วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 6.1-7.2

 ตอนที่ 6-1

 


 


 


“…เดี๋ยวก่อน”


 


 


พอออกมาจากเมืองฮอนก็รู้สึกเวียนหัวจนหยุดม้ากะทันหันแล้วลงไปที่พื้น เหล้าก็ไม่ได้ดื่มเข้าไปมากเสียจนทำให้ปวดหัว แต่ทำไมร่างกายร้อนผ่าวและรู้สึกกระหายน้ำเช่นนี้


 


 


“ไหวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ชานรีบลงมาจากม้าแล้วเข้าไปประคอง แต่ชั่วขณะที่มือที่เป็นห่วงสัมผัสลงบนไหล่ของเขา ภาพที่ลอยเข้ามาในหัวของฮอนกลับเป็นภาพที่ชานดึงไหล่ของรยูฮาเข้ามาหาตัวในขณะที่เกิดเหตุวุ่นวายก่อนหน้านี้ ฮอนปัดมือของชานออกอย่างหงุดหงิดแล้วนั่งลงบนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างๆ รยูฮาส่ายหน้าเงียบๆ แล้วส่งบังเ**ยนม้าให้ชาน


 


 


“ดูท่าคงขี่ม้าไม่ไหวเพคะ เดินไปก็ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นให้พักเสียหน่อยแล้วเดี๋ยวหม่อมฉันจะดูแลเองเพคะ องค์ชายเสด็จไปรอก่อนได้เลยเพคะ”


 


 


“พระชายาน่ะหรือ”


 


 


“ขี่ม้าไปพร้อมกันสองคนไม่ได้หรอกเพคะ ม้ามันก็ไม่ได้ทำอะไรผิด”


 


 


“มันอันตราย ไปพร้อมกันเถิด”


 


 


คำพูดของชานไม่ทันได้เข้าไปในหัวของผู้ใด เพราะมินอาดึงเขาออกมาก่อน ด้วยว่านึกเอะใจอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งหากความสัมพันธ์ของฮอนและรยูฮากลับมาดังเดิมก็คงจะดี การขจัดชานที่กำลังขัดขวางเรื่องสำคัญแบบนี้เป็นหนึ่งในหน้าที่ที่มินอาต้องทำในฐานะคนใกล้ชิดที่สุดของรยูฮา มินอายื่นดาบของตนให้รยูฮาเพื่อตระเตรียมกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วควบม้าไปทางเพิงที่พักชั่วคราวพร้อมกับชานทั้งอย่างนั้น


 


 


“ฝ่าบาท”


 


 


รยูฮานั่งลงข้างฮอนแล้วใช้มือลูบหลังเบาๆ อย่างเป็นห่วง ทุกครั้งที่มือของหญิงสาวสัมผัสลงมา ฮอนก็หายใจหอบฮักๆ เสียงหวาน ลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาข้างๆ และกลิ่นเหล้าที่ผสมรวมเข้ากับกลิ่นกายของรยูฮาที่ทำให้วิงเวียน ฮอนหันหน้าไปอย่างไม่มีเวลาให้คิดแล้วประกบปากลงบนริมฝีปากของรยูฮา เป็นร่างกายของตัวเองแท้ๆ แต่เข้ากลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจ ไม่สิ มันรู้สึกเหมือนกับว่าแม้แต่ใจก็เหมือนถูกอะไรบ้างอย่างเข้ามายึดครอง


 


 


“ฮอน หยุด”


 


 


ฮอนได้สติเพราะเสียงกระซิบเบาๆ นั้น เขาแทบจะไม่อยากเชื่อสถานการณ์ในตอนนี้ ร่างของรยูฮาถูกดันให้เอนนอนลงบนหินเย็นๆ และไหล่ขาวก็ถูกเผยออก ยิ่งไปกว่านั้นคือลิ้นของเขากำลังไล่เลียไปตามลำคอเรื่อยลงไปจนถึงไหล่ของหญิงสาว และสิ่งที่ทำให้ฮอนรู้สึกมึนงงได้มากที่สุดคือความต้องการของตัวเองที่ร้อนแรงขึ้นอีกโดยที่ไม่มีสงบลงเลย 


 


 


รยูฮาคือสตรีสูงศักดิ์ ชาติกำเนิดและสถานภาพสำหรับฮอนแล้วสูงศักดิ์ไปเสียหมด ไม่ใช่สตรีที่จะให้มาเอนตัวลงบนพื้นเย็นๆ แบบนี้ เช่นนั้นแล้วฮอนจึงดึงร่างของนางขึ้นมาอย่างเบามือ แล้วนั่งเอามือปิดหน้า


 


 


“เจ้าไปเถอะ จะได้ตามทัน”


 


 


“พระวรกายเป็นเช่นนี้ตามไปไม่ไหวหรอกเพคะ”


 


 


“แค่เมานิดหน่อยเท่านั้นเอง”


 


 


“ไม่ใช่เพคะ ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังทรงเมายา ดูท่านางโลมคนนั้นคงถูกใจฝ่าบาทมากนะเพคะ”


 


 


รอยยิ้มแห้งๆ ปรากฏบนใบหน้าของฮอน รยูฮาเองก็ไม่อยากให้สตรีนางนั้นมานั่งข้างพระสวามีของตนเอง จนหญิงสาวที่ถูกเลือกส่งๆ ไปตามสถานการณ์นั่งลง แต่ใครจะไปรู้ว่าหญิงสาวที่ส่งสายมามองมาเป็นพิเศษจะเป็นต้นเหตุของปัญหา ฮอนหายใจเข้าอย่างแรงแล้วส่งสัญญาณมือมาทางรยูฮาโดยไม่หันมามอง


 


 


“ขอร้อง อย่าทำให้ข้าสัมผัสเจ้ามากไปกว่านี้เลย”


 


 


“อะไรกันเพคะ ทั้งที่หม่อมฉันยินดี”


 


 


ความหมายของคำพูดของฮอนก็คือไปออกห่างเพื่อที่เขาจะได้สัมผัสนางมากไปกว่านี้ไม่ได้ แต่รยูฮากลับเข้าใจเป็นว่า ฮอนขอร้องให้ทำให้มือและเท้าของเขาเคลื่อนไหวไม่ได้ ก่อนที่ฮอนจะได้พูดอะไรต่อสติของเขาก็หลุดลอยและล้มลงในอ้อมกอดของรยูฮา เพราะมือเรียวบางนั้นที่จับอยู่ต้องท้ายทอยของเขา


 


 


“รูปงามจริงๆ”


 


 


ริมฝีปากของรยูฮาที่กอดและมองไปยังฮอนกำลังยกยิ้มขึ้น ท่านพี่ทั้งสามของรยูฮาต่างก็เป็นชายหนุ่มที่เป็นที่เลื่องลือว่ารูปงาม เนื่องจากได้ความสูงมาจากบิดา และมีดวงตาสวยเหมือนมารดา อีกทั้งโฮจินที่ถูกเก็บมาเลี้ยงก็งามไม่แพ้ท่านพี่เช่นกัน รยูฮาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นจึงไม่เคยชายตามองชายหนุ่มที่แค่พอใช้ได้เลย


 


 


แต่ว่ากับฮอนมันต่างออกไป ดวงตาสดใสเวลายิ้มบนผิวขาวสะอาดยิ่งกว่าสตรี ไปจนถึงริมฝีปากที่อยากจะลองกัดดูสักครั้งนั้นอีก ขนาดที่ว่าพระราชาทรงเรียกไปเพื่อตำหนิ แต่พอได้เห็นหน้าฮอนก็หายโกรธแล้วส่งกลับไปเฉยๆ ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงเข้าใจความรู้สึกของนางโลมคนนั้นที่ใส่ยาลงไปในแก้วเหล้าของฮอน


 


 


หลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวพยายามประคองร่างของฮอนเพื่อให้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ถึงจะเสียดายแต่ตอนนี้ต้องกลับแล้ว แต่ต่อมาอีกไม่นานรยูฮก็ดันฮอนให้เอนลงไปอีกครั้งแล้วจับดาบที่มินอาทิ้งไว้ให้ ม้าหนึ่งฝูงกำลังวิ่งเข้ามาพร้อมกับกลุ่มควันสีขาวที่สะท้อนกับแสงจันทร์จากที่ไกลๆ


 


 


“ตรงนั้น! จับตัวไว้!”


 


 


ไม่มีความคิดที่จะหนีด้วยซ้ำแล้วจะจับอะไร ขณะที่รยูอาเผลอหัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เหล่าทหารหลายสิบนายก็วิ่งกรูเข้ามาล้อมรยูฮากับฮอนไว้ ดูเหมือนว่าเจ้าคนที่บอกว่าเป็นลูกชายเจ้าเมืองจะพาทหารมาแก้แค้น


 


 


“อะไรกัน ไอ้ลูกหมานี่ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ได้”


 


 


เขาลงจากม้ามาแล้วกระแนะกระแหนด้วยใบหน้าบวมเป่ง ดาบของรยูฮาจ่ออยู่ตรงคอเขา ในขณะเดียวกับดาบของเหล่าทหารก็มุ่งตรงไปทางรยูฮา แต่หญิงสาวไม่สะดุ้งตกใจใดๆ และระบายความโมโมเงียบๆ ไปทางโซชอน


 


 


“ขยับห่างออกมาจากเขา ก่อนที่หัวของเจ้าจะหลุดออกจากตัว”


 


 


โซชอนและเหล่าทหารพากันผงะกับความกระหายเลือดแบบไม่มีเหตุผลของรยูฮา แต่ว่าเวลาต่อมาโซชอนกลับหัวเราะเสียงดังทำท่าจะเตะเข้าที่ฮอนอย่างใจกล้า ไม่สิ เขามีความคิดที่จะเตะจริงๆ แต่ว่าขาของเขากลับหายไปจากที่ที่ควรจะต้องอยู่ เลยทำเช่นนั้นไม่ได้


 


 


“อ๊ากกก!”


 


 


ดาบของรยูฮาร่ายรำและเคลื่อนไหวอย่างพลิ้วไหวท่ามกลางฉากหลังที่เป็นเสียงกรีดร้องเพราะความเจ็บปวดและเลือดที่ไหลออกมา พวกทหารที่ไม่สมกับเป็นทหารยังไม่ทันได้กวัดแกว่งดาบก็ทรุดลงไปบนพื้นทีละคนสองคน ปลายดาบที่เข้าใกล้รยูฮามากที่สุดก็เพียงแค่ผ่านเส้นผมไป และทหารคนที่ทำให้ผมยาวของรยูฮาถูกปล่อยลงมาอยู่เหนือเอวก็ล้มลงไปจูบกับพื้นเรียบร้อย


 


 


ผลลัพธ์ช่างน่าเวทนา เรื่องเกิดขึ้นเร็วเพียงชั่วพริบตา พายุเลือดนั้นจบลงถึงได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังใกล้เข้ามาจากทางที่พักชั่วคราว ชานพาเหล่าทหารใต้บังคับบัญชามาด้วยเพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี


 


 


“พระชายา!”


 


 


“ฝ่าบาท!”


 


 


ชานและเหล่าทหารเข้ามาใกล้และหยุดอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางเหล่าทหารที่ล้มลงไปในยามค่ำคืนก็เห็นพระชายาที่ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยเลือดในสภาพถือดาบอยู่และข้างกันนั้นเป็นองค์รัชทายาทที่นอนอยู่ราวกับตายไปแล้ว และโซชอนที่หมดสติไปในสภาพถูกฟันเข้าที่ขา ภายใต้ประวัติศาสตร์การสร้างชาติมามีภาพอันแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ แต่ว่ารยูฮาที่เป็นตัวหลักของเรื่องทั้งหมดกลับเช็ดคมดาบเข้ากับชายเสื้อและเปิดปากอย่างเซ็งๆ


 


 


“เขาแค่สลบไปพากลับไปด้วย เหล่าทหารที่ยังไม่ตายก็ทิ้งไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวพอฟื้นก็กลับไปเอง แล้วก็ของที่ตกไว้ตรงนั้นเอากลับที่พักไปด้วย”


 


 


ความโกรธของหญิงสาวช่างเย็นชาและโหดร้าย เป็นภาพที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรู้ได้ภายใต้รอยยิ้มน่ารักและเสื้อผ้าสีขาว แต่ไม่มีเวลาให้มามัวเครียด เหล่าทหารเคลื่อนที่อย่างไม่มีอะไรติดขัด มือใหญ่และอบอุ่นสัมผัสตรงลงตรงใบหน้าของรยูฮาที่กำลังมองเขาอยู่


 


 


“ไหวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


มือของชานที่ค่อยๆ เช็ดเลือดออกให้ถูกรยูฮาจับลดมือลง


 


 


“มีอะไรให้ไม่เป็นไหวหรือเพคะ”


 


 


“เกลียดเลือดไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ อาจจะเป็นลมได้เลย…”


 


 


รยูฮาหันไปดึงชายเสื้อของชานแล้วใช้สิ่งนั้นเช็ดหน้า


 


 


“ผู้หญิงเราก็ต้องมีได้เห็นเลือดบ้างเพื่อปกป้องของสำคัญ มันเรียกว่าเลือดของความเชื่อมั่นในตนเองเพคะ”


 


 


ภายใต้ลมหนาวจากทางเหนือ หลังมือของชานที่รยูฮาจับแล้วปล่อยก็ยังอบอุ่น ตรงชายเสื้อที่ลมหายใจของรยูฮาสัมผัสโดนแล้วผละออกถูกย้อมไปด้วยเลือด ชานมองตามแผ่นหลังของรยูฮาที่ขึ้นม้าไปแล้วยิ้มอย่างขื่นขม ‘สิ่งสำคัญ’ หากมันหมายถึงตัวเขาก็คงจะดี หยาดหยดแห่งความเห็นแก่ตัวค่อยๆ กระจายตัวลงในสระน้ำภายในหัวใจของชานเหมือนน้ำหมึกสีเข้ม


ตอนที่ 6-2

 


 


 


“อึก โอ๊ย…”


 


 


โซชอนลืมตาพร้อมกับเสียงร้องของความเจ็บปวด สิ่งที่เขามองเห็นจากสายตามันมืดมัวคือเหล็กที่กำลังไฟกำลังลุกโชนจนเป็นสีแดง


 


 


“เจ้าสลบไปเฉยๆ น่าจะดีกว่านะ”


 


 


เสียงดังซู่ดำเนินต่อไปท่ามกลางน้ำเสียงพูดที่เหมือนจะใจดี พอเหล็กร้อนถูกกดลงไป ความเจ็บปวดมหาศาลก็โหมเข้าซัดโซชอน ตอนนี้กำลังลงมืออย่างเร่งด่วนเพื่อห้ามเลือดและฆ่าเชื้อ ถ้าไม่ถูกทำให้แน่นิ่งไปอีกครั้งก็คงตายเพราะความเจ็บปวดไปแล้ว ตอนที่โซชอนลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เจอชายแปลกหน้ากำลังมองมาที่เขา


 


 


เขาพยายามนึกถึงความทรงจำสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบลง ขาของเขาที่ดิ้นไปมาเหมือนปลาที่ถูกจับขึ้นมาใหม่ๆ และสาวงามที่ร่ายรำดาบใต้แสงจันทร์ ใช่แล้ว นางเป็นผู้หญิง


 


 


“ฮึก ยัยตัวดี…”


 


 


โซชอนที่ฟันหักไปพ่นคำด่าออกมาในแบบที่ออกเสียงไม่ชัดเจน


 


 


“เอ๊ะ? ตื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“โชคดีที่ไม่ตาย ไปทูลฝ่าบาท”


 


 


โชซอนทำหน้าย่นเมื่อเพิงที่พักชั่วคราวถูกเปิดออกแล้วดวงตารับเอาแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ร่างกายที่ความเจ็บปวดคืบคลานเข้ามาหาไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงม้าที่อยู่รอบๆ จากนั้นพอคุ้นเคยกับแสงก็มองเห็นเหล่าทหารห้อมล้อมเขาอยู่


 


 


“ลูกชายเจ้าเมือง หลับสบายดีไหมเล่า”


 


 


เงาที่ทอดยาวลงมานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้าเขาแล้วทักทาย ถึงไม่เห็นแต่ก็รู้ว่าเป็นใคร เสียงครวญครางเพราะความเจ็บปวด และคำด่ารุนแรงหลุดออกมาจากปากของโชซอน


 


 


“อึก แก…ไอ้ชาติชั่ว…”


 


 


พลั่ก ใครบางคนฟาดเข้าที่ท้ายทอยของโชซอนจนเขาสลบไปอีกครั้ง ฮอนลุกขึ้นจากที่นั่งและเดาะลิ้นด้วยความเสียดาย ก่อนจะต่อว่าหัวหน้าองครักษ์


 


 


“ยังไม่ทันรู้ความ เจ้าก็ฟาดลงไปอีกแล้ว เดี๋ยวข้าจะกลับมาพร้อมพระชายา อย่างไรก็ปลุกให้ตื่นด้วยล่ะ เอาฝิ่นใส่ปากสักหน่อยก็ได้ เดี๋ยวมันจะหาว่าเจ้าเป็นคนแล้งน้ำใจ”


 


 


ดูท่าว่าองค์รัชทายาทจะจำไม่ได้ว่าทรงตัดขาของเขาคนนั้นเอง ชองโอบ่นพึมพำพลางเอาฝิ่นยัดใส่เข้าไปใต้ลิ้นให้ชองโชซอน เมื่อฮอนตรวจตราดูอย่างละเอียด เขาก็ออกไปจากที่พัก และไม่นานนักชานก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับผลัดเวรกัน


 


 


“เห็นว่ารู้สึกตัวแล้ว”


 


 


“เอาฝิ่นให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ น่าจะพอมีเรี่ยวมีแรงบ้างแล้ว อีกสักพักจะลองปลุกดูพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พอชองโอส่งสัญญาณทางสายตา ทหารนายหนึ่งก็เอาชามที่ทำจากน้ำเต้าแห้งที่มีน้ำอยู่เต็มเทลงบนหน้าของโซชอน


 


 


“แค่กๆ!”


 


 


โซชอนส่ายหน้าและพ่นน้ำที่เข้าไปทางปากกับจมูกออกมา โซชอนซึ่งหลุดพ้นจากความเจ็บปวดชั่วคราวเพราะฤทธิ์ของฝิ่นจำใบหน้าของชานที่เห็นอยู่ที่หอนางโลมได้ คราวนี้เขาได้แต่จ้องอีกฝ่ายเขม็งในสภาพสงบปากสงบคำ เพราะอยากไม่อยากโดนอีก แต่พยายามไปก็เท่านั้น หมัดที่ลอยมาส่งผลให้สติเขาหลุดลอยไปที่แสนไกล


 


 


“พูดกันก็ได้ทำไมต้องตีคนเจ็บอีก เขาอาจจะทำไปเพราะไม่รู้ ดูๆ แล้วเจ้านี่ช่างแล้งน้ำใจ”


 


 


องค์ชายทั้งสองเหมือนกันไม่มีผิด ชองโอรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของสายเลือดและส่งสัญญาณให้ทหารเอาน้ำมาให้ ในระหว่างนั้นฮอนและรยูฮาเดินเข้ามาข้างในแล้วยืนเรียงกันต่อหน้าชาน


 


 


ตอนที่โซชอนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือสตรีผู้ตัดขาเขาเหมือนมัดฟางข้าวแล้วล้มเหล่าทหารลง ในดวงตาของเขาตอนที่สบตาเข้ากับนาง เต็มไปด้วยความหวาดกลัวน่าสยดสยองราวกับเห็นทูตมรณะ รยูฮายังไม่ทันได้ทำอะไรเขาก็ตะโกนร้องออกมาและพยายามตะเกียกตะกายหนี


 


 


“อ๊าก! อ๊าก!”


 


 


ส่วนที่ถูกฟาดลงมาเป็นครั้งที่สามไม่ใช่ตรงท้ายทายแต่เป็นตรงกระหม่อม ฮอนเอียงหน้ามองสลับกันระหว่างโซชอนผู้ที่เป็นสลบไปแล้วกับรยูฮาที่ทำให้เขาสลบไปอย่างนึกสงสัย


 


 


“ตีเขาทำไม”


 


 


“เพราะเขาเสียงดังหนวกหูเพคะ”


 


 


เป็นคำตอบง่ายๆ แต่เห็นด้วยอย่างมาก


 


 


“ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมาเห่าก็ต้องโดนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เป็นความคิดที่รอบคอบมาก”


 


 


ชองโอรู้สึกราวกับถูกหักหลังจากปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างมากตอนที่เขาเป็นคนตีเอง ถึงกับขนาดทำให้ความจงรักภักดีอันแน่วแน่สั่นคลอนไปแวบหนึ่ง โซชอนลืมตาขึ้นพร้อมกับน้ำที่ถูกสาดลงไป คราวนี้เขาแค่กวาดสายตามองไปรอบๆ ถึงได้เห็นชายผู้โหดร้ายที่ทำให้เขาสลบไปอยู่เรื่อยๆ


 


 


“คำนับเสีย นี่คือองค์รัชทายาท”


 


 


โชซอนตาเบิกกว้างมองปราดไปยังภาพที่อยู่ตรงหน้า พอเห็นเหล่าทหารสายตาเฉียบคมและเพิงที่พักชั่วคราว มองอย่างไรก็คงเป็นสองชายหนึ่งหญิงผู้สูงศักดิ์ไม่ผิดแน่ เขาประเมินสถานการณ์เสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่อาจลุกขึ้นได้ ทำได้เพียงตัวสั่นงันงก


 


 


“ฆ่าข้าน้อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่!”


 


 


“เงยหน้าขึ้น พระชายาอยากคุยกับเจ้า”


 


 


โซชอนหวาดกลัวจนตัวสั่นเพราะคำเรียกว่าพระชายาของชายคนนั้น คนที่ถือมีดมาฟันขาผู้อื่นยามค่ำคืนคือพระชายาจริงๆ หรือ ถึงจะอยู่แถวพรมแดนแต่ที่ได้ยินมาคือทรงจิตใจงดงามเหมือนกับรูปโฉมไม่ใช่หรือ แต่ว่า…


 


 


“ทุกคนออกไปให้หมด”


 


 


พระชายาที่อยู่ตรงหน้าโซชอนตอนนี้มีรูปโฉมงาม แต่จิตใจอันงดงามนั้นยังห่างไกลนัก ทั้งที่ล้มเหล่าทหารราวกับฟันมัดฟางข้าวเมื่อคืน ทั้งสีหน้าเย็นชาตอนนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศเยือกเย็นที่หญิงสาวสร้างขึ้นก็ดูเย็นชาเสียจนทำให้เหล่าทหารไปจนถึงองค์รัชทายาทเองเหลือบมอง เสียงไร้ความรู้สึกลอยเข้ามาในหูของโซชอนผู้ซึ่งพยายามตั้งสติที่ขาดผึงไปแล้ว


 


 


“รู้จักข้าแล้วใช่หรือไม่”


 


 


“…พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


จะไม่รู้ได้อย่างไร เมื่อครู่ยังไม่อยากโดนตีแต่มาตอนนี้โดนตีน่าจะดีกว่าด้วยซ้ำ


 


 


“เมื่อวานเจ้าพูดกับข้าว่าอย่างไรนะ เหมือนจะจำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง…”


 


 


มือของโซชอนสั่นเหมือนเกิดแผ่นดินไหว เขาอยากเย็บปากที่พูดโผงผางออกไปว่าให้มาเป็นหมอนแทนนางโลม พระชายาคือทูตมรณะ ฉะนั้นรอยยิ้มของพระชายาที่ยกยิ้มขึ้นมาตอนนี้แน่นอนว่าเป็นรอยยิ้มของทูตมรณะ


 


 


“อ้า จำได้ถึงแค่ตรงนี้ ที่องครักษ์ของข้าง…”


 


 


หากคำพูดนั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ข้าตายแน่ พอโซชอนตระหนักถึงความจริงนั้นด้วยสัญชาตญาณ เขาก็เริ่มอ้อนวอน


 


 


“ฆ่าข้าน้อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


รยูฮาหยุดพูดสักครู่แล้วเหลือบตามองอย่างน่ารัก น้ำเสียงที่พูดแต่ละคำจนถึงตอนนี้อ่อนโยน ท่าทางเหมือนกับตักเตือนเด็กน้อย


 


 


“อืม ไม่รู้สิ จะทำอย่างไรดีนะ ถ้าเจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่งนับแต่นี้ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะจำคำพูดที่เหลือออกก็ได้”


 


 


ชายผู้ยืนดูอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าไปมา จะทั้งขู่แล้วก็ปลอบในคราวเดียวกันงั้นหรือ พรสวรรค์แบบนั้นเรียนมาจากที่ไหนกันแน่


 


 


“ขะ…ข้าน้อยต้องทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เป็นคนคุยรู้เรื่องใช้ได้แฮะ เกือบต้องเสียดายที่มาตายจากไปแล้ว”


 


 


หางตาของรยูฮายิ่งยกขึ้นไปอีก ดูแล้วเป็นรอยยิ้มที่บอกได้ว่าน่ารัก แต่ในสายตาของโชซอนมันเหมือนกับเพชฌฆาตที่กำลังจะฟันคอเขา


 


 


“บอกที่เจ้ารู้มาทั้งหมด เช่นว่าสถานที่ซ่อนสมุดบัญชี”


 


 


“สะ…สมุดบัญชีหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ในหัวเมืองเล็กเท่าเม็ดถั่วแค่นี้ เหล่าชาวบ้านกลับลำบากกันมาก เกิดเสียงเอะอะโวยวายก็ไม่มีทหารเฝ้ายามสักคนเข้ามา ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพราะเที่ยวเล่นกับเหล่านางโลม ยิ่งไปกว่านั้นทรัพย์สินที่เหลือไปไหนหมด”


 


 


“ข้าน้อยก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ช่วยไม่ได้แฮะ”


 


 


รยูฮาจิ๊ปากด้วยสีหน้าเสียดายจากใจจริงแล้วหันไปมองมินอา


 


 


“เอามีดมา”


 


 


“เพคะ พระชายา”


 


 


มีดสั้นที่มินอาส่งมาลับคมไว้ดีมากจนขึ้นเงาเป็นสีน้ำเงินอ่อน รยูฮากำมีดเอาไว้แน่นแล้วเดินเข้าไปใกล้โซชอน ก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อย


 


 


“เหลือขาหนึ่งข้าง แขนสองข้าง แล้วก็หัวหนึ่งหัวสินะ ถ้าตัดแขนไปสักข้างจะดูดีไหมนะ”


 


 


รยูฮาใช้ปลายมีดจิ้มไปที่แขนและขาของโซชอนเหมือนกับเลือกสิ่งของในร้าน จนผู้ที่เห็นถึงกับขนลุก โชซอนที่โดนกระทำอยู่นั้นจะยอมเอ่ยปากออกมาไหม เขาตัวสั่นงกๆ หวาดกลัวจนไม่กล้าพูดสักคำ ต่อมาจังหวะที่มีดสั้นสะท้อนกับแสงแดดที่ลอดเข้ามาทางช่องว่างพอดี


 


 


“พระชายา รอสักครู่”


 


 


ฮอนออกมาข้างหน้าแล้วจับข้อมือหญิงสาวไว้ โซชอนมองเขาเหมือนเป็นเทพเจ้า แต่ว่าความหวังที่ก่อตัวในใจเขากลับสลายไปอย่างรวดเร็วเหมือนดอกไม้ไฟ ความหวังนั้นช่างสั้นเสียเหลือเกิน


 


 


“น่าเวทนานัก เอาฝิ่นให้หน่อยเถอะ พอยาออกฤทธิ์ แล้วตอนนั้นค่อยตัด”


ตอนที่ 6-3

 


 


 


 


ผิดแล้ว คู่สามีภรรยาที่กำลังจะกลายเป็นพระราชาและพระราชินีของอาณาจักรในอนาคตสติหลุดหายไปแล้ว โชซอนละทิ้งความหวังทั้งหมดไปก่อนแล้วตะโกนขึ้นมาอย่างเร็วเพื่อเอาชีวิตรอด 


 


 


“ไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ! หากทรงไว้ชีวิตข้าน้อย ข้าน้อยจะไปเอาจากท่านพ่อมาถวายเองพ่ะย่ะค่ะ จะสมุดบัญชีหรืออะไรก็จะเอามาพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


รยูฮายิ้มอย่างพอใจแล้วขว้างมีดสั้นไปข้างหลัง มีดสั้นลอยหมุนติ้วแล้วก็เข้าไปอยู่ในมือของมินอาผู้เป็นเจ้าของอย่างแม่นยำ 


 


 


“ต้องแบบนั้นสิ งั้นไปกันเลยไหม” 


 


 


เพราะคำนั้นทำให้พวกเขาทั้งหมดพลอยต้องขยับตัวกัน ฮอนและชานลุกจากที่นั่งแล้วออกไปตรวจตราข้างนอก ชองโอและเหล่าทหารเตรียมเกวียนแล้วพาโซชอนใส่เปลหามขึ้นไปบนนั้น ขบวนขององค์รัชทายาทที่ตามมาด้วยองครักษ์สองสามนายและเกวียนเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่เมือง 


 


 


 


 


 


ตรงกลางหมู่บ้านคนรวยมีบ้านของตระกูลพันที่ช่างโอ่อ่าราวกับวังอยู่ ทั้งยังมีรั้วสามชั้นที่เหมือนวังนั้นอีก ภายในรั้วนั้นที่ปกติแล้วมักจะมีเสียงหัวเราะของเหล่าพวกช่างประจบและเสียงเพลงของนางโลมที่เจ้าเมืองเรียกมาเล็ดลอดออกมา ตอนนี้ถูกกลบด้วยเสียงร้องไห้ 


 


 


“โธ่ โซชอน!” 


 


 


เจ้าเมืองพันซึ่งวิ่งออกมาโดยไม่ทันได้สวมร้องเท้าเข้ามาจับเกวียนแล้วร้องไห้คร่ำครวญ ลูกชายที่บอกว่าจะไปจับตัวพวกคนพาลที่ตีตัวเองแล้วพาเหล่าทหารออกไปเมื่อคืนไม่กลับมาทั้งคืนจนได้ส่งคนไปค้นหา ลูกชายกลับมาก่อนหน่วยค้นหาแต่อยู่ในสภาพน่าเวทนาคือถูกตัดขานับตั้งแต่ข้างล่างหัวเข่าลงมา แล้วก็มากับองค์รัชทายาท 


 


 


“องค์รัชทายาท ลูกชายกระหม่อมทำอะไรผิดกันแน่…!” 


 


 


“ท่านพ่อ! อย่าคขอรับ!” 


 


 


โซชอนตะโกนขัดความใจกล้าของเจ้าเมืองพัน แล้วรีบปิดปากผู้เป็นพ่ออย่างรวดเร็ว เมื่อคืนเขาดูหมิ่นราชวงค์และลามปามไปแล้ว ทั้งยังด่าและถึงขนาดเตะเท้าไปทางองค์รัชทายาทด้วย ความผิดนี้ถ้าออกมาจากปากขององค์รับทายาท ตระกูลคงล่มสลายไปหมด 


 


 


“ข้าจำไม่ได้ แต่ดูเหมือนลูกชายเจ้าจะจำได้ ถึงไม่อยากแต่เอาชามาดื่มหน่อย แล้วก็มาพูดคุยกันตามประสาคนรวยเถิด” 


 


 


ชานรู้สึกว่าคำพูดคำจาของฮอนคล้ายรยูฮาเข้าไปทุกทีแล้วยิ้มแห้งๆ ทั้งคู่อาจจะเริ่มคุ้นเคยซึ่งกันและกันแล้วหรือไม่นะ พอคิดแบบนั้นสายตาของชานก็เฝ้ามองไปยังสามคนที่เข้ามาในห้องก่อนจนสบตาเข้ากับมินอา นางทำหน้าบึ้งตึงเหมือนทุกที่ เขารู้สึกเก้อเขินเลยหลบสายตาของมินอาแล้วรีบเดินเข้าไปในห้อง 


 


 


“คิดว่าเจ้าเมืองจะเปิดเผยรายได้อย่างว่าง่ายไหม” 


 


 


ทุกคนนั่งลงกับที่และฮอนเอ่ยขึ้นมาก่อนเพื่อน รยูฮาค่อยๆ พยักหน้าแล้วตอบเบาๆ ถึงจะดูโหดร้ายมากแต่ก็แค่น้ำเสียงที่เป็นแบบนั้น 


 


 


“ดูแล้วถ้ายังไม่พอก็ต้องตัดขาอีกสักข้าง ถ้ายังขาดอยู่ก็แขนอีกข้าง เห็นจากที่ลูกชายเจ้าดูถูกเหล่านางโลม ท่าทางเจ้าเมืองคงจะตามใจลูกมาก” 


 


 


“ค่อยๆ ตัดไปตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นไปถึงเข่าน่าจะดีให้เตรียมพร้อมอดทนให้ถึงที่สุด” 


 


 


“อันนั้นก็เป็นความคิดที่ดีเพคะ” 


 


 


เหมือนกันไม่มีผิด ชานรู้สึกตามนั้นและเอียงหูฟังบทสนทนาอันน่าขนลุก 


 


 


“พระชายาไม่ได้ไปหอนางโลมเฉยๆ มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ไปเพื่อสืบข้อมูลใช่หรือไม่” 


 


 


มินอาผู้ซึ่งกำลังฟังอยู่ข้างนอกยกยิ้มขึ้น ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ต่างจากที่องค์ชายคิดเอาไว้เยอะ คำตอบของรยูฮาที่ตามมาทีหลังทำให้ความตั้งใจของชานที่จะพูดต่อหายไป 


 


 


“เหล้า…ออกไปดื่มเหล้า ก็ไปดื่มเหล้าที่หอนางโลมไง จะไปหาข้อมูลอะไรกันเพคะ” 


 


 


 


 


 


ไม่มีใครเอ่ยปาก ภายในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่สามคนกำลังดื่มชา เจ้าเมืองพันก็ปรากฏตัวและโค้งตัวตรงนอกประตู หน้าดำคร่ำเครียดขนาดนี้แสดงว่าคงจะฟังเรื่องราวทั้งหมดจากลูกชายตนเองแล้วสินะ หนวดเคราที่ไว้มาอย่างยากลำบากบนร่างเล็กกำลังสั่นเทาอย่างน่าสงสาร มินอายืนอยู่ข้างนอกสักครู่แล้วก็เคาะประตูขึ้น 


 


 


“ฝ่าบาท เจ้าเมืองพันมาแล้วเพคะ” 


 


 


“ให้เข้ามา” 


 


 


คอของเจ้าเมืองพันที่เข้ามายืนในห้องขยับไปมาเหมือนตะพาบน้ำ ขนาดสีหน้ายังเหมือนตะพาบน้ำและใกล้เคียงสีเขียว องค์รัชทายาทที่นั่งอยู่ตรงที่ประทับก็รับมือได้ยากแล้ว แต่ทั้งสองข้างยังมีพระชายาและองค์ชายอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่ากำลังเฝ้ามองมาทางเข้าอยู่หรือ เจ้าเมืองใช้มือสั่นระริกเอาสมุดหนึ่งเล่มที่อยู่ในอ้อมกอดออกมาแล้วยื่นให้ตรงหน้าฮอน 


 


 


“สมุดบัญชีที่ทรงตรัสถามอยู่นี่แล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตลูกชายกระหม่อมแลกกับสิ่งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าให้คำมั่น” 


 


 


ฮอนเปิดสิ่งนั้นดูแล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก มันคือสมุดธรรมดาที่ไม่ได้มีสัญลักษณ์อะไรเขียนไว้ แต่ว่าชื่อและจำนวนเงินที่เขียนไว้ในนั้นไม่ธรรมดาเลย ฮอนเปิดดูทีละหน้าแล้วหัวเราะอย่างหมดแรง 


 


 


พระจักรพรรดิที่ทุกคนสรรเสริญว่าคือกลุ่มดาว ซึ่งก็คือพระบิดาของฮอนและชาน ยุคสมัยที่พระองค์ปกครอง ราษฎรอยู่อย่างมีความสุขไม่มีหนี้ อาณาจักรที่ภูมิใจกับประวัติศาสตร์นับพันปีเริ่มมาตั้งแต่จุดนั้น 


 


 


“ขอหม่อมฉันดูด้วย” 


 


 


“นี่” 


 


 


รยูฮารับเอาสมุดที่ฮอนยื่นมาให้ นางมองข้างในปราดเดียวแล้วก็โยนลงบนโต๊ะ เสียงเย็นชาและสายตาคมแทบจะปาดคอเจ้าเมืองพัน 


 


 


“ลูกชายเจ้าเหลือขาหนึ่งข้างกับแขนสองข้างใช่หรือไม่ เริ่มตัดอะไรก่อนดีล่ะ” 


 


 


“พระชายา! ไหนว่าจะทรงไว้ชีวิต…!” 


 


 


รยูฮาถึงกับกระตุกยิ้มมุมปาก 


 


 


“ข้าไม่ได้บอกว่าจะละเว้นขากับแขนเสียหน่อยนี่ สมุดนี่แลกกับชีวิต แล้วแขนขาจะแลกกับอะไร” 


 


 


ร้ายกาจ ช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจ ต่อให้รู้สึกกลัวจนตัวสั่นแต่เจ้าเมืองพันก็ทำได้แค่เอาของที่มีออกมาทีละอย่าง 


 


 


“กระหม่อมจะเอาทรัพย์สินของตระกูลออกมาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แขนหนึ่งข้าง” 


 


 


“จะปล่อยตัวคนที่ต้องมาเป็นทาสเพราะไม่ได้จ่ายภาษีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เรื่องนั้นฝ่าบาทมีสิทธิ์ทำได้อยู่แล้ว ถือว่าเป็นโมฆะ” 


 


 


มือขาวของพระชายาเคาะลงนนโต๊ะอย่างเป็นจังหวะ เสียงนั้นเหมือนเสียงฝีเท้าของเพชฌฆาตที่จะเข้ามาตัดแขนขาของลูกชาย ตอนนี้ในหัวของเจ้าเมืองพันไม่มีเวลาแม้แต่จะมามัวขนลุกและกลับมาดิ้นรนอีกครั้ง เขาต้องเอาอะไรมาแลกถึงจะใช้การได้ 


 


 


“ในหมู่บ้านคนรวยมีพวกเรียกดอกเบี้ยแบบขูดเลือดขูดเนื้อที่ผิดกฎหมายอยู่ กระหม่อมจะจับพวกเขามาแล้วยึดทรัพย์ก่อนจะเปลี่ยนให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ขาหนึ่งข้าง” 


 


 


เหมือนกับว่าเขาวางโล่ที่มีจนหมดแล้ว เจ้าเมืองพันคอตกอย่างเป็นทุกข์ พร้อมกับหวังว่าพระชายาจะเมตตา 


 


 


“…ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แต่ว่าทรงไม่เมตตา เสียงฝีเท้าของเพชฌฆาตที่เดินมาทางลูกชายหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วก็ได้ยินเสียงชักมีดออกมา 


 


 


“ไม่ได้จริงๆ สินะ มินอา แขนหนึ่งข้าง” 


 


 


“เพคะ พระชายา” 


 


 


ชายเสื้อของมินอาที่หมุนตัวอย่างไม่รอช้าถูกจับไว้อย่างรวดเร็ว สิ่งนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขามี เจ้าเมืองพันที่กำลังเอ่ยปากอยู่ตอนนี้รู้สึกเหมือนกำลังบั่นคอตัวเอง 


 


 


“สมุดรายชื่อ มีสมุดรายชื่อแสดงทรัพย์สินอีกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


สายตาของฮอนและรยูฮาสบกันกลางอากาศ รยูฮาปลายตาไปทางพวกเขาราวกับสั่งว่าให้ดูสิ่งนั้นก่อน 


 


 


“ไปเอามา ข้าจะดูแล้วก็พิจารณาเอง” 


 


 


“ก่อนหน้านั้นช่วยรับปากว่าจะไว้ชีวิตครอบครัวกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ถึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาต่อรองแต่ก็ต้องต่อรอง สิ่งที่เอาออกมาตอนนี้อาจจะทำให้หลายชีวิตตกต่ำลง และหนึ่งในนั้นคือตัวเองกับภรรยา เหนือสิ่งอื่นใดคือลูกชายคนสำคัญที่อยู่ตรงนี้ด้วย 


 


 


“แน่นอน จะไว้ชีวิตเจ้าด้วย” 


 


 


เพราะการรับปากอย่างมีเมตตาของฮอน เขาจึงเดินออกไปนอกประตูอย่างไม่รอช้า สิ่งที่ถืออยู่ในมือของเจ้าเมืองพันผู้ซึ่งกลับมาในไม่ช้าเป็นสมุดสองเล่มที่คล้ายกับสมุดรายชื่อเมื่อครู่ แต่ปกเก่าและขาดรุ่งริ่งกว่ามาก เป็นตัวพิสูจน์ได้ว่าความไม่ถูกต้องดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน 


 


 


“ที่กระหม่อมรับมาหนึ่ง และอีกหนึ่งคือที่ส่งต่อพ่ะย่ะค่ะ รวมทรัพย์สินที่รับมาจากทุกที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือแล้วส่งมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ประการแรกในสมุดมีชื่อของแต่ละเมืองและชื่อผู้ปกครอง รายชื่อทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นทุกปีเรียงกันอย่างแน่นขนัด แต่ว่าชื่อที่ปรากฏอยู่บนสมุดอีกเล่มมีเพียงหนึ่ง ดวงตาของฮอนที่กำลังมองสิ่งนั้นสั่นไหว 


 


 


จูเยฮึง บุตรชายคนโตของตระกูลจู ท่านพี่ของพระมเหสี ท่านลุงผู้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดของฮอน 


ตอนที่ 6-4

 


 


 


 


“ไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ” 


 


 


ภายในห้องรับแขกลับของหอนางโลมที่กลับมาอีกครั้ง รยูฮาและฮอนนั่งตรงข้ามกัน คิดว่ารอดูพฤติกรรมของเจ้าเมืองที่รับปากไว้สักสองสามวันและให้เหล่าทหารได้พักด้วย จากนั้นจึงจะไปจากที่นี่ ฮอนไม่พูดอะไรอีกเลยหลังจากได้รับสมุดบัญชีจากเจ้าเมืองพัน ตอนนี้เริ่มเปิดปากพูดออกมาอีกครั้งแล้ว 


 


 


“เจ้าคิดหรือไม่ว่าท่านลุงกระทำการนี้คนเดียว” 


 


 


ฮอนไม่ค่อยได้ใกล้ชิดท่านลุงมากนัก จึงไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านลุงสักเท่าไหร่ และพระมเหสีก็คือเสด็จแม่ของเขา เสด็จแม่ผู้ซึ่งอบอุ่นและอ่อนโยนมาก ถ้าป่วยก็จะคอยจับมืออยู่ข้างๆ ทั้งคืน อาจจะคิดว่าพระมเหสีมีส่วนเกี่ยวข้องกับความไม่ถูกต้องนั้นก็ได้ แต่เขาก็ไม่อยากคิด 


 


 


“หม่อมฉันก็ไม่อาจทราบได้ ไม่ทราบว่าทรัพย์สินมากมายเข้ามาที่ท่านลุงได้อย่างไร และท่านลุงทำอย่างไรกับทรัพย์สินนี้ ดูท่าคงต้องสืบเรื่องนั้นก่อนเพค่ะ” 


 


 


หากเขาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและลุ่มหลงไปกับเกียรติยศชื่อเสียงไปเลยคงสบายใจ แต่นี่คือตระกูลของพระมเหสีผู้ซื่อสัตย์มาก และแน่นอนว่าท่านลุงก็เป็นเช่นนั้น เขาปฏิเสธบ้านหรูที่ได้รับพระราชทาน แล้วก็อยู่ในบ้านที่พระมเหสีเคยอาศัยก่อนเข้าพิธีอภิเษกสมรสมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นทรัพย์สินที่เหลือไปไหนกันแน่ ฮอนพับความคิดในแง่ร้ายมากๆ เก็บไว้แล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


“ไหนๆ ก็ลงมาแล้วก็เริ่มตรวจสอบโดยไล่จากคนที่มีทรัพย์สินตามรายการนี้ พอกลับวังหลวงค่อยไปซักไซ้เหล่าผู้ดูแลที่ถูกเขียนชื่ออยู่ในรายชื่อ” 


 


 


ฮอนพูดแค่นี้แล้วหันหน้าไปสบตากับรยูฮา คู่ชีวิตของเขาไม่มีทั้งรอยยิ้มและความอบอุ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นหญิงสาวที่เขาเชื่อมั่นว่าจะเดินเคียงข้างไปด้วยกันได้ 


 


 


“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าจะอยู่เคียงข้างข้าใช่หรือไม่” 


 


 


“ไหนว่าอยากอยู่ห่างหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ” 


 


 


รยูฮารับคำอย่างเย็นชา คำตอบนั้นทำให้ฮอนผู้กำลังคิดทบทวนยกยิ้มเศร้า 


 


 


“เพราะข้าคิดว่าเจ้าพรากสตรีที่ข้าเคยรักและรักข้าไปน่ะสิ” 


 


 


ที่เคยรัก…ตอนนี้ฮอนกำลังพูดสิ่งที่เป็นอดีต รยูฮาจับสังเกตได้จึงถามซ้ำช้าๆ 


 


 


“ตอนนี้ไม่คิดเช่นนั้นหรือเพคะ” 


 


 


พอฮอนยกแล้วเหล้าขึ้นมาเทใส่ปาก รยูฮาก็ทำตาม เสียงแก้วเหล้าเปล่าวางลงบนโต๊ะดังตามกันมา ใจของฮอนเต้นรัวและสงบลง 


 


 


“เจ้ารู้อยู่แล้วสินะ ความจริงที่ว่าจินซึงฮวี ไม่สิ แชยอนไม่ได้เจอข้าด้วยความบังเอิญ” 


 


 


“รู้เรื่องนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ” 


 


 


รู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วย ฮอนยิ้มแห้งแล้วยกแก้วเหล้าดื่มจนหมดอีกครั้ง ดวงตาที่ทอดมองขวดเหล้าในมือหวนนึกถึงอดีตเมื่อหลายปีก่อน 


 


 


 


 


 


ในวันที่ฝนตก เขาปลอมตัวไปดื่มเหล้าในโรงเตี๊ยมเก่าคนเดียว ถ้าเป็นทุกทีคงไปหอนางโลมแต่ไม่อยากไป อาจจะเป็นเพราะฝนตกจึงเป็นเช่นนั้น วันนั้นใจมันว่างเปล่าและนึกถึงบางอย่างอย่างไม่อาจทานทนได้ คิดถึงแล้วก็คิดถึง ในความทรงจำอันดำมืดแม้แต่สิ่งที่คิดถึง ภาพยังไม่สามารถลอยขึ้นมาได้จึงทำได้เพียงพึ่งพาสุรา หากสติหลุดลอยไปเพราะเหล้าคงสามารถคว้าปลายหางของความคิดถึงได้ แม้จะเป็นเพียงในความฝันก็ตาม 


 


 


หมดไปแล้วหนึ่งขวด และวางขวดที่สองลงบนพื้นตามกันมา มือที่ยื่นออกไปหวังจะคว้าขวดที่สามสัมผัสเข้ากับความอบอุ่นและนุ่มแทนที่จะเป็นขวดเหล้าเย็นเฉียบ หญิงสาวที่จับขวดเหล้าที่ฮอนตั้งใจจะคว้าเอาไว้และมองมาทางฮอนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอียงขวดเหล้าไปทางแก้วของเขา อาการเวียนหัวและจิตใจลามกที่ไม่อาจควบคุมได้เข้าครอบงำฮอน ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรุนแรงผ่านไป พอลืมตาขึ้นในอ้อมกอดของเขาก็มีสาวงามหาใครเทียบไม่ได้นอนอยู่ 


 


 


‘เจ้าชื่ออะไร’ 


 


 


‘จินแชยอน ท่านล่ะ’ 


 


 


‘…ฮอน’ 


 


 


มันคือพรมลิขิต มันคือความรักและถวิลหา ฮอนเชื่ออย่างนั้น ทุกครั้งที่ไปหาแชยอน ผู้ซึ่งบอกว่าเป็นลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยม นางจะอยู่ที่นั่นเสมอ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายคืนที่ดวงจันทร์ลอยขึ้นซ้ำไปซ้ำมาจนผ่านไปเป็นปี ฮอนก็จับมือแชยอนออกมาเปิดเผยสถานะที่เคยปกปิดเอาไว้ หญิงสาวได้ยินคำว่าพระชายาจากฮอนแต่กลับไม่ดีใจ ตรงกันข้ามกลับร้องได้อย่างเศร้าโศกเป็นครั้งแรก 


 


 


‘ทำไมถึงร้องไห้เช่นนั้น’ 


 


 


‘เพราะหม่อมฉันเสียใจจึงร้องไห้เพคะ เสียใจที่ไม่อาจเป็นหญิงสาวธรรมดาในอนาคตของฝ่าบาทได้จึงร้องไห้’ 


 


 


นับแต่นั้นฮอนก็ไปหาพระราชาอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก ทั้งถูกไล่และถูกตวาดอยู่ตลอดก็ยังคงอ้อนวอน เพื่อให้แชยอนผู้ซึ่งเป็นสามัญชนมาเป็นสนมของตน ท้ายที่สุดก็ได้รับอนุญาต และเงื่อนไขที่ตามมาคือให้คัดเลือกคู่อภิเษกสมรสและต้องรับสตรีคนนั้นมาเป็นพระชายา 


 


 


ฮอนอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขแบบไหนก็รับไว้และพาแชยอนเข้ามาในวัง ในขณะที่การคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสดำเนินไปเขาก็ลุ่มหลงนาง ลูกสาวของเหล่าเสนาบดีที่ได้ยินเรื่องการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสแต่ไม่สนใจ ผ่านไปอย่างนั้นสองสามเดือน เขาก็เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับหญิงสาวที่ไม่แม้แต่จะมีใจให้ 


 


 


‘ฝ่าบาท ตอนนี้ทรงมีพระชายารูปงามแล้ว โปรดลืมคนต่ำต้อยอย่างหม่อมฉันเถิดเพคะ’ 


 


 


‘คนที่ข้ารักมีเพียงเจ้าเท่านั้น ฉะนั้นคืนนี้ข้าจะไม่คลายปมผูกเสื้อของพระชายา รอสักครู่เถอะ เดี๋ยวข้ากลับมา’ 


 


 


แต่ว่าวันนั้นนับตั้งแต่เจอรยูฮา ฮอนก็ตกอยู่ในสภาพสับสน ไม่ว่าจะกอดแชยอนสักแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่มองรยูฮา ความตื่นเต้น ความเศร้าและความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ซึ่งเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้จากแชยอนก็ตีตื้นขึ้นมา มีเพียงความรู้สึกเศร้าใจ สงสารและใจที่เอ็นดูเท่านั้น พอกอดแชยอนแล้วเมล็ดพันธุ์ของความปรารถนางอกเงยภายในนั้น ต่อมาความอ่อนล้าอันว่างเปล่าก็ถาโถมเข้ามาหาเขา 


 


 


รยูฮาเคยถามว่าสามารถเสี่ยงชีวิตเพื่อแชยอนได้หรือไม่ แต่เขากลับตอบคำถามนั้นได้อย่างยากลำบาก แต่ว่าตอนที่ม้าบ้าวิ่งเข้ามาหารยูฮา เขากลับเสี่ยงชีวิตอย่างไม่คิดอะไรเลย แม้แต่ความจริงที่ว่าตัวเองเอาชีวิตเข้าเสี่ยงก็เพิ่งมาตระหนักรู้ทีหลัง หลังจากที่ทำไปแล้ว ความจริงข้อนั้นรบกวนเขาทำให้เขารู้สึกละอาย เขาไม่สามารถรักษาความจริงใจต่อสตรีที่มองแค่เขาแล้วเข้ามาในพระราชวังได้ เป็นความรู้สึกของความละอายและต้องรับผิดชอบต่อหญิงสาวที่ชีวิตพังทลายลง 


 


 


“รู้เมื่อวาน ตอบที่เจ้าบอกกับข้าว่าข้าโดนมอมยา” 


 


 


ตอนที่ได้รู้ว่าความรู้สึกสั่นสะท้านในคือวันฝนตกเป็นความรู้สึกที่ถูกคนสร้างขึ้นโดยใช้ยา ความรู้สึกละอายและดูถูกตัวเองก็หายไป การเจอกันกับแชยอน มันเป็นการวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


“ทรงฉลาดนัก ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันทราบเรื่องอยู่แล้ว” 


 


 


“น่าจะบอกข้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องคุกเข่าแบบนั้น” 


 


 


ภาพหัวเข่าที่ไม่เหมาะกับพื้นของรยูฮาและนิ้วที่ค้ำตรงพื้นไว้ยังคงเด่นชัดตรงหน้า ฮอนรู้สึกเศร้าใจเรื่องนั้นกว่าสิ่งใด 


 


 


“หากทูลแล้วจะทรงเชื่อหรือเพคะ อีกอย่าง…” 


 


 


รยูฮายกเหล้าดื่มจนหมด 


 


 


“หม่อมฉันไม่อยากเห็นฝ่าบาททรงเศร้า ในฐานะสตรีแค่สวามีของตัวเองก็ปกป้องไม่ได้ซ้ำยังทำให้ร้องไห้อีกจะมีเรื่องไหนน่าอายไปกว่านี้อีกเพคะ ต่อให้เป็นความรักที่เต็มไปด้วยคำโกหก แต่หากฝ่าบาทมีความสุขก็ไม่เป็นไรเพคะ เป็นเช่นนั้นเพคะ” 


 


 


เขาคิดว่าน้ำเสียงแผ่วเบาของรยูฮาเหมือนเสียงเพลง หากว่ากันด้วยเนื้อเพลงที่ไพเราะที่สุดในเพลงนั้นก็คงเป็นคำว่า ‘สวามีของตัวเอง’ 


 


 


“แค่หม่อมฉันคิดผิด ความสุขที่สร้างมาจากการโกหก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเป็นสุขได้ ทั้งฝ่าบาท ทั้งจินซึงฮวีผู้น่าสงสาร ทรงจำนกตัวน้อยในกรงของพระพันปีตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหมเพคะ” 


 


 


ริมฝีปากของฮอนยกขึ้นเล็กน้อยเพราะความทรงจำที่ลอยขึ้นมา เขายิ้มมองตามรยูฮาที่ตบเบาๆ ลงบนโต๊ะเสวยอย่างไม่รู้ตัวแล้วรีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว ในวันอากาศเย็นที่เดินเคียงคู่กันมานั้น ภายในใจของฮอนก็รับรยูฮาเข้ามาในฐานะคู่ชีวิต แม้ตอนนั้นเขาจะยังไม่รู้ตัวก็ตาม 


 


 


“ตอนนั้นเจ้าเห็นนกแล้วก็อ่านใจของพระองค์ออก” 


 


 


“จินซึงฮวีเหมือนนกตัวนั้นเพคะ นางเอาแค่รอคอยคนที่จะมาให้อาหารอย่างไม่คิดอะไรในสภาพที่ติดอยู่ในกรงหรูหรา ดังนั้นจึงให้นกอีกตัวไปเพื่อให้บินไปด้วยกัน ตอนนี้อาจจะกำลังดูแลกันและกัน และใช้ชีวิตในโลกกว้างใบนี้ ต่อให้ฝ่าบาทลงโทษหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่เสียใจที่ทำแบบนี้” 


 


 


แชยอนมักจะจัดดอกไม้และนั่งรอเขาอยู่ตรงที่เดิมเสมอ แม้เสื้อผ้าไหมอันหรูหรา เครื่องประดับผมอันใหญ่โต และเครื่องประดับมากมายจะแสนหนักอึ้ง แต่ความกดดันของนางนั้นหนักมากกว่าน้ำหนักของของเหล่านั้นรวมกันเสียอีก ความรู้สึกรักและหวงแหนนางอาจจะเป็นความสงสารเห็นใจก็เป็นได้ 


 


 


“หากเจ้าไม่ชวยปล่อยนกตัวนั้น นกตัวนั้นก็คงตาย ถ้าคิดถึงความละอายใจนั้นแล้ว สิ่งที่ควรมอบให้เจ้าคือรางวัลไม่ใช่การลงโทษ บอกสิ่งที่เจ้าปรารถนามาเถิด” 


 


 


รยูฮาแอบกระตุกยิ้มที่ตรงริมฝีปาก ถ้าทำสีหน้าแบบนั้นก็มักจะมีเรื่องแปลกๆ ออกมา ฮอนรอคอยคำตอบของรยูฮาอย่างนึกหวั่นใจ 


 


 


“หม่อมฉันปรารถนาการเข้าหอเพคะ ฝ่าบาทจะส่งให้สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนาได้เมื่อไหร่กันเพคะ” 


 


 


เป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมา ดวงตาของฮอนสั่นไหวราวกับเกิดแผ่นดินไหวขึ้นลงอย่างหนัก 


 


 


“เจ้า เจ้า…ไม่อายบ้างหรือไร!” 


 


 


ในระหว่างที่ต่อว่าเสียงดัง หัวใจที่ไม่ดูตาม้าตาเรือกลับควบคุมไม่ได้ หัวใจมันเคลื่อนที่ไปมาตามใจและรู้สึกเหมือนกับกำลังตีเข้าที่หัว ฮอนยกแก้วขึ้นดื่มในสภาพหน้าแดงไปถึงคอ แต่พร้อมกันนั้นความคาดหวังอันน่าประหลาดก็ตีตื้นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ 


 


 


“ถ้าเป็นเรื่องเข้าหอตอนนี้…” 


 


 


“ไม่ ไม่ได้สิเพคะ ฝ่าบาทบอกว่าจะเอาสิ่งที่หม่อมฉันต้องการมาให้ แล้วจึงเข้าหอไม่ใช่หรือเพคะ”


ตอนที่ 6-5

 


 


 


 


ฮอนยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าแดงก่ำด้วยความเสียดาย จากนั้นก็ลดมือลงอย่างช้าๆ ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น คำพูดที่ออกไปแล้วไม่ใช่จะมาลบได้ ความจริงก็อยากลบไปหลายครั้งแต่เขาก็รู้ดีว่ารยูฮาคงไม่มีทางอนุญาต  


 


 


“สิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ เจ้าบอกมาเถอะ” 


 


 


แม้แต่ท่าทางของเขาก็ยังดูเต็มไปด้วยความต้องการ ด้านรยูฮาเองก็ข่มความรู้สึกที่อยากจะขโมยริมฝีปากนั้นที่ดูต้องการอย่างมากไว้ แล้วหัวเราะแผ่วเบา 


 


 


“หม่อมฉันปรารถนาให้ฝ่าบาทเป็นสวามีอย่างแท้จริงเพคะ สวามีที่ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอย่างไม่มีบกพร่องและมองแค่ภรรยาผู้เดียวไม่มีเปลี่ยน ให้สมกับที่หม่อมฉันเป็นพระชายาของประเทศ หม่อมอยากปล่อยวางเรื่องที่ว่าฝ่าบาทเป็นของผู้อื่นและทุกๆ อย่างให้หมด” 


 


 


ฮอนได้ยินคำตอบของหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาราวกับแผ่นดินจะสลาย ดูอย่างไรแล้วคืนนี้คงไม่ใช่คืนเข้าหอ ดูแล้วหมายความเช่นนี้ รยูฮาพูดกับเขาที่ยกแก้วเหล้าขึ้นเพื่อจะปลอบใจตัวเองอีกครั้ง  


 


 


“ก่อนนี้หม่อมฉันเคยผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฝ่าบาทครั้งหนึ่ง จำได้หรือไม่เพคะ” 


 


 


ฮอนหน้านิ่วคิ้วขมวดจมอยู่กับความคิด เขานึกย้อนไปถึงวันที่เจอกันครั้งแรก และความทรงจำเรื่องที่พวกเขาจูบกันครั้งแรกในคืนนั้นก็ลอยขึ้นมา เรื่องที่พูดคุยกันในตอนนั้น เขาขโมยสัมผัสรยูฮาที่กำลังกระสับกระส่ายแล้วใจเต้นตูมตาม เขานอนฟังเสียงลมหายใจของรยูฮาอยู่ข้างๆ ทั้งคืนแล้วเสียงนกของเช้าวันใหม่ก็มาเยือน 


 


 


“เจ้าบอกว่าถ้าตื่นแต่เช้า แล้วรีบไปทำความเคารพพวกผู้ใหญ่…” 


 


 


“จะให้หม่อมจูบสินะเพคะ” 


 


 


น้ำเสียงนิ่งสงบและสิ่งที่อ่อนนุ่มก็ทาบทับลงบนริมฝีปากของฮอน เหล้าที่ไหลเข้ามาผ่านปลายลิ้นของรยูฮาถูกส่งลงไปในคอจนหมดเกลี้ยง แต่ความกระหายยังหลงเหลืออยู่และปรารถนาสิ่งที่ร้อนแรงกว่านั้น การประกบปากร้อนแรงขึ้น สุดท้ายริมฝีปากของรยูฮาที่ประกบลงไปก็ผละออกช้าๆ 


 


 


“อ้า เจ้านี่ช่าง…” 


 


 


“หม่อมฉันรักษาสัญญาแล้ว ฝ่าบาทเองก็ต้องรักษาสัญญานะเพคะ” 


 


 


จะไม่รักษาสัญญาได้หรือ ฮอนที่ในหัวนึกถึงสิ่งที่ชายหญิงสามารถทำได้เสร็จแล้วก็พยายามเบนสายตาหลบรยูฮาแล้วลุกจากที่นั่ง การอยู่ด้วยกันสองต่อสองในพื้นที่เดียวกันก่อนที่จะได้รู้ว่าสวามีที่แท้จริงเป็นอย่างไร และก่อนจะได้เข้าหอดูเหมือนจะทำให้เข้าแห้งเ**่ยวตายเสียก่อน ตอนนั้นเองที่เสียงของมินอาดังขึ้นมาจากทางด้านนอกทำให้ฮอนนั่งลงบนที่นั่งอีกครั้ง 


 


 


“เหล่านางโลมขอเข้าเฝ้าเพคะ” 


 


 


“ให้เข้ามา” 


 


 


หญิงสาวสองคนที่คุ้นหน้าดีเข้ามาข้างใน พอเข้ามาโซยูและนึงพาก็หมอบกราบลงขอรับโทษราวกับนัดกันไว้ทันที  


 


 


“มอบโทษตายแก่พวกเราเถิดเพคะ!” 


 


 


ใส่ยาลงไปในเหล้าขององค์รัชทายาทคงไม่อาจคาดหวังจะมีชีวิตต่อไปได้ เงาดำมืดทาบทับลงบนใบหน้าน่ารักของหญิงสาวราวกับหายใจไม่ออก ฮอนยิ้มแห้งแล้วส่งสัญญาณมือเล็กน้อยไปทางพวกนาง  


 


 


“คนในเมืองนี้เจอหน้าข้าก็มีแต่ขอร้องให้ฆ่าทิ้ง ช่างมันเถอะ พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด” 


 


 


“ฝ่า ฝ่าบาท!” 


 


 


นึงพาผู้ถูกไว้ชีวิตอย่างคาดไม่ถึงมองไปทางฮอนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ขนาดรู้ว่าโดนวางยายังไม่ลงโทษ ทั้งยังชี้ให้นั่งลงข้างๆ หรือว่า…. 


 


 


“เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของข้า พระชายาจัดการด้วย” 


 


 


นึงพาหลบตาอีกครั้งอย่างหมดแรงเพราะความหวังพังทลายลงในชั่วพริบตา มินอาเห็นอย่างนั้นก็ยกยิ้มขึ้นอย่างไร้สุ่มไร้เสียง พอสบตากับโซยูถึงได้กลับมาทำหน้าไร้ความรู้สึกอีกครั้ง รยูฮาเองไม่มีความคิดจะลงโทษเหมือนกัน 


 


 


“จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อสวามีข้ารูปงามมาแต่ไหนแต่ไร” 


 


 


ฮอนไม่รู้ว่าตรงไหนที่ทำให้ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไปอีก ตรงที่ว่าสวามีของข้า หรือตรงที่บอกว่ารูปงาม และดูเหมือนจะทั้งคู่ ระหว่างที่เขาพยายามควบคุมสีหน้าอย่างยากเย็น รยูฮาก็หันหน้าไปทางที่ว่างภายในห้อง 


 


 


“พวกข้าได้ใช้ช่วงเวลาดีๆ ที่นี่ ข้าไม่มีอะไรจะลงโทษพวกเจ้าหรอก รีบมายกเหล้าเร็วเข้า” 


 


 


“ทรงเมตตามากเพคะ พระชายา!” 


 


 


เมื่อคืนได้ยินว่าพระชายาเป็นสตรีเย็นชาผู้ซึ่งตัดขาบุรุษที่เข้ามาดูหมิ่นตน แต่ดูแล้วเป็นผู้มีใจเมตตาไม่ใช่หรือ โซยูและนึงพายิ่งโค้งตัวลงมากกว่าเดิมเพราะการจัดการของพระชายา 


 


 


“จะรินเหล้าถวายเพคะ” 


 


 


โซยูจับขวดเหล้ารินให้ฮอนและรยูฮา และขวดเหล้าที่ยื่นไปทางมินอาเพื่อรินเหล้าให้เป็นคนสุดท้ายกำลังสั่นอย่างมาก 


 


 


“ท่านองครักษ์เองก็รับสักแก้วนะเพคะ” 


 


 


“ช่างเถอะ…” 


 


 


มินอาพยายามจะบอกว่าช่างเถอะแต่ก็เงียบปากลงเพราะสายตาที่ส่งมาของรยูฮา 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นแค่นิดเดียวพอ” 


 


 


“เพคะ ท่านองครักษ์” 


 


 


โซยูค่อยๆ เทเหล้าในปริมาณที่พอเหมาะให้กับมินอา ขวดเหล้าถูกยกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะแก้วเหล้าถูกยกดื่มจนหมดในเวลาเดียว เวลาแห่งค่ำคืนเริ่มต้นขึ้นแล้ว 


 


 


ตอนที่ชานและชองโอไม่อาจรอพวกเขากลับมาได้จึงบุกเข้าไปในหอนางโลม ภาพภายในห้องนั้นช่างน่าชวนมองเป็นอย่างมาก 


 


 


“เอ๊ะ! เจ้าคนใจดำ! เจ้าเองก็จะมาตีข้าเหมือนกันหรือ” 


 


 


“องค์ชายสอง! นั่งลง นั่งลง วันนี้พระชายาเลี้ยงเอง ข้าได้เงินค่าขนมจากพระพันปีมาเยอะเชียว!” 


 


 


เข้าคู่กันดีเสียจริง ชานพยายามกลืนคำพูดที่ตีขึ้นมาถึงคอลงไป ถ้าจะดื่มสู้ไปดื่มในที่ที่ไม่มีใครรู้จักสถานภาพจริงเสียดีกว่า น่าอับอายเหล่าทหารเป็นอย่างมาก เขาส่ายหน้าไปมาด้วยหน้าตาบูดบึ้งและหันหน้าไปคาดโทษมินอา 


 


 


“เจ้าเองก็เห็นอยู่ว่าสองพระองค์ดื่มอยู่แบบนี้ ทำไมถึงไม่ยอมห้ามปราม เจ้าทำอะไรอยู่!” 


 


 


เหล่านางโลมพากันหวาดกลัวเพราะคำพูดของเขาที่รู้สึกได้ถึงความโกรธเคือง โซยูมองมินอาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ แต่แค่นี้ไม่ทำให้มินอาสะเทือน นางตอบรับคำของชานที่ทั้งแข็งกระด้างและไม่สุภาพ 


 


 


“พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่หม่อมฉันห้ามปรามได้หรือเพคะ” 


 


 


เป็นการโต้ตอบอย่างสมน้ำสมเนื้อ ชานผู้หมดคำพูดรีบไปเข้าไปประคองฮอนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ส่วนมินอาก็เข้าไปประคองรยูฮา แล้วพากันออกมาจากหอนางโลม และตอนที่ขบวนกำลังข้ามประตูใหญ่มือของหญิงสาวก็ยื้อชายเสื้อของมินอาไว้ด้วยความเสียดาย 


 


 


“ท่านองครักษ์ ไปแล้วจะกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ” 


 


 


ในน้ำเสียงของโซยูที่รั้งมินอาไว้มีน้ำตาไหลรินลงมา มินอาตกใจมากจนเกือบปล่อยรยูฮาที่ประคองอยู่ให้ร่วงลง 


 


 


“ทำไม ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้” 


 


 


ด้วยนิสัยที่เด็ดขาดเหมือนมีดของมินอา หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับรยูฮาหรือเป็นเรื่องที่เหนือกว่านั้นขึ้นไปก็ไม่มีทางจะตื่นตกใจ พอน้ำเสียงของมินอาดูตื่นตระหนกแบบนั้น ชานจึงหันหลังมาและเริ่มดูสถานการณ์นี้อย่างใส่ใจ 


 


 


“ทำเกินไปแล้วเจ้าคะ นับตั้งแต่ที่ท่านมาที่นี่ข้าก็มองแค่ท่านมาตลอด แต่ท่านกลับไม่แลตามองข้า ซ้ำยังมาจากไปแบบนี้ได้อย่างไร” 


 


 


“หืม? จะ เจ้าพูดเรื่องอะไร ไม่สิ ข้า…!” 


 


 


มินอาตกใจมากจนลืมวิธีพูดในแบบที่เคยพูด แต่โซยูกลับน้ำตานองหน้าแล้วเกาะติดนางแน่นราวกับปฏิกิริยาเช่นนั้นคือการปฏิเสธ 


 


 


“ทิ้งชื่อหรือไม่ก็ป้ายชื่อไว้หน่อยก็ยังดีเจ้าค่ะ ข้าจะเฝ้ามองสิ่งนั้นและรอคอยท่านกลับมาหาในสักวัน” 


 


 


เสียงเศร้าโศกของโซยูลอยเข้ามาในหูของรยูฮาที่เมาพิงมินอาอยู่อย่างชัดเจน คนเราสร่างเมาในชั่วพริบตาแบบนี้ได้ด้วย รยูฮาทรุดลงนั่งกับพื้นแล้วเริ่มหัวเราะอย่างไม่ห่วงเกียรติออกมา 


 


 


เสียงหัวเราะของรยูฮาที่ระเบิดออกมาอย่างคาดไม่ถึงมีเสียงหัวเราะของชานเข้ามาผสมด้วย 


 


 


“ฮ่าๆ! มินอาของข้าก็รูปงามอยู่นะ! ฮ่าๆๆ!” 


 


 


“คิก คิกๆ…” 


 


 


สายตาของมินอาหันไปทางท้องฟ้าเพราะปฏิกิริยาของทั้งสองคน โซยูมึนงงแต่ยังคงจับชายเสื้อแน่นไม่ปล่อยและมองทั้งสามคนสลับกัน 


 


 


“ดูให้ดี เจ้านี่นิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่หรอก แต่หากถอดชุดเครื่องแบบออกก็เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลย” 


 


 


ชานหยุดหัวเราะอย่างยากลำบากแล้วพูดขึ้น และทำให้ใบหน้าของมินอาแดงในที่สุด โซยูจ้องมองมินอาแทบทะลุราวกับหมดคำพูดไปสักครู่ ต่อมาจึงค่อยๆ ปล่อยมือจากชายเสื้อ 


 


 


“เอ่อ ทำอย่างไรดี ข้าเสียมารยาทไปแล้ว!” 


 


 


โซยูใช้มือปิดหน้าที่แดงฉ่าแล้ววิ่งหายเข้าไปในห้อง เหลือเพียงแค่เสียงหัวเราะของรยูฮาที่ยังไม่หยุดกับบรรยากาศอันน่าอึดอัด มินอาจ้องมองชานอย่างหมดศรัทธาอยู่สักครู่ แล้วในขณะที่เขาสะดุ้ง นางก็ขึ้นไปบนหลังม้า 


 


 


“ไปกันเถอะเพคะ เสียเวลากันมามากแล้ว” 


ตอนที่ 6-6

 


 


 


 


เวลาห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นเหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านคนรวยและขุนนางครึ่งหนึ่งที่เรียกเก็บภาษีสูงเกินไปถูกจับและส่งตัวไป ฮอนและชานหมกตัวอยู่ในห้องทำงานในจวนของเจ้าเมืองพันด้วยกัน พวกเขาตรวจสอบเอกสารที่ไม่ถูกต้องทีละแผ่นจนล่วงเข้าสู่เวลาเช้ามืดถึงได้นอน วันนั้นเองก็เช่นกัน 


 


 


“นำมื้อดึกมาถวายเพคะ” 


 


 


เสื้อผ้าสีขาวของรยูฮาและชุดเครื่องแบบสีดำของมินอาดูเหมาะกันเสมอ สองคนเดินเรียงกันเข้ามาในห้องทำงานและถือถาดอาหารที่ถูกปิดไว้อย่างสะอาดเรียบร้อยเข้ามาด้วย  


 


 


“ให้สาวใช้เอามาให้ก็ได้ ทำไมมาด้วยตัวเองเช่นนี้” 


 


 


ปลายนิ้วของฮอนที่ลุกขึ้นรับเอาถาดอาหารสัมผัสกับปลายนิ้วของรยูฮา และไม่ได้มีแค่สัมผัสจากปลายนิ้วเท่านั้น 


 


 


“ตั้งใจมาดูใบหน้าหล่อเหลาเพคะ” 


 


 


หากแต่เป็นคำพูดที่ส่งไปอย่างไร้ความรู้สึกในขณะที่ริมฝีปากไม่ได้ยกยิ้มขึ้นเลย ไม่รู้เพราะอะไรฮอนถึงได้อารมณ์ดีนักจนยิ้มกว้างแกะผ้าห่อของออก ขณะเดียวกันชานกลับวางกระดาษที่ถืออยู่ในมือลงด้วยใบหน้าเคร่งขรึมต่างจากปกติ  


 


 


“หากไม่เสวยจะเอากลับไปนะเพคะ” 


 


 


พอมินอายกถาดอาหารที่ยังไม่ได้วางลงขึ้นอีกครั้ง ชานก็ลุกจากที่  


 


 


“ข้าจะออกไปรับลมสักหน่อย เดี๋ยวกลับมา” 


 


 


ตอนนี้เป็นฤดูที่ผ่านพ้นฤดูหนาวมาแล้ว แต่ลมทางภาคเหนือก็เย็นและบาดผิวเหมือนน้ำแข็ง มือของชานที่ออกมาข้างนอกคนเดียวสัมผัสเข้ากับลมหนาวและด้ามดาบ 


 


 


“ประลองหน่อยไหมเพคะ” 


 


 


มินอาที่ตามมาอย่างไม่รู้ตัวดึงดาบสีดำของตัวเองมาถือไว้ ปลายดาบที่ถูกดึงออกมาจากฝักพร้อมกับเสียงสดใสมุ่งมาทางเขา ชานจึงฉีกยิ้มแล้วจับดาบ 


 


 


“ดี” 


 


 


“มั่นใจหรือไม่เพคะ” 


 


 


“ข้าจับดาบมาทั้งชีวิต ไม่คิดว่าจะแพ้ให้กับสตรี” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเดิมพันกับหม่อมฉันหน่อยไหมเพคะ” 


 


 


เป็นข้อเสนอที่คาดไม่ถึง มินอาขอร้องให้เดิมพันหรือ ดูจากสถานะแล้วช่างเป็นคำพูดที่อวดดีมาก แต่ว่าในสายตาของชานที่มองหญิงสาวมันคือเรื่องสนุก  


 


 


“ต้องการอะไรจากข้า แล้วเจ้าให้อะไรข้าได้บ้าง” 


 


 


“หากหม่อมฉันแพ้ หม่อมฉันจะให้พระองค์สั่งให้หม่อมฉันทำอะไรได้หนึ่งอย่างในยามที่พระองค์จำเป็น หากหม่อมฉันชนะช่วยหักห้ามใจจากพระชายาด้วยเถอะเพคะ” 


 


 


เหมือนอย่างทุกที่ ไม่สามารถอ่านจากใบหน้าของมินอาได้เลยว่านางรู้สึกอย่างไร สายตาเคร่งขรึมสบกันภายใต้อากาศหนาวเย็น ต่อมาเสียงของชานก็เรียกความสนใจไป 


 


 


“เจ้าคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ยามที่ข้าจำเป็น” 


 


 


“หม่อมฉันถนัดการใช้ดาบและซุ่มโจมตี อีกทั้งยังยิงธนูได้ดีอีกด้วย สามารถเข้าออกวังได้ทั้งในฐานะผู้หญิงและผู้ชายจนเรียกว่าเป็นตากับหูได้เพคะ แล้วก็เป็นที่วางใจจากพระชายาและตระกูลซอซึ่งเป็นต้นกำเนิดขุนนางใหญ่ ในบรรดาลูกน้องที่พระองค์มี มีคนที่มีประโยชน์มากกว่าหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ” 


 


 


ลองพิจารณาดูทีละอย่างแล้วนับเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ ความจริงแล้วเรื่องหัวใจตัวเองถึงมินอาไม่พูดเขาก็จะตัดใจอยู่แล้ว และต่อให้ต้องตัดใจเพราะแพ้ก็ไม่มีอะไรเสียหายไม่ใช่หรือ มือที่เปลี่ยนมาจับตรงด้ามจับของชานยกขึ้นไปทางมินอาอย่างไม่มีสัญญาณเตือน การฟันดาบของนางมินอาเป็นที่ยอมรับจากเขาคล้ายกับรยูฮา ดาบก็ทั้งเล็กและเบากว่า ต่อให้การเคลื่อนไหวร่างกายจะคล่องแคล่วและมีไหวพริบดี แต่ก็คงเทียบเขาไม่ได้ 


 


 


พระชายาใช้ผู้หญิงเช่นนี้ได้อย่างไร และตอนที่ความคิดนี้แล่นผ่านไปแล้วริมฝีปากของชานยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก็มองเห็นจุดอ่อนของดาบที่ทั้งเร็วและแม่นยำของมินอา ดาบของชานไม่พลาดโอกาสนั้นแล้วแทรกเข้าไปทั้งอย่างนั้น มินอาค่อยๆ ถอยไปเรื่อยจนหลังชิดเข้ากับต้นไม้ใหญ่ สุดท้ายปลายดาบที่แทงไปด้านสีข้างของหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นในสายตา ด้านข้างใบหน้าของมินอาที่หมุนตัวเพื่อป้องกันตัวเองมีแสงสะท้อนจากด้ามที่ปักอยู่บนต้นไม้ออกมาอย่างชัดเจน 


 


 


“พลาดเสียแล้ว” 


 


 


มินอายอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่พอใจ ชานเอาดาบออกมาแล้ววางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของหญิงสาว 


 


 


“ข้าจะไม่ทำเรื่องให้พระชายาต้องตกอยู่ในความลำบากเพราะข้า อย่าลืมสัญญาล่ะ” 


 


 


มินอาเม้มปากแน่นและเฝ้ามองเบื้องหลังของชานที่เดินกลับเข้าไป และบทสนทนาของพวกเขาก็ลอยเข้าหูของฮอนผู้ซึ่งถาดอาหารเปล่าเดินออกมา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ!” 


 


 


ผ่านไปสามวัน วันที่ขบวนองค์รัชทายาทจะออกเดินทาง ราษฎรของเมืองนี้ต่างพากันออกมาหมอบตรงพื้นและเอ่ยสรรเสริญเพื่อส่งพวกเขาต่างจากตอนมา ทำไมจะไม่เป็นเช่นนั้น เหล่าครอบครัวที่ถูกส่งไปเป็นทาสแทนภาษีที่ไม่สามารถจ่ายได้ได้กลับมาอีกครั้ง และทรัพย์สินที่ถูกยึดไปเพราะการเรียกเก็บภาษีมากเกินไปก็ได้กลับคือมาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นองค์รัชทายาทบอกว่า หากใครมีเรื่องทุกข์ใจถ้าไปที่จวนของเสนาบดีในเมืองหลวง เขาก็จะช่วยรับฟัง เหล่าชาวบ้านต่างพากันรู้สึกมั่นคงปลอดภัยราวกับพระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมา แค่ความสงบในฤดูใบไม้ผลิที่พวกเขาต้องการและกษัตริย์ปกครองอย่างเป็นธรรมแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว 


 


 


“ขอบใจมาก เพราะเจ้าถึงช่วยเมืองหนึ่งไว้ได้” 


 


 


พอออกมาจากหัวเมืองและมองไม่เห็นเหล่าชาวบ้านแล้ว ฮอนก็มองรยูฮาแล้วยิ้มกว้าง 


 


 


“จะเป็นผลงานของหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ คนที่ทำงานห่ามรุ่งห่ามค่ำคือฝ่าบาทกับองค์ชายสอง หม่อมฉันแค่ตัดขาเจ้านั่นเองเพคะ” 


 


 


รยูฮาค่อยๆ ตอบพร้อมกับรอยยิ้มเงียบๆ ชองโอผู้คอยอารักขาพวกเขา ถ้าว่ากันด้วยเรื่องความกล้าหาญก็ไม่แพ้ใคร แต่ว่าตอนนี้เขากำลังเหงื่อไหลไปตามแนวกระดูกสันหลัง พระชายาที่เหมือนจะไม่สามารถฆ่าได้แม้แต่แมลงวันสักตัว ใครจะไปรู้ว่าทรงโหดเ**้ยมเช่นนี้ 


 


 


ชานมองสีหน้าแปลกๆ ของเขาจากทางด้านข้าง แล้วเบนสายตาไปข้างหน้าก่อนจะพูดเสียงเบา 


 


 


“ข่าวลือที่ว่าฝ่าบาทเสด็จแพร่สะพัดไปแล้ว เจ้าเมืองแต่ละเมืองคงพากันเครียดพ่ะย่ะค่ะ แค่มีบัญชีนี้ก็คงเอาผิดพวกเขาได้ไม่ยาก จะเสด็จกลับได้เร็วกว่าที่คิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


สมุดบัญชีสามเล่ม สามคนถือเพื่อเตรียมพร้อมเผื่อไว้ ในบรรดานั้น ชานถือสมุดบัญชีควบคุมทรัพย์สินของจูเยฮึง การติดสินบนเก็บภาษีเป็นหนึ่งในความผิดร้ายแรง ผู้ที่อยู่ในสมุดบัญชีเล่มนี้จึงควรไปพบเจออย่างมาก แต่ว่าพอการย้ายสถานที่อย่างไม่มีหยุดพักจบลงและหมู่บ้านที่มาถึงตอนดวงจันทร์ลอยขึ้นบนฟ้ากลับดูมืดมน ถึงขนาดใบหน้าของเจ้าเมืองที่ออกมาต้อนรับก็ดูหม่นหมองจนแทบมองไม่เห็น  


 


 


“นี่มันเป็นโรคติดต่องั้นรึ ทำไมบรรยากาศของหัวเมืองนี้ถึงได้…!” 


 


 


น้ำเสียงของฮอนแทบจะเป็นการถอนหายใจ บ้านเรือนแต่ละหลังพังจนแทบไม่อาจบังลมหนาวได้ เหล่าร้านค้าที่ไม่มีสินค้าเลยสักชิ้นถูกปิดอยู่อย่างแน่นหนาราวกับไม่เคยเปิดตั้งแต่แรก แม้แต่คนสองสามคนที่นั่งหรือนอนอยู่แถวนั้นพอเห็นขบวนขององค์รัชทายาทที่ขี่ม้ามาก็หายเข้าไปซ่อนตัวในที่ที่อยู่ลึกเข้าไปมากที่สุดในบริเวณรอบๆ นั้น  


 


 


แน่นอนว่าแถบเมืองหลวงก็มีความแตกต่างระหว่างความมั่งคั่งกับความยากจนข้นแค้นและมีผู้คนที่ยากลำบาก แต่ว่าตอนนี้ที่ฮอนเห็น ถ้าเทียบกับคนจนในที่แห่งนี้ ความยากจนที่เมืองหลวงก็ดูร่ำรวยไปเลย ที่แห่งนี้ที่ลมหนาวและหิมะมาเยือนก่อนใคร ได้แต่ปรารถนาให้ดวงอาทิตย์ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ อีกทั้งยังเป็นที่ที่ดวงอาทิตย์สาดแสงไปไม่ถึง 


 


 


“พอเข้าฤดูหนาวไม่มีของกินเหล่า พวกคนป่าก็จะเข้ามากวาดไปหมดพ่ะย่ะค่ะ ถึงจะป้องกันอย่างดีที่สุดแล้วแต่กองกำลังทหารก็ขาดแคลน…” 


 


 


ฮอนกายหน้าผากเพราะคำพูดของเจ้าเมืองที่ไม่สามารถพูดจนจบได้ เป็นช่วงเวลาที่ความจริงได้ปรากฏขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ชานบอกว่าเมืองนี้อยู่ห่างจากเขตแนวชายแดนออกมาอีกหน่อยสถานการณ์น่าจะดีกว่า เสียงร้องไห้ของเด็กๆ ที่ดังออกมาจากตรอกซอกซอยที่ขบวนผ่านยิ่งบาดลึกเข้าไปในหัวใจอันว้าวุ่นของฮอนเข้าไปอีก 


 


 


“เสบียงอาหารที่สามารถช่วยพวกเขาได้ตอนนี้ล่ะ” 


 


 


“ถ้าแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่ลงบันทึกไว้ให้เสมอภาคกัน ก็มีเสบียงอาหารให้อยู่ได้อีกสิบวันพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่เสบียงอาหารที่อยู่ที่ที่ว่าการและในบ้านของกระหม่อมเองก็เอามาออกมาหมดแล้วพ่ะยะค่ะ” 


 


 


เห็นชัดว่าคำที่เขาแสร้งบอกว่าเอาออกมาหมดแล้วมันไม่จริง แต่ไม่มีเวลาจะมาลงโทษให้เสียเวลา 


 


 


“สิบวัน…” 


 


 


ก่อนอื่นเลยฮอนเข้าไปที่ที่ว่าการทั้งที่ตกอยู่ในสภาพกลัดกลุ้ม โดยมีชานและรยูฮาขนาบข้าง ส่วนเจ้าเมืองนั้นนำทางอยู่ข้างหน้า 


 


 


“ต้องจัดส่งเสบียงอาหารมาภายในสิบวัน ดูจากสถานการณ์ของเมืองนี้แล้ว เมืองใกล้เคียงก็ไม่น่าจะต่างกัน คงต้องส่งคนกลับไปเมืองหลวงแล้วนำเสบียงมา แต่ถ้าส่งกำลังคนไปขนส่งเสบียงก็จะไม่มีกองกำลังทหารคุ้มครองที่นี่ จะทำอย่างไรดีลองออกความคิดเห็นกันหน่อย” 


 


 


สายตาอันน่าสงสัยของเจ้าเมืองมองปราดไปทางรยูฮา ต่อให้เป็นพระชายา แต่การที่สตรีนางหนึ่งที่ถึงบอกว่าเป็นลูกสาวของมหาเสนาบดีก็ตามมาปกครองที่แห่งหนึ่งและว่าราชการก็ไม่มีอะไรให้ถูกใจนัก ยิ่งไปกว่านั้นในระหว่างที่องค์รัชทายาทกำลังตรัสอย่างจริงจัง สายตาของหญิงสาวก็มองไปยังที่ไกลออกไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก 


 


 


“เสบียงอาหารที่ทรงตรัสว่าจำเป็นต้องไปหาจากที่ห่างไกลนั้น หากเดินทางข้ามไปอีกนิดอาจจะกองรวมกันอยู่เหมือนภูเขาก็ได้เพคะ” 


 


 


ตอนนั้นเองที่ขนตายาวของรยูฮาค่อยๆ กะพริบช้าๆ แล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ 


 


 


“อาหารชั้นเลิศเลยสินะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชานตอบรับอย่างยินดี พอเจ้าเมืองกีหันมองรยูฮาสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยคำถามมากขึ้น แม้แต่องค์ชายก็ทรงไว้ใจผู้หญิงคนนี้หรือ รยูฮารู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่นางก็ไม่สนใจและถามอย่างซื่อๆ 


 


 


“เจ้าเมืองกี จากที่นี่ข้ามแดนไปถึงที่ที่เหล่าคนป่าอยู่ใช้เวลานานเท่าไหร่” 


 


 


“หากควบม้าไปก็ไม่ถึงครึ่งวันพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีสิบวัน แค่ห้าวันก็เพียงพอแล้วเพคะฝ่าบาท” 


 


 


ฮอนเข้าใจคำพูดของรยูฮาที่ตัดบททั้งหน้าและหลังในทันที และพยักหน้าตาม ตอนนั้นเองสายตาที่ดูนิ่งเฉยของรยูฮาก็ปราดมา 


 


 


“เจ้าเมืองรับคำสั่งฝ่าบาทระดมกองกำลังทั้งหมด ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นหญิงหรือชายขอให้ทำงานได้ ทั้งสองพระองค์คงจะมอบงานที่ลำบากหน่อยให้ แล้วก็ทำสัญลักษณ์ให้พวกเขาตรงแนวชายแดนด้วย พอพวกเขาข้ามเส้นไป เราทั้งหมดจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร” 


 

 

 


ตอนที่ 6-7

 

วันถัดมาในหัวเมืองที่อดอยาก งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นผิดเวลา เหนือกำแพงที่ถูกรื้อออกไปครึ่งหนึ่ง ไฟที่ใช้ย่างเนื้อทั้งคืนยังไม่มอดดับ อีกทั้งกับข้าวที่ทำและส่งไปจากห้องครัว เสบียงที่เหลืออยู่ไปจนถึงเสบียงที่ขบวนรัชทายาทเอามานั้นหมดเกลี้ยงแล้ว พวกเขากินและดื่มจนทำให้คนที่อยู่นอกเมืองเห็นแสงไฟและควันไฟขนาดใหญ่จากในระยะร้อยลี้ได้ สีหน้าขององค์รัชทายาทที่พึงพอใจเพราะเหล่าทหารต่างก็เอ่ยปากขอบคุณที่ทำให้อิ่มท้องเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความกังวลใจในคืนวันที่สาม ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าข้ามชายแดนมาแต่ไกล 


 


 


“มาแล้ว อย่าตื่นตระหนกไป ค่อยๆ เคลื่อนไหว” 


 


 


เหล่าทาสและผู้หญิงรวมถึงคนที่มีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดต่างก็ส่งเสียงดังและเต้นตามคำสั่งฮอน ส่วนเหล่าทหารก็เคลื่อนไหวอย่างช้าๆจับดาบกับธนูไว้แน่น ข้างล่างกำแพงนั้นเหล่าทหารที่ชานพามาดักซุ่มอยู่ภายใต้เงาของแสงไฟที่ถูกสร้างขึ้นเหนือกำแพง รอคอยเหล่าผู้บุกรุกที่กำลังใกล้เข้ามา 


 


 


“มาแล้ว! ยิง!” 


 


 


ในที่สุดตอนที่ง้างธนูเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย ลูกธนูก็ถูกยิงออกมาจากกองไฟย่างเนื้อขนาดใหญ่ในคราวเดียวทั้งอย่างนั้นราวกับดาวตก เหล่าผู้หญิงก็ไม่ได้มัวแต่เล่นอยู่ พวกนางเอาก้อนหินและกรวดที่อยู่เกลื่อนไปทั่วยัดใส่ในกระโปรงแล้วขึ้นไปบนกำแพงก่อนจะขว้างใส่หัวพวกคนป่า และสาดน้ำมันเดือดจากการประกอบอาหารใส่ เหล่าทหารที่ดักซุ่มอยู่ปิดกั้นทางเหล่าคนป่าที่พยายามจะหลบหนีและบั่นคอพวกนั้นจากทางด้านหลัง เหล่าทหารที่ไม่มีเรี่ยวแรงเพราะไม่ได้กินอาหารอย่างเต็มที่พอได้กินดีและพักผ่อนเพียงพอก็กลับมามีขวัญกำลังใจกว่าครั้งไหน 


 


 


ระหว่างที่การต่อสู้เกิดขึ้นตรงบริเวณกำแพง เหล่าทหารที่ติดตามรยูฮากับมินอามาและพวกผู้ชายที่มีกำลังดีลากเกวียนที่เต็มไปด้วยดินโคลนพร้อมกับพาม้าข้ามชายแดน จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือฐานทัพของเหล่าคนป่าซึ่งอยู่ตรงเนินเขาที่มองไม่เห็นได้อย่างง่ายดาย 


 


 


“หยุด ส่งเสียงแม้แต่น้อยก็ไม่ได้” 


 


 


รยูฮาที่อยู่หน้าสุดยกมือสั่งให้เกวียนหยุด 


 


 


“พระชายามันอันตรายพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวหม่อมฉันกลับมาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชองโอรีบคว้าชายเสื้อและห้ามไว้อย่างรวดเร็ว ที่แผ่นหลังของรยูฮาในชุดเครื่องแบบสีดำมีหน้าไม้ติดอยู่แทนดาบ และในมือของนางเป็นมีดสั้น ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากากแต่การที่หญิงสาวหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ว่าใครก็ดูออก 


 


 


“ขัดคำสั่งรึ” 


 


 


“ถนอมพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชองโอหน้าจ๋อยทันทีเพราะคำพูดดุดันที่ตอบกลับมาพลางโค้งตัวลงทำความเคารพ รยูฮาตบลงบนไหล่เขาสองครั้ง หลังจากนั้นก็หายเข้าไปในความมืด มินอาในชุดแบบเดียวกันและทหารที่ว่องไวที่สุดสี่ห้าคนก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว  


 


 


เหล่าคนป่าส่วนใหญ่ออกไปปล้นตามที่คาดเดาไว้ เหลือส่วนน้อยที่เฝ้าฐานทัพ รั้วที่ทำจากไม้ซุงเหลาให้แหลมแล้วปักลงค่อนข้างแข็งแรง แต่คนเฝ้าประตูที่เคยเฝ้าทางเข้าออกทั้งสี่ทิศกลับถูกปลิดชีพด้วยมีดสั้นในสภาพที่ไม่ได้กรีดร้องแม้สักนิด 


 


 


มินอาผู้ลักลอบเข้ามาเช่นนั้นค้นหาฟางข้าวที่กองสุมตรงมุมเอามาเป็นเชื้อเพลิง ฟางข้างแห้งเจอเข้ากับลมแรงจากทางเหนือไม่นานก็ลุกไหม้เป็นสีแดงราวกับจะทำให้ทุกอย่างหายไปในไม่ช้า ไม่ใช่แค่ที่เดียว เปลวไฟพุ่งทะยานขึ้นจากมัดฟางตรงนั้นตรงนี้บ้าง แล้วเสียงตะโกนเอะอะวุ่นวายก็ทำลายค่ำคืนอันสงบสุขลง 


 


 


“ไฟไหม้! ไฟ! ดับไฟเร็ว!” 


 


 


แผ่นหลังของเหล่าคนป่าที่วิ่งออกมาจากทั่วทุกที่โดนถูกลูกธนูที่แม้จะเล็กแต่ทรงพลังเข้าอย่างจัง ค่ำคืนอันมืดมนจนเหมือนไม่มีแสงจากดวงจันทร์แม้แต่น้อย แต่เปลวไฟที่เล็ดลอดออกมาจากส่วนทุกที่ก็ส่งสว่างไปหมดจนสว่างเหมือนตอนกลางวัน ไม่มีมุมให้ใครซ่อนตัวได้ 


 


 


รยูฮาพาพวกทหารลักลอบเข้ามาที่ฐานทัพได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือศพที่กระจัดกระจาย และต้อนเหล่าผู้หญิงกับเด็กที่พากันกลัวจนตัวสั่นให้มาอยู่ที่เดียวกัน ตอนนี้เองที่ลูกธนูไฟของรยูฮาถูกส่งเป็นสัญญาณออกไปแล้วเกวียนกับม้าก็เข้ามาถึง พอโปรยดินโคลนที่บรรทุกมาจนหมดเกลี้ยง เปลวไฟสีแดงเข้มก็อ่อนกำลังลง กองไฟหลายกองที่กำลังลุกโชนอยู่ก็ค่อยๆ สงบลง หน้ากากเลื่อนลงมาใต้คางของรยูฮาสะท้อนกับกองไฟนั้นจนส่องแสงสีขาว 


 


 


“บรรทุกเสบียงและของมีค่าไปให้หมด เจ้า เจ้า เจ้า แล้วก็มินอาตระเวนดูว่ามีคนบาดเจ็บไหม” 


 


 


“พระชายา ทำอย่างไรกับผู้หญิงและเด็กดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทหารคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม 


 


 


“ถามสิ่งที่รู้อยู่แล้วสินะ ในสงครามประชาชนของประเทศที่แพ้จะต้องกลายเป็นอะไร” 


 


 


“พาไปเป็นทาสแล้วก็เชลยศึกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“รู้แล้วก็ทำตามนั้น” 


 


 


เพราะสั่งให้ตามมาจึงตามมา แต่พวกเขายังไม่สามารถปรับตัวได้ เหมือนตอนที่ชานเจอรยูฮาครั้งแรกก็เป็นเช่นนั้น หากว่าปรับตัวได้แล้ว การที่ได้เห็นหญิงสาวออกคำสั่งให้บั่นหัว วางเพลิง ไปจนถึงให้พาเชลยไป ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกไม่เปลี่ยนสักนิดก็ออกจะเป็นเรื่องที่น่าทึ่งไม่ใช่หรือ เหล่าทหารที่อยู่รอบๆ จ้องมองมาในสภาพอ้าปากกว้าง รยูฮาขมวดคิ้วอีกครั้งแล้วหันมองพวกเขา แล้วก็พูดเสียงแผ่วเบาออกมา 


 


 


“จะขัดคำสั่งงั้นรึ” 


 


 


คำนั้นได้ผลเหมือนกับเวทมนตร์ เหล่าทหารที่มึนงงและมองไปที่รยูฮาเบนสายตากลับมาอย่างพร้อมเพรียงกันและเริ่มเคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือเปล่า แต่รยูฮาเห็นหัวหน้าองค์รักษ์ที่เคยทำหน้างงงวยมากที่สุดบรรดาทุกคนกลับตะโกนขึ้นแล้วก็โบกแขนไปมา 


 


 


“ยืนทำอะไรอยู่! รีบๆ ขนเร็วเข้า!” 


 


 


รยูฮาควบม้าสืบเสาะไปตามอาคารทีละหลังซึ่งยังมีควันลอยออกมาตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง มีศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ไหม มีผู้ได้รับบาดเจ็บไหม ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดให้แน่ชัด ความพอใจถึงจะตามมาหลังจากความเหนื่อยล้า หลังจากการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ขอบปากของรยูฮามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น 


 


 


“เผาให้หมด วัชพืชต้องเผาไปจนถึงรากจะได้เงยหน้าขึ้นมาอีกไม่ได้” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา” 


 


 


หญิงสาวหวงแหนประชาชนของประเทศเป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นเหล่าคนชนชั้นล่างที่ยังเด็กและไม่มีเรี่ยวแรงยิ่งหวงแหน เช่นนั้นแล้วจึงไม่มีความเมตตาต่อศัตรูที่มายุ่งกับพวกเขา อาคารต่างๆ ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้แห้งและฟางข้าวซ้อนเป็นชั้นๆ พอจุดไฟอีกครั้งไฟก็ลุกโชนราวกับรอคอยอยู่ จากนั้นก็เหลือแต่เถ้าถ่าน 


 


 


ค่ำคืนแห่งเสียงอึกทึกครึกโครมผ่านไปเช่นนั้นจนถึงราวๆ ช่วงฟ้าสาง ม้าสีดำของฮอนที่นึกเป็นห่วงเพราะเห็นควันไฟจากที่ไกลๆ ก็ออกมาข้างนอก เขาเห็นหญิงสาวพร้อมกับแผงคอม้าในกลุ่มควันในสภาพหันหลังให้ดวงอาทิตย์ นางปรากฏตัวพร้อมกับเกวียนมากมายที่บรรทุกเสบียงและเชลยศึก แต่สำหรับฮอนแล้วเขามองเห็นแค่เพียงนาง ขณะที่เหล่าทหารรอคอยอย่างร้อนรุ่มกลุ้มใจอยู่บนกำแพงก็มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้น ฮอนหยุดม้าตรงหน้ารยูฮาแล้วยิ้มสดใสก่อนจะยื่นมือออกไป 


 


 


“ข้าเป็นห่วง ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” 


 


 


“ไม่มีใครบาดเจ็บสักคนเพคะ” 


 


 


ร่องรอยของการต่อสู้ที่ดำเนินไปทั้งคืนดูน่าสงสารและโหดร้าย ข้างล่างกำแพงนั้นศพกองกันเกลื่อน และด้านหน้าเป็นหัวของหัวหน้าคนป่าที่ถูกตัดแล้วมาปักไว้ โบกไปมาเหมือนธง ควันไฟของการเผาเหล่าศัตรูพวยพุ่งอย่างต่อเนื่องตลอดสามวันไม่หยุดพักราวกับค่ำคืนงานเทศกาล แต่ก็ไม่มีเวลาให้หยุดพักมากนัก ฮอนเปิดเข้าไปในห้องทำงานของเจ้าเมืองแล้วเอาเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่ออกมา ในระหว่างนั้นชานจัดทำรายการสิ่งของที่บรรทุกมาด้วยตัวเองแล้วถือเข้าไป 


 


 


“ลำบากท่านแล้ว เสด็จพี่” 


 


 


ชานวางรายการที่ทำมาวางลงบนโต๊ะแทนการตอบแล้วจ้องไปทางฮอน ท่าทางของน้องชายที่ก้มหน้าอยู่กับเอกสารไม่เงยหน้าขึ้นมาดูไม่คุ้นตาราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ดูอีกทีก็คุ้นอยู่ ท่าทางเหมือนกับพ่อของพวกเขาที่เคยเห็นในห้องทรงงานของพระราชวัง 


 


 


“เปลี่ยนไปเยอะเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ” 


 


 


ในที่สุดฮอนก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับชานและยิ้มกว้าง ใบหน้าที่เคยงดงามดูเหนื่อยล้า ตรงใต้ตามีเงาดำ แม้แต่เสื้อผ้าก็เลอะเทอะไปด้วยฝุ่นและน้ำหมึก แต่ว่ารอยยิ้มนั้นดูสดใสกว่าครั้งไหนที่ชานเคยเห็น 


 


 


“เพราะบุญคุณของเสด็จพี่ หากไม่ใช่เสด็จพี่ อย่าว่าแถวชายแดนเลย แม้แต่โลกภายนอกพระราชวังเป็นไปอย่างไรข้าก็คงไม่รู้ คงไม่อาจจินตนาการได้ว่าการเป็นกำลังให้กับชาวบ้านเป็นอย่างไร” 


 


 


ชานเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าน้องชายผู้ลุ่มหลงอยู่กับเหล้าและอิสตรีอย่างเสเพลจะเปลี่ยนไปเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ความจริงเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ต้องยินดี เขาคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น 


 


 


“คนที่ควรได้รับความเคารพไม่ใช่กระหม่อม แต่เป็นพระชายาต่างหาก” 


 


 


แต่ว่าคำที่ออกมาจากปากของชานอย่างแท้จริงกลับมีเสี้ยนหนามปักอยู่จนน่าตกใจ ไม่รู้ว่าไม่ทันได้สังเกต หรือแสร้งทำเป็นไม่ทันได้สังเกต ฮอนก้มลงไปหาเอกสารอีกครั้งแล้วตอบราวกับตามน้ำไป 


 


 


“อาจจะเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเป็นองค์รัชทายาทถึงจะได้รับ”

 

 

 


ตอนที่ 6-8

 

“ไปลากตัวมา”


 


 


ขจัดศัตรูภายนอกแล้วคราวนี้ถึงคราวลงโทษศัตรูภายใน


 


 


เจ้าเมืองกีที่หมอบตัวหลบอยู่ถูกลากตัวมาตรงหน้าลานบ้านตามคำสั่งของฮอน และถูกโยนลงบนพื้น น้ำเสียงเย็นชาของฮอนทิ่มแทงลงเหมือนคมมีด


 


 


“ดูอย่างไรรายการของที่ถูกปล้นและที่มีอยู่เดิมก็ไม่ตรงกัน ที่เหลือหายไปไหน”


 


 


“ระ เรื่องนั้นกระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ สิ่งของที่ถูกปล้นไป ได้กลับคืนมาหมดแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“นับจำนวนศพกับคนที่ถูกพามาเป็นทาสทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานเรื่องการใช้งานสิ่งของ ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ที่เหลือไปไหน”


 


 


“ลอง…ลองตรวจสอบอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ”


 


 


“แค่ตรวจสอบพวกนี้ข้าก็อดหลับอดนอนไปสามคืนแล้ว!”


 


 


เล่นละครได้ยอดเยี่ยมมาก แสร้งเล่นละครได้เข้าถึงจิตวิญญาณด้วยการตีหน้าเศร้าตั้งแต่หัวจรดเท้าจนทำให้สติที่พยายามข่มไว้ระเบิดออกมาเหมือนภูเขาไฟ


 


 


ม้วนกระดาษที่ฮอนขว้างไปอย่างแรงปะทะเข้าหน้าผากของเจ้าเมืองกีแล้วร่วงลง


 


 


“ชาวบ้านถูกปล้นหมด แต่ทำไมในบ้านเจ้าถึงไม่เป็นไรและปลอดภัยอยู่ที่เดียวได้!”


 


 


เลือดสีแดงเข้มไหลมาบดบังสายตาแล้วค่อยๆ ไหลลงพื้นโคลน แต่เจ้าเมืองกีไม่สามารถแม้แต่จะเช็ดออกได้ ได้แต่ตัวสั่นราวกับต้นหลิวและทรุดลงพื้น


 


 


“กระ…กระ…กระหม่อม…”


 


 


“ยังกล้าพูดว่ากระหม่อมอีก ทั้งเพิ่มภาษีทั้งลักลอบเอาเงินที่ใช้ปกป้องประเทศไปจนไม่พอใช้ ไอ้คนชั่ว”


 


 


พอโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ก็ลืมคำที่ตัวเองจะพูดไปจนหมดสิ้น ฮอนหัวเราะเยาะพร้อมกับด่าออกมา ก่อนจะลุกขึ้นจากที่เดินเข้าไปหาเจ้าเมืองกี


 


 


“จะเพิ่มภาษีก็มีข้อจำกัดอยู่เลยกลัวว่าจะเรื่องจะแดงขึ้นมา เลยร่วมมือกับคนป่าให้เข้ามาปล้นเพื่อรักษาทรัพย์สินของตัวเองไว้ แล้วรับเอารายการของที่ปล้นไปเอาไว้เพื่อให้พวกเจ้าได้อิ่มท้อง ถ้าที่ข้าพูดมันผิดก็แย้งมา”


 


 


เจ้าเมืองของหัวเมืองชายแดนที่ต้องปกป้องเขตแดนอย่างดีที่สุดเปิดประตูให้ฝ่ายตรงข้าม แล้วเอาของที่ถูกปล้นมาเป็นของตัวเอง เป็นสาเหตุให้เหล่าคนป่าเข้ามาถึงตัวเมืองที่ตั้งอยู่ข้างในและปล้นได้แม้จะเป็นมีกำแพงเป็นเส้นข้ามเขตแดน และแม้จะปล้นสิ่งของไปหมดแล้วพวกเขาก็ไม่พอใจ ยังใช้แรงที่เหลือไปปล้นเมืองถัดไปอีก


 


 


“หลักฐาน…มีหลักฐานไหมพ่ะย่ะค่ะ! อย่างไรเสีย…อึก!”


 


 


ฮอนเหยียบเท้าลงบนลิ้นปี่ของเจ้าเมืองกีที่ร้องขอหลักฐานอย่างแม่นยำ เหล่าทหารที่มองเจ้าเมืองกีเอามือกุมท้องแล้วร้องครวญครางทั้งๆ ที่เป็นบริวาร แต่กลับไม่มีใครนึกสงสารเขาสักคน ตรงกันข้ามในรอยยิ้มที่ยกยิ้มกลับปรากฏความหมายที่แสดงถึงความสบายใจอย่างชัดเจน แต่ดูสีหน้าพวกเขาไม่ว่าใครก็รู้ว่าใช้ชีวิตแบบถูกขูดรีดมากแค่ไหน


 


 


“ไอ้เจ้านี่ไม่มีทางได้เกิดใหม่แน่ จับตัวมันขึ้นมา”


 


 


คำว่าจับตัวมันขึ้นมาน่าหวาดกลัวยิ่งกล้าการลงโทษอย่างกะทันกันเสียอีก พอเจ้าเมืองกีตั้งสติได้ก็เข้าไปจับขาของฮอนอย่างรวดเร็วแล้วเกาะไว้แน่น แต่แล้วก็กลิ้งลงไปบนพื้นเหมือนขยะ


 


 


“ฝ่าบาท! ได้โปรดขอโอกาสให้กระหม่อมแค่เพียงครั้งเดียว!”


 


 


“ปิดปากมันซะ”


 


 


เหล่าทหารที่เคยเป็นบริวารของเขาโฉบเข้ามาจับตัวเจ้าเมืองไว้อย่างรวดเร็วเหมือนฟ้าแลบ ไม่นานประตูของที่ว่าการซึ่งถูกปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก แล้วเจ้าเมืองที่ตอนนี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงก็ถูกลากตัวออกมา เหล่าทหารที่รออยู่ข้างนอกโห่ร้องเสียงดังยิ่งกว่าตอนที่เกวียนบรรทุกเสบียงมาถึง แล้วต้อนรับเขาด้วยก้อนหินที่ถืออยู่ในมือ


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


เจ้าเมืองที่ถูกแต่งตั้งใหม่จากวังหลวงนั้นกว่าจะเดินทางมาถึงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวันขึ้นไป ในระหว่างนั้นรยูฮาและมินอาไม่สามารถปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปได้ จึงช่วยซ่อมแซมหัวเมืองในช่วงกลางวัน และพอตกลางคืนก็ช่วยสอนศิลปะป้องกันตัวให้เหล่าทหาร


 


 


ทางด้านฮอนและชานที่กำลังยุ่งก็เช่นเดียวกัน พวกเขาพาคนที่มีกำลังไปจนถึงผู้หญิงมาช่วยกันซ่อมแซมกำแพงแล้วก็สลับกันดูแลกำกับงานตรงหน้างาน พอพระอาทิตย์ตกดินก็กินข้าวร่วมกันกับชาวบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมาต่อสู้กับเอกสารในห้องทำงาน


 


 


ในพื้นที่ชายแดนถึงจะที่มีแนวป้องกันชั้นแรกเพื่อป้องกันศัตรูภายนอก แต่กษัตริย์ก็ดูแลได้ยาก ผู้ดูแลที่ทุจริตทำรายงานตกหล่นอย่างตั้งใจปกครองดูแลพื้นที่มาเป็นเวลานานยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ การหาบันทึกที่เป็นไปตามจริงและถูกต้องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ตัวเลขในสมุดบัญชีไม่ตรงกันเลยแม้แต่ตัวเดียว ถ้าให้อธิบายง่ายๆ คือยุ่งเหยิงไปหมด


 


 


“โอ๊ย นึกว่าจะตายเสียแล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ เสด็จพี่”


 


 


ฮอนผละสายตาออกจากเอกสารพร้อมด้วยเสียงร้องเจ็บปวดและบีบนวดลงไปบนคอ จากนั้นก็นึกถึงตอนที่เจอกับรยูฮาครั้งแรกขึ้นมา ท่าทางของนางตอนที่ถอดชุดอันหนักอึ้งและทบซ้อนเป็นชั้นๆ ออกก่อนจะบีบนวดตรงนั้นตรงนี้ยังคงติดตา ฮอนหัวเราะขึ้นมาท่ามกลางความเหนื่อยล้า สายตาสงสัยของชานส่งไปทางฮอนเพราะเขาหัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ


 


 


“หัวเราะทำไมกันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“คืนเข้าหอหลังงานอภิเษกสมรส พระชายาก็เป็นแบบนี้ ส่งเสียงร้องเจ็บปวดพร้อมกับบอกว่า ‘นึกว่าจะตายเสียแล้ว’ ข้านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลยหัวเราะ”


 


 


ในมุมของเขาผู้ซึ่งแอบหลงรักภรรยาของน้องชายตัวเอง การได้ยินเรื่องคืนวันเข้าหอไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสนใจ ฮอนอ่านความอยากรู้อยากเห็นในสายตาของชานออก


 


 


“พระชายาบอกว่า ‘ไม่ใช่สัญญากับจินซึงฮวีไว้ว่าจะไม่แตะต้องหรอกหรือ’ แล้วก็ถอดชุดแต่งงานขว้างทิ้งด้วยมือตัวเองและบีบนวดตรงคอสองสามครั้ง นางดื่มเหล้าแต่งงานจนหมดแม้แต่ในส่วนของข้า จากนั้นก็นอนทั้งอย่างนั้น ถึงจะมาพูดเอาตอนนี้แต่ข้าคิดว่าพระชายาเป็นผู้หญิงบ้าบิ่นน่ะถูกต้องแน่แล้ว”


 


 


คำพูดสุดท้ายทำให้ความทรงจำบางอย่างของชานผุดขึ้นมา วันที่เขาพบพระชายาครั้งแรก เขาก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ในคืนนั้นที่พระชายาปรากฏตัวในชุดสีขาวงดงามอย่างมาก ในหัวใจอันแห้งแล้งของชานที่ไม่มีแม้แต่ชิ้นส่วนของสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำ สิ่งนั้นช่างมีค่ามาก


 


 


“น่าจะเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างถ้าลองคิดถึงนิสัยของพระชายาในตอนนี้ กระหม่อมคิดว่าพระชายาทรงอดทนมากพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


สายตาของชานที่พูดเช่นนั้นอบอุ่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ฮอนมองพี่ชายที่มีท่าทีแบบนั้นแล้วพยายามปลอบใจตัวเองที่ดำมืดลง สำหรับเขาชานคือพี่น้องที่หวงแหนและหาที่ไหนไม่ได้อีก ต่อให้มีความลับอันน่าหวาดเสียงชนิดที่ว่าถ้าไปจับต้องก็อาจจะแตกสลายได้ ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่ถูกส่งไปยังชานก็เก็บซ่อนความหึงหวงและเป็นกังวลไว้จนลึก


 


 


“ไหนๆ แล้วดื่มเหล้ากับน้องชายหน่อยดีไหม เสด็จพี่”


 


 


“ถ้าวันนี้ดื่ม พรุ่งนี้จะไม่แย่เอาหรือพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าพระชายากับมินอากำลังฝึกซ้อมทหารอยู่ที่ลานฝึก บางทีอาจจะไปซ้อมยิงธนูด้วยก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ถึงจะเคยเห็นรยูฮาคือดาบมาแล้ว แต่ฮอนก็อยากเห็นท่าทางของนางตอนสอนเหล่าทหาร ยิ่งไปกว่านั้นถ้าว่ากันตามจริง เขาก็ไม่มีทางพอใจที่ชานจะไปเจอรยูฮาคนเดียว ในที่สุดหลังจากทั้งสองคนจัดการเอกสารกองใหญ่เสร็จก็พากันลุกขึ้นเดินเรียงกันไปยังลานฝึก ต่อให้เป็นเวลาดึกแต่พอได้ยินเสียงที่เกิดจากการรวมพลังของร่างกายและจิตใจลอยมาแต่ไกลก็ทำให้ฮึกเหิม ต่อให้ไม่ดูว่ารยูฮาเข้มงวดกับเหล้าทหารมากแค่ไหนก็พอจะรู้ได้


 


 


“องค์รัชทายาทเสด็จ!”


 


 


พอฮอนและชานไปถึงลานฝึก น้ำเสียงก้องกังวานก็ดังลั่นท้องฟ้ายามค่ำคืน ตอนที่ไปถึง ทหารที่เคยไม่ได้เรื่องได้ราวนั้นเหมือนจะล้มหายตายจากไปแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ไม่แพ้ทหารชั้นดีของพระราชวัง เวลาที่ใช้สร้างผลงานขนาดนี้ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วัน ทั้งคู่ทำได้แค่ปรบมือให้กับความสามารถของรยูฮา


 


 


“ลำบากพวกเจ้าแล้ว อย่าใส่ใจข้าเลยฝึกซ้อมให้เสร็จเถอะ”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”


 


 


เหล่าทหารที่ตอบอย่างแข็งขันยืนประจันหน้ากันแล้วเริ่มประลองฝีมือกันอีกครั้ง ระหว่างนั้นรยูฮาในชุดเครื่องแบบสีดำที่ผมเผ้าพันกันยุ่งก็มานั่งลงข้างฮอน


 


 


“มาถึงที่นี่ทำไมเพคะ งานเสร็จแล้วก็ไม่ยอมพัก”


 


 


“พระชายายังไม่พัก ข้าจะพักได้อย่างไรกัน”


 


 


ทั้งที่อากาศตอนกลางคืนหนาวจนเย็นยะเยือกแต่หยาดเหงื่อตรงหน้าผากก็ไหลลงมาตามใบหน้าด้านข้าง ชานยิ้มแห้งพยายามหันหน้าไปเพื่อจะไม่มองฮอนที่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อนั้น พอดีว่าตรงทางนั้นเหล่าทหารส่วนหนึ่งกำลังฝึกยิงธนูอยู่ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติ


 


 


“ยิงธนู มินอาเป็นคนสอนหรือพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”


 


 


สายตาของรยูฮาที่มองฮอนอยู่หันไปทางชานแล้วก็หันไปตามทางที่เขามองอยู่


 


 


“ใช่เพคะ มินอาเป็นนักแม่นธนูที่ไม่เคยแพ้ผู้ใดเพคะ”


 


 


“ทั้งสองคนคุ้นเคยกับศิลปะป้องกันตัวในร่างสตรีแบบนี้ได้อย่างไร”


 


 


คำถามของฮอนเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างบริสุทธิ์ใจ รยูฮายิ้มอย่างสดใสแล้วนึกถึงช่วงวัยเด็กที่ยังคงชัดเจนในความทรงจำขึ้นมา


 


 


“ฟันดาบ หม่อมเรียนจากท่านพ่อ ส่วนธนูและตำรา หม่อมฉันเรียนจากท่านแม่ อย่างที่ทรงทราบญาติฝ่ายท่านแม่ของหม่อมฉันเป็นทหารที่มีความดีความชอบต่อการสร้างชาติไม่ใช่หรือเพคะ”

 

 

 


ตอนที่ 6-9

 

ฮอนและชานพยักหน้าพร้อมกัน เป็นคำที่ออกมาอย่างคาดไม่ถึงแต่ว่าในขณะเดียวกันก็เห็นด้วย หากพูดถึงฮูหยินของมหาเสนาบดี ชื่อของนางเป็นที่เลื่องลือ อีกทั้งยังเป็นคู่ชีวิตของมหาเสนาบดีที่กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ เป็นคนมีความสามารถที่คลอดและเลี้ยงดูรยูฮามา และยิ่งถ้าบอกว่านางเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปก็คงจะยิ่งตกใจกันเข้าไปใหญ่


 


 


“ไม่ตกใจหรือเพคะ”


 


 


รยูฮาตาเบิกกว้างกับท่าทางของสองคนที่ดูสงบกว่าที่คิด เป็นท่าทางที่เห็นได้ยากในเวลาปกติ สำหรับฮอนใบหน้าเช่นนั้นดูน่ารัก เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมที่เลื่อนลงมาตรงหน้าผากให้อีกครั้ง


 


 


“แค่คิดว่าเจ้าอาจจะคล้ายกับฮูหยินของท่านเสนาบดีก็เป็นได้”


 


 


“…หมายความว่าอย่างไรเพคะ”


 


 


ตาของรยูฮาหรี่ลงเล็กน้อย ฮอนผู้ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติเพราะคำพูดที่พูดออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรได้มินอาที่เดินเข้ามาใกล้พอดีช่วยชีวิตไว้ แม้จะแน่นอนว่าหญิงสาวก็แค่เข้ามาอย่างไม่ได้คิดอะไร


 


 


“คุยอะไรกันสนุกขนาดนั้นเพคะ”


 


 


“กำลังคุยเรื่องที่เรียนศิลปะป้องกันตัวจากท่านแม่ของข้า”


 


 


ท่านแม่ของข้า ไม่รู้ทำไมคำนั้นถึงได้กดทับลงบนใจของฮอนอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็เห็นรอยยิ้มสดใสที่แทบจะไม่เคยเห็นของมินอาที่อยู่ตรงข้ามกับฮอน แค่เห็นอย่างนั้นก็รู้ว่ามินอาคิดว่าฮูหยินของท่านมหาเสนาบดีเป็นเหมือนแม่ของตน


 


 


“อ้า ตอนนั้นลำบากจริงๆ เพคะ มัดถุงทรายไว้ที่ขาแล้ววิ่งขึ้นไปจนถึงยอดเขา เท่านั้นยังไม่พอยังต้องปีนขึ้นต้นไม้ในสภาพแบบนั้นด้วย ในหนึ่งวันยิงธนูสามร้อยดอก หากพลาดเป้าก็ต้องผ่าฟืนตามจำนวนนั้น ฟืนในเรือนท่านมหาเสนาบดีอาจจะเป็นข้าผ่าไว้หมดก็ได้เพคะ”


 


 


“ผ่ากับข้าไง ท่านพ่อมาจับได้ด้วยไม่ใช่หรือ”


 


 


ชานและฮอนที่ฟังอยู่นิ่งไป ธนูสามร้อยหรือ มันคือการฝึกอย่างหนักชนิดที่ว่าแม้แต่ทหารชั้นดีก็ทำได้ยากไม่ใช่หรือ สิ่งนั้นเป็นเรื่องที่มาเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มได้ด้วยหรือ ในหัวของชานที่มองไปยังสองสาวมีหนึ่งคำถามลอยขึ้นมา


 


 


“พระชายาเป็นลูกสาวเลยอาจจะเป็นไปได้ แต่มินอาทำไมเจ้าต้องเรียนต่อสู้อย่างตั้งใจจริงขนาดนั้น”


 


 


“ตั้งใจจริงหรือเพคะ ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะลำบากเพราะความตั้งใจของตนเองงั้นหรือเพคะ”


 


 


มินอามีสีหน้าบูดเบี้ยวและไม่พอใจ รยูฮายิ้มและตอบแทนมินอา


 


 


“หม่อมฉันบอกอ้อนวอนท่านแม่เองเพคะ หม่อมเคยมีความคิดว่าต่อไปอาจจะเกิดเรื่องได้ ดูสิเพคะ สอนไว้แล้วก็ได้เอามาใช้ประโยชน์เช่นนี้”


 


 


“ข้าล่ะอยากเห็นสีหน้าของเจ้าตอนอ้อนวอนฮูหยิน…”


 


 


ฮอนที่กำลังพูดนั้นชะงักไป แล้วปิดปากแน่น เพราะตอนที่กำลังพูดถึงแม่ของรยูฮาก็มีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งผ่านไป แน่ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นคือฮูหยินของท่านมหาเสนาบดีที่เขารู้จัก แต่ภาพนั้นกลับดูเด็กกว่าและใส่ชุดเครื่องแบบสีดำ ใช่แล้ว ถ้ารยูฮาที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้อายุเพิ่มขึ้นอีกสองสามปีก็จะมีท่าทางแบบนั้นแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นที่นึกถึงขึ้นมา…


 


 


“ทำไมหรือเพคะ”


 


 


 เสียงของรยูฮาทำให้ความคิดหรือความทรงจำที่เหมือนจะลอยขึ้นมาอย่างชัดเจนบินจากไป


 


 


“มะ ไม่มีอะไร เสด็จพี่บอกว่าอยากยิงธนูไม่ใช่หรือ”


 


 


ชานมองฮอนที่ทำหน้าประหลาดอย่างนึกแปลกใจ แต่แทนที่เขาจะเอ่ยถามเขากลับหยุด แล้วเบนสายตาไปทางมินอา


 


 


“ใช่แล้ว มินอา ข้าขอยืมธนูหน่อยได้หรือไม่”


 


 


“ไหนๆ จะยิงธนูแล้ว อยากแข่งกับหม่อมฉันไหมเพคะ”


 


 


เดิมพันอีกแล้วหรือ ชานยิ้มแล้วรับคำนั้นอย่างง่ายดาย


 


 


ทั้งคู่เริ่มเลือกธนูภายใต้ความตึงเครียด ตรงหูของฮอนที่มองไปยังพวกเขาด้วยสายตากระตือรือร้นมีเสียงกระซิบของรยูฮาลอยเข้ามา


 


 


“หม่อมฉันลงเงินข้างมินอาสิบนยาง[1]เพคะ”


 


 


“ข้างเสด็จพี่สิบนยางเช่นกัน”


 


 


“รับที่สิบนยางแล้วเพิ่มอีกยี่สิบนยาง”


 


 


“ไม่เยอะไปหรือ”


 


 


“ยิ่งลงมากยิ่งสนุก ไม่ใช่ว่าคนที่จะกลายไปเป็นกษัตริย์กำลังกลัวหรอกนะเพคะ”


 


 


ฮอนขมวดคิ้วเพราะคำพูดคุกคามของรยูฮา


 


 


“ดี งั้นยี่สิบนยาง!”


 


 


“หม่อมฉันก็ยี่สิบนยาง”


 


 


พอปรึกษาเรื่องเงินเดิมพันกับเงียบๆ แล้วมองไปรอบๆ เหล่าทหารตรงนั้นตรงนี้ก็ยุ่งกับการควักเงินออกมา ชานกลายเป็นจุดสนใจอย่างคาดไม่ถึงจนรู้สึกประหม่า แต่ในขณะที่เหล่าทหารแบ่งกันนั่งเป็นสองฝ่ายแล้วถุงมือยาวก็ถูกยื่นออกมา ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว


 


 


“ยิงก่อนเลยเพคะ”


 


 


มินอาจงใจแกล้งเสียสละลำดับให้ก่อน ชานหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วยืนอยู่หน้าเป้า คบเพลิงที่สว่างสดใสเหมือนตอนกลางวันกระเพื่อมไหวไปมาตรงนั้นตรงนี้จนรบกวนสายตา เขาทำใจให้สงบแล้วดึงสายธนูจนตึง พอความคิดวุ่นวายในหัวหายใจก็มองเห็นเป้าขยายเพิ่มมากขึ้น ต่อมาเสียงโห่ร้องจากฝ่ายเหล่าทหารที่มารวมกันทางชานก็ระเบิดขึ้น ธงสีน้ำเงินถูกสะบัดขึ้นอย่างแรง


 


 


“วงสีฟ้า!”


 


 


ต่อมาเป็นมินอาดึงสายธนู แน่นอนก็มีเสียงโห่ร้องและธงสีฟ้าที่ถูกสะบัดขึ้นเช่นกัน พวกเขาทยอยยิงลูกธนูไปแปดลูกอย่างไม่มีพลาดเลย สายตาของชานสบเข้ากับมินอาที่ง้างลูกธนูดอกที่เก้าบนคันธนูและกำลังมองมาที่เขา


 


 


“ทำไมมองเช่นนั้นเพคะ”


 


 


“คิดว่าช่างเป็นสตรีที่น่าทึ่งจริงๆ อยู่น่ะ”


 


 


มินอาไม่ตอบโต้หันไปด้วยสีหน้าเฉยเมยและดึงสายธนู แต่ว่ารอบนี้มีเสียงถอนหายใจอย่างเสียดายออกมาจากทางฝั่งของมินอา ในทางตรงกันข้ามทางฝั่งชานกลับเป็นเสียงโห่ร้องเพราะรู้สึกได้ถึงชัยชนะระเบิดขึ้น ต่อให้ต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอายกับชื่อเรียกที่ว่าเป็นนักแม่นธนู แต่ว่าลูกธนูดอกนั้นก็ลอยเข้าไปปักอยู่กลางเป้าแล้วสั่นไปมา


 


 


“วงสีแดง!”


 


 


สีหน้าของรยูฮาที่เห็นธงสีแดงถูกสะบัดขึ้นดูสงสัยแล้วก็มืดมนลง แต่ว่าก็อมยิ้มเล็กๆ ลูกธนูของชานที่ลอยไปปักอยู่ตรงกลางเป้าอย่างไม่มีพลาด ฮอนผู้ซึ่งดูการแข่งขันอย่างประหม่าจนถึงขั้นกำมือแน่นก็ยิ้มออกมาแล้วยื่นมือไปทางรยูฮา


 


 


“ยี่สิบนยาง เอามา”


 


 


“โธ่เว้ย!”


 


 


“เมื่อกี้ว่าอย่างไรนะ”


 


 


“ไม่ได้ว่าอะไรเพคะ”


 


 


ยูฮาหุบยิ้มและสีหน้าก็เต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจก่อนจะลุกขึ้นจากที่ เหล่าทหารที่นั่งกระจัดกระจายกันมารวมตัวอยู่ข้างหน้าอย่างเรียบร้อย


 


 


“วันนี้ฝึกแค่นี้ กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่”


 


 


“ขอรับ ท่านอาจารย์”


 


 


พระชายาก็ไม่ใช่ ท่านแม่ทัพก็ไม่ใช่แต่เรียกว่าท่านอาจารย์ ฮอนคิดว่าชื่อเรียกช่างสมกับที่เป็นรยูฮา และออกเดินเคียงคู่ไปกับหญิงสาว จนออกจากลานฝึกมาถึงหน้าห้องบรรทมของรยูฮา แต่ว่าแทนที่รยูฮาจะเข้าไปกับเขา นางกลับหยุดเดินแล้วขวางฮอนไว้


 


 


“เข้ามาแบบนี้ทำไมเพคะ”


 


 


คำพูดคือถามว่ามาทำไม แต่สายตากลับมีความหมายให้รีบกลับไป ฮอนไม่ยอมแพ้ย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับรยูฮาแล้วยิ้ม


 


 


“ข้าจะอยู่ด้วย”


 


 


หางตาเรียวยาวโน้มลงไปทางฝ่ายตรงข้ามอย่างน่ารัก แต่รยูฮาไม่ได้จะปล่อยไปเพราะเพียงเท่านี้


 


 


“หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว ฝ่าบาททรงกลับไปพักผ่อนเถอะเพคะ”


 


 


ทำเกินไปแล้ว ฮอนพึมพำเบาๆ ยืนตัวตรงอีกครั้งแล้วหันกลับไป แน่นอนว่าแสร้งหันกลับไป


 


 


“อ๊ะ ฝ่าปาท!”


 


 


“อยู่อย่างนี้สักครู่เถอะ”


 


 


ฮอนเข้ามาสวมกอดในขณะที่หญิงสาวเผลอแล้วกระซิบอย่างมีเลศนัย เขารู้ไม่ทันว่ารยูฮาแกล้งทำทีเป็นเผลอ สายลมยามค่ำคืนหนาวเย็นแต่อากาศที่ห้อมล้อมทั้งสองคนอยู่ร้อนขึ้น หัวใจของฮอนที่อยู่ชิดเริ่มเต้นรัวขึ้น ตอนที่การเคลื่อนไหวนั้นมันเร็วมากจนยากที่จะทนได้ รยูฮาก็ดันเขาออกนิ่งๆ แล้วออกมาจากอ้อมกอดกว้าง


 


 


“มากเกินไปแล้วเพคะ”


 


 


“เจ้าทำเกินไปแล้ว”


 


 


“หม่อมฉันรู้เพคะ คราวนี้ก็กลับไปได้แล้วเพคะ”


 


 


ไม่แน่ว่าถ้าไม่ไล่อย่างเย็นชาก็อาจจะต้องอยู่ตรงนี้ทั้งคืนก็เป็นได้ คำพูดของรยูฮาจึงยิ่งเฉียบขาดมากขึ้น รยูฮาที่เอาตัวรอดจากการต่อรองฮอนมาได้อย่างหวุดหวิดปัดผมไปด้านหลังแล้วจึงกลับเข้ามานั่งในห้องบรรทม


 


 


“นานจังเพคะ”


 


 


มินอาที่เข้ามาก่อนแล้วรออยู่จับผิด รยูฮายิ้มแทนคำตอบ แต่มินอาก็ไม่ได้พูดเพื่อจะเอาคำตอบอยู่แล้ว นางรับเอาเสื้อที่รยูฮาถอดยื่นมาให้ไว้แล้วจัดการอย่างเรียบร้อย รยูฮาจมอยู่ในความคิดสักครู่ตอนมองดูเบื้องหลังของมินอาที่เดินออกไปเพราะว่าบอกว่าจะไปเตรียมน้ำให้อาบ ความคิดนั้นตอนที่ประตูถูกปิดลงแล้วก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยอยู่สักพัก


 


 


“พระชายา เตรียมน้ำพร้อมแล้วเพคะ”


 


 


 


 


[1] นยาง หน่วยเงินของเกาหลีในสมัยโบราณ

 

 

 


ตอนที่ 6-10

 

ตอนที่ 6-10 


 


 


 


 


 


เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันนะ เสียงของสาวใช้บอกให้รู้ว่าได้เวลาอาบน้ำแล้ว ภายในห้องอาบน้ำที่ตามพวกนางเข้ามาเหลือเพียงมินอาคนเดียว นอกนั้นมินอาสั่งให้ออกไปให้หมด และนางก็กำลังวัดอุณหภูมิของน้ำอยู่ พอถอดเสื้อผ้าโยนไปทั่วแล้วลงไปในน้ำ มินอาก็จัดการเก็บให้เรียบร้อยแล้วมายืนอยู่ข้างๆ 


 


 


“ดีจัง เจ้าเองก็อยากลงมาอาบด้วยหรือไม่เล่า” 


 


 


รยูฮาเอ่ยถามอย่างหยอกเย้า ปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาของมินอาแน่นอนว่ามันคือการปฏิเสธ 


 


 


“หม่อมฉันจะอาบทีหลังเพคะ” 


 


 


“อืม งั้นมานี่ สระผมให้หน่อย” 


 


 


พอสัมผัสอันคุ้นเคยสระผมให้อย่างอ่อนโยน หญิงสาวก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่สระผมไปได้ไม่นานนักก็… 


 


 


ตูม! 


 


 


“กรี๊ดดด!” 


 


 


รยูฮายื้อข้อมือมินอาไว้อย่างรวดเร็วแล้วดึงนางลงมาแช่ในน้ำทั้งอย่างนั้น มินอาเปียกปอนไปหมดทั้งตัว นางตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างยากเย็นแล้วแผดเสียง 


 


 


“พระชายา!” 


 


 


“ตอนบอกให้ลงมาก็ลงมาเสียก็สิ้นเรื่อง” 


 


 


ท่าทางยิ้มกริ่มพร้อมกับตอบไปทำให้มินอาพูดไม่ออก แต่เปียกไปแล้วจะให้ทำอย่างไรได้ มินอาเงยหน้ามองเพดานแล้วถอนหายใจ ก่อนจะขว้างเสื้อผ้าที่เปียกไปข้างๆ อ่างอาบน้ำกว้างชนิดที่ว่าต่อให้ลงมาพร้อมกันคราวเดียวห้าหกคนก็ไม่เป็นไรจึงทำให้ร่างกายไม่รู้สึกอึดอัด แม้ใจจะอึดอัดอยู่นิดหน่อย แต่นั่นก็ไม่เท่าไหร่ 


 


 


“ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบ อย่าทำเช่นนี้อีกนะเพคะ” 


 


 


“ที่ว่าบอกผิดกฎระเบียบไม่ใช่คำที่เจ้าควรจะมาพูด” 


 


 


มินอาถึงกับพูดไม่ออกเพราะการตำหนิของรยูฮา นางเม้มปากแล้วปล่อยผม รยูฮามองดูด้วยสีหน้าชอบใจแล้วเอ่ยปากราวกับคิดถึง 


 


 


“ตอนเด็กพอฝึกเสร็จก็ลงมานั่งอาบน้ำด้วยกันแบบนี้ไม่ใช่หรือ ตอนนี้ก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน ตอนข้าอาบเจ้าก็มาอาบด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ต้มน้ำแล้วอาบน้ำเย็นไม่ใช่หรือไง” 


 


 


“ตอนนั้นหม่อมฉันยังเด็กจึงไม่รู้ความเพคะ นายหญิงเมตตาสาวใช้อย่างหม่อมฉันมาก ขนาดที่ว่าหม่อมฉันลืมสถานะของตัวเองไป” 


 


 


คำว่าสถานะของตัวเองมันบาดความรู้สึกอย่างแปลกประหลาดและไม่ถูกใจ รยูฮานิ่วหน้าแล้วสะบัดน้ำใส่มินอา 


 


 


“สาวใช้หรือ ท่านพ่อท่านแม่คิดกับเจ้าเหมือนเป็นลูกสาว ข้าเองก็คิดว่าเจ้าเป็นพี่น้องที่โตมาด้วยกัน” 


 


 


“แล้วทำอะไรได้เพคะ อย่างไรเสียก็เป็นเพียงคนชั้นต่ำ” 


 


 


มินอาไม่เคยแสดงความกังวลใจเกี่ยวกับสถานะหรือการเป็นสาวใช้ของตนเลยแม้แต่สักครั้ง แต่ว่าในน้ำอุ่นที่ช่วยผ่อนคลายร่างกายจากความเหนื่อยล้าต่อหน้าผู้เป็นนาย นางกลับเผยความในใจออกมา แล้วก็เม้มปากอีกครั้ง แต่ว่าปากนั้นก็อ้ากว้างขึ้นกับคำพูดของรยูฮาที่พูดต่อมา 


 


 


“คนชั้นต่ำ? เจ้าน่ะหรือคนชั้นต่ำ?” 


 


 


“คะ? เพคะ? หมายความว่าอย่างไร…” 


 


 


สายตาของรยูฮามองมินอาอย่างงงๆ พร้อมกับคำพูดที่ไม่อาจรู้ได้ยิ่งทำให้มึนงงเข้าไปใหญ่ มินอายังงุนงง อ้าปากหวอแล้วสบเข้ากับสายตานั้น 


 


 


“จำไม่ได้หรือว่ามาบ้านข้าได้อย่างไร” 


 


 


“ไม่เลยเพคะ เพราะหม่อมฉันก็อยู่ข้างๆ คุณหนูมาตลอดตั้งแต่ยังเด็กมาก” 


 


 


อย่างนี้นี่เอง รยูฮาได้รู้ว่ามินอาไม่รู้เรื่องอะไรเลยจึงตบมือเบาๆ 


 


 


“คนที่พาเจ้ามาบ้านข้าคือญาติห่างๆ ของเจ้า บางครั้งท่านพ่อก็ช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจนใช่ไหมเล่า ญาติที่พาเจ้ามาเป็นคนชั้นกลางทั้งพ่อของเจ้าและเจ้าก็เป็นคนชั้นกลางสิ เขามาขอร้องว่าเด็กคนนี้ไม่มีใครเลี้ยงเลยขอให้ให้ข้าวให้น้ำในฐานะทาสหรืออะไรก็ได้ แต่จะเรียกลูกของคนชั้นกลางว่าเป็นทาสได้อย่างไรกัน แต่จะรับเข้ามาในบ้านขุนนางอย่างพวกเราก็ไม่ได้ พอดีกับอายุเจ้าก็ไล่เลี่ยกับข้า เลยรับเข้ามาให้เป็นทั้งเพื่อนแล้วก็คอยรับใช้ข้าน่ะสิ เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงได้นอนอย่างอบอุ่นข้างๆ ห้องข้าแล้วก็ได้ใส่เสื้อผ้าไหมน่ารักๆ ไม่ใช่หรือ” 


 


 


ชาติกำเนิดที่เป็นความลับ แต่ไม่มีใครปิดบังไว้จะบอกว่าเป็นความลับก็คงจะเกินไป แต่ก็เป็นเช่นนั้นไปแล้ว มินอาผู้ซึ่งได้รู้สถานะของตัวเองเป็นครั้งแรกไม่สามารถปกปิดความมึนงงไว้ได้ ถ้าบอกว่าเป็นคนชั้นกลางก็สามารถทำงานราชการได้เนื่องจากมีฐานะสูงกว่าชนชั้นไพร่และชาวบ้านธรรมดา และหากว่ามีทรัพย์สินมากพอก็สามารถแต่งงานกับขุนนางได้มิใช่หรือ  


 


 


“ทำไมถึงเพิ่งจะมาบอกเอาตอนนี้ล่ะเพคะ” 


 


 


“เพราะเจ้าไม่ได้ถาม” 


 


 


เทียบกับความกลัดกลุ้มที่ผ่านมาแล้วช่างเป็นคำตอบที่ง่ายเหลือเกิน มินอายิ้มอย่างหมดแรงแล้วใช้ฝ่ามือกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า สายน้ำไหลผ่านนิ้วเรียวยาวลงไปทางศอก รยูฮามองแล้วยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง 


 


 


“แต่ว่าอย่าด่วนร้อนใจไปมากล่ะ” 


 


 


“หมายความว่าอย่างไรเพคะ” 


 


 


การย้อนถามของมินอาไม่ได้รับคำตอบที่ทำให้โล่งใจกลับมา รยูฮาแค่ยักไหล่แล้วบังคับให้มินอาหันหลังเพื่อนางจะได้ถูหลังให้ เสียงพร่ำบ่นแผ่วเบาของรยูฮาเอื้อยเอ่ยความเสียดายออกมา 


 


 


“ต่อไปนี้อย่าอาบน้ำด้วยน้ำเย็นอีก ผิวของเจ้าหยาบกร้านไปหมดแล้ว” 

 

 

 


ตอนที่ 7-1

 

ตอนที่ 7-1 


 


 


 


 


 


ในที่สุดเจ้าเมืองคนใหม่ก็รับราชโองการจากกษัตริย์แล้วเดินทางมาถึง ชายหนุ่มผู้มีภาพลักษณ์ของคนใจกว้างและเต็มไปด้วยความตั้งใจจริงเนื่องจากเข้ารับราชการเป็นครั้งแรกทำความเคารพฮอนด้วยเสียงอันดังจนทุกคนตกใจ 


 


 


“เจ้าเมืองคนใหม่จินวอนชอลถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี!” 


 


 


“สมกับเป็นชายชาตรี ดีมาก รู้เรื่องจากพระราชวังมาแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“เข้ามา” 


 


 


เจ้าเมืองจินตื่นเต้นเดินตามเข้าไปในห้องทรงงาน ในนั้นคนที่ยืนรออยู่คือรยูฮาและชาน การเผชิญหน้ากับทั้งสามพระองค์ช่างกดดันเขาผู้ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งสดๆ ร้อนๆ ชุดข้าราชการใหม่ชื้นเปียกเหงื่อไปหมด เปียกเสียยิ่งตอนที่ได้รับราชโองการใหม่ๆ เสียอีก 


 


 


“ถะ ถวายบังคมพระชายาและองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เลิกทำความเคารพได้แล้ว นั่งลงเถอะ” 


 


 


ความภูมิฐานมีเกียรติเช่นนั้นแผ่ซ่านออกมาจากส่วนไหนของร่างกายอันบอบบางของพระชายากัน ตรงหน้าเจ้าเมืองจินซึ่งนั่งตัวกลั้นลมหายใจอยู่คือเหล่าเอกสารที่ชานและฮอนรวบรวมมากองสูงเหมือนภูเขา แล้วภูเขาก็ไม่ใช่แค่หนึ่งลูก ฮอนใช้นิ้วดันยอดเขานั้นไว้แล้วบอกเนื้อหาให้ฟังอย่างใจดี 


 


 


“ด้านนี้เป็นภาษีที่ต้องเก็บในเมืองนี้ เอกสารด้านนี้คืองบประมาณ ทางนี้ที่น้อยที่สุดคือรายการทรัพย์สิน แล้วก็เรื่องที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงกับเหล่าพวกคนป่าทำให้ชาวบ้านในเมืองนี้ลำบากมาก ข้าก็กราบทูลฝ่าบาทแล้ว ต่อจากนี้สามปีละเว้นภาษีและแรงงาน งบประมาณที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูเมืองก็จัดสรรไว้แล้ว อีกทั้งคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการป้องกันประเทศก็เพิ่มในส่วนนี้ด้วยอีกเท่าตัว” 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“รู้หรือไมว่ามันหมายถึงอะไร” 


 


 


ตาของผู้ว่าการว่างเปล่าไร้คำตอบ ฮอนตบลงบนไหล่เขาเบาๆ ราวกับจะบอกเข้าใจ จากนั้นก็ยิ้มเต็มใบหน้าแล้วพูดต่อ 


 


 


“มันหมายความว่าถ้าภายในสามปียังฟื้นฟูเมืองนี้ไม่ได้ เจ้าก็จะถูกลากตัวไปเหมือนเจ้าเมืองคนก่อน ถ้ามีเรื่องทุจริตแม้แต่น้อยก็หมายถึงจะอยู่ไม่ถึงสามปีแล้วถูกลากไปเช่นกัน” 


 


 


สามปี จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว ภายในระยะเวลานั้นจะสามารถฟื้นฟูเมืองที่พังลงได้ไหม เจ้าเมืองสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจจริงขององค์รัชทายาท 


 


 


“กระหม่อมจะทำให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“จะทำให้ดีที่สุด หรือทำลวกๆ ก็มีเวลาสามปี ถ้าภายในสามปีฟื้นฟูเมืองนี้ไม่ได้จะถือเป็นความผิดของเจ้า แต่ถ้ามันกลายเป็นเมืองที่สงบสุขกว่าที่ข้าคาดหวังไว้…” 


 


 


ฮอนยื่นหน้าไปหาเจ้าเมือง เจ้าเมืองไม่หลบสายตานั้นแล้วพยายามตั้งสติ  


 


 


“สิ่งนั้นก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของเจ้า พอตอนนั้นข้าได้ขึ้นครองราชย์ หากข้าต้องเลือกคนเข้ามาทำงานใหม่ในพระราชวัง ข้าจะไม่นึกถึงชื่อเจ้าหรอกหรือ เจ้าเมืองจินวอนชอล” 


 


 


ใครจะไม่ลุ่มหลงต่อความยั่วยวนนี้ ผู้ว่าการจินคิดว่ามีแสงส่องประกายออกมาจากใบหน้าขององค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้า เขาวางมือลงบนกองเอกสารอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วเปล่งเสียงก้องกังวานที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ  


 


 


“น้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


“อืม ออกไปทักทายลูกน้องใหม่เถอะ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


ลูกน้องใหม่ คำนั้นจุดไฟในใจเจ้าเมืองคนใหม่อีกครั้ง ชานมองเบื้องหลังของเขาที่ซึ่งเดินออกไปอย่างมาดมั่นแล้วหันมาจัดการเอกสารอีกครั้งก่อนจะอุทานออกมา 


 


 


“ตอนนี้ปกครองคนเก่งแล้วนะเพคะ” 


 


 


“ก็เรียนรู้จากพระชายาอย่างไรเล่า ทั้งขู่แล้วก็ปลอบใจในเวลาเดียวกันไม่มีใครไม่ติดกับ” 


 


 


รยูฮาปัดผมที่ตกลงมาบนไหล่ไปข้างหลังเพราะคำตอบของฮอน น้ำเสียงคัดค้านดังขึ้นเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ 


 


 


“หม่อมฉันขู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ ก็แค่ทูลเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น” 


 


 


ความไม่พอใจของหญิงสาวถูกตอบโต้กลับมาเบาๆ 


 


 


“ปกติแล้วเขาเรียกว่าขู่ พระชายา” 


 


 


พอฮอนระเบิดเสียงหัวเราะ รยูฮาก็ยิ้มแห้งอย่างเสียไม่ได้แล้วก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง คนรับผิดชอบคนใหม่มาแล้วคราวนี้ก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง 


 


 


“คงต้องเตรียมตัวแล้วเพคะ พรุ่งนี้ต้องควบม้าออกไปตั้งแต่เช้ามืดถึงจะสามารถไปถึงเมืองข้างๆ ได้ในช่วงหัวค่ำ” 


 


 


“ข้าจะช่วยเอง” 


 


 


พอฮอนลุกตามรยูฮาไป ชานก็ออกมาข้างนอกเช่นกัน การหยุดพักที่ไม่มีมานานแล้วช่างหอมหวาน แต่ว่าสนุกไปกับมันไม่ได้นานนัก เพราะต้องรีบเข้านอนจะได้มีแรงพอควบม้าในวันต่อมาทั้งวัน

 

 

 


ตอนที่ 7-2

 

วันต่อมา 


 


 


ช่วงเวลาที่ดวงจันทร์ยามเช้ามืดยังคงลอยอยู่ ขบวนเสด็จมีเจ้าเมืองจินมาส่งแล้วออกจากเมืองไปเงียบๆ ชาวบ้านบางคนรู้ว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จไปแล้ว แต่ก็ไม่ทำเสียงเอะอะโวยวาย ได้แค่เอียงหูฟังเสียงเกือกม้าที่เคลื่อนตามหลังดวงจันทร์ยามเช้ามืดไปและนึกขอบคุณอยู่ในใจเท่านั้น 


 


 


ขบวนเสด็จเดินทางทั้งวันไม่มีหยุดพักจนมาถึงที่หมายเร็วกว่าที่รยูฮาคาดการณ์ไว้ ถึงไม่ได้ส่งข่าวบอกล่วงหน้า แต่ปากทางเข้าเมืองถูกซ่อมบำรุงไว้แล้วและดูไม่เป็นธรรมชาติจนน่าอึดอัดเหมือนกับใส่เสื้อผ้าไม่พอดีตัว เจ้าเมืองวิ่งมาในสภาพยังไม่ทันได้สวมรองเท้าพร้อมกับเอกสาร 


 


 


“เตรียมงานอย่างเร่งด่วน คงเหนื่อยแย่” 


 


 


ฮอนเปิดดูเอกสารที่เขายื่นมาให้แล้วยกยิ้มก่อนจะกระแนะกระแหน 


 


 


“เตรียมงานอย่างเร่งด่วนอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ! เป็นพระมหากรุณาธิคุณเสียมากกว่า!” 


 


 


“กลิ่นหมึกเขียนใหม่ฟุ้งขนาดนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ช่างเถอะ ข้าคงต้องออกไปดูชาวบ้านด้วยตัวเอง เจ้ารออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” 


 


 


การตามล้างตามเช็ดคนที่ทำให้ส่งกลิ่นเหม็นหึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วทั่วทุกแห่ง ถ้าทุจริตมากก็ตั้งใจจัดการด้วยการฟาดสักทีสองที แต่เรื่องเอกสารก็เร่งด่วนเสียจนว่าต่อให้ไม่ดูก็รู้ว่าใต้ตาคงเป็นสีดำคล้ำอีกแล้วแน่ๆ ฮอนเปลี่ยนใส่ชุดธรรมดาออกมาเพื่อจะไปดูงาน แต่เจอรยูฮาพอดี 


 


 


“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ” 


 


 


“ตั้งใจจะเดินดูข้างในสักรอบน่ะ” 


 


 


รยูฮามองปราดตั้งแต่หัวจรดเท้ามาทางเขาผู้ซึ่งตอบคำถามอย่างแข็งขัน แล้วพ่นเสียงผ่านจมูกออกมา 


 


 


“รอด้านในเถอะเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


ต่อหน้าคนในปกครองเป็นองค์รัชทายาทผู้มีท่าทีฮึกเหิม แต่หากยืนต่อหน้ารยูฮาก็ไม่ต่างจากลูกหมาสงบเสงี่ยม เพราะเขาเดินเข้าไปข้างในอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งที่บอกให้รอข้างในสักครู่โดยไม่พูดซ้ำ รอนานแค่ไหนกัน เวลาที่รอคอยรยูฮาดูเหมือนจะนานก็นาน เหมือนจะสั้นก็สั้น ต่อมารยูฮาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชุดองครักษ์สีดำหนึ่งชุดในมือ  


 


 


“ชาวบ้านที่นี่รู้หมดว่าฝ่าบาทเสด็จมา แม้แต่ก้อนหินที่เห็นหน้าฝ่าบาทก็คงถวายบังคมพระองค์” 


 


 


“ทำไม ชุดแบบนี้ไม่เหมาะหรือ อุตสาห์เลือกชุดที่ธรรมดาที่สุดแล้ว” 


 


 


“ใส่ชุดผ้าไหมยังดีเสียกว่าอีกเพคะ ชุดนั้นมันไปคนละทางกับหน้า” 


 


 


สายเลือดอันสูงค่านับตั้งแต่เกิดมาไม่สามารถปิดซ่อนท่าทางเหล่านั้นได้ด้วยเสื้อเก่าซ่อมซ่อ พอรยูฮาแนะเช่นนั้นฮอนก็รับชุดองค์รักษ์มาด้วยสีหน้าหดหู่ ฮอนจ้องไปทางรยูฮาที่เอียงหน้ามองมาในสภาพถือชุดองครักษ์ไว้ ระหว่างนั้นความเงียบอันแปลกประหลาดก็มาเยือน และต่อมาก็เป็นฮอนที่เอ่ยขึ้นมาก่อน 


 


 


“ไม่ออกไปหรือ” 


 


 


“ต้องออกไปหรือเพคะ” 


 


 


“เจ้าจะอยู่ตรงนั้นก็ได้” 


 


 


ด้วยประสบการณ์ของเขาต่อให้ดันหลังออกไปแค่ไหน เขาก็รู้ดีว่ารยูฮาก็คงไม่ออกไป ฮอนเลือกทางที่จะทำให้รยูฮาเดินออกไปด้วยเท้าของตัวเอง เขาหันหลังกลับมาถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น แต่ว่าพอถอดออกไปแล้วหนึ่งชิ้น สองชิ้น สามชิ้น จนปลดผ้าคาดเอวแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงประตู เขาหันมาในสภาพยังไม่ได้ปลดผ้าคาดเอวออกจนหมดอย่างระมัดระวัง  


 


 


“เฮือก!” 


 


 


ฮอนหันหลังมาได้มาครึ่งหนึ่งก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนหน้าที่รยูฮาอยู่ห่างออกไปมากว่าห้าก้าวแน่ๆ แต่ตอนนี้นางกลับมาอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว แล้วรยูฮาก็คว้าเอวของเขาที่กำลังจะเอี้ยวตัวหลบเอาไว้อย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองที่ฮอนได้เห็นว่า สายตาของนางที่มองหน้าอกของเขาเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกราวกับบุรุษ  


 


 


เหล่าสตรีที่ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของฮอนมีมากมาย สำหรับเขาผู้ซึ่งเติบโตมาโดยได้รับการดูแลรับใช้จากเหล่านางในตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วดังสายน้ำที่ต้องไหลจากด้านบนสู่ด้านล่าง แต่ในบรรดาสตรีเหล่านั้นไม่มีใครมองชื่นชมอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนรยูฮาแน่ๆ ความรู้สึกอันไม่คุ้ยเคยที่เรียกว่าความเขินอายตีตื้นขึ้นมา นับตั้งแต่มือของรยูฮาสัมผัสลงบนเอวของเขา  


 


 


“พระชายา เจ้าช่วย… ช่วยเอามือออก…” 


 


 


ในระหว่างที่กำลังเขินอายก็เหมือนกับจะบ้าตายอีกครั้ง ทั้งอุณหภูมิที่โอบล้อมเอว ทั้งสายตาที่มองมาไปจนถึงด้านล่างทำให้ไม่กล้าดันออกหรือแม้แต่ใช้นิ้วหนึ่งนิ้วแตะรยูฮา ตอนที่มือสัมผัสลงไปนั้นเหมือนกับเชือกที่กั้นระหว่างความเป็นชายหญิงจะขาดผึ่งไป 


 


 


“หม่อมฉันกลัวฝ่าบาทจะล้มเลยจับไว้” 


 


 


โกหก ถึงจะตกใจจนเอี้ยวตัวมาแต่ก็ไม่ถึงขนาดกับล้มลงเด็ดขาด ถ้าแบบนี้จะมองว่าเป็นการเชิญชวนได้หรือไม่นะ มือของฮอนที่พกความกล้าขยับมาใกล้ถึงกลับค้างอยู่กลางอากาศ 


 


 


“คงไม่ล้มแล้ว งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” 


 


 


รยูฮาถอยหลังมาในชั่วพริบตา แล้วหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนตอนกอดเขา แย่อีกแล้ว ฮอนยิ้มอย่างอ่อนแรงและเปลี่ยนเสื้อผ้าคนเดียว เขาออกมาข้างนอกอย่างยากเย็นหลังจากเวลาผ่านไปนานพอสมควร 


 


 


 


 


 


“ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนทหารเลยเพคะ” 


 


 


ในระหว่างนั้นรยูฮาที่สวมเสื้อผ้าผู้ชายออกมามองปราดไปทางฮอนผู้ซึ่งเปลี่ยนใส่ชุดองครักษ์แล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ มินอาที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย คิ้วเข้มบนผิวขาวและดวงตาลึกซึ้งและท่าทางที่ดูร่ำรวยนั้น ใครมองก็ยังดูห่างจากความเป็นทหาร ทั้งที่ร่างกายกำยำเหมือนทหารแท้ๆ เสียงพึมพำเบาๆ ของรยูฮามีเพียงมินอาที่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ได้ยิน  


 


 


“ฝ่าบาท อันนี้เพคะ” 


 


 


หน้ากากที่มินอายื่นมาถูกสวมลงบนใบหน้าของฮอน พอสวมหน้ากากก็เห็นแต่ตาโผล่ออกมาเท่านั้น ตอนนี้เองคิ้วที่ขมวดเป็นปมของรยูฮาถึงได้คลายลงแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ เป็นครั้งแรกที่มองตรงนั้นก็ดีมองตรงนี้ก็ดีแม้แต่ในร่มผ้าก็ดี แต่ก็คงต้องปิดไว้ให้ดีในขณะไปไหนมาไหน 


 


 


“ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ” 


 


 


ฮอนท้วงเพราะอึดอัดกับหน้ากากที่ทำให้หายใจไม่ออก รยูฮามองแล้วยิ้มให้พลางลูบลงบนหลังมือของเขาราวกับจะปลอบประโลม  


 


 


“จะทำอย่างไรได้เพคะ ฝ่าบาทหน้าตาหล่อเหลามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ต้องปิดไว้แบบนี้ถึงจะไม่มีเรื่องให้ได้ถูกมอมยาอีกไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


หน้าตาหล่อเหลามาแต่ไนแต่ไร การชมเชยที่คาดไม่ถึงกลายเป็นอาหารว่างเลิศรสให้ฮอน เขาลบความไม่พอใจไปในทันทีแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันไปมองชานที่ยื่นอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


“เสด็จไปก่อนได้เลยเสด็จพี่ เดี๋ยวค่อยเจอกันหลังจากไปตรวจดูแล้ว มินอา ไปช่วยเสด็จพี่ด้วย” 


 


 


“เพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


มินโค้งตัวกล่าวลาแล้วเดินหายไปทางเดียวกันกับชาน โดยทิ้งระยะห่างจากชานประมาณหนึ่งก้าว พอเห็นอย่างนั้นรยูฮาก็รีบจับบังเ**ยนม้าแล้วขึ้นไป 


 


 


“พวกเราก็ไปกันเถอะ ฮอน” 


 


 


“ฮอนหรือ…?” 


 


 


“วันนี้เจ้าเป็นองครักษ์ข้าไม่ใช่หรือ” 


 


 


การใช้คำพูดแบบสามัญชนของรยูฮาไม่มีเคอะเขินติดขัดเลย ฮอนหัวเราะแห้งๆ ออกมา แต่ก็เดินตามม้าออกไปอย่างว่าง่าย คนที่จะใช้คำพูดธรรมดากับเขาได้มีแค่กษัตริย์ที่อยู่ถัดลงมาจากฟ้าเท่านั้น ถึงตอนนี้รยูฮาพูดแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้อารมณ์เสีย 


 


 


“ทำครั้งแรกก็มาดมั่นเชียว” 


 


 


“มีอะไรที่ไม่มาดมั่นบ้าง เจ้าสนใจเรื่องเป็นองครักษ์เถอะ” 


 


 


ไม่ใช่ว่าจงใจให้เป็นแบบนี้จึงเลือกยื่นชุดองครักษ์มาให้หรอกหรือ ฮอนนึกสงสัยแต่ก็เดินตามรยูฮาไปเงียบๆ พอเดินตามมาก็เจอเข้ากับสี่แยกที่คนสัญจรไปมา สภาพบ้านเมืองนั้นดีกว่าที่คิด ระหว่างนั้นฮอนหยุดเดินแล้วหันไปถามรยูฮาอย่างเคอะเขิน 


 


 


“ต้องไปทางไหน…พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


รยูฮาเปิดประสาทสัมผัสเฝ้าสังเกตคนที่ผ่านไปมา จนสายตาของเธอไปหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งทางโน้นที่มีเด็กน้อยเดินไปรอบๆ และหันมองทางนั้นทีทางนี้ที 


 


 


“เจ้าอยู่ตรงนี้สักครู่” 


 


 


เธอยื่นบังเ**ยนม้าให้ฮอนแล้วกระโดดลงบนพื้น รยูฮาเดินเข้าไปใกล้เด็กน้อย พอไปดูใกล้ๆ ก็เห็นเป็นเด็กอายุราวสามสี่ขวบ ร่างกายซูบผอมและตัวเล็ก ไม่รู้เป็นเพราะไม่ได้กินอะไรหรือเปล่า สายตาที่เงยหน้าขึ้นมามองคนแปลกหน้าซึ่งมีกลิ่นของคนมีเงินลอยฟุ้งออกมาเต็มไปด้วยความหวัง  


 


 


“อยู่แถวนี้หรือ” 


 


 


“ชะ ใช่ขอรับ นายท่าน นายท่านจะถามทางหรือขอรับ” 


 


 


ก่อนจะตอบเหรียญหนึ่งก็ถูกวางลงบนฝ่ามือของเด็กน้อย 


 


 


“โอ๊ะ! ขอบพระคุณ นายท่าน!” 


 


 


“ข้าตั้งใจจะไปบ่อนที่ใหญ่ที่สุดในเมือง หากพาข้าไปถึงจะให้เพิ่มอีก” 


 


 


เด็กน้อยยิ้มจนเห็นฟันเหลืองราวกับรู้อยู่แล้วว่ารยูฮาจะบอกแบบนี้ 


 


 


“ถึงเมืองนี้จะเล็กแต่บ่อนก็ใหญ่ขอรับ ตามข้ามาเถิดขอรับ” 


 


 


พอรยูฮาส่งสัญญาณมือให้ ฮอนก็พาม้ามาให้ทันที ในระหว่างที่เดินตามเด็กน้อยไปทั้งคู่ก็กระซิบกระซาบกัน 


 


 


“บ่อนหรือ อย่าบอกนะว่าเป็นบ่อนที่ใช้เล่นพนัน” 


 


 


“ต้องเป็นบ่อนเพคะ ไม่มีที่ไหนเป็นแหล่งรวมข้อมูลได้ดีกว่าที่นี่แล้ว ตามมาเถอะเพคะ” 


 


 


“เงินนั่นคืออะไร” 


 


 


“เงินฉุกเฉินเพคะ” 


 


 


ถึงไม่ได้บอกว่าเป็นเงินที่หามาได้จากบ่อน แต่ก็เป็นเงินฉุกเฉินแน่ๆ จึงไม่ใช่คำโกหก อย่างน้อยตามมาตรฐานจองรยูฮาก็เป็นเช่นนั้น 


 


 


“ถ้าเข้าไปแล้วหม่อมฉันเล่นเสียจนหมด หม่อมฉันจะลงเงินเดิมพันในคราวเดียว ตอนนั้นให้ลากหม่อมฉันออกมา ก่อนหน้านั้นต่อให้เสียแค่ไหนก็ต้องปล่อยไปนะเพคะ” 


 


 


“มันจะเป็นไปดั่งที่เจ้าคิดแน่หรือ” 


 


 


“ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม