ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 607.1-610

ตอนที่ 607 - 1 ทลายเมือง

 

นอกเมืองเค่อจือเอ่อร์ 


 


 


ราตรีทั้งมืดมนทั้งเงียบสงัด ปราศจากแสงไฟ ปราศจากเสียงฝีเท้าม้า ณ ขอบฟ้าอันห่างไกลคล้ายมีเมฆดำลอยล่องแผ่ขยายเข้ามาอย่างเงียบงัน 


 


 


คบเพลิงซึ่งกำลังลุกไหม้โชติช่วงชัชวาลอยู่บนกำแพงเมืองขยับวูบไหวไปมาไม่หยุดท่ามกลางสายลมบนทุ่งหญ้ายามค่ำคืนอันแสนจะเย็นเฉียบ จากนั้นก็ค่อยๆ ดับวูบ เหลืออยู่แค่สองหรือสามส่วนเท่านั้น แสงไฟหรุบหรู่ส่องกำแพงเมือง เมื่อยืนอยู่บนกำแพงเมืองก็มองเห็นได้ไม่เห็นร้อยจั้งเท่านั้น 


 


 


เมื่อเหล่าผู้กล้าเข้าวังไปแล้ว บรรยากาศคึกคักภายในเมืองเค่อจือเอ่อร์ก็ลดทอนลงไปมาก แม้ยังคงร้องรำทำเพลงไม่ขาดสาย ทว่าแม่นางทั้งหลายกลับค่อยๆ สลายตัวไป ถนนใหญ่ซึ่งแต่เดิมเบียดเสียดยัดเยียดก็ค่อยๆ โล่ง กลับเป็นทหารยามรักษาเมืองที่ฉวยโอกาสช่วงงานเทศกาลสนุกสนานรื่นเริงซึ่งมีแค่ปีละครั้ง มือหนึ่งถือขาแพะที่ย่างจนสุก มือหนึ่งหิ้วสุรานมม้า ร้องเล่นเต้นระบำด้วยความคึกคักสนุกสนาน ช่วงงานเทศกาลแข่งขันชิงแพะซึ่งเฉลิมฉลองไปทั่วแผ่นดินนี้ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนาน ไม่มีผู้ใดตำหนิว่าพวกมันละเลยและชะล่าใจ 


 


 


จุดดำขนาดเล็กจุดหนึ่งมีลักษณะคล้ายตะปูปักอยู่บนกำแพง แน่นิ่งไม่ไหวติง เมื่อทอดสายตามองไกลๆ ก็คล้ายตุ๊กแกที่เกาะกำแพงอยู่ตัวหนึ่ง ภายใต้แสงไฟอันหรุบหรู่ ไม่มีผู้ใดเห็นการดำรงอยู่ของมัน 


 


 


ห่างจากยอดศีรษะไม่ถึงหนึ่งจั้งก็คือเชิงเทิน (สิ่งก่อสร้างทางยุทธศาสตร์ เช่นบนกำแพงเมืองหรือปราสาทที่ประกอบด้วยกำแพงบัง ที่เป็นกำแพงเตี้ยที่บากออกเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ เพื่อใช้ในการยิงธนูหรือเครื่องยิงอื่นๆ ออกจากกำแพง ส่วนที่บากหรือตัดออกไปเรียกว่าช่องกำแพง ส่วนที่เป็นกำแพงเรียกว่า ใบสอ) ของกำแพงเมืองซึ่งเสียบคบเพลิงเอียงออกมา ใกล้จะดับแหล่มิดับแหล่ กลิ่นหอมของสุรานมม้าลายมาตามลมพร้อมกับเสียงเพลงของชาวทูเจวี๋ย ทั่วทั้งเค่อจือเอ่อร์ตกอยู่ในห้วงแห่งความสุข 


 


 


ความสามารถในการต่อสู้รายบุคคลของชาวทูเจวี๋ยนั้นโดดเด่นก็จริงอยู่ แต่สิ่งโดดเด่นพร้อมกับความสามารถในการต่อสู้ก็คือความหย่อนยานในกฎระเบียบของพวกมัน ความไม่มีวินัยของชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนปรากฏบนตัวพวกมันอย่างชัดเจน ราชธานีทูเจวี๋ยอยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน อยู่ติดกับปราการทางธรรมชาติอาเอ่อร์ไท่ ถือเป็นแนวหลังที่มั่นงคงมากที่สุดของแค้วนข่านทูเจวี๋ย นับตั้งแต่ก่อตั้งบ้านเมือง ทูเจวี๋ยออกรบขึ้นเหนือล่องใต้ รวบรวมทุ่งหญ้าให้เป็นปึกแผ่น การรบน้อยใหญ่ไม่ต่ำกว่าพันครั้ง มีแค่เค่อจือเอ่อร์ซึ่งไม่เคยถูกรุกรานมาก่อน สิ่งนี้จึงทำให้พวกมันค่อยๆ ชาชิน 


 


 


“พรึบ” แสงไฟดับวูบ คล้ายมีสายลมพัดผ่านทำให้คบเพลิงดับไป ตุ๊กแกที่หมอบอยู่กับกำแพงเคลื่อนที่ปีนป่ายอย่างรวดเร็ว กระโดดข้ามผ่านเชิงเทิน เร้นกายอยู่ในความมืด 


 


 


“มารดามัน ทำไมถึงดับอีกแล้ว!?” ทหารรักษาการณ์ชนเผ่านอกด่านคนหนึ่งสะอึกจากการดื่มสุราพลางเดินส่งเสียงด่าทอเข้ามา ยังไม่ทันจุดที่จุดไฟก็ได้ยินเสียงคอหักดังกร๊อบ ร่างกายกำยำล่ำสันของมันค่อยๆ ล้มพับลงไป 


 


 


เกาฉิวสู้ลมหายใจลึก วางศพของชนเผ่านอกด่านซ่อนอยู่ในมุมมืด ขณะเดียวกันก็มีตุ๊กแกอีกหลายตัวร่อนลงอย่างเงียบงันข้างกายเขา ห่างออกไปสามจั้ง ทหารยามทูเจวี๋ยสี่ห้าคนมือถือขาแพะ กำลังชี้มาที่ถนนใหญ่ หัวเราะเสียงดัง โดยปราศจากความกริ่งเกรง ไม่รู้ว่าไปถูกใจสตรีทูเจวี๋ยคนใด ข้างกายพวกมันก็คือทางขึ้นกำแพงเมือง 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะฮิคราหนึ่ง ดาบโค้งซึ่งเปล่งประกายวูบวาบในมือตวัดกรีดลงอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง พี่น้องหลายคนที่อยู่ด้านหลังต่างเข้าใจ บุกโจมตีออกไปพร้อมกัน พุ่งปราดเร็วรี่ราวกับแมวดาว 


 


 


เกาฉิวฝีมือดีมากที่สุด ระยะทางหลายจั้งเพียงชั่วพริบตาก็บรรลุถึงแล้ว การเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายฟ้า บีบคอชนเผ่านอกด่านสองคนทั้งซ้ายและขวาอย่างโหดเ**้ยม ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ชาวทูเจวี๋ยสองคนที่อยู่ข้างกายนั้นกำลังจะส่งเสียงร้อง ทว่ากลับรู้สึกเสียงแหบแห้งหายไป ไม่ว่าจะตะโกนเช่นไรก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เมื่อก้มหน้าลงไป ดาบโลหะเย็นเฉียบกำลังพาดอยู่ที่ลำคอ โลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมาจากหลอดลม  


 


 


ทหารต้าหัวสองนายนำร่างของหลายคนนั้นพิงกับผนังของกำแพงเมือง ทำหัวสั่นหัวคลอน แสดงอาการของคนเมา ทหารรักษาการณ์ที่อีกเชิงเทินหนึ่งมองมาทางนี้หลายครา จากนั้นก็หัวเราะส่งเสียงด่าทอออกมาทันที 


 


 


“กลไกอยู่ทางนั้น!” คนทั้งหลายต่างคุกเข่าลงไปพร้อมพ่นลมหายใจออกมายาวๆ พี่น้องที่รับผิดชอบการสำรวจคนหนึ่งชี้ไปที่วงล้อขนาดยักษ์บนผนังพร้อมพูดกดเสียงต่ำ กลไกนั้นอยู่ห่างออกไปห้าถึงหกจั้ง ถูกบังด้วยเชิงเทินทรงกลม รอบด้านมีกำแพงป้องกัน มีทหารรักษาการณ์ชาวทูเจวี๋ยหลายสิบคนเฝ้าอยู่ เมื่อดูจากรูปร่าง เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือของชนเผ่านอกด่าน ประตูเมืองอันหนักอึ้งของเค่อจือเอ่อร์ใช้กลไกนี้เพื่อดึงเชือกให้ขยับ 


 


 


เมื่อลองนับจำนวนคน ทหารที่เฝ้ากลไกมีทั้งหมดสิบคน ส่วนข้างกายตนมีพี่น้องยอดฝีมืออยู่หกเจ็ดคน เกาฉิวเงยหน้ามองท้องฟ้าเล็กน้อย ขณะกำลังจะโบกมือให้บุกเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินชาวทูเจวี๋ยส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความตกใจ “รีบดูเร็ว นั่นมันอะไรน่ะ?!” 


 


 


ทิศทางที่ชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นชี้ไปคือนอกเมือง เป็นเมฆสีดำทะมึนขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง  


 


 


รุกคืบเข้าใกล้เค่อจือเอ่อร์อย่างเงียบงัน เมื่อดูจากระยะทางก็ห่างออกไปแค่ไม่กี่ลี้ พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ถึงกระนั้นกลับจมหายไปกับเสียงครื้นเครงสนุกสนานภายในเมือง 


 


 


“เป็นทหารม้า!” หัวหน้าชนเผ่านอกด่านซึ่งมีสายตาดีเลิศและมีประสบการณ์ในการรบมากมายทอดสายตามองไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจทันที  


 


 


มันพูดยังไม่ทันจบ บนถนนใหญ่ของเค่อจือเอ่อร์ก็มีเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวหลายเสียง “เร็ว รีบหนีเร็ว ม้าตื่นแล้ว!” 


 


 


ม้าทูเจวี๋ยซึ่งมีเปลวเพลิงทั่วร่างสองสามตัวร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด กระโดดอย่างเร็วรี่ไม่หยุด วิ่งห้อตะบึงไปตามถนนใหญ่ ชนเผ่านอกด่านหลายคนยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกม้าเหล่านั้นเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้า เปลวเพลิงติดเสื้อผ้าและเส้นผมภายในชั่วพริบตา เสียงร้องโหยหวนดังระงม 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างถนนได้สติกลับมา ร้องด้วยความตกใจพร้อมหมุนกายวิ่งหนี แม้พวกมันจะเป็นผู้ฝึกม้าที่ดีที่สุดบนทุ่งหญ้า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับม้าคลั่งที่มีไฟลุกท่วมร่างเช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าอยู่รับเป็นแนวหน้า? 


 


 


“บุก!” ฉวยโอกาสช่วงที่ชนเผ่านอกด่านทุกคนกำลังนิ่งอึ้ง เกาฉิวโบกมือทันที ชายฉกรรจ์เจ็ดคนพุ่งออกไปราวกับเกาทัณฑ์ ชนเผ่านอกด่านที่เฝ้ากลไกได้ยินเสียงฝีเท้าดังเบาๆ ข้างหลัง เพิ่งหันร่างกลับมาก็เห็นประกายแสงวูบวาบ ดาบใหญ่อันเย็นเยียบฟันลงมาที่ศีรษะ 


 


 


ประกายโลหิตสาดกระจายไปทั่วพร้อมเสียงร้องโหยหวน ชาวทูเจวี๋ยเมื่อได้ยินเสียงก็หันมามอง เห็นเงาดำปิดบังใบหน้าหลายร่างกำลังบุกเข่นฆ่ามาที่กลไกราวกับหมาป่าบุกเข้าฝูงแพะ ดาบโค้งโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง คลื่นโลหิตพวยพุ่งถึงท้องฟ้า 


 


 


“ฆ่า!” คล้ายขานรับเกาฉิวจากสถานที่อันห่างไกล เมฆดำที่กำลังลอยล่องอยู่ใต้เมืองอย่างแช่มช้านั้นพลันสาดซัดเข้ามาราวกับพายุทรายในทะเลทราย ม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งสีดำ สีขาว สีเหลือง รวมตัวกันราวกับสายน้ำไหลบ่า ใช้ความเร็วประดุจลมสลาตันมุ่งโจมตีมาที่เค่อจือเอ่อร์ 


 


 


ดาบศึกเปล่งประกายวูบวาบ ท่ามกลางเสียงเข่นฆ่าดังกึกก้อง มองเห็นสวี่เจิ้น หลี่อู่หลิง และใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างชัดเจน 


 


 


“พี่น้องทั้งหลาย เปิดประตูเมือง!!” เหล่าเกาใช้ดาบฟันศัตรูกล้าแกร่งข้างกาย โลหิตสาดใส่ใบหน้า เขาจับเพลาของวงล้อขนาดมหึมานั้น พี่น้องจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงฮึบดังลั่นออกมาพร้อมกัน ประตูเมืองเค่อจือเอ่อร์อันหนักอึ้งส่งเสียงดังแอ๊ด เผยซอกขนาดเล็กให้เห็น 


 


 


นอกเมือง ในเมือง บนเมือง สามแห่งบุกโจมตีพร้อมกัน ครานี้ชาวทูเจวี๋ยถึงเหมือนเพิ่งตื่นจากห้วงแห่งความฝัน หัวหน้าชนเผ่านอกด่านที่ตกใจลนลานตะโกนเสียงดังลั่น “ศัตรูบุกโจมตี! ฆ่าพวกมันให้ตาย!!” 


 


 


ทหารทูเจวี๋ยจำนวนหลายพันคนกรูมาที่กำแพงเมืองอย่างบ้าคลั่ง ลูกธนูระดมยิงใส่ชาวต้าหัวซึ่งวิ่งมาที่ใต้เมืองอย่างราวกับสายฝน ท่ามกลางเสียงดังฟิ้วๆ ระคนด้วยเสียงดังทึบๆ ทหารต้าหัวพลิกกลิ้งตกลงจากม้า 


 


 


ห่าลูกธนูอันแน่นขนัดของชนเผ่านอกด่านถูกเชิงเทินที่ล้อมวงล้อสกัดเอาไว้เกินครึ่ง ผู้กล้าเจ็ดคนที่ควบคุมวงล้อบนกำแพงเมืองเบิกตาโพลง ระหว่างที่ร้องตวาดเสียงดังก็ออกแรงผลักกลไกอย่างสุดกำลัง ประตูศิลาอันหนักอึ้งขยับอย่างแช่มช้าเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด  


 


 


ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้าหาเชิงเทินราวกับเสียสติ ต้องการสังหารทั้งเจ็ดคนให้สิ้นซาก ขณะเดียวกัน ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ใต้กำแพงเมืองก็กวัดแกว่งดาบโค้ง คิดจะฟันเชือกยักษ์ซึ่งกำลังขยับดึงอย่างแช่มช้าให้ขาด 


 


 


“ฆ่า!” ทหารต้าหัวยี่สิบกว่าคนซึ่งติดตามเยวี่ยซื่อปะปนอยู่ในเมืองกำลังเข้าไปสู้กับพวกมัน ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด 


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่มารายล้อมเชิงเทินมีมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่านายทหารต่างมีโลหิตท่วมร่าง การขยับวงล้อนั้นยากเย็นมากขึ้น ประตูเมืองเปิดเป็นซอกขนาดเล็กเท่ากับครึ่งบ่า จากนั้นก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าสวี่เจิ้นกับหลี่อู่หลิงกำลังจะบุกเข่นฆ่ามาถึงใต้เมืองก็มีพี่น้องหลายสิบคนต้องธนูจนร่วงลงจากม้า เหล่าเการ้อนใจจนเบ้าตาใกล้จะปริแตก ขณะกำลังจะสละชีวิตบุกออกไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้อนใจของสตรีนางหนึ่งแว่วเข้ามา “หลบไป!” 


 


 


เงาสีขาวสายหนึ่งข้ามผ่านทุกคนไปราวกับดาวตก พุ่งไปที่ประตูเมือง ธนูอันบ้าคลั่งของชนเผ่านอกด่านราวกับฝูงตั๊กแตนที่บินว่อน พุ่งเข้าหาพร้อมเสียงลมหวีดหวิว สตรีผู้นั้นไม่หยุดท่าร่าง ประกายกระบี่ในมือโบกสะบัดกวัดแกว่งเร็วรี่ราวกับสายอสุนีบาต พุ่งกระแทกไปที่กำแพงเมือง 


 


 


“ตูม!” กำแพงเมืองคล้ายเริ่มสั่นคลอน ประตูเมืองอันหนักอึ้งประแตกเป็นชิ้นๆ เศษหินปลิวว่อน ฝุ่นลอยคละคลุ้ง ประตูเมืองบานซ้ายส่ายโอนเอน จากนั้นก็ล้มลงพื้นเสียงดังครืน 


 


 


ระหว่างที่บุกโจมตีอย่างรุนแรงนั้น สตรีชุดขาวผู้ปิดบังโฉมหน้าท่าร่างชะงักงันในบัดดล ปากแค่นเสียงเจ็บปวดเล็กน้อยจนสัมผัสไม่ได้ออกมาคราหนึ่ง จากนั้นก็ดีดตัวออกไปราวกับสายฟ้า ขณะที่ร่อนลงพื้นซวนเซไปหลายก้าวถึงจะยืนได้มั่นคง หน้าอกขยับหอบสะท้อนขึ้นลงอย่างเร็วรี่ 


 


 


ประตูเมืองเค่อจือเอ่อร์หนักอึ้งเพียงใด เคยมีผู้ใดใช้กำลังเพียงคนเดียวโจมตีจนแตกได้? การโจมตีครั้งนี้ดั่งศิลาถล่มสวรรค์ สั่นสะเทือนอยู่ในใจของทุกคน 


 


 


แม้ประตูเมืองจะล้มไปแค่บานเดียว ทว่าหนทางเชื่อมเข้าสู่เค่อจือเอ่อร์กลับปลอดโปร่งแล้ว 


 


 


“พี่น้องทั้งหลาย บุกพร้อมข้า บุกเข่นฆ่าเข้าเค่อจือเอ่อร์ จับเป็นข่านทูเจวี๋ย!!” สวี่เจิ้น หลี่อู่หลิงจะปล่อยโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ได้อย่างไร พวกเขาสองคนหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ฝ่าห่าลูกธนูนับไม่ถ้วน ร้องคำรามพร้อมกันพลางดึงบังเ**ยนม้า ม้าเหล่านั้นแทบจะเหินทะยาน ข้ามผ่านเศษหินที่กองไปทั่ว มุ่งสู่ราชธานีทูเจวี๋ย!  

 

 


ตอนที่ 607 - 2 ทลายเมือง

 

ทหารม้าต้าหัวที่ติดตามอยู่ข้างหลังพวกเขาราวกับสายน้ำบ่า กระแทกซากประตูที่เหลืออยู่เสียงดังโครม บุกเข่นฆ่าเข้าไปราวกับน้ำหลาก พลานุภาพอันไร้ผู้ต่อกรนั้น แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยผู้ดุร้ายเห็นแล้วก็ยังหวาดกลัว! 


 


 


ห่าลูกธนูไร้ประมาณยิงลงไปเป็นระลอก ทหารม้าต้าหัวที่วิ่งห้อตะบึงอยู่ใต้เมืองร่วงลงจากม้าไม่ขาดสาย ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนมากกว่าบุกเข้าไปภายในชั่วพริบตา เข่นฆ่าเข้าสู่ถนนใหญ่ของเค่อจือเอ่อร์ การเฝ้ากำแพงเมืองไร้ประโยชน์ทันที ชาวทูเจวี๋ยเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว กรูลงจากกำแพงเมือง พยายามจะสังหารชาวต้าหัวตามตรอกซอกซอย 


 


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องหลินจะต้องมีแผนสำรอง!!” ด้วยความตื่นเต้น เกาฉิวกระโดดถีบวงล้ออันหนักอึ้งนั้นจนหักในคราเดียว กระโดดขึ้นไปบนเชิงเทินสูงนั้น ดาบโค้งที่มีโลหิตหยาดหยดในมือกวัดแกว่งด้วยความตื่นเต้น กู่ร้องราวกับหมาป่า “นี่คือราชธานีชาวทูเจวี๋ย! พี่น้องทั้งหลาย หลับตาของพวกเจ้าและออกแรงฟันเถอะ พวกเรามีแต่ได้ไม่มีเสีย!” 


 


 


ถนนใหญ่ซึ่งเมื่อครู่ยังร้องรำทำเพลงกันอยู่กลายเป็นทะเลโลหิตภายในชั่วพริบตา อาชาเพลิงไฟลุกจำนวนสี่สิบห้าสิบตัววิ่งห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งเบื้องหน้า หมุนวนราวกับพายุหมุน ขอเพียงเข้าไปใกล้ หากไม่ถูกเหยียบย่ำก็ถูกไฟแผดเผา ทหารม้า ต้าหัวที่กรูเข้าไปตามอยู่ด้านหลังอาชาเพลิง ใช้ความเร็วประดุจสายลม บุกทลายชาวทูเจวี๋ยที่รวมตัวต้านทาน กลายเป็นธารน้ำไหลบ่าที่ตัดไม่ขาดสายหนึ่ง นี่เป็นวิธีที่ชาวทูเจวี๋ยชอบใช้มากที่สุดยามบุกทำลายเมืองต้าหัว วันนี้ถูกชาวต้าหัวใช้วิธีการเดียวกันคืนสนอง 


 


 


“ฟิ้ว!” เสียงพลุสัญญาณกรีดผ่านท้องฟ้านอกเมือง แตกเป็นเปลวเพลิงสีสันสดใสงามตา 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยภายในพระตำหนักใหญ่ทุกคนต่างตกใจ ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว คานที่แขวนแพะย่างล้มลง คนเผ่าเยวี่ยซื่อมือถือดาบโค้ง พุ่งไปที่บัลลังก์เสียงดังขวับราวกับฝูงหมาป่าที่บุกกรูกันเข้ามา เหล่าราชนิกุลทูเจวี๋ยที่อยู่ด้านบนยังไม่ทันได้สติก็ถูกดาบเหล็กพาดบนคอ หากต่อต้านเพียงเล็กน้อยก็จะถูกเยวี่ยซื่อสังหารโดยไม่ไว้ไมตรีทันที ท่ามกลางประกายโลหิตสาดกระจาย เหล่าชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านล่างประหวั่นลนลาน กลับเป็นเหล่าผู้กล้าที่เข้าชิงแพะเหล่านั้นที่มีปฏิกิริยารวดเร็วมากที่สุด ต่างรีบบุกเข้ามา 


 


 


“ซาเอ่อร์มู่ ระวัง!!” ข่านใหญ่ดาบทองร้องตกใจโหยหวน ดาบโค้งในมือหลุดออกจากฝักในบัดดล เสียงดังขวับคราหนึ่ง ฟันออกไปอย่างเร็วรี่ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกไป ต้องการจะดึงตัวข่านน้อย 


 


 


“เคร้ง” เสียงอาวุธโลหะเสียดสีกันจนเกิดเป็นเสียงแหลมบาดแก้วหู เจ้าใบ้ชิงลงดาบ ขวางอยู่หน้านางก่อน สองตาเปล่งประกายวาวโรจน์ จ้องมองนางอย่างดุดัน 


 


 


ยังคงมีสายตาเปล่งประกายเยี่ยงนั้น ทว่ากลับต่างกันราวฟ้ากับดิน! อวี้เจียสติหลุดลอย ถ้อยคำที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้ยังคงก้องอยู่ข้างใบหู นางเหมือนขาดอากาศหายใจ เจ็บปวดจนปราศจากความรู้สึก  


 


 


“เจ้าไม่ใช่เจ้าใบ้ เจ้าเป็นใคร! เหตุใดเจ้าถึงต้องหลอกข้า?” นางกล่าวพึมพำพลางมองเขา สายตาเหม่อลอย ทันใดนั้นก็ตวาดอย่างบ้าคลั่งด้วยโทสะ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าก็ต้องฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้า!!” 


 


 


“เคร้ง เคร้ง เคร้ง” นางเบิกตากว้าง สองมือกุมดาบ บุกโจมตีออกไปสามครั้งภายในชั่วพริบตา ประหนึ่งแม่เสือดาวที่กำลังบ้าคลั่ง แต่ละครั้งล้วนยอดเยี่ยม แต่ละดาบไม่ห่างจากจุดตายเขา เมื่อก่อนตอนเป็นเชลย สาวน้อยผู้นี้ปิดบังตนเองดียิ่งนัก นางไม่เพียงเชี่ยวชาญการยิงธนู วิชาดาบเองก็ดุร้ายเผ็ดร้อนยิ่งนัก 


 


 


หลินหว่านหรงถอยหลังหนึ่งก้าว รับดาบที่นางแทงมาที่หัวใจตน ใบหน้าไร้ความรู้สึก สายตาเย็นชา 


 


 


“ฆ่า!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์พลันตวาดเจื้อยแจ้ว นิ้วเรียวยาวทั้งห้ากรีดไปที่ใบหน้าเขาราวสายฟ้าแลบ  


 


 


เจ้าม้าป่าที่บ้าคลั่งตัวนี้นี่! ในที่สุดหลินหว่านหรงก็ถูกกระตุ้นโทสะแล้ว เขากระแทกกำปั้นไปที่ข้อมือเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หนักๆ คราหนึ่ง อวี้เจียแค่นเสียงด้วยความเจ็บปวดพร้อมหดกลับไป  


 


 


หลินหว่านหรงก้าวมาข้างหน้า ดาบใหญ่ในมือเงื้อเหนือศีรษะแล้วฟันลงไปที่ศีรษะนาง อวี้เจียใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งร่างต้านคมดาบของเขา  


 


 


“เจ้าต้องรู้ให้ได้ว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่?!” หลินหว่านหรงดึงหน้ากากบนศีรษะเสียงดังแควกพร้อมโยนทิ้งไป “ได้! เช่นนั้นเจ้าก็มองข้า เจ้ามองข้า!!…หากเจ้าจำข้าได้ วันนี้ข้าจะให้เจ้าฆ่า! เจ้านึก เจ้ารีบนึกให้ออกสิ!” ดาบที่หนักราวพันชั่งกดอวี้เจียอย่างแรงไว้ที่หัวมุมหนึ่ง เขาสองตาเบิกกว้าง ตวาดจนแทบจะเป็นการร้องคำราม ลมหายใจหนักหน่วงซึ่งเกิดจากการหอบตกกระทบใบหน้าอวี้เจียจนส่งเสียงดัง 


 


 


สวมหน้ากากผายลมสุนัขนี่ทำเอาอัดอั้นจนเกือบตาย การปลดปล่อยนี้ทำให้เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ทันที ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“หลิน หลินซาน…” เจ้าคังหนิงซึ่งหลบอยู่ใต้โต๊ะหน้าซีดเผือด ส่งเสียงพึมพำเรียกชื่อเขา 


 


 


“ไปเสียไอ้เจ้าเศษสวะมารดามัน!” หูปู้กุยใช้ดาบฟันแยกโต๊ะตัวนั้น ปากถ่มน้ำลายด่าทอ อ๋องน้อยหดหัวกลับไปอย่างว่าง่าย  


 


 


อวี้เจียส่ายหน้าอย่างแรงพร้อมเบิกตาโพลง จ้องใบหน้าเขาเขม็ง ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย บรรยากาศคล้ายหยุดชะงัก ความสงสัย ความลังเล ความรู้สึกหมดหนทาง ความเศร้าเสียใจ ชั่วพริบตานั้นความรู้สึกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏวูบอยู่ในดวงตานาง 


 


 


เงียบงันอยู่นาน ร่างกายนางสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาเอ่อด้วยไอบางๆ มือน้อยที่กุมดาบทองอยู่ยื่นไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ทว่าหลังจากนั้นก็หยุดชะงัก นางก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ คนที่ข้าลืมเลือนเป็นคนดี หรือว่าคนเลว?!” 


 


 


“ไม่มีเวลามาตอบคำถามพรรค์นี้ของเจ้า!” หลินหว่านหรงผละจากนางไปด้วยสีหน้าเย็นชา หมุนกายแล้วเดินจากไป! 


 


 


“ข้าจะฆ่าคนต่ำช้าเช่นเจ้า!” อวี้เจียที่อยู่ด้านหลังตวาดเสียงดังลั่น ดาบทองในมือฟันท้ายทอยเขาพร้อมเสียงลมหวีดหวิว 


 


 


“เคร้ง!” หลินหว่านหรงหมุนกายแล้วฟัน ดาบทั้งสองพาดอยู่ด้วยกัน เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใช้สองมือกุมดาบโค้ง กัดฟันจนเสียงดังกรอดๆ จ้องเขาเขม็ง ยอมตายแต่ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งสองต่างจ้องหน้ากัน คมดาบเย็นเยียบถากผ่านใบหน้าจนเจ็บปวด 


 


 


โลหิตสีแดงสดซึมออกมาจากริมฝีปาก อวี้เจียมองรอยฟันจางๆ ที่มีลักษณะคล้ายจันทร์เสี้ยวบนข้อมือเขา น้ำตานองใบหน้า  


 


 


“เสด็จพี่…” เสียเด็กน้อยกระจ่างชัดแฝงความประหวั่นลนลานเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นภายในพระตำหนักใหญ่ 


 


 


“ซาเอ่อร์มู่!” อวี้เจียตกใจเป็นล้นพ้น ใช้เรี่ยวแรงทั้งสรรพางค์กายปัดดาบใหญ่ของหลินหว่านหรงออกไป ขณะเดียวกันก็พุ่งร่างตรงไปที่ข่านน้อยราวกับสายฟ้าแลบ 


 


 


“ข่านใหญ่อวี้เจีย ขอให้เจ้าสงบสติอารมณ์” หูปู้กุยใช้เท้าเหยียบท้องถูสั่วจั่ว ส่วนดาบโค้งที่มันวาวด้วยน้ำมันในมืออีกข้างกำลังพาดอยู่บนคอซาเอ่อร์มู่ 


 


 


อวี้เจียรีบหยุดท่าร่าง ดวงตาสาดประกายคมกริบ “เจ้าจะทำอะไร? หากผู้ใดกล้าทำร้ายซาเอ่อร์มู่ ข้าจะให้ชาตินี้มันเสียใจที่เกิดเป็นคน!” 


 


 


“เสด็จพี่ ซาเอ่อร์มู่ไม่กลัว ฆ่าพวกมัน ท่านฆ่าพวกมันเร็ว!” ข่านน้อยเชิดศีรษะพร้อมพูดเสียงดัง น้ำตาเริ่มคลอเบ้า 


 


 


สถานการณ์ภายในพระตำหนักใหญ่ยามนี้กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แม้ต้าหัวจะมีแค่สิบกว่าคน แต่กลับเตรียมการมาล่วงหน้า เพราะไม่ได้ระวังป้องกัน ราชนิกุลยี่สิบกว่าคนด้านบน นอกจากถูกฟันสังหารทันทีแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีไม่ถึงยี่สิบคน ทุกคนต่างตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเขาแล้ว แม้แต่ข่านน้อยซาเอ่อร์มู่ก็ปราศจากข้อยกเว้น 


 


 


ส่วนทหารองครักษ์ทูเจวี๋ยที่เพิ่งมาถึงก็ยืนล้อมอยู่ข้างหลังอวี้เจีย และล้อมชาวต้าหัวไว้หมดแล้ว 


 


 


“เจ้า เจ้าทำไมไม่พูด?!” อวี้เจียกัดฟันกรอด ชี้ไปที่เจ้าใบ้ เอ่ยถามเสียงดัง 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเท้าม้าดังครืนๆ นอกวัง หลินหว่านหรงถอนหายใจเล็กน้อย “ป่านนี้แล้ว ใช้ดาบคุยน่าจะเหมาะสมกว่า” 


 


 


“ทูลท่านข่านใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เมืองแตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ชาวต้าหัวบุกมาที่วังหลวงแล้ว” เขาพูดยังไม่ทันจบ ทหารรักษาการณ์ทูเจวี๋ยนายหนึ่งก็วิ่งหอบแฮ่กๆ บุกเข้ามา ได้ยินเสียงดาบที่ประตูวังอย่างชัดเจน 


 


 


ข่านใหญ่ดาบทองใบหน้าปรากฏความชอกช้ำ มองหลินหว่านหรงพร้อมกล่าวอย่างแผ่วเบาเลื่อนลอย “เจ้านึกว่าทำแบบนี้แล้วจะชนะข้าแล้วหรือ? เจ้าอย่าลืมว่าเค่อจือเอ่อร์มีทหารชั้นยอดอยู่สองหมื่น และยังมีราษฎรจำนวนนับไม่ถ้วนของข้าอีก พวกเขามาจากทั่วทุกสารทิศ พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” 


 


 


“มีทหารชั้นยอดมากเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” หลินหว่านหรงยิ้มเย็นชา “โลหิต เปลวเพลิง ความหวาดกลัว สิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยเคยให้พวกเรา ข้าย่อมหวังให้พวกเจ้าได้ลองรสชาติเช่นนี้เองบ้าง” 


 


 


“ฆ่า!” เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับดังขึ้นราวกับสายฝนที่เทกระหน่ำ เสียงตื่นเต้นละห้าวหาญทรงพลังของสวี่เจิ้นและเกาฉิวอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า ทหารม้าต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนกวาดม้วนเข้ามาดั่งพายุสลาตัน 


 


 


อวี้เจียสายตาเย็นชา โบกสะบัดดาบทอง มือเกาทัณฑ์ที่รออยู่นอกพระตำหนักตั้งแต่แรกยิงออกไปพร้อมกัน ห่าลูกธนูอันแน่นขนัดราวฝูงตั๊กแตน ยิงไปที่ทหารม้าที่นำหน้าอยู่ เสียงร้องโหยหวนดังไม่ขาดสาย 


 


 


ยามสู้ศึกตัดสินสุดท้ายนี้ปราศจากหนทางถอยโดยสิ้นเชิง ผู้ใดเ**้ยมกว่าผู้นั้นก็ชนะ หลินหว่านหรงกัดฟันไม่ส่งเสียง อวี้เจียกำหมัดทั้งสองแน่น สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันกลางอากาศ ถึงกระนั้นกลับเบือนหลบไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ทูลท่านข่านใหญ่ ทหารม้าหมาป่าหนึ่งหมื่นมาถึงประตูหลังแล้ว อีกสักครู่ก็จะมาถึงพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


อวี้เจียผงกศีรษะ เงยหน้ามองเจ้าใบ้คราหนึ่ง ทว่ากลับเห็นเขาหลุบตาลง ท่าทางไม่แยแส คล้ายปราศจากความกลัวแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เขาฟังภาษาทูเจวี๋ยไม่เข้าใจ 


 


 


ความสุขที่มีเพียงน้อยนิดนี้กลับให้เขาเสพสุขไป ข่านใหญ่ก้มหน้าลง ดวงตาบัดเดี๋ยวเคียดแค้นเจ็บปวด บัดเดี๋ยวอ่อนโยน น้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัว 


 


 


หูปู้กุยกลับร้อนใจแล้ว พวกเขาบุกเดี่ยวเข้าวังหลวง แม้แต่ข่านน้อยก็จับตัวได้ หากไม่พาไปด้วย นั่นไม่ใช่ความเสียดายอันยิ่งใหญ่แล้วหรือ? เพียงแต่ยามนี้เชลยที่อยู่ในมือพวกเขายังมีจำนวนมากกว่าคนของตนเสียอีก มิเช่นนั้นคงคุมเชลยศึกออกไปสังหารตั้งนานแล้ว 


 


 


เสียงตะโกนเข่นฆ่านั้นฟังแล้วก็ร้อนใจ รอไม่ไหวแล้วจริงๆ เหล่าหูตะโกนแหกปากเสียงดังออกมาว่า “เหล่าเกา เจ้าเร็วหน่อย เยวี่ยหยาเอ๋อร์รับปากจะอุ่นเตียงให้แม่ทัพหลินแล้ว!” 


 


 


“ฮู่!” เกาฉิวส่งเสียงดัง ฝ่าห่าลูกธนู บุกเข้าไปในกระบวนทัพชาวทูเจวี๋ยพร้อมทหารม้าจำนวนหลายร้อยคนที่อยู่ด้านหลังราวสายฟ้าแลบ กวัดแกว่งดาบไปมา กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่ว 


 


 


ขณะเดียวกัน ด้านหลังพระตำหนักใหญ่ก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังครืนๆ กึกก้องกัมปนาท ทหารม้าทูเจวี๋ยนับหมื่นพุ่งเข้ามาดั่งห่าฝน เมื่อดูจากแสนยานุภาพนั้นยังแกร่งกว่าชาวต้าหัวมากนัก สองทัพเข้ามาใกล้พร้อมกัน ไม่รู้แค่ว่าผู้ใดจะบุกเข้าพระตำหนักใหญ่ก่อนเท่านั้น  


 


 


“แม่ทัพหลิน…” เสียงตวาดของสวี่เจิ้นดังเข้ามาพร้อมเสียงดาบ ทหารม้าต้าหัวบุกเข้ามาด้วยร่างชโลมเลือด และแทบจะขณะเดียวกัน ประตูไม้ของพระตำหนักใหญ่ก็ถูกกระแทกเปิดเสียงดังครืน ทหารม้าเกราะหนักทูเจวี๋ยบุกเข้ามาราวสายลม คุ้มกันอวี้เจียอยู่ข้างหลัง 


 


 


“เจ้าใบ้ พวกเจ้าถูกล้อมไว้หมดแล้ว!” ข่านใหญ่ดาบทองพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย 


 


 


“ตรงข้ามกับที่เจ้าคิด” ชี้ไปที่ทหารทูเจวี๋ยข้างกาย เจ้าใบ้หัวเราะพลางส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าไม่เคยปลอดภัยเช่นนี้มาก่อนเลย!”   

 

 


ตอนที่ 608 - 1 เงื่อนไข

 

เสียงดาบดังแจ่มชัด ประกายโลหิตพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า 


 


 


อาชาเพลิงวิ่งห้อตะบึง ธนูเพลิงโบยบินดั่งตั๊กแตนไปทั่วทุกแห่งหน บ้านไม้และกระโจมที่อยู่ข้างทางติดไฟภายในชั่วพริบตา แผดเผาลุกโชนตามกำลังลม ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนหกล้มถูกเหยียบย่ำจนบาดเจ็บ เปลวเพลิงเผาเส้นผม เสื้อผ้าของพวกมัน ส่งเสียงร้องโหยหวนโอดโอย ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ฝูงชนที่วิ่งหนีกระจัดกระจายกลายเป็นเป้าที่มีชีวิตของทหารม้าต้าหัวที่บุกเข้ามา ห่าลูกธนูไร้ประมาณพร้อมเปลวเพลิงอันพวยพุ่งทำให้เค่อจือเอ่อร์เปลี่ยนจากสรวงสวรรค์กลายเป็นนรกภูมิภายในชั่วพริบตา 


 


 


ท่ามกลางทะเลเพลิงพวยพุ่งไร้ขอบเขต ทหารม้าต้าหัวซึ่งอาบโลหิตท่วมร่างเงื้อดาบโค้งที่มีโลหิตหยาดหยดขึ้นสูง กรูเข้าสู่วังหลวงทูเจวี๋ยราวกับสายน้ำไหลบ่า 


 


 


นอกพระตำหนักใหญ่มีผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดอยู่เต็มไปหมดภายในชั่วพริบตา ชาวทูเจวี๋ย ชาวต้าหัวพร้อมดาบเปื้อนโลหิต ม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่กันเต็มไปหมด ระยะห่างที่อยู่ใกล้ที่สุดของทั้งสองฝ่ายก็แค่ไม่กี่จั้ง ใกล้จนได้กลิ่นเหงื่อที่อยู่บนร่างของแต่ละฝ่ายได้ ทุกแห่งมีแต่ดวงตาอันแดงก่ำและใบหน้าอันบ้าคลั่ง ชาวทูเจวี๋ยเป็นเช่นนี้ ชาวต้าหัวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ 


 


 


“เหล่าเกา ในที่สุดเจ้าก็มามารดามันเสียที!!” เมื่อเห็นใบหน้าดำทะมึนของเกาฉิว หูปู้กุยน้ำตาคลอเบ้าด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน กอดแขนด้วยความตื่นเต้น กล่าวระคนหัวเราะเสียงดัง 


 


 


“น่าละอาย ฆ่าอย่างสะใจอยู่ข้างนอก จนเกือบลืมทางนี้ไปแล้ว ขออภัย ขออภัย” เกาฉิวหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง กวาดตามองซ่าเอ่อร์มู่กับราชนิกุลทูเจวี๋ยที่ถูกจับตัวเหล่านั้นพร้อมผงกศีรษะด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ทหารต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้าไปมัดคนเหล่านั้นอย่างแน่นหนา ส่วนข่านน้อยก็ยิ่งดูแลมากเป็นพิเศษ 


 


 


อวี้เจียมือกุมดาบทอง ริมฝีปากสีชาดมีโลหิตซึมเล็กน้อย อยากจะบุกเข้าไปทันทีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เพียงแต่คมดาบอันเย็นเยียบของชาวต้าหัวกดอยู่บนลำคอซ่าเอ่อร์มู่แน่น ขยับเพียงนิดหัวก็จะหลุดจากบ่า 


 


 


หลี่อู่หลิงมองทหารม้าทูเจวี๋ยท่าทางดุร้ายที่มีอยู่เต็มไปหมด เช็ดคราบโลหิตบนใบหน้าด้วยความตื่นเต้น “ชนเผ่านอกด่านมากขนาดนี้เชียว? พี่หลิน มีให้เราฆ่าตั้งมากมาย! มารดามัน วันนี้ได้ทุนคืนแล้ว!” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ” หลินหว่านหรงเปล่งเสียงหัวเราะ “พวกเราไม่ขาดทุนแล้ว!” 


 


 


เขาหมุนกายกลับมาอย่างแช่มช้า มองทหารชั้นยอดชาวต้าหัวที่อยู่ข้างหลังทั้งหมด ทันใดนั้นก็ชูแขนพร้อมส่งเสียงร้อง พูดเสียงดังออกมาว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? ข้าจะบอกพวกเจ้า สถานที่ที่เต็มไปด้วยโลหิตและเปลวเพลิงแห่งนี้…นั่นคือวังหลวงของชาวทูเจวี๋ย! คือวังหลวงของชาวทูเจวี๋ย!!!” 


 


 


“เฮ…” ประโยคที่เขาจงใจเน้นย้ำนั้นประหนึ่งดินระเบิดที่ร่วงลงพื้น ฝูงชนพลันอารมณ์พลุ่งพล่าน ช่วงเวลาที่ได้ล้างความอัปยศนี้ ชาวต้าหัวรอคอยมานานนับร้อยปี เหล่าทหารหนุ่มซึ่งมีเลือดอันร้อนระอุจำนวนนับไม่ถ้วนน้ำตาร้อนคลอเบ้า พวกเขาโห่ร้องยินดีอย่างบ้าคลั่ง กวัดแกว่งคมดาบเปื้อนโลหิตไปมา กรูเข้าหาชนเผ่านอกด่านที่อยู่ตรงข้ามอย่างดุดัน 


 


 


เมื่อถูกกระตุ้นขวัญกำลังใจอย่างมหาศาลเช่นนี้ แสนยานุภาพของชาวต้าหัวจึงไม่อาจต้านทานได้ แม้จะได้เปรียบด้านกำลังคน แต่กระบวนของชาวทูเจวี๋ยก็ยังถูกพวกเขากดดันให้ถอยไปหลายจั้งอยู่ดี 


 


 


“ขวับ!” ดาบโค้งของอวี้เจียออกจากฝัก มือน้อยกวัดแกว่งอย่างเย็นชา ชาวทูเจวี๋ยพลันกรูเข้าหาจากทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง 


 


 


“เคร้ง!” อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนปะทะกัน ทั้งสองฝ่ายต่างเบียดเสียดแนบชิด เหล่าทหารต้าหัวแต่ละคนต่างมีใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาสาดประกายดุร้ายและตื่นเต้น ยอมตายแต่ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว  


 


 


ระหว่างที่ประจันหน้ากันอยู่นั้น แม้ยังไม่ได้สู้แลกชีวิต แต่บรรยากาศกลับกดดันจนแทบขาดอากาศหายใจ นอกจากเสียงหอบแฮ่กๆ แล้วก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา อวี้เจียดวงตาสาดประกายวูบ กวัดแกว่งดาบทองอีกครา ชาวทูเจวี๋ยส่งเสียงคำรามต่ำๆ กระบวนทัพพยายามเบียดกลับไปอย่างสุดกำลัง กดดันให้อีกฝ่ายมีพื้นที่แคบลงทีละก้าวทีละก้าว 


 


 


“ใครก็ห้ามถอย!” หลินหว่านหรงสายตาเย็นเยียบ กลืนน้ำลายอย่างแรง ดาบใหญ่ชี้ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ฆ่า!” ทหารต้าหัวส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน สองตาแดงก่ำ ระเบิดพลังอันมหาศาลออกมาภายในชั่วพริบตา ใช้ดาบใหญ่วาววับนั้นยันชาวทูเจวี๋ย เบียดพวกมันกลับไปอีกครา 


 


 


ไม่เห็นโลหิต ทว่ากลับน่าอกสั่นขวัญหายยิ่งกว่าการฆ่าฟันบนสนามรบเสียอีก นี่คือการประลองกำลังด้านความอึดและความมุ่งมั่นของสองชนชาติ! ใบหน้าของชาวต้าหัวทุกคนต่างปรากฏความตื่นเต้นและความโศกเศร้าฮึกเหิมอันยากจะบรรยายได้ เบื้องบนถึงหลินซาน เบื้องล่างจรดทหารชั้นผู้น้อย ไม่มีผู้ใดที่ไม่ใช่เช่นนี้ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีทางพ่ายแพ้ 


 


 


ข่านใหญ่ดาบทองเงยหน้าเล็กน้อย มองประเมินเจ้าใบ้ สายตาค่อยๆ เย็นชา กุมดาบโค้งแน่น หลังมือขาวกระจ่างใสมีเส้นเอ็นขนาดเล็ก ปูดโปนให้เห็นรางๆ หลายเส้น เจ้าใบ้จ้องนางอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ สีหน้าถมึงทึงราวกับความมืดบนขอบฟ้า 


 


 


ท่ามกลางความเงียบงันอันน่ากลัวนี้ จิตใจของทุกคนเฉกเช่นสายพิณที่ขึงจนตึงแน่น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสายพิณนี้จะขาดสะบั้นเมื่อใด และขาดสะบั้นแล้วจะเป็นเช่นไร 


 


 


“เสด็จพี่ไม่ต้องสนใจข้า ฆ่าพวกมัน!” ข่านน้อยทูเจวี๋ยซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือชาวต้าหัวพลันกัดฟันกรอดพร้อมตวาดด้วยเสียงอันสั่นเทาและเยาว์วัย เสียงเด็กอันกระจ่างใสดังไปทุกซอกมุมของวังหลวงภายในชั่วพริบตา  


 


 


เหล่าเกาตบศีรษะข่านน้อยคราหนึ่งพร้อมพูดอย่างมีน้ำโห “ถ้าพูดอีกข้าจะตัดลิ้นเจ้าออกมา!” 


 


 


การจับตัวข่านทูเจวี๋ยเป็นเรื่องดีๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน ถึงอย่างนั้นกลับมาอยู่ในเงื้อมมือข้าได้?! เหล่าเกาจ้องมองฝ่ามือตนเองด้วยท่าทีอึ้งๆ หลังจากผ่านไปเนิ่นนานจู่ๆ ก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง หูปู้กุยย่อมเข้าใจความหมายของเขา หัวเราะฮิฮะพร้อมพูดว่า “ให้เจ้านี่ได้โอกาสไปก่อน!” 


 


 


“ซ่าเอ่อร์มู่…” อวี้เจียร้องด้วยความโศกเศร้า สองตาเบิกโพลง ขบกรามแน่น แทบจะบีบดาบทองในมือจนแหลกละเอียด 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่เกา อย่าใช้กำลังหยาบคายเกินไป พวกเราต้าหัวเป็นผู้มีจารีตประเพณี เมื่อใช้คุณธรรมสยบไม่ได้ถึงจะค่อยลงมือ” 


 


 


“ใช่ ใช่ คราวหน้าต้องแก้ใหม่!” เหล่าเกาหัวเราะร่าพลางผงกศีรษะ 


 


 


“ไม่ต้องให้เจ้าทำตัวเป็นมุสิกร่ำไห้ให้วิฬาร์ เสแสร้งทำเป็นมีคุณธรรม!” ซ่าเอ่อร์มู่ตะโกนด้วยความเดือดดาล แม้ภาษาจะแข็งกระด้าง แต่กลับเป็นภาษาต้าหัวที่ถูกต้อง หลินหว่านหรงมองเขาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็มองอวี้เจียอีกครา ข่านใหญ่มีสีหน้าเย็นชา ดวงตาสาดประกายเคียดแค้นอย่างล้ำลึก 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกขบขัน “ซ่าเอ่อร์มู่ วิฬาร์ร่ำไห้ให้มุสิกถึงจะเสแสร้งทำเป็นมีคุณธรรม มุสิกร่ำไห้ให้วิฬาร์นั่นคือคุณธรรมที่แท้จริง ตอนที่พี่สาวสอนภาษาต้าหัวให้เจ้า เจ้าต้องไม่ได้ตั้งใจเรียนแน่” 


 


 


ข่านน้อยเบิกตาโพลงมองเขา “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นมุกสุกหรือว่าวิฬาร์ เจ้ารังแกเสด็จพี่ของข้า ซ่าเอ่อร์มู่ไม่มีทางละเว้นเจ้าแน่!” 


 


 


“ข้าไม่ได้รังแก…” ข้าคิดจะแก้ตัว เพียงแต่เมื่อมองอวี้เจียเสียงกลับเบาลงไปโดยไม่รู้ตัว คล้ายมีความมั่นใจไม่เพียงพอ! 


 


 


ข่านใหญ่ถอนหายใจยาว ใบหน้าเปล่งประกายสีทองบางๆ นางเชิดหน้า สายตาคมกริบ จ้องมองใบหน้าเขาอย่างลึกซึ้ง “ชาวต้าหัว มาคุยเงื่อนไขกันดีกว่า ขอเพียงเจ้าปล่อยตัวซ่าเอ่อร์มู่กับคนในเผ่าข้า อวี้เจียขอใช้เกียรติของข่านใหญ่ดาบทองแห่งแคว้นข่านทูเจวี๋ยรับรองกับเจ้า เรื่องที่ลอบโจมตีราชธานีข้าจะไม่เอาความ เจ้ากับผู้กล้าของเจ้าจะออกไปจากทุ่งหญ้า หวนคืนสู่มาตุภูมิของพวกเจ้าอย่างมีเกียรติด้วยความอยู่รอดปลอดภัย!” 


 


 


หวนคืนสู่อย่างมีเกียรติคำนี้สมควรแน่นอน ทัพอันโดดเดี่ยวของพวกเขาเดินทางรอนแรมวกวนไปมาหลายเดือน ล่วงลึกนับพันลี้ ข้ามผ่านปราการธรรมชาติเฮ่อหลานซาน เผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ โจมตีต๋าหลานจาอย่างพิสดาร ข้ามผ่านทะเลแห่งความตายและถ้ำน้ำแข็งเทียนซาน บุกโจมตีราชธานีของชนเผ่านอกด่าน จุดไฟสงครามแผดเผาทั่วเค่อจือเอ่อร์ ถือว่าสร้างความสะเทือนขวัญแก่ศัตรู ไร้ผู้ต่อกรอย่างแท้จริง ต่อให้พาตัวซ่าเอ่อร์มู่ไปไม่ได้ ขอเพียงมีชีวิตรอดกลับไป พวกเขาก็จะเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวเรียบๆ ออกมาว่า “ข่านใหญ่ เสนอเงื่อนไขแบบนี้ออกมา เจ้าไม่รู้สึกว่ากำลังลบหลู่สติปัญญาของข้าอยู่หรือ?!” 


 


 


อวี้เจียสีหน้าเย็นชา “มือพวกเจ้าแปดเปื้อนโลหิตคนในเผ่าข้า เจ้าปล่อยตัวซ่าเอ่อร์มู่ ข้าไม่ถือสาหาความ หรือว่านี่ยังไม่พออีก?!” 


 


 


เจ้าใบ้มองนาง ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมหัวเราะออกมายาวๆ ความดูแคลนบนใบหน้าคล้ายเข็มทิ่มแทงจิตใจ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ 


 


 


“เจ้าหัวเราะอะไร?!” ข่านใหญ่ดาบทองตวาดด้วยโทสะ อยากจะเข้าไปบีบคอเขาให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เสียงตวาดเจื้อยแจ้วกระจ่างใสนั้น แม้แต่ฝุ่นบนคานของพระตำหนักใหญ่ก็ยังต้องสั่นสะเทือนจนร่วงลงมา 


 


 


หลินหว่านหรงเลิกคิ้ว กล่าวด้วยความเดือดดาล “ข้าหัวเราะที่เจ้าฉาดแต่แกล้งทำเป็นเลอะเลือน! หากเอ่ยถึงมือแปดเปื้อนโลหิต ข่านใหญ่ เจ้าลองไปถามเสด็จพ่อของเจ้า ลองถามคนในเผ่าเจ้า พวกเขาเคยทำอะไรกับสหายร่วมอุทรของข้าบ้าง? ต่อให้ข้าฆ่าชาวทูเจวี๋ยไปอีกสิบเท่า มันจะไปเทียบกับมือสังหารเช่นพวกเขาได้อย่างไร?!” 


 


 


“ห้ามมาตั้งคำถามกับเสด็จพ่อของข้า!!!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด เบิกตากว้าง จ้องมองเขาเขม็ง ตะโกนอย่างเดือดดาล 


 


 


หลินหว่านหรงหน้าตาถมึงทึง พูดเสียงดังออกมาว่า “เขาคือเสด็จพ่อเจ้า ไม่ใช่เสด็จพ่อข้า!! ข้าตั้งคำถามต่อคนที่สองมือแปดเปื้อนโลหิต มีอะไรที่ไม่ได้กัน?!” 


 


 


การถกเถียงอย่างดุเดือดนี้เหมือนรู้สึกคุ้นเคยอยู่รางๆ ตอนที่นางเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์เชลยผู้งดงามไร้เดียงสาคนนั้นก็เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่กาลเวลาผันผ่าน สิ่งของแม้ดังเดิม ทว่าคนกลับมิใช่! ยามนี้เวลานี้ นางยังจดจำอดีตอันไกลโพ้นเหล่านั้นได้อีกหรือ?! เจ้าใบ้ตีหน้าขรึม ยิ้มขื่นอยู่ในใจ 


 


 


เหล่าหูกับเกาฉิวต่างมองหน้ากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สองคนนี้เห็นชัดว่ากลายเป็นคนที่อยู่กันคนละโลกกันแล้ว ทว่าเหตุใดถึงทะเลาะกันอีก? ท่าทางและสายตา กระทั่งว่าน้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยนแปลง! 


 


 


“เจ้ากล้าลบหลู่เสด็จพ่อของข้า?!” ซ่าเอ่อร์มู่ที่อยู่ทางนั้นเต้นผางแล้ว บุกเข้ามาต้องการแลกชีวิตกับเขา เหล่าเกาหัวเราะฮิฮะพลางขวางข่านน้อยเอาไว้ คนอายุน้อยทว่าความคิดพิเรนทร์มีมาก เขาอ้าปากแล้วกัดมือเหล่าเกา หูปู้กุยตาไวมือไว เขาไปบีบคอซ่าเอ่อร์มู่อย่างแรง ปล่อยให้ร่างกายอันเยาว์ของเขาลอยอยู่กลางอากาศพลางเตะขาไปมา 


 


 


“หยุดนะ!” เมื่อเห็นซ่าเอ่อร์มู่ได้รับความทรมาน ด้วยโทสะและความร้อนใจ อวี้เจียกวัดแกว่งดาบทอง สองตาเปียกชื้นเล็กน้อย 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะฮิฮะ เกาหัวด้วยความกระดากใจ จากนั้นจึงปล่อยข่านน้อยลง 


 


 


ข่านใหญ่ดาบทองหอบหายใจกระชั้นถี่หลายครั้ง ใบหน้าผุดความโศกเศร้าบางๆ นางมองหลินหว่านหรงอย่างเงียบงัน ทันใดนั้นก็เดินเข้ามาอย่างแช่มช้า ฝีเท้านางแผ่วเบามาก ราวกับขนนกซึ่งลอยล่องอยู่กลางอากาศ ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง 


 


 


เมื่ออยู่ห่างจากเขาแค่สองจั้งอวี้เจียก็รั้งฝีเท้า มองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ใช้ข้า แลกกับน้องชายข้า! พวกเจ้าปล่อยเขา พาข้าไป!!” 


 


 


“เสด็จพี่…” ข่านน้อยส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความตกใจ 


 


 


ดวงตากลมโตอันงดงามของอวี้เจียเบิกกว้าง กล่าวด้วยโทสะออกมา “ซ่าเอ่อร์มู่ เจ้าคือบุตรชายของข่านผีเจีย เป็นพญาอินทรีที่เหินอยู่เหนือทุ่งหญ้า หลั่งโลหิตได้ แต่ห้ามหลั่งน้ำตา! ข้าไม่เคยสอนเจ้าหรือ?!” 


 


 


หูปู้กุยส่ายศีรษะเล็กน้อย อวี้เจียผู้หญิงคนนี้ ฉลาดหลักแหลมกอปรด้วยสติปัญญาไม่ว่า ทั้งยังยิ่งมีคุณธรรมมีน้ำใจมีความรับผิดชอบอีก เพียงแต่น่าเสียดาย เหตุใดนางถึงชนเผ่านอกด่านได้? คราวนี้ดีเลย เหมือนพวกเขากลายเป็นคนชั่วช้าที่กระทำแต่เรื่องเลวทรามไปเสียอย่างนั้น! 


 


 


เหล่าเกาถอนหายใจ แอบพูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “น้องหลิน เจ้ามีสติปัญญาและแผนการ คิดหาหนทางให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์อุ่นเตียงให้เจ้าจะดีกว่า! นางไม่ใช่คนเลว พวกเราก็ไม่ใช่คนเลวนะ! สตรีเช่นนี้หากพลาดไปแล้วก็ออกจะน่าเสียดายเหลือเกิน!!” 


 


 


หลินหว่านหรงอับจนคำพูด สองทัพเผชิญหน้า โลหิตนองเป็นท้องธาร ความแค้นยิ่งใหญ่ดั่งห้วงมหาสมุทร แถมสถานะของอวี้เจียก็ยังเป็นเจ้าผู้ปกครองทุ่งหญ้าอีก ต่อให้ข้าอยากให้นางไปอุ่นเตียง เสี่ยงชีวิตเสี่ยงอันตรายยังไม่ต้องพูดถึง ชาวทูเจวี๋ยจะรับปากไหม?! 


 


 


“ทำไม ไม่กล้าตอบหรือ?! พวกเจ้าชาวต้าหัวต่างขวัญอ่อนเยี่ยงนี้กันหรือ?!” ข่านใหญ่จ้องมองเขา มุมปากผุดรอยยิ้มประชดประชันเย็นชา 


 


 


เหมือนโชคชะตากำลังเล่นตลก เริ่มจากที่ใด เมื่อเดินวนไปรอบหนึ่งก็กลับมายังที่เดิม หากอวี้เจียเป็นเชลยของตนอีกครั้งจริง เช่นนั้นวงล้อแห่งโชคชะตาจะชี้ไปทิศทางใดนะ? “ไม่ใช่ไม่กล้าตอบ แต่กลัวว่าพอตอบแล้วจะทำให้เจ้าผิดหวัง” เขาส่ายศีรษะหัวเราะพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย “ข่านใหญ่ เรื่องราวบนโลกแปรผัน เจ้าในตอนนี้หาใช่คนที่ข้าต้องการ!” 


 


 


“เจ้า…” อวี้เจียหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห ดวงตาผุดไอน้ำบางๆ จากนั้นก็เปล่งประกายคมกริบในบัดดล กำดาบทองในมือแน่น พร้อมจะออกจากฝักได้ทุกเมื่อ 


 


 


เจ้าใบ้คล้ายไม่เห็นสายตาของนาง กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ข้าพูดไม่ถูกหรือ?! ตอนนี้เจ้าเป็นข่านดาบทอง ยิ่งใหญ่บารมีแผ่ไพศาล แต่นายแห่งทุ่งหญ้าในอนาคตกลับไม่ใช่เจ้า แล้วเหตุใดข้าต้องละทิ้งอนาคตเพื่อปัจจุบันด้วยเล่า?! เพราะว่าเจ้าหน้าตาสะสวยอย่างนั้นหรือ? ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง สาวใช้ที่บ้านข้าแต่ละคนต่างงามกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า แถมยังให้ข้าลูบคลำได้ตามใจชอบอีกด้วย เจ้าทำได้หรือเปล่า?!” 


 


 


“ต่ำช้า!” ข่านใหญ่กัดฟันกรอด อกสะท้อนขึ้นลงเร็วรี่ สายตาเย็นชาดุจสายฟ้าแลบ ถลึงตามองเขาอย่างดุดัน “เช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?! ยื่นเงื่อนไขของเจ้าออกมา!” 


 


 


เจ้าใบ้พ่นลมหายใจออกมายาวๆ ส่ายศีรษะแล้วตอบว่า “เงื่อนไข? ย่อมต้องพูดกันแน่นอน เพียงแต่เวลาที่ข่านใหญ่เลือกในวันนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” 


 


 


เมื่อได้ยินเหมือนเขายินดีที่จะยื่นเงื่อนไข ดวงตาอวี้เจียปรากฏแววแห่งความหวัง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “วันนี้ไม่ดี?เช่นนั้นพรุ่งนี้?!” 


 


 


“พรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันมงคล!” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเลือกเมื่อใด?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “รอให้ข้ากลับถึงเฮ่อหลานซานก็น่าจะพอใช้ได้แล้ว ถึงเวลาสองแคว้นเราสร้างปะรำแห่งหนึ่งระหว่างอู่หยวนกับปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ วางขวางข้ามผ่านเขตแดนของสองดินแดน จากนั้นก็ตั้งโต๊ะสักหลายสิบตัว ทุกคนดื่มชา กินผลไม้ นั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกัน ไม่ขอปิดบังเจ้า ข่านใหญ่ ข้ารอคอยการมาถึงของช่วงเวลานั้นมาก!” 


 


 


ข่านใหญ่ดาบทองรู้ตัวว่าติดกับเข้าแล้ว ดังนั้นจึงเดือดดาลขึ้นมาทันที ดวงหน้างดงามแดงก่ำ “เจ้าใบ้ เจ้ากล้าเล่นตลกกับข้า?!” “นี่ไม่ใช่การเล่นตลก แต่เป็นความจริงที่เจ้าต้องเผชิญ!” เจ้าใบ้หมุนกายกลับไปโดยปราศจากความกริ่งเกรง กล่าวระคนยิ้มให้ซ่าเอ่อร์มู่ “ข่านน้อย ขอต้อนรับการไปเป็นแขกที่ต้าหัวของเรา ขอเพียงแจ้งชื่อหลินซานของข้าก็จะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าเด็ดขาด ข้าขอรับรองด้วยชื่อเสียงและเกียรติยศของข้า!”  

 

 


ตอนที่ 608 - 2 เงื่อนไข

 

“เจ้ากล้า?!” อวี้เจียหางตาปริแตก ฟันโต๊ะเตี้ยที่อยู่ด้านข้างจนหักสะบั้น สองตาดั่งมีไฟลุกโชน กัดฟันกรอดพลางจ้องมองเขา ริมฝีปากสีชาดมีโลหิตไหลซึม พูดเน้นออกมาทีละคำว่า “หลินซาน เจ้านึกว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงหรือ?!” 


 


 


“ลองฆ่าดูก็รู้เอง!” หลินซานสะบัดแขนเสื้อ ตบบ่าหูปู้กุยที่อยู่ข้างกาย “หูปู้กุย บอกพี่น้องทั้งหลายให้เตรียมตัว พวกเราจะกลับบ้านกันแล้ว!” 


 


 


กลับบ้าน? สองคำนี้ทั้งห่างไกลทั้งแปลกหน้า หูปู้กุยได้ยินแล้วก็นิ่งงันอยู่นาน ทันใดนั้นน้ำตาร้อนก็คลอเบ้า พูดพึมพำเสียงสั่นเครือออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านพูดว่าพวกเรากลับบ้าน?!” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ กลับบ้าน! วันนี้ช่างอากาศดีเสียจริง!” ทอดสายตามองแสงแรกอรุณที่เพิ่งปรากฏ ณ ริมขอบฟ้าอันห่างไกล สีแดงเข้มราวกับใบหน้าของเด็กทารก เขาสูดจมูกเล็กน้อย ยกเท้าเดินย่างก้าว เชิดหน้าพร้อมย่างออกไป อวี้เจียจ้องเงาหลังเขา สายตาแปรเปลี่ยนไม่หยุด 


 


 


“เสด็จพี่…” ซ่าเอ่อร์มู่ถูกหูปู้กุยหิ้วอยู่ในมือ เดินตามหลินหว่านหรงจากไป เสียงตะโกนร้องเรียกอันวัยเยาว์นั้นช่างน่าอนาถยิ่งนัก ชาวทูเจวี๋ยยี่สิบกว่าคนซึ่งถูกจับตัวเป็นเชลยถูกมัดมือมัดขาและใช้เศษผ้าอุดปากเอาไว้กำลังดิ้นรนขัดขืนระหว่างที่ถูกผลักไสให้เดินไปข้างหน้า น้ำตาสองสายร่วงหล่นอย่างเงียบงัน อวี้เจียกัดฟันกรอดในบัดดล โบกดาบทอง ตวาดอย่างเร็วรี่ออกมาว่า “ผู้กล้าทั้งหลายฟังบัญชา ห้ามปล่อยชาวต้าหัวไปแม้แต่คนเดียว!” 


 


 


ขวับๆ ชาวทูเจวี๋ยล้อมเข้ามา ธนูเปล่งประกายเย็นเยียบจำนวนนับไม่ถ้วนเล็งไปที่พวกเขาพร้อมกัน 


 


 


“เกาทัณฑ์ทอง ลูกศรสีนิลอยู่ที่ใด?!” เสียงข่านใหญ่ดาบทองแจ่มชัดและเด็ดขาด ปราศจากความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้งดงามสองนางประคองเกาทัณฑ์สีทอง อวี้เจียถืออยู่ในมือ จากนั้นก็น้าวสายเบาๆ ภายในพระตำหนักใหญ่พลันบังเกิดเสียงดังหึ่งๆ ก้องอยู่ข้างใบหูไม่ขาดสาย สาวน้อยอีกสองนางสะพายกระบอกใส่ลูกธนูให้นางด้วยความเคารพนบนอบ มีลูกธนูสีนิลอันหนึกอึ้งจำนวนนับไม่ถ้วนอัดอยู่เต็มไปหมด! ลูกศรสีนิลนี้ทำมาจากทองคำสีนิลบริสุทธิ์ ดำสนิททั้งตัวลูกศร ล้ำค่าเหลือคณา แข็งแกร่งยิ่งกว่าทองคำ  อานุภาพเกรียงไกร! 


 


 


อวี้เจียสายตาเย็นเยียบ นำลูกศรขึ้นสาย มืองามยกขึ้นเล็กน้อย ธนูสีดำทะมึนเล็งไปที่เงาหลังซึ่งกำลังขยับโยกย้ายเล็กน้อยนั้น 


 


 


หลินหว่านหรงคล้ายสัมผัสอะไรได้ ร่างกายหยุดชะงักเล็กน้อย ถึงกระนั้นกลับไม่ได้หันหน้ากลับมา “ข่านใหญ่ แม้จะไม่เห็นด้วยกับมุมมองบางอย่างของเจ้า แต่ในใจข้าเจ้าคือคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การนับถือมากที่สุด! แม้เจ้าจะไม่ได้งดงามเท่าสาวใช้ที่บ้านข้า ทว่าการยิงธนูของเจ้านั้นดีมาก วันนี้หากข้าตายด้วยเงื้อมมือเจ้า นั่นก็ถือว่าไม่ผิดแล้ว!” 


 


 


ดวงตาอันแสนจะงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผุดไอน้ำบางๆ มืองามที่กุมคันศรสั่นระริกเล็กน้อย “เจ้าใบ้ สิ่งที่เจ้าเคยพูด ประโยคใดจริง ประโยคใดเท็จ ข้าไม่อาจแยกแยะได้ชัดเจน อวี้เจียขอถามประโยคหนึ่ง แม้แต่ตัวเจ้าเองก็เข้าในทุกสิ่งอย่างกระจ่างแจ้งด้วยหรือไม่?!” 


 


 


เจ้าใบ้หันหลังโบกมือให้นางเล็กน้อย พูดเสียงดังออกมาว่า “หากแยกแยะจริงเท็จได้ชัดเจนขนาดนั้น เช่นนั้นก็ไม่ใช่ชีวิตมนุษย์ แต่เป็นการแสดงละครแล้ว…พี่เกา พวกเราไป!” 


 


 


“ไป!” เกาฉิวคำรามก้องคราหนึ่ง ดาบใหญ่ในมือฟันออกไปอย่างสุดแรง ระหว่างที่บังเกิดเสียง เคร้ง” ดังลั่น ชนเผ่านอกด่านที่ขวางอยุ่เบื้องหน้าถอยหลังพร้อมกันหลายก้าว ทหารทุกคนต่างตามอยู่ข้างหลังเขา ค่อย ๆ คืบคลานออกจากประตูวังหลวง 


 


 


ชนเผ่านอกด่านเดินช้าเร็วตามพวกเขา ล้อมเบียดชาวต้าหัวอยู่กึ่งกลาง ถึงกระนั้นกลับไม่กล้ากระทำอะไรผลีผลาม ข่านน้อยกับเหล่าราชนิกุลจำนวนมากอยู่ในมือพวกเขา อีกทั้งข่านใหญ่ก็ยังไม่ได้ทรงออกคำสั่ง แล้วผู้ใดจะกล้าลงมือโดยพลการ? 


 


 


เหล่าเกาหน้าตาดุร้าย สาวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า ฟันลงไปดาบแล้วดาบเล่า รวดเร็วและรุนแรง ชนเผ่านอกด่านไม่กล้าปะทะซึ่งๆ หน้า ดังนั้นจึงทำได้แค่ถอยหลังไปทีละก้าวเท่านั้น 


 


 


เมื่อเห็นว่าเดินมาถึงประตูวังหลวงและกำลังก้าวข้ามธรณีประตูก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวรุนแรงกรีดผ่านข้างใบหู ทำให้เส้นผมบางๆ หลายเส้นขยับปลิวขึ้น สายลมรุนแรงดังหึ่งๆ ผ่านพ้นไป ทำให้เจ็บใบหูราวกับใบมีด 


 


 


เสียงดัง ‘ฉึก’ กระจ่างชัด โลหะและก้อนหินปะทะกัน สะเก็ดไฟกระจ่างวูบขึ้นมาทันที ลูกเกาทัณฑ์สีดำปลอดนั้นถากผ่านใบหน้าเขาอย่างแนบชิด จมลงไปในผนังศิลาอันหนาทึบของวังหลวงจนมิดดอก เสียงก้องหึ่งๆ ดังวนเวียนอยู่ข้างใบหู 


 


 


หูปู้กุยอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ คันศรกล้าแกร่งลูกเกาทัณฑ์คมกริบเยี่ยงนี้ บวกกับฝีมือการยิงธนูอันล้ำเลิศพิสดารของอวี้เจีย ใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดต้านทานได้อีก! 


 


 


“ความแม่นยำช่างแย่เสียจริง!” หลินหว่านหรงส่ายศีรษะอย่างจนใจ หัวเราะพลางเช็ดแก้มที่แสบร้อนนั้น จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ ก้าวออกจากประตูวัง 


 


 


การย่างก้าวออกไปครานี้ ความรู้สึกที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาก็ปะทะหน้าเข้ามา แสงเพลิงรอบด้านยังไม่มอดดับ เสียงเพียะๆ ดังไม่ขาดสาย เมื่อทอดสายตามองสองข้างทาง เมื่อคืนยังสนุกสนานครึกครื้นอยู่เลย มาบัดนี้กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน ซากปรักหักพังเต็มไปหมด ครึ่งเมืองเค่อจือเอ่อร์ถูกเพลิงใหญ่กลืนกิน  


 


 


ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมอยู่สองฟากฝั่งถนน ล้อมพวกเขาเอาไว้ ไอสังหารเดือดพล่าน ทว่ากลับปราศจากลูกธนูยิงออกมาแม้แต่ดอกเดียว เห็นชัดว่ายังไม่ได้รับบัญชาจากอวี้เจีย 


 


 


ชาวต้าหัวค่อยๆ ดันไปที่ประตูเมือง ชาวทูเจวี๋ยถอยหลังอย่างเป็นระเบียบ คล้ายจงใจทิ้งทางเดินให้พวกเขาเป็นพิเศษ 


 


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าอวี้เจียจะปล่อยพวกเราไปทั้งอย่างนี้?” สวี่เจิ้นถือดาบด้วยสองมือ เหลียวซ้ายแลขวา กล่าวด้วยความระแวดระวัง  


 


 


ชาวทูเจวี๋ยล้อมแต่ไม่โจมตี ไม่ลงดาบ ทั่วทั้งเค่อจือเอ่อร์ต่างเงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพสำเนียง แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้กลับแฝงกลิ่นคาวเลือดจางๆ ความกดดันอันไร้รูปร่างกดทับจิตใจอย่างหนักอึ้ง ไม่ใช่แค่สวี่เจิ้นและหลี่อู่หลิง แม้แต่ผู้ที่คร่ำหวอดในสนามรบมานานเช่นหูปู้กุยกับเกาฉิวนี้ หน้าผากก็ยังมีเหงื่อซึมออกมาเป็นชั้นๆ  


 


 


“ดูสิ นั่นคือเกี้ยวของเยวี่ยหยาเอ๋อร์!” หลี่อู่หลิงชี้พร้อมร้องออกมา 


 


 


ท่ามกลางการคุ้มกันจากชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วน ม่านกระโจมสีเหลืองทองหลังหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนที่ตามอยู่ข้างหลังพวกเขาไม่เร็วไม่ช้า ผ้าม่านโปร่งพลิ้วไหวเบาๆ เงียบงันไร้ซึ่งสรรพสำเนียง มองไม่เห็นเงาของอวี้เจีย แต่กลับรู้สึกถึงลมหายใจอันสงบเยือกเย็นของนางได้ ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยเงียบจนน่ากลัว ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางต้องการจะทำอะไร 


 


 


ประตูเมืองปรักหักพังใกล้แค่ตรงหน้า ซากศพชนเผ่านอกด่านนอนเกลื่อนกลาด ระเกะระกะ ทหารต้าหัวที่ร่วงหล่นลงจากม้าหยุดหายใจไปตั้งแต่แรกแล้ว เปลวเพลิง คราบโลหิต ซากแขนขา ร่องรอยของศึกใหญ่เมื่อคืนปรากฏให้เห็นอยู่ในสายตาอย่างต่อเนื่อง 


 


 


เขาเดินอยู่หน้าสุดเพียงลำพัง ทอดสายตามองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมานานตรงหน้าทีละใบหน้า ทหารต้าหัวจำนวนมากแม้ตายแล้วก็ยังเบิกตาโพลง นอนตายตาไม่หลับ 


 


 


ที่นี่ไม่ใช่ต้าหัว! วิญญาณผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนนอนหลับชั่วกาลนานอยู่บนดินแดนต่างบ้านต่างเมือง ไม่อาจหวนคืนสู่มาตุภูมิไปตลอดกาล 


 


 


เขาเงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา น้ำตานองทั้งสองแก้ม 


 


 


“โจรน้อย ขอโทษด้วย…” มือน้อยอุ่นร้อนและเปียกชื้นข้างหนึ่งจับมือเขาแน่น รับรู้ความทุกข์และความโศกของเขาได้ราวกับมีการเต้นของหัวใจพร้อมเพรียงกัน นางเซียนหนิงยืนข้างกายเขาอย่างเงียบๆ ตบข้อมือเขาเบาๆ ความรักใคร่อย่างล้นเหลือภายในดวงตาประหนึ่งกำลังเอาใจใส่เด็กน้อยที่ไร้หนทางผู้หนึ่ง ผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า มองไม่เห็นรูปโฉมอันงามพิลาสของนาง ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ทำลายความงดงามของนางแม้แต่น้อย  


 


 


“พี่สาว เป็นอะไรไป เหตุใดถึงต้องกล่าวขอโทษ” โจรน้อยตกใจทันที รีบเงยหน้าขึ้นมา ทว่ากลับมองเห็นความเหนื่อยล้ารางๆ ที่ผุดอยู่ภายในดวงตาของนางเซียน เปล่งประกายสุกสกาวท่ามกลางแสงอรุโณทัยที่ค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นมา  


 


 


ด้วยคนอย่างนางเซียนหนิง ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรด้วยความลำบากมาทั้งชีวิต วรยุทธ์ล้ำเลิศ แล้วจะถูกสภาพอากาศทำให้เหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร? หยาดเหงื่อและน้ำตานี้ กลับเผยความผิดปกติบางอย่างออกมา 


 


 


หลินหว่านหรงตื่นตระหนก ดึงผ้าคลุมหน้าของนางออก กลับเห็นใบหน้าอันงามกระจ่างใสประดุจหยกของนางซีดเผือดอย่างน่าอนาถ การตื่นตระหนกครั้งนี้มิใช่ธรรมดา โจรน้อยตกใจจนกอดนางแน่น “พี่สาวเทพเซียน นี่ท่านเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหน ท่านอย่าแกล้งให้ข้าตกใจนะ!” 


 


 


หนิงอวี่ซีทัดลูบไล้เส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเขาเบาๆ ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าจิตใจเจ้ายากจะทนรับ ศึกเมื่อคืนข้าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ชีวิตมากมายเช่นนี้ กลับยังไม่อาจหวนคืนกลับมาได้! ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้จะใช้กระบี่สังหารศัตรูได้ แต่เรื่องศึกสงคราม กลับมิใช่ดูแลได้เพียงคนเดียว! เจ้าก็อย่าโทษตัวเองเลย!” 


 


 


แม้นางเซียนหนิงจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ต่อให้มีวรยุทธร้ายกาจอีกสักเพียงใดก็ไม่อาจสู้กองทัพอันยิ่งใหญ่ได้ ท่ามกลางกองทัพจำนวนมหาศาล ความสามารถที่คนเพียงคนเดียวจะทำได้นั้นสุดท้ายแล้วก็มีอย่างจำกัด 


 


 


เมื่อเห็นสายตาโทษตัวเองของนางเซียน หลินหว่านหรงก็เจ็บปวดใจ รีบจับมือนางแล้วพูดว่า “พี่สาว นี่จะโทษท่านได้อย่างไร ทหารยากจะเลี่ยงล้มตายบนสนามรบ การทำศึกก็เป็นเช่นนี้ รีบบอกข้ามา ท่านไม่สบายตรงไหน” 


 


 


“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” หนิงอวี่ซีตอบเบาๆ “หลายวันก่อนรีบใช้วิชากับอวี้เจีย เมื่อคืนยังฟันทำลายประตูเมืองอีก สิ้นเปลืองพลังไปบ้าง ดังนั้นจึงเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง พักสักวันหนึ่งก็หายแล้ว” 


 


 


แม้นางจะพูดให้ดูไม่หนักหนา แต่หลินหว่านหรงก็เข้าใจทันที ลบล้างความทรงจำ ออกแรงทำลายประตูเมือง มีเรื่องใดบ้างที่ไม่น่าตื่นตะลึง? ไหนเลยจะแค่สิ้นเปลืองพลังงานไปบ้างแล้วจะจัดการได้เรียบร้อยอย่างเช่นนางเซียนว่าได้ แล้วบังเอิญว่าทั้งสองเรื่องก็เกิดไล่เลี่ยกันอีก บวกกับการทำศึกใหญ่ต่อเนื่องทั้งคืน ต่อให้นางเซียนจะมีวรยุทธสูงส่งอีกสักเพียงใดก็ทนไม่ไหวอยู่ดี 


 


 


“พี่สาว ตอนนี้ห้ามท่านขยับแล้วนะ!” หลินหว่านหรงแค่นเสียงคราหนึ่ง พูดด้วยหน้าตาเคร่งขรึม เสียงดังขวับคราหนึ่ง พร้อมอุ้มนางขึ้นไปทางขวาง จากนั้นก็วางลงบนหลังม้า นางเซียนใบหน้าใบหูแดง ร้องด้วยความตกใจเสียงต่ำๆ “เจ้าทำอะไร รีบปล่อยข้าเร็ว คนอื่นเขาเห็นหมดแล้ว!” 


 


 


“ใครอยากดูก็ดูไป!” เขากัดฟันกรอดพร้อมแค่นเสียงด้วยความหงุดหงิดโมโห พลิกตัวขึ้นม้า จุมพิตใบหน้านางคราหนึ่งพร้อมจับมือนาง ม้าสองตัวเดินเคียงคู่ เขาหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านจงหลับตา ข้าไม่เรียกท่านก็ห้ามตื่น” 


 


 


เจ้าคนบ้าอำนาจคนนี้นี่ นางเซียนหัวเราะพรวดออกมา เมื่อเห็นสายตานับไม่ถ้วนจากรอบด้านพุ่งเข้าหา นางก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง รีบดึงผ้าคลุมหน้าให้แน่นพร้อมกล่าวตำหนิออกมาเบาๆ “โจรน้อย นี่เจ้ากำลังจะทำลายการบำเพ็ญเพียรของข้า” 


 


 


“เช่นนั้นพี่สาวท่านมาทำลายการบำเพ็ญเพียรของข้าด้วยก็แล้วกัน ข้าไม่ถือสา!” โจรน้อยกล่าวพลางหัวเราะร่า 


 


 


“เจ้ามีการบำเพ็ญเพียรอะไรให้ทำลายกัน” นางเซียนมองตำหนิเขาคราหนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “จิตใจข้าไม่มั่นคง ทำลายกฎเกณฑ์และหลักการไปมากมาย ทั้งยังเล่นลูกไม้จัดการกับอวี้เจียอีกด้วย จะได้รับการลงทัณฑ์ก็สมควรแล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงปวดใจ หนังตาเต้นตุบๆ อยู่ตลอดเวลา เขารีบกอดนางเซียนแน่นพร้อมกล่าวอย่างมีโทสะ “พูดเหลวไหล ทุกอย่างนั่นเกิดจากข้าที่ทำชั่วช้า สวรรค์จะลงทัณฑ์ก็ลงทัณฑ์ข้า ไม่เกี่ยวกับท่าน!” 


 


 


“ลงทัณฑ์เจ้า? หรือว่านั่นยังไม่เท่ากับลงทัณฑ์ข้าอีกหรือ?!” นางเซียนกล่าวเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย 


 


 


บนเกี้ยวสีเหลืองทอง ผ้าโปร่งขยับวูบไหวเบาๆ ข่านดาบทองผู้งดงามจ้องใบหน้านางเซียนเขม็ง สายตาคมกริบ ลูกศรสีนิลสั่นไหวเล็กน้อย 


 


 


กำลังจะข้ามผ่านประตูเมืองไปแล้ว แต่ชนเผ่านอกด่านกลับยังเป็นเช่นเดิม ไม่เพิ่มการขัดขวางแม้แต่น้อย ขณะหลินหว่านหรงกำลังประหลาดใจอยู่นั้น หนิงอวี่ซีก็เงยหน้า “โจรน้อย มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ลืมบอกเจ้าไป หนทางข้างหน้าเกรงว่าคงไปไม่ได้แล้ว!” 


 


 


“เพราะอะไร?!” โจรน้อยถามด้วยความตกใจ 


 


 


นางเซียนหนิงถอนหายใจเล็กน้อย “เจ้าลองออกไปดูแล้วก็จะรู้” เขารีบควบม้าข้ามประตูเมือง กวาดสายตาเล็กน้อย จากนั้นก็สูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไปทันที 


 


 


ชนเผ่านอกด่าน เต็มไปหมดชนเผ่านอกด่าน! 


 


 


ทหารม้าเกราะหนักทูเจวี๋ยที่ทิ้งไว้เฝ้าเมือง ทหารม้ากองกำลังรักษาเมืองเค่อจือเอ่อร์ ยังมีชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ยผู้ดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน มีไม่ต่ำกว่าสามหมื่นคน บวกกับชนเผ่านอกด่านที่ตามหลังอวี้เจียอีก เค่อจือเอ่อร์มีชนเผ่านอกด่านจำนวนสี่ถึงห้าหมื่นคนที่กำลังรอคอยโอบล้อมพวกเขาอยู่ หัวม้าดำทะมึนเป็นแถบนั้นราวกับยุงที่รวมตัวกันอย่างแน่นขนัด กำลังส่ายไปมาเล็กน้อย ดาบโค้งที่อยู่ในมือชนเผ่านอกด่านเปล่งประกายวิบวับ ลูกธนูนับพันนับหมื่นดอกเล็งมาที่พวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน  


 


 


หลินหว่านหรงเข้าใจทันที ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ การที่นางเซียนปรากฏตัวอยู่ข้างกายตน นั่นคือต้องการร่วมเป็นร่วมตายกับข้านั่นเอง 


 


 


เขาตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่สนใจว่าจะมีคนจำนวนมากำลังมองดูอยู่ ประชิดศีรษะเข้าไปใกล้ จากนั้นก็บรรจงจูบลงบนใบหน้าของนางเซียนเบาๆ คราหนึ่งโดยมีผ้าโปร่งขวางกั้น 


 


 


“เจ้าทำอะไรน่ะ!” หนิงอวี่ซีร้องออกมาเบาๆ ใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด 


 


 


มิน่าอวี้เจียถึงไม่ร้อนใจ เดิมทีนางก็ต้องการไล่พวกเขาออกนอกเมืองอยู่แล้ว ที่นี่ดีกว่าวังหลวงอันคับแคบมากนัก ชาวทูเจวี๋ยใช้ข้อได้เปรียบด้านทหารม้าของพวกมันได้อย่างเต็มที่ คนห้าหมื่นคนบุกเข้ามาพร้อมกัน พลานุภาพนั้นลั่นฟ้าสะเทือนดิน เพียงพอที่จะบดขยี้ทหารม้าต้าหัวผู้อ่อนแอให้เป็นขนมเปี๊ยะบางๆ แผ่นหนึ่ง 


 


 


เขากระโดดลงจากหลังม้า หัวเราะร่วนพร้อมพูดว่า “คนมากจังเลยนะ?! คราวนี้จะได้ฆ่าอย่างสนุกสนาน! ปริมาณมากขนาดนี้ วันนี้ต่อให้ข้าตายไป ไม่ใช่แค่ต้าหัวที่จะจดจำข้า แม้แต่ประวัติศาสตร์ทูเจวี๋ยก็ต้องบันทึกข้าไว้อย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะ “ข้ากลับไม่เข้าใจ หรือว่าอวี้เจียจะเทหมดหน้าตัก?! แม้แต่ชีวิตของข่านน้อยนางก็ไม่ต้องการแล้ว?!” 


 


 


“ข้าไม่รู้” หลินหว่านหรงส่ายศีรษะเล็กน้อย “แม่หนูคนนี้เ**้ยมหาญกว่าที่ข้าคิดไว้เป็นร้อยเท่า ฝีมือของนาง แต่ละครั้งต่างสร้างความประหลาดใจให้พวกเรา! บางทีนี่อาจเป็นศึกครั้งสุดท้ายของพวกเราแล้วก็ได้” 


 


 


ศึกครั้งสุดท้าย?! พวกของเกาฉิวจ้องมองแสงอรุโณทัยที่เพิ่งโผล่พ้นขึ้นมา แสงที่เปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วกลบความมืดมนอันหนาทึบจนหมดสิ้น 

 

 

 


ตอนที่ 609 - 1 หญิงงามยังไม่โรยราทว่า...

 

ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ภายนอกรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวทูเจวี๋ยมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ควบม้ามาจากทั่วทุกสารทิศ คนเบียดเสียดยัดเยียด ประหนึ่งเมฆดำที่เคลื่อนที่รวมตัวกันเป็นชั้นๆ ปกคลุมทุ่งหญ้าจนหมดสิ้น 


 


 


ทหารต้าหัวรวมตัวกันอย่างเงียบๆ แผ่นหลังชนแผ่นหลัง ขยับเยื้องย่างฝีเท้าอย่างแช่มช้า เชื่อมสนิทแนบแน่นราวกับวงแหวนอันแข็งแกร่ง พวกเขาเชิดศีรษะขึ้นสูง กุมดาบแน่น คราบโลหิตท่วมร่าง เขม่าควันเต็มใบหน้า เผชิญหน้ากับชนเผ่านอกด่านซึ่งมีจำนวนมากกว่าตนเองหลายสิบเท่า ไม่มีผู้ใดกริ่งเกรง ดวงตาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง 


 


 


“หลินซาน เจ้ายอมจำนนจะดีกว่า ชาวทูเจวี๋ยไม่อาจตอแยได้” เสียงโหวกเหวกเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามา อ๋องน้อยเจ้าคังหนิงถูกสวี่เจิ้นจับกุมตัวเอาไว้ กำลังร้องโวยวายเสียงดัง 


 


 


หลี่อู่หลิงพรุ่งปราดเข้าไป ใช้ฝักดาบกระแทกปากอ๋องน้อยอย่างรุนแรงพร้อมกล่าวอย่างมีโทสะ “เจ้าสุนัขขายบรรพชนเพื่อลาภยศ เหตุใดต้าหัวเราถึงได้มีเศษสวะเช่นเจ้าเยี่ยงนี้” 


 


 


เมื่อเห็นเจ้าคังหนิงเลือดกบปาก ร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด เขาก็รู้สึกสาแก่ใจ หัวเราะร่าพร้อมพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วล่ะสิว่าชาวต้าหัวเราไม่อาจตอแยได้เช่นกัน!” 


 


 


ราชนิกุลทูเจวี๋ยยี่สิบกว่าคนซึ่งถูกจับตัวเป็นเชลยต่างเบิกตาโพลงมองดูเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยไอสังหาร ส่วนซ่าเอ่อร์มู่ก็ยิ่งกัดฟันส่งเสียงดังกรอดๆ อ๋องขวาถูสั่วจั่วที่ถูกเขาอัดจนมีสภาพยับเยินก็ยังไม่ฟื้น มิเช่นนั้นคงต้องบุกเข้าไปแลกชีวิตด้วยแล้ว ถูกคนบุกทำลายราชธานี ชนชั้นหัวกะทิถูกจับเป็นตัวประกันจนหมดสิ้น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยขึ้นในประวัติศาสตร์ทูเจวี๋ย 


 


 


เขาหันกลับไปมองผู้กล้าที่อยู่ข้างหลังตนเอง บนใบหน้าอันหนุ่มแน่นแต่ละใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความฮึกเหิม ทุกคนต่างมองเขาอย่างเงียบงัน ดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมจำนน 


 


 


เขาเลือดลมพลุ่งพล่าน ชัดดาบศึกออกมาในบัดดล ตวาดเสียงดังออกมาว่า “ใต้เมืองเค่อจือเอ่อร์ก็คือที่ฝังกระดูกของพวกเรา พวกเจ้ากลัวหรือไม่” 


 


 


“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!” ชาวต้าหัวทุกคนต่างกวัดแกว่งดาบยาวในมือ ใช้การกรีดดาบอย่างพร้อมเพรียง เสียงดาบรุนแรงคมกริบเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของพวกเขา เสียงสัญญาณซึ่งทั้งตื่นเต้นและฮึกเหิมทำให้ผืนพิภพสั่นสะเทือนภายในชั่วพริบตา 


 


 


หลินหว่านหรงกวัดแกว่งดาบควบม้า บนใบหน้าดำสาดประกายไอสังหารพลุ่งพล่าน “บุรุษต้าหัวยอมยืนตาย แต่ไม่ยอมคุกเข่ามีชีวิตเด็ดขาด! ให้ราชธานีชาวทูเจวี๋ยเป็นเกียรติยศในชีวิตของพวกเรากันเถอะ!” 


 


 


เสียงเขาดังก้องกังวานราวกับเสียงกลองใหญ่ ดังก้องอยู่ข้างใบหูทุกคน เหล่านายทหารต่างน้ำตาร้อนคลอเบ้าท่ามกลางฝูงชนเผ่านอกด่านที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงนี้ ไม่มีผู้ใดที่คิดจะรอดชีวิตสักคนเดียว  


 


 


ดวงตะวันสีแดงโผล่พ้นชายขอบทุ่งหญ้า แสงอรุโณทัยอันงดงามส่องท้องนภาเป็นสีแดง ตกกระทบใบหน้าพวกเขา ดวงตาสีดำขลับจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายท่ามกลางแสงแรกอรุณอันแสนจะอบอุ่น 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่โดยรอบเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณของชาวต้าหัวก็รุกคืบเข้ามาใกล้อย่างเงียบงัน ล้อมพวกเขาให้อยู่กึ่งกลาง เมื่อมองลงจากท้องฟ้า ศีรษะคนและอาชาสีดำสุดลูกหูลูกตาราวกับจุดสีดำที่ค่อยๆ ขยับเขยื้อน ก่อตัวเป็นวงกลมสีดำขนาดยักษ์อย่างแช่มช้า อาชาห้าหมื่นตัววิ่งพร้อมกัน เสียงร้องตกกระทบใบหู ดังกึกก้องดั่งอสุนีบาตยามวสันต์  


 


 


ธงมังกรสีเหลืองทองชูพลิ้วไสวขึ้นสูง ทัพแตกพ่ายจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่พันของต้าหัวประหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของวงกลมอันเด็ดเดี่ยวมากที่สุด ยืนผงาด ปราศจากการขยับเขยื้อน ความดุร้ายและอำมหิตบนใบหน้าชนเผ่านอกด่านปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน พวกมันผลักดันเข้ามาทีละก้าว ไม่เร็วไม่ช้า ลมหายใจของคนและม้าเสียงฟืดฟาดราวกับห้องเลี้ยงไหมในค่ำคืนยามวสันต์  


 


 


ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ชาวทูเจวี๋ยค่อยๆ หยุดการเคลื่อนที่ ม่านกระโจมสีเหลืองทองหลังหนึ่งผุดขึ้นจากกึ่งกลางกองทัพอย่างแช่มช้า ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยพาดคันศรสีทองลูกเกาทัณฑ์สีนิลอยู่บนหลัง ยืนทอดสายตามองอยู่ข้างบนอย่างเงียบๆ ใบหน้าอันงดงามเปล่งประกายสีทองบางๆ 


 


 


“ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย” อวี้เจียใบหน้าไร้ความรู้สึก แววตาประดุจสายฟ้า น้ำเสียงกระจ่างชัด ไม่เร็วไม่ช้า ดังก้องอยู่เบื้องหน้าทัพทั้งสองฝ่าย “ชาวต้าหัว ทิ้งซ่าเอ่อร์มู่ไว้ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!” 


 


 


ทัพต้าหัวเงียบสงัด ราชนิกุลทูเจวี๋ยยี่สิบกว่าคนพร้อมซ่าเอ่อร์มู่ถูกผลักออกมาข้างหน้า ในปากยัดผ้าเอาไว้ ดวงตาถูกคาดด้วยผ้าสีดำ ขยับดิ้นรนขัดขืนไม่หยุด ประกายดาบวาววับขยับวูบผ่านลำคอเป็นระยะ 


 


 


เสียงเย็นชาของหลินหว่านหรงดังลอยเข้ามาอย่างชัดเจน “ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ข่านใหญ่ เก็บความฉลาดของเจ้าไว้ใช้ที่โต๊ะเจรจาเถอะ มาท้าทายความอดทนของข้าตอนนี้ ไม่ใชสิ่งที่คนฉลาดจะทำกัน!” 


 


 


อวี้เจียใบหน้าเย็นชา หลุบสายตาลงต่ำ เงียบงันไม่เอ่ยวาจา ทุ่งหญ้าอันเงียบสงัด นอกจากเสียงพ่นลมหายใจเบาๆ ของม้าศึกแล้วก็ไม่ยินเสียงความเคลื่อนไหวอื่นใดอีก เงียบสงัดราวกับถังดินปืนซึ่งพร้อมถูกจุดให้ระเบิดได้ทุกเมื่อ 


 


 


ท้องฟ้าค่อยมืดหม่น เมฆดำปกคลุมไปทั่วท้องนภา กลบดวงตะวันสีแดงฉานจมหมดสิ้น ทุ่งหญ้ามืดมนอนธการ สายลมอ่อนค่อยๆ พัดพา ผ่านไปเพียงเพียงชั่วพริบตาก็มืดครึ้ม แต่เดิมนั้นอากาศปลายเดือนห้าจะร้อนระอุ ทว่าอากาศในวันนี้กลับเหมือนเกิดความผิดปกติ ในสายลมที่โชยมาเบาๆ เหมือนระคนด้วยความหนาวเย็น เหล่าเกาแหงนหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ “ดูเหมือนฝนจะตกแล้ว!” 


 


 


หลินหว่านหรงสีหน้าหนักอึ้ง ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบดุจสายฟ้า “พี่หู เหล่าเกา พวกท่านจงจำเอาไว้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ เมื่อว่าจะเกิดอะไร ของเพียงอวี้เจียลังเลเล็กน้อย พวกท่านจงนำพาพี่น้อง คุมตัวซ่าเอ่อร์มู่จากไปทันที! โอกาสอาจมีแค่ครั้งเดียว! ขอเพียงผ่านด่านของอวี้เจียได้ ตลอดเส้นทางบนทุ่งหญ้าก็จะราบรื่น มีซ่าเอ่อร์มู่กับถูสั่วจั่วอยู่ในมือ ชนเผ่านอกด่านที่เหลือไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกท่านแม้แต่ขนสักเส้น…จำได้หรือยัง?!” 


 


 


สีหน้าอันหนักอึ้งของเขาไม่เคยเกิดขึ้นมานานมากแล้ว หูปู้กุยเกาฉิวรีบประสานมือ “ข้าน้อยรับบัญชา!” 


 


 


หลี่อู่หลิงครุ่นคิด ทันใดนั้นก็เอ่ยอมาว่า “พี่หลิน เช่นนั้นท่านล่ะ?!” 


 


 


“ข้า?!” หลินหว่านหรงผงกศีรษะพร้อมยิ้มแย้ม “ถ้ามีโอกาสย่อมไปกับพวกเจ้าแน่! พวกเจ้าก็รู้ ข้ากลัวตายมากเลยนะ!” 


 


 


ในช่วงเวลาอันตึงเครียดเช่นนี้ ก็มีแต่แม่ทัพหลินที่ยังล้อเล่นเช่นนี้ได้อีก ทุกคนต่างเปล่งเสียงหัวเราะ มีเพียงหนิงอวี่ซีซึ่งเงียบงันไม่เอ่ยวาจาผู้นั้นเท่านั้นที่คล้ายรู้สึกอะไรได้ นางจับมือเขาเบาๆ ฝ่ามือของโจรน้อยเปียกชุ่มไปหมด เต็มไปด้วยเหงื่อ 


 


 


ข่านใหญ่ดาบทองที่เงียบงันไปนานก็ปล่อยเสียงอันแผ่วเบาลอยล่องเข้ามาอย่างแช่มช้า “นี่คือทางเลือกที่ชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้าเลือกด้วยตนเอง ไม่อาจโทษผู้ใดได้! ผู้กล้าทั้งหลาย เตรียมตัวโจมตี!” 


 


 


“เฮ!” ชาวทูเจวี๋ยซึ่งเมื่อครู่ยังเงียบงันอยู่ก็ส่งเสียงร้องดัง่สนั่นภายในชั่วพริบตา ระเบิดการกู่ร้องด้วยโทสะราวกับหมาป่า ดาบโค้งที่อยู่ในมือเปล่งประกายเย็นเยียบ ม้าเดินหมุนวนไปมา ผืนปฐพีสั่นสะเทือนภายในชั่วพริบตา 


 


 


“พี่น้องทั้งหลายเตรียมตัว!” หลินหว่านหรงคำรามเสียงดัง 


 


 


ทหารทั้งหลายต่างเบิกตาโพลง ดาบชักออกจากฝัก ศึกนองเลือดกำลังจะปะทุ แม้แต่นางเซียนหนิงซึ่งสูงสง่าและเรียบเฉยมาตลอดก็ยังอดกุมกระบี่แน่นไม่ได้ 


 


 


“เจ้าใบ้ เป็นเจ้าบังคับข้า!” 


 


 


“ข้าบังคับตัวเองเท่านั้น!” 


 


 


ดวงเนตรอันงดงามของข่านใหญ่ดาบทองเปียกชื้นโดยพลัน นางกัดฟันจนส่งเสียงดังกรอดกรอด ยกดาบมองในมือขึ้น จากนั้นก็ออกแรงสะบัดลงไป “ผู้กล้าทั้งหลาย เพื่อเกียรติยศแห่งทุ่งหญ้า ฆ่า!” 


 


 


“ฆ่า!” ท่ามกลางการสั่นสะเทือนของขุนเขาและปฐพี ม้าทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนก่อให้เกิดฝุ่นดินคละคลุ้งจนกลบทุ่งหญ้าในบัดดล ชนเผ่านอกด่านกรูเข้ามาพร้อมเสียงลมหวีดหวิวราวกับทรายที่ไหลบ่า ประหนึ่งฝูงหมาป่าอันดุร้ายที่บุกเข้าหาเหยื่อที่จับจ้องมานาน 


 


 


“โลหิตของพวกเราก็คือฉางเฉิงของต้าหัว! ฆ่า!” เจ้าใบ้ร้องคำรามด้วยโทสะ ดังกึกก้องไปทั้งทุ่งหญ้าพร้อมกับเสียงตวาดของข่านใหญ่ ชาวต้าหัว ชาวทูเจวี๋ยอารมณ์พลุ่งพล่านทันที สายน้ำไหลบ่าหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ถาโถมบนทุ่งหญ้าอย่างบ้าคลั่ง  


 


 


หลินหว่านหรงโบกมือ หูปู้กุยสองตาแดงก่ำ เดินก้าวมาข้างหน้า เสียงดังขวับๆ สองครา โลหิตพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าราวกับต้นเสา ราชนิกุลทูเจวี๋ยที่สูญเสียศีรษะไปสองคนล้มลงพื้นเสียงดังตึง และในขณะเดียวกันทหารต้าหัวนับร้อยนับพันดวงตาสาดประกายตื่นเต้นและฮึกเหิม พุ่งปราดออกไปอย่างเร็วรี่ดั่งสายฟ้า ประหนึ่งแหใหญ่ที่หว่านออกไปอย่างปัจจุบันทันด่วน 


 


 


เพียงไม่นานสายน้ำไหลบ่าเร็วรี่ทั้งสองสายก็ปะทะกันอย่างรุนแรง เสียงดาบแสบแก้วหูดังไปทั่ว ตามมาด้วยเสียงร้องของม้าศึก เสียงร้องโหยหวนของนายทหาร หมอกโลหิตลอยฟุ้งราวกับบุปผาที่เบ่งบานภายในชั่วพริบตา ย้อมทุ่งหญ้าจนเป็นสีแดงฉาน  


 


 


ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดอันคละคลุ้ง ในที่สุดทหารชั้นยอดของต้าหัวกับทหารชั้นยอดของชนเผ่านอกด่านก็จะเกิดการประจันหน้าที่รุนแรงและโหดร้ายมากที่สุดแล้ว 


 


 


นี่คือการรบที่ไม่เท่าเทียม การเผชิญหน้ากับชนเผ่านอกด่านที่มากกว่าตนเป็นสิบเท่า ความอยู่รอดไม่ใช่ปัญหาที่ต้องขบคิดอีก ทุกครั้งที่ได้ฟาดฟันสังหารคน นั่นคือกำไร เมื่ออยู่ในภาวะสิ้นหวังที่คิดว่าต้องตายแน่นอนเช่นนี้ ทหารต้าหัวพลันระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา ใช้หนึ่งสู้สิบ ห้าวหาญดุดันดั่งพยัคฆ์ ท่ามกลางการนองเลือด ร่างกายเยาว์วัยล้มลงไปทีละร่าง ที่นอนเคียงข้างพวกเขาก็คือชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วน! 


 


 


ประกายโลหิตปิดบังดวงตาทั้งสองข้าง ความเคียดแค้นชิงชังปกคลุมทุ่งหญ้า มีแต่เปลวเพลิงไปทั่วทุกหัวระแหง มีแต่โลหิตสดๆ นองทั่วทุกหัวระแหง  


 


 


อวี้เจียโบกดาบทองอย่างเร็วรี่ โจมตีดัง่สายน้ำหลาก ไม่หยุดพักแม้สักเสี้ยวนาที ชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนหน้าล้มหลังบุกต่อเนื่อง ประหนึ่งท่อประปาที่วางระบบเต็มพื้นที่ พวกมันต้องการใช้กำลังรบอันกล้าแกร่งสะกดชาวต้าหัวให้คว่ำ 


 


 


ม้าศึกกู่ร้องโหยหวน ท่ามกลางการสังหารหมู่สุดลูกหูลูกตา ทหารของทั้งสองฝ่ายล้มลงเป็นระลอก ชาวต้าหัวล้มลงไปหนึ่งก็ขาดไปหนึ่ง ทว่าชนเผ่านอกด่านกลับเหมือนน้ำทะเลที่ไหลต่อเนื่องไม่ขาดสาย ชำระคราบโลหิตที่ทิ้งไว้ก่อนหน้า จากนั้นก็กวาดม้วนเข้ามาใหม่ 


 


 


ข่านใหญ่ดาบทองโจมตีสามระลอกอย่างต่อเนื่อง ปราศจากการหยุดพัก ส่วนหูปู้กุยใบหน้าเต็มไปด้วยคราบโลหิต ฟันสังหารเชลยแปดคนโดยไม่หยุดพักภายในอึดใจเดียว หัวคนที่มีโลหิตชุ่มโชกแปดหัวหล่นกระจัดกระจายอยู่ใต้เท้า ไม่เพียงเจ้าคังหนิงที่ตกใจจนใบหน้าปราศจากสีเลือด ข่านน้อยผู้ไร้เดียงสาก็หน้าซีดเช่นกัน ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด 


 


 


บุคคลเหล่านี้คือชนชั้นสูงของทูเจวี๋ย ไม่ว่าอยู่ในสายตาผู้ใดก็ต้องยอมอยู่สามส่วน เพียงแต่อวี้เจียผู้นั้นกลับเหมือนเสียสติ สั่งการให้ชนเผ่านอกด่านบุกทะลวงและเข่นฆ่าโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักครา 


 


 


มีฐานะเป็นข่านใหญ่ทูเจวี๋ย อวี้เจียไม่อาจไม่สนใจความรู้สึกของแต่ละดินแดน กระทำการผลีผลามจนทำให้ชนชั้นสูงทูจวี๋ยเหล่านี้กลายเป็นวิญญาณที่แดดิ้นใต้คมดาบชาวต้าหัวทั้งหมดได้ มิหนำซ้ำในนั้นยังมีน้องชายในไส้ของนาง นายแห่งทุ่งหญ้าในอนาคตอีกด้วย 


 


 


นี่คือกลศึกอันอำมหิตอย่างหนึ่ง และยิ่งเป็นการพนันอย่างหนึ่งอีกด้วย การบุกโจมตีทุกระลอกของนาง ชาวต้าหัวจะตัดหัวเชลยอย่างไม่ไว้ไมตรี และสิ่งที่อวี้เจียพนันก็คือตนเองโหดเ**้ยมกว่าชาวต้าหัว ต้องการบีบให้ชาวต้าหัวล่มสลายไปก่อน! มีเพียงเท่านี้นางถึงจะมีโอกาสช่วยซ่าเอ่อร์มู่ได้ 


 


 


แม้อวี้เจียจะจะได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แบบ แต่แรงกดดันภายในใจนางเหนือล้ำกว่าชาวต้าหัว นี่เป็นการประลองกำลังที่ผู้ใดก็ไม่อาจพ่ายแพ้ 


 


 


ตัวประกันในมือหูปู้กุยน้อยลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น และแต่ละคนต่างถูกกดให้คุกเข่าอยู่บนพื้นทุ่งหญ้า ซึ่งรวมถึงซ่าเอ่อร์มู่ด้วย เมื่อเห็นร่างอันเยาว์วัยของสั่นระริกท่ามกลางสายลม ข่านใหญ่ก็หน้าซีด ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง เจ้าใบ้สองตาแดงก่ำ รู้สึกขาดอากาศหายใจจนแทบแหลกลาญ  


 


 


“ฆ่า!” ท่ามกลางประกายโลหิตที่พวยพุ่งไปทั่ว พวกเขาสองคนต่างสบตากัน ประกายน้ำตาภายในดวงตาของอีกฝ่ายมองเห็นอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นกลับเหมือนถังดินระเบิดสองลูกระเบิดขึ้นมาพร้อมกัน เสียงคำรามลั่นฟ้าสะเทือนดินสองเสียงพุ่งเข้าหากัน ช่วงเวลานี้มีเพียงเสียงเข่นฆ่าถึงทำให้พวกเขาลืมเลือนทุกสิ่งได้ 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยและชาวต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนติดตามอยู่ข้างหลังพวกเขา ฝุ่นดินและเปลวเพลิงบนทุ่งหญ้าประสานจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน 


 


 


เสียอาวุธปะทะดังระงม ไอโลหิตปกคลุม ไม่อาจเห็นทุ่งหญ้าได้อีก สิ่งที่มีอยู่เต็มดวงตาก็คือสีแดง มีแต่คนเต็มไปหมด ได้ยินเสียงร้องคำรามด้วยโทสะอย่างบ้าคลั่งของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ได้ ทว่ากลับมองไม่เห็นว่านางอยู่ที่ใด  


 


 


หลินหว่านหรงสองตาปริแตก แต่ละดาบเหมือนรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ชนเผ่านอกด่านล้มข้างกายเขาทีละคน แขนชาไปหมดแล้ว 


 


 


“อึก!” เกาฉิวซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังเขาส่งเสียงร้องทึบๆ คราหนึ่ง ถูกธนูยิงเข้าแล้ว โลหิตกำลังไหลริน แขนสวี่เจิ้นก็อาบโลหิต หลี่อู่หลิงที่อายุน้อยที่สุดตามติดคุ้มหันอยู่ข้างกายคนทั้งสอง ดาบใหญ่ฟันจนโค้งงอแล้ว 


 


 


เจ้าใบ้ฟันดาบอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง จมลึกลงไปในร่างชนเผ่านอกด่านที่อยู่ตรงหน้า มองดูคู่ต่อสู้ร้องหวนโหนพร้อมล้มลงไป เบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยสีแดงฉาน สองตาพร่าเลือน หัวสมองด้านชา ช่วงเสี้ยววินาทีนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมีสติครบถ้วนได้  


 


 


“โจรน้อย!” นางเซียนหนิงเพิ่งฟันศัตรูที่อยู่ข้างกายจนพลิกคว่ำไป เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นชนเผ่านอกด่านซึ่งร่างกายประดุจขุนเขารุกคืบเข้าใกล้โจรน้อย รอบด้านเต็มไปด้วยประกายดาบอันเย็นเยียบของชาวทูเจวี๋ย ฟันเข้าหาราวสายอสุนีบาตร ด้วยความร้อนใจ นางจึงรีบตวาดเจื้อยแจ้วคราหนึ่ง เหินร่างไปราวกับน้ำตก กระบี่ยาวกรีดเป็นประกายสายฟ้าแลบสองสายกลางอากาศ 


 


 


ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชนเผ่านอกด่านจำนวนสี่สิบห้าสิบคนและม้าศึกล้มปลิวกระเด็นออกไป แขนขาขาดปลิวกระจายไปทั่ว หนิงอวี่ซีหน้าขาวซีด อกงามหอบหายใจกระชั้นถี่ กระโดดมาข้างกายเขาอย่างรวดเร็ว “โจรน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?!” 


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไร!” หลินหว่านหรงสูดลมหายใจอย่างแรง ส่ายหน้าพลางเช็ดโลหิตบนใบหน้าแล้วฉีกปากยิ้ม “เยวี่ยหยาเอ๋อร์เ**้ยมโหดเหลือเกิน กลับเกือบเท่าข้าแล้ว! พี่สาว เกรงว่าพวกเราคงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วล่ะ!” 


 


 


นางเซียนน้ำตาคลอเบ้า เช็ดโลหิตที่อยู่บนเส้นผมเขา จากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว เจ้าเป็น โจรน้อยของข้า พวกเราเป็นตายร่วมกัน” 


 


 


“ฆ่านางมารนั่น! ฆ่านาง!” ข่านใหญ่ดาบทองดวงตาสาดประกายเพลิงโทสะอันไร้ประมาณ กัดฟันจนส่งเสียงดังกรอดกรอด โบกสะบัดดาบทองในมือ ชี้ไปที่หนิงอวี่ซีอย่างเร็วรี่ 


 


 


คมดาบเปล่งประกายเย็นเยียบ ชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนรุกคืบเข้าหานางเซียนหนิง 


 


 


หนิงอวี่ซีตวาดเสียงสดใสคราหนึ่งพร้อมเหยียดกายขึ้น กระบี่ยาวร่ายรำเร็วรี่กลางอากาศ กรีดเป็นประกายสีเงินนับไม่ถ้วน สายลมเย็นเยียบรุนแรงรวดเร็วดั่งสายอสุนีบาตฟาด ฝุ่นดินและประกายโลหิตคละคลุ้งไปทั่ว ชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนหัวแยกออกจากร่าง 

 

 

 


ตอนที่ 609 - 2 หญิงงามยังไม่โรยราทว่า...

 

ตัวประกันที่อายุน้อยที่สุดผู้นั้นถูกชาวต้าหัวผู้ดุร้ายราวพยัคฆ์และหมาป่ากดอยุ่กับพื้น กำลังดิ้นรนขัดขืน ร่างกายสั่นเทา ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ อยู่รางๆ  


 


 


ไม่ว่าจะเป็นลูกของบ้านใด อย่างแรกเลยคือเขาเป็นเด็กอายุห้าหกขวบเท่านั้น การแสดงอาการหวาดกลัวเมื่ออยู่หน้าโลหิตและประกายดาบถือเป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติ ฝืนสะกดกลั้นไม่ได้  


 


 


เมื่อเห็นดาบโค้งซึ่งมีโลหิตหยาดหยดในมือหูปู้กุย ร่างอวี้เจียก็สั่นสะท้านย่างรุนแรง หน้าซีดเผือด ฟันงามกัดริมฝีปากสีชาดจนจมลึก โลหิตค่อยๆ ไหลซึมออกมา 


 


 


“ซ่าเอ่อร์มู่…” ขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย น้ำตาค่อยๆ ไหลริน นางลุกยืนขึ้นเบาๆ การบุกโจมตีของชนเผ่านอกด่านอ่อนลงทันที  


 


 


เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกนี้ หลินหว่านหรงก็เงยหน้าขึ้นมา ภายในดวงตาซึ่งมีน้ำตานองทั้งสองข้างของอวี้เจีย ความอ่อนแออับจนหนทางแลความลังเลตัดสินใจไม่ได้ที่ทำให้คนใจสลายนั้นกวาดผ่านเบื้องหน้าเขาราวกับสายฟ้า 


 


 


เขาหายใจไม่ออก จมูกร้าวระบม ฝืนเบือนหน้าหนีไป เพียงแต่โอกาสอันดีที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้จะพลาดไปได้อย่างไร เขาออกแรงตวาดเสียงดัง “เหล่าหู เหล่าเกา ไป ไปเร็ว!” 


 


 


เขาฟันดาบใส่ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านข้างให้หลบหลีกไป ถึงกระนั้นชาวทูเจวี๋ยกลับกรูเข้ามาสายน้ำไหลบ่า การโจมตีแม้จะลดลง แต่ตัวคนนั้นกลับเหมือนฝูงมด พัวพันเขาอย่างแน่นขนัด นางเซียนคุ้มกันอยุ่ข้างกายโจรน้อย กวัดแกว่งประกายกระบี่อย่างเร็วรี่ เหงื่อแปดเปื้อนแนบแก้มราวกับผ้าแพร 


 


 


“ท่านแม่ทัพ พวกเราไปด้วยกัน!” พวกเกาฉิวฟันแหวกชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบ รีบห้อมล้อมอยู่ด้วยกัน ออกแรงตะโกนอย่างเต็มที่ 


 


 


มองซ่าเอ่อร์มู่ จากนั้นก็มองชาวต้าหัวที่มีโลหิตอาบร่างเหล่านั้นอีกครา อวี้เจียกัดฟันกรอด สายตาแปรผันสารพัดสารพัน  


 


 


โอกาสเช่นนี้ชีวิตคนเราจะมีสักกี่ครั้ง หากพลาดไปแล้วก็ไม่อาจเกิดซ้ำอีกครั้งได้อีก! ลาล่ะ อวี้เจีย! 


 


 


หลินหว่านหรงจับมือน้อยของหนิงอวี่ซี พูดเสียงดังว่า “พี่สาว พวกเราไปกันเร็ว!” 


 


 


ทหารต้าหัวทุกคนต่างหักหัวม้าพร้อมกัน ฝ่าห่าธนู วิ่งห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายอันอ่อนเยาว์ของซ่าเอ่อร์มู่ดิ้นรนขัดขืนอยุ่ในมือหูปู้กุยไม่หยุด อวี้เจียสองตาเปียกชื้น มือที่กุมดาบสั่นเทาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรยกขึ้นหรือว่าวางลงดี 


 


 


เมื่อปราศจากบัญชาของข่านใหญ่ ชาวทูเจวี๋ยต่างสับสนทำอะไรไม่ถูก ความรุนแรงในการโจมตีลดทอนลง เพียงชั่วพริบตาก็ถูกชาวต้าหัวบุกเข่นฆ่าออกไปจนกลายเป็นทางโลหิตสายหนึ่ง 


 


 


หูปู้กุยขี่ม้านำหน้า ทัพกระจัดกระจายที่เหลืออยู่กรูออกไปราวกับมังกรยาว ทลายวงล้อมชนเผ่านอกด่าน ลากออกไปเป็นแถวยาว พุ่งปราดออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดขัดขวางย่างก้าวในการกลับบ้านของพวกเขาได้อีกต่อไป  


 


 


ประกบติดอยู่ท้ายสุด ข้างหลังมีห่าธนูแน่นขนัดยิงเข้าใส่ราวกับฝูงตั๊กแตน แม้จะหลบหนีด้วยสภาพทุลักทุเล ทว่าสภาพจิตใจกลับผ่อนคลายลงไปมาก เขากับนางเซียนเคียงบ่าเคียงไหล่ ห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ กล่าวพร้อมหอบหายใจหนักๆ “พี่สาวเทพเซียน ในที่สุดพวกเราก้ได้กลับบ้านแล้ว!” 


 


 


หนิงอวี่ซีผงกศีรษะเล็กน้อย ทว่ากลับไม่อาจสะกดกลั้นต่อไปได้อีก นางไออย่างรุนแรง บนใบหน้าอันซีดเผือด โลหิตสีเข้มจางๆ สายหนึ่งค่อยๆ ไหลซึมออกมา ตัดกับผิวอันกระจ่างใสของนาง น่าตื่นตระหนกยิ่งนัก 


 


 


“พี่สาว!” หลินหว่านหรงตกตะลึงพรึงเพริด ไม่สนใจห่าธนูแน่นขนัดที่อยู่ข้างหลัง รีบเอื้อมมือไปจับมือนาง 


 


 


นางเซียนเดินทางรอนแรมมาหลายวัน อาการบาดเจ็บเก่ายังไม่หายดี วันนี้ยังอยู่คุ้มกันข้างกายเพื่อช่วยชีวิตเขา ออกแรงสู้ศึกกับทัพใหญ่อีกด้วย สูญเสียพลังมหาศาล เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ นางหน้าซีด มองโจรน้อยพร้อมแย้มยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร แค่หมดแรงเท่านั้น โจรน้อย ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เหมืนถูกคนติดตาม เกรงว่าเรื่องในคืนนี้อาจยังไม่สิ้นสุด หรือว่าสวรรค์จะลงทัณฑ์ข้าจริง?!” 


 


 


โจรน้อยน้ำตาร้อนคลอเบ้า พูดเสียงดังออกมาว่า “ไม่มีทาง พวกเราใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว การลงทัณฑ์ทั้งหมดให้พุ่งเป้ามาที่ข้า ไม่เกี่ยวกับพี่สาว!” 


 


 


นางเซียนส่ายหน้าเบาๆ ยังไม่ทันเอ่ยวาจา ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านหลัง เสียงฝีเท้าที่ดังกึงก้องพลันทวีความรุนแรงขึ้น ราวกับเสียงอสุนีบาต ไล่ตามเข่นฆ่าราวกับสายน้ำไหลบ่า ข่านใหญ่ดาบทองควบม้าอยู่ด้านหน้าสุด มือถือเกาทัณฑ์ สายตาเย็นเยียบทว่าเด็ดเดี่ยว คราบน้ำตาข้างแก้มยังเห็นชัดเจน 


 


 


การออกโรงครานี้ของชาวทูเจวี๋ย ธนูอันแน่นขนัดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เร็วรี่ประหนึ่งสายฝนอันเย็นเฉียบ ม้าศึกทูเจวี๋ยเหนือล้ำกว่าของทหารต้าหัว พวกมันไล่ตามอย่างเร็วรี่จากทั่วทิศทาง ต้องการล้อมกรอบพวกเขา ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนดังอ๊าๆ ทหารต้าหัวท้ายขบวนทยอยร่วงลงจากม้า เพียงชั่วพริบตาก็หายไปห้าหกสิบคน 


 


 


หลินหว่านหรงเบ้าตาปริแตก ฟันโต้กลับไป ทำให้ชาวทูเจวี๋ยที่ตามมาข้างท้ายร่วงลงจากม้า เพียงแต่ชนเผ่านอกด่านมีจำนวนมากมายมหาศาล ม้าศึกก็ยังยอดเยี่ยมอีก เพียงชั่วพริบตาก็มีหลายร้อยคนที่วิ่งเลยพวกเขาไป วงล้อมที่ถูกบุกทะลวง เมื่อเห็นว่ากำลังจะขาดสะบั้นก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง   


 


 


“แม่ทัพหลิน!” พวกของเกาฉิวหูปู้กุยที่อยู่ข้างหน้าสุดเห็นแล้วก็ตกใจจนหน้าถอดสี ต้องการวกม้ากลับมาเพื่อช่วยเหลือทันที 


 


 


“ไม่ได้!” หลินหว่านหรงเต้นผาง ใช้ดาบฟันคอชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านข้าง ตวาดเสียงดังลั่นออกมา “พี่หู พวกท่านรีบไปเร็ว! พาซ่าเอ่อร์มู่กลับไป! ผ่าฝืน ฆ่า!” 


 


 


“ท่านแม่ทัพ!” หูปู้กุยร้องออกมาคราหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ 


 


 


“ฆ่า!” เมื่อเห็นว่าชนเผ่านอกด่านมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ วงล้อมใกล้จะเชื่อมติดกันแล้ว ทันใดนั้นหนิงอวี่ซีก็กระโดดขึ้น ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางกาย กระบี่ยาวในมือกลายเป็นสองเล่มภายในชั่วพริบตา หนึ่งซ้ายหนึ่งชวา ประกายแสงรุนแรงสองสายยิงพุ่งออกไป ประหนึ่งสายรุ้งที่งดงามมากที่สุดบนโลกหล้า 


 


 


การโจมตีครั้งนี้ใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดของนาง พลานุภาพยิ่งใหญ่ปานใด ฝุ่นดินฟุ้งตลบ ประกายโลหิตสดกระจายไปทั่ว ฉับพลันนั้นชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนหัวกับร่างแยกออกจากกัน ลอยล่องกระเด็นออกไป 


 


 


และเพียงชั่วพริบตานี้เอง กลับชิงช่วงเวลาช่วยชีวิตอันล้ำค่ามากที่สุดให้ทหารต้าหัวได้ ทหารแนวหลังจำนวนห้าหกร้อยคนพุ่งทลายวงล้อมที่ถูกทำลายพร้อมบุกเข่นฆ่าออกไปราวกับสายลม 


 


 


“นางมาร ข้าจะฆ่าเจ้า!” เสียงตวาดด้วยโทสะดังขึ้น ลูกเกาทัณฑ์สีนิลแฝงลมหวีดหวิวรุนแรงดอกหนึ่งยิงมาที่หน้าอก นางเซียนหนิงด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ 


 


 


การโจมตีเมื่อครู่แทบจะใช้พลังวัตรของหนิงอวี่ซีจนหมดสิ้น เกาทัณฑ์ทองคำกับลูกธนูสีนิลอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานนี้บวกกับฝีมือยิงธนูอันล้ำเลิศจของอวี้เจีย ผู้ใดจะต้านทานได้? 


 


 


นางเซียนหนิงหน้าแดงก่ำ ขยับเอวหลบวูบดั่งกิ่งหลิวต้องลม ยกฝ่ามือขึ้นกระแทกลูกธนูดอกนั้น ธนูสีนิลเบี่ยงเล็กน้อย ถากผ่านไปพร้อมเสียงลมอันรุนแรง 


 


 


นางยังไม่ทันได้หอบหายใจ บริเวณขนนกของธนูดอกแรกมีหัวธนูดำทะมึนโผล่ออกมา มาอย่างรวดเร็วและรุนแรงดั่งสายฟ้าแลบ เพียงชั่วพริบตาก็บรรลุถึงหน้าอกนาง ยังรุนแรงยิ่งกว่าดอกแรกก่อนหน้าเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ไล่จันทรา! วิชาอัศจรรย์ของข่านใหญ่! 


 


 


นางเซียนหนิงกัดฟันกรอด ตวาดเจื้อยแจ้วด้วยโทสะ สองมือประนมพร้อมยกมือขึ้นในบัดดล ดันธนูคมกริบดอกนั้นขึ้นไป ธนูสีนิลบินถากผ่านข้างใบหูไป เสียงลมดั่งคมดาบ กรีดตัดเส้นผมนางขาดไปหลายเส้น 


 


 


“พี่สาวระวัง!” พูดยังไม่ทันจบ หางธนูดอกที่สองกลับมีธนูดอกที่สามพุ่งตามมาอย่างน่าอัศจรรย์ หัวธนูอวบใหญ่สีดำสนิทหมุนวนอย่างเร็วรี่ ส่งเสียงดังหึ่งๆ ราวกับหอยทากที่บินได้ รวดเร็วดั่งควันไฟ ยิงมาที่หน้าอกราวสายฟ้าแลบ 


 


 


ความเร็วและความแรงของธนูดอกนี้แทบจะสมบูรณ์แบบ ปราศจากร่องรอยให้ตามหา 


 


 


หนิงอวี่ซียังไม่ได้รั้งสองมือกลับ หน้าอกปราศจากการป้องกัน ธนูดอกนี้ทรงพลานุภาพ แล้วจะต้านทานได้อย่างไรกัน? 


 


 


นี่คือการลงทัณฑ์ข้าอย่างนั้นหรือ? ดวงตานางผุดรอยยิ้มชอกช้ำ มองโจรน้อยด้วยความอาวรณ์ ทว่ากลับรู้สึกเหมือนร่างกายกระแทกศิลาขนาดใหญ่จนลอยกระเด็นออกไป 


 


 


“ฉึก!” เสียงธนูจมเนื้อและเสียงกระดูกแตก  


 


 


แม้จะอยู่ท่ามกลางทหารและม้าศึกนับพันนับหมื่น แต่เสียงนี้กลับชัดเจนราวกับดังอยู่ข้างหู อวี้เจียกวาดตามอง ดวงตาเบิกกว้างในบัดดล ดวงตาแน่นิ่งชะงักงัน  


 


 


“เพราะอะไร เพราะอะไร…” นางปากขมุบขมิบ กล่าวรำพึงกับตนเอง 


 


 


โลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักออกจากหน้าอกเจ้าใบ้ ประหนึ่งดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง ทว่าตัวเขานั้นกลับฉีกยิ้ม 


 


 


“เพล้ง!” ข่านใหญ่ดาบทองผู้งดงาม คันศรที่อยู่ในมือ รวมถึงหัวใจของนางต่างแตกสลายพร้อมกัน นางนั่งร่างอ่อนยวบอยู่บนพื้นราวกับใบไม้แห้งเ**่ยว สายตาเลื่อนลอย สูญเสียจิตวิญญาณภายในชั่วพริบตา 


 


 


หลินหว่านหรงสองตาเบิกโพลง ทว่าเขากลับยืนนิ่ง ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว 


 


 


ไม่อาจสะกดกลั้นโลหิต ต่างไหลทะลักออกมาจากจมูก ใบหู เบ้าตา และหน้าอกของเขาราวกับตาน้ำที่ผุดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง หยดลงบนหน้าอก หัวไหล่ ท้องน้อย ต้นขาเขา เพียงชั่วพริตาก็กลายร่างเป็นมนุษย์โลหิต 


 


 


ลูกธนูสีนิลที่สั่นกระเพื่อมดอกนั้นจมลึกลงไปในหน้าอกเขา ปลายขนสีทองประหนึ่งดวงหน้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่ขยับวูบไหวอยุ่เบื้องหน้า งดงามถึงเพียงนี้  


 


 


เขาขบกรามแน่น ยืนหยัดดั่งหินผา ยืนตะหง่านไม่ยอมล้ม แม้แต่ถอยหลังก็ไม่มี 


 


 


ธนูสามดอกต่อเนื่องอันไร้เทียมทาน! อวี้เจียปิดบังธนูดอกสำคัญนี้ต่อทุกคน! แสนยานุภาพของธนูดอกนี้ลั่นฟ้าสะเทือนดิน ทะลุผ่านศิลาแหละเหล็กกล้า นางถือเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าโดยไม่ต้องละอายแก่ใจ 


 


 


“แม่ทัพหลิน…” 


 


 


“น้องหลิน…” 


 


 


หูปู้กุย เกาฉิวร้องอ๊าๆ อย่างบ้าคลั่งพลางตบหัวม้าให้หันกลับมา พยายามควบม้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ต้องการจะบุกเข่นฆ่ากลับไป ถึงกระนั้นกลับได้ยินแม่ทัพหลินตวาดออกมา “ไป! รีบไปเร็ว!” 


 


 


“ท่านแม่ทัพ!” 


 


 


“เหล่าหู ท่านลืมคำพูดข้าแล้วหรือ?! ไป รีบไปเร็วสิ! อึก!” เขาพยายามปิดปาก ทว่าโลหิตสดๆ กลับไหลทะลักราวห่าฝน ออกมาจากใบหูจมูกและปากของเขา 


 


 


“อ๊า! อ๊า!” เกาฉิวตีอกกระทืบเท้าเสียงดังตึงๆ ราวกับกลองใหญ่ ทหารต้าหัวทุกคนต่างร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด 


 


 


“ไป! ไปกับข้าให้หมด! ใครก็ห้ามหันกลับไป!” หูปู้กุยสะกดกลั้นความเจ็บปวด โค้งคำนับให้แม่ทัพหลินด้วยความเคารพอย่างยิ่งคราหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายแล้วขี่ม้าห้อตะบึง เหงื่อและน้ำตาไหลหลั่งออกมาพร้อมกัน ทหารต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนตามอยู่ข้างหลังเขา น้ำตาประหนึ่งสายฝน 


 


 


“โจรน้อย!” หนิงอวี่ซีราวกับเพิ่งตื่นจากห้วงแห่งความฝัน โผเข้าหาราวกับเสียสติ น่ำตาราวกับน้ำทะลักออกจากเขื่อน นางกอดเขาแน่น ลูบไล้ใบหน้าและเส้นผมของเขา 


 


 


โลหิต โลหิตเปียกชุ่ม! โลหิตของโจรน้อย! 


 


 


“พี่สาว ข้าเคยพูดแล้ว” เขาหอบหายใจคำโต ทว่ากลับกำลังหัวเราะอยู่ โลหิตสดๆ ดั่งสายฝนพร่างพรมลงมา สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “การลงทัณฑ์ทั้งหมดข้าจะรับเพียงคนเดียว! ไม่เกี่ยวกับท่าน ธนูดอกนี้เป็นข้าที่ชดใช้คืนให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ ตอนนี้ข้าไม่ติดค้างนางแล้ว ข้าดีใจมาก” 


 


 


“โจรน้อย” นางเซียนน้ำตาไหลทะลัก ซบอยู่ในอ้อมอกของเขาแน่น ใบหน้าแนบกับหน้าอกเขา ปล่อยให้โลหิตจำนวนนับไม่ถวนแปดเปื้อนเส้นผมและใบหน้าของตนเอง 


 


 


แววตาโจรน้อยค่อยๆ แตกซ่าน ฝ่ามือเย็นเฉียบเหมือนหิมะ จู่ๆ เขาก็ลืมตาโพลงพร้อมพูดว่า “พี่สาว ข้าอยากกลับบ้านมาก แม่ของข้ากำลังเรียกข้าอยู่…” 


 


 


มือเขาพลันหยุดอยู่กลางอากาศ ปราศจากถ้อยคำอื่นใดอีก 


 


 


นางเซียนเจ็บปวดใจจนหายใจไม่ออก นางลูบดวงตาที่ยังเปิดอยู่ทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยน เช็ดน้ำตาบนแก้มเขา จุมพิตริมฝีปากอันเย็นเฉียบนั้นเบาๆ คราหนึ่ง “โจรน้อย พวกเรากลับบ้านกัน!” 


 


 


หลี่อู่หลิงที่กำลังควบม้าห้อตะบึงกัดฟันกรอดพร้อมปาดน้ำตา ทว่ากลับรู้สึกใบหูเย็นวาบ เมื่อลองคลำดูสองครา จู่ๆ ก็กระเด้งด้วยความตกใจ “ดู ดู!” 


 


 


“ดูอะไร?!” หูปู้กุยเช็ดหางตาพร้อมกล่าวอย่างมีน้ำโห 


 


 


เสี่ยวหลี่จื่อพูดด้วยความตื่นตระหนก “หะ หะ หิมะตกแล้ว!” 


 


 


“ผายลม! หิมะตกเดือนห้าที่ไหนกัน!” เขาพูดยังไม่ทันจบก็รู้สึกว่าข้างใบหูเย็นเฉียบ เมื่อเงยหน้ามอง ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ดวงตะวันอันร้อนแรงค่อยๆ ลาลับ บนทุ่งหญ้าบังเกิดสายลมโถมกระหน่ำ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยความมืดมิด ปุยขาวที่มีอยู่เต็มท้องฟ้าปลิวไสวอย่างแช่มช้า ลอยล่องเบาๆ ค่อยๆ กลบดวงตาทั้งสองข้าง เกล็ดหิมะนั้นขาวกระจ่างใสดั่งแก้วผลึก 


 


 


“หิมะตกแล้ว หิมะตกแล้ว สวรรค์ หิมะตกแล้ว!” หูปู้กุยน้ำตานองพร้อมส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนต่างร่ำไห้อย่างรุนแรง  


 


 


หิมะขนาดเท่าขนห่านทยอยโปรยปรายลงมา ตกกระทบใบหน้าและเส้นผม ร่วงหล่นลงบนทุ่งหญ้า ผสานกับคราบโลหิตสีแดงฉานเป็นหนึ่งเดียว 


 


 


หิมะโปรยปลายเดือนห้า ร้อยปียากจะได้พานพบสักครั้งหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง ชาวทูเจวี๋ยเบิกตาโพลง คุกเข่ากราบกรานลงกับพื้นเพื่อขอพรจากสวรรค์ 


 


 


อวี้เจียนั่งอย่างสงบนิ่งกลางทุ่งหญ้า หลุบตาลงต่ำ ไม่ร้องไห้ไม่หัวเราะ ปราศจากเสียงใดๆ หิมะขาวลอยล่องไปหมด ตกกระทบลงบนเรือนผมสีนิลอันเรียบลื่นของนางอย่างแช่มช้า ประหนึ่งบุปผาน้อยอันงดงามที่ทัดลงบนเส้นผม 


 


 


ท่ามกลางหิมะโปรยปราย บริเวณขมับอันงดงามกระจ่างใสประดุจของนางนั้นคล้ายแต่งแต้มด้วยเกล็ดหิมะ แรกเริ่มก็เบาบาง จากนั้นก็ค่อยๆ เข้มขึ้น ทีละนิด ทีละหน่อย ค่อยๆ บังเกิดเป็นสีที่ตัดกัน จนกระทั่งขาวโพลนไปหมด   

 

 


ตอนที่ 610 สวรรค์ไม่ทำลายผู้มีความรัก

 

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เฉี่ยวเฉี่ยวน้ำตานอง โถมเข้าสู่อ้อมอกเขาด้วยความยินดีเป็นบ้าเป็นหลังราวกับนกกระจอกตัวหนึ่ง นางกอดเขาแน่น หลั่งน้ำตาโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา 


 


 


“ที่รักตัวน้อย คิดถึงข้าหรือเปล่า” เขาหัวเราะร่วนตามความเคยชิน ขณะที่กำลังจะกอดสาวน้อยผู้นี้อย่างแรง กลับรู้สึกว่าลำคอแห้งผากเหลือล้น ไม่เพียงพูดไม่ออก แม้แต่มือของตนก็มองไม่เห็น  


 


 


การตื่นตะลึงครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก “อ๊า! อ๊า!” เขาเต้นแร้งเต้นกา พยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย  


 


 


“หลินหลาง” สตรีภายในอ้อมอกเงยหน้าขึ้นมา ทว่ากลับกลายเป็นดวงหน้าอันงามพิลาสของชิงเสวียน คุณหนูเซียวอุ้มห่อผ้าสีแดงสดไว้ในอ้อมอก โยกไปมาเบาๆ ใบหน้าเปล่งประกายรักใคร่แห่งมารดา กล่าวระคนหัวเราะอย่างอ่อนโยนพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าดูสิ นี่คือลูกของเรา เขากำลังหัวเราะให้เจ้าอยู่เลยนะ เจ้าคนเลวคนนี้ หน้าตาเหมือนเจ้าทุกกระเบียดนิ้ว รีบดูเร็วสิ เขากำลังหัวเราะอยู่จริงๆ นะ!” 


 


 


ลูกของข้า? เขาเอื้อมมือออกไปด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น กอดเลือดเนื้อเชื้อไขของตนแน่น ดวงหน้าน้อยๆ สีชมพูภายในผ้าห่อแดงชุ่มชื่นน่ารักน่าชัง ดวงตา จมูก ปาก ต่างเหมือนเคาะออกมาจากเขา 


 


 


ลูก ข้ามีลูกแล้ว! เขาก้มหน้าด้วยความดีใจ ขณะที่กำลังจะจุมพิตใบหน้าลูกชาย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตวาด ด้วยความชอกช้ำอย่างรวดเร็ว “หลินหลาง ระวัง!” 


 


 


ลูกธนูสีนิลพร้อมเสียงลมหวีดหวิวยิงใส่หน้าอกเขาราวกับสายฟ้าแลบ ทำให้ผิวหนังเขาปริแยกภายในชั่วพริบตา พุ่งเข้าสู่หัวใจเขา 


 


 


มัจจุราชจูงมือเขา เมื่อเห็นว่าจะพาตัวเขาไปแล้ว เด็กที่อยู่ในผ้าพลันลืมตาขึ้นมา อ้ามือน้อยนุ่มนิ่มปัดป่ายไปมา ดวงหน้าเล็กๆ นั้นคลี่ยิ้มราวบุปผาแรกแย้ม “พ่อจ๋า!”  


 


 


ดั่งเสียงร้องแรกของนกน้อย! 


 


 


ร่างกายเขาสะท้านอย่างรุนแรง ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต น้ำตาร้อนคลอเบ้าในบัดดล “เรามีลูกชายแล้ว เรามีลูกชายแล้ว เราจะตายไม่ได้!” 


 


 


“อ๊า!” เขาส่งเสียงร้องน้ำตาโลหิตไหลรินราวกับเพิ่งตื่นจากห้วงแห่งความฝัน ขยับมือไม้สะเปะสะปะราวกับเสียสติ ราวกับกำลังแลกชีวิตกับสวรรค์ ลืมตาขึ้นมาทันที 


 


 


ชิงเสวียนหายไปแล้ว! ลูกหายไปแล้ว! 


 


 


ข้างใบหูได้ยินเสียงสายน้ำไหลดังจ๊อกๆ แสงไฟหรุบหรู่ขยับวูบวาบอยู่ตรงหน้าแผดเผาเขาอยู่ แม้จะอยู่ใกล้เพียงนี้ แต่ร่างกายเขากลับเย็นเฉียบไปหมด ปราศจากเรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย ลำคอแห้งผากจนแทบจะปริแตก มีเพียงความเจ็บปวดรุนแรงที่แทบจะแทงลึกจนถึงกระดูกซึ่งส่งผ่านมาจากหน้าอกเท่านั้นที่ชัดเจนและจริงแท้ถึงเพียงนี้ 


 


 


เขาหอบหายใจอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ท่ามกลางสติอันรางเลือน เขานึกถึงศึกครั้งสุดท้ายในวันนั้นขึ้นมาได้ การเข่นฆ่าสังหารไม่รู้จักจบสิ้น โลหิตสดๆ นองเต็มไปหมด ลูกธนูสีนิลปลิดชีวิต หิมะขนาดเท่าขนห่านลอยล่องเต็มท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างต่างผุดอยู่เบื้องหน้า 


 


 


เสียงจักจั่นร้องเบาๆ ข้างใบหู ข้างกายมีกลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้ามา บุปผาน้อยไร้นามแซมอยู่ท่ามกลางพงหญ้าเต็มไปหมด กำลังประชันความงดงาม เบ่งบานสะพรั่ง ณ สถานที่ไม่ไกลนักจุดกองไฟสีสันสดใสอยู่กองหนึ่ง แดงเฉิดฉันงดงาม ประกายไฟส่งเสียงเพียะๆ ไม่หยุด 


 


 


เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ คิดจะขยับตัวเล็กน้อย ทว่ากลับรู้สึกเหมือนร่างกายปริแตกไปทั้งร่าง ไม่มีส่วนใดที่ไม่เจ็บปวด นอกจากนิ้วมือที่ขยับได้ แม้แต่จะเอนคอก็ยังเป็นเรื่องฝันเฟื่อง 


 


 


คราวนี้ถือว่าจบเห่โดยสิ้นเชิง ใจเขาอยากจะร้องไห้ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน่าขำอยู่บ้าง เอาชีวิตรอดกลับมาจากเงื้อมมืออวี้เจียได้ แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่ให้ดีใจกันอีกเล่า? 


 


 


ใต้ร่างปูหญ้าเขียวหนาเตอะ บนร่างคลุมด้วยอาภรณ์หอมกรุ่น เขานอนอยู่ในพงบุปผาป่าอย่างสงบนิ่ง กลิ่นหอมจรุงไปทั่วพื้นที่ ธารน้ำใสสะอาดไหลผ่านข้างกายเขา ข้างใบหูมีเสียงตีผิวน้ำเบาๆ แว่วเข้ามา 


 


 


สตรีซึ่งสวมชุดของชนเผ่านอกด่านที่ทำขึ้นมาอย่างหยาบๆ นางหนึ่งเกล้าผมขึ้นไปอย่างลวกๆ พับชายแขนเสื้อเล็กน้อย เท้าน้อยเปลือยเปล่าที่ขาวกระจ่างใสยืนอยู่ในลำธารใส มือถืออาภรณ์สองชิ้นกำลังตีเบาๆ สะเก็ดน้ำที่แตกกระเซ็นตกกระทบใบหน้าและเรือนผมยาวของนาง กระจ่างใสแวววาวท่ามกลางแสงจากกองไฟอันหรุบหรู่  


 


 


ปราศจากชุดสีขาวที่นางชื่นชอบมากที่สุด แต่เรือนร่างอันอรชรอวบอิ่มนั้นกลับยังดูคุ้นตาเยี่ยงนี้ กระทั่งยังเพิ่มความรู้สึกใกล้ชิดเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่งอีกด้วย นางกำลังซักชุดอยู่ ราวกับเป็นสตรีที่แสนจะธรรมดาที่สุดคนหนึ่ง อ่อนโยนจิตใจดี สีหน้าตั้งอกตั้งใจก็งดงามถึงเพียงนี้ 


 


 


หลินหว่านหรงลำคอแห้งผาก ใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งหมดเปล่งเสียงร้องเรียกออกมาเบาๆ “พี่สาวเทพเซียน…” 


 


 


เสียงดังหึ่งๆ ราวกับเสียงยุง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังได้ยินไม่ชัด สตรีที่กำลังซักผ้ากลับเหมือนถูกจี้สกัดจุด ร่างกายหยุดชะงัก ชุดที่ถืออยู่ในมือร่วงลงน้ำ นางหมุนกายกลับมาด้วยร่างกายที่สั่นระริก สิ่งที่ต้อนรับนางก็คือดวงตาอันเปล่งประกายดั่งดาวประกายพรึกของโจรน้อยคู่นั้น 


 


 


ริมฝีปากสีแดงสดขยับขมุบขมิบเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ย่ำน้ำเข้ามาหาราวกับเสียสติ สองเท้าที่ขาวดั่งหยกเหยียบย่ำน้ำเสียงดังซ่าๆ พุ่งมาที่ริมตลิ่งราวกันกระแสน้ำอันไหลเชี่ยว 


 


 


“โจรน้อย!” เมื่อวิ่งมาถึงจุดที่ห่างจากเขาไม่ไกล หนิงอวี่ซีพลันรั้งฝีเท้า เหม่อมองเขาอย่างเลื่อนลอย คิดจะยื่นมือน้อยออกมา ทว่ากลับเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองอีก นางนิ่งเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นก็รีบปีดปากทันที ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ น้ำตาดั่งสายฝน  


 


 


ถอดอาภรณ์สีขาวออกไป สวมชุดกระโปรงผ้าปักปิ่นธรรมดา เกล้ามวยผมสีดำขลับขึ้นไปอย่างลวกๆ หลุดลุ่ยยุ่งเหยิงอยู่ข้างใบหู ดวงตาดั่งวารี คิ้วงามชี้เล็กน้อย สองเท้าที่เปลือยเปล่ากระจ่างใสดุจหยก ท่ามกลางอาการเหนื่อยล้าและเกียจคร้านกลับมิอาจปกปิดความงามยวนเย้าได้ นางเซียนที่เป็นเช่นนี้ยังไม่เคยเห็นมาก่อน หลินหว่านหรงมองอย่างเหม่อลอย ผ่านไปนานถึงเอื้อนเอ่ยออกมาว่า “พี่สาวเทพเซียน นางเซียน ท่านกลับมาเป็นปุถุชนได้ด้วยหรือ?!” 


 


 


หนิงอวี่ซีเดินไปข้างกายเขาอย่างแช่มช้า จับมือที่สั่นระริกของเขา หลั่งน้ำออกมาด้วยความอ่อนโยน “เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าไม่เคยเป็นนางเซียน ตอนนี้ข้าอยากเป็นแค่สตรีผู้หนึ่ง เป็นสตรีที่แท้จริง ซักผ้าทำอาหาร ให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เจ้า สร้างทายาทสืบสกุลต่อไป” 


 


 


หลินหว่านหรงกะพริบตาปริบๆ ดวงตาเปล่งประกาย “พี่สาว ท่านต้องอดทนสักหน่อยถึงจะไหว ตอนที่ซักผ้าทำกับข้าวจะขอให้พี่สาวทำหน้าที่นางเซียนควบด้วยได้หรือไม่ ท่านก็รู้ว่าว่าข้าชอบดูท่านเหาะอยู่บนฟ้า จากนั้นข้าก็ไล่ตามอยู่บนพื้น ตอนที่ล้มลงพื้นแบบนั้นถึงจะทำให้ตื่นเต้นและเร้าใจ” 


 


 


“เจ้าคนชั่วร้ายนี่!” นางเซียนหนิงใบหน้าใบหูแดง ใคร่หยิกเอวเขาอย่างแรงคราหนึ่ง เมื่อยื่นมือออกไปการเคลื่อนไหวกลับอ่อนโยนเหลือล้น หัวเราะทั้งน้ำตา   


 


 


การมีชีวิตช่างดีเสียจริง แหย่พี่สาวนางเซียนได้ด้วย เขาฉีกยิ้ม ถึงกระนั้นกลับกระทบกระเทือนถึงบาดแผล ไออย่างรุนแรงออกมา ช่วงที่รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็รู้สึกเพียงว่าอวัยวะภายในเคลื่อนตัว โลหิตไหลพร่างพรูออกมาจากปาก 


 


 


นางเซียนส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน ยกแขนเสื้อขึ้นแล้วเช็ดคราบเลือดสีแดงสดนั้นเบาๆ จากนั้นก็จับมือเขาแน่นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนออกมา “เจ็บหรือ” 


 


 


“ไม่ ไม่เจ็บ” โจรน้อยหอบหายใจ 


 


 


“แต่ข้าเจ็บมาก!” นางเซียนนำใบหน้าแนบชิดหน้าอกเขา น้ำตาไหลริน  


 


 


“ไม่เป็นไรๆ อีกไม่นานก็หายแล้ว” หลินหว่านหรงกุมมือเย็นเฉียบของนางแน่น หอบหายใจหยาบๆ หนักๆ ออกมา 


 


 


หนิงอวี่ซีส่งเสียงอืมเบาๆ พร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องดีขึ้น นั่นเพราะเจ้ายังติดค้างของข้าอย่างหนึ่ง” 


 


 


“รุ้แล้ว!” โจรน้อยกล่าวพลางหัวเราะร่วน “พี่สาว สักเสี้ยวเวลาก็ไม่ลืมเลือน” 


 


 


หนิงอวี่ซีลูบไล้เส้นผมเขาอย่างแช่มช้าพลางส่ายหน้าเบาๆ “สักเสี้ยวเวลาก็ไม่ลืมเลือน? เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว! วันนั้นตอนขวางอยู่ข้างหน้าข้า เจ้าจำได้หรือไม่? เพราะเหตุใดถึงต้องทิ้งความทุกข์อันยิ่งใหญ่ที่สุดให้ข้าด้วย! เหตุใดเจ้าถึงต้องทำกับข้าเช่นนี้ เจ้าคนใจอำมหิต ข้าแค้นเจ้า ข้าจะแค้นเจ้าทุกภพทุกชาติ!” 


 


 


นางฟุบอยู่บนหน้าอกโจรน้อย ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ไหล่สะท้านอย่างรุนแรง สะอึกสะอื้นจนแทบขาดอากาศหายใจ ความรู้สึกจิตใจแตกสลายในช่วงหลายวันนี้ ในที่สุดก็ได้ระบายออกมาราวกับภูเขาถล่มทลาย 


 


 


ร้องไปเถอะๆ บนโลกนี้ยังมีเรื่องที่สาแก่ใจมากกว่าการร้องไห้อีกหรือ? ท่ามกลางความเงียบงัน เขาอดสะอื้นไม่ได้เช่นกัน 


 


 


ปล่อยให้น้ำตาไหลพราก ทั้งสองกอดกันอย่างสงบนิ่ง นอนหงายอยู่บนดงบุปผาอันแสนจะงดงามแห่งนี้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด จิตใจของพวกเขาก็ทอดยาวไกลเพียงนั้น ชีวิตคนเราจะมีสักกี่ครั้งที่มีช่วงเวลาอันสวยงามเยี่ยงนี้? 


 


 


“พี่สาว เหตุใดข้าถึงไม่ตาย?!” เขาเอ่ยปากถามแผ่วเบา 


 


 


นางเซียนหนิงน้ำตาพร่างพรู พูดเสียงดังออกมาว่า “ห้ามเจ้าพูดเหลวไหล! โจรน้อยของข้าไม่มีวันตายตลอดกาล!” 


 


 


ไม่มีวันตายตลอดกาล? เห็นข้าเป็นมนุษย์อมตะหรือ เขาหัวเราะเงียบๆ เอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยน “อืม ข้ากับพี่สาวเทพเซียนอยู่ด้วยกันตลอดกาล พวกเราไม่มีวันตายตลอดกาล เพียงแต่ ข้าสงสัยมากจริงๆ ฝีมือการยิงธนูของอวี้เจียร้ายกาจมากขนาดนั้นก็ยังยิงข้าไม่ตายอีกหรือ ถ้าอย่างนั้นวันหลังข้าร้ายกาจแล้ว” 


 


 


หนิงอวี่ซีมองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห เมื่อเห็นสายตามุ่งหวังของเขาใจก็อ่อนลงทันที 


 


 


“ลองดูสิ่งนี้” นางเซียนนำเกราะอ่อนที่ทำมาจากผ้าไหมออกมาตัวหนึ่ง จากนั้นจึงส่งไปเบื้องหน้าเขาอย่างแช่มช้า ชุดเกราะอ่อนผ้าไหมตัวนี้ชุ่มโชกด้วยโลหิตตั้งแต่แรก บริเวณกึ่งกลางตำแหน่งหัวใจขาดเป็นรูขนาดใหญ่ ผ้าไหมที่ห่อหุ้มเหลือเพียงชั้นบางๆ ถูกฉีกกระชากจนแปรสภาพ หลุดลุ่ยออกมาเป็นเส้นๆ แสนยานุภาพของธนูดอกนั้นของอวี้เจียมีมากมายเหลือเกิน แม้ผ้าไหมจะใช้พลังดีดสะท้อนสลายพลังไปจำนวนหนึ่งแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นก็ยังจมลึกลงไปที่หน้าอกเขาตามลูกธนูสีนิล คราบเลือดแห้งกรังที่อยู่บนนั้นใช้เป็นหลักฐานได้  


 


 


หลินหว่านหรงนิ่งงันอยู่นาน จากนั้นกะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นทันที ขอบคุณท่านพ่อตาฮ่องเต้ที่ให้เกราะอ่อนชั้นดีกับข้าเช่นนี้ ข้ากลับบ้านไปแล้วต้องจุดธูปสักการะท่านสักหน่อยแล้ว 


 


 


เกราะไหมตัวนี้ฮ่องเต้ทรงสั่งให้เกาฉิวนำมาส่งให้เขาด้วยตนเองตอนที่อยู่เมืองหลวงวันนั้น ฟังเกาฉิวกล่าวชมเชยเสียเลิศเลอ โม้เจ้าของสิ่งนี้จนเหมือนเป็นเทพเซียน เขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย สวมอยู่บนตัวก็ไม่เคยสนใจมาก่อน ตอนที่หลี่อู่หลิงได้รับบาดเจ็บ ข้ายังมอบเกราะอ่อนนี้ให้เสี่ยวหลี่จื่ออีกด้วย เพียงแต่ครั้งนี้เข้าร่วมการแข่งขันชิงแพะ เพื่อความปลอดภัย พวกของหูปู้กุยจึงบังคับให้เขาสวมอีก คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาสำคัญกลับเป็นมันที่ช่วยชีวิตเอาไว้ 


 


 


ยังเป็นนายผู้เฒ่าที่มีสายตายาวไกล! เขาซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล อยากจะตะเกียกตะกายขึ้นมาตอนนี้แล้วโค้งคำนับท่านพ่อตาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป 


 


 


นางเซียนถอนหายใจ พร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ “โจรน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราหนีรอดจากเงื้อมมืออวี้เจียได้อย่างไร” 


 


 


“รู้” เขาผงกศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างเงียบงัน “ในสายตานางข้าเป็นคนที่ตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย! นางไม่มีทางลงมือกับข้าที่ตายไปแล้ว” 


 


 


คำพูดประโยคนี้ผสมไปด้วยความรู้สึกหลากหลายสารพันจริงๆ ทำให้คนทอดถอนใจไม่หยุด 


 


 


“อวี้เจียผู้นี้ แม้จะเป็นสตรีทูเจวี๋ย แต่กลับเป็นไข่มุกแห่งทุ่งหญ้า สติปัญญาและแผนการ กำลังรบ ฝีมือ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่อยู่ในขั้นสุดยอด ถือเป็นยอดคนบนโลกนี้ก็ว่าได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี ชีวิตกำหนดไส้แล้วว่าต้องด้อยลงมาขั้นหนึ่ง และนี่ก็คือโชคชะตาของพวกเรา” 


 


 


นางเซียนหนิงมองเขาอย่างเลื่อนลอยเงียบงัน คล้ายมีถ้อยคำมากมายที่ต้องการพูดกับเขา 


 


 


หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมายาวๆ โดยพลัน เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่สาวนางเซียน มีคำถามหนึ่ง ที่จริงแล้วข้าอยากถามท่านมาตลอด เห็นชัดว่าท่านลบความทรงจำของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ไปแล้ว แล้วทำไมนางถึงยังจำข้าได้อีก?!” 


 


 


หนิงอวี่ซียิ้มขื่น “การลืมเลือนไหนเลยจะง่ายดายเยี่ยงนั้น? โจรน้อย เจ้าดู นี่คืออะไร?!” 


 


 


นางควักหนังแพะที่หลุดร่อนแห้งกรังออกมาจากอกหลายแผ่น จากนั้นก็ส่งไปเบื้องหน้าเขาอย่างแช่มช้า 


 


 


ใต้แสงไฟอันหรุบหรู่ บนหนังแพะเขียนตัวอักษรขนาดเล็กจนแน่นขนัด คล้ายเขียนโดยใช้ของเหลวจากหญ้าสมุนไพรบางอย่าง หวัดสะเปะสะปะทว่างดงาม เขาเบิกตาโพลง ทว่ากลับอ่านไม่ออกสักคำเดียว ดังนั้นจึงพูดอย่างอับจนปัญญาออกมาว่า “พี่สาว เหตุใดท่านถึงเขียนด้วยภาษาทูเจวี๋ย ข้าอ่านไม่ออกนะ” 


 


 


“โจรน้อยหน้าโง่ นี่ข้าเขียนที่ไหนกัน?” นางเซียนส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ “นี่เป็นสิ่งที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์เชลยศึกผู้งดงามของเจ้าแอบจดบันทึกไว้ก่อนที่ข้าจะใช้วิชากับนาง” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์เขียน? นางเขียนอะไร? 


 


 


“บนหนังแพะแต่ละผืนต่างเขียนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจ้า ทุ่งหญ้า ทะเลทราย ภูเขาหิมะ คำพูดที่เจ้าเคยพูดกับนาง เรื่องที่เคยทำกับนาง ประสบการณ์ในการร่วมเป็นร่วมตายทุกอย่าง นางบันทึกไว้หมด รวมเป็นหนังแพะสี่ผืน” นางเซียน ส่ายหน้าเบาๆ “ความฉลาดของสตรีผู้นี้ถือว่าหาได้ยากบนโลกนี้แล้วจริงๆ” 


 


 


“นางเขียนเรื่องพวกนี้ทำไมกัน?!” หลินหว่านหรงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ 


 


 


“เพราะนางรู้ว่าเจ้าจะทำอะไรกับนาง!” หนิงอวี่ซีถอนหายใจยาวคราหนึ่ง “หนังแพะสี่แผ่น แบ่งไปซ่อนตามเส้นผม หน้าอก ฝักดาบ ส้นรองเท้า ทุกประโยคในหนังแพะนี้ต่างมีชื่อของคนผู้นั้น ขอเพียงนางหาพบแม้แต่แผ่นเดียว เห็นเพียงแวบเดียว นางก็ไม่มีวันลืมเลือนคนใจไม้ไส้ระกำคนนั้นอีกตลอดกาล!” 


 


 


หลินหว่านหรงกำหมัดแน่น ขบฟันกรอด ไม่เปล่งวาจา 


 


 


“โจรน้อย ตอนที่ข้าใช้วิชากับอวี้เจีย มักจะ มักจะยั้งเอาไว้เล็กน้อย ข้าไม่อาจลงมือ” นางเซียนส่ายหน้า หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน “สตรีเช่นพวกเรา เมื่อมายังโลกนี้แล้วจะได้พบผู้ที่ทุ่มเทจิตใจและความรักให้ได้เป็นเรื่องยากเย็นมากเพียงใด! บุพเพสันนิวาสที่ร้อยปีกว่าจะได้มา แล้วจะลบล้างอย่างง่ายดายไปทั้งอย่างนี้ได้อย่างไรกัน? ดังนั้นข้าจึงอยากให้โอกาสนางสักและให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หากนางจำเจ้าได้ เช่นนั้นก็ถือว่าสวรรค์ไม่ทำลายผู้มีความรัก!” 


 


 


โจรน้อยเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ใบหน้าขาวซีดไปหมด 


 


 


“ข้าดีใจมากที่ข้าทำเช่นนี้” นางเซียนหนิงเอื้อนเอ่ยเบาๆ “สวรรค์ยุติธรรม ข้าทิ้งความหวังให้อวี้เจีย สวรรค์ถึงคืนเจ้ามาให้ข้า!” 


 


 


เขาส่ายหน้าอย่างหมดแรง น้ำตากระจ่างใส “พี่สาว ข้าเหนื่อยมาก ข้าอยากกลับบ้าน!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม