อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 609-628

 609 ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (1)

 


เย่เซียว VS ซู่เย่…


 


ย้อนเวลาไปเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน…


 


ฤดูใบไม้ร่วง


 


ครืนน


 


ลมพายุพัดโหมกระหน่ำ ฝนเม็ดใหญ่ร่วงซัดใส่บานหน้าต่าง


 


เวลาล่วงเลยถึงกลางดึก


 


ภายในบ้านพักอาศัยของเย่เซียว ไป๋ซู่เย่ก้มมองหนังสือสัญญาที่เย่เซียววางไว้ตรงหน้าเธอนิ่ง กำปากกาไว้ไม่ได้ลงชื่อตัวเองในทันที


 


เมื่อสักครู่เธอตกลงรับข้อเสนอที่เย่เซียวยื่นให้ เพียงแค่เธอยอมอยู่กับเขาหนึ่งเดือน เขาจะไม่ช่วยเหลือซ่งกั๋วเหยาในเรื่องการทหารใดๆ อีก ความจริงต่อให้วันนี้ไม่รับปากตกลงเธอยังสามารถคิดหาวิธีอื่นได้ แต่ขณะที่เขายื่นข้อเสนอนี้เธอกลับพยักหน้าตกลงไปง่ายๆ…


 


ฝั่งตรงข้าม ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มนั่งจมอยู่กับโซฟาสองขาไขว้กันทิ้งสายตาเรียบนิ่งไว้บนตัวเธอ เธอไม่เซ็นเขาก็ไม่ได้เร่งเร้าสักประโยคตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับหญิงสาวตรงหน้า รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงที่ได้รับความยกย่องจากหญิงสาวมากมาย จะต้องกลายเป็นของเล่นของเขาอยู่วันยังค่ำ เขาคิดจะเล่นอย่างไรแค่ทำตามใจอยาก ไม่จำเป็นต้องเสียแรงคิดอะไรมาก


 


ไป๋ซู่เย่ใช่ว่าจะดูไม่ออกถึงความโอหังและเย้ยหยันจากเขา เธอพยายามมองข้ามมันอย่างสุดความสามารถโดยจดจ่อสายตากับหนังสือสัญญาที่เธอหยิบขึ้นมา


 


บนหนังสือสัญญา กระดาษขาวมีตัวอักษรสีดำ เขียนไว้ว่า


 


1. ฝ่ายยินยอมอยู่กับฝ่ายเสนอเป็นเวลาหนึ่งเดือน เรียกเมื่อไรมาเมื่อนั้น


 


หลังจากหนึ่งเดือน ฝ่ายยินยอมจะอ้างเหตุผลใดๆ ในการตามตอแยฝ่ายเสนอไม่ได้


 


3. ภายในหนึ่งเดือนนี้ฝ่ายเสนอสามารถยกเลิกสัญญาได้เสมอ แต่ฝ่ายยินยอมจะทำลายสัญญาหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด


 


เขาเซ็นชื่อลงตรงฝ่ายเสนอว่า ‘เย่เซียว’ เสร็จสรรพ ส่วนช่องตรงผู้ยินยอมยังเว้นว่างไว้รอให้เธอมาเซ็น


 


ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาเคยเสนอเงื่อนไขให้เธออยู่กับเขาหนึ่งเดือนก็ไม่ได้รับข่าวสารใดๆ อีกพักใหญ่ จนไป๋ซู่เย่หลงคิดว่าเขาเปลี่ยนใจไปแล้ว


 


กระทั่งคืนนี้…


 


เธอถูกพามาที่นี่โดยคนของเขา


 


นี่เป็นสัญญาที่ไม่เท่าเทียม เธอไม่เคยโดนเหยียดหยามต่อหน้าผู้ชายเช่นนี้มาก่อน แต่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามนี้ไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นเย่เซียว


 


เธอสูดหายใจลึกๆ กำปากกา สุดท้ายก็ตัดสินใจเซ็นชื่อ ‘ไป๋ซู่เย่’ ลงไปหนักๆ


 


เช่นนี้แล้ว…


 


หนึ่งเดือนต่อจากนี้ทั้งสองคนก็จะได้จบลงอย่างสิ้นเชิงเสียที


 


นับดูแล้วกลับมีเพียงสามสิบวัน…


 


สามสิบวันแสนสั้น…


 


อีกอย่างผู้ชายคนนี้ต้องหวาดกลัวไป๋ซู่เย่ที่ชั่วร้ายและทำให้เขารังเกียจคนนี้ตามตอแยเขามากขนาดไหนกันนะ ถึงได้เจาะจงตั้งกฎข้อสองได้?


 


“เสร็จแล้ว”เธอเงยหน้าเลื่อนหนังสือสัญญาไปตรงหน้าเขา “คุณดูก่อน”


 


เย่เซียวมองด้วยสายตาเรียบนิ่งแวบหนึ่งไม่พูดอะไรก่อนหยิบหนังสือสัญญาจากบนโต๊ะเล็ก


 


“เดี๋ยวก่อน!”ไป๋ซู่เย่มือไวรีบกดทับหลังมือเขา


 


ถึงเธอจะคุ้นเคยกับการถือปืนมาก่อนแต่ยังมีนิ้วที่เรียวสวยอ่อนนุ่มเสมอ ปลายนิ้วอุ่นร้อนสัมผัสโดนปลายนิ้วเขา ความอุ่นร้อนนั่นเรียกให้ร่างสูงใหญ่ของเขาชะงักกึก ปากบางเม้มแน่น ปรายตามองเธอวูบหนึ่งอย่างเย็นชา


 


“ฉันอยากเพิ่มอีกข้อ ได้ไหม?”


 


เย่เซียวประชด “คุณเคยเห็นกติกาของเกมไหนให้ฝ่ายจำเลยเป็นคนกำหนดบ้างไหม?”


 


มือของเธอที่วางซ้อนหลังมือเขาเกร็งแข็ง สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย


 


เย่เซียวดึงมือกลับจากการกอบกุมของเธออย่างไร้เยื่อใย ไม่ยอมมองเธอไปมากกว่านี้ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินขึ้นชั้นบนขณะที่ไป๋ซู่เย่ยังนั่งอยู่ที่เดิม นิ่งไร้ปฏิกิริยาไปพักใหญ่ รอจนแผ่นหลังของเย่เซียวเดินไปถึงครึ่งทางเธอก็สูดหายใจลึกๆ พยายามเอ่ยปากอย่างใจเย็น “เย่เซียว เพิ่มอีกข้อ…หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ฝ่ายเสนอจะอ้างเหตุผลใดๆ ในการตามตอแยฝ่ายยินยอมไม่ได้”


 


“…”เย่เซียวชะงักฝีเท้า ดวงตาฉายแววขรึมอย่างน่ากลัว


 


ปากของเขาขยับแต่ยังไม่ทันเอ่ย ไป๋ซู่เย่กลับชิงพูดก่อน “ในเมื่อคุณเงียบ ฉันถือว่าคุณอนุญาตก็แล้วกัน”


 


นิ้วยาวของเขาจิกราวบันไดไม้สักจนปลายเล็บแทบบี้ราวบันไดนั่นให้เละ ทั้งห้านิ้วคลายออกแล้วกระชับอีกครั้ง สุดท้ายเขาแค่เปล่งเสียงพูดไม่กี่คำอย่างเย็นชา “เสียเวลา!”


 


เสียเวลาหมายความว่าอย่างไร?


 


ไป๋ซู่เย่รู้ว่าความหมายของเย่เซียวคือการที่เธอจะเพิ่มกฎข้อนี้มันเสียเวลา ต่อให้ไม่มีกฎนี้เย่เซียวก็ไม่มีทางตามตอแยเธอไม่เลิก


 


ความจริง…


 


ที่เธออยากเพิ่มข้อนี้ก็แค่กอบกู้ศักดิ์ศรีของเธอต่อหน้าเขาสักเพียงนิด…


 


……………………


 


หลังเซ็นสัญญาไป๋ซู่เย่คิดจะลากลับเพราะน่าหลันอยู่ในห้องพอดี เธอรู้ดี แต่พอเดินถึงประตูกลับถูกคนของเย่เซียวขวางไว้


 


“คุณไป๋ ห้องเตรียมไว้ให้คุณแล้ว นายท่านอยากให้คุณค้างคืนที่นี่”


 


เธอมุ่นคิ้ว ในสัญญาไม่ได้บอกว่าพวกเธอจะต้องอาศัยด้วยกัน อีกอย่างยังอยู่ร่วมกับคุณน่าหลันอีกด้วย แต่เพราะข้อที่ว่า ‘เรียกเมื่อไร มาเมื่อนั้น’ เธอมองท้องฟ้าข้างนอกอีกที ชั่งใจเพียงครู่ถึงพยักหน้า “พาฉันไปที่ห้องเถอะ”


 


นี่เพิ่งคืนแรกของการเซ็นสัญญา เธอไม่อยากทะเลาะกับเขา


 


……………………


 


ชั้นบน


 


คนรับใช้เคาะประตูเบาๆ “นายท่าน”


 


เย่เซียวดับไฟบุหรี่ บอกให้คนรับใช้เข้ามา


 


ภายในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นชวนให้สำลัก คนรับใช้เข้าไปก้มหน้ากล่าว “คุณไป๋อยู่ต่อ ตอนนี้เข้านอนไปแล้วค่ะ”


 


“อืม”


 


“ถ้าไม่มีคำสั่งอื่น ขอตัวก่อนนะคะ” คนรับใช้ว่าแล้วหมายจะถอยออกจากห้องไป เย่เซียวนึกบางอย่างได้จึงพลันถามคำถามหนึ่ง “หน้าต่างในห้องปิดหมดหรือยัง?”


 


“คะ?”คนรับใช้ทำท่าไม่เข้าใจ “นายท่านหมายถึงห้องไหนคะ?”


 


“ปิดหน้าต่างห้องเธอให้หมดรวมถึงผ้าม่านด้วย แล้วก็เฝ้าอยู่นอกประตู ถ้าได้ยินเสียงอะไรจากห้องรีบมารายงานฉัน” เย่เซียวสั่งยาวเหยียด


 


…………………………………………


610 ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (2)

 


คนรับใช้ได้แต่รับฟังแล้วทำตามโดยไม่คิดถามอะไร สุดท้ายเหมือนเย่เซียวจะนึกเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าจึงพูดเพิ่มเติมนิ่งๆ “ไม่ต้องบอกว่าเป็นคำสั่งจากฉัน”


 


คนรับใช้ยิ่งฉงนใจ นายท่านทั้งสั่งให้ปิดหน้าต่างปิดผ้าม่านแล้วต้องเฝ้าอยู่ข้างนอก กำลังเป็นห่วงคุณไป๋คนนั้นอยู่หรือ? กับคุณน่าหลันยังไม่เคยแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยได้ขนาดนี้เลย!


 


แต่ก่อนหน้าดูจากท่าทีดูถูกเหยียดหยามที่เขามีต่อคุณไป๋ เลวร้ายสุดๆ!


 


……………………


 


กลางดึก


 


นอกหน้าต่างภายใต้ลมพัดโกรก ไป๋ซู่เย่นอนหายใจอย่างทรมานบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย


 


ระหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นมีเหงื่อชั้นบางๆ ซึมออกมาไม่หยุด


 


เธอกำผ้าปูใต้ร่างแน่นจนยับยู่ยี่ ปลายนิ้วขาวไร้สีเลือด ผ้าปูเปียกชื้นเพราะเหงื่อจากฝ่ามือของเธอ


 


“คุณไป๋ ช่วยรีบไปจากที่นี่ด้วย!” ข้างหูมีเสียงแน่วแน่ของผู้ชายดังขึ้น


 


“ไม่! จะไปก็ไปด้วยกัน! จะตายก็ตายด้วยกัน!” เธอได้ยินเสียงตัวเองที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว ความจริงเธอในอายุสิบแปดปีเคยชินกับภาพความตายแต่พอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เธอก็กลัวอยู่ดี เสียงของเธอสั่นเครือ


 


“นายสั่งไว้ว่าให้ตายยังไงพวกเราก็ต้องปกป้องคุณให้ได้ คุณไป๋ อย่าทำให้เราต้องลำบากใจ!”


 


ตามด้วยเสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ก่อนที่กระสุนราวกับฝนห่าใหญ่จะหล่นมาจากฟ้า นักแม่นปืนถูกยิงเจาะหัว เธอในตอนนั้นทำได้แค่ตัวแข็งมองลูกน้องของเย่เซียวล้มลงข้างเธอทีละคนๆ อย่างหมดแรงและชาไปทั้งตัว


 


“หมายเลข A3280 ทำภารกิจสำเร็จ ยินดีต้อนรับกลับสู่ทีม!” หัวหน้าทีม Aจากกระทรวงความมั่นคงก้าวลงจากเฮลิคอปเตอร์มาตรงหน้าเธอแล้วทำความเคารพ


 


เธอเห็นกลุ่มคนที่นอนหายใจรวยรินเพราะต้องการปกป้องเธอใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายถลึงตามองเธออย่างโกรธแค้นแต่ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สายตานั่นทั้งเย็นยะเยือก น่ากลัวเหมือนผีที่จ้องจะเอาชีวิต


 


“ขอโทษ…ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ!” เธอหลุดเสียงตะโกนออกมาก่อนผุดลุกขึ้นนั่ง แผ่นหลังเปียกชื้นเป็นวงใหญ่ เธอเหมือนหายใจไม่ออกราวกับมีใครกำลังบีบคออยู่


 


ฝัน…


 


ที่แท้ก็แค่ฝัน ฝันร้าย! ฝันร้ายที่พัวพันเธอมาสิบปีเต็ม!


 


นอกหน้าต่างลมกำลังซัดโครมเหมือนสัตว์ดุร้ายที่ส่งเสียงคำราม ไป๋ซู่เย่รู้สึกตัวเองใกล้ตายเพราะขาดอากาศหายใจเต็มที เธอย้ายร่างอ่อนแรงลงจากเตียง เปิดหน้าต่างแรงๆ แล้วสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พิงกรอบหน้าต่างมองความมืดที่ปกคลุมทั้งโลกอย่างเหม่อลอย


 


ขณะนั้นเองจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก


 


ได้ยินเสียงคนรับใช้แว่วเข้ามาแผ่วเบา “เสียงเมื่อกี้ดังออกมาจากในนี้จริงๆ ค่ะ น่าจะเป็นคุณไป๋ฝันร้าย”


 


“รู้แล้ว ถอยออกไปได้” เสียงเย่เซียว


 


จากนั้นเขาถึงเดินเข้ามา


 


ประตูถูกปิดตัวลงอีกครั้ง ภายในห้องดำมืดไม่ได้เปิดไฟ


 


ไป๋ซู่เย่หันกลับไปมองอย่างอัตโนมัติ แวบเดียวก็เห็นร่างสูงใหญ่นั่น


 


คล้ายกับว่าเขาไม่ทันสังเกตว่าบนเตียงไม่มีใครอยู่ถึงได้ยืนมองไปทางเตียงจากตรงประตูนิ่งๆ ตรงนั้นผ้าห่มวางเป็นกอง ท่ามกลางความมืดเหมือนมีใครนอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ


 


เธอยืนอยู่ริมหน้าต่างด้วยหัวใจที่หล่นวูบ เผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ วางมือไว้ตรงขอบหน้าต่างอย่างไม่เข้าใจความหมายของเขา


 


สุดท้ายเย่เซียวนั่งลงตรงโซฟา จุดบุหรี่มามวนหนึ่งโดยที่เขาไม่ได้สูบ แค่ให้บุหรี่มวนนั้นเผาไหม้อยู่ระหว่างนิ้วไปเรื่อยๆ


 


ไฟกะพริบๆ นั่นกระแทกสายตาไป๋ซู่เย่ที่อยู่ด้านหลังเหลือเกิน


 


พักใหญ่คล้ายว่าเขากำลังคุยกับเธอแต่ก็เหมือนกำลังพึมพำคนเดียว น้ำเสียงปนเย้ยหยัน “ไป๋ซู่เย่ในตอนนี้กลับยังกลัวสภาพอากาศแบบนี้อีกเหรอ?”


 


ไป๋ซู่เย่ตัวสะท้านรุนแรง


 


น้ำตาแทบร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวในพริบตา


 


หมายความว่า…ที่เขาปรากฏตัวที่นี่เพราะเขาคิดว่าเธอยังกลัวสภาพอากาศฝนฟ้าคะนองอยู่เหรอ?


 


เธอเมื่อสิบปีก่อนเพราะต้องการเข้าใกล้คนเย็นชาราวกับน้ำแข็งอย่างเขา เมื่อนั้นถึงได้แสร้งทำเป็นกลัวฝนฟ้าคะนองแล้ววิ่งไปห้องทำงานของเขาด้วยความตกใจ ตามตื๊อเขาไม่ยอมกลับ


 


เธอพบว่าวิธีนี้ได้ผลไม่หยอก หลังใช้ได้ผลหลายทีก็เริ่มเสพติดมัน เป็นผลให้ภายหลังทุกครั้งที่มีสภาพอากาศเช่นนี้เย่เซียวจะมานอนกอดเธอที่ห้องด้วยตัวเอง


 


หลังจากนั้น…


 


ทุกค่ำคืนที่เป็นแบบนี้ หากไม่มีเย่เซียวอยู่เคียงข้าง เธอจะเริ่มสะดุ้งแล้วนอนไม่หลับไปทั้งคืน


 


ถึงทำให้หลายครั้งที่เย่เซียวติดภารกิจไม่อยู่ข้างเธอก็จะหาเวลาว่างโทรมาปลอบเธอ ตอนนั้นไป๋ซู่เย่แทบลืมตัวด้วยซ้ำว่ากำลังหลอกเขาอยู่ แม้แต่ตัวเองยังคิดว่าเธอเป็นคนขี้กลัว ขี้กลัวจนต้องการการปกป้องจากเขา ขี้กลัวถึงขั้นอยากพึ่งพาผู้ชายคนนั้นไม่เลิก…


 


ต่อจากนั้นเรื่อยมาหลังขาดการติดต่อจากเขาอย่างสิ้นเชิงก่อนกลับสู่ทีม เธอก็ยังเหมือนเดิม พอถึงคืนที่ฝนตกจะสะดุ้งตื่นแล้วนอนไม่หลับตลอดคืน


 


หนักถึงขั้นกลางดึกจะได้ยินเสียงหลอนราวกับมีสายเรียกเข้าจากคนคนนั้น…


 


จากนั้นเพราะอาการหลอนหนักเกินไปจนเกือบสังเวยชีวิตเพราะนอนน้อย หัวหน้าคิดว่าเธอได้รับแผลในใจจากภารกิจคราวนี้ถึงได้จัดหาจิตแพทย์คอยรักษาเธออยู่สองปีเต็ม อาการของเธอถึงดีขึ้นตามลำดับ


 


ภายหลังเธอคอยบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางรักและปกป้องเธอเหมือนของรักของหวงอีก และไม่มีทางปรากฏตัวในห้องของเธอ กล่อมเธอเข้านอนอีก


 


……


 


เมื่อเธอนึกถึงตรงนี้ เย่เซียวที่ไหวพริบดีเสมอราวกับสังเกตถึงความผิดปกติ เขาหันหลังมาทันที


 


หน้าต่าง เสียงลมพัดหวิว


 


เธอในชุดนอนยืนอยู่ตรงนั้นมองเขาด้วยสายตาเศร้าโศก ท่ามกลางความมืดดวงตาของเธอถูกชะโลมด้วยน้ำตา ใสวาว แต่เขากลับไม่เห็นคราบน้ำตาบนหน้าเธอ


 


เย่เซียวกระตุกคิ้ว ดวงตาวาวโรจน์ ดวงตาคู่นั้นเหมือนต้องการฉีกทึ้งเธอเป็นร้อยเป็นพันครั้ง!


 


เสียงพึมพำของเขาเมื่อครู่เธอได้ยินแล้วเหรอ? จู่ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้เหมือนตัวตลก! ตัวตลกที่โง่เขลาอย่างในอดีต!


 


ทั้งที่เธอไม่ใช่ไป๋ซู่เย่คนเดิม แต่เขากลับยังลุ่มหลงอยู่ในนั้นคิดว่าเธอจะหวาดกลัวอย่างเคย


 


ซึ่งความจริงไป๋ซู่เย่ที่ฆ่าลูกน้องเขาไปมากขนาดนั้น ไป๋ซู่เย่ที่ใจร้ายอำมหิตและหน้าไม่อายถึงขั้นหลอกให้รัก จะกลัววันฝนตกฟ้าร้องที่ทำอะไรเธอไม่ได้ได้อย่างไร?! เขามันโง่ โง่เต็มพิกัดถึงได้อดหลับเพื่อเฝ้ารอ รอได้ยินเสียงจากห้องเธอก็รีบวิ่งแจ้นมา! สมน้ำหน้าที่ให้เธอเห็นเป็นตัวตลก! บางทีตอนนี้เธออาจจะได้ใจ ดูสิ เจ้าโง่นั่น กระทั่งตอนนี้ยังหลงเธอหัวปักหัวปำและถอนตัวไม่ได้!


 


เย่เซียวหายใจหอบหนัก ดับไฟบุหรี่แรงๆ เพราะท่วงท่าที่ใช้กำลังมากทำให้ปลายนิ้วถูกไฟจี้เข้าแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บ


 


แค่ได้ยินเสียงไป๋ซู่เย่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังโกรธ โกรธมากเสียด้วย


 


………………………………………………


611 ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (3)

 


เขาลุกขึ้น เธอก้าวเดินมาข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว อยากเข้าใกล้เขา ขยับปากจะพูดอะไรกับเขาแต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงตื่นตกใจเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามา


 


“เย่เซียว!”


 


น่าหลัน


 


ไป๋ซู่เย่ชะงักฝีเท้ายืนตัวแข็ง


 


“เย่เซียว คุณอยู่ไหน?” เสียงใสของหญิงสาวที่ปนสะอื้นขับให้ฟังดูน่าสงสาร


 


“อยู่นี่” เย่เซียวเปิดประตูก้าวออกไปแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบ แต่เมื่อเทียบน้ำเสียงตอนคุยกับไป๋ซู่เย่ บอกได้ว่าน้ำเสียงนั่นอ่อนโยนมากแล้ว


 


ประตูที่ถูกเปิดออกไม่มีใครมาปิดให้


 


ไป๋ซู่เย่เห็นหญิงสาววัยอ่อนกว่าโผเข้าอ้อมกอดของชายหนุ่มอย่างตื่นกลัวเต็มสองตา สองแขนเรียวกอดเอวเขาไว้ “เมื่อกี้ต้นไม้ข้างนอกล้ม เกือบจะโดนหน้าต่างห้องฉัน ฉันตกใจแทบแย่”


 


เย่เซียวเงียบไปชั่วอึดใจคล้ายปรายตามองมาที่ห้องของไป๋ซู่เย่แวบหนึ่ง


 


จากนั้นดวงตาวูบไหวใช้มือเดียวโอบหญิงสาวไว้ น้ำเสียงเบาลงกว่าเดิม “เดี๋ยวฉันจะให้คนย้ายต้นไม้ต้นนั้นออก”


 


เขาไม่รู้จักคำว่าอ่อนโยน ขณะที่กดเสียงให้เบาจึงฟังดูอ่อนโยนกว่าน้ำเสียงปกติ ซึ่งคนที่ได้สิทธิพิเศษนี้จากเขามีเพียงไป๋ซู่เย่ที่อายุสิบแปดคนเดียว


 


แต่ตอนนี้…


 


“ไม่ล่ะ ดึกขนาดนี้ไม่ต้องไปรบกวนพวกเขาแล้ว” น่าหลันพูดอย่างเอาใจ


 


“ก็ได้ ตามใจเธอ”


 


“งั้น…คืนนี้ฉันไปนอนห้องคุณได้ไหม?” น่าหลันเงยหน้ามองเย่เซียวด้วยสายตาเว้าวอน ความตระหนกในแววตายังไม่จางหายไปจึงทำให้เธอดูเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่กำลังตื่นกลัวอยู่


 


ผู้หญิงแบบนี้ มีผู้ชายคนไหนปฏิเสธได้บ้าง?


 


“…” ชายหนุ่มเงียบไปชั่วขณะ ไป๋ซู่เย่ที่อยู่ข้างในกำมือแน่น ก่อนได้ยินเย่เซียวพูดพร้อมพยักหน้า “ได้!”


 


แสงไฟด้านนอกประตูช่างแสบตา


 


แสบตาจนไป๋ซู่เย่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดแสบตา เธอเบี่ยงหน้าหนีภาพตรงหน้า ชะโงกหน้าไปนอกหน้าต่างปล่อยให้ลมหนาวพัดพาน้ำตาให้หายจากไป


 


ข้างนอกฝนตก สายฝนสาดปลิวเข้ามากระทบหน้าเธอ เธอรู้สึกเย็น ความเย็นที่หนาวไปถึงกระดูก หนาวจนกัดไปทั้งหัวใจแล้วแทรกซึมไปในอวัยวะทั่วร่างของเธอ


 


ผ่านไปพักใหญ่ เสียงฝีเท้า เสียงพูดคุยของเย่เซียวกับน่าหลันถึงค่อยๆ หายไปจากหูเธอ เสียงคนรับใช้ดังขึ้นตรงประตู “คุณไป๋ ให้ปิดประตูไหมคะ?”


 


“ปิดเถอะ” เธอตอบกลับเสียงแผ่ว พยายามทำให้เสียงตัวเองปกติ


 


…………………………


 


ในห้องเย่เซียวเน้นไปที่ขาวดำเป็นหลัก เรียบง่ายสุขุมแต่ไม่ได้ดูแข็งกร้าว


 


สิบปีก่อนในห้องของเขาจะมีภาพวาดสีของผู้หญิงบางคนวางเต็มทุกมุมห้อง เธอชอบวางที่ไหนก็ให้เธอวางที่นั่น ต่อให้จับจองถึงห้องเก็บอาวุธข้างๆ ของเขาก็ตามใจเธอ


 


ตอนนี้…


 


ห้องของเขาไม่มีใครบุกรุกเข้าได้รวมถึงน่าหลัน แต่คืนนี้เหมือนจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย


 


“นอนเถอะ” เย่เซียวอารมณ์แย่มาก สีหน้าดูไม่ดีเลย


 


น่าหลันเพิ่งเคยขึ้นเตียงเขาครั้งแรกจึงแทบไม่อยากจะเชื่อ พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงไม่คิดลังเลใดๆ อีก หดตัวที่กำลังสวมชุดนอนสีขาวนอนอยู่บนเตียงเขา รูปร่างของเธอผอมบาง พอคู้ตัวเข้าจึงเหลือที่ว่างกว่าครึ่งให้เขา ผ้าห่มมีกลิ่นมินต์ที่จะมีเฉพาะบนตัวเขา เย็นแต่สดชื่นน่าดม


 


หญิงสาวนัยน์ตาแฝงด้วยรอยยิ้มบางๆ เก็บอารมณ์แต่ก็มองเขาเงียบๆ อย่างหลงใหล


 


เย่เซียวนิ่งงันไปชั่วขณะ ดวงตาคู่นั้นเหมือนเขาได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน…


 


นึกถึงผู้หญิงคนนั้นก็เจ็บไปทั้งใจ เขาหยิบรีโมตกดปิดไฟเพราะไม่อยากมองเห็นดวงตาของน่าหลันอีกแม้แต่แวบเดียว


 


เขาจะพานนึกถึงแต่ไป๋ซู่เย่ในตอนนั้น!


 


ไป๋ซู่เย่!


 


ชื่อนี้ ตั้งไว้ไม่ผิดสักนิด! เธอเหมือนเมล็ดดอกฝิ่นบ้าๆ นั่น! ที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้าในร่างกายทีละนิดๆ จนไปถึงกระดูกและเลือด หากจะถอนตัวออกกลับต้องใช้มีดกรีดควักมันออกมา กรีดให้แยกเลือดกับเนื้อออกจากกัน


 


เขานอนลงบนตำแหน่งว่าง หลับตา เพราะเตียงที่มีขนาดใหญ่ร่างกายของเขาจึงไม่สัมผัสโดนหญิงสาวข้างกาย


 


“เย่เซียว…”


 


น่าหลันปริปากเรียกเบาๆ


 


เขาไม่ตอบเหมือนไม่ได้ยินเสียงของเธอ ลมหายใจเป็นจังหวะเบาแม้แต่ขนตายังไม่ขยับสักนิด


 


หญิงสาวเลื่อนตัวเข้าใกล้เขาช้าๆ แขนเรียวรั้งกอดเอวเขาอย่างหลงใหล เขาไม่ได้ผลักออกแต่ก็ไม่ได้ตอบรับ ได้ยินเพียงหญิงสาวถาม “คุณไป๋เป็นอะไรกับคุณคะ?”


 


เย่เซียวเงียบอยู่พักใหญ่ จากนั้นขณะที่น่าหลันคิดว่าเขาคงไม่ตอบแล้วกลับได้ยินเสียงพูดเค้นลอดไรฟันสั้นๆ “ศัตรู!”


 


น่าหลันรู้สึกว่าเย่เซียวไม่ได้โกหกเธอ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นศัตรูจริงๆ แค่ฟังเสียงพูดเค้นลอดไรฟันกับลมหายใจหอบหนักนั่นก็ตัดสินได้ว่าเย่เซียวเกลียดเธอจริงๆ


 


อาจจะเกลียดเข้ากระดูกเลยก็ว่าได้


 


วันนี้ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวที่นี่ หยูอันไม่เคยทำหน้าดีๆ ใส่เธอเลย หลายครั้งอยากจะลงมือทำร้ายเธอด้วยซ้ำ


 


เดิมทีน่าหลันหลงคิดว่าไป๋ซู่เย่อาจเป็นคนในใจของเย่เซียว แต่ดูจากท่าทีที่หยูอันมีต่ออีกฝ่ายเธอถึงได้ทำลายความคิดนี้ทิ้ง หากเย่เซียวชอบเธอเพียงนิดจริงๆ ลูกน้องของเขาไม่มีทางไม่ให้เกียรติเธอ


 


คล้ายกับตัวเองที่เมื่อหนึ่งปีก่อนเย่เซียวบอกจะเก็บเธอไว้ข้างกาย ลูกน้องของเขาทุกคนล้วนให้ความเคารพและเชื่อฟังคำสั่งเธอ


 


พอคิดเช่นนี้ น่าหลันก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมาก


 


“เย่เซียว คุณจะนอนหรือยังคะ?”


 


เย่เซียวไม่ตอบอีกแล้ว เขาพูดน้อยเหมือนเคย


 


“คุณยอมเก็บฉันไว้ ดีกับฉันขนาดนี้ ความจริง…” หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด เริ่มหายใจหนักอึ้ง เรียกกำลังใจตัวเองก่อนพิงศีรษะไว้ตรงไหล่เขาเบาๆ “ความจริง ฉันตอบแทนคุณได้นะคะ…เย่เซียว ฉันอายุสิบแปดปีแล้ว โตแล้ว…”


 


มือของหญิงสาวที่ทั้งหวาดกลัวทั้งเคอะเขินแต่ก็กล้าหาญ สอดเข้าใต้ชุดนอนของชายหนุ่มช้าๆ


 


เขาทำหน้าโหด ลืมตาโพล่งและฉายแววดุดันชั่ววูบ มือใหญ่ตะครุบมือหญิงสาวไว้อย่างเร็ว ข้อมือของเธอผอมบาง มือใหญ่ของเขาแค่ออกแรงเพียงนิดก็พร้อมจะบีบให้สลายได้เสมอ น่าหลันหลุดเสียงครางอย่างเจ็บปวด จ้องเย่เซียวอย่างตกใจกลัว เย่เซียวไม่พูดอะไรอีกไปพักใหญ่ สะบัดมือหญิงสาวทิ้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงเดินออกไปด้วยความเย็นชา ไม่ปรายตามองหญิงสาวที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างตกใจแม้แต่แวบเดียวตั้งแต่เริ่มจนจบ


 


ตัวเองทำผิดอะไร ถึงได้ทำให้เย่เซียวโกรธจนเปลี่ยนสีหน้าได้ในชั่วพริบตา?


 


…………………………


 


ไป๋ซู่เย่ไม่อยากนอนเลยสักนิด ในหัวยุ่งเหยิง


 


น่าหลันไปห้องของเขา


 


ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองกำลังทำอะไร? ตอนนี้ใช่ว่าเธอจะคิดไม่ได้เลย


 


ต่างเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว


 


อีกอย่างเย่เซียวในตอนนี้แตกต่างจากเย่เซียวคนก่อนอย่างสิ้นเชิง


 


เย่เซียวในอดีตจะปล่อยเธอไปทุกครั้งเพราะเห็นว่าเธอยังอายุน้อย แม้จะบอกว่าปล่อยไปแต่หลายครั้งก็เหลือขั้นตอนสุดท้ายแล้ว แต่เย่เซียวในตอนนี้กลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อก่อนมาก ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่น้อยนักที่จะควบคุมตัวเองในเรื่องนี้ได้


 


…………………………………………………….


612 ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (4)

 


เธอส่ายหัวไม่ให้ตัวเองคิดไปเรื่อยเปื่อย มือจับขอบหน้าต่างไว้หมายจะปิดมันลง ลมพัดเยอะแล้วปวดหัว อีกอย่างต่อให้ลมแรงแค่ไหนก็ไม่อาจพัดเอาความมืดครึ้มที่ปกคลุมหัวใจเธออยู่ตอนนี้ไปได้


 


ขณะกำลังจมอยู่ในความคิด ประตูห้องก็ถูกเปิดจากข้างนอกกะทันหัน


 


เธอหันกลับไปโดยอัตโนมัติ เห็นแค่เย่เซียวที่เดินจากไปพร้อมน่าหลันย้อนกลับมาใหม่


 


เขาก้าวขายาวมุ่งตรงมาทางเธอ ต่อให้ไม่เปิดไฟไป๋ซู่เย่ก็สัมผัสถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกจากตัวเขาได้


 


ไม่รอให้เธอไหวตัวทันก็ถูกเขาช้อนตัวโยนลงบนเตียงอย่างไม่อ่อนโยน


 


เธอที่มีทักษะป้องกันตัวอย่างดียามอยู่ต่อหน้าเย่เซียวก็ถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองแรงเปล่าๆ เธอเรียนรู้ได้เร็วจึงไม่คิดขัดขืน เพียงเชิดลำคอขึ้นสบตาดวงตาคู่ที่ฉายแววโกรธอย่างปกปิดไม่มิดของเขา “คุณมาห้องฉันดึกขนาดนี้ น่าหลันรู้ไหม?”


 


เย่เซียวไม่คิดสนใจเธอ ฉีกทึ้งชุดนอนบนตัวเธอทันที ท่วงท่าของเขารุนแรงป่าเถื่อนเหมือนอย่างเคย โหดร้ายไร้ความปรานี


 


ไป๋ซู่เย่เกิดผวาปนกังวลในใจแต่กัดปากไม่ปริเสียงใดๆ เมื่อก่อนอาจจะขัดขืน แต่ตอนนี้เซ็นสัญญาไปแล้ว เธอมีสิทธิ์ขัดขืนเหรอ?


 


อย่างไรซะ…


 


แค่สามสิบวันเท่านั้น


 


ไม่ว่าเขาจะทรมานเธออย่างไร ย่ำยีเธออย่างไรก็มีเวลาเพียงสามสิบวันเท่านั้น หลังจากสามสิบวันนี้ สายสัมพันธ์อันเลวร้ายนี้จะจบลงเสียที…


 


ขณะที่ไป๋ซู่เย่กำลังครุ่นคิดเช่นนี้ก็ถูกพลิกตัวให้นอนคว่ำลง เป็นอย่างคราแรกไม่มีการเบิกทางใดๆ เขาแทรกกายเข้ามาในตัวเธอทันที


 


ความแสบร้อนแล่นเข้ามา เป็นความรู้สึกที่เนื้อกายถูกฉีกออกจากกัน เจ็บจนเธอแทบกลั้นลมหายใจ สองมือกำผ้าปูแน่นปล่อยให้ผ้าปูที่นอนต้องเปียกเป็นดวงๆ เพราะหยาดเหงื่อบนฝ่ามือ ไม่อนุญาตให้ตัวเองครางเสียงออกมาเพราะความเจ็บ ฟันขาวกัดหมอนแน่น


 


เย่เซียวเป็นชายวัยสามสิบกว่าจึงมีพลังเหลือเฟือกับเรื่องแบบนี้ จะไม่ยอมหยุดหากไม่ทำไปสักพัก เมื่อเขาหยุดอีกครั้งตัวเธอก็เปียกโชกด้วยเหงื่อแทบหมดสติรอมร่อ


 


ระบายความใคร่จนเสร็จสิ้นรวมถึงไฟโทสะที่ดับมอดลงอย่างมาก เย่เซียวค่อยๆ ตั้งสติได้ รอพักใหญ่ไม่ได้ยินเสียงเธอก็หัวคิ้วขมวดและรีบเปิดไฟทันที


 


ทั้งห้องสว่างจ้าในชั่วพริบตา


 


เธอที่นอนตัวสั่นอย่างรุนแรงทำเอาเขาแทบหยุดหายใจ หน้าอกเหมือนมีใครเอาค้อนทุบแรงๆ


 


ชั่ววินาทีนั้นเกิดความคิดที่อยากฆ่าตัวเองทิ้ง


 


เดิมทีเธอมีเรือนร่างขาวดุจหิมะไร้ตำหนิ แต่ตอนนี้…


 


เจ้าตัวเหมือนคนเพิ่งถูกใช้ความรุนแรงมาเพราะมีรอยฟกช้ำเต็มตัวอย่างน่าสะพรึง ระหว่างขายังเหลือร่องรอยปะปนด้วยเลือดอันเป็นหลักฐานความผิดของเขา ภาพนี้กระแทกตาเย่เซียว แทงเข้าหัวใจของเขาให้เขารู้สึกบีบรัดไปทั้งหัวใจ…


 


สภาพทรุดโทรมและย่ำแย่ของเธอฉายชัดอยู่ตรงหน้า ไป๋ซูเย่อยากให้เขาปิดไฟแต่เพราะความเจ็บรวดร้าวนี้รวมถึงคอแหบแห้งแทบเปล่งเสียงไม่ออก เธอเสียแรงอย่างมากถึงขยับนิ้วได้ ลากผ้าห่มมาคลุมตัวเองไว้


 


ยังไม่ทันพูดอะไรได้ยินเพียง ‘ปัง!’ ดังสนั่น เย่เซียวกระแทกปิดประตูออกไปแล้ว


 


………………………………


 


ภายในห้องเงียบเหงา


 


เย็นเสียจนน่ากลัว


 


ไป๋ซู่เย่หอบหายใจ หอบแล้วหอบอีกถึงรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ตาย…


 


ยังมีชีวิตอยู่


 


เธอพยายามใช้สองมือยันตัวให้ลุกจากเตียงแต่ด้วยความอ่อนแรงถึงล้มลงอีกครั้งหลังเพิ่งยันตัวได้เพียงนิด


 


ซึ่งมันกระทบไปถึงแผลใต้ร่างของเธอ ความเจ็บทำให้เธอต้องสูดปาก ความจริงนับว่าเป็นครั้งแรกของเธออย่างแท้จริง ครั้งที่ถูกเย่เซียวรุกล้ำเข้ามาหลังงานเลี้ยงฉลองคืนนั้นแค่ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีดี


 


แต่ครั้งนี้…


 


ยาวติดต่อกันถึงเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม…


 


ราวกับเยือนนรกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพราะเธอดวงแข็งสุดท้ายก็หวนกลับมาจนได้


 


ที่แท้มีแผลที่เจ็บกว่าแผลจากปืนจากมีดจริงๆ ด้วย…


 


รอสักพักไป๋ซู่เย่ถึงยันตัวเองให้ลุกจากเตียง หน้าผากเปียกชื้นด้วยชั้นเหงื่อที่ยังซึมออกมาไม่หยุด ใบหน้าขาวซีดน่ากลัวกว่าผี


 


นี่แค่วันแรกเท่านั้น…


 


หากสามสิบวันที่เหลือต้องเป็นแบบนี้ เธอชักไม่มั่นใจเสียแล้วว่าจะอดทนได้นานขนาดนั้น


 


…………………………


 


เย่เซียวเตรียมเดินออกไปด้วยสภาพชุดนอน ไม่ทันเปลี่ยนรองเท้าแตะด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่พกร่มไปด้วย


 


ในหัวมีแต่ภาพของเธอหลังถูกตัวเองย่ำยีวนเวียนไปมา ทั้งที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทรมานเธอ เธอทำร้ายเขามามากแค่ไหน? โกหกเขามามากขนาดไหน? ไม่ว่าจะเอาคืนเธออย่างไรก็ไม่ถือว่าเกินไป! แต่ภาพฉากนั้นกลับตอกย้ำเขาไม่หยุด


 


“ท่าน!” หยูอันไม่รู้ว่าเกิดอะไร รีบกางร่มตามออกมา


 


เย่เซียวสาวเท้าเดินไปที่รถโดยไม่สนใจเขา ต่อให้ฝนหนักแค่ไหนลมแรงแค่ไหนเขากลับเหมือนไม่รู้สึกหนาวสักนิด


 


“ดึกขนาดนี้ท่านจะออกไปไหน ต้องให้คนติดตามด้วยไหมครับ?” หยูอันเข้าใจเขาดี เพียงแวบแรกก็รู้ทันทีว่าอารมณ์ของเขาไม่มั่นคง เขากลัวอีกฝ่ายออกไปสภาพนี้แล้วจะเกิดเรื่อง


 


“ไสหัวกลับไป!” ประโยคสั้นๆ กล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าวที่หลุดลอดจากไรฟันเขาอย่างยากลำบาก


 


จากนั้นเขาถึงขึ้นรถ เสียงรถพุ่งทะยานออกไปราวกับจรวด ไม่นานก็หายไปท่ามกลางความมืด


 


…………………………


 


ไป๋ซู่เย่แช่ตัวเองไว้ในอ่างน้ำร้อน แช่อยู่พักใหญ่ความเจ็บด้านใต้ถึงผ่อนเบาลงเล็กน้อย เรี่ยวแรงเริ่มกลับมา


 


กดกริ่งให้คนรับใช้คุณป้าหลี่เข้ามา อีกฝ่ายชะงักไปอย่างชัดเจนเมื่อเห็นเธอที่มีรอยแผลเต็มตัวใต้น้ำ สะท้านเฮือก ดูเหมือนว่าเมื่อครู่น่าจะเกิดเรื่องใหญ่! แต่คุณไป๋ก็ถือว่าอดทนเก่งมาก กลับไม่หลุดเสียงออกมาให้ได้ยินสักนิด


 


“คุณไป๋ ไม่ทราบว่ามีคำสั่งอะไรหรือคะ?”


 


ป้าหลี่เอ่ยปากถาม ใช้สายตาเหมือนเห็นใจมองเธอ


 


ไป๋ซู่เย่ยิ้มขมขื่น ทั้งชีวิตของเธอไม่เคยต้องให้ใครมาเห็นใจ แน่นอนว่าเธอก็ไม่เคยตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ขนาดนี้มาก่อน


 


“ช่วยฉันหาชุดนอนตัวใหม่ทีได้ไหม? ตัวก่อนหน้านี้เหมือนจะใส่ไม่ได้แล้ว” เธอกลับพูดตรงไปตรงมาไม่คิดจะปกปิดเลยแม้แต่นิดเดียว ตัวก่อนหน้ากลายเป็นเศษผ้าเพราะน้ำมือเย่เซียว เขานี่ช่างป่าเถื่อนเสียจริง พอจะจินตนาการได้ว่าขณะที่รุกล้ำเข้ามาในตัวเธอก็ไม่ได้ปรานีจริงๆ


 


เธอตัวสั่นระริกไม่กล้าย้อนคิดอีก


 


กลัวเหลือเกิน


 


“ค่ะ รอสักครู่นะคะ จะรีบไปหาเดี๋ยวนี้” ป้าหลี่ไม่กล้ารอช้า รีบหมุนตัวเดินออกไป


 


……


 


เมื่อเธออุ้มชุดนอนกลับมาอีกครั้งเย่เซียวก็กลับเข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบร้อนพอดี


 


ตัวเปียกโชก


 


อาจเป็นเพราะรีบวิ่งเกินไป รองเท้าแตะบนเท้าถึงหลุดหายไปข้างหนึ่ง


 


“นายท่าน!” ป้าหลี่รีบทัก ไม่เคยเห็นเขาในสภาพนี้มาก่อน ผู้ชายคนนี้ปกติเป็นคนสุขุมเย็นชา ไม่ว่าใครก็ควบคุมเขาไม่ได้ กระตุ้นความรู้สึกเขาไม่ได้


 


“จะเข้าไปเหรอ?” เย่เซียวถามเสียงนิ่ง มองบานประตูที่ปิดสนิทด้วยดวงตาแดงระเรื่อแวบหนึ่ง


 


“ค่ะ เอาชุดนอนไปให้คุณไป๋”


 


เย่เซียวโยนหลอดยาที่เพิ่งซื้อมาจากข้างนอกไว้บนกองชุดนอน ปากบางเม้มเป็นเส้นตรงไม่พูดอะไร


 


………………………………………..


ตอนที่ 613 ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (5)

โดย

Ink Stone_Romance

ป้าหลี่มองแวบหนึ่งเห็นว่าเป็นยาทาจุดซ่อนเร้น ท่าทางเธอไม่ได้คิดไปเอง


เธอกำลังจะก้าวขาเข้าไปเย่เซียวกลับเรียกเธอไว้อีกครั้ง เงียบอยู่อึดใจถึงพ่นคำออกมาสั้นๆ “วันละสามครั้ง!”


ป้าหลี่ชะงักนิ่งไปครู่ถึงเข้าใจความหมาย พยักหน้ารับ “ค่ะ ฉันจะเตือนคุณไป๋เอง”


เหมือนว่าเย่เซียวยังพูดไม่จบคนรับใช้จึงไม่ขยับตัว อย่างที่คิดเมื่อรออีกสักครู่ก็ได้ยินเขากล่าวอีกว่า “เธออาจจะไม่สะดวกทาเอง ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือ คืนนี้ป้าจะต้องพร้อมเสมอ”


“ค่ะ”


“ยา…” เขาพยักพเยิดคางที ปากบางขยับพูดเสียงเย็นชา “บอกว่าเป็นของน่าหลัน!”


…………………………


ผ่านไปพักหนึ่งป้าหลี่ถือชุดนอนเข้ามา


“คุณไป๋ เสื้อของคุณค่ะ”


“เอามาค่ะ” ไป๋ซู่เย่ดึงผ้าขนหนูบนตัวออกแล้วสวมชุดนอนทันที


“แล้วก็…ยานี่”


เธอหยิบหลอดยามาดูแวบหนึ่งพบว่าเป็นของใหม่ “เย่เซียวซื้อมาเหรอ?”


“เปล่าค่ะ ได้ยินว่าเป็นของคุณน่าหลัน”


ไป๋ซู่เย่ยิ้มขมขื่น เธอยังคาดหวังอะไรอยู่อีก? ยาแบบนี้หากน่าหลันมีพร้อม หมายความว่า…เขาป่าเถื่อนกับผู้หญิงทุกคนเหมือนเมื่อครู่หมดเลยหรือ?


พอคิดว่าเขาทำเรื่องที่ทำกับเธอเมื่อสักครู่ ต่อให้ป่าเถื่อนแบบนั้นหัวใจก็เจ็บปวดเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง


“ป้าออกไปเถอะ” ใบหน้าเรียบนิ่งเสียจนไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ทายาแค่วางหลอดยาทิ้งไว้ข้างๆ ไม่สนใจอีกต่อไป


ยิ่งเจ็บยิ่งดี


ยิ่งเจ็บจะได้ยิ่งจดจำ ยิ่งให้ตัวเองใจเย็นและมีสติมากขึ้น รู้ว่าระหว่างตัวเธอกับเย่เซียวไม่มีอะไรนอกจากความเกลียดชัง!


……………………


ตลอดคืนนั้นเจ็บปวดเหลือเกิน


จนถึงเช้าตีสามตีสี่ไป๋ซู่เย่ถึงได้หลับไปอย่างสะลึมสะลือและเหมือนจะฝันร้ายอีกแล้ว ฝันร้ายในครั้งนี้กลับแตกต่างจากแต่ก่อน ในฝันครั้งนี้เย่เซียวถือปืนยิงเจาะหัวเธอเหมือนยมทูตเก็บวิญญาณ


ในฝันนั้นเธอกำลังยิ้ม


เหมือนจะได้หลุดพ้นสักที


รอตื่นมาอีกทีมองเพดานถึงได้รู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่


ประตูห้องถูกคนเคาะจากด้านนอก คนรับใช้เอ่ยปากจากข้างนอก “คุณไป๋คะ ตื่นหรือยัง?”


“อืม” เธอตอบกลับไปทีด้วยเสียงที่ติดแหบเล็กน้อย


“นายท่านกับคุณน่าหลันกำลังรอคุณไปทานข้าวเช้าด้วยกัน”


ไป๋ซู่เย่นิ่งไปชั่วอึดใจถึงได้ตอบกลับอย่างใจเย็น “ฉันขอล้างหน้าแปรงฟันก่อน”


เธอจัดการล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ แล้วเดินไปที่ห้องทานอาหาร


พยายามเดินให้ช้าที่สุดแล้วแต่ก็ยังสะเทือนถึงแผลของเมื่อคืนที่ทำให้เธอรู้สึกแสบร้อนราวกับมีมีดกรีดลงบนตัว ฉะนั้นระหว่างที่เดินก็ก่นด่าผู้ชายที่ป่าเถื่อนรุนแรงดั่งปีศาจคนนั้นในใจไปด้วย


เธอคิดว่าท่าทางการเดินของเธอในตอนนี้ต้อง…ไม่สง่ามากแน่ๆ


รอถึงห้องทานอาหารน่าหลันกับเย่เซียวนั่งอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่กำลังทานอาหารเช้าด้วยกัน


เย่เซียวนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะโดยมีผ้ากันเปื้อนผูกไว้ตรงคออย่างมีมาด ขณะที่ทานอาหารท่วงท่าดูดีมีสง่า ท่าทางแบบนี้ยากจะทำให้จินตนาการความรุนแรงของเขาเมื่อคืนออก


ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่รับรู้ถึงการมาของเธอจริงๆ หรือคิดจะไม่สนใจเธออยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเย่เซียวไม่ได้เงยหน้า คนที่ชิงพูดขึ้นก่อนกลับเป็นน่าหลันที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือของเธอ


“คุณไป๋ ตื่นแล้วเหรอ?”


“ค่ะ”


“เชิญนั่ง” น่าหลันพูดเชิญเหมือนเป็นคุณนายของบ้านพลางสั่งคนรับใช้ข้างๆ เสียงอ่อนโยน “เตรียมอาหารเช้าให้คุณไป๋ อ้อคุณไป๋ ไม่ทราบว่าอาหารแบบไหนที่คุณถูกปากคะ? เมื่อกี้ฉันถามเย่เซียว เย่เซียวบอกไม่รู้เหมือนกัน”


ไม่รู้?


บางทีอาจจะลืมมากกว่ากระมัง…


สิบปีก่อน เพื่อที่เธอจะได้ทาน ‘อิงลั่วชุ่ย’[1] ที่เธออยากทานเขาสามารถขับรถไปหลายร้อยกิโลเมตรด้วยตัวเองเพื่อเรียกตัวพ่อครัวมาทำให้เธอได้


สิบปี นับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จะลืมคงไม่แปลก


หลายเรื่องเดิมทีเธอคิดว่าตัวเองใกล้ลืมแล้วแต่พอย้อนคิดดีๆ กลับรู้สึกว่าทุกอย่างชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


“อะไรก็ได้ ฉันทานได้หมด ไม่เลือก” เธอตอบน่าหลันกลับเสียงเรียบ


น่าหลันจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเตรียม


เย่เซียวไม่คุยกับเธอสักประโยคเพียงแค่นั่งทานอาหารไปเงียบๆ เย็นชาเช่นเคย ถึงขั้นไม่แม้แต่จะปรายตามองมาที่เธอด้วยซ้ำ ท่าทางเย็นยะเยือกนั่นทำเอาไป๋ซู่เย่หลงคิดว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้กระทำรุนแรงกับตัวเองมาก่อน


ไป๋ซู่เย่ไม่อยากอาหารสักเท่าไร ร่างกายปวดร้าวไปหมดจนทานไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้นกับสถานการณ์แบบนี้ยิ่งน่าขำ ทั้งสามคนนั่งร่วมโต๊ะ เย่เซียวเหมือนฮ่องเต้ที่มีหญิงขนาบข้าง เธอไม่สนใจก็แล้วไปแต่น่าหลันก็ทำท่าไม่สนใจ ไม่รู้ว่าไม่คิดจะสนใจจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่สนใจกันแน่ แต่เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างตัวเธอกับเย่เซียว น่าหลันคงไม่ถึงกับไม่รู้เสียทีเดียว


ต่อให้ไม่ได้เห็นเองกับตา รอยกุหลาบบนลำคอของเธอในตอนนี้ก็เปิดเผยให้เห็นชัดเจนพอแล้ว


“นี่เป็นเนื้อกุ้งที่คุณชอบ ลองดูสิ” น่าหลันทำเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ คีบเนื้อกุ้งใส่จานตรงหน้าเย่เซียว เย่เซียวมองเธอแวบหนึ่งก่อนได้ยินอาชิงที่เป็นคนรับใช้ประจำตัวของน่าหลันพูดขึ้น “นายท่านคะ เนื้อกุ้งนี่คุณหลันตื่นเช้ามาทำให้นายท่านเองเลยนะคะ เปลือกกุ้งเธอก็แกะออกเองเลยแน่ะ! ได้แผลตรงนิ้วมาด้วย คุณน่าหลันนี่ช่างใส่ใจดีจริงๆ”


“พอแล้วอาชิง ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่าพูดออกมา” น่าหลันติคำหนึ่งด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย ตอนออดอ้อนนั้นช่างน่าใจสั่นเสียจริง


“บาดเจ็บเหรอ?” เย่เซียวถามเสียงเรียบ


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” น่าหลันส่ายหัว


“มือ” เย่เซียวมุ่นคิ้ว ทิ้งสายตาไว้บนมือเธอเป็นเชิงให้ยื่นให้เขาดู


“คุณไม่ต้องไปฟังอาชิงพูดหรอก เธอน่ะชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”


“ยื่นมือมา” เย่เซียวไม่ค่อยมีความอดทนนัก น่าหลันรู้นิสัยเขาดีจึงไม่ยึกยักอีก รีบยื่นมือไปอย่างเชื่อฟัง ไป๋ซู่เย่เชยตามองแวบหนึ่งก็เห็นเย่เซียวกุมมือขาวเนียนของเธอไว้


สายตาของเขาจดจ่อกับนิ้วมือขาวดุจหิมะของเธอ ขมวดหัวคิ้วแน่นพลางหันไปสั่งอาชิง “ไปเอากล่องยามา”


“ไม่ต้องหรอกน่า…”


ยังไม่ทันสิ้นเสียงน่าหลันดี เย่เซียวก็พูดเร่งเร้าอาชิง “ยังไม่ไปอีก?”


“ค่ะ นายท่าน” อาชิงเดินไปหยิบกล่องยาอย่างสุขใจ


“ความจริงไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้น แค่โดนเปลือกกุ้งแทงไม่กี่ทีเอง” น่าหลันยังคงพูดกับเขาด้วยเสียงเบาหวิว แต่พอจะฟังออกได้ว่าน้ำเสียงมีความสุขและรู้สึกหวานหยดในใจ


“ทีหลังเรื่องแบบนี้ให้คนรับใช้ทำก็พอ ฉันพาเธอมาไม่ได้ให้มาทำเรื่องแบบนี้”


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจลึกๆ พักใหญ่ถึงยิ้มเอ่ยจางๆ “ไข่ดาวทอดได้หอมมาก ฉันทานอีกฟองหนึ่งได้ไหม?”


เธอพูดแทรกกะทันหันจนน่าหลันกับเย่เซียวต่างหันสายตามาทางเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอดูดีเหมือนอย่างเคย ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากพวกเขาเลยสักนิดเดียว


………………………………………………….


[1] ชื่ออาหารชนิดหนึ่ง


ตอนที่ 614 ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (6)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวมองเธอด้วยสายตาเย็นชาเพียงรู้สึกว่ารอยยิ้มนั่นช่างกระแทกตานัก บรรยากาศอึดอัดลงอย่างน่าแปลก กระทั่งน่าหลันยิ้มกล่าว “ได้สิ ไม่คิดว่าคุณไป๋จะเจริญอาหารขนาดนี้”


ไป๋ซู่เย่ยิ้มตอบน้อยๆ “อารมณ์ดีก็จะทานเยอะหน่อยน่ะ”


น่าหลันรีบหันกลับไปสั่งคนในห้องทันทีด้วยมาดคุณนายของบ้านอย่างเต็มที่ ไป๋ซู่เย่สบตากับเย่เซียวแวบหนึ่ง สั้นๆ เพียงหนึ่งวินาทีก็หลบสายตาหนี


ไม่มีเสียงพูดคุย


บรรยากาศเริ่มอึดอัดอีกครั้ง


“ยามาแล้ว!” จนอาชิงวิ่งลนลานมาโดยถือกล่องยาไว้


แต่เดิมอาชิงเตรียมทายาให้น่าหลันเองแต่เย่เซียวกลับรับหลอดยาไปเงียบๆ


สีหน้าเย็นชากว่าเมื่อครู่มากนัก


น่าหลันเชยตามองชายหนุ่มที่คาดเดาความคิดไม่ถูกตรงหน้าก่อนจะเผลอไปมองหญิงสาวที่นั่งทานอาหารตรงข้ามตัวเองแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในอก ช่างเป็นความรู้สึกที่แย่นัก


ความจริงความเงียบสงบรวมถึงความสุขทั้งหมดที่ฉายบนใบหน้าตอนนี้ล้วนเสแสร้งออกมา มีเพียงฟ้าที่รู้ว่าความจริงเธออิจฉาแทบบ้า


เมื่อคืนเย่เซียวปฏิเสธเธอแต่กลับเลือกไป๋ซู่เย่…


ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมตอนนี้ถึงอ่อนโยนกับเธอนัก? ทำให้เธออดดำดิ่งลงไปไม่ได้…


“นายท่าน ดีกับคุณน่าหลันจริงๆ เลยนะคะ” อาชิงที่ยืนข้างๆ พูดไปพลางเหลือบสายตาไปที่ไป๋ซู่เย่ไปพลาง ไม่รู้ว่าตั้งใจหรืออย่างไรจึงพูดเสียงดังกว่าเดิม “เห็นคุณน่าหลันเป็นอะไรหน่อยไม่ได้เลย แฟนทั้งหลายของคุณชายถังอิจฉาแทบตาย”


อาชิงไม่รู้จักไป๋ซู่เย่จึงรู้สึกดีต่อน่าหลันที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ก่อน ในสายตาทุกคนของบ้านหลังนี้ยอมรับว่าน่าหลันเป็นเจ้านายของพวกเขา บวกกับหยูอันที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องจับตาดูไป๋ซู่เย่ให้ดีเพื่อป้องกันเธอทำอะไร ฉะนั้นย่อมรู้สึกไม่ดีต่อ ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่หน้าตาคล้ายคลึงกับคุณน่าหลันและเพิ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้


ไป๋ซู่เย่ได้ยินคำพูดของอาชิงก็เผลอกระชับมือจับอุปกรณ์ทานอาหารแน่นขึ้น เธอไม่ได้ยินเสียงเย่เซียวแต่ได้ยินเสียงตำหนิอย่างเขินอายของน่าหลัน “เธอน่ะพูดมากจัง”


อาชิงยิ้มอย่างมีความสุข


ภาพตรงหน้าช่างอบอุ่น ไม่พูดถึงอาชิงแม้แต่ไป๋ซู่เย่ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน สร้างความไม่ชอบใจแก่ทุกคนในที่นี้


เธอพรูลมหายใจเบาๆ เพราะรู้สึกอัดแน่นเต็มอกจนหายใจแทบไม่ออก


สักพักเมื่อทานไข่ดาวคำสุดท้ายลงคอถึงเงยหน้าขึ้นพูดเสียงเรียบ “ฉันอิ่มแล้ว เชิญพวกคุณทานต่อเลย”


แล้วเบนสายตาไปทางเย่เซียวด้วยท่าทางเรียบนิ่งไร้อารมณ์ “ฉันขอตัวก่อน คุณคงไม่ว่าหรอกนะ?”


ดวงตาของเย่เซียวละจากนิ้วมือของน่าหลันไปยังเธอ


มืดมนมองไม่เห็นแววตาใดๆ


ปากบางเม้มแน่นคล้ายไม่สบอารมณ์อย่างมาก


เธอไม่ได้กวนประสาทเขา ต่อให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับตน ไป๋ซู่เย่ไม่อยากอยู่ต่อหมุนตัวคิดจะเดินออกไป


“หยุดอยู่ตรงนั้น!” เย่เซียวตวาดเสียงเย็น


น่าหลันเกร็งนิ้ว เธอหวังเหลือเกินว่าไป๋ซู่เย่จะรีบไปสักที ยิ่งหายตัวไปเร็วเท่าไรยิ่งดี!!


“กลับมานั่ง!” เย่เซียวตวาดอีกครั้ง


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ หันหลังกลับมา “ฉันทานอาหารเช้าอิ่มแล้ว”


“นั่งลง! อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำอีกรอบ”


เธอเงียบไปชั่วขณะก่อนจะนั่งลงตามคำสั่ง อยากให้เธอนั่งลงมองพวกเขาแสดงความรักกันหรือ? ก็ดี…อย่างน้อยน่าจะช่วยเรียกสติเธอได้มากขึ้น


เย่เซียวเบี่ยงหน้าหันไปสั่งอาชิงไม่กี่ประโยค อาชิงได้ยินก็หันมามองไป๋ซู่เย่ด้วยสายตารังเกียจปนสมน้ำหน้าแล้วรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว


ไป๋ซู่เย่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรแต่ก็ใช่ว่าในใจจะไม่สงสัย ทว่าครู่ต่อมา…เมื่ออาชิงกลับมาเธอก็เข้าใจทันที


อาชิงถือแก้วน้ำเย็นและยาสีขาวสองเม็ดบนฝ่ามือ “คุณไป๋ นี่คือยาคุมกำเนิด นายท่านให้คุณกินซะ จะได้ไม่สร้างปัญหาในอนาคต”


ใบหน้างดงามของเธอขึ้นสีซีดชั่วพริบตาเดียว


รอยยิ้มจางๆ นั่นแทบหายไปจากบนใบหน้าแต่ยังฝืนยิ้มอยู่ มองไปทางเขา “รอบคอบมาก แต่ต่อให้คุณไม่เตรียมไว้ ฉันเองก็ไม่มีทางลืม”


สายตาของเย่เซียวเย็นยะเยือกปานน้ำแข็งและคมเฉี่ยวเหมือนปลายมีดอันแหลมคม


รอยยิ้มของเธอท้าทาย ยกแก้วน้ำดื่มลงไปอย่างไม่ลังเลใดๆ


………………………………


ออกมาจากบ้านของเย่เซียวไป๋ซู่เย่ก็มุ่งหน้าไปที่กระทรวงความมั่นคงทันที โชคดีที่ห้องทำงานมีชุดเครื่องแบบให้เปลี่ยน เธอเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบตัวสะอาดเสร็จก็พันผ้าพันคอให้ตัวเองซึ่งพอจะปกปิดร่องรอยที่เย่เซียวหลงเหลือไว้ได้บ้าง


ตอนนี้ยังรู้สึกใจสั่นยามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน


ความเจ็บนั้น…


ไม่อยากย้อนคิดถึงมันเลยจริงๆ


เธอไม่รู้ว่าเย่เซียวจะต้องการตัวเองอีกครั้งเมื่อไร แต่ว่า…มีน่าหลันอยู่ด้วย คงไม่ต้องการตัวเธอสักพักหนึ่ง!


ทั้งที่เธอควรดีใจแท้ๆ แต่หน้าอกกลับบีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก


ยิ้มขมขื่น


อึดอัดอะไรกัน?


ไป๋ซู่เย่ อย่าลืมเชียวว่าที่ยอมสานสัมพันธ์กับเขาในครั้งนี้เพราะต้องการจบความสัมพันธ์กับเขาอย่างสิ้นเชิง…


หนึ่งเดือนหลังจากนี้ จะไม่มีการพัวพันกันอีกต่อไป…


“รัฐมนตรี” ชั่วขณะนั้นประตูห้องทำงานถูกเคาะจากด้านนอก ไป๋หลางผลักประตูเข้ามา “เราได้รับข่าวเกี่ยวกับองค์กรความรุนแรง ET ตอนบ่ายสองจะมีงานแถลงข่าวระดับนานาชาติ อธิบดีบอกว่าให้คุณแถลงด้วยตัวเอง”


“ฉันรู้แล้ว พวกนายไปเตรียมตัวไป” ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น เรื่องเจาะข้อมูลนี้เธอได้ข่าวมาโดยตลอดเช่นกัน ย่อมต้องให้เธอที่เป็นผู้รู้ดีที่สุดออกคำแถลง


…………………………


ในห้องประชุมใหญ่เริ่มมีคนเข้ามากันมาก เหล่านักข่าวต่างรอคอยอย่างคาดหวัง


บ่ายสองตรงประตูสีทองอร่ามถูกผลักเข้ามาจากด้านนอกโดยคนชุดดำกลุ่มหนึ่งที่ใส่หูฟัง ค่อยๆ เดินเข้ามาในงาน ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขามีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบสีกรม ย่ำเท้าเดินอย่างหนักแน่นเข้ามาในห้องอย่างสง่าผ่าเผย


เสียงกดชัตเตอร์ ‘แชะ’ ‘แชะ’ ดังสนั่นรวมถึงแสงแฟลชที่ทำเอาแทบลืมตาไม่ขึ้น เธอยืนอยู่บนตำแหน่งประธาน กล่าวคำปราศรัยด้วยความไหลลื่นชำนาญการ โดยชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เจ้าตัวโดดเด่นท่ามกลางสายตาผู้คนเป็นอย่างมาก


งานยาวนานประมาณสองชั่วโมง หญิงสาวคงท่าทางสง่าและรอยยิ้มอยู่เสมอ ดูสดชื่นเรียกให้คนมองตาวาว


หลังจบงานเตรียมกลับก็ถูกนักข่าวรุมล้อมขวางทางออก


“คุณไป๋ ขอสัมภาษณ์สั้นๆ ได้ไหมคะ? เรามาจากสำนักรายงานข่าวประเทศ ก่อนหน้าได้ติดต่อคุณล่วงหน้านานแล้วแต่คุณไม่มีเวลาตอบรับเราเลย”


“ขอโทษครับ รัฐมนตรีของเรายุ่งมาก ยังมีงานอื่นต่อครับ!” ไป๋หลางขวางนักข่าวที่ตามมาติดๆ


แต่นักข่าวตามไปอย่างไม่ยอมแพ้


ความจริงช่วงบ่ายไป๋ซู่เย่ไม่มีงานอะไรมากจึงหยุดก้าวเดินยอมให้สัมภาษณ์กับพวกเขา


……………………


อีกฟากหนึ่งในห้องหนังสือ


เย่เซียวเปิดโทรทัศน์ดูการถ่ายทอดสดงานแถลงข่าวจากกระทรวงความมั่นคงตามเวลาบ่ายสองตรง


ไป๋ซู่เย่ปราศรัยบนตำแหน่งประธานของโต๊ะประชุมในสภาพที่สวยงามเฉกเช่นปกติ ท่าทางนอบน้อมไม่หยิ่งยโส ถ่ายทอดมุมมองความคิดได้เป็นระเบียบชัดเจน เธอเป็นผู้ปราศรัยที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งอย่างแท้จริง


…………………………………………


ตอนที่ 615 ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (7)

โดย

Ink Stone_Romance

งานแถลงจบลงและสามารถจับใจความข่าวจากงานแถลงโดยประมาณได้ กล้องตัดไปถ่ายภายในงานที่ชุลมุนหลังจบงาน เขากำลังจะปิดโทรทัศน์แต่กล้องกลับตัดไปยังตัวหญิงสาวผู้นั้นทันที เรียกให้มือที่เตรียมกดรีโมตของเขาหยุดชะงัก


“รัฐมนตรีไป๋ วันนี้คุณสวยมากเลย! ตอนแถลงก็สวยมากๆ! ดีจริงๆ เลยนะคะ” นักข่าวเอ่ยชม


“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มจางๆ


“ท่านประธานาธิบดีปล่อยข่าวว่าจะแต่งงานหลายครั้งแต่คุณยังเงียบไร้การเคลื่อนไหว ขอถามหน่อยว่าตอนนี้คุณมีคนรักหรือยังคะ?”


หญิงสาวยิ้มน้อยๆ อย่างไม่แสดงอารมณ์ก่อนจะปฏิเสธทันควัน “ต้องไม่มีอยู่แล้ว”


“คุณยอดเยี่ยมขนาดนี้ ผู้ชายที่ตามจีบคุณต้องเยอะมากแน่ๆ คุณตั้งเป้าไว้สูงเกินไปหรือเปล่าคะ?”


เธอยิ้มซุกซน “คุณก็เห็นว่าตอนนี้ฉันยุ่งมาก เพิ่งจบงานคนยังไม่ทันเดินไปไหนก็ถูกพวกคุณกักไว้แล้ว จะเอาเวลาว่างที่ไหนไปหาคนรักคะ?”


เหล่านักข่าวหัวเราะตาม “คุณกำลังผลักภาระมาที่เราเหรอ ความผิดเราใหญ่หลวงเลยนะคะเนี่ย แต่ว่าในกระทรวงความมั่นคงมีผู้ชายเก่งกาจมากมาย คุณไม่คิดจะหาใครสักคน แล้วเกิดเป็นความรักกันภายในกระทรวงเองบ้างหรือคะ?”


บนโทรทัศน์ไป๋ซู่เย่ทำหน้าครุ่นคิดคล้ายกำลังขบคิดกับคำถามนี้ของนักข่าวอย่างตั้งใจ จากนั้นจงใจยิ้มตอบกลับว่า “ในกระทรวงความมั่นคงมีผู้ชายเก่งกาจเยอะจริงๆ มีท่านหนึ่งที่ฉันให้ความเคารพนับถือมาก แต่เรื่องความรักยังไงก็ต้องปล่อยไปตามโชคชะตา”


“งั้น…คุณสามารถบอกเราได้ไหมว่าเขาคือใคร? บอกต่อหน้ากล้องบางทีอาจจะเป็นสื่อกลางให้ก็ได้นะคะ” นักข่าวยังตามถามอย่างไม่ยอมแพ้


“นี่เป็นความลับค่ะ ฉันขอเก็บไว้แล้วกัน คงบอกพวกคุณไม่ได้”


รอยยิ้มฉาบหน้านั่นในสายตาเย่เซียวกลับรู้สึกว่ามันเจือด้วยความรัก ช่างกระแทกตานัก


เคารพนับถือ?


อดีตเมื่อสิบปีก่อนไป๋ซู่เย่เคยบอกเขาว่าเขาเป็นคนที่เธอให้ความเคารพนับถือมากที่สุด แต่ตอนนี้…


เธอกำลังส่งสัญญาณรักให้ชายอื่นในโทรทัศน์?


เขาขมวดคิ้วกดปิดโทรทัศน์แรงๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจับควงไปสักครู่ สุดท้ายก็แตะพิมพ์…


…………………………


ไป๋ซู่เย่ตอบคำถามเรื่อยเปื่อยของนักข่าวเสร็จถึงได้ออกจากงานอย่างราบรื่น ไป๋หลางถาม “รัฐมนตรี ในกระทรวงความมั่นคงมีคนที่คุณเคารพนับถือจริงๆ หรือครับ ทำไมผมไม่รู้?”


“อะไรก็จะต้องให้นายรู้หมด คิดว่าเป็นพยาธิในท้องฉันหรือไง?” เธอมีบุคคลที่ให้ความเคารพนับถืออยู่จริงๆ แต่ไม่ได้อยู่ในกระทรวงความมั่นคงแต่เป็นนักวาดชื่อดังนามว่าอเล็กซ์


“รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องตอบเพื่อรับมือกับนักข่าว ใช่แล้ว มื้อค่ำวันนี้ท่านปลัดกระทรวงเชิญคุณเอง คุณต้องเข้าร่วมด้วย”


มื้อค่ำ?


ไป๋ซู่เย่พยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”


เพิ่งพูดจบมีเสียงเข้าที่โทรศัพท์สั้นๆ เธอล้วงมาดูแวบหนึ่งแล้วชะงักไปครู่ เป็นข้อความฉบับหนึ่ง


สั้นๆ ง่ายๆ


คืนนี้มาด้วย


สี่พยางค์ ไร้ชื่อไร้คำลงท้ายหรือแม้แต่เบอร์โทรยังเป็นเบอร์ไม่ทราบชื่อ แต่ไป๋ซู่เย่กลับรู้ดีว่าใครคือผู้ส่งข้อความฉบับนี้มา


“เป็นอะไรไป?” ไป๋หลางเห็นว่าเธอมีสีหน้าที่ผิดแปลกไปจึงเผลอยื่นคอมอง เธอชิงเก็บโทรศัพท์ไปก่อนหนึ่งก้าว “เปล่า”


“วันนี้คุณดูแปลกๆ นะ” ไป๋หลางมองประเมินเธอแวบหนึ่งคล้ายนึกถึงอะไรขึ้นมา “เมื่อคืนคุณกับเย่เซียว…ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม?”


“ตอนทำงานห้ามคุยเรื่องส่วนตัว” ไป๋ซู่เย่ไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเขาต่อ จึงเดินออกจากงานไปที่รถ


ไป๋หลางมองแผ่นหลังนั่น มุ่นคิ้วแน่นเพราะความเป็นห่วง


เย่เซียวกลับมาพร้อมความแค้นและแน่นอนว่าเขาต้องการระบายความแค้นนี้ไว้บนตัวเธอทั้งหมด สำหรับเธอแล้ว มันไม่ยุติธรรมอย่างมาก!


ระหว่างที่กลับกระทรวงความมั่นคง ไป๋ซู่เย่ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกที


ร่างกายยังเจ็บอยู่


หากคืนนี้ต้องโดนซ้ำ…


เธอพรูลมหายใจ ดูเหมือนว่าตลอดทั้งเดือนนี้เย่เซียวตั้งมั่นว่าจะทรมานเธออย่างดีเชียว


……………………


มื้อค่ำครึกครื้นเป็นพิเศษ


ภายในห้องอาหารของกระทรวงความมั่นคง โต๊ะกลมที่ปูด้วยผ้าสีทองลายเมฆ จานอาหารล้วนสั่งมาตามระดับการต้อนรับแขกสำคัญจากภายนอก บุคคลที่นั่งอยู่ในนี้ไม่ใช่คนธรรมดากันทั้งนั้น


ความจริงไป๋ซู่เย่ทานมื้อนี้อย่างใจลอย เมื่อคืนถูกเล่นงานจนดึกดื่นทำให้เธอไม่ค่อยได้นอนเท่าไร วันนี้ทำงานตลอดวันเหมือนสู้รบมา นี่ก็กลางคืนสามทุ่มกว่าแล้ว เธอจึงเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดๆ


“ซู่เย่ ทำไมดูซึมขนาดนั้นล่ะ? คุณเป็นตัวหลักที่ช่วยให้เราได้ข้อมูลในครั้งนี้เชียวนะ! ประธานาธิบดีมีพี่สาวอย่างคุณเป็นลูกมือนี่เหมือนเสือติดปีก ตำแหน่งบนเวทีโลกของประเทศเราถึงได้ถูกเลื่อนขึ้นอย่างชัดเจนขนาดนี้” ประโยคเดียวของท่านปลัดกระทรวงก็เรียกสายตาของคนทั้งโต๊ะให้หันมาที่เธอ


เธอเรียกสติ “ปลัดพูดชมเกินไปแล้ว”


“เกินหรือไม่เกินไปใจคุณรู้ดีที่สุด มา แก้วนี้ฉันขอดื่มให้คุณก่อน” ปลัดกระทรวงลุกขึ้นชนแก้วกับเธอเล็กน้อย


ไป๋ซู่เย่ยกดื่มโดยไม่ปฏิเสธ


“ผมเคยได้ยินเรื่องของรัฐมนตรีไป๋กับเย่เซียวมานานแล้ว เสียดายที่เพิ่งได้เจอตัวจริงวันนี้ ยอดเยี่ยมไม่แพ้ชายใดเลยจริงๆ!” มีคนพูดชมก่อนจะชนแก้วกับเธออีกครั้ง


พูดถึงเรื่องอดีต ไป๋ซู่เย่เปลี่ยนสีหน้าน้อยๆ


เรื่องนี้คล้ายเป็นเหรียญตราที่ห้อยติดตรงอกของเธอ แต่ไม่มีใครรับรู้ว่านี่เป็นรอยแผลที่ไม่มีวันหายดีของเธอเช่นกัน


“ขอบคุณ” เธอลุกขึ้นยกดื่มอย่างไม่คิดปฏิเสธ


อีกฝ่ายยกนิ้วโป้งให้เธอเป็นการชม “รัฐมนตรีไป๋ใจเด็ดเดี่ยวจริงๆ!”


…………………………


มื้ออาหารมื้อเดียวใช้เวลาไปนานหลายชั่วโมง รอออกจากห้องอาหารอีกทีก็เลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว


เธอชนแก้วไปไม่น้อยกระทั่งเจ้าตัวตกอยู่ในสภาพสติพร่ามัว รู้สึกได้แค่ว่าตรงไหนไม่สบายตัวบ้าง ในกระเพาะรู้สึกคลื่นไส้อย่างทรมาน


ไป๋หลางจัดวางเธอไว้ในรถด้วยความปวดใจ “รู้ทั้งรู้ว่าเกินลิมิตตัวเองยังไม่รู้จักปฏิเสธ ไม่เข้าใจเลยว่าคุณคิดยังไง”


ไป๋ซู่เย่ฝืนยันตัวขึ้นมาตอบเสียงแผ่ว “ส่งฉันกลับไปเถอะ”


“ครับ” เขาขับรถพาเธอไปส่งที่พักอาศัยที่เซียงเซี่ยกู่


ไป๋หลางส่งเธอขึ้นตึก เข้าประตูเธอก็เอ่ยปากไล่ไป๋หลางทันที


“คุณเมาขนาดนี้ไหวจริงๆ เหรอ?” ก่อนไปไป๋หลางยังไม่วางใจเท่าไร ไม่ว่าภายนอกจะดูเข้มแข็งขนาดไหนแต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ดี


“ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” ไป๋ซู่เย่ดันเขาออกไปแล้วปิดประตูแรงๆ เจ้าตัวคล้ายว่าได้ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายไปหมดแล้ว แนบพิงประตูไม่ทันถอดรองเท้าส้นสูงดีด้วยซ้ำก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลง รู้สึกง่วงเป็นทวีคูณในทันที ความง่วงที่จู่โจมมาทำให้หนักเปลือกตาจนเธอไม่อยากขยับแม้แต่ปลายนิ้ว


แล้วเธอก็นั่งพิงประตูจนผล็อยหลับไปจริงๆ


ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไรโทรศัพท์ดังขึ้นกะทันหัน


ในค่ำคืนเช่นนี้เสียงมันดังแสบหูมากกว่าปกติ เธอที่คอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอก็สะดุ้งตื่นทันที เมื่อรู้ตัวว่าโทรศัพท์ดังเธอก็นวดคลึงระหว่างคิ้วที่กำลังปวดตุบๆ แล้วล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋า


“ฮัลโหล”


………………………………………..


ตอนที่ 616 ย้ายมาอยู่กับผม (1)

โดย

Ink Stone_Romance

“คืนที่สองก็คิดจะผิดสัญญาแล้วงั้นเหรอ?” เสียงเรียบนิ่งปนอันตรายของเย่เซียวดังแว่วมาจากอีกฝั่ง น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจต้อนถามความผิดจากอีกฝ่าย


เธอเริ่มได้สติกลับมาบ้างแล้วรู้ว่าคืนนี้ตัวเองผิดนัดเขา


เธอตั้งใจ


ร่างกายปวดร้าวเกินไป…


ความรู้สึกที่เหมือนถูกฉีกทึ้ง บดขยี้อย่างนั้นไม่อยากจะย้อนนึกมันเลยจริงๆ


“ฉัน…เมานิดหน่อย” เธอสางผมไปด้านหลัง สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “คืนนี้อาจจะ…”


“ครึ่งชั่วโมง”เย่เซียวพูดขัดเธอ “หลังครึ่งชั่วโมงถ้าผมไม่เห็นคุณอยู่ที่นี่ หนังสือสัญญาความร่วมมือของผมกับซ่งกั๋วเหยาจะเกิดผลทันทีในวันพรุ่งนี้!”


ไม่ให้โอกาสเธอได้พูดอะไรด้วยซ้ำเย่เซียวก็ชิงตัดสายไปก่อน


ไป๋ซู่เย่กำโทรศัพท์ฟังเสียง ‘ตู๊ดๆ’ หลังวางสายที่แสนเยือกเย็น ผ่อนลมหายใจหนักๆ ลุกขึ้นยืน ต่อให้เมาขนาดไหนเธอก็ไม่มีทางลืมเรื่องหนังสือสัญญานั่นได้ ถอดรองเท้าส้นสูงออกกลับไปทานยาแก้เมาในห้องของตัวเองก่อนใช้น้ำเย็นล้างหน้า ความเย็นของน้ำเรียกสติเธอกลับมาไม่น้อย มองตัวเองที่เครื่องสำอางเลอะเลือนในกระจกก็รู้สึกว่าทั้งโทรมทั้งน่าสงสาร


……………………


อีกฟากหนึ่ง


“นายท่าน ยังไม่นอนหรือคะ?” ขณะที่คนรับใช้เดินผ่านห้องนั่งเล่นก็เห็นเขายังพลิกหนังสือพิมพ์บนโซฟาอยู่


เย่เซียวปิดหนังสือพิมพ์พับแขนเสื้อขึ้นดูเวลาแวบหนึ่ง เข็มยาวชี้ไปที่เลขหนึ่ง! ตรงเวลา!


ดีมาก!


ผู้หญิงคนนี้สายแล้ว!


แล้วยังสายไปครึ่งชั่วโมงเต็มๆ!


“นายท่านกำลังรอใครอยู่งั้นหรือคะ?” คนรับใช้ถามด้วยความสงสารเพราะปฏิกิริยาของเขา


“เปล่า!”ปากบางขยับแล้วพ่นคำเย็นชาออกมาสั้นๆ โยนหนังสือพิมพ์ไว้บนโต๊ะเตี้ยก่อนลุกขึ้นเดินไปชั้นบน เดินได้ถึงครึ่งทางหันกลับมาพูดสั่ง “ล็อกประตูซะ คืนนี้ไม่ว่าใครจะเคาะประตูก็อย่าปล่อยเข้ามา!”


“หา? ค่ะ” คนรับใช้แปลกใจมาก ตีหนึ่งแล้วหรือว่าจะมีแขกมาอีก? แต่ย่อมไม่กล้าถามไปมากกว่านี้จึงได้แต่ตอบรับไปตามนั้น


……………………


ไป๋ซู่เย่รอให้ตัวเองมีสติมากขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนแล้วแต่งหน้าเพิ่มให้ตัวเองอย่างพึงพอใจ ฉีดน้ำหอมเสร็จก็เป็นเวลาตีสองแล้ว


เธอขับรถไปหาเย่เซียวด้วยตัวเอง


ตอนติดไฟแดงเห็นสภาพที่ผ่านการตบแต่งอย่างดีจากกระจกหน้าก็ยิ้มน้อยๆ ผ่านไปสิบปีแล้วกลับยังหวังที่จะเหลือภาพลักษณ์ที่ดีไว้ในใจเขาอีก คราวก่อนที่อาเจียนไม่เป็นท่าที่เขานั่นมันแย่มาก!


เธอจับผมที่ม้วนเป็นลอนบนบ่าตัวเองแล้วนึกถึงตอนที่ตัวเองผมยาวสลวยดำขลับเมื่อสิบปีก่อนก็รู้สึกใจหายวาบ


กลางดึกบนถนนไม่มีรถอะไรมาก รอไปถึงที่พักของเย่เซียวก็ตีสามกว่าแล้ว


ยามตรวจเวรได้ตรวจค้นตัวเธอรอบหนึ่งก่อนจะเก็บกุญแจรถเธอไว้อย่างรอบคอบถึงขับรถไปที่โรงจอดรถตามกำหนด


ตอนนี้เย่เซียวน่าจะนอนไปแล้วสินะ


เธอกดกริ่งประตู


แต่กริ่งดังอยู่พักใหญ่ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวจากข้างในเพียงนิด นั่นสินะ ดึกขนาดนี้แล้วแม้แต่คนรับใช้ก็คงนอนไปแล้วล่ะ


เย่เซียวนอนอยู่บนเตียงตั้งแต่ตีหนึ่งแต่จนตีสามก็ยังนอนไม่หลับ


ฉะนั้นรอเสียงกริ่งประตูดังขึ้น เขาก็เบิกตาโพลงแทบทันที คว้าโทรศัพท์มาดูเวลา ตีสามยี่สิบห้านาที เวลาทำให้เขาหน้าถมึงทึง


เขาเลิกผ้าห่มออกลงจากเตียง เปิดประตูห้องย่ำเท้าเดินออกไป


เขาควรสั่งสอนผู้หญิงคนนี้ดีๆ ว่าอะไรคือการตรงต่อเวลา!


แต่ยังไม่ทันลงไปชั้นล่างก็ได้ยินเสียงประตูเปิด ‘แกร๊ก’ ตามด้วยเสียงของคนรับใช้


“คุณไป๋”คนรับใช้เปิดประตู พอเห็นไป๋ซู่เย่ที่ยืนอยู่นอกประตูกลับนิ่งไปชั่วขณะ ที่แท้ยังมีแขกมาเยี่ยมเยียนกลางดึกจริงๆ ด้วย


อีกฝ่ายกวาดมองเธอจากหัวจรดปลายเท้าก็เข้าใจทันที ผู้หญิงสมัยนี้ไม่รู้จักยางอายเสียแล้ว มาบ้านผู้ชายดึกดื่นแล้วยังแต่งตัวสวยขนาดนี้ พอจะคิดได้แล้วว่ามีเป้าหมายอะไร ใจกล้าถึงขนาดไม่คิดถึงใจของคุณนายในบ้านอีกด้วย!


“มีธุระไหมคะ?”


“เย่เซียวหลับไปแล้วเหรอ?” ไป๋ซู่เย่ถาม


เย่เซียวที่อยู่ชั้นบนชะงักฝีเท้า


“ค่ะ”


“อืม งั้นให้ฉันเข้าไปเถอะ” เธอมาแล้วแต่เขาหลับไปแล้ว นี่ไม่ถือว่าผิดสัญญา


“ขอโทษด้วยคุณไป๋ นายท่านได้สั่งไว้ว่าคืนนี้ห้ามใครเข้ามา เชิญกลับไปเถอะ!” น้ำเสียงของคนรับใช้ไม่ปะปนด้วยอารมณ์ใด แต่ตัวกลับขวางประตูไว้


อีกฝ่ายไม่ต้อนรับตัวเอง


ไป๋ซู่เย่ดูออกแต่เธอไม่สนใจ เลยถามย้ำอีกครั้ง “เขาบอกว่าไม่ให้ใครเข้าไป?”


“ค่ะ ก่อนนอนนายท่านสั่งไว้เป็นพิเศษ”


ไป๋ซู่เย่มุ่นคิ้วหนัก รู้สึกว่าตัวเองถูกเย่เซียวปั่นหัวเข้าให้แล้ว เพราะฉะนั้นเสียแรงเปล่าที่อุตส่าห์แต่งตัวมาดิบดี


สุดท้ายเธอพยักหน้าน้อยๆ “รู้แล้ว งั้นฉันไม่รบกวนแล้ว”


……………………


ประตูกระแทกปิดตัวลงหนักๆ ‘ปัง’


เย่เซียวขมวดคิ้วแน่น เดินลงมาจากชั้นบนไม่หยุด


“นายท่าน ยังไม่นอนอีกหรือคะ?” คนรับใช้เงยหน้าเห็นเขาแล้วสะดุ้งเฮือก เย่เซียวหน้าถมึงทึงไม่สนใจเธอ เธอได้แต่นึกสงสัยในใจไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป


เขาไม่ได้เปิดประตู เพียงแค่เดินไปที่หน้าต่างเลิกผ้าม่านออก แวบแรกก็เห็นแผ่นหลังที่กำลังเดินมุ่งไปที่ประตูใหญ่ภายใต้แสงไฟ


เย่เซียวหยิบโทรศัพท์ข้างๆ มาโทรออกไปที่เบอร์ป้อมยามข้างหน้า


“ฮัลโหลครับนายท่าน ดึกขนาดนี้ไม่ทราบว่ามีคำสั่งอะไร?” อีกฝ่ายรีบถามอย่างนอบน้อม


“กุญแจรถของเธอล่ะ?”


“ใครครับ?”คำถามที่ส่งมากะทันหันเรียกให้คนฟังงุนงงสับสน


“คุณไป๋”


“อ้อ เมื่อกี้คุณไป๋ขึ้นไปแล้ว กุญแจรถยังอยู่ที่พวกผม”


“เก็บไว้ให้ดีอย่าคืนเธอ” เย่เซียวพูดสั่ง


คนทางนั้นไม่เข้าใจ “อะไรนะครับ?”


“ฟังไม่เข้าใจเหรอ?”


“…ครับ ได้ครับ”ต่อให้อีกฝ่ายไม่เข้าใจจุดประสงค์มากแค่ไหนก็ไม่กล้าถามไปมากกว่านี้


…………………………


ไป๋ซู่เย่ลงมาขอกุญแจรถตัวเองคืนแต่อีกฝ่ายตามหาตั้งนานก็หาไม่เจอ


“ไม่ต้องหาแล้ว ฉันเรียกรถเอง”ไป๋ซู่เย่ไม่หยุดยื้อไปนานกว่านี้แต่จะให้ยืนอยู่ที่นี่ทั้งคืนคงไม่ได้ เธอเริ่มง่วงตั้งแต่เช้าเก้าโมง ตอนนี้ง่วงเสียจนแทบจะยืนหลับให้ได้


เธอเดินไปพลางโทรเรียกรถไปพลาง


ที่แบบนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านและดึกมากขนาดนี้ ก็ไม่ค่อยมีใครอยากมาเท่าไร แต่เพราะเธอให้เงินพิเศษสูง ไม่ถึงสิบนาทีก็มีแท็กซี่มาถึง เธอขึ้นรถกลับบ้านโดยไม่ลังเลใดๆ


……


เย่เซียวนั่งในห้องนั่งเล่นรอกว่าสิบนาทีก็ไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูจากผู้หญิงคนนั้น


เขาเริ่มหมดความอดทน ขณะที่เปิดประตูจะออกไปข้างนอกเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เป็นสายจากป้อมยาม “นายท่าน กุญแจรถเก็บไว้แล้ว แต่ว่า…คุณไป๋กลับไปแล้ว”


“…”เย่เซียวหอบหายใจรุนแรงขึ้นในพริบตา “กลับไปยังไง?”


“เรียกรถมาครับ เพิ่งขึ้นรถไป”


………………………………………..


ตอนที่ 617 ย้ายมาอยู่กับผม (2)

โดย

Ink Stone_Romance

‘พลั่ก!’ เสียงกระแทกวางหูโทรศัพท์


คนที่ป้อมยามรู้สึกเพียงกลัวจับใจ ตัวเองทำผิดอะไรไปอย่างนั้นหรือ? แต่นายท่านสั่งไว้แค่ให้เก็บกุญแจรถนี่นา ไม่มีคำสั่งอื่น!


ขณะที่ขึ้นไปนอนที่ชั้นบน สีหน้าเย่เซียวแย่ถึงที่สุด


คงสีหน้าย่ำแย่นี้จนถึงเวลาอาหารเช้าของวันรุ่งขึ้น เห็นใบหน้าเย็นชานั่นแม้แต่น่าหลันเองยังไม่กล้าหายใจเสียงดัง


รอเย่เซียวออกจากห้องทานอาหาร ออกจากประตูเธอถึงผ่อนลมหายใจ


“คุณน่าหลัน นายท่านเป็นอะไรไปคะ?” อาชิงมองแผ่นหลังนั่นแล้วถามด้วยความสงสัย


“ไม่รู้สิ อาจจะเจอปัญหาหนักมือเข้าหรือเปล่า”


“ฉันว่าไม่ใช่ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับคุณไป๋นั่นมากกว่า”


พูดถึงเธอ ใบหน้าน่าหลันก็ฉายแววนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “ทำไมถึงเกี่ยวกับเธอได้?”


“เมื่อคืนได้ยินพี่เฉิงที่เป็นเวรบอกว่าตอนตีสามกว่าคุณไป๋แต่งตัวสวยมากแล้วมาหานายท่าน แต่ว่านายท่านปฏิเสธเธอไว้นอกประตู อีกอย่างยังยึดกุญแจรถของเธอให้เธอเดินกลับไปเองตอนดึกดื่น คุณว่าน่าขำไหมล่ะคะ”


น่าหลันได้ยินก็หลุดขำ ‘พรืด’ “ปฏิเสธเธอไว้นอกประตู ให้เธอเดินกลับไปเองจริงเหรอ?”


“แหงสิคะ” อาชิงคาดเดา “ฉันว่าอาจจะเพราะเมื่อคืนเธออยากมาวุ่นวายแล้วนายท่านไม่พอใจ วันนี้ถึงได้มีสีหน้าบูดบึ้งอย่างนั้นไงล่ะคะ คุณน่าหลันพูดเองไม่ใช่หรือคะว่านายท่านเกลียดเธอแทบตาย?”


“อย่างนั้นหรอกเหรอ?” น่าหลันถามกลับเสียงแผ่วคล้ายรู้สึกไม่มั่นใจ เย่เซียวเกลียดเธอจริงๆ หรือ? ความจริงเธอเองยังไม่เข้าใจเลยว่าถ้าเกลียดจริงๆ แล้วตัวเธอล่ะมีความหมายอะไร? ถ้าเกลียดจริงๆ ทำไมคืนนั้นเขายอมนอนกับอีกฝ่ายแต่ไม่ยอมนอนกับเธอ?


………………………………


วันรุ่งขึ้น


ไป๋ซู่เย่นอนตื่นสายมาก เมื่อตื่นมาอีกทีบนตัวยังมีชุดกระโปรงที่เมื่อคืนไม่ทันได้ถอดออกเพราะความง่วงอยู่ กลับมาทิ้งตัวหลับโดยไม่ทันเช็ดเครื่องสำอางออกด้วยซ้ำ


เธอตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังสนั่น


คลานลุกจากเตียงสะลึมสะลือ พิงบนโซฟากดรับโทรศัพท์อย่างเกียจคร้าน


“ฮัลโหล”


“รัฐมนตรี เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”


คนที่โทรมาที่บ้านเธอได้เห็นทีคงมีแค่ไป๋หลาง เธอพยายามตั้งสติ “เรื่องอะไร?”


“เย่เซียวนัดเจอกับซ่งกั๋วเหยา! จากข่าวที่ผมได้รับ พวกเขากำลังคุยเรื่องสัญญา!”


ไป๋ซู่เย่ขมวดคิ้ว เจ้าเย่เซียวผิดคำพูดอย่างนั้นหรือ!


“พวกเขาอยู่ไหน?”


ไป๋หลางบอกแผนที่ไป ไป๋ซู่เย่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็วางสายไปทันที รีบออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย


……………………


สถานที่นัดพบของเย่เซียวกับซ่งกั๋วเหยาอยู่ในที่ที่ไม่ค่อยสะดุดตานัก


ในร้านอาหารแสนครึกครื้นมีลูกค้าเดินเข้าออกตลอด ไม่ว่าใครคงคิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีการเจรจาธุรกิจขนาดใหญ่เกิดขึ้น


พวกเขาเลือกห้องชุดที่อยู่ลับตาคนที่สุด ไป๋ซู่เย่เคยสืบไว้นานแล้วว่านี่เป็นสถานที่ลับของซ่งกั๋วเหยา


เธอสวมชุดเครื่องแบบปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ ดูดีน่าเกรงขามจนได้รับสายตาสนใจจากคนรอบข้างไม่น้อยรวมถึงสายตาชื่นชมจากชายหนุ่มทั้งหลาย


“ขอโทษด้วยนะครับคุณผู้หญิง ที่นี่วันนี้ไม่ต้อนรับลูกค้าใดๆ ทั้งนั้น” ระหว่างทางเดินไปห้องชุดกลับถูกพนักงานขวางเอาไว้


“ฉันเป็นคนของกระทรวงความมั่นคง วันนี้มาที่นี่เพราะงานราชการ ห้ามใครขัดขวางไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม!” ไป๋ซู่เย่ควักบัตรประจำตัวออกมา อีกฝ่ายดูแวบหนึ่งก็ทำหน้าลำบากใจทันที


คนที่อยู่ข้างในไม่ว่าใครก็ไม่ใช่คนธรรมดา ส่วนคนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เช่นกัน


“งั้น…รบกวนรอตรงนี้สักครู่ เดี๋ยวมาครับ”


…………


เย่เซียวเพิ่งเจรจากับซ่งกั๋วเหยาได้เพียงครึ่ง หยูอันเข้ามา เขาโน้มตัวกระซิบข้างหู “นายท่าน ไป๋ซู่เย่มาถึงแล้ว”


เย่เซียวพับแขนเสื้อขึ้นดูเวลา นับจากเวลาที่ปล่อยข่าวออกไปผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว เธอมาช้ามาก


“จะให้เธอเข้ามาไหมครับ?”


“ไม่ต้อง”เย่เซียวพับแขนเสื้อลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทอดสายตาไปทางซ่งกั๋วเหยา “เชิญพูดต่อ”


หยูอันพบว่าตัวเองคาดเดาความคิดเขาไม่ถูกเลยสักนิด


ปล่อยข่าวให้กระทรวงความมั่นคงว่าพวกเขากำลังจะเจรจากับซ่งกั๋วเหยาก็เพื่อให้ไป๋ซู่เย่มาหาถึงที่ไม่ใช่หรือไง? แต่ตอนนี้เจ้าตัวมาแล้วเขากลับทำท่าเหมือนไม่อยากเจอเธอ


………………


“ขออภัยด้วย นายท่านของเราไม่อยากเจอคุณ” หยูอันออกไปบอกต่อความหมายของเย่เซียวด้วยใบหน้าเย็นชา


“งั้นคุณเอาเบอร์ส่วนตัวของเขาให้ฉัน ฉันจะอธิบายให้เขาฟังเอง” ไป๋ซู่เย่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา


หยูอันเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “ตอนนี้คุณมาตามตื๊อไม่หยุดเพราะอยากได้อะไรจากเรางั้นเหรอ?”


ไป๋ซู่เย่ที่กำโทรศัพท์อยู่กระชับมือแน่นขึ้นเล็กน้อย สำหรับหยูอัน เธอรู้สึกผิดต่อเขาเช่นกัน


หยูอันมองเธอแล้วแค่นหัวเราะไปที ยกมือตัวเองขึ้นเลิกแขนเสื้อโชว์ตรงหน้าเธอ “รัฐมนตรีไป๋ คุณยังจำแผลตรงแขนของผมได้ไหม?”


ไป๋ซู่เย่มองแวบหนึ่งก่อนจะเบี่ยงสายตาหนีไม่อยากมองต่อ แผลนี่เกิดจากตอนช่วยเธอจากเพลิงไหม้เมื่อสิบปีก่อนแล้วถูกของหนักกระแทก


หยูอันช่วยเธอด้วยชีวิตและเกือบเสียแขนข้างหนึ่งไปเพราะเธอ


“ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าไฟไหม้ครั้งนั้นก็อาจจะเป็นแผนของคุณหรือเปล่า? คนในทีมรวมตัวฉกาจแบบนั้น ไม่มีทางไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเองจากไฟไหม้ ใช่ไหม? ผมกับนายท่านกลับหลงเชื่อแผนลวงของคุณไม่เอะใจเลยสักนิด!”


หยูอันพูดถึงประโยคสุดท้ายน้ำเสียงยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ทุกคำที่เล็ดลอดออกมาคล้ายจะกัดกระดูกเธอให้แหลกเป็นชิ้นๆ


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าลึกๆ ให้ตัวเองใจเย็นลงหน่อยถึงเงยหน้ากล่าว “ขอโทษด้วย การเรียนรู้ที่จะปลอมตัวก็เป็นหนึ่งในบทเรียนของเรา ตอนนั้นหน้าที่ของฉันคือการทำลายพวกคุณ ฉันไม่มีทางเลือก!”


“ไม่มีทางเลือก! ไม่มีทางเลือกของคุณแลกด้วยชีวิตของพี่น้องเราสิบกว่าคนเพื่อปกป้องคุณ!” หยูอันตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะโกรธเกินไปหรือเพราะเสียใจยามนึกถึงอดีต สองมือที่ทิ้งข้างลำตัวของเขาสั่นระริก กำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนบนแขน “ไป๋ซู่เย่ ตอนนี้กลางคืนคุณนอนหลับไหม ตื่นมากลางดึกไม่กลัวภูตผีวิญญาณมาล่าชีวิตคุณบ้างหรือไง?!”


ไป๋ซู่เย่ไม่อยากให้เขามองตัวเองออก ในเมื่อพวกเขาตอนนี้อยู่บนเส้นทางขาวดำ ไม่มีทางบรรจบกันได้


อีกทั้งบุญคุณความแค้นรวมถึงบาดแผลในอดีตใช่ว่าใช้คำพูดประโยคสองประโยคจะชดแทนได้? เธอคิดว่าต่อให้ตอนนี้เธอทำไปมากแค่ไหนก็ไม่สามารถชดเชยมันได้


เธอได้แต่นิ่งสงบกล่าวอย่างใจเย็น “บนโลกนี้ไม่เคยมียารักษาโรคเสียใจภายหลัง”


ใจเย็นเสียจนเหมือนไร้ความปรานีมากกว่า


หยูอันมองเธอด้วยสายตาเย็นชา “นี่ถึงจะเป็นไป๋ซู่เย่ตัวจริงสินะ! คุณมันมีแต่หัวใจที่น่าเกลียดและสกปรก! ผมว่าตอนนี้เย่เซียวจะต้องเสียใจมากแน่ๆ ที่ไม่ได้ฆ่าคุณเองกับมือตั้งแต่เจอคุณครั้งแรก!”


ไป๋ซู่เย่เม้มปากไม่สนใจอาการปวดตรงหน้าอก “มาพูดเอาตอนนี้มันก็ไร้ความหมายแล้ว”


………………………………………………..


ตอนที่ 618 ย้ายมาอยู่กับผม (3)

โดย

Ink Stone_Romance

สิ้นเสียงของเธอ


ได้ยินเพียงเสียงเปิดประตูดัง ‘แกร๊ก’ก่อนจะถูกเปิดออกจากด้านใน


ร่างสูงใหญ่ของเย่เซียวเดินนำออกมาก่อนโดยที่ความเย็นชาปกคลุมไปทั้งตัว


เขากวาดสายตาเรียบนิ่งมาเพียงแวบเดียวหยูอันก็เงียบเสียง ไป๋ซู่เย่ใจกระตุกวูบ เมื่อครู่เสียงปะทะของเธอกับหยูอันไม่ได้เบาเลย ฉะนั้นเขาคงได้ยินหมดแล้วสินะ!


ได้ยินถ้อยคำที่ไร้การสำนึกของเธอ…


หลังชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งไป๋ซู่เย่ถึงนึกจุดประสงค์ที่ตนมาในวันนี้ได้


“เย่เซียว”


เย่เซียวไม่แม้แต่ปรายตามองเธอแวบหนึ่งก็ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ ไป๋ซู่เย่เดินตามไป หยูอันอยากห้ามเธอไว้แต่เพราะความมีไหวพริบถึงสลัดหยูอันหลุดจนเดินตามมาได้


“เย่เซียว เราจำเป็นต้องคุยกัน!”


เย่เซียวเดินหยุดเท้าตรงหน้าห้องน้ำชาย ปรายตาเย็นชามองเธอ “ยังจะตามมาอีกไหม?”


ไป๋ซู่เย่มุ่นคิ้วน้อยๆ มองผู้คนที่เดินเข้าออกสุดท้ายก็ตามเข้าไปโดยไม่ลังเล “ทำไมเรื่องของคุณกับซ่งกั๋วเหยาถึงเลื่อนวันใกล้เข้ามา? สัญญาของเราเพิ่งเริ่มเอง”


“ที่แท้คุณก็ยังจำสัญญาของเราได้” เย่เซียวแค่นหัวเราะ ยืนนิ่งอยู่กับที่ชำเลืองสายตามาที่เธอแวบหนึ่งแล้วพูดออกคำสั่ง “มานี่!”


“?” เธอมองเขาด้วยความฉงนใจหน่อยๆ


เขายื่นแขนกระชากมือเธอมาไว้ตรงหัวเข็มขัด “ปลดกางเกงของผมออก!”


“…คุณจะทำอะไร?” ดวงหน้าเล็กของไป๋ซู่เย่แดงระเรื่อ ผู้ชายคนอื่นที่ยืนข้างๆ ต่างส่งสายตาสงสัยปนอยากรู้อยากเห็นมาทางนี้อย่างระมัดระวัง ความคิดอื่นๆ เริ่มผุดขึ้นมา


ข่าวใหญ่เชียว!


“จำสัญญาของเราได้ไม่ใช่เหรอ? จะพูดอีกครั้งเดียว ปลดกางเกงของผมออก! จะทำก็ทำ ไม่ทำก็ไสหัวไป!”


“เย่เซียว คุณอย่าทำเกินไปนะ” ที่นี่ผู้คนเข้าออกไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจเหยียดหยามเธอ


“คุณคิดว่าตัวเองมีทางเลือกเหรอ?” เย่เซียวจับคางเธอแน่น ใช้สายตาดุดันจ้องเธอเขม็ง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็สะบัดหน้าหนีเธอพูดด้วยความรังเกียจ “ไสหัวไป! ตอนนี้ผมเห็นหน้าคุณแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน”


‘ไร้ทางเลือก’ งั้นหรือ! ‘บนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจทีหลัง’ งั้นหรือ!


บัดนี้เธอยังไม่รู้สึกผิดใดๆ กับการทรยศหักหลังของเธอในครั้งนั้น!


ความคิดแบบนี้ยิ่งกระตุ้นความเกลียดชังจากใจของเขามากยิ่งขึ้น!


ไป๋ซู่เย่ไม่ไป ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างหัวแข็ง “เมื่อคืนฉันทำตามคำสั่งคุณ ไปหาคุณ คุณสั่งคนไว้ไม่ให้ฉันเข้าไป ทำไมวันนี้คุณกลับผิดคำพูดเอง?”


“คุณไป๋รู้จักคำว่าเรียกเมื่อไหร่ให้มาเมื่อนั้นไหม? ให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมงแต่คุณมาสายสามชั่วโมงถ้วน ถ้าจะว่าผิดคำพูด ใครผิดคำพูดก่อน?”


“ฉัน…”ไป๋ซู่เย่ไร้คำโต้เถียงกลับ สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “คุณอยากได้ไม่ใช่เหรอ? ที่นี่…”


สองพยางค์สุดท้ายเธอหรี่เสียงให้เบาลง


เย่เซียวแค่นเสียงเย็นไม่ตอบเพียงแค่มองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไป๋ซู่เย่เข้าใจความหมายเขา และรู้ดียิ่งกว่าว่าเขาแค่ย่ำยีศักดิ์ศรีอยากทำให้เธอละอายต่อหน้าผู้อื่น


ถือว่าเป็นการแก้แค้นสินะ…


ตอนนี้ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่อแก้แค้น ส่วนสิ่งที่เธอทำได้ดูเหมือนจะเหลือเพียงทำตามคำสั่งและชดเชยให้อย่างเดียว


เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ คล้ายตัดสินใจครั้งใหญ่ ไม่ได้ปลดกางเกงเขา ปลายนิ้วกลับเลื่อนมาที่กระดุมเสื้อตัวเอง


เขาขมวดคิ้ว


ปลายนิ้วเรียวยาวของเธอปลดกระดุมออกหนึ่งเม็ด


เขาหายใจติดขัด


แพขนตาเธอกะพริบเบาๆ มือปลดกระดุมออกเป็นเม็ดที่สอง เม็ดที่สาม…


วันนี้เธอรีบร้อนออกมาจึงไม่ทันใส่ชุดซับข้างใน กระทั่งปลดถึงเม็ดที่สามบราสีขาวก็โผล่ออกมาให้เห็นแวบๆ ไป๋ซู่เย่ชะงักนิ้ว


รอบข้างเกิดเสียงสูดหายใจอย่างตื่นเต้นของชายหนุ่มทั้งหลายรวมถึงสายตาหื่นกระหายที่มองมาตรงเนินอกของเธอ


ทุกคนต่างคาดหวังและรอคอยให้เธอปลดกระดุมต่อไป


สายตาที่ส่งมาทำให้เย่เซียวรู้สึกเหมือนมีไฟลุกโชนในอก


ไป๋ซู่เย่หยุดชะงักนิ้วไว้ตรงนั้นไม่ทำต่อ เขาส่งสายตาประชดไป “ไม่กล้าเหรอ?”


เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ กระตุกยิ้มมุมปากเผยรอยยิ้มน่าหลงใหล “ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว”


นิ้วเรียวสวยปลดต่อไปจนกระดุมเม็ดที่สี่หลุดออกมา ปรากฏเรือนร่างงดงามดุจดอกไม้ตรงหน้าเหล่าชายหนุ่ม


สวมชุดเครื่องแบบแล้วยังหุ่นดีขนาดนี้ สวยขนาดนี้ ช่างเติมเต็มจินตนาการในชุดเครื่องแบบของผู้ชายทุกคนได้ดีจริงๆ ต้องรู้ว่าผู้ชายเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ตกเป็นทาสของผู้หญิงในชุดเครื่องแบบ


เหล่าชายหนุ่มสูดปากกันรัวๆ


มือที่ทิ้งข้างลำตัวของเย่เซียวกำแน่น สายตาเย็นชาถึงขีดสุดก่อนปรายตามองไป “ให้เวลาพวกคุณสามสิบวินาที ไสหัวออกไป! ใครกล้ายืดเยื้อแม้แต่วินาทีเดียว ฉันจะทำให้มันไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้!”


สิ้นประโยคนี้ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน


มีของดีอยู่ตรงหน้าย่อมไม่อยากไปไหนแต่พอดูผู้ชายคนนั้นอีกที…กลิ่นอายความโหดเหี้ยมแผ่ออกมาจากตัวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้านั่นเรียกให้คนกลัวจับใจ คล้ายว่าหากช้าสักวินาทีเดียวก็อาจถูกฆ่าตายได้


สุดท้าย…


ทุกคนก็รีบสลายตัวกันออกไปทันที


ชั่ววินาทีที่ประตูถูกกระแทกปิดลงไป๋ซู่เย่ก็ถูกกระชากตัวไปวางไว้บนเคาน์เตอร์กระจก เย่เซียวฉีกทึ้งชุดเครื่องแบบบนตัวเธอออกอย่างเอาแต่ใจปนป่าเถื่อน เผยผิวขาวเนียน มือใหญ่เลื่อนลงปลดกระดุมกางเกงเธอ


ไป๋ซู่เย่นึกถึงประสบการณ์แสนน่ากลัวของค่ำคืนนั้นก็ตัวสั่นระริก กลืนน้ำลายแทบจะห้ามมือเขาไว้โดยสัญชาตญาณ พูดห้าม “รอ…รอเดี๋ยว เย่เซียว…”


“อย่าลืม คุณไม่มีสิทธิ์พูดอะไร!”


“แต่ว่า…คืนนั้นฉันบาดเจ็บ ทำไม่ได้…”


เย่เซียวหยุดทันทีตามคาด เธอคิดว่าเขาจะปล่อยตัวเองไปทั้งอย่างนั้นแต่วินาทีถัดมาคำพูดของเขาทำให้เธอรู้ว่าตัวเองคิดง่ายไปหน่อย เขาเป็นซาตาน จะปล่อยโอกาสที่จะได้ย่ำยีเธอให้หลุดลอยไปได้อย่างไร?


“ในเมื่อร่างกายรับไม่ไหว งั้นก็ใช้ปากคุณก็แล้วกัน!”


“…”ใบหน้าเล็กแดงปลั่งทันทีที่ไป๋ซู่เย่เข้าใจความหมายเขา


“ทำไม? ไม่กล้าเหรอ?” เย่เซียวแค่คิดก็รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว เขารู้สึกเหมือนธาตุไฟแตกเข้าจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ ให้ตายสิ ไม่ต้องทำอะไร แค่เข้าใกล้เขาก็ทำให้เขาคุมร่างกายตัวเองไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังยืนอยู่ตรงหน้าในสภาพกึ่งเปลือย


เดิมทีข้อเสนอของเขาแค่ต้องการเหยียดหยามเธอ แต่พอออกจากปากในหัวก็เริ่มจินตนาการไปถึงภาพต่างๆ อย่างควบคุมไม่อยู่


เสียงของเขาแหบลง ปากร้อนแนบใบหูเธอ “ยังจำได้ไหม? สิบปีก่อน…คุณเคยทำให้ผมมาก่อน…”


ไป๋ซู่เย่รู้สึกอายจนเหมือนไม่มีที่ยืนสำหรับตัวเอง สิบปีก่อน เขากลับยังจำครั้งนั้นได้


ความจริงเธอก็จำได้…


จำได้แม่น


ลืมไปแล้วว่าในงานอะไร ครั้งนั้นเธอดื่มมากไปและยังใช้ปาก ต่อให้ไม่ใช้ปากก็อาศัยอายุตัวเองยังน้อยคิดว่าเขาไม่ทำอะไรเธอ ถึงกล้าทำอะไรตามอำเภอใจกับตัวเขา


เธอในตอนนั้นอยากเอาใจผู้ชายคนนี้จริงๆ


มีความชอบอย่างหนึ่งที่ยากจะใช้คำพูดมาอธิบาย แต่ชอบจนเสียแรงทุ่มเทเพื่อให้เขามีความสุข ให้เขาพึงพอใจ ส่วนความสุขและความพึงพอใจทั้งหมดนี้จะต้องมาจากตัวเธอเท่านั้น


เธอในเมื่อนั้นแม้จะขี้อายแต่กลับสลัดความคิดรักนวลสงวนตัวทิ้งไปนานแล้ว


…………………………………………………


ตอนที่ 619 ย้ายมาอยู่กับผม (4)

โดย

Ink Stone_Romance

เธอในตอนนั้นอยากให้เขามีความสุข


ทั้งรู้สึกภูมิใจและประสบความสำเร็จเมื่อเห็นเขาเกิดอารมณ์จนยากจะควบคุมเพราะตัวเองและไร้ทางปลดปล่อยนั่น


เมื่อทนไม่ไหวเย่เซียวจะพลิกตัวคร่อมเธอที่แสนซุกซนไว้ใต้ร่าง มือหนึ่งตะครุบสองมือเธอพลางพูดตักเตือน ‘ถ้าซนอีก ผมจะจัดการคุณจริงๆ แล้วนะ!’


เวลาไฟราคะกำลังกลืนกินตัวเขา ดวงตาคู่นั้นแทบพ่นไฟออกมาให้ได้


เธอจะหัวเราะอย่างได้ใจ ดวงตาฉ่ำวาวเป็นประกาย ‘ฉันไม่กลัว ฉันมียันต์ป้องกันตัว’


‘รอญาติของคุณกลับไปก่อนเถอะ ผมมีโอกาสสั่งสอนคุณอีกเยอะ’


‘แต่ฉันยังอายุน้อยอยู่เลยนะ คุณทำใจรังแกฉันลงเหรอ?’ เห็นได้ชัดว่าเธอถูกตามใจจนเกินไป รู้ว่าเขายอมรักและเอาใจเธอเช่นนี้ เขาถอนหายใจ ‘เพราะฉะนั้นคุณก็รีบๆ โตสักที ผมกลัวจะรอไม่ถึงสองปี…’


เมื่อนั้นบางครั้งไป๋ซู่เย่เคยคิดจะทุ่มทั้งตัว มอบตัวเองในวัยสิบแปดให้เขาเพราะเธอรู้ดีว่าระหว่างพวกเขา…อีกไม่ถึงสองปี…


จะไม่มีอนาคต…


“คุณคงไม่คิดว่าเหม่อลอยแล้วผมจะปล่อยคุณไปหรอกนะ?”


เสียงของเขาฉุดสติเธอกลับมา


นึกถึงอดีตแล้วกลับมาดูปัจจุบันเธอก็รู้สึกแสบจมูกและรู้สึกขมขื่นในใจ แต่ใบหน้ากลับจุดยิ้มจางๆ “สิบปีมาแล้ว ไม่คิดว่าความจำคุณจะดีขนาดนี้”


เย่เซียวหมดความอดทนเต็มทีโดยเฉพาะกับบางเรื่องที่คิดไม่ได้ หากนึกถึงแค่เห็นปากแดงระเรื่อขยับไปมาของเธอก็รู้สึกว่านั่นเป็นการยั่วยวน กระตุ้นเขา เขาต้องการให้เธอทำ! เพราะฉะนั้นไม่สนว่าคำพูดของเธอกำลังประชดประชันเขาอยู่หรือไม่ก็ทำแค่ขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวด ครางฮึมในลำคอ “อย่าพูดมาก ยอมทำก็รีบทำ ไม่อยากทำก็ไสหัวออกไป!”


“ได้ ฉันตกลง” ไป๋ซู่เย่ลุยออกไปแล้ว เธอรู้ว่าเย่เซียวจงใจทำให้เธอขายหน้าจึงหาโจทย์ยากให้เธอ บางทีคิดว่าคงทำให้เธอล่าถอยไปได้ หรือบางทีนี่อาจทำให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่เธอไม่ใช่คนที่จะยอมถ่าลอยได้ง่ายๆ


ปัดผมลอนยาวที่เพิ่มความเย้ายวนนั่นไปด้านหลัง เรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนย่อตัวนั่งกับพื้น


เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าขณะที่นิ้วมือตัวเองแตะโดนขอบกางเกงเขา ปลายนิ้วและลมหายใจสั่นระริก เธอเตรียมใจไว้อย่างดีแล้วแท้ๆ แต่พอทุกอย่างปรากฏต่อหน้าตัวเองเธอก็รู้สึกมึนไปชั่วขณะ ลมหายใจขาดห้วง


เธอในอดีต ทำไมถึง…ใจกล้าได้ขนาดนั้น และหน้าไม่อายได้ขนาดนั้น?


เธอนั่งย่อกับพื้น ผมสยายลงถึงเอว เสื้อผ้าบนตัวไม่เป็นระเบียบ ปากอุ่นร้อนเข้าใกล้เขาอย่างยิ่ง


ท่าทางเช่นนี้แค่ดูแวบเดียวก็ทำเอาเลือดในกายของชายหนุ่มพลุ่งพล่าน


เขาสามารถรับรู้ถึงลมหายใจที่ปนกลิ่นหอมหวานของเธอแตะโดนจุดที่อ่อนไหวที่สุดของเขา เขาหายใจหนักอึ้งมากขึ้น ความต้องการฉายให้เห็นผ่านแววตาจนเขาแทบบ้ากับความรู้สึกนี้


…………………………


หนึ่งนาทีหลังจากนั้น…


“****!” เสียงสบถต่ำหลุดออกมาปนเสียงครางผะแผ่วที่แว่วมา


จากนั้นเป็นรอยยิ้มจางๆ อย่างสมน้ำหน้าของหญิงสาว


ผู้หญิงบ้านี่ นี่เอาใจเขาที่ไหนกัน?! กล้ากัดเขางั้นหรอ!


ความเจ็บที่ทำให้ขนลุกไปทั่วหนังศีรษะ


เขากัดฟันกรอด ใช้สายตาดุดันแบบอยากฆ่าคน จ้องเธอ “ไป๋ซู่เย่ อยากตายหรือไง!”


“ดูเหมือนว่าจะทำต่อไม่ได้แล้ว” มองจุดที่อ่อนลง เธอลุกขึ้นกะพริบตาที่ปริ่มด้วยหลากหลายความรู้สึก “ซอรี่นะ ไม่ได้ทำนานเกินไป ไม่ค่อยมีประสบการณ์น่ะ”


รอยยิ้มนั่น…


เย่เซียวยืนนิ่งค้าง


ท่าทางน่ารักอย่างนั้นอีกแล้ว…


อยู่ๆ เหมือนเขาตกลงแม่น้ำสายยาวแห่งความทรงจำ ทำเขาแยกไม่ค่อยถูกว่าตอนนี้เป็นเวลาปัจจุบันหรืออดีต หรือแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับภาพลวงตา


ถูกเขาจ้องอยู่ครู่ใหญ่ไป๋ซู่เย่ถึงรู้สึกตัว นิ่งค้างไปชั่วแวบรีบก้มหน้าจัดการตัวเอง ติดกระดุมไปหน้าแดงถามไป “จ้องฉันแบบนั้นทำไม?”


เย่เซียวหลุดจากภวังค์


หายใจหอบหนัก


รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนคนโง่ที่เกือบจะถูกรอยยิ้มเธอหลอกอีกแล้ว


เขาก้มมองอวัยวะบางจุดของตัวเอง ไม่มีแผลถึงค่อยรูดซิปขึ้นอย่างรวดเร็ว ให้ตัวเองคืนสู่สภาพหยิ่งยโสเช่นเดิมรวมถึงความเย็นชาอย่างเคย


“เย่เซียว…” มองแผ่นหลังที่เดินออกไปนั่นไป๋ซู่เย่แทบจะเดินตามไปโดยอัตโนมัติ เมื่อครู่พวกเขา…คงนับว่าเอาใจเขาไม่ได้


“จากนี้ไปอย่ามายิ้มต่อหน้าผมอีก!” เย่เซียวหันกลับมาพูดออกคำสั่ง


ไป๋ซู่เย่มองเขาอย่างไม่เข้าใจ


“ทุกครั้งที่คุณยิ้มก็มีแต่จะทำให้ผมยิ่งรังเกียจคุณ ยิ่งเกลียดคุณ ยิ่งอยากส่งคุณไปนรกแล้วทรมานคุณให้ถึงที่สุด!”


หัวใจของไป๋ซู่เย่บีบรัดแน่น


ยามเกลียดใครคนหนึ่งถึงขีดสุด แม้แต่รอยยิ้มก็ผิดอย่างนั้นสินะ


เธอถามอย่างหมดแรง “งั้นสัญญาของเรา ยังมีผลต่อไหม?”


“ทำไมจะไม่ล่ะ? ผมยังทรมานคุณไม่พอเลย แต่ว่า…จากวันนี้ไปคุณต้องย้ายไปอยู่กับผม” น้ำเสียงเย่เซียวไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ


“ย้ายไปอยู่กับคุณ?” ไป๋ซู่เย่ขมวดคิ้วเห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ “ถ้าฉันย้ายไปอยู่กับคุณ แล้วน่าหลัน…”


“ผู้หญิงของผม คุณไม่ต้องมายุ่ง” เย่เซียวพูดขัดเธอ ปากบางขยับพูดตักเตือน “อย่าข้ามเส้น!”


“…” เธอเงียบ ขยับปากเล็กน้อยคล้ายจะพูดอะไรแต่หน้าอกเหมือนมีสำลีก้อนใหญ่อุดไว้ให้เธอหายใจลำบาก ยิ่งพูดอะไรออกมาไม่ได้สักคำ


ประตูถูกเปิดออกแล้วปิดลงดัง ‘ปัง!’


เธอยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น รู้สึกเพียงเสียงดังสนั่นเมื่อครู่สะเทือนไปถึงอวัยวะภายในของเธอ


ผู้หญิงของเขา…


ในเมื่อมีคนรักเป็นของตัวเองแล้ว ทำไมถึงยังต้องการเธออยู่อีก?


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ กลืนก้อนสะอื้นและเก็บน้ำตากลับเข้าไปใหม่ เธอคิดว่าความรู้สึกที่อยากร้องไห้นี้ไม่ใช่เพราะยังรักผู้ชายคนนี้อยู่ แต่เป็นเพราะ…เสียใจกับอดีตอันงดงามที่ถูกทำลายจนแตกสลายไม่เป็นชิ้นด้วยน้ำมือตัวเอง…


น้ำตาที่ยังไม่ไหลรินนี้เกิดขึ้นเพราะรู้สึกเสียใจเท่านั้นเอง…


ต้องใช่แน่ๆ


เธอย้ำเตือนตัวเองอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า พอคิดเช่นนี้ก็เหมือนจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นในฐานะสายลับ การที่หลงรักบุคคลผู้เป็นศัตรูตัวเอง รักครั้งเดียวก็รักมาตลอดสิบปี จะต้องรู้สึกผิดต่อชุดเครื่องแบบของตัวเองขนาดไหนกัน?


สูดหายใจเข้าลึกๆ จัดการตัวเองเสร็จก็ยกยิ้มมุมปากเดินออกไป


เดินผ่านร้านอาหารโดยที่ตลอดทางมีสายตาทอดมองมาด้วยความสงสัยมากมาย


สายตาแบบนั้นล้วนมาจากกลุ่มผู้ชายที่วิ่งออกจากห้องน้ำเมื่อสักครู่ แน่นอนว่าตอนนี้ผู้ชายกลุ่มนั้นคงแพร่กระจายเรื่องนี้ไปไกลแล้ว บางทีคนกว่าครึ่งร้านน่าจะรู้แล้ว ทุกคนพูดวิพากษ์วิจารณ์ซุบซิบนินทาด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป


เธอไม่สนใจสักนิด


เดินออกจากร้านโดยไม่เสมองทิศทางไหน ดึงประตูรถสปอร์ตฝั่งคนขับออกแล้วเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งทะยานออกไปทันที


เธอไม่สนใจสายตาคนข้างแปลกหน้าเหล่านั้นสักนิด สิ่งที่ให้ความสนใจมากกว่าคือ…ตั้งแต่วันนี้ไปจะต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกับน่าหลัน


……………………………………………


ตอนที่ 620 เย่เซียว คุณมันปีศาจ (1)

โดย

Ink Stone_Romance

แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เพียงสามสิบวัน ไม่สิ ผ่านไปสองวันแล้ว เหลืออีกแค่ยี่สิบแปดวัน แต่ยี่สิบแปดวันนี้จะใช้ชีวิตอย่างไรความจริงเธอไม่มั่นใจเลยสักนิด


ไป๋ซู่เย่กลับมาถึงห้องของตัวเองกำลังชั่งใจว่าควรเตรียมของอะไรไปที่บ้านเขาบ้าง


ไป๋หลางโทรมา “รัฐมนตรี เป็นยังไงบ้าง? เย่เซียวกับซ่งกั๋วเหยาร่วมมือกันจริงหรือครับ?”


“เปล่า”


“คุณโน้มน้าวเขาได้เหรอ?”


“อืม”


“คุณโน้มน้าวเขายังไง?” ไป๋หลางถามด้วยความสงสัย “จากความสัมพันธ์ของพวกคุณ เขาไม่น่าจะโน้มน้าวได้ง่ายขนาดนั้นนะ”


“นายถามมากขนาดนี้ วันนี้ว่างเหรอ?”ไป๋ซู่เย่ไม่อยากพูดเรื่องของตัวเองกับเย่เซียวไปมากกว่านี้


“งานยุ่งจนหัวหมุนเลย”


ไป๋หลางโอดครวญทีก่อนวางสายไป แต่ตระกูลซ่งไม่มีเย่เซียวเป็นแรงสนับสนุนนับว่าช่วยลดความสุ่มเสี่ยงแก่พวกเขาได้บ้างทีเดียว


ไป๋ซู่เย่เองก็ไม่มีของอะไรต้องเก็บมาก ยี่สิบแปดวันเองไม่จำเป็นต้องเอาของไปเยอะ หรือบางที…อาจไม่ถึงยี่สิบแปดวันเย่เซียวก็อาจจะรำคาญเธอเสียก่อน


…………………………


สามชั่วโมงต่อมาเมื่อไป๋ซู่เย่ลากกระเป๋าเดินทางมาถึงปราสาทของเย่เซียว น่าหลันกำลังวาดรูปอยู่ในห้องโถง ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ข้างนอกมองเข้าไปเห็นสี กระดานวาดและอุปกรณ์หลากหลายรูปแบบเต็มห้องโถง เธอก็นิ่งไปชั่วขณะ


เมื่อก่อนตัวเธอชอบวาดรูปมาก นักวาดที่ชื่นชอบมากที่สุดคืออเล็กซ์ เย่เซียวเคยซื้อภาพวาดของอเล็กซ์ ในราคาสูงลิ่วเพื่อมอบให้เธอเป็นการปลอบโยน


เพียงแต่ภายหลัง…


บ้านหลังที่เคยเก็บความทรงจำทั้งหมดของเธอล้วนกลายเป็นเถ้าผงในกองเพลิง จนวันนี้เหลือเพียงเศษซากความทรงจำในอดีตของพวกเขา…


“โอเค เสร็จแล้ว!” น่าหลันวางพู่กันลงพรูลมหายใจยาว อาชิงพูดชม “คุณน่าหลัน คุณมีพรสวรรค์อย่างที่นายท่านเคยบอกไว้เลย”


“ฉันรู้ ในสายตาเธอไม่ว่าอะไรฉันก็ดีไปหมด น่าปวดหัวจริงๆ” น่าหลันส่ายหัวอย่างระอา


“แต่ไม่ใช่แค่สายตาดิฉันนะคะ ในสายตาของนายท่านคุณเองก็ดีไปหมด แถมยังดีที่สุดด้วย” อาชิงพูดอย่างอิจฉา “คุณดูในบ้านหลังนี้สิ มีอย่างไหนบ้างที่ไม่ใช่สิ่งที่คุณชอบ? แม้แต่นาฬิกาตั้งพื้นนั่น หยูอันต้องมาถามความเห็นคุณก่อนถึงลากกลับมา ยากที่จะคิดได้จริงๆ ว่าคนที่เย็นชาอย่างนายท่านจะใส่ใจกับคนคนหนึ่งได้ขนาดนั้น”


น่าหลันหัวเราะ เหมือนหญิงสาวที่กำลังมีความสุขคนหนึ่ง


ไป๋ซู่เย่กวาดมองรอบข้างและเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้การตกแต่งของบ้านหลังนี้ล้วนเป็นไปตามรสนิยมของน่าหลัน


ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารสนิยมของเธอไม่แย่เลยจริงๆ


และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เย่เซียว…ตอนที่รักใครสักคนก็จะรักจนสุดหัวใจ…


“หือ? คุณมาได้ยังไง?”


อาชิงหันกลับมาก็เห็นไป๋ซู่เย่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู


ไป๋ซู่เย่เพียงผงกหัวให้น่าหลันถือเป็นการทักทายเล็กน้อยก่อนจะถือกระเป๋าเดินทางเล็กๆ เดินเข้าไปข้างใน


“คุณทำอะไร?”อาชิงขวางทางเธอ “เมื่อวานโดนนายท่านไล่ไปยังไม่สำนึก วันนี้กลับถือกระเป๋าเดินทางมาแล้วเหรอ?”


กับความไม่เป็นมิตรจากอีกฝ่ายไป๋ซู่เย่ไม่แม้แต่ย่นคิ้วสักนิด แค่เชยตามองเธอนิ่งๆ แวบหนึ่ง


ทั้งที่ไร้อารมณ์ใดๆ แต่พอเห็นแววตานั่นอาชิงก็ชะงักนิ่ง จู่ๆ ก็ใจแป้วลงอย่างไม่ทราบเหตุผล


เธอขยับปากน้อยๆ สุดท้ายก็ทำแค่เบี่ยงตัวหลบทางให้


มีบางคนก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดอะไรและไม่ต้องทำอะไรก็ทำให้คนยอมจำนนได้ ออร่าเย็นชาแต่สูงส่งนั่นมาจากข้างใน ไม่ใช่สิ่งตกแต่งจากภายนอก


“คุณ…” พอได้สติ ไป๋ซู่เย่ก็เดินเข้ามาในปราสาทเสร็จสรรพ อาชิงหันกลับไปมองน่าหลัน


น่าหลันมองกระเป๋าเดินทางนั่นด้วยความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันไป เย่เซียวบอกว่าไป๋ซู่เย่เป็นเพียงศัตรู แต่ในใจเธอรู้ดียิ่งกว่าว่าไม่มีศัตรูของเย่เซียวคนไหนกล้าถือกระเป๋าเดินทางมาอยู่ภายใต้การมองเห็นของเขา


“คุณไป๋เป็นแขก เธออย่าเสียมารยาทไปหน่อยเลย” วางพู่กันลงช้าๆ น่าหลันแสร้งตำหนิอาชิงไปเบาๆ ประโยคหนึ่งถึงหันมายิ้มจางๆ ให้ไป๋ซู่เย่ ลุกขึ้นยืน “คุณไป๋ ต้องขอโทษด้วย อย่าถือสาอาชิงเลย เธอแค่ปกป้องฉันเกินไปหน่อยเลยเห็นคุณเป็นศัตรู ความจริงเย่เซียวมีเพื่อนผู้หญิงเยอะมาก มาพักที่นี่ก็ไม่น้อย คนที่มาก็เป็นแขก อาชิง ไปเตรียมห้องให้คุณไป๋ คุณไป๋ชอบห้องไหนเลือกได้เต็มที่เลยนะคะ”


ไป๋ซู่เย่มองหญิงสาวอายุน้อยตรงหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง อายุเพียงสิบแปดปี ดวงตากลมโตใสราวกับลูกแก้วที่ไร้สิ่งปนเปื้อน แต่การกระทำหรือคำพูดกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นนายหญิงของบ้าน


จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นมือที่สามแปลกๆ


หน้าอกอึดอัดเล็กน้อย


ไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร


“ทำไมเหรอคะ? คุณไป๋มีตรงไหนที่ไม่พอใจอีกหรือเปล่า?” น่าหลันเห็นเธอจ้องมองตัวเองจึงอมยิ้มถาม


ไป๋ซู่เย่หลุดจากภวังค์ เทียบกับใบหน้ายิ้มแย้มของน่าหลันแล้วท่าทีของเธอกลับเรียบนิ่งเย็นชา “ไม่ต้องเตรียมอะไรให้ฉันหรอก ฉันนอนห้องที่คืนก่อนนอนก็พอ”


…………………………


ไป๋ซู่เย่ไม่จำเป็นต้องมีคนมาคอยปรนนิบัติ อาชิงจึงไม่ได้ตามขึ้นไป อีกอย่างถูกสายตาของเธอสะกดตัวนิ่งไปรอผ่านไปพักใหญ่ถึงได้สติกลับมา


น่าหลันมองแผ่นหลังนั่นนิ่ง ปากบางเม้มเบาๆ


“คุณคะ คนนี้เป็นใครกันแน่เหรอ?”


“สวยมากแล้วก็สง่ามากใช่ไหมล่ะ?” น่าหลันถามเสียงเรียบ


“…” อาชิงเบ้ปาก แม้จะไม่อยากยอมรับนักแต่สุดท้ายก็หยักศีรษะ “สง่ามากจริงๆ แค่ดูก็เหมือนไม่ใช่คนธรรมดา”


………………………………


ตอนพิเศษเล็กๆ เสี่ยวไป๋กับเสียวเสี่ยวไป๋


คุณไป๋รักและหวงเจ้าหญิงน้อยไป๋อย่างมาก


วันที่เจ้าหญิงน้อยไป๋ฝึกเรียก ‘คุณพ่อ’ ได้ เขารีบโทรศัพท์สั่งจองของขวัญทันที


คุณนายไป๋ถามคุณไป๋ว่าสั่งทำของขวัญอะไรไป คุณไป๋กล่าวว่า “หินก้อนหนึ่ง”


หิน?


คุณนายไป๋เป็นกังวลมาก “คุณอย่าไปทำตามคนอื่นที่สั่งทำเพชรหลายกะรัตนั่นนะเด็กไม่ได้ใช้ประโยชน์หรอก รอโตมาหน่อยอาจจะทำให้เธอมีนิสัยฟุ่มเฟือยได้”


“อืม”คุณไป๋ตอบรับแค่นั้น


วันรุ่งขึ้นคุณนายไป๋ได้รับหินหนึ่งก้อนจริงๆ เปิดออกมาดูก็หน้าบูดบึ้ง


ไม่ใช่เพชร


แต่กลับเป็น…


หินอุกกาบาต!


“ขี้เหนียว! คนอื่นให้เพชรพลอย แกให้หินอุกกาบาต!” คุณท่านนึกรังเกียจลูกชายตัวเองอย่างมาก เขารู้สึกว่าเจ้าหญิงน้อยของตระกูลเขาไม่ว่าจะเพชรอะไรก็ไม่คู่ควร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหินอุกกาบาตเลย!


ไป๋เย่ฉิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ได้แต่สั่งให้คุณนายไป๋เก็บรักษาไว้ให้ดี คุณนายไป๋ไม่เข้าใจ “ของสิ่งนี้เอามาทำอะไร?”


คุณไป๋ตอบเสียงเรียบ “อนาคตรอเธอโต ถ้าเธออยากได้ดาวบนท้องฟ้า ผมจะเอาสิ่งนี้ให้เธอ”


เซี่ยซิงเฉินได้ยินก็ยิ่งเป็นกังวล แม้แต่ดาวบนฟ้าคุณไป๋ยังยอมเด็ดมาให้ลูกสาว แล้วมีของสิ่งไหนที่จะให้ไม่ได้อีก? อนาคตเขาจะทำลูกเสียนิสัยหรือเปล่า!


……………………………………………………


ตอนที่ 621 เย่เซียว คุณมันปีศาจ (2)

โดย

Ink Stone_Romance

“รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของประเทศ S เธอว่าเป็นคนธรรมดาไหมล่ะ?” น้ำเสียงน่าหลันปนด้วยความรู้สึกขมขื่นใจเป็นส่วนใหญ่


“เธอคือ…รัฐมนตรี? คงไม่ใช่…พี่สาวของท่านประธานาธิบดีหรอกนะคะ?”


“เธอนั่นแหละ”


“เก่งขนาดนี้เชียว” น้ำเสียงของอาชิงเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อไป๋ซู่เย่


“ปกติเธอไม่ดูข่าวในประเทศบ้างหรือไง?”


อาชิงส่ายหัวรัว “น่าเบื่อจะตาย ประชาชนตัวเล็กๆ ที่อยู่สงบเสงี่ยมอย่างดิฉันติดตามไม่ไหวจริงๆ”


น่าหลันไม่พูดอะไรอีก สายตาจ้องมองแผ่นหลังนั่นกระทั่งไป๋ซู่เย่หายเข้าไปในห้องปิดประตูลงเธอก็ไม่ได้ถอนสายตาออกแต่อย่างใด


“คุณคะ?”อาชิงยกมือโบกหน้าเธอไปมา


น่าหลันหลุดจากห้วงภวังค์ “เรา…คล้ายกันมากใช่ไหม?”


“…ค่ะ เหมือนจริงๆ ก่อนหน้านี้ทุกคนก็พูดกัน”


“แต่…เทียบกับเธอแล้ว ฉันเหมือนตัวตลกที่เลียนแบบเขาแต่ไม่เหมือนใช่ไหม? เธอเก่งขนาดนี้ อะไรก็ดีไปหมด แต่ฉันกลับไม่ใช่อย่างนั้น…เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีอะไรเลย…” เธอหลุบตาลงอย่างเศร้าโศก เทียบกับเธอแล้วไม่ว่าจะเรื่องนิสัยหรือหน้าที่การงานของตัวเองหรือแม้แต่เบื้องหลังครอบครัว แทบไม่มีสิ่งไหนเทียบได้เลย


ผู้ชายอย่างเย่เซียว คงคู่ควรกับผู้หญิงที่ดีเลิศไปเสียทุกเรื่องแบบนี้สินะ!


อาชิงจับสังเกตอารมณ์ที่ผิดปกติของเธอได้จึงรีบพูดปลอบ “คุณคะ คิดอะไรเหลวไหลอีกแล้วล่ะ! ถึงคุณจะเป็นเด็กกำพร้าแต่มีนายท่านคอยปกป้องคุณไงคะ! ถ้าคุณไม่ใช่เด็กกำพร้า บางทีนายท่านอาจไม่ยอมเก็บคุณมาเลี้ยงดูก็ได้! อีกอย่างเธอเก่งขนาดนั้นแล้วมีประโยชน์อะไร? ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่เก่งกาจเกินไป ชอบผู้หญิงที่เหมือนคุณแบบนี้มากกว่า อ่อนโยนและต้องการการปกป้อง”


น่าหลันหัวเราะ มองเธอ “ที่พูดมาเป็นความจริงหรือแค่ปลอบใจฉันน่ะ?”


“จริงแท้แน่นอนสิคะ คุณคิดสิ ถ้าเกิดกลางดึกคุณอยู่ข้างนอก นายท่านจะทำใจให้คุณย้อนกลับไปเองดึกดื่นได้ยังไง? ดิฉันว่า นายท่านต้องมัวแต่เป็นห่วงคุณว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายอะไรระหว่างทางหรือเปล่า!”


ความรู้สึกผิดและน้อยเนื้อต่ำใจของน่าหลันถูกถ้อยคำพูดนี้ของอาชิงกวาดทิ้งไปอยู่มุมลึกของหัวใจ หายไปในกลีบเมฆทันที


…………………………


ไป๋ซู่เย่วางกระเป๋าเดินทางเสร็จไม่ได้อยู่นานไปกว่านั้น กลับย้อนไปที่กระทรวงความมั่นคงแทน


ในกระทรวงงานยุ่งมากจนหัวหมุน ไม่เหลือช่องว่างให้เธอได้ครุ่นคิดเรื่องส่วนตัวสักนิด วันนี้ทำงานดึกตามเคย เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดูอีกทีถึงรู้ว่าเที่ยงคืนแล้ว


เย่เซียว…ตอนนี้น่าจะกลับไปแล้วล่ะมั้ง!


นึกถึงเขาก็นึกถึงภาพที่อยู่ในห้องน้ำชายวันนั้นขึ้นมาเสียดื้อๆ ได้แต่รู้สึกว่ากลีบปากร้อนผ่าวราวกับโดนไฟลน


“รัฐมนตรี ผมจะไปส่งคุณกลับเอง” ไป๋หลางเคาะประตูเข้ามา


“ฉันขับรถเอง”


“ดึกขนาดนี้ ผมกลัวคุณง่วง”


“ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน” ไป๋ซู่เย่ยืนยันคำขาด ไม่อยากให้ไป๋หลางรู้ข้อแลกเปลี่ยนของตัวเองกับเย่เซียว ยิ่งน้อยคนรู้ยิ่งดี


เธอขับรถไปยังปราสาทของเขา เธอคิดว่าโชคดีที่เลยเที่ยงคืนมาแล้วเขาต้องเข้านอนแล้วแน่ๆ เช่นนี้แล้วดูเหมือนตัวเธอจะรอดพ้นมาอีกหนึ่งวัน…


ขณะที่ติดไฟแดงอยู่เธอหยิบสมุดจากกระเป๋า ขีดฆ่าเส้นแดงทับบนเล็กที่ยี่สิบแปด


พริบตาเดียวกลับเหลือเพียงยี่สิบเจ็ดวันแล้ว…


เธอควรรู้สึกโล่งใจ แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปไวนัก…


เธอเข้าไปในเขตสวนเพื่อส่งกุญแจ กดกริ่งประตูที่คราวนี้ไม่มีใครขวางเธออีก น้าหลี่เป็นคนมาเปิดประตู


“คุณไป๋”อาจเป็นเพราะเหตุการณ์โหดร้ายคราวก่อนที่น้าหลี่เห็นเองกับตา น้าหลี่จึงไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอเหมือนอาชิง


“ลำบากแย่ที่ต้องมาเปิดประตูให้ฉันดึกขนาดนี้”


“ไม่เป็นไรค่ะ นายท่านบอกแล้วว่าต่อจากนี้ให้ฉันดูแลคุณคนเดียวพอ” น้าหลี่รับเสื้อนอกจากมือเธอไป ถามเสียงเบา “ทำงานจนดึกดื่น ต้องหิวแน่เลยใช่ไหมคะ? อยากทานอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวฉันจะไปทำให้ที่ครัว”


หิวแล้วจริงๆ


แต่ว่า…


“ดึกขนาดนี้ไม่รบกวนคุณดีกว่า รีบไปนอนเถอะค่ะ”


“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงในครัวก็มีของสำเร็จรูปแล้ว แค่อุ่นแป๊บเดียวก็พอ”


ไป๋ซู่เย่จึงไม่คิดปฏิเสธอีก พยักหน้ารับ “ได้ งั้นฉันขอเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนก่อน เดี๋ยวออกมาช่วยที่ครัว”


น้าหลี่หัวเราะ “คุณเป็นแขกคนสำคัญของนายท่านเชียว จะให้เข้าครัวได้ยังไง? ฉันจะไปทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”


ไป๋ซู่เย่กลับเข้าไปอาบน้ำในห้อง แผลใต้ร่างยังไม่หายดี ยังรู้สึกเจ็บแสบอยู่เมื่อน้ำร้อนไหลผ่าน เธอกำลังคิดว่าหากเธอกลับมาเวลานี้ทุกวัน ยี่สิบเจ็ดวันที่เหลือจะผ่านไปแบบนี้เลยใช่ไหม?


จะรู้สึกเสียใจทีหลังหรือเปล่า?


เธอถามตัวเอง


ก็อาจจะสินะ


การกลับมาเจอกันในสิบปีให้หลัง สามสิบวันนี้ถือเป็นการอำลา และ…ลาจากตลอดกาล…


ชุดนอนส่วนมากของเธอเป็นชุดนอนเส้นไหมของแท้ เธอเลือกตัวสีขาวมาสวมใส่ก่อนออกจากห้องไป


ภายในบ้านเงียบสงบ แม้แต่เวรยามก็ยืนตรงแน่นิ่งราวกับรูปปั้นที่ไม่เหล่มองไปไหน ไป๋ซู่เย่เดินไปยังห้องครัวที่เปิดไฟสว่างเห็นน้าหลี่กำลังวุ่นอยู่


เธอถาม “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?”


“คุณแค่นั่งรอทานก็พอ ฉันอุ่นโจ๊กนิดหน่อย ได้ไหมคะ?”


“ไม่มีปัญหา แค่ดมกลิ่นก็หอมมากแล้ว” น้ำเสียงของเธอสดใส ขณะที่พูดก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หลับตาทำท่าดมอย่างเคลิบเคลิ้ม น้าหลี่เห็นท่าทางเธอก็แอบประเมินในใจ


“ทำไมเหรอคะ?”เธอลืมตาขึ้นพลางสบตาน้าหลี่พอดี


“ความจริง…ฉันรู้สึกว่าคุณไป๋ก็เป็นคนดีอยู่นะ ถึงจะมีตำแหน่งหน้าที่สูงและเป็นพี่สาวแท้ๆ ของท่านประธานาธิบดีแต่ไม่ถือตัวอะไรเลย ไม่ได้เป็นอย่างที่หยูอันพูดเลย”


เธอแค่มองโจ๊กตรงหน้าอย่างตั้งใจคล้ายไม่ได้ใส่ใจอะไร “หยูอันคงเตือนพวกเธอไว้ไม่น้อยสินะว่าให้ระวังฉันให้ดี? เขาต้องบอกว่าฉันฝีมือร้ายกาจ ใจดำอำมหิตและเล่ห์เหลี่ยมเยอะเจ้าแผนการ”


น้าหลี่ทำหน้าตกใจ “ที่แท้คุณรู้หมดเลย” ไม่ผิดเลยแม้แต่คำเดียว!


ไป๋ซู่เย่ได้แต่หัวเราะอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถูกด่ามาเยอะทุกอย่างจึงทำใจยอมรับได้ง่ายขึ้น หากหยูอันรู้ว่าตัวเองมีความคิดแบบนี้จะต้องด่าเธอว่าหน้าด้านอีกแน่ๆ


“ฉันหิวแล้ว ทานได้แล้วสินะ?”


“ค่ะ”


“งั้นฉันหยิบถ้วยเอง ถ้วยอยู่ไหน?” ไป๋ซู่เย่กวาดมองรอบหนึ่ง น้าหลี่ชี้นิ้วไปที่ตู้ฆ่าเชื้อ เธอเปิดออก “ฉันจะหยิบสองใบ คุณเองก็ทานหน่อยเถอะ ดึกขนาดนี้แล้ว”


น้าหลี่ส่ายหัวยิ้ม “คุณทานเถอะ ตลอดหลายปีนี้ฉันไม่ชินกับการทานโจ๊กเลย”


“งั้นก็ไม่ฝืนใจคุณล่ะ” ไป๋ซู่เย่ยิ้มน้อยๆ


น้าหลี่ยิ่งอยู่กับเธอก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ได้มีความรู้สึกถึงความต่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเลย


……………………


ชั้นบน เย่เซียวตื่นแล้ว


ดูเวลาแวบหนึ่งพบว่าตีสองแล้ว ผู้หญิงคนนั้นกลับมาหรือยัง?


เขากลับมาตอนห้าทุ่มเห็นว่าห้องชั้นล่างมืดสนิท นั่งอยู่ชั้นบนถึงเที่ยงคืนกว่าชั้นล่างก็ยังเงียบไร้การเคลื่อนไหวใดๆ เช่นเดิม


ปกติเธอเลิกงานดึกขนาดนี้เลยหรือ? ตลอดทั้งวันเธอทำอะไรกันแน่?


……………………………………………….


ตอนที่ 622 เย่เซียว คุณมันปีศาจ (3)

โดย

Ink Stone_Romance

นึกถึงเธอก่อนภาพในห้องน้ำช่วงกลางวันจะผุดขึ้นในหัว เธอกึ่งคุกเข่ากับพื้น ปล่อยผมยาวสยาย กลีบปากอิ่มแดง ชุดเครื่องแบบยับยูยี่…


ตัวเกร็งแน่นและลมหายใจหนักอึ้งขึ้นในพริบตา ความง่วงหายไปอย่างฉับพลัน


ยัยผู้หญิงคนนั้น…


เขานวดคลึงระหว่างคิ้วไปมา เลิกผ้าห่มออกด้วยลำคอแห้งผาก ลงจากเตียงไป


ขณะที่ลงไปชั้นล่างเดินถึงนอกห้องทานอาหาร ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังแว่วมาจากข้างใน


“คุณเพิ่งมาดูแลเย่เซียว หรือว่า?”


“ก่อนหน้าอยู่ต่างประเทศดูแลนายท่านมาหลายปี พอดีว่าท่านจะกลับประเทศ S ฉันเลยติดตามกลับมาพร้อมนายท่านด้วยค่ะ กลับมาก็รู้สึกว่าประเทศตัวเองดีกว่า”


“อ่า หลายปีนี้…ที่ต่างประเทศ เขาสบายดีไหม?” ประโยคคำถามที่เธอถามติดลังเลน้อยๆ


นอกประตูเย่เซียวหยุดฝีเท้าคอยฟังอย่างตั้งใจ


“นายท่านหรือคะ? นายท่านสบายดีค่ะ เรื่องงานมีหยูอันคอยช่วย ส่วนเรื่องส่วนตัว…ก่อนหน้าไม่มีแฟนมาก่อนแต่ภายหลังเจอคุณน่าหลัน ท่านดีกับคุณน่าหลันมาก คุณน่าหลันก็รักเดียวใจเดียวต่อท่าน ฉะนั้นถือว่าสบายดี…”น้าหลี่พูดถึงนี่พลางมองเธอด้วยสายตาสงสัยแวบหนึ่งก่อนพูดอย่างรู้สึกผิด “คุณไป๋ ฉันพูดถึงคุณน่าหลัน คุณคงไม่โกรธหรอกใช่ไหมคะ?”


นอกประตู เย่เซียวยืนนิ่ง


จะโกรธไหม?


เธอจะรู้สึกไม่พอใจไหม?


เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังกับคำตอบอะไรอยู่ แต่วินาทีต่อจากนั้นคำตอบของเธอทำให้สีหน้าของเขาเรียบตึงทันที


“…ไม่อยู่แล้ว”ไป๋ซู่เย่หัวเราะ ตักโจ๊กเข้าปาก ทั้งที่เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าโจ๊กอร่อยแต่กลับไร้รสชาติขึ้นมาทันใด คล้ายว่าเธอต้องการทำให้ถ้อยคำของเธอดูน่าเชื่อถือ ยิ้มพูดต่อ “ฉันคิดว่าเขากับน่าหลันเหมาะสมกันดี ก่อนหน้ายังกังวลว่าเขาจะไม่สบาย ฉันเองก็จะรู้สึกผิด ตอนนี้ได้ยินคุณบอกว่าเขาสบายดี…งั้นฉันก็วางใจแล้ว…”


น้าหลี่พยักหน้าไม่พูดอะไรอีก


ต่อจากนั้นก็ทำหน้าตกใจจนรีบลุกขึ้นยืนยามเห็นบุคคลที่จู่ๆ โผล่มาหน้าประตูห้องทานอาหาร “นายท่าน”


ไป๋ซู่เย่ชะงัก


เธอนั่งหันหลังให้กับประตูจึงไม่เห็นผู้ที่มาเยือน ได้ยินเสียงทักของน้าหลี่แต่เธอก็ไม่ได้หันกลับไป


เขา ไม่ได้นอนแล้วหรือ? ลงมาตั้งแต่เมื่อไร?


“ดึกแล้ว น้าหลี่ ไปพักผ่อนเถอะ” เย่เซียวพูดสั่งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เจ้าตัวคงความเย็นชาเฉกเช่นปกติแต่กลับดูเยือกเย็นมากกว่าปกติหลายเท่า


น้าหลี่รับคำสั้นๆ ‘ค่ะ’เสร็จก็ชำเลืองสายตาประเมินมองไป๋ซู่เย่แวบหนึ่ง เธอก้มหัวให้น้อยๆ “ขอบคุณสำหรับโจ๊ก ไปพักผ่อนเถอะ ดึกมากแล้วจริงๆ”


“งั้นฉันไปแล้วนะคะ คุณไป๋” น้าหลี่กล่าวลาทั้งคู่อย่างนอบน้อมถึงเดินออกไป


ชั่วขณะ…


ในห้องทานอาหารเหลือเพียงพวกเขาสองคน ไป๋ซู่เย่ไม่ได้หันกลับมาแต่กลับรู้สึกได้ว่าฝีเท้าของชายหนุ่มกำลังเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ…


“ทำคุณตื่นเหรอ?”รอชายหนุ่มเดินมาข้างตัวเอง เธอเงยหน้ายิ้มน้อยๆ “หิวไหม? ในครัวยังมีของกินอยู่ ฉันจะได้ไปยกมาให้คุณ”


เธอว่าแล้วไม่รอเย่เซียวตอบอะไรหมายจะลุกขึ้นเดินหนี


แต่เพิ่งลุกขึ้นเย่เซียวกลับคว้าแขนเธอพร้อมกระชากตัวเธอมา


ร่างอ่อนนุ่มของเธอกระแทกอกแกร่งของเขาทำให้ทั้งคู่ต้องหายใจรุนแรงชั่วขณะ กลิ่นมินต์บนตัวชายหนุ่มผสมผสานกับกลิ่นมะนาวบนตัวหญิงสาวคล้ายฟีโรโมนที่แผ่ออกมาจากตัว ทำให้หัวใจทั้งสองดวงเต้นรัว


ให้ตายสิ!


เย่เซียวไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าหัวใจที่กำลังเต้นรัวเป็นกลองนั่นเป็นเพราะเธอ


ไป๋ซู่เย่ล่ะ?


เธอพยายามเพิกเฉยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะของตัวเอง ปลายนิ้วจิกเข้าฝ่ามือตัวเองเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง


“เย่เซียว คุณปล่อยฉันก่อน”


“เพิ่งเข้ามาที่นี่วันแรกก็รีบร้อนตีสนิทแล้วเหรอ?” ไม่ปล่อยมือแต่กลับโอบเอวเธอแรงๆ


ร่างกายของเธอหมดคราบไร้เดียงสาเมื่อสิบปีก่อนและดูเป็นผู้หญิงมากกว่าเดิมมาก แต่เทียบกับสิบปีที่แล้วยิ่งเรียกให้คนใจสั่น แขนเรียวผอมเอวคอดกำได้เพียงมือเดียวด้วยซ้ำ


“คุณกลัวเหรอ?” ไป๋ซู่เย่เลิกคิ้วสวยสบตาเขา


เย่เซียวมุ่นคิ้วแน่น “อย่าหาว่าผมไม่เคยเตือนคุณ ถ้าคุณกล้าคิดแผนอะไรเกี่ยวกับผมหรือคนของผม ผมจะทำให้คุณต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำกับผม!”


ไป๋ซู่เย่ในอดีตทำให้ทุกคนยอมจำนนได้อย่างง่ายดายขนาดหยูอันที่ปกติระวังตัวอย่างดียังยอมสละชีวิตเพื่อเธอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเคยหึงหวงมาก่อน ภายหลังถึงรู้ว่า…


ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพียงเรื่องน่าขำ!


ทุกคนถูกเธอตบหน้าฉาดใหญ่!


“ในเมื่อกลัวฉันทำอะไรขนาดนี้ แล้วทำไมคุณถึงให้ฉันเข้าประตูบานนี้ล่ะ?”


“คุณไม่รู้หรือว่าทำไมผมถึงให้คุณเข้าประตูบานนี้?” มือของเย่เซียวที่วางตรงเอวเธอเลื่อนลงทันที ผ่านบั้นท้ายนุ่มหยุ่นไปจนถึงเรียวขาสะอาด ฝ่ามือร้อนผ่าวเกี่ยวชายกระโปรงชุดนอนเธอขึ้นมาจนถึงบั้นท้าย


เธอหายใจขาดห้วงตัวเกร็ง งอนิ้วเกี่ยวไหล่เขา


“เย่เซียว…”


“ให้คุณเข้ามาอยู่นี่ก็เพื่อที่จะได้เติมเต็มผมทุกที่ทุกเวลา ทรมานคุณ…” เพิ่งสิ้นเสียงเขา ตัวเธอก็ถูกดันติดโต๊ะอาหาร


ไป๋ซู่เย่ยังเจ็บตามร่างกาย อีกอย่างที่นี่คือห้องอาหาร


ประตูห้องอาหารยังไม่ปิด ในห้องโถงมียามเฝ้าเวรอยู่ แม้พวกเขาจะยืนตัวนิ่งราวกับรูปปั้นแต่ทุกคนยังมีสติอยู่!


“เย่เซียว คุณอย่าทำบ้าๆ นะ!”


“ทุกอย่างนี้เป็นโทษที่คุณควรได้รับ คุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธผม!” เขาไม่อยากสนใจไฟไร้นามที่กำลังลุกพล่านในใจ ใช่ ตั้งแต่ได้ยินคำพูดเธอข้างนอกก็มีเพลิงไฟสุมอยู่ในอก


เขาไม่อยากคิดว่าเขากำลังคาดหวังคำตอบอะไรจากเธอกันแน่ แต่เขาเข้าใจดีว่าถ้อยคำของเธอไม่มีทางเติมเต็มความคาดหวังของเขาได้ อีกทั้งยังตรงข้ามกับสิ่งที่เขาหวัง!


เย่เซียวไม่สนใจเสียงค้านของเธอ ฉีกชุดนอนบนตัวเธออย่างเอาแต่ใจ


เขายังแข็งกร้าวดุดันตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนเดิม ไม่มีการเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าหรือมอบจูบให้เธอแม้แต่จูบเดียว


ร่างกายของเธอถูกเขาฉีกทึ้งอย่างไม่สนใจใยดีอีกครั้ง


แผลเก่าไม่ทันหายได้แผลใหม่มาแล้ว ต่อให้เขาไม่สัมผัสตัวเธอก็สั่นระริกอย่างรุนแรง ใบหน้าขาวซีด กัดไหล่เขาแรงๆ “เย่เซียว คุณมันปีศาจ!”


เดิมทีเย่เซียวคิดว่าตัวเองจะต้องพึงพอใจที่ได้ทรมานเธอ จะไม่พอใจไม่ได้ แต่ขณะหลุบตามองเห็นใบหน้าดวงเล็กที่ขาวซีดของเธอ ไฟไร้นามจากก้นบึ้งของหัวใจก็ดับมอดลงทันที


สิ่งที่ทดแทน…


คือความเจ็บปวดที่พุ่งพรวดขึ้นมา


“…เจ็บมากเหรอ?” เขาไม่กล้าขยับตัว เสียงทุ้มแหบลง


ตัวเธออ่อนแรงนอนซบไหล่เขา ลมหายใจไม่เป็นจังหวะ หน้าผากมีชั้นเหงื่อบางๆ ขับให้เจ้าตัวดูน่าสงสารเล็กน้อย


เย่เซียวหน้าเกร็ง สายตาจ้องเธอเขม็ง “คุณกำลังเสแสร้ง หรือว่า…?”


…………………………………..


ตอนที่ 623 เย่เซียว คุณมันปีศาจ (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“คุณ…ลองโดนคนเอามีดมากรีดซ้ำรอยเดิมจากเมื่อวานดูสิ…” เสียงเธอแหบแห้ง คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “เย่เซียว คุณออกไปก่อนได้ไหม? ฉัน…ฉันรู้สึกไม่สบายจริงๆ…”


เย่เซียวใช้มือเดียวกดบั้นท้ายเธอไว้อย่างไม่แคล้วใจ “คุณ…ไม่รู้สึกอะไรกับผมสักนิดเลยเหรอ?”


“…”แพขนตาเธอสั่นกึก ค่อยๆ เปิดเปลือกตามองเขา “ปกติคุณกับน่าหลัน…ก็ดุดันแข็งกร้าวแบบนี้ ไม่สนใจความอยู่ความตายของคนอย่างนี้เหรอ?”


“!” เย่เซียวหน้าเย็นชา “เรื่องของเรา อย่าลากเธอเข้ามาเกี่ยว”


เธอหัวเราะน้อยๆ “นั่นสิ…เธอดูอ่อนแอขนาดนี้ เกรงว่าจะทนการกระทำป่าเถื่อนของคุณแบบนี้ไม่ไหว งั้น…คุณจะทำต่อไหม? ถ้าทำฉันจะทนไว้ ถ้าไม่ทำ…ฉันจะเข้าไปทายา…”


“ทำบ้าอะไร!”


เขาตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธ


ทนไว้?


มีอะไรกับเขา สำหรับเธอแล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องทนขนาดนั้นเชียวหรือ?


เย่เซียวถอนตัวออกมากะทันหันเรียกเสียงครางอย่างเจ็บปวดจากไป๋ซู่เย่ สองขายืนไม่นิ่งจนแทบทรุดลงพื้นแต่ถูกเย่เซียวช้อนตัวขึ้นมาก่อน


บนเรียวขาขาวเนียนของเธอมีรอยหยดเลือดชวนให้ปวดขมับตุบๆ ทั้งที่อยากเห็นเธอโดนทรมาน แต่ตอนนี้พอเห็นเธอเลือดไหลกลับไม่รู้สึกดีใจสักนิด!


ไป๋ซู่เย่เจ็บจริงๆ ไม่คิดขัดขืนได้แต่ปล่อยให้เขาอุ้มตัวเองกลับห้องไป


เขาเปิดไฟค้นหาของบางอย่างบนหัวเตียงเธอ


“คุณหาอะไร?”


“ยาที่ซื้อคืนนั้นล่ะ?”


ไป๋ซู่เย่ชะงักงัน ลืมตามองเขา “คุณหมายความว่า…ยานั่น คุณออกไปซื้อคืนนั้นเหรอ?”


เย่เซียวชะงักมือที่กำลังพลิกหาของอยู่และเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่หลุดปากพูดไปเพราะความร้อนใจ


ปากบางเม้มเข้าหากันแน่น


สักพักหันข้างแค่นหัวเราะเย้ยเธอ “ทำไม? คิดว่าผมซื้อมาให้คุณโดยเฉพาะเหรอ?”


“…”หัวใจของไป๋ซู่เย่ดิ่งลงอีกครั้ง เรื่องที่คิดไปเองจะยิ่งทำให้ดูเป็นตัวตลก เธอซุกหน้ากับหมอนกล่าวด้วยเสียงอ่อนแรง “คุณไม่ต้องหาแล้ว ยาฉันลืมไว้ที่บ้าน…แล้วก็…”


เธอหยุดไปช่วงหนึ่งพร้อมยกหน้าขึ้นหน้าจากหมอน


“คราวหลัง…คุณช่วยฝึกเทคนิคตัวเองให้ดีแล้วค่อยมาทำกับฉันได้ไหม? ฝีมือแย่ขนาดนี้ จะทำให้ฉันรู้สึกสงสารน่าหลันที่คอยอดทนกับคุณมานานขนาดนี้”


สีหน้าเย่เซียวถมึงทึง กัดฟันกรอด “…ไป๋ซู่เย่ อยากตายหรือไง!”


เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้จะฝีปากกล้าขนาดนี้


ไป๋ซู่เย่ไม่สนใจเขาอีก


เกิดเสียงดัง ‘ปัง!’ประตูถูกกระแทกปิดก่อนเจ้าตัวจะออกไป


เธอนอนคว่ำหน้ากับหมอนปล่อยให้น้ำตาไหลทะลักจากดวงตาจนเปื้อนปลอกหมอนอย่างไม่รู้ตัว


เดิมทีอยากลุกไปอาบน้ำสักหน่อยแต่ลองขยับตัวดูแล้วยังรู้สึกเจ็บอย่างมาก จึงตัดสินใจนอนคว่ำแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น


…………………………


ทั้งที่คิดว่าตัวเองจะหลับไปทั้งอย่างนี้จนถึงเช้าอีกวัน แต่สามสิบนาทีหลังจากนี้ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง


เธอแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้แล้วว่าเย่เซียวกลับมาแล้ว เธอกลัวว่าเขาจะเป็นบ้าอารมณ์คลั่งแล้วทรมานเธอ เลยหลับตาแกล้งหลับอยู่บนหมอน


ดีที่เขาไม่ได้เปิดไฟ ความมืดช่วยให้เธอพรางตัวได้ ไม่ให้เขามองเธอออกได้ง่ายขนาดนั้น


“หลับแล้วเหรอ?” เย่เซียวเดินมาข้างเตียงถามหยั่งเชิง


เธอไม่ตอบ เขาคงไม่ถึงกับฝืนทำกับเธอในตอนที่เธอยังหลับอยู่หรอกนะ


ขณะที่คิดอยู่ชั่วครู่ต่อมาผ้าห่มบนตัวถูกเลิกออก


ความเย็นถาโถมเข้ามาเรียกให้เธอย่นคิ้วน้อยๆ ไม่ทันตั้งตัวที่ว่างข้างกายก็ยวบลง ร่างที่ร้อนดังไฟเพลิงขยับเข้าใกล้เธอ


เธอแสร้งหันข้างด้วยความไม่ไว้วางใจ หันแผ่นหลังให้เขาอย่างระแวง ผู้ชายคนนี้…จะทำอะไรกันแน่?


ด้านหลังได้ยินเสียงสวบสาบ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่กล้าลืมตาแต่ก็สัมผัสถึงมือของชายหนุ่มได้ชัดเจน กำลังคืบคลานเข้ามาจากใต้กระโปรงเธอ


“เย่เซียว…” หมดความอดทน เธอพ่นลมจากจมูกทีก่อนห้ามมือเขาไว้


เธอหันกลับมามองเขา


ความมืดปกคลุมห้องแต่ดวงตาที่น้ำตาคลอหน่วยและผ่านการร้องไห้มาของเธอนั้นยิ่งสะท้อนให้วาววับท่ามกลางความมืด ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นแฝงด้วยแววตาระแวงปนหวาดกลัว


เย่เซียวเห็นอย่างชัดเจนจนรู้สึกบีบรัดที่หัวใจ ไม่คิดว่าไป๋ซู่เย่ในตอนนี้จะกลัว! ทำไม? เธอเห็นเขาเป็นปีศาจหรือสัตว์ประหลาดอะไร?


“เอามือออก!”เขาสั่งอย่างเย็นชา


“ฉันรู้ว่าคุณอยากทรมานฉัน” เธอเจ็บจนแทบหมดแรงพูด “แต่ว่า…ถ้าคุณทนไม่ไหวจริงๆ ทำไมไม่ไปหาน่า…”


คำว่า ‘หลัน’ยังไม่ทันออกจากปากดีก็ถูกเย่เซียวกัดฟันพูดขัดด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก “ก่อนที่ผมจะข่มขืนคุณเป็นครั้งที่สาม ทางที่ดีก็เลือกหุบปากดีๆ ซะ!”


“….”


“เอาออก!”


ไป๋ซู่เย่กัดปาก ยังคงกำข้อมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะแกะมือเธอออกคล้ายหมดความอดทนเต็มที


เธอหายใจหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย หลับตาพลางคิดว่าความเจ็บปวดกำลังรอเธออยู่


แต่…


วินาทีถัดมาสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็น…ความรู้สึกเย็นชื้น…


ปลายนิ้วเขามียาเนื้อเย็นอยู่คอยทาวนรอบปากแผลเธอเบาๆ ไม่ได้เบาแรงอ่อนโยนมากแถมยังงกๆ เงิ่นๆ


แต่ว่า…


กลับทำให้เธอรู้สึกสบายอย่างมาก


นี่…


หมายความว่า…


เธอเข้าใจเขาผิดไป?


อื้อ


ความรู้สึกสบายที่ทำเอาเธอรู้สึกอับอายถาโถมเข้ามาจนเธอแทบหลุดเสียงคราง เธอกัดปากแน่นห้ามตัวเองไม่ให้ขายหน้า กลับรู้สึกได้ถึงชายหนุ่มข้างๆ ที่ร่างกายร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจก็หอบหนักขึ้นเรื่อยๆ…


“อยากได้เหรอ?” เย่เซียวอ้าปาก เสียงแหบจนน่าใจเต้น


“ใครอยากได้?”ไป๋ซู่เย่สูดหายใจลึก กัดปากล่างไว้อย่างดื้อดึง “คนอยากได้คือคุณหรือเปล่า?”


“…”เย่เซียวไม่ได้ปฏิเสธ ดวงตาร้อนระอุเหมือนมีไฟลุกโชนจ้องเธอเขม็ง สายตานั่นคล้ายว่าต้องการกลืนกินเธอหมดทั้งตัวไม่เหลือซาก ต่อให้อยู่ในความมืดไป๋ซู่เย่ก็รู้สึกถึงมันได้ดี ทั้งที่เป็นวันอากาศหนาวเย็นแต่กลับรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว บนจมูกรั้นเล็กๆ ชื้นด้วยเหงื่อชั้นบางๆ


“เย่เซียว พอแล้ว…” ในที่สุดก็ทนต่อไม่ไหว เธอคู้ตัวไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อหลบมือเขา หายใจแผ่วน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่เจ็บแล้ว…”


เย่เซียวไม่ได้ตามตื๊อเธออีก


ไป๋ซู่เย่เดิมทีอยากถามเขาว่ายานี่ได้มาจากไหนแต่เขากลับพลิกตัวออกไปจากกองผ้าห่มอย่างฉับไว


ลงจากเตียงเสร็จโยนหลอดยาใส่หัวเตียง “ในเมื่อไม่เจ็บแล้วก็พักผ่อนไวๆ ยานี่ ทาตามเวลาด้วย”


พูดจบก็เดินออกจากห้องไปอย่างไม่ลังเล


ไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ


ไป๋ซู่เย่โผล่หัวออกมามองเขานิ่งกระทั่งประตูถูกปิดลงเธอถึงถอนสายตาออกอย่างผิดหวัง


เขาจากไปอย่างไม่ลังเลขนาดนั้น ไม่เหลือเยื่อใยเพียงนิดคล้ายว่า…ภาพที่เขาทายาให้เธอเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาของเธอ


เธอกอดผ้าห่มค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เปิดไฟหัวเตียงก็เห็นว่าหลอดยานั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนหัวเตียง


……………………………………………


ตอนที่ 624 เย่เซียว เทคนิคคุณแย่มาก! (1)

โดย

Ink Stone_Romance

เธอหยิบมันมาดูแวบหนึ่งพบว่าเป็นยี่ห้อเดียวกับหลอดก่อนหน้า หลอดนี้เองก็เป็นของใหม่ที่ยังไม่ถูกแกะซองห่อด้วยซ้ำ


ครึ่งชั่วโมงเมื่อครู่…เขาไปซื้อยาเหรอ?


ปกติตอนที่เขาอยู่กับน่าหลัน…ก็ทำแผลให้น่าหลันแบบนี้หรือ?


ทั้งที่เมื่อครู่เขามีปฏิกิริยาแล้วแต่กลับจากไปอย่างไม่ลังเล ไปหาน่าหลันใช่ไหม?


ทุกคำถามผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุดหย่อนทำให้เธอปวดประสาทจนเธอเริ่มรู้สึกแย่ขึ้นติดๆ พรูลมหายใจก่อนปิดไฟ ซุกตัวเข้าไปในกองผ้าห่มใหม่อีกครั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดอะไรเหลวไหล


ถ้าเขาไปหาน่าหลัน…ก็ไม่แปลกนี่นา! พวกเขาสองคนต่างหากที่เป็นคนรักกันจริงๆ…


……………………


ส่วนเย่เซียวเรียกได้ว่าเขาชิ่งหนีออกมาก่อน


เขากลัวว่าหากอยู่ใต้ผืนผ้าห่มเดียวกับเธอนานกว่านี้จะขืนใจเธอเข้าจริงๆ อีกครั้งเพื่อระบายความต้องการที่กำลังพุ่งสูงขณะนี้


เขาถอดชุดนอนออกเผยร่างกำยำให้เห็น ยืนใต้ฝักบัวให้น้ำเย็นชะล้างอยู่พักใหญ่


แต่…ให้ตายสิ!


น้ำเย็นล้างขนาดนี้แล้วแต่กลับไม่ช่วยหยุดเลือดที่พลุ่งพล่านของเขา มีแต่ผู้หญิงคนนั้น! มีแต่ท่าทางที่เธอกำลังหอบครางอยู่!


การที่ชายคนหนึ่งจดจำเรือนร่างงดงามของหญิงสาวคนหนึ่งได้มันเป็นเรื่องปกติ


เขาคิดว่าขอแค่มีอะไรกับเธอหลายครั้งหน่อย ต่อหน้าเธอเขาไม่มีทางกลายสภาพเป็นเหมือนเด็กหัวโปกอย่างในตอนนี้ที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเองได้แน่


……………………


วันรุ่งขึ้น


เย่เซียวย่างกรายเข้ามาในห้องอาหาร บนโต๊ะอาหารมีเพียงน่าหลันคนเดียว เห็นเขาเข้ามาเธอเชยตาส่งยิ้มให้เขา “อรุณสวัสดิ์”


“อรุณสวัสดิ์”


“วันนี้อยากทานอะไรคะ?” น่าหลันดึงเก้าอี้เขาออกให้อย่างเอาอกเอาใจ เย่เซียวไม่อาจปฏิเสธรอยยิ้มนี้ของเธอได้เลย จึงตอบกลับเสียงเรียบ “อะไรก็ได้”


“งั้นเดี๋ยวฉันจัดการให้ค่ะ” น่าหลันยิ้ม เดินอ้อมไปที่รถเข็นอาหาร เรื่องที่ทำเพื่อเขาต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อย เธอก็มีความสุขมาก


เย่เซียวเชยตาเหลือบมองประตูห้องอาหารอย่างไม่ใส่ใจ


ตอนนี้ใกล้แปดโมงครึ่งแล้ว


อีกครึ่งชั่วโมงเธอน่าจะต้องรายงานตัวที่กระทรวงความมั่นคงแล้ว หากเป็นปกติตอนนี้ต้องตื่นนอนแล้วนี่นา


“ชุดอาหารที่คุณชอบค่ะ” น่าหลันยกอาหารเช้ามาไว้ตรงหน้าเขา


เทียบกับท่าทางของน่าหลันเขายังคงเย็นชาเสมอไร้อารมณ์อื่นปะปน แต่น่าหลันไม่สนใจเพราะเธอรู้ดีว่านี่เป็นนิสัยแต่กำเนิดของผู้ชายคนนี้ เรียบนิ่งถึงขั้นเย็นชา


กับหยูอันเองก็มีท่าทางเดียวกัน


ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น


“เรียกน้าหลี่เข้ามา” ขณะทานไปเพียงครึ่งเดียว จู่ๆ เขาก็เอ่ยสั่ง


ท่วงท่าที่กำลังทานอาหารเช้าของน่าหลันชะงักกึก ใจรู้ดีแต่กลับไม่ถามไถ่ไม่พูด แค่ทานอาหารตัวเองต่อไปเงียบๆ


ไม่นานน้าหลี่เดินเข้ามาในห้องอาหาร


“นายท่าน”


เย่เซียวมองเธอแวบหนึ่ง “เธอเป็นอะไร นี่ให้เราทุกคนรอเธอคนเดียวอย่างนั้นเหรอ?”


“หมายถึงคุณไป๋หรือคะ?”


เขาไม่ตอบคำถามตรงไปตรงมาแบบนี้ พลางทานอาหารต่อไปอย่างไม่รีบเร่ง


น้าหลี่ตอบ “คุณไป๋ออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้วค่ะ บอกว่าช่วงนี้งานยุ่งเลยบอกไว้ว่าคืนนี้น่าจะกลับดึกหน่อย”


“…” เย่เซียวไม่พูดอะไรอีก


น้าหลี่เองก็ไม่เข้าใจว่าการที่เขาเงียบหมายความว่าอย่างไร ยิ่งเดาความคิดเขาไม่ถูกจึงยืนรออย่างสงบหลายนาที รอให้มั่นใจว่าเขาไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วถึงถอยออกจากห้องอาหารเงียบๆ


น่าหลันหันข้างมองเย่เซียวน้อยๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออย่างไร รู้สึกว่า…สีหน้าของเขานิ่งขึ้นมาก


แต่ก็ยากที่จะคาดเดาความคิดในใจเขาได้อยู่ดี


……………………


หลังทานอาหารเช้าเย่เซียวก็เข้าบริษัท


กลับมาประเทศครั้งนี้ได้ขยายแผนกิจการมายังประเทศ S ย้ายฐานธุรกิจจากกองทัพมายังธุรกิจโฆษณาในรูปแบบข้อมูล อาณาจักรด้านธุรกิจของเขามีกำไรมหาศาลในทุกวัน ได้ดิบได้ดี


เขตการล่าของเขาครอบคลุมไปทั้งธุรกิจสุจริตและตลาดมืด ควบทั้งวงการธุรกิจและวงการการเมือง


ภายในห้องทำงาน


หลังจากเย่เซียวเซ็นเอกสารหนาเป็นปึกเสร็จก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หยิบโทรศัพท์มาโทรหาเบอร์อันคุ้นเคย


“ฮัลโหล” อีกฝั่งของสายคือคุณหมอผู้ชาย นามว่าถังซ่ง


“ฉันเอง”


“อือฮึ ฟังออก”


เย่เซียวนั่งบนเก้าอี้เลื่อนขนาดใหญ่พลางหันกลับไปหาหน้าต่างยาว ทอดสายตาออกไปไกล“นายรู้เกี่ยวกับแผนกสูตินารีเวชไหม?”


“…พรวด” คล้ายว่าถังซ่งกำลังดื่มน้ำอยู่จึงสำลักกับประโยคของเย่เซียว “ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? คุณเย่เซียวของเรามาถามฉันว่า…สูตินารีเวช?!”


“ใช่ สรุปรู้หรือไม่รู้?” เย่เซียวกัดฟันเน้นเสียงทุกคำชัดเจน อีกทั้งจากท่าทีเย็นชาของเขาพอจะฟังออกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นหรือตลกอะไรด้วย


“อะแฮ่มๆ” ถังซ่งไอสองทีก่อนจะปรับอารมณ์ตัวเองก่อน “นายลองบอกมาก่อนสิ ฉันจะได้ดูว่าอยู่ในขอบเขตที่ฉันรู้ไหม”


เย่เซียวเรียบเรียงคำพูดสักครู่ “แผลฉีกขาด กี่วันถึงจะหาย? ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลไหม?”


“…” อีกฝ่ายพยายามไม่ให้พ่นน้ำในปากออกมา ถามอย่างระมัดระวัง “ฉีกขาด…นายหมายถึงตรงนั้นของผู้หญิง หรือว่าของผู้ชาย?”


“ถ้านายเบื่อที่จะมีชีวิตต่อ ตอนนี้ฉันให้คนไปหาได้นะ” ช่องทางรักของผู้ชายไปพบแพทย์สูตินารีเวชได้หรือ?


“อ๋อ ฉันรู้แล้ว ผู้หญิง ผู้หญิง!” ถังซ่งรีบแก้คำพูด “แต่ว่านายต้องทำถึงขนาดนั้นไหม? น่าหลันเป็นแค่สาวน้อยวัยสิบแปดปีเองนายก็ทำนิสัยป่าเถื่อนอีกแล้ว ต้องดุเดือดขนาดไหนกันถึงฉีกขาดได้ ชิ แค่คิดก็โหดร้ายมากแล้ว”


“นายแค่ตอบคำถามฉันมา” เย่เซียวเอ่ยเตือนโดยไม่ได้ให้คำอธิบายไป


เขาไม่ใช่คนที่ชอบอธิบายหรือแก้ตัว ความเข้าใจผิดของคนอื่นไม่ได้สำคัญสำหรับเขาเลยสักนิด


“แผลแบบนี้ต้องดูสภาพร่างกายแต่ละคนด้วย นายซื้อยาแก้อักเสบให้เธอหน่อยจะได้ป้องกันการติดเชื้อ ส่วนเรื่องเวลา อย่างน้อยต้องทนสักหนึ่งอาทิตย์ล่ะ หลังจากหนึ่งอาทิตย์ไปค่อยดูว่าอาการเธอเป็นยังไงบ้าง ถ้ายังไม่หายดีก็ต้องเลื่อนไปอีก”


หนึ่งอาทิตย์?


อารมณ์เย่เซียวขรึมลงทันที


ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก ตอนที่เขากำหนดเวลาน่าจะกำหนดสักสามเดือน ไม่ใช่สามสิบวัน


“แล้วก็…” ก่อนเย่เซียวกดตัดสายได้ถามเพิ่มอีกประโยค “หลังจากนี้ต้องทำยังไงถึงไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก?”


“…” ถังซ่งเริ่มสติหลุด “คุณเย่เซียว นี่มันปัญหาของเทคนิค ถือว่านายถามถูกคนแล้ว”


“เทคนิค?”


“อืม ผู้ชายที่เทคนิคแย่ เรียกอารมณ์ของผู้หญิงไม่ได้ ก็จะเกิดเรื่องแบบนี้แหละ”


“…เพราะงั้น นายหมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอารมณ์กับฉัน?!” เย่เซียวขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม


“ก็อธิบายได้แบบนี้แหละ”


เย่เซียวฉุกคิดถึงคำบ่นที่ไป๋ซู่เย่บอกกับเขาไว้ว่า ‘เทคนิคแย่’ น้ำเสียงก็เย็นลงอีกนิด “แล้วต้องทำยังไงเธอถึงจะมีอารมณ์?”


“ก็ฝึกเทคนิคให้ดีๆ สิ ถ้าจับเทคนิคดีแล้ว รับรองว่าผู้หญิงทุกคนต้องมีอารมณ์กับนายแน่ๆ” ถังซ่งกล่าวคำแนะนำอย่างเอาใจ “เย่เซียว หรือว่าจะให้ฉันหาคนให้นายฝึกเทคนิคดีล่ะ? รับรองว่าคราวหน้าเธอจะต้องไม่เป็นตัวของตัวเองตอนอยู่ใต้ร่างนายแน่นอน”


“ไร้สาระ!”


………………………………..


ตอนที่ 625 เย่เซียว เทคนิคคุณแย่มาก! (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวตัดสายทิ้งทันที ยืนเงียบอยู่ริมหน้าต่างพักใหญ่


หนึ่งนาทีหลังจากนั้น


ถังซ่งได้รับข้อความหนึ่งฉบับ ‘คืนนี้ฉันว่าง’


“คนซึน!” ถังซ่งหัวเราะเสียงดัง


แต่ทีนี้กลับอดยกย่องน่าหลันไม่ได้ เมื่อก่อนแค่รู้สึกว่าเธอเป็นเพียงเงาของไป๋ซู่เย่เท่านั้นที่บางครั้งดูคล้ายมากจริงๆ จากความเข้าใจที่เขามีต่อเย่เซียว การที่เก็บน่าหลันไว้ข้างกาย ดูแลเรื่องอาหารการกินที่พักอาศัยและเสื้อผ้าต่างๆ ก็แค่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากไป๋ซู่เย่เท่านั้น


แต่ไม่คิดว่ายัยน่าหลันนี่กลับสามารถทำให้เย่เซียวมีใจจะเรียนวิชาเอาใจผู้หญิง นี่มันเกินความคาดหมายของเขาไปมากเลย


ผู้ชายโอหังเย่อหยิ่งอย่างเย่เซียว ไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้


…………………………


ไป๋ซู่เย่ยังคงกลับดึกเช่นเคย


วันนี้มีงานเลี้ยงที่ลูกชายคนโตของคุณเหมยเอินอย่างเหมยอู่หลางมาเยือนประเทศ S เนื่องจากมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านอธิบดีกระทรวงความมั่นคงฉะนั้นจึงกำชับอธิบดีไว้โดยเฉพาะว่าให้พาไป๋ซู่เย่คนดังของประเทศ S มาด้วย


ผู้ชายที่ยอมศิโรราบให้เธอ มีเยอะจนนับไม่ถ้วน แต่คนตรงไปตรงมาอย่างเหมยอู่หลางที่ไม่คิดปิดบังความสนใจต่อเหยื่อแบบนี้ช่างน้อยนิด


เหมยอู่หลางเองก็นับได้ว่ามีชื่อเสียงเรื่องชู้สาว ไป๋ซู่เย่พอรู้อยู่ ฉะนั้นจึงจงใจระมัดระวังเขาอยู่แล้ว แต่ด้วยความสัมพันธ์อันดีของคุณพ่อเขากับประเทศ S กลับไม่อาจผิดใจกับเจ้าหมอนี่ได้ อย่างน้อยก็ห้ามฉีกหน้ากันโจ่งแจ้งเกินไป


“คุณไป๋ ได้ยินว่าคุณเป็นคอแข็ง เหล้าแก้วนี้คุณคงไม่คิดปฏิเสธผมหรอกใช่ไหม?” ท่ามกลางเสียงอึกทึกภายในห้อง เหมยอู่หลางเทเหล้าเต็มๆ หนึ่งแก้วแล้วยื่นให้ไป๋ซู่เย่


ดวงตาคู่นั้นที่หว่านเสน่ห์ไม่หยุด คิดว่าตัวเองหล่อเหลือเกิน


ไป๋ซู่เย่รู้สึกขบขัน ขณะที่รับเหล้าแก้วนี้มาก็ถูกเจ้าหมอนี่แอบลูบหลังมืออย่างหน้าไม่อายไปที “คุณไป๋ไม่ใช่แค่คอแข็ง ผิวเนียนนุ่มอีกต่างหาก”


“คุณเหมยเคยเจอหญิงสาวมาจนนับไม่ถ้วน ฉันจะเทียบกับหญิงสาววัยขบเผาะเหล่านั้นได้ยังไงคะ?” เธอพูดประชดตัวเองอย่างถ่อมตัว ไม่กล้าดื่มซี้ซั้วอีก ความจริงมันเลยขีดจำกัดของเธอแล้วเพราะตัวเธอรู้ดีว่าหากดื่มต่อไปจะต้องเสียภาพลักษณ์แน่ๆ


“แต่หญิงสาวพวกนั้นไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนคุณไป๋ไงล่ะ อายุน้อยแล้วยังสวยอีก การงานหน้าที่มีครบ ลงสนามรบได้ เข้าครัวได้…แต่ เหล้าแก้วนี้ ผมไม่เห็นคุณแตะต้องแม้แต่หยดเดียว ทำไมครับ? ไม่เห็นแก่ผมงั้นเหรอ?”


ไป๋ซู่เย่เหลือบมองคนอื่นๆ แวบหนึ่งเงียบๆ ทุกคนต่างล้อมวงคุยเรื่องตัวเองกันอยู่โดยไม่มีใครสังเกตมองมาทางพวกเธอเลยแม้แต่คนเดียว


“คุณไป๋ ทำไมเหม่อลอยล่ะครับ? ถ้าแก้วนี้คุณไม่ดื่มก็เท่ากับดูถูกผม ดูถูกตระกูลเหมยเรา”


ประโยคจากปากของเขาโยนภาระอันหนักอึ้งมาให้ เดิมทีอธิบดีกำลังคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พอได้ยินประโยคนี้ก็รีบเบี่ยงหน้ามาหา “ซู่เย่ คุณก็ใช่ว่าจะดื่มไม่ได้ ก็ดื่มแก้วนี้ของคุณเหมยไปเถอะ ถือว่าเห็นแก่ผม”


อธิบดีพูดจบพลางมองไป๋ซู่เย่อีกแวบหนึ่งก่อนยิ้มพูดกู้หน้า “ดื่มก็ส่วนดื่ม ยังไงซู่เย่เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง คงดื่มได้แค่แก้วนี้เท่านั้น จะดื่มมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นภายหลัง ท่านประธานาธิบดีกล่าวโทษมา ผมรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”


หลายเวลาหลายสถานที่ล้วนทำตามใจตัวเองไม่ได้ หากพบเจอคนที่วางตัวดี รู้จักประมาณตนก็ถือว่าโชคดีไป หากเจออันธพาลระดับสูงที่ไม่รู้ขอบเขต คุณก็ทำอะไรไม่ได้


ไป๋ซู่เย่เข้ามาในวงการนี้ตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ตั้งแต่เล็กจนโตได้รับมลทินสิ่งแปดเปื้อนมามากมายย่อมรู้ว่าหากตัวเองไม่ดื่มแก้วนี้ไป จะไม่ไว้หน้าเหมยอู่หลาง ทำให้เขาต้องเสียหน้า หากยังดื้อดึงต่อไปเกรงว่าจะเป็นการสร้างความอึดอัดต่อทุกฝ่าย


ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอยกแก้วดื่มรวดเดียวอย่างไม่ลังเล


จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้น ยิ้มจางๆ อย่างคงความสง่าไว้ “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ พวกคุณดื่มต่อเลย”


เธอมึนหัวเล็กน้อย


ฝืนเดินออกไปโทรหาไป๋หลางก่อนเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้อีกฝ่ายเพื่อให้ไป๋หลางรีบมาช่วยรับหน้าแทนเธอถึงวางสาย ฉับพลันได้ยินเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นของเหล่าหญิงสาวที่ดังแว่วมาเรื่อยๆ


“รู้ไหมว่าวันนี้คนที่เรียกเราไปคือใคร?”


“ใครเหรอ? คนรวยที่ไหนอีก?” นี่เป็นสวรรค์ของคนมีฐานะ คนที่ติดอันดับจาก Fobes มากมายก็ชอบมาใช้เวลาผ่อนคลายที่นี่


“คนรวย? ไม่ใช่แค่คนรวยนะ เย่เซียวต่างหาก”


“เย่เซียว? เธอหมายถึงเย่เซียวที่มีธุรกิจทั้งสุจริตและธุรกิจมืดคนโด่งดังคนนั้นน่ะเหรอ?”


“อืม!”


“พระเจ้า! ฉันรู้จัก เมื่อก่อนเคยเห็นในทีวี หุ่นเขาดีมากเลย! เรื่องนั้น…ก็ต้องดุเดือดมากแน่ๆ สินะ? ฮ่าๆ”


“ถ้าไม่ดุเดือดจริงจะเรียกไปทีเดียวห้าคนได้เหรอ?”


หญิงสาวที่สวมชุดตกแต่งอย่างดีพูดแล้วเปิดประตูอีกห้องเข้าไปทันที แม้ไป๋ซู่เย่จะมึนอยู่แต่คำว่า ‘เย่เซียว’ เธอได้ยินมันชัดเจน


ทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเอง แต่ก็อดเดินไปที่ห้องนั้นไม่ได้


ประตูบานหรูสามารถเห็นทุกอย่างของข้างในผ่านกระจกหน้าต่างได้ ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าเย็นชาราวกับราชา สองขายาวมีหญิงสาวประกบทั้งสองข้าง


ไป๋ซู่เย่ยืนดูอยู่ครู่เดียวก็รู้สึกมึนหัวอย่างรุนแรง ในโลกที่มีแสงไฟหลากสี เธอมองผู้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า…


ที่แท้…


อดีตก็คืออดีตจริงๆ…


ตัวเธอในสิบปีหลังไม่ใช่ไป๋ซู่เย่คนเดิม เย่เซียวในสิบปีหลัง…ก็ไม่ใช่เย่เซียวคนเดิม…


เขาในอดีตไม่มีทางแตะต้องผู้หญิงพวกนี้เด็ดขาด แต่ตอนนี้….


ทีเดียวห้าคน


อึดจริงๆ…


ไม่คิดจะอยู่ต่อ เธอเดินไปทางห้องน้ำและหวังว่าคงไม่สายหากจะอาเจียนออกมาตอนนี้


แต่พอเดินไปเพียงสองก้าวเจ้าตัวรู้สึกมึนหัวมากขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าว


เธอจับกำแพงสะบัดหัวไปมาคิดจะให้ตัวเองมีสติหน่อย


แต่ตัวกลับยังอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงเหมือนเดิม


“คุณ ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ถังซ่งออกมาจากห้องน้ำพอดีจึงมาถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นคุณชายที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ตัวยง แค่อยู่กับสาวสวยคนหนึ่งก็เกิดอารมณ์ได้แบบนั้น พอเห็นเธอเข้า แม้จะยังไม่เห็นหน้าแต่แค่ดูจากการแต่งกาย ความสง่าและหุ่นที่ถูกห่อหุ้มด้วยชุดตะวันตกนั่นก็ตัดสินได้แล้วว่าเธอต้องเป็นหญิงงามคนหนึ่งแน่ๆ


“ไม่เป็นไรค่ะ” ไป๋ซู่เย่ฝืนตั้งสติโบกมือปัด


ถังซ่งอาศัยแสงไฟสลัวสังเกตมองครึ่งใบหน้าอันคุ้นเคยของเธอได้จนคิดว่าตัวเองดูผิดไป ยื่นมือปัดผมบนหน้าเธอออก


เธอคิดว่าตัวเองเจอคนโรคจิตเข้าแล้วจึงมุ่นคิ้วถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างระแวง แต่มองเห็นหน้าอีกคนชัดเจน สีหน้าก็ผ่อนคลายลงทันควัน


เธอแย้มปาก “ไม่ได้เจอกันนานเลย ที่แท้คุณก็กลับประเทศมาแล้วเหรอ”


“คุณจริงๆ ด้วย?” ถังซ่งมองไป๋ซู่เย่ สิบปีไม่ได้เจอกัน เหมือนเธอจะ…สวยกว่าเมื่อก่อนมาก อืม ดูเย้ายวนตามฉบับผู้หญิงโดยเฉพาะตอนมึนเมา ดวงตาเคลิบเคลิ้ม พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ


……………………………………………..


ตอนที่ 626 เย่เซียว เทคนิคคุณแย่มาก! (3)

โดย

Ink Stone_Romance

“อืม”


“…ไม่เจอกันนานเลย” ถังซ่งกล่าว


ไป๋ซู่เย่ยิ้มน้อยๆ “ไม่คิดว่าคุณยังเป็นเหมือนเดิมเลย ชอบเกี้ยวสาวเหมือนเดิม”


“คุณดูออกเลยเหรอ ว่าเมื่อกี้ผมอยากเกี้ยวคุณพอดี?”


ไป๋ซู่เย่นวดคลึงคลายความเจ็บปวดตรงระหว่างคิ้ว “คุณหมอ พ่อคนฉลาด ฉันปวดหัว มีอะไรให้ฉันแก้แฮงก์บ้างไหม?”


“แก้แฮงก์ไม่มี แต่แก้เบื่อน่ะมี” ถังซ่งมือล้วงกระเป๋า เหล่มองไปทางห้องข้างๆ แวบหนึ่งเป็นการหยั่งเชิงและกล่าวอย่างระมัดระวัง “เย่เซียวอยู่นั่น จะไปทักทายหน่อยไหม?”


ดูท่าทางเขาไม่รู้สินะว่าตอนนี้เธอติดต่อกับเย่เซียวแล้ว


“ไม่ดีกว่า พวกคุณสนุกกันเถอะ สภาพฉันอย่างนี้ไปแล้วจะทำพวกคุณหมดสนุกเอา ฉันยังมีงานเลี้ยงที่ยังไม่เลิก”


ไป๋ซู่เย่ไม่คุยกับถังซ่งนานไปกว่านั้น หมุนตัวเหยียบบนรองเท้าส้นสูงฝืนเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยท่าทางสง่า


…………………………


เมื่อถังซ่งกลับเข้ามาในห้องก็เห็นใครบางคนนั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงกลางโดยที่กลุ่มหญิงสาวที่ก่อนหน้ายังสนุกสนานกันแต่ตอนนี้กลับซุกตัวอยู่มุมเหมือนลูกไก่ที่หวาดระแวง ตีตัวออกห่างเขา


“เกิดอะไรขึ้น?” ถังซ่งกวาดมองไปมาอย่างแปลกใจ


กลุ่มหญิงสาวส่ายหัวรัวพลางหดหัวมองเย่เซียวโดยไม่กล้าพูดอะไร ถังซ่งเตะเขาไปทีหนึ่งปนเคือง “นายทำอะไร? ฉันพานายมาสนุกแต่นายกลับทำหน้าเย็นชา จะให้คนอื่นสนุกได้ยังไง”


ไม่แปลกที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นจะกลัว เขาเป็นเพื่อนกับเย่เซียวมายี่สิบกว่าปี เห็นหน้าแล้วยังกลัวเลย!


“นี่น่ะเหรอที่นายบอกจะสอนฉันเรื่องลีลาบนเตียง?” ทุกคำที่พ่นจากเย่เซียวช่างเย็นชาเสียจนเหมือนพูดลอดไรฟัน


“อือฮึ” ถังซ่งยักคิ้วใส่ ย้ายก้นไปนั่งข้างเขา “ผู้หญิงจะเข้าใจความต้องการของผู้หญิงดีที่สุด ถ้านายทำพวกเธอสบายได้ กลับไปก็ต้องจัดการน่าหลันได้อยู่หมัดแน่ๆ”


เย่เซียวตวัดตาเยือกเย็นมา ปากบางแสนเซ็กซี่นิ่งเกร็งเม้มเป็นเส้นตรง ไม่พูดอะไรทั้งนั้นพลางจัดเสื้อสูทก่อนก้าวขายาวออกไป


“เฮ้! รอเดี๋ยวก่อนเย่เซียว ฉันยังมีเรื่องจะบอกนาย!” ถังซ่งเรียกเขาไว้


“ถ้าฉันเป็นนายจะเลือกหุบปาก ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์เลือดอาบได้”


ถังซ่งกอดอกเลิกคิ้วอย่างได้ใจ “ฉันไม่พูดก็ได้ แต่ถ้านายไม่ฟัง จะต้องเสียใจทีหลังแน่ๆ”


เดิมทีเย่เซียวไม่อยากสนใจเขา ถังซ่งเห็นว่าเขาไม่หลงกลตัวเองเลยตัดสินใจพูดออกมาโต้งๆ อย่างนึกเคือง “เมื่อกี้ฉันเจอไป๋ซู่เย่”


ฝีเท้าเย่เซียวหยุดชะงักกับที่


“อะไรนะ?”


“ไป๋ซู่เย่ไง ผู้หญิงเมื่อสิบปีก่อน”


“อย่าพูดมาก”


“นั่นสิ คนพิเศษอย่างเธอ อย่าว่าแต่สิบปีเลย ต่อให้ผ่านไปร้อยปีนายก็คงยังจำได้อยู่”


“นายบ่นว่าตัวเองอายุยืนไปใช่ไหม?”


ดวงตาวาวโรจน์ที่แฝงด้วยความอาฆาตเรียกให้ถังซ่งรีบหยุดแต่พอดีก่อนจะรีบพูดเรื่องจริงจัง “เหมือนเธอจะดื่มเหล้าไปไม่น้อยนะ เมื่อกี้ฉันเห็นเธอไปในงานต่อแล้ว ถ้าฉันดูไม่ผิดข้างในมีแต่ผู้ชายที่ขึ้นชื่อเรื่องนั้น นายก็รู้ สาวสวยคนหนึ่งถูกคนมอมเหล้าโดยที่เจ้าตัวยังอยู่ในรังหมาป่า อันตรายมากนะ แต่ว่า…”


ถังซ่งแบมือ “ตอนนี้นายคงอยากให้เธอเข้าไปใน…”


‘รัง’ ยังไม่ทันออกจากปากดีเย่เซียวก็เปิดประตูออกแล้ว


“เฮ้! ไม่หรอกมั้ง ตอนนั้นนายโดนเธอปั่นหัวขนาดนั้น ตอนนี้ยังคิดจะไปเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามอีกเหรอ?”


เย่เซียวชะงักฝีเท้าก่อนจะเอ่ยพูดเสียงเย็น “ฝูงหมาป่าจะมีหมาป่าเพิ่มอีกสักตัว ไม่ได้เหรอ?”


ถังซ่งได้ยินก็ตื่นเต้นอย่างมาก “ถ้าเพิ่มตัวหนึ่งได้ก็เพิ่มสองตัวได้สิ ฉันไปกับนายเอง”


“นายเคยเห็นว่าในรังหมาป่ามีหมูตั้งแต่เมื่อไหร่?”


“…” ถังซ่งทึ้งหัวตัวเอง บ้าเอ๊ย! ด่าใครว่าหมูกันแน่?


เคยเห็นหมูที่ไหนโลดโผนเป็นอิสระขนาดนี้บ้าง?


เย่เซียวเดินออกจากห้องไปเรียบร้อย ถังซ่งอยากตามไปแต่ถูกหญิงสาวดึงตัวไว้ “คุณถัง คุณจะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”


“ทำไม?”


“เมื่อกี้คุณเย่เซียวหักแขนหนึ่งในนี้ไปข้างหนึ่ง ค่ารักษา…”


“เพื่อนเธอทำอะไรไปล่ะถึงทำให้เย่เซียวโกรธขนาดนี้?” ถังซ่งล้วงเงินไปถามไป


“ไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ แค่ทำเหมือนแขกทั่วไป ลูบจับตรงนั้นของคุณเย่เซียวไป ไม่คิดว่าเขาจะดุขนาดนี้…”


ถังซ่งหมดคำจะพูดจริงๆ มิน่าหญิงสาวเหล่านี้ถึงได้โกรธจนหน้าไร้สีเลือดฝาดขนาดนี้


เจ้าหมอนี่…ให้ตายสิ!


“ช่วยไม่ได้แล้ว! ช่วยไม่ได้แล้ว! ไม่รู้จักทะนุถนอมแล้วยังคิดจะเอาอกเอาใจผู้หญิงอีก!” ถังซ่งพึมพำอย่างขุ่นเคือง ล้วงเงินปึกใหญ่จากกระเป๋าออกมา “เงินน่ะมีเยอะ เหลือก็ซื้ออาหารบำรุงให้เพื่อนเธอด้วย ถ้าไม่พอค่อยมาขอฉันเพิ่ม”


“ขอบคุณคุณถังค่ะ!” เห็นได้ชัดว่าคุณถังคนนี้จะรู้ขอบเขตกว่าคุณเย่เซียวคนนั้นเยอะ


…………………………


ไป๋ซู่เย่จะขอตัวกลับก่อน ที่กลับไปในห้องเพราะต้องการเอ่ยลากับอธิบดี


สุดท้ายหลังเข้าไปอธิบดีกำลังคุยเรื่องจริงจังอยู่ตรงนั้นซึ่งเป็นงานในขอบเขตของเธอด้วยพอดีจึงเรียกเธอไป เธอสติพร่ามัวฟังอะไรไม่ค่อยชัดเจนแต่กลับรู้สึกได้ถึงสายตาของเหมยอู่หลางที่จดจ่อกับตัวเธอจากตรงข้ามได้ดี คล้ายนายพรานที่กำลังเล็งเหยื่อก็ไม่ปาน


เธอแค่นหัวเราะ


เกิดความรู้สึกที่อยากหยิบแก้วเหล้าข้างๆ สาดใส่หน้าเขา


ทันใดนั้นเองประตูของห้องจู่ๆ ก็ถูกผลักเข้ามาจากด้านนอก


ทุกคนหันสายตามองไปทางประตูอย่างพร้อมเพรียง คนของกระทรวงความมั่นคงต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปตามๆ กัน


นี่มันเย่เซียว!


เขาชักจะกล้าเกินไปแล้ว!


กระทรวงความมั่นคงอยากจับตามองเขาตลอดเวลาแต่สถานที่หลักๆ ที่เขาปรากฏตัวล้วนถูกคุมเข้มเหมือนป้อมปราสาทที่ไม่อาจทะลุเข้าไปได้ ตอนนี้เขากลับมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาเสียเอง


กับความใจกล้าของเขาเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนระแวงเขา คาดเดาเส้นทางความคิดเขาไม่ถูก ยิ่งไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เขาบุกมาที่นี่ในวันนี้


ไป๋ซู่เย่เห็นเขาก็เผลอสติหลุดไปชั่วครู่ ขณะที่ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนมีเพียงเธอยังนั่งอยู่ตรงนั้น ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้? ตอนนี้น่าจะกำลังรื่นเริงกับหญิงสาวห้าคนนั้นไม่ใช่เหรอ?


“คุณเย่เซียว ไม่คิดว่าจะเป็นคุณ”


สุดท้ายอธิบดีเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบนี้ เดินไปจับมือเย่เซียว เป็นทั้งศัตรูและมิตร ไม่ใช่ศัตรูและไม่ใช่มิตร นี่เป็นคติของคนในวงการการเมือง หากเบื้องหลังมีคนหมายจะวางแผนเอาให้ตายก็ต้องมีคนแสดงท่าทีเป็นมิตรฉาบหน้า


เย่เซียวสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม “ได้ยินว่ามีเพื่อนเก่าคนหนึ่งอยู่นี่ ก็เลยมาทักทายเป็นพิเศษ หวังว่าจะไม่รบกวนพวกคุณ”


“คุณเย่เซียวตลกแล้ว ปกติใครจะเชิญคุณไหว นี่ต้องอาศัยหน้ามากเลยนะ”นอกจากคนของกระทรวงความมั่นคง คนอื่นๆ ต่างคาดหวังกันอย่างมาก


พวกเขาอยากทำความรู้จักกับเย่เซียวมาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักทีและไม่มีใครยอมเป็นสะพานทอดให้ ตอนนี้เย่เซียวอยู่ตรงหน้าพวกเขาจะต้องคว้าโอกาสไว้ให้ดี


“แค่ไม่รู้ว่าเพื่อนเก่าของคุณเย่เซียวคือท่านไหน?”


คนของกระทรวงความมั่นคงต่างเปลี่ยนสีหน้าทันที หันสายตาไปยังไป๋ซู่เย่โดยมิได้นัดหมาย ปมความแค้นที่กระทรวงความมั่นคงได้ผูกกับเย่เซียวไว้เมื่อนั้นใจพวกเขารู้ดี ตอนนี้ต่างมีใบหน้านิ่งเกร็งทั้งต้องคอยระวังว่าเย่เซียวจะทำเรื่องน่ากลัวอะไรออกมาอีก


…………………………………………..


ตอนที่ 627 เย่เซียว เทคนิคคุณแย่มาก! (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ไป๋ซู่เย่เองก็คิดเช่นเดียวกับพวกเขาว่าเย่เซียวมาเพราะตัวเอง ไม่รู้ว่าเขาอยากมาไม้ไหนให้เธออับอายอีก


แต่เขาเพียงกวาดสายตาผ่านตัวเธอไปอย่างเฉยชาและเรียบนิ่งโดยไม่หยุดชะงักแม้แต่ชั่วพริบตา จากนั้นก็หันไปจรดสายตาที่เหมยอู่หลาง


เหมยอู่หลางก้าวไปข้างหน้ากอดกับเขา


“เพื่อนเก่า ไม่ได้เจอกันนานเลย”


เย่เซียวตบหลังเขาที “ไม่ได้เจอกันนาน”


“คุณเย่เซียวต้องไม่ได้เจอคุณเหมยนานแล้วแน่ๆ ถ้าไม่รังเกียจนั่งด้วยกันไหมครับ?” มีคนเสนอความคิด


ไป๋ซู่เย่คิดว่าเย่เซียวต้องปฏิเสธแน่นอน ในเมื่อไปคนละทางก็ไม่มีอะไรให้ต้องคุยกัน อีกทั้งบรรยากาศตอนนี้ออกจะอึดอัดไปนิด แต่ไม่คิดว่าเย่เซียวกลับพยักหน้าเบาๆ “ก็ดี”


ดังนั้น…


ทุกคนต่างลุกออกสละที่ตัวเองให้ ไป๋ซู่เย่ไม่อยากให้ตัวเองโดดเด่นจึงลุกตามทุกคนแม้ตอนนี้สติจะพร่ามัวมากก็ตาม ทีนี้ทุกคนได้ให้เขาเลือกจริงๆ แล้ว ซึ่งเกียรติแบบนี้คิดว่านอกจากประธานาธิบดีไป๋เย่ฉิงก็ไม่มีใครอื่นได้รับอีก


ภายใต้สายตาที่มองมาของทุกคน เย่เซียวนั่งลงข้างไป๋ซู่เย่ คนของกระทรวงความมั่นคงสีหน้าย่ำแย่ไม่เว้นแต่ละคน ไป๋ซู่เย่เองยังตกใจ


เย่เซียวกลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรพลางกวาดสายตามองรอบข้าง “ทำไมทุกท่านไม่นั่งล่ะ?”


“อา นั่งๆๆ ทุกท่านนั่งเถอะ”


บนโซฟาตัวเดียวเดิมทีนั่งกันอยู่หกคนก็อึดอัดมากพอแล้ว ตอนนี้พอเย่เซียวมานั่งเพิ่มอีกคน รูปร่าสูงใหญ่และท่าทางน่าเกรงขามของเขานั่นยิ่งเรียกให้ไป๋ซู่เย่เริ่มหายใจลำบาก


ยิ่งเดาทางไม่ถูกถึงจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ ในเมื่อมาเพราะเหมยอู่หลางไม่ว่าอย่างไรก็ควรไปนั่งข้างเขาสิถึงจะถูก


เย่เซียวถูกกลุ่มคนพวกนั้นรุมล้อมอย่างอบอุ่น ทุกคนต่างขอชนแก้วอย่างกระตือรือร้นทำให้สถานการณ์คึกคักขึ้นมาทันตา เธออดพรูลมหายใจตามไม่ได้


เวลานี้เหมยอู่หลางเองก็ไปพูดคุยกับพวกเขาแล้ว แต่ยังเหล่สายตามาทางเธอเป็นระยะๆ ตอนนี้เธอกลับไม่คิดสนใจเพียงแค่เขยิบเข้าไปหาเย่เซียวอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายเป็นไปตามอัตโนมัติเหมือนเมื่อสิบปีก่อนที่รู้สึกว่าขอแค่มีเขาอยู่ก็เหมือนมีภูเขาลูกใหญ่หนุนหลังอยู่ ตอนนี้ไม่ต้องการให้ไป๋หลางมาช่วยรับมือแทนเธอด้วยซ้ำ


เย่เซียวฟังคนทั้งกลุ่มคุยกันอย่างออกรสด้วยความตั้งใจแต่กลับรู้สึกได้ว่าหญิงสาวข้างกายขยับเข้าหาตัวเองเงียบๆ พื้นที่สำหรับเจ็ดคนเดิมทีก็ไม่พออยู่แล้ว พอเธอใกล้เข้ามาอีกจนร่างอ่อนนุ่มนั้นแนบชิดเขา กลิ่นหอมสดชื่นปนกลิ่นแอลกอฮอล์ก็ลอยคลอเคล้ามาทำให้แววตาเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย หันกลับมาก็สบกับสายตาไม่ประสงค์ดีของเหมยอู่หลางพอดี


สีหน้าเย็นชาขึ้นทันที


เหมยอู่หลางเห็นแววตาคู่นั้นของเขาแล้วชะงักไปครู่ก่อนจะรีบถอนสายตาหลบหนี


“ไม่สบายเหรอ?” เย่เซียวก้มถามหญิงสาวข้างๆ เบาๆ ระยะห่างที่ใกล้เกินไปจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาที่ปะทะลงใบหูหญิงสาว ภาพนี้ดูแล้วชวนให้คิดไปไกลหน่อยๆ


“…มึนหัวนิดหน่อย แล้วก็ร้อนด้วย” เธอเมาแล้ว เสียงอ่อนลงเล็กน้อย ไม่เหลือท่าทางแข็งกร้าวเหมือนตอนเผชิญหน้ากับเขาอย่างปกติ


ได้ยินน้ำเสียงอ่อนลงของเธอเหมือนบางจุดของหัวใจเย่เซียวถูกจี้อย่างแรง ใจอ่อนลงทันที


เขาอดจะก้มมองเธออีกทีสองทีไม่ได้


ผมยาวสลวยของเธอสยายออก บางส่วนปรกลงมาตรงหน้า ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังเส้นผมล่องลอย แค่กลอกตามองเพียงนิดก็เหมือนการยั่วเย้าที่ไร้เสียง


ผู้หญิงคนนี้!


เมาทุกครั้งเลย


และอยู่กับผู้ชายกลุ่มหนึ่งตลอด?


คราวก่อนถูกหยูอันวางยาจนหมดสภาพขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่ายังไม่จดจำบทเรียน!


ครั้งนี้โดนแมลงวันจอมตื๊ออย่างเหมยอู่หลางซะได้!


มีไฟนิรนามกำลังแผดเผาในอกเขา


“…เย่เซียว” จู่ๆ เธอขานเรียกชื่อเขาเบาๆ


เสียงเบามาก มีเพียงพวกเขาสองคนได้ยิน ยิ่งเหมือน…ชื่อเรียกจากปากคนรักมากกว่าเดิม


ไฟในอกของเย่เซียวอ่อนลงอย่างควบคุมไม่ได้ ได้แต่รับคำสั้นๆ ว่า “อืม”


“ฉันรู้สึกง่วงนิดหน่อย ขอยืมไหล่คุณพิงหน่อยได้ไหม” เสียงยานคางของเธอคล้ายๆ ลูกแมวน้อย


เขาขมวดคิ้ว “ปกติคุณเมาก็ขอพิงไหล่ผู้ชายทุกคนเหรอ?”


ไป๋ซู่เย่เอาหัวพิงไหล่เขาเบาๆ จู่ๆ นึกบางอย่างได้แววตาล่องลอยไร้จุดหมายนั่นฉายแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย ไม่ตอบแต่พึมพำตอบ “คุณเองก็เหมือนกัน…”


“เหมือนอะไร?”


“ผู้หญิงแบบไหนก็เอาหมด…”


เย่เซียวหันหน้ามาก้มหน้าจ้องมองเธอที่เหมือนกำลังบ่นอย่างไม่เข้าใจ เธอแหงนหน้าขึ้นแพขนตากะพริบปริบๆ ลืมตาขึ้นให้สายตาเคลิบเคลิ้มประสานกับของเขา “เรียกห้าคนในทีเดียวแล้วมาที่นี่ไวขนาดนี้ คุณเย่เซียว เหมือนว่าคุณไม่ค่อยแข็งแรงนะ…”


เย่เซียวเลื่อนสายตาไล่จากดวงตาของเธอจรดที่ปากแดงที่อยู่ใกล้ตัวเองเพียงคืบนั่น ลมหายใจของเขารุนแรงขึ้น สายตาล้ำลึก “ยี่สิบกว่าวันที่เหลือคุณค่อยๆ ทดสอบเองได้…”


เสียงของเขาแหบพร่า


ในบรรยากาศนี้ทำให้คนฟังต้องใจเต้นรัวขึ้น สองคนสบตามองกันและกัน เธอเองก็ค่อยๆ เลื่อนสายตาไปที่ปากเขา…


ปากของเขา เซ็กซี่มาก…


หลังจากพวกเขาเจอกันดูเหมือนจะไม่เคยได้จูบดีๆ สักครั้ง


ต่อให้เขาทำอะไรเธออีกกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยคิดจะแตะต้องปากเธอเลย


เธอเหมือนจะยังจดจำความรู้สึกตอนจูบกับเขาในอดีตได้…


เขาชอบจูบเธอมาก ต่อให้จูบมากี่ครั้งแต่ทุกครั้งก็เกิดความรู้สึกใหม่ๆ ราวกับครั้งแรก


เพียงแค่ไม่รู้ว่าสิบปีให้หลัง รสชาติปากเขาจะเปลี่ยนไปหรือยัง…


เปลี่ยนไปแล้วสินะ


ในเมื่อปากนี้น่าจะผ่านการจูบผู้หญิงมานับไม่ถ้วนแล้ว


และเคยจูบน่าหลันด้วย…


คิดถึงสิ่งเหล่านี้หัวใจก็เจ็บแปลบ


แพขนตาเธอกะพริบหลายทีก่อนหลุบตาลงแล้วหลับตา


เห็นเธอแบบนี้แล้วเย่เซียวรู้สึกไม่สบอารมณ์หน่อยๆ สายตาเมื่อครู่ของผู้หญิงคนนี้ทำเหมือนจะจูบเขาชัดๆ ทำให้เขาคาดหวังแปลกๆ


แต่ผลสุดท้าย…


หลังยั่วเขาแล้วเธอกลับล้มเลิกกลางคัน!


ตั้งแต่เธอนอนซบไหล่เขามา จิตใจเย่เซียวไม่จดจ่อกับบทสนทนาของเหล่าผู้ชายแล้ว หลายครั้งที่เหมยอู่หลางลอบมองมาแต่สุดท้ายได้แค่จับข้อแขนตัวเองแล้วถอนหายใจ เย่เซียวถูกใจไป๋ซู่เย่ชัดๆ ผู้หญิงที่เขาถูกใจใครจะกล้าลงมือ? นอกจากไม่คิดจะมีชีวิตแล้ว


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรไป๋หลางก็มาแล้ว


เห็นเธอซบไหล่เย่เซียวอย่างเมามายไม่ได้สติก็ตะลึงงัน เขาบอกจะพาไป๋ซู่เย่กลับไป อธิบดีของพวกเขาพยักหน้าอนุญาตก่อนจะรีบให้พากลับไปเพราะกลัวว่าเธออยู่ที่นี่ต่อแล้วจะถูกเย่เซียวเอาคืน


ดีที่เย่เซียวไม่ได้ตามรั้ง แค่ส่งคนให้ไป๋หลางรับกลับไป


หลังจากไป๋หลางอุ้มไป๋ซู่เย่มาบนรถ เห็นสภาพมึนเมาของเธอแล้ว น่าหนักใจจริงๆ


“หนึ่งสัปดาห์เจ็ดวันมีห้าวันที่คุณเมาไม่ได้สติ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปสักวันจะต้องป่วยเป็นโรคแน่ๆ อีกอย่างคุณจะใจกล้าเกินไปแล้ว นั่งข้างเย่เซียวแล้วยังเมาจนหลับได้อีกเหรอ?”


…………………………………………..


ตอนที่ 628 ผมอยากทำอะไรคุณสักหน่อย! (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ไป๋ซูเย่ไม่ได้บอกว่าเพราะมีเย่เซียวอยู่ข้างกายเธอถึงกล้านอนพักไปครู่นึง


เธอฝืนตัวลุกขึ้นนั่งใช้นิ้วกดระหว่างคิ้วไป ดวงตาทอดมองไปนอกหน้าต่าง ถามไป๋หลาง “เมื่อกี้ตอนนายพาฉันออกมา…เย่เซียว ได้พูดอะไรไหม?”


“เขาจะพูดอะไรได้?”


“ไม่ได้พูดเหรอ?”


“ไม่นะ”


“ไม่ได้พูดว่า เขาจะไปส่งฉันเหรอ?”


“เขาไปส่ง?” ไป๋หลางมองเธอจากกระจกหน้าด้วยความสงสัยเล็กน้อย “คุณอยากให้เขาไปส่งคุณเหรอ?”


“ไม่ใช่อยู่แล้ว” ไป๋ซู่เย่คิด ในเมื่อเขายอมให้ไป๋หลางพาเธอกลับมานั่นก็หมายความว่า…อนุญาตให้เธอนอนที่บ้านตัวเอง ไม่กลับไปบ้านเขาก็ไม่เป็นไรแล้วสินะ?


ยากจะคาดเดาความคิดเขาเสียจริง


“ว่าแต่ว่า เย่เซียวไปที่ห้องพวกคุณได้ยังไง? ไปเพราะคุณเหรอ?”


“เปล่า ไปหาเหมยอู่หลาง แต่หลังจากนั้นถูกคนอื่นตามตอแยก็กลับไปไม่ได้สักที”


“พวกกิ้งก่าเปลี่ยนสี ปกติหาโอกาสเจอตัวเย่เซียวยาก ตอนนี้พอได้เจอเขาหน่อยก็รีบเข้าไปตีสนิทล่ะสิ?”


ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบไป๋หลางอีก เพียงแค่หลับตาลงอีกครั้ง ไป๋หลางเห็นว่าเธอกำลังพักผ่อนจึงไม่พูดมากเพื่อให้พื้นที่เธอได้นอนพักอย่างเต็มที่


…………………………


ไป๋หลางส่งเธอขึ้นไปที่ห้องเสร็จถึงกลับไป


ไป๋ซู่เย่อาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนแล้วชงชาแก้เมาเข้มๆ ให้ตัวเองหนึ่งแก้วเจ้าตัวถึงมีสติขึ้นมาหน่อย


นอนบนเตียงมองเพดานนิ่ง ทั้งที่ก่อนหน้ารู้สึกง่วงมากขนาดนั้นแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับนอนไม่หลับเสียได้ ตอนเธอกลับมาดูท่าทางเย่เซียวจะยังไม่คิดกลับ ตอนนี้เขายังดื่มอยู่กับคนพวกนั้นอีกเหรอ?


หรือว่า…


กลับไปใช้เวลากับผู้หญิงห้าคนที่เขาเรียกตัวไป?


หัวใจบีบเค้นอย่างเจ็บปวด


ไม่รู้ว่าปกติน่าหลันยอมรับนิสัยเจ้าชู้ของเขาได้อย่างไร ถึงได้ทำท่าเป็นปกติได้ขนาดนั้น


หลับตาหยุดความคิดตัวเอง ความจริงเธอไม่มีสิทธิ์อะไรหรือฐานะอะไรไปคิด เธอยื่นมือไปหัวเตียงหมายจะปิดไฟ โทรศัพท์กลับสั่นขึ้นมาเพียงครู่


คิดว่าเป็นภารกิจด่วนอะไรจึงหยิบโทรศัพท์มาดูโดยไม่คิดมาก เปิดดูแวบเดียวมีคำสั้นๆ สองพยางค์


ลงมา


เหมือนครั้งก่อนไม่มีหัวข้อ ไม่มีแม้แต่เบอร์โชว์ให้เห็นแต่กลับเป็นเลขแปลกๆ ยาวเป็นพรวน


เย่เซียว?


เขามาที่นี่เหรอ?


ไป๋ซู่เย่ลุกพรวดจ้องข้อความนั่นจนเผลอเหม่อลอยชั่วครู่ก่อนจะนึกถึงภาพที่ทั้งสองคนนั่งใกล้กันขนาดไหนตอนอยู่ในห้องนั้น ปากแทบจะแนบติดกัน…


หัวใจเริ่มเต้นรัวอย่างฉับพลัน


เธอลงจากเตียง สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง รอที่บ้านอีกสักนิดให้รู้สึกว่าถึงเวลาอันควรแล้วที่จะไม่แสดงให้เห็นว่าตัวเองรีบลงไปนักหนา ถึงได้ออกจากตัวบ้านไปช้าๆ


…………………………………………


เย่เซียวเป็นที่สะดุดตาเหลือเกิน


ไม่ว่าจะเป็นรถกันกระสุนคันใหญ่ของเขาหรือรูปร่างสูงกับใบหน้าที่ไร้ที่ติของเขาก็ตาม


กลางคืนดึกดื่นแบบนี้เขายืนพิงตัวรถสีหน้าเย็นชาแต่กลับดึงดูดสายตาไม่น้อยจากคนเดินผ่านไปมา ไป๋ซู่เย่ออกจากลิฟต์แค่แวบเดียวก็เห็นเขาแล้ว


เพราะสถานะที่ไม่ธรรมดาที่อยู่ของไป๋ซู่เย่จึงเป็นความลับ อย่างน้อยก็ไม่เคยทิ้งข้อมูลให้กับคนภายนอกแต่เป็นเรื่องง่ายหากเย่เซียวต้องการตามหาเธอ ผู้ชายคนนี้เก่งกาจเสียจนเหมือนไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้


“ทำไมนานขนาดนี้?” เขารอจนหงุดหงิดเต็มที


“นอนแล้ว จะลุกอีกทีเลยยากนิดหน่อย” เธอแกล้งหาวหวอดทีพลางถาม “คุณมาหาฉันตอนนี้ มีอะไรเหรอ?”


สายตาเย่เซียวเลื่อนผ่านตัวเธอจากหัวจรดเท้า


ครั้งเดียวสายตาคู่นั้นก็ล้ำลึกขึ้น


“อาบน้ำแล้ว?” เธอล้างเครื่องสำอางออกเผยให้เห็นใบหน้าขาวใส ไม่เหลือคราบความเย้ายวนกับท่าทางแข็งกร้าวนั่น ดูเหมือนเด็กสาววัยขบเผาะมากกว่า


“…อืม”


“ยา ทาหรือยัง?”


“…” ไป๋ซู่เย่หน้าแดงปลั่ง เขามาที่นี่คงไม่ใช่เพื่อถามสิ่งนี้กับเธอหรอกนะ?


“ทาแล้วหรือยังไม่ได้ทา?”


“ลืม”


สีหน้าเย่เซียวดูไม่ดีเท่าไร หากไม่ทายาตามเวลา หนึ่งสัปดาห์จะหายขาดได้อย่างไร?


เขาฉุดแขนเธอเดินเข้าในตึกทันที เห็นได้ชัดว่าเขารู้ดีว่าเธอพักอยู่ชั้นไหน ปลายนิ้วถึงได้กดเลขชั้น ‘10’ ไปอย่างนั้น


ไป๋ซู่เย่ก้มมองมือใหญ่ที่กุมข้อมือตัวเองอยู่แวบหนึ่ง ฝ่ามือของเขาอุ่นร้อนปลายนิ้วแข็งแรง


เธออดนึกถึงเมื่อสิบปีก่อนไม่ได้ ตอนนั้นพอได้เจอเย่เซียวก็คิดทันทีว่าผู้ชายแบบนี้ต่างหากถึงจะนับได้ว่าเป็นต้นแบบของผู้ชายอย่างแท้จริง


สูงใหญ่ หล่อเหลา เด็ดขาด สุขุม เหมือนมีกลิ่นฮอร์โมนรุนแรงแผ่ออกมาจากทั้งตัว คงไม่แพ้นายแบบหรือนักแสดงหนุ่มในวงการบันเทิงเหล่านั้นหากมายืนตรงหน้าผู้ชายคนนี้


“มองอะไร?” เย่เซียวก้มหน้าพบว่าเธอกำลังก้มหน้าจ้องมือของตัวเองอยู่ “คิดแผนอะไรอีก?”


เธอหลุดจากภวังค์ “เปล่า คุณทำฉันเจ็บ”


เธอแสร้งทำท่าใจเย็นแล้วบิดข้อมือตัวเองให้หลุดจากการกอบกุมของเขาเงียบๆ ก่อนจะนวดข้อมือไปมาเป็นท่าประกอบ


ฝ่ามือโล่งเปล่า ความอุ่นร้อนหายไปเหลือเพียงความเย็นที่เข้ามาแทนที่ เย่เซียวไม่มองเธออีกแค่มองไปตรงหน้าอย่างเย็นชา เอามือซุกล้วงกระเป๋า


ตลอดทางไร้บทสนทนาใดๆ อีก


ดีที่ไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องเธอนิ่ง


“เอากุญแจเปิดประตู” เย่เซียวพูดสั่งเหมือนปกติ


“คุณไม่ต้องเข้าไปจะดีกว่า ห้องฉันรกนิดหน่อย” ไป๋ซู่เย่ไม่อยากให้เขาเข้าไป และไม่รู้ว่าเขาต้องการเข้าไปทำอะไร ชายหญิงอยู่กันสองต่อสองรวมถึงความใกล้ชิดในห้องเมื่อครู่ เธอไม่มั่นใจว่าเขาจะทรมานตัวเธอเหมือนสองครั้งก่อนอีกหรือเปล่า


“คุณซ่อนผู้ชายคนอื่นไว้ในห้องเหรอ?”


“จะคิดอย่างนั้นก็ได้” ในเมื่อไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว


เย่เซียวถลึงตาใส่เธอแวบหนึ่งและคร้านจะพูดต่อ ได้แต่ยื่นมือล้วงพวงกุญแจจากกระเป๋าบนของเธออย่างเป็นธรรมชาติ


ไป๋ซู่เย่ยื่นมือคิดจะแย่งกลับแต่เย่เซียวยกแขนขึ้นถอยหลังหนึ่งก้าว เธอไม่ทันตั้งตัวเลยปะทะกับอกเขา เพราะยังเมาค้างเล็กน้อยไม่ได้มีสติครบถ้วนจึงทรงตัวได้ไม่ดีเหมือนปกติ ร่างผอมบางโงนเงนแต่ถูกเขาเกี่ยวรั้งมาในอ้อมแขน


“คุณจงใจ?” สายตาของเขาเย็นชาเช่นเคย


เขามีเหตุผลที่จะสงสัย เมื่อก่อนผู้หญิงคนนี้เคยใช้วิธีนี้มาไม่น้อย


ถูกชายหนุ่มกอดเข้าเต็มเปาปล่อยไออุ่นแผ่ซ่านมาป่วนให้เธอใจเต้นรัว พอได้ยินคำถามเขาเธอแอบรู้สึกเคืองเล็กน้อย “จงใจน่ะสิ ทั้งที่รู้อยู่แล้วคุณยังหลงกล กอดแน่นขนาดนี้อีกเหรอ?”


เย่เซียวก้มหน้ามองเธอ


เธอถูกจ้องมองจนเริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมา แสงไฟเหนือหัวสลัวๆ แต่ดวงตาของเขากลับร้อนรุ่มอย่างชัดเจน เธอรู้สึกถึงอันตรายจึงใช้มือดันตัวเขา “เย่เซียว คุณปล่อยฉันก่อน…”


เขาไม่เพียงไม่ปล่อยมือแต่กลับกระชับแขนให้แน่นขึ้น มือใหญ่แตะเอวเธอดันตัวอ่อนนุ่มของเธอแนบชิดตัวเอง “เมื่อกี้ในห้อง…คุณจ้องผมตลอด คิดจะทำอะไรผม?”


“…” ไป๋ซู่เย่หน้าแดงระเรื่อมากกว่าเดิม


………………………………………………..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม