ทุกมุมของป่านี้ นี่เป็นเพียงแค่งู แต่ก็ทำให้นางรู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างหนักและทำให้นางต้องใช้เครื่องรางเยือกแข็งออกไป!


 


 


กล่าวถึงซากงูที่นอนตายอยู่บนพื้น จริงๆ แล้วโม่เทียนเกอนั้นรู้สึกหนักใจ ผู้อาวุโสที่สำนักย้ำกับพวกนางก่อนที่จะออกเดินทางมาว่าให้นำซากสัตว์ปีศาจกลับไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม งูตัวนี้มันดูช่างน่าขยะแขยง นางไม่สามารถแม้แต่จะรวบรวมความกล้าเพื่อแตะมันได้เลย


 


 


หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หยิบกระเป๋าหนังออกมาจากกระเป๋าเอกภพ ใช้กระบี่ป่าขจีในการยกซากนั้นขึ้นมา แล้วโยนซากนั้นเข้าไปในกระเป๋าหนัง จากนั้นรีบปิดกระเป๋าและโยนมันกลับเข้าไปในกระเป๋าเอกภพทันที


 


 


เมื่อจัดการเสร็จสิ้นแล้ว นางก็กำหนดเส้นทางอย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อออกไปจากป่าอันกว้างใหญ่นี้


 


 


ภายในป่าที่หนาทึบ ลำธารไหลคดเคี้ยวผ่านไปในทุ่งโล่งที่ชอุ่มไปด้วยน้ำจากลำธาร ทุ่งโล่งนั้นงดงามไปด้วยดอกไม้ป่า มันคือความงามในพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างแท้จริง


 


 


แม้กระนั้น ทิวทัศน์ที่สวยงามนี้ได้ถูกทำลายไปจากการปรากฏตัวของชายสองคน


 


 


ชายผู้หนึ่งใส่ชุดคลุมสีม่วงในขณะที่อีกคนใส่เสื้อคลุมสีเหลือง แต่ที่ปลายแขนเสื้อของพวกเขานั้นปักสัญลักษณ์เดียวกัน ทั้งสองคนต่างจ้องมองกันอย่างโหดเ**้ยม


 


 


ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงส่งเสียง “ฮึ่ม” พร้อมพูดด้วยความโกรธ “ศิษย์แห่งจินเตา! เจ้ากล้าซุ่ม โจมตีข้าคนนี้เชียวหรือ!”


 


 


ผู้ฝึกตนวัยกลางคนดูไม่สะทกสะท้านและน้ำเสียงของเขาเรียบเฉยเมื่อพูดว่า “ช่างโง่เขลายิ่งนัก ข้าซุ่มโจมตีท่านแล้วอย่างไร”


 


 


หน้าของชายหนุ่มบูดเบี้ยวไปด้วยความโกรธในความไร้ซึ่งมารยาทของผู้ฝึกตนคนนั้น “เจ้า!!! ข้าเป็นถึงศิษย์แห่งสำนักจื่อซย่าใหญ่ในขณะที่เจ้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนจากโรงเรียนที่ถูกทำลายจนสิ้น เจ้าไม่เกรงกลัวว่าจะถูกตำหนิเลยหรือ”


 


 


ผู้ฝึกตนวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ “ถ้าเพียงข้าทำอย่างไร้ร่องรอย ใครจะสืบกลับมาหาได้กัน”


 


 


“เจ้า!!!” ชายหนุ่มสบถด้วยความเดือดดาล เป็นไปได้ว่าในเมื่อเขาไม่มีประสบการณ์มากพอ และไม่เคยต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ตลอดระยะเวลาแห่งการฝึกตน เขาจึงถูกยั่วยุได้ง่าย ในขณะนั้น เขาควบคุมเครื่องมือวิญญาณในมือของเขาให้พุ่งตรงเข้าไปสู่ผู้ฝึกตนวัยกลางคน


 


 


ผู้ฝึกตนวัยกลางคนหลบหลีกด้วยความระมัดระวัง ในขณะที่ใช้เครื่องมือวิญญาณของเขา เขาแอบหยิบเครื่องรางออกมาอย่างลับๆ


 


 


ทั้งสองคนเป็นผู้ฝึกตนระดับสิบ ในชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาแลกการโจมตีกันและสู้กันอย่างสูสี


 


 


ในขณะนั้นเอง ใครบางคนก็ออกมาจากป่า ชายผู้นั้นใส่ชุดคลุมสีดำ


 


 


เมื่อเห็นชายสองคนกำลังสู้กัน สีหน้าชายคนนั้นเปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ในที่สุดเขาก็หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพและโยนไปที่ชายคนหนึ่ง


 


 


โม่เทียนเกอกำลังเดินตามเสียงธารน้ำไหล จนเมื่อความผันผวนของพลังวิญญาณหลายอย่างดึงความสนใจของนางเข้า นางซ่อนตัวอย่างระมัดระวังก่อนที่จะเดินไปยังพื้นที่ต่อสู้นั้น


 


 


ในพื้นที่โล่งข้างลำธาร ศิษย์แห่งสำนักจื่อซย่าและโรงเรียนจินเตากำลังต่อสู้กันด้วยพลังเวท ในขณะที่มุมหนึ่งของป่า ศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ท่าทางดุดันขว้างเครื่องมือวิญญาณของเขาออกไปทางด้านหน้า


 


 


“อ๊าก!!!” เสียงกรีดร้องน่าสยองขวัญ ศิษย์สำนักจื่อซย่าล้มลงจมกองเลือด ไร้ซึ่งลมหายใจ


 


 


ศิษย์ทั้งจากโรงเรียนจินเตาและสำนักอวิ๋นอู้ต่างถอนหายใจ พวกเขาไม่สู้กัน แต่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรต่อกัน หลังจากแบ่งสิ่งของของศิษย์สำนักจื่อซย่าและเผาศพลบร่องรอยเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง


 


 


โม่เทียนเกอหลบอยู่ในป่า ตัวเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ สิ่งที่สวีจิ้งจือกังวลอยู่นั้นในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว ศิษย์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของโรงเรียนจินเตาและสำนักอวิ๋นอู้ร่วมมือกันฆ่าศิษย์ของสำนักจื่อซย่าที่อยู่ตัวคนเดียวเพื่อระบายความเกลียดของพวกเขา


 


 


นางจินตนาการได้อย่างชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต คนที่ฆ่าศิษย์สำนักจื่อซย่าจะลงมืออีกครั้ง และเมื่อเกิดซ้ำขึ้นบ่อยๆ ศิษย์สำนักจื่อซย่าจะรับรู้ได้ว่าสหายร่วมสำนักถูกทำร้าย ด้วยความโกรธที่เกิดขึ้น พวกเขาจะแก้แค้นทั้งสองกลุ่ม หลังจากนั้น ทั้งสามกลุ่มจะเข้าร่วมการต่อสู้ ความเสียหายจะมีมากจนไม่อาจนับได้


 


 


แน่นอนอยู่แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ไม่เพียงแต่ต้องปกป้องตัวเองจากสัตว์ปีศาจในป่า ทว่าพวกนางจะต้องคอยระวังตัวจากผู้ฝึกตนกันเองด้วย


64 พักที่น้ำพุอาบพิษ

 


ตอนนี้เมื่อเจอลำธารเข้าแล้ว โม่เทียนเกอจึงสามารถระบุตำแหน่งของนางบนแผนที่ได้ หลังจากนั้น นางร่างแผนการเดินทางอย่างรอบคอบ ซึ่งจะช่วยให้นางหลีกเลี่ยงจากการบังเอิญเจอคนอื่นๆ เข้า โชคดีที่แผนที่นี้ช่วยให้นางเข้าใจว่าสถานที่เหล่านั้นเป็นเช่นไร


แผนที่นี้คือคู่มือสำหรับลูกศิษย์ หากมองหาสถานที่ที่ทุกคนอาจไม่ชอบ นางก็จะสามารถเลี่ยงคนส่วนใหญ่ได้ หากว่ามีคนบางส่วนที่โชคไม่ดีและถูกส่งไปที่นั่น เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะออกจากตรงนั้นไปในที่สุด


สถานที่ที่นางกำลังมองหาคือที่ที่ดูน่าจะพออยู่อาศัยได้และดูอันตรายในสายตาคนทั่วไป มีหน้าผายื่น เหว รวมถึงบ่อน้ำพุอาบพิษที่ปล่อยหมอกพิษออกมาตลอดทั้งปี แผนที่เขียนไว้ชัดเจนว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่ดี เป็นสถานที่อันตรายที่ควรไปและสัตว์ปีศาจที่นั่นก็ฆ่าตายไม่ได้โดยง่าย ในสถานที่นั้น ที่จริงแล้วมีฝูงลิงปีศาจที่อาจจะค่อนข้างเป็นปัญหามากทีเดียว


โม่เทียนเกอครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เนื่องจากมันเป็นสถานที่อันตราย นางก็แค่ต้องเข้าไปด้วยความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ นางก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่น่าจะต้องเจออุบัติเหตุอะไรที่นั่น ส่วนฝูงลิงปีศาจเหล่านั้น พวกมันอยู่ถูกที่ถูกทางสำหรับนาง นางเชี่ยวชาญในด้านม่านพลังและในทางกลับกัน สัตว์ปีศาจระดับหนึ่งไม่สามารถรับรู้ถึงม่านพลังได้ ไม่ว่าลิงจะมีมากมายสักแค่ไหนนางก็ไม่กลัว นางแค่ต้องหาที่เหมาะๆ วางม่านพลังวงกต และล่อพวกลิงให้เข้าไปในม่านพลังนั้น


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว นางก็ไปต่ออย่างราบรื่นในเส้นทางที่เลือก วิชาซ่อนลมปราณของนางไม่ได้ดีสมบูรณ์แบบ แต่เพราะจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้แข็งแกร่งนัก จึงแทบจะสัมผัสถึงตัวตนของนางไม่ได้


นางใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริเวณที่ระบุในแผนที่ หลังจากตรวจดูสภาพรอบตัวอย่างเร็ว นางก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกับที่ในแผนที่อธิบายไว้ ที่นี่ไม่น่ารื่นรมย์จริงเสียด้วย เมื่อนางเข้าไปใกล้ ก็เห็นหมอกพิษในบริเวณนั้นได้ทันที อาจจะเพราะน้ำพุอาบพิษนั้นก็เป็นได้ พุ่มไม้หนามากจนนางไม่สามารถมองเห็นทางเดิน ยิ่งไปกว่านั้น พุ่มไม้ส่วนใหญ่ยังมีพิษอีกด้วย


ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน แต่ทั่วทั้งสถานที่นี้ดูขมุกขมัวไปหมด นางไม่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้เลยจากตรงนี้


เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ โม่เทียนเกอแข็งใจและก้าวต่อไปข้างหน้า หลังจากใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อกวาดดูรอบบริเวณนี้ ไม่เพียงแต่นางจะเข้าใจคร่าวๆ ถึงภูมิประเทศตรงนี้ แต่นางยังพบตำแหน่งของฝูงลิงอีกด้วย


ตรงสุดขอบของน้ำพุอาบพิษ มีการกระเพื่อมของพลังวิญญาณบางๆ อยู่มาก จิตสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่แข็งแกร่งนัก เพราะฉะนั้น การกระเพื่อมของพลังวิญญาณจากสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งที่อยู่โดดเดี่ยวจึงยากที่จะรับรู้ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นฝูงสัตว์ปีศาจ การจะรับรู้ถึงพลังวิญญาณของพวกมันจะเป็นการง่ายมากๆ


นางกลืนยาฟื้นคืนสติเข้าไปอีกเม็ดเพื่อป้องกันหมอกพิษไม่ให้ส่งผลต่อร่างกาย จากนั้น ณ จุดหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากฝูงลิง นางวางม่านพลังหลงทิศและม่านดักวิญญาณ


เป็นดังชื่อของมัน การใช้งานหลักๆ ของม่านพลังหลงทิศก็เพื่อทำให้คนอื่นสับสนเพื่อที่พวกเขาจะได้หลงทาง เมื่อไหร่ที่เดินเข้าไปในม่านพลังนี้ พวกเขาจะเดินวนอยู่อย่างนั้นข้างในโดยที่ไม่สามารถออกไปได้ พวกมนุษย์อธิบายว่าเป็น “ผีผ่านกำแพง” [1]


ส่วนม่านดักวิญญาณ เป็นม่านพลังที่ใช้โดยเฉพาะในการรับมือทั้งกับมนุษย์และสัตว์ร้ายที่มีพลังวิญญาณอยู่ในร่างกาย หลังจากเข้าไปในม่านพลังนี้ ความเร็วในการโคจรพลังวิญญาณของพวกเขาจะช้าลงมาก โดยทั่วไป ม่านพลังนี้จะวางไว้ในถ้ำของผู้ฝึกตนเพื่อป้องกันคนอื่นๆ ฝ่าเข้ามา


เพียงแค่ม่านพลังสองอันนี้คงยังไม่พอ หลังจากใช้เวลาคิดสักพัก นางจึงวางม่านพลังอีกหนึ่งอัน นั่นคือม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุ ม่านพลังนี้ค่อนข้างซับซ้อนกว่าอีกสองอันเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ตอนที่นางศึกษาคู่มือม่านพลังเมื่อนานมาแล้ว นางจึงดัดแปลงม่านพลังนี้เล็กน้อย ขณะนี้ทั้งพลังการป้องกันและพลังจู่โจมของมันเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้นการใช้ม่านพลังนี้จึงมีความปลอดภัยมากขึ้น


หลังจากนางวางกับดักเสร็จสิ้น โม่เทียนเกอก็อยู่ในใจกลางของม่านพลังและปรับพลังวิญญาณของตัวเองให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด จากนั้นจงใจปล่อยลมปราณของนางไปในทิศทางที่ฝูงลิงปีศาจอยู่


สัตว์ปีศาจระดับหนึ่งไม่ได้ฉลาดกว่าสัตว์ป่าทั่วไปมากนัก พวกมันไม่สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ได้และต้องอาศัยสัญชาตญาณของมันทั้งหมด ในไม่ช้า เงาตะคุ่มของพวกมันก็เริ่มจะออกมาจากน้ำพุอาบพิษ


พอได้ยินเสียงแหลมสูง โม่เทียนเกอก็มองเห็นสัตว์ปีศาจพวกนี้ให้ชัดๆ แน่นอนว่าพวกมันคือฝูงลิง


การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของลมปราณที่ยั่วยวนใจ ฝูงลิงปีศาจเหล่านี้แห่กันเข้าไปยังจุดที่โม่เทียนเกอคอยอยู่โดยไม่รีรอ อย่างไรก็ตาม พวกมันถูกจับอยู่ในบ่วงก่อนที่จะเข้าถึงตัวนางได้


ฝูงลิงวิ่งวนอยู่รอบตัวนางในท่าทางแบบ “เจ้าไล่ข้า ข้าไล่เจ้า” เกิดเป็นวงแหวนที่มีตัวนางเป็นศูนย์กลาง ที่จริงแบบนี้มันก็ดูสนุกดีเหมือนกัน แต่โม่เทียนเกอไม่กล้าประมาท และกวัดแกว่งธงม่านพลังในมือของนางต่อไป


ทันใดนั้น ทรายดูดร้อนแรงก็ปรากฏขึ้นในม่านพลัง ฝูงลิงส่งเสียงแหลมสูงดังสนั่น ปีนป่ายไปตรงนั้นตรงนี้อย่างชุลมุน แต่ไม่ว่าพวกมันจะวิ่งสักแค่ไหนก็ไม่สามารถหนีออกไปได้ ความเจ็บปวดจากการถูกเผาไหม้ทำให้พวกมันสู้กันพัลวันในขณะที่เหยียบกันเองไปด้วย


เมื่อมองภาพที่ปรากฏ โม่เทียนเกอโบกธงม่านพลังอีกครั้ง จู่ๆ หินนับไม่ถ้วนก็ตกลงมาในม่านพลัง เมื่อไม่มีที่ให้หลบ พวกลิงจึงตายไปทีละตัวภายใต้หินเหล่านั้น


เมื่อเหล่าลิงปีศาจถูกฆ่าครบถ้วนเรียบร้อย โม่เทียนเกอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะนางวางกับดักไว้ล่วงหน้า ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอย่างนางไม่มีทางรับมือกับสัตว์ปีศาจระดับแรกจำนวนมากขนาดนั้นได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่านางจะสามารถฆ่าพวกมันได้อย่างราบรื่น แต่นางก็ต้องเสียพลังวิญญาณไปค่อนข้างมากทีเดียว


ความสามารถของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นต่ำเกินไป ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถใช้เครื่องมือวิญญาณหลายอย่างในคราวเดียวได้ ทว่าพวกเขายังไม่สามารถอยู่ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทได้นานเกินไปด้วย แม้ว่าสำหรับอาวุธวิเศษที่ไม่มีการจำกัดระดับการฝึกตน แต่พลังของมันที่แสดงออกมาก็ยังมีจำกัดหากศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเป็นผู้ใช้ เพราะฉะนั้น ยิ่งโม่เทียนเกอฝึกตนมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งปรารถนาจะเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังให้จงได้


เมื่อนางฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้ว จึงเริ่มเก็บซากลิงปีศาจที่กระจัดกระจายอยู่ พวกมันมีประมาณยี่สิบหรือสามสิบตัว คาดว่าด้วยการต่อสู้ทั้งหลายที่ปะทุขึ้นในป่าเขานี้ ทุกคนคงไม่มีเวลาฆ่าสัตว์ปีศาจได้มากมายนัก ลิงปีศาจพวกนี้จึงน่าจะเพียงพอสำหรับนางที่จะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้น หลังจากนำซากของลิงปีศาจเก็บใส่กระเป๋าเอกภพ นางจึงนั่งลงทำสมาธิ ไม่มีความตั้งใจที่จะล่าสัตว์ปีศาจต่อไป เป้าหมายของนางมีเพียงแค่การได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น นางไม่อยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยงหรือดึงดูดความสนใจของคนอื่น


ในขณะที่นางเข้าฌานอยู่ ความโกลาหลก็ปะทุขึ้นในป่าเขาแห่งนี้


ครั้งแรกที่ศิษย์สำนักจื่อซย่าถูกฆ่า ยังไม่มีใครรู้เรื่องนั้น แต่แม้กระนั้น คนที่มีเจตนาอาฆาตก็มีอยู่มาก ในไม่ช้า คนอื่นๆ ก็เริ่มที่จะลงมือบ้าง


นอกเหนือจากการได้เปรียบในจำนวนคน ศิษย์สำนักจื่อซย่ายังถือว่าอีกสองกลุ่มเป็นกลุ่มที่ล่มสลายไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องจบ ในตอนบ่าย ศึกการต่อสู้จึงเกิดขึ้นอย่างเปิดเผย


แม้ว่าจำนวนทั้งหมดของศิษย์สำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตารวมกันยังไม่เท่ากับจำนวนศิษย์ที่สำนักจื่อซย่ามี แต่เพราะพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและโจมตีแบบลับๆ หลายคนจึงทำสำเร็จ


ถึงอย่างนั้น เมื่อศิษย์สำนักจื่อซย่าเริ่มจะตอบโต้ในตอนหลัง ทั้งสองฝ่ายต่างชนะและแพ้พอๆ กันขณะที่จำนวนคนที่ถูกฆ่ามีเพิ่มมากขึ้น พวกเขาไม่สนใจจะระมัดระวังอะไรอีกแล้ว ทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้ทันทีหลังจากได้เจอกัน


โม่เทียนเกอไม่รู้เรื่องนี้เลย ซึ่งจัดว่าเป็นโชคดีอย่างน่าขันที่นางมาอยู่ที่ในสถานที่นี้ มิเช่นนั้น นางอาจจะถูกลากเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยก็เป็นได้


ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง โม่เทียนเกอยังอยู่ในม่านพลังของนางและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก นางใช้แสงไม่ได้เพราะมันอาจจะดึงดูดคนอื่นๆ เข้ามา อีกอย่าง ต่อให้มันไม่ได้ดึงดูดคน แต่ก็อาจจะดึงดูดสัตว์ปีศาจเข้ามาได้ การต่อสู้ในตอนกลางคืนคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ไม่ว่าอย่างไร นางยังพอมองเห็นได้และแค่ต้องอดทนอีกคืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ม่านพลังทางออกก็จะถูกเปิดออกแล้ว


ทันใดนั้น นางก็ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้น


มีพลังวิญญาณกระเพื่อมอยู่ด้านนอก เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาหานาง


นางคิดถึงทางเลือกต่างๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บม่านพลังที่นางวางไว้ก่อนหน้านี้ ทิ้งไว้เพียงแค่ม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุ จากนั้นนางจึงซ่อนตัวและคอยมองอย่างระวัง


คนผู้นั้นวิ่งมาอย่างเร็วจนเหมือนกับว่าฝีเท้าของเขากำลังลอยอยู่ แม้ว่าเขาจะสะดุดบ้างเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ยังคงวิ่งต่อไม่หยุด อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจู่ๆ เขาจะวิ่งเข้าไปเจอบางอย่างและ ‘ปัง!’ หลังจากเสียงดังนั้น ก็ไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยินอีกเลย


——


[1] ผีผ่านกำแพง หรือ ผีชนกำแพง ใช้ในการอธิบาย ‘การหลงทางในช่วงเย็น’ คนจะเดินไปรอบๆ เป็นวงกลมและมักจะกลับไปยังจุดเดิมในที่สุด


64-2  พักที่น้ำพุอาบพิษ

 


เวลาผ่านไปสักพักแต่ก็ยังไม่มีเสียงใดๆ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอออกจากที่ซ่อนและเริ่มเดินหาทางในความมืดอย่างระมัดระวัง นางรอบคอบมาตลอด และตอนนี้นางก็ได้เสกคาถาป้องกันตัวไว้บนร่างของตัวเองพร้อมกับกำกระบี่ป่าขจีไว้ด้วย หากว่าคนผู้นี้ก่อปัญหาขึ้นในทันที นางสามารถจัดการเขาได้แน่ ดังนั้น นางจึงวางแผนที่จะออกไปดูเขาก่อน 


 


 


ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวนาง เขานอนนิ่งอยู่ที่พื้น ท้องฟ้ามืดเกินไปจนนางไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน นางเห็นคร่าวๆ แค่ว่าชุดคลุมบนร่างของคนนั้นเป็นสีดำ 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เมื่อนางขยับไปข้างหน้าเพื่อดูใกล้ๆ นางก็เห็นว่าคนนั้นที่จริงคือศิษย์หนุ่มจากสำนักอวิ๋นอู้ 


 


 


“ศิษย์พี่! ศิษย์พี่!” นางเขย่าตัวเขาเบาๆ  


 


 


ต้องใช้เวลานานกว่าจะมีการตอบสนอง ชายคนนั้นยกหัวขึ้นด้วยความยากลำบากและกระซิบ “ศิษย์น้องผู้หญิง… ช่วย… ช่วยข้าด้วย…”  


 


 


โม่เทียนเกออึ้งไป ศิษย์น้องผู้หญิงเช่นนั้นหรือ นางไม่มีโอกาสจะคิดให้มากกว่านี้เพราะหน้าของชายคนนั้นคว่ำลงไปอีกครั้งและเขาหมดสติไป 


 


 


หลังจากคิดให้รอบคอบ นางแบกชายคนนี้เข้าไปในม่านพลังที่วางไว้ นางไม่รู้จักชายผู้นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในหมู่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณมากมายที่สำนักอวิ๋นอู้ทั้งหมดมี นางก็รู้จักดีอยู่ไม่กี่คน แม้แต่คนในบ้านหลังอื่นที่อยู่ในสนามเดียวกัน นางก็รู้จักเพียงแค่ไม่กี่คนที่คุ้นหน้าค่าตากันเท่านั้น สำหรับชายคนนี้ นางจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขามาก่อน 


 


 


ถึงกระนั้น ทั้งคู่ล้วนเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ คงไม่มีอะไรผิดที่จะช่วยเหลือกัน ดังนั้น นางจึงส่งพลังวิญญาณเข้าร่างชายคนนี้เพื่อตรวจดูบาดแผลของเขา 


 


 


เมื่อพลังวิญญาณของนางเดินทางไปรอบเส้นลมปราณของเขา โม่เทียนเกอจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย อาการบาดเจ็บของชายหนุ่มหนักหนาสาหัสก็จริง แต่ในเมื่อเส้นลมปราณเขาไม่ได้รับความเสียหาย การรักษาเขาก็น่าจะง่าย 


 


 


โม่เทียนเกอครุ่นคิด จากนั้นหยิบเอายาวิเศษบางส่วนออกมาจากชุดคลุม นางตัดสินใจว่าจะให้ยาฟื้นคืนสติแก่เขาเป็นอย่างแรกเพื่อป้องกันหมอกพิษในบริเวณนั้นเข้าร่างเขา ก่อนจะให้ยาบำรุงพลังวิญญาณ 


 


 


ยาฟื้นคืนสติเป็นเพียงแค่ยาล้างพิษทั่วไป ไม่ใช่ยาประเภทที่มีค่าอะไร สำหรับยาวิเศษที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ นางมียาอนุคืนสภาพอยู่ในครอบครอง อย่างไรก็ตาม ยาอนุคืนสภาพนั้นมีมูลค่ามาก ขนาดผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็ยังใช้กัน การจะให้ยาหนึ่งเม็ดแก่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่นางไม่รู้จักนั้นมันไม่คุ้มกันแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคิดว่านางไม่รู้จักคนๆ นี้ การให้ของมีค่าขนาดนั้นกับเขาจะดูเป็นการมีน้ำใจเกินเรื่องเกินราวไปหน่อย 


 


 


ในการที่จะทำให้คนสำนึกบุญคุณโดยไม่ส่งเสริมให้เขามีจิตใจละโมบ ความกรุณานั้นต้องมอบให้อย่างพอประมาณ นี่เป็นหลักการที่ท่านอารองสอนนางมาตลอดอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย 


 


 


ในไม่ช้า ชายคนนี้ร้องครางขึ้นมาและเห็นได้ชัดว่ากำลังจะฟื้น 


 


 


โม่เทียนเกอพูดว่า “ศิษย์พี่ รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”  


 


 


ชายหนุ่มลืมตา พยายามที่จะนั่ง เขาฝืนตัวเองให้ยิ้มและพูดว่า “ศิษย์… น้อง ขอบคุณ ถ้าข้าไม่ได้พบเจ้า ข้าคงสิ้นชีวิตไปแล้วในวันนี้”  


 


 


โม่เทียนเกอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ศิษย์พี่ไม่ต้องเกรงใจหรอก ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย”  


 


 


ชายหนุ่มพยักหน้า เขาหยิบขวดหยกออกมาจากชุดคลุม กินยาวิเศษหลายเม็ดจากขวดนั้น จากนั้นจึงส่งขวดให้นาง “ข้าต้องไม่ปล่อยให้ศิษย์น้องสูญเสียอะไรไปเปล่าๆ”  


 


 


โม่เทียนเกอรับขวดมาตรงๆ นี่เป็นธรรมเนียมในโลกแห่งการฝึกตน ในทางหนึ่ง ไม่มีใครยอมที่จะเสียทรัพย์สินของตัวเองเพื่อช่วยคนอื่น แต่ในทางกลับกัน คนที่ได้รับความช่วยเหลือก็ต้องติดหนี้ผู้ที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้ 


 


 


พอเห็นนางยอมรับของกำนัลของเขา ชายคนนี้จึงถามว่า “ศิษย์น้อง เราอยู่ที่ไหนหรือ ที่นี่ปลอดภัยหรือไม่”  


 


 


โม่เทียนเกอตอบว่า “ที่นี่คือน้ำพุอาบพิษที่อยู่ตรงส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของป่า”  


 


 


คาดว่าชายคนนี้ก็เป็นคนฉลาดหลักแหลมเช่นกัน ทันทีที่เขาได้ยินคำตอบของนาง เขาถอนใจออกมาอย่างโล่งอก “ดีจริง คงไม่มีใครมาที่นี่” ชายหนุ่มหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะถามว่า “ข้าคือมู่หรงจื่อ ข้าขอถามได้ไหมว่าศิษย์น้องชื่ออะไร”  


 


 


เนื่องจากเขาพูดว่า “ข้าคือ” ไม่ใช่ “ข้าชื่อ” เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ส่วนชื่อของเขานั้น โม่เทียนเกอเคยได้ยินมาก่อนจริงๆ มู่หรงจื่อเป็นศิษย์ที่สามารถยืนหยัดจนถึงตอนจบในการแข่งขันที่หุบเขาหมีอู้พร้อมๆ กับศิษย์พี่โจวและคนอื่นๆ ในขณะเดียวกัน เขายังเป็นพี่ชายของมู่หรงเยียน และยังเคารพผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนเดียวกันกับนาง นั่นคือหลินชิงหว่านในฐานะอาจารย์ของพวกเขา เขายังเป็นศิษย์พี่ที่คุมสวนสมุนไพร และเป็นคนจัดหาเมล็ดพันธุ์ที่มู่หรงเยียนพูดถึง ศิษย์พี่คนนี้… ที่จริงแล้วค่อนข้างโด่งดังในหมู่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณทีเดียว  


 


 


เพราะว่านางกับมู่หรงเยียนเป็นเพื่อนกัน โม่เทียนเกอจึงปฏิบัติต่อเขาอย่างนอบน้อมมากขึ้น “เช่นนั้นท่านก็คือศิษย์พี่มู่หรงสินะ ชื่อข้าคือเย่เสี่ยวเทียน สหายของศิษย์พี่มู่หรง”  


 


 


มู่หรงจื่อส่งเสียง “อ้า” เบาๆ จากนั้นจึงพูดว่า “เจ้านี่เอง! ข้าได้ยินเสี่ยวเยียนพูดถึงเจ้ามาก่อน” พอได้พินิจดูหน้าตาของนาง เขายิ้มออกมา “มิน่าเล่าข้าถึงคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องผู้หญิงตอนที่ข้ากำลังมึนอยู่ก่อนหน้านี้”  


 


 


โม่เทียนเกอสงสัย นางจึงถือโอกาสถามว่า “ทำไมล่ะ”  


 


 


มู่หรงจื่อจีบปากก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม “เพราะเสี่ยวเยียนบอกว่าน่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตา เจ้าเหมาะที่จะเป็นผู้หญิงมากกว่า” 


 


 


โม่เทียนเกอพูดไม่ออก นอกเหนือจากสวีจิ้งจือ มู่หรงเยียนก็ชอบล้อนางเช่นกัน บอกว่านางตัวเล็กบ้าง ว่าเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าเหมือนผู้หญิงบ้าง ว่าคงจะดีถ้านางเป็นผู้หญิง และอีกมากมาย 


 


 


พอคิดถึงมู่หรงเยียน นางก็อดที่จะถอนใจไม่ได้ มู่หรงเยียนคนที่ชอบหัวเราะและเล่นสนุกบัดนี้ได้หายไปแล้ว 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอดูไม่ค่อยสู้ดี มู่หรงจื่อคิดว่านางไม่พอใจกับคำพูดของเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ศิษย์น้องเยี่ย ตั้งแต่เจ้ามาที่นี่ เจ้าได้เจอศิษย์สำนักจื่อซย่าบ้างหรือยัง” 


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้ายังไม่เจอ” เพราะว่ามู่หรงจื่อดูไม่สบายใจกับอะไรบางอย่าง นางจึงถามกลับ “ศิษย์พี่มู่หรงเจอใครเข้าหรือ” 


 


 


คำถามนี้ทำให้มู่หรงจื่อถอนหายใจออกมา “เพราะศิษย์น้องเยี่ยอยู่ที่นี่มาตลอด เจ้าคงยังไม่รู้ว่าศิษย์จากทั้งสามกลุ่มต่อสู้กัน”  


 


 


โม่เทียนเกอคาดการณ์ได้ว่าจะมีผลเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้พูดออกมาตรงๆ และแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว” จริงหรือ เกิดอะไรขึ้น”  


 


 


“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ในตอนเริ่มแรก มีแค่การต่อสู้ระหว่างบุคคล แต่ภายหลังกลับกลายเป็นการต่อสู้หมู่เช่นนี้ ทางเราและโรงเรียนจินเตาร่วมมือกันเพื่อสู้กับสำนักจื่อซย่า เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะเข้าร่วมด้วย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าเจอคนของสำนักจื่อซย่า พวกเขาโจมตีข้าตรงๆ ทันที ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปกป้องตัวเอง ในตอนนั้น ข้าถูกซุ่มโจมตีในขณะที่กำลังฆ่าหมาป่าปีศาจอยู่ ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหลบหนี” หลังจากเขาพูดจบ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความวิตก “ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายมาก ข้าไม่รู้ว่าเสี่ยวเยียนเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้นางมักจะขี้เกียจอยู่เสมอ ทักษะการต่อสู้ของนางจึง…”  


 


 


พอได้ยินคำพูดของเขาก็ทำให้โม่เทียนเกอเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน นอกจากมู่หรงเยียน ยังมีพวกสหายร่วมบ้านของนางอีก แม้ว่าหลิ่วอีเตาและฉินซีจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทอยู่บ้าง แต่สองหมัดก็ยังไม่เท่ากับสี่มือ ระดับการฝึกตนของสวีจิ้งจือก็ธรรมดาทั่วไป ถึงแม้เขาจะเป็นเด็กที่มาจากกลุ่มผู้ฝึกตนและครอบครองสมบัติบางอย่าง แต่ถ้าเขาเจอเข้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ผลคงจะออกมายากที่จะตัดสิน 


 


 


ทว่าถึงอย่างนั้น มู่หรงเยียนก็ยังเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดจากทั้งหมด ก่อนหน้านี้นางไม่เคยชอบการฝึกตน เหตุผลเดียวที่ระดับการฝึกตนของนางสูงก็เพราะยาวิเศษ อย่างไรก็ตาม ทักษะของนางนั้นช่างธรรมดานัก 


 


 


ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ จนกระทั่งมู่หรงจื่อยิ้มออกมาและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าคงจะต้องขอเอาเปรียบเจ้าอย่างหน้าไม่อาย ให้ข้าอยู่ที่นี่สักพักเถอนะ เพราะว่าตอนนี้ข้าทำอะไรกับบาดแผลของข้าไม่ได้เลย…”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าตกลง “ที่นี่ไม่ใช่ของข้า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่มู่หรงไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก”  


65 จระเข้เขี้ยวเหล็กระดับสอง

 


ภายในหมอกพิษ โม่เทียนเกอและมู่หรงจื่อทำสมาธิอย่างใจเย็น สภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเงียบสงัด


 


 


ความเงียบที่นี่เป็นสิ่งที่พบได้ยากในป่าเขาแห่งนี้ ตรงกันข้ามกับความสงบที่นี่ การต่อสู้กำลังปะทุขึ้นอยู่ในบริเวณอื่นๆ แม้ว่าป่าในเขานี้จะกว้างใหญ่ แต่ผู้คนก็ยังเจอเข้ากับผู้ฝึกตนคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระหว่างการเผชิญหน้ากัน ถ้าฝั่งหนึ่งคือสำนักจื่อซย่า การเผชิญหน้ากันนั้นจะต้องนำไปสู่การต่อสู้ชุลมุนแน่นอน มีทั้งคนที่ฆ่าและคนที่ถูกฆ่า


 


 


เมื่อฟ้ามืดลง ศิษย์จากทั้งสองฝ่ายก็มารวมตัวกับพวกศิษย์สหายตัวเองเพื่อยกระดับความปลอดภัยพร้อมกับระบายความขุ่นเคืองใจไปด้วย พวกเขาฆ่าคู่ต่อสู้ที่เจออยู่อย่างโดดเดี่ยวในขณะที่ปกป้องตัวเองจากการถูกฆ่าด้วยเช่นกัน


 


 


ขณะที่มู่หรงจื่อใช้เวลานี้เพื่อรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขา โม่เทียนเกอแอบตื่นตัวอยู่ลับๆ นางไม่เหมือนกับศิษย์ร่วมสำนักที่เกิดมาจากกลุ่มการฝึกตนซึ่งสั่งสมความแค้นต่อสำนักจื่อซย่า นางไม่อยากถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งอะไรก็ตามที่พวกเขามีต่อกัน นางแค่อยากจะรอม่านพลังทางออกเปิดออกอยู่เงียบๆ และได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังก็เท่านั้น


 


 


โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นทันใด นางสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณกระเพื่อมอยู่ในอากาศ พอดีกับที่นางกำลังจะมองกลับไปที่น้ำพุอาบพิษด้านหลัง นางก็รู้สึกถึงลมกระโชกแรงจึงรีบผลักมู่หรงจื่อไปด้านหลัง ในขณะที่ตัวนางเองกลิ้งไปทางด้านข้างเพื่อหลบ


 


 


ความรอบคอบของนางช่วยชีวิตพวกเขาไว้ อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมา พวกเขาก็ต้องเบิกตากว้าง จ้องมองนิ่งอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ


 


 


สัตว์ปีศาจตัวนี้มีหัวแบนราบ ฟันแหลมคม และหลังที่ปกคลุมไปด้วยหมอกที่รูปร่างเหมือนภูเขาเล็กๆ ส่วนล่างของร่างกายมันยังอยู่ในน้ำพุอาบพิษ แต่แค่ส่วนที่เผยออกมาก็ทำให้พวกเขารู้แล้วว่ามันเป็นสัตว์ปีศาจประเภทไหน


 


 


มู่หรงจื่อพึมพำ “จระเข้เขี้ยวเหล็กระดับสอง! งั้นที่นี่ก็มีสัตว์ปีศาจระดับสองอยู่จริงๆ เสียด้วย”


 


 


โม่เทียนเกอถอยไปพร้อมดึงมู่หรงจื่อไปกับนางด้วย จากนั้นนางโบกมือให้ธงม่านพลังมาปรากฏต่อหน้าพวกเขา ตำแหน่งที่พวกเขานั่งสมาธิกันอยู่คือม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุที่นางวางไว้ก่อนหน้านี้ ทันทีที่จระเข้เขี้ยวเหล็กพุ่งเข้ามา มันก็เข้าสู่ม่านพลังในทันใด


 


 


“ศิษย์พี่มู่หรง นี่มันตัวอะไรกัน”


 


 


มู่หรงจื่อฟื้นความทรงจำและตอบด้วยหน้านิ่วคิ้มขมวด “นี่คือสัตว์ปีศาจระดับสอง เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในขั้นต้น เราไม่มีทางสู้มันได้”


 


 


พวกเขาไม่มีเวลาพูดคุยต่อเพราะจระเข้เขี้ยวเหล็กพุ่งเข้ามาข้างหน้าอย่างเร็ว ขากรรไกรของมันอ้ากว้างในขณะที่มันพยายามจะกัดพวกเขา


 


 


ทั้งสองคนรีบถอยหนี โม่เทียนเกอโบกธงม่านพลัง ทำให้แผ่นม่านพลังและธงม่านพลังอันอื่นๆ ที่นางซ่อนไว้ใต้ดินตั้งตระหง่านขึ้นมาในทันที เมื่อเป็นเช่นนั้น ม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุจึงเริ่มทำงาน


 


 


จระเข้เขี้ยวเหล็กกะพริบตาเล็กๆ ของมันและดูเหมือนจะตกใจหลังจากข้าวของม่านพลังรอบตัวมันตั้งขึ้นเสียงดัง “ปับ” อย่างไรก็ตาม เพราะความสามารถในการรับรู้ของมันไม่มากพอที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากสับสนอยู่พักหนึ่ง มันก็ยังคงพุ่งเข้าหาพยายามจะกลืนกินยุงตัวจิ๋วสองตัวที่อยู่ตรงหน้ามัน


 


 


แต่กระนั้นมันก็ทำไม่สำเร็จ ทันใดนั้น เถาวัลย์ขดคดเคี้ยวนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นข้างใต้ พันรอบตัวมันและทำให้มันไม่สามารถจะขยับเขยื้อนได้แม้แต่นิดเดียว


 


 


มันตวัดหางอย่างโกรธเกรี้ยว เถาวัลย์ค่อยๆ หลุดออกทีละอัน


 


 


เหงื่อเย็นเฉียบจากความกลัวปรากฏขึ้นบนหน้าของโม่เทียนเกอ “ปีศาจตัวนี้มันแข็งแกร่งเกินไป ม่านพลังของข้าไม่สามารถรั้งมันได้นานนัก”


 


 


“นี่…” มู่หรงจื่อตัวซีด “เราไม่มีเวลามากพอที่จะหนี”


 


 


โม่เทียนเกอโบกธงม่านพลังอีกครั้ง น้ำและทรายดูดปรากฏขึ้นในม่านพลังทันทีและทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นแอ่งน้ำอย่างรวดเร็ว กักขังจระเข้เขี้ยวเหล็กไว้ได้อีกครั้ง โม่เทียนเกอกัดฟันพูด “ศิษย์พี่มู่หรง ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้ ท่านไปจัดการมันซะ ในเมื่อเราหนีไม่ได้เราก็ต้องสู้เท่านั้น!”


 


 


มู่หรงจื่อตอบอย่างเฉื่อยชา “เรา…”


 


 


“มันจะสายเกินไปถ้าท่านไม่โจมตีมันเดี๋ยวนี้!” โม่เทียนเกอตะโกน “เร็วเข้า! ข้าจะคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้มันทำร้ายท่าน! ท่านต้องจู่โจมมันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี!”


 


 


เชื่อตามที่โม่เทียนเกอตะโกนสั่ง มู่หรงจื่อกัดฟันและพูดว่า “ก็ได้ ถ้ามันสุดวิสัยจริงๆ ข้าจะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน!”


 


 


ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณสองคนไม่สามารถเอาชนะผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสัตว์ปีศาจระดับสองที่ไม่มีทั้งอาวุธวิเศษหรือความสามารถในการวิเคราะห์ศึก พวกเขายังพอมีโอกาสอยู่บ้าง


 


 


มู่หรงจื่อคว้ากระบี่บินของเขาออกมาทันที ใช้วิชาตัวเบา และพุ่งเข้าปะทะกับมัน


 


 


ชั่วขณะต่อมา อย่างไรก็ตาม สีหน้าเขาแย่ลง กระบี่บินของเขาเป็นของที่ผู้อาวุโสในสำนักมอบให้ มันถูกหลอมด้วยสารสกัดจากเหล็กหายากและมีใบมีดคมกริบ


 


 


โดยปกติเขามักจะชนะอย่างง่ายดายในการต่อสู้ แต่พอปะทะเข้ากับหนังหนาของจระเข้เขี้ยวเหล็กตัวนี้ กระบี่ไม่สามารถทำร้ายอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย


 


 


แอ่งน้ำไม่สามารถกักจระเข้เขี้ยวเหล็กตัวนี้ได้อีกนานนัก โม่เทียนเกอโบกธงอีกครั้งก่อให้เกิดไฟลุกอยู่ภายในม่านพลัง ขณะเดียวกันนั้นเอง นางก็คว้าเมล็ดบุษบาเสน่หากำหนึ่งออกมา จากนั้นโยนไปทางจระเข้ตัวนั้น


 


 


แม้ว่าไฟจะสามารถถ่วงจระเข้ไว้ได้ แต่บุษบาเสน่หาทำได้เพียงแค่ให้มันสะบัดหางใส่เท่านั้น ด้วยพลังวิญญาณปัจจุบันของนาง นางใช้ได้แค่เมล็ดพันธุ์ที่โตทันที ถึงอย่างนั้น ของพวกนี้… ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ปีศาจระดับสองจะถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเลย


 


 


เมื่อไม่เหลือทางเลือก โม่เทียนเกอเอายาบำรุงครอบจักรวาลออกมา การใช้ม่านพลังเพื่อดักจับสัตว์ปีศาจระดับสองทำให้นางเสียพลังวิญญาณเร็วเกินไป ดังนั้นนางจึงต้องกินยาเพื่อให้ยังรักษาม่านพลังอยู่ได้


 


 


อีกฝั่งหนึ่ง มู่หรงจื่อทำตัวสมกับกิตติศัพท์ของเขา เมื่อเขาตระหนักว่ากระบี่บินของเข้าไร้ประโยชน์ เขาเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่นทันที นั่นคือแส้ที่อาบไปด้วยแสงสีทองระยับ พอเขาฟาดแส้นี้ มันก็กลายเป็นลำแสงสีทองและส่งเสียง “แก๊ก!” ก้องกังวาน แต่หลังจากแส้ของเขาถูกเหวี่ยงออกไป สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง แส้นี้ก็ยังไม่สามารถทำอะไรหนังหนาๆ ของจระเข้ได้เลย!


 


 


หลังจากฟาดแส้อยู่หลายครั้ง ใบหน้ามู่หรงจื่อก็ซีดเผือด ไม่เพียงแต่เขาไม่สามารถทำลายการป้องกันของจระเข้เขี้ยวเหล็กได้ แต่เครื่องมือวิญญาณของเขายังพังเพราะโดนมันกัดเข้าอีกด้วย สมกับชื่อ “เขี้ยวเหล็ก” มันมีฟันที่แหลมคมอย่างมาก


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ทำได้ดีไปกว่าเขานัก แม้ว่านางจะสบายกว่าหน่อยเพราะนางพึ่งพาม่านพลังของตัวเอง แต่การใช้ม่านพลังนี้เพื่อต้านทานการโจมตีจากสัตว์ปีศาจระดับสองทำให้พลังวิญญาณของนางสูญเสียไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ นางแทบจะสัมผัสได้เลยว่าพลังวิญญาณของตัวเองเกือบจะหมดสิ้นแล้ว เพราะอย่างนั้น นางจึงทำได้แค่กินยาบำรุงครอบจักรวาลเข้าไปอีก


 


 


เมื่อคิดว่าพลังวิญญาณของนางสูญเสียไปเร็ว นางก็ไม่กลัวกับการต้องเปลืองยาวิเศษอีกต่อไป อย่างไรเสีย ถ้านางไม่มีชีวิตรอด การมียาวิเศษมากมายก็คงไม่มีประโยชน์


 


 


“ใช้เครื่องราง! ใช้เครื่องรางโจมตีมัน!” โม่เทียนเกอตะโกนใส่มู่หรงจื่อที่กำลังอึ้ง จระเข้เขี้ยวเหล็กตัวนี้เอาชนะไม่ได้เลย ชั้นผิวหนังแข็งบนตัวของมันเทียบได้กับเกราะป้องกันและไม่สามารถจะเจาะหรือแทงได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่ใช้เวทมนตร์ในการทะลวงผิวหนังของมันและทำให้มันบาดเจ็บ


 


 


มู่หรงจื่อได้สติกลับมาหลังจากได้ยินเสียงตะโกนของโม่เทียนเกอ จากนั้นเขาคว้าเครื่องรางกองหนึ่งออกมา ไม่สนใจจะระวังอะไรอีกแล้ว และขว้างเครื่องรางทั้งหมดไปทางจระเข้เขี้ยวเหล็ก


 


 


มีคาถาของทุกธาตุอยู่ในเครื่องรางพวกนี้ ทะเลเพลิง น้ำแข็ง ทรายดูด เถาวัลย์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดชนเข้าใส่หัวของจระเข้เขี้ยวเหล็กเข้าอย่างจังทีละอัน


 


 


ครั้งนี้ ในที่สุดจระเข้เขี้ยวเหล็กก็มีปฏิกิริยาอะไรบ้าง มันยกหัวขึ้น จ้องไปที่มู่หรงจื่อที่กำลังลอยตัวในอากาศด้วยดวงตาเล็กของมัน ก่อนจะอ้าปากขึ้นในที่สุด มันพ่นน้ำไปทางมู่หรงจื่อ เขาตกใจ รีบขยับไปด้านข้างเพื่อหลบ แต่เขาไม่ทันระวังและทำให้ตัวเองโดนน้ำบางส่วนกระเด็นใส่ หลังจากนั้น ร่างกายของเขาเฉื่อยลงอย่างไม่คาดคิดและร่วงลงสู่พื้น


 


 


นางใช้โอกาสจากช่วงเวลานี้ โม่เทียนเกอรีบคว้าแผ่นและธงม่านพลังที่ใช้ในการตั้งม่านพลังหลงทิศและม่านดักวิญญาณออกมา แล้ววางทั้งหมดลง


 


 


หลังจากนางโบกธงม่านพลัง เถาวัลย์เลื้อยนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นอีกครั้งภายในม่านพลังและมัดตัวของจระเข้เขี้ยวเหล็กไว้


 


 


ในที่สุดความสนใจของจระเข้เขี้ยวเหล็กจึงกลับมาที่ฝั่งนาง แต่มันก็รู้ทันทีว่าการเคลื่อนไหวพลังวิญญาณภายในร่างของมันตอนนี้เป็นไปอย่างช้ามาก ด้วยความเกรี้ยวกราด มันไม่มีเวลาจะจัดการกับแมลงวันตัวจิ๋วอีกตัวนึง แค่อยากจะฉีกเนื้อแมลงวันที่อยู่ตรงหน้ามันออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันคลานไปข้างหน้า ก็พบว่าฉากข้างหน้าเปลี่ยนไป มันงุนงงขึ้นมาทันทีและมองไม่เห็นแมลงวันตัวจิ๋วนั้นอีกต่อไปแล้ว!


 


 


พอเห็นว่ามู่หรงจื่อยังไม่ลุกขึ้น โม่เทียนเกอร้องเรียกอย่างกังวล “ศิษย์พี่มู่หรง!”


 


 


ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงของนาง มู่หรงจื่อหยิบยาวิเศษหลายเม็ดใส่ปากอย่างยากลำบากและพยายามจะลุกขึ้น ร่างกายของเขาบาดเจ็บอย่างแรงอยู่ก่อนแล้ว และการใช้เครื่องมือวิญญาณกับวิชาตัวเบาก็ยิ่งทำให้เขาใช้ร่างกายเกินขีดจำกัด โชคร้ายที่เขายังถูกปะทะเข้ากับน้ำที่จระเข้เขี้ยวเหล็กพ่นออกมาอีก


 


 


ที่นี่คือน้ำพุอาบพิษ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนี้จึงเป็นพิษ รวมถึงสัตว์ปีศาจที่สามารถพัฒนาไปถึงระดับสองด้วย พิษที่จระเข้เขี้ยวเหล็กมีนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าหมอกพิษ ในไม่ช้า อาการบาดเจ็บของมู่หรงจื่อก็แย่ลงมากกว่าเดิม


 


 


เขาเมินเฉยกับทุกสิ่ง กลืนยาถอนพิษและยาที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาเข้าไปหลายเม็ด จากนั้นพยายามที่จะเหาะขึ้น เขายกมือ โยนเข็มบินได้อย่างดีกำมือหนึ่งใส่ตาของจระเข้เขี้ยวเหล็ก


 


 


จระเข้เขี้ยวเหล็กกะพริบตาและสะบัดหัว เข็มบินได้จำนวนหนึ่งถูกปัดออกในขณะที่บางส่วนติดอยู่กับหนังหนาบนหัวของมัน แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใดแม้แต่น้อยก่อนจะร่วงหล่นลง


 


 


มู่หรงจื่อยังไม่ยอมแพ้ เขาขว้างเข็มใส่มันเรื่อยๆ การที่ถูกขังอยู่ในม่านดักวิญญาณทำให้พลังวิญญาณของจระเข้เขี้ยวเหล็กเคลื่อนไหวได้ช้าลง ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่อาจหลบเข็มเหล่านั้นได้ ด้วยเสียงดัง “จึก” ตาของมันถูกแทงเข้าจนได้


 


 


มันผงกหัวขึ้นและร้องคำรามขึ้นฟ้าอย่างเกรี้ยวกราด


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกพอใจ นางกินยาครอบจักรวาลเข้าไปอีกกำหนึ่งและโบกธงม่านพลัง ทะเลเพลิงตกลงสู่ม่านพลังทำให้พื้นสั่นไหว หลังจากถูกระดมโจมตีด้วยเวทมนตร์ ร่องรอยของการถูกเผาไหม้ในที่สุดก็ปรากฏขึ้นบนผิวหนังหนาของจระเข้เขี้ยวเหล็ก


 


 


มู่หรงจื่อไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป เขาคว้ากระบี่บินออกมาอีกครั้งหนึ่งและแทงเข้าไปตรงผิวหนังที่ไหม้ของจระเข้


 


 


ครั้งนี้ การจ้วงแทงอย่างรุนแรงสามารถเจาะเข้าไปยังชั้นผิวหนังด้านนอกของจระเข้เขี้ยวเหล็กได้สำเร็จและเสียบลึกเข้าไปถึงเนื้อของมัน


 


 


ด้วยความเจ็บปวด จระเข้เขี้ยวเหล็กตวัดหาง ทำต้นไม้ใหญ่ที่โตอยู่ด้านข้างน้ำพุหักโค่น จนถึงตอนนี้ มันยังไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าพวกแมลงวันพวกนั้นอยู่ตรงไหน ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉากที่อยู่ตรงหน้าของมันเป็นภาพน้ำพุอาบพิษที่มันอาศัยอยู่มาหลายร้อยปีโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่ามันจะคลานไปมากแค่ไหน มันก็จะคลานกลับไปยังจุดเดิมตลอด


 


 


มันส่งเสียงครวญครางดังออกมาเพราะความเจ็บปวด เลือดไหลทะลักจากตา ทั้งร่างของมันเจ็บปวดจากการถูกโจมตีด้วยเวทมนตร์ และยังมีอะไรบางอย่างเสียบทะลุเข้าตัวของมัน แต่มันก็ยังมองไม่เห็นว่าแมลงวันตัวจิ๋วสองตัวนั้นอยู่ที่ไหน และยังโดนโจมตีด้วยพลังเวทไม่หยุด จนท้ายที่สุด มันไม่สามารถทนต่อไปได้อีก หลังจากการจู่โจมครั้งสุดท้ายปะทะเข้ากับตัวมัน ตาของมันจึงปิดลง


 


 


โม่เทียนเกอสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าเท้าของตัวเองแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ไม่สามารถยืนต่อไปได้อีก ในที่สุดนางก็ล้มลงที่พื้น ในร่างกายไม่เหลือพลังวิญญาณอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


สัตว์ปีศาจระดับสอง… แน่นอนว่าทรงพลังมากกว่าสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งมากนัก นางใช้ม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุฆ่าพวกลิงปีศาจพวกนั้นได้โดยไม่ต้องเผชิญอันตรายใดๆ แต่สำหรับสัตว์ปีศาจระดับสองนั้น แม้ว่าหลังจากใช้พละกำลังไปมากมายและกินยาวิเศษเข้าไปจำนวนมาก แต่นางก็ทำได้แค่ดักจับมัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีมู่หรงจื่อคอยช่วย วันนี้นางคงต้องจบชีวิตแน่ๆ


 


 


มู่หรงจื่อล้มลงและนอนแน่นิ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวนาง ตอนนั้นเขาขว้างเครื่องรางทั้งหมดของตัวเองไป และเมื่อจระเข้เขี้ยวเหล็กตาย เขาก็ล้มพับลงทันที


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างเป็นกังวล นางกลืนยาครอบจักรวาลไปอีกครั้ง หลังจากนั้น เมื่อนางฟื้นฟูพลังวิญญาณมาได้เล็กน้อยแล้ว นางใช้แรงยืนขึ้นอย่างยากลำบากและลากเท้าหนักอึ้งของตัวเองไปหามู่หรงจื่อ


 


 


“ศิษย์พี่มู่หรง! ศิษย์พี่มู่หรง!”


 


 


มู่หรงจื่อนอนไม่ไหวติงอยู่ที่พื้น ปากของเขาเปรอะไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าเขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดเพราะบาดแผลของเขาบาดเจ็บรุนแรงเกินไป


 


 


โม่เทียนเกอกัดฟัน นางหยิบเอายาอนุคืนสภาพออกมาและใส่เข้าปากเขา ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้บาดเจ็บ แต่พลังวิญญาณของนางก็สูญเสียไปมาก ถ้ามีสัตว์ร้ายที่อันตรายตัวอื่นเข้ามาอีก นางต้องไม่สามารถรับมือไหวแน่ เพราะฉะนั้น นางต้องช่วยชีวิตเขาก่อน ท้ายที่สุดแล้ว สองคนก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนเดียว


 


 


หลังจากได้รับยาอนุคืนสภาพ มู่หรงจื่อก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เมื่อเขาเห็นโม่เทียนเกอ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความลังเลและสงสัยในขณะที่เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ยาที่เจ้าเพิ่งให้ข้า…”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มอย่างขมขื่นและบอกว่า “ข้าเตรียมไว้เพื่อการเดินทางครั้งนี้โดยเฉพาะ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเรา ข้าทำได้เพียงช่วยศิษย์พี่” นางไม่กล้าบอกเขาว่านางยังมียาอยู่อีกขวด แม้ว่าศิษย์พี่มู่หรงไม่ได้ดูเป็นคนเช่นนั้น และยังเป็นพี่ชายของมู่หรงเยียน แต่ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น


 


 


มู่หรงจื่อไม่สงสัยคำพูดนางและดูซาบซึ้งใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดอย่างจริงใจ “ขอบคุณศิษย์น้องเยี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะยาที่เจ้าให้มา ข้าคงอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้แน่เพราะบาดแผลของข้า”


 


 


โม่เทียนเกอเพียงแค่โบกมือ “หากศิษย์พี่มู่หรงไม่อยากจะเอาเปรียบข้า ท่านแค่ต้องคืนยาให้ข้าหลังจากที่เราออกไปได้ ตอนนี้ท่านต้องฟื้นตัวก่อน มิเช่นนั้นถ้าเราบังเอิญเจอเข้ากับ…” จังหวะที่นางพูดถึงตรงนี้ นางก็ขมวดคิ้วทันที มีคนกำลังมา!


66 ฆ่า

 


โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อ วางสิ่งของต่างๆ ลงบนพื้น หลังจากนั้นนางหยิบยาครอบจักรวาลออกมากรอกเข้าไปในปากตัวเองหลายเม็ด


 


 


หลังจากที่นางทานเสร็จ เงาหลายเงาปรากฏขึ้นทางกลุ่มหมอกพิษ


 


 


ชุดคลุมสีม่วง


 


 


โม่เทียนเกอกำกระบี่ป่าขจีของนางในทันที ข้างๆ นาง มู่หรงจื่ออดทนกับความเจ็บปวดและพยายามที่จะยืนขึ้นอย่างยากลำบาก


 


 


พวกเขามีทั้งหมดสามคนและต่างเป็นผู้ฝึกตนระดับสิบของการหลอมรวมพลังวิญญาณ หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคน ในขณะที่อีกสองคนเป็นชายวัยยี่สิบกว่ากับชายชราอีกคนอายุดูราวๆ ห้าสิบหรือหกสิบ ช่วงอายุของพวกเขาเป็นรูปแบบของคนสามรุ่น วัยชรา วัยกลางคน และวัยหนุ่ม


 


 


ทั้งสามคนดูยากที่จะต่อกรด้วย ในเมื่อชายวัยกลางคนเป็นหัวหน้ากลุ่ม มีความเป็นไปได้ที่เขาน่าจะเป็นคนที่มีสถานะสูงสุด หรือมีความสามารถสูงที่สุดในกลุ่มนั้น สำหรับชายหนุ่ม จากที่พิจารณาดูว่าเขาสามารถเข้าถึงระดับสิบได้แม้อายุยังน้อย เขาน่าจะเป็นคนที่มีความสามารถและทักษะพอตัวทีเดียว สำหรับชายชรา ไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ให้มาก ในฐานะคนที่มีประสบการณ์มามาก เขาน่าจะเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากที่สุดในกลุ่ม


 


 


โม่เทียนเกอกับมู่หรงจื่อมองหน้ากัน ทั้งสองคนต่างมีรอยยิ้มที่บูดเบี้ยวบนใบหน้าทั้งคู่ พวกเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมา โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนแบบนี้อีก


 


 


ทั้งสามคนหยุดอยู่ไม่ไกลนักและเริ่มพินิจพิเคราะห์พวกเขาอย่างระมัดระวัง


 


 


โม่เทียนเกอและมู่หรงจื่อแกล้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านและต่างถือกระบี่บินของตัวเองไว้ในมือ


 


 


ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงหมดความอดทนและถามออกมา “ศิษย์พี่ พวกเรากำลังรออะไรกัน”


 


 


ชายชราขมวดคิ้วพร้อมพูดด้วยกิริยานิ่งเฉย “ระมัดระวังตัวไว้”


 


 


พวกเขาเห็นซากจระเข้เขี้ยวเหล็กบนพื้น ถึงแม้ว่ามันจะตายแล้ว แต่จากพลังวิญญาณที่ยังคงหลงเหลือบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่สัตว์ปีศาจระดับที่หนึ่งแน่นอน สิ่งนี้ทำให้พวกเขาลังเลใจ ความจริงที่บอกว่าสองคนนี้สามารถฆ่าสัตว์ปีศาจระดับสองได้ แสดงว่าทั้งสองคนนี้จะต้องมีทักษะที่พิเศษมาก


 


 


อย่างไรก็ตาม คนในกลุ่มนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ พวกเขาไม่ยอมที่จะปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดลอยไปง่ายๆ สุดท้ายแล้ว ซากของสัตว์ปีศาจระดับสองสามารถทำให้พวกเขาได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังแน่นอน!


 


 


รอบคอบ คิดคำนวณ และบ้าคลั่ง ปฏิกิริยาเหล่านี้แสดงออกมาทางสีหน้าของทั้งสามคน พวกเขาเกรงกลัวว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งเกินไปและสามารถเอาชนะพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยรางวัลชิ้นใหญ่นี้ไป ซากของสัตว์ปีศาจระดับสองสามารถนำมาใช้ในการล้างเครื่องมือวิญญาณและเครื่องมือเวทที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังใช้ นี่มันเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่มาก


 


 


เมื่อทนไม่ไหว ชายหนุ่มตะโกน “ศิษย์พี่ พวกเราจะมามัวลังเลอะไรกัน จะปล่อยให้พวกมันหลุดมือไปแล้วเราไม่ได้อะไรกันเลยอย่างนั้นหรือ!”


 


 


ชายชรากล่าว “ทั้งสองคนนี้ยากที่จะต่อกรด้วย พวกเราจะทำอะไรวู่วามไม่ได้”


 


 


สุดท้าย ทั้งสองคนหันไปมองที่ชายผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ยืนอยู่ระหว่างพวกเขาพร้อมกัน


 


 


ชั่วขณะหนึ่ง ผู้ฝึกตนวัยกลางคนยังลังเล ฆ่าดีหรือไม่ เขาไม่มั่นใจว่าผลจะออกมาอย่างไร ปล่อยไป? เขาก็ไม่ได้ต้องการ อีกอย่างทั้งสองคนที่อยู่ด้านหน้าของเขาต่างจ้องมาที่เขาด้วยความสงบเยือกเย็นและไม่สะทกสะท้าน มันเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้สนใจว่ากลุ่มของเขาจะตัดสินใจทำอะไร


 


 


ความจริงแล้ว โม่เทียนเกอและมู่หรงจื่อไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลย ถึงแม้ว่ามู่หรงจื่อจะทานยาอนุคืนสภาพแต่บาดแผลของเขาก็ไม่ได้หายในทันที การต่อสู้ซ้ำๆ ในขณะที่เขากำลังบาดเจ็บยังทำลายเส้นลมปราณของเขาอีกด้วย เขาทำได้แค่เพียงคงสีหน้าสงบนิ่งไว้เพราะเขามีนิสัยแน่วแน่และมุ่งมั่น


 


 


พฤติกรรมของพวกเขาหลอกคู่ต่อสู้ได้อย่างดี หลังจากที่พิจารณาอยู่นาน ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ไปดูที่อื่นกันเถอะ”


 


 


ภายหลังจากที่ทั้งสามคนหันกลับออกไป โม่เทียนเกอและมู่หรงงจือถอนใจด้วยความโล่งอก พวกเขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้กับคนพวกนั้นอีกแล้ว


 


 


อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนนั้นหยุดเดินอย่างไม่คาดคิด ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดอย่างเยาะเย้ย “พวกเราเกือบถูกพวกนั้นหลอกแล้ว ฆ่าสัตว์ปีศาจระดับสองไปได้… ถึงพวกเขาจะไม่บาดเจ็บ แต่จะเหลือพลังวิญญาณแค่ไหนกัน!”


 


 


ทันทีหลังจากที่พูดจบ ทั้งสามคนหันกลับและแยกกันไปสามทางเพื่อล้อมโม่เทียนเกอและมู่หรงจื่อ


 


 


โม่เทียนเกอติดเครื่องรางป้องกันที่ตัวนางพร้อมปล่อยกระบี่ป่าขจีทันที มู่หรงจื่อตอบสนองด้วยความเร็วพอกัน เขาไม่ได้มีเครื่องรางอะไรเหลือแต่เขายังมีเครื่องมือวิญญาณของเขาอยู่ กระบี่เหล็กหลอมบินได้ของเขาเคลื่อนที่ไวมาก เพียงแค่กะพริบตา มันก็พุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ทันที


 


 


ทั้งสองคนพยายามที่จะเป็นต่อทางการต่อสู้ด้วยการชิงลงมือก่อน คู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่ทันได้ระวังตัว เมื่อเห็นว่ากระบี่ทั้งสองเล่มกำลังพุ่งตรงเขาหา ชายหนุ่มกระวนกระวายใจเล็กน้อย จากความเร็วของกระบี่ทั้งสองเล่มนั้น มันไม่ใช่อาวุธธรรมดาทั่วไปแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากหลบหลีกให้พ้นทาง


 


 


โม่เทียนเกอรีบเปลี่ยนทิศทาง เมล็ดหนามเพลิงเต็มกำมือถูกโยนออกไป ขังชายหนุ่มเอาไว้ชั่วคราว


 


 


นางอยากจะบอกมู่หรงจื่อให้ร่วมมือกับนางในการจัดการชายชราก่อน เมื่อจู่ๆ นางได้ยินเสียงร้องครวญครางเสียงดัง เมื่อนางหันกลับไปมอง ก็พบว่ามู่หรงจื่อกำลังกำที่หน้าอกของตัวเองและอาเจียนออกมาเต็มไปด้วยเลือด ในขณะที่กระบี่ของเขาเริ่มบินอย่างไม่มั่นคงอยู่กลางอากาศเหมือนกับมันกำลังจะตกลงมา นางตะโกนด้วยความหวาดกลัว “ศิษย์พี่มู่หรง!”


 


 


คู่ต่อสู้ทั้งสามรู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาทันที ชายหนุ่มติดกับอยู่ชั่วคราวและไม่สามารถออกมาได้ แต่ชายชราและชายผู้ฝึกตนวัยกลางคนมองหน้ากัน หลังจากนั้นจึงเคลื่อนไหวพร้อมกันทันที


 


 


ผู้ฝึกตนชายกลางคนหยิบเครื่องมือวิญญาณที่ธรรมดาทั่วไปในโลกของการฝึกตนออกมา นั่นคือกระบี่บิน อย่างไรก็ตาม ชายชราหยิบกระจกเงาออกมา


 


 


โม่เทียนเกอรีบเรียกกระบี่ป่าขจีของนางกลับมา แต่มันจัดการขัดขวางได้เพียงแค่กระจกเท่านั้น มู่หรงจื่อหลบหลีกกระบี่ที่พุ่งตรงเข้าหาเขาด้วยความเร็วที่น่าตกใจอย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม กระบี่บินได้นั้นก็เฉียดโดนหัวไหล่ของเขาไป ทำให้เลือดค่อยๆ ไหลซึมเป็นวงออกมาจากเสื้อคลุมของเขา


 


 


ผู้ฝึกตนชายวัยกลางคนไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ เขารีบเหาะเพื่อไปหยิบกระบี่บินของเขาพร้อมตรงเข้าแทงไปที่มู่หรงจื่อ


 


 


โม่เทียนเกอต้องการที่จะช่วยแต่กระจกของชายชรานั้นยากที่จะต่อกรด้วย หลังจากที่นางหยุดมันได้ มันก็บินกลับไปที่มือของชายชรา เขากลับด้านมันและส่องมาทางนาง ทันใดนั้นลำแสงสีทองก็สะท้อนออกมาที่นาง ถึงแม้ว่านางจะมีเครื่องรางป้องกันอยู่บนร่างของนาง แต่นางก็ไม่กล้าที่จะหวังพึ่งมันอย่างเดียว นางจึงเรียกกระบี่ป่าขจีมาเพื่อขจัดลำแสงสีทองออกไป


 


 


ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกตนชายกลางคนตรงเข้าไปที่ร่างของมู่หรงจื่อ เมื่อเห็นว่ามู่หรงจื่อไม่มีแม้แต่กำลังแรงที่จะตอบโต้กลับแม้แต่น้อย เขายิ้มอย่างชั่วร้ายและแทงกระบี่บินได้ไปด้านหน้า “ฉึก!” กระบี่บินได้แทงลึกเข้าไปที่ร่างกายของมู่หรงจื่อ เลือดไหลเคลือบไปทั่วใบมีด


 


 


อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ฝึกตนชายกลางคนก็ร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง “อ๊าก!” เขาปล่อยมือออกจากกระบี่บินและกุมไปที่ท้องของเขา


 


 


กระบี่บินได้อีกเล่มหนึ่งแทงไปที่หลังของเขาทะลุที่ช่องท้อง มันคือกระบี่บินเหล็กหลอมอันแสนแหลมคมของมู่หรงจื่อ!


 


 


ปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไปในทันที นางยังคงได้ยินคู่ต่อสู้ของนางตะโกน “ศิษย์พี่จาง!”


 


 


มู่หรงจื่อได้จัดการผู้ฝึกตนชายกลางคนไปพร้อมกับเขา แต่แทนที่จะโกรธ คู่ต่อสู้อีกสองคนที่เหลือกลับตื่นตระหนก เพียงเสี้ยวนาที หนึ่งคนถูกกักขัง อีกหนึ่งคนเกือบถูกฆ่าตาย


 


 


ชายชรารีบตัดสินใจ เขาเก็บกระจกของเขาและหนีไป บางทีความขี้ขลาดของเขานี่แหละที่ยังคงทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้


 


 


แทนที่จะไล่ตามชายชราไป โม่เทียนเกอขว้างกระบี่บินได้ของนางไปด้านหน้าเพื่อจัดการกับชายผู้ฝึกตนวัยกลางคนแล้วจึงหันกลับไปที่ชายหนุ่ม ผู้ซึ่งแสดงสีหน้าได้อย่างน่าเกลียดเมื่อเห็นว่าชายชราหนีไป เขารีบใช้มีดด้ามใหญ่ในมือฟันหนามเพลิงพร้อมมุ่งตรงมาที่โม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอยังไม่เคยพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่ใช้เครื่องมือวิญญาณในการตัดสิ่งของเหมือนกับที่พวกทหารทำในโลกของมนุษย์มาก่อน ดังนั้นปฏิกิริยาโต้ตอบของนางจึงค่อนข้างช้า โชคดีที่นางมีเครื่องรางป้องกันติดไว้บนร่างกาย นางถอยไปขณะที่เรียกกระบี่ป่าขจีกลับมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของเขา ความจริงแล้ว นางต้องการที่จะโจมตีกลับ แต่เป็นเพราะว่านางไม่ได้มีพลังวิญญาณเหลือมากนัก นางไม่มีทางเลือกนอกจากล่าถอย


 


 


เมื่อเห็นว่านางไม่กล้าที่จะต่อสู้กลับ คู่ต่อสู้ของนางดูพึงพอใจและดำเนินการสู้ต่อ


 


 


อย่างไม่คาดคิด โม่เทียนเกอยิ้ม ธงม่านพลังปรากฏออกมาที่มือของนาง นางโบกธงเบาๆ เกิดเป็นเสียงปะทุดังไปรอบๆ ชายหนุ่ม แผ่นม่านพลังและธงม่านพลังที่นางซ่อนไว้เริ่มทำงาน


 


 


ชายหนุ่มหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว ในทันที เขาถูกทำให้สับสนด้วยภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าเขา ลมพัดทรายสีเหลืองทองไปทุกที่ราวกับเป็นทะเลทรายสักแห่งหนึ่งไกลออกไปทางทิศตะวันตก


 


 


นี่เป็นม่านพลังที่โม่เทียนเกอรีบวางไว้ไม่นานมานี้ ความจริงแล้วนางไม่มั่นใจว่านางจะใช้มันได้ โชคดีที่ชายหนุ่มคนนี้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้และถูกหลอกล่อให้เข้าไปในม่านพลัง ตอนนี้ที่เขาเข้าไปอยู่ในม่านพลังแล้ว เขาจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง


 


 


ด้วยการโบกธงอีกครั้ง สถานการณ์ภายในม่านพลังก็เปลี่ยนไป คาถาทั้งห้าธาตุโจมตีหาชายหนุ่มอย่างไม่หยุดยั้ง เขาใช้มีดของเขาเพื่อยับยั้ง แต่เขาก็พบว่าคาถาเหล่านั้นหายไปทันทีเมื่อสัมผัสเขา เมื่อพบว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เขาจึงโกรธมากจนสบถคำสาปแช่งออกมา


 


 


โม่เทียนเกอกลืนยาครอบจักรวาลลงไปเพิ่ม ก่อนที่นางจะหยิบเครื่องรางออกมาอีกชุดหนึ่งพร้อมกับควบคุมกระบี่ป่าขจี นางใช้ทั้งหมดพร้อมกันในการโจมตีชายหนุ่มที่ติดอยู่ภายในม่านพลัง


 


 


ชายหนุ่มนึกว่าการโจมตีที่กำลังพุ่งเข้ามาเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ป้องกันตัวเอง การโจมตีพุ่งตรงไปหาเขาพร้อมกับปลิดชีวิตของเขาอย่างสมบูรณ์


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอก เรียกกระบี่ป่าขจีของนางกลับคืน เมื่อนึกถึงมู่หรงจื่อ นางจึงรีบวิ่งกลับไปหาเขา


 


 


“ศิษย์พี่มู่หรง!” เมื่อโม่เทียนเกอพยุงมู่หรงจื่อขึ้นมาจากพื้น นางพบว่าลมหายใจของเขาแผ่วเบาอย่างมาก


 


 


เขาได้รับความทรมานจากบาดแผลรุนแรงมาตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาทั้งสองคนเผชิญหน้ากับจระเข้เขี้ยวเหล็ก พวกเขาต้องใช้ความพยายามทุกอย่างในการที่จะฆ่ามัน หลังจากนั้น พวกเขาก็เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้สามคน และเขาถูกแทงเข้าที่ท้อง ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ดังนั้นเมื่อฆ่าผู้ฝึกตนวัยกลางคนเสร็จ เขาก็ไม่สามารถทนต่อไปไหว


 


 


ในตอนนี้ นอกจากพลังวิญญาณของเขาจะอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดและเส้นลมปราณของเขาถูกทำลายแล้ว ตานเถียนของเขายังถูกแทงอีก นางไม่สามารถช่วยเขาได้อีกแล้ว


 


 


มู่หรงจื่อค่อยๆ ลืมตาและพูดด้วยความยากลำบาก “ศิษย์…น้องเยี่ย…”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าอยู่นี่”


 


 


ทันใดนั้นมู่หรงจื่อก็กระอักเลือดออกมา โม่เทียนเกอรีบพยุงเขาขึ้นพร้อมจับมือของเขาไว้เพื่อส่งผ่านพลังวิญญาณสู่ร่างกายเขา


 


 


สิ่งที่นางทำช่วยลดความเจ็บปวดของเขาได้เล็กน้อย เขายิ้มให้กับนางและพูดอย่างอ่อนแรง “ข้ารู้ ข้า… กำลังจะตาย ได้โปรดช่วย… ข้าเรื่องหนึ่งสิ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าหนึ่งครั้ง “ศิษย์พี่มู่หรง บอกข้าได้เลย”


 


 


เขาพยายามอย่างยากลำบากในการที่จะดึงกระเป๋าเอกภพออกมาแล้วพูดว่า “คนที่มีอนาคตที่สุดในกลุ่มของเรา… คือเสี่ยวเยียน ได้โปรด… มอบสัตว์ปีศาจที่ข้าฆ่า… และกระบี่… บินได้ของข้า… ให้กับนางด้วย” เขาหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “ที่เหลือ ขอให้เป็น… ของที่ระลึกสำหรับเจ้า” เขาพูดในขณะที่กำแขนเสื้อของโม่เทียนเกอแน่น และมีเลือดไหลออกมาจากปากของเขาเรื่อยๆ


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจอย่างเงียบๆ เมื่อนางได้ฟังคำสั่งเสียสุดท้ายของเขา และพูดว่า “ศิษย์พี่วางใจได้ ข้าจะส่งมอบของของท่านให้กับนางแน่นอน”


 


 


มู่หรงจื่อยิ้ม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ มือของเขาค่อยๆ คลายออก และหัวของเขาไหลไปด้านข้างขณะที่ลมหายใจค่อยๆ หยุดหายไป


 


 


โม่เทียนเกอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะสงบจิตใจดึงสติกลับมา ถึงแม้ว่ามู่หรงจื่อจะไม่ใช่สหายของนาง นางก็ยังตกอยู่ในความเศร้า นี่คือความตาย สิ่งที่มีอยู่ทั่วในโลกแห่งการฝึกตน ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ศิษย์พี่คนที่เมื่อสักครู่ยังพูดคุยด้วยความร่าเริงและยังคงมีความมั่นใจถึงแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ได้กลายเป็นศพแล้ว


 


 


นางลูบใบหน้าของตัวเองอย่างสิ้นหวังเพื่อที่จะลบความเศร้าออกไป นางยืนขึ้นและเริ่มต้นเก็บกวาดพื้นที่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นางจะต้องสร้างฐานแห่งพลัง สร้างขุมพลังของนาง สร้างจิตวิญญาณใหม่ และค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น ใช้ชีวิตของนางต่อไป


 


 


ภายหลังจากเก็บกระเป๋าเอกภพและอาวุธของศพทั้งสาม นางก็จัดการเผาร่างทั้งสาม อย่างไรก็ตาม นางรวบรวมเถ้ากระดูกของมู่หรงจื่อและเก็บไว้ในกล่องหยกเล็กๆ


 


 


หลังจากนั้นนางจึงทำความสะอาดรอยเลือดออกจากร่างกาย ก่อนที่จะสำรวจสิ่งของจากกระเป๋าเอกภพทั้งสามใบ


 


 


มันเป็นเรื่องที่โชคดีมากที่ศิษย์สำนักจื่อซย่าสองคนนั้นมียาวิเศษและเครื่องรางเพราะนางใช้ของตัวเองไปจนเกือบหมดแล้ว นอกเหนือไปจากนั้น ทั้งสามคนมีซากของสัตว์ปีศาจอยู่ในกระเป๋าเอกภพด้วย ถึงแม้ว่าศิษย์สำนักจื่อซย่าสองคนจะมีพวกมันอยู่บ้าง แต่มู่หรงจื่อมีมากกว่าสิบตัวทีเดียว


 


 


หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางรวบรวมซากสัตว์ปีศาจของทั้งสามคนและใส่ไว้ในกระเป๋าเอกภพพร้อมกับเครื่องมือวิญญาณเล็กน้อยที่มู่หรงจื่อมีอยู่ เครื่องมือวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้เป็นประโยชน์กับนาง อีกอย่างนางก็ได้ผ่านความทุกข์ยากร่วมกับมู่หรงจื่อมาและเป็นสหายกับมู่หรงเยียน ดังนั้นนางควรจะมอบทุกอย่างไว้ให้กับมู่หรงเยียน… หากว่านางยังมีชีวิตอยู่


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน นางจึงไปจัดการกับซากของจระเข้เขี้ยวเหล็ก ซึ่งซากของมันดีต่อการชำระล้างเครื่องมือ ดังนั้นมันจึงเป็นของที่มีคุณค่า ในขณะที่เก็บซากของจระเข้เขี้ยวเหล็ก นางยังเจอกับเข็มบินได้ของมู่หรงจื่อที่เหลือด้วย


 


 


เข็มบินได้เหล่านี้ส่องแสงระยิบระยับและโปร่งแสงจนดูเหมือนกับจะไม่ได้มีรูปทรงอะไร มันเหมาะสำหรับการซุ่มโจมตี ดังนั้นนางจึงเก็บมาและโยนไว้ในกระเป๋าเอกภพของนาง


 


 


เมื่อนางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และได้ทำการฟื้นคืนพลังวิญญาณของตัวเองภายในม่านพลัง โม่เทียนเกอตัดสินใจที่จะออกไปจากบ่อน้ำพุอาบพิษนี้ ในเมื่อชายชราจากสำนักจื่อซย่าหนีไป อาจจะมีคนอื่นมาที่นี่อีก มันคงจะดีกว่าสำหรับนางที่จะหาที่หลบภัยที่อื่น


 


 


เมื่อนางหันหลังกลับไปมองที่บ่อน้ำพุอาบพิษ นางก็ต้องถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ คนที่เมื่อครู่ยังพูดคุยและยิ้มให้กันก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นแค่เถ้าธุลีไปเสียแล้ว


67 ตะลุมบอน

 


นางเข้ามาในหุบเขาเมื่อเวลายามจอเมื่อวานนี้ และบัดนี้เป็นเวลาสิบห้านาทีสุดท้ายของยามชวด แล้ว จากการคำนวณ นางจำต้องรออีกหกชั่วโมงก่อนที่จะออกจากหุบเขานี้ได้ หลายสิ่งหลายอย่างอาจจะเกิดขึ้นได้ในหกชั่วโมงนี้ และในขณะเดียวกัน จำนวนคนตายอาจมีมาก นางต้องระวังตัวให้มากขึ้น


 


 


ม่านพลังทางออกจะเปิดขึ้นในบริเวณที่อยู่ตรงใจกลางที่สุด แต่ยิ่งนางเข้าใกล้บริเวณนั้นก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น เพราะฉะนั้น โม่เทียนเกอไตร่ตรองถึงสถานการณ์ของตัวเองอยู่นาน และตัดสินใจว่าจะใช้เวลาในการผ่านหกชั่วโมงนี้ไปกับการเดินทางไปรอบๆ บริเวณข้างเคียง และจะเข้าไปที่บริเวณจุดศูนย์กลางหลังจากม่านพลังเปิดออกแล้วเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นางยังตัดสินใจว่าจิตสัมผัสของนางต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงทั้งคนและสัตว์ปีศาจต่างๆ


 


 


มันอาจจะค่อนข้างยากแต่ก็ปลอดภัยมากกว่าเมื่อเทียบกับการอยู่ที่น้ำพุอาบพิษ อย่างไรเสีย ซากศพของสัตว์ปีศาจระดับสองก็ช่างน่าดึงดูดนักสำหรับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอย่างพวกเขา เพราะอย่างนั้น ใครจะรู้ว่าชายชราคนนั้นจะเรียกพรรคพวกสำนักจื่อซย่ามาที่น้ำพุอีกหรือไม่?


 


 


ป่าในเขานี้มีน้ำตกสูงราวหนึ่งพันฟุตอยู่ทางตะวันออก แนวกั้นภูเขาเขาสูงอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ หน้าผาที่พวกเขาลงมาอยู่ทางทิศเหนือ และใกล้ๆ หน้าผาในเขตตะวันตกเฉียงเหนือคือน้ำพุอาบพิษ เขตเดียวที่นางสามารถออกจากป่านี้ได้คือในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือที่มีน้ำพุอาบพิษ กระนั้นก็ตาม น้ำพุอาบพิษนั้นอันตรายมาก ไม่เพียงแต่จะมีฝูงสัตว์ปีศาจและหมอกพิษอยู่ทั่วทุกแห่ง แต่ภัยอันตรายที่ไม่รู้ยังซุ่มอยู่ในน้ำอีกด้วย โดยปกติแล้ว ไม่มีใครคิดว่าจะออกจากป่านี้จากบริเวณนั้นแน่


 


 


เพราะอย่างนี้ ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณเกือบพันคนจึงยังต้องอยู่ภายในป่าเขานี้ แม้ว่าป่านี้จะกว้างขวางมาก และคงไม่ง่ายนักที่จะบังเอิญเจอเข้ากับสหาย แต่การเจอเข้ากับคนอื่นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย


 


 


ภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียวหลังจากที่นางออกจากน้ำพุอาบพิษ นางก็เจอคนหลายกลุ่มเข้าแล้ว สิ่งที่มู่หรงจื่อบอกนางเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อกำจัดศัตรูของพวกเขา ศิษย์จากทั้งสามกลุ่มจึงเดินทางกันไปเป็นหมู่คณะ


 


 


การหลีกเลี่ยงคนพวกนี้ทำให้นางต้องเสียพละกำลังไปอย่างมาก วิชาซ่อนลมปราณของนางเป็นสิ่งที่เรียนรู้มาจากบันทึกของกลุ่มเยี่ย ดังนั้นมันจึงไม่ถือว่ายอดเยี่ยมนัก อย่างไรก็ตาม เพราะจี้หยกซ่อนวิญญาณของนางสามารถรวบรวมและชำระล้างพลังวิญญาณได้ เพื่อช่วยปกปิดร่างกายของนาง ผลของเวทมนตร์และวิชาที่นางใช้จึงค่อนข้างมีพลังมากขึ้น


 


 


เพราะนางรู้ดีถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง นางจึงยิ่งรอบคอบมากขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่นางสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนอื่นจากระยะไกล นางจะพาตัวเองออกห่างจากพวกเขาทันที


 


 


ระหว่างทาง โม่เทียนเกอเห็นสถานการณ์การต่อสู้ที่น่าสยดสยองได้อย่างชัดเจน มากกว่าครั้งหนึ่งที่นางเห็นร่องรอยจากการต่อสู้ด้วยพลังเวท ทั้งต้นไม้ที่ไหม้เกรียม หินแตกระแหง หรือแม้แต่รอยคราบเลือด จุดสีแดงเข้มแต่ละจุดบนพื้นบางทีอาจจะหมายถึงจุดจบของชีวิต


 


 


บางครั้งนางยังบังเอิญเจอเข้ากับศพที่ถูกทิ้งไว้ บ้างอยู่ในชุดคลุมสีม่วง บ้างก็อยู่ในชุดคลุมสีเหลือง และบางคนก็อยู่ในชุดคลุมสีดำด้วยซ้ำ สีหน้าแข็งทื่อบนใบหน้าของพวกเขาล้วนเหมือนกันหมด ทั้งคับแค้นใจและหวาดกลัว นานๆ ครั้งนางก็เห็นใบหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตา พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก โชคดีที่ในหลายคนนั้นไม่มีคนที่นางถือว่าเป็นสหายของนางอยู่ในนั้น หลังจากนั้น นางก็ค่อยๆ รู้สึกชินชา ไม่ว่าจะเห็นเศษซากจากศึกการต่อสู้แบบไหนก็ตาม นางก็ทำเป็นมองไม่เห็นไปได้


 


 


ถึงอย่างนั้น แม้ว่าหลังจากระมัดระวังตัวขนาดนี้ นางก็ยังถูกศิษย์สำนักจื่อซย่าสองคนเจอตัวเข้า


 


 


โม่เทียนเกอดูสภาพรอบตัวอย่างรอบคอบ ถือกระบี่ป่าขจีไว้ในมือหนึ่งและถือเครื่องรางมากมายไว้ในมืออีกข้าง


 


 


คนสองคนที่รุมล้อมนางคือชายร่างกำยำที่ร่างกายไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิ่วอีเตาเท่าไหร่และอีกคนคือหญิงงาม หญิงคนนั้นอยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ส่วนชายร่างกำยำอยู่ในระดับเก้า ทั้งสองคนดูจะเชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้วยพลังเวท คนหนึ่งยืนหลังนางในขณะที่อีกคนยืนข้างหน้านาง กันทางไว้จนหมด ต้นไม้รอบตัวนางหนาแน่นมาก และที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่บังเอิญเป็นจุดง่ายที่สุดที่นางจะสามารถหนีได้


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อการวิ่งหนีคงเป็นไปไม่ได้แน่ นางก็ต้องฆ่าพวกเขาก่อน อย่างไรก็ตาม จากความจริงที่ว่าสองคนนี้สามารถที่จะล้อมรอบตัวนางได้อย่างเงียบเชียบ พวกเขาต้องรับมือได้ยากแน่ นางต้องคิดหาวิธีเพื่อจัดการกับพวกเขา


 


 


หลังจากพินิจดูนางอยู่ครู่หนึ่ง ชายร่างกำยำก็ส่งเสียง “โอ้” ขึ้นมาอย่างประหลาดใจและพูดว่า “เหนียงจื่อ เด็กคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่ตาเฒ่าเฉินพูดถึง!”


 


 


ตาเฒ่าเฉิน? โม่เทียนเกอครุ่นคิด เขาคือชายชราคนนั้นจากสำนักจื่อซย่าที่หนีจากน้ำพุอาบพิษไปได้หรือไม่นะ


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ตาม นางไม่ได้คาดคิดว่าทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยากันจริงๆ โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะต้องเหลือบมองที่ภรรยาอีกสักครั้ง ตัวภรรยามีระดับการฝึกตนสูงและหน้าตาสะสวย แต่กระนั้น นางกลับเลือกชายเถื่อนที่มีระดับการฝึกตนธรรมดาเช่นนี้เป็นสามีน่ะหรือ?


 


 


พอเห็นหน้าของโม่เทียนเกอ ภรรยาก็หัวเราะหึและพูดว่า “ท่านพี่ อย่างกับเจ้าไม่รู้ว่าตาเฒ่าเฉินน่ะเป็นคนขี้ขลาดมาโดยตลอด แต่น้องชายคนนี้ก็ดูมีเสน่ห์จริงๆ ช่างน่าเสียดาย…”


 


 


เมื่อได้ยินภรรยาของเขาเรียกชายอื่นว่ามีเสน่ห์ ชายร่างกำยำร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เหนียงจื่อ!”


 


 


ตัวภรรยาดูจะพออกพอใจมากที่สามีของนางหึง นางปิดปากและระเบิดหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นนางพูดว่า “ท่านพี่จะกังวลอะไรเล่า ไม่ว่าเขาจะมีเสน่ห์แค่ไหน แต่เขาก็กำลังจะตายด้วยน้ำมือพวกเราไม่ใช่หรือ”


 


 


ชายร่างกำยำรู้สึกว่านางมีเหตุผลจึงหัวเราะ “สิ่งที่เหนียงจื่อข้าพูดก็ถูก” จากนั้นเขาหันไปหาโม่เทียนเกอและพูดพร้อมกับจ้องถมึงทึง “ไอ้หนุ่ม! เข้ามาและมอบชีวิตของเจ้าซะ!”


 


 


หลังจากสิ้นคำพูดของเขา โม่เทียนเกอเคลื่อนไหวทันที กระบี่ป่าขจีถูกส่งออกไปฉับพลัน แต่มันเป็นเพียงการหลอกล่อเท่านั้น ภายใต้แสงสว่างที่แผ่ออกมาจากกระบี่ป่าขจีของนาง เครื่องรางเปลวเพลิงที่นางถืออยู่ในมือมาตลอดถูกโยนไปข้างหน้า


 


 


เมื่อความสามารถในการเป็นฝ่ายโจมตีก่อนถูกแย่งไป ทำให้ชายร่างกำยำโกรธจัด เขาเหวี่ยงเครื่องมือวิญญาณในมือไปทางกระบี่ป่าขจี เครื่องมือวิญญาณของเขาเป็นแผ่นเหล็กกลมขนาดใหญ่ ซึ่งดูเหมาะมากเมื่อพิจารณาถึงรูปร่างของเขาในการใช้กำลังเพื่อเอาชนะและใช้เครื่องมือวิญญาณต่อสู้กับคนอื่นอย่างมั่นใจ


 


 


โชคร้ายที่วิธีการฆ่าที่แท้จริงของโม่เทียนเกอไม่ได้มาจากเครื่องมือวิญญาณของนาง กระบี่ป่าขจีถูกเรียกกลับมาทันทีหลังจากมันพุ่งไปข้างหน้า ในทางกลับกัน หลังจากกระแทกกระบี่ป่าขจีกลับไป แผ่นเหล็กยังคงมุ่งหน้ามาทางโม่เทียนเกออย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ภรรยาที่อยู่ด้านหลังโม่เทียนเกอก็กางร่มออกและโยนร่มใส่นาง


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ตื่นตระหนก เครื่องรางเปลวเพลิงตรงเข้าเป้า เกิดเสียงระเบิดดัง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างน่าสมเพชของชายร่างกำยำ ณ ขณะนั้น แผ่นเหล็กและร่มกำลังจะถึงตัวโม่เทียนเกออยู่แล้ว แต่ตัวนางกลับหายวับไปทันที


 


 


ในชั่ววินาทีต่อมา นางกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเบื้องหน้าชายร่างกำยำ แทงเขาเข้าที่ท้องอย่างโหดเ**้ยมด้วยกระบี่ไม้ในมือนาง ชายร่างกำยำส่งเสียงคำรามโหยหวนก่อนที่เขาจะล้มลงที่พื้นในที่สุด เงียบเชียบและไม่ไหวติง


 


 


“ท่านพี่!!!” ภรรยาร้องออกมาและพุ่งไปข้างหน้า โม่เทียนเกอกระโดดหนีโดยใช้วิชาตัวเบาเพื่อเลี่ยงร่มของนาง


 


 


ครั้งนี้ การลอบโจมตีของโม่เทียนเกอประสบความสำเร็จก็เพราะระดับการฝึกตนของนางสูงกว่าชายร่างกำยำหนึ่งระดับ และยังเป็นเพราะชายคนนั้นประเมินนางต่ำไปด้วย การแสร้งว่าเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือเป็นอุบายที่มีประโยชน์ที่สุดในโลกแห่งการฝึกตน


 


 


เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของภรรยาที่มีต่อสามีนางค่อนข้างลึกซึ้ง เมื่อนางตระหนักว่าสามีนางตายแล้ว นางพุ่งเข้าใส่โม่เทียนเกอด้วยความโกรธแค้น คันไม้คันมืออยากจะหั่นนางออกเป็นเสี่ยงๆ


 


 


อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่มีเจตนาที่จะเผชิญหน้ากับนางตรงๆ คู่ต่อสู้ของนางเสียสติไปแล้ว นางไม่อยากจะถูกลากลงต่ำไปด้วย ทั้งเครื่องรางและเครื่องมือวิญญาณถาโถมเข้าใส่โม่เทียนเกอ แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังใช้แค่วิชาตัวเบาเพื่อหลบหลีก เมื่อคู่ต่อสู้ของนางดูเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงเหวี่ยงอาวุธของนาง ทั้งกระบี่ป่าขจี เครื่องราง เมล็ดพันธุ์เพียงกำมือเดียวที่นางมีเหลืออยู่ และของอย่างอื่นถูกขว้างปาออกไป


 


 


ภรรยาโมโหที่เห็นโม่เทียนเกอใช้วิธีเดียวกับนางในการต่อสู้ นางแปะเครื่องรางป้องกันตัวไว้บนร่างกายและใช้ร่มของนางปัดป้องการโจมตี อีกมือของนางกำเครื่องรางทั้งกองไว้ ตั้งใจว่าจะโยนเข้าใส่โม่เทียนเกอ


 


 


อย่างไรก็ตาม นางไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น ก่อนที่นางจะโยนเครื่องรางได้ทัน นางรู้สึกเจ็บปวดในร่างกาย มือที่ถือร่มอยู่ไร้เรี่ยวแรงและปล่อยอาวุธลง จากนั้นนางล้มลงหัวทิ่มพื้น


 


 


เมื่อยืนยันได้ว่าคู่ต่อสู้ของนางตายแล้ว โม่เทียนเกอเก็บข้าวของของพวกเขา จัดการกับศพ และหนีออกจากบริเวณนั้นทันที


 


 


แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดูราบรื่นเพราะนางสามารถจัดการคนสองคนได้ในเวลาไม่นาน แต่ในความเป็นจริง ความสูญเสียที่นางต้องเจอก็มีไม่น้อย เพื่อทำร้ายให้ชายร่างกำยำบาดเจ็บอย่างเร็ว นางต้องใช้เครื่องรางเปลวเพลิงไปห้าถึงหกอัน ซึ่งมีค่าเท่ากับศิลาวิญญาณหลายสิบอัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยังใช้เครื่องรางซ่อนกายอันประเมินค่าไม่ได้ที่ท่านอารองใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากซื้อมาอีกด้วย


 


 


การฆ่าภรรยาโดยอาศัยความได้เปรียบช่วงที่นางคลุ้มคลั่งดูเหมือนกับว่าโม่เทียนเกอใช้วิธีเดียวกันกับที่นางใช้โจมตีชายร่างกำยำ แต่อันที่จริง นางใส่เข็มบินได้ระยิบระยับที่มู่หรงจื่อทิ้งไว้ผสมเข้าไปในเครื่องรางของนางด้วย เป็นวิธีที่ทำให้นางทะลุผ่านร่มและแนวป้องกันของภรรยาได้อย่างลับๆ


 


 


แม้ว่าทุกวันนี้นางจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทหลายครั้ง แต่นี่เป็นการต่อสู้ครั้งที่ประสบความสำเร็จที่สุดของนาง นางสามารถตัดสินใจได้ในเวลาเสี้ยววินาที เดินเกมได้อย่างทันท่วงที ไม่ทำพลาดระหว่างต่อสู้ และเป็นฝ่ายได้เปรียบในชั่วพริบตา


 


 


โม่เทียนเกอนึกทบทวนการต่อสู้ในใจอย่างรอบคอบ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องอยู่ในสภาวะจิตสงบนิ่งและมุ่งมั่น จับรายละเอียดของการต่อสู้ได้ ตัดสินใจถูกต้องได้ในเสี้ยววินาที และทำให้ทุกการโจมตีมีผล


 


 


นางต้องคงสภาพจิตใจเช่นนี้ไว้ ท้ายที่สุดแล้ว ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท นี่คือสภาวะที่ดีเยี่ยมที่สุด


 


 


โม่เทียนเกอหันกลับเมื่อนางรับรู้ว่ามีคนอยู่ข้างหน้านาง แต่ถึงอย่างนั้น นางยังไม่ได้วิ่งไปไกลเลยเมื่อนางสัมผัสได้อีกครั้งถึงตัวตนของคนหลายคนอยู่ใกล้ๆ เมื่อไม่มีทางเลือก นางซ่อนลมปราณ ปีนขึ้นต้นไม้ และซ่อนตัว


 


 


พวกแรกที่ผ่านมาเป็นกลุ่มผสมกันระหว่างศิษย์โรงเรียนจินเตาและสำนักอวิ๋นอู้ โม่เทียนเกอไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวและทักทายพวกเขา กลุ่มใหญ่เช่นนั้นเดินทางไปด้วยกันคงจะถูกพบเจอได้ง่ายมากและการต่อสู้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน แม้ว่าการมีคนมากกว่าจะช่วยให้มีความปลอดภัยขึ้นมากหน่อย แต่ยิ่งพวกเขามีความขัดแย้งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ของการตายมากขึ้นเท่านั้น


 


 


ใช้เวลาไม่นานคนพวกนี้ก็จากไป แต่โม่เทียนเกอตัดสินใจว่าจะอยู่บนต้นไม้แทนที่จะลงไปข้างล่าง หลังจากนั่งลงและควบคุมลมปราณ นางจึงหยิบกระเป๋าเอกภพที่เพิ่งได้ออกมา


 


 


เมล็ดพันธุ์ที่นางมีหมดสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในกระเป๋าเอกภพของศิษย์สำนักจื่อซย่ามีเครื่องรางและยาวิเศษค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือวิญญาณค่อนข้างดีอีกหลายชนิด แต่สำหรับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ เครื่องมือวิญญาณที่ยังไม่ได้ถูกขัดเกลาด้วยตัวเองจะยังไม่พร้อมใช้งานและจัดว่าเป็นแค่ของสำรองเท่านั้น


 


 


นอกเหนือจากของพวกนั้น เข็มบินได้ที่มู่หรงจื่อทิ้งไว้ก็ค่อนข้างมีประโยชน์ การควบคุมเข็มบินได้พวกนี้จำเป็นต้องใช้จิตสัมผัส ไม่ใช่พลังวิญญาณ ดังนั้น ข้อจำกัดที่ขัดขวางศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจากการใช้เครื่องมือวิญญาณสองอย่างในเวลาเดียวกันจึงนำมาใช้กับเข็มพวกนี้ไม่ได้ ถ้าเข็มบินได้เหล่านี้ถูกใช้อย่างเหมาะสม ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะไม่สามารถปกป้องตัวเองจากมันได้แน่


 


 


หลังจากเก็บของทุกอย่างที่ดูน่าจะมีประโยชน์ต่อการต่อสู้ โม่เทียนเกอกระโดดลงจากต้นไม้และเดินทางต่อ หลังจากเดินมาเป็นระยะทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นางถึงกับตกตะลึง


 


 


ศพจำนวนมากของศิษย์จากทั้งสามกลุ่มนอนแผ่อยู่บนพื้น เมื่อนางเห็นหน้าของศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ที่ตาย นางก็จำได้ว่าพวกเขาคือคนในกลุ่มที่เพิ่งจะเดินผ่านต้นไม้ที่นางอยู่ไป ปรากฏว่าพวกเขาเจอเข้ากับกลุ่มของศิษย์สำนักจื่อซย่าและตายไปพร้อมกัน


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้าและเริ่มเก็บกระเป๋าเอกภพของพวกเขา ก่อนจะจุดไฟเพื่อเผาศพทั้งหมดนั้น


 


 


ไม่ต้องพูดเลยว่ายังมีอีกหลายบริเวณที่นางไม่ได้ผ่านไป นางเห็นคนตายอย่างต่ำก็ห้าสิบถึงหกสิบคนแล้วแค่จากเส้นทางที่นางเดินผ่าน… จำนวนคนที่จะมีชีวิตออกจากที่นี่อาจจะน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนคนตอนแรกเสียอีก


 


 


เมื่อนางคิดถึงเรื่องนี้ นางอดยิ้มเยาะไม่ได้ สำนักจื่อซย่าคงไม่เคยคาดคิดไว้ละสิ พวกเขาผนวกสำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตา แต่ผลที่ตามมาคือการสูญเสียศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสูงนับไม่ถ้วนจากสำนักของพวกเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้น ในหมู่คนพวกนี้คือศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณที่มีโอกาสสูงสุดในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง แบบนี้ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของพวกเขาก็จะลดลงอย่างมากภายในอีกร้อยปีข้างหน้า แทนที่จะกลายเป็นหนึ่งในแปดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาจะต้องอ่อนแอลงมากอย่างแน่นอน


 


 


นางไม่กลัวการถูกลงโทษจากการฆ่าคนอื่นๆ ตอนออกไปจากที่นี่ เพราะเมื่อถึงตอนนั้น สำนักจื่อซย่าก็จะรู้ตัวว่าไม่สามารถสูญเสียศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว


68 ช่วยชีวิตคน

 


ในป่าทึบสามารถมองเห็นเงาของผู้ฝึกตนเหาะอยู่ด้วยความเร็วสูง หลังจากที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของผู้ฝึกตนคนอื่นที่อยู่ข้างหลังแล้วเท่านั้นมันถึงหยุด


 


 


ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ โม่เทียนเกอแตะที่หน้าอก ขณะที่นางรู้สึกว่าลมปราณไม่มั่นคงอย่างรุนแรง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ เป็นความผิดของนางเองที่มั่นใจมากเกินไป แค่เพราะนางวางม่านพลังในที่ซ่อนของนาง นางจึงทึกทักเอาว่านางจะต้องปลอดภัย แต่ท้ายที่สุด แรงกระเพื่อมของพลังวิญญาณจากม่านพลังของนางก็ถูกพบเข้าโดยกลุ่มศิษย์สำนักจื่อซย่าที่วางแผนจะล้อมโจมตีนาง


 


 


ครั้งนี้นางสามารถหนีมาได้เพราะนางยังมีเครื่องรางหลบหนี และเพราะม่านพลังช่วยยื้อเวลาให้นางได้ ไม่เช่นนั้น หากนางต้องต่อสู้กับคนห้าหรือหกคนนั้นที่เข้าหานางอย่างมุ่งร้าย นางอาจจะตายไปแล้วโดยไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกทิ้งไว้


 


 


หลังจากถูกพวกเขาตีวงล้อมและจำเป็นต้องใช้เครื่องรางหลบหนี ลมปราณของนางก็เริ่มจะไม่เสถียร นางกลืนยาบำรุงพลังวิญญาณ ครั้นแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว นางนับได้ว่าขณะนี้น่าจะเป็นเวลายามอิ๋น [1] แล้ว ยังเหลืออีกสองชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเปิดใช้ม่านพลังทางออก


 


 


หลังจากการต่อสู้กันอย่างชุลมุนผ่านไป คนที่ยังมีชีวิตอยู่ค่อยๆ น้อยลงและน้อยลง ในขณะที่ภาพศึกการต่อสู้มีจำนวนมากขึ้นและมากขึ้น ขณะที่นางกำลังหนีอยู่นั้น แทนที่จะเจอเข้ากับผู้คน นางกลับเจอเพียงแต่ศพ


 


 


ขณะนี้นางรับรู้แล้วว่าพลังวิญญาณในตานเถียนของตัวเองนั้นไม่มั่นคง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ออกไปตามหาต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้ ปีนขึ้นไปด้านบนสุดและค่อยๆ ลบตัวตนของนาง นางไม่ได้วางม่านพลังอะไรไว้ ไม่ได้ใช้จิตสัมผัสเพื่อกวาดดูรอบบริเวณด้วยซ้ำ นางเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ และปรับลมปราณ


 


 


ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ทว่าหากนางไม่ได้ปรับลมปราณและเจอเข้ากับศัตรูรายใหม่ เรื่องต่างๆ คงจะเลวร้ายมาก อย่างไรเสีย ถ้านางเลือกได้ ก็อยากจะเลี่ยงการใช้เครื่องรางหลบหนีอีกอันเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ให้กลายเป็นบาดเจ็บสาหัส


 


 


เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครปรากฏตัวขึ้น เห็นได้ชัดว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีผู้ฝึกตนที่ยังมีชีวิตอยู่เหลืออยู่ในป่ามากนัก โม่เทียนเกอถอนใจอยู่ภายในใจ การต้องผ่านการต่อสู้อันตรายถึงชีวิตมาหลายต่อหลายครั้ง นางรู้สึกว่านางกลายเป็นคนเฉยชามากเสียจนแม้แต่ความตายก็ยังไม่สามารถกระตุ้นอารมณ์นางได้ง่ายๆ บางที… นางอาจเห็นอะไรมามากเกินไปจนกลายเป็นคนไร้ความรู้สึก นางจะต้องพบเจอความตายอีกมากบนเส้นทางสู่การฝึกตน และหากไม่สามารถทำตัวให้ชินได้โดยเร็ว นางจะเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น อันที่จริงนางก็ดีใจที่สามารถปรับตัวได้เร็ว


 


 


เมื่อลมปราณของนางเสถียรขึ้น โม่เทียนเกอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาในที่สุด ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์ปีศาจอยู่ใกล้ๆ นางได้ยินเสียงคำรามของมันไม่ค่อยชัดนัก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีใครคิดจะจับสัตว์ปีศาจ ท้ายที่สุดแล้ว ขณะที่จำนวนคนตายเพิ่มขึ้น ความเป็นไปได้ที่คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากฆ่าคนอื่น พวกเขาสามารถยึดข้าวของของคนพวกนั้นมาได้โดยตรง ซึ่งเร็วกว่าการไปฆ่าสัตว์ปีศาจทีละตัวมาก


 


 


ตัวนางเองก็ได้สัตว์ปีศาจที่ถูกคนอื่นฆ่ามาหลายตัว หากนางรวมซากสัตว์ปีศาจที่นางฉวยมาจากผู้ฝึกตนสองคนที่นางฆ่าในน้ำพุอาบพิษ ซากจากคู่สามีภรรยาที่ล้อมโจมตีนาง ซากจากกลุ่มคนที่ตายพร้อมกัน และซากลิงปีศาจประมาณสามสิบตัวที่นางมีอยู่เดิมเข้าด้วยกัน นางก็แทบจะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังมาโดยไม่ต้องเอาซากพวกนั้นไปแลกเลยก็ได้


 


 


ดังนั้น นางไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ตัวเองอีก แค่เพราะนางคุ้นชินกับความตายแล้วไม่ได้หมายความว่านางอยากจะฆ่าคนอื่น ตราบใดที่คนอื่นๆ ไม่เริ่มก่อน นางก็จะไม่ทำอะไร


 


 


นางอดยิ้มเหน็บแนมไม่ได้ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่านางได้กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวจิตหัวใจไปแล้ว


 


 


ทันใดนั้น โม่เทียนเกอก็ลืมตาขึ้นเมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ นางไม่ได้ใช้จิตสัมผัสเพื่อสำรวจบริเวณรอบตัว นางจึงเพิ่งจะรับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เสียแล้ว


 


 


ระหว่างกิ่งไม้และใบไม้ นางมองคร่าวๆ เห็นเท้าหลายคู่ ดูเหมือน… มีสามคน ผู้ชายสองและผู้หญิงหนึ่ง ฝีเท้าของผู้หญิงโงนเงน


 


 


แปลก…


 


 


โม่เทียนเกอเอียงคอแต่ยังไม่ขยับเขยื้อนขณะที่นางซ่อนตัวอยู่ลับๆ ในเมื่อนางยังไม่สามารถจะปกป้องตัวเองได้อย่างดี นางก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น


 


 


เสียงพวกเขาดังมาจากใต้ต้นไม้ “พี่ใหญ่ ทำไมถึงนานนักกว่าจะไปถึงที่นั่น” เสียงนี้ฟังดูเหมือนเสียงของคนหนุ่ม ยิ่งไปกว่านั้นยังฟังดูร้อนใจมากอีกด้วย


 


 


เสียงทุ้มกว่าอีกเสียงตอบว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร! นี่ ยายตัวเหม็น! เจ้าไม่ได้หลอกเราใช่ไหม!”


 


 


“แค่กๆ!” ผู้หญิงคนนั้นกระอักกระไอ โม่เทียนเกออดขมวดคิ้วไม่ได้ เสียงนี้…


 


 


“ศิษย์พี่ ท่านทั้งสองจะกังวลมากมายไปทำไม ท่านสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณของสัตว์ปีศาจแล้วไม่ใช่รึ สัตว์ปีศาจตัวนั้นก็คือตัวที่เฝ้าผลดวงใจสีแดง”


 


 


เสียงมู่หรงเยียน!


 


 


คำตอบของมู่หรงเยียนดูเหมือนจะพอรับได้ ชายหนุ่มจึงตอบว่า “สิ่งที่เจ้าพูดก็ดูมีเหตุผล…”


 


 


เสียงฝีเท้าของพวกเขาค่อยๆ แผ่วไป แม้ว่าชั่วครู่หนึ่งโม่เทียนเกอจะลังเล แต่ท้ายที่สุด นางก็ปีนลงมาจากต้นไม้อย่างเงียบๆ และตามคนพวกนั้นไปอย่างระมัดระวัง


 


 


ระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนชายสองคนนั้นไม่อาจถือได้ว่าสูง คนหนึ่งอยู่ในระดับแปดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ส่วนอีกคนอยู่ระดับเก้า เป็นที่น่าสงสัยจริงๆ ว่าพวกเขาสามารถอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร แถมยังอยู่กับมู่หรงเยียนอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น จากบทสนทนาของพวกเขา มู่หรงเยียนดูเหมือนกำลังจะพาพวกเขาไปตามหาอะไรสักอย่างที่เรียกว่าผลดวงใจสีแดง โม่เทียนเกอไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผลไม้ชนิดนี้มาก่อน บางทีมันอาจจะเป็นผลไม้ประหลาดงั้นรึ


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า ล้มเลิกความคิด ถ้ามันเป็นผลไม้ประหลาดอะไรสักอย่างจริง มู่หรงเยียนก็คงจะเก็บมันมานานแล้ว ไม่มีทางที่นางจะรอจนถึงตอนนี้หรอก มู่หรงเยียนคงจะถูกชายสองคนนั้นจับมา นางถึงพูดอะไรเช่นนี้เพื่อหลอกพวกเขา


 


 


หลังจากแอบเข้าไปใกล้ โม่เทียนเกอสังเกตการณ์ด้วยความระมัดระวัง เป็นอย่างที่นางคิด มู่หรงเยียนบาดเจ็บและถูกมัดมือไว้ ผู้ฝึกตนชายสองคนนั้นมาจากสำนักจื่อซย่า คนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบ ส่วนอีกคนอายุประมาณยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี


 


 


พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็เจอตำแหน่งของสัตว์ปีศาจ อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอเห็นชายทั้งสองคนระเบิดอารมณ์ด้วยความเดือดดาลและคว้าเครื่องมือวิญญาณออกมาในขณะที่พูดว่า “ยายตัวเหม็น! เจ้าบังอาจโกหกพวกเรา!”


 


 


มู่หรงเยียนฉลาดมาก นางพยายามเต็มที่ที่จะหลบไปด้านข้างพร้อมกับก่อกวนสัตว์ปีศาจไปด้วยอย่างชาญฉลาด จากนั้นนางก้มต่ำอยู่หลังชายทั้งสองคนเพื่อหลบ สัตว์ปีศาจกระโจนเข้าใส่ชายทั้งสองทันที


 


 


สัตว์ปีศาจตัวนี้เป็นเพียงลิงยักษ์ระดับแรก แม้ว่าระดับการฝึกตนของมันจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่มันก็แข็งแรงมาก ทั้งมีขนหนาและเนื้อแน่น ชายทั้งสองต้องวุ่นอยู่กับการจัดการกับมันไปชั่วขณะหนึ่ง


 


 


มู่หรงเยียนค่อยๆ ล่าถอยมาอย่างเงียบๆ ขณะที่ดูฉากตรงหน้า ใช้โอกาสตอนที่ชายทั้งสองไม่ได้สนใจนาง นางรีบหันกลับและวิ่งหนีไม่คิดชีวิต


 


 


“พี่ใหญ่! นางนั่นมันกำลังหนี!” ชายหนุ่มจ้องหลังของมู่หรงเยียนอย่างโกรธเกรี้ยว


 


 


ชายคนที่โตกว่าใช้เครื่องมือวิญญาณเพื่อปัดป้องการโจมตีของลิงยักษ์และตะโกนว่า “ไล่ตามนางไป! ในเมื่อนางกล้าหลอกพวกเรา เราจะปล่อยนางหนีไปไม่ได้!”


 


 


“ตกลง!” ชายหนุ่มถอนเครื่องมือวิญญาณของเขาและตามมู่หรงเยียนไป


 


 


หลังจากสกัดกั้นการโจมตีของลิงยักษ์อย่างยากลำบากอีกครั้ง ชายหนุ่มก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “ไม่ได้การแน่ มันแข็งแรงเกินไป! ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้ของมีค่าเพื่อสู้กับมันซะแล้ว”


 


 


ชายคนนั้นเอาลูกกลมสีม่วงขนาดเท่าไข่นกพิราบออกมาจากชุดคลุมและโยนใส่ลิงยักษ์ ด้วยเสียงดัง “ตู้ม!” ตัวลิงยักษ์ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ต้นไม้และหินที่อยู่รอบด้านเสียหายยับเยิน พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีหนึ่งจั้งถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง


 


 


ชายหนุ่มจ้องมองฉากหน้าที่ถูกทำลายย่อยยับด้วยความเจ็บปวด ไม่แน่ชัดว่าอาการปวดใจของเขาเป็นเพราะการระเบิดลิงยักษ์ที่หมายความว่าเขาไม่สามารถเอาซากของสัตว์ปีศาจกลับไปได้ หรือเพราะเขาต้องเสียสมบัติล้ำค่าไปกับการต่อสู้นี้กันแน่ เขาใคร่ครวญถึงอาการปวดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันและหันกลับเพื่อไล่ตามน้องชายของเขาไป


 


 


แต่ทว่าหลังจากวิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของน้องชาย ชายหนุ่มตื่นกลัวและรีบวิ่งไปข้างหน้าด้วยความกังวล “น้องสาม! น้องสาม!”


 


 


ในไม่ช้า เขาก็พบน้องชายของเขานอนอยู่ที่พื้น ตรงนั้นไม่มีใครนอกเหนือจากพวกเขา


 


 


โม่เทียนเกอดึงตัวมู่หรงเยียนมาด้านข้างและรีบวิ่งสุดชีวิตเพื่อออกจากตรงนั้น จนเมื่อนางไม่สามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณของใครตามหลังมานางถึงหยุดวิ่ง


 


 


มู่หรงเยียนจ้องมองนางอย่างซาบซึ้ง “ศิษย์น้องเยี่ย ขอบคุณนะ ข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอเจ้า มิเช่นนั้นข้าอาจจะ…”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ศิษย์พี่มู่หรงไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” นางหยุดนิดหนึ่งก่อนจะถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้น”


 


 


พอได้ยินคำถามนี้มู่หรงเยียนหัวเราะด้วยความขมขื่น จากนั้นนางส่ายหน้าและพูดว่า “เพราะข้าไม่เคยชอบการฝึกตนมาก่อน ครั้งนี้ข้าจึงต้องทนกับความทุกข์ทรมาน ข้าเจอเข้ากับศิษย์สำนักจื่อซย่าหลายหน และทุกครั้งข้าก็ต้องเจอกับอันตรายมากมายกว่าจะหนีได้ ตอนหลังข้าบังเอิญเจอสองคนนั้น… ทีแรกพวกเขาอยากจะฆ่าข้า แต่ข้าโกหกพวกเขาบอกว่ามีพืชประหลาดอยู่ที่นี่…”


 


 


โม่เทียนเกอผงกหัว ทุกอย่างเป็นอย่างที่นางคาดเดาไว้ นางพูดว่า “สิ่งที่ชายคนนั้นใช้เมื่อครู่นี้คืออะไรหรือ มันทรงพลังขนาดนั้นได้อย่างไรกัน”


 


 


“นั่น… ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันไม่ใช่เครื่องมือวิญญาณหรืออาวุธวิเศษ มันดูเหมือนจะเป็นของพิเศษที่ถูกขัดเกลาแล้วโดยใช้จิตของสัตว์ปีศาจและเวทมนตร์ที่มีธาตุสายฟ้า มันจะระเบิดถ้าถูกโยนด้วยพลังวิญญาณ พลังของมันยิ่งใหญ่นัก จากการสังเกตของข้า ไม่มีใครสามารถยับยั้งมันได้”


 


 


เป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอเห็นอะไรแบบนี้ พลังของมันช่างน่ากลัว บางทีอาจจะไม่มีศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณคนไหนที่จะสกัดกั้นมันได้ และเป็นเพราะเหตุนั้น โม่เทียนเกอจึงเลือกที่จะวิ่งหนี ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่อยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยง


 


 


พอเห็นมู่หรงเยียน โม่เทียนเกอก็อดคิดถึงมู่หรงจือไม่ได้ หลังจากขัดแย้งในตัวเองอยู่ชั่วขณะ นางตัดสินใจว่าจะบอกมู่หรงเยียนเกี่ยวกับเขาหลังจากพวกนางออกไปได้ ในตอนนี้อันตรายมีซุ่มซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง ถ้าจู่ๆ มู่หรงเยียนได้ข่าวว่าพี่ชายของนางจากไปแล้ว สภาพจิตใจของนางต้องไม่มั่นคงแน่นอน ซึ่งก็จะส่งผลต่อความสามารถของนางในระหว่างการต่อสู้ จากนั้นโม่เทียนเกอจึงถามว่า “ศิษย์พี่มู่หรง ท่านตั้งใจจะทำอะไรต่อไป”


 


 


คำถามนี้ทำให้มู่หรงเยียนยิ้มเจื่อนๆ อีกครั้ง “ข้าจะไม่โกหกศิษย์น้องเยี่ย ก่อนที่เราจะเข้ามา ข้าทะเยอทะยานมาก ข้ามุ่งมั่นว่าจะพยายามเพื่อให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ข้าเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้ว่าข้ามั่นใจมากเกินไป ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมารู้สึกเสียใจ ข้าแค่หวังว่าข้าจะสามารถออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย จากนั้นข้าจะขยันฝึกตนก่อนที่จะทำอย่างอื่นต่อไป”


 


 


โม่เทียนเกอแอบพยักหน้าเมื่อนางได้ยินคำพูดของมู่หรงเยียน ดีแล้วล่ะ เห็นได้ชัดว่ามู่หรงเยียนจะได้สติแล้ว ความพยายามของมู่หรงจือไม่สูญเปล่า


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย…” มู่หรงเยียนดูท่าทางลังเล แต่ที่สุดแล้วนางก็ส่ายหน้า “ช่างมันเถอะ ข้าจะบอกเจ้าถ้าข้ามีชีวิตออกไปได้ ข้าจะเจอเจ้าอีกถ้าข้ามีโอกาส”


 


 


โม่เทียนเกอตกใจ “ศิษย์พี่มู่หรง ท่านจะไม่เดินทางไปกับข้าหรือ”


 


 


จู่ๆ มู่หรงเยียนก็หันหน้า “ศิษย์น้องเยี่ยไม่ว่าอะไรหรือที่ต้องเดินทางไปกับข้า”


 


 


โม่เทียนเกองุนงง หรือว่านางอาจคิดว่าเราไม่อยากไปกับนาง? หลังจากครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอยิ้มให้นางตรงๆ และพูดว่า “ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”


 


 


หลังจากเห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอ มู่หรงเยียนหัวเราะอายๆ “ข้าคิดมากไป…”


 


 


ทั้งสองคนยิ้มให้แก่กัน ความรู้สึกเหินห่างซึ่งเกิดขึ้นหลังจากหายนะบังเกิดต่อสำนัก จู่ๆ บัดนี้ได้หายไปแล้ว สีหน้าของมู่หรงเยียนไม่แข็งทื่ออีกต่อไปในขณะที่ตัวนางก็มีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ข้าไม่เคยคิดเลยว่าคาถาของเจ้าจะทรงพลังขนาดนี้… อนิจจา ข้าขี้เกียจเกินไปจริงๆ”


 


 


โม่เทียนเกอพูดติดตลก “ดีแล้วที่ท่านรู้ตัวว่าขี้เกียจ ข้ารู้ว่าความสามารถของข้านั้นแค่ปานกลาง เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขยัน…” นางจ้องมองท้องฟ้าที่มีดวงดาวแพรวพราวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าถึงเวลายามเหม่า [2] แล้ว นางจึงพูดว่า “ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมง ศิษย์พี่ เราเริ่มมุ่งหน้าไปที่จุดศูนย์กลางกันได้แล้ว”


 


 


ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้ามู่หรงเยียน “เราจะไปแล้วรึ คงมีคนหลายคนเลยที่อยากจะไปที่จุดศูนย์กลางตอนนี้ เราไม่ควรจะเลี่ยงพวกเขาหรอกหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอตอบว่า “วางใจได้ ม่านพลังทางออกกำลังจะเปิดแล้ว ในเมื่อทุกคนต่างอยากจะออกไป พวกเขาคงไม่ก่อปัญหาแน่ ที่จริงมันน่าจะปลอดภัยกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อยด้วย”


 


 


สิ่งที่โม่เทียนเกอพูดก็ค่อนข้างมีเหตุผล ดังนั้น ในที่สุดมู่หรงเยียนจึงตัดสินใจเชื่อนางและพูดตรงๆ ว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะทำตามการตัดสินใจของศิษย์น้องเยี่ย”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าก่อนจะถามว่า “ศิษย์พี่ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง จะมีปัญหาไหมถ้าเราจะไปต่อตามทางของเรา”


 


 


มู่หรงเยียนจึงบอกว่า “ไม่มีปัญหา ข้าแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”


 


 


ในเมื่อมู่หรงเยียนมั่นใจ โม่เทียนเกอจึงไม่ลังเลอีกต่อไป “เอาละ ไปกันเถอะ”


 


 


ทั้งสองคนใช้วิชาตัวเบาและรีบมุ่งไปยังจุดศูนย์กลาง


 


 


ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ตรงใจกลางเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นคนมากขึ้น มู่หรงเยียนเป็นกังวลมากในขณะที่นางถามด้วยเสียงต่ำๆ “ศิษย์น้องเยี่ย เราจะไม่เป็นอะไรแน่ๆ ใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอคว้ามือของมู่หรงเยียนมาและยิ้มให้นางมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก เชื่อข้าเถอะ”


 


 


ใบหน้าของมู่หรงเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีในขณะที่นางพยักหน้า “อื้อ”


 


 


อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ทันเห็นและยังคงจับมือของมู่หรงเยียนเอาไว้ขณะที่พวกเขารีบเร่งไปยังตำแหน่งทางออก


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยามอิ๋น 03:00-05.00 น.


 


 


[2] ยามเหม่า 05:00-07:00น.


69 ทางออก

 


ใจกลางป่า มีพื้นที่ลานกว้างใหญ่โตอยู่ ผู้ฝึกตนหลายคนรวมตัวอยู่รอบๆ ลานกว้างนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกตนจากทั้งสามกลุ่ม ตอนนี้แต่ละกลุ่มต่างจ้องมองกันและกันด้วยความดุดันและระแวดระวัง


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอและมู่หรงเยียนมาถึง ทุกสายตาจับจ้องมาที่ทั้งสองคน อย่างไรก็ตาม เพราะทุกคนต่างกลัวว่าจะเสียเปรียบอีกฝ่าย จึงไม่มีใครที่จะกล้าแม้แต่จะขยับตัว ถึงแม้ว่าศิษย์สำนักจื่อซย่าจะอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้หลายคน แต่ทุกคนต่างก็รักชีวิตของตัวเอง ศิษย์ของสำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตาก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวภายใต้สภาวะที่เสียเปรียบนี้ คงจะเป็นความเสียหายมากเกินไปหากพวกเขาต้องจบชีวิตในการพยายามฆ่าศัตรู


 


 


โดยไม่สนใจต่อสายตาที่กำลังจ้องมอง โม่เทียนเกอดึงมู่หรงเยียนและเดินไปหาที่นั่งส่วนตัวใกล้กับสหายศิษย์ร่วมสำนักอวิ๋นอู้


 


 


เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้คิดพยายามที่จะทำอะไร ทุกคนก็ต่างละความสนใจและมองหาคนใหม่ที่จะเดินเข้ามาแทน


 


 


โม่เทียนเกอมองรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวัง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อสำนักจื่อซย่าใหญ่นั้นนับได้ว่าเป็นหายนะ ศิษย์ของสำนักที่อยู่ ณ บริเวณนี้นับรวมได้ไม่ถึงร้อยคน ถึงแม้จะรวมคนที่ยังเดินทางมาไม่ถึงแล้วก็คงจะไม่มากกว่าสองร้อยคนทั้งหมดอยู่ดี


 


 


สำหรับสำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตา ศิษย์ของพวกเขาอยู่ที่ประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบคน ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละคนล้วนกระหายเลือดและเต็มไปด้วยสีหน้าชั่วร้ายแทบทั้งนั้น


 


 


จากผู้ฝึกตนบางคนที่นางรู้จักค่อนข้างดีในหมู่คนกลุ่มนั้น มีเพียงแค่เจียงซั่งหังที่ปรากฏตัวอยู่ด้วย ณ ตอนนี้ เขากำลังทำสมาธิอยู่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเองก็ได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้ที่ยากลำบากมา ในขณะที่สหายคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ฉินซี หลิ่วอีเตา และสวีจิ้งจือ ก็ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย จากจำนวนของคนที่อยู่บริเวณนี้ จำนวนของผู้ฝึกตนที่ตายนั้นมากเกินกว่าครึ่งของคนที่เดินทางเข้ามาที่ป่าแห่งนี้ นางไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าสหายของนางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่


 


 


ในขณะนั้น มู่หรงเยียนกระตุกแขนเสื้อของโม่เทียนเกอพร้อมกระซิบ “ศิษย์น้องเยี่ย”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของมู่หรงเยียน โม่เทียนเกอเพียงยิ้มเพื่อปลอบใจ “อย่าได้กังวลไป”


 


 


ที่นี่มู่หรงเยียนรู้ตัวแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของวิธีการ หรือการหยั่งรู้ต่างๆ นางไม่ได้ดีไปกว่าโม่เทียนเกอเลย ดังนั้นนางจึงเชื่อฟังในคำพูดโม่เทียนเกออย่างดี


 


 


โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดขึ้นเพื่อต้อนรับอรุณรุ่งที่กำลังจะมาถึง เมื่อถึงเวลานั้น ม่านพลังทางออกก็จะปรากฏที่นี่ และพวกเขาก็จะสามารถออกไปได้


 


 


ภายหลังจากที่เลือกพื้นที่สะอาดที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่มสำหรับนางและมู่หรงเยียนในการนั่งรอ โม่เทียนเกอก็ทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ล้วนทำกัน นั่นคือการนั่งสมาธิปรับลมปราณ อย่างไรก็ตาม นางเองก็ยังคงตั้งสมาธิอยู่กับการสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างเงียบๆ นางเชื่อว่าหลายคนที่อยู่บริเวณนั้นก็ระมัดระวังเช่นเดียวกับนาง อย่างไรเสีย ไม่มีใครที่อยากจะทิ้งชีวิตของตัวเองในช่วงเวลาสุดท้ายเป็นแน่


 


 


ศิษย์สำนักจื่อซย่าอีกกลุ่มหนึ่งมาถึง โม่เทียนเกอหันจ้องไปทางพวกเขาและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะนางเห็นว่าชายชราที่หนีไปจากบ่อน้ำพุอาบพิษนั้นอยู่รวมในกลุ่มนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้วางแผนที่จะโจมตีอะไรเขา ในตอนแรกถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันมาก่อน แต่ก็ไม่ได้มีความเป็นศัตรูกันระหว่างพวกเขา อันดับที่สอง สมดุลของบริเวณนี้คงจะถูกทำลายเป็นแน่หากนางเคลื่อนไหวไปก่อน และนางเองก็เพียงแค่ต้องการออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่


 


 


ชายชราก็เห็นว่านางอยู่ ณ บริเวณแห่งนี้ เขามองมาที่นางอย่างประหลาดใจด้วยเช่นกัน เขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ดังเช่นที่คนส่วนมากในบริเวณนี้ทำกัน การแก้แค้นอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต แต่การที่จะมาเสี่ยงชีวิตในตอนนี้นับได้ว่าไม่คุ้มกัน


 


 


จำนวนคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้ยามเฉิน [1] ผู้ฝึกตนหลายคนทยอยออกมาจากป่าและเดินไปยืนรวมกับกลุ่มกับสหายของตัวเอง บางครั้งคู่ต่อสู้ก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน ถลึงตาจ้องมองกัน แต่ก็ไม่เคลื่อนไหวโจมตี


 


 


ในขณะที่ทุกคนต่างคาดหวังถึงการเปิดของม่านพลังทางออก เสียงตะโกนคำรามอันดังก็เกิดขึ้น “ยายตัวเหม็น!!! ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า! คืนชีวิตของน้องชายข้ามา!” ทันใดนั้น มีเงาโผตรงเข้าหามู่หรงเยียน โม่เทียนเกอนิ่วหน้า นางดึงมู่หรงเยียนให้หลบไปด้านข้างด้วยมือข้างเดียวพร้อมใช้มืออีกข้างกันคู่ต่อสู้ด้วยกระบี่ป่าขจี หลังจากที่สังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้ว โม่เทียนเกอพบว่าเป็นพี่ชายของคู่พี่น้องที่จับมู่หรงเยียนไปก่อนหน้านี้


 


 


แย่แล้ว!


 


 


โม่เทียนเกอหันกลับไปมอง แน่นอนอยู่แล้ว บรรยากาศในบริเวณนั้นเปลี่ยนไป ทุกคนต่างจ้องมองมาที่โม่เทียนเกอและชายผู้นั้น บางคนแอบหยิบเครื่องมือวิญญาณออกมา นางโกรธจัด ไอ้โง่เง่านี่! ตอนที่นางลอบฟังสองคนพี่น้องนั่น นางก็คิดว่าพวกเขาโง่พอแล้ว แต่ตอนนี้ มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างในสมองของพวกเขาที่ผิดปกติ! ดังนั้น นางจึงไม่ปรานีอีกต่อไป ใช้มือข้างที่ว่างอยู่โยนเครื่องรางแยกธรณีไปที่เขาทันที


 


 


ถึงแม้ชายโง่เง่าคนนี้จะมีสมองที่เชื่องช้า แต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นไม่ช้าเลย เขาตีลังกาเพื่อหลบการโจมตีของนาง


 


 


ทันใดนั้น การกระทำของพวกเขาเหมือนจุดไฟให้กับสถานการณ์นั้น ศิษย์สำนักอวิ๋นอู้หลายคนต้องการที่จะเข้ามาช่วยเหลือ ในขณะที่ศิษย์ของสำนักจื่อซย่าก็เคลื่อนไหว สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็เริ่มต่อสู้กันเองทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเข้าถึงโม่เทียนเกอและคู่ต่อสู้ของนางเลย


 


 


โม่เทียนเกอไม่มีเวลาที่จะสนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว นางเห็นว่าไอ้คนโง่เง่านั้นหยิบลูกกลมสีม่วงขนาดเท่าไข่นกพิราบออกมาและกำลังจะโยนมาที่นาง


 


 


โม่เทียนเกอต่างตื่นกลัวเช่นเดียวกับมู่หรงเยียนที่หน้าซีดลงทันที ทั้งคู่ได้เห็นถึงพลังของสิ่งนั้นมาแล้ว ถ้ามันถูกใช้อีกครั้ง พวกเขาไม่สามารถป้องกันตัวเองได้แน่นอน


 


 


ภายใต้ช่วงเวลาคับขัน โม่เทียนเกอหยิบเครื่องรางป้องกันระดับสูงออกมา เกราะป้องกันปรากฏขึ้นครอบโม่เทียนเกอและมู่หรงเยียนไว้ด้านในทันที


 


 


“ตูม!” เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้น ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนของเหล่าผู้ฝึกตนคนอื่น โม่เทียนเกอเริ่มเคลื่อนพลังวิญญาณ เตรียมพร้อมป้องกันการโจมตีที่จะมีเข้ามา ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ต้องประหลาดใจที่สามารถสกัดกั้นพลังได้โดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลย


 


 


โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นแล้วก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น


 


 


ฉินซีกัดฟันพร้อมตะโกน “เจ้าจะมามัวแข็งทื่ออยู่ทำไม รีบมาช่วยเร็ว!!!” กลายเป็นว่าฉินซีถือกระบี่พร้อมกับใส่พลังวิญญาณของเขาลงไปแล้วยืนสกัดแรงโจมตีข้างหน้าพวกเขา


 


 


ทันทีที่นางตื่นจากภวังค์ โม่เทียนเกอรีบเคลื่อนพลังวิญญาณเพื่อช่วยลดภาระของฉินซี


 


 


ผ่านไปสักครู่หนึ่ง พลังที่ถูกสร้างขึ้นจากแรงระเบิดก็สงบลง


 


 


เมื่อเห็นว่าพวกนางสามารถทนต่อการโจมตีของเขาได้ ชายโง่เง่าขู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมพุ่งเข้าหาพวกเขา เพราะโม่เทียนเกอเกือบสูญชีวิตของนาง นางจึงไม่เกรงใจ หยิบเครื่องรางเยือกแข็งออกมา มู่หรงเยียนก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียประโยชน์ นางควบคุมเครื่องมือวิญญาณของนางให้พุ่งเข้าใส่คนโง่เง่านั้น ฉินซีก็ใช้ศาสตร์ไฟบรรลัยกัลป์พุ่งเข้าใส่เช่นกัน


 


 


ถึงแม้ว่าทักษะของคนโง่เง่านี้จะไม่ได้แย่มากนัก แต่เขาจะต่อต้านการปะทะของทั้งสามคนได้อย่างไร เพราะเขาหลบหลีกเครื่องรางเยือกแข็ง เขาจึงปะทะเข้ากับคาถาของฉินซี เมื่อเขาเคลื่อนที่ช้าเกินไป เขาก็ปะทะเข้ากับเครื่องมือวิญญาณของมู่หรงเยียนโดยตรง เขาเซไประยะหนึ่งก่อนที่จะล้มลงในที่สุด


 


 


ทั้งสามคนถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขาตายแล้ว พลังของลูกกลมสีม่วงนั้นร้ายแรงผิดธรรมดาไปมาก นอกเหนือไปจากทั้งสามคน คนอื่นๆ ล้วนบาดเจ็บและบางคนถึงกับถูกระเบิดเป็นชิ้นๆ มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถปกป้องตัวเองได้เท่านั้น


 


 


คนที่ตายและบาดเจ็บเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตา ถึงแม้ว่าคนที่ก่อเรื่องจะตายไปแล้ว ทุกคนก็ยังคงโกรธเคืองอยู่ พวกเขาหยิบเครื่องมือวิญญาณและตรงเข้าหาศิษย์สำนักจื่อซย่า สำนักจื่อซย่ามีจำนวนลูกศิษย์มากที่สุด ดังนั้นพวกเขาเองก็ไม่ยอมที่จะล่าถอยและวิ่งเข้าหาศิษย์ทั้งสองกลุ่มเช่นกัน ทันใดนั้น เครื่องมือวิญญาณและคาถาก็ลอยตกลงมาทั่วท้องฟ้า


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย!” ภายหลังจากการต่อกรกับการลอบโจมตี ฉินซีเรียกโม่เทียนเกอ


 


 


ในขณะที่ปกป้องตัวเอง โม่เทียนเกอดึงมู่หรงเยียนไปทางฉินซี


 


 


“ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่ฉิน”


 


 


“อย่าเสียเวลาขอบคุณอยู่เลย” เขาหยิบเครื่องรางออกมาปึกหนึ่งและส่งให้โม่เทียนเกอ และมู่หรงเยียนด้วยความใจกว้าง “ถือพวกนี้กันไว้ก่อน น่าจะอีกประมาณสิบห้านาทีก่อนที่ม่านพลังทางออกจะเปิดขึ้น”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจว่าในขณะนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวสุภาพเกรงใจต่อกัน ดังนั้นนางจึงรับเครื่องรางที่เขาให้ และหันหลังโยนเครื่องรางเปลวเพลิงไปทางศิษย์สำนักจื่อซย่าที่กำลังวิ่งมา


 


 


การต่อสู้ที่ชุลมุนนี้มีผู้เข้าร่วมมากที่สุด และยังเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงที่สุดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ท้องฟ้าต่างเต็มไปด้วยคาถา เครื่องราง และเครื่องมือวิญญาณที่ลอยไปมา มันยากที่จะมองออกอย่างชัดเจนว่าคนอื่นนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกันหรือเป็นคู่ต่อสู้กันแน่ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะหลบหลีก และใช้ได้เพียงแค่คาถากับเครื่องรางเพื่อป้องกันตนเอง ในตอนท้าย เมื่อไม่มีทางเลือกใดหลงเหลืออยู่ ทั้งสามคนติดเครื่องรางป้องกันไว้กับตัวเพื่อป้องกันทุกการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้


 


 


สำแสงสีขาวในที่สุดก็ปรากฏขึ้นตรงใจกลางลานโล่ง มันสว่างขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ก่อตัวเป็นม่านพลังส่องสว่างเจิดจ้าหลากสีสันที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ


 


 


ทุกคนหยุดการต่อสู้ ขณะที่จ้องมองไปยังม่านพลัง เพียงเสี้ยววินาที ทุกคนรีบวิ่งเข้าสู่ม่านพลังเหมือนกับฝูงผึ้ง


 


 


โม่เทียนเกอตั้งใจที่จะล่าถอย สุดท้ายแล้ว คนที่อยู่ด้านหลังนางรีบวิ่งเข้าผลักนาง กลุ่มคนพยายามอัดตัวเองเข้าไปสู้ม่านพลังอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ในไม่ช้า พวกนางก็ถูกเบียดเขาไปในม่านพลังเช่นกัน แสงมืดและสว่างวาบสลับกันต่อสายตาพวกเขาก่อนที่สภาพรอบๆ ตัวจะเปลี่ยนไป ด้วยการชำเลืองมอง โม่เทียนเกอเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคน


 


 


ถัดมาเรื่อยๆ ทีละคน ลูกศิษย์ต่างถูกส่งออกมาที่หน้าผา เกือบทุกคนล้วนเปรอะไปด้วยคราบเลือด และดูช่างน่าเวทนา บางคนก็บาดเจ็บหนัก


 


 


มู่หรงเยียนเดินมาหาโม่เทียนเกอและกระซิบ “ศิษย์น้องเยี่ย พวกเรา…”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหัวพร้อมกระซิบกลับ “วางใจเถอะ”


 


 


ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะดูโกรธ แต่พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาฆ่า พวกเขาไม่ได้โจมตีโม่เทียนเกอและคนอื่น อีกอย่าง หลังจากการตะลุมบอนครั้งล่าสุด จำนวนศิษย์ที่ยังมีชีวิตน่าจะเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามของจำนวนแรกเริ่มเท่านั้น หากต้องมีการลงโทษ พวกเขาคงต้องเลือกรับศิษย์เข้าสำนักเพิ่มเติมอีกครั้ง


 


 


เมื่อนางได้ออกห่างมาจากสภาพแวดล้อมการฆ่าฟันกันและไม่ต้องคอยระแวดระวังตัวต่อคนอื่นอีก โม่เทียนเกอก็รู้สึกว่าร่างกายของนางช่างเหนื่อยล้าอ่อนเปลี้ย จนเกือบล้มลงที่พื้น อย่างไรก็ตาม นางหันหลังกลับ เห็นมู่หรงเยียนคอยมองจดจ่ออยู่ที่ม่านพลัง


 


 


โม่เทียนเกอนึกขึ้นได้ทันทีว่านางยังไม่ได้บอกมู่หรงเยียนเกี่ยวกับมู่หรงจือ


 


 


“ศิษย์พี่มู่หรง…”


 


 


มู่หรงเยียนส่งเสียงตอบกลับแต่นางก็ไม่ได้หันกลับมามองที่โม่เทียนเกอ นางยังคงจับจ้องอยู่กับการมองไปยังม่านพลังนั่น


 


 


โม่เทียนเกอสูดหายใจลึก นางรู้สึกเกลียดตัวเองเข้าเล็กน้อยที่ต้องนำข่าวแสนโหดร้ายมาบอก “ความจริงแล้ว ข้าเจอศิษย์พี่ชายมู่หรง”


 


 


เมื่อได้ยินที่นางบอก มู่หรงเยียนก็หันกลับมาทันที


 


 


โม่เทียนเกอกัดฟันแน่นก่อนที่จะพูด “ศิษย์พี่มู่หรงจื่อตายแล้ว”


 


 


มู่หรงเยียนตะลึงงันและเหมือนกับว่านางแทบจะไม่เชื่อ จนท้ายที่สุด หน้าของนางซีดจางลงพร้อมกับที่นางโผเข้าจับที่แขนเสื้อของโม่เทียนเกอทันที “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้า… พูดอีกทีซิ”


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจ และย้ำอีกครั้ง “ข้าเจอศิษย์พี่มู่หรงจื่อ เขาตายแล้ว”


 


 


มู่หรงเยียนหน้าถอดสียิ่งกว่าเดิม แต่นางยังคงไม่ปล่อยมือและยังคงจ้องมองที่โม่เทียนเกอ “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”


 


 


ครั้งนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่หยิบกระเป๋าเอกภพของมู่หรงจือออกมา


 


 


มู่หรงเยียนตัวสั่นเทาเมื่อนางรับมันมาและรีบเปิดดูด้วยความรีบเร่ง เมื่อนางเห็นเครื่องมือวิญญาณที่คุ้นเคย การแสดงออกของนางนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าพร้อมปิดหน้าของนางด้วยมือทั้งสองข้าง


 


 


ถึงแม้ว่าการตายของมู่หรงจื่อจะไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาง สุดท้ายแล้ว เขาตายในขณะที่ร่วมต่อสู้ศัตรูด้วยกัน การที่ต้องเห็นมู่หรงเยียนต้องเศร้าโศกเสียใจแบบนี้ โม่เทียนเกอจึงรู้สึกแย่ลงไปด้วย


 


 


ฉินซีตบที่ไหล่ของนางและส่ายหน้า มันเหมือนกับเขาพยายามปลอบนางว่าไม่ใช่ความผิดของนาง นางฝืนยิ้มแต่ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย


 


 


“ศิษย์พี่ อย่าเศร้าไปนักเลย ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของเขา ศิษย์พี่มู่หรงจื่อก็ยังคงหวังว่าศิษย์พี่จะสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ ศิษย์พี่…” โม่เทียนเกอไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก สุดท้ายแล้ว ประโยคที่แสนเย็นชาต่างๆ ในการช่วยปลอบโยนจะช่วยลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียคนใกล้ตัวไปได้อย่างไร


 


 


เป็นเวลานานทีเดียวที่มู่หรงเยียนจะปล่อยมือออก ไม่มีน้ำตาอยู่บนหน้าของนางอีกแล้วตอนนี้ แต่นางดูซีดเซียวอย่างมาก และท่าทางของนางก็ดูสิ้นหวัง จริงๆ แล้วนางเป็นคนน่ารักและมีเสน่ห์ แต่หลังจากผ่านเรื่องราวโหดร้ายต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีความสดใสและสวยงามหลงเหลืออยู่กับนางอีกเลย


 


 


“ข้าขอโทษศิษย์น้องเยี่ย ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้า ข้า…”


 


 


“ข้าเข้าใจ” โม่เทียนเกอหยิบกล่องหยกออกมาและมอบให้นาง “นี่คือเถ้าธุลีของศิษย์พี่มู่หรงจื่อ ศิษย์พี่ต้องไม่เศร้าเสียใจ คนที่ตายไม่อยู่แล้ว และท่านก็ต้องดำเนินชีวิตของท่านต่อ”


 


 


มู่หรงเยียนรับกล่องมาและเก็บไว้ในกระเป๋าเอกภพของนางก่อนที่จะยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าบอกข้าหน่อยได้ไหมว่าพี่ชายของข้าตายอย่างไร”


 


 


โม่เทียนเกอพูด “ตอนที่ข้าพบเข้ากับศิษย์พี่มู่หรงจื่อ เขาบาดเจ็บหนักมาจากการถูกซุ่มโจมตี ในขณะที่เขากำลังฟื้นสภาพ พวกเราก็เผชิญหน้ากับจระเข้เขี้ยวเหล็กระดับสอง และหลังจากนั้น พวกเราก็เจอกับกลุ่มคนสามคน สุดท้าย ศิษย์พี่มู่หรงจื่อก็ไม่สามารถต้านทานอยู่ได้และเลือกที่จะลากหนึ่งคนในกลุ่มนั้นตายไปพร้อมกับเขา” เมื่อนางเล่าถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกกังวลเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “ศิษย์พี่ อย่ากังวลเกี่ยวกับการแก้แค้นเลย การเป็นศัตรูนี้ไม่อาจลบล้างได้”


 


 


มู่หรงเยียนเข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่นางยังรู้สึกว่ายังขาดจุดสิ้นสุดอยู่


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน มู่หรงเยียนเช็ดรอยคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของนาง พร้อมด้วยการแสดงถึงความหนักแน่น นางพูด “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ใช่คนสิ้นคิดเหมือนในอดีตแล้ว ข้ารู้ว่าข้าต้องทำอย่างไร” หลังจากนั้นนางก็แสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มที่คล้ายจะตำหนิตัวเอง “ถึงแม้ว่าเราจะไม่สืบสายเลือดเครือญาติกัน ตั้งแต่สมัยที่พวกเรายังเด็ก พี่ชายของข้ารักข้าอยู่เสมอ ไม่ว่าข้าต้องการสิ่งใด เขาก็จะหาทางนำสิ่งนั้นมาให้ข้า… ตอนนี้เขาคิดหาทางที่จะมอบยาสร้างฐานแห่งพลังให้กับข้า แต่ข้าไม่คิดเลย… ว่าราคานั้นมันต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาเอง”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยามเฉิน 07:00-09:00 น.


70 ยามบ่าย

 


ทุกอย่างดำเนินไปตามความคาดหมายของโม่เทียนเกอ


 


 


คนที่คิดแผนนี้อยากจะมอบโอกาสให้ศิษย์ของทั้งสามกลุ่มได้มีปฏิสัมพันธ์กัน แต่เขาคงไม่ได้คาดการณ์ว่าที่จริงแล้วมันจะเป็นการเปิดโอกาสในการฆ่ากัน


 


 


ด้วยเหตุนี้ ปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของสำนักจื่อซย่าจึงรู้สึกโกรธจัดจนเขาเกือบจะตบคนที่คิดแผนนี้ถึงตาย


 


 


อย่างไรก็ตาม เป็นเวลานานหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณถึงเพิ่งจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในวันที่การทดสอบของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเสร็จสิ้น ปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนที่ดูซีดเซียวได้ส่งศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังบางส่วนมาเพื่อจัดการเก็บกวาดเรื่องวุ่นวาย ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังพวกนี้สามารถนำตัวศิษย์ที่บาดเจ็บสาหัสหลายคนกลับไปได้ แต่ก็ต้องทบทวนถึงเหตุการณ์น่าสลดในป่านี้


 


 


กระนั้นเหล่าลูกศิษย์ถูกปล่อยไม่ให้รู้เรื่องรู้ราวว่าพวกปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังกำลังหารือเรื่องอะไรกันอยู่ พวกเขาไม่เปิดเผยอะไรทั้งสิ้น พวกปรมาจารย์เพียงแค่พาพวกเขากลับไปยังสำนักและห้ามไม่ให้ออกจากภูเขา หลังจากที่ศิษย์พี่โจวไปถามข่าวคราวและบอกว่าไม่ต้องกังวล พวกเขาจึงสงบลงได้


 


 


หลังจากการเดินทางครั้งนี้ จำนวนคนในสนามของพวกเขาจัดว่าน้อยลง บ้านของโม่เทียนเกอถือว่ายังโชคดี จากจำนวนห้าคน สี่คนสามารถมีชีวิตกลับมาได้ คนเดียวที่ไม่รอดออกมา… คือสวีจิ้งจือ


 


 


แม้ว่าอาการบาดเจ็บของหลิ่วอีเตาจะสาหัส แต่เขาก็ยังรอดชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม สวีจิ้งจือนั้นหายตัวไป ไม่แน่ชัดว่าเขาตายด้วยน้ำมือของใครและศพหรือเถ้ากระดูกของเขาอยู่ที่ไหน ไม่มีแม้แต่เบาะแสเล็กน้อยเลยว่าเขาอยู่ที่ไหน


 


 


ในหายนะครั้งนี้ มีหลายคนที่หายตัวไป แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าสวีจิ้งจือจะอยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ด้วย


 


 


เมื่อได้รับการยืนยันข่าวนี้ คนจากเผ่าสวีจึงมาเพื่อเก็บข้าวของของสวีจิ้งจือ เหตุนี้ร่องรอยของสวีจิ้งจือทั้งหมดในบ้านหลังนี้ได้หายไปแล้ว


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เจ้าสำนักจึงประกาศผลของการทดสอบ เป็นอย่างที่พวกเขาคาด แทนที่จะมีการสืบสวนต่อไปและมีบทลงโทษ แต่กลับเป็นการประกาศผู้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง


 


 


ในการทดสอบนี้ จากศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ร้อยคนที่สามารถมีชีวิตรอดออกมาได้ มีสี่สิบคนที่ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ตามรายงาน เพราะว่าจำนวนของศิษย์ระดับหัวกะทิที่ถูกสังหารนั้นมีมากเกินไป ปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่จากสำนักจื่อซย่าจึงตัดสินใจให้ยาสร้างฐานแห่งพลังเพิ่มมากขึ้น หวังว่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนอาจเกิดขึ้นมาจากกลุ่มนี้เพื่อชดเชยคนที่เสียไป ทั้งสี่คนในบ้านของโม่เทียนเกอ เช่นเดียวกับมู่หรงเยียน ล้วนอยู่ในหมู่คนที่ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง


 


 


ถึงกระนั้น ข่าวนี้ก็ไม่ได้ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกสุขใจ การตายของมู่หรงจื่อและการหายตัวไปของสวีจิ้งจือทำให้นางรู้สึกกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


 


นางจำท่าทีฉุนเฉียวของสวีจิ้งจือก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้นได้… อันที่จริง ในวันนั้นนางก็รู้สึกถึงลางไม่ดีอยู่แล้ว แต่นางไม่ได้นึกจริงจังอะไร นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันนั้นจะเป็นวันที่พวกเขาต้องจากกันเป็นครั้งสุดท้าย


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย”


 


 


โม่เทียนเกอซึ่งนั่งพิงต้นไม้อยู่ เงยหน้าขึ้นและเห็นฉินซียืนอยู่ตรงหน้า เสนอเหยือกเหล้าองุ่นในมือให้กับนาง


 


 


โม่เทียนเกอฝืนยิ้มและรับเหยือกมา


 


 


ฉินซีนั่งลงข้างๆ นาง ทั้งสองคนดื่มเหล้าองุ่นอย่างเงียบๆ ในบ่ายของฤดูใบไม้ร่วงนี้ แสงอาทิตย์ตกกระทบผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ สาดส่องร่างของพวกเขาและทำให้รู้สึกเกียจคร้านเกินกว่าจะขยับเขยื้อนใดๆ บริเวณรอบตัวเงียบสงบ มีเพียงเสียงน้ำตกสาดกระเซ็นอยู่สักที่ไกลๆ เติมเต็มความว่างเปล่า


 


 


ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ คนแปดคนยังนั่งคุยและล้อเล่นกันอยู่ตรงจุดนี้ กลุ่มคนที่ทำให้โม่เทียนเกอไม่ว่างเว้นจากการทำนั่นทำนี่ แต่บัดนี้สวีจิ้งจือตายแล้ว หลิ่วอีเตาบาดเจ็บสาหัส หวังเชี่ยนอีแต่งงานแล้ว เฉินปิงต้องกลายเป็นเมียน้อย มู่หรงเยียนฝึกตนอย่างหนักหน่วง และศิษย์พี่โจววุ่นอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับอนาคตของเขา คนเดียวที่สามารถจะมาเป็นเพื่อนนางในการนั่งเล่นที่นี่ได้คือฉินซี


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน”


 


 


“หือ”


 


 


“ถ้าศิษย์พี่สร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้แล้ว จะทำอะไรหลังจากนั้น”


 


 


“แน่นอนว่าข้าจะฝึกตนต่อไป… เจ้าถามทำไม”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะอธิบายเหตุผลเบื้องหลังความหดหู่ใจของนางอย่างไรดี “ข้าแค่ไม่เข้าใจ ท้ายที่สุดแล้วทำไมคนเราถึงฝึกตน”


 


 


เหตุใดคนเราถึงฝึกตน คำถามนี้แปดในสิบของคนในโลกแห่งการฝึกตนคงจะตอบโดยอัตโนมัติว่า “เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาว” แต่จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวไปเพื่ออะไรล่ะ การต่อสู้กันเองเช่นนี้ การทำให้เกิดคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน… หากคนเราอยากจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวจริงๆ ทำไมถึงทำกับชีวิตคนอื่นได้ระห่ำขนาดนั้น


 


 


ฉินซีครุ่นคิดถึงคำตอบอย่างจริงจัง แต่แทนที่จะตอบ เขาเพียงแค่ส่ายหน้าและเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน “ข้าเกิดในครอบครัวผู้ดี แต่เพราะข้าไม่ได้มาจากสาขาหลัก ข้าจึงไม่เคยถูกเห็นค่าและมักจะโดนคนอื่นรังแกเสมอ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ข้ายังเล็ก ข้ามักจะคิดว่าข้าแตกต่างจากคนอื่นๆ ข้าไม่อยากจะทะเลาะเพื่อให้เหนือกว่าพวกพี่ชาย และข้ายังไม่มีความสนใจอยากเล่นสนุก ข้ามักจะจดจ่ออยู่กับการเรียนแทน”


 


 


“จากนั้น เมื่อข้าอายุแปดขวบ มีแขกมาที่พำนักขององค์ชาย อ้างตนว่าเป็นบรรพบุรุษของเรา เขาดูเป็นคนที่พิเศษมาก แม้ว่าเขาจะอายุกว่าหลายร้อยปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ดูแก่เลยสักนิด แม้แต่หัวหน้ากลุ่มผู้น่าเกรงขามยังไม่กล้าจะพูดอะไรออกมาเลยต่อหน้าเขา”


 


 


“ไม่นานหลังจากนั้น ข้าก็ถูกพาไปพบเขา หลังจากเขาประเมินรากวิญญาณของข้า เขาก็บอกผู้อาวุโสในกลุ่มว่าเขาจะพาข้าไปด้วย ในตอนนั้นข้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าจะต้องคาดหวังอะไร แค่รู้สึกว่า… บางทีนี่อาจเป็นหนทางที่ข้าควรเดินต่อไป”


 


 


พูดจบ เขาก็หันมาและยิ้มให้ “ที่จริง สัญชาตญาณของข้าถูกต้องแล้ว ข้ากำลังเดินบนทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพวกพี่น้องจากที่บ้านขององค์ชาย ตอนนี้ข้ายังหนุ่ม แต่อดีตพี่ชายพี่สาวของข้ากลายเป็นผงธุลีกันหมดแล้ว ทำไมคนเราถึงฝึกตนน่ะหรือ ข้าตอบคำถามนี้ไม่ได้จริงๆ เท่าที่ข้ารู้ การฝึกตนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสม ข้าไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามว่าทำไม ข้าแค่จำเป็นต้องเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป”


 


 


การเล่าเรื่องอย่างใจเย็นทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกสงบ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังรู้สึกเหมือนนางได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของเขาด้วย


 


 


“แค่จำเป็นต้องเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป… จริงหรือ” โม่เทียนเกอนวดหน้าผากตัวเองและกระซิบ “ข้ารู้ว่าทำไมข้าอยากจะเดินบนเส้นทางนี้… เมื่อข้ายังเด็ก ข้าฉลาดเกินกว่าวัย ข้ายังเด็กมาก แต่ก็เข้าใจว่าจะอ่านสีหน้าคนได้อย่างไร และข้าก็เคยชินกับความแปรปรวนของมนุษย์ ในตอนนั้น ข้ามักจะพบแต่ความเจ็บปวดใจ เกลียดตัวเองที่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้และเสียใจที่ไม่สามารถเป็นอย่างเด็กคนอื่นได้”


 


 


“ตอนหลัง… ตอนหลังข้าได้เจอกับท่านอารองและเรียนรู้ว่าที่จริงแล้วข้าแตกต่างจากเด็กคนอื่น ทำไมข้าถึงฝึกตนน่ะหรือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อย่างไรก็ตาม ท่านอารองครั้งหนึ่งเคยบอกว่าถ้าไม่มีพละกำลังก็จะไม่มีอิสรภาพ”


 


 


“หากไม่มีพละกำลังก็จะไม่มีอิสรภาพ” ฉินซีพูดตามพึมพำ สายตาที่เขาเคยใช้มองนางกลับกลายเป็นซับซ้อนยิ่งขึ้น


 


 


โม่เทียนเกอเอาเหยือกเหล้าองุ่นเก็บหลังจากนางดื่มจนหมด ที่จริงแล้วนางไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นมาก่อน นางรู้สึกว่าไม่จำเป็นและไม่มีโอกาสด้วย ท่านอารองก็ไม่ดื่มเช่นกัน เขาบอกว่าในฐานะผู้ฝึกตน พวกเขาต้องไม่หลงมัวเมาในความสุขทางโลกของมนุษย์ เพราะอย่างนั้น นางจึงรับวิธีคิดแบบเดียวกันมา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางรู้สึกว่าการดื่มเช่นนี้ช่างน่าเพลิดเพลิน


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน ผู้อาวุโสคนนั้นของท่านคงจะทิ้งท่านไปแล้ว ใช่หรือไม่”


 


 


ฉินซีหยุดและไม่ได้พูดอะไร


 


 


“อันที่จริง จุดจบของชีวิตท่านอารองกำลังใกล้เข้ามา ถ้าไม่ใช่ปีนี้ก็ต้องเป็นปีหน้า บางครั้งข้ารู้สึกว่าสามารถยอมรับได้อย่างใจเย็น แต่บางครั้งข้าก็รู้สึกว่ามันคงยากที่จะจินตนาการ ถ้าท่านอารองไม่อยู่ที่นี่ แล้วข้าจะทำอย่างไร ข้าจะทำอย่างไรถ้าเขาเป็นเหมือนศิษย์พี่สวีที่หายตัวไปกะทันหันเสียจนเราไม่ได้แม้แต่จะร่ำลา” นางกอดตัวเอง ซ่อนใบหน้าไว้ในอ้อมแขน รู้สึกกลัวที่จะพูดต่อ


 


 


ฉินซีอยากจะตบบ่าปลอบใจนาง แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ไม่ได้ยื่นมือไปแตะตัวนาง ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงพูดว่า “ข้าไม่เหมือนเจ้า ที่จริงต้นทุนตามธรรมชาติของข้าไม่ได้ดีที่สุด แต่ฝึกตนมาจนถึงจุดนี้ ข้ายังไม่เจออุปสรรคอะไร ท่านทวดของข้าบอกว่าข้าอาจจะเกิดมาเพื่อฝึกตน ข้ายังไม่เคยประสบกับความหมกมุ่นหรือการขัดขวางอะไร พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าไม่มีความรู้สึกที่ไม่จำเป็น ข้าไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่ข้ารู้ว่าเจ้าให้ความสำคัญอย่างมากกับความรู้สึกและความหมกมุ่น หากเจ้าไม่ละทิ้งมันเสีย เจ้าก็จะประสบความสำเร็จในอนาคตได้ยาก”


 


 


โม่เทียนเกออึ้งไป “ความหมกมุ่น…”


 


 


ฉินซีถอนใจ สุดท้ายเขาก็ตบบ่านางและกล่าวว่า “ข้าก็พูดได้เท่านี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำได้หรือไม่ได้มันขึ้นอยู่กับตัวเจ้า การฝึกตน… บางทีสำหรับพวกเรา มันหมายถึงการต้องละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่าง…”


 


 


โม่เทียนเกอคิดอย่างลึกซึ้ง ความหมกมุ่นรึ? เป็นไปได้ไหมว่าในวัยเด็กข้าโหยหาอย่างมากจนตอนนี้ข้ามีความหมกมุ่น? นางรู้สึกว่านางพอเข้าใจบ้าง แต่ก็ยังสับสนอยู่เล็กน้อย


 


 


ขณะที่ฉินซียื่นเหยือกเหล้าองุ่นให้อีก เขาพูดว่า “อย่าคิดมากเลย ถ้าเจ้าคิดออกโดยง่ายมันก็ไม่ใช่ความหมกมุ่น เรื่องนี้จำเป็นต้องมีชะตาลิขิต เพราะฉะนั้นค่อยๆ ใช้เวลาเถอะ”


 


 


หลังจากกระดกเหล้าองุ่นไปอีกเหยือก โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกมึนหัวมากขึ้น ในสภาวะมึนงง นางได้ยินฉินซีล้อนางรางๆ ว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นมาก่อนใช่ไหม เจ้าดื่มเหล้าอย่างกับดื่มน้ำได้อย่างไรเล่า”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกวิงเวียน เมื่อนางมองขึ้นไป ดูเหมือนนางจะเห็นภาพของฉินซีหลายคนแกว่งอยู่ต่อหน้านาง หลังจากเอียงหัวซ้ายขวา ในที่สุดนางก็ยื่นมือออกไป พยายามจะหยุดการแกว่งไปมา “ศิษย์… พี่ฉิน ทำไมท่านถึงเสก… คาถาลวงตา”


 


 


ฉินซีแปลกใจแต่ไม่นานนักก็ระเบิดหัวเราะออกมา “เจ้า… ถ้าข้ารู้มาก่อน ข้าคงให้เจ้าดื่มตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้านี่มัน…”


 


 


โม่เทียนเกอจ้องเขาอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะยืนขึ้นและเดินโงนเงนไปทางน้ำ


 


 


ฉินซีตะโกนไล่หลัง “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าจะทำอะไรน่ะ”


 


 


นางยังคงเดินโงนเงนต่อไป โม่เทียนเกอตอบว่า “ล้าง… ล้างหน้า”


 


 


นางหมอบลงเมื่อเดินไปถึงน้ำในที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ นางก็ประหลาดใจทันที


 


 


นางไม่ได้ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองมานานแล้ว วันนี้นางเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีความแตกต่างอย่างมากในใบหน้าปัจจุบันกับใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำ คิ้วที่เคยบางบัดนี้ได้รูป เค้าโครงของใบหน้าดูเหมือนจะเห็นชัดขึ้น แก้มนางก็อวบอิ่มขึ้น เห็นได้ชัดว่าคล้ายกับใบหน้าของผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่านางจะยังมึนหัวอยู่ แต่นางก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะว่า… ใบหน้านี้ยิ่งดูเหมือนใบหน้าสตรี


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย ยังไม่เสร็จอีกรึ”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงตามหลังนางมา โม่เทียนเกอรีบกวักน้ำด้วยมือและล้างหน้า แต่ถึงอย่างนั้น นางก็เห็นว่าใบหน้าของนางยังผุดผ่องและสวยงามดังเช่นก่อนหน้านี้


 


 


กลัวว่าจะถูกฉินซีเห็นเข้า นางจึงไม่กล้ามองกลับไป นางเสียสติไปกับความตื่นตกใจ และสงสัยว่าจะมีใครที่สังเกตเห็นนางบ้างแล้วหรือไม่…


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย…”


 


 


ทันใดนั้น เท้าของนางลื่นและไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ด้วยเสียงดัง “จ๋อม” นางตกลงไปในน้ำ


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย!” ฉินซีตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น หลังจากพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ในที่สุดเขาจึงได้สติ เขาพุ่งไปข้างหน้าทันที คว้าตัวโม่เทียนเกอที่ยังผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นลงจากน้ำและลากนางกลับไปยังฝั่ง


 


 


เขาอดที่จะส่ายหัวไม่ได้ “ข้าต้องบอกเลยนะ… ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคงจะเมากับความโง่งมของตัวเอง… เจ้าเป็นผู้ฝึกตนแต่ยังทำตัวเองจมน้ำเสียได้ แล้ววิชาตัวเบาของเจ้าเล่า”


 


 


เมื่อเขาก้มมองนาง เขาก็ยิ่งรู้สึกทำอะไรไม่ถูก นี่ไม่ใช่แค่ความโง่ธรรมดา นางถึงกับหมดสติจากการสำลักน้ำ…


 


 


หลังจากวางร่างของนางใต้ต้นไม้ ฉินซีนึกในใจและยกมือขึ้น จู่ๆ ก็มีกิ่งต้นท้อสีสันสดใสปรากฏขึ้นในมือของเขา มีดอกท้อที่กำลังเบ่งบานปกคลุมไปด้วยน้ำค้างตรงปลายกิ่ง ราวกับว่ากิ่งนี้ถูกเด็ดมาสดๆ จากต้น


 


 


ฉินซีพูดพึมพำเพียงไม่กี่คำ แกว่งมือและตะโกนว่า “ไป!”


 


 


ในที่สุด ทั้งสองคนก็หายวับไปโดยไร้ร่องรอย


 


 


จากมุมมองของฉินซี อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังอยู่ ณ จุดเดิมพร้อมกับลำแสงอ่อนๆ ล้อมรอบพื้นที่เล็กๆ นั้น เขาก้มลงและจ้องมองโม่เทียนเกอที่กำลังหมดสติ ดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดเขาก็ยื่นมือไปหาปกคอเสื้อเปียกโชกของนางและคลำหา ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ดึงเอาสร้อยสีแดงที่มีจี้หยกออกมา


 


 


จี้หยกนั้นกลม มีสีโทนอุ่นและลวดลายของเมฆที่โดดเด่น ฉินซีถอนหายใจ “นั่นสินะ…”


71 ยาสร้างฐานแห่งพลัง

 


โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อนางตื่นขึ้น ทั่วทั้งห้องมืดสนิท นางพยุงตัวขึ้นและนวดหน้าผากด้วยความมึนงง น่าแปลก นี่เราหลับไปได้อย่างไร?


 


 


เมื่อนางลุกขึ้นนั่งและเคลื่อนพลังวิญญาณไปทั่ววิถีวงโคจร อาการปวดหัวของนางจึงหยุดลง นางจึงค่อยๆ นึกย้อนไปว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนนางจะหลับไป หรือเกิดอะไรขึ้นก่อนที่นางจะเมา


 


 


ช่างน่าอายจริงๆ … นางไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นมาก่อน แต่นางก็ยังกล้าเลียนแบบฉินซีและดื่มจนไม่ได้สติ สิ่งที่แย่ที่สุดคือการที่นางขาดสติไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีกเลยหลังจากที่นางเมา!


 


 


โม่เทียนเกอล้มกลับลงไปบนที่นอน ส่งเสียงคร่ำครวญ โชคดีที่ไม่มีใครเห็นนางนอกจากศิษย์พี่ฉิน… ศิษย์พี่ฉิน! นางรีบลุกขึ้นนั่งอีกครั้งและเริ่มจับคลำไปทั่วตัว ยังดี… เสื้อผ้านางยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และจี้หยกซ่อนวิญญาณยังอยู่ที่เดิม


 


 


นางลากเสียงถอนใจแต่ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี นางจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนที่นางจะเมา นางจำได้เพียงแค่รางๆ ที่ฉินซีบอกนางว่าหากจะเดินไปในเส้นทางของผู้ฝึกตนต่อไป นางจะต้องปล่อยวางสิ่งที่หมกมุ่น อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่านางได้ลืมบางอย่างไป…


 


 


ภายหลังจากคิดอยู่เป็นเวลานานอย่างไร้ประโยชน์ นางก็ปัดเรื่องต่างๆ ทิ้งไป ในเมื่อนางไม่สามารถจำได้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไรนัก เรื่องที่สำคัญคือนางจะต้องคอยเตือนตัวเองไม่ให้ประมาทแบบนี้อีก นางโชคดีที่ฉินซีไม่ได้ทำอะไรนาง หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกและหากเป็นกับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉินซี เกิดนางถูกฉวยโอกาสตอนที่นางไม่มีสติ ความลับของนางต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่


 


 


เมื่อตั้งสติได้แล้ว นางก็ลงจากที่นอนเพื่อทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้น ทว่าก่อนหน้านั้น นางหยิบหินจันทราจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกภพและโยนไว้บนที่นอน ห้องส่องสว่างขึ้นในทันที ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะยังอยู่เหมือนเดิม แต่ก็มีทั้งรอยยับและกลิ่นของเหล้าอยู่ โม่เทียนเกอเดินไปที่อ่างล้างมือตรงมุมห้อง ขมวดคิ้วในขณะที่นางถอดชุดคลุมด้านนอกออกเพื่อทำความสะอาดตัวเอง เมื่อกลิ่นเหล้าจางหายไปแล้วนางจึงใส่ชุดคลุมตัวใหม่


 


 


ในขณะที่นางกำลังจะแก้มัดผมเพื่อหวีใหม่อีกครั้ง นางก็สังเกตเห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกทองแดงที่แขวนอยู่บนกำแพง นางหยุดนิ่ง หลังจากนึกถึงอะไรบางอย่างครู่หนึ่ง นางก็หยิบหวี แก้มัดผม ค่อยๆ แบ่งผมเป็นช่อๆ แล้วมวยขึ้น ในขณะที่นางกำลังทำทรงนี้ ผมมวยนั้นก็เอียงไปเอียงมาหลายครั้งเพราะนางไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีการทำผมเช่นนี้


 


 


ถึงตอนที่นางทำผมเสร็จ ก็ได้เพียงแค่ยิ้มขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้กับเงาสะท้อนในกระจก นางไม่ได้แต่งตัวเช่นสตรีป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว นางไม่สามารถที่จะทำผมทรงผู้หญิงได้ด้วยซ้ำ คนที่อยู่ในกระจกไม่ได้ดูน่าพอใจนักในสายตาที่มองเห็น ดังนั้นนางจึงแกะมวยผมออกอีกครั้ง และหวีผมเพื่อมวยผมเป็นทรงชาวลัทธิเต๋าตามเดิม


 


 


อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้นก็ยังดูอ่อนช้อยเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย


 


 


โม่เทียนเกอพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคลำหาบางอย่างในกระเป๋าเอกภพ ครั้งแรกนางใช้ไม้ชิ้นหนาสีดำเพื่อเขียนให้คิ้วของนางหนาขึ้น หลังจากนั้นนางป้ายผงแป้งสีเทาจากขวดหยกเพื่อทำสันจมูก เพิ่มเบ้าตา และขากรรไกรล่างให้ดูเข้มขึ้น


 


 


ตอนนี้คนที่อยู่ในกระจกดูดุดันขึ้นแล้ว คิ้วนางหนาขึ้นเล็กน้อยดูเหมือนผู้ชายมากขึ้น หลังจากนั้นนางจึงลบร่องรอยของใช้ก่อนที่จะเก็บกลับเข้าไป สองสิ่งนี้จริงๆ แล้วคือส่วนประกอบในการชำระล้างเครื่องมือ แต่ในเมื่อมันไม่ได้เป็นพิษ ทาไว้บนหน้าก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้นางมียาสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ดังนั้นนางจะต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น


 


 


หลังจากนั้น โม่เทียนเกอจึงเดินกลับไปที่ข้างเตียง หยิบกระเป๋าเอกภพจากเสื้อคลุมของนางออกมาและเริ่มจัดของต่างๆ ก่อนที่จะนั่งลงเพื่อฝึกตน


 


 


ด้วยความเป็นจริงแล้ว นางได้ครอบครองของเยอะมากจากการทดสอบครั้งล่าสุด เพียงแค่ซากสัตว์ปีศาจอย่างเดียวก็นับว่าร่ำรวยมากมายแล้ว แต่นางยังได้ยาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณ อุปกรณ์หลากหลายอย่าง และศิลาวิญญาณกว่าพันอัน


 


 


เมื่อนางกลับมาเพื่อทำรายการสิ่งของ แล้วนางก็ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายในขึ้น แทนที่จะต้องทำงานหนักอยู่หลายปีอย่างที่ผ่านมา นางอาจจะเพียงแค่ฆ่าคนหลายคน แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นผลกำไรมากมายกว่าเสียอีก โชคดีที่นางล้มเลิกความคิดนี้ในทันที มันคงเป็นเรื่องที่แย่มากหากความคิดอันแสนโหดเ**้ยมนี้เติบใหญ่ขึ้นจนทำให้นางถูกควบคุมจากมารร้ายในอนาคต


 


 


โดยไม่รู้ตัว เวลาหลายชั่วโมงผ่านไปและท้องฟ้าด้านนอกส่องสว่างเรียบร้อยแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอซ่อนพลังวิญญาณ กระโดดลงจากที่นอน จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะเปิดประตูออกจากห้องไป


 


 


ในห้องนั่งเล่น ฉินซีกำลังนั่งวาดเครื่องรางอยู่ตรงเก้าอี้ที่เดิมของเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียง และเพียงแค่พูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าตื่นแล้วหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าฉินซีนั้นดูปกติมาก นางจึงรู้สึกมั่นใจมากขึ้นและพูดกลับว่า “มีอะไรอย่างนั้นหรือ”


 


 


“พวกเราจะต้องไปรับยาสร้างฐานแห่งพลัง…” ฉินซีเก็บกระดาษและพู่กันกลับไป เมื่อเขาหันกลับมา อย่างไรก็ตามเขาจ้องมองนางอย่างนิ่งเฉย


 


 


ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาทำให้โม่เทียนเกอค่อนข้างประหม่า หรือว่าการทาหน้าปลอมตัวของข้ามันชัดเจนเกินไป


 


 


หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ฉินซีส่ายหน้า “ข้าคิดว่าข้าคงโง่ไปเสียแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้ามีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิม เพียงแต่ข้าก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางยิ้มแห้งๆ พร้อมพูดว่า “อะไรต่างไปหรือ พวกเราจะไปรับยาสร้างฐานแห่งพลังกันไม่ใช่หรือ ไปกันเถอะ!”


 


 


ฉินซีพยักหน้า หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากบ้านไปด้วยกัน


 


 


โม่เทียนเกอเดินอยู่ทางด้านหลัง ปาดเหงื่ออย่างเงียบๆ


 


 


ความจริงแล้วทั้งสี่คนในบ้านนี้มักจะเดินทางไปด้วยกัน แต่ตอนนี้สวีจิ้งจือได้ตายไปแล้ว ในขณะที่หลิ่วอีเตาผู้ซึ่งบาดเจ็บหนักก็อยู่ที่ยอดเขาทิศเหนือร่วมกับศิษย์พี่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังเพื่อพักฟื้น เพียงแค่ช่วงเวลาอันสั้น บ้านนี้ก็กลับว่างเปล่า ฉินซีคงไม่ได้สนิทใกล้ชิดกับนางถ้าสภาพภายในบ้านไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะคนอื่นไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาจึงมีกันอยู่แค่สองคนที่จะพูดคุยกันได้


 


 


ยอดเขาทิศใต้ของเขาอวิ๋นอู้ยังคงเหมือนเดิมเช่นก่อนหน้านี้ในแสงแรกของอาทิตย์ยามเช้า ลมเย็นพัดผ่านที่หน้าของนาง แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน โม่เทียนเกอถอนใจเบาๆ


 


 


คนจำนวนค่อนข้างมากมาที่โถงคนงานเรียบร้อยแล้วเมื่อพวกเขามาถึง ทั้งสองคนคอยอยู่ด้านนอกด้วยความสุภาพ


 


 


ไม่นานก็ถึงคราวของโม่เทียนเกอ นางเดินเข้าไปด้านในโถงพร้อมยื่นแผ่นจารึกประจำตัวออกไป เพียงแค่นางผ่านการยืนยันตัวตนและทิ้งร่องรอยพลังวิญญาณของนางไว้ในแผ่นหยกบันทึก อาจารย์ลุงในโถงคนงานก็มอบขวดหยกมาให้ นางเก็บมันลงไปด้วยความระมัดระวัง


 


 


มันไม่ถือว่าเป็นการพูดเกินจริงเลยว่ายาสร้างฐานแห่งพลังคือเลือดแห่งชีวิตของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณทีเดียว ศิษย์คนอื่นๆ ที่ได้รับไปแล้วล้วนแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า ในขณะที่โม่เทียนเกอกลับดูสงบเยือกเย็น


 


 


เมื่อฉินซีได้รับส่วนแบ่งของยาสร้างฐานแห่งพลังของเขา ทั้งสองคนก็กลับพร้อมกัน


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน ผ่านมาสักพักแล้วที่ท่านเข้าถึงจุดสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณใช่หรือไม่ ท่านจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิทันทีเลยไหม”


 


 


“ก็น่าจะเป็นไปได้ แล้วเจ้าล่ะศิษย์น้อง”


 


 


“ข้า… คงรอก่อน ตอนนี้ ข้ายังไม่ถึงจุดสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณเลย ดังนั้นมันคงจะไม่เป็นการแย่เกินไปนักที่จะมั่นใจก่อนที่จะทำการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ”


 


 


“นั่นก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เช่นกัน…”


 


 


ทั้งคู่กลับเข้าห้องของตัวเองเมื่อถึงบ้านพัก โม่เทียนเกอรอสักครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูอีกครั้ง เพื่อเตรียมลงจากภูเขา


 


 


การได้ยาสร้างฐานแห่งพลังเป็นเหมือนสัญลักษณ์การสิ้นสุดยุคสมัย ข้อห้ามไม่ให้ศิษย์ทุกคนออกนอกบริเวณสำนักโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถูกยกเลิกไป นางต้องการที่จะเดินทางลงเขาเพื่อไปพบท่านอารอง อย่างไรก็ตาม เพราะนางเพิ่งได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังมา นางกลัวว่าจะมีคนคอยเฝ้ามอง ดังนั้นนางจึงแกล้งทำเป็นกลับไปเก็บของให้เรียบร้อยก่อนที่นางจะออกเดินไปตามทางเพื่อลงจากเขา


 


 


นางแวะที่ร้านขายของสำนักอวิ๋นอู้ก่อนเพื่อแลกศิลาวิญญาณที่ได้รับจากของที่นางขายอยู่ที่ร้านเพื่อยาวิเศษบางอย่าง นางยังขายซากสัตว์ปีศาจที่ร้านด้วยเช่นกัน ในตอนนี้มีหลายคนที่ขายซากของสัตว์ปีศาจ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นที่เตะตา


 


 


พนักงานขายของรู้สึกสะพรึงกลัวเมื่อเห็นซากสัตว์ปีศาจจำนวนมากจากนาง พนักงานขายผู้นี้ก็เป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบที่เกิดขึ้น สำหรับเขา ในเมื่อโม่เทียนเกอครอบครองซากสัตว์ปีศาจมากมายขนาดนี้ นางดูเหมือนคนที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะดูถูกนาง และวางตัวสุภาพอย่างมากเมื่อยื่นศิลาวิญญาณให้


 


 


โม่เทียนเกอรับถุงศิลาวิญญาณมาโดยไม่ตรวจนับพร้อมกับโยนศิลาวิญญาณเป็นค่าตอบแทนให้กับพนักงานขาย หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เดินเลี้ยวลัดเลาะตามทางไปยังสวนเล็กๆ ของท่านอารอง


 


 


“ท่านอารอง!”


 


 


เสียงไอดังมาจากด้านในห้อง โม่เทียนเกอผลักประตูเปิด รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเมื่อนางเห็นชายชราใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยที่นอนอยู่บนเตียง “ท่านอารอง ข้ากลับมาแล้ว”


 


 


เยี่ยเจียงลืมตา เขามองนางด้วยดวงตาขุ่นมัวสีเทาครู่หนึ่ง ไออีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นจึงพูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง “เสี่ยวเทียน…เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”


 


 


“ข้าไม่เป็นไร” โม่เทียนเกอส่ายหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเล็กข้างเตียง หลังจากนั้นนางหยิบขวดหยกที่บรรจุยาสร้างฐานแห่งพลังออกมาและพูดด้วยความยินดี “ท่านอารอง ดูนี่สิ! ข้าได้ยาสร้างฐานแห่งพลังมาแล้ว!”


 


 


ขณะที่จ้องมองที่ขวดหยก เยี่ยเจียงก็หยิบไปด้วยมืออันสั่นเทา เขาเปิดขวดออกดมก่อนจะหลับตาและพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว! นี่แหละคือยาสร้างฐานแห่งพลัง… เสี่ยวเทียน เจ้าทำได้ดีมาก”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหัวซ้ำไปมา “ข้าโชคดี มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในการทดสอบครั้งนี้ ดังนั้นจำนวนของยาสร้างฐานแห่งพลังจึงเยอะมากกว่าครั้งก่อนๆ”


 


 


เยี่ยเจียงยิ้มด้วยความเอ็นดู สายตาของเขามีความสงสารอยู่ภายใน “เจ้าคิดว่าอารองคนนี้ไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น? เจ้า… ลืมมันเสียเถอะ สิ่งที่สำคัญคือเจ้าสามารถมีชีวิตรอดกลับออกมาได้”


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะใช้น้ำเสียงที่ดูเหมือนตำหนิ สำหรับโม่เทียนเกอนั้นจริงๆ แล้วล้วนเต็มไปด้วยความห่วงใย นางจับมือที่แห้งเ**่ยวของท่านอารองพร้อมยิ้มอย่างจริงใจ “ท่านอารองอย่าได้กังวลเลย ตอนนี้ข้ามีฝีมือมากขึ้นแล้ว ทุกๆ วันนอกเหนือไปจากการขยันฝึกตน ข้าก็กำลังฝึกต่อสู้กับคนอื่น ข้าจะไม่มีวันปรานีให้ใครอีกแล้ว ท่านอารอง ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง ระหว่างการทดสอบ…”


 


 


โม่เทียนเกอใช้เวลาสองชั่วโมงในการอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงการทดสอบด้วยเนื้อหาที่ยาวและละเอียด เยี่ยเจียงยิ้มขณะที่ฟังนางเล่า บางครั้งเขากล่าวชื่นชมนางที่ใจเย็น บางครั้งเขาก็ชี้แนะนางอย่างตั้งอกตั้งใจ บอกนางถึงสิ่งที่ดีกว่าในการต่อกรกับสถานการณ์แต่ละอย่าง


 


 


เมื่อบทสนทนานี้จบลง โม่เทียนเกอรู้สึกว่านางได้ข้อมูลความรู้มากเสียยิ่งกว่าตอนที่นางทบทวนการต่อสู้ด้วยตัวเองเสียอีก เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางรู้สึกเสียใจอย่างช่วยไม่ได้ นางจะทำอย่างไรถ้าท่านอารองไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว?


 


 


พอถึงเวลาที่ทั้งสองคนได้พูดคุยทุกอย่างที่สำคัญไปจนหมดแล้ว เยี่ยเจียงถอนใจและพูด “เสี่ยวเทียน อารองรู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าเจ้ารับมือกับสถานการณ์ในครั้งนี้อย่างไรบ้าง เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานพลังของเจ้า แต่เจ้านั้นยังเด็ก ดังนั้นการลองพยายามบ่อยๆ ครั้งก็คงจะไม่เป็นปัญหาอย่างไรกับเจ้านัก…”


 


 


คำเตือนนี้ฟังเหมือนกับคำแนะนำสุดท้ายจากคนชราใกล้ตาย โม่เทียนเกอเม้มปากและจับมือของท่านอารอง เรียกออกมาด้วยเสียงกระซิบ “ท่านอารอง…”


 


 


เยี่ยเจียงจะไม่รู้ความรู้สึกในหัวใจของนางได้อย่างไร ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาลูบหัวนางพร้อมบอกว่า “เจ้าอย่าเป็นอย่างนี้ เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมีอารองคอยอยู่เคียงข้างต่อไป ถ้าวันหนึ่ง เจ้าประสบความสำเร็จในการรวบรวมขุมพลังของเจ้า จงไปที่กลุ่มเย่ในโลกมนุษย์ และลองมองดูว่ามีใครในรุ่นลูกหลานที่มีรากวิญญาณหรือไม่ หากมีเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างกลุ่มเย่ขึ้นมาใหม่ จงส่งต่อวิถีการฝึกตนก็เพียงพอแล้ว”


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอรู้สึกโกรธเล็กน้อยจึงเรียกออกไป


 


 


อย่างไรก็ตาม เยี่ยเจียงปรับสีหน้าเรียบเฉยและพูดอย่างเคร่งครัด “เสี่ยวเทียน แค่เพียงเจ้าไม่ต้องการพูดเกี่ยวกับมัน ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่ต้องเผชิญหน้ามัน เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าคือผู้ฝึกตน เป็นหญิงผู้ฝึกตน ถ้าเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงได้ แล้วเจ้าจะเดินต่อไปได้อย่างไร มันยิ่งยากสำหรับหญิงผู้ฝึกตนมากกว่าชายผู้ฝึกตนในการที่จะถือว่าประสบความสำเร็จ! ความสามารถโดยธรรมชาติของเจ้าไม่ได้ดีนัก และเจ้าเองก็ยังไม่มีกลุ่มหรือผู้อาวุโสที่จะพึ่งพาได้ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่ได้มีอารมณ์ที่หนักแน่นพอ เจ้าก็ควรที่จะเลิกเสียตั้งแต่เนิ่นๆ!”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงงัน ท่านอารองไม่เคยพูดแรงและเข้มงวดกับนางขนาดนี้มาก่อน นางก้มหน้าลงและไม่ได้พูดอะไร


 


 


เยี่ยเจียงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนขึ้น “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าอารองสอนเจ้าไว้อย่างไรตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในเมื่อเจ้าเองไม่ได้มีพื้นฐานทางธรรมชาติที่ดีนักและก็ไม่ได้มีคนที่เจ้าจะพึ่งพาได้ เจ้าจะต้องเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น เจ้าจะโลภมากไม่ได้ และเจ้าก็ไม่สามารถตามใจตามอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน! เจ้าจะต้องจำให้ขึ้นใจเลยว่าการเป็นคนอ่อนแอและอ่อนไหวคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหญิงผู้ฝึกตน ไม่เพียงแต่ภายในวันนี้ แต่ถึงแม้เมื่อเจ้าจะต้องเจอกับการตายของอารอง เจ้าจะต้องยอมรับมันอย่างสงบ ต่อไปเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับอารมณ์ลึกซึ้งระหว่างชายกับหญิง เจ้าจะต้องควบคุมตัวเองให้ได้และจำเอาไว้ว่าหัวใจของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและความสัมพันธ์ของโลกนี้ไม่สามารถคาดการณ์ได้!”


 


 


นี่… เราจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? แต่…


 


 


เยี่ยเจียงหลับตาพร้อมกับแสดงให้นางเห็นรอยยิ้มที่สงบสุข “ชีวิตและความตาย นี่คือวัฏจักรแห่งกฎสวรรค์ เจ้ากับข้าล้วนเป็นผู้ฝึกตน พวกเราต่างรู้ดีว่าวัฏจักรแห่งกฎสวรรค์นั้นเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น เพียงแค่หลังการฝึกตน ฝึกตน และฝึกตนเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าได้ครอบครองสวรรค์แห่งเต๋าและกลายเป็นเซียนอย่างแท้จริง จงกลับไปแล้วทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดี เจ้าสามารถมาหาอารองได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อเจ้าสงบใจยอมรับถึงการตายของข้าได้”


 


 


โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ เวลาผ่านไปนาน สุดท้ายนางทิ้งยาวิเศษบางส่วนไว้ กล่าวลาและเดินออกนอกประตูไป


 


 


การอ่อนแอและอ่อนไหวเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนหญิง


 


 


วัฏจักรแห่งกฎสวรรค์เป็นวงจรที่ไม่มีวันจบสิ้น และสามารถผ่านเข้าไปถึงได้ด้วยการฝึกตนเท่านั้นนางถึงจะสามารถครอบครองสวรรค์แห่งเต๋าและกลายเป็นเซียนอย่างแท้จริง


 


 


นางยืนอยู่ตรงกลางสนามครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงหลับตาแล้วเดินอย่างเด็ดเดี่ยวออกจากสนามไป


72 อย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ฉินซีก็เริ่มปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อทำการบรรลุผ่านดินแดน


 


 


บนยอดเขาทิศเหนือของเขาอวิ๋นอู้ มีสถานที่บางแห่งซึ่งพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ สถานที่เหล่านี้ส่วนใหญ่คือถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนระดับสูง แต่หลายที่เป็นถ้ำเซียนแบบเปิดและแบบสาธารณะ


 


 


ถ้ำเซียนสาธารณะที่ว่านี้เป็นถ้ำที่ทุกคนสามารถใช้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องจ่ายค่าเช่าจำนวนค่อนข้างมากให้สำนัก อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนที่อยากจะใช้ถ้ำนี้เพื่อสร้างฐานแห่งพลังจะได้รับอนุญาตให้ใช้ถ้ำได้ฟรีและจะได้รับการจัดลำดับความสำคัญก่อน


 


 


ม่านพลังถูกวางไว้ทั้งภายในและภายนอกของถ้ำเซียนสาธารณะเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผลัดกันเดินตรวจตราอีกด้วย ภายใต้สถานการณ์ปกติ นอกเสียจากว่าคนที่อยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิจะอยู่เกินกำหนดระยะเวลาหนึ่งปี พวกเขาก็ไม่เคยต้องเจอกับการรบกวนใดๆ ถ้ำเหล่านี้ที่จริงแล้วเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและการบรรลุผ่านเข้าไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง


 


 


ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของคนผู้หนึ่ง จะต้องใช้อย่างน้อยสามถึงห้าเดือนขึ้นไปถึงประมาณหนึ่งปี สองเดือนแรกจะใช้ในการบำรุงสุขภาพ ต่อมา หลังจากทานยาสร้างฐานแห่งพลังแล้ว พวกเขาจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนเพื่อให้ยาออกฤทธิ์และปรับร่างกายให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง ถ้าพวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง พวกเขายังต้องใช้เวลาเพิ่มอีกในการรักษาระดับดินแดนให้เสถียร


 


 


ครั้งนี้ ไม่ว่าเขาจะล้มเหลวหรือทำสำเร็จ ฉินซีจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีก่อนที่เขาจะสามารถออกจากการปิดประตูแห่งจิตได้


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้นอกจากอิจฉาและเบื่อ นางอิจฉาเพราะก่อนที่ฉินซีจะเริ่มการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เขาดูสงบนิ่งมากและไม่ได้ดูกังวลแต่อย่างใด ราวกับว่าเขามั่นใจมาก เนื่องจากเขาดูมั่นใจมาก เขาคงจะรู้วิธีลับอะไรบางอย่าง ในขณะเดียวกัน นางยังต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งหรือสองปีเพื่อให้เสร็จสิ้นจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณและเพิ่มความเข้าใจในการสร้างฐานแห่งพลังของนาง สำหรับความรู้สึกเบื่อนั้น ก็เพราะว่าถ้าไม่มีฉินซี นางก็ไม่มีใครให้คุยด้วยอีกแล้ว


 


 


อาการบาดเจ็บของหลิ่วอีเตาค่อนข้างหนักหน่วง อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องอยู่ในยอดเขาทิศเหนือสามถึงห้าเดือน มู่หรงเยียนได้รับการสนับสนุนทุนจากกลุ่มของนาง จึงได้ไปที่ถ้ำเซียนสาธารณะถ้ำหนึ่งและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อให้เสร็จสิ้นจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ อีกคนหนึ่งที่นางค่อนข้างคุ้นเคยด้วยคือศิษย์พี่โจว แต่เขาก็เหมือนกันกับฉินซี พอได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังแล้วนั้น เขาก็ตรงไปถ้ำเซียนสาธารณะทันทีและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของเขา นอกเสียจากว่าเขาจะโชคไม่ดีและเข้าสู่ระดับสิบสองของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ในอนาคต นางคงต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ลุงโจวเสียแล้ว


 


 


นอกเหนือจากตัวนาง เจียงซั่งหังเป็นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในบ้าน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่นางนับว่าเป็นสหาย ตั้งแต่การผนวกสำนัก ไม่เพียงแต่นายคนนี้จะไม่ยอมรับรู้ถึงคนอื่นๆ แต่เขายังกลายเป็นคนหดหู่ยิ่งขึ้น ที่จริงแล้วนางก็ค่อนข้างสับสน เมื่อเจียงซั่งหังเข้าสำนักมา เขาอยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ณ ตอนนี้ที่ฉินซีได้เข้าสู่การทำสมาธิปิดประตูแห่งจิตเพื่อทำการบรรลุผ่านดินแดน ทั้งที่น่าจะเป็นไปได้ แต่ทำไมเจียงซั่งหังกลับไม่มีการพัฒนาอะไรเลย แน่นอนว่านางคงไม่ไปถามเขาแค่เพราะว่านางสงสัยหรอก อย่างไรเสีย ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีมิตรภาพอะไรต่อกันอยู่แล้ว


 


 


ที่จริงแล้ว หลังจากนางกลับมาจากการทดสอบ ถ้านางต้องการจะเช่าถ้ำเซียนสาธารณะและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ นางก็มีเงินมากพอที่จะจ่ายได้ จากกระเป๋าเอกภพเหล่านั้นที่นางได้มา นางมีศิลาวิญญาณมากกว่าหนึ่งพันอัน นางยังได้รับศิลาวิญญาณอีกหลายร้อยอันจากการขายของสำคัญและเครื่องมือวิญญาณบางอย่างด้วย เมื่อรวมศิลาเหล่านั้นทั้งหมด นางจึงมีมากกว่าสามพันอัน เมื่อเอายาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณที่ขายออกยาก และของที่นางอาจจะใช้ในอนาคตมาพิจารณาด้วย นางร่ำรวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังทั่วไปได้เลยทีเดียว


 


 


อย่างไรก็ตาม นางยังคิดว่าคงจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ทำตัวโดดเด่น เพราะเหตุนั้น นางไม่ได้เอาซากของจระเข้เขี้ยวเหล็กออกมาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ทำเรื่องอู้ฟู่อย่างการเช่าถ้ำเซียนเลย โดยทั่วไปแล้วนางไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน


 


 


เพราะอย่างนั้น แต่ละวันของนางจึงกลับไปสู่ความเงียบสงบ นอกเหนือจากการฟังเทศน์นานๆ ครั้ง นางก็ใช้เวลาไปกับการฝึกตน และนางก็ไม่ได้ไปรับงานอะไรในโถงคนงาน โชคดีที่หลังจากเหตุการณ์นี้ สำนักก็ละเว้นให้ศิษย์ในระดับเจ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณและระดับสูงกว่าละจากการทำงานเล็กน้อยต่างๆ ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญที่นางไม่ได้ไปรับงานอะไร


 


 


ตรงข้ามกับความคาดหมายของนาง หลังจากถูกสั่งสอนโดยท่านอารองและไม่มีคนให้คุยด้วย นางสามารถจดจ่อจิตใจอยู่กับการฝึกตนได้โดยแท้จริง เมื่อรวมกับการทานยาวิเศษจำนวนมาก ไม่น่าเชื่อว่านางเพียงแค่ต้องฝึกตนอีกสามเดือนเท่านั้นถึงจะเสร็จสิ้นกับดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ซึ่งนางก็ค่อนข้างประหลาดใจและไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่านางจะมีความเร็วขนาดนั้นในการฝึกตน


 


 


ในขณะเดียวกัน หลิ่วอีเตายังคงอยู่ในยอดเขาทิศเหนือ นางได้ยินว่ามีอาจารย์ลุงคนหนึ่งชื่นชมเขาและต้องการรับเขาเป็นลูกศิษย์ พอได้ยินข่าวนี้ โม่เทียนเกอก็รู้สึกตัวทันทีว่าเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่นางเจอหลิ่วอีเตาครั้งสุดท้าย หลังจากคิดให้รอบคอบ นางจึงตระหนักว่าพวกเขากลายเป็นคนห่างเหินกันไป พอนางคิดถึงเรื่องนี้ นางก็ค่อนข้างรู้สึกผิดและตัดสินใจว่าจะแบ่งเวลาไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อย


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วแผนนี้ก็ไม่สำเร็จ เพราะเมื่อนางขึ้นไปถึงยอดเขาทิศเหนือ นางก็ถูกห้ามไม่ให้ไปต่อ เมื่อไม่มีทางเลือก นางจึงต้องให้ของไม่สำคัญบางอย่างกับศิษย์พี่และขอให้เขาส่งข้อความของนางฝากไปถึงหลิ่วอีเตา


 


 


ส่วนเหตุผลที่เจียงซั่งหังไม่พยายามสร้างฐานแห่งพลังของเขา โม่เทียนเกอก็ได้ยินมาเหมือนกันทีละเล็กทีละน้อย ปรากฏว่า กลุ่มเจียงมียาวิเศษประเภทหนึ่งที่ช่วยสมาชิกของพวกเขาในการสร้างฐานแห่งพลัง ยาวิเศษนั้นสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จ แต่ไม่ใช่ยาที่จะปรุงได้ง่ายๆ ทุกรอบของการปรุงยาจะได้ยาที่ปรุงสำเร็จแค่สองสามเม็ดเท่านั้น


 


 


เดิมที ด้วยความขยันและระดับการฝึกตนของเจียงซั่งหัง เขาควรที่จะได้รับยาหนึ่งเม็ด แต่โชคร้าย เขาตกเป็นเป้าของการถูกเหยียดหยามภายในกลุ่มเจียง ยิ่งไปกว่านั้น เจียงเฉิงเซียนซึ่งเป็นผู้สืบสกุลโดยตรงของหัวหน้ากลุ่มเจียงคนปัจจุบันก็ต้องการที่จะสร้างฐานแห่งพลังของเขาเช่นกัน ดังนั้น ส่วนแบ่งของเจียงซั่งหังจึงถูกโอนไปให้กับเจียงเฉิงเซียนโดยตรง ทำให้เจียงซั่งหังไม่เหลือทางเลือกใดๆ นอกจากกัดฟันและกล้ำกลืนกับผลลัพธ์เช่นนี้ เนื่องจากยาสร้างฐานแห่งพลังนั้นยากที่จะได้มา เขาจึงวางแผนว่าจะอดทนจนกว่าจะถึงครั้งหน้าที่มียาวิเศษพร้อมอีกครั้งเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของเขา


 


 


ความคิดของเจียงซั่งหังเป็นเพียงการคาดเดาของโม่เทียนเกอ แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย พวกเขาก็รู้จักกันมานานกว่าสามปีแล้ว สืบเนื่องจากพฤติกรรมของเจียงซั่งหังในวันธรรมดาทั่วๆ ไป มีแนวโน้มว่านั่นน่าจะเป็นวิธีคิดของเขา


 


 


ตอนที่ได้ยินข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างจะอิจฉาอยู่หน่อย ไม่น่าเชื่อว่ามียาวิเศษประเภทที่สามารถเพิ่มโอกาสของการสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จ! อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับยานี้จากสำนัก ก็คงจะเป็นเพราะยาวิเศษนี้ซับซ้อนเกินไปในการปรุงขึ้นมา หรือวัตถุดิบที่จำเป็นนั้นหายากเกินไป ดังนั้น สำนักจึงไม่สามารถหายานี้มาให้กับศิษย์ธรรมดาได้ ขนาดเจียงซั่งหังยังไม่ได้รับจากกลุ่มเจียง นับประสาอะไรกับโม่เทียนเกอ เพราะฉะนั้น แม้ว่านางจะอิจฉา แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้


 


 


เมื่อนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณและไม่สามารถพัฒนาการฝึกตนต่อไปได้ โม่เทียนเกอจึงออกเดินทางลงจากเขา


 


 


ถึงแม้ว่าท่านอารองจะตำหนินางอย่างหนักและยังสั่งห้ามไม่ให้นางมาหาเขานอกเสียจากว่านางเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้แล้วตั้งแต่ครั้งก่อน แต่นางก็ยังแวะมาหาเขาทุกครึ่งเดือน และท่านอารองก็จะไล่เมื่อนางไปถึงได้ไม่นานและบอกให้กลับขึ้นเขาไปเสียทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้แตกต่างไป นางมีเรื่องสำคัญมากต้องบอกเขา


 


 


“ท่านอารอง!”


 


 


เยี่ยเจียงผู้ซึ่งยังพักฟื้นอยู่ในสนามเล็กๆ นั้นยิ่งแก่ชรามากขึ้นไปอีก เขาไม่ลืมตาขึ้นมาเมื่อเขาได้ยินเสียงโม่เทียนเกอ เขาแค่พูดว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไม กลับไปฝึกตน!”


 


 


โม่เทียนเกอไม่ยอมแพ้ นางพูดว่า “ท่านอารอง ข้าเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว!”


 


 


เยี่ยเจียงลืมตาขึ้นในที่สุด เขาจ้องมองนางและยิ้มบางๆ ให้ “สามเดือน… ไม่เลวเลย”


 


 


พอเห็นว่าท่านอารองไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึง โม่เทียนเกอถอนหายใจออกและนั่งลงข้างเตียงเหมือนอย่างที่นางมักจะทำบ่อยๆ นางถามว่า “ท่านอารอง ท่านสบายดีไหม”


 


 


“สำหรับตอนนี้น่ะ ข้ายังไม่ตายหรอก” พอเห็นนางเป็นกังวล เยี่ยเจียงจึงใจอ่อนลง เขาพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายมากขึ้น “ช่วงหลังนี้อาการบาดเจ็บของอาสองฟื้นตัวดี ข้าประเมินว่าข้าสามารถอยู่ได้จนถึงปีหน้า”


 


 


โม่เทียนเกอก้มหัวและนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น นี่ถือว่าเป็นข่าวดี เมื่อสองปีก่อน ท่านอารองบอกว่าอายุขัยของเขาเหลืออีกแค่ประมาณสองหรือสามปี แต่ ณ ตอนนี้ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ยืนยันได้ว่าเขายังจะมีเวลาอีกปีหนึ่ง


 


 


“ในเมื่อเจ้าเสร็จสิ้นจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว เจ้าควรจะจัดการกับการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าซะ เจ้าได้เตรียมการสำหรับสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าอย่างดีแล้วหรือยัง”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้าและดูงุนงงเป็นที่สุดขณะที่นางพูดว่า “ท่านอารอง ข้าสัมผัสได้ว่าระดับการฝึกตนของข้าไม่ใช่ปัญหา ณ ตอนนี้ เมื่อเป็นเรื่องเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง ข้ารู้สึกว่าข้ายังขาดอะไรบางอย่างไป”


 


 


“ขาดอะไรบางอย่าง…” เยี่ยเจียงพึมพำ “อาสองอธิบายให้เจ้าฟังมานานแล้วเรื่องความสำคัญของความรู้เชิงลึกในการสร้างฐานแห่งพลัง ข้ายังให้เจ้าทำตัวให้คุ้นเคยกับกระบวนการนั้น ตามหลักข้าว่าข้าเตรียมตัวเจ้ามากพอแล้ว หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะมีความสงสัยอยู่ในใจ”


 


 


โม่เทียนเกอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อาจจะ… ข้ามักจะรู้สึกประหม่าเสมอเมื่อนึกถึงการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง ข้าไม่มั่นใจถึงผลที่จะออกมาเลยแม้แต่น้อย”


 


 


เยี่ยเจียงพูดด้วยความเข้าใจ “ดูเหมือนว่าจิตใจของเจ้ายังไม่พร้อม ซึ่งคงค่อนข้างยากที่จะจัดการ ถ้าเจ้าฝืนตัวเองเพื่อเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและสร้างฐานแห่งพลังของเจ้า สภาวะจิตใจที่ไม่มั่นคงจะมีผลให้เกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอน ซึ่งจะกระทบโอกาสประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้า”


 


 


“ใช่ ข้ายังตัดสินใจเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิโดยทันทีไม่ได้ ท่านอารอง ข้าควรทำอย่างไรดี”


 


 


เยี่ยเจียงบอกว่า “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ารู้สึกแบบนี้ คนทั่วไปต้องรอเป็นเวลานานหลังจากฝึกตนและเข้าสู่ขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณถึงจะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงมีเวลามากพอที่จะเตรียมตัว แต่เจ้า ในทางกลับกัน… เพราะว่าอาสอง เจ้าจึงถูกบีบบังคับให้ฝึกตนอย่างเร็วจนกระทั่งเจ้าเสร็จสิ้นจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ การพยายามสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าตอนนี้จึงเป็นการเร่งรีบเกินไป”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าควรทำอย่างไร”


 


 


เยี่ยเจียงหลับตา ดูเหมือนกำลังใคร่ครวญถึงเรื่องนี้


 


 


โม่เทียนเกอมองเขาอย่างกระวนกระวายใจ นางรู้ว่าถึงแม้สถานการณ์ของท่านอารองจะดีกว่าที่พวกเขาคาดไว้ แต่เขาก็ยังมีอายุขัยเหลืออีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้น นางอยากให้ท่านอารองได้ดูนางเข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก่อนที่เขาจะตาย เขาจะได้จากไปอย่างสบายใจ เพราะเหตุนี้ นางจึงไม่สามารถจะเสียเวลาชักช้าในปีหน้านี้ได้


 


 


ในที่สุดเยี่ยเจียงก็ลืมตาขึ้นหลังจากดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว เขาจ้องมองนางเป็นเวลานานก่อนจะพูดช้าๆ “เทียนเกอ ออกจากเขาและไปท่องเที่ยวให้ทั่วสักพักหนึ่ง”


 


 


“หา” โม่เทียนเกออึ้งไป “ท่องเที่ยวไปทั่วงั้นหรือ นั่นหมายความว่าข้าต้องออกจากเขาอวิ๋นอู้และไปจากท่านอารองหรือ”


 


 


เยี่ยเจียงพยักหน้า “ถูกต้อง ตราบใดที่ผู้ฝึกตนติดอยู่กับอุปสรรคหรือมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง การออกไปท่องเที่ยวเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา”


 


 


“แต่…” โม่เทียนเกอพูดด้วยความกังวล “หมายความว่าข้าต้องไปจากที่นี่หรือ ท่านอารอง ข้าจะทิ้งท่านไว้ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร”


 


 


เยี่ยเจียงพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ “เจ้ากลัวว่าอาสองจะตายอยู่ที่นี่อย่างกะทันหันหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ นางกลัวจริงๆ กลัวว่าพอถึงเวลาที่ท่านอารองตายจากไป นางยังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง อย่างไรก็ตาม นางยิ่งกลัวมากขึ้นว่าท่านอารองจะจบการเดินทางสุดท้ายเพียงลำพังในขณะที่นางกำลังออกท่องเที่ยวอยู่


 


 


เยี่ยเจียงถอนใจและบอกว่า “วางใจเสียเถอะ เมื่ออายุขัยของผู้ฝึกตนกำลังจะหมดลง พวกเขาจะไวต่อโชคชะตาของตัวเองมาก ถ้าอาสองรู้สึกว่าเวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ ข้ายังรอคอยให้เจ้ากลับมาได้ แต่ในระหว่างนั้น เจ้าควรไป ถ้าเจ้ายังอยู่ เจ้าอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้”


 


 


“ท่านอารอง…”


 


 


“จงทำตามที่ข้าบอก”


 


 


ทำใจลำบากอยู่นาน แต่ท้ายที่สุดโม่เทียนเกอก็ยังคงส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าทำไม่ได้! จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นล่ะ ข้าไม่ไปหรอก!”


 


 


“แล้วถ้าเจ้าต้องไปล่ะ”


 


 


“ข้าไม่ไปแน่นอน!”


 


 


เยี่ยเจียงหลับตาลง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเถียงกับนางต่อไป เขารู้ว่าเด็กคนนี้ดื้อรั้นแค่ไหน เมื่อก่อนนั้น ตอนที่เขาบาดเจ็บระหว่างการล่าสัตว์ปีศาจและถูกสหายของเขาทิ้งไว้เพราะบาดแผลของเขารุนแรงเกินไป ก็เป็นเพราะเจ้าเด็กคนนี้นี่แหละที่วิ่งเข้าไปในป่าเพื่อตามหาเขาโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองคนอาหลานจึงสามารถผ่านความยากลำบากเกือบถึงชีวิตและหนีออกจากป่ามาได้


 


 


“เสี่ยวเทียน เอาแผ่นจารึกชีวิตของอาสองไปและเริ่มการเดินทางของเจ้าซะ”


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจแต่ก็ร้องออกมาอย่างสับสน “ท่านอารอง…”


 


 


เยี่ยเจียงหลับตาลงอีกครั้งและถอนหายใจ “ถ้าอาสองเจอกับเหตุร้ายอะไรเข้า เจ้าเพียงแค่ต้องดูที่แผ่นจารึกชีวิตก็จะรู้ได้ ทีนี้สบายใจหรือยัง”


 


 


“ข้า…”


 


 


เยี่ยเจียงไม่พูดอะไรอีก เขาหยิบแผ่นหยกจารึกออกจากชุดคลุมของเขาแทน และทำท่ามุทราด้วยมือขวาของเขาขณะที่พึมพำร่ายคาถาบางอย่าง หลังจากไม่นาน หยดเลือดสีแดงสดปรากฏขึ้นจากบริเวณหว่างคิ้วของเขา ความเร็วของการร่ายคาถาเร่งเร็วขึ้นและในไม่ช้าเขาจึงตวัดนิ้ว หยดเลือดหยดนั้นไหลไปตามท่าทางของเขาเข้าสู่แผ่นหยกจารึกในชั่วพริบตา ทันใดนั้น แผ่นหยกจารึกสีขาวสนิทกลายเป็นสีแดงเข้ม


 


 


เยี่ยเจียงไออย่างหนักหลังจากเขาทำเสร็จ


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอรีบช่วยพยุงเขาพร้อมกับลูบหลังไปด้วย


 


 


เวลาผ่านไปสักพักและในที่สุดเยี่ยเจียงจึงควบคุมลมปราณของเขาได้ ขณะที่เขาโบกมือ เขาก็ส่งแผ่นหยกจารึกให้กับนางและกล่าวว่า “ถ้าข้ามีอุบัติเหตุ เลือดสกัดภายในแผ่นจารึกนี้จะเหือดแห้งไป เจ้าแค่ต้องกลับมาทันทีที่เจ้าเห็นว่าสีของมันกำลังเปลี่ยนไป”


 


 


โม่เทียนเกอรับมาอย่างเงียบๆ ในเมื่อท่านอารองให้แผ่นจารึกชีวิตของเขาแก่นาง หมายความว่าเขาตัดสินใจแน่ชัดแล้ว


 


 


เยี่ยเจียงโบกมือเป็นคำสั่งให้นางกลับไปและบอกว่า “นี่คงพอ กลับไปและรายงานต่อสำนักว่าเจ้าจะออกเดินทาง ให้ไปทันทีหลังจากที่เจ้าเก็บข้าวของแล้ว จำไว้ว่า จงเปิดใจและอย่าคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกตน เจ้ากลับมาได้หลังจากครึ่งปี”


 


 


โม่เทียนเกอนิ่งเงียบอยู่สักพัก แต่ไม่นานหลังจากนั้น สีหน้าเด็ดเดี่ยวก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง นางพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้ ท่านอารอง”


73 

เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ฝึกตนที่ติดขัดอยู่ที่คอขวดที่ต้องออกเดินทางท่องเที่ยว ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายคนซึ่งฝึกตนจนถึงขั้นสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณแต่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะสร้างฐานแห่งพลังมักจะเลือกที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ดังนั้น เมื่อโม่เทียนเกอกลับมาและรายงานต่อโถงคนงาน นางก็ได้รับอนุญาตทันที


 


 


การท่องเที่ยวไปทั่วนี้ไม่ได้หมายถึงการเที่ยวชมนกชมไม้แต่อย่างใด การท่องเที่ยวนั้นความจริงแล้วคือการทำเพื่อตามหาชะตาลิขิต


 


 


ชะตาลิขิตนับได้ว่ามีอิทธิพลเหนือกว่าพื้นฐานต้นทุนทางธรรมชาติของผู้ฝึกตนมากนัก ตัวอย่างเช่น เมื่อหลายพันปีก่อนมีผู้ฝึกตนที่ด้อยทางด้านต้นทุนทางธรรมชาติได้พบกับชะตาลิขิตที่ยิ่งใหญ่ เขาสามารถฝึกตนจนเข้าถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์พิเศษ และท่องเที่ยวไปทั่วคุนอู๋


 


 


แน่นอนว่าชะตาลิขิตนั้นยากที่จะพบเจอ ชะตาลิขิตแบบนี้อาจจะปรากฏขึ้นได้หนึ่งครั้งในรอบหลายปี อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ฝึกตนส่วนมาก การที่ได้รับพืชวิญญาณเล็กน้อยและวัตถุวิญญาณต่างๆ หรือได้รับความรู้แจ้งเห็นจริงและบรรลุผ่านเข้าสู่ดินแดนนั้นก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ยึดถือกับความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ ด้วยต้นทุนทางธรรมชาติของนาง ถ้านางหวังพึ่งแต่ชะตาลิขิตแต่ไม่อาจครอบครองมันได้ นางคงไม่สามารถเข้าถึงระดับดินแดนต่างๆ ถึงแม้ว่านางจะมีอายุขัยถึงแปดร้อยปีก็ตาม


 


 


อีกอย่างสถานการณ์ของนางในตอนนี้ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือการมีจิตใจที่ไม่มั่นคง ไม่ใช่ติดขัดอยู่บริเวณคอขวดอย่างที่กล่าว เพราะนางรู้สึกถึงความกดดันของช่วงเวลาในขณะที่ความสามารถทางธรรมชาติของนางยังด้อย นางรู้สึกไร้ซึ่งความหวังที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง ส่งผลให้นางไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้


 


 


หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน โม่เทียนเกอก็คิดว่านางน่าจะไปพบกลุ่มผู้ฝึกตนดีๆ บางกลุ่มและพูดคุยกับศิษย์ของพวกเขา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นางอายุยังน้อยและนางก็ได้ครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลังมาแล้ว นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสี่ยงอะไรไปกับการตามหาชะตาลิขิต


 


 


ด้วยการตัดสินใจเช่นนั้นอยู่ภายในใจตัวเอง นางมุ่งตรงไปหาท่านอารองเพื่อกล่าวลาและออกจากเขาอวิ๋นอู้ไป


 


 


นี่เป็นครั้งแรกของนางที่จะต้องเดินทางไกลคนเดียว ตั้งแต่ที่นางมาถึงเขาคุนอู๋ นางไม่เคยทิ้งท่านอารองเพื่อออกเดินทางคนเดียว อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่เด็กน้อยจากเมื่อหลายปีก่อนตอนที่มาเขาคุนอู๋ครั้งแรก นางได้เห็นและผ่านอะไรมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหนที่นางเผชิญ นางก็มั่นใจว่านางจะสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม


 


 


เขาอวิ๋นอู้ตั้งอยู่อย่างสันโดษทางมุมทิศตะวันออกของคุนอู๋ ก่อนที่จะถูกยึดครอง มีเพียงสำนักจื่อซย่าและโรงเรียนจินเตาที่อยู่ใกล้เคียง นอกเหนือไปจากสองที่นี้ กลุ่มผู้ฝึกตนที่ใกล้ที่สุดก็ยังห่างไปมากกว่าพันไมล์และไม่นับรวมถึงกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ สถานที่ที่อยู่ใกล้เขาอวิ๋นอู้มากที่สุดนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นอารามของผู้นำของเจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือสำนักเทียนเต้าเส้นทางแห่งความชอบธรรม


 


 


เจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ของคุนอู๋คือ สำนักเทียนเต้า โรงเรียนเสวียนชิง สำนักกู่เจี้ยน สำนักปี้อวิ๋น โรงเรียนเจิ้งฝ่า สำนักหลิงโซ่ว และโรงเรียนตานติ่ง


 


 


ระหว่างกลุ่มพวกนั้น สำนักหลิงโซ่วและโรงเรียนตานติ่งเชี่ยวชาญในการควบคุมสัตว์ร้ายให้เชื่องและปรุงยา ทั้งสองไม่ใช่กลุ่มใหญ่ จำนวนลูกศิษย์ที่พวกเขามีมากกว่ากลุ่มผู้ฝึกตนขนาดกลางเพียงเล็กน้อย แต่เพราะวิธีเฉพาะตัวในการคุมสัตว์ร้ายให้เชื่องและการปรุงยาของพวกเขานั้นค่อนข้างเยี่ยมยอด ทำให้พละกำลังของพวกเขานั้นแข็งแกร่งมากกว่ากลุ่มผู้ฝึกตนขนาดกลาง และเพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงถูกรวมเข้าอยู่ในเจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่


 


 


กลุ่มที่แข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อยคือสำนักปี้อวิ๋นและโรงเรียนเจิ้งฝ่า โรงเรียนเจิ้งฝ่าเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า ดังนั้นศิษย์ส่วนมากจะส่วมชุดคลุมของลัทธิเต๋า สำนักปี้อวิ๋นเป็นกลุ่มที่มีลักษณะเฉพาะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย ศิษย์ทุกคนที่รับเข้าสำนักล้วนหน้าตาดีทั้งนั้น นอกจากนี้ พวกเขามีลูกศิษย์ผู้หญิงเยอะ ดังนั้นจึงเกิดคู่ครองแห่งเต๋าหลายคู่ซึ่งมีการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กันในสำนักนี้


 


 


ถัดจากพวกเขาคือสำนักกู่เจี้ยนและโรงเรียนเสวียนชิง


 


 


สำนักกู่เจี้ยนเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญทางด้านวิชาฝึกตนสายกระบี่ วิชาฝึกตนสายกระบี่ดังกล่าวหมายถึงผู้ฝึกตนจะฝึกด้วยการใช้กระบี่เล่มเดียวเท่านั้นตลอดชีวิตและพวกเขาจะผสานพลังศักดิ์สิทธิ์ลงในกระบี่ของเขา


 


 


พละกำลังในการต่อสู้ทางด้านพลังเวทของผู้ฝึกตนสายกระบี่นั้นจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปเล็กน้อย แต่จะยากสำหรับพวกเขาที่จะบรรลุผ่านเข้าสู่ดินแดนถัดไป เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจำนวนของผู้ฝึกตนระดับสูงที่สำนักกู่เจี้ยนมีจะเทียบเท่าได้กับโรงเรียนเจิ้งฝ่าและสำนักปี้อวิ๋น แต่พละกำลังของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าอีกสองกลุ่มเล็กน้อย และมักจะถูกพิจารณาให้เกือบเทียบเท่ากับโรงเรียนเสวียนชิง


 


 


พละกำลังของโรงเรียนเสวียนชิงเป็นรองเพียงแค่สำนักเทียนเต้าเท่านั้น เช่นเดียวกันกับโรงเรียนเจิ้งฝ่า โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งเต๋าเช่นกัน


 


 


สำนักเทียนเต้าตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของคุนอู๋และขนานกันไป ถูกแยกออกจากกันเพียงแค่เขากั้นซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายอธรรมเติบโต สำนักนั้นถูกจัดว่าเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะในคุนอู๋มาเป็นระยะเวลานานกว่าพันปี สำนักเทียนเต้านั้นแตกต่างจากกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มอื่น มันมีเอกลักษณ์ตรงที่ไม่ได้มีลักษณะอะไรที่พิเศษ ไม่ได้มีทั้งวิชาการฝึกตนพิเศษของสำนัก หรือกำหนดความต้องการว่าลูกศิษย์ต้องฝึกตนด้วยอะไร ตราบใดที่ศิษย์ของพวกเขาไม่ได้ฝ่าฝืนกฎของสำนัก ไม่ว่าจะวิธีที่คดโกงหรือแปลกประหลาดล้วนได้รับอนุญาตทั้งสิ้น แม้กระทั่งฝึกเพื่อเข้าถึงฝ่ายอธรรมก็ไม่มีปัญหา


 


 


ความน่าเกรงขามของสำนักเทียนเต้านั้นมาจากรูปแบบการจัดการที่เปิดกว้าง และยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างนี้เอง ศิษย์สำนักเทียนเต้าทั่วๆ ไปจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะฝึกตนด้วยวิชาใด ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกตนหลายคนที่มีความสามารถโดดเด่นเป็นพิเศษในสำนักนี้


 


 


สาเหตุที่โม่เทียนเกอต้องการจะไปที่สำนักเทียนเต้าเพราะสำนักเทียนเต้าเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะและศิษย์ของพวกเขาก็ศึกษากันอย่างหลากหลาย นางสามารถเพิ่มพูนความรู้ได้โดยที่ไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น ไม่มีคนที่มีความชอบธรรมอย่างจริงแท้ในโลกแห่งการฝึกตน กระนั้นก็ตาม คนแห่งฝ่ายธรรมะส่วนมากมักจะไม่ต้องการให้เกิดสงคราม ดังนั้นจึงจะปลอดภัยกับนางมากกว่าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์แห่งฝ่ายธรรมะ


 


 


ไม่นานนักหลังจากออกจากเขาอวิ๋นอู้ โม่เทียนเกอหยุดและมองหาสถานที่สำหรับการเปลี่ยนชุดเครื่องแบบสำนักอวิ๋นอู้กับเสื้อผ้าทั่วไป สำนักอวิ๋นอู้ถูกยึดครองโดยสำนักจื่อซย่า และยิ่งไปกว่านั้น เหตุร้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นนางควรที่จะระมัดระวังตัวไว้ก่อน เมื่อเปลี่ยนเสร็จ นางใช้วิชาตัวเบาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ


 


 


ย้อนกลับไปตอนที่นางเดินทางไปทั่วพร้อมกับท่านอารอง โม่เทียนเกอพบผู้ฝึกตนหลายคนที่ก่อนจะมาเป็นสาวกแห่งเต๋า พวกเขาเคยเป็นนักศิลปะการต่อสู้ในโลกมนุษย์ นางสนใจในสิ่งที่เรียกว่าศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาและได้เรียนรู้เกี่ยวกับมันเล็กน้อย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่การรวมพลผู้อมตะจนถึงการแข่งขันเพื่อชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง นางได้ประโยชน์อย่างมากจากการเรียนทางด้านศิลปะการต่อสู้ วิชาตัวเบาของนางแบบเต็มพลังนั้นรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนคนอื่นทั่วไป เพียงแค่ครึ่งเดือนนางก็มาถึงบริเวณชายแดนของสำนักเทียนเต้า


 


 


ขอบเขตอิทธิพลของสำนักเทียนเต้านั้นกว้างใหญ่มหาศาล ที่นี่ก็น่าจะถือว่าอยู่ในพื้นที่เช่นกัน ความจริงแล้วในพื้นที่รอบๆ มีเพียงแค่กลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ สองสามกลุ่มเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกัน ถึงกระนั้น จัตุรัสของตลาดนัดที่นี่นั้นดูผิดปกติ งานชุมนุมสาวกเต๋าที่ซึ่งผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจากสำนักเทียนเต้าได้รับเชิญมักจะจัดที่นี่โดยกำหนดไว้ล่วงหน้า


 


 


ที่งานชุมนุมสาวกเต๋า ทุกคนได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมได้ตราบใดที่จ่ายด้วยศิลาวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้รับอนุญาตให้ถามคำถามกับผู้ฝึกตนที่เป็นผู้เทศน์และสามารถพูดคุยเกี่ยวกับลัทธิเต๋าต่อกันได้


 


 


โม่เทียนเกอค่อนข้างสนใจในงานชุมนุมสาวกเต๋านี้ เมื่อรวมกับความเป็นจริงที่ว่าค่าเข้าร่วมนั้นไม่ได้แพงนัก นางจึงตัดสินใจที่จะรออยู่ที่นี่สักระยะ นางยังเอาเครื่องมือวิญญาณที่ขายยากแถวเขาอวิ๋นอู้มาขายที่นี่เป็นชุด เพราะที่แห่งนี้นั้นทั้งไกลจากเขาอวิ๋นอู้และมีผู้คนหลากหลายประเภท นางสามารถขายเครื่องมือวิญญาณเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหา ดังนั้นนางจึงได้ศิลาวิญญาณเพิ่มมามากมาย


 


 


เมื่อนางเดินออกมาจากร้านและเดินไปมุมถนนที่สงบส่วนตัว นางถอดเสื้อคลุมที่สวมใส่อยู่ เปลี่ยนหน้าตาและแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง


 


 


เพราะมันย่อมดีกว่าที่จะซ่อนที่มาของเครื่องมือวิญญาณเหล่านี้จากผู้คน นางใช้วิชามายาแปลงกายเพื่ออำพรางตัวนางด้วยรูปลักษณ์ที่หลากหลายตอนที่นางไปที่ร้านเพื่อขายของเหล่านั้น ร้านเหล่านี้ไม่ได้สนใจว่าลูกค้าของพวกเขานั้นใช้วิชามายาแปลงกายหรือไม่ สำหรับนางก็จะถือว่าไม่เป็นไรตราบใดที่คนอื่นๆ ไม่ได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง


 


 


โม่เทียนเกอเดินทอดน่องออกไปจากทางมุมถนนขณะที่ใช้อำนาจของจิตสัมผัสเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ นางจึงยิ้มและเดินอย่างผ่อนคลายเข้าไปที่อีกร้านหนึ่ง


 


 


ด้านหน้าของร้านนนี้ค่อนข้างเรียบง่ายไร้การตกแต่งใดๆ กรอบผ้าปักดอกหลายอันมีเครื่องมือวิญญาณ เครื่องราง ยาวิเศษ และของไร้ค่าบางอย่างถูกจัดเรียงอยู่บนตู้วาง


 


 


คนที่เฝ้าร้านเป็นเพียงแค่มนุษย์ผู้หญิง เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเดินเข้ามา นางทักทายอย่างกระตือรือร้น “นายท่านผู้เป็นเซียน มีสิ่งใดที่ท่านต้องการหรือเจ้าคะ”


 


 


โม่เทียนเกอเพียงแค่เดินสุ่มดูรอบๆ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้คำตอบในทันที นางคอยมองเครื่องมือวิญญาณหลายชิ้นที่ถูกจัดวางอยู่บนชั้นไปมาก่อนที่จะหันหลังกลับในที่สุด เมื่อนางทำเช่นนั้นอย่างไรก็ตามนางถึงกับตกตะลึง


 


 


หญิงผู้เฝ้าร้านอายุดูราวๆ ยี่สิบปี ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นมนุษย์ธรรมดา นางก็ดูสวยงามและไม่ได้สวยแพ้หญิงผู้ฝึกตนเลยในด้านรูปลักษณ์ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้โม่เทียนเกอตกใจ นางตกใจเพราะหญิงผู้นี้ดูคุ้นเคย ถึงแม้ว่าจะมองดูอย่างระมัดระวังแล้ว นางก็ยังไม่สามารถจำได้ว่านางเห็นผู้หญิงคนนี้เมื่อไหร่


 


 


“นายท่านผู้เป็นเซียน”


 


 


โม่เทียนเกอดึงสติของนางกลับคืน นางเห็นว่าผู้หญิงคนนี้จ้องนางอย่างวิตกกังวล โม่เทียนเกอรู้ตัวทันทีว่าแทนที่จะตอบคำถามของผู้หญิงคนนี้ แต่กลับจ้องหญิงนางนี้อยู่เป็นเวลานาน เมื่อคิดว่าลำบากในการที่จะอธิบาย นางจึงถามไปตรงๆ ว่า “ที่ร้านนี้ขายของเกี่ยวกับอะไรหรือ”


 


 


เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอดูปกติ หญิงนางนี้รีบยิ้มตอบและอธิบาย “เชิญท่านดูที่เครื่องมือวิญญาณ เครื่องราง และยาวิเศษเหล่านี้ ทั้งหมดนั้นคุณภาพดีเยี่ยม นอกเหนือไปจากนั้น ร้านเล็กๆ ของข้ายังขายกระดาษเครื่องรางและพู่กัน เช่นเดียวกันกับสินค้าที่ทำจากสัตว์ปีศาจคุณภาพสูงสุด เชิญท่านเลือกชมได้เจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอเคยเห็นสิ่งต่างๆ ที่จัดวางอยู่บนชั้นมานานแล้ว เครื่องมือวิญญาณก็ทั่ว ๆ ไป ไม่ได้คุณภาพสูงนัก เครื่องรางก็เป็นเครื่องรางคุณภาพต่ำ นางไม่รู้เกี่ยวกับยาวิเศษ แต่เมื่อยึดถือจากสิ่งของอื่นๆ มันก็น่าจะไม่มีอะไรนอกจากยาวิเศษทั่วไป นางเองนั้นก็เพิ่งขายเครื่องมือวิญญาณจำนวนมากไป ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้ขาดแคลนทั้งเครื่องรางและยาวิเศษ ดังนั้นนางจึงสุ่มหยิบกระดาษเครื่องรางและพู่กันเช่นเดียวกับชาดด้วย


 


 


“ข้าต้องจ่ายศิลาวิญญาณทั้งหมดเท่าไรสำหรับสิ่งเหล่านี้”


 


 


หญิงเฝ้าร้านคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มพร้อมบอก “กระดาษเครื่องรางเหล่านี้และชาดรวมกันเพียงแค่หนึ่งศิลาวิญญาณ แต่พู่กันเครื่องรางนี้เจ็ดศิลาวิญญาณเจ้าค่ะ”


 


 


แปดศิลาวิญญาณสำหรับโม่เทียนเกอตอนนี้เหมือนกับเพียงหยดน้ำในมหาสมุทร นางหยิบมันออกมาจากกระเป๋าเอกภพทันทีแล้ววางไว้บนตู้ขายของ


 


 


หญิงเฝ้าร้านดีใจมากที่ปิดการขายได้อย่างง่ายดาย นางห่อของต่างๆ ที่โม่เทียนเกอซื้อและส่งให้กับนางขณะที่พูดด้วยความเคารพนอบน้อม “ท่านผู้เป็นเซียน ของท่านเจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอรับของมาและกำลังจะเดินออกไปจากร้านในขณะที่นางเห็นผู้ฝึกตนวัยหนุ่มเดินเข้ามาในร้าน เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับห้าของดินแดงแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณผู้ซึ่งดูหมดเรี่ยวแรงและใส่เสื้อผ้าทั่วไป อย่างไรก็ตาม เขาก็หน้าตาหล่อเหลาและดูสง่างามทีเดียว


 


 


ทันทีที่ชายหนุ่มผู้ฝึกตนเดินเข้ามาในร้าน หญิงเฝ้าร้านเรียกด้วยเสียงแจ่มใส “ท่านพี่! วันนี้ท่านกลับเร็วเชียว!”


 


 


กลายเป็นว่าคนผู้นี้คือสามีของหญิงเฝ้าร้านนั่นเอง! ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก จำนวนของหญิงผู้ฝึกตนนั้นมีน้อยกว่าชายผู้ฝึกตนอยู่มากนัก หญิงผู้ฝึกตนระดับต่ำหลายคนล้วนถูกผู้ฝึกตนระดับสูงจับทำเมียน้อย สำหรับชายผู้ฝึกตนระดับต่ำ พวกเขาหาคู่ครองแห่งเต๋าได้ยาก ดังนั้นพวกเขาส่วนมากจึงให้มนุษย์ผู้หญิงมาเป็นเมียหรือเมียน้อยแทน ไม่ชัดเจนนักว่าหญิงงามนางนี้ที่อยู่ด้านหน้าโม่เทียนเกอนั้นเป็นเมีย หรือเป็นเมียน้อยกันแน่


 


 


ผู้ฝึกตนเพียงแต่ตอบสั้นๆ อย่างไม่แยแส ดูช่างเย็นชานัก แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นโม่เทียนเกอ เขายิ้มในทันทีและพูด “สหายนักพรต มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจในทันที ในเมื่อระดับการฝึกตนของนางอยู่ในจุดสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณ ผู้ฝึกตนคนนี้จึงไม่กล้าที่จะดูหมิ่นนาง อย่างไรก็ตาม ความเย็นชาที่เขาปฏิบัติต่อเมียตนเองเมื่อเทียบกับการที่เขาปฏิบัติต่อคนนอกไม่ค่อยถูกใจนางเท่าไหร่ เมื่อนางหันกลับและมองเห็นแววตาที่อ่อนแรงและเดียวดายของผู้หญิง นางยิ่งรู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้นต่อหญิงนางนี้


 


 


สำหรับมนุษย์ผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ฝึกตน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างทัดเทียม ถ้าพูดให้ดูน่าฟังขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาเป็นเมียหรือเมียน้อย แต่ถ้าพูดอย่างหยาบคาย พวกเขาไม่ได้เป็นสิ่งมีค่าอะไรเลยนอกจากของเล่น


 


 


ไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างถึงมนุษย์ผู้หญิงเลย ดังนั้นถ้าหากว่าเป็นหญิงผู้ฝึกตนล่ะ ตัวอย่างเช่น เฉินปิงนั้นเป็นคนที่มีต้นทุนพื้นฐานที่ดีและมีกลุ่มคอยสนับสนุนนาง แต่สุดท้าย นางก็ยังถูกทำร้ายจากความสวยของตัวเองและถูกบังคับให้กลายเป็นเมียน้อยคนอื่นไป


 


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอรีบควบคุมอารมณ์ตัวเองและตอบอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่ต้องการอะไร”


 


 


ไม่ได้สนใจในความเยือกเย็นของนาง ชายผู้ฝึกตนยังคงพูดต่อด้วยความกระตือรือร้น “สหายนักพรต ท่านใช้เวลาดูให้เต็มที่เลย ถึงแม้ว่าของในร้านของข้าไม่ได้มีมากมายนัก แต่กระดาษเครื่องรางและพู่กันนั้นดีใช้ได้ ข้าทำมันขึ้นมาเอง”


 


 


นางไม่ได้มีโอกาสที่จะพูดอะไรเพราะหญิงเฝ้าร้านพูดแทน “ท่านพี่ นายท่านผู้เป็นเซียนผู้นี้ได้ซื้อกระดาษเครื่องรางและพู่กันไปแล้ว”


 


 


“เช่นนั้นหรือ” ชายผู้ฝึกตนยิ้มอย่างเขินอายและกล่าวต่อ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอบคุณสหายนักพรตมากที่มาที่นี่ ในอนาคตได้โปรดกลับมาอีกครั้งด้วยเถิด”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าแต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะจากไป นางเดินดูเครื่องมือวิญญาณบนชั้นไปเรื่อยๆ และแสร้งว่าสนใจ ฝ่ายผู้หญิงกำลังที่จะอธิบายแต่โม่เทียนเกอโบกมือพร้อมพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องสนใจข้า ข้าจะเรียกเจ้าเองหากข้าเจอสิ่งที่ข้าชอบ”


 


 


เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ต้องการที่จะถูกรบกวน หญิงเฝ้าร้านจึงถอยออกมา ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อหญิงนางนั้นเห็นว่าสามีนางดูอ่อนล้า นางจึงรีบทำให้ตัวเองยุ่งด้วยการเข้าไปดูแลเอาใจใส่เขา


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจ นางไม่เข้าใจจริงๆ ผู้ฝึกตนคนนี้ไม่ได้ดูแลเมียของเขาอย่างดีเลย แล้วเมียคนนี้จะยังรักเขาแบบนี้ได้อย่างไร


 


 


“ท่านพี่ วันนี้ท่านกลับเข้ามาเร็ว ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”


 


 


พอได้ยินเมียถาม ชายผู้ฝึกตนลืมตาแล้วโยนถุงที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเอกภพไปให้นาง เขาพูด “วันนี้ดวงข้าไม่ดีนัก ข้าเก็บมาได้แค่นี้ เอาไปเก็บให้เรียบร้อยล่ะ”


 


 


หญิงเฝ้าร้านพูดตอบเพียงสั้นๆ หยิบถุงแล้วเดินเข้าไปในห้องด้านใน


 


 


เมื่อเห็นดังนี้ โม่เทียนเกอสุ่มเลือกเครื่องรางหลายอันและยื่นศิลาวิญญาณให้ก่อนที่นางจะเดินออกไปจากร้าน


74 

ขณะที่โม่เทียนเกอล้างหน้าในตอนเย็นวันนั้น นางถึงตระหนักว่าทำไมหญิงคนนั้นถึงได้ดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก


 


 


พอลบร่องรอยการแปลงตัวออก นางก็พบความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างใบหน้าของนางเองในกระจกกับใบหน้าของหญิงผู้นั้น


 


 


ความเหมือนนี้อยู่ที่คิ้ว ตา และรูปหน้า ไม่ต้องพูดถึงรูปหน้าเลย แค่คิ้วกับตาพวกเขาก็เหมือนกันมากแล้ว ถ้านางไม่ได้ปลอมตัว ความเหมือนเช่นนี้ก็คงเป็นที่สังเกตได้ในทันที


 


 


แปลกจริง นางไม่ได้มีพี่น้องผู้หญิง และญาติใกล้ชิดของนางทั้งหมดก็อยู่ในโลกมนุษย์ เป็นไปได้ไหมว่าสมาชิกบางส่วนของกลุ่มเยี่ยอยู่ในคุนอู๋ แต่ท่านอารองบอกนางว่าเขาย้ายสมาชิกทั้งหมดของกลุ่มเยี่ยลงไปยังโลกมนุษย์หมดแล้ว เขาถึงขนาดบอกพวกนั้นด้วยว่าพวกเขาจะไม่มาเหยียบคุนอู๋อีกนอกเสียจากว่าพวกเขามีรากวิญญาณ หญิงคนนั้นเป็นมนุษย์ธรรมดาแน่นอน นางไม่สามารถมีรากวิญญาณได้


 


 


หลังจากยืนอยู่หน้ากระจกพักหนึ่ง นางก็ยังคิดไม่ออก นางกลับไปยังที่นอนเพื่อทำสมาธิ นางคิดได้ว่าถ้านางยังต้องการหาคำตอบ นางกลับไปที่นั่นได้ในวันพรุ่งนี้และถามหญิงคนนั้นตรงๆ


 


 


หลังจากนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ นางรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณในร่างกาย


 


 


นางใช้สองวิชาฝึกตนมาโดยตลอด วิชาแรกคือศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์และอีกวิชาคือศาสตร์แห่งป่าขจี เพราะว่านางฝึกตนได้เร็วกว่าด้วยศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ วิชานี้จึงกลายเป็นวิธีฝึกตนหลักของนาง ส่วนศาสตร์แห่งป่าขจีเป็นวิชารองลงมาที่นางใช้ระหว่างการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิชานี้ไม่ได้ต่างกันมากในแง่ของพลังวิญญาณที่ถูกซึมซับเข้ามา แม้ว่าส่วนมากนางจะซึมซับพลังวิญญาณธาตุไม้เมื่อนางใช้ศาสตร์แห่งป่าขจี แต่พลังวิญญาณธาตุอื่นๆ ก็ยังถูกซึมซับรับเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน สำหรับศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์สามารถซึมซับพลังวิญญาณได้ทุกชนิด พลังวิญญาณที่ถูกซึมซับเข้ามาโดยสองวิชานี้จะเข้ามาผสมผสานกันภายในร่างกายของนาง ดังนั้นจึงไม่มีความแตกต่างใดๆ ในท้ายที่สุด แต่หลังจากเสร็จสิ้นกับดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ พลังวิญญาณที่เยือกเย็นและมืดมิดค่อยๆ ปรากฏขึ้นในร่างกายของนางทีละนิด ปริมาณของมันนั้นมีเพียงเล็กน้อย แต่ก็แตกต่างจากพลังวิญญาณอื่นๆ ที่อยู่ภายในร่างกายของนาง พลังวิญญาณทั้งสองประเภทเคลื่อนที่ไปตามเส้นลมปราณของนาง ไม่ได้ผสมกันหรือขัดกันแต่อย่างใด


 


 


นางยังไม่มีโอกาสได้บอกท่านอารองเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี ตอนนี้มันยังดูไม่ได้มีอันตรายอะไร นางจึงปล่อยไปก่อน


 


 


เมื่อนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ การฝึกตนไม่เพิ่มปริมาณพลังวิญญาณในร่างของนางอีกต่อไป เพียงแค่ชำระล้างพลังวิญญาณที่มีอยู่เดิมเท่านั้น ณ ตอนนี้การฝึกตนได้กลายมาเป็นกิจวัตรสำหรับนาง ดังนั้นถ้าไม่มีอะไรต้องทำ นางจะเข้าฌานและพัฒนาพลังวิญญาณของตัวเอง


 


 


อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาการฝึกตนตามปกติในวันหนึ่ง


 


 


พลังวิญญาณที่แยกกันสองอันภายในทั้งตานเถียนและเส้นลมปราณของนางยังคงเคลื่อนที่ไปตามรอบของมัน แต่ปริมาณพลังวิญญาณมืดค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด เมื่อค้นพบปรากฏการณ์นี้ นางก็ลองทำการทดลอง ในตานเถียนของนาง นางแยกพลังวิญญาณสองประเภทออกในปริมาณน้อยๆ ซึ่งจากนั้นนางจะค่อยๆ ผลักดันให้มันเข้ามาสัมผัสกัน ในไม่ช้านางก็เห็นผล พลังวิญญาณที่เป็นธาตุจะลดลงเล็กน้อยในขณะที่พลังวิญญาณมืดเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย


 


 


หลังจากยืนยันได้ว่าพลังวิญญาณมืดนี้สามารถกัดกร่อนพลังวิญญาณเดิมของนาง โม่เทียนเกอจึงหยุดฝึกตนทันที ถึงแม้ว่านางจะสามารถควบคุมพลังวิญญาณทั้งสองประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบันได้และไม่มีความแตกต่างอะไรมากระหว่างทั้งสอง แต่นางก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับพลังวิญญาณมืดนี้ คงจะเป็นการดีกว่าถ้าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม


 


 


หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพัก นางก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณมืดนี้อาจจะเป็นพลังหยินที่ปรากฏขึ้นมาจากการฝึกตนด้วยศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่ได้มีเรื่องนี้กล่าวไว้ในคู่มือเคล็ดวิชา นางจึงไม่มั่นใจนัก


 


 


ถ้าพูดกันตามปกติ ท้องฟ้าคือหยางและพื้นโลกคือหยิน ชายคือหยาง หญิงคือหยิน ที่จริงแล้วนั้น ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ล้วนมีทั้งพลังหยินหยางอยู่ในร่างกายทั้งสิ้น เพียงแค่ผู้ชายมีหยางมากกว่าและหยินน้อยกว่า ในขณะที่ผู้หญิงจะมีหยินมากกว่าและหยางน้อยกว่า วิชาการฝึกตนในโลกแห่งการฝึกตนก็เกิดมาจากหลักการนี้


 


 


ทุกวิชาการฝึกตนถูกสร้างมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ฝึกตนหญิงที่มีคุณสมบัติของหยินเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างกรณีของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ ซึ่งสามารถใช้ฝึกโดยผู้ฝึกตนหญิงที่ครอบครองร่างกายที่มีพลังแห่งหยินบริสุทธิ์เท่านั้น อย่างไรก็ดี นางยังไม่เคยได้ยินว่าพลังวิญญาณจากการฝึกตนของผู้หญิงจะแตกต่างกับของผู้ชาย ดังนั้น นางจึงไม่แน่ใจว่านี่เป็นพลังหยินหรือไม่


 


 


เวลาค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


 


โม่เทียนเกอจัดเก็บข้าวของก่อนจะออกไปข้างนอก


 


 


วันนี้นับเป็นการเริ่มต้นของการชุมนุมสาวกเต๋าในตลาดนัด ในวันเดียวกันของแต่ละเดือน ผู้ฝึกตนจากบริเวณรอบข้างจะแห่กันมารวมตัวที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่ปรารถนาจะได้เข้าสำนักเทียนเต้า ถึงแม้ว่าบางครั้งบางคราวก็จะมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่มาเพื่อปรึกษาเรื่องเต๋ากับผู้ฝึกตนจากสำนักเทียนเต้า


 


 


โม่เทียนเกอได้ถามถึงสถานที่ที่จัดการชุมนุมมาเรียบร้อยแล้ว นางต้องเดินตัดผ่านหลายเส้นทางก่อนจะเดินตรงไปยังสนามเล็กๆ ที่ดูธรรมดาสามัญแห่งหนึ่ง


 


 


ประตูสู่สนามเล็กๆ นี้เปิดกว้างโดยมีผู้ฝึกตนระดับล่างสองคนเฝ้าอยู่ นานๆ ทีจะมีผู้คนเข้ามาในสนาม พวกเขายื่นศิลาวิญญาณให้และรับแผ่นจารึกประจำตัวเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน


 


 


โม่เทียนเกอตามหลังคนกลุ่มหนึ่งไป นางจ่ายศิลาวิญญาณสองอันและได้รับแผ่นไม้จารึกซึ่งถูกสลักด้วยหมายเลขก่อนที่นางจะเข้าไปในสนาม ไม่นานหลังจากนั้น นางเดินผ่านห้องนั่งเล่นหลัก คนหนึ่งจากกลุ่มข้างหน้านางเป็นคนนำและเดินเข้าไปยังห้องหนึ่ง จากนั้นไปที่บันไดที่นำไปสู่ชั้นใต้ดิน หลังจากเดินอยู่พักหนึ่งและเลี้ยวเลาะอยู่หลายครั้ง พวกเขาก็เข้ามาถึงห้องโถงได้ในที่สุด


 


 


ห้องโถงนี้ใหญ่โตและไม่ได้เล็กไปกว่าวัดเทศนาที่สำนักอวิ๋นอู้มากนัก น่าจะจุคนได้อย่างน้อยที่สุดพันคน ในส่วนที่อยู่ด้านในสุดของโถงมีแท่นสูงซึ่งมีเสื่อสวดมนต์หลายผืนจัดเรียงอยู่ ส่วนอื่นนอกแท่นนั้นมีโต๊ะ เก้าอี้ และเสื่อสวดมนต์หลากหลายชนิดวางอยู่


 


 


เจ้าหน้าที่ต้อนรับบอกนางว่าถ้านางจ่ายศิลาวิญญาณเพิ่ม นางจะได้สิทธิพิเศษในการนั่งเก้าอี้ ตอนนั้นโม่เทียนเกอไม่ได้ไต่ถามอะไรต่อและเพียงแค่จ่ายค่าเข้า ด้วยเหตุนี้ตอนนี้นางจึงนั่งได้แค่บนเสื่อสวดมนต์ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เนื่องจากนางไม่ได้สนใจเกี่ยวกับที่นั่งของนางนัก นางจึงมองหามุมที่อยู่ห่างไกลจากแท่นและนั่งลงทันที หลังจากนางนั่งลง นางหลับตาเพื่อพักสายตา


 


 


คนส่วนใหญ่ก็กำลังนั่งบนเสื่อสวดมนต์เพราะศิลาวิญญาณเพิ่มเติมสองอันต่อเดือนก็ถือว่าเป็นจำนวนมากแล้วสำหรับผู้ฝึกตนเดี่ยว ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณธรรมดาในสำนักอวิ๋นอู้ได้รับเพียงศิลาวิญญาณห้าอันต่อเดือนเท่านั้น


 


 


ผู้คนเข้ามาในโถงชุมนุมกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนคนในห้องโถงก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น


 


 


เมื่อที่นั่งในห้องโถงใกล้จะเต็มเกือบทุกที่ ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงลืมตาขึ้นเพื่อสำรวจรอบๆ ตัว คนที่มาที่นี่มีจำนวนมาก ที่นั่งเพียงแค่สองในสิบเท่านั้นที่ยังว่างอยู่ขณะนี้ ในหมู่คนเหล่านี้ บางคนเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากหลายแบบ บางคนเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ สวมใส่ชุดเครื่องแบบของกลุ่ม และบางคนก็เป็นสมาชิกของเผ่าผู้ฝึกตนที่มีผู้ติดตามมาด้วย


 


 


เห็นได้ชัดว่าการชุมนุมสาวกเต๋านี้เป็นที่นิยมมาก ไม่เพียงแต่จะดึงดูดผู้ฝึกตนเดี่ยวเท่านั้น แต่แม้แต่สมาชิกของกลุ่มการฝึกตนและเผ่าต่างๆ ก็ยังมาร่วมด้วย การสังเกตการณ์ครั้งนี้ทำให้ความคาดหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาวกเต๋าของโม่เทียนเกอสูงขึ้น


 


 


ข้างนอกยังมีคนบางส่วนที่รอจะเข้ามาในห้องโถง หลังจากที่นั่งในแถวที่เก้าเต็มแล้วเท่านั้นคนที่หลั่งไหลเข้ามาจึงค่อยๆ หยุดไป


 


 


หลังจากสิบห้านาทีผ่านไป ประตูของห้องโถงจึงปิดลงในขณะที่ประตูเล็กที่อยู่ส่วนในสุดของโถงเปิดออก ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายคนเดินนำผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนหนึ่งมาที่แท่น


 


 


ขณะเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณในห้องโถงยืนขึ้นทีละคนเพื่อแสดงความเคารพ พอเห็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอจึงทำตาม


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนนี้เป็นชายที่ดูอายุประมาณสามสิบ สามชุดนักพรตเต๋าสีม่วงอ่อนพร้อมด้วยลายเส้นสีขาว เขาดูสงบนิ่งและดูมีรัศมีที่ค่อนข้างเหมือนกับนักปราชญ์


 


 


โม่เทียนเกอไม่สามารถจับได้ว่าผู้ฝึกตนคนนี้อยู่ในขั้นไหนของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง อย่างไรเสีย ผู้ฝึกตนระดับล่างถ้าไม่กำลังฝึกตนด้วยวิชาลับอะไรสักอย่าง พวกเขาก็จะไม่มีทางสัมผัสได้เลยถึงระดับการฝึกตนเฉพาะของผู้ฝึกตนระดับสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมีช่วงอายุขัยสามร้อยถึงสี่ร้อยปี ผู้ฝึกตนคนนี้ดูเหมือนเขาอยู่ในช่วงวัยสามสิบ คาดว่าอายุจริงของเขาน่าจะยังไม่ถึงหนึ่งร้อยปี สืบเนื่องจากอายุเฉลี่ยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เขาน่าจะถือว่าค่อนข้างอายุน้อยเลยทีเดียว


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนนี้นั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ที่กลางแท่นสูง เขากวาดสายตามองผู้ชมจนทั่วก่อนจะพูดว่า “ขอสวัสดี บุรุษและสตรี ข้าเวินเซี่ยงเต้าแห่งสำนักเทียนเต้า และในวันนี้ ข้าจะมาแสดงเทศน์ธรรมแก่ทุกท่าน สหายแห่งเต๋าทั้งหลายที่ต้องการจะหารือเรื่องเต๋าก็ยินดีต้อนรับเช่นกัน” ชายผู้นี้หยุดครู่หนึ่งและพูดต่อไปว่า “ข้าคิดว่าทุกท่านน่าจะคุ้นเคยกับประสบการณ์และความรู้ของการฝึกตนอยู่บ้างแล้ว วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้เล่าให้ทุกท่านฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ในการสร้างฐานแห่งพลังของข้า”


 


 


โม่เทียนเกอเกิดความสนใจทันทีเมื่อนางได้ยิน ตอนแรก นางแค่สนใจเล็กน้อยในการชุมนุมสาวกเต๋าของตลาดนัดแห่งนี้ นางไม่ได้คาดไว้เลยว่าหัวข้อที่พูดจะเป็นเรื่องการสร้างฐานแห่งพลังอย่างลึกซึ้ง หัวข้อนี้คือสิ่งที่นางอยากฟังที่สุดในขณะนี้


 


 


เมื่อเป็นความรู้เชิงลึกของการสร้างฐานแห่งพลัง อาจารย์ลุงในสำนักอวิ๋นอู้ก็พูดเรื่องนี้กับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณที่ใกล้จะบรรลุผ่านเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอย่างนางเช่นกัน แต่นางไม่รู้ว่าความรู้นั้นจะเทียบกับสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจากสำนักเทียนเต้ามอบให้ได้อย่างไร


 


 


นางไม่ได้เป็นคนเดียวที่รู้สึกตื่นเต้น คนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นยิ่งกว่านางเสียอีก เป็นโอกาสหายากมากที่ผู้ฝึกตนเดี่ยวจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเช่นนี้ได้ ส่วนพวกสมาชิกของเผ่าผู้ฝึกตนและศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีแหล่งข้อมูลมากกว่า แต่คนที่มาให้โอวาทตอนนี้เป็นผู้ฝึกตนจากสำนักเทียนเต้า ซึ่งเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ดีที่สุดในขั้วท้องฟ้า คำสอนของเขาจะต้องแตกต่างจากสิ่งที่ผู้อาวุโสจากฝ่ายของพวกเขาสอนแน่นอน


 


 


เวินเซี่ยงเต้าหยุดนิ่ง ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มอย่างไรดี หลังจากผ่านไปครู่เดียว เขาจึงเริ่มพูดช้าๆ “ข้าคาดว่าทุกท่านที่นี่คงจะรู้กันอยู่แล้วว่าผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสร้างฐานแห่งพลังอย่างไร ขั้นแรก พวกเขาฝึกตนจนกระทั่งไปถึงจุดสมบูรณ์ของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ขั้นต่อไป พวกเขาทานยาสร้างฐานแห่งพลัง หลังจากนั้นคือประมาณหนึ่งปีของการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ คนที่ทำสำเร็จจะก้าวไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ส่วนคนที่ล้มเหลวจะยังอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่ถ้าโชคค่อนข้างดี พวกเขาอาจจะก้าวเข้าสู่ระดับสิบเอ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณก็เป็นได้ ในตอนนี้ ข้าจะคุยกับทุกท่านเกี่ยวกับประสบการณ์ในการสร้างฐานแห่งพลังและกระบวนการที่ข้าต้องข้ามผ่าน”


 


 


“ข้ามีต้นทุนตามธรรมชาติเป็นรากวิญญาณสามธาตุ แต่คนอย่างข้านั้นธรรมดามากในสำนักเทียนเต้า วิชาการฝึกตนที่ข้าใช้ก็เป็นวิชาการฝึกตนห้าธาตุที่ธรรมดาทั่วไป ข้าโชคดีและได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ในท้ายที่สุดข้าก็ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังตั้งแต่พยายามครั้งแรก”


 


 


“ข้าคิดว่า… พวกท่านหลายคนก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับข้า โอกาสของคนธรรมดาในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองนั้นน้อยมาก แต่พวกเขาก็มักจะลองเสี่ยงดู หวังว่าจะดวงดีได้รับโชคอะไรสักอย่างและสามารถเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ข้าอยากจะบอกพวกท่านทุกคนก็คือ การสร้างฐานแห่งพลังไม่ได้หวังพึ่งแต่ดวงเพียงอย่างเดียว”


 


 


“อย่างที่ทุกท่านรู้กันแล้ว รากวิญญาณส่งผลต่อความเร็วของการซึมซับพลังวิญญาณ ดังนั้นจึงส่งผลต่อผลลัพธ์ของการฝึกตนและโอกาสของการก้าวไปสู่ดินแดนถัดไป นิสัยของคนที่มีรากวิญญาณน้อยกว่าเหมาะที่จะฝึกตนมากกว่าเมื่อเทียบกับคนที่มีรากวิญญาณหลายธาตุ บางคนสามารถบรรลุเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่คนอื่นๆ อาจต้องพยายามดิ้นรนอย่างหนักหน่วง”


 


 


“โดยธรรมชาติแล้วนั้น ทุกท่านควรจะเลิกหลงผิดว่ารากวิญญาณของท่านไม่มีผลต่อการสร้างฐานแห่งพลัง มันเป็นความเชื่อที่ผิดโดยแท้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีความอดทนมากพอ ท่านยังสามารถลดช่องว่างระหว่างตัวท่านกับคนที่มีรากวิญญาณดีเป็นพิเศษได้”


 


 


“หลังจากไปถึงจุดสมบูรณ์ของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกกังวลและต้องการที่จะก้าวไปสู่ดินแดนถัดไปทันที ความจริงแล้ว เมื่อถึงจุดนี้ มีปัจจัยอีกหลายอย่างที่จะส่งผลต่ออัตราความสำเร็จของการสร้างฐานแห่งพลัง อย่างแรกเลยคือความหนาแน่นของพลังวิญญาณของท่าน”


 


 


แม้แต่โม่เทียนเกอก็ยังประหลาดใจกับประโยคสุดท้ายของเขา ความหนาแน่นของพลังวิญญาณงั้นหรือ? หมายความว่าอย่างไรกัน?


 


 


นางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ท่านอารองเพียงแต่บอกนางว่ามันจะยากสำหรับตัวนางที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังถ้านางรีบเร่งเกินไป แต่เขาไม่เคยพูดถึงเหตุผลเลย นางไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้เป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสำนักเทียนเต้าหรือเปล่า แต่ขณะนี้นางกำลังบันทึกทุกอย่างลงหยกบันทึกอย่างใจจดใจจ่อ ตั้งใจว่าจะถ่ายทอดให้ท่านอารองฟังเมื่อนางกลับไป นางจะให้เขาตัดสินดูว่าเนื้อหานี้ถูกต้องหรือไม่


 


 


เวินเซี่ยงเต้าพูดอย่างต่อเนื่องไปอีกชั่วโมงหนึ่งเพื่ออธิบายประเด็นนี้อย่างถ่องแท้ จากนั้นเขาหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูดถึงส่วนถัดไป


 


 


“นอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ข้าอยากจะบอกพวกท่านทุกคน ท่านต้องห้ามละเลยกับสภาวะจิตของตัวเองเพียงเพราะว่ามารภายในจิตใจจะปรากฏขึ้นมาในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นความจริงที่มารภายในจิตใจจะไม่ปรากฏขึ้นเมื่อท่านสร้างฐานแห่งพลัง แต่สภาวะจิตของท่านมีผลต่อพฤติกรรมและความมั่นใจ ห้ามละเลยสภาวะจิตของตัวเองเด็ดขาด คนที่มีสภาวะจิตมั่นคงสามารถทำอะไรได้ลุล่วงเป็นอย่างดีเมื่อพวกเขาเริ่มสร้างฐานแห่งพลังแล้ว และสามารถแก้ปัญหาที่พบเจอได้อย่างใจเย็น เพราะฉะนั้น จากมุมมองของคนอื่น อาจจะพูดได้ว่าการใส่ใจต่อสภาวะจิตของท่านสามารถเพิ่มโอกาสการสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จ…”


75 ที่งานชุมนุมสาวกเต๋าครั้งนี้ ไม่มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนไหนก้าวขึ้นมาพูดเรื่องเต๋าอีก ดังนั้นการชุมนุมจึงสิ้นสุดลงทันที ทว่าถึงกระนั้น ทุกคนก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก


 


 


ขณะกำลังกลับ จิตใจของโม่เทียนเกอยังคงคิดถึงสิ่งที่ผู้ฝึกตนจากสำนักเทียนเตาพูด อันที่จริง การเทศนาของเขาสามารถสรุปได้เป็นสองประเด็น ประเด็นแรกคือพลังวิญญาณของนางต้องบริสุทธิ์ให้ได้มากที่สุด ส่วนประเด็นที่สองคือนางควรจะมีสภาวะจิตที่สงบนิ่ง อย่างน้อยที่สุด นางต้องสามารถเข้าสู่สภาวะเข้าฌานได้อย่างง่ายดายก่อนที่นางจะพยายามสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง


 


 


แม้ว่าความรู้เชิงลึกที่สำนักเทียนเตามีเกี่ยวกับการสร้างฐานแห่งพลังจะมีมากกว่าสองประเด็นนี้แน่นอน แต่การได้รู้สองประเด็นนี้ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้โม่เทียนเกอรวบรวมข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการสร้างฐานแห่งพลัง นางจึงเริ่มมั่นใจขึ้นเล็กน้อยในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง


 


 


ส่วนเรื่องสภาวะจิตอันสงบของนางน่าจะค่อนข้างจัดการได้ง่าย เดิมจิตใจของโม่เทียนเกอว้าวุ่นก็เพราะนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเร็วเกินไป ซึ่งเป็นเหตุให้นางออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง คาดว่าสภาวะจิตของนางจะสงบลงได้เองหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง


 


 


เป็นปัญหาข้อแรกนั่นล่ะที่ค่อนข้างยากสำหรับนาง ในปัจจุบันนี้นางไม่กล้าฝึกตนเพราะความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในพลังวิญญาณในร่างกายของนาง สิ่งที่ทำได้ก็คือเลื่อนเรื่องนั้นออกไปก่อนจนกว่านางจะกลับไปและถามท่านอารอง


 


 


เพียงหลังจากที่นางกลับมาถึงโรงเตี๊ยมด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความกังวล จู่ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ว่านางยังไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวาน นางกำลังจะออกไปอีกรอบเมื่อนางเห็นเงาคนกำลังขึ้นบันไดมา ทำให้นางต้องรีบรุดกลับเข้าห้องของตัวเอง


 


 


เสียงผู้ชายค่อนข้างบาดหูกับน้ำเสียงยานคางซึ่งไม่น่าฟังเอาเสียเลยดังผ่านมา “ในที่สุดวันนี้เราก็มีที่ให้ซุกหัวนอน ไม่ต้องไปนอนข้างนอกอีก”


 


 


ใครบางคนตอบทันที “ศิษย์พี่เจียง ท่านควรพักในห้องนี้ ห้องนี้อยู่สบายดี”


 


 


มีการหยุดไปครู่หนึ่งราวกับว่าพวกเขากำลังสำรวจดูห้อง จากนั้นชายน้ำเสียงยานคางพูดด้วยความพอใจ “โรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่นี่ค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว ดีล่ะ พวกเจ้าเลือกห้องได้ หลังจากนั้นสั่งเหล้าองุ่นดีๆ กับอาหารมาด้วย”


 


 


ใครคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเสี่ยวเอ้อพูดขึ้นมา “ขอรับ ท่านผู้เป็นเซียน โปรดเลือกได้ตามที่ท่านต้องการ”


 


 


หลังจากนั้น นางก็ได้ยินเสียงประตูปิด คาดว่าพวกเขาคงเข้าห้องไปแล้ว หลังจากครุ่นคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองอยู่พักหนึ่ง นางตัดสินใจจะไม่ปล่อยจิตสัมผัสของนาง อย่างไรก็ตาม นางได้ทันเห็นคนที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่เจียง ไม่น่าเชื่อว่าเขาคือญาติของเจียงซั่งหัง เจียงเฉิงเสียนนั่นเอง


 


 


พูดถึงเจียงเฉิงเสียน นางต้องยอมรับว่าดวงของเขาดีมากทีเดียว ในระหว่างการทดสอบเพื่อให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งศิษย์สำนักจื่อซย่าและสำนักอวิ๋นอู้ล้วนต้องการที่จะฆ่าเขา แต่กระนั้นเขากลับมีชีวิตรอดออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนว่ากันว่าทุกวันนี้หัวหน้าสำนักย่อยของเขาอวิ๋นอู้ได้ทำการตระเตรียมจัดการสร้างฐานแห่งพลังให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกมาก เจียงเฉิงเสียนมาทำอะไรนอกเขาอวิ๋นอู้ในเมื่อเขาสามารถสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้ทันที


 


 


โม่เทียนเกอแง้มช่องประตูไว้เพื่อแอบดู พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอก นางจึงใช้วิชามายาแปลงกายและออกไปจากโรงเตี๊ยม


 


 


นางเข้าไปยังร้านค้าเล็กๆ ร้านเมื่อวานนี้และคนที่เฝ้าร้านก็ยังเป็นมนุษย์หญิงคนงามนั้นเหมือนเคย เมื่อนางเห็นโม่เทียนเกอเข้ามา นางทักทายด้วยความกระตือรือร้นเหมือนอย่างวันก่อน “ท่านผู้เป็นเซียน ท่านต้องการอะไรหรือเจ้าคะ”


 


 


โม่เทียนเกอแปลงกายเป็นชายหนุ่มธรรมดา นางถามด้วยเสียงที่ตั้งใจดัดให้ทุ้มต่ำ “เจ้าขายอะไรรึ”


 


 


แม้ว่าน้ำเสียงของโม่เทียนเกอจะไม่ค่อยน่าฟัง แต่หญิงคนนั้นก็ยังไม่ได้พูดอะไรและยังคงความกระตือรือร้นขณะนางอธิบาย “ร้านเรามีของใช้จำเป็นทุกชนิด แต่เราเชี่ยวชาญในด้านกระดาษเครื่องรางและพู่กันเจ้าค่ะ”


 


 


“อ้อหรือ ขอข้าดูหน่อย”


 


 


หญิงคนนั้นหยิบเอากระดาษเครื่องรางปึกหนึ่งและพู่กันเขียนเครื่องรางทุกชนิด แล้วจึงวางของพวกนั้นบนโต๊ะคิดเงิน นางกล่าวว่า “เชิญท่านตามสบาย”


 


 


โม่เทียนเกอเหลือบมองหญิงคนนั้นก่อนจะพูดด้วยท่าทางเรียบเฉย “ดูเหมือนมันจะไม่ได้ดีขนาดนั้นนะ!”


 


 


หญิงคนนั้นแค่ยิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่ามันไม่ใช่อะไรดีเลิศเป็นพิเศษ แต่วิธีที่ใช้ในการทำกระดาษและพู่กันพวกนั้นถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่นในตระกูลของสามีข้า ท่านผู้เป็นเซียนจะหาของคุณภาพเช่นนี้กับราคานี้ในร้านของคนอื่นไม่ได้แน่เจ้าค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นจะบอกว่าของทุกอย่างในร้านเจ้าราคาถูกงั้นรึ”


 


 


หญิงคนนั้นพูดว่า “ท่านผู้เป็นเซียนคงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่หรือไม่ ร้านเล็กๆ อย่างร้านข้าไม่อาจเทียบได้กับร้านใหญ่ ข้าต้องเสนอราคาต่ำเพื่อให้มีข้อได้เปรียบ มิเช่นนั้นทุกคนก็จะแห่กันไปแต่ร้านใหญ่ๆ ซึ่งของมีคุณภาพดี หากเป็นเช่นนั้น ร้านเล็กๆ ของข้าคงอยู่ไม่ได้นานแน่ๆ เจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจหลักกการนี้ดี แต่ก่อนนั้น นางเคยเปิดร้านค้ากับท่านอารอง แม้ว่าร้านเล็กๆ ของพวกเขาไม่อาจเทียบได้กับพวกร้านใหญ่ แต่ผู้ฝึกตนตัวจ้อยหลายคนก็ยังมาที่ร้านพวกเขา สาเหตุก็เพราะผู้ฝึกตนพวกนี้ไม่ได้มีเงินมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถซื้อของที่ขายอยู่ในร้านใหญ่ได้ ในขณะเดียวกัน พวกร้านใหญ่ก็ไม่สนใจจะมาทะเลาะกับพวกร้านเล็กด้วยเรื่องผลกำไรเล็กน้อยเช่นนี้ เพราะอย่างนั้น ร้านเล็กของพวกเขาจึงยังคงอยู่รอดมาได้


 


 


ถึงอย่างนั้น ท้ายที่สุดแล้วท่านอารองก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ยิ่งไปกว่านั้น เขามีสมบัติที่ได้รับมรดกตกทอดมาบางอย่าง ดังนั้นของที่เขาขายจึงค่อนข้างครอบคลุมมาก และเขายังมีสินค้าคุณภาพดีสำหรับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอีกด้วย เป็นเหตุให้ลูกค้าบางส่วนจากร้านที่ใหญ่กว่ามาแวะเวียนที่ร้านของพวกเขาแทน เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงถูกร้านใหญ่ๆ พวกนั้นกดดัน


 


 


โม่เทียนเกอแกล้งทำเป็นสงสัยและพูดว่า “จริงหรือ”


 


 


หญิงผู้นั้นเอ่ย “ท่านผู้เป็นเซียน ลองดูเถิด กระดาษเครื่องรางพวกนี้ทำด้วยส่วนผสมระหว่างไผ่อักขระดาราและเลือดสัตว์ปีศาจ ไผ่อักขระดาราเป็นวัสดุที่แข็งมากและสามารถผลิตกระดาษหนาซึ่งพอจะเทียบได้กับกระดาษเครื่องรางชั้นดี เรายังมีพู่กันเขียนเครื่องรางพวกนี้ซึ่งทำจากขนหมาป่าเลือดน้ำแข็ง และแต่ละเส้นต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ทั้งหมดนี้้เป็นสินค้าที่มาจากการล่าอย่างยากลำบากของสามีข้า ข้าขอยืนยันกับท่านว่าราคานี้ถือว่ายุติธรรมแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


แทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอกลับเริ่มตรวจดูของอื่นๆ ในร้าน จากนั้นนางถามด้วยท่าทีเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรอยู่ “เจ้าบอกว่าวิธีที่ใช้ทำถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่นจากตระกูลของสามีเจ้า ไม่ว่าเขาจะมีพื้นเพแบบไหน แต่เขามาจากเผ่าผู้ฝึกตน แล้วเขามาเปิดร้านที่น่าสังเวชขนาดนี้ได้อย่างไร”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงผู้นั้นแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย แต่นางก็พยายามยิ้มทันทีและพูดว่า “เผ่าผู้ฝึกตนเล็กๆ โดยทั่วไปไม่สามารถเปิดร้านค้าใหญ่ได้ ท่านผู้เป็นเซียน เชิญท่านตามสบาย ท่านเรียกข้าได้หากต้องการอะไร”


 


 


ตอนที่โม่เทียนเกอพูด นางแอบสังเกตหญิงคนนั้นซ้ำๆ ยิ่งโม่เทียนเกอพินิจพิเคราะห์มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าหญิงคนนั้นกับตัวนางมีความเหมือนกันมากขึ้นเท่านั้น


 


 


นางได้รู้จากการตอบคำถามของนางว่าคู่สามีภรรยาคู่นี้ไม่มีคนหนุนหลัง หากเป็นเช่นนั้น และตัวสามียังเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับห้าของการหลอมรวมพลังวิญญาณ เขาจึงไม่ใช่คนที่นางจะต้องกลัว


 


 


“ข้ามีอะไรอยากถามแม่นางหน่อย” ในเมื่อหญิงคนนั้นยังยิ้มอยู่ โม่เทียนเกอจึงถามตรงๆ “เจ้าบอกชื่อของเจ้าได้หรือไม่”


 


 


เมื่อคำถามนี้ถูกถามออกไป หญิงคนนั้นดูประหม่าทันที นางถอยหลังไปในขณะที่ใบหน้านางเริ่มถอดสีและไม่ช้าก็ซีดเผือด


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มและพูดว่า “แม่นางไม่จำเป็นต้องกลัว ข้าไม่ได้จะทำอะไร”


 


 


แม้ว่าโม่เทียนเกอจะแก้ตัว แต่นางก็ยังแสร้งว่าเป็นผู้ชายและยังเป็นผู้ฝึกตนอีก สำหรับชายผู้ฝึกตนที่จู่ๆ ไปถามหญิงงามว่านางชื่ออะไร คงจะเป็นการแปลกถ้าหญิงคนนั้นจะไม่รู้สึกกลัว


 


 


เพราะโม่เทียนเกอเห็นว่าหญิงคนนั้นยังลังเล นางจึงปล่อยพลังวิญญาณไปกดดันนาง หญิงคนนั้นเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา โดยปกติแล้วนางจะยอมจำนนต่อแรงกดดันเช่นนั้น หญิงคนนั้นถอยหลังไปจนสุดกำแพงกั้นและสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ “ข้า… ข้าแซ่โม่”


 


 


โม่เทียนเกอตกตะลึง หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดนางจึงคิดถึงความเป็นไปได้อีกทางหนึ่งและถามอย่างร้อนรน “ตัวอักษร ‘โม่’ ที่ใช้ในคำว่า ‘คนแปลกหน้า’ น่ะหรือ”


 


 


หญิงคนนั้นพยักหน้าและตอบว่า “เจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอจ้องหญิงคนนั้นไม่วางตา ท้ายที่สุดแล้วนางก็พบร่องรอยของความคุ้นเคยบนใบหน้าของหญิงคนนั้น ปรากฏว่าหญิงผู้นี้ไม่ใช่คนจากกลุ่มเยี่ยหรอก หญิงคนนี้คือคนจากตระกูลโม่ ที่ซึ่งโม่เทียนเกออาศัยอยู่มาสิบปี


 


 


ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอขณะที่นางถามอย่างระมัดระวัง “เทียนเฉี่ยว?”


 


 


หญิงผู้นั้นตกใจ นางจ้องมองโม่เทียนเกอด้วยความประหลาดใจ ทั้งเพราะโม่เทียนเกอรู้ชื่อนางและก็เพราะเสียงของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไปในทันใด


 


 


พอเห็นปฏิกิริยาของหญิงผู้นั้น โม่เทียนเกอก็รู้ทันทีว่านางเดาถูกต้อง หลังจากผ่านไปนาน นางจึงสงบจิตใจได้ในที่สุด ด้วยการโบกมือ นางลบคาถาที่นางเสกวิชามายาแปลงกายออกไป และด้วยการโบกมืออีกครั้ง นางลบการปลอมตัวบนใบหน้าของนางออก


 


 


จากสีหน้าประหลาดใจของหญิงคนนั้น โม่เทียนเกอก็รู้ว่านางก็ตระหนักว่าใบหน้าของพวกนางคล้ายกันมากแค่ไหน


 


 


ใบหน้าหญิงสาวเปลี่ยนจากซีดขาวไปเป็นสีแดงในขณะที่นางร้องอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้า… เทียนเกอ!?”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและถอนหายใจ “เทียนเฉี่ยว… ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีก”


 


 


โม่เทียนเฉี่ยวเอามือปิดปาก น้ำตารินไหล หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ นางก็โถมตัวเข้าหาโม่เทียนเกอและพูดว่า “เทียนเกอ เป็นเจ้าจริงๆ หรือ”


 


 


ขณะที่กอดโม่เทียนเฉี่ยวกลับ โม่เทียนเกอพูดอย่างอบอุ่นว่า “เป็นข้าจริงๆ อย่าร้องไห้นะ ไม่ง่ายเลยที่เราจะได้เจอกัน เราควรจะมีความสุขสิ”


 


 


“จริงด้วย” โม่เทียนเฉี่ยวรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้าจากนั้นจึงไปปิดประตูและพูดว่า “รอเดี๋ยวนะ ข้าจะปิดร้านก่อนแล้วเราค่อยเข้าไปคุยกันข้างใน”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าก่อนจะหลับตาเพื่อตั้งสติ แม้ว่านางจะไม่ได้ดูตื่นเต้นเท่าเทียนเฉี่ยว แต่ตอนที่นางรู้ถึงตัวตนของเทียนเฉี่ยว นางก็ยังรู้สึกมีความสุขมาก


 


 


ไม่นานหลังจากที่นางมาถึงคุนอู๋และเริ่มเดินทางไปทั่วกับท่านอารอง นางค่อยๆ รู้ตัวว่านางคงไม่สามารถกลับไปที่บ้านได้และนางต้องละทิ้งทุกอย่างในโลกมนุษย์ ถ้านางต้องพูดถึงหนึ่งสิ่งในโลกมนุษย์ที่นางต้องฝืนใจแยกจากมา นั่นคือเทียนเฉี่ยว ดังนั้น เพราะว่านางไม่อาจจะเจอเทียนเฉี่ยวได้อีกตั้งแต่ตอนนั้น นางจึงแอบเสียใจอยู่ลึกๆ


 


 


อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคาดคิดว่าพวกนางทั้งสองจะได้พบกันอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้แน่


 


 


หลังจากตามโม่เทียนเฉี่ยวไปที่ห้องหลังร้าน โม่เทียนเกอสำรวจสภาพรอบตัว มีลานขนาดเล็กที่ด้านหลังของห้องนี้ และแม้ว่าทุกอย่างจะถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ นางก็ยังเห็นได้ว่าเทียนเฉี่ยวและสามีของนางไม่ได้ร่ำรวยสักเท่าไหร่


 


 


โม่เทียนเฉี่ยวเช็ดน้ำตาอีกครั้ง จากนั้นนางสำรวจดูรูปลักษณ์ของโม่เทียนเกอและถามด้วยความประหลาดใจ “เทียนเกอ ทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนี้เล่า”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มเยาะตัวเองและพูดว่า “ข้าไม่มีทางเลือก โลกแห่งการฝึกตนก็เหมือนกับโลกมนุษย์ เป็นผู้ชายก็สบายกว่าหน่อย อย่างไรก็แล้วแต่ เจ้าควรบอกข้ามาก่อนว่าเจ้ามาที่คุนอู๋และ… แต่งงานกับผู้ฝึกตนได้อย่างไร”


 


 


นางยังจำได้ว่าอาอี๊ใหญ่เคยสั่งสอนเทียนเฉี่ยวราวกับเด็กหญิงจากตระกูลเศรษฐี หวังว่าเทียนเฉี่ยวจะได้แต่งงานเข้าตระกูลสูงศักดิ์ โม่เทียนเกอเองก็คิดมาตลอดว่าชีวิตของเทียนเฉี่ยวคงจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่


 


 


โม่เทียนเฉี่ยวหัวเราะหึๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ


 


 


ปรากฏว่าการที่โม่เทียนเกอถูกพาตัวไปโดยผู้เป็นเซียนช่วยเปิดหูเปิดตาของโม่เทียนเฉี่ยวถึงการมีอยู่ของโลกใบนี้ และทำให้นางสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อนางอายุได้สิบหกปี ตระกูลโม่ได้จัดการงานแต่งงานระหว่างตัวนางกับคุณชายจากครอบครัวคนรวยในเมืองเฟยอวิ๋น นางไม่พอใจกับการจัดงานแต่งคลุมถุงชนนี้ เพราะว่า… คุณชายผู้นั้นเป็นแค่คนชั่วช้าจากครอบครัวคนรวย เขาไม่ชอบเรียนหนังสือหรือมีความสามารถที่จะทำธุรกิจได้ หนำซ้ำเขายังเป็นคนเจ้าชู้ ในเมื่อการต่อต้านและคัดค้านการแต่งงานของนางไม่เป็นผล นางจึงแอบหนีออกจากหมู่บ้านตระกูลโม่ อย่างไรก็ตาม ใครจะไปคิดว่าการหนีของนางจะทำให้นางบังเอิญไปเจอเข้ากับผู้ฝึกตนที่ผ่านมา


 


 


เพราะความเคารพที่ตระกูลโม่มีต่อผู้เป็นเซียน และยังเพราะว่าเทียนเฉี่ยวปฏิญาณว่านางจะไม่ยอมตกลงกับการแต่งงานคลุมถุงชนอีก เมื่อผู้ฝึกตนคนนั้นไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดจากการยกเลิกงานแต่งของเทียนเฉี่ยว ตระกูลโม่จึงยอมทำตามความปรารถนาของนางในท้ายที่สุด ในไม่ช้า ผู้ฝึกตนคนนั้นกำลังเตรียมตัวจะไปจากหมู่บ้านตระกูลโม่ เทียนเฉี่ยวผู้ซึ่งใฝ่ฝันถึงโลกแห่งการฝึกตนตั้งแต่แรกจึงตามเขาไปด้วย


 


 


เมื่อนางฟังเรื่องราวของเทียนเฉี่ยวจบ โม่เทียนเกอก็นิ่งเงียบ เดิมทีเทียนเฉี่ยวไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมแพ้เมื่อเจอเคราะห์กรรม ไม่แปลกที่นางจะปฏิเสธการแต่งงานแบบคลุมถุงชน แต่สิ่งที่แปลกคือ เทียนเฉี่ยวจอมดื้อรั้นคนนั้นกลายมาเป็นเทียนเฉี่ยวคนปัจจุบันนี้ได้อย่างไร


 


 


เพราะอย่างนั้น โม่เทียนเกออดจะถามออกไปไม่ได้ว่า “เขาปฏิบัติกับเจ้าดีหรือเปล่า”


 


 


เทียนเฉี่ยวตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่ชั่วครู่ จากนั้นนางจึงพูดว่า “ในตอนแรกเขาดีกับข้ามาก… เราเดินทางไปทั่วในโลกมนุษย์ก่อนที่เราจะมาที่คุนอู๋ พ่อเขาก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกันแต่เขาเสียชีวิตในการต่อสู้ด้วยพลังเวท เมื่อเรามาถึงคุนอู๋ เราจึงอาศัยพึ่งแต่งานฝีมือมรดกของตระกูลเขาเพื่อเปิดร้านค้าเล็กๆ ที่นี่ บางทีชีวิตประจำวันของเราอาจน่าเบื่อเกินไป หรือบางทีอาจเพราะการฝึกตนนั้นยากเกินไป เราค่อยๆ เมินเฉยกันไปทีละนิด…”


 


 


แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าชีวิตแสนน่าเบื่อจะเปลี่ยนเทียนเฉี่ยวให้กลายเป็นเทียนเฉี่ยวคนปัจจุบันได้อย่างไร นางนึกไม่ออกเลยว่าหญิงสาวที่อ่อนโยนและว่าง่ายคนนี้ที่จริงแล้วคือเทียนเฉี่ยวคนที่เคยชอบหัวเราะและเล่นสนุก


 


 


โม่เทียนเฉี่ยวฝืนยิ้มและพูดว่า “อย่าพูดถึงแต่ข้าเลย แล้วเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ระดับการฝึกตนของเจ้าตอนนี้คงจะสูงมากเลยใช่หรือไม่ เมื่อวานตอนที่เจ้าแวะมา สามีข้าบอกว่าระดับการฝึกตนของเจ้าสูงกว่าเขามากนัก”


 


 


โม่เทียนเกอตอบ “ข้าเข้าถึงจุดสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว แต่ยังไม่ได้โอกาสที่จะสร้างฐานแห่งพลัง ตอนนี้ข้าออกเดินทางไปทั่วเพื่อตามหาชะตาลิขิต” นางไม่ได้บอกความจริงไม่ใช่เพื่อจะปิดบังความจริงจากเทียนเฉี่ยว แต่ปิดบังจากสามีของนางต่างหาก ขณะนี้นางยังไม่รู้นิสัยใจคอของเขาได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าถ้านางจะระวังตัวมากสักหน่อย


 


 


โม่เทียนเฉี่ยวไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของการฝึกตนเหล่านี้มากนัก นางจึงถามเพียงว่า “ถ้าเข่นนั้น เจ้าเป็นอย่างไรบ้างในหลายปีมานี้”


 


 


“ปีที่ข้าออกจากหมู่บ้านตระกูลโม่ ข้าถูกพาไปหาท่านอาของข้า หลังจากนั้น ข้าตามท่านอารองออกเดินทางไปทั่ว ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ในที่สุดเราก็ลงหลักปักฐานอยู่ที่หนึ่งและข้ายังได้เข้าสำนักอีกด้วย เนื่องจากท่านพ่อของข้าทิ้งของไว้ให้หลายอย่าง ข้าจึงโชคดีพอที่สามารถฝึกตนได้จนถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ…” โม่เทียนเกออธิบายประสบการณ์ต่างๆ ของนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้คร่าวๆ ไม่ได้พูดถึงบางเรื่องที่ค่อนข้างจะอธิบายยาก


 


 


พูดกันตามตรง นางไม่ได้มีความเห็นที่รู้สึกชื่นชอบอะไรต่อสามีของเทียนเฉี่ยว ดังนั้นนางจึงเก็บหลายๆ เรื่องไว้กับตัว เทียนเฉี่ยวที่เคยมีบุคลิกสดใสร่าเริงได้กลายมาเป็นสุภาพสตรีผู้อ่อนโยนคนนี้ คอยเฝ้าร้านค้าเล็กๆ อย่างขยันขันแข็ง และยอมลดตัวลงแค่เพื่อให้ได้ลูกค้า… หากโม่เทียนเกอไม่ได้ยืนยันด้วยตัวเองว่านี่คือเทียนเฉี่ยว นางก็คงจะไม่เชื่อแน่ๆ


 


 


แต่ความสงบสุขและความเต็มใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ของเทียนเฉี่ยวแม้ว่านางจะถูกทำไม่ดีใส่ ก็ทำให้โม่เทียนเกอต้องสับสน ความรักสามารถเปลี่ยนคนผู้หนึ่งไปได้จริงหรือ


76 

เสียงดังขึ้นจากด้านนอก ไม่นานหลังจากนั้น ประตูที่เชื่อมกับร้านค้าก็เปิดออก ใครบางคนพูดด้วยเสียงเหนื่อยๆ “น้องพี่ ทำไมเจ้าถึงปิดประตูล่ะ”


 


 


เทียนเฉี่ยวรีบยืนขึ้นทันทีและพูดว่า “ท่านพี่ ข้า…”


 


 


นางไม่ทันได้มีโอกาสพูดอะไรเพราะผู้ฝึกตนผู้นั้นเข้ามาในห้องใหญ่แล้ว เมื่อเห็นโม่เทียนเกอ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป สายตาของเขาจับจ้องไปมาระหว่างทั้งสองคนในห้อง ความเดือดดาลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา แต่เพราะระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอ เขาจึงรู้สึกกลัวและยั้งตัวเองไว้


 


 


โม่เทียนเกอเองก็รับรู้ว่าเขากำลังคาดเดาไปต่างๆ นานา ทว่าเทียนเฉี่ยวพูดขัดขึ้นมาว่า “ท่านพี่ ท่านจำที่ครั้งหนึ่งข้าเคยบอกท่านได้ไหมว่าข้ามีน้องสาวที่เป็นคนจากโลกแห่งการฝึกตนน่ะ”


 


 


ผู้ฝึกตนคนนั้นงุนงง เขาดูสับสนขณะที่เทียนเฉี่ยวยังพูดต่อไป “นี่เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าประหลาดใจมาก! คุนอู๋ออกจะกว้างใหญ่ แต่กระนั้นเราก็ยังมาบังเอิญเจอกันเข้าจนได้!”


 


 


ความหมายในคำพูดของนางชัดเจนมากอยู่แล้ว ในขณะที่ชายคนนั้นเปลี่ยนไปมองโม่เทียนเกอด้วยสายตาสงสัย เขาพูดว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่า…”


 


 


โม่เทียนเฉี่ยวดึงมือโม่เทียนเกอมาและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่คือน้องสาวที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง”


 


 


“น้องสาวรึ” เขาจ้องมองผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้าเขา คนผู้นี้ดูไม่เหมือนผู้หญิงนี่…


 


 


พอเห็นความสงสัยของเขา โม่เทียนเกอจึงเป็นฝ่ายนำและยกมือขึ้นเพื่อทำความเคารพเขาพร้อมพูดว่า “ชื่อข้าคือโม่เทียนเกอ”


 


 


แม้ว่าชายคนนั้นจะรีบทำความเคารพกลับทันที แต่สายตาของเขายังคงมีความคลางแคลงใจ


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ เทียนเฉี่ยวจึงอธิบาย “ท่านพี่ เทียนเกอเพียงแค่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพราะว่ามันสะดวกสบายกว่า”


 


 


“อ้อ เข้าใจล่ะ…” เมื่อเขามองโม่เทียนเกออีกครั้ง เขาจึงมีรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าเสียมารยาทมาจนถึงตอนนี้ โปรดอย่าเก็บมาใส่ใจ ข้าคือสามีของเทียนเฉี่ยว เมิ่งซือกุย”


 


 


เมิ่งซือกุย? ชื่อเขาฟังดูซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ โม่เทียนเกอยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ข้าเองที่หยาบคาย”


 


 


หลังจากเห็นทั้งสองคนสุภาพต่อกัน ในที่สุดโม่เทียนเฉี่ยวจึงรู้สึกโล่งอก นางพูดว่า “ท่านพี่ อยู่เป็นเพื่อนเทียนเกอสักครู่หนึ่งนะ ข้าจะไปทำอาหารสักหน่อย”


 


 


เมิ่งซือกุยพยักหน้า “อืม วางใจได้”


 


 


จากนั้นเทียนเฉี่ยวจึงพูดกับเทียนเกอ “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าผู้ฝึกตนไม่ชอบที่จะถูกแปดเปื้อนด้วยพลังวิญญาณของไฟที่มนุษย์ก่อขึ้น แต่ข้าคิดว่าคงจะเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจ้าได้กินอาหารจากบ้านเกิดของเรา วันนี้เจ้าต้องกินเป็นเพื่อนข้านะ”


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้านอะไร นางพูดว่า “แน่นอน! ข้าคิดถึงอาหารพวกนั้นมาก”


 


 


เทียนเฉี่ยวยิ้มและพูดว่า “งั้นก็ดีเลย เจ้าคุยกับพี่เขยของเจ้าไปก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”


 


 


“ตกลง”


 


 


จากนั้นเทียนเฉี่ยวจึงเข้าครัว ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ในห้องใหญ่ เมิ่งซือกุยร้องเรียกออกมา “สหายนักพรตโม่ เชิญนั่งสิ” เพราะว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอสูงกว่าเขามากนัก เขาจึงรู้สึกกดดันเล็กน้อยเมื่อเขาอยู่ต่อหน้านางและไม่กล้าเรียกด้วยชื่อของนาง


 


 


ทั้งคู่นั่งลง โม่เทียนเกอพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านพี่เขย ในเมื่อท่านกับเทียนเฉี่ยวเป็นสามีภรรยากัน เราจึงถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านหาต้องเรียกข้าว่าสหายนักพรต เรียกชื่อข้าโดยตรงย่อมได้” ถึงแม้ว่านางจะยังไม่ไว้ใจเมิ่งซือกุยคนนี้ แต่นางก็ยินดีที่จะสนิทกับเขาให้มากขึ้นอีกนิดเพื่อนึกถึงความรู้สึกของเทียนเฉี่ยว


 


 


คำพูดนี้ทำให้เมิ่งซือกุยถอนหายใจอย่างโล่งอก ความแตกต่างระหว่างระดับห้าและระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน แม้ว่าในนามแล้วเขาจะเป็นพี่เขยของโม่เทียนเกอ แต่เขาก็ยังกังวลเล็กน้อยว่านางจะดูถูกเขา บัดนี้ที่นางลดความตึงเครียดลง เขาจึงค่อยคิดออกว่าจะพูดคุุยกับนางอย่างไรดี


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขาเริ่มจะทำการคิดคำนวณ น้องสาวของเทียนเฉี่ยวยังอายุน้อย แต่นางกลับอยู่ระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว หรือบางทีนางอาจจะมีใครคอยหนุนหลังหรือไม่ หากนางมีจริง ข้าก็อาจจะได้รับการสนับสนุนจากนาง…


 


 


เมิ่งซือกุยยิ้มและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอพูดตรงๆ” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ข้ายังไม่มีเวลาได้ถาม แต่เทียนเกอ ท่านทั้งสองคนจำกันได้อย่างไร”


 


 


โม่เทียนเกอตอบว่า “เมื่อข้ามาที่ร้านของท่านเมื่อวานนี้ ข้าก็มีความสงสัยบ้างอยู่ก่อนแล้วแต่ข้ายังไม่มั่นใจ พอวันนี้ข้าอดไม่ได้ที่จะต้องแวะมาอีกครั้ง ก็ต้องประหลาดใจเมื่อข้าถามนางถึงตัวตนของนาง นางเป็น… ที่จริงแล้วตัวข้าเองก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่อ ทั้งๆ ที่คุนอู๋ออกจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่เราทั้งสองคนก็ยังสามารถบังเอิญเจอกันจนได้!”


 


 


“เมื่อวานหรือ” เมิ่งซือกุยตกตะลึงและมีสีหน้าประหลาดใจปรากฏบนใบหน้า “ที่แท้เมื่อวานท่านก็คือ…” ในสองวันที่ผ่านมา ร้านของพวกเขามีลูกค้าหลายคน นอกจากนี้ เมื่อวานโม่เทียนเกอยังปลอมตัวมาอีกด้วย เขาจึงไม่คาดคิดว่าจะเป็นนาง


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มและพยักหน้า “ข้าเอง”


 


 


เมิ่งซือกุยส่ายหน้า “ข้าไม่สามารถมองทะลุการปลอมตัวของท่านได้เลย”


 


 


“ข้าคงต้องร้องไห้แน่หากท่านพี่เขยมองออก ท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ใช้ความพยายามอย่างมากไปกับการปลอมตัวเป็นชายเช่นนี้ ภายนอกนั้น การแสร้งว่าเป็นชายทำให้อะไรต่างๆ ง่ายขึ้นอีกนิด”


 


 


“นั่นก็จริง” เมิ่งซือกุยพูดพร้อมกับพยักหน้า “จิตใจมนุษย์นั้นช่างชั่วร้าย เราต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอด ถ้าการจัดการของตลาดนัดนี้ไม่เข้มงวดมาก ข้าก็คงไม่รู้สึกดีเช่นกันที่ต้องทิ้งเทียนเฉี่ยวไว้ข้างหลังเพื่อเฝ้าร้านทุกวัน”


 


 


คำพูดของเขาทำให้เขาดูค่อนข้างจริงใจกับเทียนเฉี่ยว แต่โชคร้าย ไม่ว่าคำพูดของเขาจะจริงใจหรือไม่ก็ยังคงน่าสงสัยอยู่ดี หลังจากแอบคิดเช่นนี้ในใจ โม่เทียนเกอยิ้มและพูดว่า “ท่านพี่เขย จากที่เทียนเฉี่ยวบอกข้า ท่านใช้ทักษะงานฝีมือที่ได้สืบทอดมาจากตระกูลของท่านเพื่อเปิดร้านนี้หรือ”


 


 


เมิ่งซือกุยหัวเราะเบาๆ และโบกมือ “ข้าก็แค่พยายามจะหาเลี้ยงชีพ” แล้วเขาก็ถอนใจก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่มีทักษะด้านอื่นๆ ความสามารถของข้าไม่ได้ดีนักและข้าก็ไม่มีกลุ่มให้พึ่งพาอาศัย เส้นทางของการฝึกตนนั้นยากที่จะเดินสำหรับตัวข้า เพราะอย่างนั้นข้าจึงจำเป็นต้องพาเทียนเฉี่ยวให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากอย่างนี้ ข้าทำให้นางผิดหวัง”


 


 


โม่เทียนเกอพูดปลอบใจ “ทำไมท่านพี่เขยถึงรู้สึกท้อแท้เล่า ท่านยังไม่แก่สักหน่อย ยังมีความหวังอยู่เสมอ”


 


 


เมิ่งซือกุยกล่าวว่า “ข้ารู้สถานการณ์ของตัวเองดี กำไรจากร้านค้าเล็กๆ ของข้ามีไม่เพียงพอ และเราก็ไม่สามารถจะหยุดพักได้แม้แต่วันเดียว ข้าไม่มีทั้งเวลาหรือศิลาวิญญาณ เมื่อเทียบกับเทียนเกอ สถานการณ์ของข้าช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “มันเกี่ยวกับโชคด้วย ที่จริงความสามารถของข้าก็แย่มาก”


 


 


“เช่นนั้นเหรือ” เมิ่งซือกุยเผยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจขณะที่เขาพูดว่า “เทียนเกอ ท่านยังเด็กนักแต่ท่านก็อยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว ท่านยังมีหวังในการเข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร…”


 


 


“ข้ามีต้นทุนเป็นรากวิญญาณห้าธาตุ ทีนี้ท่านพี่เขยเชื่อข้าหรือยัง ข้าแค่โชคดีนิดหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนการสร้างฐานแห่งพลังของข้า พูดกันตามตรง ข้าไม่ได้คาดหวังมากนัก…”


 


 


เมื่อเทียนเฉี่ยวกลับมา นางเห็นทั้งสองคนกำลังคุยกันอย่างมีความสุข ทั้งสองคนเป็นผู้ฝึกตน เพราะฉะนั้นหัวข้อที่พวกเขาคุยกันเลยเป็นเรื่องของการฝึกตนไปโดยปริยาย เมิ่งซือกุยมีปัญหาบางอย่างในการฝึกตนที่เขาไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อปรึกษาเรื่องพวกนั้น โม่เทียนเกอซึ่งสังเกตว่าเขาพูดจาค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ นางจึงเล่าให้เขาฟังถึงประสบการณ์ของนางอย่างใจเย็น


 


 


ความรู้เชิงลึกของเมิ่งซือกุยค่อนข้างดีและเขาไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่าที่เขาติดขัดก็เพราะรากวิญญาณของเขาเท่านั้น


 


 


เทียนเฉี่ยวเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำอาหารมาด้วย นางวางชามก๋วยเตี๋ยวใบเล็กข้างหน้าโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอพูดไม่ออก หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดนางก็ถอนใจออกมา ดูเหมือนว่านางกำลังรำลึกความหลังขณะที่พูดว่า “ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ…” นางจำได้ว่าตอนพวกนางยังเด็กและออกเดินทางไปข้างนอก พวกนางมักจะชอบกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อในร้านแผงลอยเล็กๆ ในเมือง แค่ชามเดียวก็ไม่พอ แต่เพราะพวกนางต้องการจะเก็บท้องไว้กินอย่างอื่นบ้าง พวกนางจึงไม่กล้ากินชามที่สอง…


 


 


โม่เทียนเฉี่ยวยิ้มสดใสให้โม่เทียนเกอ ดวงตาของนางเป็นประกาย “ข้าต้องใช้เวลานานเลยนะในการหัดทำ ลองชิมดูสิ!”


 


 


หลังจากชิมไปหนึ่งคำ โม่เทียนเกอก็พยักหน้าบอกว่า “อร่อย! เหมือนกับที่เราเคยกินเลย” อันที่จริง นางลืมไปนานแล้วว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อรสชาติเป็นอย่างไร ช่วงเวลาที่นางอยู่ในหมู่บ้านตระกูลโม่กลายเป็นความทรงจำที่ไกลแสนไกล ไกลเสียจนนางมองข้ามความทรงจำพวกนั้นไปและค่อยๆ ลืมมันไปทีละน้อย อย่างไรก็ตาม นางยังไม่ลืมความรู้สึกที่นางมีเมื่อตอนนั้น เทียนเฉี่ยวเป็นคนเดียวที่จริงใจกับนางเมื่อนางอยู่ตัวคนเดียวและไม่มีใครให้พึ่งพา นั่นคือสิ่งที่นางยังจำได้เสมอ


 


 


หลังจากมื้ออาหารนี้จบลง พวกเขาก็พูดคุยกันอีกสักพักก่อนที่โม่เทียนเกอจะยืนขึ้นและบอกลา


 


 


โม่เทียนเฉี่ยวพูดบ่น “ในเมื่อเจ้าผ่านมาทางนี้ เจ้าน่าจะพักที่บ้านของข้าเสียเลย”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มและส่ายหน้า “เจ้าไม่มีห้องมากพอ ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก คงจะดีกว่าถ้าเจ้าจะพักผ่อนหลายๆ วันก่อน จากนั้นค่อยมาที่โรงเตี๊ยมเราจะได้คุยกัน”


 


 


เทียนเฉี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดนางก็พยักหน้าและพูดว่า “ดีเหมือนกัน สามีข้าคงเข้าใจ”


 


 


ก่อนนางจะกลับ โม่เทียนเกอหยิบขวดหยกออกมาจากกระเป๋าเอกภพ “ตอนนี้ข้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาวิเศษพวกนี้ เจ้าควรรับไป”


 


 


เทียนเฉี่ยวตะลึง แต่นางก็ยืนกรานและดันขวดกลับไป “เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไร เราเป็นพี่น้องกันนะ ไม่ง่ายเลยที่เราจะได้มาเจอกันในแดนต่างบ้านต่างเมือง เป็นธรรมดาที่เราจะนัดพบกัน จะต้องพูดจาสุภาพมากมายไปเพื่ออะไรเล่า”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เจ้าจะเข้าใจเมื่อเจ้ากลับไปถามสามีของเจ้า ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว เท่าที่ข้ารู้ ยาวิเศษพวกนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรแล้ว ข้าแค่แบ่งเพื่อให้มีพื้นที่ว่างเพิ่มเติม ถ้าเจ้าไม่รับไปข้าก็จะขายมันทิ้ง แต่ทำไมเราต้องปล่อยให้คนอื่นได้ประโยชน์ไปง่ายๆ ล่ะ อีกอย่าง มันก็เป็นเพียงแค่ยาวิเศษขวดหนึ่ง แต่เจ้ากลับทำท่าเสียเป็นทางการ เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไร”


 


 


“นี่…”


 


 


“รับไปเถอะ ให้ข้าได้ทำอะไรเพื่อเจ้าในฐานะน้องสาวบ้าง”


 


 


ท้ายที่สุดแล้วเทียนเฉี่ยวรู้สึกซาบซึ้งมาก นางพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ก็ได้ ข้ายอมเจ้า”


 


 


โม่เทียนเกอส่งขวดหยกไปให้ก่อนจะพูดว่า “มีโรงเตี๊ยมของครอบครัวสหายในเมืองนี้ เจ้าไปหาข้าที่นั่นได้ อ้อ ใช่สิ ชื่อที่ข้าใช้ในปัจจุบันคือเยี่ยเสี่ยวเทียน”


77 เป็นเวลาดึกมากแล้วตอนที่โม่เทียนเกอเดินออกมาจากร้านของเทียนเฉี่ยว ร้านอื่นๆ ที่ตลาดนัดปิดร้านกันไปนานแล้ว มีเพียงแสงไฟกะพริบริบหรี่อยู่บนท้องถนนเท่านั้น


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปทางแสงไฟสลัวๆ เหล่านั้น และเดินทางกลับโรงเตี๊ยมของนางอย่างช้าๆ


 


 


ค่ำคืนนั้น นางกับเทียนเฉี่ยวพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาแยกจากกัน ทั้งสองคนไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยๆ ในช่วงปีที่ผ่านมาอีกแล้ว ทั้งคู่ในตอนนี้แตกต่างจากภาพในความทรงจำมาก หลายๆ ประสบการณ์ถูกทบทวนช้าๆ อย่างละเอียด


 


 


เฉกเช่นที่นางไม่ได้คุ้นเคยกับท่าทางของเทียนเฉี่ยวที่ดูอบอุ่นและเหมือนกับสุภาพสตรี เทียนเฉี่ยวเองก็ไม่คาดคิดว่าโม่เทียนเกอจะใช้ชีวิตเช่นผู้ชาย เมื่อระลึกถึงความกระตือรือร้นและบุคลิกที่ร่าเริงของเทียนเฉี่ยว เช่นเดียวกับการเป็นคนพูดน้อยและลักษณะที่สงบเยือกเย็นของนางเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ ความไม่แน่นอนของโลกใบนี้ทำให้โม่เทียนเกอต้องถึงกับถอนใจ


 


 


เพิ่มเติมจากสิ่งนี้ โม่เทียนเกอได้สังเกตไปถึงสามีของเทียนเฉี่ยว กับโม่เทียนเกอ เมิ่งซือกุยนั้นสุภาพมากและไม่พยายามทำตัวสนิทสนมกับนางเกินไป กับเทียนเฉี่ยว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเห็นอกเห็นใจนางมากนักแต่ก็ไม่ได้แย่เกินไปเช่นกัน


 


 


โม่เทียนเกอแอบถามเทียนเฉี่ยวอย่างลับๆ ว่าเมิ่งซือกุยปฏิบัติกับนางดีหรือไม่ เทียนเฉี่ยวเพียงแค่ถอนหายใจและบอกว่านี่เป็นสิ่งที่สามีภรรยาปฏิบัติต่อกัน ในตอนแรกความรู้สึกของทั้งสองคนนั้นแข็งแกร่งมากแต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆ หดหายไปจากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เมิ่งซือกุยไม่ได้ทำแย่กับนาง แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นผู้ฝึกตนในขณะที่นางเป็นเพียงมนุษย์ผู้หญิงธรรมดา สำหรับเขาแล้วการมีความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามนางจึงเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้


 


 


ครั้นได้ยินคำตอบของเทียนเฉี่ยว โม่เทียนเกอก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่ควรเข้าไปยุ่งในความสัมพันธ์ของพวกเขาและไม่ได้พูดอะไรต่อ


 


 


พูดตามความจริง นางค่อนข้างเข้าใจความคิดของเมิ่งซือกุย เขามาที่คุนอู๋ ละทิ้งความรุ่งโรจน์ในโลกมนุษย์เพราะเขาต้องการที่จะเดินในเส้นทางของผู้ฝึกตน อย่างไรก็ตาม เพราะความสามารถของเขาไม่ค่อยดีและต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตแต่ละวัน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกเศร้าและกลายเป็นคนที่ไม่เห็นอกเห็นใจต่อผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเขา


 


 


แต่โม่เทียนเกอก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้นอกจากรู้สึกหดหู่ใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสี่ซ้าห้าปีที่เทียนเฉี่ยวแต่งงานกับเขา ทว่าความรู้สึกระหว่างพวกเขานั้นหมดไปเสียแล้ว ถ้าทั้งคู่เป็นผู้ฝึกตนที่ใช้เวลาส่วนมากไปกับการฝึกตน หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ความรู้สึกแรกเริ่มของพวกเขาจะยังคงเหลืออยู่เท่าไรกัน เมื่อนางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยิ้มอย่างนึกขัน


 


 


แน่นอนอยู่แล้ว คงจะดีกว่าหากนางไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกรักใคร่ นางเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวตลอดชีวิตดีกว่าที่จะต้องกลายเป็นแบบเทียนเฉี่ยว ที่ยกทั้งหัวใจของนางให้กับใครบางคนแต่ไม่ได้รับสิ่งเดียวกันกลับคืน


 


 


เมื่อนางกำลังจะกลับเข้าถึงโรงเตี๊ยม นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความบังเอิญและก็ต้องประหลาดใจ


 


 


เงาของชายสองคนออกมาจากโรงเตี๊ยมและย่องเข้าไปในความมืด


 


 


ถ้าเป็นคนอื่นโม่เทียนเกอคงไม่สนใจ แต่พวกเขาคือเจียงเฉิงเสียนและวัยรุ่นตัวเล็กผู้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้ของเขา! โม่เทียนเกอยืนนิ่งในขณะครุ่นคิด หลังจากที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว นางรีบพรางตัวและตามชายทั้งสองคนไป


 


 


จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอนว่าทำไมเจียงเฉิงเสียนถึงมาอยู่ที่นี่แทนที่จะอยู่ในเขาอวิ๋นอู้หลังจากที่เขาพร้อมสำหรับการสร้างฐานแห่งพลังได้ทันที อีกอย่างนางได้ยินว่าเขาไว้ใจในผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเขา เขามีทั้งระดับการฝึกตนและของมีค่า แต่ไม่ใช่พลังศักดิ์สิทธิ์และความตั้งใจ ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าจะไม่ถูกพบตัวแน่นอน


 


 


ทั้งสองคนก็พรางตัวในขณะที่รีบเดินไปตามถนนอย่างบ้าคลั่ง โม่เทียนเกอต้องใช้ความคิดพอสมควรก่อนที่จะพบหนทางในการตามอยู่ด้านหลังพวกเขาด้วยระยะห่างที่เหมาะสม นางไม่รู้ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน แต่พวกเขาวิ่งติดต่อกันเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้วและนางก็เกือบหลงจากพวกเขาอยู่หลายครั้ง


 


 


หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงและพวกเขาก็เข้าไปยังหมู่บ้านหนึ่ง ทั้งสองคนจึงเริ่มชะลอฝีเท้าลง เมื่อรู้ว่าทั้งสองคนยังสัมผัสไม่ได้ถึงตัวตนของนาง โม่เทียนเกอจึงขยับเข้าไปให้ใกล้อีกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง


 


 


พวกเขาดูเหมือนกำลังมองหาบางอย่าง หลังจากเดินหาอยู่รอบๆ บริเวณ เจียงเฉิงเสียนเริ่มหมดความอดทนและถาม “เจ้าแน่ใจว่าใช่ที่นี่หรือ”


 


 


ชายตัวเล็กขมวดคิ้วตอบ “ศิษย์พี่เจียง ข้าเห็นชายผู้นั้นวิ่งมาที่นี่ ถ้ำเซียนของเขาจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ นี้แน่”


 


 


“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จงรีบไปหามา!”


 


 


“อา ข้า…” น้ำเสียงของชายตัวเล็กดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจียงเฉิงเสียนจะมอบหมายงานที่ยากลำบากให้กับเขาง่ายเช่นนี้


 


 


“อะไร”


 


 


“ไม่มี… ไม่มีอะไร ศิษย์พี่เจียงรอข้าตรงนี้สักครู่ก่อน ข้าจะไปดูรอบๆ”


 


 


“เออ ไปเร็วๆ!”


 


 


หลังจากนั้น ชายตัวเล็กก็เดินจากไปด้วยความไม่เต็มใจเล็กน้อย ทิ้งให้เจียงเฉิงเสียนรออยู่ ณ จุดเดิม


 


 


โม่เทียนเกอครุ่นคิดและตัดสินใจที่จะอยู่กับที่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชายผู้นั้นจะต้องกลับมาหาเจียงเฉิงเสียนเป็นแน่ ดังนั้นคงจะดีกว่าหากนางจะรออยู่ที่นี่


 


 


จากบทสนทนาสั้นๆ ของพวกเขา นางเดาว่าพวกเขาคงมาเพื่อก่อปัญหาให้กับใครบางคน อย่างไรก็ตาม นี่คงไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาในการมาที่นี่จากเขาอวิ๋นอู้ พลังวิญญาณของหุบเขานี้เบาบางมาก ดังนั้นคนที่สร้างถ้ำเซียนที่นี่ต้องเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวแน่นอน นางไม่คิดว่าพวกเขาจะมาสถานที่ไกลจากเขาอวิ๋นอู้ขนาดนี้เพื่อมารบกวนผู้ฝึกตนเดี่ยว มันจะต้องมีเหตุผลอื่นอยู่แน่นอน


 


 


ปริศนานี้ไม่ยากในการที่จะมองออก พวกเขาต้องผ่านตลาดนัด มีปัญหากับใครบางคนที่นั่น และรีบวางแผนที่จะมอบบทเรียนให้กับคนนั้น


 


 


เวลาผ่านไปนานพอสมควรแต่ชายตัวเล็กที่เจียงเฉิงเสียนสั่งให้ไปหาถ้ำยังไม่กลับมา เจียงเฉิงเสียนผู้ซึ่งดูเหมือนจะรอไม่ไหวอีกต่อไป ยืนขึ้นมองไปโดยรอบพร้อมกับบ่นพึมพำ “ทำไมถึงช้านักนะ”


 


 


ในตอนนี้ที่เจียงเฉิงเสียนนั้นไร้ซึ่งการป้องกันตัว หากโม่เทียนเกอจะฆ่าเขา นี่ย่อมเป็นโอกาสแห่งสวรรค์ลิขิต อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ใช่สวีจิ้งจือ นางไม่ได้ทุกข์ทรมานใดๆ จากการสูญเสียในช่วงแห่งความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะสำนักอวิ๋นอู้ถูกทำลายล้าง ดังนั้นนางจึงไม่มีความแค้นเคืองใดต่อเจียงเฉิงเสียน อีกอย่าง ถึงแม้ว่าที่นี่ไม่ใช่เขาอวิ๋นอู้ มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงว่าเจียงเฉินเซียงมีผู้ฝึกตนอาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่สองคน ถ้าพวกเขาสืบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งต่างๆ ก็จะแย่สำหรับนาง ดังนั้น นางจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นเด็ดขาด


 


 


เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง พอดีกับที่เจียงเฉิงเสียนไม่สามารถทนรออีกต่อไปได้แล้ว ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น


 


 


“ศิษย์พี่เจียง! ข้าพบแล้ว!” ชายตัวเล็กวิ่งเข้ามาหาเจียงเฉิงเสียนด้วยความร้อนรนขณะชี้ไปในทิศทางหนึ่ง “มันอยู่ตรงนั้น แต่ม่านพลังบนนั้นยากที่จะทำลายได้”


 


 


“ฮึ่ม!” เจียงเฉิงเสียนพูดด้วยความยโสโอหัง “ข้ามีกระจกทลายสวรรค์อยู่ในมือ จะมีม่านพลังแบบไหนกันที่ข้าทำลายไม่ได้!”


 


 


ชายตัวเล็กพยักหน้าเมื่อเขาพูด “ใช่! ศิษย์พี่เจียง ไปกันเถอะ!”


 


 


“อือ นำทางไป!”


 


 


กระจกทลายสวรรค์? โม่เทียนเกอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ท่านอารองเคยบอกนางว่าอาวุธเวทมนตร์และเครื่องมือวิญญาณลวงนั้นเกิดขึ้นมาเพื่อทำลายม่านพลัง หรือว่ากระจกทลายสวรรค์จะเป็นหนึ่งในนั้น


 


 


นางตามทั้งสองคนอยู่ทางด้านหลัง ไม่นานนางก็พบร่องรอยของม่านพลังตรงช่องว่างระหว่างภูเขาหิน


 


 


ม่านพลังนี้เรียกว่าม่านพลังแสงอาทิตย์ มันหาได้ยาก เป็นม่านพลังหยางระดับสูงสุดและไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป มันมีพลังที่มากกว่าม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุของนางเสียอีก อย่างไรก็ตาม คนที่วางไว้นั้นกลบเกลื่อนร่องรอยได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่


 


 


แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นความคิดเห็นของนาง สำหรับคนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับม่านพลัง การที่จะตามหามันต้องใช้ความพยายามพอสมควร


 


 


เหมือนกับว่าคนที่วางม่านพลังนี้ไว้เป็นคนที่มีความสามารถทีเดียว ด้วยตัวของม่านพลังเองนับว่ายอดเยี่ยมอยู่แล้ว และจุดที่วางม่านพลังเอาไว้นั้นก็เลือกได้ดีทีเดียว


 


 


ทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่ทางด้านนอกของม่านพลัง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพรางตัวอีกต่อไป ด้วยการส่งสัญญาณจากเจียงเฉิงเสียน ชายตัวเล็กตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ไอ้หนุ่ม! อากงของเจ้ามาถึงแล้ว! เร็ว ออกมารับชะตากรรมความตายซะโดยดี!”


 


 


พวกเขารอครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบรับกลับมา


 


 


ชายตัวเล็กจึงตะโกนต่อ “เจ้าคนแซ่เว่ย! คิดว่าพวกข้าจะทำอะไรไม่ได้เพราะเจ้าไม่ออกมาจากที่ซ่อนตัวหรือ ศิษย์พี่ข้ามีเครื่องมือวิญญาณที่จะทำลายม่านพลังของเจ้าอยู่ในมือ ถ้าเจ้ายังไม่อยากตาย ก็จงเชื่อฟังออกมาและมอบยาเพิ่มพลังการก่อเกิดมาให้พวกข้าเสีย! แล้วพวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงงัน ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด? พวกเขามาที่นี่เพราะพวกเขาจินตนาการถึงยาบางอย่างและต้องการมันงั้นหรือ


 


 


ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถปรุงยาได้ นางก็มีความรู้พอสมควรเกี่ยวกับยา ถึงอย่างไรก็ตาม นางไม่เคยได้ยินชื่อยาเพิ่มพลังการก่อเกิดมาก่อน จากลักษณะท่าทางของเจียงเฉิงเสียนและชายตัวเล็กแล้ว อย่างไรก็ตาม มันต้องไม่ใช่ยาวิเศษธรรมดาแน่


 


 


ครั้งนี้ เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นดังมาจากด้านในของม่านพลัง “อ๋อ พวกเจ้าเองสินะ!”


 


 


ชายตัวเล็กหัวเราะพร้อมพูดว่า “พวกเราไม่ใช่อากงเจ้าหรอกหรือ แล้ว…? เอายาวิเศษมาแล้วพวกข้าจะไว้ชีวิต!”


 


 


“ฝันไปเถอะ!” เสียงนั้นฟังดูโกรธเคืองมากขึ้นกว่าเดิม “พวกเจ้าพยายามที่จะปล้นยาวิเศษไปจากข้างั้นหรือ ฝันไปเถอะ! ถ้าเจ้ามีความสามารถพอ ก็มาเอาไปด้วยตัวเอง!”


 


 


“ฮึ่ม! เจ้าคงจะเป็นคนที่ไม่ยอมทำอะไรหากไม่ถูกบังคับสินะ! อย่าได้ลำพองตัวเกินไปนัก!”


 


 


เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนี้ ชายที่อยู่ด้านในเพียงแค่พ่นลมหายใจอย่างรุนแรงและเยือกเย็นโดยที่ไม่ได้พูดอะไร


 


 


ชายตัวเล็กหันหน้ากลับมามองเจียงเฉิงเสียนและถามเกี่ยวกับแผนการของเขา “ศิษย์พี่เจียง?”


 


 


ภายหลังจากลังเลอยู่เสี้ยววินาที สีหน้าที่แน่วแน่ก็ปรากฏออกมาบนหน้าเจียงเฉิงเสียน เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฆ่า! เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยว พวกเราจะต้องเอายาเพิ่มพลังการก่อเกิดที่อยู่กับมันมาให้ได้! ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้องฆ่ามันก็ตาม”


 


 


โม่เทียนเกอค่อนข้างอยู่ห่างจากพวกเขา ดังนั้นนางจึงได้ยินไม่ชัดเจนนัก แต่นางก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินคำว่า “ฆ่า” ผู้ฝึกตนมักจะชื่นชมการมีชีวิต และน้อยคนนักที่จะต่อสู้เพื่อฆ่า นอกเสียจากพวกเขามีความแค้นในอดีตหรือบางทีพวกเขาอาจจะได้ผลประโยชน์จากการทำสิ่งนั้น พวกเขาจะไม่ฆ่าคนอย่างไม่ยั้งคิด


 


 


ผู้ฝึกตนด้านในบอกว่าพวกเขามาเพราะต้องการยาเพิ่มพลังการก่อเกิดที่เขามี สุดท้ายแล้ว ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี่คืออะไร


 


 


ถ้าผู้ฝึกตนคนนั้นเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวจริง นี่จะต้องเป็นเรื่องที่อันตรายกับเขาแน่นอน เจียงเฉิงเสียนนั้นอยู่ในระดับสิบของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณและคนรับใช้ของเขา ชายตัวเล็กคนนั้นก็อยู่ในระดับแปดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณ ยังไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเจียงเฉิงเสียนนั้นยังมีสมบัติอย่างอื่นอีก ถ้าผู้ฝึกตนเดี่ยวต้องต่อสู้กับพวกเขา มันคงจบด้วยหายนะ


 


 


ในขณะนี้ เจียงเฉิงเสียนได้หยิบเครื่องมือวิญญาณออกมา มันคือกระจกจริงๆ น่าจะเป็นไปได้ว่ามันคือกระจกทลายสวรรค์ที่พวกเขาพูดถึง เขาสะท้อนแสงของกระจกเข้าไปที่ม่านพลัง ภายใต้ภาวะที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ กระจกสะท้อนเป็นลำแสงสีเขียวออกมาซึ่งตกกระทบระหว่างหินภูเขา ทันใดนั้นเสียงแตกหักดังขึ้นไปรอบบริเวณและแผ่นม่านพลังก็ลอยออกมาในทันที


 


 


โม่เทียนเกอถึงกับผงะ นางไม่คาดคิดว่าเครื่องมือวิญญาณชิ้นนี้จะทรงพลังขนาดนี้ นางครุ่นคิดถึงพลังนี้ครู่หนึ่ง ถ้าเป็นม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุของนาง มันก็คงจะไม่สามารถต้านทานกระจกนี้ได้นานนัก


 


 


หลังจากที่ม่านพลังถูกทำลาย ถ้ำแห่งผู้อมตะก็เปิดเผยออกมาในทันทีตรงช่องว่างระหว่างภูเขาหิน เจียงเฉิงเสียนและชายตัวเล็กมองหน้ากันก่อนที่จะเคลื่อนที่เข้าไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง


 


 


โม่เทียนเกอยังคงไม่เคลื่อนไหวจากที่ซ่อนของนาง นางรู้สึกสับสนเล็กน้อยแต่สุดท้ายแล้วนางก็ตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่าย เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่นางจะสามารถจัดการได้ และเจียงเฉิงเสียนก็ไม่ใช่คนที่นางต้องการจะยั่วยุให้โกรธ


 


 


เสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากภายในถ้ำ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านในถ้ำซึ่งทำให้นางสงสัยว่าผู้ฝึกตนเดี่ยวถูกฆ่าไปแล้วหรือยัง


 


 


อย่างไรก็ตาม เสียงการต่อสู้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาระยะหนึ่งทีเดียวก่อนที่เสียงการต่อสู้จะหยุดลง และมีคนที่ชุ่มไปด้วยคราบเลือดโซเซออกมาจากถ้ำ โม่เทียนเกอเพ่งมอง นั่นคือเจียงเฉิงเสียน!


 


 


หลังจากที่เขาออกมาจากถ้ำเซียน เจียงเฉิงเสียนก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะหนีไป ท่าทางของเขาทำให้นางสับสนและนางคาดว่าเขาคงบาดเจ็บสาหัสอยู่ไม่น้อยเช่นกัน


 


 


ถึงแม้ว่านางจะรออย่างอดทนอีกครู่หนึ่ง ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากในถ้ำ หลังจากที่ไตร่ตรองเล็กน้อย นางก็แอบปลดปล่อยจิตสัมผัส แต่หลังจากนั้นนางก็ต้องแปลกใจ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในถ้ำเซียนเลย


 


 


หลังจากที่นางมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ นางจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว หยิบกระบี่ป่าขจีออกมาพร้อมกับเดินเข้าไปในถ้ำ


 


 


ภายในถ้ำนั้นเละเทะไปทั่ว การต่อสู้ของพวกเขาช่างดุดัน นางไม่อาจเห็นพื้นผิวดั้งเดิมของถ้ำนี้ได้เลย เพราะมีหินภูเขาที่แตกหักกระจัดกระจายไปทั่ว มีสองศพอยู่บนพื้น ศพแรกเป็นชายตัวเล็กที่เป็นคนติดตามของเจียงเฉิงเสียนในขณะที่อีกศพหนึ่งเป็นของผู้ฝึกตนแปลกหน้า แน่นอนว่าเป็นคนที่พวกเขาเรียกว่า “แซ่เว่ย”


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปด้านหน้าและตรวจสอบพวกเขาอย่างระมัดระวัง ทั้งสองคนไม่มีกระเป๋าเอกภพอยู่กับร่าง ดังนั้นเจียงเฉิงเสียนคงเป็นคนเอาไปเป็นแน่ นางสงสัยเป็นอย่างมากว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดนั้นคุ้มค่าในการต่อสู้และต้องสละชีวิตของคนสองคนเชียวหรือ


 


 


เมื่อนางพิจารณารอบๆ นางเห็นชั้นหนังสือที่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษหิน จากชั้นหนังสือนั้นนางหยิบหยกบันทึกที่ไม่เสียหายขึ้นมา


 


 


เพราะนางกังวลว่าเจียงเฉิงเสียนอาจกลับมา นางจึงไม่กล้าที่จะจัดการกับศพ เมื่อนางออกมาจากถ้ำ นางเดินทางอ้อมออกจากหุบเขาและสุ่มเลือกสถานที่สำหรับซ่อนตัว


 

 

 


ตอนที่ 78 จัดแต่งทรงผม

 

หลังจากวางม่านพลังอำพราง โม่เทียนเกอซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในม่านพลังกำลังจ้องมองแผ่นหยกบันทึกในมือนางพร้อมกับถอนหายใจ


 


 


นางรู้สึกว่านางยิ่งเลือดเย็นมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป นางยังจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก นางมักจะชอบอ่านหนังสือในห้องสมุดของโถงบรรพบุรุษเสมอ ในตอนนั้น นางชื่นชมเหล่าวีรบุรุษที่หนังสือพวกนั้นเขียนถึงเป็นอย่างมาก นั่นคือวีรบุรุษนักกระบี่ที่มีศิลปะการต่อสู้โดดเด่นและออกท่องเที่ยวไปทั่วโลก บัดนี้ที่นางได้เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่นางกลับพบว่าตัวนางไม่อาจจะเทียบกับวีรบุรุษตามแม่น้ำและทะเลสาบในโลกมนุษย์ได้เลย


 


 


บางทีอาจจะกล่าวได้ว่านี่คือกฎเหล็กของโลกแห่งการฝึกตน มีเพียงเซียนเท่านั้น หาใช่วีรบุรุษ ความยุติธรรมเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ผลประโยชน์นั้นคงอยู่ไม่สิ้นสุด


 


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็อดนึกขำตัวเองไม่ได้ เหตุใดนางต้องหาข้ออ้างให้ตัวเองด้วย ตราบใดที่จิตใจนางรู้แน่ชัดแล้วว่าอะไรที่นางสามารถทำได้หรือทำไม่ได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว นางไม่อยากจะเป็นคนไม่ดี แต่ก็ไม่อยากจะทำอะไรเกินตัวเพื่อเป็นคนดีเช่นกัน เรื่องบางเรื่องก็ควรที่จะปล่อยไปดีกว่าหากนางไม่มีพลังมากพอในการรับมือกับมัน หาไม่แล้วไม่เพียงแต่การกระทำของนางจะไร้ประโยชน์ แต่ยังอาจก่อให้เกิดหายนะถึงตายต่อตัวเองได้ นอกจากนี้ ในโลกที่ทุกคนให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตัวเองเป็นอันดับแรก นางไม่คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คนผู้เดียวที่นางสามารถควบคุมได้ก็คือตัวนางเอง


 


 


เมื่อสงบจิตสงบใจลง โม่เทียนเกอแยกส่วนจิตสัมผัส และใส่เข้าไปในหยกบันทึกแผ่นนี้ซึ่งเต็มไปด้วยคำต่างๆ ที่อัดแน่นอยู่ เมื่อนางอ่านผ่านดูคร่าวๆ นางก็ต้องประหลาดใจถึงขั้นสุด เนื้อหานั้น… เกี่ยวกับยาเพิ่มพลังการก่อเกิด ที่คนพวกนั้นพูดถึงอย่างแน่นอน!


 


 


ในหยกบันทึกเขียนไว้ว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดเป็นยามหัศจรรย์ที่ถูกส่งต่อมาจากสมัยยุคอดีตอันไกลโพ้น ถ้าใช้ร่วมกับยาวิเศษอื่น มันสามารถทำให้ฤทธิ์ของยาวิเศษนั้นมีพลังมากขึ้นไม่ว่าผู้ใช้ยาจะอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือดินแดนจิตวิญญาณใหม่ก็ตาม สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำยานี้ไม่ได้แปลกพิสดารอะไรเลย แม้ว่าอายุของพืชวิญญาณที่จำเป็นบางอย่างอาจจะต้องมีอายุเก่าแก่มาก


 


 


นอกเหนือจากฤทธิ์ของยาแปลกประหลาดท้าทายอำนาจสวรรค์บางชนิด ประโยชน์ของยานี้ก็แทบจะไม่มีอะไรเทียบเคียงได้! จากสิ่งที่เขียนอยู่ในหยกบันทึก การทานยาหนึ่งเม็ดระหว่างการสร้างฐานแห่งพลังหรือการก่อแก่นขุมพลังจะเท่ากับการเพิ่มโอกาสำเร็จ


 


 


โม่เทียนเกอตื่นเต้นมากเสียจนนางรู้สึกค่อนข้างมึนหัว นางสงสัยว่าผู้ฝึกตนคนที่เจียงเฉิงเสียนฆ่านั้นไปได้ยามาจากที่ไหน นอกจากนั้นแล้วเจียงเฉิงเสียนรู้ได้อย่างไรว่าเขามียานี้


 


 


นางต้องใช้เวลาสักพักเพื่อดึงสติกลับมา จากนั้นจึงคิดถึงปัญหาอีกหลายข้อ ข้อแรก ในเมื่อฤทธิ์ของยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนั้นมีเอกลักษณ์อย่างมาก นางไม่สามารถปล่อยให้ใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แน่ มิเช่นนั้น ชีวิตน้อยๆ ของนางอาจตกอยู่ในอันตราย ข้อที่สอง นางไม่สามารถปรุงยาเองได้ แต่ในเมื่อความรู้เกี่ยวกับยานี้ไม่อาจยกให้ใครได้ หรือนางควรจะเรียนเรื่องการปรุงยาด้วยตัวเองเสียเลย


 


 


ปัญหาข้อแรกยังจัดการได้ง่าย นางไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวด ดังนั้นนางจึงแค่จำต้องเก็บสูตรยานี้ไว้ให้ดี ปัญหาข้อที่สองนั่นล่ะที่ทำให้นางค่อนข้างรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง


 


 


กฎของการปรุงยานั้นไม่ธรรมดา อาจารย์ปรุงยาต้องคิดหาพืชวิญญาณมากมาย มีความรู้ความเข้าใจอย่างดีในวัตถุดิบเหล่านั้น มีความเข้าใจที่ดีในการควบคุมความร้อน หรือแม้แต่มีการจัดการเวลาที่ดีรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะเปิดเตาหลอม มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้ด้วยทฤษฎี แต่คนผู้นั้นต้องผ่านกระบวนการปรุงหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญอย่างช้าๆ เพราะฉะนั้น อาจารย์ปรุงยาผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปมักจะเกิดมาจากในกลุ่มการฝึกตนหรือเผ่าผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียง แทบไม่เคยเห็นอาจารย์พวกนี้ในหมู่กลุ่มการฝึกตนเล็กๆ หรือผู้ฝึกตนเดี่ยว และต่อให้มี อัตราความสำเร็จของพวกเขาก็มักจะต่ำมาก


 


 


แม้ว่าโม่เทียนเกอจะรู้สึกว่านางถือว่าค่อนข้างร่ำรวย แต่การเรียนด้วยตัวเองเพื่อให้กลายเป็นอาจารย์ปรุงยาด้วยศิลาวิญญาณเพียงสามพันอันก็ยากที่จะทำให้สำเร็จได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่รู้ด้วยว่านางมีความสามารถหรือไม่


 


 


หลังจากศึกษาแผ่นหยกบันทึกนั้นมาสักพัก จู่ๆ นางก็นิ่วหน้า นางเก็บหยกบันทึกและมองออกไปยังภายนอกม่านพลัง สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมาทางนี้


 


 


ในไม่ช้า มีใครบางคนกำลังวิ่งอย่างรีบร้อนมาจริงๆ เสียด้วย เขาคือเจียงเฉิงเสียน!


 


 


หลังจากครุ่นคิดเรื่องต่างๆ โม่เทียนเกออนุมานว่าเจียงเฉิงเสียนคงกลับมาเอาแผ่นหยกบันทึกที่อยู่ในมือนางแน่ เมื่อคนพวกนั้นตาย เขาคงจะประหม่าและรีบออกไป พอตอนนี้ที่เขาคิดทบทวนสิ่งต่างๆ แล้ว เขาคงกลับมาเพื่อตามหาหยกบันทึกแผ่นนั้น


 


 


แม้กระนั้นก็ตาม ในเมื่อหยกบันทึกตอนนี้ตกอยู่ในมือนาง นางไม่เอาออกมาแน่นอน นางคิดว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในถ้ำนั้น เขาจึงไม่น่าจะเจออะไร


 


 


นางสงบจิตใจและรอคอย แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปสักพัก เจียงเฉิงเสียนก็กลับออกไปด้วยท่าทางฉุนเฉียว ไม่ได้รับรู้ถึงตัวนาง “นกกระจิบ” ที่กำลังแอบตาม “ตั๊กแตน” อย่างเขาเลยแม้แต่น้อย


 


 


ด้วยรอยยิ้มบางๆ นางจึงศึกษาสูตรยาต่อไป ที่จริงแล้วนางไม่ได้ให้ค่ากับเจียงเฉิงเสียนอะไรมากนัก เขาเป็นเพียงคนที่ไม่มีอะไรดี แค่มีผู้อาวุโสที่ทรงอำนาจ เขามีทั้งพื้นฐานการฝึกตนและทรัพย์สมบัติ แต่เขากลับไม่ชอบฝึกตนและชอบสั่งคนอื่นทำนั่นทำนี่แทน ทักษะของเขาในการต่อสู้ด้วยพลังเวทไม่ได้เรื่อง ความจริงที่ว่านางตามเขามาตั้งนานแต่เขาก็ยังไม่รับรู้ถึงตัวตนของนางนั้นก็เป็นหลักฐานได้มากพออยู่แล้ว


 


 


จากสิ่งที่เขียนไว้ในสูตรยา ดอกต่านหิมะ หญ้ากักพลังหยาง และดอกบัวเจ็ดกลีบล้วนเป็นพืชวิญญาณสามัญทั่วไปทั้งสิ้น มีเพียงแค่เห็ดหลินจือสีม่วงอายุมากกว่าห้าร้อยปีและต้นเฟิร์นอินทรีดำที่น่าจะหาได้ยาก


 


 


ขณะที่นางศึกษาสูตรยา นางก็ตระหนักว่าการผลิตยาเพิ่มพลังการก่อเกิดคงไม่ง่ายเหมือนอย่างที่จินตนาการเอาไว้ พืชวิญญาณสองชนิดอายุมากกว่าห้าร้อยปีไม่น่าจะหาได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะล้มเหลวในระหว่างกระบวนการปรุงยาอีก… ในช่วงเวลาปกติ นางไม่มีเงินมากพอหาซื้อยานี้แน่นอน แต่ถ้านางกำลังพยายามข้ามผ่านสภาวะติดขัดหรือก้าวไปสู่ดินแดนถัดไป นางจะต้องได้ครอบครองยานี้


 


 


หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็อดจะรู้สึกดีใจไม่ได้ แม้ว่าความเร็วในการฝึกตนของนางจะไม่รวดเร็วนัก แต่ก็ยังถือว่าอยู่ระดับเดียวกับผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณสามธาตุ ความยากสำหรับพวกเขาก็คือการบรรลุผ่านเข้าไปสู่ดินแดนถัดไป ซึ่งเหมือนกับสถานการณ์ปัจจุบันของนาง แต่สูตรยาวิเศษนี้จู่ๆ ก็มาปรากฏขึ้นทันเวลาที่จะใช้ร่วมกับยาสร้างฐานแห่งพลังของนางพอดีเลยไม่ใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงอยากกลับไปและปรึกษาท่านอารอง หรือบางทีนางอาจจะเรียนรู้การปรุงยาวิเศษด้วยตัวเอง เมื่อไหร่ที่นางได้ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี้มา นางก็จะมีความมั่นใจในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย


 


 


ด้วยความคิดเช่นนี้ นางเก็บแผ่นหยกบันทึกและนั่งลงเพื่อทำสมาธิ


 


 


เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับพลังวิญญาณในร่างกายของนาง นางจึงกลัวที่จะฝึกตนต่อ อย่างไรก็ตาม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในตานเถียนและเส้นลมปราณของนาง และพลังวิญญาณมืดก็ยังไม่ได้ส่งผลอะไร นางจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย


 


 


บริเวณนั้นอากาศเย็นและสว่างไสวไปด้วยแสงจันทร์ ในไม่ช้า นางก็เข้าสู่สภาวะเข้าฌาน นางสัมผัสได้ว่าร่างกายของนางหลอมรวมกับโลก ไม่มีความรู้สึก ความนึกคิด หรืออารมณ์ใดๆ แม้แต่ร่างกายนางก็ดูเหมือนจะไม่มีอยู่จริง สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ ราวกับว่าตัวนางคือขนนกที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ราวกับว่านางกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกที่แม้แต่เวลาก็หยุดหมุนและไม่มีอยู่จริง


 


 


ถึงเวลากลางวันแล้วเมื่อนางตื่นขึ้นจากสภาวะเข้าฌาน นางยืนขึ้นและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นใช้วิชาตัวเบาเพื่อรีบไปยังตลาดนัด โดยทั่วไปนางมักจะเดินทางอ้อมในตอนขากลับเพื่อเลี่ยงไม่ให้ผู้คนสังเกตเห็นว่านางมาจากตรงไหน


 


 


เมื่อนางกลับมาที่โรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อร์ก็เข้ามาทักทายนางทันที “ท่านผู้เป็นเซียนกลับมาแล้ว! มีแขกมาหาท่านขอรับ”


 


 


“งั้นรึ” โม่เทียนเกอคิดว่าน่าจะเป็นเทียนเฉี่ยวเพราะพวกนางนัดกันไว้เมื่อวานนี้ ดังนั้นนางจึงถามทันที “แขกอยู่ที่ไหน”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์เดินนำไปอย่างนอบน้อมขณะที่ตอบว่า “เป็นคุณหนูน่ะขอรับ นางยังคอยอยู่ เชิญทางนี้ขอรับ”


 


 


หลังจากเดินนำขึ้นไปชั้นบน เสี่ยวเอ้อร์เปิดม่านของห้องส่วนตัว แน่นอนว่าแขกคือเทียนเฉี่ยว เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเข้ามาในห้อง เทียนเฉี่ยวซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าต่างจึงยิ้มให้


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มให้กลับ แต่นางก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกในทันใดเมื่อเห็นสายตาที่มองแปลกๆ ของเสี่ยวเอ้อร์ ตอนนี้นางกำลังใส่เสื้อผ้าของผู้ชาย ในขณะที่เทียนเฉี่ยวแต่งตัวเหมือนหญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งสองคนกลับดูไม่เหมือนสามีภรรยากัน… เสี่ยวเอ้อร์คนนี้คงจะคาดเดาไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา


 


 


ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงหยิบทองออกมาให้กับเสี่ยวเอ้อร์พร้อมบอกว่า “ขอบใจ”


 


 


ทองก้อนนี้มีน้ำหนักประมาณสองเหลี่ยง [1] ทำให้เสี่ยวเอ้อร์มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าทันที เขาพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เป็นไรเลยขอรับ นายท่านต้องการอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่ บอกข้าได้ไม่ต้องเกรงใจ”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้าและบอกว่า “ไม่ละ เจ้าไปได้”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าด้วยท่าทางประจบประแจงก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ


 


 


เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ออกไปแล้ว เทียนเฉี่ยวจ้องโม่เทียนเกอและพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าใจดีมากนะที่ให้ทองได้โดยง่าย…”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะ “ตรงไหนของข้าที่ใจดีหรือ แค่ของในโลกมนุษย์อย่างทองพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินสำหรับผู้ฝึกตน ไปที่ห้องของข้ากันเถอะ”


 


 


เทียนเฉี่ยวพยักหน้าและตามโม่เทียนเกอไปที่ลานด้านหลัง หลังจากพวกเขาเข้าห้องไปแล้ว นางพูดอย่างระมัดระวังว่า “ข้าอยากจะขอบคุณเจ้าอีกครั้งสำหรับยาวิเศษเมื่อวานนี้”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้าและบอกว่า “เมื่อวานเจ้าก็ขอบคุณข้าแล้ว เจ้าจะสุภาพขนาดนี้กับข้าจริงๆ หรือ”


 


 


“ข้าต้องสุภาพสิ! เมื่อวานสามีข้าบอกว่ายาวิเศษพวกนั้นคือยาผสานพลังวิญญาณ ขวดหนึ่งก็มีราคาอย่างต่ำสองร้อยศิลาวิญญาณแล้ว เราคงต้องเปิดร้านค้าเล็กๆ ของเราทั้งปีเพื่อให้ได้เงินจำนวนเท่านั้น สิ่งที่เจ้าให้มามันมีค่ามากเกินไป”


 


 


เมื่อเห็นว่าเทียนเฉี่ยวยังยืนกรานหนักแน่น โม่เทียนเกอไม่มีทางเลือกจึงต้องบอกว่า “ตกลง ข้ายอมรับคำขอบคุณของเจ้า อันที่จริง ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ข้าก็คงจะลังเลที่จะมอบให้เจ้าเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว เท่าที่รู้ ยาวิเศษของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ข้าจึงเอาออกมาให้เป็นของขวัญสำหรับการพบกัน เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก”


 


 


เทียนเฉี่ยวไม่สามารถหุบยิ้มได้หลังจากได้ยินคำพูดของโม่เทียนเกอ “เจ้าเพิ่งจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ใจดี แต่เจ้าทำเหมือนว่าศิลาวิญญาณหลายร้อยอันนั้นไม่ได้มีราคามากมายด้วยซ้ำ… ถ้าเจ้ายังพูดเช่นนี้อีก อีกหน่อยข้าจะมาขอให้เจ้าเลี้ยงข้าวนะ ในอนาคตระวังไว้ด้วยล่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจ ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ยิ้มให้กัน เห็นพ้องกันไปโดยปริยายว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก


 


 


“จริงสิ! ข้าเตรียมของบางอย่างมาให้เจ้า” เทียนเฉี่ยวกล่าว นางยกห่อที่อยู่ในมือนางขึ้นมา


 


 


“คืออะไรหรือ”


 


 


เทียนเฉี่ยวไม่ได้ตอบ นางเผยรอยยิ้มมีเลศนัยและแกะห่อต่อไป ภายในห่อนั้นมีหวี กระจก เครื่องประดับผมหลายชนิดและต่างหูอยู่ท่ามกลางของอื่นๆ อีกหลายอย่าง


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกงุนงงจึงพูดว่า “ของพวกนี้คือ…”


 


 


เทียนเฉี่ยวดึงโม่เทียนเกอขึ้นมาและดันตัวนางไปที่โต๊ะ ขณะที่นางหยิบกระจก เทียนเฉี่ยวก็พูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเจ้าแต่งตัวเป็นผู้ชายมาสิบปีแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงลืมแล้วว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างไร เมื่อก่อนนั้นเจ้าเป็นคนช่วยข้ามาตลอด ตอนนี้ปล่อยให้ข้าได้ช่วยเจ้าแต่งตัวบ้างสักครั้งนะ”


 


 


“อ๋า”


 


 


“นั่งตัวตรง” เทียนเฉี่ยวปล่อยผมของโม่เทียนเกอสยายลงมาและพูดด้วยความชื่นชม “พวกเจ้าผู้ฝึกตนนี่ใช้ชีวิตง่ายดายจริงๆ เจ้าไม่ต้องพยายามมากในการรักษารูปร่าง ดูผมเจ้าสิ! ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่เคยใส่ใจดูแลผม แต่ถึงอย่างนั้น ผมเจ้าก็ยังเรียบลื่นและจัดทรงง่ายขนาดนี้!”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เจ้าก็เป็นคนที่เกิดมาหน้าตาสะสวย เจ้าพูดถึงข้าทำไมล่ะ”


 


 


“ถึงแม้จะเกิดมาเป็นคนสวย ข้าก็ยังต้องแต่งตัวแต่งหน้าให้สวย ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ธรรมดาก็ไม่อาจเทียบได้กับคนจากโลกแห่งการฝึกตน ลองคิดดูสิ มีผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียดในหมู่ผู้ฝึกตนบ้างหรือไม่ ทุกคนล้วนเป็นคนสวย เจ้ารอดูเถอะ ข้ารับประกันเลยว่าเดี๋ยวอีกสักครู่เจ้าจะต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเจ้าเห็นตัวเอง!” พูดจบ เทียนเฉี่ยวก็เคลื่อนไหวด้วยความว่องไว เริ่มหวีและจัดแต่งผมของโม่เทียนเกอ


 


 


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอก็ค่อนข้างประหลาดใจจริงๆ เมื่อนางจ้องมองเงาของตัวเองในกระจก


 


 


ใบหน้าในกระจกดูมีชีวิตชีวา มีทั้งความนุ่มนวลและสง่างามที่ผู้ชายไม่มี เช่นเดียวกับความกล้าหาญและองอาจที่ผู้หญิงขาดไป การผสมผสานกันของบุคลิกลักษณะเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งดูสวยงามและมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น


 


 


เทียนเฉี่ยวเข้ามาใกล้พร้อมกับความพึงพอใจ นางจ้องมองใบหน้าคล้ายคลึงกันของทั้งสองที่สะท้อนอยู่ในกระจกและพูดว่า “ตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็ก ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าดูดีกว่าข้า ดูตัวเจ้าตอนนี้สิ เจ้าสวยมาก”


 


 


ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอส่ายหน้าและบอกว่า “แบบนี้… ข้ารู้สึกแปลก”


 


 


“อย่านะ!” โม่เทียนเกอกำลังจะเช็ดหน้าของนาง แต่เทียนเฉี่ยวรีบผลักมือของนางออก เทียนเฉี่ยวถามด้วยความสับสน “ข้าต่างหากที่รู้สึกแปลก ทำไมเจ้าต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายด้วย ข้าอยู่ในคุนอู๋มาเกือบสามปีและเห็นผู้ฝึกตนหญิงมากมาย แม้ว่าพวกนางจะเทียบกับผู้ฝึกตนชายไม่ได้ก็จริง แต่คนในโลกแห่งการฝึกตนก็เคารพคนที่แข็งแกร่ง ผู้ฝึกตนหญิงที่ทรงพลังจึงได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน คนไม่กล้าที่จะรังแกพวกนาง”


 


 


คำถามนี้ทำให้โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มขมขื่น นางกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ายังห่างไกลจากการเป็นคนที่แข็งแกร่งน่ะ มีผู้ฝึกตนชายมากมายที่ทรงพลังและถ้าพวกเขาหนึ่งหรือสองคนต้องการที่จะ… ข้าไม่อยากเป็นหญิงบำเรอหรือร่างเตาหลอม”


 


 


เทียนเฉี่ยวจึงตอบว่า “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า แต่ผู้ฝึกตนชายระดับสูงแทบจะไม่เคยปรากฏกายข้างนอกและเจ้าก็มีสำนักคอยหนุนหลังอยู่ น่าจะไม่มีใครกล้าบังคับขืนใจเจ้า ใช่ไหม อีกอย่าง สามีข้าเคยบอกว่าถึงแม้ผู้ฝึกตนจะไม่อาจมี ‘จิตใจบริสุทธิ์และความปรารถนาเพียงน้อยนิด’ แต่พวกเขาก็ยังพยายามที่จะอดกลั้นความปรารถนาทางโลกของพวกเขาเอาไว้ มีเพียงแค่พวกตัณหากลับที่มีอำนาจเท่านั้นล่ะที่อยากจะได้หญิงบำเรอ ส่วนเรื่องร่างเตาหลอมนั้น ทุกคนที่ใช้ร่างเตาหลอมจะถูกเหยียดหยามในหมู่คนจากฝ่ายธรรมะ เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้มีหลายคนนักที่อยากใช้ร่างเตาหลอม”


 


 


แน่นอนว่าโม่เทียนเกอเข้าใจสถานการณ์ได้แจ่มแจ้งกว่าเทียนเฉี่ยว แต่…


 


 


นางถอนหายใจและบอกว่า “เจ้าเข้าใจหรือเปล่าว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์คืออะไร”


 


 


เทียนเฉี่ยวพยักหน้า


 


 


โม่เทียนเกอกล่าวว่า “แม้ว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์จะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย แต่ข้าไม่ยอมให้ตัวข้าเสียทางเลือกไปหรอก” นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อไป “นอกจากนี้ คนที่ใช้ร่างเตาหลอมถูกเหยียดหยามก็เพราะผลประโยชน์ของการใช้ร่างเตาหลอมไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ถ้าผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับนั้นยิ่งใหญ่มากพอ พวกเขาก็คงไม่สนใจว่าจะโดนดูถูกจากคนอื่นๆ หรือไม่”


 


 


เทียนเฉี่ยวรู้สึกว่ามีความลับในคำพูดของโม่เทียนเกอ นางจึงถาม “เจ้าหมายความว่า…”


 


 


เทียนเกอลังเลเล็กน้อย ท่านอารองบอกว่านางต้องไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด แต่นี่คือเทียนเฉี่ยว… จากนั้นนางจึงพูดว่า “ร่างกายของข้าค่อนข้างพิเศษ เห็นได้ชัดว่าร่างของข้านั้นเหมาะสำหรับการฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรือการเป็นร่างเตาหลอม ดังนั้น… ข้าไม่ถือสาอะไรที่ให้เจ้ารู้เรื่องนี้ แต่เจ้าห้ามบอกสามีเจ้าเด็ดขาด ข้าจะมีปัญหาใหญ่แน่ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า”


 


 


การเน้นย้ำเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้โม่เทียนเฉี่ยวตกใจ “มันรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าอย่างจริงจัง นางยินดีจะบอกเทียนเฉี่ยวก่อนเพราะมิตรภาพของพวกนางนั้นแตกต่างและนางก็เชื่อว่าเทียนเฉี่ยวจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ อีกอย่าง เทียนเฉี่ยวคงจะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ฝึกตนคนอื่นนอกเสียจากเมิ่งซือกุย ผู้ที่โม่เทียนเกอไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร


 


 


นอกจากนี้ เทียนเฉี่ยวและสามีของนางก็ไม่รู้ว่านางอยู่กลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มไหน พวกเขารู้จักนางด้วยชื่อสุดแสนจะธรรมดาอย่าง “เยี่ยเสี่ยวเทียน” เท่านั้น เพราะฉะนั้น ต่อให้ข่าวเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ผู้คนก็คงไม่สามารถตามตัวนางเจอได้เร็วนัก ยิ่งไปกว่านั้น นางตั้งใจมานานแล้วว่าจะแยกตัวออกจากสำนักอวิ๋นอู้หลังจากนางสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้แล้ว


 


 


 


 


——


 


 


[1] 1 เหลี่ยง เท่ากับประมาณ 50 กรัม

 

 

 


ตอนที่ 79 โดนปล้น? โดนต้มตุ๋น?

 

โม่เทียนเกอออกจากที่ตลาดนัดเล็กๆ แห่งนี้หลังการเข้าพักหลายวัน


 


 


ถึงแม้ว่านางและเทียนเฉี่ยวจะได้พบกัน แต่สุดท้ายแล้วเส้นทางเดินของทั้งคู่ก็แตกต่างกัน เทียนเฉี่ยวคงไม่มีทางที่จะทิ้งสามีของนาง และโม่เทียนเกอก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะปกป้องเทียนเฉี่ยวและสามี ดังนั้นคงจะดีกว่าที่ต่างคนต่างไปในเส้นทางของตัวเอง


 


 


หลังจากวันแรกโม่เทียนเกอก็ไม่ได้เจอเมิ่งซือกุยอีกเลย แต่อย่างไรก็ตาม นางก็ได้ทิ้งขวดยาบำรุงพลังจิตวิญญาณและเคล็ดลับการฝึกตนบางอย่างไว้กับเทียนเฉี่ยวเพื่อให้เขาก่อนที่นางจะออกมา


 


 


เทียนเฉี่ยวไม่มีรากวิญญาณและโม่เทียนเกอก็ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเทียนเฉี่ยวให้กลายเป็นผู้ฝึกตนได้ นางหวังเพียงแค่ว่าเมิ่งซือกุยจะลองคิดถึงยาเหล่านี้หรือเกรงกลัวระดับการฝึกตนของนาง และปฏิบัติต่อเทียนเฉี่ยวดีขึ้นในอนาคต


 


 


หลังจากเหาะไปทางเหนือเป็นเวลาหลายวัน โม่เทียนเกอก็ถึงอารามของสำนักเทียนเต้า


 


 


ระหว่างเจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในขั้วแห่งท้องฟ้า นอกเหนือไปจากโรงเรียนเจิ้งฝ่าซึ่งตั้งอยู่ในธารน้ำแข็งทางเหนือสุดของขั้วแห่งท้องฟ้า หกกลุ่มที่เหลือตั้งอยู่ที่ขอบเขตของเขาคุนอู๋ ในกลุ่มนี้ สองกลุ่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสำนักเทียนเต้าและโรงเรียนเสวียนชิง ซึ่งบังเอิญตั้งอยู่ตรงข้ามกันของสุดทางเขาคุนอู๋ ที่หนึ่งคือสุดทิศตะวันออก และอีกที่หนึ่งอยู่สุดทิศตะวันตก


 


 


สำนักเทียนเต้าตั้งอยู่ไกลที่สุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกแยกด้วยภูเขาจากพื้นที่ซึ่งเส้นทางฝ่ายอธรรมเจริญรุ่งเรือง


 


 


มีข่าวลือในขั้วแห่งท้องฟ้าว่าบิดาผู้ก่อตั้งสำนักเทียนเต้าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน หนึ่งหมื่นปีที่แล้วเมื่อผู้คนจากฝ่ายธรรมะและอธรรมต่อสู้กัน ชื่อเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ในภายหลัง เขานำศิษย์ของเขาเปิดอารามและตั้งสำนักที่นี่


 


 


กล่าวกันว่า สาเหตุที่เขาเลือกสร้างอารามของเขาที่นี่เพื่อสกัดกั้นถนนที่มุ่งไปยังคุนอู๋ของศิษย์ฝ่ายอธรรม และเพื่อทดสอบความสามารถในการต่อสู้ในศิษย์ของเขา นี่เป็นสิ่งยืนยันว่าบิดาผู้ก่อตั้งสำนักเทียนเต้าเป็นคนที่คิดนอกกรอบ แทนที่จะทำให้ความเข้มแข็งของสำนักกร่อนลง การต่อสู้กับฝ่ายอธรรมทำให้ศิษย์ของสำนักเทียนเต้าเติบโตได้เร็วกว่า


 


 


ความจริงแล้วการวางแผนเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่สำนักเทียนเต้า โรงเรียนเสวียนชิงและสำนักกู่เจี้ยนผู้ซึ่งแข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากสำนักเทียนเต้าก็ไล่ตามกลยุทธ์ “ก้าวหน้าในภัยพิบัติ แตกดับในชีวิตที่อ่อนโยน” อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเป็นผู้คนจากฝ่ายอธรรม ทว่าศัตรูของพวกเขากลับเป็นสัตว์ปีศาจที่อยู่รอบตัว


 


 


เมื่อนางเดินทางถึงภูเขาอวี้เหิงที่ซึ่งสำนักเทียนเต้าตั้งอยู่ นางก็สามารถมองเห็นภูเขามารที่ทอดตัวอยู่ด้านข้างจากระยะไกล


 


 


ภูเขามารเป็นภูเขาหิมะสูงประมาณสามพันลี้ ถึงแม้ว่าจะติดกับภูเขาอวี้เหิงแต่ก็สูงกว่ามาก ตีนเขาปกคลุมด้วยหญ้า ป่าที่เขียวชอุ่ม และหิมะขาวจากบริเวณครึ่งหนึ่งของภูเขาไล่ขึ้นไปจนถึงยอดด้านบน อย่างไรก็ตาม ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์แทงทะลุหมู่เมฆขึ้นไป มันถูกขนานนามว่าภูเขามารนั้นเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในคุนอู๋


 


 


เช่นเดียวกับคนอื่นๆ โม่เทียนเกอได้เพียงแต่ถอนหายใจเมื่อเห็นภูเขามารครั้งแรก ชื่อเสียงที่เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในคุนอู๋นั้นถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอยังมีความรู้สึกที่สับสนปนเปต่อมันอยู่… นี่คือที่ที่พ่อของนางดับสูญ


 


 


เมื่อกล่าวถึงพ่อคนที่นางไม่เคยพบ นางชื่นชมเขาอยู่ในหัวใจ ตอนที่นางเป็นเด็ก แม่ของนางพูดบอกเสมอว่าพ่อของนางเป็นคนที่อ่อนโยน คนอื่นในหมู่บ้านต่างยกย่องว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถทุกครั้งที่พวกเขาพูดถึง หลังจากที่นางมาถึงที่คุนอู๋ เยี่ยจิ่งเหวินก็บอกว่าพ่อของนางเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในทิศตะวันออกของคุณอู๋ ในขณะที่ท่านอารองก็ทั้งเคารพและรักใคร่พ่อของนาง ดังนั้นในใจของนาง พ่อคือผู้ฝึกตนที่ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเป็นน้องชายและสามี


 


 


บางครั้งนางก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ถ้าพ่อของนางยังคงมีชีวิตอยู่ นางจะต้องใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมาด้วยความยากลำบากหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่นางนึกถึงเรื่องนี้ นางก็ได้แต่เตือนตัวเองไม่ให้เป็นคนที่โลภ ท่านอารองดูแลนางมาดีพออยู่แล้ว การที่รับผิดชอบในการเป็นทั้งพ่อและแม่ที่ช่วยเลี้ยงนางจนถึงตอนนี้ ทำงานหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งศิลาวิญญาณให้นางได้ฝึกตนโดยไม่ต้องเป็นกังวล และเดินทางท่องไปกับนางเพื่อให้นางปลอดภัย… ในสิบปีที่ผ่านมา พูดได้เลยว่าท่านอารองนั้นมีชีวิตเพื่อนาง แล้วนางจะบ่นไปเพื่ออะไร


 


 


เพราะกิตติศัพท์อันเลื่องลือของสำนักเทียนเต้า ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนมักรวมตัวกันที่เมืองเล็กๆ ตรงตีนเขาอวี้เหิง


 


 


เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีถนนที่เรียงรายและร้านรวงหรูหราพร้อมด้วยผู้ฝึกตนที่เดินกันไปมาขวักไขว่มากมาย ผู้ฝึกตนส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณแต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ระดับการสร้างฐานแห่งพลัง บางครั้งก็มีคนเห็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนหรือสองคนที่นี่เช่นกัน นี่เป็นการเปิดหูเปิดตาให้กับโม่เทียนเกออย่างมาก สำนักเทียนเต้านั้นแตกต่างจากกลุ่มผู้ฝึกตนอื่นๆ อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับที่นี่ สำนักอวิ๋นอู้เป็นเพียงแค่พื้นที่ชนบทดีๆ นี่เอง


 


 


“สหายนักพรต! รอก่อน!” ระหว่างที่นางเดินบริเวณโดยรอบถนน จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังวิ่งมาทางนาง ทำให้นางต้องรีบหลบลงที่ข้างทาง


 


 


“ไอ้หยา!” ใครบางคนล้มลงบนพื้น ดูเหมือนเป็นวัยรุ่นทั่วไปทั้งรูปร่างและการแต่งกายก็ธรรมดา ระดับการฝึกตนของเขาก็อยู่เพียงแค่ระดับเจ็ดแห่งดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่ได้ดูพิเศษอะไรนัก


 


 


ชายหนุ่มล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา ไม่ได้สนใจถึงท่าทางการระมัดระวังตัวของนาง เขาพูดทั้งหัวเราะ “สหายนักพรตช่างมีปฏิกิริยาที่ว่องไวนัก!”


 


 


โม่เทียนเกอจ้องมองไปที่เขาก่อนที่จะเว้นระยะห่างให้เพิ่มมากขึ้น นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ”


 


 


ชายหนุ่มไม่ได้สนใจในทัศนคติที่เย็นชาของนาง เขายังคงหัวเราะพร้อมพูดว่า “ข้านามว่าเหอปี้เซิง ข้าขอทราบชื่อสหายนักพรตได้หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วก่อนที่จะตอบ “ข้าแซ่เยี่ย สหายนักพรตมีกิจธุระอันใด”


 


 


“โอ้ เช่นนั้นก็คือสหายนักพรตเยี่ยสินะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ท่านคงจะมาร่วมงานรวมพลเซียนใช่หรือไม่ ข้าก็เช่นกัน พวกเราบางคนมาเข้าร่วมงานนี้ ในเมื่อทุกคนมาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน ทำไมพวกเราไม่รวมตัวแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันล่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอถึงกับพูดไม่ออกเมื่อโดนโจมตีด้วยการพูดไม่หยุดของชายหนุ่มผู้ซึ่งอ้างว่าตัวเองชื่อเหอปี้เซิง คนนี้กำลังพูดอยู่กับตัวเอง! แต่เขากำลังพูดถึงบางสิ่งที่เกี่ยวกับการรวมพลเซียน หรือสำนักเทียนเต้ากำลังจะจัดงานรวมพลเซียนอย่างนั้นหรือ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีผู้คนมากมายที่นี่


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย มากับข้าสิ มาช้ายังดีกว่าไม่มา จริงไหม ถ้าพวกเราพลาดโอกาสนี้พวกเราอาจต้องรออีกกว่าสิบปี! ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของคนในกลุ่มข้าจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ทุกคนก็พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บางทีท่านอาจจะเข้าใจถึงการรวมพลมากขึ้นหลังจากนี้!”


 


 


ชายหนุ่มดูจริงใจแต่โม่เทียนเกอไม่ได้ซาบซึ้ง นางเพียงแค่พูด “ขอบใจในความตั้งใจของท่านมาก แต่มันไม่จำเป็น”


 


 


“มันจำเป็นสิ” ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่เข้าใจที่นางปฏิเสธและยังคงแสดงความกระตือรือร้นอยู่พร้อมพูด “สหายนักพรตอย่าได้สุภาพนอบน้อมนักเลย พวกเราล้วนเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวกันทั้งนั้น การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ยังดีกว่าที่ไม่มีอะไรเลย ไปเถอะ เชิญทางนี้”


 


 


เมื่อเขาพูดจบเขาก็ได้นำทางนางไป อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ก้าวเพียงแค่สองก้าว เขาก็หันกลับแล้วมองนางด้วยความร้อนใจ


 


 


โม่เทียนเกอทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อนางเองก็ไม่ได้มีแผนการที่จะทำอะไร นางจึงส่ายหัวพร้อมก้าวตามสหายหนุ่มไป


 


 


เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยินดีที่จะตามมา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างสดใส เขาเดินนำนางเลี้ยวซ้ายและขวาหลายครั้ง พร้อมคุยเล่นเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย ข้าเห็นว่าอายุพวกเราก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไร แต่ระดับการฝึกตนของเจ้าเข้าถึงระดับสิบแล้ว มันเยี่ยมยอดมาก! บางทีเจ้าอาจจะเป็นคนจากกลุ่มผู้ฝึกตนรึ”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหัวและตอบ “ไม่ใช่”


 


 


ความจริงแล้วนางน่าจะอายุเยอะกว่าชายหนุ่มคนนี้ประมาณสามถึงสี่ปีได้ แต่ในเมื่อนางมีรูปร่างที่เล็ก คนส่วนมากจึงเข้าใจผิดว่าอายุน้อยกว่าความจริง


 


 


“หืม? นั่นยิ่งน่าประหลาดใจเข้าไปอีก!” ชายหนุ่มพูดด้วยความอิจฉา “สหายนักพรตเยี่ยจะต้องเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิดเป็นแน่ เป็นไปได้ว่าเจ้าจะได้ถูกยกเว้นจากการทดสอบและผ่านเข้าในสำนักเทียนเต้าได้โดยตรงแน่นอน!”


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบ นางอายุยี่สิบปีแล้วและระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในจุดสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณ ถึงแม้ว่านางจะถูกเปรียบเทียบกับศิษย์ของกลุ่มผู้ฝึกตนขนาดใหญ่ นางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย แม้ว่านางจะเข้าใจว่าระดับการฝึกตนของนางนั้นเร็ว ไม่ได้เป็นเพราะมีพรสวรรค์แต่กำเนิดแต่เป็นเพราะนางทานยาวิเศษไปจำนวนมากทีเดียว


 


 


ถ้านางไม่มีท่านอารองคอยสนับสนุนหรือรางวัลจำนวนมากที่นางได้มาหลังจากการเข้าร่วมสำนักอวิ๋นอู้ มันก็จะถือได้ว่าดีแล้วหากนางจะอยู่ในระดับการฝึกตนเท่ากับชายหนุ่มผู้นี้


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย ข้ายังมีสหายอีกสองคนที่จะมาร่วมงานรวมพลเซียนเช่นกัน ระดับการฝึกตนของพวกเขาอยู่สูงกว่าข้าเล็กน้อย โดยปกติแล้วพวกเราสามคนพยายามฝึกตนอย่างหนัก แทบจะไม่ได้ติดต่อกับใครอื่น ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยพลังเวทเลย ในงานรวมพลเซียนนี้พวกเราจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่จะปกป้องตัวเองก่อนที่จะนึกถึงว่าจะชนะได้อย่างไร พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแลกเปลี่ยนความรู้กับคนอื่นให้มากและเตรียมตัวให้ดีกว่าเดิม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราจะสละชีวิตทิ้งไปไม่ได้”


 


 


ชายหนุ่มพล่ามไม่หยุดจนถึงจุดที่โม่เทียนเกอไม่รู้แล้วว่าเขากำลังพูดถึงอะไร หลังจากนั้นไม่นานหัวข้อก็เบี่ยงเบนไปจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ชายหนุ่มก็ยังคงไม่หุบปาก


 


 


“อา! พวกเรามาถึงแล้ว!” ในที่สุดชายหนุ่มก็หยุดที่หน้าประตูธรรมดาและเคาะเรียก


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอก ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ฟังเขา แต่การที่มีใครบางคนคอยพูดอยู่ข้างหูตลอดเวลามันน่ารำคาญมาก


 


 


ไม่นานประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มตัวสูงยืนอยู่ด้านหลังประตู


 


 


เมื่อเห็นเขา ชายหนุ่มรีบพูด “ท่านพี่หวง ข้าพาแขกมา”


 


 


พอเห็นโม่เทียนเกอยืนอยู่ทางด้านหลัง ชายหนุ่มก็ยิ้มและพูดว่า “ยินดีต้อนรับสหายนักพรต เชิญเข้ามาด้านใน”


 


 


ขณะที่เดินเข้าไปนางเห็นว่าด้านในเป็นเพียงบ้านธรรมดาที่มีสวนหย่อมเล็กๆ ในห้องนั่งเล่นหลักมีคนกำลังนั่งอยู่คนเดียว


 


 


ประตูปิดลงด้วยเสียงอันดังด้านหลังนาง


 


 


ชายหนุ่มตัวสูงพูดกับนาง “สหายนักพรต เชิญด้านในสิ”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นหลัก ชายหนุ่มตัวอ้วนท้วมผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “สหายนักพรตท่านนี้…”


 


 


ชายหนุ่มรีบเดินมาทางด้านหน้าเพื่อแนะนำ “สหายนักพรตเยี่ย นี่คือพี่ชายคนโตของข้า เหอปี้ซิว ท่านพี่นี่สหายนักพรตเยี่ยคนที่ข้าเพิ่งพบวันนี้ ดูสิ อายุเขาพอๆ กับข้าแต่ระดับการฝึกตนของเขาเข้าสู่ระดับสิบแล้ว เขาช่างมีพลังมากนัก!”


 


 


ชายหนุ่มอ้วนที่ชื่อเหอปี้ซิวดูประหลาดใจพร้อมกับพูดว่า “กลายว่าเป็นสหายนักพรตเยี่ยสินะ! น้องสองวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก! เจ้าพาสหายนักพรตผู้ซึ่งมีระดับการฝึกตนถึงระดับสิบทีเดียว!”


 


 


“ใช่แล้วข้าเอง!” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มมั่นใจ หลังจากนั้นจึงพูดอย่างสุภาพ “สหายนักพรตเยี่ยเชิญนั่งและดื่มชาก่อน พี่ใหญ่หวงมานี่เร็ว!”


 


 


“ข้ากำลังไป” ชายหนุ่มแซ่หวงรีบเดินเข้ามาในห้อง


 


 


โม่เทียนเกอนั่งลงตรงเก้าอี้แขกและรับชาพลังวิญญาณที่ชายหนุ่มยื่นมาให้ นางค่อยๆ เป่าชาจนเริ่มเย็นก่อนที่จะจิบเล็กน้อย ในความคิดของนาง นางคิดว่าในเมื่อพี่ชายคนโตคือเหอปี้ซิว และชายหนุ่มแซ่หวงต่างอยู่ในระดับเก้าและดูเหมือนจะเป็นคนที่ทำงานหนัก พวกเขาก็น่าจะมีโอกาสอย่างมากในงานรวมพลเซียนถ้าพวกเขามีศิลาวิญญาณมากพอ


 


 


เมื่อนางวางถ้วยชาลง ทั้งสามคนที่อยู่ด้านหน้านางดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่าในตอนแรก


 


 


โม่เทียนเกอมองไปที่ประตูอย่างสงบนิ่งก่อนถามว่า “สหายนักพรต ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าพวกท่านมีความสุขเกี่ยวกับอะไรกัน”


 


 


ทั้งสามคนที่มองนางและยิ้มอย่างชั่วร้ายพยายามที่จะแสร้งยิ้มแต่ไม่ได้ตอบคำถามนาง ทั้งสามคนต่างมองหน้ากันเอง ชายหนุ่มจึงพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่หวง วันนี้ท่านพอใจกับสินค้าไหม”


 


 


เหอปี้ซิวพยักหน้าพร้อมตอบว่า “ไม่เลวเลย ไม่เพียงแต่ชายคนนี้มีระดับการฝึกตนที่สูง แต่ผิวของเขายังเรียบเนียน หลังจากนี้ถ้าพวกเราขายเขาให้กับหญิงผู้ฝึกตนชั้นสูงหรือบางทีชายผู้ฝึกตนที่ชอบผู้ชายด้วยกัน พวกเราจะต้องได้เงินมหาศาลแน่นอน”


 


 


ทั้งสามคนระเบิดเสียงหัวเราะที่แสดงความต่ำช้าออกมา


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วและถาม “สหายนักพรต พวกท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรกัน”


 


 


ถึงกระนั้น ยังคงไม่มีใครตอบคำถามนาง แต่ชายหนุ่มแซ่หวงพูดกลับมาแทน “จริงสิ… ในเมื่อชายผู้นี้ประสบความสำเร็จในการฝึกตนระดับสูงตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ สมบัติของเขาจะต้องมากมายแน่… ปี่เซิง เจ้าแน่ใจนะว่าเขาไม่ได้มาจากกลุ่มผู้ฝึกตน?”


 


 


“ข้าแน่ใจ” เหอปี้เซิงพูด “ดูเสื้อผ้าแสนจะธรรมดาของเขาสิ อีกอย่างคิดว่าพวกคุณชายจากกลุ่มการฝึกตนจะสงบนิ่งได้เหมือนเขาหรือ”


 


 


“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น… เหตุผลก็เพียงพอแล้ว” ชายหนุ่มแซ่หวงพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “มันคงจะดีมากหากเจ้าหาสินค้าดีๆ เช่นนี้ได้ทุกครั้ง”


 


 


คำพูดของเขาทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ เขาบ่น “พี่หวง นี่ไม่ได้เป็นปัญหาของข้าคนเดียว ทำไมท่านถึงเจาะจงมาที่ข้าเล่า”


 


 


ชายหนุ่มแซ่หวงตอบด้วยท่าทางมั่นใจว่าตัวเองถูกต้องแน่นอน “เจ้าไม่ใช่คนที่จะต้องรับผิดชอบในการล่อเหยื่อหรือไง เห็นไหมล่ะว่าสินค้าแบบไหนกันที่เจ้าพากลับมาเมื่อหลายวันก่อน? พวกเขามีศิลาวิญญาณแค่เล็กน้อย และเครื่องมือวิญญาณก็ขยะทั้งนั้น”


 


 


“แล้วท่านสามารถโทษข้าในเรื่องนั้นได้หรือ ถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่ไปทั่ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมตามข้ามาที่นี่…”


 


 


“ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไม่มีทักษะมากพอหรอกหรือ”


 


 


“ท่าน!!!”


 


 


“พอแล้ว!” เมื่อเห็นว่าเหอปี้เซิงและชายหนุ่มแซ่หวงกำลังจะต่อสู้กัน เหอปี้ซิวจึงตะโกนเพื่อห้ามเพื่อหยุดพวกเขาแล้วพูดว่า “เจ้าสองคนช่วยดูเวลาทีได้ไหม! เร็วๆ เข้าและทำงานกันก่อน!”


 


 


ทั้งสองคนหยิบเครื่องมือวิญญาณของตัวเองออกมาในขณะที่จ้องหน้ากันอย่างไม่เต็มใจ


 


 


โม่เทียนเกอจ้องไปที่พวกเขาพร้อมพูดว่า “สหายนักพรต…”


 


 


“ฮ่าๆ!” เมื่อเห็นท่าทางของนาง เหอปี้เซิงหัวเราะและในที่สุดก็พูดกับนาง “สหายนักพรตเยี่ย ไม่มีผู้อาวุโสสอนเจ้าหรอกหรือว่าจิตใจมนุษย์นั้นเลวทรามและเจ้าไม่ควรที่จะเดินตามคนแปลกหน้ามา”


 


 


โม่เทียนเกอมองทั้งสามคน แต่แทนที่จะตอบนางถามกลับว่า “เจ้าจะทำอะไร”

 

 

 


ตอนที่ 80 ปล้นกลับ

 

โม่เทียนเกอจิบชาจากในถ้วยอย่างช้าๆ ก่อนที่จะตอบ “เหอปี้เซิง [1] เหอปี้ซิว [2] ทั้งสองชื่อเป็นชื่อที่ดี เจ้าเกิดมาทำไม… ทำไมเจ้าต้องฝึกตน พ่อแม่ของเจ้าเป็นคนที่ฉลาดเสียจริง!”


 


 


“ฮึ่ม!” เหอปี้ซิวไม่ได้จับความนัยแฝงจากคำพูดของนาง เขายิ้มยิงฟันที่เห็นแล้วน่ารังเกียจแล้วพูด “คำเหล่านั้นเหมาะกับตัวเจ้าเสียมากกว่า ในการที่ต้องมาพบกับพวกข้า เจ้าควรที่จะเสียใจที่พ่อแม่ของเจ้าให้กำเนิดเจ้ามาและเดินบนเส้นทางของผู้ฝึกตน!”


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ขยับเขยื้อน เบื้องหลังถ้วยน้ำชา มุมปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อย


 


 


ทั้งสามคนมองหน้ากันเองและขว้างเครื่องมือวิญญาณใส่นาง ทันใดนั้น โม่เทียนเกอติดเครื่องรางลงบนตัวของนาง และในทันทีนางก็ไปปรากฏอยู่ทางด้านหลังของทั้งสามคน นางยกมือขึ้น เข็มล่องหนนับร้อยเล่มถูกเขวี้ยงออกไปจากช่องว่างระหว่างนิ้วมือของนาง


 


 


ทั้งสามคนต่างตื่นกลัวและรีบหลบเข็มเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม นางเคลื่อนไหวด้วยความเร็วมาก ทุกคนต่างมีเข็มหลายเล่มแทงเข้าไปตามร่างกาย ระหว่างพวกเขา เหอปี้เซิงเป็นคนที่น่าสังเวชที่สุด ระดับการฝึกตนของเขาต่ำที่สุด ดังนั้นเขารับรู้ถึงสถานการณ์ต่างๆ ช้าเกินไป เมื่อเขาหันกลับ เข็มบินได้ก็ถูกโยนมาที่หน้าอกของเขาแล้ว เขาไม่มีแม้แต่เวลาที่จะต่อกรกับมัน


 


 


“อ๊าก!!!” เข็มนั้นมีความเรียวบางเหมือนขนวัว ขณะที่โดนแทงเข้าไปทั้งสามคนต่างรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและแสบคันในบริเวณนั้นทันที ทั้งสามคนตัวซีดด้วยความหวาดกลัว เหอปี้เซิงผู้ที่ถูกแทงเข้าที่ส่วนสำคัญของร่างกาย ถึงกับโซเซและล้มลงในที่สุด


 


 


โดยไม่ให้เสียเวลา โม่เทียนเกอยกมือขึ้นอีกครั้งทำให้อีกสองคนที่เหลือตื่นกลัวและพยายามที่จะหลบเลี่ยง อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้เข็มลอยไปในทิศทางอื่น ทันใดนั้น แผ่นและธงม่านพลังที่ถูกซ่อนอยู่ตามมุมห้องก็หยุดทำงานและพังลงในที่สุด


 


 


ทั้งสองคนรู้สึกสับสนเมื่อรู้ว่าโดนหลอก พวกเขายืนขึ้น สั่งเครื่องมือวิญญาณที่อยู่ในมือพุ่งเข้าใส่นางทันที


 


 


โม่เทียนเกอเคลื่อนไหวคล้ายผี กระบี่ที่ไม่มีใครรู้ว่าปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่ถูกใช้เพื่อป้องกันการโจมตี นางทำมือเคลื่อนไหวในท่าทางที่รุนแรง ว่องไว และเครื่องมือวิญญาณทั้งสองก็ถูกกระแทกไปในทิศทางอื่น


 


 


ทั้งสองคนพยายามที่จะเรียกเครื่องมือวิญญาณของตัวเองกลับมา แต่โม่เทียนเกอโบกมือของนางอีกครั้ง ทั้งสามคนไม่ทันที่จะมองเห็นว่าโม่เทียนเกอเขวี้ยงอะไรมา พวกเขาเห็นเพียงเถาวัลย์หนามที่โตขึ้นมาจากพื้นและขังพวกเขาไว้อยู่ตรงกลาง


 


 


การต่อสู้กินเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่ทั้งสามคนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของนางโดยสิ้นเชิง โม่เทียนเกอตบมือพร้อมกับกลับไปนั่งที่ ขณะที่ทั้งสามคนในห้องนั่งเล่นถูกมัดไว้ด้วยเถาวัลย์หนามและได้แต่เพียงร้องด้วยความเจ็บปวด


 


 


ในขณะนี้ทั้งสามคนต่างรู้สึกถึงความกลัว ชายหนุ่มแซ่หวงและเหอปี้ซิวผู้ซึ่งร่วมเป็นพยานว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาว่องไวน่ากลัวเพียงไร และเครื่องมือวิญญาณของพวกเขาไร้ประโยชน์ต่อนางแค่ไหน ทั้งสองต่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


 


 


เหอปี้เซิงเรียกตะโกนออกมาอย่างร้อนรน “ท่านพี่ใหญ่ เขา…”


 


 


เหอปี้ซิวไม่มีเวลาที่จะมากังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขาตะโกนใส่โม่เทียนเกอ “เจ้า!!! นี่เจ้าซ่อนระดับการฝึกตนของเจ้าเอาไว้หรอกหรือ!!” ระหว่างผู้ฝึกตนเดี่ยวด้วยกันเอง ระดับการฝึกตนของพวกเขาถือว่าสูงอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่ทั้งสามคนร่วมมือกันมา เมื่อไหร่กันที่พวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้?


 


 


ด้วยรอยยิ้มบางๆ โม่เทียนเกอตอบอย่างเยือกเย็น “ช่างเป็นคนที่ตาต่ำเสียจริง! ทำไมข้าจะต้องซ่อนระดับการฝึกตนของข้าด้วย”


 


 


ความแข็งแกร่งของคนที่ต่อสู้ด้วยพลังเวทไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับของการฝึกตนเพียงอย่างเดียว ทั้งสามคนนี้ต้องการที่จะล่อพวกมือสมัครเล่นให้มาที่นี่เพื่อจะโกงเงิน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน ถ้าผู้ฝึกตนที่ไม่ได้มีกลุ่มการฝึกตนสามารถฝึกตนได้จนถึงระดับสิบแห่งดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ แล้วผู้ฝึกตนคนนี้จะเป็นมือสมัครเล่นเชียวหรือ


 


 


ช่วงเวลาที่นางท่องเที่ยวไปทั่วโลกร่วมกับท่านอารอง นางเห็นการต่อสู้ด้วยพลังเวทระหว่างผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังบ่อยครั้ง อีกทั้งนางก็ได้ประสบกับสถานการณ์เสี่ยงตายต่างๆ ในขณะที่อยู่สำนักอวิ๋นอู้อีก


 


 


คนแบบสามคนนี้ที่วางม่านพลังและใช้ผงเสน่ห์ก่อนที่จะลงมือ คนที่ขาดความระมัดระวังและเชื่องช้านั้นด้อยกว่าเมื่อเทียบกับศิษย์ของสามกลุ่มการฝึกตนเสียอีก แล้วพวกเขาจะเทียบเท่ากับนางได้อย่างไร


 


 


เมื่อตอนที่ชายหนุ่มพูดพล่ามบนถนน โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติได้ทันที แต่ด้วยความที่นางได้ผ่านการต่อสู้ระยะประชิดมามากจึงทำให้มีความกล้ามากมาย เมื่อนางเห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมที่ซุ่มซ่ามของเขา นางก็รู้ได้ทันทีว่าคู่ต่อสู้ของนางไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก


 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ว่างและเบื่อ ดังนั้นนางจึงลองตามมาดู มันคงจะดีที่สุดถ้ามันไม่ใช่กับดัก แต่ถ้าอีกฝ่ายมีความตั้งใจมุ่งร้ายจริง นางก็เพียงแค่ต้องหลอกพวกเขากลับ ด้วยสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอยู่ในมือของนาง นางเพิ่งมีความต้องการเงินอย่างมาก การปล้นคนอื่นเป็นวิธีการหาเงินที่เร็วที่สุด และหากเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไปนางก็คงไม่ทำแบบนี้ แต่ในเมื่อตอนนี้มีคนที่ต้องการจะปล้นนางก่อน แล้วนางจะปล่อยพวกเขาไปโดยที่ไม่ได้อะไรเลยได้อย่างไร


 


 


ย้อนกลับไปตอนที่นางมาถึงที่นี่ นางพบร่องรอยของม่านพลังบางอย่างในห้องและมั่นใจมากขึ้นในสิ่งที่นางสงสัย อย่างไรก็ตาม ม่านพลังนั้นเป็นเพียงแค่ม่านพลังสุริยาแผดเผาที่ไม่ได้สำคัญอะไร นางจึงไม่ใส่ใจอะไรนัก


 


 


“จ..เจ้า…” ชายหนุ่มแซ่หวงเปรยอย่างประหลาดใจ “เจ้าดื่มชาถ้วยนั้นไปแล้วนี่ แล้วทำไม…”


 


 


โม่เทียนเกอยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้งก่อนตอบ “เจ้าพูดถึงผงเสน่ห์ที่อยู่ในชาถ้วยนี้อย่างนั้นหรอกหรือ ยาฟื้นคืนสติสามารถรับมือกับมันได้ดีทีเดียว” หนึ่งในส่วนผสมหลักของผงเสน่ห์คือละอองเกสรดอกไม้หยก หลายปีก่อนหน้านั้นที่โลกมนุษย์ นางถูกวางยาจากใครบางคนที่ใช้ละอองเกสรดอกไม้หยก ตอนนี้เมื่อนางเชี่ยวชาญมากขึ้น แล้วนางจะจำกลิ่นดอกไม้นั้นไม่ได้ได้อย่างไร


 


 


ทั้งสามคนตระหนักรู้ทันทีว่าคนผู้นี้กำลังเล่นเป็นหมูที่จะกินเสือ!


 


 


ชายหนุ่มแซ่หวงมองไปด้านข้างทางเหอปี้เซิงคนที่นอนเหยียดอยู่บนพื้น พร้อมกับสบถคำสาป “ทั้งหมดก็เพราะเจ้า ไอ้โง่นี่! มีตาหามีแววไม่! ครั้งนี้พวกเราจะตายก็เพราะเจ้า!”


 


 


เหอปี้เซิงบาดเจ็บดังนั้นเขาจึงพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม เขาก็พูดด้วยความร้อนรน “เจ้า… เจ้าโทษข้าทุกอย่าง… ได้อย่างไร”


 


 


“แล้วถ้าไม่โทษเจ้า ข้าจะโทษใครได้!” ชายหนุ่มพูดอย่างดูถูก “มันคือคนที่เจ้าพากลับมาไง!”


 


 


ใบหน้าของเหอปี้เซิงเต็มไปด้วยความโกรธ โดยไม่คาดคิดคำพูดเหล่านั้นเหมือนกับสลักลงไปบนอาการบาดเจ็บของเขา ด้วยความโกรธ เขาไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนนอกจากพูดว่า “เจ้า…” เท่านั้น


 


 


ครั้นเห็นน้องชายตัวเองถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ เหอปี้ซิวจึงพูดกลับด้วยความโกรธ “หวงเว่ยเหริน ปกติเวลาที่น้องสองของข้าพาคนกลับมา เจ้าก็ได้ผลประโยชน์อยู่หลายอย่าง! ในเมื่อเจ้าบ่นว่าเขาไม่สามารถทำงานได้อย่างที่เจ้าต้องการ งั้นทำไมเจ้าไม่ทำเสียเองเล่า”


 


 


โม่เทียนเกออยากหัวเราะแทบขาดใจเมื่อนางได้ยินชื่อของชายหนุ่ม หวงเว่ยเหริน… นิสัยที่คดงอ [3] … คนพวกนี้สมชื่อจริงๆ!


 


 


หวงเว่ยเหรินยังคงตะโกนต่อไป “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่ามันจะโง่ดักดานได้ถึงเพียงนี้”


 


 


“เจ้าเองก็ไม่รู้สึกถึงอะไรเช่นกันนี่!”


 


 


“มัน… มันเป็นเพราะข้าเชื่อน้องของเจ้าไง!”


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้เลยว่านางควรที่จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทั้งสามคนนี้น่าจะมีอะไรผิดปกติที่สมองของพวกเขา ในจุดนี้พวกเขายังคงเถียงกันไม่หยุด นี่ทำให้นางรู้สึกว่านางยังไม่บรรลุผลเสียที เฮ้อ…


 


 


นางเคาะลงที่โต๊ะพร้อมพูดว่า “พวกเจ้าเถียงกันพอแล้วหรือยัง”


 


 


สองคนหยุดการโต้เถียงลงในทันที เหอปี้ซิวจ้องไปที่เหอปี้เซิงคนที่นอนไม่ขยับอยู่บนพื้น หลังจากรู้สึกขัดแย้งในตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงขอร้อง “สหายนักพรตเยี่ย… ศิษย์พี่เยี่ย… พวกข้าต้องตาบอดกันเป็นแน่ที่ไม่รู้ถึงอำนาจความสามารถของท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย!”


 


 


หวงเว่ยเหรินร่วมด้วย “ใช่ๆๆ! ทั้งหมดเป็นเพราะพวกข้าตาบอดไปกันเอง พวกข้าไม่ทันได้สังเกตว่าท่านคือปรมาจารย์! ท่านเป็นคนที่น่านับถือและใจกว้าง ได้โปรดอย่าเสียเวลาของท่านกับพวกข้าเลย”


 


 


โม่เทียนเกอมองไปที่พวกเขาแต่ยังคงเงียบเฉย หลังจากที่นางเห็นว่าทั้งสามคนกลัวจนหัวหดนางจึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ “ปล่อยพวกเจ้าไปน่ะหรือ ข้าก็ทำได้นะ… แต่ก่อนอื่นบอกข้ามาว่าพวกเจ้าหลอกมาทั้งหมดกี่คนแล้ว แล้วพวกเจ้าหลอกลวงพวกเขาอย่างไร”


 


 


ทั้งสามคนรู้สึกยินดีเมื่อได้ยินดังนั้น เหอปี้ซิวและหวงเว่ยเหรินหยุดเถียงกัน พวกเขามองหน้ากันเองก่อนที่จะผลักความรับผิดชอบกันไปมา


 


 


“เจ้าบอกเขาสิ”


 


 


“มันคงดีกว่าถ้าเจ้าเป็นคนบอกนะ”


 


 


“ข้าจำไม่ได้แล้ว”


 


 


“ข้าพูดไม่ได้”


 


 


ทั้งสองคนต่างผลักหน้าที่ในการตอบนี้ให้กันไปมาระยะหนึ่ง สุดท้ายหวงเว่ยเหรินก็พูด “พวกข้าทั้งสามเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวจากบริเวณใกล้เคียงกับสำนักเทียนเต้า ด้วยไร้ซึ่งทักษะอื่น พวกข้าไม่สามารถฝึกตนได้สำเร็จ ดังนั้นพวกข้าจึงคิดวิธีการนี้ขึ้นมา… มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นอยู่มากรอบสำนักเทียนเต้า พวกเขาส่วนมากมาเพราะชื่นชมชื่อเสียงของสำนักเทียนเต้าว่าเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคุนอู๋ และหลายคนมาที่ตลาดนัดแห่งนี้เพื่อซื้อสินค้า พวกข้าคิดว่าด้วยผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่ไม่มีใครควบคุมดูแลตั้งมากมาย คงไม่มีใครรู้หากพวกข้าหลองลวงพวกเขามาสักหนึ่งหรือสองคน ดังนั้นพวกข้าจึงเริ่มงานปล้นแบบไร้ต้นทุนนี้ขึ้นมา”


 


 


“ในเมื่อระดับการฝึกตนของพวกเจ้าตอนนี้ก็ไม่ได้ต่ำเลย ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าหลอกลวงคนอื่นมาเป็นเวลานานแล้วหรอกหรือ ด้วยวิธีการของพวกเจ้า อย่าบอกนะว่าไม่เคยเจอเข้ากับปัญหามาก่อน”


 


 


หวงเว่ยเหรินกล่าว “มันมีปัญหาอยู่ข้างนอกนั่นแต่พวกข้าคอยระมัดระวังตัวอย่างดี พวกข้าไม่เคยยุ่งกับคนของสำนักเทียนเต้าและไม่เคยมองหาคนที่มาจากกลุ่มการฝึกตน พวกข้ามองหาเพียงแค่ผู้ฝึกตนต่างถิ่น คนที่ส่วนมากแล้วไม่ได้มีพลังมากมายนัก ถึงแม้ว่าจะมีคนที่เก่งกาจอยู่บ้าง แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทนอยู่ได้เมื่อพวกข้าใช้ม่านพลังและผงเสน่ห์”


 


 


ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ถ้าไม่ใช่เพราะนางเชี่ยวชาญเกี่ยวกับม่านพลังและจำได้ถึงกลิ่นของผงเสน่ห์ บางทีนางอาจจะติดกับดักนี้ได้เช่นกัน


 


 


“คนอื่นๆ เขาโง่พอที่จะถูกหลอกได้ด้วยวิธีการไร้สาระของพวกเจ้าเชียวหรือ”


 


 


ทั้งสามคนดูอึดอัดมากขึ้นเมื่อได้ยินคำถาม เหอปี้ซิวตอบ “พวกข้าเลือกเป้าหมายอย่างชาญฉลาด ถ้าเป็นผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่มาสำนักเทียนเต้าเพื่อแลกเปลี่ยนเคล็ดลับเกี่ยวกับลัทธิเต๋า พวกข้าก็จะแสร้งทำตัวเป็นผู้ฝึกตนสำนักเทียนเต้า ถ้าพวกเขามาเพื่อซื้อสิ่งของ พวกข้าก็จะแสร้งว่ามีเครื่องมือวัสดุคุณภาพสูงอยู่แต่ไม่ทันได้ระวังตัว…”


 


 


“เอ้อ” คนเหล่านั้นโง่ขนาดนั้นเชียวหรือ


 


 


“ช่วงหลังมานี้เพราะสำนักเทียนเต้ากำลังจะจัดงานรวมพลคนอมตะ ก็จะมีคนบ้านนอกหลายคนเป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยเห็นโลกแห่งความเป็นจริงมาก่อน ดังนั้นพวกข้าก็จะ…”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจว่าเขาหมายถึงอย่างไร ด้วยการที่มีผู้ฝึกตนมาที่นี่หลายคน ก็จะมีคนที่ไร้เดียงสามาร่วมด้วยจำนวนไม่น้อย ดังนั้นการหลอกลวงบางคนคงเป็นเรื่องง่าย อีกอย่าง ในช่วงเวลาของงานรวมพลผู้อมตะมันก็จะมีความชุลมุนวุ่นวายเป็นธรรมดากว่าช่วงปกติอยู่แล้ว โดยทั่วไปก็จะไม่มีใครให้ความสนใจพวกเขา ดังนั้นก็จะทำให้คนพวกนี้ยิ่งหยิ่งทะนงในตัวเอง เมื่อพวกเขาเห็นว่าระดับการฝึกตนของนางอยู่สูงเมื่อเทียบกับอายุที่ยังน้อยและเสื้อผ้าที่แสนจะธรรมดา พวกเขาก็คิดว่านางคงเป็นคนไร้เดียงสาและทะเยอทะยานมาก


 


 


“เช่นนั้น… ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเจ้าก็ปล้นของมาได้เยอะเลยสินะ”


 


 


หวงเว่ยเหรินสะดุ้ง เขามองมาที่นางและพูดว่า “ความจริงแล้ว พวกข้าก็ไม่ได้อะไรมากนัก…”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้อะไรมากนักหรือ งั้นพวกเจ้าก็เอาออกมาให้หมด เร็วเข้า เอาออกมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า…”


 


 


“หา”


 


 


“ถ้าพวกเจ้าจะปฏิเสธไม่เอาออกมาก็ไม่เป็นไรหรอกนะ หลังจากที่ข้าหั่นพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ ข้าก็สามารถใช้เวลาได้เรื่อยๆ ในการหาของพวกนั้นอยู่แล้ว”


 


 


มองดูทั้งสามคนอึกอักและสับสนทำให้ความรู้สึกเศร้าซึมของโม่เทียนเกอดีขึ้นทันที การใช้ความโชคร้ายของผู้อื่นเพื่อปลอบประโลมตัวเองนั้นช่างได้ผลยิ่งนัก


 


 


“ท่านพี่ใหญ่” เหอปี้เซิงคนที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้นพูดอย่างขมขื่น “ข้า… ข้าไม่อยากตาย”


 


 


เหอปี้ซิวและหวงเว่ยเหรินต่างดูขัดแย้งอยู่ภายในตัวเอง ทั้งสองคนใช้สายตาเพื่อถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา นางเพียงแค่หัวเราะเบาๆ หันฝ่ามือของนางขึ้นด้านบนทำท่ากวักมือเรียก ทันใดนั้นเข็มบินได้ก็กลับมาอยู่บนมือของนาง รวมถึงเล่มที่ติดอยู่บนร่างกายของคนทั้งสามด้วย เหอปี้ซิวและหวงเว่ยเหรินรู้สึกสบายขึ้น แต่เหอปี้เซิงถูกแทงด้วยเข็มบินได้หลายเล่ม ตอนนี้เมื่อเข็มทั้งหลายถูกถอดออกไปจากร่างกายที่บาดเจ็บของเขาแล้ว เขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันที “ท่านพี่! ท่านพี่! เอาของให้เขาไปเถอะ!”


 


 


เมื่อเห็นความทรมานของเหอปี้เซิง เหอปี้ซิวรีบตะโกนออกมา “ตามนั้นก็ได้! พวกข้าจะให้ทุกอย่างกับเจ้า!”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูด “โยนกระเป๋าเอกภพของพวกเจ้าทั้งหมดมาให้ข้า!”


 


 


ถึงแม้ว่าเหอปี้เซิงจะบาดเจ็บอยู่ แต่เขาก็เป็นคนที่กลัวที่สุด ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่โยนกระเป๋าเอกภพของเขาออกมาด้วยอาการสั่นเทา เมื่อเห็นท่าทางของเขา เหอปี้ซิวกัดฟันและหยิบกระเป๋าเอกภพของตัวเองออกมาเช่นกัน


 


 


ในทางกลับกัน หวงเว่ยเหรินไม่ยินดีที่จะทำตาม ทั้งสองคนจ้องเขม็งไปที่ร่างกายของเขา หลังจากที่จ้องกันอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลั้นใจโยนกระเป๋าของเขาไปทางโม่เทียนเกอ


 


 


หลังจากที่ได้กระเป๋าเอกภพและเปิดดูของด้านในเรียบร้อยแล้ว นางก็เก็บเข้าไปในเสื้อคลุมของนางอย่างสบายๆ


 


 


เมื่อเห็นว่าเหล่าคนโกงและโจรปล้นทั้งสามที่อยู่ด้านหน้ากำลังจ้องมองนางอย่างหงุดหงิด นางยิ้ม หยิบเครื่องรางจากกระเป๋าเอกภพของนางและโยนไปด้านหน้า


 


 


“ตู้ม!” ห้องนั่งเล่นทั้งห้องปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ หลังจากนั้นทั้งสามคนตะโกน “เจ้าไม่รักษาสัญญา! เจ้าบอกว่าจะไว้ชีวิตพวกข้ามิใช่หรือ!”


 


 


โม่เทียนเกอหันกลับและเดินไปที่ประตู ในขณะที่โบกมือนางก็พูดว่า “เจ้าไม่ได้ส่งของทุกอย่างที่เจ้ามี ในเมื่อของที่เจ้าให้มามันไม่พอให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าทั้งหมด ข้าก็จะเอาชีวิตของพวกเจ้ามาครึ่งหนึ่งแทน”


 


 


เมื่อนางเดินออกไปจากบ้าน ก็ใช้เวลากำหนดเส้นทางของนางอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเดินช้าๆ ไปที่ถนนบนเส้นทางของนาง


 


 


ทั้งสามคนนั้นไม่ได้มอบของทั้งหมดมาให้ แต่โม่เทียนเกอไม่ใช่โจรเต็มตัว นางขี้เกียจที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ของเหล่านั้นมา ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ฆ่าพวกเขา แต่นางก็ได้ให้บทเรียนเพื่อระบายความโกรธของนาง ไฟที่ก่อขึ้นนั้นมากพอที่จะทำให้พวกเขาตายไปครึ่งหนึ่ง


 


 


นางมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าเมื่อนางมาถึงที่ถนน เพียงแค่หนึ่งเครื่องรางหลบหนีและหนึ่งเครื่องรางไฟนรก แต่นางกลับได้ครอบครองศิลาวิญญาณจำนวนหลายร้อยอัน ธุรกิจด้านนี้นั้นเยี่ยมยอดจริงๆ!


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหอปี้เซิง (何必生) (Hé Bìshēng) คำว่า เหอปี่ หมายความว่า “ทำไมต้อง” และเซิงสามารถหมายถึง “เกิดมา”


 


 


[2] เหอปี้ซิว (何必修) ซิว ในที่นี้หมายถึง “การฝึกตน”


 


 


[3] หวั่งเหวยเหริน (枉为人) ออกเสียงคล้ายกับคำว่า หวงเหวยเหริน (黄为仁) แต่มีความหมายว่าความประพฤติ/พฤติกรรมที่คดงอ

 

 

 


ตอนที่ 81 ปรุงยาวิเศษ

 

เมื่อจัดการปัญหากับเจ้าสามคนโชคร้ายนั้นได้แล้ว โม่เทียนเกอจึงออกไปมองหาที่ที่จะใช้พักผ่อน


 


 


เป็นไปตามคาดสำหรับงานรวมพลเซียน ถนนหนทางเต็มไปด้วยผู้คน โรงเตี๊ยมหลายแห่งที่โม่เทียนเกอแวะไปล้วนเต็มจนหมด เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงต้องเช่ากระท่อมราคาแสนแพงจากสำนักเทียนเต้า


 


 


ในไม่ช้า นางมุ่งหน้าไปที่ร้านค้าซึ่งเป็นของสำนักเทียนเต้านามว่า โถงร้อยหญ้า


 


 


ด้วยงานรวมพลเซียนที่กำลังใกล้เข้ามา ร้านขายยาจึงแน่นเอี้ยดไปด้วยผู้คนที่กำลังซื้อยาวิเศษแทบจะทุกชนิด มีเพียงมุมเดียวที่ไร้ลูกค้า ชายชราในระดับสองของการหลอมรวมพลังวิญญาณที่อยู่ในชุดศิษย์นอกเวลาของสำนักเทียนเต้ากำลั่งนั่งสัปหงกอยู่ตรงนั้น


 


 


โม่เทียนเกอสังเกตรอบๆ ตัวอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากพบว่ามุมสงบนั้นคือที่ที่เอาไว้ซื้อขายพืชวิญญาณ นางจึงตรงไปที่มุมนั้นทันทีและเคาะเรียกที่โต๊ะคิดเงิน


 


 


ชายชราที่คุมโต๊ะคิดเงินลืมตาขึ้นและจ้องมองนางก่อนจะถามอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านมาซื้อหรือมาขาย”


 


 


ท่าทางของเขาเฉยเมย นางจำได้ว่าเมื่อตอนที่นางยังไม่ได้เข้าสำนักอวิ๋นอู้และมีระดับการฝึกตนต่ำ พนักงานในร้านค้าของสำนักอวิ๋นอู้ยังปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท ในขณะที่สำนักเทียนเต้าแห่งนี้อวดอ้างว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคุนอู๋ แต่แค่ศิษย์นอกเวลาของพวกเขาก็ยังหยิ่งยโสถึงเพียงนี้…


 


 


ถึงอย่างนั้น นางไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะมาทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้จึงพูดไปแค่ว่า “ข้าอยากซื้อพืชวิญญาณนิดหน่อยเพื่อปรุงยาวิเศษ”


 


 


“อ้อ” ชายชราพูดขณะที่กวาดตามองทั่วตัวนาง เขาคงคิดว่านางเป็นอาจารย์ปรุงยาจึงถามว่า “พืชประเภทไหน จำนวนเท่าไร”


 


 


โม่เทียนเกอตอบ “ทุกประเภทที่จำเป็นสำหรับยาวิเศษชั้นหนึ่ง ของพวกนั้นราคาเท่าไร”


 


 


“อ้อ…” คำว่า ‘อ้อ’ ครั้งนี้ต่างไปจากครั้งแรกมันเป็น ‘อ้อ’ ที่ยาวมาก ประกายสดใสวาบผ่านดวงตาของชายชราขณะที่เขามองนาง จากนั้นเขาจึงถามว่า “ท่านสหายนักพรต นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านหัดปรุงยาวิเศษใช่หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถปรุงยาได้ และก็มีคนจำนวนมากที่สนใจในการเรียนรู้ศาสตร์นี้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังความจริง


 


 


ชายชรากล่าวว่า “ข้ามีสูตรบางอย่างสำหรับยาวิเศษที่ใช้กันทั่วไป ท่านสหายนักพรตสนใจหรือไม่”


 


 


แผนดั้งเดิมของโม่เทียนเกอก็คือซื้อสูตรยาเล็กน้อยหลังจากนางซื้อพืชวิญญาณแล้ว แต่ในเมื่อชายคนนี้เป็นฝ่ายถามก่อน นางจึงรับโอกาสนั้นไว้ “ถ้าสหายนักพรตมี ข้าก็ยินดีที่จะซื้อ”


 


 


พอได้ยินคำตอบของนาง ท่าทางเฉยเมยของชายชราเปลี่ยนไปทันที เขายิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่าข้ามี ข้ามีสูตรสำหรับยาบำรุงพลังวิญญาณ ยาบำรุงครอบจักรวาล ยาฟื้นคืนสติ และอีกมากมาย ถ้าท่านสหายนักพรตต้องการ ข้าสามารถให้ราคาถูกลงได้ เอาเป็นว่าสามศิลาวิญญาณต่อหนึ่งสูตรดีไหมขอรับ”


 


 


ยาวิเศษพวกนั้นเป็นยาวิเศษสามัญที่สุดในโลกแห่งการฝึกตน สูตรยาของมันไม่ได้หายาก มันมีอยู่ทั่วไปทุกที่และราคาถูก อย่างไรก็ตาม มันจะถือว่าราคาถูกก็เมื่อเปรียบเทียบกับสูตรยาอื่นๆ ที่มักจะมีราคาหลายร้อยศิลาวิญญาณ ราคาสามศิลาวิญญาณสำหรับศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนไม่ได้จัดว่าถูกเลย ในเมื่อปกติพวกเขาได้รับศิลาวิญญาณเพียงแค่ประมาณห้าอันต่อเดือนเท่านั้น แม้แต่คนที่ขยันในการพยายามหาเงินก็ยังได้รับศิลาวิญญาณเพียงแค่สิบถึงยี่สิบอันเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนเดี่ยวเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้น ชายชราจึงเฝ้ามองสีหน้าของโม่เทียนเกอทันทีหลังจากเขาพูดจบ


 


 


เมื่อชายชราสังเกตว่านางไม่ได้ตอบในทันที เขาจึงกระซิบว่า “ท่านสหายนักพรต นี่ไม่ใช่ราคาของที่ร้านนะ ถ้าท่านไปเลือกซื้อในร้านค้าอื่นๆ พวกเขาล้วนจะคิดท่านด้วยราคาห้าศิลาวิญญาณทั้งนั้นล่ะ ท่านไม่มีทางจะซื้อมันได้ในราคาถูกขนาดนี้หรอก”


 


 


การเงียบไปชั่วขณะของโม่เทียนเกอเป็นเพียงความเคยชิน นางไม่ได้ร่ำรวยมาก ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่นางซื้อของ นางจึงพยายามจะประหยัดศิลาวิญญาณเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างนั้น แทนที่จะตอบไปโดยตรง นางต้องใคร่ครวญถึงการซื้อครั้งนี้ในใจเสียก่อน


 


 


ตอนนี้นางเข้าใจความหมายของชายชราแล้ว นางเข้าใจว่าชายชราคนนี้กำลังทำการซื้อขายส่วนตัว ดังนั้นศิลาวิญญาณก็จะเข้ากระเป๋าของเขาเอง นั่นเป็นสาเหตุเบื้องหลังของพฤติกรรมเขา


 


 


ขณะที่ถูกโม่เทียนเกอจ้องมอง ชายชราไม่ได้รู้สึกอับอายแม้แต่น้อยและเพียงแค่ยิ้มให้


 


 


หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอจึงพูดว่า “ตกลง เอาสูตรยามาให้ข้า ข้าจะเลือกบางอย่าง ในขณะเดียวกันเจ้าควรจะไปเตรียมวัตถุดิบที่ข้าต้องการมาซะ”


 


 


ชายชรายิ้ม เขาคว้ากระดาษที่ทำจากหนังสัตว์และยื่นให้นาง


 


 


โม่เทียนเกอเลือกสูตรยาสามอย่างที่อยู่ในกระดาษ


 


 


ชายชราเหลือบมองนางและถามว่า “สหายนักพรต ท่านต้องการวัตถุดิบมากแค่ไหนหรือ”


 


 


หลังจากครุ่นคิด โม่เทียนเกอจึงตอบว่า “เอาวัตถุดิบมาอย่างละหนึ่งร้อยส่วน นอกจากนั้น เพิ่มวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับยาบำรุงพลังวิญญาณ ยาซ่อมไขกระดูก และก็ยาศักดิ์สิทธิ์ เอามาหนึ่งร้อยส่วนต่อแต่ละอย่าง”


 


 


หนึ่งร้อยส่วนต่อของแต่ละอย่างนั้นยิ่งกว่ามากพอ แม้ว่าชายชราจะค่อนข้างประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและแค่หันกลับไปหยิบกระดาษหนังสัตว์อีกแผ่นออกมาจากโต๊ะ เขาเลือกวัตถุดิบจากตู้ยาที่อยู่ข้างหลังและห่อมันแยกตามประเภท ของบางประเภทที่ต้องเก็บให้สดใหม่ถูกบรรจุไว้โดยใช้กล่องหยก


 


 


“นี่คือวัตถุดิบของยาวิเศษหนึ่งร้อยส่วนตามสูตรขอรับ ท่านควรจะเก็บไว้ให้ดี”


 


 


บนโต๊ะคิดเงินมีกองของต่างๆ วางอยู่ทั่ว แผ่นหยกบันทึกหลายแผ่นวางไว้อยู่บนกล่องหยก เมื่อนางตรวจดูหยกบันทึกและเห็นว่ามันเป็นสูตรยาวิเศษที่นางขอซื้อจริง โม่เทียนเกอจึงถามตรงๆ ว่า “ข้าควรจะต้องจ่ายด้วยศิลาวิญญาณจำนวนเท่าไหร่”


 


 


ชายชราสังเกตสภาพรอบข้างด้วยดวงตาเป็นประกาย หลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจเขาจึงพูดว่า “วัตถุดิบพวกนี้… ในเมื่อท่านซื้อมากมายหลายอย่าง ข้าจะคิดราคาถูกลงเพื่อท่านหนึ่งร้อยห้าสิบศิลาวิญญาณ สูตรยาสามสูตรมีราคาเก้าศิลาวิญญาณ ทั้งหมดก็หนึ่งร้อยห้าสิบเก้าศิลาวิญญาณขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า นางหยิบศิลาวิญญาณออกจากกระเป๋าเอกภพและนับอยู่หลายครั้งก่อนจะส่งให้ การทำตัวรอบคอบมากขึ้นอีกหน่อยทำให้คนอื่นเห็นว่านางคิดว่าศิลาวิญญาณจำนวนเท่านี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย การทำเช่นนี้เพื่อเลี่ยงการกระตุ้นความละโมบของคนอื่นๆ ในกรณีที่พวกเขาเห็นว่านางซื้อของในครั้งนี้


 


 


เขตนี้แตกต่างกับสำนักอวิ๋นอู้ซึ่งมีท่านอารองอยู่ใกล้ๆ เมื่อมีท่านอารองอยู่เคียงข้าง นางก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าคนจะอิจฉาเมื่อพวกเขาเห็นนางใช้จ่ายศิลาวิญญาณไปมากมาย เพราะว่าการใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นถือว่าเป็นปกติของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง


 


 


ชายชรารับศิลาวิญญาณไปด้วยความยินดีและพูดว่า “ขอบคุณที่ซื้อขอรับ” เขาหลอกลวงเอาศิลาวิญญาณเก้าอันมาได้อย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่ธุรกิจเล็กๆ อย่างแน่นอน


 


 


หลังจากเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าเอกภพ โม่เทียนเกอก็ถามต่อไปว่า “เจ้ามีเตาหลอมยาขายที่นี่หรือไม่”


 


 


พอได้ยินคำถามของนาง ชายชราก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง “ท่านสหายนักพรตถามเรื่องนี้ได้พอดิบพอดีเลย ข้ากำลังจะเอาออกมาขายอยู่พอดีเชียว แม้ว่าคุณภาพอาจจะไม่ดีมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับคนที่เพิ่งจะเรียนรู้การปรุงยา แต่แน่นอนว่าถ้าท่านต้องการซื้อเตาหลอมยาคุณภาพสูง ท่านน่าจะไปที่ร้านค้าพิเศษของสำนักเทียนเต้าของเรา ‘โถงพันเครื่องมือ’ อยู่ร้านข้างๆ นี่เอง”


 


 


โม่เทียนเกอตอบว่า “ข้าเพิ่งจะเริ่มเรียน ไม่จำเป็นต้องใช้เตาหลอมยาคุณภาพดีหรอก ตอนนี้ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้ามีเตาหลอมยาแบบไหนบ้าง”


 


 


ชายชราพยักหน้าและเอาเตาหลอมยาหลายเตาออกมาจากใต้โต๊ะคิดเงิน ขณะที่เขาจัดเรียงบนโต๊ะ เขาก็พูดว่า “เชิญดูได้ขอรับ”


 


 


ในหมู่เตาหลอมเหล่านั้น อันที่เล็กที่สุดขนาดเพียงแค่ประมาณหนึ่งตารางฟุต ส่วนอันที่ใหญ่สุดสูงอย่างน้อยสามฟุต โม่เทียนเกอนึกถึงเตาหลอมยาของฉินซีที่นางเคยเห็นมาก่อน มันดูเหมือนจะสูงแค่ประมาณหนึ่งฟุตแต่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังวิญญาณ คาดว่าขนาดของเตาหลอมยาคงไม่มีความเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการปรุงยา ดังนั้นนางจึงสุ่มเลือกเตาเล็กมาและถามว่า “เตานี้กี่ศิลาวิญญาณ”


 


 


“ทั้งหมดราคาเดียวกันขอรับ นั่นคือสิบห้าศิลาวิญญาณ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า นางนับศิลาวิญญาณสิบห้าอันออกมา จากนั้นเก็บเตาหลอมยาลงกระเป๋าเอกภพของตัวเอง


 


 


บัดนี้ที่สินค้าถูกขายออกไปและตกลงกันเรื่องเงินเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายจึงรู้สึกพอใจมาก โม่เทียนเกอออกจากโถงร้อยหญ้าไปโดยมีคำพูดลา ‘เราจะรอท่านกลับมาอีกนะขอรับ!’ ของชายชราตามมา ความรู้สึกขนลุกเกิดขึ้นในร่างของนาง นางไม่รู้ว่าทำไม ทว่าเมื่อนางได้ยินเสียงชายชรา ก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับเสียงที่พวกพ่อเล้าในซ่องบนโลกมนุษย์ใช้กันเวลาส่งแขก


 


 


โม่เทียนเกอวางม่านพลังเป็นอย่างแรกทันทีหลังจากที่นางกลับมาถึงกระท่อมชั่วคราว จากนั้นนางเอาเตาหลอมยาที่นางซื้อออกมาทำความสะอาดก่อนจะวางไว้ข้างหน้านาง หลังจากนั้นจึงหยิบหนังสือออกมาหลายเล่มและเริ่มเปิดดู


 


 


ท่านอารองครั้งหนึ่งเคยบอกว่าแทบจะไม่มีใครในกลุ่มเยี่ยเลยที่เคยเรียนด้านการปรุงยา มีเพียงแค่อาจารย์ปรุงยาไม่กี่คนเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเวลานานแล้ว ผลก็คือพวกเขาไม่มีวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงยามากนัก บางอย่างที่ยังเหลืออยู่ก็หายไปเมื่อกลุ่มเยี่ยย้ายออกจากเขาชิงเหม็ง


 


 


โชคดีที่นางได้รับหนังสือหลายเล่มมาเมื่อสองสามปีก่อนในหุบเขาหมีอู้ ในหมู่หนังสือพวกนั้นมีหนึ่งเล่มที่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการปรุงยาวิเศษ เนื่องจากหนังสือเล่มอื่นๆ ค่อนข้างดี เทียบกันแล้วหนังสือเล่มนี้จึงน่าจะพอใช้ได้ โม่เทียนเกอหยิบหนังสือออกมาและเริ่มศึกษา


 


 


ยาวิเศษที่ธรรมดาที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณคือยาบำรุงพลังวิญญาณ เพราะฉะนั้นนางจึงต้องเริ่มจากการปรุงยานี้


 


 


นางเอาวัตถุดิบหลากหลายชนิดออกมาก่อนจะทบทวนดูทุกสิ่งที่นางจำเป็นต้องใช้ อย่างเช่น ไฟของจริงสำหรับการปรุงยาและการใช้ท่าทางมุทราหลายท่า หลังจากยืนยันแน่แล้วว่านางเข้าใจทุกอย่างถ่องแท้นางจึงวางหนังสือลง


 


 


จากนั้นนางนั่งลงบนเสื่อสวดมนต์และรวบรวมพลังวิญญาณในตานเถียน ชั่วขณะต่อมา เส้นใยพลังวิญญาณถูกส่งออกมาจากฝ่ามือนาง ในขณะนั้นเอง พลังวิญญาณนั้นได้เปลี่ยนเป็นเปลวไฟที่ลุกโชน


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มขณะที่มองดูเปลวไฟในฝ่ามือ นี่คือไฟจากตานเถียนของนาง ผู้คนสามารถปล่อยพลังไฟแบบนี้ได้ต่อให้พวกเขาไม่มีรากวิญญาณ อย่างไรก็ตาม คุณภาพของพลังวิญญาณที่มีคุณสมบัติธาตุไฟจะมีอิทธิพลอย่างมากในไฟตานเถียน


 


 


รากวิญญาณของนางไม่ได้จัดว่าเป็นรากวิญญาณที่ดี แต่มันมาจากจำนวนรวมทั้งหมดของรากวิญญาณที่นางมี ถ้ามาจากคุณภาพของรากวิญญาณแต่ละธาตุ ท่านอารองซึ่งครั้งหนึ่งเคยตรวจสอบดูได้กล่าวว่ารากวิญญาณแต่ละธาตุของนางค่อนข้างดีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมนางถึงสามารถปล่อยไฟตานเถียนได้อย่างง่ายดายนัก


 


 


ขณะที่นางเพิ่มพลังวิญญาณในฝ่ามือ ไฟตานเถียนของนางก็ใหญ่ขึ้นเป็นลำแสงไฟบางๆ เมื่อมันไปถึงตรงก้นของเตาหลอมยา ก็ปกคลุมทั่วทั้งก้นเตาอย่างรวดเร็ว ทำให้เตาหลอมยาร้อนขึ้นในทันที


 


 


นางปล่อยพลังวิญญาณบางส่วนผ่านมือข้างที่ว่างเพื่อเปิดฝาเตา ด้วยการเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นชุด นางใส่วัตถุดิบหลากหลายชนิดลงไปในเตาแทนที่ฝาเตา


 


 


นางยังใส่เส้นใยจิตสัมผัสของนางลงไปในเตาด้วยเพื่อที่นางจะได้รู้สึกถึงการหลอมละลายของวัตถุดิบต่างๆ


 


 


พลังของไฟตานเถียนนางมีพลังเกินกว่าไฟธรรมดามากนัก มันหลอมละลายวัตถุดิบทุกอย่างในเตาอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นเอง เสียง ‘แป๊ะ!’ ก็ดังขึ้นจากภายในเตาหลอมยา


 


 


โม่เทียนเกอหยุดปล่อยไฟตานเถียนของนางและไปเปิดฝาเตาดู นางจ้องมองวัตถุดิบข้างในอย่างเศร้าสร้อย


 


 


วัตถุดิบส่วนใหญ่ละลายเรียบร้อยแล้ว แต่แทนที่จะผสมเข้ากันได้ดี มันกลับแปรสภาพไปเป็นของเหลวสีดำเดือดปุดๆ


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจและโยนกากของเสียทั้งหมดจากการปรุงยาที่ล้มเหลวนี้ทิ้งไป นางใช้น้ำสะอาดล้างเตาหลอมก่อนที่จะเก็บมันกลับไป


 


 


แน่นอนว่าการปรุงยาวิเศษไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับปริมาณของวัตถุดิบแต่ละอย่าง ในหนังสือเขียนไว้ว่าถึงแม้จะรู้จำนวนคร่าวๆ แต่จำนวนที่เฉพาะเจาะจงต้องเรียนรู้ไปอย่างช้าๆ โดยตัวของอาจารย์ปรุงยาเอง ด้วยวิธีนั้น พวกเขาก็จะค่อยๆ เกิดความเข้าใจในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ


 


 


เหตุผลที่การปรุงยาในเตาหลอมนี้ล้มเหลวระหว่างขั้นตอนการหลอมก็เพราะโม่เทียนเกอยังสัมผัสไม่ได้ถึงส่วนประกอบของยาวิเศษ และยังไม่มั่นใจว่าจำนวนที่จำเป็นต้องใช้มีเท่าไหร่


 


 


หลังจากใช้ส่วนเกินของวัตถุดิบแต่ละอย่าง นางก็ทำไม่สำเร็จอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ยังพอมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้านาง เมื่อนางใส่จิตสัมผัสเข้าไปในเตาหลอมยา ก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างวัตถุดิบแต่ละอย่างแล้ว ดังนั้น หลังจากล้างเตาหลอมยาอีกครั้ง นางจึงพยายามที่จะปรุงยาวิเศษต่อไป


 


 


หลังจากใส่วัตถุดิบเพิ่มลงไปอย่างเร็วและใส่จิตสัมผัสของนางลงไปในเตาหลอม นางสัมผัสได้ว่าวัตถุดิบต่างๆ กำลังละลาย ในไม่ช้า วัตถุดิบทั้งหมดภายในก็เริ่มจะผสมเข้าด้วยกัน… หลังจากผ่านไปสิบห้านาที นางก็เริ่มได้กลิ่นหอมบริสุทธิ์ของยาวิเศษเข้าแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอกลืนยาครอบจักรวาลไปหลายเม็ดและดึงพลังวิญญาณของนางเข้าสู่ตานเถียน นางปล่อยพลังไฟตานเถียนที่ยิ่งรุนแรงมากขึ้นปกคลุมไปทั่วทั้งเตาหลอมยา


 


 


ภายใต้อุณหภูมิสูง ของเหลวภายในเตาหลอมยาเริ่มที่จะเดือดและเริ่มจะข้นขึ้นทีละน้อย


 


 


โม่เทียนเกอต้องกินยาครอบจักรวาลอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาไฟตานเถียนของนางเอาไว้ นี่เป็นเวลาที่นางต้องทำให้ยาแข็งตัว ดังนั้นนางจึงต้องรักษาอุณหภูมิของไฟเอาไว้ให้คงที่ อย่างไรก็ตาม พลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นอ่อนแรงเกินไป นางทำได้เพียงแค่พึ่งยาครอบจักรวาลเพื่อรักษาไฟตานเถียนของนางให้เสถียรเท่านั้น


 


 


นางไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานแค่ไหนหรือกินยาครอบจักรวาลไปมากเท่าไร ทว่าท้ายที่สุดแล้ว ของเหลวภายในเตาหลอมยาก็ค่อยๆ ข้นขึ้นอย่างช้าๆ และกลายเป็นก้อนซึ่งเริ่มจะแข็งตัวเป็นเม็ดยา…


 


 


เมื่อของเหลวแข็งตัวเสร็จเรียบร้อยและก่อตัวเป็นเม็ดยา โม่เทียนเกอก็หยุดปล่อยไฟตานเถียนและเปิดเตาหลอมยาด้วยความดีใจ


 


 


กระนั้นก็ตาม ในวินาทีต่อมา สีหน้านางกลับไปหดหู่อีกครั้ง ยาวิเศษเริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่ในชั่ววินาทีหลังจากที่นางเปิดเตาหลอมยา ยาพวกนั้นก็ระเบิดแตก นางรู้ว่าที่เกิดเหตุแบบนี้ก็เพราะนางเปิดเตาหลอมยาผิดเวลาไปนั่นเอง


 


 


การปรุงยาวิเศษไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหนังสือถึงเน้นย้ำว่าคนจะเข้าใจกระบวนการปรุงยาทั้งหมดมากขึ้นทีละนิดๆ ก็ต่อเมื่อหลังจากที่ได้พยายามไปหลายสิบครั้งแล้ว


 


 


มิเช่นนั้นแล้ว ถ้านางประสบความสำเร็จในการปรุงยาวิเศษอยู่เสมอ และยาแต่ละเม็ดมีราคาหนึ่งหรือสองศิลาวิญญาณ ในขณะที่นางจ่ายไปเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบศิลาวิญญาณสำหรับวัตถุดิบประมาณเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยส่วน นั่นคือหนึ่งร้อยส่วนสำหรับยาวิเศษแต่ละชนิด นั่นก็หมายความว่านางจะได้กำไรอย่างมหาศาล


 


 


แต่โอกาสของความสำเร็จนั้นต่ำมาก จากวัตถุดิบยาวิเศษเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยส่วน คงจะถือว่าวิเศษมากแล้วถ้านางสามารถปรุงยาสำเร็จและได้ยาสองร้อยถึงสามร้อยเม็ด เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก กำไรจึงไม่ได้มากมายอะไรนัก


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหัวและโยนยาที่ไม่สำเร็จทิ้งไป หลังจากล้างเตาหลอมยา นางก็พยายามจะปรุงยาต่ออีกรอบ


 


 


ต่อให้นางไม่มีความสามารถ นางก็จะต้องประสบความสำเร็จได้แน่นอนตราบใดที่นางพยายามอย่างหนักต่อไป นอกจากนั้น ขณะนี้นางมีศิลาวิญญาณอยู่มากมาย นางจะคิดถึงการยอมแพ้ก็ต่อเมื่อนางไม่มีศิลาวิญญาณเหลือมากพออีกต่อไปแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 82 เห็ดหลินจือสีม่วง

 

ไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ปรุงยาวิเศษได้จนเสร็จสิ้น


 


 


แน่นอนว่านางไม่ได้ใช้วัตถุดิบกว่าหลายร้อยส่วนที่ซื้อมานั้นจนหมด หลังจากการทดลองปรุงยามากกว่าร้อยครั้ง ตอนนี้นางเริ่มจะควบคุมทั้งกระบวนการปรุงยาได้มากขึ้นแล้ว นางสามารถผลิตยาที่เสร็จสมบูรณ์ออกมาได้ห้าถึงหกเม็ดจากกระบวนการปรุงยานี้


 


 


ถึงแม้ว่าอัตราความสำเร็จห้าในร้อยส่วนจะต่ำ แต่การทำสำเร็จได้ในอัตราเท่านี้ถือว่าปกติถ้าพิจารณาจากความจริงที่ว่านางยังเป็นมือใหม่ แม้แต่อาจารย์ปรุงยาผู้ยิ่งใหญ่ก็มีอัตราความสำเร็จเพียงแค่ ห้าสิบถึงหกสิบส่วนเวลาที่พวกเขาปรุงยาวิเศษ ในทางกลับกัน อาจารย์ปรุงยาทั่วไปสามารถทำสำเร็จได้แค่ราวๆ สามสิบส่วนเท่านั้น


 


 


อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์เช่นนี้ยังคงทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกผิดหวัง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีใครในกลุ่มเย่เชี่ยวชาญในด้านการปรุงยา ถ้าผลงานเช่นนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนในกลุ่มการฝึกตน นางคงต้องถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มคนประเภท “ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิง” เป็นแน่


 


 


เมื่อเข้าใจว่าความสามารถของนางไม่ดีพอ เป้าหมายของโม่เทียนเกอจึงไม่สูงนัก น่าจะเพียงพอสำหรับนางแล้วถ้านางจะประสบความสำเร็จได้ในอัตราสามสิบส่วนของอาจารย์ปรุงยาปกติทั่วไป ขณะนี้นางมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปรุงยาแล้ว และคาดว่าหลังจากที่นางใช้วัตถุดิบจำนวนเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยส่วนนี้จนหมด อัตราความสำเร็จของนางก็จะขึ้นไปถึงสามสิบส่วน และนางจะสามารถศึกษาสูตรยาที่ยากกว่าเดิมต่อไปได้


 


 


จากสิ่งที่นางเห็นในสูตรยา ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดเป็นยาวิเศษชนิดที่ค่อนข้างปรุงยาก การทำท่ามุทรานั้นซับซ้อนและการควบคุมไฟตานเถียนของนางต้องแม่นยำ มันไม่ใช่ยาวิเศษที่จะสามารถปรุงให้สำเร็จได้ในการลองทำแค่ครั้งเดียว


 


 


เมื่อนางลองคิดคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ โม่เทียนเกอรู้ตัวว่านางมองโลกในแง่ดีเกินไป นางปรุงยาวิเศษที่ธรรมดาสามัญที่สุดมาโดยตลอดเพื่อให้ตัวเองคุ้นเคยกับกระบวนการปรุงยา แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ใช้ศิลาวิญญาณไปเกือบจะสองร้อยอันแล้ว หากนางต้องการจะปรุงยาที่ยากขึ้นมาอีกนิด ศิลาวิญญาณที่เหลืออยู่สามพันอันของนางคงจะไม่เพียงพอให้ซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น สืบเนื่องจากอัตราความสำเร็จของนางในปัจจุบัน การขายยาวิเศษที่นางผลิตได้เพื่อไปซื้อวัตถุดิบต่างๆ เพื่อที่นางจะได้ปรุงยาต่อไปได้นั้นก็เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ


 


 


นอกเหนือจากนั้นแล้ว วัตถุดิบสำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิดก็ไม่ได้มีราคาถูกเลยแม้แต่น้อย แค่พืชที่อายุห้าร้อยปีอย่างเห็ดหลินจือสีม่วงและต้นเฟิร์นอินทรีดำ เมื่อรวมกันก็อาจจะมีราคามากกว่าหนึ่งพันศิลาวิญญาณแล้ว ต่อให้นางโชคดีมากพอที่จะเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการปรุงยาโดยใช้ศิลาวิญญาณที่เหลืออยู่สามพันอันของนางไปจนถึงจุดที่นางสามารถเริ่มปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้แล้วนั้น นางก็อาจมีไม่มากพอในการใช้จ่ายสำหรับวัตถุดิบที่จำเป็นอยู่ดี


 


 


หลังจากปวดหัวมาชั่วขณะหนึ่ง โม่เทียนเกอจึงสงบสติอารมณ์ นางอดเยาะเย้ยตัวเองไม่ได้กับความกังวลที่ไม่ได้เป็นความจริง ขณะนี้นางเพิ่งเริ่มหัดเรียน ยังไม่แน่ชัดเลยว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก่อนที่นางจะสามารถปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเท่าตอนที่นางต้องฝึกตนอีกแล้ว ถ้านางหาเงินได้ในเวลาหลายๆ ปีอย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งนางก็จะมีเงินมากพอ


 


 


นอกจากนี้ ต่อให้นางได้ครอบครองยาเพิ่มพลังการก่อเกิด นางก็ยังไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางในการลองครั้งแรก


 


 


ถ้านางทำไม่สำเร็จ นางคงต้องต่อสู้เพื่อยาสร้างฐานแห่งพลังอีกเม็ดในอีกสิบปีให้หลัง ถ้ายังไม่ได้ผลอีก ก็คงต้องเพิ่มไปอีกสิบปี… ตอนนี้นางเพิ่งอายุยี่สิบปีและนางยังมีเวลาเหลืออีกร้อยปี ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว


 


 


ด้วยความคิดเช่นนี้ โม่เทียนเกอจึงปลดปล่อยตัวเองจากการปรุงยาที่ไม่จบไม่สิ้นไป


 


 


มีเวลาเหลือน้อยกว่าครึ่งเดือนก่อนที่งานรวมพลเซียนของสำนักเทียนเต้าจะเริ่มขึ้น จำนวนคนในเมืองที่ตีนเขานี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่นางได้เช่ากระท่อมไปเมื่อหลายวันก่อน มิเช่นนั้น ถ้านางรอจนถึงตอนนี้ นางคงต้องลงเอยด้วยการนอนกลางแจ้งแน่


 


 


ขณะที่นางมุ่งหน้าไปยังถนนและดูผู้ฝึกตนผ่านมาและผ่านไป โม่เทียนเกอตัดสินใจที่จะตามกระแสของผู้คนไป ณ ขณะนั้นนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ โอกาสของนางในการสร้างฐานแห่งพลังมีแนวโน้มที่ดีและนางก็ค่อนข้างร่ำรวย ทุกอย่างช่างน่าพอใจ… ยกเว้นแต่ความเป็นจริงที่ว่าท่านอารองกำลังจะตายจากไป แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่นางไม่มีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้


 


 


อายุขัยของผู้ฝึกตนเกี่ยวข้องกับระดับการฝึกตนและวิธีที่พวกเขาดูแลสุขภาพของตัวเอง ในสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือระดับการฝึกตน ยิ่งระดับการฝึกตนสูง อายุขัยก็จะยิ่งยาวนานขึ้น การบรรลุผ่านเข้าสู่ดินแดนถัดไป อย่างน้อยที่สุดจะสามารถเพิ่มอายุขัยของพวกเขาได้ถึงหนึ่งร้อยปี


 


 


ยกตัวอย่างเช่น อายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะอยู่ระหว่างหนึ่งร้อยถึงสองร้อยปี อายุขัยของผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนต่ำกว่าระดับสี่ของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณจะมีอายุถึงจุดที่มนุษย์ธรรมดาถือว่ามีชีวิตยืนยาว นั่นคือหนึ่งร้อยปี อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านเข้าสู่ระดับที่สี่ พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบปี หากว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาดีเยี่ยมมากและเข้าถึงจุดสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ พวกเขาสามารถอยู่ได้จนถึงอายุสองร้อยปีเลยทีเดียว


 


 


อย่างไรก็ดี หากพวกเขาข้ามผ่านจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ พวกเขาจะได้รับอายุขัยเพิ่มอีกหนึ่งร้อยปี!


 


 


ระดับการฝึกตนของท่านอารองอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถ้าเขาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี เขาคงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกอย่างน้อยห้าสิบปี แต่เนื่องจากบาดแผลที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นรุนแรงเกินไป อายุขัยของเขาจึงใกล้จะสิ้นสุดลงในขณะที่เขากำลังจะมีอายุได้สามร้อยปีเท่านั้น


 


 


ในเมื่อท่านอารองไม่มีความหวังในการก้าวไปสู่ดินแดนถัดไป อายุขัยของเขาจึงถูกยืดออกไปได้โดยการใช้ยาอายุวัฒนะเท่านั้น ยาอายุวัฒนะหนึ่งเม็ดจะเพิ่มอายุขัยของผู้ใช้ได้หนึ่งร้อยปี แต่ก็เป็นเวลานานหลายร้อยปีมาแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ยาอายุวัฒนะมีให้เห็น ต่อให้มียาปรากฏออกมา ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่มากมายคงจะต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อยาเพียงเม็ดเดียว ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่โม่เทียนเกอจะเข้าถึงยานี้ได้


 


 


ด้วยรอยยิ้มเศร้าใจ โม่เทียนเกอเดินขึ้นไปบนเขาตามกระแสคนที่หลั่งไหลไป พวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวจ้อยซึ่งไม่มีทางได้ส่วนแบ่งในยาพิเศษพวกนั้นแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมของตัวเอง


 


 


ประตูหลักของสำนักเทียนเต้าช่างดูสมชื่อในฐานะกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคุนอู๋ ประตูหลักทั้งบานถูกแกะสลักจากหยกวิญญาณชิ้นใหญ่ยักษ์ เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบ จะสะท้อนแสงเจ็ดสีออกมาทำให้ดูสว่าง สุกใส และเจิดจ้า เมฆที่ลอยอยู่รอบๆ บริเวณทำให้คนที่ผ่านไปมารู้สึกราวกับพวกเขากำลังเดินเข้าไปในแดนสวรรค์


 


 


โม่เทียนเกออดที่จะถอนใจไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยที่สัญลักษณ์ของสำนักเทียนเต้าคือประตูเซียนและเมฆมงคล จากชั่ววินาทีที่ได้เห็นประตูของสำนักเทียนเต้า คงเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะไม่คิดถึงภาพทิวทัศน์นี้


 


 


เนื่องจากการรวมพลเซียนยังไม่เริ่มขึ้น ผู้มาเยี่ยมเยียนที่ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเทียนเต้าจึงไม่สามารถผ่านประตูของสำนักไปได้ เหมือนกับผู้เยี่ยมชมคนอื่นๆ โม่เทียนเกอต้องหันหลังกลับลงเขาและกลับไปยังกระท่อมของนาง


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้มีความชื่นชมอะไรมากมายนักต่อสำนักเทียนเต้า ถึงแม้ว่าสำนักอวิ๋นอู้จะด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสำนักเทียนเต้า แต่ท้ายที่สุดแล้วกลุ่มการฝึกตนก็เหมือนกันหมด เพียงแค่ศิษย์สำนักเทียนเต้าได้รับการปฏิบัติดูแลที่ดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง


 


 


แน่นอนว่านางไม่ได้ดูถูกกลุ่มการฝึกตน แม้ว่านางจะวางแผนที่จะออกจากสำนักอวิ๋นอู้นานแล้ว แต่เหตุผลเบื้องหลังก็คือเพื่อแยกตัวออกจากความขัดแย้ง ขณะนี้นางยังต้องหากลุ่มอื่นเพื่อหาที่อยู่อาศัยให้ตัวเอง ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดนอกไปจากการหาความคุ้มครองจากอำนาจและอิทธิพลของกลุ่มและลดปัญหามากมายที่นางอาจจะต้องเผชิญ


 


 


เมื่อนางกลับมาถึงในเมือง โม่เทียนเกอนึกได้ว่ายาครอบจักรวาลของนางหมดจึงไปที่ร้านโถงร้อยหญ้า


 


 


ภายในร้านโถงร้อยหญ้า ตามโต๊ะคิดเงินยังเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่รุมล้อม นางไม่อยากจะต้องแทรกตัวผ่านพวกเขาและคิดว่ายาครอบจักรวาลเป็นยาสามัญมากพอที่ไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็เหมือนกัน โม่เทียนจึงเตรียมที่จะออกจากร้าน


 


 


ขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับ นางก็บังเอิญเจอชายชราที่ขายวัตถุดิบและสูตรยาให้นางยังคงนั่งอยู่ที่มุมร้าน เขากำลังโบกมือให้นาง


 


 


เอ๋ เขากำลังเรียกเราใช่ไหม


 


 


พอเห็นว่าโม่เทียนเกอหยุดชะงัก ชายชราก็ยิ่งโบกมืออย่างกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปหาเขาและถามด้วยความสงสัย “เจ้าเรียกข้าหรือ”


 


 


ชายชรายิ้มและกุมมือเพื่อแสดงความเคารพแก่นาง เขาพูดว่า “แน่นอนขอรับ วันนี้ท่านสหายนักพรตต้องการจะซื้ออะไรหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอจึงตอบ “ข้าแค่อยากจะซื้อยาครอบจักรวาลนิดหน่อย”


 


 


“อ้อ” ชายชรามองนางอย่างสนอกสนใจก่อนจะถามว่า “หรือว่าท่านมาเพื่อเข้าร่วมงานรวมพลเซียนขอรับ”


 


 


แทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอถามกลับ “ทำไมสหายนักพรตถึงเรียกข้ามารึ”


 


 


ชายชราเผยรอยยิ้มในขณะที่เขาหรี่ตา “ไม่มีอะไรขอรับ แค่เรามีชะตาต้องกัน พอตาเฒ่าคนนี้เห็นท่านก็เลยอยากจะทักทาย อย่างไรก็ดี ท่านสหายนักพรตต้องการอะไรหรือไม่ ท่านบอกข้าได้เลยบางทีข้าอาจจะช่วยได้”


 


 


โม่เทียนเกอเหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง นางมาแค่เพื่อซื้อยาครอบจักรวาลนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษในคำขอของนางสักหน่อย ทำไมชายคนนี้ถึงดูเหมือนเขาอยากจะประจบเรานัก?


 


 


ชายชราเป็นคนมีประสบการณ์ เมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง เขาก็รีบโบกไม้โบกมือและบอกว่า “ท่านสหายนักพรตโปรดอย่าเข้าใจผิด ตาเฒ่าเพียงแค่มีข่าวมาบอกที่อาจจะเป็นประโยชน์กับท่านน่ะขอรับ”


 


 


ข่าวรึ โม่เทียนเกอจ้องเขาอย่างสงสัย


 


 


ชายชรายื่นกระดาษหนังสัตว์ให้นางซึ่งเขาดึงออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้และพูดอย่างมีนัยว่า “ท่านสหายนักพรตสนใจหรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอรับกระดาษไปและเห็นว่ามีเพียงประโยคเดียวเขียนอยู่ในมุมด้านบนสุด “รายการสินค้าในงานรวมตลาดของร้านค้าเผ่าหู”


 


 


นางเงยหน้าขึ้นและจ้องชายชราที่อยู่ตรงหน้า รอคอยคำอธิบาย


 


 


ชายชราโน้มตัวมาใกล้ขึ้นและพูดว่า “เผ่าหูเป็นเผ่าผู้ฝึกตนที่ใหญ่ที่สุดในสำนักเทียนเต้าของเรา ในเมืองนี้ นอกเหนือจากร้านค้าหลายร้านที่เป็นของสำนัก ร้านของเผ่าหูนั้นเป็นร้านที่มีอิทธิพลมากที่สุด งานรวมตลาดครั้งนี้มีสินค้าคุณภาพสูงสุดที่อยู่ในคลังมานำเสนอ”


 


 


โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ “ในเมื่อมันเป็นสินค้าที่คุณภาพดีที่สุด แล้วมันถูกเก็บอยู่ในคลังได้อย่างไร”


 


 


ชายชราพูดพร้อมรอยยิ้ม “ท่านสหายนักพรต ในโลกนี้มีพืชวิญญาณและวัตถุวิญญาณมากมายหลายชนิดเหลือเกิน ของบางอย่าง ทั้งๆ ที่เป็นของหายากและมีคุณภาพสูงก็ยังอาจถูกทิ้งขายไม่ออกมาเป็นเวลานาน ร้านค้าใหญ่ๆ ที่ทำธุรกิจมานานจะเก็บสะสมสินค้าคุณภาพดีพวกนี้ไว้อย่างแน่นอน ถ้าร้านค้าอยากจะขายของพวกนี้ มันคงไม่ดีถ้าจะขายโดยตรงบนโต๊ะแสดงสินค้า ต่อให้มันถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะแสดงสินค้า ข้าก็เกรงว่าบนโต๊ะจะไม่มีที่มากพอที่จะวางได้หมด อย่างไรก็ตาม ถ้าร้านไม่เอาของพวกนั้นออกมาขาย มันก็จะไปทับซ้อนกับสินค้าในร้านอีกหลายอย่าง”


 


 


“เพราะอย่างนั้น ร้านค้าใหญ่ๆ บางร้านจึงโละสินค้าตกค้างในคลังของพวกเขาทุกสามปี ห้าปี หรือสิบปีโดยการจัดงานรวมตลาด ในเวลานั้น ของทุกอย่างที่ขายจะถูกวางให้เห็น ดังนั้นผู้คนจึงสามารถเลือกได้ตามสบาย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อของพวกนั้นล้วนเป็นสินค้าคุณภาพสูงทั้งสิ้น คนที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานรวมตลาดจึงไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป แต่ละคนจะต้องมีความน่าเชื่อถือและต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกมาอย่างรอบคอบแล้ว”


 


 


ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้นางประหลาดใจจึงพูดไปว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงมาบอกข้าเรื่องนี้”


 


 


ชายชราเหลือบมองนางก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะข้าเห็นว่าท่านสหายนักพรตค่อนข้างรวย มีท่าทางมั่นคงและมีระดับการฝึกตนดีพอใช้ เพราะอย่างนั้น ข้าคิดว่าท่านน่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสำหรับงานรวมตลาดนี้”


 


 


“งั้นหรือ” โม่เทียนเกอเลิกคิ้วและถามว่า “ข้าขอทราบตัวตนของสหายนักพรตที่สามารถตัดสินว่าใครมีคุณสมบัติสำหรับงานรวมตลาดครั้งนี้ได้หรือไม่”


 


 


ชายชรายิ้มด้วยสีหน้าค่อนข้างพึงพอใจ “แม้ว่าตาเฒ่าคนนี้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับสูง แต่ข้ามาจากเผ่าหู ผู้ฝึกตนทุกคนในเผ่าหูมีสิทธิ์ที่จะแนะนำคนหนึ่งหรือสองคนให้เข้าร่วมในงานรวมตลาด”


 


 


“เข้าใจล่ะ…” ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงมีเส้นสายที่ดีทั้งที่มีระดับการฝึกตนต่ำ ที่แท้ก็เพราะเขามีคนหนุนหลังนี่เอง


 


 


เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยังไม่ให้คำตอบจริงจัง ชายชรากะพริบตาเล็กๆ ของเขาและถามว่า “อย่าบอกนะว่าท่านสหายนักพรตไม่อยากไป ท่านน่าจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะทำกำไรได้อย่างง่ายดายที่นั่น”


 


 


โม่เทียนเกอยังดูแผ่นกระดาษหนังสัตว์อยู่ เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร นางจึงเหลือบตามองชายชราและถามว่า “แล้วสหายนักพรตจะได้ประโยชน์อะไรจากการแนะนำคนให้ไปร่วมงานรวมตลาดหรือ?”


 


 


ชายชราอึ้งไป ในไม่ช้า เขาลูบเคราในขณะที่ยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ “ถูกต้อง! ถ้าสหายซื้อของอะไรสักอย่าง คนที่แนะนำสหายคนนั้นไปก็จะได้ค่านายหน้า 0.1% ถึงแม้ว่ามันจะไม่เยอะ แต่ก็เป็นค่าตอบแทนสำหรับการทำงานหนักของเราไม่ว่ากรณีใดก็ตาม”


 


 


แค่มองปราดเดียว โม่เทียนเกอก็เห็นแล้วว่าชายชราคนนี้ไม่ได้พูดความจริง ผลประโยชน์นั้นต้องไม่ใช่เรื่องที่เขาบอกนางแน่นอน ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะมาขุดคุ้ยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นางยังคงใช้เวลาอย่างช้าๆ ในการตรวจดูรายการสินค้าที่จะมีวางขาย


 


 


พอเห็นว่านางทำตัวแบบนี้ ชายชรารู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ท่านสหายนักพรต ท่านอยากไปหรือไม่”


 


 


หลังจากอ่านรายการทั้งหมด โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับยิ้มให้ “ข้าจะไปดูสักหน่อย คงไม่เป็นอะไรถ้าข้าจะไม่ซื้ออะไรใช่ไหม”


 


 


ในที่สุดชายชราก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกเมื่อเขาได้ยินคำตอบของนาง เขายิ้มและพยักหน้า “ท่านแค่ต้องจ่ายศิลาวิญญาณสองอันเพื่อเป็นค่าเข้าและก็ถือว่าเป็นอันเสร็จขอรับ”


 


 


“ศิลาวิญญาณสองอันรึ”


 


 


ชายชราเผยรอยยิ้มค่อนข้างเจ้าเล่ห์ของเขาอีกครั้ง เขากล่าวว่า “ท่านสหายนักพรต ได้โปรดอย่าบอกว่าท่านไม่สามารถจ่ายได้เลย ตาเฒ่าคนนี้มีสายตาที่ค่อนข้างดีในการมองคนนะขอรับ แม้ว่าท่านสหายนักพรตจะไม่ได้ดูร่ำรวยมหาศาล แต่ท่านก็น่าจะมีทรัพย์สินและสมบัติจำนวนหนึ่ง อีกอย่าง ด้วยสินค้าคุณภาพดีตั้งมากมาย ศิลาวิญญาณสองอันไม่ได้แพงอะไรเลยถึงแม้ท่านจะไปที่นั่นแค่เพื่อดูความคึกคักของที่จัดงานก็ตามที”


 


 


ในเมื่อนางปกปิดตัวตนของนางในเมืองนี้มาโดยตลอด ชายชราคนนี้จึงจัดว่ามีสายตาแหลมคมมาก โม่เทียนเกอพยักหน้าและยิ้มก่อนจะตอบว่า “ตกลง ขอบคุณมาก แล้วงานรวมตลาดจะเริ่มเมื่อไหร่หรือ ต้องใช้รหัสผ่านอะไรหรือไม่”


 


 


พอได้ยินคำถาม ชายชราจึงหยิบแผ่นไม้จารึกออกมาและมอบให้นาง


 


 


โม่เทียนเกอรับแผ่นจารึกมาและตรวจดู มันทำมาจากวัสดุทั่วไป ข้างหนึ่งถูกสลักด้วยคำว่า “หู” ในขณะที่อีกข้างสลักด้วยหมายเลข “หนึ่งสองห้า”


 


 


ชายชรากล่าวว่า “นี่คือหมายเลขประจำตัวของท่าน ในงานรวมตลาดท่านสามารถซื้อของได้ก็ต่อเมื่อท่านมีแผ่นนี้อยู่ในมือเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมีของกำนัลอยู่ด้วย ดังนั้นท่านห้ามทำแผ่นนี้หายเด็ดขาด เมื่องานรวมตลาดจบลง เผ่าหูจะรับแผ่นนี้คืนจากท่านเอง”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า


 


 


ชายชรายังคงอธิบายต่อ “งานรวมตลาดจะจัดขึ้นพรุ่งนี้เย็นเวลายามจอ เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าท่านสหายนักพรตไปที่หอลมเย็นไม่ไกลจากที่นี่ จะมีคนเข้ามาแนะนำท่านต่อไป”


 


 


“ส่วนกฎของการซื้อขาย ท่านซื้ออะไรก็ได้ตามสบาย ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของใครมาก่อนก็ได้ไปก่อน ท่านสหายนักพรตไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะต้องเจอความขัดแย้งกับคนอื่นๆ”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ขณะที่นางโบกกระดาษหนังสัตว์ในมือ นางก็ถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่ข้าจะเก็บกระดาษนี้ไว้”


 


 


ชายชราตอบพร้อมกับรอยยิ้มสดใส “ได้แน่นอน ในเมื่อท่านสหายนักพรตจะเข้าร่วมอยู่แล้ว กระดาษนี้จึงเป็นของท่าน แต่ช่วยกรุณาเก็บเป็นความลับด้วยนะขอรับ”


 


 


“ได้สิ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัว”


 


 


ชายชราแสดงท่าผายมือและพูดว่า “เชิญขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอประสานมืออีกครั้งเป็นการร่ำลาชายชราและออกจากร้านค้าไป


 


 


ขณะที่นางเดินอยู่บนถนน นางยกกระดาษในมือขึ้นมาพร้อมกับยิ้มไปด้วย


 


 


ท่ามกลางรายการสิ่งของต่างๆ มีอยู่แถวหนึ่งที่สะดุดตานาง “เห็ดหลินจือสีม่วงอายุกว่าร้อยๆ ปี”

 

 

 


ตอนที่ 83 ได้ครอบครอง

 

“นายท่าน เชิญเข้ามาด้านในเลยเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อเดินตามหลังหญิงผู้ฝึกตนระดับหนึ่งของการหลอมรวมพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอต้องผ่านชั้นแล้วชั้นเล่าของม่านบังตาที่แขวนอยู่ และต้องเดินอ้อมทางเดินหนึ่งต่อจากอีกทางก่อนที่นางจะเข้ามาถึงห้องโถงได้ในที่สุด


 


 


ห้องโถงนี้เล็กกว่าโถงของตลาดนัดที่จัดงานชุมนุมสาวกเต๋าเมื่อหลายวันก่อนอยู่มาก แต่อย่างไรก็ตาม มันทั้งหรูหราและงดงามเสียจนคนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจ


 


 


พื้นถูกปูด้วยก้อนหยก กำแพงถูกแต่งแต้มด้วยผงทอง พวกโต๊ะและเก้าอี้ที่จัดเรียงอยู่ด้านในทำจากไม้วิญญาณอายุนับร้อยปี และแม้แต่กาน้ำชาบนโต๊ะก็ยังทำมาจากหยกชนิดพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น หินล้ำค่าต่างๆ ยังถูกฝังไว้ทั่วทั้งพื้นที่


 


 


ถึงแม้หินล้ำค่าจากโลกมนุษย์จะไร้ค่าสำหรับผู้ฝึกตน แต่มันก็เป็นหลักฐานว่าห้องโถงเช่นนี้จะต้องมีราคามากอย่างแน่นอน อีกอย่าง หินส่วนมากในนี้มีพลังวิญญาณอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่ามันจึงไม่ใช่แค่หินธรรมดาจากโลกมนุษย์แน่นอน


 


 


ด้วยความมั่งคั่งที่ท่วมท้นเช่นนี้ เผ่าหูจึงสมควรแล้วที่ถูกเรียกว่าเป็นเผ่าผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสำนักเทียนเต้า


 


 


โม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงทางเข้า เคลิบเคลิ้มไปกับภาพที่เห็น ทุกอย่างช่างดูงดงามเสียจริง


 


 


“นายท่าน กรุณานำแผ่นจารึกประจำตัวออกมาด้วยเจ้าค่ะ” เสียงดังมาจากด้านข้างของนาง


 


 


โม่เทียนเกอหันหน้าไปด้านข้างและเห็นหญิงผู้ฝึกตนระดับต่ำยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างนาง


 


 


ในที่สุดนางก็รู้ว่านางลืมตัวไปชั่วขณะ โชคดีที่หญิงผู้ฝึกตนไม่ได้แสดงท่าทางยิ้มเยาะอะไร ราวกับว่าปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว อันที่จริงก็น่าจะสมเหตุสมผลอยู่ เนื่องจากผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ไม่ได้โปรดปรานหินล้ำค่าสักเท่าไรนัก ภาพที่แสนงดงามเช่นนี้จึงแทบไม่ได้มีให้เห็นกันในโลกแห่งการฝึกตน


 


 


นางยื่นแผ่นจารึกประจำตัวให้ หญิงผู้ฝึกตนรับไปจดหมายเลขของนางและส่งคืนก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน เชิญตามสบายเลยนะเจ้าคะ ถ้าท่านสนใจของชิ้นไหน ท่านแค่ต้องนำไปที่โต๊ะคิดเงินทางด้านหลัง ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ ท่านสามารถเรียกคนรับใช้ของเราและให้พวกเขาอธิบายให้ฟังได้เลยเจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย นางพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรและเดินตรงเข้าไปสู่ห้องโถง


 


 


นางเพิ่งจะสังเกตว่าหญิงผู้ฝึกตนคนนี้คือคนเดียวกับหญิงผู้ฝึกตนที่ต้อนรับนางก่อนหน้านี้ ทั้งสองเรียกนางว่านายท่านแทนที่จะเรียกว่าสหายนักพรต พวกนางมีกิริยาท่าทางที่เคารพนบนอบและระวังตัวมาก เห็นได้ชัดว่าพวกนางอยู่ที่นี่ในฐานะคนรับใช้ผู้ดูแล ไม่ใช่ผู้ฝึกตน


 


 


เมื่อนางเดินเข้ามาในห้องโถง นางก็เห็นหญิงผู้ฝึกตนหน้าตาสวยหลายคนกำลังยืนอยู่ที่มุมห้อง รอคอยที่จะรับคำขอหรือคำสั่งจากแขกในงาน พวกนางน่าจะเป็นสาวรับใช้ที่หญิงผู้ฝึกตนคนที่บันทึกแผ่นจารึกประจำตัวของนางพูดถึงก่อนหน้านี้


 


 


พวกนางมีกันอย่างน้อยห้าสิบหรือหกสิบคน ระดับการฝึกตนของพวกนางมีตั้งแต่ระดับแรกไปจนถึงระดับห้า และทุกคนล้วนสวยเกินระดับมาตรฐานของความงามทั้งนั้น พวกนางทุกคนยังเป็นหญิงที่อ่อนโยนและอารมณ์เย็นที่มีทั้งกิริยาท่าทางเรียบร้อยและนอบน้อม เผ่าหูนี่ช่างฟุ้งเฟ้อโดยแท้ พวกเขาใช้ความงามของผู้หญิงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับแขกของพวกเขา!


 


 


พอเห็นว่าแขกบางคนลากคนรับใช้ที่ว่านี้ไปกับพวกเขาในขณะที่เดินเล่นไปทั่วและหยอกล้อกับคนรับใช้พวกนี้บางครั้งคราว โม่เทียนเกอก็รู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ ครั้นนึกทบทวนความจริงที่ว่าเผ่าผู้ฝึกตนเผ่าใหญ่ที่สุดในสำนักเทียนเต้าใช้วิธีนี้ในการสร้างความบันเทิงให้แขกผู้มาเยือน นางก็รู้สึกหมดศรัทธาและความประทับใจใดๆ ที่นางมีต่อเผ่าหูไปจนหมดสิ้น


 


 


อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่านางจะมีความประทับใจที่ดีกับพวกเขาหรือไม่ นางมาเพื่อซื้อของ ไม่ได้มาเพื่อหาสหาย คงจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่นางได้ในสิ่งที่นางตามหา


 


 


หลังจากกวาดตาดูสภาพรอบตัวอย่างผ่านๆ นางก็พบว่าแม้โถงนี้จะไม่อาจเทียบได้กับโถงงานชุมนุมสาวกเต๋าที่ตลาดนัดก่อนหน้านี้ แต่มันก็ไม่ได้ถือว่าเล็ก โถงนี้เต็มไปด้วยโต๊ะที่ถูกจัดเรียงชิดกันมากกว่าร้อยตัว แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีพื้นที่กว้างอยู่ในขณะนี้


 


 


บนโต๊ะมีของหลากหลายประเภทวางแสดงไว้ ของส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบเกือบทุกชนิด ในขณะที่มีแค่บางชิ้นที่เป็นเครื่องมือวิญญาณและยาวิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ความต้องการเครื่องมือวิญญาณและยาวิเศษนั้นไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงวัตถุดิบที่ระบุได้ยากหรือมีการใช้น้อยเท่านั้นที่จบลงด้วยการเป็นสินค้าค้างในคลัง เครื่องมือวิญญาณและยาวิเศษที่ถูกจัดวางอยู่ที่นี่มีแนวโน้มว่าจะถูกรวบรวมมาเองโดยเผ่าหูเพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่จัดแสดง


 


 


ณ ขณะนั้นยังไม่ได้มีแขกมากนัก ในหมู่คนที่มาปรากฏตัวอยู่ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับแปดและระดับสูงกว่า และบางส่วนเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง แต่ไม่มีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่ที่นี่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แม้ว่างานรวมตลาดนี้จะขายสินค้าที่ได้ชื่อว่ามีคุณภาพสูงที่สุด แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่ามักต้องการพืชล้ำค่าและหินต่างๆ มากกว่า แล้วสินค้าคุณภาพสูงธรรมดาจะตรงกับความต้องการของพวกเขาได้อย่างไร


 


 


ผู้ฝึกตนทุกคนกำลังเดินดูรอบๆ ของหลากหลายที่วางแสดงอยู่บนโต๊ะ ทั้งตรวจดูและตัดสินของพวกนั้น โม่เทียนเกอผู้ที่ได้มองเพียงแวบเดียวสั้นๆ ก่อนที่จะถูกคนอื่นบัง จึงเดินไปทางแผงขายของข้างๆ นางเพื่อถามหญิงผู้ฝึกตน “ขออภัยแม่นาง เจ้าช่วยบอกหน่อยได้หรือไม่ว่าพืชวิญญาณจัดแสดงอยู่ที่ไหน”


 


 


พอได้ยินคำถามของนาง สาวรับใช้ผู้ดูแลโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเพื่อตอบคำถาม “ขออนุญาตให้ข้าได้นำทางนายท่านไปเจ้าค่ะ”


 


 


“ไม่เป็นไร” โม่เทียนเกอปฏิเสธ นางทนไม่ได้ที่จะต้องได้รับการปรนนิบัติในฐานะนายท่านจากหญิงผู้ฝึกตน แต่หลังจากนางปฏิเสธ นางก็รู้ตัวว่าน้ำเสียงนางแข็งกระด้างเกินไปจึงบอกเพิ่มไปว่า “ข้าอยากจะเดินดูช้าๆ น่ะ ข้าไปเองได้ไม่เป็นไร”


 


 


หญิงผู้ฝึกตนไม่ได้พูดอะไรและเพียงแค่ชี้ไปยังจุดหนึ่งและพูดด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “อยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอมองตามนิ้วที่นางชี้บอกและเห็นเป้าหมายของนาง นางจึงพยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณ”


 


 


หญิงผู้ฝึกตนโค้งคำนับ “เชิญตามสบายเจ้าค่ะ ถ้าท่านต้องการอะไรอื่นอีก โปรดอย่าลังเลที่จะถามได้เลยเจ้าค่ะ”


 


 


แม้ว่าหญิงผู้ฝึกตนผู้นี้จะมีทัศนคติที่ดี แต่โม่เทียนเกอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม นางรู้มานานแล้วว่าสถานะของหญิงผู้ฝึกตนนั้นต่ำต้อยมาโดยตลอด เพราะโดยทั่วไปแล้วพวกนางมีระดับการฝึกตนต่ำ แต่การบังคับให้พวกนางใช้ความสวยเพื่อมาคอยรับใช้แขกอย่างโจ่งแจ้งนั้นสำหรับนางแล้วรับไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่มีสิทธิ์จะไปออกความเห็นถึงวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของคนอื่น นางทำได้เพียงแสร้งว่าไม่เห็นอะไรและลืมมันไปเท่านั้น


 


 


โต๊ะของพวกพืชวิญญาณรายล้อมไปด้วยแขกค่อนข้างมาก เมื่อรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย โม่เทียนเกอจึงรีบมุ่งตรงไปยังโต๊ะเหล่านั้น นางภาวนาอยู่ในใจหวังว่าเห็ดหลินจือสีม่วงจะยังไม่ถูกขายออกไป นอกจากนี้ นางยังหวังว่ามันจะมีอายุมากกว่าห้าร้อยปี มิเช่นนั้น ความตื่นเต้นของนางคงจะสูญเปล่า


 


 


พืชวิญญาณโดยทั่วไปแล้วมักได้รับความสนใจมากที่สุด ในขณะนั้น คนส่วนใหญ่เดินไปรอบๆ โต๊ะที่พืชวิญญาณจัดแสดงอยู่หลายๆ โต๊ะอย่างต่อเนื่อง


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอเข้าใกล้โต๊ะ นางก็เห็นคนประมาณห้าถึงหกคนรุมล้อมอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง หนึ่งในคนกลุ่มนั้นพูดว่า “นี่คือโสมพันปี ถึงแม้ว่าโสมจะเป็นยารักษาโรคที่ใช้กันทั่วไปในโลกมนุษย์ แต่ข้อดีของโสมนี้อยู่ที่อายุเก่าแก่ของมัน พืชธรรมดาที่อายุพันปีและมากกว่านั้นจะกลายเป็นพืชวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่สมัยโบราณ ว่ากันว่าโสมบางอย่างได้ถูกเพาะปลูกและจัดการให้เปลี่ยนเป็นรูปร่างมนุษย์ ดังนั้น เมื่อมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี มันจึงเหนือกว่าพืชวิญญาณทั่วไปเป็นอย่างมาก”


 


 


อีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “หญ้ารูปดาวนี้ก็ค่อนข้างดีใช้ได้ เป็นพืชประเภทที่แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นและจำเป็นสำหรับสูตรยาพิเศษบางอย่าง เพราะฉะนั้นแม้ว่ามันจะไม่เก่าแก่มาก แต่ก็คุ้มค่าที่จะซื้อ”


 


 


“ยังมีพืชที่ไม่ใช่ดอกไม้แต่ก็ไม่ใช่ใบหญ้าต้นนี้อีก ทุกคนรับรู้ว่าพืชนี้ดี แม้ว่าต้นที่อายุเกือบร้อยปียังไม่แก่มากพอ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะได้สักต้นหนึ่งมาครอบครอง อย่างไรก็ตาม พืชชนิดนี้จำเป็นสำหรับใช้ปรุงยาคงรูปเท่านั้น จึงมีประโยชน์ใช้สอยที่จำกัด”


 


 


โม่เทียนเกอแกล้งทำเป็นว่าสนใจในขณะที่นางโน้มตัวเข้าใกล้และฟังอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนางแอบดูบนโต๊ะจากช่องว่างระหว่างคนมาชมงานและเห็นว่าไม่มีเห็ดหลินจือสีม่วง นางจึงตรงไปยังโต๊ะอื่น นางต้องทำเช่นนี้หลายครั้งก่อนที่ในที่สุดนางจะเจอเข้ากับเป้าหมายบนโต๊ะตัวที่เจ็ด


 


 


เห็ดหลินจือสีม่วงต้นนี้วางอยู่ภายในกล่องใบเล็ก ดูเหมือนหินสีม่วงเข้มที่มีขนาดเท่าฝ่ามือและหนาเท่าใบมีด


 


 


โม่เทียนเกออ่านป้ายที่อยู่ด้านหน้า เห็ดหลินจือสีม่วง อายุหกร้อยปี สินค้าขั้นสุดท้าย ห้าร้อยศิลาวิญญาณ นางก้าวไปข้างหน้าและดมกลิ่นของมันเบาๆ มันมีกลิ่นแรงและค่อนข้างหอมหวาน ซึ่งตรงกับสิ่งที่เขียนในหนังสือพอดิบพอดี


 


 


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจนาง โม่เทียนเกอสงบจิตใจและหยิบกล่องขึ้นมาอย่างใจเย็น จากนั้นนางไปที่โต๊ะอีกตัวและเดินรอบๆ แกล้งทำเป็นว่าสำรวจดูของที่อยู่บนโต๊ะ หลังจากเลือกหญ้าขั้นเดียวอายุสามร้อยปี นางจึงตรงไปยังโต๊ะคิดเงินที่อยู่ด้านในสุด


 


 


คนที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินในที่สุดก็ไม่ใช่หญิงผู้ฝึกตนเสียที เขาเป็นชายชราดูสงบนิ่งที่มีผมและเคราหงอกและอยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงินเรียบร้อย


 


 


โม่เทียนเกอยื่นกล่องหยกทั้งสองกล่องให้กับเขา เมื่อผู้ฝึกตนคนนี้เปิดกล่อง เขาก็เหลือบมองนางอย่างค่อนข้างประหลาดใจและพูดว่า “เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหกร้อยปีหนึ่งชิ้น และหญ้าขั้นเดียวอายุสามร้อยปีหนึ่งชิ้น รวมทั้งหมดเจ็ดร้อยศิลาวิญญาณ”


 


 


โดยไม่ลังเล โม่เทียนเกอเอาศิลาวิญญาณออกมาและจ่ายค่าของไปเต็มจำนวน จากนั้นนางหยิบเอากล่องหยกทั้งสองและเก็บมันยัดลงในกระเป๋าเอกภพของนาง


 


 


สาเหตุที่นางจ่ายทันทีก็เพราะทุกคนที่นั่นค่อนข้างร่ำรวย ยิ่งไปกว่านั้น เจ็ดร้อยศิลาวิญญาณสำหรับเห็ดหลินจือสีม่วงอายุหกร้อยปีและหญ้าขั้นเดียวอายุสามร้อยปีถือได้ว่าราคาถูก ถ้านางลังเล คนก็จะสงสัยได้ว่านางมาที่งานรวมตลาดนี้ทำไม


 


 


อีกอย่าง ศิลาวิญญาณเจ็ดร้อยอันก็เป็นเพียงการซื้อขายเล็กน้อยสำหรับเผ่าหู เผ่าผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสำนักเทียนเต้า คนอาจจะจำของทั้งสองอย่างที่นางซื้อไปไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


 


บัดนี้ที่เห็ดหลินจือสีม่วงเข้ามาอยู่ในกระเป๋าเอกภพของนางโดยไม่มีอุปสรรค โม่เทียนเกอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด สุดท้ายนางก็มีอารมณ์ที่จะเดินเล่นในงานรวมตลาดนี้เสียที


 


 


เมื่อวานนี้ แม้ว่านางจะได้ข่าวว่ามีเห็นหลินจือสีม่วงขายอยู่ที่ตลาดแห่งนี้ แต่นางก็ยังไม่คาดคิดว่าเรื่องต่างๆ จะดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ นางจินตนาการสถานการณ์ที่นางอาจต้องเจอไปเสียมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือว่านางโชคดีมากจริงๆ


 


 


เมื่อไม่มีแผนการอะไรในใจ ทันใดนั้นโม่เทียนเกอก็นึกได้ว่าที่งานรวมตลาดนี้มีของดีหลายอย่าง วัตถุดิบมากมายที่นางเคยเห็นแต่ในหนังสือถูกวางเรียงแยกไว้บนโต๊ะ ทำให้นางเกิดความรู้สึกอยากจะซื้อมันขึ้นมา แต่หลังจากคิดให้รอบคอบ นางก็คิดได้ว่านางไม่จำเป็นต้องซื้อของพวกนั้น หากของที่มีหน้าที่ประหลาดไม่ได้ถูกใช้เพื่อขัดเกลาเครื่องมือวิญญาณแปลกๆ หรือใช้ปรุงยาแปลกๆ แล้วจะซื้อไปเพื่ออะไร หากเอามาใช้ไม่ได้ก็ยังเป็นการสิ้นเปลืองเงินอยู่ดีไม่ว่าของจะดีแค่ไหนก็ตาม


 


 


แม้กระนั้น นานๆ ครั้งก็จะมีบางคนที่ได้พบกับชะตาลิขิต เมื่อพวกเขาพบของที่ต้องการซื้อ พวกเขาก็จะดีใจขั้นสุด คว้าของและรีบเอาศิลาวิญญาณไปจ่ายค่าของเหล่านั้น


 


 


เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนคนก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าห้องโถงนี้จะค่อนข้างใหญ่ แต่ก็ยังรู้สึกแน่นเพราะโต๊ะที่วางกระจายกันอยู่ทั่วทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยผู้คน


 


 


หลังจากเลือกวัตถุดิบหลากหลายชนิดที่อาจเป็นประโยชน์กับนางและยาครอบจักรวาลขวดใหญ่ โม่เทียนเกอจึงอยากจะมองหาที่เงียบๆ สักหน่อย


 


 


ทว่าเมื่อนางเจอ ก็ต้องตกใจสุดขีด


 


 


เจียงเฉิงเสียน!


 


 


นางเห็นว่าไม่ไกลจากด้านหน้าของนาง เจียงเฉิงเสียนและวัยรุ่นสองคนในชุดเครื่องแบบสำนักเทียนเต้ากำลังเดินมาทางนางโดยขนาบไปด้วยหญิงผู้ฝึกตนอีกหลายคน ชายทั้งสามคนหยอกล้อกันขณะที่เดินอยู่ ดูมีความสุขมาก


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกสับสนอย่างมาก จึงรีบออกห่างจากโต๊ะเพื่อเลี่ยงพวกเขา


 


 


เจียงเฉิงเสียนมาทางเดียวกับนางตลอดเลยหรือ ตัวเขาและศิษย์สำนักเทียนเต้าสองคนนั้นดูคุ้นเคยกันมาก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขากำลังแวะมาเยี่ยมเยียนสหายของเขา แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้… คงจะแปลกถ้าคุณชายเอาแต่ใจนายนี้จะยอมทรมานกับการเดินทางบนถนนมากกว่ายี่สิบวันเพียงเพื่อแวะหามาสหายของเขา แต่ถ้าเขาไม่ได้มาหาสหายของเขา ทำไมเขาถึงดูมีความสุขกับคนสองคนนั้นนักล่ะ พวกเขาถึงกับมางานรวมตลาดด้วยกัน!


 


 


นางส่ายหัว ไม่สามารถคิดเรื่องนี้ให้ออกได้เลย แน่นอนว่านายเจียงเฉิงเสียนคนนี้ไม่ใช่คนดี ศิษย์ที่เดินทางมากับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งตายไป แต่เขากลับกำลังสนุกสนานอยู่กับสหายคนอื่นๆ เหมือนกับว่าเขาไม่เป็นอะไรเลย


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าตำแหน่งของนางต้องห้ามให้เจียงเฉิงเสียนพบเข้าโดยเด็ดขาด นางต้องไม่ให้เจียงเฉิงเสียนเห็นนางเพื่อป้องกันไม่ให้เขารู้ว่านางดูคุ้นหน้าคุ้นตาและเกิดสงสัยขึ้นมา ถึงแม้ว่านายท่านเจียงจะไม่สนใจศิษย์ไม่สำคัญอะไรอย่างนางก็ตาม แต่อย่างไรเสีย พวกเขาก็มาจากสำนักเดียวกันและต่างฝ่ายต่างเคยเห็นกันบ่อยๆ ดังนั้น การจำหน้าที่คุ้นเคยของใครสักคนได้จึงเป็นเรื่องปกติ


 


 


ด้วยเหตุนี้ โม่เทียนเกอก้มหน้า ทำตัวกลมกลืนกับฝูงชนและค่อยๆ เดินไปที่ประตูช้าๆ


 


 


ทันทีที่นางกำลังจะก้าวออกจากประตู นางก็ถูกใครบางคนหยุดไว้ คนผู้นั้นพูดว่า “ขอประทานโทษด้วยนายท่าน แต่ท่านสามารถออกจากที่นี่ได้หลังจากงานรวมตลาดจบลงแล้วเท่านั้นเจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกตกใจจึงถามว่า “เป็นกฎหรือ”


 


 


หญิงผู้ฝึกตนที่เฝ้าประตูพยักหน้าและตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ กรุณารออีกสองชั่วโมง หลังจากนั้น…”


 


 


“สองชั่วโมง!? ” โม่เทียนเกอไม่กล้าเสี่ยง แต่การอยู่ในเขตของเผ่าหู นางไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้แน่นอน


 


 


จากสีหน้าโม่เทียนเกอ หญิงผู้ฝึกตนสัมผัสได้ว่านางไม่เต็มใจ เพราะอย่างนั้น หญิงผู้ฝึกตนคนนั้นจึงยิ้มและกล่าวว่า “นายท่าน ต่อให้ข้าปล่อยท่านผ่านไป แต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของเผ่าเฝ้าประตูด้านนอกอยู่อีก เพราะฉะนั้น…”


 


 


เมื่อเป็นอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็แทบไม่ต้องคิดถึงการพยายามหนีออกไป นางถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “นี่… ข้าควรทำอย่างไรถ้าข้าไม่อยากจะเดินดูต่อแล้วล่ะ”


 


 


หญิงคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าขณะที่นางพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น กรุณารอสักครู่นะเจ้าคะ” ทันทีหลังจากที่นางพูดเช่นนั้น นางก็ส่งสัญญาณให้ใครสักคน หญิงผู้ฝึกตนหน้าตาสะสวยอีกคนเดินมาหาพวกเขาและโค้งคำนับเป็นการทักทาย


 


 


หญิงคนที่เฝ้าประตูพูดว่า “พานายท่านผู้นี้ไป เขาจะได้พักสักครู่หนึ่ง”


 


 


หลังจากได้รับคำสั่ง หญิงผู้ฝึกตนหันมาหาโม่เทียนเกอและบอกว่า “นายท่านเจ้าคะ…เชิญตามข้ามา”


 

 

 


ตอนที่ 84 รีบกลับไปอย่างเร่งด่วน

 

หญิงผู้ฝึกตนเดินนำโม่เทียนเกอไปที่มุมของห้องโถง นางผลักประตูไม้ที่ดูแสนจะธรรมดาเปิดออกและกล่าวว่า “นายท่าน เชิญเจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอมองดูสภาพห้อง มันเป็นเพียงห้องธรรมดาเมื่อเทียบกับห้องโถงนั้น พอเห็นว่าในห้องว่างเปล่า นางก็พยักหน้า บอกว่า “ขอบคุณ”


 


 


หญิงผู้ฝึกตนยังคงมีกิริยาท่าทางนอบน้อม นางโค้งคำนับก่อนจะถอยออกไป


 


 


หลังจากประตูปิดก็เหลือนางอยู่เพียงคนเดียวในห้อง โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเห็นว่ามีเก้าอี้ยาวจึงนั่งลงและเช็ดหน้าอย่างค่อนข้างอ่อนล้า


 


 


อันที่จริง ไม่สำคัญด้วยซ้ำว่าเจียงเฉิงเสียนเห็นนางหรือไม่ จากตั้งแต่แรกมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่รู้ตัวว่านางเห็นเขาขโมยยาวิเศษมา แต่มันก็แค่เพราะตัวนางเองรู้สึกไม่สบายใจและจะรู้สึกดีกว่าถ้าเขาไม่เห็นนาง เพราะอย่างนั้นนางจึงพยายามเลี่ยงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์อะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น


 


 


หลังจากนางตรวจดูกระเป๋าเอกภพของตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ยังคงอยู่ข้างใน นางหลับตาลงทันทีและเริ่มทำสมาธิเพื่อปรับลมปราณของนาง


 


 


สองชั่วโมงผ่านไปโดยเร็ว เมื่อนางลืมตาอีกครั้ง หญิงผู้ฝึกตนคนที่พานางเข้ามาในห้องก็เปิดประตูเข้ามาและพูดด้วยความเคารพว่า “นายท่าน งานรวมตลาดจบลงแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านออกไปได้”


 


 


โม่เทียนเกอพูดว่า “ข้ารู้ ข้าจะออกไปเมื่อข้างนอกมีคนน้อยลงแล้ว”


 


 


เหตุผลของนางเป็นเรื่องปกติ หญิงผู้ฝึกตนจึงตอบว่า “เจ้าค่ะ ใช้เวลาได้ตามสบายเจ้าค่ะ”


 


 


หลังจากประมาณสิบห้านาทีผ่านไป โม่เทียนเกอสันนิษฐานว่าคงไม่มีคนเหลืออยู่ในห้องโถงมากแล้ว นางจึงออกมาจากห้อง


 


 


แน่นอนว่าพวกคนที่ยังเหลืออยู่ในห้องโถงมีเพียงหญิงผู้ฝึกตน ภายใต้คำสั่งของคนงานหลายคน พวกนางกำลังเก็บกวาดของต่างๆ


 


 


หลังจากกวาดสายตามองไปทั่วห้องโถงและไม่เห็นเจียงเฉิงเสียน นางจึงเดินอาดๆ ออกจากหอลมเย็นของเผ่าหู จากนั้นนางแอบเดินทางกลับไปยังกระท่อมที่เช่าไว้


 


 


เหตุการณ์วันนี้ทำให้นางตระหนักว่าวิชามายาแปลงกายนั้นสำคัญมาก หากมิใช่เพราะวิชามายาแปลงกายของนางแย่มาก นางก็คงไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้


 


 


ถึงอย่างนั้น พอนางคิดถึงผลงานของวันนี้ ก็ยากที่นางจะข่มความตื่นเต้นเอาไว้ได้ เห็ดหลินจือสีม่วงไม่ใช่ของที่จะหากันได้ง่ายๆ แต่ต้นเฟิร์นอินทรีดำนั้นค่อนข้างธรรมดาสามัญ หลังจากนางกลับไปที่บ้าน นางก็คงจะสามารถหามันมาครอบครองได้อย่างง่ายดายตราบใดที่นางถามร้านค้าของสำนักให้ซื้อให้ในนามของนาง


 


 


นางล้มตัวลงนอนอย่างอารมณ์ดี อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสักพัก จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดมาจากตรงหน้าอก นางนิ่วหน้าขณะที่ครุ่นคิดถึงสาเหตุของความเจ็บปวดนี้ แต่ในวินาทีถัดมา นางก็ต้องตัวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวและรีบคว้าเอาแผ่นจารึกชีวิตของท่านอารองออกมาซึ่งนางใส่ติดตัวอยู่ตลอด แน่นอนว่าสีแดงเข้มตามเดิมของแผ่นหยกจารึกดูค่อนข้างจางลงเกือบจะกลายเป็นสีชมพู ท่านอารอง! ท่านอารองเป็น…


 


 


นางดูซีดเซียวอย่างมาก โม่เทียนเกอลุกขึ้นและเก็บข้าวของ โดยไม่มีการหยุดพักแม้แต่น้อย ในเวลาเพียงไม่นานนางก็เปิดประตูและก้าวออกไป รีบออกจากม่านพลังอย่างไม่คิดชีวิต


 


 


การเปลี่ยนสีของแผ่นจารึกชีวิตบ่งบอกว่าอาการบาดเจ็บของท่านอารองกำลังรุนแรงยิ่งขึ้น! เหมือนเช่นที่นางคิดไว้ก่อนหน้านี้ ท่านอารองแค่พยายามจะปลอบใจนาง! อาการของเขาไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังดื้อดึงอยากจะให้นางออกเดินทางไปท่องเที่ยว นี่ยังไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำแต่เขากลับ… ต่อให้นางรีบเร่งกลับไปอย่างสุดพลัง นางก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าสิบวันกว่าจะไปถึงที่นั่น นางไม่รู้เลยว่าท่านอารองจะสามารถอดทนอยู่จนถึงเวลาที่นางกลับไปได้หรือไม่


 


 


จิตใจนางร้อนรุ่มไปด้วยความกังวล โม่เทียนเกอใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีรีบกลับไปยังเขาอวิ๋นอู้ ตลอดทางนางไม่แม้แต่จะหยุดพักเลยสักจุดเดียว แม้เมื่อพลังวิญญาณของนางหมดสิ้น นางก็กินยาครอบจักรวาลเข้าไปแทนการหยุดพัก บางครั้งบางคราวนางก็จะดูแผ่นจารึกชีวิต โชคดีที่สีของแผ่นจารึกชีวิตยังไม่อ่อนลงไปมากกว่าเดิม


 


 


สิบวันให้หลัง โม่เทียนเกอพุ่งเข้าไปในสนามหญ้าเล็กๆ ที่ท่านอารองอาศัยอยู่ นางตะโกนเรียก “ท่านอารอง!”


 


 


เมื่อไม่ได้ยินเสียงใดอยู่ข้างใน โม่เทียนเกอรีบเข้าไปในห้อง ในไม่ช้า สีผิวของนางกลับซีดเผือดอย่างน่ากลัว


 


 


ท่านอารองนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง


 


 


โม่เทียนเกอรีบก้าวเข้าไปหาเขาเพื่อจับชีพจร


 


 


เขายังมีชีวิตอยู่แต่พลังวิญญาณของเขาดูวุ่นวายมาก พอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงหยิบยาอนุคืนสภาพมาและป้อนให้ท่านอารอง


 


 


เพราะว่านางเป็นกังวลอย่างมาก นางจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อาจจะเป็นเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเวลานานมากๆ แล้ว ในที่สุดท่านอารองก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอร้องเรียก


 


 


เยี่ยเจียงลืมตาและพยายามอย่างหนักที่จะยิ้มให้ ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดเขาก็สามารถเค้นคำพูดออกมาได้สองคำ “ยาวิเศษ…”


 


 


โม่เทียนเกอรีบไปหยิบยาอนุคืนสภาพทั้งหมดที่นางมีออกมาจากในกระเป๋าเอกภพและถามว่า “ท่านอารอง ท่านหมายถึงยาพวกนี้หรือ”


 


 


เยี่ยเจียงพยักหน้า เมื่อนางป้อนยาทั้งหมดนั้นให้กับเขา เขาลุกขึ้นนั่งได้ด้วยการช่วยเหลือของนางและเริ่มปรับลมปราณของตัวเอง


 


 


ครั้งนี้เขาต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ในการฟื้นตัว


 


 


ท้องฟ้ามืดลงและสว่างขึ้นอีกครั้ง เมื่อสีผิวของท่านอารองค่อยๆ ดีขึ้น ในที่สุดเขาจึงลืมตาขึ้นมา


 


 


ขณะนี้ท่านอารองพ้นขีดอันตรายแล้ว ความเครียดของโม่เทียนเกอซึ่งตึงเครียดมาหนึ่งวันเต็มจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงได้ อย่างไรก็ตาม นางยังคงถามอย่างเป็นกังวล “ท่านอารอง รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เยี่ยเจียงส่ายหน้าและตอบว่า “ข้าสบายดี”


 


 


เมื่อเห็นว่าสีผิวของท่านอารองยังดูซีดเซียว โม่เทียนเกอถามด้วยความห่วงใย “ท่านสภาพเป็นแบบนี้แต่ยังบอกว่าตัวเองสบายดีงั้นรึ ท่านอารอง บอกข้ามาตามตรง เกิดอะไรขึ้นหรือ”


 


 


เยี่ยเจียงยิ้มปลอบใจนาง “ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ข้าลืมไปว่าข้ากินยาอนุคืนสภาพไปจนหมดแล้วและบาดแผลก็แย่ลง พอไม่มียาอยู่พักหนึ่ง ร่างกายของข้าก็เลยทนไม่ไหวจึงเกิดอุบัติเหตุขึ้น” หลังจากเขาอธิบายจบ เขาจ้องมองนางด้วยความเป็นห่วงและถามว่า “เสี่ยวเทียน เจ้ากลับมาเพราะข้าหรือ เป็นความผิดของข้าเองที่เลินเล่อ สร้างแต่ปัญหาให้กับเจ้า…”


 


 


โม่เทียนเกอรีบส่ายหน้าทันที “ไม่สำคัญหรอก ข้าเจออะไรบางอย่างที่จะมีประโยชน์อย่างมากเมื่อข้าสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองและข้าก็กำลังจะกลับอยู่พอดี ท่านอารอง ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม”


 


 


“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าไม่เป็นอะไร อย่ากังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย แล้วเจ้าไปเจออะไรเข้ารึ?”


 


 


โม่เทียนเกอสำรวจดูท่านอารองอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าลมปราณของเขายังอ่อนแออยู่แต่ก็คงที่มากกว่าก่อนหน้านี้ เพราะอย่างนั้นนางจึงเชื่อเขาอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นนางเอาสูตรยาสำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิดออกมาและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอารอง ดูนี่สิ!”


 


 


เยี่ยเจียงรับแผ่นหยกบันทึกไปด้วยความกังขา หลังจากเขาใส่จิตสัมผัสของเขาลงในหยกบันทึก สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจทันที เวลาผ่านไปนานก่อนที่เขาจะถอนใจออกมาในที่สุดและกล่าวว่า “งั้นมันก็คือยาเพิ่มพลังการก่อเกิดสินะ… เจ้าไปได้ของชิ้นนี้มาจากที่ไหน”


 


 


โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านอารอง ท่านรู้จักยานี้ด้วยหรือ”


 


 


สีหน้าโหยหาถึงความหลังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเจียงขณะที่เขาพูดว่า “เมื่อสองร้อยปีก่อน ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี้จุดชนวนให้เกิดการนองเลือดขึ้น ผู้ฝึกตนทุกคนที่อายุมากกว่าสองร้อยปีต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”


 


 


“การนองเลือด?”


 


 


เยี่ยเจียงพยักหน้าช้าๆ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรำลึกถึงเรื่องนี้อยู่ เขากล่าว “ในขณะนั้น อาสองยังเป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ในขณะที่พ่อของเจ้ายังอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง และกลุ่มเรายังมีบรรพบุรุษระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครรู้ว่ายานี้ปรากฏขึ้นมาจากสถานที่ที่ผู้ฝึกตนดึกดำบรรพ์คนไหนทิ้งไว้ แต่มันก่อให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่และระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังส่วนใหญ่ในขั้วท้องฟ้า”


 


 


“ตอนแรกยาถูกพบโดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง และการต่อสู้เพื่อที่จะได้ครอบครองยานั้นไม่มีที่สิ้นสุด ในภายหลัง ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่หลายคนมาเพื่อยุติปัญหา เป็นเพราะการต่อสู้เหล่านี้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเราบาดเจ็บและล้มตายก่อนถึงเวลาอันควร ในท้ายที่สุด สูตรยาก็สูญหายและเราไม่เคยรู้ว่าใครได้มันไป… เจ้าไปได้มันมาจากที่ไหนรึ”


 


 


โม่เทียนเกอตอบว่า “จากผู้ฝึกตนเดี่ยวระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ข้าก็ไปได้มันมาโดยบังเอิญเช่นกัน” หลังจากนั้นนางจึงเล่าทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำวันนั้น


 


 


ครั้นนางเล่าจบ เยี่ยเจียงนิ่งเงียบอยู่นาน หลังจากคิดมาเป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ เขาจึงพูดว่า “บางทีคนผู้นั้นอาจจะแค่โชคดีก็ได้ นี่ก็ถือว่าเป็นชะตาลิขิตประเภทหนึ่งเหมือนกัน” จากนั้นเขายิ้มให้โม่เทียนเกอและพูดว่า “เสี่ยวเทียน มูลค่าของสิ่งนี้ไม่สามารถประมาณได้ ดูเหมือนว่าสวรรค์ก็จะกำลังช่วยเจ้าอยู่เหมือนกัน”


 


 


เมื่อเห็นว่าท่านอารองของนางมีความสุขมากเพียงใด โม่เทียนเกอก็รู้สึกสุขใจไปด้วย นางพูดต่อ “นอกจากนี้ข้ายังซื้อเห็ดหลินจือสีม่วงอายุหกร้อยปีที่งานรวมตลาดมาด้วย ข้านี่โชคดีเสียจริงๆ”


 


 


“อ้อ หายากนะ เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหกร้อยปีนับว่าเป็นของหายากเลยทีเดียว”


 


 


“จริงด้วย หากไม่ใช่เพราะดวง ข้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานขนาดไหนก่อนที่ข้าจะมีโอกาสได้ซื้อ… จริงสิ! ท่านอารอง! ข้ากำลังคิดว่าคงจะดีถ้าข้าจะเรียนเกี่ยวกับการปรุงยา ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


เยี่ยเจียงพยักหน้า “มันเป็นการตัดสินใจของเจ้า” หลังจากเขาตอบเช่นนั้นเขาก็พูดชมนาง “การตัดสินใจของเจ้าเริ่มจะมีความคิดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าค่อยโล่งใจหน่อย”


 


 


“แต่ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีพรสวรรค์ในการปรุงยาเอาเสียเลย ข้าใช้วัตถุดิบไปหนึ่งร้อยส่วนเพื่อปรุงยาวิเศษระดับต่ำ แต่ได้ยาที่เสร็จสมบูรณ์ออกมาแค่หกเม็ดเท่านั้นเอง”


 


 


เยี่ยเจียงอดที่จะพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วยไม่ได้ “เป็นเรื่องปกติ เจ้าไม่ต้องดูถูกตัวเองนักหรอก อาจารย์ปรุงยาส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ตอนที่พวกเขาเพิ่งเริ่ม พรสวรรค์รึ คนที่มีพรสวรรค์มักจะเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้นล่ะ คนที่ไม่ย่อท้อต่างหากคือผู้เชี่ยวชาญ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ เจ้ายังเด็กนัก ยังมีเวลาอีกมากกว่าร้อยปีให้เจ้าได้ใช้อย่างเรื่อยเปื่อย”


 


 


“ข้าเข้าใจ” โม่เทียนเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเขาอีกครั้ง “ท่านอารอง อาการบาดเจ็บของท่าน…”


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถปิดบังนางได้ สุดท้ายเยี่ยเจียงก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ก็ได้ อาสองจะบอกความจริงกับเจ้า อาการของข้าที่จริงไม่ดีเท่าไหร่…ก่อนที่เจ้าจะกลับมา ข้าสลบนานเกินไป บาดแผลของข้าจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว แค่อยู่กับข้าผ่านช่วงเวลาสุดท้ายของข้าไปก็พอ…”

 

 

 


ตอนที่ 85 กับดัก

 

โม่เทียนเกอนั่งพิงอยู่กับโต๊ะขณะที่กำลังชงชา ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง


 


 


ความหมายของคำพูดที่ท่านอารองบอกนางในวันที่นางกลับมานั้นเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ในช่วงวันที่ผ่านมานางว้าวุ่นใจ จิตใจของนางเอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลากลับไปกลับมา


 


 


ในวันนั้นท่านอารองบอกว่านางยังเหลือเวลาอีกหนึ่งร้อยปีที่สามารถใช้อย่างเรื่อยเปื่อยได้… ท่านอารองผู้ซึ่งเป็นคนที่คอยบังคับนางให้ฝึกตนอยู่ตลอดเวลา ได้พูดในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อนี้กับนาง! มันชัดเจนมากทีเดียวว่าสถานการณ์ของเขานั้นแย่ขนาดไหน ท่านอารองได้คิดว่าตัวเขานั้นได้ตายไปแล้ว


 


 


ทุกวันนี้นางเลิกตั้งคำถามไปแล้วว่านางจะทำอย่างไรหากท่านอารองตาย หลังจากที่นางเห็นอารมณ์ที่สงบของเขา นางก็ทำใจไว้แล้ว นางจะปล่อยให้ท่านอารองผู้ซึ่งเป็นห่วงนางมาตลอดสิบปีได้พักผ่อนอย่างไร้กังวล


 


 


เพียงแต่… นางยังคงรู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เขาจะจากไป


 


 


เมื่อใบชาที่อยู่ในกาน้ำชานั้นคลายตัวออก สีของน้ำก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวจางๆ หลังจากที่นางจัดการตัวเองเรียบร้อย โม่เทียนเกอรินน้ำชาใส่ถ้วยพร้อมยื่นให้กับท่านอารอง “ท่านอารอง จิบชาก่อน” ในชาถ้วยนี้นางใส่พืชวิญญาณเพิ่มพลังใจและสงบจิตลงไว้ด้วย นางหวังว่าการดื่มชาถ้วยนี้จะช่วยให้พลังวิญญาณของท่านอารองดีขึ้น


 


 


เยี่ยเจียงดูแก่ชรามากแล้วตอนนี้ ความจริงแล้วถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนจะเข้าสู่ช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต พวกเขาก็จะยังสามารถคงไว้ซึ่งความอ่อนเยาว์ภายนอกได้ พวกเขาจะไม่มีรอยเ**่ยวย่นเหมือนคนที่โลกมนุษย์ สาเหตุที่เยี่ยเจียงดูแก่ลงเช่นนี้เป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่ยังคงอยู่ในร่างกายของเขา


 


 


พลังวิญญาณของเขาดูดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ดื่มชา “เสี่ยวเทียน ล่าสุดเจ้าบอกว่าพลังวิญญาณภายในร่างกายของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ใช่ มันแปลกมาก พลังวิญญาณมืดค่อยๆ เติบโตในตานเถียนของข้า พลังวิญญาณชนิดอื่นถูกดูดกลืนและเปลี่ยนเป็นความมืด ข้าไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าที่จะฝึกตนต่อ”


 


 


เยี่ยเจียงครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ “มันไม่เป็นอันตราย เจ้าสามารถฝึกตนต่อได้ อาสองเคยได้ยินว่าหญิงผู้ฝึกตนที่ฝึกตนด้วยวิชาการฝึกตนที่ไม่ธรรมดาจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางพลังวิญญาณ น่าจะเป็นไปได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะวิชาการฝึกตนของพวกเขาเอนเอียงไปทางด้านพลังแห่งหยินมากกว่า”


 


 


“ในสถานการณ์ของเจ้าน่าจะเป็นเพราะเอกลักษณ์เฉพาะของวิชาฝึกตนที่เจ้าใช้ แต่เพราะก่อนหน้านี้ระดับการฝึกตนของเจ้ายังไม่สูงมากพอ พลังวิญญาณของเจ้าจึงไม่สามารถแปรสภาพให้เป็นพลังหยินบริสุทธิ์ได้ ตอนนี้เจ้าอยู่ขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณและระดับการฝึกตนของเจ้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นต่อพลังวิญญาณภายในร่างกายของเจ้า”


 


 


“การเปลี่ยนแปลงนี้คงเกิดจากการเร่งภายในตานเถียนของเจ้าในการเตรียมตัวสำหรับกระบวนการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นเจ้าควรฝึกตนต่อไป เมื่อพลังวิญญาณทั้งหมดของเจ้าเปลี่ยนแปลงไป เจ้าก็สามารถเริ่มสร้างฐานแห่งพลังได้”


 


 


โม่เทียนเกอดีใจที่ได้รับคำตอบนี้ นางพูด “แบบนี้แสดงว่าโอกาสที่ข้าจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างนั้นหรือ”


 


 


เยี่ยเจียงพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ควรจะเป็นเช่นนั้น” หลังจากที่คิดระยะหนึ่ง เขาพูดอีกครั้ง “ทำไมเจ้าไม่เดินทางกลับไปที่สำนักล่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปถามใคร แค่ไปที่ที่สำนักเก็บพวกตำราและบันทึกเอาไว้ แล้วลองไปหาคำตอบจากที่นั่นดู”


 


 


“อือ ข้ารู้”


 


 


“เจ้าควรรีบไปเสียแต่ตอนนี้ วันนี้อาสองรู้สึกสุขภาพดีทีเดียว”


 


 


“นี่…”


 


 


“ไปซะ ถ้าเจ้าไม่รีบไปเสียแต่ตอนนี้ มันอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเจ้าจะมีโอกาสได้ไปอีกครั้ง”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจในความหมายนี้ ท่านอารองกังวลว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะกำเริบขึ้นอีกครั้งและเมื่อเกิดขึ้น นางอาจจะไม่มีโอกาสที่จะออกเดินทางไป ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธและพูด “ตกลง ท่านอารอง ท่านต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”


 


 


ชั่วโมงถัดมา โม่เทียนเกอเดินทางมาถึงที่สำนักอวิ๋นอู้


 


 


นางไปที่โถงคนงานเป็นอันดับแรกเพื่อแจ้งสำนักถึงการกลับมาของนาง หลังจากนั้นนางจึงกลับไปที่บ้านพัก


 


 


ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมกับตอนที่นางจากไป เจียงซั่งหังยังคงเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อฝึกตน สำหรับฉินซีและหลิ่วอีเตา คนหนึ่งยังคงปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ในขณะที่อีกคนหนึ่ง จากที่ได้ยินรายงานมา ได้เข้าไปที่ถ้ำเซียนที่ใช้ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิโดยเฉพาะ โอ้ ส่วนศิษย์พี่โจวประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังเรียบร้อยแล้วและได้กลายเป็นอาจารย์ลุงโจว!


 


 


เมื่อได้ยินข่าวนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกยินดีกับเขามาก ถึงแม้ว่าอาจารย์ลุงโจวดูเหมือนไม่ค่อยได้ใส่ใจใครในตอนต้น แต่ความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคนที่ดี ถ้าสหายศิษย์ที่อาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้มีคำถาม เขามักจะตอบด้วยความจริงใจเสมอ


 


 


อีกอย่าง นางมีความสุขเมื่อตอนที่นางอาศัยอยู่ที่นี่ซึ่งต้องขอบคุณความดูแลของเขา ตลอดเวลาสองปีที่นางปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ นางไม่ต้องทำงานกิจธุระอะไรเพราะอาจารย์ลุงโจวอธิบายถึงสถานการณ์ของนางให้กับโถงคนงานฟังด้วยตัวของเขาเอง


 


 


เพราะเหตุนี้โม่เทียนเกอจึงครุ่นคิดว่านางควรไปแสดงความยินดีกับเขาหรือไม่ ท้ายที่สุด นางตัดสินใจว่าคงจะดีกว่าถ้าให้ใครสักคนช่วยส่งข่าวให้กับนาง และนางค่อยไปด้วยตัวเองหลังจากเสร็จธุระแล้ว อย่างไรเสีย อาจารย์ลุงโจวก็อาศัยอยู่ที่ยอดเขาทิศเหนือในตอนนี้ มันไม่ค่อยสะดวกกับนางในการที่จะเดินทางไปที่นั่นเท่าไหร่นัก


 


 


ขณะที่นางกำลังจะไปที่หอหมื่นบัญญัติ เสียงของใครบางคนจากด้านนอกกำลังเรียกนาง “ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์น้องเยี่ยเสี่ยวเทียนอยู่ที่นี่หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอเปิดประตูห้องและเห็นศิษย์ผู้ชายหน้าตาคุ้นหน้ากำลังยืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น “ศิษย์พี่ มีอะไรหรือ”


 


 


เมื่อคนนั้นเห็นนาง เขายิ้มพร้อมพูดว่า “เจ้าคือศิษย์น้องเยี่ย?”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าเอง”


 


 


เขาพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาที่จ้องมองของเขาทำให้นางรู้สึกอึดอัด


 


 


หลังจากนั้นเขาพูด “อาจารย์ลุงโจวส่งข้ามาที่นี่ ท่านได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว และต้องการที่จะพบเจ้า”


 


 


“หืม?” โม่เทียนเกอพูด “ข้าเพิ่งขอให้ศิษย์พี่จากยอดเขาทิศเหนือส่งข้อความถึงเขา นี่เขาได้รับข้อความแล้วหรือ”


 


 


คนผู้นั้นสะดุ้งเล็กน้อย “นี่… ข้าเองก็ไม่รู้แต่… อาจารย์ลุงโจวแค่บอกให้ข้ามาส่งข้อความให้”


 


 


“อย่างนั้นหรอกหรือ… ขอบคุณศิษย์พี่มาก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”


 


 


คนผู้นั้นตอบ “ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นเอง ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าอาจารย์ลุงโจวอยู่ที่ไหน”


 


 


ในเมื่อคนผู้นั้นมีเจตนาที่ดี โม่เทียนเกอจึงบอกว่า “งั้นข้าคงต้องขอขอบคุณศิษย์พี่อีกครั้ง”


 


 


“ไม่ต้องเกรงใจไป ไปกันเถอะ”


 


 


เมื่อพวกเขาเดินออกไปจากสวน โม่เทียนเกอถาม “ข้าขอถามแซ่ของศิษย์พี่ได้หรือไม่”


 


 


ผู้นั้นรีบเดินอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำถามของนาง เขาไม่ได้หันกลับมาเมื่อเขาตอบว่า “แซ่ของข้าคืออู๋”


 


 


“โอ้ ศิษย์พี่อู๋ ศิษย์พี่เป็นศิษย์จากยอดเขาทิศเหนือเช่นกันหรือ”


 


 


คำถามของนางทำให้ศิษย์พี่อู๋รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยและฝีเท้าของเขาก็ช้าลง เขาตอบ “ใช่แล้ว อาจารย์ของข้าชื่อชิงอวี่ เจ้าน่าจะจำท่านได้”


 


 


“อ้อ ท่านคือศิษย์ของอาจารย์ลุงชิงอวี่นั่นเอง! ข้าอยากจะเจอท่านมาตั้งนาน” โม่เทียนเกอยกยอเขาอย่างสุภาพ ศิษย์พี่อู๋เชิดคางขึ้นอย่างพอใจ ทำให้โม่เทียนเกอต้องกลั้นหัวเราะทีเดียว


 


 


ความจริงแล้วที่โม่เทียนเกอพูดว่า “ข้าอยากจะเจอท่านมาตั้งนานแล้ว” เพราะในฐานะศิษย์ของอาจารย์ลุงระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ศิษย์พี่อู๋ควรจะเป็นศิษย์พิเศษด้วยระดับขั้นการฝึกตนที่ล้ำลึก ทั้งๆ ที่อายุเขาก็ประมาณสามสิบแล้ว แต่ระดับการฝึกตนของเขายังคงอยู่แค่ระดับเจ็ดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณเท่านั้น…


 


 


อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย หลังจากที่ได้เห็นศิษย์พี่อู๋เรียกนางว่า “ศิษย์น้อง” ทั้งที่มีระดับการฝึกตนอยู่ระดับเจ็ดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขาต้องมีคนที่คอยหนุนหลังอยู่แน่นอน


 


 


นางมักจะไม่พูดสิ่งที่คิดออกมา เมื่อเห็นปฏิกิริยาของศิษย์พี่อู๋ นางรู้ว่าเขาเป็นคนที่รักในชื่อเสียงของเขา ถ้านางพูดสิ่งที่เป็นด้านลบและเขาได้ยินมัน พวกเขาคงจะต้องแตกหักกันอย่างแน่นอน


 


 


เดินไปสักระยะหนึ่งโม่เทียนเกอก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่อู๋ นี่เรากำลังไปในเส้นทางไหน ทางนี้ไปที่ยอดเขาทิศเหนือแน่หรือ”


 


 


ศิษย์พี่อู๋เดินด้วยความเร็วขั้นสุด เขาตอบโดยที่ไม่หันหลังกลับ “อาจารย์ลุงโจวมาจัดการธุระอยู่ที่ยอดเขาทิศใต้ เร็วรีบไป!”


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วและตามเขาไปในอีกทิศทางหนึ่ง เมื่อนางเห็นว่าเส้นทางนั้นเริ่มเปลี่ยวไร้ผู้คนและนี่เป็นเส้นทางที่ไม่เคยผ่านมาก่อน นางหยุดทันทีและเรียก “ศิษย์พี่อู๋!”


 


 


ศิษย์พี่อู๋ไม่แม้แต่จะตอบสนอง หลังจากที่เขาก้าวเดินไปอีกหลายก้าวและพบว่านางไม่ได้ตามมา เขาจึงหันกลับถามด้วยความรำคาญ “นั่นเจ้าทำอะไร”


 


 


โม่เทียนเกอสำรวจรอบด้านก่อนที่จะจ้องมองเขาอย่างระแวง นางพูด “ศิษย์พี่อู๋ ท่านจะพาข้าไปที่ไหน”


 


 


เมื่อเขาได้ยินคำถามนาง แววตาเขาก็หรี่ลง เขาพูดด้วยความตะกุกตะกัก “ไม่ได้พาไปที่ไหน…”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของเขา โม่เทียนเกอก็รู้สึกชัดเจนขึ้นมาในทันทีว่ามีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้น ทันใดนั้น นางไม่สนใจอีกต่อไปว่าเขาเป็นศิษย์พิเศษหรือไม่ นางหยิบเครื่องมือวิญญาณออกมาเพื่อกันไว้ก่อนและพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นว่า “ศิษย์พี่อู๋ ท่านคิดว่าข้าโง่นักหรือ ถ้าพวกเรายังคงเดินต่อไปในถนนเส้นนี้ พวกเราก็จะไปถึงหน้าผา อาจารย์ลุงโจวจะพบข้าที่หน้าผาอย่างนั้นหรือ”


 


 


เมื่อเห็นว่าเจตนาแอบแฝงของเขาถูกจับได้แล้ว เขาชำเลืองมองข้างทาง กัดฟันแน่นและพูดด้วยเสียงอันดัง “ศิษย์น้องอยากจะกลับไปตอนนี้น่ะหรือ สายไปเสียแล้ว!”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ศิษย์พี่อู๋ มีแค่ท่านเพียงคนเดียว แล้วต้องการที่จะหยุดข้าน่ะหรือ”


 


 


คนผู้นี้ไม่ได้คาดคิดว่าในการต่อสู้นางจะไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างตะกุกตะกักอีกครั้ง “ศิษย์น้องเยี่ย ใจเย็นๆ … ไม่จำเป็นที่จะต้องสู้กัน…”


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางของเขา ไม่ว่าอะไรก็ตามคนผู้นี้คือศิษย์ชั้นหัวกะทิ เขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดแบบนั้นได้อย่างไร


 


 


นางรู้ทันทีว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ดังนั้นทำไมนางจึงจะต้องตามเขาไปด้วย? อีกอย่าง คนผู้นี้คือศิษย์ชั้นหัวกะทิ การโจมตีเขาจะทำให้นางลำบาก ดังนั้นนางจึงหันกลับและเดินจากมาโดยที่ไม่พูดอะไรอีก


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย!”


 


 


โม่เทียนเกอไม่ตอบ


 


 


ไม่นานนัก การผันผวนของพลังวิญญาณเกิดขึ้นทางด้านหลังนาง ด้วยการตอบสนองอย่างรวดเร็วนางหลบออกจากทาง ทันใดนั้นร่างกายของนางก็เย็นไปด้วยเหงื่อ


 


 


สิ่งที่มุ่งตรงมาหานางความจริงแล้วเป็นเครื่องรางระดับสูงเรียกว่า “น้ำแข็งแห่งมหาสมุทรสีฟ้า!” ถ้าสิ่งนั้นติดที่ตัวนาง นางคงจะถูกแช่แข็งในทันทีและทำได้เพียงแค่มองตัวเองถูกเหยียบย่ำเป็นแน่


 


 


สุดท้ายแล้ว ศิษย์พี่อู๋ต้องการที่จะทำอะไร!


 


 


เมื่อเห็นว่านางมองเขาด้วยสายตาที่ดุร้าย ความกลัวปรากฏขึ้นบนสีหน้าของศิษย์พี่อู๋ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ ในที่สุดเขาก็หยิบเครื่องรางอีกอันออกมา


 


 


เครื่องรางระดับสูงไม่ใช่ราคาถูกๆ และยังแข็งแกร่งมาก เครื่องรางทั่วไปที่มีจำนวนมากก็ไม่ได้ง่ายที่จะต่อกรด้วย ในการต่อสู้ทางด้านพลังเวทก่อนหน้านี้ของนาง โม่เทียนเกอพยายามเลี่ยงที่จะปะทะโดยตรงกับเครื่องรางของคู่ต่อสู้ ปกตินางจะแก้ปัญหาการต่อสู้ก่อนที่คู่ต่อสู้ของนางจะมีโอกาสหยิบเครื่องรางออกมา ในตอนนี้อย่างไรก็ตามเนื่องจากนางไม่เต็มใจที่จะสู้ โอกาสนั้นจึงถูกช่วงชิงไปโดยศิษย์พี่อู๋


 


 


“ศิษย์พี่อู๋” โม่เทียนเกอพูดอย่างเยือกเย็น “ท่านทำอย่างนี้ทำไม ข้าเชื่อว่าข้ามิได้ทำให้ท่านขุ่นเคือง มิใช่หรือ”


 


 


ในขณะนี้ อีกเสียงหนึ่งที่ฟังมีอำนาจมากตอบ “เจ้าไม่ได้ทำให้เขาขุ่นเคือง แต่เป็นข้า!”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอหันกลับและเห็นคนผู้นั้น นางตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


ไม่ไกลจากนางนัก บนเส้นทางเล็กๆ ที่พาไปถึงหุบเขา ชายคนหนึ่งกำลังเดินมาหานาง


 


 


เจียงเฉิงเสียน!


 


 


สีหน้านางเปลี่ยนไป ความคิดของนางเคลื่อนที่ไวกว่าแสง ความคิดแรกของนางคือสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดที่เจียงเฉิงเสียนไม่ได้ไปเพราะการที่เขาประมาทนั้นถูกพบเข้าแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังคงสงสัยอยู่ว่าเขารู้ได้อย่างไรว่านางมีมันอยู่ ถัดไป นางคิดว่าเจียงเฉิงเสียนซ่อนตัวอยู่ที่จุดนี้ได้อย่างไร แต่นางไม่สามารถสัมผัสถึงเขาได้เลยจนเขาเดินเข้ามาใกล้นาง เขาจะต้องใช้วิชาซ่อนลมปราณแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะต้องเตรียมตัวอยู่นานเพื่อที่จะดวลกับนาง


 


 


หากนางฆ่าเจียงเฉิงเสียน นางจะยังมีที่ยืนอยู่ในเขาอวิ๋นอู้นี้อีกหรือไม่ หัวหน้าสำนักย่อยเจียงแห่งเขาอวิ๋นอู้คงจะกินนางทั้งเป็น… ผิดแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของกลุ่มเจียง นี่เขาต้องใช้วิธีนั้นเพื่อจัดการนางเชียวหรือ นางเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณตัวเล็กๆ เท่านั้น สำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังนางไม่ได้มีค่าอะไรน้องจากมดตัวเล็กๆ ที่สามารถตายได้เพียงแค่การบี้ครั้งเดียว


 


 


อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีเวลาให้นางคิดมากนัก นางล้วงมือเขาไปในกระเป๋าเอกภพและในวินาทีถัดมาแผ่นม่านพลังและธงม่านพลังก็ลอยออกมามากมาย


 


 


เจียงเฉิงเสียนเยาะเย้ยด้วยเสียง “ฮึ่ม” และหันไปทางศิษย์พี่อู๋ เขาพูดด้วยความโกรธ “ไร้ประโยชน์สิ้นดี! แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังทำไม่ได้! ไปคอยระวังไว้!”


 


 


ด้านหน้าของเจียงเฉิงเสียน ศิษย์พี่อู๋รีบก้มหน้าอย่างนอบน้อม “รับทราบขอรับ ศิษย์พี่เจียง”


 


 


โม่เทียนเกออดที่จะแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาไม่ได้ สรุปแล้วศิษย์พี่อู๋ก็คือขี้ข้าของเจียงเฉิงเสียนนั่นเอง ไม่แปลกใจเลยที่เขาช่างเป็นคนขี้ขลาด!


 


 


เมื่อศิษย์พี่อู๋เดินออกไปไกล เจียงเฉิงเสียนก็หันกลับมาพิจารณาม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุที่โม่เทียนเกอรีบวางไว้ สีหน้าเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่หน้าของเขาขณะที่พูดว่า “ต้องการที่จะใช้ม่านพลังต่อสู้กับข้างั้นหรือ ฮึ่ม!”


 


 


โม่เทียนเกอนึกขึ้นได้ทันทีว่าเจียงเฉิงเสียนมีกระจกทลายสวรรค์อยู่ในมือ มันเป็นอาวุธวิเศษที่สามารถทำลายม่านพลังได้!


 


 


ในขณะนั้น เจียงเฉิงเสียนก็หยิบกระจกออกมาจริงๆ ลำแสงสีเขียวสะท้อนออกมาจากกระจกและตกกระทบบนแผ่นม่านพลังของนา


 


 


“ตูม! แผ่นม่านพลังของนางระเบิดออก!


 


 


ม่านพลังนี้ถูกปรับปรุงและวางอย่างเร่งรีบ ดังนั้นมันจึงมีพลังที่เปราะบางกว่าปกติ


 


 


ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอจะเปลี่ยนไป นางก็รีบสงบจิตสงบใจและพูดถากถาง “แล้วถ้าข้าใช้ม่านพลังไม่ได้ จะมีอะไรให้เกรงกลัวอีกหรือ”


 


 


“เจ้า!!!” เจียงเฉิงเสียนตะโกนอย่างโกรธแค้น เขารู้ว่านางตั้งใจเยาะเย้ยเพราะปรัชญาแห่งลัทธิเต๋าของเขานั้นไม่ได้ดีเลย


 


 


โม่เทียนเกอจ้องไปที่เขาและถามอย่างหนักแน่น “ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าข้าทำให้ศิษย์พี่เจียงขุ่นเคืองอย่างไรจึงทำให้ศิษย์พี่เจียงต้องมาวางกับดักเพื่อที่จะดวลกับข้า”


 


 


เจียงเฉิงเสียนระเบิดหัวเราะเมื่อเขาได้ยินคำถามเช่นนั้น เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอย่างล้อเลียน “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าคนที่เอาสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดไปลับหลังข้าคือเจ้า แต่พอเห็นท่าทางของเจ้าตอนนี้ข้าก็รู้ได้ทันที! เจ้าจะยังหลอกตัวเองคิดว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญนัก หากเจียงเฉิงเสียนไม่ได้มาเพราะสูตรยา นางก็คิดว่าจะสารภาพอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงอยากจะถามเขาดูก่อน เพราะเหตุนั้น ตอนนี้นางจึงรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าเขามาเพราะสูตรยา นางก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังเช่นกัน


 


 


นางตระหนักดีว่าโอกาสที่นางจะรอดในครั้งนี้ช่างน้อยเหลือเกิน แต่นางก็ยังใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ นางไม่ได้นึกถึงสิ่งอื่นใดและถามเขาออกไป “เช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วศิษย์พี่เจียงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”



 

 

 


ตอนที่ 86 ทำไม

 

โม่เทียนเกอไม่เข้าใจจริงๆ นางทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง แล้วทำไมเจ้าคนรวยที่ไม่ได้เรื่องได้ราวคนนี้ถึงรู้ได้ว่านางเป็นคนเอาไป?


 


 


ขณะนั้นเอง สายตาของเจียงเฉิงเสียนดูแปลกขึ้นในทันใด สายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายทำให้นางรู้สึกราวกับเป็นปลาที่อยู่บนเขียงพร้อมที่จะถูกเขาหั่นได้ทุกเมื่อ


 


 


เมื่ออยู่ในอารมณ์เบิกบาน เจียงเฉิงเสียนจ้องมองนางและพูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่าข้ารู้ได้อย่างไรว่าสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอยู่ในมือนายคนนั้นน่ะ?”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างขยะแขยงกับสายตาที่เขามองนาง นางนิ่วหน้าและพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง ช่วยอธิบายหน่อย”


 


 


เจียงเฉิงเสียนไม่สนใจกับทัศนคติของนาง เขาแค่พูดด้วยรอยยิ้มพึงพอใจว่า “ไม่มีปัญหาที่จะบอกเจ้าตอนนี้ ข้าน่ะโชคดีมากที่ท่านทวดส่งข้าไปที่สำนักเทียนเต้าเพื่อให้จัดการบางเรื่องและตีสนิทกับศิษย์ที่มีชื่อเสียงบางคนไว้ โดยไม่คาดคิด ทันทีหลังจากที่ข้าไปถึงหุบเขา ข้าก็เห็นชายคนนั้นที่ร้านค้า กำลังถามว่าที่ร้านมีเห็ดหลินจือสีม่วงอายุมากกวห้าร้อยปีหรือไม่ แน่นอนว่าของแบบนั้นไม่มีทางขายในร้านเล็กๆ อย่างนั้นอยู่แล้ว”


 


 


“ในตอนแรกข้าไม่ได้สนใจเขา แต่ข้าก็เจอเขาในอีกร้านหนึ่งโดยบังเอิญ เขากำลังขายยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอยู่! ฮึ่ม! เจ้าของร้านเล็กๆ นั้นไม่มีประสบการณ์และไม่รู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ แต่ข้ารู้ว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดคืออะไร ในตอนหลัง ข้าจึงบอกศิษย์น้องเฉินให้ไปหาเรื่องเขาเพื่อสืบข้อมูลของเขามา เพราะอย่างนั้นข้าเลยรู้ว่าเขาไม่มีผู้เชี่ยวชาญหรือคนสำคัญคอยสนับสนุนอยู่”


 


 


เป็นอย่างนี้เอง! ผู้ฝึกตนเดี่ยวคนนั้นคงจะไม่เคยได้ยินว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดครั้งหนึ่งเคยทำให้เกิดการนองเลือดมาแล้ว เขาอยากจะขายมันเพื่อให้ได้ศิลาวิญญาณมาบางส่วนเพื่อเอาไปซื้อวัตถุดิบเพิ่ม ท้ายที่สุดแล้วเขากลับดึงดูดเคราะห์ร้ายเข้าตัวและต้องเสียชีวิต… จริงสิ! เห็ดหลินจือสีม่วง! ข้าพอจะเดาได้แล้วว่าข้าถูกเจอตัวได้อย่างไร


 


 


นางถามว่า “ในเผ่าหูของสำนักเทียนเต้า เจ้าไปถึงที่งานรวมตลาดโดยเร็วและเห็นว่าข้าซื้อเห็ดหลินจือสีม่วงใช่หรือไม่”


 


 


เจียงเฉิงเสียนหัวเราะออกมาดังๆ และพูดว่า “เจ้าไม่รู้รึ ข้าไปที่สำนักเทียนเต้าเพื่อจัดการบางเรื่องในเผ่าหู ข้ากลายเป็นเพื่อนกับพวกเขาด้วยซ้ำ ข้าอยู่ข้างในห้องข้างๆ โต๊ะคิดเงินอยู่แล้วตอนที่ได้ยินว่าใครบางคนกำลังซื้อเห็ดหลินจือสีม่วง ด้วยความสงสัย ข้าจึงออกไปดูและก็ต้องประหลาดใจ ข้าเจอเจ้าอีกแล้ว ยิ่งข้าเห็นเจ้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตามากเท่านั้น พอตอนหลัง ในที่สุดข้าก็จำได้ว่าเจ้าเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้!”


 


 


จะมีอะไรที่โม่เทียนเกอไม่เข้าใจหลังจากได้ยินเรื่องนี้อีกล่ะ นางประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไปจริงๆ!


 


 


ขณะที่นางคิดให้รอบคอบ ครั้งเดียวที่นางเห็นเจียงเฉิงเสียนคือเมื่อสามปีที่แล้วตอนที่นางเข้าสำนักอวิ๋นอู้เป็นครั้งแรก แค่เพราะว่านางบังเอิญเจอเขารุมทุบตีเจียงซั่งหัง ทำไมนางถึงไปตัดสินว่าเขาเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราวไปได้ อีกอย่าง ต่อให้เขารุมเจียงซั่งหัง นั่นเป็นการบ่งบอกหรือว่าเขาไม่มีทักษะอะไรเลย เขาเติบโตมาในกลุ่มใหญ่และมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นผู้อาวุโสที่มีสายเลือดเดียวกัน ต่อให้นายเจียงเฉิงเสียนคนนี้เดิมจะเคยเป็นคนไม่เอาไหน แต่เขาก็ยังสามารถถูกสอนให้เป็นจอมวางแผนได้!


 


 


แต่อย่างไรก็ตาม นางเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้สายเกินไปเสียแล้ว นางรู้ความผิดพลาดที่ตัวเองทำ แต่ความผิดพลาดของนางนั้นไม่สามารถแก้ไขได้


 


 


เจียงเฉิงเสียนยังคงอธิบายต่อไป “โชคดีที่ข้าไม่กล้าจะลงมือในเผ่าหูและกลับไปที่หุบเขาแทน แน่นอนว่าเสี่ยวเอ้อยืนยันว่าเจ้าไม่ได้กลับไปที่โรงเตี๊ยมในคืนนั้น ในตอนหลังข้าก็พบใครบางคนที่ดูเหมือนจะจำเจ้าได้…”


 


 


พอเขาพูดถึงตรงนี้ เขาก็จงใจหยุดพูด


 


 


ทั้งร่างของโม่เทียนเกอเย็นเยียบเป็นน้ำแข็งทันที เทียนเฉี่ยว!


 


 


นางกัดฟันแน่นและถามว่า “เจ้า… เจ้าทำอะไรเทียนเฉี่ยว”


 


 


“เป็นอะไรไปล่ะ” ขณะนั้นเจียงเฉิงเสียนไม่สามารถอดกลั้นความกร่างของเขาไว้ได้และระเบิดหัวเราะออกมา สายตาเขาเต็มไปด้วยเจตนามุ่งร้ายซึ่งทำให้นางรู้สึกขยะแขยง เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย หากเจ้าใส่เสื้อผ้าผู้หญิง เจ้าต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมากแน่ ทำไมเจ้าต้องแต่งตัวเช่นนี้ด้วยเล่า”


 


 


เมื่อโดนเปิดโปงความลับของนางอย่างกะทันหัน โม่เทียนเกอกลัวจนตัวแข็งทื่อและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เป็นเวลานาน นางรู้สึกสิ้นหวัง ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะเทียนเฉี่ยวหรือเป็นเพราะตัวนางเอง


 


 


สายตาเจียงเฉิงเสียนเคลื่อนไปทั่วร่างกายนางราวกับเขากำลังคิดว่าจะเริ่มกลืนกินนางจากตรงไหนดี จากนั้นเขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่ควรจะเข้าใจพี่สาวคนดีของเจ้าผิดไปนะ นางยอมตายดีกว่าที่จะบอกความลับของเจ้า! เพราะฉะนั้น ข้าเลยฆ่าสามีของนางต่อหน้านางซะและเค้นจิตวิญญาณของนาง ตอนนั้นล่ะที่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”


 


 


การเค้นจิตวิญญาณ! ดวงตาของโม่เทียนเกอเบิกโพลงเมื่อได้ยินคำเหล่านั้น ภายในมือที่กำหมัดแน่น เล็บของนางแทบจะจิกลงไปในฝ่ามือ


 


 


การเค้นจิตวิญญาณ… อาจถือได้ว่าเป็นวิชาที่โหดร้ายที่สุดในโลกแห่งการฝึกตน ผู้คนจะถูกดูดความทรงจำออกจากตัวขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่และจะต้องทนความเจ็บปวดอย่างหนักหนาสาหัสเสียจนพวกเขายอมตายดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม วิชานี้จะใช้ได้กับผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนอยู่ในดินแดนต่ำกว่าผู้ใช้อย่างน้อยหนึ่งดินแดน เจียงเฉิงเสียนเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้วิชาเค้นจิตวิญญาณกับเมิ่งซือกุยได้ แต่อย่างไรก็ตาม กับเทียนเฉี่ยวนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย


 


 


ผู้ฝึกตนจะลงเอยด้วยการกลายเป็นคนปัญญาอ่อนถ้าวิชาเค้นจิตวิญญาณถูกใช้อย่างเต็มกำลัง ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ธรรมดาเลย! เทียนเฉี่ยว… ตายไปแล้ว ตายเพราะตัวนาง!


 


 


โม่เทียนเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกสงบขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ นางพูดช้าๆ “คนอื่นไม่รู้ว่าเย่เสี่ยวเทียนคือใคร แต่เจ้าดันเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ เพราะอย่างนั้น เจ้าจึงกลับไปทันที จัดการนัดแนะ รอคอยให้ข้ากลับมาและเดินเข้ามาสู่กับดักของเจ้า”


 


 


เจียงเฉิงเสียนพูดพร้อมยิ้มไปด้วย “ถูกต้อง! ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าช่างฉลาดเสียจริง! แต่โชคร้าย บางครั้งคนฉลาดก็ถูกทำลายด้วยความฉลาดของตัวเอง! ถึงแม้ว่าในสายตาเจ้าข้าอาจจะไม่ถือว่าฉลาดนัก แต่พี่สาวของเจ้าคนนั้นก็ให้ข้อมูลข้ามาพอสมควร ข้าแค่ต้องคิดนิดหน่อยและก็เดาได้คร่าวๆ แล้วว่าทำไมเจ้าถึงต้องแต่งตัวเป็นผู้ชาย ร่างกายที่มีพลังแห่งหยินบริสุทธิ์! ฮ่าๆ ในเมื่อสวรรค์ยื่นมือเข้ามาช่วยข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไรเล่า!”


 


 


ด้วยความสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ โม่เทียนเกอพูดอย่างแผ่วเบา “งั้นก็หมายความว่าศิษย์พี่เจียงยังไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้รึ”


 


 


เจียงเฉิงเสียนตอบ “แน่นอนสิ ข้าจะแบ่งผลประโยชน์เช่นนี้กับคนอื่นได้อย่างไรกัน”


 


 


“ไม่บอกแม้แต่กับบรรพบุรุษของกลุ่มเจียงเลยรึ”


 


 


คำถามนี้ทำให้เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ เขายังไม่ได้บอกท่านทวดของเขาเพราะเขากลัวว่าท่านทวดจะไม่ให้ผลประโยชน์นี้กับเขา ถ้าเป็นเช่นนั้น—


 


 


“อ๊าก!!!”


 


 


ในเวลาเสี้ยววินาทีที่เขาเขว โม่เทียนเกอพลิกข้อมือและปล่อยเข็มบินได้หลายเล่มออกไปยังจุดตายของร่างกายเขาในชั่วพริบตา ปฏิกิริยาของเขาช้า เข็มทั้งหลายจึงทิ่มแทงเขาสำเร็จและทำให้เขาล้มลงที่พื้นในทันที


 


 


นางถือเครื่องมือวิญญาณไว้ในมือหนึ่งและเครื่องรางอยู่อีกมือหนึ่ง โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้ารู้ว่าในเมื่อเจ้ากล้าที่จะสู้กับข้าคนเดียว เจ้าต้องมีอุบายอื่นซ่อนไว้อีกแน่ อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่ได้เป็นคนที่เจ้าจะเหยียบย่ำได้ตามอำเภอใจ!”


 


 


ความเดือดดาลปรากฏขึ้นในดวงตาของเจียงเฉิงเสียน ชั่วขณะที่โม่เทียนเกอเขวี้ยงเครื่องรางของนาง เขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเอกภพของเขา เกราะอันเล็กสว่างจ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาและยับยั้งการจู่โจมที่กำลังเข้ามา


 


 


โม่เทียนเกอขว้างกระบี่ป่าขจีไปทันที ส่งให้มันบินเข้าหาตัวเจียงเฉิงเสียน


 


 


เจียงเฉิงเสียนกระวนกระวายใจ หลังจากตั้งรับเครื่องรางที่จู่โจมเข้ามาหลายต่อหลายอัน เกราะสว่างจ้าที่อยู่หน้าเขาเริ่มจะสั่นราวกับมันกำลังจะแตกออก ตอนนี้โม่เทียนเกอยังคงโจมตีต่อไป เขาจึงทำได้แค่ถอยร่นไป ก่อนจะคว้าของหลายอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพของเขา


 


 


พอเห็นเครื่องรางปึกหนาที่เขาถืออยู่ในมือ โม่เทียนเกอนิ่วหน้าและถอยไปอย่างเร็ว ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณต้องอาศัยเครื่องรางในการต่อสู้ด้วยพลังเวทมากเกินไป ดังนั้น นางมีปัญหาแน่ถ้านางต่อสู้กับคนที่มาจากกลุ่มผู้ฝึกตนเพราะพวกเขามีเครื่องรางมากมายอย่างแน่นอน การจะเอาชนะเจียงเฉิงเสียนคงง่ายมากถ้าเขาไม่มีเครื่องรางพวกนั้น แต่โชคร้าย เขามีปัญญาใช้เครื่องรางป้องกันตัวระดับสูงเพื่อสกัดการโจมตีทั้งหมดของนางด้วยซ้ำ


 


 


โม่เทียนเกอหยิบเอาเครื่องรางของนางออกมาและตัดสินใจสู้เต็มที่ ถึงแม้ว่าระดับเครื่องรางของนางจะไม่สูงเท่าของเจียงเฉิงเสียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีโอกาสจะชนะสักหน่อย


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ตาม เจียงเฉิงเสียนก็รื้อค้นกระเป๋าเอกภพของเขา เขาคว้าบางอย่างออกมาและเขวี้ยงมันไปหานาง


 


 


โม่เทียนเกอหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็วในขณะที่เขวี้ยงเครื่องรางทลายพสุธาออกไปเช่นกัน


 


 


เจียงเฉิงเสียนแปะเครื่องรางป้องกันอีกอันบนตัวของเขา รอยยิ้มชั่วร้ายที่มีความหมายแฝงอยู่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากขณะที่เขาจ้องมองไปยังจุดหนึ่งข้างหลังนาง ทันใดนั้น พลังวิญญาณระลอกหนึ่งพุ่งเข้าหานางจากด้านหลัง


 


 


โม่เทียนเกอหลบได้และจึงหันกลับไปดูสิ่งที่อยู่ข้างหลังนาง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที


 


 


มันคืออาวุธวิเศษที่มีรูปร่างเสมือนเชือกซึ่งเอ่อล้นไปด้วยพลังวิญญาณกำลังพุ่งเข้าหานางราวกับมันมีดวงตามองเห็น


 


 


ภายใต้การถูกไล่ล่าจากอาวุธวิเศษ โม่เทียนเกอทำได้เพียงแค่วิ่งหนีเท่านั้น นางไม่มีแม้แต่พละกำลังเหลือที่จะโยนเครื่องรางอีก


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณใช้เครื่องมือวิญญาณ และผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังใช้เครื่องมือวิเศษ ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าใช้อาวุธวิเศษ โดยแรกเริ่มอาวุธวิเศษจะถูกขัดเกลาโดยผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนสูงขึ้นไป แล้วเครื่องมือวิญญาณจะเทียบกับของพวกนั้นได้อย่างไร? ต่อให้ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสามารถใช้เพียงแค่ส่วนน้อยของพลังอาวุธวิเศษ มันก็ยังไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปจะสามารถรับมือได้


 


 


ขณะนี้หัวใจโม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความเสียดาย แม้ว่านางจะมีอาวุธวิเศษอยู่ในครอบครอง นั่นคือตะเกียงเสน่ห์ แต่นางก็ไม่ได้มีเวลาที่จะขัดเกลามัน จึงไม่สามารถเอามาใช้ได้


 


 


ด้วยความยากลำบาก นางพยายามหลบเครื่องรางอีกอันที่พุ่งเข้ามา แต่การก้าวผิดเพียงครั้งเดียวทำให้การเคลื่อนไหวของนางช้าไปหนึ่งก้าว ในชั่วพริบตา สิ่งที่อยู่ด้านหลังนางก็พุ่งเข้าชนนางอย่างเร็วและมัดตัวนางเอาไว้ได้


 


 


ขณะที่พลังวิญญาณในร่างกายนางถูกทำให้หยุดนิ่ง ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงล้มลงที่พื้น


 


 


เจียงเฉิงเสียนซึ่งเห็นว่านางถูกดักจับไว้อย่างแน่นหนาจึงหยุดโจมตีและเริ่มหัวเราะ เขาพูดว่า “นี่คือเชือกดักมังกรที่ข้าได้มาจากท่านทวด เป็นอย่างไรบ้างล่ะ? เจ้าขยับได้ไหม?”


 


 


“เชือกดักมังกร…”


 


 


“ใช่ เชือกดักมังกร ต่อให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเจอเข้ากับมัน พวกเขาก็อาจจะถูกดักจับได้ถ้าไม่ระวัง” เจียงเฉิงเสียนพูดอย่างภูมิใจขณะที่เขาก้าวมาข้างหน้า


 


 


เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกายนางถูกกักกันด้วยเชือกดักมังกรเส้นนี้จนถึงขั้นที่นางไม่มีแรงหลือที่จะขัดขืน โม่เทียนเกอรู้สึกหมดหนทางขึ้นมาในทันใด หลังจากสิบปีแห่งความรอบคอบและระมัดระวัง ความลับของนางกลับถูกเปิดเผยโดยไม่คาดคิดเพียงเพราะชั่วขณะเดียวของความเลินเล่อ ทำให้นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย…


 


 


หลังจากดึงเข็มบินได้หลายเล่มออกจากตัวเขาอย่างระมัดระวังและจัดการกับบาดแผลของเขา เจียงเฉิงเสียนเดินเข้ามาหานางและดึงกระเป๋าเอกภพของนางไปจากเอว เมื่อเขาเปิดดูและตรวจดูของข้างใน เขาก็พูดด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามีของหลายอย่างเลยนี่!”


 


 


มีบางอย่างแปลกไปในสายตาที่เขาใช้มองนาง เขายังคงพูดต่อ “น่าเสียดาย… ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนแปลกไม่เหมือนใคร แต่เจ้าดันเกิดมาผิดเพศ! ถ้าเจ้าอยากจะโทษใครสักคนล่ะก็ เจ้าควรโทษพระเจ้าซะ!”


 


 


ภายใต้สายตาที่จ้องเขม็งของโม่เทียนเกอ เจียงเฉิงเสียนยัดกระเป๋าเอกภพของนางเข้าไปในชุดคลุมของเขาแล้วเข้ามาใกล้นางเพื่อสำรวจใบหน้า เขามองนางอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะปล่อยผมของนางและเชยคางขึ้น “ชิ เจ้าดูดีทีเดียวนะ แม้ว่าไม่ถึงกับสวยโดดเด่น แต่เจ้าก็ยังเป็นคนงาม”


 


 


โม่เทียนเกอสะบัดหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ถ้านางมีโอกาส นางต้องหั่นมือน่าขยะแขยงนั้นออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน


 


 


เจียงเฉิงเสียนไม่ได้โกรธ ขณะที่หัวเราะอย่างมีความสุข เขาก็พูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย… อย่าโทษข้าแล้วกันที่ไม่อ่อนโยนเพราะอยากจะทำเรื่องดีๆ กันที่นี่ ข้าไม่อยากรอและต้องมีอะไรผิดแผนไปในขณะที่รอ!”


 


 


โม่เทียนขยับหัวออกห่างเขาและรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้น นางรู้ว่าเจียงเฉิงเสียนอยากจะทำอะไรกับนาง แต่นางไม่ได้โง่ขนาดที่คิดว่าการร้องขอความเมตตาจะมีประโยชน์อะไร ถ้านางสามารถรอดชีวิตไปได้ สักวันหนึ่งนางจะต้องแก้แค้นเขาให้หนักกว่าสิ่งที่นางต้องทนทุกข์ในตอนนี้อีกสิบเท่า


 


 


เจียงเฉิงเสียนที่ยิ่งมีความสุขยิ่งขึ้นเมื่อเห็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของนางกล่าวว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ที่จริงแล้วหน้าตาของเจ้าดูดีกว่าพวกสาวงามสมองทึบพวกนั้นตั้งเยอะ ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าหญิงงามตัวแสบจะมีรสชาติที่พิเศษเช่นกัน!”


 


 


นางไม่อยากจะตอบเขาและอยากแกล้งทำเป็นว่านางไม่ได้รู้สึกอะไร… แต่เมื่อมือที่น่ารังเกียจคู่นั้นเริ่มที่จะเคลื่อนไปทั่วร่างกายของนาง ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นและพูดอย่างโกรธแค้นว่า “ไปตายซะ!”


 


 


แต่กระนั้น เจียงเฉิงเสียนกลับหัวเราะด้วยท่าทางร่าเริงสุดขีด “เวลาแห่งการไขปริศนามาถึงแล้ว ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าใส่อะไรเนี่ย ทำไมมันแข็งนัก ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย”


 


 


“อ้อ… เสื้อผ้าที่เจ้าใส่ช่างหนาเสียจริง! แต่ไม่เป็นไรหรอก หากเป็นเรื่องอย่างการเปลื้องผ้าหญิงงามแล้วละก็ ข้ายินดีที่จะทำ!”


 


 


โม่เทียนเกอกัดปากของนางแรงมากเสียจนเลือดเริ่มไหลขณะที่นางอดทนกับมือคู่นั้นที่ลูบคลำไปทั่วทั้งร่างของนาง นางบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่านางต้องอดทน ถึงแม้นางจะอยากตาย แต่นางจะไม่ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้แน่ นางต้องมีชีวิตอยู่… อยู่จนถึงวันที่นางสามารถหั่นผู้ชายคนนี้ออกเป็นชิ้นๆ ให้ได้!


 


 


อย่างไรก็ตาม การต้องอดทนผ่านตอนนี้ไปก็ทำให้หางตานางชุ่มไปด้วยน้ำตา

 

 

 


ตอนที่ 87 แบ่งของที่แย่งชิง หนีเพื่อเอาตัวรอด

 

“อ๊ากกก!!!”


 


 


ควบคู่ไปกับเสียงร้องที่สยองขวัญ มือที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างของนางก็หายไป โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นและตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น


 


 


เจียงเฉิงเสียนคนที่เมื่อครู่ยังคงทำทุกอย่างที่ตัวเองพอใจ ตอนนี้กลับนอนแผ่แขนขาเหยียดตึงอยู่ที่พื้นโดยมีรูทะลุขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ตรงหน้าอก ตายอยู่อย่างนั้น


 


 


เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมา ภาพที่นางเห็นคือใบหน้าของเจียงซั่งหังที่ดูเศร้าหมอง


 


 


“ศิษย์…ศิษย์พี่เจียง…” ทันใดนั้นคลื่นแห่งความอ่อนล้าก็ถาโถมมาที่นาง นางไม่มีแรงที่จะพูดออกมาได้ เมื่อมือที่น่ารังเกียจเหล่านั้นเคลื่อนไหวไปทั่วตัวของนาง นางไม่ได้รู้สึกกลัวเพราะนางรู้สึกสะอิดสะเอียนเสียมากกว่า มันเป็นแค่ช่วงเวลาตอนนี้เท่านั้นที่นางรู้สึกถึงความกลัวที่ยังตกค้างจากช่วงเวลานั้นอยู่


 


 


เมื่ออารมณ์ของนางเย็นลงมากขึ้น นางก็รู้ได้ทันทีถึงแม้ว่าเจียงเฉิงเสียนจะตายแล้ว แต่สถานการณ์ของนางก็ยังไม่เปลี่ยนไปถ้าเจียงซั่งหังนั้นมีเจตนาร้ายต่อนางเช่นกัน ดังนั้น นางเงยหน้าขึ้นอย่างประหม่าจ้องมองไปที่เจียงซั่งหัง ยังโชคดีที่เสื้อผ้าของนางยังไม่ได้ถูกถอดและเผยผิวใต้ร่มผ้าออกไป นางแค่ไม่รู้ว่าเขาได้ยินสิ่งที่เจียงเฉิงเสียนพูดไปหรือไม่


 


 


เมื่อเห็นท่าทางที่วิตกกังวลและแสดงออกถึงความกลัวโดยมีเหงื่อปกคลุมไปทั่วหน้าของเจียงซั่งหัง ในที่สุดนางจึงตระหนักถึงความจริงที่ว่าเจียงซั่งหังเพิ่งจะฆ่าญาติผู้น้องของเขา ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นเหมือนศัตรูกันมากกว่าพี่น้องมาก่อน แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า ความรู้สึกของเขาตอนนี้คงวุ่นวายสับสนน่าดู จริงไหม


 


 


นางพยายามเรียกชื่อเขา “ศิษย์พี่เจียง”


 


 


เจียงซั่งหังรีบดึงสติกลับคืนในทันทีพร้อมกับปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากออกไปก่อนที่จะจ้องมองมาที่นาง หลังจากนั้นไม่นาน เขาเดินมาหานางพร้อมกับดึงเชือกดักมังกรออก ด้วยการตายของเจียงเฉิงเสียน เชือกดักมังกรก็สามารถแกะออกได้โดยง่าย “ลุกขึ้น”


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ปฏิกิริยาของเจียงซั่งหังยังคงปกติ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเพิ่งมาถึงและไม่ได้ยินในสิ่งที่เจียงเฉิงเสียนพูดไป


 


 


นางยืนขึ้นหันหลังกลับเพื่อจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะหันกลับมา นางประสานมือทำท่าคารวะต่อเจียงซั่งหังพร้อมพูด “ข้าขอขอบคุณศิษย์พี่เจียงเป็นอย่างมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้” ถึงแม้ว่านางจะเรียกเขาแบบเดิม แต่ครั้งนี้นางแสดงให้เห็นถึงความซาบซึ้งใจมากขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าเจียงซั่งหังจะเคยปฏิบัติต่อนางอย่างไร แต่ความจริงนั้นคือเขาได้ช่วยชีวิตของนางไว้ในวันนี้


 


 


สีหน้าของเจียงซั่งหังในรูปแบบเก่ากลับมา ด้วยท่าทางเฉยเมย เขาตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เจ้าเคยช่วยข้าไว้ครั้งหนึ่ง ข้าแค่ชดใช้คืนให้”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงงัน นี่เขาพูดถึง… เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วหรือ? น่าจะเป็นอย่างนั้นแน่… เราสองคนมีช่วงที่เผชิญหน้ากันที่ผ่านมาแค่นั้น


 


 


เมื่อสามปีที่แล้ว เมื่อศิษย์พี่เจียงถูกทำร้ายโดยเจียงเฉิงเสียน นางบังเอิญเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์นั้นและแอบพาเขากลับมา ในภายหลัง นางยังโกรธเคืองที่เขาไม่ได้รู้สึกสำนึกในบุญคุณเลยด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าศิษย์พี่เจียงไม่ได้เมินเฉยหรือไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังคงจำได้ตลอดสามปีที่ผ่านมา!


 


 


สิ่งที่ทำโดยไม่ได้ตั้งใจในอดีตช่วยชีวิตนางเอาไว้ในวันนี้อย่างไม่คาดคิด โม่เทียนเกอคิดไปเองอย่างช่วยไม่ได้ว่าในโลกแห่งการฝึกตนนี้นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเห็นแก่ตัวเองก็ได้ เมื่อนางทำอะไรเพื่อตัวเอง การช่วยคนอื่นบ่อยขึ้นก็อาจจะสร้างกรรมดีให้กับตัวนางเองเช่นกัน สุดท้ายแล้วในกฎแห่งกรรมก็ไม่ได้มีแต่กรรมสนองเท่านั้น แต่ยังคงมีกรรมที่ดีด้วยเช่นกัน


 


 


ดังนั้นเมื่อนางเห็นเจียงซั่งหังที่มีการแสดงออกแบบเย็นชา ทัศนคติที่มืดมน นางก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจอีกแล้ว พูดตามความจริงก็คือ เจียงซั่งหังไม่ได้ชอบที่จะอยู่กับพวกเขา มีรูปแบบการพูดที่ทื่อๆ และการวางตัวที่เย็นชา แต่แท้จริงแล้วไม่มีอะไรที่แย่เกี่ยวกับเขา อย่างไรก็ตาม… เขารู้ได้อย่างไรว่านางตกอยู่ในอันตรายและเขามาถูกจังหวะได้อย่างไร?


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอหันไปมองศพที่นอนอยู่บนพื้น เจียงซั่งหังก้มหมอบลงและเริ่มที่จะตรวจสอบศพอยู่ก่อนแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะถาม “ศิษย์พี่เจียง ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังเกิดปัญหา”


 


 


เจียงซั่งหังตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ข้ารู้จักคนนั้น”


 


 


“หา”


 


 


“คนที่บอกให้เจ้าตามมา”


 


 


ศิษย์พี่อู๋? ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เข้าใจ เจียงซั่งหังกำลังฝึกตนอยู่ในห้องของเขา ดังนั้นเมื่อศิษย์พี่อู๋มาตามหานาง เจียงซั่งหังก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นขี้ข้าของเจียงเฉิงเสียน และที่เขาอ้างว่า “อาจารย์ลุงโจวกำลังตามหา” จึงเป็นเรื่องโกหก


 


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่านางโชคดีมากแค่ไหน ถ้าเจียงซั่งหังไม่ได้บังเอิญอยู่ในห้องและได้ยินบทสนทนานี้นางก็คง…


 


 


“แล้วคนนั้นล่ะ” โม่เทียนเกอถาม หลังจากที่เจียงเฉิงเสียนขอให้เขาไปเฝ้าระวังให้


 


 


“ข้าฆ่าเขาไปแล้ว” เจียงซั่งหังพูดอย่างไม่แยแส


 


 


โม่เทียนเกออึ้ง ศิษย์พี่เจียงคนนี้… ช่างเป็นคนไร้ความปรานียิ่งนัก… เมื่อถึงเวลาที่ต้องฆ่า เขาไร้ซึ่งความเมตตาอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม มันทำให้นางมีความประทับใจที่แตกต่างต่อเจียงซั่งหัง นางรู้สึกว่าการไร้ซึ่งความปรานีของเขานั้นเป็นจุดแข็ง ในโลกแห่งการฝึกตนนี้ เมื่อพวกเขาจำเป็นที่จะต้องโหดเ**้ยม พวกเขาไม่สามารถที่จะปรานีได้แต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานแน่นอน


 


 


ขณะนั้นเจียงซั่งหังพบกระเป๋าเอกภพสองใบ เขาโยนใบของนางคืน “นี่เป็นของเจ้าใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอรับมันกลับมาและตอบ “ใช่ ขอบคุณท่านมาก”


 


 


เมื่อสำรวจศพของเจียงเฉิงเสียนเรียบร้อยแล้ว เจียงซั่งหังยืนขึ้นและหันมาทางนาง เขาขมวดคิ้วและพูด “ศิษย์น้อง… ศิษย์น้องเยี่ย สุดท้ายแล้วอะไรคือสาเหตุที่เจ้าต้องแต่งตัวเหมือนผู้ชายและเข้ามาอยู่ที่สำนักอวิ๋นอู้?”


 


 


เจียงซั่งหังยังคงใช้น้ำเสียงที่เยือกเย็นอย่างเคย แต่ครั้งนี้โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกรำคาญอีกต่อไป บางทีอาจจะเป็นเพราะความประทับใจที่นางมีต่อเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้เจตนาถามแบบนั้นจริงๆ


 


 


ด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว นางตอบ “ศิษย์พี่เจียงจะเชื่อข้าหรือไม่ หากข้าตอบว่าข้ามิได้มีจุดประสงค์อันใดเลย”


 


 


เจียงซั่งหังพูด “มันไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้สนใจในเรื่องของเจ้า แต่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เราทั้งสองคงไม่อาจหลบเลี่ยงจากผลที่จะตามมาได้”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจได้ในสิ่งที่เขาพูด เมื่อนางเตรียมตัวที่จะสู้กับเจียงเฉิงเสียน นางได้นึกถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ในเมื่อพวกเขาฆ่าเจียงเฉิงเสียนไปแล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถอยู่ที่เขาอวิ๋นอู้ได้อีกต่อไป พวกเขาจะต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของกลุ่มเจียง อย่างไรก็ตามกลุ่มเจียงมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังถึงสองคน มันช่าง…


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจพร้อมพูดว่า “เหตุการณ์นี้… ข้าทำให้ศิษย์พี่เจียงต้องเขามาข้องเกี่ยวด้วย ข้าต้องขออภัยจากใจจริง”


 


 


หลังจากที่เขาได้ยินนางพูด สีหน้าหงุดหงิดใจเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของเขา แต่เขาก็พูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อข้ายินดีที่จะเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ข้ารอเวลาที่จะออกจากกลุ่มเจียงมานานแล้ว”


 


 


“ท่านต้องการที่จะออกจากกลุ่มเจียง?” โม่เทียนเกอถามด้วยความตกใจ ถึงแม้ว่าเจียงซั่งหังจะไม่ได้สำคัญต่อกลุ่มเจียง แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังได้ผลประโยชน์จากอิทธิพลและกำลังในกลุ่มนั้น ในเมื่อเขายังไม่ทันที่จะได้สร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง เขาจะต้องเผชิญความลำบากต่ออนาคตของเขามากมายแน่นอนหากเขาละทิ้งกลุ่มเจียงไปในตอนนี้


 


 


เจียงซั่งหังยิ้มเยาะ “ครั้งล่าสุดที่ข้ากลับไปบ้าน ข้าก็ได้รู้ว่าอาม่าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้าได้จากไปเสียแล้ว อาม่าของข้าเป็นเพียงแค่มนุษย์ นางเจ็บป่วยจากโรคเล็กน้อย พวกเขาก็เพียงแค่ต้องช่วยนางและพวกเขาก็จะสามารถรักษานางได้ แต่พวกเขากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย… แล้วทำไมข้าถึงจะต้องยังคงอยากอยู่ในกลุ่มแบบนี้อีก”


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะทั้งสองคนตกอยู่ในเรือลำเดียวกันแล้วในตอนนี้เขาถึงได้บังเอิญพูดโพล่งเรื่องเหล่านี้ออกมา อย่างไรก็ตาม เขาดูรู้สึกเสียใจหลังจากที่พูดจบ และรีบพูดต่อว่า “พอกับเรื่องไร้สาระพวกนี้เสียที ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่ ถ้าพวกเราช้าไปกว่านี้แล้วถูกคนอื่นจับได้ พวกเราจะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ศิษย์พี่เจียง ข้าขอพูดอย่างตรงไปตรงมา เรื่องนี้จะต้องเชื่อมโยงมาถึงข้าอย่างแน่นอน บางคนจะต้องรู้ว่าศิษย์พี่แซ่อู๋ออกมาตามหาข้า ดังนั้นเมื่อมีการสืบถึงการตายของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่เบาะแสนั้นจะชี้มาที่ข้า ในทางกลับกันสำหรับท่าน ท่านสามารถรามือจากเรื่องนี้ไปได้อย่างง่ายดาย”


 


 


เจียงซั่งหังกล่าว “ข้าไม่อาจเชื่อได้ในเรื่องของความโชคดี มันคงจะดีกว่าหากข้าจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการออกไป ทุกคนจะตามล่าเจ้า ดังนั้นมันง่ายกับข้าที่จะหนีไป”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจเหตุผลนั้นของเขา ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะก่อเหตุอาชญกรรม แต่เจียงซั่งหังหลบซ่อนตัว ดังนั้นมันง่ายกว่าที่จะปกปิดความเกี่ยวข้องของเขา นางไม่ได้รู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นก็เพราะนาง ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและตอบ “ข้าเข้าใจ”


 


 


เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เจียงซั่งหังมองศพของเจียงเฉิงเสียนพร้อมจัดการด้วยคาถาทรายดูด


 


 


เมื่อร่างของเจียงเฉิงเสียนจมหายไปกับพื้นดินจนหมด เจียงซั่งหังเปิดกระเป๋าเอกภพของเจียงเฉิงเสียนอีกครั้ง ดูเหมือนว่ากำลังหาของบางอย่าง สุดท้ายแล้วเขาหยิบขวดยาวิเศษและเทของที่อยู่ด้านในออกมา สีหน้าของเจียงซั่งหังดูเศร้าหมองลงในทันทีที่เห็นยาห้าเม็ดในขวดนั้น


 


 


โม่เทียนเกอแปลกใจจึงถามว่า “มีอะไรหรือ”


 


 


เมื่อเจียงซั่งหังเก็บยาใส่กลับเข้าไปในขวด เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมอบยาสองเม็ดให้กับนาง เขาพูด “นี่เป็นยาเกลาฐานแห่งพลังของกลุ่มเจียง ทานไปหนึ่งเม็ดเมื่อเจ้าต้องการสร้างฐานแห่งพลัง มันจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เจ้าประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น”


 


 


โม่เทียนเกอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ และจ้องมองไปที่ยาในมือของนาง นางได้ยินมานานแล้วว่ากลุ่มเจียงมียาวิเศษประเภทที่ช่วยในการสร้างฐานแห่งพลัง แต่เจียงซั่งหังกลับไม่ได้ส่วนแบ่งอะไร ไม่แปลกใจที่เขามีปฏิกิริยาอย่างเมื่อครู่นี้ เขาได้ครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลังแล้วและเพียงแค่ต้องสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง แต่เขากลับไม่ได้รับยาสักเม็ดเดียวจากกลุ่มของเขา ตอนนี้พวกเขาเจอยานี้ถึงห้าเม็ดจากร่างของเจียงเฉิงเสียน… สุดท้ายแล้ว ความลำเอียงของกลุ่มเจียงนี้จะมากมายแค่ไหนกัน?


 


 


ในขณะนี้ นางรู้สึกว่าการออกจากกลุ่มเจียงเป็นสิ่งที่ดีแล้วสำหรับเจียงซั่งหัง พวกเขาต่างกลั่นแกล้ง ทอดทิ้งเขาและครอบครัวของเขา และยังปฏิบัติอย่างเลือกที่รักมักที่ชังในเรื่องสำคัญอย่างการสร้างฐานแห่งพลัง ต่อให้เขายังคงอยู่กับกลุ่มเจียง เขาก็จะไม่ได้ผลประโยชน์อะไร!


 


 


โม่เทียนเกอมองยาวิเศษที่อยู่ในมือ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถาม “ศิษย์พี่เจียง นี่เป็นของที่มีค่า ท่านให้ข้าจริงๆ หรือ”


 


 


เจียงซั่งหังพูด “ทุกครั้งที่เจ้าทานยาเกลาฐานแห่งพลังนี้หนึ่งเม็ด ประสิทธิภาพของยาจะลดลงเล็กน้อย หลังจากที่ทานไปครบสามเม็ดมันจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก เจ้าเอาไปแค่สองเม็ด ถือเสียว่าเป็นรางวัลที่ช่วยข้ากำจัดอันตรายออกไป”


 


 


เหตุผลของเขานั้นสมเหตุสมผล ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและเก็บยาสองเม็ดไว้ หลังจากนั้นไม่นาน นางนึกถึงเรื่องต่อไปจึงพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง ลองตรวจสอบดูก่อนว่าเขามียาที่ท่านไม่รู้จักอยู่บ้างหรือเปล่า”


 


 


เจียงซั่งหังมองนางอย่างสงสัย ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงพูดอย่างเรียบๆ ว่า “เขามียาเพิ่มพลังการก่อเกิด”


 


 


เจียงซั่งหังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เห็นได้อย่างชัดเจนเขารู้ว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดคืออะไร เขาถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไร”


 


 


ด้วยรอยยิ้มที่แสนขมขื่น โม่เทียนเกอตอบ “นั่นคือเหตุผลที่ข้าทำให้เขาขุ่นเคือง” นางไม่ได้อธิบายถึงรายละเอียดเพราะถึงแม้ว่าเจียงซั่งหังจะช่วยชีวิตนางไว้ ความจริงที่ว่าสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนั้นอยู่กับนางก็ควรจะเก็บเป็นความลับต่อไปเสียดีกว่า


 


 


เจียงซั่งหังไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมและเริ่มค้นหาในทันที แน่นอนอยู่แล้วเขาพบขวดหยกอยู่ในกระเป๋าเอกภพของเจียงเฉิงเสียนที่มียาสีขาวกลิ่นยาวิเศษเข้มข้นอยู่สองเม็ด


 


 


“น่าจะเป็นยาพวกนั้นล่ะ” โม่เทียนเกอบอกอย่างตื่นเต้น ยาสองเม็ดนี้มีลักษณะตรงกับที่บอกไว้ในหยกบันทึกทีเดียว


 


 


เมื่อเห็นเจียงซั่งหังยื่นให้นางหนึ่งเม็ด โม่เทียนเกอโบกมือไปมาพร้อมกับพูดว่า “ศิษย์พี่เจียงไม่จำเป็นต้องให้ข้าหรอก ท่านเก็บเอาไว้เถิด ถือว่าข้าตอบแทนให้กับความใจดีของท่าน” ในเมื่อนางมีสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอยู่แล้ว ทำไมนางจะต้องโต้เถียงต่อสู้เพื่อยาสองเม็ดจากเจียงซั่งหังด้วยล่ะ? ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เขาช่วยชีวิตนางไว้และยังให้ยาเกลาฐานแห่งพลังกับนางอีกสองเม็ด นางไม่ใช่คนที่จะไม่จดจำถึงความใจดีของคนอื่นหรอก


 


 


เจียงซั่งหังไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย เขาเก็บยาสองเม็ดเข้าไปในกระเป๋าเอกภพของเขา ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนั้นหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่จะใช้มันจะต้องใช้ยาวิเศษอื่นเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่มันจะแสดงผลของมันออกมา ยาแค่สองเม็ดนี้ไม่ได้มีค่ามากนัก และเทียบกับยาเกลาฐานแห่งพลังไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


 


ตอนนี้พวกเขาแบ่งของที่ชิงมากันเรียบร้อยแล้ว เจียงซั่งหังจึงพูดว่า “พวกเราจะช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ศิษย์น้องเยี่ย พวกเราต่างคนต่างไปเถอะ”


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าเวลานั้นแสนล้ำค่า ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดเกินความจำเป็นนัก นางเพียงแค่ประสานมือเพื่อแทนคำกล่าวลาพร้อมพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง ดูแลตัวเองด้วย พวกเราคงได้พบกันอีกครั้งเมื่อชะตานำพา” เมื่อนางพูดจบ นางหันกลับและเดินจากไป


 


 


อย่างไรก็ตาม เสียงของเจียงซั่งหังไล่หลังนางมา “ศิษย์น้องเยี่ย”


 


 


โม่เทียนเกอหันกลับไป


 


 


เจียงซั่งหังเผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ พร้อมกับชี้ไปที่หัวของตัวเอง


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจทันทีว่าผมของนางยังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย นางรีบหยิบปิ่นปักผมบนพื้นและมวยผมในรูปแบบของสาวกเต๋า


 


 


เมื่อนางกล่าวอำลาอีกครั้ง โม่เทียนเกอเดินลงมาจากเขา รู้สึกขบขันอยู่ในใจ


 


 


ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันมาสามปี นางมักจะคิดว่าเขาคือคนแปลกหน้า กระนั้นก็ตาม นางไม่ได้คาดคิดว่าเมื่อนางต้องเผชิญเข้ากับหายนะ เขาจะเป็นคนที่มาช่วยนาง น่าเสียดายที่ทั้งสองคนมีโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกันเพียงแค่ครู่เดียว ทั้งสองคนต่างต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองเพื่อเอาตัวรอด โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งหรือไม่ในอนาคต ทำให้นางต้องถอนใจในความสัมพันธ์บนโลกใบนี้ที่เป็นสิ่งไม่เที่ยงโดยแท้

 

 

 


ตอนที่ 88 หลบซ่อน

 

แทนที่จะลงจากเขาตรงไปทันที แต่โม่เทียนเกอกลับเลี้ยวเข้าถ้ำในเขาเมื่อนางแยกจากเจียงซั่งหัง


 


 


หลังจากนางสำรวจสภาพรอบๆ และแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น นางจึงวางม่านพลังอำพรางอย่างง่ายและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเร็วแสง


 


 


แม้ว่านางจะเป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณตัวเล็กๆ ในสำนัก แต่ถ้านางลงเขาไปอย่างโจ่งแจ้งโดยที่ไม่มีการปิดบังตัวตน คงง่ายมากที่กลุ่มเจียงจะตามรอยนางได้ โชคดีที่เจียงเฉิงเสียนไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบใดที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าก็คงจะไม่มีใครสงสัยเกี่ยวกับตัวนาง


 


 


ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าผู้หญิงและมัดผมเป็นมวยผมแบบผู้หญิง


 


 


หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรกับรูปลักษณ์ของนาง นางจึงเดินอาดๆ ออกจากสำนักอวิ๋นอู้ไป


 


 


มีศิษย์สำนักอวิ๋นอู้อยู่มากมายและยังมีศิษย์ที่เข้ามาและออกไปตลอดเวลา เป็นไปตามที่นางคาดไว้ ไม่มีใครสนใจนางตอนขาลงจากเขาเลยสักคนและนางก็มาถึงตลาดนัดที่ตีนเขาได้ตามปกติ


 


 


นางกลับมาถึงสวนเล็กๆ หลังจากเดินเลี้ยวเดินอ้อมอยู่หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน นางผลักประตูเปิดพร้อมกับร้องเรียก “ท่านอารอง!”


 


 


เยี่ยเจียงผู้ซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ที่มุมห้องถึงกับตกใจ “เจ้า… เสี่ยวเทียน ทำไมเจ้าใส่เสื้อผ้าผู้หญิงอีกล่ะ”


 


 


บัดนี้ที่นางไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นว่าสงบนิ่งอีก นางจึงรีบพูดว่า “ท่านอารอง รีบไปกันเถอะ! ข้ามีปัญหาใหญ่แล้ว!”


 


 


“อะไรนะ”


 


 


“ข้า… ข้าฆ่าทายาทโดยตรงของปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของสำนัก”


 


 


เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเจียงถึงกับตกใจอย่างมาก เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


ยิ่งช้าก็จะยิ่งเพิ่มอันตรายมากขึ้น ดังนั้นโม่เทียนเกอซึ่งกำลังวิตกกังวลสุดขีดจึงพูดว่า “ไว้ข้าจะบอกท่านตอนเราออกเดินทางแล้ว ท่านอารองไปกันเถอะ!”


 


 


พอคิดว่าเด็กคนนี้ไม่เคยพูดอะไรเกินความจริง เยี่ยเจียงรีบยืนขึ้นทันทีและกล่าวว่า “ตกลง อย่างแรกเอาของทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องเอาไปด้วย เราจะไปกันเดี๋ยวนี้”


 


 


ทั้งสองคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงแค่สิบห้านาที พวกเขาก็เก็บข้าวของที่จำเป็นต้องเอาไปด้วยเสร็จเรียบร้อย


 


 


ขณะที่กำลังจะออกจากตลาดนัดของเขาอวิ๋นอู้ เยี่ยเจียงเอาอาวุธวิเศษแส้หางม้าของเขาออกมา ทั้งสองออกจากเขาอวิ๋นอู้ไปโดยการขี่อาวุธวิเศษของเยี่ยเจียง


 


 


“ท่านอารอง ท่านไปต่อไหวไหม” พอเห็นท่านอารองซึ่งไม่ได้เดินทางไกลมาเป็นเวลานานดูซีดเซียวอย่างมากในขณะที่เขาบังคับอาวุธวิเศษ โม่เทียนเกออดที่จะรู้สึกผิดอยู่ในใจไม่ได้ เวลาของท่านอารองมีจำกัด แต่เขากลับต้องเข้ามาพัวพันก็เพราะนางและยังต้องถูกบังคับให้หนีอีก ถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นระหว่างทางล่ะ…


 


 


เยี่ยเจียงส่ายหัว เขากล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “ข้าไม่เป็นไร แค่เพราะเราต้องรีบข้าเลยใช้พลังวิญญาณไปมาก เจ้าควรจะบอกข้ามาก่อนดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเล่าทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดในวันนี้จนจบ นางก็ถามว่า “ท่านอารอง เราจะหนีได้ไหม”


 


 


เยี่ยเจียงซึ่งมีสีหน้าหดหู่ขึ้นในขณะที่เขาฟังเรื่องของนางนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ท้ายที่สุด เขาเพียงแค่ถอนหายใจออกมาและพูดว่า “เจ้า… เจ้ารู้ตัวไหมว่าเจ้าทำอะไรพลาดไป”


 


 


โม่เทียนเกอก้มหัว “ข้าหยิ่งผยองเกินไปและประเมินคนอื่นต่ำเกินไป”


 


 


เยี่ยเจียงกล่าว “ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจ มีแค่คนที่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองเท่านั้นที่จะฉลาดขึ้น อย่าทำผิดพลาดซ้ำอีกในอนาคต เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าบอกข้าว่าเจ้าเจอสหายเก่า ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าเจ้าบอกความลับกับนาง”


 


 


โม่เทียนเกอพูดด้วยความอับอาย “ข้า… ข้าลืม”


 


 


คำตอบของนางทำให้เขาขมวดคิ้ว “เจ้าทึกทักเอาว่าเพราะพวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ และมนุษย์ธรรมดา พวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ เพราะอย่างนั้นเจ้าเลยไม่คิดว่าพวกเขาเป็นภัยใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับ “อือ เทียนเฉี่ยว… ข้าเชื่อว่านางจะไม่บอกความลับของข้า อีกอย่างนางก็ไม่รู้ตำแหน่งที่อยู่ของข้าด้วย จะมีใครที่ไหนมาตามหาเยี่ยเสี่ยวเทียนกันล่ะ”


 


 


“ไร้สาระ!” เยี่ยเจียงดุนางอย่างแรง “เจ้าต้องจำไว้ว่าความลับจะเป็นความลับก็ต่อเมื่อมันไม่ถูกเปิดเผย พวกมนุษย์มีสุภาษิตอย่าง ‘หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง’ และ ‘อุบัติเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัย’ ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกใบนี้! ความคิดของเจ้าไม่ผิด ถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติพวกเขาไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ต่อให้ทั้งสองจะมีเจตนาร้ายกับเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ทันได้คาดคิดว่าความลับนี้จะถูกพบเข้าโดยใครบางคนที่รู้ว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนคือใครใช่ไหมล่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอฟังคำตำหนิของท่านอาอย่างเงียบๆ จากนั้นเยี่ยเจียงพูดต่อไปว่า “ตลอดหลายปีมานี้ข้าอยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอด แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทำให้เจ้ากลายเป็นคนมีนิสัยหยิ่งผยองเช่นนี้! เจ้าค่อนข้างฉลาดนะ แต่มีกี่คนในโลกแห่งการฝึกตนกันล่ะที่ไม่ฉลาด เจ้าคิดว่าแค่เพราะเจ้าผ่านการต่อสู้ตัวต่อตัวมาหลายครั้งและเอาชนะผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในดินแดนเดียวกับเจ้าได้แล้วเจ้าจะพิเศษกว่าคนอื่นงั้นรึ ถ้าเจ้ามีความคิดเช่นนี้ เจ้าก็ควรจะกลับไปแต่เนิ่นๆ และยอมรับความตายซะ!”


 


 


เมื่อพูดทั้งหมดจบ จู่ๆ เยี่ยเจียงก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาทันที อายุขัยของเขาใกล้จะสิ้นแล้วและเขายังบาดเจ็บหนักมาก เพราะอย่างนั้นถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนในระดับการสร้างฐานแห่งพลัง แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแอลงไปมาก


 


 


โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติจึงรีบพยุงเขาขึ้นมา “ท่านอารอง!” นางตะโกนเรียก


 


 


เยี่ยเจียงกลืนยาวิเศษเข้าไปและโบกมือพร้อมบอกว่า “มีอีกหลายอย่างที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ การบอกคนอื่นถึงความลับของเจ้าหมายความว่าเจ้าอยากให้คนพวกนั้นรับความเสี่ยงไปกับเจ้าด้วย พี่สาวของเจ้าคนนั้นน่ะ บางทีนางอาจจะไม่ต้องตายถ้านางไม่รู้เกี่ยวกับตัวเจ้า มีบางเรื่องที่สามารถทำอันตรายได้ทั้งตัวเราและคนอื่นๆ ถ้ามันเปิดเผยออกมา”


 


 


โม่เทียนเกอเพียงแค่กัดปากโดยไม่ปฏิเสธอะไร เทียนเฉี่ยว… ต้องถึงแก่ความตายก็เพราะนาง บางทีอาจจะเป็นเพราะเทียนเฉี่ยวจำคำเตือนของนางได้ ทำให้เจียงเฉิงเสียนเห็นจุดบกพร่องในเรื่องเล่าของเทียนเฉี่ยว ซึ่งส่งผลให้เทียนเฉี่ยวต้องทรมานกับการเค้นจิตวิญญาณและทั้งคู่สามีภรรยาต้องตายไปด้วยกัน… โม่เทียนเกอเป็นคนที่ทำผิดพลาด แต่กระนั้น ทั้งสองคนกลับเป็นคนที่ต้องรับผลกรรม


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของนาง ในที่สุดเยี่ยเจียงจึงหยุดต่อว่านาง เขาพูดอย่างใจเย็น “เอาล่ะ ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว โศกเศร้าเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้เราควรจะคิดว่าจะซ่อนตัวอย่างไรดีกว่า ข้าคำนวณดูว่าเรามีเวลาเพียงแค่ประมาณหนึ่งหรือสองวันเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะไล่ล่าเรา”


 


 


โม่เทียนเกอเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่สุดท้ายนางจะถามออกมาว่า “ท่านอารอง เรากำลังหนีจริงๆ หรือ”


 


 


เยี่ยเจียงเหลือบมองนางแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “การถามคำถามนี้ เจ้าทำผิดพลาดอีกข้อหนึ่งแล้ว จงจำไว้ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด เจ้าห้ามเสียความมั่นใจโดยเด็ดขาด บางครั้งเจ้าแค่ต้องมีความมุมานะเท่านั้นจึงสามารถจะหนีได้”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ท่านอารอง”


 


 


เยี่ยเจียงอดที่จะถอนใจเบาๆ ไม่ได้เมื่อเขาเห็นนางตั้งใจฟังอย่างว่าง่าย เขาพูดช้าๆ “เสี่ยวเทียน บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ในอนาคต อาสองคงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีกแล้ว เจ้าต้องเติบโตจนสามารถปกป้องตัวเองได้ เข้าใจไหม”


 


 


เขาฟังดูอับจนหนทางมากเสียจนโม่เทียนเกอรู้สึกตื้อเหมือนมีก้อนในลำคอ “ท่านอารอง…”


 


 


เยี่ยเจียงเพียงแค่ลูบหัวนางอย่างที่เขาเคยทำเมื่อตอนนางยังเป็นเด็ก


 


 


สุดท้ายทั้งสองคนก็มาหยุดอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่ตีนเขาในบริเวณทิศเหนือ พวกเขาซ่อนตัวตนและแสร้งทำว่าเป็นคู่ผู้ฝึกตนตา-หลานที่ระดับการฝึกตนอยู่แค่ในระดับสามและสี่ของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ก่อนจะเข้าไปที่โรงเตี๊ยมของท้องถิ่น


 


 


“ถ้าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของอีกฝ่ายเริ่มลงมือ เราคงไม่สามารถหนีไปได้ไกลกว่าพวกเขาแน่ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่เราจะซ่อนตัวอยู่ในหมู่ผู้คน” เยี่ยเจียงกล่าว


 


 


โม่เทียนเกอไม่คัดค้านอะไรกับการตัดสินใจของท่านอารอง “คนฉลาดและแก่ประสบการณ์ไม่อาจถูกหลอกได้” หมายความว่าท่านอารองเหมาะที่จะรับมือกับเรื่องนี้มากกว่านาง อีกอย่าง ร่างกายของท่านอารองก็ไม่เหมาะที่จะเดินทางเป็นเวลานานอีกด้วย


 


 


หลังจากอยู่ในเมืองเล็กๆ นี้มาสองวัน โม่เทียนเกอสังเกตว่ามีจำนวนผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่บินผ่านสถานที่นี้ไปเพิ่มมากขึ้น เมืองนี้ใกล้กับเขาอวิ๋นอู้มาก ดังนั้นพวกเขามีแนวโน้มว่าจะเป็นศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังของสำนักอวิ๋นอู้ที่มาเพื่อตามหาตัวนางก็เป็นได้


 


 


นางรู้สึกประหม่าเหลือเกิน พลังของท่านอารองถูกทำลายไปมาก และยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของตัวเองเลย ถ้าพวกเขาถูกพบตัวเข้าล่ะก็ พวกเขาไม่มีโอกาสสู้กลับได้แน่…


 


 


“เสี่ยวเทียน!”


 


 


“อ่า” โม่เทียนเกอหันหน้าไปและมองท่านอารองซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่บนเตียง


 


 


เยี่ยเจียงจ้องมองนางที่กำลังพิงหน้าต่างและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะดูต่อไปหรอก นั่งลงและฝึกตนเถอะ”


 


 


“แต่…” นางสงบจิตใจไม่ได้จริงๆ


 


 


เยี่ยเจียงจ้องอย่างจริงจังแต่สุดท้ายเขาก็เพียงแค่ส่งเสียงถอนใจออกมา


 


 


การถอนหายใจของเขาทำให้นางรู้สึกละอายใจ ราวกับว่านางทำตัวได้ไม่สมกับความคาดหวังของเขาและทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก


 


 


หลังจากมองนางอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเยี่ยเจียงจึงพูดว่า “มานี่สิ อาสองอยากจะคุยกับเจ้าเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง”


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปหาเขาอย่างเชื่อฟัง นั่งลงบนเก้าอี้เล็กๆ ข้างเตียงและพูดเบาๆ ว่า “ท่านอารอง ได้โปรดพูดมาเถอะ”


 


 


“เสี่ยวเทียน เจ้ายังจำเรื่องเมื่อสิบปีก่อนได้หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า สิบปีก่อนคือเมื่อตอนนางมาที่คุนอู๋ นางถูกพามาที่คุนอู๋จากโลกมนุษย์โดยเยี่ยจิ่งเหวิน ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังของโรงเรียนเสวียนชิง และถูกพามาหาท่านอารอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางก็เดินบนเส้นทางแห่งการฝึกตนอย่างเป็นทางการ


 


 


“เช่นนั้น… เจ้าจำโรงเรียนเสวียนชิงได้ไหม”


 


 


ทั้งที่ยังงงกับคำถามของเขาแต่โม่เทียนเกอก็พยักหน้า นางถามว่า “ท่านอารอง ท่านพูดถึงโรงเรียนเสวียนชิงขึ้นมาทำไม เราไปที่ฝั่งตะวันออกของคุนอู๋ก็เพื่อเลี่ยงพวกเขาไม่ใช่หรือ”


 


 


เยี่ยเจียงส่ายหน้าและพูดพร้อมกับถอนใจ “เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว ในสองวันที่ผ่านมานี้ ข้ามาคิดๆ ดูแล้ว… เจ้า… ควรจะไปที่โรงเรียนเสวียนชิง”


 


 


โม่เทียนเกอตกใจ “ท่านอารอง”


 


 


เยี่ยเจียงยิ้มบางๆ สีหน้าของเขาดูสงบนิ่งราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เขากล่าวว่า “โรงเรียนเสวียนชิงเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในขั้วท้องฟ้า ในฝั่งคุนอู๋ตะวันตก พละกำลังของพวกเขานั้นน่าเกรงขาม ถ้าเจ้าเข้าโรงเรียนเสวียนชิงได้ อย่างน้อยเจ้าก็จะสามารถฝึกตนได้อย่างสงบ”


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอพูดอย่างกังวลใจ “ไหนท่านบอกว่าพวกเขามีเจตนาร้ายกับข้าไม่ใช่หรือ เราหนีพวกเขามาตลอดสิบปี แล้วทำไม…”


 


 


เยี่ยเจียงเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยตัวเองและพูดว่า “ใช่ ปีนั้นที่ข้าแอบฟังเยี่ยจิ่งเหวินและเจิ้งเสวี่ยนคุยกันและได้ยินว่าท่านอาจารย์เต๋าโซวจิงต้องการให้เจ้าเข้าโรงเรียนเสวียนชิง เห็นได้ชัดว่าเขาก็ให้ความสนใจกับร่างกายของเจ้ามากเช่นกัน มันเป็นเพราะข้าไม่กล้าเสี่ยง ข้าจึงพาเจ้าหนีมาที่เขาตงเหม็ง อย่างไรก็ตาม… ในช่วงสองสามวันมานี้ ข้ามาคิดดู… พ่อของเจ้าบอกว่าท่านอาจารย์เต๋าโซวจิงได้สาบานคำสัตย์หัวใจมารกับพ่อเจ้า เพราะอย่างนั้นพ่อเจ้าถึงยอมมอบเจ้าให้กับเขา ในตอนนี้ชีวิตของเจ้าอยู่ในอันตรายและความตายของอาสองก็ใกล้เข้ามาทุกที ไม่มีใครจะเหมาะสมที่จะเป็นคนคอยหนุนหลังเจ้าไปมากกว่าเขาอีกแล้ว”


 


 


“ข้า…” หลังจากหยุดพูดไปเป็นเวลานาน โม่เทียนเกอกระซิบ “ท่านอารอง ท่านบอกข้าเองไม่ใช่หรือว่าแม้เขาจะสาบานคำสัตย์หัวใจมาร แต่มันก็ไม่ถือว่าผิดคำสัตย์ถ้าเขาสั่งให้ข้าทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับคนอื่นน่ะ”


 


 


“โดยหลักการแล้วก็ใช่ แต่ทุกอย่างจะไม่ได้ผลถ้าเจ้าตาย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเจ้า ในตอนแรกเพราะข้าคิดว่าข้ายังมีเวลาใช้ชีวิตอีกร้อยปี ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเจ้าไปที่นั่นและทนทุกข์ แต่ตอนนี้ที่เจ้าเกิดหายนะเช่นนี้และอายุขัยของข้าก็กำลังจะหมดสิ้นลง…”


 


 


“ท่านอารอง!”


 


 


เยี่ยเจียงมองนางขณะที่ยังพูดต่อไป “ข้าเป็นกังวลว่าจะต้องปล่อยให้เจ้าต้องอยู่คนเดียวและเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่มาฆ่าเจ้า เพราะฉะนั้น เราเดิมพันกับเรื่องนี้เถอะ!”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของท่านอารอง โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังลังเล นางเผลอเปิดเผยความลับของตัวเองไปสองครั้งและทั้งสองครั้งล้วนนำมาซึ่งหายนะถึงแก่ชีวิตนาง ไปที่โรงเรียนเสวียนชิงน่ะหรือ นางจะรู้สึกมั่นใจได้อย่างไรกับการต้องอยู่ภายใต้สายตาของคนที่รู้ความลับของนางแล้ว


 


 


“ไม่ ท่านอารอง ในอนาคตข้าจะไปที่คุนอู๋ฝั่งตะวันตก สำนักอวิ๋นอู้ไม่ใช่กลุ่มการฝึกตนใหญ่ ดังนั้นตราบใดที่ข้าไปที่คุนอู๋ฝั่งตะวันตกก็จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน…”


 


 


“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าความลับของเจ้าถูกเปิดเผยอีก เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะหนีได้ทุกครั้ง”


 


 


“จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว!” นางเกือบจะตะโกนคำพูดเหล่านั้นออกมา


 


 


เยี่ยเจียงส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ เขากล่าวว่า “เจ้ารับประกันไม่ได้หรอก”


 


 


“ท่านอารอง…”


 


 


เยี่ยเจียงเผยรอยยิ้มบางๆ ให้เห็นและมองนางอย่างเอ็นดู เขาพูดว่า “เทียนเกอ… นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าใส่เสื้อผ้าผู้หญิงหลังจากตามอาสองมา ตลอดสองวันที่ผ่านมานี้ อาสองคิดย้อนไปถึงเมื่อสิบปีก่อนว่าเจ้าเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่น่ารักแค่ไหนในครั้งแรกที่อาสองได้พบเจ้า…”


 


 


“ข้า.. ข้าไม่…”


 


 


“ใช่ เจ้าไม่อยากที่จะเป็นผู้หญิงอีกครั้ง แต่อาสองหวังว่าเจ้าจะมีโอกาสได้เป็นผู้หญิงจริงๆ ในสักวันหนึ่ง… ไม่ใช่เยี่ยเสี่ยวเทียน แต่เป็นโม่เทียนเกอ…” เขายิ้มให้อีกครั้งและพูดต่อไปว่า “นอกจากนี้ เจ้ารู้ไหม อาสองสังเกตว่าในหลายปีมานี้ โรงเรียนเสวียนชิงไม่เคยส่งใครมาตามจับเราเลย นี่แสดงให้เห็น… ว่าบางที ท่านอาจารย์เต๋าโซวจิงสมควรที่จะได้รับการเชื่อถือ”


 


 


เมื่อเผชิญกับใบหน้าที่แก่ชราของท่านอารอง โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ นางรู้ว่าท่านอารองไม่ทำร้ายนาง และนางยังรู้ว่าท่านอารองตัดสินใจเช่นนี้เพียงเพราะว่าไม่มีหนทางอื่นแล้ว ถ้าท่านอารองไม่อยู่ที่นี่แล้วและนางถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง นางคงไม่สามารถหนีได้อย่างแน่นอน

 

 

 


ตอนที่ 89 สถานการณ์ไร้ซึ่งความหวัง

 

ทันใดนั้น เริ่มได้ยินเสียงจากทางด้านนอกห้อง เสียงของผู้คนวิ่งขึ้นข้างบน เคาะที่ประตูห้องของแขกทีละห้อง ทีละห้อง


 


 


บางคนยังตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เปิดประตู!”


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน ประตูหลายๆ ห้องถูกเปิดออกตามๆ กันไป บางคนถามด้วยความขุ่นเคือง “ท่านใต้เท้า ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านคือใคร ทำไมท่านถึงมาทำลายความสงบของข้า”


 


 


บางคนยังคงถามด้วยกิริยาที่แสดงความเคารพ “ท่านผู้อาวุโสมีเหตุอันใดหรือ”


 


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาเพียงตอบด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนง “สำนักจื่อซย่ากำลังตามหาคนทรยศ! ทุกคนออกมาให้หมด!”


 


 


ใครบางคนที่ฟังดูไม่เต็มใจทำตามพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของสำนักจื่อซย่า ทำไมพวกเจ้าถึงได้ยโสโอหังเช่นนี้!”


 


 


คนผู้นั้นตอบเพียงแค่เสียง “ฮึ่ม!” อันดัง และหลังจากนั้น แรงกดดันจากพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็แผ่พุ่งออกมา


 


 


โม่เทียนเกอสะดุ้งกับสิ่งที่ได้ยิน นางหันกลับมามองท่านอารอง


 


 


ครั้งนี้เยี่ยเจียงลืมตาขึ้นมา ขมวดคิ้วบนใบหน้า


 


 


“ท่านอารอง” โม่เทียนเกอเรียกเขาด้วยเสียงอันเบา


 


 


ค้นหาคนทรยศ… ณ ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างสามกลุ่มผู้ฝึกตนภายใต้การปกครองของสำนักจื่อซย่า ดังนั้นคนพวกนั้นน่าจะมาเพื่อตามหานาง


 


 


เยี่ยเจียงส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “อย่าตื่นตระหนกไป มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังและผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณบางคนด้านนอก ถ้าพวกเขามาตามพวกเราจริงๆ พวกเราก็แค่หนีเท่านั้น”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าแต่ภายในใจของนางยังรู้สึกเป็นกังวล ถึงแม้ว่านางจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้หญิงและท่านอารองก็ไม่ค่อยได้ปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นนัก ถ้าคนพวกนั้นมาจากสำนักอวิ๋นอู้เพื่อมาจับนางจริงๆ มันก็คงไม่ยากที่จะจำนางได้…


 


 


“เปิดประตู!” ในที่สุดคนพวกนั้นก็มาถึงที่ห้องของพวกเขา


 


 


เมื่อได้รับสัญญาณจากอารอง โม่เทียนเกอแสดงอารมณ์เหมือนกับคนที่รำคาญจากการถูกรบกวนพร้อมกับเปิดประตูและกล่าวว่า “ใครกันช่างเป็นคนที่หยาบคายเช่นนี้!”


 


 


เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อนางเปิดประตู นางเห็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ด้วยชุดคลุมสีดำ อย่างไรก็ตาม เพราะ “สำนักอวิ๋นอู้” ไม่มีอีกต่อไป พวกเขาจึงเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์สำนักจื่อซย่า


 


 


โม่เทียนเกอจ้องไปที่ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณคนที่เคาะประตู พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “สหายนักพรต มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ”


 


 


เมื่อศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณกำลังจะพูด ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้นำของกลุ่มนี้ก็พูดขึ้นมา “ศิษย์น้อง พวกข้าเป็นศิษย์จากสำนักจื่อซย่าจากสาขาเขาอวิ๋นอู้ ท่านอาจารย์ที่เคารพของพวกข้าสั่งให้มาตามหาคนที่ทรยศต่อสำนัก ได้โปรดแจ้งเรื่องนี้กับอาจารย์ของเจ้าว่าอย่าเข้าใจผิดไป”


 


 


คนผู้นี้พูดด้วยคำที่สุภาพแต่น้ำเสียงยังคงหยิ่งยโส เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้บังคับที่จะเข้าไปค้นภายในห้องเพียงเพราะเขาเห็นว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ด้านใน


 


 


ขณะที่มองผู้นั้น โม่เทียนเกอประสานมือเพื่อทักทายและแสร้งทำเป็นแสดงความเคารพเพื่อกลับเข้าไปแจ้งอาจารย์ของนางด้านใน


 


 


อย่างไม่คาดคิด เมื่อนางกลับเข้าไปในห้อง รังสีสว่างวาบขึ้นในดวงตาของท่านอารอง เขาดึงแขนนางทันที และพานางออกมาจากห้องด้วยการพังหน้าต่าง


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอพูดด้วยความตกใจ


 


 


ทันทีที่พวกเขาเริ่มวิ่งหนี ศิษย์สำนักอวิ๋นอู้พังเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นสิ่งที่โม่เทียนเกอและเยี่ยเจียงทำไว้ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสบถ “ฮึ่ม” และใช้เครื่องมือวิเศษเหาะได้เพื่อไล่ล่าพวกเขา


 


 


“ท่านอารอง เกิดอะไรขึ้น” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงต้องหนี เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าคนพวกนั้นไม่ได้รู้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร


 


 


เยี่ยเจียงพูดทื่อๆ “เจ้าใส่เสื้อผ้าผู้หญิง แต่เจ้าไม่ได้เปลี่ยนวิธีการที่จะแสดงความเคารพต่อผู้อื่น”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงในตอนแรกแต่รู้สึกเสียใจตามมาในทันที โดยปกติแล้วมีเพียงแค่ผู้ชายเท่านั้นที่จะประสานมือรูปถ้วยเพื่อแสดงการทักทาย ถ้าอีกฝ่ายคิดให้ละเอียดรอบคอบ ตัวตนของนางและท่านอารองก็จะถูกรับรู้ได้โดยง่าย


 


 


“เลิกงงเสียที!” เยี่ยเจียงตะโกนในขณะที่เขาพาโม่เทียนเกอไปบนเครื่องมือวิเศษบินได้ของเขาและเหาะไปทางตะวันตก


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้นั้นไล่ตามพวกเขาสักพักแต่ก็ยังตามพวกเขาไม่ทัน ด้วยความบ้าระห่ำ ผู้ฝึกตนคนนั้นหยุด หยิบเครื่องรางออกมาจำนวนมากและเขวี้ยงมาทางโม่เทียนเกอกับเยี่ยเจียงก่อนที่จะรีบตามพวกเขาต่อไป


 


 


ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม อีกฝ่ายหนึ่งหนี เพียงพริบตาพวกเขาก็บินห่างออกมาจากเมืองเล็กๆ แห่งนั้น


 


 


เยี่ยเจียงกัดฟัน ทานยาอนุคืนสภาพและเหาะต่อไปด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี


 


 


โม่เทียนเกอเป็นกังวล นางคอยสลับมองระหว่างท่านอารองกับทางด้านหลัง


 


 


ถึงแม้ว่าท่านอารองจะอยู่ในระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและระดับการฝึกตนของเขาจะสูงกว่าคู่ต่อสู้อยู่เล็กน้อย แต่เขาก็บาดเจ็บหนักและชีวิตของเขาใกล้สิ้นแล้ว เพราะเหตุนั้นระดับการฝึกตนของเขาจึงลดลง ตอนนี้เขาไม่ได้มีฝีมือที่เหนือไปกว่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังช่วงต้นเลย อีกอย่าง เครื่องมือวิเศษบินได้ของเขาก็ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่จะชนะเรื่องความเร็วได้เลย


 


 


ชั่วโมงหนึ่งผ่านไป โม่เทียนเกอวิตกกังวลเมื่อพบว่าระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นดูสั้นลง


 


 


เยี่ยเจียงทุ่มพลังของเขาลงไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดที่ทำให้ทั่วทั้งร่างของเขาด้านชาจู่ๆ ก็เกิดขึ้นที่กลางอกของเขา เขาพยายามอย่างสุดกำลังในการที่จะหายใจและกลืนยาวิเศษเพิ่มเข้าไปอีก


 


 


“ท่านอารอง ท่าน…”


 


 


“เงียบไป!”


 


 


หลังจากนั้นเยี่ยเจียงก็มอบเครื่องรางให้กับนางพร้อมกับพูดว่า “นี่เป็นเครื่องรางภูผากำบัง หากพวกเราพลาด จงติดมันไว้กับตัวแล้วซ่อนซะ!”


 


 


โม่เทียนเกอกำเครื่องรางแน่นไว้ในมือ นางเข้าใจว่าท่านอารองวางแผนที่จะสู้ ท้ายที่สุดแล้ว ถ้ายังคงไล่ตามกันต่อไป ผู้ฝึกตนคนนั้นจะต้องตามพวกเขาทันไม่ช้าก็เร็ว มันคงจะดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะฆ่าผู้นั้นและกลับไปสู่การหลบซ่อนอีกครั้ง


 


 


นางกำหมัดแน่น นางไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าเกลียดตัวเองขนาดไหนในเวลานี้ นางรู้เลยเมื่อเทียบกับท่านอารองว่านางนั้นด้อยกว่ายิ่งนัก! ถ้าขาดความแข็งแกร่ง ฉลาดไปแล้วจะได้อะไร ระยะห่างระหว่างตัวนางกับสติปัญญาที่ยิ่งใหญ่นั้นมากเกินไปนัก! ตอนนี้นางไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงและทำได้แค่เพียงมองดูท่านอารองที่บาดเจ็บหนักเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อต่อสู้กับคู่ต่อสู้…


 


 


ลำแสงสองเส้นสว่างวาบข้ามท้องฟ้า ลำแสงที่อยู่ด้านหน้าในที่สุดก็ร่อนลงสู่พื้น ในขณะที่อีกลำแสงหนึ่งด้านหลังหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะตามมาพร้อมกัน


 


 


เยี่ยเจียงผู้ที่หยุดอยู่บริเวณพื้นที่โล่งและผลักโม่เทียนเกอให้ไปอยู่ทางด้านหลังของหินภูเขาก้อนใหญ่กำลังจ้องมองการรุกหน้าเข้ามาของผู้ฝึกตนอย่างเยือกเย็น


 


 


ผู้ฝึกตนคนนี้ดูอายุราวๆ สามสิบและท่าทางหยิ่งยโสโอหัง ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างทะนงตัวในสำนักทีเดียว เมื่อเขาลงมาถึงพื้น เขาเชิดคางขึ้นพร้อมพูดว่า “เจ้าคือผู้อาวุโสของเยี่ยเสี่ยวเทียนหรือ”


 


 


แทนที่จะตอบ เยี่ยเจียงสะบัดมือของเขา เสกคาถาใส่แผ่นหยกขนาดเท่าฝ่ามือ


 


 


ปฏิกิริยาของผู้ฝึกตนผู้นั้นเปลี่ยนไปเมื่อเห็นท่าทางของเยี่ยเจียง เขาเปล่งเสียง “ฮึ่ม” ในลำคอพร้อมพูด “เจ้าเป็นศัตรูกับสำนักจื่อซย่าอย่างนั้นหรือ”


 


 


เยี่ยเจียงพูด “เจ้าได้รับคำสั่งให้มาจับคน ในขณะที่ข้าจะไม่มีทางให้ศิษย์น้อยของข้าถูกจับได้ แล้วข้าจะพูดอะไรได้อีก”


 


 


เมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว ผู้ฝึกตนนั้นดูไม่ได้มีความสุขนัก เขาเยาะเย้ยพร้อมกับพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนได้ไปทำให้ใครขุ่นเคือง เจ้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้ซึ่งทรุดโทรมลงไปตามอายุ เจ้าต้องการที่จะเสี่ยงชีวิตของเจ้าต่อสู้กับผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเชียวหรือ”


 


 


เยี่ยเจียงตอบอย่างไม่สนใจสิ่งใด “พอแล้วสำหรับเรื่องไร้สาระ! เริ่มมาได้เลยหากเจ้าต้องการที่จะหยุดพวกข้า!”


 


 


ทันทีที่เขาพูดจบ เขาแกว่งมือของเขาส่งผลให้แผ่นหยกลอยอยู่กลางอากาศ ในขณะเดียวกันเขาคลำเข้าไปที่กระเป๋าเอกภพที่ซึ่งกริชเล่มเล็กบางค่อยๆ ลอยออกมาอย่างเงียบเชียบ


 


 


เมื่อแผ่นหยกถูกกระตุ้น มันก็ขยายใหญ่ขึ้น เยี่ยเจียงใส่ศาสตร์ของจิตวิญญาณเข้าไปจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มที่จะหมุนด้วยความเร็วแสงและปล่อยพลังที่มีแรงบีบอัดมหาศาลออกมา


 


 


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเจียงต่อกรอย่างไม่ลังเลและแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานวิธีการต่อสู้ที่หลากหลาย ผู้ฝึกตนผู้นั้นรู้ได้ทันทีว่าคู่ต่อสู้ของเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทอย่างมาก โดยทั่วไปแล้วจะมีผู้ฝึกตนเดี่ยวอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นกลุ่มที่สิ้นเนื้อประดาตัว และจะไม่สามารถทนต่อการโจมตีได้ ประเภทที่สองจะคล่องแคล่วว่องไวและมีวิธีการที่ดุดัน และมักจะเหนือกว่าคนในระดับเดียวกัน คนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นประเภทที่สอง


 


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ผู้ฝึกตนคนนั้นรู้สึกสับสนวุ่นวาย ความกลัวก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจของเขาทันที


 


 


อย่างไรก็ตาม เยี่ยเจียงไม่ต้องการที่จะแสดงความปรานีให้เห็น เมื่อเขาใส่ศาสตร์จิตวิญญาณสุดท้ายเสร็จ แผ่นหยกขยายใหญ่ขึ้นมากจนเหมือนเสื่อทอและส่องแสงระยิบระยับสว่างไสว ด้วยเสียง “ตู้ม!” อันดัง แผ่นหยกนั้นพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนคนนั้นทันที


 


 


ผู้ฝึกตนรีบหลบหลีก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาเกือบจะหลบแผ่นหยกนั้นได้ เขาก็ถูกพลังที่รุนแรงของมันพัดกระเด็น ส่งผลให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปทุกส่วนทั่วร่างจากอวัยวะภายในของเขาทันที


 


 


ถึงแม้ว่าการโจมตีนี้จะสำเร็จ เยี่ยเจียงก็ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ฝึกตนเลย ผิวหน้าของเขาซีดเซียวและเขาเริ่มดูซีดกว่าเดิมไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอรีบพุ่งตัวออกมาด้านหน้าเพื่อพยุงร่างกายที่กำลังโอนเอนของเขา


 


 


ในขณะนี้ ผู้ฝึกตนนั้นเรียกสติของเขากลับมา และแววตาที่ต้องการฆ่าฉายออกมาที่หน้าของเขา เขาสั่งกระบี่บินของเขาให้พุ่งตรงเข้ามาหาทั้งสองคนตรงหน้า


 


 


เยี่ยเจียงลืมตาของเขาขึ้นมา ใช้กำลังสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ผลักโม่เทียนเกอออกไปและใช้แผ่นหยกที่กลับมาอยู่บนมือของเขามาป้องกันการโจมตี พลังวิญญาณสองแบบปะทะกันในจุดเดียว ประสานกันและต่างต่อสู้กัน


 


 


เลือดยังคงไหลออกมาจากมุมปากของเยี่ยเจียง เขายังคงจับตามองคู่ต่อสู้ที่ดูชั่วร้ายและยังคงพยายามป้องกันการโจมตีที่กระแทกเข้ามา


 


 


ในจุดนี้ โม่เทียนเกอไม่สามารถหลบซ่อนได้อีกต่อไป นางหยิบเครื่องรางออกมาทั้งหมดและเขวี้ยงไปที่ผู้ฝึกตนคนนั้น


 


 


แต่มันก็ไร้ประโยชน์ คู่ต่อสู้ของพวกเขาเพียงแค่ตั้งเกราะป้องกันและทุกการโจมตีของนางก็ไร้ผล


 


 


นี่เป็นความต่างระหว่างผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณกับระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ไม่ว่านางจะลงมือทำอะไร นางก็ไม่สามารถช่วยท่านอารองได้เลย


 


 


“อั้ก…!” เยี่ยเจียงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นแผ่นหยกมีเสียงแตกดังออกมา และหักลงพร้อมกับกระบี่บินของคู่ต่อสู้


 


 


ทั้งแผ่นหยกและกระบี่บินแตกออกเป็นชิ้นๆ ร่วงหล่นลงพร้อมกัน ในขณะเดียวกับที่เยี่ยเจียงไร้ซึ่งกำลังของเขา


 


 


เมื่อคู่ต่อสู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาหยิบกระบี่บินอีกเล่มออกมาตั้งใจที่จะปลิดชีพของเยี่ยเจียง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะส่งกระบี่บินได้ออกมาด้านหน้า เขาก็ก้มลงไปมองที่อกของเขาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น


 


 


เมื่อครู่ เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาไม่ทันได้สนใจ กริชบินได้พุ่งแทงทะลุหน้าอกและพรากชีวิตของเขาไป


 


 


ด้วยเหตุนี้นักสู้ทั้งสองคนจึงล้มลงด้วยเสียงอันดังพร้อมกันทั้งคู่


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอร้องเรียกพร้อมกับรีบวิ่งเข้ามา นางรีบหายาวิเศษอย่างลนลานเพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บและป้อนเข้าไปที่ปากของเยี่ยเจียง


 


 


เยี่ยเจียงพยายามอย่างหนักที่จะกลืนยาพวกนั้น แต่เขาก็ต้องกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง


 


 


“ท่านอารอง อดทนไว้! ข้ายังมียาอีก ข้ายังมี…”


 


 


หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เยี่ยเจียงก็หยุดกระอักเลือด ด้วยความยากลำบาก เขาพูด “เร็ว… รีบไปเร็ว…”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าทั้งน้ำตา นางรีบทำความสะอาดบริเวณนั้นเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยการต่อสู้ด้วยพลังเวทที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้นชั่วคราว ก่อนที่จะช่วยพยุงท่านอารองและเดินโซเซลงมาจากเขา


 


 


ทั้งสองคนใช้เวลาร่วมหลายชั่วโมงจนมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ตรงตีนเขา


 


 


ที่หมู่บ้านเล็กๆ นี้มีมนุษย์อาศัยอยู่จำนวนมาก เพราะโม่เทียนเกอไม่กล้าที่จะร้องเรียกพวกเขา นางจึงปักหลักอย่างเงียบๆ ในบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่งนอกเขตหมู่บ้าน


 


 


“ท่านอารอง! ท่านอารอง!”


 


 


ในที่สุดเยี่ยเจียงก็ตื่นขึ้น เขาแทบจะไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ในขณะที่เขาหยิบหยกบันทึกออกมาจากกระเป๋าเอกภพด้วยความยากลำบากและส่งให้กับนาง


 


 


โม่เทียนเกอรับมาด้วยความงุนงง นางพูด “นี่…”


 


 


พลังวิญญาณของเยี่ยเจียงอ่อนเต็มทีในขณะที่เขาพูด “หักมัน…”


 


 


นี่คือ… เครื่องรางกระจายเสียงหมื่นลี้! ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะลังเลในตอนแรก สุดท้ายแล้วนางก็ทำตามคำสั่งของอารองและหักหยกบันทึกนั้น


 


 


ทันทีที่มันแตกออก แสงสว่างพุ่งออกมาจากภายใน แสงนั้นคงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเลือนหายไป


 


 


ในขณะที่นางกำลังว้าวุ่นใจ โม่เทียนเกอสัมผัสได้อย่างแผ่วเบาว่าลมหายใจที่อยู่ภายในหยกบันทึกนั้นช่างคุ้นเคย…


 


 


หลังจากมองดูนางทำลายหยกบันทึก เยี่ยเจียงถอนใจยาวอย่างโล่งอก ด้วยการช่วยเหลือของนาง เขาลุกขึ้นนั่งและกลืนยาวิเศษที่จะช่วยรักษาบาดแผลของเขาเข้าไป


 


 


ในขณะเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนเหาะข้ามท้องฟ้าเหนือเขาอวิ๋นอู้ ค่อยๆ เดินทางมายังสถานที่ที่โม่เทียนเกอและเยี่ยเจียงอยู่


 


 


อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไปก่อนที่เยี่ยเจียงจะลืมตาของเขาอีกครั้ง


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอเรียกเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านอารอง ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”


 


 


เยี่ยเจียงส่ายหน้าของเขาอย่างช้าๆ ลมหายใจของเขาอ่อนแรง เขาพูด “เสี่ยวเทียน… อาสอง… ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว…”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงจนพูดไม่ออก ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นั่น… นั่นหมายถึง…


 


 


เยี่ยเจียงนั่งพิงกำแพง อ้าปากค้างเล็กน้อยเพื่อหายใจอย่างยากลำบาก เขาพูด “ไร้ประโยชน์… ยาวิเศษไร้ประโยชน์แล้ว… อาสองเคลื่อนไหวหนักเกินไป… พลังวิญญาณของข้าและบาดแผลนั้นแย่ลง…”


 


 


“ท่านอารอง…” โม่เทียนเกอไม่สามารถกลั้นน้ำตาของนางได้และคร่ำครวญ “ท่านอารอง ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ… ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะข้าโง่เอง…”


 


 


เยี่ยเจียงยิ้มและจับมือนางพร้อมกับพูด “เด็กน้อย… มักจะทำผิดพลาด… ได้เห็นเจ้า… เติบโต… อาสองมีความสุขจริงๆ …”


 


 


หลังจากนั้นเขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พูดพร้อมถอนใจ “ข้าแค่หวัง… หวังว่าพวกเขาจะทำสำเร็จในครั้งนี้…”


 


 


คำพูดของเยี่ยเจียงไม่ได้ลดความผิดที่โม่เทียนเกอโทษตัวเองแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านอารองก็คงจะไม่ต้องเดินทางหนีมาที่ฝั่งตะวันออกของคุนอู๋ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านอารองก็คงจะไม่ต้องบาดเจ็บหนักจากสัตว์สายฟ้า ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านอารองก็ไม่ต้องฝืนตัวเองในการ…


 


 


ทุกอย่างเป็นเพราะไอ้ร่างกายที่น่ารำคาญนี่แหละ! ถ้านางรู้เร็วกว่านี้… ถ้านางรู้เร็วกว่านี้ว่าสิ่งต่างๆ จะกลายมาเป็นแบบนี้ นางคงเข้าร่วมกับโรงเรียนเสวียนชิงในปีนั้น ด้วยทางเลือกนั้น ท่านอารองอาจได้รับโอกาสที่จะเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง และเทียนเฉี่ยวก็ไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับนาง เทียบกับการมีชีวิตและความตายของญาตินาง การที่จะต้องเสียอิสระไปกับการแต่งงานจะเทียบได้อย่างไรกัน


 


 


ทุกนาทีที่ผ่านไป ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็ได้พบเข้ากับการกลบเกลื่อนร่องรอยการต่อสู้ในป่า ดังนั้น พวกเขาจึงยึดจุดนั้นเป็นศูนย์กลางในการกระจายการค้นหาออกมาจากพื้นที่นั้น


 


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง เกิดลำแสงพาดผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยแรงดึงดูดมหาศาลหลายร้อยเท่าเมื่อเทียบกับเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังปรากฏขึ้นผ่านท้องฟ้าเหนือเขาอวิ๋นอู้ พุ่งตรงไปทางทิศตะวันตก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม