โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 61-75

 Ch.61 – สูญเงิน 600 ล้าน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.61 – สูญเงิน 600 ล้าน


 


“ช่วยฉันเดิมพันว่าตัวเองจะชนะหน่อยสิ” ฉินเฟิงติดต่อหาเสี่ยวเหลียน พร้อมโอนเงินจากบัญชีตนไปให้สาวต้อนรับเป็นจำนวน 5 ล้านเหรียญ


 


เสี่ยวเหลียนก้มลงมองดูตัวเลข 7 หลักบนอุปกรณ์สื่อสารของเธอ แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะได้รับเงินมหาศาลถึงขนาดนี้


 


แต่ความตื่นเต้นก็ระอุขึ้นเพียงครู่ เสี่ยวเหลียนเร่งระงับความโลภของตัวเองทันที ไม่กล้าที่จะมองมันอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว เงินดังกล่าวมันไม่ใช่ของเธอ


 


อย่างไรก็ตาม พอวกกลับมาคิดถึงเรื่องเดิมพัน เสี่ยวเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะเหม่อลอย


 


‘นี่เขาเชื่อจริงๆหรือว่าตัวเองจะสามารถคว้าชัยชนะได้? เขาเป็นเด็กกำพร้า เด็กกำพร้าก็สมควรที่จะขาดแคลนเงินไม่ใช่หรอ? แต่ตอนนี้เขากลับเดิมพันตัวเองด้วยเงินมากมายตั้ง 5 ล้าน!’


 


เสี่ยวเหลียนมองฉินเฟิงบนเวที ในหัวใจเธอเต้นครึกโครม


 


‘งั้นฉันก็จะเชื่อเหมือนกัน เชื่อว่าเขาจะต้องชนะ!’


 


เสี่ยวเหลียนกัดฟัน และเลือกถอนเงินจากบัญชีตัวเองเพิ่มไปอีก 50,000 เหรียญ ร่วมลงเดิมพันโดยตรง


 


ข้อความบนอุปกรณ์สื่อสารเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาว่าเงิน 5.05 ล้านเหรียญถูกหักออกไป ในหัวใจของเสี่ยวเหลียนอดไม่ได้ที่จะเต้นเป็นกลองชุด


 


บนเวที จอมหักกระดูกได้กลับสู่สมรภูมิอีกครั้ง


 


จอมหักกระดูกยิ้มเหี้ยมเกรียม เขาได้รับคำสั่งมาว่าให้อัดเจ้าเด็กนี่อย่างหนัก และจะเป็นการดีที่สุดถ้าฆ่าอีกฝ่ายลงได้!


 


ซึ่งคำสั่งนี้ เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G6


 


เพราะอีกฝ่ายก็แค่เด็กเหลือขอขนปุกปุยที่เพิ่งได้รับการปลุกพลัง!


 


ในพื้นที่หลังเวที เจียงเส้าหยางกำลังพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ พลางเฝ้าดูเงินเดิมพันฝั่งฉินเฟิงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ใช่แล้วล่ะ ภายในวันนี้วันเดียว ด้วยการประลองรอบนี้ เขาสามารถทำเงินได้มากกว่าหลายสิบล้าน!


 


สำหรับเงินหลายสิบล้าน ต่อให้เป็นผู้ใช้พลังในเลเวล F กว่าจะหามาได้ ก็จำเป็นต้องออกไปเสี่ยงชีวิตเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ แต่เจียงเส้าหยางเพียงขยับริมฝีปากตน เงินที่ว่าก็ตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว!


 


ด้วยความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นนี่เอง ที่ทำให้เขาสู้สึกดีเป็นอย่างมาก


 


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความรู้สึกว่าได้กุมชะตากรรมของผู้อื่นอีก


 


เวลานี้ เจียงเส้าหยางรู้สึกพึงพอใจในฝีมือของตัวเองสุดๆ


 



 


โล่ป้องกันถูกยกขึ้นครอบเวที พร้อมกันกับเสียงของพิธีกร


 


【การประลองครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว มาดูกันว่าจิ้งจอกคลั่งของพวกเราจะสามารถคว้าชัยชนะติดต่อกันครบทั้ง 5 ครั้งได้หรือไม่!】


 


สิ้นเสียง ผู้ตัดสินก็โบกมือ ส่งสัญญาณเริ่มการแข่งขัน


 


ฉินเฟิงไม่รอช้า โฉบไปเบื้องหน้าทันที เลือกเป็นผู้เริ่มเปิดการโจมตี


 


ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล G9 ซึ่งมันสูงกว่าจอมหักกระดูกถึง 3 ระดับ ดังนั้นการระเบิดโจมตีอย่างกระทันหันของเขา มันจึงสายเกินไปที่จอมหักกระดูกจะทันตอบสนอง


 


ฉินเฟิงย่ำมาข้างหน้า คว้าจับศัตรู หลังจากนั้นอีกไม่กี่ก้าว เขาก็สามารถล็อคแขนของจอมหักกระดูกไว้เบื้องหลังได้สำเร็จ


 


“ไหนบอกมาซิ ว่าแขนข้างนี้ มันหักกระดูกคนมามากแค่ไหนแล้ว?”


 


“ไม่ได้นับว่ะ บางทีพ่อแกอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” จอมหักกระดูกคำรามด้วยความโกรธ เริ่มพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ตนกลับพบว่าได้ถูกพลังที่แกร่งยิ่งกว่า ตรึงเอาไว้โดยสิ้นเชิง


 


“โอเค ปล่อยก็ปล่อย”


 


ฉินเฟิงกล่าว ทว่าในเวลานั้นเอง มือของเขาพลันกระตุกวูบบบบ!อย่างแรง เกิดเสียงดังเป๊าะ!— แขนข้างหนึ่งของจอมหักกระดูกส่งเสียงลั่นทันที


 


“อ๊าาาาาา”


 


ไม่รีรอให้จอมหักกระดูกแหกปากโหยหวนจนสุดเสียง ฉินเฟิงก็ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และบิดม้วนแขนอีกข้างของอีกฝ่าย หักมันจนเกิดเสียงดังลั่นอีกคราว


 


ในเวลานี้ หากมีใครบางคนจดจำได้ พวกเขาจะพบว่า ทุกการกระทำของฉินเฟิง ไม่แตกต่างไปจากกระบวนท่าที่จอมหักกระดูกใช้กับเสือทรราชเลย -มันเหมือนกันทุกประการ เพียงแต่ปัจจุบันสลับเป้าหมายก็เท่านั้นเอง


 


ฉินเฟิงเตะต้นขาของจอมหักกระดูก บังเกิดเสียงแกร๊ก สองครั้ง บ่งบอกว่าขาทั้งสองข้างได้หักลง


 


“ถ้าแกยอมรับความพ่ายแพ้ในตอนนี้ ฉันอาจจะปล่อยแกไป!”


 


ฉินเฟิงขยับปากงึมงำ เสียงแผ่วเบามากจนได้ยินกันแค่สองคน


 


จอมหักกระดูกอ้าปากตะโกนอย่างร้อนรน “ฉันยอมแพ้! ฉันยะ- … อ๊อก!”


 


ฉินเฟิงกระทุ้งหนึ่งมัดอัดเข้าใส่หน้าท้องของจอมหักกระดูกทันที พร้อมกับใช้ทักษะลับกลืนดารา!


 


กำลังภายในจากตันเถียน คล้ายกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างดูดกลืนไป แต่กว่าที่จอมหักกระดูกจะรู้ตัว กำลังภายในของตนก็ว่างเปล่าเสียแล้ว


 


“นี่อะไร … แกทำอะไรกับฉัน?” จอมหักกระดูกกล่าวด้วยความหวาดกลัว


 


มุมปากของฉินเฟิงเชิดขึ้นด้วยความเย้ยหยัน


 


“ขอยอมแพ้อย่างงั้นหรอ? ในเวทีประลองใต้ดินนี้ ไม่เคยอนุญาตให้ขอยอมแพ้!”


 


ฉินเฟิงย้อนประโยคนี้คืนให้แก่จอมหักกระดูก ที่มันเคยกล่าวกับเสือทรราชเอาไว้


 


“นี่แกกล้าล้อเล่นกับฉัน?” จอมหักกระดูกถลึงตามองฉินเฟิงด้วยความเดือดดาล เขารับรู้ได้ว่าประโยคเมื่อครู่ฉินเฟิงกำลังกวนประสาทตน


 


“ฉันก็แค่จะบอกว่า ถ้าฉันอารมณ์ดีก็จะปล่อยแกไป แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดีเอาซะเลย!”


 


แน่นอน ว่าฉินเฟิงจะไม่เก็บขยะเช่นนี้เอาไว้ หากมันตายไป จะเป็นการดีกว่าสำหรับทุกๆคน!


 


“แกจะฆ่าฉันไม่ได้! ฉันเป็นสมาชิกของคลับอินทรี ถ้าแกฆ่าฉัน อย่าหวังเลยว่าจะได้ลงไปจากเวทีนี้แม้แต่ก้าวเดียว!”


 


ฉินเฟิงหัวเราะเสียงเย็น อย่างเขาน่ะหรือจะไม่สามารถจากไปได้?


 


เขาไม่เชื่อคำขู่จอมหักกระดูก เพราะมันก็แค่นักสู้เลเวล G6 ต่อให้คนจากคลับอินทรีต้องการคิดบัญชีกับเขา ก็ยังต้องรอให้เขาออกไปจากที่แห่งนี้เสียก่อน


 


ตรงกันข้าม ฉินเฟิงกลับหวังให้ไอ้พวกนั้นดาหน้าเข้ามาด้วยซ้ำ!


 


ในการโจมตีครั้งสุดท้าย ฉินเฟิงใช้ท่อนแขนรัดคอของจอมหักกระดูก ได้ยินแค่เพียงเสียง กร๊อบ! ตลอดทั้งคอของศัตรูก็บิดเป็นเกลียว คู่ดวงตาเหลือกหงาย สูญสิ้นชีวิตไปแล้วอย่างสมบูรณ์


 


ดารานักฆ่าของคลับอินทรี ดันกลายเป็นฝ่ายถูกฆ่าซะเอง!


 


ฉินเฟิงสังหารจอมหักกระดูกลงด้วยวิธีการเดียวกันกับที่อีกฝ่ายมักจะเคยทำ นี่ทำให้ผู้คนรู้สึกทึ่ง แต่เลือดลมก็เดือดพล่านในเวลาเดียวกัน


 


เพราะการกระทำดังกล่าว บ่องบอกชัดเจน ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการแก้แค้นอย่างแท้จริง!


 


“ก๊ากฮะฮ่า! ฉันชนะเดิมพัน! ได้มาล้านนึง!”


 


“บัดซบ บัดซบ เสียเงินอีกแล้ว!”


 


“ยอดเยี่ยม! ไอ้หนูจิ้งจอก วันนี้แกทำให้ฉันเสพสุขอย่างที่นานๆครั้งจะพบเจอจริงๆ!”


 


“บ้าเอ๊ย! ทำไมไอ้จอมหักกระดูกมันขยะแบบนี้! การประลองนี่ใช่เตี๊ยมกันมาแล้วรึเปล่า?”


 


“โถ่ เงินสุดรักของบิดาปลิวหายไปซะแล้ว!”


 


บังเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในฝูงชน บ้างก่นด่าที่สูญเสียเงินของตัวเองไป แต่ฉากเช่นนี้มีให้เห็นทุกวันในคลับอินทรี


 


ทว่าปกติแล้ว ฉากดังกล่าวมักถูกควบคุมโดยเงามืดที่อยู่เบื้องหลัง แต่คราวนี้มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง


 


ไม่ว่าจะเป็นผู้ตัดสินหรือพิธีกร ทั้งสองต่างก็กำลังหลั่งเหงื่อเย็นเยียบในเวลานี้


 


เพราะผลลัพธ์ดังกล่าว มันไม่ใช่ตอนจบแบบที่พวกเขาคิด


 


เห็นได้ชัดว่ามันควรจะเป็นฉินเฟิงที่จบชีวิตลง กลายเป็นก้อนกลมๆบนพื้นเวที และจอมหักกระดูกได้รับชัยชนะไป


 


แต่ตอนนี้ ราวกับประชดประชัน ดันเป็นจอมหักกระดูกซะเองที่ถูกม้วนเป็นก้อนกลมๆ กลิ้งอยู่บนพื้นแทน


 


บางที พวกเขาอาจจะตกใจเป็นเวลานานเกินไป ฝูงชนเลยเริ่มโวยวายกันแล้ว


 


“เพ้ย! รีบๆประกาศซักที! ทำไมยังไม่ประกาศผลอีก!”


 


“แล้วเงินเดิมพันที่ชนะของบิดาล่ะ? ทำไมถึงยังไม่ส่งมา!”


 


เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เสียงคำถามซ้ำๆก็เริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ


 


“ผู้จัดการ!” ผู้ตัดสินทนไม่ไหว ต้องหันไปถามเจียงเส้าหยางผ่านอุปกรณ์สื่อสาร


 


โครม!!! เสียงกระแทกสะท้อนดังกลับมา ชัดเจนว่าเจียงเส้าหยางตบโต๊ะระบายความโกรธแค้นของเขา!


 


อัตราเดิมพันในครั้งนี้คือ 1 : 8 และเงินเดิมพันทั้งหมดที่วางฝั่งจิ้งจอกคลั่งคือ 80 ล้าน!


 


หรืออีกความหมายนึงก็คือ ด้วยการประลองเพียงรอบเดียว แต่กลับทำให้เขาต้องสูญเงินกว่า 600 ล้านเหรียญ!!


 


กระทั่งเจียงเส้าหยางที่อยู่ในเลเวล F8 เงินก้อนนั้นก็ยังเป็นจำนวนมหาศาล!


 


ใบหน้าของเขาแทบจะกลายเป็นบิดเบี้ยว


 


“ฟู่ว …!” เจียงเส้าหยางสูดหายใจเข้าลึกๆ “ประกาศผลออกไป! ล่อลวงให้ไอ้เด็กนั่นกลับมาที่นี่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ให้จงได้! ในเมื่อมันต้องการจะเล่น งั้นพวกเราก็จะเล่นใหญ่กับมันเอง!!”


 


“ทราบแล้วผู้จัดการ!” ผู้ตัดสินพยักหน้า และประกาศผลออกไป


 


ในเวลาเดียวกัน อุปกรณ์สื่อสารของผู้ชมรอบเวทีประลองก็เกิดเสียงดังระงม


 


เสี่ยวเหลียนก้มลงมองบัญชีในอุปกรณ์สื่อสารของเธอ แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง


 


【40,400,000 เหรียญ!】


 


ตัวเลขมหาศาลนี้ แทบจะทำให้ดวงตาของเธอพร่ามัว


 


“ฉันรวย … ฉันรวยแล้ว!” เสี่ยวเหลียนร้องไชโยอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


เสี่ยวเหลียนรู้สึกตื่นเต้นเกินกว่าจะระงับตัวเอง เธอบังเกิดความโลภขึ้นในจิตใจ อยากจะขโมยเงินนี้แล้วหนีไปโดยตรง


 


ทว่าไม่รอให้ทันได้ทำอย่างนั้น อุปกรณ์สื่อสารของเสี่ยวเหลียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“เธอได้รับเงินรึยัง?”


 


เป็นข้อความจากฉินเฟิง


 


เสี่ยวเหลียนหันขวับลงไปบนเวทีอย่างไม่รู้ตัว เธอพบว่าฉินเฟิงยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างสงบ แต่สายตาของอีกฝ่ายกำลังสาดมองมายังร่างของเสี่ยวเหลียน


 


เมื่อย้อนนึกไปถึงภาพเหตุการณ์ที่ฉินเฟิงทรมานสังหารจอมหักกระดูก เสี่ยวเหลียวก็เย็นสันหลังวาบ ลืมตาตื่นขึ้นจากฝัน


 


“ได้รับ … ได้รับมาแล้ว! ฉันกำลังจะส่งให้คุณอยู่พอดี!”


 


เสี่ยวเหลียนรีบโอนเงิน 40 ล้านไปให้ฉินเฟิง ในหัวใจของเธอกลายเป็นว่างเปล่า


 


ติ๊ง! แต่ในตอนนั้นเอง อีกข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนอุปกรณ์สื่อสารของเธอ


 


เสี่ยวเหลียนเปิดมัน และพบว่าจริงๆแล้วมันคือข้อความแจ้งเตือนว่ามีเงินถูกโอนเข้ามาในบัญชีเป็นจำนวน 1 ล้าน


 


และถูกส่งมาโดยฉินเฟิง


 


เสี่ยวเหลียนแทบจะไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นของเธอ สาวต้อนรับรู้สึกว่าโลกทั้งใบกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง


 


แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกคราว ก็พบว่าบนเวทีว่างเปล่า


 


—ฉินเฟิงได้จากไปแล้ว!


Ch.62 – ภัยคุกคาม

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.62 – ภัยคุกคาม


 


“จิ้งจอกคลั่ง นี่คือเงินรางวัลของคุณในวันนี้ พิจารณาจากความแข็งแกร่งของคุณ ดูเหมือนว่าคุณยังคงเก็บงำฝีมือเอาไว้สินะใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นโปรดกลับมาอีกในวันพรุ่งนี้ เพราะยังมีเงินอีกมากรอคอยคุณอยู่!”


 


พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินเฟิงวางเดิมพันตัวเองไป 5 ล้าน และการเก็บเกี่ยวในคืนเดียวของเขาคือ 40 ล้าน


 


ตอนนี้ พวกเขามอบเงิน 2 ล้านกว่าให้แก่ฉินเฟิง รวมไปถึงส่วนแบ่งเงินรางวัลที่ผู้ชมมอบให้ อันที่จริงแล้วสำหรับคนธรรมดา นี่เรียกได้ว่าเป็นโชคก้อนใหญ่ชั่วข้ามคืน


 


“พรุ่งนี้ถ้าคุณชนะการประลองอีกห้านัดติดต่อกัน คุณก็จะทำเงินได้มากกว่า 10 ล้าน ผมล่ะอิจฉาคุณจริงๆ ยังหนุ่มยังแน่นแต่กลับแข็งแกร่งถึงขนาดนี้!”


 


พนักงานที่รับหน้าที่มอบเงินรางวัลกำลังจะกล่าวประโยคต่อไป แต่ทางฉินเฟิง หลังจากตรวจสอบเงินในบัญชีเรียบร้อยแล้ว เขาก็พยักหน้าและเอ่ยทันที “งั้นฉันจะกลับมาอีกในวันพรุ่งนี้!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า! และคลับอินทรียินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง!” พนักงานมอบเงินหัวเราะ “แต่มันจะดีกว่าถ้าหากค้างคืนที่นี่ ในคลับของเรา มีบริการอาบอบนวดอยู่ด้วย คุณสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่กับผู้หญิงสวยๆมากมายจากทางเรา!”


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงปฏิเสธโดยตรง


 


“ไม่ล่ะ! ฉันยังมีสิ่งที่ต้องทำ ขอตัวก่อน!”


 


ให้ค้างคืนในคลับอย่างงั้นหรอ? นั่นมันหมายถึงการถูกจับตามองตลอดเวลา ไหนจะเรื่องถูกวางยาพิษอีก เลยเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว ที่สำคัญวันพรุ่งนี้ คือวันเปิดเรียนวันแรกของเขา!


 


สีหน้าของพนักงานแปรเปลี่ยนไป เขาบังเกิดความคิดขึ้นมาว่า ฉินเฟิงน่าจะจงใจหลบหน้า และคงจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาในวันพรุ่งนี้!


 


แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดฉินเฟิงได้


 


เพราะสำหรับบางเรื่อง การเกลี้ยกล่อมล่อลวงมันไม่ใช่สิ่งที่ฝีปากอย่างเดียวจะทำได้


 


แต่ต่อให้ฉินเฟิงหนีไปตอนนี้ มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี


 


ในสำนักงานผู้จัดการ เจียงเส้าหยางรับสายสื่อสารอีกครั้ง


 


ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ


 


“ส่งคนตามตัวมันไป แล้วก็สั่งให้พวกมันย้ำเตือนไอ้เด็กนั่นด้วย … มันไม่มีครอบครัว มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใช่ไหม? ว่ากันว่าตาแก่หลินเต๋อหรงที่คอยดูแลเด็กๆอยู่ที่นั่น ได้รับความเคารพและเชื่อใจจากพวกเด็กไม่น้อยเลยนี่นา งั้นก็ใช้ไอ้แก่หลินข่มขู่มันซะ!”


 


สำหรับเจียงเส้าหยาง หลินเต๋อหรงมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าแพะแก่ตัวหนึ่ง จะฆ่าจะแกงก็สามารถทำได้ตลอดเวลา


 


“รับทราบแล้ว ผู้จัดการ!”


 


พนักงานมอบเงินวางสาย และอีกไม่นาน อีกหลายข้อความก็ถูกส่งออกไป ยามของคลับอินทรีส่งทีมเล็กไล่ติดตามไปทันที


 


ในทีมเล็กๆนี้มีกันอยู่ 5 คน แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขา ล้วนไม่แตกต่างไปจากยามเฝ้าประตูที่ฉินเฟิงเคยเห็น ทั้งหมดเป็นผู้ใช้พลังในเลเวล G8 G9


 


กล่าวได้ว่าค่อนข้างเป็นกำลังรบที่น่าหวาดกลัวพอสมควร!


 


ฉินเฟิงออกห่างจากคลับอินทรีไปไม่ถึง 200 เมตร ก็ตระหนักได้ว่ามีคนกำลังเพ่งเล็งมาที่ตนเอง


 


นี่คือสลัม ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารสูงตระหง่าน บดบังแสงอาทิตย์ ยิ่งในเวลากลางคืน มันก็แทบไม่มีแสงใดเลย ปรากฏแค่เพียงความมืดมิดอยู่เกือบทุกบริเวณ


 


แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งห้าคนต่างคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแถบนี้เป็นอย่างดี ไม่นาน ทั้งหมดก็ล้อมหน้าล้อมหลังฉินเฟิงได้ในตรอกเล็กๆ


 


“จิ้งจอกคลั่ง ฝีมือของคุณไม่เลวเลย สนใจเข้าร่วมกับคลับอินทรีของพวกเราไหม?” ชายที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากล่าว


 


ฉินเฟิงตอบปฏิเสธเสียงเย็นชา “ฉันไม่สนใจ!”


 


หลังจากกลับมาเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกองทหารหรือหน่วยลาดตระเวน ต่างก็เชื้อเชิญให้ฉินเฟิงเข้าร่วมกับพวกเขา แต่ฉินเฟิงกลับไม่มีความสนใจใดๆ


 


นับประสาอะไรกับก้อนอึโสมมอย่างคลับอินทรี!


 


ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากคลับอินทรี เป็นธุรกิจภายใต้เงื้อมมือของรองผู้ว่าการ เขายิ่งไม่สามารถเข้าร่วมได้


 


“ไอ้เด็กนี่ ไม่รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองเกินไปแล้ว!”


 


“ใช่ อย่าคิดนะว่าแค่แกมีความสามารถนิดๆหน่อย ก็จะเชิดหางไปทั่วไป อำนาจของคลับอินทรีเรา ไม่ใช่สิ่งที่เด็กแบบแกจะสามารถยั่วยุได้!”


 


คนอื่นๆเริ่มข่มขู่ฉินเฟิง สวมบทบาทผู้มีพลังเหนือกว่า


 


ในทางตรงกันข้าม คนแรกที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลับสวมบทคนดี เอ่ยปลอบประโลม “โถ่ อย่าทำให้เพื่อนตัวน้อยต้องหวาดกลัวสิ จิ้งจอกคลั่งอายุแค่ 16 ปีเท่านั้นเอง ฉะนั้นหากมีพลัง ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะเย่อหยิ่ง”


 


แต่แล้วจู่ๆน้ำเสียงของหัวหน้าก็เปลี่ยนไป เอ่ยเสริมอีกครั้ง “แต่คลับอินทรีไม่ใช่สิ่งที่แกจะสามารถล่วงเกินได้ จงจำเอาไว้ให้ดี ว่ายังไงพรุ่งนี้ก็ต้องกลับมา ไม่อย่างนั้นต่อให้แกจะหนีไปสุดขอบโลก พวกเราก็จะไล่ล่าจนเจอ ว่าแต่แกมีเพื่อนบ้างรึเปล่า? ได้ยินมาว่าแกเพิ่งออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาใช่ไหม? ถ้าแกไม่มา บางทีผู้จัดการของทางเราอาจจะไปเยี่ยมผู้อำนวยการของแก ถึงเวลานั้น ผู้มีพระคุณของแกก็อาจจะมีเลือดตกยางออกบ้างก็ได้!”


 


เมื่อฟังถึงจุดนี้ สีหน้าของฉินเฟิงพลันเย็นเยียบ


 


ใบหน้าของเขากลายเป็นกลายเป็นน่าเกลียด ภายใต้แสงไฟสลัว สีหน้าดุร้ายปรากฏขึ้นและเลือนหายไป -ฉินเฟิงในเวลานี้โกรธเกรี้ยวจริงๆแล้ว!


 


แต่นั่นแหละ คือสิ่งที่ทางคลับอินทรีหวังเอาไว้ล่ะ


 


หัวหน้าหัวเราะ และตบลงบนไหล่ฉินเฟิง


 


“จดจำเอาไว้ให้ดี พรุ่งนี้ต้องกลับมา ไม่อย่างนั้นทางเราไม่รับประกันว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น!”


 


หัวหน้ากล่าวจบ ก็โบกมือ เตรียมตัวที่จะจากไป


 


แต่ข่มกันถึงขนาดนี้ ฉินเฟิงจะปล่อยให้พวกเขาจากไปได้อย่างไร?


 


“งั้นหรอ แต่น่าเสียดายนะ ไอ้บางอย่างไม่พึงประสงค์นั่นคงไม่มีทางได้เกิดขึ้นหรอก เพราะฉันจะอัดพวกแกตอนนี้เลย!”


 


ฉินเฟิงประกาศกร้าว ง้างมือขึ้นและฉกไปทางหลังคอของหัวหน้าอย่างกระทันหัน


 


“แส่หาที่ตาย!”


 


หัวหน้าทีมไม่คาดคิดเลย ว่าฉินเฟิงจะกล้าลงมือกับเขาจริงๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะสามารถล้มนักหักกระดูกลงได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารตนเอง


 


เพราะยังไงซะ เขาก็คือผู้ใช้พลังในเลเวล G9


 


อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ มันไม่อาจก่อภัยคุกคามให้แก่ฉินเฟิงได้


 


เพราะกระทั่งเลเวล F ฉินเฟิงก็ฆ่ามาแล้ว นับประสาอะไรกับเลเวล G9 ?


 


กร๊อบ!


 


กรงเล็บตะปบของฉินเฟิงกับข้อมือของหัวหน้าปะทะกัน หัวหน้าทีมรู้สึกเพียงแรงกดดดันมหาศาลโถมเข้าใส่แขนของเขา


 


“โอ๊ย! ไอ้เด็กเปรตนี่ ช่างหัวการประลอง! อย่าหวังเลยว่าแกจะรอดไปจากที่นี่ได้”


 


ยามที่เหลือโห่ร้องคำราม โถมเข้ารุมโจมตีทันที


 


“โอบกอดทมิฬ!”


 


พลังสมาธิของฉินเฟิงระเบิดออก แก่นอบิลิตี้หมุนวนโคจร พลังพิเศษปะทุทันที


 


รูนมืดพรั่งพรูออกมา ปกคลุมไปตลอดทั้งตรอก


 


ทันใดนั้น ทั้งสี่ก็รู้สึกราวกับว่าตนกระโจนเข้าสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด สูญสิ้นซึ่งประสาทสัมผัสทั้งห้า ทว่าแม้จะตื่นตระหนก แต่พวกเขาก็สุ่มโจมตีรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง


 


อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของพวกเขาไม่ถูกตัวของฉินเฟิง หากแต่ซัดเข้าใส่พวกเดียวกันเอง


 


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” คำถามวาบผ่านในจิตใจของหัวหน้าทีม แต่ในวินาทีต่อมา ฝ่ามือหนึ่งก็ประกบลงบนหน้าท้องของเขา


 


“ทักษะลับ กลืนดารา!”


 


แรงดึงดูดมหาศาลระเบิดออกอย่างกระทันหัน!


 


เพียงพริบตา กำลังภายในทั้งหมดของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G9 ก็ถูกดึงดูดออกไปราวกับกระแสน้ำวน สิ่งที่ทุ่มเทฝึกฝนมาอย่างหนักหลายปีกลายเป็นไร้ประโยชน์ในพริบตา!


 


“อ๊าาาา!” หัวหน้าทีมคำราม แต่ก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืน


 


กริ๊ก!


 


ฉินเฟิงบิดคอของอีกฝ่าย


 


ในทำนองเดียวกัน ส่วนที่เหลืออีกสี่คนก็ถูกดูดกำลังภายในมาโดยฉินเฟิง และโดนฆ่าเรียงตัวกันถ้วนหน้า


 


คนเหล่านี้ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น กระทั่งในเวลาที่พวกเขาตาย แต่นั่นก็เพราะผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืดเป็นอะไรที่พบเจอได้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง นับประสาอะไรกับฉินเฟิงที่ครอบครองพรสวรรค์อันแข็งแกร่ง


 


ในเวลานี้ ฉินเฟิงรู้สึกถึงเส้นไหมกำลังภายในที่อัดแน่นกันเต็มตันเถียน ดูเหมือนว่าเขาจำเป็นต้องตัดผ่านอุปสรรค์ทันที


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ทั้งห้าคนที่ตายลง ยังมีความแข็งแกร่งพอสมควร ครอบครองความว่องไวกับความแข็งแกร่งที่ไม่เลวเลย และพลังงานทั้งหมดจากศพก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของฉินเฟิงโดยพลังพิเศษดูดกลืน ส่งผลให้ร่างกายของเขาแกร่งยิ่งกว่าเดิม


 


ฉินเฟิงระงับความรู้สึกที่กำลังจะเกิดการตัดผ่านไปยังเลเวลต่อไป และใช้พลังสมาธิกระตุ้นอบิลิตี้ ปลดปล่อยพลังออกไปอีกครั้ง


 


“เพลิงโลกันต์!”


 


ก้อนเปลวไฟสีดำแดงร่วงตกลงบนศพทั้งห้า เพียงชั่วครู่ก็เผาผลาญ กลืนกินซากศพทั้งหมดอย่างหมดจด!


 


เพลิงโลกันต์เป็นพลังที่เหมาะมาก สำหรับใช้ทำลายซากศพ!


 


ฉินเฟิงกระตุ้นพลังของเขาอีกครั้ง ซ่อนเงาถูกเปิดใช้งาน เขาเคลื่อนกายผ่านอุปกรณ์เฝ้าระวังนับไม่ถ้วน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถค้นหาร่องรอยของเขาได้


 


หลังออกมาจากสลัม ฉินเฟิงก็ผ่อนคลายลง เจ้าตัวมองหามุมที่รกร้างไร้ผู้คน ตรงไปยังมัน และเริ่มนั่งขาขวาทับซ้าย


 


เพ่งมองไปในตันเถียน ในเวลานี้มันพลุ่งพล่าน โกลาหลเป็นอย่างยิ่ง


 


เพราะในวันนี้ กำลังภายในที่ฉินเฟิงดูดซับมา หากนับรวมของตัวเองด้วยแล้ว มันเกินกว่า 100 เส้น!


Ch.63 – ท่านปู่น้อย

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.63 – ท่านปู่น้อย


 


ในบรรดากำลังภายในเหล่านั้น มีอยู่ 15 เส้นไหมที่ฉินเฟิงดูดกลืนมาจากอันธพาลในสลัม


 


อย่างไรก็ตาม เส้นไหมเหล่านี้ไม่สมบูรณ์เลย มันสั้น เหี่ยวแห้งผอมบางราวกับขนวัว แต่สำหรับฉินเฟิง มันก็ยังดีกว่าได้ไม่อะไร


 


ถัดมา คือบนเวที ฉินเฟิงโค่นเหล่านักสู้เลเวล G2 G3 G4 G5 สุดท้ายเป็นจอมหักกระดูกในเลเวล G6


 


พวกแรกๆเหมือนของว่างรองท้อง แต่สำหรับจอมหักกระดูกน่ะแตกต่างออกไป เส้นไหมกำลังภายในของมันหนามาก โดยรวมแล้วบนเวที ฉินเฟิงได้รับกำลังภายในมาทั้งสิ้น 20 เส้น


 


อย่างไรก็ตาม สมาชิกทีมยามของคลับอินทรี หัวหน้าของพวกมันเป็นถึงเลเวล G9 ส่วนลูกน้องล้วนอยู่ในเลเวล G8 ทำให้ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ฉินเฟิงได้รับกำลังภายในมามากถึง 41 เส้น


 


เส้นไหมกำลังภายในมีความหนาบางแตกต่างกัน คุณสมบัติก็แตกต่างกัน ทำให้ภายในตันเถียนของเขาพลุ่งพล่าน เต็มไปด้วยความโกลาหล


 


“จงดูดกลืน!”


 


ฉินเฟิงกระตุ้นพลังพิเศษกลืนกิน แก่นอบิลิตี้เริ่มหมุนวนโคจร ดึงดูดเส้นไหมกำลังภายในที่ไม่ใช่ของตัวเองออกจากตันเถียน


 


เส้นไหมกำลังภายในถูกดูดออกไปอย่างรวดเร็ว เส้นลมปราณขยายตัวขึ้นอีกครั้งจนเกือบถึงในระดับที่น่าตกใจ และในที่สุดก็หลอมรวมเข้ากับร่างของฉินเฟิง


 


อันที่จริง สำหรับตอนนี้ แม้ว่าฉินเฟิงจะไม่ใช้ทักษะลับกลืนดาราในการฉกชิงกำลังภายในของคนอื่น ความรวดเร็วในการฝึกฝนของเขาก็นับว่าเร็วกว่าคนปกติเป็นสิบเท่าอยู่แล้ว


 


ในเวลานี้ กำลังภายในส่วนใหญ่ได้รับการกลืนกิน และกลั่นให้อยู่ในระดับที่บริสุทธิ์อย่างหาที่ใดเปรียบ จากนั้นพวกมันก็ถูกคายออกมาจากแก่นอบิลิตี้ กลับเข้าไปเวียนว่ายอยู่ในตันเถียนดังเดิม


 


เส้นไหมกำลังภายในที่ตอนแรกมี 27 เส้น บัดนี้พุ่งทะยานขึ้นเป็น 62 ทันที!


 


ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงติดปีกโผทะยาน ทรงพลังกว่าเดิมถึง 2 เท่า!


 


“ต้องอย่างงี้สิ! ไม่งั้นฉันจะถ่อมาถึงที่นี่เพื่ออะไร!”


 


ฉินเฟิงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


 


ยังไงก็ตาม เมื่อฉินเฟิงมองลงไปในตันเถียน ก็ดันค้นพบได้ถึงปัญหาใหม่


 


“แม้ว่าตันเถียนของฉันจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยกำลังภายใน แต่คาดว่ามันคงไม่อาจรองรับเส้นไหมเกินกว่าสิบเท่าของคนปกติได้ ยังไงก็ตาม นี่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะอีกไม่กี่วันฉันก็คงขึ้นไปสู่เลเวล F แล้ว”


 


การเพิ่มระดับความแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อเสีย แต่นี่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะตอนนี้เขาได้ไปยั่วยุศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดอย่างรองผู้ว่าการแล้ว ดังนั้นฉินเฟิงจะไม่เร่งพัฒนาความแข็งแกร่งของตนได้อย่างไร


 


ฉินเฟิงถอนวิสัยทัศน์ตนออกจากสภาวะฝึกฝน ผุดลุกขึ้น ก้าวเดินออกจากตรอกไป


 



 


ในเวลา ตีสอง


 


ติ๊ง!


 


ฉินเฟิงเปิดประตู ก้าวเข้ามาภายในบ้านที่มืดสนิท ทว่าจู่ๆก็มีบอลแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าเขา


 


ฉินเฟิงตอนแรกผงะตกใจ แต่พอเขาได้มองชัดๆ ก็พบว่าแสงที่ว่านั่นคือเสี่ยวไป๋!


 


“อ้าวเสี่ยวไป๋ นี่แกตื่นแล้วหรอ?” ฉินเฟิงอุทานด้วยความตกใจ แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็รับรู้ว่าว่าลูกกลมๆกำลังม้วนกลิ้งตรงมาที่เท้าของเขาอย่างรวดเร็ว


 


“โอ๊ย!”


 


ฟันเล็กแหลมของเสี่ยวไป๋งับเข้าใส่เท้าของฉินเฟิง


 


“ซี๊ด —” ฉินเฟิงสูดหายใจลึก บังเกิดความรู้สึกปวดแปล๊บอย่างรุนแรง


 


“โอ๊ย!”


 


คราวนี้เสี่ยวไป๋โน้มตัวขึ้น อ้าปากงับ! และกระชากขากางเกงของฉินเฟิงอย่างแรง ด้วยอานุภาพของมัน กางเกงเนื้อผ้าคุณภาพดีก็ยังเอาไม่อยู่ ถูกฉีกจนขาดวิ่น กลายเป็นเศษผ้า หากมองแค่ท่อนล่างในเวลานี้ ฉินเฟิงมีสภาพไม่ต่างจากยาจก


 


ในพริบตา ขากางเกงข้างหนึ่งขอฉินเฟิงก็ถูกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสี่ยวไป๋จึงค่อยก้าวถอยหลังออกมา และเหยียบย่ำบนเศษผ้าเหล่านั้น


 


“อิ๋ง อิ๋ง อิ๋ง!”


 


เสีย่วไป๋โมโหสุดๆ


 


และมันกำจะกลายเป็นบ้า!


 


ฉินเฟิงได้ทำสัญญากับเสี่ยวไป๋แล้ว ดังนั้นเขาเลยสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเสี่ยวไป๋ เจ้าตัวบังเกิดความสับสนงุนงงไปชั่วขณะหนึ่ง


 


“หรือว่ามันจะคลั่งไปแล้ว?”


 


ฉินเฟิงจินตนาการไปว่า ฉายาที่เขาตั้งให้ตัวเองในคลับอินทรี จู่ๆก็กลายเป็นคำพยากรณ์ กลายเป็นเรื่องจริงไปซะงั้นหรือ?


 


“เสี่ยวไป๋ ฉันผิดไปแล้ว ขอโทษที แกช่วยใจเย็นๆลงก่อน!”


 


ฉินเฟิงเร่งปลอบประโลมมัน


 


เสี่ยวไป๋แผดเสียงด้วยความโกรธ มันสะบัดหัวน้อยๆไปอีกข้าง ไม่สนใจฉินเฟิง วิ่งตรงขึ้นไปยังชั้นสอง


 


“รอก่อน เสี่ยวไป๋!”


 


ฉินเฟิงไล่ตามขึ้นไป และเห็นแค่เพียงเสี่ยวไป๋กระโดดเข้าไปในห้องนอน -> ประตูปิดลง ->พร้อมกับเสียงดังกริ๊ก!


 


–ประตูได้ถูกล็อคไปแล้ว!


 


ฉินเฟิง “ … ”


 


จิ้งจอกตัวนี้ เดิมมีภูมิปัญญาชนิดสามารถต่อต้านได้กระทั่งสรวงสวรรค์


 


แต่ปัจจุบัน มันกลับขังตัวเอง โดยการล็อคประตู!


 


ผ่านไปสักพักหนึ่งประตูก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก ฉินเฟิงเกิดความรู้สึกไม่รู้ว่าตัวเองจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


 


“ทำไมเสี่ยวไป๋ถึงได้โกรธกัน?” ฉินเฟิงงง เขาคิดยังไงก็คิดไม่ออก แต่เนื่องจากหนึ่งคนหนึ่งสัตว์ได้ทำสัญญากันแล้ว ทำให้ไม่นาน ฉินเฟิงก็ได้ยินเสียงอันคมชัด อ่อนหวานของเด็กน้อยดังเข้ามาในจิตใจ


 


“นายท่านแย่จริงๆ ทิ้งหนูไว้ที่บ้านคนเดียว หนูโกรธมาก!”


 


“ไหนจะบังคับไม่ให้หนูใช้พลังพิเศษอีก”


 


“แต่ตัวเองกลับออกไปเล่นสนุกอยู่คนเดียว!”


 


“แถมขากลับ ก็ยังไม่เอาของขวัญสำหรับหนูติดมือกลับมา!”


 


“ถ้าแบบนี้ไม่ต้องกลับมาดีกว่า ล็อคประตูแล้ว! ห้องนอนนี้เป็นของหนูคนเดียว!”


 


ฉินเฟิงสตั้น


 


เขาไม่คาดคิดเลย ว่าในหัวใจของเสี่ยวไป๋จะมีความคิดเช่นนี้


 


แน่นอน ว่าฉินเฟิงไม่ได้ประหลาดใจกับเนื้อหาความคิดของเสี่ยวไป๋ แต่แปลกใจตรงที่ว่าทำไมเสียงในความคิดของเสี่ยวไป๋มันถึงได้ชัดเจนมากถึงขนาดนี้ต่างหาก


 


ก่อนหน้านี้ หลังจากทำสัญญากัน การสื่อสารระหว่างฉินเฟิงกับเสี่ยวไป๋นั้นค่อนข้างคลุมเครือ แต่เมื่อครู้นี้ฉินเฟิงใช้พลังของสัญญา และพลังสมาธิในรูปแบบที่ผู้ฝึกสัตว์ใช้สื่อสารกับสัตว์ร้าย ที่มีไว้เพื่อการออกคำสั่งให้ชัดเจน


 


เพราะสัตว์ร้ายมักจะไม่สามารถเข้าใจความคิดของมนุษย์


 


แต่เสี่ยวไป๋น่ะแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด บางทีอาจเป็นเพราะสติปัญญาของมันสูงมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะฉินเฟิงเอาใจใส่ดูแลอยู่เสมอ มันเลยหลักแหลม และอ่อนไหวต่ออารมณ์มากเป็นพิเศษ


 


เนื่องจากฉินเฟิงเคยบอกกับเสี่ยวไป๋ ว่าห้ามใช้พลังมิติของมันในสถานที่ชุมชน ดังนั้นเมื่อเสี่ยวไป๋ตื่นขึ้น มันเลยไม่สามารถใช้พลังมิติค้นหาตัวฉินเฟิงได้


 


มันเลยต้องรอคอยเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่มันไม่คาดคิดเลย ว่าพอฉินเฟิงกลับมา เขาจะไม่มีของขวัญติดมือมาให้มัน นี่เองซึ่งเป็นสาเหตุให้เสี่ยวไป๋งอน


 


“หยุดเลย นายท่านไม่ต้องพยายามเกลี้ยกล่อม ท่านปู่น้อยคนนี้อย่างไรก็ไม่ยอมหายโกรธ!”


 


ฉินเฟิงยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเปิดอุปกรณ์สื่อสาร


 


ในเวลานี้ เพียงค่ำคืนเดียว ในบัญชีของเขาก็มีเงินถูกโอนเข้ามามากกว่า 42 ล้าน


 


นี่ถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล สำหรับคนที่อยู่ในขอบเขตเลเวล G บอกได้เลยว่าตอนนี้ ตราบใดที่ฉินเฟิงต้องการ เขาก็สามารถซื้อชุดอุปกรณ์รูนสีเงินได้เลยโดยตรง


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้มัน


 


ฉินเฟิงทำการเชื่อมต่อเครือข่ายผ่านอุปกรณ์สื่อสาร และเริ่มค้นหาแก่นพลังงาน


 


แก่นพลังงานมีมูลค่าแตกต่างกันออกไป เนื่องจากสัตว์ร้ายแต่ละตัวที่ครอบครองมัน มีแข็งแกร่งไม่เหมือนกัน อย่างแก่นพลังงานจากหมาป่ามาสติฟที่ฉินเฟิงล่ามาได้ ในช่วงเพิ่งปลุกพลังให้ตื่นขึ้น มันมีมูลค่าอยู่ราวๆ 200,000 เหรียญ


 


ในขณะที่แก่นพลังงานระดับราชันย์สัตว์ร้าย จะมีมูลค่ามากกว่านั้นเป็นสิบเท่า!


 


ฉินเฟิงเปิดเข้าไปดูห้องประมูลกลุ่มหวันซ่งของเมืองเฉิงหยาง


 


【แก่นพลังงาน G8 ของราชันย์แมวกลายพันธุ์ ราคา 8.30 ล้าน】


 


【แก่นพลังงาน G7 ของราชันย์ตั๊กแตนเขียว ราคา 7.21 ล้าน】


 


【แก่นพลังงาน G5 ของราชันย์วัวเถื่อน ราคา 5.8 ล้าน】


 


【แก่นพลังงาน G9 …. 】


 


หลังจากที่มีข้อมูลเด้งขึ้นมา ฉินเฟิงก็พิจารณาแต่ละชิ้นอย่างรอบคอบ และตัดสินใจเลือกแก่นพลังงานที่ราคาค่อนข้างสมเหตุสมผลและมีพลังงานสูง ใส่ลงไปในตระกร้าสินค้าที่ต้องการซื้อ


 


“ท่านต้องการใช้บริการส่งด่วนโดยนกพิราบฟ้าหรือไม่ มันสามารส่งสินค้าถึงมือท่านได้ภายใน 10 นาที!”


 


ฉินเฟิงเลือกบริการนี้ และจ่ายเงินเพิ่มไปอีก 500,000 เหรียญ


 


นกพิราบฟ้า คือสัตว์ร้ายที่ว่องไว แต่มีบุคลิกอ่อนโยน เป็นสัตว์ที่สามารถทำให้เชื่องได้ง่าย เหมาะสมแก่การทำสัญญา แต่เนื่องจากมันไม่มีพลังต่อสู้มากนัก จึงถูกใช้งานไปทางด้านการสื่อสารและการส่งสินค้าซะมากกว่า


 


ในเวลาไม่ถึง 5 นาที อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็ดังขึ้น


 


“ลูกค้าที่รัก สินค้าที่คุณต้องการกำลังจะไปถึงในเร็วๆนี้ โปรดเปิดหน้าต่าง หรือรอรับมันในพื้นที่เปิดโล่ง”


 


ฉินเฟิงปีนขึ้นไปบนหลังคา มองไกลออกไปก็พบกับนกพิราบตัวใหญ่


 


ปีกของนกพิราบฟ้า เพียงกางออกก็ยาวกว่าหนึ่งเมตร มันมีรูปร่างอ้วนท้วน และหากสังเกตดีๆ จะพบว่าในใต้กรงเล็บของมันกำลังกุมอะไรบางอย่างที่ถูกห่อเอาไว้อยู่


 


“ฉันเห็นมันแล้ว! เฮ้ ทางนี้!” ฉินเฟิงโบกมือของเขา


 


“รับทราบ ฉันจะสั่งนกพิราบฟ้าร่อนลงทันที”


 


ตรงคอของนกพิราบฟ้า ถูกผูกไว้ด้วยอุปกรณ์สื่อสาร ผู้ฝึกสัตว์เอ่ยสั่งการให้พิราบฟ้าร่อนลง และฉินเฟิงก็ได้รับสินค้าอย่างราบรื่น


 


มีเพียงเครือข่ายห้องประมูลของกลุ่มหวันซ่งเท่านั้น ที่สามารถจัดการส่งสินค้าให้กับฉินเฟิงได้ทันทีในเวลานี้ ก่อนที่ฟ้าจะสาง!


 


เมื่อเสร็จสิ้นการรับสินค้า บนอุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิง เงินในบัญชีกว่า 40 ล้านก็กลายเป็นว่างเปล่า


Ch.64 – ราชันย์สัตว์เสี่ยวไป๋

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.64 – ราชันย์สัตว์เสี่ยวไป๋


 


“ฉันคิดว่าด้วยเจ้าสิ่งนี้ ท่านปู่น้อยน่าจะหายโกรธนะ” ฉินเฟิงถือห่อพัสดุในมือ ลงจากหลังคา ตรงไปหน้าห้องนอนชั้นสอง และเคาะประตูสองสามครั้ง


 


“เสี่ยวไป๋ ฉันเอาของขวัญมาให้ ลองเปิดออกมาดูสิว่าแกชอบไหม?” ฉินเฟิงกล่าว


 


เสี่ยวไป๋ที่อยู่ภายในไม่มีการตอบสนองใดๆ ทำทีราวกับไม่ได้ยิน


 


“นี่เป็นแก่นพลังงานเลยนะ ของโปรดแกไง!” ฉินเฟิงกระตุ้นอีกครั้ง


 


คราวนี้ ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหว บังเกิดเสียงกริ๊ก! และประตูก็ค่อยๆแง้มออก


 


ฉินเฟิงเดินเข้าไปในห้องนอน และพบว่าหลังจากเปิดประตู เสี่ยวไป๋ก็กระโจนกลับไปทิ้งตัวลงบนหมอน ยังคงแสดงท่าทีท่าไม่สนใจฉินเฟิง


 


“มันเป็นของอร่อยมากเลยนา นี่คือแก่นพลังงงานที่เปี่ยมไปด้วยพลังมากที่สุดที่ฉันหามาได้ ฉันขอใช้มันไถ่โทษกับแกจะได้ไหม?”


 


ฉินเฟิงเกลี้ยกล่อมเสี่ยวไป๋ การกระทำเช่นนี้ช่างดูเหมือนกับว่าพ่อกำลังง้อลูกสาวอยู่เลย


 


ก็เสี่ยวไป่ไม่โตขึ้นสักที เป็นเจ้าก้อนขนปุกปุยน่ารักขนาดเท่าสองฝ่ามือ เมื่อถูกสิ่งมีชีวิตตัวน้อยน่ารักเช่นนี้งอน แล้วผู้คนจะไม่ง้อได้อย่างไร?


 


กระทั่งฉินเฟิงที่สังหารผู้คนไปแล้วมากมาย พอมาเจอเสี่ยวไป๋เข้า เขากลับไม่กล้าที่จะทำร้ายมันแม้เส้นขน


 


ความรู้สึกนี้ มันได้ไกลเกินกว่าความรู้สึกสำนึกคุณ ที่เสี่ยวไป๋เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้แล้ว


 


บางที อาจเป็นสัญญาณ หรือไม่ก็เพราะหลายวันที่ผ่านมา ทั้งสองได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน


 


ดังนั้นฉินเฟิงจึงรู้สึกได้ ว่าเสี่ยวไป๋ยังไงก็ไม่มีทางที่จะทิ้งเขาให้นอนนอกห้องคนเดียว


 


“ฮึ่ม!”


 


เสี่ยวไป๋เปล่งเสียงน้อยๆออกมา แต่สุดท้ายมันก็ฉกของขวัญจากมือฉินเฟิงไป พลางจิกตามองเขา


 


แต่ฉินเฟิงรู้ดี ว่าตอนนี้เสี่ยวไป๋ได้ยกโทษให้กับเขาแล้ว


 


เสี่ยวไป๋กุมห่อของขวัญ กรงเล็บของมันวูบไหวอย่างรวดเร็ว กล่องภายในพลันถูกเปิดออก ปรากฏ 5 แก่นพลังงานจัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อย มีขนาดแตกต่างกันไปทั้งใหญ่เล็ก


 


เสี่ยวไป๋หยิบเอาแก่นพลังงานที่เล็กที่สุดออกมา และเริ่มลามเลียมัน


 


พอกินจนอิ่ม คราวนี้เสี่ยวไป๋กลับไม่ได้จมลงสู่ห้วงนิทราในทันที แต่กลับกลายเป็นขนทั้งร่างของมันที่เริ่มฟูฟ่อง อ้าปากส่งเสียงครวญครางออกมาแทน


 


เดิมทีฉินเฟิงตั้งใจจะนอนหลับ เพื่อปรับสมดุลร่างกายของเขา พอเห็นถึงฉากนี้ เจ้าตัวก็ดีดผึงจากเตียง ผุดลุกตรงเข้าไปข้างๆเสี่ยวไป๋


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่ามีอะไรผิดปกติกับแก่นพลังงาน?”


 


การตอบสนองแรกของฉินเฟิงคือความคิดที่ว่ามีใครบางคนวางยาพิษในแก่นพลังงาน แต่ต่อมา เขาก็คลายความคิดที่ว่านั่นไป และเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาแทน


 


เพราะกลิ่นอายของเสี่ยวไป๋เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายเช่นนี้ คล้ายกับว่าจะเป็นการตัดผ่านยกระดับ


 


ไม่เพียงเท่านั้น แต่ขนหางปุกปุยของมันก็เริ่มงอกยาวขึ้นด้วยอัตราเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ฟูจนเกือบจะดูเป็นพุ่มไม้ขนาดย่อม


 


ในด้านของความแข็งแกร่งเอง ก็กำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


แก่นพลังงานที่ได้รับมาจากสัตว์ร้ายในทุ่งล่า ฉินเฟิงยกทั้งหมดให้แก่เสี่ยวไป๋ แม้ว่ามันจะเพิ่งถือกำเนิดออกมาในช่วงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งเดือน แต่เสี่ยวไป๋ก็ไม่เพียงวิวัฒนาการเป็นนายพลสัตว์ร้ายเท่านั้น แต่ยังมีความแข็งแกร่งของมันที่ยกระดับขึ้นเรื่อยๆจนอยู่ในเลเวล G8 อีกด้วย


 


และตอนนี้ มันได้กินแก่นพลังงานของราชันย์สัตว์ร้ายเข้าไป เสี่ยวไป๋กลับไม่หลับลงเพื่อปรับสมดุล แต่ดันเกิดพลังงานอันยิ่งใหญ่พลุ่งพล่านออกมาแทน นี่ชัดเจนว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแน่ๆ


 


กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋ค่อยๆเปลี่ยนไป จากนายพลสัตว์ร้าย วิวัฒนาการขึ้นเป็นราชันย์สัตว์ร้าย!


 


เมื่อเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ฉินเฟิงก็ย่อมรู้สึกมีความสุขเป็นธรรมดา


 


เพราะการทำสัญญาระหว่างราชันย์สัตว์ร้าย กระทั่งผู้ฝึกสัตว์เอง น่ากลัวว่ายังแทบจะไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้


 


ศักยภาพของเสี่ยวไป๋ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ


 


ทว่าไม่นาน แก่นพลังงานก็ถูกกลืนหายไปจนสิ้น กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋เริ่มแผ่วจางลงเหมือนว่าอาหารที่กินยังไม่เพียงพอที่จะวิวัฒนาการ ฉินเฟิงเร่งหันไปหยิบแก่นพลังงานอีกก้อนขึ้นมา แล้วให้เสี่ยวไป๋กลืนกินมันอีกครั้งทันที


 


และมันก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย คล้ายกับว่ากำลังรับรู้ได้เหมือนกัน ว่าตนกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง


 


เมื่อเวลาผ่านไป ความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขนาดตัวของมันเริ่มใหญ่ขึ้น จากสองฝ่ามือ ปัจจุบันกลายเป็นครึ่งเมตรแล้ว


 


ซึ่งนี่ไม่น่าแปลกอะไร เพราะเดิมทีขนาดตัวของเสี่ยวไปก็ไม่สมควรจะแค่เท่าสองฝ่ามืออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการมีขนาดเท่านี้ มันง่ายสำหรับฉินเฟิงในการอุ้มมันไปไหนมาไหน กล่าวได้ว่าสำหรับสัตว์ร้ายที่มีภูมิปัญญาสูงส่งดังเช่นเสี่ยวไป๋ ทักษะเปลี่ยนรูป ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ดั่งใจ เป็นสิ่งที่ควรพึงมี


 


เสี่ยวไป๋ยังคงกลืนกินแก่นพลังงานต่อไป


 


ก้อนที่สาม , สี่ และห้า!


 


ทันใดนั้นเอง กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋ก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง ความสง่างามอันน่าเกรงขามของระดับราชันย์ปะทุขึ้น แพร่กระจายออกไป


 


ตลอดทั้งสวนชิงหู กระทั่งวิลล่าใกล้เคียงที่อยู่ถัดออกไปจากทะเลสาบก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้


 


ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีกี่คนที่สะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ผุดลุกขึ้นมาตั้งท่าอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้


 


“เสี่ยวไป๋ รีบเก็บกลิ่นอายของแกเร็วเข้า!”


 


ฉินเฟิงตะโกนอย่างร้อนรน


 


กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋ถูกระงับลงอย่างรวดเร็ว ทว่ารูปร่างของมันในปัจจุบันแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก


 


จากสองฝ่ามือกลายเป็นครึ่งเมตร หางยาวปุกปุยแยกจากกลาง ฉีกออกเป็นสอง


 


ปัจจุบัน มันได้กลายเป็นจิ้งจอกสองหางไปแล้ว!


 


นอกจากนี้ เสี่ยวไป๋ยังสามารถยกระดับขึ้นเป็นเลเวล F ได้ในที่สุด และยังคงเป็นในระดับราชันย์สัตว์ร้าย!


 


ไม่คาดคิดเลย ว่าเสี่ยวไป๋จะชิงตัดหน้า ทะยานขึ้นไปถึงเลเวล F ก่อนตัวเขาอย่างกระทันหัน!


 


พลังอำนาจของเสี่ยวไป๋ที่ปรากฏออกมาในปัจจุบันแข็งแกร่งมาก รูปลักษณ์ของมันก็แสนสง่างาม แต่ทว่า …


 


“เสี่ยวไป๋ ในเมื่อแกกลายเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะพาแกไปโรงเรียนได้ยังไง?”


 


ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้านี้เสี่ยวไป๋เคยปรากฏตัวสู่สายตาของผู้คนมาก่อน


 


ทันทีที่เสี่ยวไป๋ได้ยินคำของฉินเฟิง คู่ดวงตาของมันก็เบิกกว้างขึ้นทันที คล้ายกำลังจะตำหนิฉินเฟิง


 


“อิ๋ง!”


 


เสี่ยวไป๋เริ่มโกรธอีกครั้ง


 


‘นี่นายท่านต้องการจะทิ้งหนูไว้ที่บ้านอีกแล้วใช่ไหม? ไหนตกลงกันว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วไง ที่แท้ก็เป็นเรื่องโกหกงั้นหรอ?’


 


ตอนไปเที่ยวด้วยกันในย่านการค้า เห็นได้ชัดว่าหากเป็น ‘สัตว์สองขา’ อยากจะเดินเหินไปที่ใด ก็ย่อมสามารถทำได้


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ เสี่ยวไป๋ก็ปิ๊ง! ไอเดียหนึ่งขึ้นมา


 


ในช่วงเวลาต่อมา ฉินเฟิงก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขนบนร่างกายและหางของเสี่ยวไป๋เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ขนตรงส่วนหัวกลับดูยาวและหนาขึ้น


 


รูปร่างของเสี่ยวไป๋เริ่มยืดขยาย หนังสัตว์กลายเป็นสีชมพูคล้ายกันกับผิวหนังของมนุษย์


 


หูที่เรียวแหลมเริ่มกลมมน ปากและคางที่ยืดยาวเริ่มหดตัว กลายเป็นรูปเป็นร่างที่ดูสมส่วน


 


เค้าโครงหน้าเปลี่ยนไป ปรากฏขนคิ้วสีขาวซีด คู่ดวงตาเรียวดั่งจิ้งจอก จมูกเล็กทรงหยดน้ำ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเป็นกระจับ


 


ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงสั่นสะท้านด้วยความตกตะลึง!


 


“นี่แก .. ”


 


“นายท่าน!”


 


เสี่ยวไป๋อ้าขยับปากน้อยๆ เปล่งเสียงที่ดังฟังชัด ซึ่งเสียงนี้ มันเป็นเสียงแบบเดียวกันเลยกับที่ฉินเฟิงเคยได้ยินในตอนที่สื่อสารกันด้วยสัญญา ผ่านทางความคิดของเขา


 


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เสี่ยวไป๋มิได้เป็นจิ้งจอกอีกต่อไปแล้ว หากแต่มันกลายร่างเป็นมนุษย์จริงๆ!


 


ผมสีขาวที่เปล่งประกายแสงสีเงินลากยาวลงมาถึงเอว ใบหน้าทรงเสน่ห์ที่อาจถึงขั้นก่อให้เกิดการล่มสลายของประเทศได้ เจ้าตัวโน้มกายลงมาด้านหน้าฉินเฟิง กล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “งั้นแบบนี้ล่ะ? ด้วยรูปลักษณ์นี้ หนูก็สามารถไปกับนายท่านได้แล้วใช่หรือไม่? หากเป็นมนุษย์ ไปด้วยกันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร!”


 


ฉินเฟิง “ … ”


 


แต่จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ว่าจมูกตนเริ่มร้อนระอุ เลือดลมกำลังพลุ่งพล่าน ฉินเฟิงเร่งยกมือขึ้นปิดจมูกของเขาทันที


 


“เสี่ยวไป๋ จะยังไงก็เถอะ ตอนนี้แกช่วยไปใส่เสื้อก่อน!”


 


หลังจากเกิดใหม่ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเฟิงรู้สึกว่าตนถูกโยนลงสู่ความตื่นตระหนก!


 


เสี่ยวไป๋กลายร่างได้ก็จริง แต่มันยังไม่มีสามัญสำนึกของมนุษย์ ปัจจุบันมันเปลือยเปล่า และไม่มีสัญชาตญาณที่คิดจะปกปิดส่วนลับของร่างกายเลย


 


ถึงแม้ว่าหน้าอกของเสีย่วไป๋จะแบนราบราวกับพื้นสนามบิน ดูจากลักษณะแล้วเป็นมนุษย์อายุราวๆ 13 14 ปี แต่ฉินเฟิงก็ไม่อาจหยุดจินตนาการไม่ดีไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่มันเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’


 


ตรงจุดนี้เองที่ทำให้เขาเกือบจะขาดใจตาย


 


“หนูใส่มันไม่ได้!”


 


เสี่ยวไป๋ก้มลงคว้าเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงที่ขาดวิ้นเป็นชิ้นๆ นี่เกิดจากก่อนหน้านี้ที่มันวิวัฒนาการ จนกลายเป็นสถานะราชันย์สัตว์ร้าย


 


และคุณก็คงจะรู้ใช่ไหม ว่าหากชุดนี้ของมันใส่ไม่ได้ ก็หมายความว่าชุดอื่นใส่ไม่ได้เช่นกัน


 


ฉินเฟิงผุดลุกขึ้นและกล่าว “งั้นใส่เสื้อของฉันไปก่อน!”


 


ฉินเฟิงถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออก และสวมให้แก่เสี่ยวไป๋ เนื่องจากรูปร่างของเสี่ยวไป๋ยังดูเด็ก มีขนาดความสูงไม่เท่าใดนัก เสื้อนี้เลยลากลงมาคลุมถึงขา ดูคล้ายกับชุดเดรสยาว


 


ทว่าเนื่องจากเสื้อเชิ้ตของเขาเป็นสีขาว ชุดเดรสเลยพลอยโปร่งแสงไปด้วย


 


ปรากฏว่าภาพตรงหน้าทำให้เลือดลมพลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าทวี นี่มันน่าดึงดูดยิ่งกว่าตอนไม่สวมใส่อะไรซะอีก!


 


เวลานี้ ฉินเฟิงตระหนักได้เลยว่า เรื่องราวในนิยายต่างๆที่กล่าวกันถึงจิ้งจอกในร่างมนุษย์ พรรณนาว่ามันคือตัวตนที่ทรงเสน่ห์อย่างหาที่ใดเปรียบ มิใช่เรื่องเกินจริง


 


“มาเถอะ อันดับแรกก็มาเลือกเสื้อผ้ากันก่อน”


 


ฉินเฟิงทดลองแนบเสื้อเชิ้ตหลายตัวให้กับเสี่ยวไป๋ พอเจอตัวที่คิดว่าน่าจะถูกใจก็สวมให้มัน จากนั้นก็นำเข็มขัดมาคาดเอวเอาไว้ เปลี่ยนเสื้อเชิ้ตให้กลายเป็นชุดเดรสแบบเฉพาะกิจ


 


แต่ด้วยรูปลักษณ์ในตอนนี้ หากต้องนำเสี่ยวไป๋ออกไป เขาก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี


 


สภาพนี้จะพาไปโรงเรียนได้จริงๆน่ะหรอ?


 


เพ้ย! ช่างหัวโรงเรียนเถอะ มีปัญหามากนัก ก็ขอโดดมันซะวันแรกเลยก็แล้วกัน!


Ch.65 – ทักษะเปลี่ยนรูปที่ทรงพลัง

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.65 – ทักษะเปลี่ยนรูปที่ทรงพลัง


 


ฉินเฟิงจัดแจงแปลงโฉมเสี่ยวไป๋อย่างมิดชิด เขาม้วนผมสีขาวของมันไปไว้ในหมวก ส่วนใบหน้าก็ให้สวมแว่นกันแดด


 


แต่แว่นกันแดดที่ให้สวม ดูจะใหญ่เกินกว่าใบหน้าของเสี่ยวไป๋ไปเล็กน้อย เพราะแว่นนี้ เดิมฉินเฟิงซื้อมาคราวก่อนเพื่อใช้กับตัวเอง เผื่อเอาไว้ในกรณีที่จำเป็นต้องอำพรางใบหน้า


 


หลังจากเสี่ยวไป๋สามารถยกระดับขึ้นเป็นราชันย์สัตว์ร้าย เวลาก็ปาเข้าไป 7 โมงเช้าแล้ว มีผู้คนมากมายเริ่มทยอยกันลงมาชั้นล่าง ระหว่างทางที่ฉินเฟิงพาเสี่ยวไป๋ลงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน เขาก็ได้ยินเสียงคนมากมายสนทนากัน


 


“คุณรู้สึกถึงมันรึเปล่า? กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวเมื่อกลางดึกน่ะ?”


 


“รู้สึกสิ มันสมควรที่จะเป็นกลิ่นอายของราชันย์สัตว์ร้าย”


 


“แต่ไม่มีสัญญาณเตือนภัยดังนะ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ก่อความเสียหายอะไร”


 


“ไอ้ตัวนั้น มันน่าจะว่องไวมากแน่ๆเลย ระบบจึงไม่ทันได้ล็อคเป้ามันแล้วแจ้งเตือน ไม่อย่างนั้นก็สมควรที่จะเป็นราชันย์สัตว์ร้ายที่มีปีก แล้วบินผ่านน่านฟ้าไป”


 


“โชคดีจริงๆที่มันบินผ่านไปเฉยๆ!”


 


ผู้คนต่างผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนฉินเฟิงกับเสี่ยวไป๋ตัวก่อเหตุ มิได้ร่วมวงสนทนา ทำราวกับไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เร่งตรงไปยังรถศึก และขับออกจากชั้นใต้ดิน


 


เนื่องจากทั้งเสี่ยวไป๋และฉินเฟิงมีความประทับใจที่ดีต่อร้านขายเสื้อผ้าก่อนหน้านี้ ดังนั้นคราวนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจไปเลือกซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เดิม


 


“ยินดีต้อ- อ้าว มิสเตอร์ฉิน!”


 


เสียงอุทานประหลาดใจ ทำให้ฉินเฟิงต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเขาก็เห็นว่าเจ้าของเสียงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสี่ยวเหลียน สาวต้อนรับของคลับอินทรีเมื่อคืนนั่นเอง


 


ฉินเฟิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน


 


“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?”


 


เสี่ยวเหลียนยิ้มด้วยความตื่นเต้น กระพริบตาปริบๆ “ปกติแล้วฉันทำงานอยู่ที่นี่ ส่วนงานในคลับอินทรีเป็นแค่งานพิเศษ แต่ฉันไม่ได้ทำมันอีกต่อไปแล้วนะ!”


 


ประโยคนี้ ฉินเฟิงรู้ได้ทันทีว่าเสี่ยวเหลียนโกหก เพราะคราวก่อนที่มา เขาไม่ได้เจอเธอ


 


และเสี่ยวเหลียนก็ไม่ได้บอกความจริง ว่าจริงๆแล้วเธอได้เข้าไปทำงานกับคลับอินทรีตั้งแต่อายุ 16 ปี แถมยังมีตาแก่ในคลับหลายคนคอยชุบเลี้ยง อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้มองคนหนุ่มสาวเป็นแค่เพียงอาหารไว้ลิ้มชิมรสเท่านั้น พอเบื่อเมื่อไหร่ บางทีในวันถัดไปอาจจะวางยา หรือฆ่าทิ้งกลายเป็นศพก็ได้


 


แม้ว่าเสี่ยวเหลียนจะทำงานมาสามปีแล้ว แต่ก็มีหลายครั้งที่ชีวิตเธอเฉียดเข้าไปใกล้กับความตาย เธอเคยถึงขั้นใช้เงินออมเพื่อซื้อยารักษาโรค จนสุดท้ายก็รอดชีวิตมาได้ แต่รอดมาแล้วยังไง? ในเมื่อเธอไม่มีทักษะใดๆที่จะใช้หาเงินในทางสุจริตเลย ที่สำคัญเสี่ยวเหลียนไม่ยินดีที่จะทำงานที่นั่นอีกต่อไป


 


และเมื่อวานนี้ คือวันที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเสี่ยวเหลียน


 


เมื่อรวมกับเงินที่ฉินเฟิงมอบให้ เสี่ยวเหลียนเลยมีเงินเก็บอยู่ในมือเธอถึง 1.4 ล้านเหรียญ ซึ่งเพียงพอที่จะซื้อห้องเล็กๆในสถานชุมชน


 


ซึ่งอันที่จริงแล้ว ที่เธอดิ้นรนมาตลอดทั้งสามปี มันก็เพื่อมีเตียงอุ่นๆให้หนุนนอนเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ?


 


โชคดีที่ตามปกติ เธอทำงานอย่างมีเหตุผลและซื่อสัตย์ ไหนจะเรื่องที่มักจะมีสาวต้อนรับมากมายในคลับอินทรี ลาออกไปอยู่กับเศรษฐีประจำถิ่น ทางคลับเลยไม่คิดมากอะไร ยอมปล่อยให้เสี่ยวเหลียนลาออกไปแต่โดยดี


 


หลังจากซื้อที่ซุกหัวนอน เสี่ยวเหลียนก็ยังเหลือเงินอีกจำนวนหนึ่งไว้ใช้จ่าย และนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืน ฉินเฟิงเหมือนจะสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์นี้ เธอจึงตัดสินใจมาลองเลือกซื้อดูบ้าง


 


ผลลัพธ์คือเธอได้พบว่า ร้านสินค้าแบรนด์นี้กำลังรับสมัครพนักงานอยู่พอดี เสี่ยวเหลียนจึงตัดสินใจที่จะทำงานที่นี่ทันที โดยหวังว่าเธออาจจะมีโอกาสได้พบเจอกับฉินเฟิง


 


และเธอก็ได้รับโชคที่ว่านั่นจริงๆ ไม่คาดคิดเลย ว่าเธอจะมาเร็วกว่าฉินเฟิงเพียง 10 นาทีเท่านั้น


 


“อ้อ อย่างงั้นหรอ” ฉินเฟิงพยักหน้า แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเสี่ยวเหลียนโกหก


 


เพราะยังไงซะ การที่ไม่ต้องไปทำงานในคลับอินทรีที่มีแต่พวกงูพิษ เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว


 


“เอาล่ะ ในเมื่อเธออยู่ที่นี่ งั้นรบกวนเธอช่วยเลือกชุดที่เหมาะกับเด็กคนนี้ให้หน่อยสิ พวกชุดชั้นในด้วยนะ!” ฉินเฟิงกล่าวด้วยความลำบากใจ พลางชี้ไปทางเสี่ยวไป๋ที่กำลังดึงชายเสื้อเขาอยู่


 


เสี่ยวไป๋หันไปมองรอบๆ


 


ครั้งก่อนที่มันมาที่นี่ เสี่ยวไป๋ยังเป็นแค่จิ้งจอกตัวน้อย ดังนั้น ในสายตาของมันเลยมองเห็นแค่เพียงชุดแต่งงานสัตว์เลี้ยง แต่คราวนี้ มันรู้แล้วว่าเสื้อผ้าของสัตว์สองขาสวยงามเพียงใด


 


อย่างไรก็ตาม แว่นกันแดดสีดำที่มันใส่ ใหญ่และเกะกะลูกตาเกินไป เสี่ยวไป๋จึงถอดแว่นออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่งามล่มเมือง


 


“หนูต้องการตัวนั้น และตัวนั้น!”


 


เสี่ยวไป๋เริ่มชี้ไม้ชี้มืออย่างไม่มีมารยาท


 


“เอาล่ะๆ อยากจะได้อะไรก็ไปบอกพี่สาวพนักงานเถอะ … ” ฉินเฟิงส่งเสี่ยวไป๋ให้กับเสี่ยวเหลียน เดินไปหย่อนก้นลงบนโซฟาเพื่อพักผ่อน


 


เขาเหนื่อยล้านิดหน่อย และอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์


 


เสี่ยวไป๋ไม่ได้วุ่นวายกับฉินเฟิงอีก มันเริ่มเลือกเสื้อผ้าด้วยตัวเอง ก่อนจะเข้าไปในห้องลองชุด


 


ณ จุดนี้ พอเสี่ยวเหลียนได้เห็นเสี่ยวไป๋ชัดๆ จู่ๆเธอก็บังเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา


 


เพราะวัยรุ่นตรงหน้าเธอ เป็นคนที่สวยมากๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังเด็ก แต่ก็งดงาม อีกอย่างเสียงก็ไพเราะน่าฟัง


 


และจากมุมมองที่ฉินเฟิงยอมตามใจเด็กน้อยคนนี้ ก็ยิ่งทำให้เสี่ยวเหลียนรู้สึกอึดอัดในจิตใจ ทว่าปัจจุบันเธอเป็นพนักงานของร้าน ดังนั้นย่อมไม่แสดงนิสัยเสียในส่วนลึกออกมา


 


“คุณหนูน้อย เชิญทางนี้ ไม่ทราบว่าคุณต้องการชุดชั้นในไซต์อะไร ที่นี่ทางเรามีให้เลือกทุกขนาดเลย!”


 


“ไซต์คืออะไรหนูไม่รู้จัก? อื๋อ? แต่ไม่ใช่ว่านายท่านบอกให้พี่สาวพนักงานเป็นคนช่วยเลือกหรอกหรอ?” เสี่ยวไป๋พูดออกมาตรงๆ


 


พอได้ฟัง หน้าอกของเสี่ยวเหลียนก็รู้สึกจุกอย่างบอกไม่ถูก


 


‘นายท่าน?’ คำเรียกนี้มันอะไรกัน? อย่าบอกนะว่ามิสเตอร์ฉินชอบอะไรทำนองนี้?


 


เสี่ยวเหลียนพยายามยิ้มด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “เอ่อ .. ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปลองสวมมันกันก่อนเถอะค่ะ!”


 


ทั้งสองคนเดินกันไปยังห้องลองชุด เสี่ยวเหลียนพับแขนเสื้อขึ้น จัดแจงปลดเสื้อผ้าอย่างช่ำชอง เหมือนคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี


 


แต่หลังจากที่เข้าไปในห้องลองชุด แล้วปลดเสื้อผ้าของเสี่ยวไป๋ เธอกลับพบว่าในปัจจุบัน อีกฝ่ายไม่ได้สวมใส่ชั้นในเลยทั้งบนล่าง ทั้งตัวนอกจากเสื้อนอกแล้ว เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นกระดาษขาวที่ว่างเปล่า


 


‘สภาพแบบนี้ คงไม่พ้นเป็นสินค้าที่พวกคนร่ำรวยซื้อมาเก็บไว้ดูเล่น แต่นี่มันจะมากเกินไปรึเปล่า? ถึงขั้นย้อมขนทั้งตัวให้กลายเป็นสีขาวเนี่ยนะ?


 


แต่เนื่องจากที่อีกฝ่ายคือฉินเฟิง เสี่ยวเหลียนเลยรู้สึกอิจฉาในหัวใจ เธออดไม่ได้ที่จะแสดงออกทางสีหน้า และหลุดถามคำที่ไม่สมควรจะกล่าวออกมา


 


“เสี่ยวไป๋ คุณเรียกมิสเตอร์ฉินว่านายท่านใช่ไหม แล้วคุณปรนนิบัติอะไรให้แก่เขาบ้าง?”


 


เสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแปลกใจ และเริ่มย้อนนึกไปถึงตอนที่ฉินเฟิงกับมันอยู่ด้วยกัน แล้วเอ่ยปากออกมา “ไม่ใช่หรอก เขาต่างหากที่ปรนนิบัติหนู! เขาทั้งช่วยหนูอาบน้ำ เตรียมอาหารให้หนู และซื้อของขวัญให้หนูเมื่อหนูโกรธ!”


 


เอ้า!? สรุปฉินเฟิงกลายเป็นคนรับใช้ไปซะงั้น?


 


สีหน้าของเสี่ยวเหลียนบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย


 


‘นังเด็กนี่ .. กำลังจงใจโอ้อวดฉันอยู่ใช่ไหม?’


 


เสี่ยวเหลียนอดไม่ได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “นั่นไม่ถูกต้อง คุณต่างหากที่สมควรปรนนิบัติเจ้านาย แต่น่าเสียดายที่คุณยังเด็กเกินไป ตอนนี้ฉันเกรงว่าคุณคงไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้!”


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ เสี่ยวเหลียนก็มองสายตาเหยียดๆลงบนหน้าอกที่แบนราบราวกับพื้นสนามบินของเสี่ยวไป๋


 


เสี่ยวไป๋เดิมเป็นสัตว์ร้าย ดังนั้นการรับรู้ของมันจึงเฉียบแหลมเป็นอย่างมาก ในขณะนี้ หากมันยังไม่รู้ตัวว่าเสี่ยวเหลียนกำลังแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ มันคงเป็นแค่ตัวโง่งม


 


น้ำเสียงของมันกลายเป็นเย็นชา แม้จะไม่ได้แฝงความรู้สึกโกรธใดๆ หากแต่ก็ยังปลดปล่อยแรงกดดันที่คล้ายกับของฉินเฟิงออกมา


 


“พี่สาวหมายความว่ายังไง?”


 


เสี่ยวเหลียนไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายใดๆ กล่าวแดกดันสวนกลับไป “เด็กน้อย ร่างกายที่ผอมแห้งและแบนราบของเธอ มันไม่สามารถทำให้มิสเตอร์ฉินพอใจได้หรอก เสื้อผ้าที่ใส่ได้ก็มีจำกัด ที่เลือกมามันไม่เหมาะกับตัวเธอเลยไม่เหมือนกับพี่สาว จงเบิ่งตาดูให้ดี!”


 


เต่งตึง!


 


เสี่ยวเหลียนปลดกระดุม จงใจยื่นหน้าอกของตัวเองลงจี้หน้าเสี่ยวไป๋ เปิดเผยถึงความอวบอิ่มของหญิงสาว


 


เสี่ยวไป๋เผยสีหน้าเย้ยหยัน


 


“มันก็แค่ก้อนเนื้อสองก้อนบนหน้าอกไม่ใช่หรอ? แต่ดูพี่สาวจะภูมิใจกับมันมากเลยนะ … ก็เอาสิ! ของแค่นี้คิดว่าหนูจะทำไม่ได้หรอ?”


 


ขณะกล่าว เสี่ยวไป๋ก็เริ่มกระตุ้นใช้ทักษะเปลี่ยนรูป พริบตานั้นหน้าอกของมันพลันพองโตขึ้น เปลี่ยนจากลานสนามบินกลายเป็นลูกแตงโมอย่างกระทันหัน!


 


เสี่ยวเหลียนตะลึงงัน สตั้นไปครู่หนึ่ง พอได้สติก็เริ่มกรีดร้อง “ส .. ส ..สัตว์ประหลาด!!”


 


ฉินเฟิงที่กำลังเอนกายหลับตา ทำสมาธิอยู่ ลืมตาขึ้นตื่นขึ้นทันที ผุดลุกพุ่งตรงไปทางห้องลองชุดด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็พบกับเสี่ยวเหลียนที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะสลับไปมองเสี่ยวไป๋ที่เชิดอก โชว์มันด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา


 


ภาพตรงหน้า ทำเอาฉินเฟิงแทบจะทนแรงกระตุ้นนี้ไม่ไหว เกือบจะต้องเอาหัวตัวเองไปโขกกับกำแพงเพื่อระงับสติอารมณ์!


Ch.66 – โรคมืดระบาด

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.66 – โรคมืดระบาด


 


“อย่าเพิ่งโวยวายไป จริงๆแล้วเด็กคนนี้คือผู้ใช้พลังประเภทเปลี่ยนร่างชั้นสูง เรื่องอะไรแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ!” ฉินเฟิงเร่งกล่าว


 


ความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของเสี่ยวเหลียน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอไม่ยินดีจะเชื่อในคำพูดของฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงกล่าวย้ำ “ไม่ต้องพูดแล้ว อันที่จริงเรื่องนี้เธอไม่ควรรู้ด้วยซ้ำ ออกไปก่อนเถอะ!”


 


“เข้าใจแล้ว มิสเตอร์ฉิน!”


 


ในหัวใจของเสี่ยวเหลียน ‘มิสเตอร์ฉินนี่ช่างเป็นคนที่เต็มไปด้วยความลึกลับจริงๆ’


 


เท่าที่ทราบ เธอรู้ว่าฉินเฟิงเป็นเพียงวัยรุ่นจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และเพิ่งได้รับการปลุกพลังแค่ 1 เดือนเท่านั้น แต่ปัจจุบันเขากลับครอบครองความแข็งแกร่งอย่างมหาศาล แล้วไหนจะมีเด็กผู้หญิงประหลาดติดตามมาด้วยอีก แบบนี้ไม่ใช่หมายความว่าในอนาคตเขาอาจจะได้กลายเป็นสุดยอดผู้มากพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมหรอกหรือ?


 


ชั่วเวลานั้นเอง สมองของเสี่ยวเหลียนก็เริ่มปวดตุบๆ คล้ายกับมีข้อมูลมากมายเกินไปให้กลั่นกรอง ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงที่อยู่ในห้องลองชุดก็กำลังพบเจอกับปัญหาใหญ่


 


“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?” ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


 


เสี่ยวไป๋กล่าว “ก็สัตว์สองขานั่นหัวเราะเยาะหนู บอกว่าต้องหน้าอกโตเท่านั้นถึงจะปรนนิบัตินายท่านได้ แถมยังด่าว่าต่อให้ใส่ชุดพวกนี้ไป หนูก็ดูไม่สวยอยู่ดี!”


 


เสี่ยวไป๋ในเวลานี้ เรียนรู้ที่จะสวมใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเองแล้ว ปัจจุบันมันสวมชุดคอวีทับบนร่างกาย เปิดเผยให้เห็นร่องลึกใจกลางสองเต้า ฉินเฟิงรู้สึกว่าจมูกของเขาเริ่มร้อน เจ้าตัวยกมือขึ้นปิดมัน เพื่อให้มั่นใจว่าเลือดกำเดาจะไม่ไหลออกมา


 


‘เมื่อกี้เสี่ยวเหลียนพูดอะไรออกมากันแน่นะ!?’


 


“หยุดได้แล้ว ตอนนี้ใบหน้าของแก มันไม่สมส่วนกับรูปร่าง อย่าไปฟังคนอื่น แล้วคล้อยตามง่ายๆสิ!”


 


หน้ายังเด็กประถม แต่นมมหาลัยแบบนี้ ฉินเฟิงจะไม่กังวลได้อย่างไร!


 


“อย่างงั้นหรอ? แต่หนูว่าแบบนี้ก็น่ารักดีนะ!”


 


เสี่ยวไป๋เริ่มแสดงสีหน้าออดอ้อนราวกับเด็กใจแตก


 


“เอาล่ะๆ ถ้างั้นก็ช่วยปรับขนาดให้เล็กลงอีกหน่อย”


 


“นี่ .. ก็ได้!” เสี่ยวไป๋รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ย่อขนาดหน้าอกลง


 


“เล็กลงกว่านี้อีก” ฉินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


 


“งั้นประมาณนี้ล่ะ?”


 


ฉินเฟิงยื่นมือออกไป สัมผัสถึงขนาดของมัน และพยักหน้า “เอาล่ะ โอเคแล้ว”


 


เสี่ยวไป๋หันไปมองกระจก พลางสำรวจร่างกายตัวเองอย่างรอบคอบ


 


“อ๋อ แสดงว่าตอนแรกมันตู้มเกินไปหน่อยนี่เอง เข้าใจแล้ว!”


 


ฉินเฟิง “ … ”


 


จากนั้น ฉินเฟิงก็ซื้อชุดชั้นใน กับเสื้อผ้ามากมายสำหรับเสี่ยวไป๋ และแล้ว … การช็อปปิ้งที่แทบจะทำเอาหัวใจวายในหลายๆความหมายก็จบลง


 


“เสี่ยวเหลียนบอกว่าร่างของเธอเด็กเกินกว่าจะปรนนิบัติอย่างงั้นหรอ … อันที่จริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวหรอก –เพ้ยยย!”


 


ฉินเฟิงระงับเลือดลมที่กำลังระอุ ตั้งแต่ที่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเกิดความปรารถนาอื่นนอกจากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้


 


แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเสี่ยวไป๋ เจ้าตัวก็เร่งสลายความคิดดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว


 


“มาเถอะ ฉันจะพาแกไปผ่านพิธีการ!”


 


ในเมื่อเสี่ยวไป๋สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ฉินเฟิงเลยก็ตั้งใจที่จะมอบสถานะจริงๆให้แก่มัน


 


และสถานะที่ว่านี้ สามารถช่วยมอบสถานะแก่มันได้อย่างง่ายดาย -ฉินเฟิงพาเสี่ยวไป๋กลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า


 


เมื่อวานนี้ คำขู่ของพวกยามยังคงรบกวนใจของฉินเฟิง ดังนั้นฉินเฟิงเลยคิดว่ามันคงจะดีเหมือนกัน ถ้ากลับไปเยี่ยมเยือนสถานเลี้ยงเด็กอีกครั้ง


 


สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ายังคงเต็มไปด้วยพวกเด็กๆ อย่างไรก็ตาม เขากลับพบว่าเด็กๆมีท่าทีไร้ชีวิตชีวา สีหน้าก็ดูหม่นเล็กน้อย


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


 


เขาสับสนเล็กน้อย แต่พอเด็กๆเห็นฉินเฟิง พวกเขาก็เริ่มแสดงออกถึงความสุข เพราะมีหลายคนที่จำฉินเฟิงได้


 


“นั่นพี่ชายที่มาส่งเนื้อนี่นา!”


 


“พี่ชายฉิน!”


 


“สวัสดีพี่ชายฉิน!”


 


“สวัสดีทุกคน”


 


ฉินเฟิงดึงเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งมา และลองเอามืออังหน้าผากของอีกฝ่าย


 


“พวกเธอทุกคนกินเนื้อสัตว์กันหมดรึยัง?”


 


“ผมกินมันหมดแล้ว!”


 


“แล้วพวกเธอได้กินมันไปคนละกี่ชิ้น?”


 


เด็กชายที่เขาถามอายุเพียง 3-4 ขวบ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ดังนั้นนับประสาอะไรที่เด็กน้อยจะไปจำได้ว่าได้กินเนื้อสัตว์ลงไปกี่ชิ้น


 


อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเด็กที่เข้ามามุงฉินเฟิง มีคนนึงที่เป็นเด็กโต เขาตอบว่า “พวกเรากินมันคนละสิบชิ้น หลังจากกินหมด ทุกคนก็แข็งแรงขึ้น!”


 


ฉินเฟิงบีบไหล่ของเด็กโต และพยักหน้าเห็นด้วย เด็กโตคนนี้มีความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจริงๆ ทว่าสีหน้าของเด็กโตก็ดูมืดหม่นเช่นกัน


 


“นายท่าน พวกเขาติดเชื้อจากโรคระบาดมืด!” เสี่ยวไป๋กล่าว


 


ฉินเฟิงได้ยินก็ชะงักไป


 


จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและกล่าว “นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”


 


ก่อนที่เขาจะเกิดใหม่อีกครั้ง ฉินเฟิงไม่เคยพบเจอกับประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เขารู้เพียงว่าเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าติดเชื้อไวรัส รอดมาได้เพียง 1 จากใน 10 ทว่าในชีวิตนี้ ฉินเฟิงได้ดูดกลืนศิลานรกไปล่วงหน้าแล้ว แถมยังออกไล่ล่าสัตว์ร้ายที่ติดเชื้อไปจนหมดสิ้น แล้วนี่พวกเด็กๆยังติดเชื้อได้อย่างไร?


 


“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่านะนายท่าน ตราบใดที่นายท่านกลืนกินรูนมืดเหล่านี้ โรคระบาดมืดก็จะหายไปเอง!” เสี่ยวไป๋กล่าว เนื่องจากมันได้รับสืดทอดภูมิปัญญาสัตว์ร้ายมา ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่มันจะทราบถึงเรื่องนี้


 


แม้เสี่ยวไป๋จะไม่เข้าใจเกี่ยวกับสามัญสำนึกของมนุษย์ ทว่าในเรื่องรูน ที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการศึกษา มันอาจจะเทียบเคียงไม่ได้เลยกับภูมิปัญญาที่เสี่ยวไป๋ได้รับสืบทอดมา!


 


ฉินเฟิงพอได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ เขาก็ปฏิบัติตาม ปลดปล่อยพลังพิเศษกลืนกินออกไป


 


เด็กๆเหล่านี้ไม่เข้าใจสิ่งที่ฉินเฟิงกับเสี่ยวไป๋พูด แต่ทั้งหมดต่างก็กำลังจ้องมองเสี่ยวไป๋ด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


“พี่สาวสวยจัง เหมือนนางฟ้าเลย!”


 


เสีย่วไป๋เผยรอยยิ้มแย้มที่ก่อให้เกิดความพินาศล่มเมือง เด็กๆพลันเลิกสนใจฉินเฟิงผู้มอบเนื้อทันที


 


ระหว่างนั้น ฉินเฟิงก็ไม่ได้หยุดยั้งพลังดูดกลืนของเขา เริ่มซึมซับพลังงานจากบริเวณโดยรอบ


 


ทว่าคราวนี้ฉินเฟิงไม่ได้หลับตา แต่นั่นก็เพราะเขาไม่จำเป็นต้องมองเข้าไปข้างใน เพราะตอนนี้เขาสามารถมองเห็นรูนมืดนับไม่ถ้วนหลุดลอกออกมาจากร่างกายของเด็กๆ ทีละเล็กทีละน้อย แล้วไหลเข้าไปในจิตสำนึกของเขา


 


ใบหน้ายิ้มแย้มของเหล่าเด็กๆเริ่มปรากฏรอยเลือดฝาดขึ้น สีหน้ายินดีเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าการได้มองเสี่ยวไป๋ เป็นเหมือนกับการได้รับพรประทานจากแสงศักดิ์สิทธิ์ -ความอ่อนแอและความรู้สึกไม่สบายในร่างกายของพวกเด็กๆหายไปจนหมดสิ้น!


 


“ฟิ้ว!”


 


ความมืดมนบนใบหน้าของเด็กๆได้หายไปไม่มีหลงเหลือ ฉินเฟิงถอนหายใจโล่งอก ในเวลาเดียวกัน กลับเป็นสีหน้าของเขาเองที่หม่นทะมึนลง


 


นี่จะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ มิฉะนั้นเด็กๆจะติดเชื้อได้อย่างไร?


 


ฉินเฟิงตัดสินใจทันที ว่าหลังจากเสร็จธุระ เขาจะออกจากเมือง กลับไปดูในสถานที่ๆศิลานรกร่วงตกลงมาเมื่อไม่กี่วันก่อนอีกครั้ง


 


“มาเถอะเสี่ยวไป๋”


 


ฉินเฟิงพาเสี่ยวไป๋บอกลา พวกเด็กๆไม่ยอมที่จะจากกัน แต่สุดท้ายเขาก็หลุดจากวงล้อมมาได้ และมาถึงสำนักงานของผู้อำนวยการ


 


“ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เองฉินเฟิง!”


 


“สวัสดีครับผู้อำนวยการ”


 


ฉินเฟิงทักทายผู้อำนวยการ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปลอดภัยดี เขาก็รู้สึกวางใจ


 


“เอาล่ะ เอาล่ะ ว่าแต่สาวน้อยทรงเสน่ห์คนนี้คือใครกัน? อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนของเธอ!” หลินเต๋อหรงรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเสี่ยวไป๋ แต่ก็อดแซวฉินเฟิงไม่ได้


 


“นี่ … ” ฉินเฟิงกำลังจะตอบปฏิเสธ แต่ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าสถานะนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน


 


เพราะทุกท่านคงไม่คิดจะให้เขาบอกผู้อำนวยการออกไปว่า เสี่ยวไป๋มีสถานะเป็นสัตว์เลี้ยงหรอกใช่ไหม?


 


และนี่เอง ก็จะทำให้เสี่ยวไป๋ไม่สามารถอ้าปากบอกคนอื่นๆได้ว่าฉินเฟิงเป็นนายท่านของมัน ในเวลาที่ทักทายกับคนอื่นๆ


 


ก็อย่างที่ทุกคนรู้ ว่าเสี่ยวไป๋น่ะปากไว คิดอะไรก็พูดมันออกมาตรงๆ


 


“อ่า ความจริงแล้วมันเป็นแบบนี้ครับผู้อำนวยการ ผมบังเอิญได้ไปพบเธอในทุ่งล่า อันที่จริงแล้วเธอเป็นผลงานทดลองขององค์กรต่อต้านมนุษยชาติ ไม่เชื่อคุณก็ลองดูนี่” ฉินเฟิงเปิดหมวกของเสี่ยวไป๋ออก เผยให้เห็นถึงคิ้วและผมยาวสีขาวที่สาดแสงสีเงินจางๆ


 


“ยังไงก็ตาม เธอไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของมนุษย์เลย ตอนนี้เธออาศัยอยู่กับผม ดังนั้นผมเลยพาเธอมา และกะว่าจะมอบสถานะมนุษย์ให้แก่เธอ หวังว่าผู้อำนวยการจะช่วยจัดการในเรื่องนี้”


 


นี่คือคำโกหกที่ฉินเฟิงได้กลั่นกรองมาก่อนแล้ว


 


ประโยคข้างต้น สามารถอธิบายเรื่องสีผมของเสี่ยวไป๋ได้อย่างสมบูรณ์ และในเรื่องที่เธอไม่มีสามัญสำนึกของมนุษย์


 


ดวงตาของเสี่ยวไป๋แสดงออกถึงความไร้เดียงสา เมื่อสบตากับชายชราตรงหน้า มันก็ย้อนนึกไปว่าเคยพบเจอกับหลินเต๋อหรงมาก่อน ในตอนที่มันหลบซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าสะพายหลัง


Ch.67 – ไป๋หลี จิ้งจอกขาว

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.67 – ไป๋หลี จิ้งจอกขาว


 


“เจ้าพวกสารเลวองค์กรร้าย!” หลินเต๋อหรงสำรวจรูปลักษณ์ของเสี่ยวไป๋ ในสมองนึกคิดไปว่าอีกฝ่ายมีเอกลักษณ์เกินกว่าจะถือว่าเป็นมนุษย์ จากนั้นก็เริ่มจินตนาการเลยเถิดไปไกลถึงข่าวลือที่พวกองค์กรร้ายมักจะทดลองกับมนุษย์และสัตว์


 


“วางใจเถอะ ฉันจะช่วยมอบสถานะให้กับเด็กคนนี้เอง!”


 


หากเป็นการขอความช่วยเหลือในกรณีแบบนี้ หลินเต๋อหรงย่อมยินดีเปิดประตูให้ความร่วมมือ นับประสาอะไรกับที่ฉินเฟิงเป็นคนเพิ่งจะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป


 


ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงเคยกลับมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้ง เพื่อบริจาคเนื้อนายพลสัตว์ร้าย


 


ดังนั้นสถานะในปัจจุบันของฉินเฟิงจึงเปลี่ยนไป เขามิใช่เด็กกำพร้าอีกแล้ว หากแต่มีสถานะเป็นผู้มีพระคุณ!


 


ซึ่งสิ่งที่เขาขอมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย หลินเต๋อหรงจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ


 


“จริงสิ ว่าแต่จากนี้ไปเธอจะตั้งชื่อให้กับเด็กคนนี้ว่าอะไร? แม่สาวน้อยมีชื่ออยู่แล้วรึเปล่า?” หลินเต๋อหรงเอ่ยถาม


 


พอได้ยินประโยคนี้ เสี่ยวไป๋ก็พยักหน้า และตอบกลับไปตามธรรมชาติ


 


“หนูมีชื่อว่าเสี่ยวไป๋!” (ขาวน้อย)


 


สีหน้าของหลินเต๋อหรงกลายเป็นโกรธขึ้นมาทันที เพราะนั่นมันชื่อหมาไม่ใช่หรือ?


 


แต่เขาก็ยังฝืนยิ้ม และเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฉันว่าพวกเรามาช่วยกันตั้งชื่อใหม่ที่มันดีกว่านี้ดีกว่านะ”


 


เสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงรู้สึกเขินขึ้นมาทันที ก็ตอนแรกที่เขาเจอเสี่ยวไป๋ ดูยังไงมันก็เหมือนกับหมาปอมเลยนี่นา เขาก็เลยตั้งชื่อมันไปแบบนั้น แต่ใครจะรู้ ว่าจริงๆแล้วมันคือจิ้งจอก ไหนจะขนาดตัวที่ตอนนี้โตขึ้นแล้วอีก พอมาย้อนคิดดูถึงเรื่องที่ตนตั้งชื่อนี้ให้แก่มัน เขาก็อดอายไม่ได้จริงๆ


 


ฉินเฟิงมองเข้าไปในดวงตาแวววาวของเสี่ยวไป๋ วิสัยทัศน์ตรึงอยู่กับจิ้งจอกน้อย บังก่อนประกายแสงวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ


 


“งั้นตั้งชื่อใหม่ว่าไป๋หลีก็แล้วกัน! หลีที่มาจากคำว่าแก้ว แก้วที่ระยิบระยับแวววาว!”


 


“ไป๋หลี?” หลินเต๋อหรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายพยักหน้า “โอเค อันนี้ผ่าน!”


 


ตกลงกันเสร็จ หลินเต๋อหรงก็หันไปจัดแจงข้อมูล ส่วนฉินเฟิงยื่นมือไปสัมผัสกับผมยาวของเสี่ยวไป๋ แม้ว่ามันจะไม่มีขนนุ่มฟูเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็เรียบเนียนเป็นอย่างมาก


 


“หลังจากนี้ไป ถ้าจะแนะนำตัว ให้บอกไปว่าชื่อไป๋หลี ถ้ามีใครถามว่าเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ก็ขอให้บอกไปว่าเป็นแฟนของฉินเฟิงนะ เข้าใจไหม?”


 


“อื้อ!” เสี่ยวไ- ไม่สิ ตอนนี้คือไป๋หลีแล้ว ไป๋หลีพยักหน้า เข้าใจว่านี่คือวิธีที่ฉินเฟิงทำเพื่อไม่อยากให้มันเรียกเขาว่านายท่านหรืออะไรทำนองนั้น


 


‘คำๆนี้ไม่สามารถเอ่ยได้ในหมู่มนุษย์ใช่หรือไม่? ไม่น่าแปลกใจเลยที่สัตว์สองขาตัวเมียในห้องลองเสื้อ เกิดท่าทีตอบสนองแปลกออกไปเมื่อได้ยินมัน’


 


ไป๋หลีมีสถานะกลายเป็นแฟนของเจ้านายโดยอัตโนมัติ


 


ไม่นานนัก หลินเต๋อหรงก็จัดแจงข้อมูลจนเสร็จสิ้น เขาทำการป้อนข้อมูลลงในอุปกรณ์สื่อสารที่ฉินเฟิงซื้อมาใหม่ แล้วนำไปใส่ข้อมือของไป๋หลี


 


ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!


 


เสียงอุปกรณ์ดังขึ้น แต่ไม่ได้มาจากทางไป๋หลี มันเป็นของฉินเฟิง


 


“ฉินเฟิง วันนี้นายไม่ได้มาโรงเรียนหรอ? เป็นอะไรรึเปล่า เล่นโดดเรียนซะวันแรกของภาคเรียนเลยนะ”


 


น้ำเสียงของโจวฮ่าวฟังดูเป็นกังวล เขาพาลคิดไปว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉินเฟิง


 


วันนี้โจวฮ่าวเดินทางไปโรงเรียนด้วยตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าฉินเฟิงจะมีรถล่องเวหา แต่โจวฮ่าวรู้สึกว่าในย่านแออัด ช่วงเช้ามีผู้คนชุกชุมอยู่มากเกินไป ถ้าให้ฉินเฟิงขับรถมามันคงลำบาก เขาเลยบอกฉินเฟิงมาไม่จำเป็นต้องมารับก็ได้


 


เพราะยังไงซะ เขาคือสหายที่เปรียบดั่งพี่น้อง แต่ไม่ใช่แฟน!


 


เพียงแต่ว่าโจวฮ่าวไม่คาดคิดเลย ว่าพอเขาไปหาฉินเฟิงในช่วงพักเที่ยง กลับไม่เจออีกฝ่าย หลังจากที่ลองเอ่ยปากถามคนอื่นๆ ถึงได้รู้ว่าฉินเฟิงยังไม่ได้มาเรียน


 


และนี่เอง คือเหตุผลที่โจวฮ่าวโทรมาหาฉินเฟิง


 


“พอดีว่ามีสถานการณ์เร่งด่วนที่ต้องจัดการน่ะ!” ฉินเฟิงอธิบายอย่างคลุมเครือ


 


“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ยังไงก็ตาม ตอนบ่ายนายต้องมานะ เห็นเขาบอกกันว่าจะมีประชุมระดับชั้น!” โจวฮ่าวเตือน


 


“โอเค”


 


หลังจากวางสาย ฉินเฟิงก็กล่าวคำลากับหลินเต๋อหรง แต่ก่อนจะจากไป ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ผู้อำนวยการ ก่อนหน้านี้ผมได้ไปสู้บนเวทีประลองใต้ดินมา เพื่อที่จะฝึกฝนพัฒนาตนเอง แต่พอชนะได้เงินมากๆเข้า คนพวกนั้นก็ใช้เรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาข่มขู่ ผมกลัวว่าอาจจะสร้างปัญหาให้กับคุณโดยไม่ตั้งใจ! แต่ขอให้มั่นใจ ปัญหาที่ว่าจะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว!”


 


เนื่องจากครั้งก่อนฉินเฟิงได้เห็นถึงฝีมือของหลินเต๋อหรงมาบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายในฐานะชายชราที่ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้านศัตรู


 


และในเมื่อทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นคงจะเป็นการดีกว่า ถ้าอะไรบางอย่างจะพูดมันออกไปตรงๆ


 


“เวทีประลองใต้ดิน?” สีหน้าของหลินเต๋อหรงอดไม่ได้ที่จะหนักอึ้ง แต่เขาก็ยังไม่ถึงขั้นเอ่ยปากดุฉินเฟิงในทันที


 


ชายชราพาลย้อนนึกไปถึงการต่อสู้ในครั้งก่อนของฉินเฟิง หลินเต๋อหรงไม่คิดดูถูกฝีมือของฉินเฟิงเช่นกัน


 


“ฉินเฟิง ถ้าเธอรู้สึกว่าตัวเองแกร่งพอ ก็ทำต่อไปเถอะ ส่วนปัญหาเรื่องคำขู่ เธอไม่ต้องไปฟังลมปากของพวกเขา เจียงเส้าหยางไม่สามารถทำอะไรฉันได้หรอก!” หลินเต๋อหรงกล่าว


 


“เจียงเส้าหยาง?” ฉินเฟิงทวนซ้ำ เขาไม่เคยได้ยินชื่อของคนๆนี้มาก่อน แต่หากฟังจากปากของหลินเต๋อหรง อีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นคนแปลกหน้าใช่หรือไม่?


 


“อืม เขาคือหัวหน้าของคลับอินทรี มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F7 แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขายังคงด้อยกว่าเลเวลที่เป็นอยู่ นอกจากนี้ เขายังมีบุคลิกเป็นคนอารมณ์ร้อน เธอจะต้องระวังตัวให้ดี!” หลินเต๋อหรงอธิบาย


 


“ครับ! ผมเข้าใจแล้ว ผู้อำนวยการ!”


 


หลังจากบอกหลินเต๋อหรง ฉินเฟิงก็พาไป๋หลีไปโรงเรียน


 


“เสี่ยวไป๋ แกพอจะสามารถเปลี่ยนร่างกลับไปในรูปลักษณ์จิ้งจอกน้อยเหมือนคราวก่อนได้ไหม?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม เพราะหากเสี่ยวไป๋ไปโผล่กลางโรงเรียนในสภาพนี้ ฉินเฟิงคงไม่สามารถพาตัวมันเข้าไปด้วยได้


 


ไป๋หลีกลอกตามองบน


 


“นายท่านช่างเป็นมนุษย์ที่มีปัญหามากมายเหลือเกิน!”


 


ว่าจบ ร่างกายของเสี่ยวไป๋ก็เริ่มหดเล็กลง ในพริบตา มันก็กลับกลายมาเป็นรูปลักษณ์จิ้งจอกขนาดเท่าสองฝ่ามือ


 


แน่นอน ว่าหากเป็นในโหมดพร้อมรบ เสี่ยวไป๋จะขยายขนาดเป็นครึ่งเมตรเอง


 


จิ้งจอกน้อยรีบคลานออกจากกองเสื้อผ้าผู้หญิง โดยมีชุดชั้นในห้อยติดอยู่บนหัวของมัน


 


ดวงตาของฉินเฟิงยิ้มหยี เขาอุ้มเสี่ยวไป๋ แล้ววางลงบนไหล่ตน ก่อนจะลงจากรถ แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ของสถาบันระดับสูง


 


ระหว่างทาง เขาก็ได้พบกับอาจารย์เฉิงเฉาที่เคยทำการทดสอบแก่ตนเอง


 


“ฉินเฟิง ทำไมเธอไม่มาเรียนในช่วงเช้า?” เมื่อเห็นฉินเฟิง เฉิงเฉาอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม


 


ฉินเฟิงไม่คิดเลย ว่าหลังจากที่ผ่านกระบวนการศึกษาต่างๆมาจนหมดสิ้นแล้วในชีวิตก่อนหน้า การกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ดันมีคนต้องมาคอยจับผิดตนเองตลอดเวลา


 


ฉินเฟิงอึดอัดใจเล็กน้อย เอ่ยปากออกไป “พอดีว่าผมมีเรื่องนิดหน่อยก็เลยมาสาย ว่าแต่อาจารย์รู้ได้ยังไงครับ ว่าผมจะมาเข้าเรียนในช่วงเวลานี้?”


 


เฉิงเฉายิ้ม “จริงๆฉันก็คิดว่าเธอจะไม่มาแล้วเหมือนกัน แต่ในฐานะครูประจำชั้น ฉันต้องมีความรับผิดชอบต่อนักเรียน เลยตัดสินใจมายืนรอที่นี่ มาเถอะ ในช่วงบ่ายยังเหลือบทเรียนเรื่องธาตุอีกคลาสหนึ่ง จากนั้นก็จะเป็นการประชุมชั้นปี คราวนี้อย่าโดดเชียวนะ เพราะถึงหลักสูตรของสถาบันระดับสูงจะง่าย แต่การจะผ่านภาคการศึกษามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”


 


“ครับอาจารย์!”


 


บทเรียนของฉินเฟิงที่เฉิงเฉาบอก คือการสอนเกี่ยวกับหลักพื้นฐานอบิลิตี้ ดังนั้นในฐานะอาจารย์ การเป็นห่วงฉินเฟิงจึงเป็นเรื่องปกติ


 


เมื่อทั้งสองมาถึงชั้นเรียน ก็พบกับเหล่าวัยรุ่นทั้งชายหญิงอายุ 16 ปี ที่เพิ่งจบการศึกษาจากสถาบันระดับกลาง กำลังนั่งรอเฉิงเฉาอย่างเป็นระเบียบ


 


เมื่อเห็นเด็กๆ เฉิงเฉาก็เผยรอยยิ้มแย้มออกมา


 


เด็กๆช่างน่ารักกันซะจริงๆ!


 


“ฉินเฟิง อันดับแรกเธอก็แนะนำตัวเองก่อน แต่ทุกคนแนะนำตัวกันไปหมดแล้ว ดังนั้นเอาไว้เธอค่อยทำความรู้จักกับพวกเขาในภายหลัง”


 


ฉินเฟิงพยักหน้า มองไปทางฝูงชน ชัดเจนว่าคลาสผู้ใช้อบิลิตี้มีขนาดเล็กมาก เท่าที่กะจากสายตามีเพียง 21 คน ฉินเฟิงจดจำหน้าของพวกเขาได้ทั้งหมดในคราวเดียว เพียงแต่ยังไม่รู้จักชื่อ แต่เขาทราบดี ว่าในอนาคต ทั้งหมดจะต้องกลายเป็นตัวตนสำคัญในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ


 


“ฉันชื่อว่าฉินเฟิง จบการศึกษาจากสถาบันระดับกลางที่สิบ ฉันไม่มีคำแนะนำตัวที่พิเศษอะไรมากมาย แต่ฉันอยากจะแนะนำคู่หูของตัวเองให้ได้รู้จัก!” ฉินเฟิงตบลงบนก้อนกลมๆสีขาวบนไหล่เขา


 


“นี่คือสัตว์ร้ายที่ทำสัญญากับฉัน มันแข็งแกร่งมาก ฉันหวังว่าทุกคนจะไม่พยายามที่จะสัมผัสมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น และจะเป็นการที่ดีที่สุดหากไม่เข้าใกล้มัน มิฉะนั้นบางทีสิ่งที่พวกเราไม่ต้องการจะพบเจอ อาจจะเกิดขึ้นก็ได้!”


Ch.68 – เติ้งเหนียนผู้ใช้อบิลิตี้แสง

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.68 – เติ้งเหนียนผู้ใช้อบิลิตี้แสง


 


ที่ฉินเฟิงกล่าวออกมา จริงๆแล้วดูจะเป็นคำเตือนซะมากกว่าการแนะนำตัว


 


เมื่อเสี่ยวไป๋อยู่ในรูปลักษณ์ของจิ้งจอกน้อย มันจะไม่ยินดีถูกสัมผัสจากมนุษย์คนอื่น ส่วนตอนที่อยู่ในรูปลักษณ์มนุษย์ ฉินเฟิงยิ่งแทบจะไม่อยากให้ใครเฉียดเข้ามาใกล้มัน


 


จึงย่อมเป็นธรรมดา ที่เขาไม่ต้องการให้คนอื่นๆปฏิบัติกับเสี่ยวไป๋เหมือนสุนัข


 


อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่นๆ การแสดงออกของฉินเฟิงกลับกลายเป็นหยิ่งผยองอย่างสิ้นเชิง


 


นักเรียนบางคนที่เริ่มคุ้นเคยกัน เริ่มจับกลุ่มพึมพำขึ้นทันที


 


“นั่นมันการแนะนำตัวบ้าอะไร? มาสายแท้ๆแต่กลับหยิ่งผยองสิ้นดี!”


 


“มันก็แค่สัตว์เลี้ยงไม่ใช่รึไง?”


 


“สถาบันระดับกลางที่สิบ? -นั่นมันโรงเรียนในเขตสลัมไม่ใช่หรอ พวกที่จบมามีแต่เด็กกำพร้าไม่ก็ขอทานทั้งนั้น!”


 


ในพริบตา สายตาของฝูงชนก็เผยถึงความรังเกียจและหยามหยั่น พวกเขาเกลียดชังฉินเฟิงตั้งแต่แรกพบ


 


แต่พวกเขาไม่มีใครรู้เลย ว่านี่คือผลลัพธ์ที่ฉินเฟิงต้องการ มิฉะนั้นแล้วเขาจะเอ่ยปากบอกถึงสถาบันระดับกลางที่สิบของตัวเองทำไม ในความเป็นจริง สำหรับเขตเฉิงเป่ย ไม่ว่าจะสถาบันระดับกลางลำดับไหนก็เหมือนๆกัน แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของโรงเรียนมันอยู่กันคนละแห่ง ดังนั้นนักเรียนในแต่ละที่ก็ย่อมแตกต่างกันออกไป ในส่วนของสถาบันที่สิบ ที่ตั้งมันอยู่รอบนอกชายแดนทางตอนเหนือ อยู่ในชุมชนแออัด ใกล้ๆกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สภาพแวดล้อมของโรงเรียนก็ค่อนข้างเลวร้าย


 


ฉินเฟิงผู้ซึ่งอยู่ในสถานที่รอบนอก จึงถูกปฏิเสธ แปลกแยกจากนักเรียนคนอื่นๆทันที


 


เฉิงเฉารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาค้นพบแล้วว่าฉินเฟิงมีสกิลในการหาเหาใส่หัวที่ไม่เลวเลยจริงๆ


 


“เอาล่ะๆ ฉินเฟิง เธอไปหาที่นั่งเถอะ พวกเราจะได้เริ่มเรียนกันสักที”


 


โชคยังดีที่ที่นั่งส่วนใหญ่ในชั้นเรียนยังคงว่างอยู่ แต่แถวหน้าถูกจับจองหมดแล้ว ดังนั้นฉินเฟิงจึงเลือกไปนั่งริมหน้าต่าง


 


เมื่อทุกคนพร้อม เฉิงเฉาก็เปิดอุปกรณ์ฉายภาพ และเริ่มทำการสอน


 


“การเข้าร่วมในชั้นเรียนคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเธอทุกคนคือนักเรียนที่สามารถปลุกแก่นอบิลิตี้ให้ตื่นขึ้นมาได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเราจะเรียนรู้กันในวันนี้ก็คือ ภาพรวมของอบิลิตี้ ต่อด้วยการบรรยายเกี่ยวกับพื้นฐานของรูน”


 


“หลังจากเกิดภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ใช้อบิลิตี้ก็ถือกำเนิดขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยอบิลิตี้เหล่านั้นจะแยกออกเป็นสิบประเภท ได้แก่ทอง , น้ำ , ไม้ , ดิน , ไฟ , ลม , สายฟ้า , น้ำแข็ง ,แสง และความมืด ซึ่งแต่ละอันจะเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งตามลำดับ”


 


“ในอบิลิตี้จะประกอบไปด้วยรูน ซึ่งธาตุของรูนทั้งสิบจะก่อกำเนิดขึ้นจากฟ้าดิน และมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก … ”


 


“ถ้าพวกเธอต้องการจะใช้งานอบิลิตี้ พวกเธอก็จำเป็นต้องดูดซับรูน โดยกระบวนการดังกล่าวมีอยู่สองวิธี”


 


“หนึ่งคือการดูดซับรูนจากฟ้าดิน ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ความยากลำบากในการดูดซับก็จะแตกต่างเช่นกัน”


 


“สองคือการออกล่าสัตว์ร้ายที่มีธาตุเดียวกันกับตนเอง และนำเอาแก่นพลังงานของพวกมันออกมา ไปวางไว้ในมิเตอร์เครื่องมือ!”


 


“การจัดเรียงรูนจะแตกต่างกันไปในแต่ละอบิลิตี้ ในห้องสมุดของสถาบันจะมีหนังสือรูนอยู่ ทุกคนสามารถไปอ่านมันดูได้ เพราะอบิลิตี้ของทุกคนในคลาสที่ตื่นขึ้นมานั้นแตกต่างกัน ดังนั้นพลังงานที่ควรจะได้รับก็ย่อมแตกต่างกัน เอาล่ะ ต่อไปก็มาเรียนเกี่ยวกับการฝึกฝนและยกระดับพลังสมาธิที่ง่ายที่สุด … ”


 


ฉินเฟิงรับฟังบทเรียนแรกอย่างตั้งใจ แม้จะมีบางส่วนที่เขาล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วในชีวิตก่อนหน้า แต่มันไม่ได้รู้ละเอียดถึงขนาดนี้ ปัจจุบันเขาเลยอดทนตั้งใจฟัง เพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับอบิลิตี้ให้มากขึ้น


 


‘มีหนังสือเกี่ยวกับอบิลิตี้อยู่ด้วยอย่างงั้นหรอ? สงสัยจริงๆว่ามันจะมีหนังสือของธาตุมืดบ้างรึเปล่า!’


 


ฉินเฟิงครุ่นคิด ส่วนเฉิงเฉาก็ยังคงกล่าวอธิบายถึงพลังสมาธิ ซึ่งความรู้เหล่านี้ เป็นสิ่งใหม่ที่ฉินเฟิงเพิ่งจะเคยได้ยิน เรียกได้ว่าเปิดโลกทัศน์ใหม่ไปเลย


 


ดังนั้น ในบทเรียนแรกตลอดทั้งชั่วโมง ฉินเฟิงจึงได้รับความรู้ไปเต็มๆไม่มีตกหล่น


 


เฉิงเฉาสอนอยู่เบื้องหน้านักเรียนทุกคน ดังนั้นเขาย่อมรับรู้ได้เป็นอย่างดี ว่ามีใครบ้างที่กำลังตั้งใจฟัง


 


‘ต้องอย่างนั้นสิ ถึงจะควรค่าแก่การครอบครองความเข้มข้นของพลังสมาธิระดับ S ตราบใดที่เธอตั้งใจเรียนอย่างหนัก เธอจะไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆแน่นอน’


 


การบรรยายดำเนินไปเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากความรู้บางอย่างสามารถหาเองได้จากเครือข่ายนักสู้ นักเรียนหลายคนเลยไม่ค่อยตั้งใจฟังเท่าไหร่นัก แตกต่างจากฉินเฟิงที่ใจจดใจจ่ออยู่กับมัน


 


“เอาล่ะ คราสแรกจบลงเพียงเท่านี้ พวกเธอตามฉันมา เราจะไปที่หอประชุมด้วยกัน การประชุมกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า!”


 


เฉิงเฉาสั่งนักเรียนในชั้น


 


การประชุมที่ว่า แน่นอนย่อมไม่ใช่การประชุมธรรมดา โดยปกติแล้วการชุมในที่กำลังจะเกิดขึ้น มักจะจัดปีละครั้ง และคนจากในสถาบันระดับสูงทั้งหมดจะต้องเข้าร่วม แม้กระทั่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสถานชุมชนทางตอนเหนือ ผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E ผู้อำนวยการเติ้งเหนียนเองก็มาเข้าร่วมเช่นกัน


 


เติ้งเหนียนคนนี้ คือคนๆเดียวกับที่นายพลหวังเฉิงผู้เคยชักชวนฉินเฟิงเข้าร่วมกับกองทหารเสือไฟ เรียกว่าตาแก่เติ้ง!


 


นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเฟิงได้เห็นเติ้งเหนียนหลังจากที่เกิดใหม่ แต่เจ้าตัวก็รู้สึกเฉยๆ เพราะในชีวิตก่อน เขากับเติ้งเหนียนมิได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกัน และอีกหลายปีต่อมา ฉินเฟิงได้กลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล A เป็นตัวตนที่กระทั่งเติ้งเหนียนเองก็ต้องแหงนหน้ามอง


 


ตรงกันข้ามกับนักเรียนคนอื่นๆ พวกเขาตื่นเต้นกันมาก ที่ได้พบกับเติ้งเหนียนตัวเป็นๆ ทั้งหมดมองผู้อำนวยการคนนี้ราวกับว่าเป็นวีรบุรุษ


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้ว เพราะบรรยากาศที่เติ้งเหนียนแผ่ออกมา มันชวนให้ฉินเฟิงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง


 


“ฉันลืมไปเลย ว่าเติ้งเหนียนน่ะเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุแสง!”


 


แสงสว่างกับความมืด ชัดเจนว่าเป็นปรปักษ์ต่อกัน ณ ขณะนี้ในห้องประชุม เติ้งเหนียนคล้ายกับว่ามีรัศมีแสงที่หาได้ยากยิ่งเปล่งประกายอยู่รอบตัวเขา นี่ดูคล้ายกับตะวันดวงน้อยๆ ดึงดูดทุกสายตาของผู้คน


 


“นั่นผู้อำนวยการเติ้ง แค่มองก็รู้สึกได้เลยถึงความแข็งแกร่ง นายก็เห็นใช่ไหม? แสงที่เปล่งออกมาจากรอบตัวของเขาน่ะ!”


 


“ผู้อำนวยการเติ้งคือผู้ใช้อบิลิตี้ที่ทรงพลัง!”


 


“อบิลิตี้ของเขาร้ายกาจเกินไป ฉันเคยได้ยินข่าวลือมา ว่าต่อให้ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงขนาดไหน ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ผู้อำนวยการเติ้งจะสามารถช่วยชีวิตอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน!”


 


นักเรียนทุกคนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเคารพนับถือ และไม่นานนัก เสียงของเติ้งเหนียนก็กระจายไปทั่วทั้งห้องประชุม


 


สำหรับพวกรุ่นพี่ พวกเขาร่วมประชุมโดยการรับฟังการออกอากาศจากในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องมาที่หอประชุม อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน


 


เพราะผู้อำนวยการเติ้งคือตัวแทนแห่งศรัทธาของสถาบันระดับสูงในชุมชนทางตอนเหนือ!


 


“ยินดีต้อนรับนักเรียนใหม่เข้าสู่รั้วสถาบันระดับสูงของสถานชุมชนทางตอนเหนือ .. ” ผู้อำนวยการเติ้งกล่าว ทุกคำพูดของเขาคล้ายกับบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ ให้ความรู้สึกราวกับว่าผู้ฟังกำลังอาบน้ำแร่อยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ


 


ซึ่งน่ากลัวว่าคงจะมีฉินเฟิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกว่ามันไม่ใช่!


 


แต่โชคยังดี ที่ไม่นานนัก ฉินเฟิงก็ได้รับฟังถึงสิ่งที่เขาต้องการ


 


“พวกเธอเพิ่งจะเข้าเรียนในสถาบันทางตอนเหนือ ดังนั้นภายในเดือนนี้ขอจงตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก เพราะหนึ่งเดือนต่อมา พวกเราจะทำการประเมินทางกองทัพ ทุกคนจะต้องเข้าร่วมการล่าสัตว์ร้ายใน ‘สวนล่าฤดูใบไม้ผลิ’ ซึ่งเป็นจุดรวมพลของเมืองเฉิงหยาง การเข้าร่วมในครั้งนี้ จะมีสถาบันระดับสูงเข้าร่วมด้วยกันทั้งสิ้น 5 แห่ง สำหรับคนที่สามารถคว้าตำแหน่งสิบอันดับแรก จะได้รับรางวัลเป็นตราสัญลักษณ์ โลโก้ผู้ใช้พลังเลเวล G ในทันที ส่วนนักเรียนที่ได้ร้อยอันดับแรก จะได้รับรางวัลระดับสูง ฉะนั้น ขอให้ทุกคนตั้งใจฝึกฝนให้ดี!”


 


ทันทีที่ประโยคนี้ของเขาหลุดออกมา เสียงฮือฮาก็อื้ออึงไปทั่วทั้งหอประชุม


 


ในความเป็นจริง การที่หลายคนเข้าร่วมกับสถาบันระดับสูง ก็เพราะพวกเขาไม่อยากจะเผชิญกับความโหดร้ายในทุ่งล่าเร็วจนเกินไป -ก็แล้วใครบ้างเล่าในโลกนี้ที่ต้องการจะรับความเสี่ยงถึงตายตั้งแต่ยังเด็ก?


 


แต่พวกเขาไม่คิดคิดเลย ว่าเพียงหนึ่งเดือนต่อมา ก็จะต้องเผชิญกับอันตรายของจริงซะแล้ว!


 


ทว่าในเวลานี้ ดวงตาของฉินเฟิงกลับสว่างวาบ


 


“สวนล่าฤดูใบไม้ผลิ!”


 


มันคือสถานที่ซึ่งรอยแยกมิติมีเสถียรภาพมากที่สุด และยังอยู่ในมือของสถาบันระดับสูงทั้งห้าแห่ง เป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมดีเยี่ยม เปี่ยมไปด้วยสมบัติทางธรรมชาติ สัตว์ร้ายในพื้นที่เองก็ไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก


 


อย่างไรก็ตาม ที่อธิบายมาข้างต้นน่ะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะฉินเฟิงล่วงรู้ความลับหนึ่ง นั่นก็คือใจกลางของสวนล่าฤดูใบไม้ผลิ มันมีต้นผลไม้ที่ช่วยเพิ่มพลังสมาธิให้แข็งแกร่งขึ้นอยู่ เรียกกันว่า ‘ต้นไม้แห่งสมาธิ’


 


ซึ่งในข้อนี้เอง คือหนึ่งในปัจจัยที่ฉินเฟิงตัดสินใจเข้าร่วมกับสถาบันระดับสูง!


 


แต่ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะเกิดความวุ่นวายในฝูงชนมากจนเกินไป เติ้งเหนียนจึงกล่าวเสริมอีกครั้ง “สถานชุมชนทางตอนเหนือจำเป็นต้องมีวีรบุรุษ และฉันคาดหวังให้นักเรียนของสถาบันเรากลายเป็นวีรบุรษ ในเมื่อพวกเธอยังไม่ทราบว่าในทุ่งล่าน่ากลัวเพียงใด ดังนั้นเราจำเป็นต้องแสดงมันให้พวกเธอได้รับชม ว่าในเวลานี้ สถานที่ชุมชนทางตอนเหนือกำลังพบเจอกับปัญหาร้ายแรงบางอย่างอยู่”


 


ระหว่างกล่าว เติ้งเหนียนก็เปิดเล่นภาพวิดีโอ


Ch.69 – กองทัพซากศพ

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.69 – กองทัพซากศพ


 


เห็นได้ชัดว่าภาพวิดีโอนี้ถูกถ่ายโดยอากาศยานไร้คนขับ(โดรน) มันเป็นภูเขาขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งเดิมที ในช่วงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง มันสมควรมีพืชพรรณหนาแน่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางของภูเขาเหล่านั้น สภาพแวดล้อมในปัจจุบันกลับกลายเป็นมืดมน ผืนดินแห้งแล้งสีดำสนิท ต้นไม้เหี่ยวเฉา ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม


 


นอกจากนี้ ทัศนียภาพบนภูเขาดังกล่าว ยังน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง!


 


-มันเต็มไปด้วยซากศพเน่าเปื่อย


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ดูเหมือนว่าซากศพเน่าเปื่อยเหล่านี้ยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้ และกำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างขมักเขม้น ก่อร้างสร้างเมืองขึ้นอย่างกระทันหัน!


 


เมื่อโดรนเข้าไปใกล้ใจกลางของภูเขา ในวิดีโอของมัน ก็ปรากฏร่างของอัศวินดำบนหลังม้าโครงกระดูกยืนอยู่บนยอดเขา กะโหลกของมันยกเสยขึ้น เผยให้เห็นถึงเพลิงวิญญาณที่ลุกโชนอยู่ในแววตา


 


จังหวะต่อมา หอกในมือของมันก็ถูกเหวี่ยงออก ปลายแหลมพุ่งทะลวงใส่กล้องวิดีโอ แทงเข้ามาประชิดสายตาของทุกผู้คนที่กำลังรับชม


 


และแล้ว ภาพวิดีโอทั้งหมดก็กลายเป็นสีดำ


 


“กรี๊ด!”


 


บางคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง เผลอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ และจำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลย ถึงจะตระหนักได้ว่าหอกเมื่อครู่มิใช่จ้วงใส่ตนเอง หากแต่ทิ่มแทงเข้าใส่โดรน!


 


นักเรียนใหม่ในหอประชุมต่างถอนหายใจโล่งอก รู้สึกว่าตนได้รับชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง


 


เบื้องหน้าพวกเขาเมื่อครู่นี้ คือการดำรงอยู่ชนิดใดกันหนอ? เหตุใดถึงได้ดูแข็งแกร่งมากมายถึงเพียงนี้


 


ระหว่างที่หลายคนกำลังตกใจ สีหน้าของฉินเฟิงกลับหม่นทะมึนลง


 


นั่นเพราะเขาพบว่า ภูเขาที่เต็มไปด้วยซากศพเคลื่อนไหวในภาพ มันคือสถานที่ซึ่งศิลานรกเคยร่วงตกลงมา!


 


ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าถึงติดเชื้อจากรูนมืดเมื่อเร็วๆนี้


 


ถึงแม้ว่าจะไม่มีศิลานรกอยู่แล้ว แต่สถานที่ชุมชนก็ยังคงถูกภัยพิบัติคุกคามเช่นเดียวกับในชีวิตก่อนหน้า แต่คราวนี้มันมิใช่ซากสัตว์ร้ายเน่าเปื่อย หากแต่เป็นกองทัพซากศพที่ดูมีระเบียบและทำงานกันเป็นระบบอย่างสมบูรณ์!


 


‘อัศวินโครงกระดูกในภาพ แน่นอนว่ามันมีความแข็งแกร่งในเลเวล F แถมยังมีความแข็งแกร่งถึงระดับราชันย์สัตว์ร้าย!’


 


ฉินเฟิงคิดในจิตใจของเขา


 


เสียงของเติ้งเหนียนดังขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้ทางสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือของเราต้องการกองกำลังทั้งหมดเพื่อร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูในภาพนี้ นักเรียนทุกคนในชั้นปีที่สองและสามที่ได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ใช้พลังในเลเวล G หรือสูงกว่า ทั้งหมดจะต้องร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ .. ”


 


“เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว การประชุมประจำปีของสถาบันระดับสูงที่หกสิบเก้าก็จบลงเพียงเท่านี้ เลิกประชุมได้!”


 


นักเรียนทุกคนที่แต่เดิมตื่นเต้น ใบหน้าฟุ้งไปด้วยรอยยิ้มของความสุขในวันแรกที่ได้เริ่มเรียน ในเวลานี้ สีหน้าของทุกคนกลับมืดหม่นและเห็นถึงร่องรอยของความหวาดกลัว


 


เฉิงเฉาส่ายหัวอย่างหมดหนทาง “ดูเหมือนว่าพวกเขาทุกคนกำลังหวาดกลัว ว่าแต่ทำไมผู้อำนวยการถึงไม่ฉายสารคดีเหมือนปีที่แล้วกันนะ?”


 


ถึงแม้สารคดีจะน่ากลัว แต่ไม่ก็น่าสยองขวัญเท่ากับภาพวิดีโอจากโดรนในครั้งนี้


 


นี่มันคือการบ่งบอกกลายๆว่า : อย่าคิดเชียวล่ะ ว่าต่อให้พวกเธอเข้าสู่สถาบันระดับสูง แล้วพวกเธอจะยังสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในสถานที่ชุมชนได้ เพราะนั่นไม่แตกต่างไปจากคนมีความสามารถ แต่กลับหัวหด หมกตัวไม่กล้าออกไปไหนตลอดชีวิต


 


ตรงกันข้าม สถาบันระดับสูงยิ่งสนับสนุนให้มีการต่อสู้ ชนิดที่เรียกได้เลยว่าอาจถึงขั้นล้างสมองนักเรียน!


 


มิฉะนั้นแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่เหยาเหยากับคนอื่นๆจะร่วมทีมกัน และออกไปสู้ในทุ่งล่า?


 


ระหว่างกำลังขบคิด รู้สึกตัวอีกที เฉิงเฉาก็พบว่าฉินเฟิงได้มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว


 


“อาจารย์เฉิง ผมต้องการเข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วยครับ!” ฉินเฟิงกล่าว


 


เฉิงเฉาชะงักไป เขาคิดว่าตัวเองหูฝาด


 


“ฉินเฟิง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะหุนหันพลันแล่นนะ เธอต้องตั้งใจเรียนอย่างหนัก ถึงจะสามารถเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ได้ในภายหลัง นอกจากนี้ เธอเองก็ไม่ใช่หน่วยแพทย์ ดังนั้นไม่มีทางเข้าร่วมได้หรอก!”


 


ฉินเฟิงคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “แต่ฟังจากที่ผู้อำนวยการพูด ขอแค่มีโลโกผู้ใช้พลังเลเวล G ก็น่าจะเพียงพอแล้วใช่ไหมครับ?”


 


เฉิงเฉาที่ถูกถามนิ่งงันไปทันที


 


“ในทางทฤษฏีก็ใช่ แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเธอ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องยาก!”


 


ฉินเฟิงไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก เขาถอยหลังกลับไป เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆของเขา มองฉินเฟิงราวกับเป็นคนโง่


 


จู่ๆก็จะเข้าร่วมปฏิบัติการปราบปรามกองทัพซากศพอย่างกระทันหัน? อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของเขาเนี่ยนะ? ช่างเป็นคนที่ดื่มด่ำ เพ้อฝันอยู่แต่กับจินตนาการซะจริงๆ


 


อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ฉินเฟิงไม่ใส่ใจสายตารอบข้าง เขาก้มหน้าลง และเปิดอุปกรณ์สื่อสารโทรหาโจวฮ่าว


 


“นายอยากจะเข้าร่วมปฏิบัตการบุกโจมตีกองทัพซากศพรึเปล่า?”


 


“เพ้ย! แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันต้องการ!” เมื่อถูกถาม โจวฮ่าวก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นกลัวเลย เขาตอบกลับทันที นั่นเพราะวัตถุประสงค์ของการฝึกหนักคืออะไร? มันคือการออกไปต่อสู้จริงๆไม่ใช่หรอกหรือ?


 


ฉินเฟิงเองก็ต้องการที่จะเข้าร่วม แต่ในเวลานี้ มันมีอุปสรรคมากเกินไป ทว่าในตอนนั้นเอง เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


 


“หือ? นายมีความคิดดีๆแล้วงั้นหรอ?”


 


“ใช่ ฟังนะ ฉันขอไปเตรียมตัวก่อน แล้วเดี๋ยววันพรุ่งนี้ตอนเย็นค่อยว่ากัน!”


 


“ตกลง”


 


โจวฮ่าวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


 


หลังจากสิ้นสุดการประชุม วันแรกของการศึกษาก็จบลงด้วยเช่นกัน ฉินเฟิงกลับไปที่บ้าน รีบกินข้าวเย็น แล้วกระโจนลงทิ้งตัวบนที่นอน ผล็อยหลับไป


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงจำเป็นต้องพักผ่อน เนื่องจากในค่ำคืนนี้ ยังมีการต่อสู้ที่ยากลำบากรอคอยเขาอยู่


 



 


เมื่อถึงเวลา 4 ทุ่มตรง ฉินเฟิงก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในคลับอินทรี ไม่เพียงแค่นั้น แต่คราวนี้ไป๋หลีก็ยังตามมาด้วยในรูปลักษณ์ของมนุษย์


 


ไม่ว่าไป๋หลีจะไปที่ใด สรรพเสียงรอบข้างจะกลายเป็นเงียบงัน ทุกผู้คนต่างจ้องมองใบหน้าของเธอด้วยความตกตะลึงจนสูญสิ้นน้ำเสียง


 


ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอ “ใส่แว่นกันแดดเถอะ!”


 


“นี่มันกลางคืนนะ ไม่ใช่ว่าแว่นกันแดด มีไว้กันแสงหรอกหรอ?” ไป๋หลีกล่าวด้วยความงุนงง


 


ฉินเฟิงเงียบไป นี่เขาต้องการจะบอกมันว่าเขาไม่ชอบให้คนอื่นมองมาที่มันอย่างงั้นหรอ?


 


“เชื่อฉันเถอะน่า!”


 


ฉินเฟิงแตะหัวของไป๋หลี ไป๋หลีจือปากเล็กน้อย สุดท้ายยอมทำตามเขา สวมแว่นกันแดดแต่โดยดี


 


ทว่าในเวลานั้นเอง ทั้งสองไม่ทราบเลย ว่าได้มีใครคนหนึ่งเฝ้ามองดูพวกเขาอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว


 


บุคคลที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจียงเส้าหยาง ที่นั่งอยู่ในห้องผู้จัดการทั่วไป


 


ในตอนแรกที่ฉินเฟิงเข้ามายังคลับอินทรี ใครบางคนได้แจ้งต่อเจียงเส้าหยาง และในตึกของคลับอินทรีก็เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด เพียงแค่สั่งการ ก็สามารถมองเห็นได้ทุกตำแหน่ง พริบตาที่เห็นใบหน้าของไป๋หลี ทั้งคนทั้งร่างของเจียงเส้าหยางก็สั่นสะท้าน ตะลึงงันจนสติแทบจะหลุดลอยไป!


 


แต่ความตกตะลึงก็ถูกความริษยาและโกรธแค้นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงสัมผัสมือลงบนหัวของไป๋หลี ในหัวใจคล้ายกับรู้สึกราวกับว่าทรัพย์สินของตนกำลังถูกรุกราน


 


ท่านอ่านไม่ผิด ถูกต้องแล้ว ในเวลานี้ เจียงเส้าหยางได้เห็นว่าไป๋หลีกลายเป็นผู้หญิงของเขาไปเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากในวันนี้ อย่างไรฉินเฟิงก็ต้องตาย!


 


“เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วรึยัง?” เสียงของเจียงเส้าหยางที่เปล่งออกมาราวกับปีศาจร้าย เพียงขยับปากก็คล้ายเห็นถึงคมเขี้ยว


 


“ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่จิ้งจอกคลั่งขึ้นไปบนเวที เขาจะไม่มีทางรอดชีวิตลงมาได้อีกต่อไป!”


 


ชายอีกคนกล่าวย้ำด้วยความั่นใจ


 


ณ เวลา 5 ทุ่มตรง ในที่สุดฉินเฟิงก็ได้ก้าวขึ้นสู่เวทีประลอง


 


คลับอินทรีมักจะจัดการประลองขึ้นหลายครั้งในค่ำคืนเดียว ดังนั้นเลยเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะไม่ได้ขึ้นเวทีในทันที


 


หลายคนที่นี่ยังคงเป็นผู้ชมของเมื่อวาน เกือบทั้งหมดเลือกที่จะมาในวันนี้ เพราะฉินเฟิงสัญญาว่าจะกลับมา ดังนั้นหลายคนเลยไม่ยินยอมที่จะพลาดรับชมการต่อสู้ของเขา


 


สามารถคว้าชัยชนะติดต่อกันได้ถึงห้าครั้ง มันเป็นอะไรที่ยากมาก และหลายคนก็เลือกที่จะยอมแพ้กันในรอบที่หก


 


ทว่าฉินเฟิงกลับโค่นจอมหักกระดูกที่สามารถคว้าชัยชนะมากว่าเจ็ดครั้งลงได้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ต้องน่าตื่นเต้นอย่างแน่นอน


 


ไม่นานนัก เสียงของพิธีกรก็ดังขึ้น


 


【บุคคลต่อไปที่จะปรากฏกายเป็นหน้าใหม่ของพวกเรา แต่บางท่านน่าจะคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี มิใช่ใครอื่น!! เขาคนนั้นคือจิ้งจอกคลั่ง ผู้ที่สามารถชนะติดต่อไปถึงห้ารอบ!! และในวันนี้ เขาจะสามารถคว้าชัยชนะนัดที่หกติดต่อกันได้อีกหรือไม่? พวกเรามาดูไปพร้อมกันเถอะ!】


 


คู่ต่อสู้คราวนี้ของฉินเฟิง คือผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล G7


 


อัตราเดิมพันระหว่างทั้งสองอยู่ที่ครึ่งต่อครึ่ง มันไม่ได้สูงมากนัก แต่ในความเป็นจริง ภายใต้การกระตุ้นของพิธีกร จึงมีคนจำนวนมากเดิมพันว่าผู้ท้าชิงจะสามารถคว้าชัยชนะ และคลับอินทรีก็สามารถทำเงินจากมันได้อีกครั้ง


 


ส่วนฉินเฟิงก็สามารถโค่นฝ่ายตรงข้ามลงได้อย่างง่ายดาย


 


หลังจากนั้นศัตรูก็เป็นเลเวล G8 และG9 อีกสองคน


 


แม้จะคว้าชัยชนะมาได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยิ่งนาน คิ้วของฉินเฟิงยิ่งบังเกิดรอยยับย่น


 


‘นี่มันง่ายเกินไป!’


 


ความรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ฟุ้งไปทั่วจิตใจของฉินเฟิง


Ch.70 – วรยุทธโบราณ VS อบิลิตี้

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.70 – วรยุทธโบราณ VS อบิลิตี้


 


ณ ขณะนี้ ฉินเฟิงได้ชนะติดต่อกันแล้วกว่าเก้าครั้ง และเมื่อผู้ท้าชิงคนต่อไปปรากฏกายขึ้น อัตราเดิมพันของอีกฝ่ายก็ถูกประกาศออกมา


 


ปรากฏว่าเป็น 7 : 8 อย่างกระทันหัน!


 


อัตราเดิมพันเช่นนี้ บ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ผู้ชมดันหลงใหลไปกับชัยชนะติดต่อกันกว่า 9 ครั้งของจิ้งจอกคลั่งเสียแล้ว เกือบทั้งหมดต่างทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อตั๋วพนัน แทงว่าฉินเฟิงจะชนะ ยอดรวมๆปาเข้าไปกว่า 800 ล้าน


 


นั่นหมายความว่า หากฉินเฟิงชนะ ทางบ่อนจะต้องพบกับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง


 


แต่ถ้าฉินเฟิงพ่ายแพ้ ทางบ่อนเรียกได้เลยว่าอิ่มเงินจนพุงกาง!


 


ทางด้านฉินเฟิง เมื่อมองไปยังคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้ทางคลับอินทรีถึงส่งแต่นักสู้ที่ไม่ค่อยเก่งมา ที่แท้มันก็คือการเลี้ยงหมูจนอ้วนพลี แล้วจับเชือดในตอนท้ายนี่เอง


 


ปัจจุบันเบื้องหน้าเขา คือผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F2 !


 


หากฉินเฟิงเป็นเพียงผู้ใช้วรยุทธโบราณธรรมดาๆ แม้ว่าเขาจะสามารถโค่นบางคนในเลเวล G9 ลงได้ แต่เขาย่อมไม่มีทางที่จะมีชัยเหนือผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ต่อสู้เบื้องหน้าผู้นี้ ที่กำลังส่งกลิ่นอายอันเข้มข้นในฐานะของผู้เชี่ยวชาญออกมาอย่างชัดเจน


 


“ไอ้หนู แกมาถึงทางตันแล้ว ชัยชนะต่อเนื่องของแกจะจบลงที่นี่!” ผู้ใช้วรยุทธโบราณยกนิ้วชี้ขึ้น แล้วค่อยๆปาดช้าๆผ่านลำคอของเขา แสดงสัญลักษณ์ในเชิงว่าเอ็งตายแน่ๆ


 


สื่อความหมายชัดเจนในตัวมันเอง


 


สำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณคนก่อนๆที่มาเป็นคู่ต่อสู้ นั่นเป็นแค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น คนสุดท้ายต่างหากคือนักฆ่าที่แท้จริง!


 


【เอาล่ะสิครับท่านผู้ชม ดูเหมือนว่า ‘เทพเถื่อน’ จะสื่อเจตนาร้ายอย่างชัดเจนถึงจิ้งจอกคลั่ง ว่าต้องการหัวของเขา และทุกท่านรู้หรือไม่ ว่าเทพเถื่อนคนนี้มิใช่อ่อนแอเลย เขาทรงพลังสุดๆ เป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธโบราณ ‘กระดูกเหล็ก’ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะฝึกฝนที่เสริมความทนทานของร่างกาย แล้วในคราวนี้ เขาจะสามารถเขย่าบัลลังก์ของจิ้งจอกคลั่งได้หรือไม่?】


 


พิธีกรแนะนำเล็กๆน้อยๆ แต่หลายคนดูเหมือนว่าจะไม่สนใจเลย


 


เพราะไอ้ทักษะที่ว่า มันก็แค่การเสริมสมรรถภาพร่างกายเหมือนกับวิชาเส้าหลินประเภทหนึ่งไม่ใช่รึไง และการฝึกฝนประเภทนี้ก็ไม่ค่อยมีใครฝึกจนสามารถบรรลุได้ถึงขีดสุด แล้วเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของจิ้งจอกคลั่งได้อย่างไร?


 


ในทางตรงกันข้าม จิ้งจอกคลั่งทั้งรวดเร็วและแข็งแกร่ง ดังนั้นย่อมไม่มีทางอ่อนแอกว่าเทพเถื่อนผู้นี้อย่างแน่นอน!


 


ถึงเทพเถื่อนจะฝึกฝนทักษะเสริมพลังป้องกันจนแข็งแกร่ง แต่ท่าทีและการแสดงออกของเขามันดูไม่ดุร้ายหรือกระหายเลือดเลย มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพียงปราการยักษ์เท่านั้นเอง


 


มีเพียงไม่กี่คนที่เท่านั้น ที่สามารถมองออกว่าความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล F2


 


นอกจากนี้ เทพเถื่อนยังเคยลงเวทีประลองมาแค่สองสามครั้งเท่านั้น แทบจะไม่มีใครได้เห็นหน้าเขา เรียกได้เลยว่าเป็นบุคคลในฐานะไพ่ตาย และก็สามารถชนะมาได้ทั้งสามนัด ส่วนคู่ต่อสู้ที่เจอกับเขา ล้วนมีจุดจบในสภาพสมน่าสังเวชอย่างมิอาจบอกบรรยาย


 


อย่างไรก็ตาม บนเวทีทุกคนที่ตายก็มีสภาพน่าสังเวชอยู่แล้ว ดังนั้นชื่อเสียงของเทพเถื่อนที่ไม่ค่อยปรากฏตัว จึงไม่อาจเทียบเคียงได้กับจอมหักกระดูกที่โผล่มาบ่อยๆก่อนหน้านี้


 


แก๊ง แก๊ง แก๊ง


 


เสียงระฆังกังวาน ส่งสัญญาณว่าการประลองได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ


 


“เข้ามาสิ ไอ้หนูจิ้งจอกคลั่ง!”


 


เทพเถื่อนยื่นหมัดออกไป แล้วกระดิกๆนิ้วยั่วยุฉินเฟิงให้เข้ามา


 


เขาเป็นคนฉลาดหลักแหลมมากจริงๆ ตระหนักดีว่าตนเองไม่เก่งกาจในด้านความว่องไว เจ้าตัวจึงตัดสินใจให้ฉินเฟิงเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยสวนกลับเมื่อเข้ามาใกล้


 


“ได้เลย … จัดให้ตามที่ขอ!”


 


ฉินเฟิงเองก็มิคิดหลบเลี่ยง เวลานี้เขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าปัจจุบันพละกำลังกายของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน!


 


ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลังพิเศษดูดกลืนของเขาทรงพลังยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้ามากนัก ดังนั้นในชีวิตนี้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาฝึกฝนร่างกายอะไรมากมาย แต่กลับครอบครองพละกำลังเทียบเท่าได้กับผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ฝึกฝนมาอย่างหนักเป็นเวลานับสิบปี


 


และในเวลานี้ โอกาสในการทดสอบก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว!


 


หนึ่งเท้าสะอึกมาข้างหน้า หนึ่งหมัดเหวี่ยงกรีดผ่านสายลมออกไป


 


ทางฝั่งเทพเถื่อนไม่มีทีท่าว่าจะหลบเลี่ยง ที่ทำมีเพียงหวดหนึ่งหมัดสวนตอบโต้ โดยเล็งเป้าลงใจกลางอกของฉินเฟิง สำหรับหมัดที่อีกฝ่ายโจมตีมา เขาละซึ่งความสนใจโดยสิ้นเชิง


 


นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าการแลกหมัดต่อหมัด สำหรับเทพเถื่อน เขาไม่เชื่อว่าฉินเฟิงจะสร้างอาการบาดเจ็บแก่ตนเองได้ ตรงกันข้าม หากฉินเฟิงไม่หลบเลี่ยงกำปั้นของเขา สิ่งที่เฝ้ารอคอยจิ้งจอกคลั่งอยู่คือกำปั้นที่ทะลวงผ่านหัวใจ


 


ฉินเฟิงเป็นฝ่ายเปิดโจมตี ดังนั้นหมัดของเขาเลยสามารถกระทั้นถูกหน้าอกของเทพเถื่อนได้ก่อน


 


ในช่วงเวลานั้นเอง เทพเถื่อนรับรู้ได้แค่เพียงแรงมหาศาลเกินกว่าจะทานรับไหว เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองล้มคว่ำ เขาจำต้องถอนกำปั้นที่ส่งไปกลับคืน ทว่าร่างกายก็ยังถูกแรงปะทะ กระเด็นถอยกลับไปข้างหลังอยู่ดี


 


จำต้องชักฝีเท้าย่ำใส่พื้นเวทีถึงสามก้าว กว่าจะสามารถหยุดแรงกระทั้นและกลับมารักษาสมดุลร่างกายได้


 


“โอ้วววววว! ฆ่ามันเลย จิ้งจองคลั่ง!!!”


 


“ชกได้สวย!”


 


“ถล่มมารดามันเลย!”


 


ผู้ชมส่งเสียงเชียร์ด้วยความตื่นเต้น ฉากนี้ทำเอาความโกรธพุ่งปรี๊ดๆขึ้นหัวเทพเถื่อน


 


เมื่อครู่ เขาประมาทไปก็จริง แต่ไม่คาดหวังเลยว่าจะถูกผลักกระเด็นจนตัวเกือบลอยโดยฉินเฟิง


 


“ว๊ากกกกกกก!!”


 


พริบตานั้นเทพเถื่อนคำรามก้อง รังสีแสงสีเหลืองสาดประกายขึ้นอย่างกระทันหัน ปกคลุมไปตลอดทั้งมีของเขา


 


“หมัดนอกรีต!”


 


คิ้วของฉินเฟิงขมวดเข้าหากันทันที ขณะเดียวกันทางด้านฝูงชน


 


“อุว้าววว นั่นมันกระบวนท่าวรยุทธ!!”


 


ทราบกันหรือไม่? ว่าสำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณแล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่จะมีทักษะกำลังภายในที่ทรงประสิทธิภาพเท่านั้น แต่บางครั้ง บางคนก็ยังครอบครอง ‘กระบวนท่าวรยุทธ’ ที่ทรงพลังเทียบเคียงได้กับพลังพิเศษของผู้ใช้อบิลิตี้


 


ในชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง เจ้าตัวเชี่ยวชาญกระบวนท่าวรยุทธมากมาย แต่ด้วยความสามารถและประสบการณ์ในปัจจุบันของเขา ทำให้ตั้งแต่เกิดใหม่ ไม่ว่าภัยคุกคามใดก็ล้วนรับมือได้ ฉินเฟิงเลยไม่จำเป็น และไม่เคยเลยที่จะใช้ออกด้วยกระบวนท่าวรยุทธ


 


อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะไม่ใช้มัน เลยทำให้ตัวเองมีข้อเสียเปรียบปรากฏขึ้นมาบ้างเหมือนกัน


 


ฉินเฟิงตัดสินใจเลือกไม่ต่อต้านตรงๆ ทั้งคนทั้งร่างของเขาวูบไหว โฉบหลบอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อเทพเถื่อนระเบิดหมัดออกมา ในอากาศ ราวกับปรากฏร่างเงากำปั้นโปร่งใสปะทุขึ้น และเงาที่ว่าไม่หยุดเพียงปลายหมัด มันไต่ไปตามสายลม แหวกทะลวงต่อไปเบื้องหน้าไกลออกไปกว่าหนึ่งเมตรในชั่วพริบตา


 


อานุภาพของมันกวาดผ่านชั้นอากาศโดยรอบ แรงระเบิดอัดอากาศก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


เปรี้ยง!


 


ร่างเงากำปั้นกระแทกเข้าใส่พื้นโดยตรง พื้นเวทีที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่ติแหลกเป็นชิ้นๆอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งโดมโปร่งใสอย่างโล่พลังงานก็ยังกระพริบไหว เกิดความผันผวนจนเห็นได้ชัด


 


ผู้ชมพากันกรีดร้องเป็นเสียงเดียวกัน แต่หลังจากนั้นก็ผุดลุก อ้าปากคำรามก้อง


 


ช่วงเวลานี้ ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นฝั่งที่เดิมพันว่าฉินเฟิงจะชนะหรือไม่ ทั้งหมดต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น


 


กระบวนท่าวรยุทธล่ะ! นั่นมันกระบวนท่าวรยุทธ!!


 


พวกเขามาที่นี่เพื่อชมการประลอง แต่แล้วจู่ๆกลับสามารถได้เห็นกระบวนท่าวรยุทธด้วยตาตัวเองอย่างกระทันหัน เพียงเท่านี้ก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าเงินแล้ว!


 


เทพเถื่อนโจมตีไม่โดน แต่แท้จริงนั่นมิใช่ปัญหา เจ้าตัวสาวเท้ายาวๆเข้าหาฉินเฟิงอีกครั้ง


 


ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน คราวนี้พวกเขาได้รับการจับคู่อย่างเท่าเทียม ฉินเฟิงเริ่มเป็นฝ่ายถอย คอยปัดป้องการโจมตีจากเทพเถื่อนบ้างแล้ว


 


ไม่นานเกินรอ เทพเถื่อนก็กระแทกกำปั้นอีกครั้ง หมัดนอกรีตถูกส่งออกไปอีกครา แต่ฉินเฟิงก็ยังสามารถหลบเลี่ยงได้


 


บนเวที ผลการต่อสู้ดูเหมือนว่าจะปรากฏชัดเจนแล้ว!


 


เบื้องหลังเวที เจียงเส้าหยางกำลังเฝ้ามองฉากตรงหน้าอย่างมีความสุข เขาจิบไวน์ แล้วเปลี่ยนหน้าจอเป็นกล้องอีกตัวหนึ่ง


 


และกล้องที่ว่า กำลังหันไปทางไป๋หลีที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งนอกเวที


 


แม้จะสวมใส่แว่นกันแดด แต่ท่าทีที่สมบูรณ์แบบของเธอก็ยังดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังคอยกีดขวางตัวเธอจากคนอื่นๆอยู่ และแน่นอน ว่าคนเหล่านั้นถูกส่งมาโดยเจียงเส้าหยาง


 


ปัจจุบัน เขาปฏิบัติต่อไป๋หลีราวกับเป็นสมบัติของตัวเองไปแล้ว


 


เวลานี้ เพียงแค่เฝ้ารอให้จิ้งจอกคลั่งมันตายๆไป แล้วเขาก็จะเดินออกไปต้อนรับสาวงามคนนี้!


 



 


บนเวที เทพเถื่อนกำลังหอบหายใจอย่างหนัก


 


แม้สถานการณ์ดูเหมือนกำลังได้เปรียบ แต่กลับไม่มีใครรู้เลย ว่าเขาสูญเสียพลังงานไปมากเพียงใด


 


เทพเถื่อนฝึกฝนวรยุทธกังฟู แม้ว่ากำปั้นนี้จะถูกขับเคลื่อนโดยกำลังภายใน หากแต่การจะระเบิดมันออกมา ร่างกายต้องรับภาระหนักถึง 10 เท่า


 


แต่ตราบใดที่การโจมตีนี้ของเทพเถื่อน โดนใส่ศัตรูแม้เพียงหมัดเดียว ร่างของฉินเฟิงก็จะถูกบดขยี้จนแหลกเหลวทันที


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงดันลื่นราวกับปลาไหล โฉบไปโฉบมา เอาแต่หลบเท่าที่จะหลบได้ และทุกครั้งที่เทพเถื่อนพักหายใจไม่ใช้หมัดนอกรีต ฉินเฟิงก็จะสะอึกเข้ามาแย็บหมัดใส่เขาอยู่ทุกคราว


 


บนเวที แม้จะดูเหมือนว่าเทพเถื่อนกำลังกดดันฉินเฟิงให้ถอยร่น แต่อันที่จริงแล้ว สมควรที่จะกล่าวว่าเทพเถื่อนจำเป็นต้องทำแบบนั้นมากกว่า มิฉะนั้นจะเป็นเขาเองที่ถูกฉินเฟิงบุกโจมตี


 


“อ้าว อ้าว ทำไมมือสั่นแล้วล่ะ หมดแรงแล้วหรอ งั้นตาฉันเปิดบ้างนะ” ฉินเฟิงเอ่ยเสียงเย็นชา


 


พริบตานั้นเทพเถื่อนสั่นสะท้าน เขารับรู้ได้ทันที ว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้น


 


และในเวลานั้นเอง พลันปรากฏแรงดึงดูดมหาศาลปะทุออกมาจากทั่วทั้งร่างของฉินเฟิง


 


“ทักษะลับกลืนดารา!”


 


เทพเถื่อนที่อยู่ห่างจากฉินเฟิงไปสองก้าว เซถลาอย่างมิอาจควบคุม ถูกดึงดูดให้เข้ามาเบื้องหน้าฉินเฟิง และถูกหนึ่งฝ่ามือกดทับลงบนตันเถียน


 


ช่วงเวลาต่อมา กำลังภายในเริ่มว่ายเวียนราวกับวังวน ทั้งหมดถูกดูดซับไปโดยฉินเฟิงในพริบตา


 


“นี่แก!!”


 


ไม่รีรอให้เทพเถื่อนแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว มืออีกข้างของฉินเฟิงก็ยกเสยขึ้น ทุกคนต่างเห็นถึงหมัดนี้ของฉินเฟิง ว่าในช่วงเวลาต่อมา มันกลายเป็นสีดำ และลุกพรึบ! ไปด้วยเปลวไฟที่ห้อมล้อม


 


ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเทพเถื่อนทรงพลังจริงๆ และหมัดธรรมดาของฉินเฟิงนั้นไม่สามารถสังหารเขาได้อย่างแน่นอน ทว่าหากเป็นหมัดที่ลุกไหม้ไปด้วยอบิลิตี้เล่า?


 


เพลิงโลกันต์ห่อหุ้มหมัดของฉินเฟิง และในวินาทีต่อมา เปรี้ยงงงงงง!


 


มันก็ถูกชกออกไป ระเบิดเข้าใส่กลางหัวใจของเทพเถื่อนโดยตรง!


 


*เนโกะนี่เปลี่ยนสีฟร้อนตรงไหนนะครับ ผมหาไม่เจอ


Ch.71 – เสี่ยวไป๋ลงมือ

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.71 – เสี่ยวไป๋ลงมือ


 


พรึบ!


 


เสียงนี้ มิใช่เสียงหนักทึบระหว่างหมัดปะทะกับร่างกายดังเช่นคราวก่อนๆ แต่ฟังดูเหมือนเป็นเสียงของเปลวไฟที่แผดเผาเสื้อผ้าซะมากกว่า


 


และไม่นาน เพลิงโลกันต์ก็ทะลุผ่านชั้นผิวหนัง เจาะเข้าสู่ชั้นเนื้อภายใน ผลาญทุกสิ่งที่กีดขวางและบริเวณโดยรอบกำปั้นของฉินเฟิง!


 


“อ๊อก … ”เทพเถื่อนกระอักเลือดคำโตอย่างมิอาจฝืนกลั้น ในแววตาเริ่มมืดมน สูญสิ้นชีวิตชีวา


 


ฉินเฟิงกระชากมือออก เมื่อไร้สิ่งใดรองรับ ร่างของเทพเถื่อนก็ร่วงหงายลงไปข้างหลังทันที


 


โครม!


 


ร่างมหึมาของเทพเถื่อนล้มลงกับพื้น ฝุ่นผงที่เกิดจากความเสียหายก่อนหน้าฟุ้งกระจาย


 


หลังจากเทพเถื่อนล้มลงกับพื้นจนแน่นิ่งไปแล้ว ผู้คนจึงค่อยเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าปรากฏหลุมขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาในหน้าอกของเทพเถื่อน เนื้อหนังรอบๆกลายเป็นสีดำไหม้เกรียม หัวใจที่คอยสูบฉีดเลือดถูกแผดเผา สลายไปไม่เหลือแม้ร่องรอย!


 


เทพเถื่อนจบชีวิตลงแล้ว!


 


บังเกิดความเงียบในในฝูงชน


 


แต่ในวินาทีต่อมา เฮฮฮฮ!! -เสียงโห่ร้องดั่งพายุกระหน่ำก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง


 


จิ้งจอกคลั่งชนะแล้ว!


 


เดิมที หลังจากที่ได้เห็นกระบวนท่าวรยุทธ ในมุมมองของทั้งหมด ต่างก็คิดกันว่าเทพเถื่อนน่ะทรงพลังเกินไป คงมิอาจโค่นล้ม แต่ในที่สุด เขาก็พ่ายแพ้!


 


ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องกังวาน


 


“ชนะสิบครั้ง! ชนะสิบครั้งติดต่อกัน!”


 


“โคตรมันส์เลย!”


 


“จิ้งจอกคลั่งแข็งแกร่งต่อต้านฟ้าดินเกินไปแล้ว!”


 


ฝูงชนคำรามสุดเสียง ตรงกันข้ามกับผู้ตัดสินและพิธีกร ที่ทั้งคนทั้งร่างกลายเป็นแข็งทื่อ


 


ฉากนี้ มันเหมือนกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่มีผิดเพี้ยนเลย!


 


ผู้ตัดสินยังไม่ได้ประกาศชัยชนะ โล่พลังงานก็ยังไม่ถูกปิด ทว่าฉินเฟิงได้หายตัวไปแล้วจากในบนเวที


 


ซ่อนเงา!


 


ฉินเฟิงตัดสินใจออกจากเวทีโดยไม่สนใจคำตัดสินของกรรมการ แน่นอนว่าถ้าทำแบบนี้ เรื่องรางวัลคงไม่ต้องกล่าวถึง


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาได้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองเป็นที่เรียบร้อย


 


กำลังภายในอันยิ่งใหญ่อันแน่นอยู่ภายในร่างกายของฉินเฟิง ตันเถียนของเขาจุกจนแทบจะระเบิดออก ดังนั้นในตอนนี้ ตนต้องรีบทำการยกระดับ หรือไม่ก็ใช้พลังพิเศษดูดกลืนโดยเร็ว!


 


เมื่อฉินเฟิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ข้างกายของไป๋หลีแล้ว


 


บรรดาคนของเจียงเส้าหยางที่ขวางอยู่รอบๆ ไม่รู้ว่าฉินเฟิงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างไร แต่ทั้งหมดต่างรับรู้ได้ว่าฉินเฟิงคิดจะพาไป๋หลีไป!


 


“จงฆ่ามันให้ฉัน!”


 


เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของเจียงเส้าหยาง ระเบิดผ่านหูฟัง


 


ทั้งๆที่กุมตั๋วแห่งชัยชนะอยู่ในมือ แต่สถานการณ์ดังกล่าวกลับถูกฉินเฟิงสลายมันไปอีกครั้ง ในหัวใจของเจียงเส้าหยางทั้งเจ็บทั้งแค้นอย่างถึงที่สุด


 


และในครั้งนี้ เขาไม่คิดละเล่นกับฉินเฟิงอีกต่อไป –ตนจะเป็นคนออกหน้าลงมือสังหารฉินเฟิงด้วยตัวเอง!


 


อันธพาลจากคลับอินทรีก้าวมาข้างหน้า เพื่อหยุดฉินเฟิง


 


ใช่แล้วท่านอ่านไม่ผิด พวกเขาก้าวมาเพื่อหยุดฉินเฟิงเท่านั้น เพราะทั้งหมดต่างตระหนักดี ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารอีกฝ่ายลง เพราะขนาดเทพเถื่อนยังทำไม่ได้ แล้วพวกเขาจะเหลือหรือ?


 


ขนาดเป็นคู่ต่อสู้ให้ฉินเฟิง ยังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ!


 


“หลีกไปซะ!”


 


ในเวลานี้ กำลังภายในของฉินเฟิงกำลังเดือดพล่าน ยามเมื่อเขาลงมือมันจึงโหดเหี้ยมและไร้ความปราณีกว่าปกติ เพียงใช้ออกด้วยทักษะลับกลืนดารา เหล่าผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G8 G9 พลันปลิวว่อนไปคนละทิศทาง


 


โครม!


 


ฉินเฟิงราวกับระเบิดเวลา ทุกที่ๆเขาไปจะเกิดการระเบิดของพลัง ก่อความเสียหายร้ายแรงขึ้น


 


เขาคว้ามือไป๋หลี และวิ่งไปยังทางออกฉุกเฉินด้วยกัน


 


เพียงไม่กี่ก้าว ฉินเฟิงก็มาถึงชั้นหนึ่ง และพุ่งออกไปภายนอก


 


ขณะเดียวกัน คนกลุ่มหนึ่งก็เร่งวิ่งไล่ตามเขาอย่างบ้าคลั่ง


 


ทั้งกลุ่มกระจายแยกย้ายกันออกไป อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ราวกับปีศาจร้าย พุ่งทะยานไปที่ใด ก็เกิดแรงอัดอากาศปะทะว่อน ก่อความโกลาหลไปทั่ว


 


ฉินเฟิงพรวดเข้าไปในตรอกมืด เมื่อเขาหลุดจากสายตาของคนเหล่านั้นชั่วคราว เจ้าตัวก็สั่งให้ไป๋หลีใช้พลังมิติ เพื่อหลบหนีจากวงล้อมไป


 


ทว่าวินาทีต่อมา มนุษย์คนหนึ่งกลับปรากฏกายขึ้นในมุมถนน


 


เขาคนนี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนทั้งคนทั้งร่างวูบไหวราวกับภูติปีศาจ ปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังอย่างหาที่ใดเปรียบโดยไม่คิดปิดบังใดๆ


 


เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F7 !


 


ด้วยเลเวลนี้ กล่าวได้เลยว่า นี่คือศัตรูที่ฉินเฟิงมิอาจต่อกร


 


“จงตายให้แก่บิดา!” เจียงเส้าหยางคำราม ดาบยาวในมือส่งเสียงหึ่งๆ สั่นไหวเป็นเงาหลอนราวกับภาพลวงตา


 


เงาดาบโถมทับเข้าใส่ฉินเฟิง สื่อสารชัดแจ้งว่าปรารถนาที่จะตัดเฉือนเขาเป็นชิ้นๆ


 


-นี่คืออีกหนึ่งกระบวนท่าวรยุทธที่ทรงพลัง!


 


ฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่อาจก่ออันตรายถึงชีวิต


 


“เสี่ยวไป๋!”


 


ฉินเฟิงร้องตะโกนโดยไม่รู้ตัว เขาต้องการให้เสี่ยวไป๋ใช้พลังเทเลพอร์ตเพื่อหลบเลี่ยง จากนั้นก็นำฉิงเฟิงไปอีกตำแหน่งหนึ่ง แล้วฉวยโอกาสนั้นลอบสังหารศัตรู


 


ในพริบตา ทั้งร่างของเสี่ยวไป๋ก็พลันสาดประกายรังสีแสงสีเงิน


 


ชุดของไป๋หลีพัดกระพือ ผมยาวของเธอปลิวไสว ร่ายระบำไปตามสายลม แสงจันทร์ที่ส่องกระทบเข้ามาจากที่ไหนสักแห่งในตรอก ส่งผลให้เห็นฉากที่ราวกับว่ามีชั้นอากาศจางๆที่มองไม่เห็น ว่ายวนอยู่รอบตัวไป๋หลี


 


ยังไงก็ตาม เสี่ยวไป๋มิได้ใช้ออกด้วยเทเลพอร์ตแต่อย่างใด


 


วินาทีต่อมา ริ้วรังสีแสงสีเงินกว่า 4 เส้นพลันก็ปรากฏขึ้น


 


แสงนี้ช่างดูคุ้นเคย มิใช่ใดอื่น มันคืออบิลิตี้ที่ก่อตัวขึ้นจากรูนมิติ!


 


“ใบมีดมิติ!” ไป๋หลีร้องตะโกน พลางชี้นิ้วอันละเอียดอ่อนไปทางเจียงเส้าหยาง “ไปเลย!”


 


รังสีแสงกระพริบไหว หายวับไปจากสถานที่เดียวกัน รูม่านตาของฉินเฟิงหดวูบลงทันใด


 


ตำแหน่งที่รังสีแสงสีเงินปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันผุดออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่าโดยตรง —ภายในกายของเจียงเส้าหยางที่อยู่เบื้องหน้าเขา!!


 


ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!!


 


ทั้งคนทั้งร่างของเจียงเส้าหยางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


 


คลื่นเงาดาบกลางอากาศที่กำลังฟาดลงมาพลันหายไป ขณะเดียวกันเจียงเส้าหยางก็มิอาจรักษาสมดุลร่างกาย ร่วงตกลงกับพื้นทันที


 


แขนขาทั้งสี่ถูกตัดออก บาดแผลเรียบเนียนเป็นระเบียบ หากมองดูสภาพของเจียงเส้าหยาง ปัจจุบันมันราวกับเป็นท่อนไม้มนุษย์


 


ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน!


 


“นายท่าน! รีบดูดซับพลังภายในของเขาเร็วเข้า!” ไป๋หลีกระตุ้นเตือน


 


ฉินเฟิงสูดหายใจลึก ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง


 


เขาประเมินความสามารถของเสี่ยวไป๋ต่ำเกินไป!


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต้องไม่ลืมนะว่า ไป๋หลีในปัจจุบัน คือราชันย์สัตว์ร้ายในเลเวล F !


 


ซึ่งสัตว์ร้ายระดับนี้ สามารถสังหารผู้ใช้วรยุทธโบราณธรรมดาๆในเลเวล F ได้อย่างง่ายดาย!


 


ในเวลาเดียวกัน เจียงเส้าหยางร่วงลงกับพื้น แต่ยังไม่ตายทันที เขาพยายามเงยหน้าขึ้น มองไปทางไป๋หลี


 


ในแววตาฟุ้งไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


 


“แก! แกเป็นใครกัน?”


 


เจียงเส้าหยางไม่เคยเห็นกระบวนท่าที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน แม้เขาต้องการที่จะหลบเลี่ยง ก็มิอาจทำได้ ราวกับว่าการโจมตีเหล่านั้นระเบิดขึ้นจากภายในตัวอย่างกระทันหัน


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ยินเต็มสองหู ถึงสิ่งที่ไป๋หลีพ่นออกมา!


 


‘ใบมีดมิติ!’ นั่นหมายถึงรูนมิติใช่ไหม? อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้คือผู้ใช้อบิลิตี้ที่ครอบครองพลังมิติ!


 


แต่นั่นไม่ใช่หนึ่งในสิบธาตุ มันมีเพียงสัตว์ร้ายที่ทรงพลังเท่านั้นจึงจะครอบครองพลังที่นอกเหนือไปจากที่กล่าวมาได้


 


“เธอเป็นใคร แกไม่ทำเป็นต้องรู้!”


 


ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงเย็นชา เขาจะไม่สามารถมองออกได้อย่างไร ว่าก่อนหน้านี้ในดวงตาของเจียงเส้าหยาง มันมองมาทางไป๋หลีด้วยความหื่นกระหาย!


 


“ทักษะลับกลืนดารา!”


 


เขากดมือข้างหนึ่งลงบนหน้าท้องของเจียงเส้าหยาง แรงดูดรุนแรงปะทุขึ้น สูบกลืนกำลังภายในทั้งหมดในร่างกายของเจียงเส้าหยาง


 


เจียงเส้าหยางพยายามที่จะต่อต้าน ทว่าเมื่อไร้ซึ่งแขนขา ไหนจะเลือดที่ไหลทะลักออกมามากเกินไป หากไม่ได้รับความช่วยเหลือ เขาจะต้องตายแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้เขาต้องการจะใช้อุปกรณ์สื่อสารเพื่อขอความช่วยเหลือ มันก็เป็นไปไม่ได้!


 


การสูบกลืนกำลังภายในมาจากเจียงเส้าหยาง ส่งผลให้ตันเถียนของฉินเฟิงเดือดพล่านจนแทบจะคุมไว้ไม่อยู่


 


“เพลิงโลกันต์!”


 


ฉินเฟิงฝืนทนข่มกำลังภายในที่เดือดปะทุรุนแรง ปลดปล่อยพลังพิเศษทำลายหลักฐาน


 


เจียงเส้าหยางตกอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง ทั้งคนทั้งร่างของเขาค่อยๆย่อยสลายลง สุดท้ายกลายเป็นเถ้าถ่าน


 


หัวหน้าแห่งคลับอินทรี หนึ่งในตัวตนทรงพลังขององค์กรมืดที่อยู่เบื้องหลังสลัม ได้จบชีวิตลงแล้ว!


 


กริ๊ง!


 


ระหว่างหันไปเผาแขนขาที่กระจัดกระจาย เสียงของหนึ่งในลูกประคำในมือข้างหนึ่งของเจียงเส้าหยางก็ร่วงตกลง มันสะท้อนกับแสงไฟ สาดรังสีแสงสีเงินจางๆออกมา


 


-เป็นอุปกรณ์รูนมิติ!


 


หากฉินเฟิงไม่ได้เผาศพของอีกฝ่าย เกรงว่าเขาคงคิดว่าสร้อยประคำนี้เป็นเพียงเครื่องประดับธรรมดาๆ ใครจะคาดว่าหนึ่งในนั้นกลับเป็นอุปกรณ์รูนมิติ


 


“รีบหนีกันก่อนเถอะ”


 


ฉินเฟิงหยิบลูกประคำขึ้นมา เอ่ยสั่งไป๋หลี แล้วทั้งคนทั้งร่างของทั้งสองก็หายวับไป


 


เมื่อพวกอันธพาลของคลับอินทรีมาถึงที่นี่ ก็ไม่มีใครสนใจขี้เถ้าน้อยๆ ใจกลางตรอกที่มืดสลัว ทั้งหมดย่ำผ่านมันไป โดยไม่ทราบเลยว่าแท้จริงแล้วนั่นคืออดีตเจ้านายของตัวเอง!


Ch.72 – ออกสู่ทุ่งล่า

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.72 – ออกสู่ทุ่งล่า


 


ด้วยพลังเทเลพอร์ตของไป๋หลี ทำให้ฉินเฟิงสามารถกลับมาถึงบ้านของเขาในสวนชิงหู ได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที


 


เมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน ฉินเฟิงทิ้งตัว นั่งขาขวาทับซ้าย มุ่งเน้นสมาธิเข้าสู่ตันเถียนทันที


 


ในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์ของวันนี้ดีกว่ามากหากเทียบกับเมื่อวาน แม้ว่ากำลังภายในเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะยุ่งเหยิง แต่ฉินเฟิงเองก็มี 62 เส้นไหมกำลังภายในที่หนาแน่น แข็งแกร่ง และทรงประสิทธิภาพอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นกำลังภายในใหม่ที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ จึงไม่สามารถข่มกำลังภายในดั้งเดิมได้


 


อย่างไรก็ตาม ปริมาณกำลังภายในที่ตันเถียนรองรับได้ ในตอนนี้มันมีมากเกินไป ฉินเฟิงจึงรู้สึกราวกับว่าตันเถียนกำลังจะระเบิดออก


 


“จงดูดกลืน!”


 


ฉินเฟิงเร่งเคลื่อนย้ายสินสงครามที่เก็บเกี่ยวมาได้ในวันนี้


 


ศัตรูทั้งห้าคนบนเวทีประลอง มอบกำลังภายในให้แก่ฉินเฟิงทั้งสิ้น 51 เส้นไหม บางคนเขาไม่ได้ฆ่าก็จริง แต่จากนี้ไปคงมิแคล้วต้องกลายเป็นคนพิการ


 


แต่สิ่งที่น่าผวายิ่งกว่านั้นก็คือ กำลังภายในของเจียงเส้าอย่าง ซึ่งมีมากถึง 63 !


 


หลังจากปลดปล่อยพลังพิเศษดูดกลืน กำลังภายในเหล่านั้นก็ค่อยๆถูกย่อย ไหลผ่านเส้นลมปราณ เสริมสร้างความแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


ต่อมา กำลังภายในที่ถูกควบรวมก็กลายเป็นบริสุทธิ์ ถูกส่งกลับมายังตันเถียน


 


เส้นไหมกำลังภายในดั้งเดิมที่มากถึง 62 ของฉินเฟิง เริ่มไต่จำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


73 … 86 … 99 …


 


เส้นไหมที่หนาและทรงพลังแพร่กระจาย แทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งตันเถียน พวกมันอัดแน่นจนเกือบจะขยับไปไหนไม่ได้


 


แม้จะน่าเสียดาย ที่ยังมีกำลังภายในบางส่วนยังถูกส่งกลับมาไม่ครบ แต่ตันเถียนไม่อาจทานรับไหวอีกต่อไปแล้ว


 


“ทักษะลับกลืนดารา!”


 


ฉินเฟิงมุ่งเน้นสมาธิ ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยทักษะลับกลืนดารา


 


ตูม!


 


ภายในตันเถียน เกิดเสียงอึงอลราวกับมีการระเบิดขึ้น


 


พื้นที่ในตันเถียน พลันขยายตัวจนถึงขีดสุด สามารถรองรับกำลังภายในได้มากกว่าเดิม


 


ขณะเดียวกัน เส้นไหมกำลังภายในทั้งหมดก็แตกสลายลง!


 


ต่อมา กำลังภายในก็เริ่มควบรวมกันเป็นหมอก!


 


ฉินเฟิงหลับตาลง บนหน้าผากเขามีควันผุดออกมา ลอยขึ้นไปในแนวตั้ง แรงกดดันพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างกระทันหัน


 


หากผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G มีรูปแบบกำลังภายในเป็นเส้นไหม


 


ในส่วนของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ก็จะมีกำลังภายในในรูปแบบหมอก!


 


ช่วงเวลานี้เอง ฉินเฟิงได้รับการเลื่อนขั้นจากเลเวล G กลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F แล้ว!


 


“ฟิ้ว … ”


 


ฉินเฟิงพ่นลมหายใจคำหนึ่ง


 


เขาลืมตาขึ้น ในคู่ดวงตาสาดประกายสุกใส


 


ณ จุดนี้ เขาดื่มด่ำไปกับความรู้สึกที่ว่าตนแข็งแกร่งขึ้น


 


อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกนี้ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดแล้ว ก่อนจะเกิดใหม่ ฉินเฟิงเคยไปถึงเลเวล A มาก่อน อะไรที่เคยได้ครอบครองมาครั้งหนึ่ง ความน่าสนใจย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา


 


สภาวะจิตใจของฉินเฟิงค่อยๆสงบลง ยังไงก็ตาม เมื่อเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น สักพักเขาก็ต้องขมวดคิ้ว


 


หากกล่าวว่าการที่ฉินเฟิงสังหารยามของคลับอินทรีทั้งห้าคนเมื่อวานนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต งั้นวันนี้คงตรงกันข้าม มันจะต้องมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน!


 


เพราะเมื่อคนของคลับค้นพบว่าเจียงเส้าหยางหายตัวไป ในไม่ช้า พวกเขาคงจะสาวมาถึงฉินเฟิง ถึงตอนนั้นน่ากลัวว่าฉินเฟิงคงมิแคล้วถูกเพ่งเล็งเป็นเป้าสังหาร


 


เพียงลองคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่ตามมา มองยังไงก็เป็นปัญหา!


 


ฉินเฟิงครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะยกมือขึ้นเปิดอุปกรณ์สื่อสาร โทรหาคนๆหนึ่ง


 



 


ซูซิงฝูสะดุ้งตื่น ดวงตาของเขางัวเงีย ถูกปลุกด้วยเสียงของอุปกรณ์สื่อสาร หากเป็นปกติเขาคงกดปิดไปแล้ว ทว่าเสียงเรียกเข้าที่โทรมา มันดันเป็นเสียงที่แตกต่างจากคนอื่น ที่เขาตั้งไว้เป็นพิเศษเนี่ยสิ


 


เชาเงยหน้าขึ้นไปมองดูเวลา และพบว่าจริงๆแล้วมันคือตีสอง


 


“สามี ใครโทรมาหรอ?”


 


“ไม่มีอะไรหรอก คุณนอนต่อเถอะ”


 


ซูซิงฝูไม่ทีทางเลือกนอกจากรับโทรศัพท์ เขาก้มลงจูบภรรยา และลุกออกจากห้องนอนไป


 


“น้องชาย นี่มันดึกแล้วนา มีเรื่องอะไรงั้นหรอ?”


 


ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางคืนหรือตอนเช้า เจ้าหนูฉินเฟิงนี่เปี่ยมไปด้วยพลังงานเสมอเลยจริงๆ


 


“ขอโทษครับ แต่ผมมีข่าวบางอย่างจะขายให้กับคุณ!” ฉินเฟิงกล่าว “และมันสมควรที่จะเป็นข่าวดีซะด้วย”


 


ซูซิงฝูสลัดความงัวเงียไปสิ้น เมื่อย้อนคิดไปว่า ข่าวครั้งก่อนของฉินเฟิง คือการตายของเหอหลี


 


แล้วคราวนี้ ผู้โชคร้ายคนต่อมาจะเป็นใครกันหนอ?


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ซูซิงฝูก็ยังตื่นเต้น


 


“รอก่อนนะ ฉันจะออกไปหาเธอเดี๋ยวนี้ล่ะ! ถึงที่นั่นแล้วค่อยคุยกันต่อ”


 


เป็นธรรมดาที่บางอย่างไม่สมควรจะเอ่ยผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ซูซิงฝูวางสาย สวมเสื้อผ้าสบายๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังสวนชิงหู


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูซิงฝูนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านเก่าเขา รับฟังข่าวของฉินเฟิง พอได้ยินเขาก็รู้สึกว่าหูตัวเองคงฝาดไป


 


“ไหนเธอลองพูดอีกครั้งซิ เธอเพิ่งพูดว่าใครนะ? เจียงเส้าหยาง? เธอฆ่าเจียงเส้าหยางไปแล้วงั้นหรอ?”


 


“ใช่แล้ว แต่พวกเขาไม่น่าจะยังรู้ว่าเจียงเส้าหยางตาย และไม่มีหลักฐานใดๆที่พิสูจน์ว่าผมเป็นคนฆ่า แต่พวกเขาอาจจะตระหนักได้แล้วว่าผมสามารถสร้างปัญหาให้แก่พวกเขาได้”


 


ฉินเฟิงหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ เผยท่าทีปลอดโปร่ง ไม่เหมือนกับว่ากำลังพูดเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้อยู่เลย


 


ซูซิงฝูเห็นว่าฉินเฟิงเหมือจะไม่ได้ล้อเล่น แต่คราวนี้เขาไม่สามารถนั่งนิ่งๆได้จริงๆ


 


“ฉันเชื่อนะที่เธอบอกว่าตัวเองสามารถฆ่าเหอหลีได้ แต่ถ้าเธอบอกว่าตัวเองฆ่าเจียงเส้าหยาง ฉันคงทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆ เพราะถึงแม้ว่าเจียงเส้าหยางจะเป็นขยะ แต่เขาก็ยังเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F7 !”


 


ฉินเฟิงเห็นว่าอีกฝ่ายดูท่ายังไม่ก็ไม่ยอมเชื่อแน่ๆ ดังนั้นตนจึงหยิบเอาลูกประคำสีเงินออกมา


 


“คืออุปกรณ์รูนมิติของเจียงเส้าหยาง ผมไม่ได้ยุ่งอะไรกับมันเลย คุณสามารถตรวจสอบดูได้!”


 


พื้นที่มิติของเจียงเส้าหยางนั้นเล็กกว่าของเหอหลี มันมีพื้นที่เพียงหนึ่งตารางเมตรเท่านั้น ทว่าภายในกลับเก็บสิ่งของเอาไว้มากมาย


 


ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืน , อุปกรณ์รูนสีฟ้าและม่วง , ยาพิษจำนวนมาก และบัตรสีดำหนึ่งใบที่ไม่ระบุเครื่องหมาย


 


ภายในบัตรดำ มีเงินประมาณ 50 ล้านเหรียญบรรจุอยู่ เงินนี่เดิมทีคือเงินรางวัลจากการต่อสู้บนเวทีประลองใต้ดินของฉินเฟิง ที่เขาเลือกจะทิ้งมันไปแล้วตอนหลบหนีออกจากคลับ ไม่คิดเลยว่าเจียงเส้าหยางจะพกมันมาด้วย


 


สำหรับส่วนที่เหลือ ฉินเฟิงไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าเจียงเส้าหยางไม่ได้เก่งกาจในด้านการต่อสู้ อุปกรณ์รูนที่เขาครอบครองจึงล้วนเป็นแบบมาตรฐาน มิใช่สั่งทำเป็นพิเศษ ชัดเจนว่าเขาไม่มีความสนใจใดๆกับเรื่องนี้ ดังนั้นฉินเฟิงมอบมันต่อให้แก่ซูซิงฝูทั้งหมด


 


ซูซิงฝูดูอุปกรณ์รูนมิติ เมื่อต้องต่อสู้กับคนของรองผู้ว่าการมาหลายปี ดังนั้นเขาย่อมคุ้นเคยกับผู้ใช้พลังของรองผู้ว่าการเป็นอย่างดี แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้คือของใคร?


 


ซูซิงฝูสั่นสะท้าน เลือดลมของเขาพลุ่งพล่านขึ้นสมอง จับจ้องมาทางฉินเฟิงด้วยความตื่นเต้น


 


“ไอ้เด็กมหัศจรรย์! เธอดันไปทำเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว!” ซูซิงฝูอุทาน เขาผุดลุกขึ้นเดินวนไปวนมา ขบคิดถึงเรื่องราวต่างๆในจิตใจ และในไม่ช้า เขาก็ตระหนักได้ถึงประเด็นสำคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


“สำหรับหลินเซิง เธอไม่ต้องกลัวเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นรองผู้ว่าการ แต่อิทธิพลในมือก็เทียบไม่ได้กับผู้ว่าการเจิ้ง แถมปัจจุบันเขาก็ยังไม่อยู่ในเมือง แต่ถูกส่งไปปราบปรามกองทัพซากศพ!”


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้ว “เขาเองก็ถูกส่งเข้าสู่ทุ่งล่าอย่างงั้นหรือครับ?”


 


“ฉันไม่แน่ใจว่าเธอรู้เรื่องนี้รึเปล่า ว่านอกเมืองเฉิงหยางน่ะจู่ๆก็ปรากฏกองทัพซากศพจำนวนมากขึ้นอย่างกระทันหัน แถมตัวหัวหน้ามันยังเป็นการดำรงอยู่ของสัตว์ร้ายระดับราชันย์ในเลเวล F ดังนั้น ตอนนี้ทั้งสี่หัวเมือง และเมืองเฉิงหยางเลยจัดการส่งผู้ใช้พลังในเลเวล E ออกไปปราบปราม!”


 


“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ผมรู้” ฉินเฟิงพยักหน้า


 


การดำรงอยู่ของสัตว์ร้ายระดับราชันย์ หากเทียบเปรียบกับมนุษย์ในระดับเดียวกัน มันจำเป็นต้องใช้ผู้คนจำนวนมากรุมปิดล้อม จึงจะกวาดล้างและคว้าชัยชนะมาได้ แต่ก็ต้องเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นนับไม่ถ้วน


 


ดังนั้น เพื่อให้บรรลุซึ่งชัยชนะ โดยเกิดการสูญเสียน้อยที่สุด มนุษย์จึงต้องปล่อยให้ผู้ที่แข็งแกร่งออกไปลงมือ


 


ผู้ใช้พลังในเลเวล E ต่อกรกับราชันย์สัตว์ร้ายในเลเวล F -ผลลัพธ์สุดที่จะคาดเดาจริงๆ


 


นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมไป๋หลีถึงสามารถสังหารเจียงเส้าหยางได้อย่างง่ายดายในวันนี้


 


อย่างไรก็ตาม หากหลินเซิงเข้าไปในทุ่งล่าแล้ว ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็กำลังจะไปที่นั่นเช่นกัน หลังจากทั้งหมดนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับหลินเซิงหรอกหรือ?


 


แต่เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็ละความสนใจจากมันในทันที


 


เพราะตราบใดที่คนของรองผู้ว่าการยังไม่มั่นใจว่าเจียงเส้าหยางถูกตนเองฆ่า หลินเซิงย่อมไม่เพ่งเล็งมาทางฉินเฟิง


 


อีกอย่าง ผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เพิ่งตื่นขึ้นเพียงหนึ่งเดือน สำหรับหลินเซิงแล้ว มันก็เหมือนกับทารกที่เพิ่งหัดคลานเท่านั้น


 


ในเวลานี้ ตราบใดที่ฉินเฟิงไม่ทำตัวเตะตาหลินเซิงมากจนเกินไป หลินเซิงก็จะไม่เข้ามาวุ่นวายใดๆกับเขาในทุ่งล่าอย่างแน่นอน


Ch.73 – อบิลิตี้มืดที่แข็งแกร่งที่สุด

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.73 – อบิลิตี้มืดที่แข็งแกร่งที่สุด


 


“จำไว้ให้ดี คุณต้องช่วยหันเหความสนใจของพวกเขาไปจากผม” ฉินเฟิงกล่าว


 


ซูซิงฝูยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่ทราบจริงๆว่ามีวิญญาณชั่วร้ายสิงสู่อยู่ในหัวใจของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าหรืออย่างไร


 


ในความเป็นจริง โดยทั่วไปแล้ว ใครก็ตามที่สังหารเจียงเส้าหยาง สมควรจะพบเจอกับปัญหาใหญ่ และจำเป็นต้องหันมาซบอกซูซิงฝู หรือไม่ก็ตัวตนที่แข็งแกร่งผู้ว่าการเจิ้ง เพื่อรักษาชีวิต


 


ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงกลับกล่าวออกมาอย่างแข็งกร้าว คล้ายเป็นการออกคำสั่งโดยสิ้นเชิง


 


ราวกับว่านี่คือสิ่งที่ซูซิงฝูสมควรจะทำ


 


แต่เมื่อซูซิงฝูมองไปยังอุปกรณ์รูนมิติในมือของเขา เจ้าตัวก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง


 


หากมอบโอกาสรอดให้แก่ฉินเฟิง ช่วยเหลืออีกฝ่ายเบี่ยงเบนความสนใจในครั้งนี้ บางทีไม่สองก็สามเดือนต่อมา ฉินเฟิงอาจจะสามารถนำเอาอุปกรณ์รูนมิติของหลินเซิงมามอบให้กับเขาก็ได้!


 


“วางใจเถอะ ด้วยสิ่งของภายในนี้ น่าจะพอให้ฉันสามารถใช้มันปิดคลับอินทรีได้ แล้วจะแสร้งปล่อยข่าวเกี่ยวกับเจียงเส้าหยางเอง!”


 


แม้หลังจากนี้อาจจะเกิดเหตุวุ่นวายครั้งใหญ่ตามมา แต่ด้วยสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ในอุปกรณ์รูนมิติของเจียงเส้าหยาง ก็น่าจะกระตุ้นเส้นประสาทของผู้คนที่เกี่ยวข้องได้พอสมควร ว่าอย่าแส่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ มิฉะนั้นอาจถูกเปิดโปง และมีโทษทางกฏหมายถึงตาย


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว อาชญากรทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่ทรงพลัง และบ่อยครั้งมักจะละเมิดกฏหมาย ในที่ลับ ไม่อย่างนั้นเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลคงไม่คึกคักขนาดนี้


 


เมื่อได้ยินคำกล่าวของซูซิงฝู ฉินเฟิงก็พยักหน้า “เอาล่ะ ตกลงตามนั้น ข่าวนี้น่าจะมีมูลค่าสัก 50 ล้าน ผมจะให้เวลาคุณเตรียมตัวสักสองสามวัน แล้วค่อยมาจ่ายมันก็แล้วกัน ”


 


เดิมทีซูซิงฝูกำลังจะเอ่ยตักเตือนเขาด้วยท่าทีแข็งกร้าว แต่เมื่อได้ยินคำของฉินเฟิง ท่าทีแข็งกร้าวของเขาก็อ่อนโทรมลงทันที


 


นี่ฉินเฟิงจะคิดราคานี้จริงๆน่ะหรอ!


 


อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้นับว่าคุ้มค่า ผลจากการล่วงรู้มันมีค่ามากกว่าเงินที่ว่าด้วยซ้ำ


 


กระทั่งซูซิงฝูก็ยังไม่กล้าต่อรองราคาในครั้งนี้


 


“ก็ได้ๆ ฉันจะรายงานเรื่องนี้ไปยังเบื้องบน หลังจากได้รับเงินแล้ว ฉันจะมอบมันให้แก่เธอทันที”


 


ซูซิงฝูไม่รั้งอยู่อีกต่อไป เพราะยังไงซะ ทั้งสองได้สนทนากันมายาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมง และตอนนี้ก็ปาเข้าไปตี 3 ครึ่งแล้ว และอีกไม่นานก็จะถึงรุ่งเช้า


 


หลังจากที่ซูซิงฝูจากไป ก็เข้าสู่ช่วงเวลาผ่อนคลายของฉินเฟิง


 


เขาเข้าไปอาบน้ำขัดตัวเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องนอน ทว่าก็ต้องชะงักไป


 


เพราะแม้จะไม่มีแสงสว่างใดๆ หากแต่ฉินเฟิงคือผู้ที่สามารถปลุกอบิลิตี้มืดขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาย่อมสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน เจ้าตัวพบว่าในเวลานี้ บนเตียงใหญ่ มีเด็กสาวทรงเสน่ห์กำลังจมอยู่ในห้วงหลับฝัน ส่งเสียงกรนน้อยๆ น้ำลายหยดย้อยลงจากมุมปากของเธอ


 


ช่างเป็นภาพที่ดูน่ารักบริสุทธิ์ แต่ขณะเดียวกันก็ยั่วยวน!


 


ไม่เพียงเท่านั้น อีกฝ่ายยังเปลี่ยนไปใส่ชุดนอนผ้าไหมที่เพิ่งจะซื้อมา แต่ต่อให้สวมเสื้อแล้วยังไง? มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สวมใส่อะไรเลยอยู่ดี


 


ฉินเฟิงสูดหายใจลึก สุดท้ายตัดสินใจว่าจะไปนอนที่ห้องรับแขก ในหัวคิดว่าจากนี้ไป คงต้องสั่งสอนให้เสี่ยวไป๋รู้บ้างแล้วว่าชายหญิงไม่ควรจะนอนร่วมห้องกัน!


 


ทว่าเมื่อคิดถึงจุดนี้ ฝีเท้าของฉินเฟิงก็ต้องหยุดลง


 


“แต่ถ้าฉันไปนอนห้องอื่น ท่านปู่น้อยคงโกรธอีกแน่ๆ ช่างเถอะ คิดซะว่ายังไงมันก็เป็นแค่จิ้งจอกตัวหนึ่งก็แล้วกัน!”


 


เมื่อปลอบใจตัวเองเช่นนี้ ฉินเฟิงจึงค่อยผ่อนคลายลง ดึงผ้าห่มออกมาอีกฝั่งให้ไกลพอสมควร มุดเข้าไปและนอนลง


 


จิ้งจอกน้อยที่กำลังหลับปุ๋ย เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย มันก็ม้วนตัวเข้ามาใกล้ๆ เลียแก้มฉินเฟิง ยกขาขึ้นพาดตัวเขา แล้วหลับไปอย่างสงบอีกครั้ง


 


ฉินเฟิง “ … ”


 


ทำแบบนี้ ฆ่าฉันซะยังดีกว่า!


 


ฉินเฟิงควบคุมสติอารมณ์ของเขา เบี่ยงเบนความสนใจจากจิ้งจอกน้อย มุ่งสมาธิเข้าไปในแก่นอบิลิตี้ของตัวเอง


 


ปัจจุบัน สถานะผู้ใช้วรยุทธของเขาได้ขึ้นสู่เลเวล F แล้ว ทว่าสถานะผู้ใช้อบิลิตี้ของฉินเฟิงยังไม่ได้รับการยกระดับเลย


 


เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ฉินเฟิงยังไม่พบวิธีดีๆที่จะใช้ฝึกฝนพลังสมาธิของเขา!


 


แน่นอน ว่าผู้ใช้อบิลิตี้น่ะแข็งแกร่งอย่างหาที่ใดเปรียบ อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนของพวกเขาก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน กระทั่งก่อนที่ฉินเฟิงจะเกิดใหม่ เขายังเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง แต่ยามเมื่อพลังเติบโตขึ้น อำนาจของผู้ใช้อบิลิตี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้วรยุทธโบราณจะสามารถเทียบเปรียบได้


 


“หรือว่าฉันควรจะไปฆ่าพวกมือปืน เพื่อดูดกลืนพลังสมาธิและการรับรู้ของพวกเขามาดี?”


 


ยังไงก็ตาม แม้มือปืนจะมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่จะสังหารพวกเขา ต้องไม่ลืมนะว่าการฆ่าแกงกัน มีแค่บนเวทีประลองใต้ดินเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินเฟิงเลยไม่มีทางเลือก จำต้องเริ่มต้นกระตุ้นพลังสมาธิ โคจรแก่นอบิลิตี้ ทำตามบทเรียนของอาจารย์เฉิงเฉาทีละขั้น ทีละตอน เริ่มค้นหารูนที่สามารถจัดเรียงกับอบิลิตี้ได้


 



 


หลังจากทนทรมานจนรุ่งเช้า ฉินเฟิงกับไป๋หลีในร่างจิ้งจอกน้อย ก็ก้าวเข้าสู่รั้วสถาบันระดับสูงอีกครั้ง


 


วิชาในช่วงเช้ายังคงเป็นทฤษฏีรูน และการวิเคราะห์สัตว์ร้าย แต่ในช่วงบ่ายเป็นวิชาปืนจักรกล!


 


อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากวิชาทฤษฏีรูนแล้ว วิชาอื่นๆล้วนไร้ประโยชน์สำหรับฉินเฟิง


 


หลังจากจบวิชารูน ฉินเฟิงก็ลุกขึ้นและตรงไปที่ห้องสมุดทันที แต่ก็ถูกวัยรุ่นสาวที่ผูกผมหางม้าหยุดเอาไว้


 


“ฉินเฟิง คลาสผู้ใช้อบิลิตี้ของเราสร้างกลุ่มแชทไว้ติดต่อกันแล้วนะ นายก็ควรจะใช้อุปกรณ์สื่อสารของนายเข้ากลุ่มด้วยเหมือนกัน จะได้ติดต่อกันสะดวกมากขึ้น”


 


“อ่า ตกลง”


 


ฉินเฟิงพยักหน้า เขาไม่ปฏิเสธที่จะทิ้งหมายเลขสื่อสาร และเข้าร่วมกลุ่มแชทของคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ ส่วนคนที่ชวนเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหัวหน้าห้องของคลาส – จ้าวหยู


 


จ้าวหยูเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ไฟ ในการทดสอบ ทั้งความเข้มข้นของพลังสมาธิและความเข้ากันได้กับรูน เธอล้วนอยู่ในระดับ B จึงและไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในไม่ช้า เธอก็จะกลายเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียน


 


ด้วยเหตุนี้เอง การที่เธอถูกเลือกเป็นหัวหน้าห้อง เลยไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงโดดคาบวิเคราะห์สัตว์ร้าย หนีมาหมกตัวอยู่ในห้องสมุด


 


ภายในห้องสมุดแทบจะเรียกได้เลยว่าโล่งโจ้ง เกือบจะว่างเปล่า เพราะหนังสือส่วนใหญ่ ปัจจุบันได้ถูกแทนที่ด้วยชิปหมดแล้ว


 


“เจอแล้ว! ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้อบิลิตี้มืด!”


 


ดวงตาของฉินเฟิงเปล่งประกายสดใส


 


มันมีอยู่จริงๆ ถึงจะแค่อันเดียวก็เถอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย


 


ฉินเฟิงใส่ชิปลงไปในอุปกรณ์สื่อสารของเขา เนื้อหาภายในมีน้อยนิดเท่านั้น แต่ก็ยังชวนให้ประหลาดใจ


 


พออ่านมาได้ถึงช่วงกลาง ฉินเฟิงก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้


 


เพราะสถาบันระดับสูงทางตอนเหนือ เปิดมานานกว่า 50 ปีมาแล้วก็จริง แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว กลับมีผู้ใช้อบิลิตี้มืดปรากฏขึ้นเพียง 2 คนเท่านั้น


 


ผู้ใช้อบิลิตี้มืดคนแรกที่ปรากฏตัวขึ้น แข็งแกร่งชนิดต่อต้านสวรรค์ อย่างไรก็ตาม หลังจากจบการศึกษา เขาดันไปเข้าร่วมกับองค์กรต่อต้านมนุษยชาติ และกลายเป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด จากนั้นไม่นานก็ถูกฆ่าตาย


 


นับเป็นความอัปยศอย่างยิ่งของสถาบันระดับสูงทางตอนเหนือ!


 


ผู้ใช้อบิลิตี้มืดคนที่สองปรากฏตัวขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน หลังจากที่เขาพบว่าตัวเองเป็นผู้ใช้อบิลิตี้มืด เขาก็ต้องการที่จะเรียนรู้จากทางสถาบัน แต่หลังจากเข้ามา ผลปรากฏว่าทางสถาบันไม่เคยมีบันทึกใดๆเกี่ยวกับอบิลิตี้มืดเลย เขาตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เป็นอย่างนี้มาครึ่งปี สุดท้ายก็ตัดสินใจทิ้งข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้เองเอาไว้


 


【ฉันหวังว่าในอนาคต นักเรียนรุ่นน้องที่สามารถปลุกอบิลิตี้ธาตุมืดขึ้นมาได้เหมือนกัน จะช่วยกันทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับรูนของธาตุมืดเอาไว้ที่นี่ ส่งต่อไปยังรุ่นต่อๆไป】


 


【ตามทฤษฏีแล้ว พื้นฐานของอบิลิตี้ทั้งสิบธาตุล้วนเหมือนกัน รูนที่ปรากฏก็เหมือนกัน ลักษณะก็เหมือนกัน ทว่าแต่ละสีต่างก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และนี่คือตัวอย่างที่ง่ายดายที่สุด … 】


 


【หลังจากทำการค้นหาข้อมูลไปมากมาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันก็ค้นพบว่า อบิลิตี้ธาตุมืดน่ะแข็งแกร่งกว่าทุกธาตุจริงๆ แต่ทักษะของมันที่จะใช้สำแดงพลังออกมา กลับแตกต่างจากธาตุอื่นๆ ฉันไม่สามารถหามันพบได้เลย … 】


 


【แต่ที่ฉันรู้ได้ว่าธาตุมืดแข็งแกร่งที่สุด นั่นก็เพราะเหตุการแห่งความตายอันน่าสยดสยองเมื่อ 67 ปีก่อน หลังจากการทำลายล้างครั้งใหญ่ทางทิศตะวันออก จู่ๆก็มีชายในชุดคลุมดำปรากฏตัวขึ้นจากรอยแยกมิติ และด้วยการยื่นมือออกไป ชี้นิ้วเพียงนิ้วเดียว ปลดปล่อยลำแสงสีดำทะลุผ่านฟากฟ้า สังหารคู่ต่อสู้ผู้ใช้อบิลิตี้ระดับ S สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่หลงเหลือกระทั่งซากศพ ฉากนั้นทำให้มนุษย์เลเวล S ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกสามคนในที่นั่นถึงขั้นหวาดผวา 】


 


พอได้อ่านข้อมูลนี้ ในหัวใจของฉินเฟิงก็เต้นครึกโครม มิอาจสงบสติอารมณ์ได้เป็นเวลานาน


 


“เพียงหนึ่งนิ้วก็ส่งตัวตนสุดแกร่งลงสู่ความตาย?”


 


ในนิ้วเดียว สามารถสังหารผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล S ได้อย่างกระทันหัน อำนาจของมันจะทรงพลังถึงขนาดไหนกันนะ?


 


แล้วถ้าหากเทียบกับฉินเฟิงเล่า? ฉินเฟิงที่ครอบครองรูนมืดนับร้อยๆล้านอยู่ภายในร่างกาย หากเขาสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้ในคราวเดียว จำนวนรูนที่ว่าจะเพียงพอต่อการใช้ทักษะหนึ่งดรรชนีสู่ความตายนี้หรือไม่?


Ch.74 – อาจารย์วิชาปืนช่างหยาบคาย

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.74 – อาจารย์วิชาปืนช่างหยาบคาย


 


พอถึงช่วงเที่ยง ฉินเฟิงหยิบเนื้อตากแห้งที่เก็บไว้ในพื้นที่มิติของเสี่ยวไป๋ขึ้นมากินโดยไม่ไปโรงอาหาร เขาตรวจสอบข้อมูลต่อไป แต่คราวนี้ข้อมูลที่เขากำลังตรวจสอบเป็นรูนของธาตุอื่นๆ


 


โดยมุ่งเน้นธาตุไฟเป็นเฉพาะ เพราะอย่างไรเสีย ฉินเฟิงเองก็เป็นผู้ที่สามารถใช้รูนไฟกลายพันธ์ได้เช่นกัน


 


ระหว่างที่เขากำลังค้นข้อมูลอยู่ จู่ๆอุปกรณ์สื่อสารก็เริ่มสั่นไหว


 


พอฉินเฟิงยกขึ้นดู ปรากฏว่ามันเป็นจ้าวหยู ที่เพิ่งจะขอเบอร์เขาเมื่อเช้านี้เอง


 


“หัวหน้าห้อง มีอะไรงั้นหรอ?” ฉินเฟิงถามอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ฉินเฟิง นายโดดเรียนอีกแล้วนะ อาจารย์วิชาอาวุธปืนเขาเช็คชื่อ และพบว่านายไม่มา 2 ครั้งแล้ว ตอนนี้เขาเลยหมดอารมณ์จะสอนคนทั้งชั้น ถ้านายยังอยู่ในโรงเรียน ขอเหอะ รีบมาเข้าเรียนด้วย!” จ้าวหยูกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนระคนหวาดกลัว


 


ฉินเฟิงเงียบไปพักหนึ่ง คล้ายกำลังนึกถึงภาพสถานการณ์ของหัวหน้าห้องที่ถูกดุในฐานะตัวแทนนักเรียนประจำชั้น


 


อาจารย์วิชาปืนกำลังโกรธ เขาเลยเลือกที่จะไม่สอนทุกคน!


 


“โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”


 


“โล่งอกไปที! รีบมาเลยนะ พวกเราอยู่ในสนามยิงปืน!”


 


“เข้าใจแล้ว”


 


สนามยิงปืนของสถาบันระดับสูงในชุมชนทางตอนเหนือ ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของโถงกีฬา ถึงจะกล่าวกันว่าโถงกีฬา แต่ในความเป็นจริงแล้วรอบๆสถานที่แห่งนี้มีสภาพคล้ายกับเมืองขนาดย่อม เนื่องจากมันเป็นจุดรวมพลเก่า


 


ห้องโถงกีฬามีเพียง 8 ชั้น แต่กว่าที่ฉินเฟิงจะขึ้นลิฟต์ไปยังสถานที่เรียกวิชาปืน เวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 20 นาทีแล้ว


 


เมื่อฉินเฟิงมาถึง นักเรียนทุกคนที่อยู่รอบๆก็มองเขาเป็นสายตาเดียว แน่นอน ว่าอาจารย์เองก็เช่นกัน


 


“เธอเป็นนักเรียนคลาสอะไร? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? มีเรียนกับเขาด้วยหรือ?”


 


อาจารย์วิชาปืนกล่าวประชดแดกดัน


 


จ้าวหยูกลัวว่าฉินเฟิงจะถูกไล่กลับไป เพราะอาจารย์กำลังอารมณ์เสีย เลยเร่งอธิบายว่า “อาจารย์หยาง เขาคือนักเรียนคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ของพวกเรา มาเพื่อเรียนวิชานี้”


 


“คลาสผู้ใช้อบิลิตี้มันเป็นบ้าอะไรกันไปหมดแล้ว!!”


 


จู่ๆอาจารย์หยางก็ขึ้นเสียง ตะโกนเสียงดังจนหูแทบแตก


 


“อย่าคิดนะว่าแค่ปลุกอบิลิตี้ให้ตื่นขึ้นมาได้ แล้วตัวเองจะกลายเป็นคนเก่งจนไม่ต้องไว้หน้าใคร ความแข็งแกร่งของพวกเธอในตอนนี้มันก็ไม่แตกต่างจากคนธรรมดาเท่าไหร่นักหรอก ใช้พลังทำอะไรได้บ้างล่ะตอนนี้? จุดบุหรี่? เรียกน้ำมาดื่มดับกระหาย? ปลูกต้นข้าวสาลี? เหอะ! พวกนั้นมันไม่ช่วยอะไรเลย สิ่งที่ช่วยให้พวกเธอสามารถรอดชีวิตไปได้ในช่วงแรก มันคือวิชาปืนต่างหาก! แต่ในเมื่อมีคนไม่ต้องการจะเรียน ก็ไสหัวไปซะ!”


 


อาจารย์หยางกล่าวอย่างเชื่องช้าด้วยน้ำเสียงเสียดแทง ทว่าหากสังเกตดีๆ จะค้นพบถึงร่องรอยของความอิจฉาในแววตาของเขา


 


อาจารย์หยางเป็นคนจ้าวอารมณ์และเอาแต่ใจมากๆ ชนิดที่ว่าในชั้นเรียนเมื่อวันก่อน เขาถึงขั้นสั่งให้ทั้งชั้นเรียนทดลองยิงปืนพกแบบเก่า โดยไม่บอกล่วงหน้าว่าต้องนำที่อุดหูมาด้วย ผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่า หูของคนกว่าครึ่งชั้นอื้ออึงไปตลอดทั้งวัน


 


ด้วยเหตุนี้เอง นักเรียนจึงจดจำอาจารย์คนนี้ได้เป็นอย่างดี แถมยังรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่หน่อยๆ


 


จังหวะนั้นเอง ฉินเฟิงค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน และมองไปยังโต๊ะปฏิบัติการซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธปืน


 


ฉินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงแม้ว่าที่อาจารย์พูดมันจะฟังดูดี แต่อาวุธที่อาจารย์บอกว่าสามารถใช้ช่วยชีวิตได้พวกนี้มันล้วนเป็นอาวุธระดับต่ำ ผมได้ยินมาว่าในสถาบันระดับสูงมีอิสระในการเรียน และผมคิดว่าวิชานี้ไม่มีประโยชน์ มันไม่ได้ช่วยอะไร ผมก็เลยไม่มา”


 


“ไม่มีประโยชน์อย่างงั้นหรอ?” แววตาของอาจารย์หยางสาดประกายด้วยความโกรธ “เธอหมายความว่ายังไงไอ้ที่บอกว่าไร้ประโยชน์? เธอมันบ้าไปแล้ว คิดว่าตัวเองครอบครองตราสัญลักษณ์ผู้ใช้พลังเลเวล G แล้วรึไง? ใช้คำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ตอนนี้ แค่ฉันประชิดตัวแล้วกดมือลงบนไหล่เธอ เธอก็ไม่สามารถใช้พลังพิเศษได้แล้ว นั่นหมายความว่าอะไรรู้ไหม? มันหมายความว่าหากปราศจากอาวุธปืนไว้ช่วยชีวิต พวกผู้ใช้อบิลิตี้อย่างเธอมันก็แค่ตัวไร้ประโยชน์! ขนาดไปในทุ่งล่า เจอสัตว์ร้ายทีไร พวกผู้ใช้อบิลิตี้แบบเธอยังต้องอยู่ในแนวหลังเลย!”


 


เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา นักเรียนทั้งชั้นก็แสดงออกถึงแววตาไม่พอใจอย่างชัดเจน


 


นั่นเพราะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าผู้ใช้อบิลิตี้นั้นแข็งแกร่งที่สุดในสายอาชีพต่อสู้ แต่คำพูดของอาจารย์หยางกลับดูถูกพวกเขาเป็นอย่างมาก


 


ยิ่งไปกว่านั้น นักเรียนทั้งคลาสนี้ล้วนเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ นี่ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์หยางกำลังดูถูกพวกเขาอยู่หรือ?


 


ต้องทราบนะว่าคนที่สามารถปลุกอบิลิตี้ให้ตื่นขึ้นมาได้ ล้วนมีความภาคภูมิใจในวาสนาของตนเอง!


 


ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น กล่าวประชดประชันสวนกลับไป


 


“อาจารย์ครับ ผมไม่ได้บอกว่าอาวุธปืนไม่ดี แต่ผมแค่บอกว่าไอ้เรื่องที่คุณจะสอนน่ะ มันไม่จำเป็นต้องเรียนรู้!”


 


“ว่ายังไงนะ!?” อาจารย์หยางเดือดขึ้นมาอีกครั้ง นานแค่ไหนแล้วหนอ? ที่ไม่มีใครกล้ามาเอ่ยปากก่นด่าวาจาทิ่มแทงแบบนี้ใส่เขา?


 


ไอ้เด็กนี่ คงจะเป็นเพราะเมื่อวานมันโดดเรียน เลยยังไม่เห็นถึงความโหดร้ายของฉันใช่ไหม?


 


“ไอ้เด็กเหลือขอ เชื่อไหมว่าฉันสามารถขัดขวางไม่ให้แกเรียนจบวิชาอาวุธปืนได้ วิชาที่สำคัญเป็นอันดับสองในชั้นเรียนผู้ใช้อบิลิตี้ ตอนนี้แกยังกล้าพูดว่าแกไม่จำเป็นต้องเรียนในสิ่งที่ฉันสอนอีกรึเปล่า?”


 


“โห? ขัดขวางไม่ให้เรียนจบสินะ” ฉินเฟิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าอาจารย์หยางน่ะเหมือนกับหมาบ้า สุดท้ายก็เอ่ยปากข่มขู่เขา “งั้นเอาอย่างนี้เป็นไง ขอให้อาจารย์ทำการทดสอบปลายภาคแก่ผมตั้งแต่ตอนนี้เลย ถ้าผมชนะหรือผ่านการประเมิน ต่อไปผมก็ไม่จำเป็นต้องมาเข้าชั้นเรียน และอาจารย์ก็ต้องใส่คะแนนเต็มให้ผมด้วย คิดว่าอย่างไรครับ? ”


 


 


อาจารย์หยางฉีกรอยยิ้มน่าหวาดหวั่นด้วยความโกรธ


 


“เห? ได้เลย เธอกล้าหาญมาก ฉันไม่เคยพบเจอไอ้บ้าแบบนี้มาก่อนเลย ชื่อฉินเฟิงใช่ไหม? งั้นพวกเราจะมาทดสอบกัน ถ้าเธอผ่านเธอก็จะจบหลักสูตรนี้ได้ทันที แต่ถ้าเธอล้มเหลว เธอก็จะต้องออกจากสถาบันระดับสูงแห่งนี้ไปทันทีเหมือนกัน!”


 


บังเกิดเสียงร้องอุทานจากนักเรียนรอบข้าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คาดคิดเลย ว่าอาจารย์หยางจะพูดแบบนั้นออกมา


 


“อาจารย์หยาง แบบนั้นไม่ได้นะคะ อาจารย์ลงโทษเขาแรงเกินไปแล้ว พอเถอะค่ะ หลังจากนี้ไปหนูจะตามตัวฉินเฟิงมาเข้าเรียนวิชาปืนทุกวันให้เอง!”


 


จ้าวหยูเอ่ยปากออกไป ในขณะที่นักเรียนคนอื่นแม้จะขุ่นเคืองแต่ก็ไม่กล้าโต้แย้ง อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่าอาจารย์หยางทำเกินไป


 


“หุบปาก! ตกลงว่าฉันเป็นอาจารย์ หรือเธอเป็นกันแน่? ในเมื่อนักเรียนมันดื้อด้าน ฉันก็จะไม่เอามันไว้!”


 


จ้าวหยูคอตก ก้มหน้าลง ดวงตาของเธอเริ่มแดงเรื่อ


 


ในเวลานี้ ใบหน้าของฉินเฟิงเลยกลายเป็นเย็นเยียบ


 


อาจารย์หยางคนนี้หยาบคายเกินไปแล้วจริงๆ!


 


หากดุด่าเพียงตนมันก็ไม่เป็นไร แต่นี่ไปลงกับคนอื่นด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ฉินเฟิงจะทันได้เอ่ยปากออกไป อาจารย์หยางก็หยิบปืนออกมาจากกองจักรกลกระบอกหนึ่ง และเริ่มแยกส่วนมัน


 


นี่คือปืนพกที่ใช้สอนพวกผู้ใช้อบิลิตี้ เป็นปืนที่พกได้ไปไหนได้สะดวก


 


แต่เห็นได้ชัด ว่าปืนพกกระบอกนี้มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่าปืนอื่นๆมากนัก และยังดูมีแรงดีด ต่อการยิงที่มากกว่าเช่นกัน


 


“ประกอบปืนนี้ให้ได้ภายใน 30 วินาที จากนั้นก็เล็งยิงไปที่ใจกลางเป้าสิบนัด โดยคะแนนเฉลี่ยทั้งหมดต้องมากกว่า 8 แล้วจะถือว่าผ่านการทดสอบ!”


 


ทั่วบริเวณพลันเงียบงัน ทั้งหมดไปคาดคิดเลย ว่าการทดสอบจะยากเย็นถึงขนาดนี้!


 


ต้องทราบนะว่าในสถาบันระดับกลาง พวกเขาได้เรียนรู้วิชาต่อสู้มาก็จริง แต่ไม่มีใครเลย ที่เคยเรียนวิชาอาวุธปืนมาก่อน


 


สำหรับอาวุธปืน พวกเขาเพิ่งเคยได้จับมันเมื่อวานนี้เอง นับว่าเป็นมือใหม่ของมือใหม่อย่างแท้จริง


 


ปัจจุบัน ปืนพกที่ให้ประกอบมันซับซ้อนเกินไป จนไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน หลังจากที่ถูกแยกออกจากกัน


 


สีหน้าของฉินเฟิงยังคงสงบนิ่ง


 


“อาจารย์หยาง ทำไมอาจารย์ไม่ร่วมทดสอบกับผมล่ะ? ถ้าอาจารย์ล้มเหลว อาจารย์ก็จะได้รวดออกจากสถาบันระดับสูงทางตอนเหนือไปด้วยเลยไง?”


 


“ไอ้เด็กปากปีจอ ถ้าไม่เห็นความตายตรงหน้า แกก็จะไม่ยอมหยุดใช่ไหม!?” อาจารย์หยางหัวเราะเย้ยหยัน แต่ฉินเฟิงทราบดีว่าอีกฝ่ายยอมตกลงแล้ว


 


อาจารย์หยางแน่นอนว่าย่อมไม่ตระหนักถึงแผนการของฉินเฟิง ว่าในตอนนี้เขากำลังล่อลวงอาจารย์ให้เข้าร่วมทดสอบ สองตาคอยจ้องมองสองมือของอาจารย์ ระหว่างที่อาจารย์หยางประกอบปืน มือของเขาก็จะวูบไหวประกอบปืนตาม และหลังจากที่คาดเดาชิ้นส่วนต่างๆได้คร่าวๆแล้ว ก็จะเร่งสปีดกลางคัน แล้วชิงประกอบปืนจนสมบูรณ์ตัดหน้า สาดกระสุนยิงเข้าใส่ใจกลางเป้าก่อน —เท่านี้ฉินเฟิงก็จะชนะ!


 


และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อาจารย์หยางไม่คิดปฏิเสธแต่อย่างใด


 


“ก็เอาสิ ฉันจะแสดงให้เห็นเอง ว่ามือปืนที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร!”


 


อาจารย์หยางเพียงสะบัดนิ้ว หยิบปืนรุ่นเดียวกันออกมา บังเกิดเสียงดังแกร๊งกรั๊ง แยกประกอบออกมาเป็นชิ้นส่วนจักรกล


 


ดวงตาของจ้าวหยูเป็นสีแดงเรื่อ ปัจจุบันเธอกลายเป็นผู้ตัดสิน และคนจับเวลา


 


“เตรียมพร้อม — เริ่มได้!”


 


ภายใต้คำประกาศ สองคนสี่มือก็วูบไหวในเวลาเดียวกัน


Ch.75 – 10 คะแนน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.75 – 10 คะแนน


 


การเคลื่อนไหวของฉินเฟิงลื่นไหลราวกับสายน้ำ เพียงลูบไล้ ชิ้นส่วนจักรกลก็ถูกสับเปลี่ยนตำแหน่ง และหากเพ่งมองอย่างใกล้ชิด ก็จะทราบได้ว่าเขาสามารถจัดเรียงลำดับในการประกอบมันได้อย่างแม่นยำ


 


คลิ๊ก คลิ๊ก คลิ๊ก!


 


มือของฉินเฟิงขยับไหวอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะเห็นเป็นภาพลวงตา


 


ต้องทราบนะว่าร่างกายของเขาได้รับการเสริมแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นในด้านพละกำลัง , ความว่องไว หรือความยืดหยุ่น


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ฉินเฟิงยังเคยดูดซับพลังสมาธิของเหอหลี มือปืนเลเวล F ซึ่งครอบครอบการรับรู้ที่ทรงพลังมาเป็นของตัวเอง


 


ด้วยเหตุนี้เอง การวิเคราะห์และประกอบจักรกลเบื้องหน้านี้จึงเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา ยิ่งมีอาจารย์หยางคอยนำในช่วงแรกแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง


 


ไหนจะเรื่องที่ ในชีวิตก่อนหน้า ฉินเฟิงเคยเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณมาก่อน และในช่วงแรกๆ เขามักจะพกปืนติดตัวอยู่เสมอ


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปืนน่ะเป็นอาวุธที่ใช้โจมตีระยะไกล ในขณะที่ผู้ใช้วรยุทธโบราณก็มีช่วงเวลาที่พวกเขาไม่สามารถเข้าประชิดตัวศัตรูได้เหมือนกัน


 


ช่วงแรกๆฉินเฟิงเริ่มต้นจากศูนย์ เขาแทบจะไม่มีเงินติดตัวเลย ในขณะที่ปืนเป็นเป็นอาวุธของพวกเศรษฐี และการซ่อมแซมมันก็มีราคาแพงมาก ดังนั้นฉินเฟิงจึงมักจะต้องซ่อมพวกมันด้วยตัวเองอยู่เสมอ การประกอบชิ้นส่วนเข้าด้วยกันเลยเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา


 


สำหรับเพื่อนคนอื่นๆในคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ การประกอบชิ้นส่วนปืนเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากสุดๆ อย่างไรก็ตาม ยามเมื่อชิ้นส่วนเหล่านั้นอยู่ในมือของฉินเฟิง พวกมันกลับเปลี่ยนรูปร่างไปได้ในพริบตา


 


เดิมอาจารย์หยางยังคงประมาท และต้องการจะพ่นคำดูถูกถากถางสักนิดๆหน่อยๆ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น ตนกลับพบว่าฉินเฟิงได้ประกอบปืนเสร็จไปครึ่งลำแล้ว


 


‘นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน? เวลาเพิ่งผ่านมาเท่าไหร่เอง? 5 วินาที? 6 วินาทีเท่านั้นมิใช่หรือ?’


 


อาจารย์หยางจ้องมองฉากนี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พยายามเร่งมือให้เร็วขึ้น ทว่าเนื่องจากภาพตรงหน้าทำให้เกิดความตื่นตระหนก สับสนในจิตใจ ระดับความเร็วของเขาจึงลดหลั่นลง


 


แกร๊ก!


 


ฉินเฟิงประกอบชิ้นส่วนปืนทั้งหมดเข้าด้วยกัน ปืนพกหวนคืนสู่รูปลักษณ์สมบูรณ์แบบดังเดิม


 


“ติ๊ง! เวลาประกอบปืน : 9.31 วินาที!”


 


และในอีกวินาทีต่อมา สองหูของอาจารย์หยางก็อื้ออึงไปด้วยเสียงสนั่น


 


ปัง!


 


ฉินเฟิงยกแขนขึ้นด้วยท่วงท่าแสนสบาย เขายิงออกไปโดยไม่มีการเล็งใดๆ


 


‘ทำแบบนั้น ไม่ถูกเป้าแน่นอน!’


 


อาจารย์หยางพูดกับตัวเอง เขาคาดหวังว่าการโจมตีของฉินเฟิงในครั้งนี้ จะพลาดเป้าโดยสิ้นเชิง


 


อย่างไรก็ตาม เสียงของจักรกลมิอาจหลอกลวงผู้คนได้


 


【สิบคะแนน!】


 


ปัง ปัง ปัง!


 


【สิบคะแนน!】 【สิบคะแนน!】 【สิบคะแนน!】


 


ปัง ปัง ปัง ปัง!


 


 


เสียงสิบคะแนนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมๆกับเสียงลั่นไก และทุกๆนัด จะมีเสียง สิบคะแนนๆ ดังตามขึ้นมาคล้ายกับกำลังประชดประชัน


 


ขณะที่ในเวลานี้ ปืนในมือของอาจารย์หยาง ยังประกอบไม่เสร็จด้วยซ้ำ!


 


ฉินเฟิงวางปืนพกคืนลงบนโต๊ะอย่างสงบ และด้วยเสียงกระแทกกับพื้นโต๊ะนี่เอง ที่เรียกสติของอาจารย์หยางกลับคืน เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า คล้ายกับมีควันโขมงลอยขึ้นเหนือหัว เจ้าตัวคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอยากจะให้มีรอยแยกมิติเกิดขึ้น จะได้มุดหนีเข้าไปให้พ้นๆเสีย


 


“อาจารย์หยาง ผมสามารถทำคะแนนได้เต็มในการทดสอบ แบบนี้เรียกว่าผ่านการประเมินอย่างสมบูรณ์แบบใช่ไหมครับ?” ฉินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย “แน่นอน ว่าการเดิมพันก่อนหน้านี้ของผม เป็นแค่ลมปากที่พ่นออกมาเพราะความโกรธ คุณไม่ต้องคิดจริงจังกับมันก็ได้!”


 


พอได้ฟัง ใบหน้าของอาจารย์หยางก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมเขียว


 


นักเรียนคนนี้ –กำลังสาดเชื้อเพลิงซ้ำลงในกองไฟ!


 


สำหรับอาจารย์หยาง ปัจจุบันต่อให้เขาไม่คิดจริงจังกับคำพูด แต่ตนได้เสียหน้าไปแล้ว!


 


เคร้ง!


 


ชิ่นส่วนจักรกลในมือเขาถูกโยนลงบนโต๊ะปฏิบัติการอย่างแรง “ในเมื่อฉันไม่สามารถสอนสั่งนักเรียนอย่างเธอได้ ถ้างั้นเธอก็เป็นคนสอนนักเรียนทั้งคลาสเองก็แล้วกัน!”


 


สิ้นประโยคนี้ อีกฝ่ายก็หันหลัง กระดิกหางหนีไปทันที


 


อาจารย์หยางปิดกระแทกประตูเสียงดัง ตลอดทั้งสนามยิงปืนเงียบงันไปพักหนึ่ง


 


“ฉินเฟิง นายมันสุดยอดไปเลย!” แววตาของจ้าวหยูฟุ้งไปด้วยความชื่นชมในเวลานี้


 


เพราะเมื่อวาน อาจารย์หยางเองก็เคยแสดงฝีมือในการยิงปืนของตัวเองให้นักเรียนในคลาสได้รับชมเหมือนกัน แต่เขาก็ยังยิงสิบคะแนนได้แค่ 4 ครั้งเท่านั้น ส่วนที่เหลือได้แค่ 9 คะแนน พอยิงครบเจ้าตัวก็บ่นว่าพลาดอย่างน่าเสียดาย


 


อย่างไรก็ตาม ท่าทีของฉินเฟิงที่ยิงออกไปกลับดูสบายๆ ทั้งสิบนัดถูกส่งออกไปโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ช่วงเวลาในการประกอบปืนพกเองก็เร็วมาก เมื่อเทียบกับอาจารย์หยางแล้ว คนละชั้นกันเลย


 


“ฉินเฟิง สอนพวกเราบ้างสิ!”


 


“ใช่ ใช่ อาจารย์หยางไปแล้ว นายต้องสอนพวกเรานะ!”


 


“ไม่มีอาจารย์แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะเขาไม่ใส่ใจพวกเราสักนิด ไม่พอใจก็ไล่ออกอย่างงั้นหรอ? เขาลืมอะไรไปรึเปล่า พวกเราเป็นผู้ใช้อบิลิตี้นะ -เป็นกำลังสำคัญของชุมชนในอนาคต!”


 


“ถูกต้อง! ฉันรู้สึกได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ว่าอาจารย์หยางจงใจกลั่นแกล้งพวกเรา”


 


ฉินเฟิงมองเพื่อนร่วมชั้น รับฟังว่าพวกเขารู้สึกไม่พอใจกับอาจารย์หยางขนาดไหน


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงได้ข่มอาจารย์คนนี้ไปแล้ว และเขาไม่ทราบว่าอาจารย์หยางจะกลับมาสอนวิชานี้แก่คลาสของตนอีกหรือไม่ แต่ยังไงซะการเรียนของวันนี้คงล่มอย่างแน่นอน


 


“ยังพอเหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนจะจบชั่วโมงเรียน งั้นฉันจะสอนเทคนิคง่ายๆให้กับพวกนายก็แล้วกัน”


 


เมื่อฝูงชนได้ยินว่าฉินเฟิงต้องการจะสอนจริงๆ บางคนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันบางคนก็ไม่สนใจ เพราะคิดว่าฉินเฟิงจงใจทำเป็นเท่


 


สำหรับนักเรียนผู้ใช้อบิลิตี้ ทั้งหมดมาจากโรงเรียนระดับกลางที่มีสถานะแตกต่างกัน แต่เพียงเพราะพวกเขาโชคดีสามารถปลุกพลังพิเศษได้ เลยมีโอกาสได้ร่วมชั้นเรียนอันยอดเยี่ยมของสถาบันระดับสูงแห่งนี้ กล่าวได้ว่าส่วนใหญ่แล้วคือคนที่มาเพราะโชคเท่านั้น


 


มันเลยมีทั้งคนที่รักจะใฝ่รู้ และคนที่ไม่ชอบฉินเฟิง จึงไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก


 


“การประกอบอาวุธปืนให้เก่งก็ถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีเหมือนกัน แต่ข้อได้เปรียบจริงๆของพวกเราจะเป็นในเรื่องของการเล็งยิงปืนต่างหาก เพราะผู้ใช้อบิลิตี้ คือผู้ที่สามารถปลุกพลังสมาธิให้ตื่นขึ้นมาเองได้โดยธรรมชาติ ดังนั้นบ่อยครั้งจึงมักจะทำอะไรๆได้ดีกว่ามือปืน ซึ่งปืนน่ะเป็นเพียงแค่เครื่องมือเท่านั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือคนที่ใช้งานมันต่างหาก”


 


ฉินเฟิงอธิบายบางส่วนของพลังสมาธิ ว่าสามารถหลอมรวมมันให้เข้ากับการใช้อาวุธปืนได้ เพื่อนๆนักเรียนเองก็ซึมซับความรู้นี้อย่างรวดเร็ว นักเรียนบางคนที่มีพลังสมาธิแข็งแกร่ง พอรู้แนวทาง ก็ถึงขั้นสามารถยิงเข้าเป้า 8 คะแนนได้อย่างไม่ยากเย็น


 


และเนื่องจากในหลักสูตรของอาจารย์หยาง มีกระสุนอยู่ไม่จำกัด เพื่อนๆนักเรียนเลยทดลองยิงปืนกันอย่างสนุกสนาน กระทั่งเพื่อนๆก่อนหน้านี้ที่ดูจะไม่พอใจกับท่าทีของฉินเฟิง ก็ยังเข้ามาร่วมวง และสนุกไปกับมัน


 


 


หลักสูตรในช่วงบ่ายเป็นการแนะนำเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ฉินเฟิงจึงไม่ลังเลเลยที่จะกลับไปยังห้องสมุด แต่ระหว่างทาง เขาดันถูกเฉิงเฉาติดต่อมา บอกให้ไปยังสำนักงานของอาจารย์ผู้ใช้อบิลิตี้


 


แม้เฉิงเฉาจะทราบว่าฉินเฟิงเป็นพวกหาเหาใส่หัว แต่เขาไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายจะหามันมาได้มากถึงเพียงนี้ นี่เพิ่งจะเริ่มเปิดเรียนได้แค่สองวันเท่านั้น แต่เขากลับสามารถทำให้อาจารย์วิชาปืนไม่ชอบขี้หน้าซะแล้ว


 


“ฉินเฟิง ฉันได้ยินมาว่าเธอใช้เวลาแค่ 9 วินาทีเท่านั้นในการประกอบปืนพก T1 แถมยังยิงเข้าเป้า 10 คะแนนทุกนัด เธอไปเรียนรู้ทั้งหมดนี้มาจากใครกัน?” เฉิงเฉาถาม


 


ฉินเฟิงทำตาใสแป๋ว กล่าวโกหกออกไป “ผมไม่ได้เรียนรู้มันจากใคร ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์คงยังไม่ลืมนะครับ ว่าพลังสมาธิของผมแข็งแกร่งมาก ดังนั้นการยิงให้ถูกเป้าคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรถูกไหมครับ?”


 


เฉิงเฉารู้สึกจุกในอก แน่นอน เขายังไม่ลืมว่าพลังสมาธิของฉินเฟิงน่ะอยู่ในระดับ S


 


“แต่เรื่องพวกนั้นช่างมันเถอะครับ ผมมีบางอย่างที่อยากจะถามอาจารย์!”


 


ฉินเฟิงไม่พลาดโอกาสดังกล่าว เขาเอ่ยถามข้อสงสัยเกี่ยวกับรูนของตนเอง และปัญหาบางอย่างที่หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็ยากจะเข้าใจ


 


เฉิงเฉาอธิบายให้แก่ฉินเฟิง ทั้งสองถาม-ตอบแก่กันและกัน เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งเสียงระฆังดังขึ้น บ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว


 


“อาจารย์ ผมขอโทษนะครับที่รบกวนซะนาน เย็นนี้ให้ผมเลี้ยงมื้อค่ำอาจารย์เป็นการตอบแทนนะครับ”


 


“ไม่ต้องหรอกน่า เธอไปเถอะ อย่าได้คิดจะติดสินบนอาจารย์เชียว!”


 


“แหะๆ ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับอาจารย์”


 


ฉินเฟิงเต็มใจที่จะสุภาพกับเฉิงเฉาเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่อีกฝ่าย เพราะเฉิงเฉามีบุคลิกที่อ่อนโยน เป็นคนจริงใจ และมีความรับผิดชอบในฐานะอาจารย์ที่ดี


 


และยังถูกหลอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่ายเช่นกัน!


 


หลังจากร่างของฉินเฟิงเดินหายไป เฉิงเฉาก็ยังคงนั่งขบคิดถึงคำถามหลายข้อที่ฉินเฟิงถามเขา แต่สักพักเจ้าตัวก็ชะงักไป


 


“อ่าว ลืมไปซะสนิทเลย ไม่ใช่ว่าฉันเรียกฉินเฟิงมาเพื่อจะตักเตือนเรื่องหยางเฟิงหรอกหรอ? ถูกไอ้เด็กคนนี้ต้มเอาซะแล้ว …”


 


เฉิงเฉาพอนึกขึ้นได้ ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


 



 


อีกด้านหนึ่ง ที่หน้าประตูโรงเรียน ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวได้มาพบกัน


 


“ไอ้บ้าเอ๊ย บอกฉันมาเร็วๆเลยนะ ว่าพวกเราจะเข้าร่วมปฏิบัติการปราบปราบกองทัพซากศพกันได้ยังไง ช่วงระหว่างสองวันนี้ ฉันรวบรวมข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับที่นั่นมาให้แล้วด้วยนะ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม