เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 60.4-61.3

ตอนที่ 60 - 4 เยือนตำหนักบรรทมยามราตรี

 

ค่ำคืนนี้จิ่งเหิงปัวนอนไม่หลับแล้ว


 


 


นางพลิกไปมาราวแผ่นแป้งทอดอยู่บนเตียงครั้งแล้วครั้งเล่า ในสมองที่พลิกไปมาเป็นฉากที่กงอิ้นดื่มน้ำแกงปานดื่มคารวะฉากหนึ่งนั้นทั้งนั้น


 


 


ฉากหนึ่งนั้นกะทันหันสั่นสะเทือนเกินไป ล้มล้างความรู้ความเข้าใจที่นางมีต่อกงอิ้น ถึงขนาดที่ตอนนั้นนางไม่ได้รู้สึกตัวโดยสิ้นเชิง หลังเรื่องราวถึงนึกขึ้นมาได้ว่ามีอารมณ์อยากหัวเราะ แต่รู้สึกว่าในใจไม่สบายใจ


 


 


อยู่ดีๆ ทำไมกงอิ้นวิ่งไปแย่งน้ำแกง? หรือว่าไม่พอใจพฤติกรรมเมื่อวานของเหยียลี่ว์ฉี ตนเองเลยลอกเลียนบ้างสักหน่อย?


 


 


ไม่ถูกต้อง เขาน่ะไม่ยอมเลียนแบบคนอื่นหรอก


 


 


จะเป็นศัตรูกับนางอย่างบริสุทธิ์? นางส่งให้ใคร เขาก็ไม่ให้คนนั้นได้ดื่มเหรอ?


 


 


มีคนไร้เดียงสาขนาดนี้ด้วย? สติปัญญาเขาถดถอยแล้วเหรอ?


 


 


แต่พอย้อนกลับมาครุ่นคิด สติปัญญาของมหาเทพกงเกินมาตรฐานพุ่งตรงเหนือปลายเมฆ แต่ความฉลาดทางอารมณ์คงไม่ได้เลิศล้ำมากมายล่ะมั้ง? นี่มันอยู่ในขอบเขตของความฉลาดทางอารมณ์ชัดๆ เลย


 


 


เฮ้อ! จะไปใส่ใจสติปัญญาหรือความฉลาดทางอารมณ์ของเขาทำไม ปัญหาที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ เขาดื่มน้ำแกงที่เพิ่มวัตถุดิบนั้นไปแล้ว!


 


 


ตอนนี้…อยู่ในสภาวะแบบไหนกัน?


 


 


เหยียลี่ว์ฉีแบบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังคุ้มค่าให้เฝ้ารอคอยอย่างยิ่ง กงอิ้นแบบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง…รู้สึกว่าแปลกๆ ตรงไหนแฮะ


 


 


อีกอย่างนิสัยแบบกงอิ้นนั้น ถ้าตกหลุมพรางคงจะไม่บอกให้คนอื่นรู้ ถ้าเกิดอ่อนแรงอยู่บนเตียงขึ้นมา…ต้าฮวงจะเกิดการก่อกบฏไหมเนี่ย?


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองไม่กังวลว่าต้าฮวงจะเกิดการก่อกบฏเลยแม้แต่น้อย แต่นางลุกขึ้นมาอย่างพิลึกพิลั่นแล้ว


 


 


หลังสวมผ้าคลุมนอกชุดนอนใส่รองเท้าแตะพื้นนุ่ม นางเดินออกไปข้างนอกอย่างมือเบาเท้าเบา


 


 


ในพระราชวังนางไม่มีใครตื่นอยู่ นางในที่เฝ้ายามข้างนอกกำลังสัปหงก จิ่งเหิงปัวเดินไปยังประตูข้างที่เชื่อมกับจิ้งถิงอย่างอิสระมาก


 


 


ไม่มีใครรบกวนตลอดทาง ในใจนางร่าเริง


 


 


นางคงไม่รู้แน่นอนว่า ครู่หนึ่งนั้นเองที่นางก้าวออกจากตำหนักบรรทม พระราชอุทยานของตนเองรวมทั้งพระราชอุทยานข้างห้องมีคนนับไม่ถ้วนกำลังทำสัญญาณมือสอบถามกันยกใหญ่


 


 


“ราชินีออกจากตำหนัก”


 


 


“คอยสังเกตการณ์”


 


 


“มาทางจิ้งถิง”


 


 


“ยกเลิกสังเกตการณ์”


 


 


“ราชินีไปทางประตูข้างของจิ้งถิง”


 


 


“ดีมาก ถอนหน่วยรักษาการณ์ลับ ปลดกุญแจลับ ห้ามเปล่งเสียงใดๆ ห้ามรบกวนราชินี สังหารนกและแมลงที่ร้องได้ให้สิ้น จะต้องให้ราชินีเข้าสู่ห้องบรรทมของราชครูอย่างราบรื่น”


 


 


“ราชินีไปถึงห้องหนังสืออย่างราบรื่น”


 


 


“ราชินีไปถึงโถงหน้าอย่างราบรื่น”


 


 


“ราชินีไปถึง…ห้องบรรทมของราชครูอย่างราบรื่น”


 


 


“แผนการใหญ่สำเร็จลุล่วง! เปลี่ยนเวรยามใหม่อีกครั้ง!”


 


 



 


 


ตำหนักบรรทมของกงอิ้นอยู่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของจิ้งถิง ติดกับห้องหนังสือ เดินผ่านระเบียงทางเดินรอบตำหนักเส้นหนึ่งก็ถึงแล้ว


 


 


ทั่วทั้งจิ้งถิงต่างเงียบสงัดยิ่ง ไร้ซึ่งแสงตะเกียงแม้แต่น้อย บริเวณหัวมุมของระเบียงทางเดินรอบตำหนักประดับเพียงไข่มุกสว่างคอยส่องแสง ลำแสงขาวซีดเยือกเย็นไม่แปดเปื้อนแสงสีประหนึ่งกงอิ้น ทั้งถ่อมตนทั้งหรูหรา


 


 


สำหรับการไม่พบเจอองครักษ์สักคนตลอดเส้นทาง แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย แต่นางขี้เกียจจะครุ่นคิดตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่มีใครขวางยิ่งดี


 


 


ก่อนนางจะมาได้สืบถามตำแหน่งห้องบรรทมของกงอิ้นเรียบร้อยแล้ว และได้ยินว่ากลางคืนกงอิ้นไม่ต้องการให้มีคนเฝ้ายามทั้งในห้องนอกห้องเหมือนกับนาง แต่ตอนยืนอยู่ตรงจุดสิ้นสุดของระเบียงทางเดินรอบตำหนัก นางยังต้องมองจนงงงวย


 


 


ประตูอยู่ตรงไหน?


 


 


เบื้องหน้าคือกำแพงฝั่งหนึ่ง กำแพงศิลาสีขาว วัสดุคล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยก บนกำแพงศิลามีภาพภูเขาและสายน้ำที่ลงน้ำหนักกว้างไกลสูงตระหง่านภาพหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเกิดตามธรรมชาติหรือแกะสลักภายหลัง รอยร่องซอกหินกลายเป็นภูเขาและสายน้ำขนาดใหญ่โดยธรรมชาติ โดดเด่นน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง


 


 


ตรงนี้คงจะเป็นประตูแล้วสินะ ดูท่าทางยังมีกลไกเครื่องหมายลับ


 


 


หรือว่านี่คือสาเหตุที่กงอิ้นไม่ต้องการองครักษ์แล้ว ประตูนี้มองแวบเดียวควบคุุมยากเหมือนเขาเลย


 


 


แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวสามารถผ่านไปได้อย่างไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย แต่นางมีอยากรู้อยากเห็นมากตั้งแต่ไหนแต่ไร อดจะต้องเท้าคางศึกษาสักหน่อยไม่ได้


 


 


จากนั้นนางพบว่าบนบานประตูมีอักษร อักษรเหล่านั้นคล้ายเป็นลายฉลุ นางยื่นมือลูบคลำ พบว่าไม่ใช่ลายฉลุ แต่เป็นอักษรเคลื่อนไหว อักษรทุกตัวสามารถเคลื่อนย้ายได้


 


 


ทินกรกว้างลึกล้ำระเริงสายธารเหิงจิ่งหวนคล้อยทวนคืนวิหคงามขานผันกาลระรื่นแผ่มวลคลื่นลมปัวยามแรกเริ่ม


 


 


อักษรสับสนวุ่นวายแถวหนึ่ง ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร จิ่งเหิงปัวมองอยู่เนิ่นนาน ลองนับตัวเลขแล้วคิดว่าคงเป็นบทกวีที่เรียงมั่วซั่ว คาดเดาว่าถ้าเรียงตามสัมผัสทำนองอะไรสักหน่อย เรียงเสร็จแล้วประตูคงเปิดออก แน่นอนว่างานฝีมือแบบนี้นางทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด


 


 


แต่อักษรแถวนี้ทำให้นางมีความรู้สึกแปลกประหลาดโดยตลอด เหมือนว่าได้มองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งคุ้นเคยมาก


 


 


นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ส่ายหน้า ไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ เรือนร่างกะพริบวูบผ่านเข้าไปด้านในแล้ว


 


 


แวบแรก ใหญ่มาก


 


 


ห้องบรรทมของกงอิ้นมองเพียงแวบเดียวไม่สุดทาง กว้างโล่งดุจตำหนักใหญ่ แนวตั้งและแนวนอนกว้างทั้งสิ้นหลายจั้ง


 


 


แวบที่สอง ขาวมาก


 


 


ทั่วทั้งตำหนักบรรทมล้วนเป็นสีขาว กำแพงขาวพื้นศิลาสีขาว แม้แต่เตียงตั่งโต๊ะเก้าอี้ล้วนเป็นสีขาว ขาวบริสุทธิ์จนคล้ายถ้ำหิมะ


 


 


แวบที่สาม หนาวมาก


 


 


แตกต่างจากห้องหนังสือธรรมดาของจิ้งถิงโดยสิ้นเชิง ห้องบรรทมของกงอิ้นหนาวมาก อุณหภูมิต่ำกว่าภายนอกอย่างน้อยที่สุดสิบองศา โชคดีที่ไม่รู้สึกว่ามืดครึ้มหนาวเหน็บ เป็นเพียงไอหนาวปานน้ำแข็งหิมะบนผาสูงแบบหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวพินิจรอบด้านครู่หนึ่งถึงพบว่าจุดสิ้นสุดของตำหนักใหญ่คือศิลาขาวทั้งก้อนก้อนหนึ่ง รูปร่างผิดปกติ เปล่งประกายแสงขาวละเอียดอ่อนเล็กน้อย ไอขาวจางลอยสูงรำไร ไอหนาวทั่วทั้งตำหนักบรรทมได้กำจายออกมาจากตรงนั้น


 


 


ส่วนเตียงนอนของกงอิ้นอยู่ด้านล่างศิลาขาวนั้นเอง ม่านกระโจมสีขาวราวหิมะพลิ้วสยาย งดงามดุจแท่นบรรทมของเทพเซียน


 


 


จิ่งเหิงปัวแบะปากแสดงความรังเกียจต่อบางคนที่แสร้งทำยิ่งใหญ่สูงส่งอยู่ตลอดเวลา


 


 


นางเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ชั่วครู่ รอให้กงอิ้นตะโกนถามอย่างไม่สะทกสะท้าน ในสถานการณ์ปกติ นางเข้าใกล้ตำหนักบรรทม เขาควรจะรู้แล้ว


 


 


ไม่มีเสียง ถึงขนาดไม่รู้สึกถึงลมหายใจของมนุษย์ในตำหนัก ที่นี่คล้ายดั่งเป็นตำหนักร้างแห่งหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวหวาดผวาขึ้นมากะทันหัน ลูบขนแขนที่ลุกชันขึ้นมา หรือว่ากงอิ้นไม่ได้นอนที่นี่? หรือว่าที่นี่เป็นตำหนักร้าง? หรือว่าอีกเดี๋ยวหลังม่านจะมีผีดิบขนขาวตัวหนึ่งนั่งอยู่เหมือนที่นิยายขโมยสุสานกล่าวไว้แบบนั้น…


 


 


“ไอ้เวรเอ้ย!” จิ่งเหิงปัวที่ถูกตนเองคิดเชื่อมโยงจนตกใจ ได้แต่เปล่งเสียงเองว่า “เฮ้ กงอิ้น พี่มาเยี่ยมเยือนเจ้าแล้ว รีบลุกจากเตียงมาต้อนรับ!”


 


 


เสียงกระแทกดังสะท้อนหวึ่งๆ ในตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่าไม่หยุดหย่อนว่า “รีบมาต้อนรับรีบมาต้อนรับรีบมาต้อนรับ…”


 


 


ยังคงไม่มีคนตอบกลับ


 


 


“ไอ้เวรเอ้ย คงจะไม่ถูกเทียนซือซั่นจัดการจนสลบไปแล้วหรอกมั้ง?” จิ่งเหิงปัวรู้สึกผิดปกติ อยากเดินออกไปแต่ไม่วางใจ แม้ว่ากงอิ้นเองรังแกนางไม่น้อย เขาแย่งดื่มน้ำแกงเพิ่มวัตถุดิบรับกรรมที่ทำไว้นางก็อยากเห็นผลสำเร็จ แต่ถ้ากงอิ้นถูกน้ำแกงเป็ดเพิ่มวัตถุดิบนั้นจัดการจนเกิดปัญหาจริง นางคงมีปัญหาใหญ่แล้ว


 


 


“แหมๆๆ เขินแน่ะ…” นางเปลี่ยนสีหน้าท่าทาง ขยำขยี้สองมือ ใบหน้ายิ้มลามกประชิดเข้าไป ร้องว่า “กงที่รัก กงเด็กดี กงหน้าอ่อน กงอิ้นอิ้น เสี่ยวอิ้นอิ้น เด็กดีน้อย…เจ้าเอ่ยวาจาสิ พี่สาวมาเยี่ยมเจ้าแล้ว…หากยังไม่เอ่ยวาจาพี่สาวจะขึ้นเตียงเจ้าแล้วนะ…”


 


 


กล่าวคำพูดเหลวไหลเต็มปากเต็มคำไปพลาง ประชิดใกล้อย่างเงียบเชียบไปพลาง นางน่ะไม่เชื่อหรอกว่าต่อให้กงอิ้นเล่นเล่ห์เพทุบายอะไร ได้ยินคำพูดนี้ยังทนไหวได้? ผู้มีคุณธรรมแบบเขานั้นน่ะต้องผลักนางออกอย่างสูงส่งเย็นชาหยิ่งทระนงแน่นอน


 


 


มีความเคลื่อนไหวแล้วดังคาดการณ์


 


 


ม่านไหมที่ทับซ้อนเป็นชั้นอยู่ไม่ไกลสะบัดขึ้นมาทันที สิ่งของสีขาวเช่นกันคำรามเวียนวนออกมาพุ่งตรงสู่เบื้องหน้าใบหน้าของจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวหมอบลงไปบนพื้นดังสวบ ของสิ่งนั้นเฉียดผ่านเส้นผมของนางแล้วกระแทกพื้นแหลกละเอียดดังเพล้งเสียงหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามอง สิ่งที่กระแทกแหลกละเอียดคือหมอนกระเบื้อง


 


 


นี่หมายความว่าให้นางไม่ต้องเข้ามาใกล้สินะ?


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหลังจะจากไป


 


 


กลัวเจ้าจะเป็นอะไรไปถึงได้มาเยี่ยมเยือน ในเมื่อเจ้ามีแรงเขวี้ยงหมอน คิดว่าคงสบายดีมากแน่ พี่ยังจะอยู่ทำอะไร? ต่างฝ่ายต่างมองตากันทะเลาะวิวาทกับเจ้าเหรอ?


 


 


ความโกรธเมื่อตอนกลางวันยังไม่หายเลย!


 


 


นางหันหลังครั้งหนึ่งด้วยฝีเท้ารวดเร็ว พลันเหยียบโดนเศษกระเบื้องใต้ฝ่าเท้า พื้นผิวแผ่นกระเบื้องอิ่มเอิบเต็มเปี่ยม ศิลาขาวเบื้องล่างเกลี้ยงเกลาอย่างยิ่งเช่นกัน พอเหยียบลงไป เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวหงายไปด้านหลังแล้วล้มลงลื่นไถลออกไป!


 


 


“พลั่ก” เสียงหนึ่ง นางพลิกคว่ำอยู่บนเตียงนอนของกงอิ้น หลังเอวกระแทกจนเจ็บปวด ผ้าขาวที่ทับซ้อนเป็นชั้นร่วงลงมาปกคลุมใบหน้าของนาง


 


 


“ถุ้ยๆๆ” จิ่งเหิงปัวคว้าผ้าขาวที่ร่วงลงมาในปากออกไป สะบัดสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า ร้องโอดโอยอยากจะลุกขึ้นแต่เอวเจ็บปวดอย่างรุนแรง ได้แต่รักษาสภาพเดิม นอนคว่ำหน้าหันลำคอไปมา


 


 


จากนั้นนางรู้สึกว่าสัมผัสเบื้องล่างลำคอผิดปกติ


 


 


จากนั้นนางเบิกตากว้าง


 


 


จากนั้นนางชะงักงันแล้ว


 


 


จากนั้น…ทั่วทั้งตำหนักบรรทมคล้ายเยือกแข็งในพริบตา 

 

 


ตอนที่ 61 - 1 เสน่ห์ล้นเหลือ

 

ดวงตากลมโตเผชิญกับดวงตากลมโต


 


 


แววตาเซ่อซ่าของจิ่งเหิงปัวพุ่งเข้าไปในนัยน์ตามืดมิดของกงอิ้น เขากำลังก้มหน้ามองลงมาอย่างแน่นิ่ง สีหน้าบนใบหน้า…จิ่งเหิงปัวไม่ใจแข็งพอจะบรรยาย


 


 


จิ่งเหิงปัวนึกถึงสีหน้าของตนเองในตอนนี้ คงจะทำให้คนไม่ใจแข็งพอจะบรรยายเช่นกัน


 


 


ด้วยเพราะตำแหน่งนี้…


 


 


นางนอนหงาย กงอิ้นก้มมอง ท่วงท่าจ้องมองซึ่งกันและกันนี้ของสองคนพาให้รู้ว่าตอนนี้กงอิ้นไม่ได้นอนอยู่บนเตียง


 


 


เขานั่งขัดสมาธิอยู่ ส่วนนางทำท่าหงายขึ้น ตอนนี้ทิ่มเข้าไป…บนขาสองข้างของเขาพอดี…


 


 


สัมผัสมหัศจรรย์ใต้ลำคอด้วยเพราะนางหนุนขาของเขาอยู่…


 


 


สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการแต่งกายของกงอิ้น! ไม่หัวโบราณมิดชิดเหมือนเขาตอนกลางวันเลยแม้แต่น้อย!


 


 


เขากลับสยายผมยาว เขากลับซุ่มเงียบสวมชุดคลุมยาวเนื้อผ้าเกือบจะโปร่งแสงชุดหนึ่งในตำหนักของตนเอง!


 


 


คอกว้าง! ปล่อยเอว! ปล่อยแขน! โปร่งแสง!


 


 


นางมองเห็นผิวกายสีหยกของเขาใต้ชุดผ้าโปร่งบางเบาได้เลยนะ?


 


 


นางมองเห็นดอกอิงฮวาน้อยได้รำไรเลยนะ?


 


 


นางถึงขนาดมองเห็นเอวบางผอมเพรียวของเขาได้…


 


 


โอ้ นางจะไม่บอกทุกคนแน่นอนว่าแค่นางขยับไปข้างบนเล็กน้อย นางจะกระทำการสัม! ผัส! เลิศ! ล้ำ! ที่ร้อนแรงที่สุดทำให้คนเลือดกำเดาพุ่งที่สุดได้ด้วย


 


 


ตำแหน่งที่นางร่วงลงมาแม่งวิเศษเกินไปแล้ว! เป็นสัดส่วนทองคำอันล้ำค่าอย่างแท้จริง!


 


 


แม้แต่จมูกของจิ่งเหิงปัวยังไม่กล้าหายใจเสียแล้ว


 


 


กลัวว่าถ้าหายใจแรงไปจะเป่าอะไรเข้าเป่าอะไรขึ้นหรือดมอะไรอยู่…


 


 


นางรีบเร่งลุกขึ้น เสียดายว่าเอวกระแทกจนเจ็บปวด ยืดไม่ไหวไปชั่วขณะ จำต้องค่อยๆ ไถลลงไปข้างล่างดั่งจักจั่นตัวหนึ่งที่เคลื่อนย้ายถูไถเพื่อลอกคราบ


 


 


เส้นผมยาวปานต่วนนุ่มสยายออกมา ถูไถกวาดผ่านอย่างนุ่มนวลตลอดทาง…


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงสูดลมหายใจเสียงหนึ่ง รู้สึกได้ว่าเรือนร่างใต้ลำคอเกร็งแน่นอย่างยิ่งกระทันหัน นางเบนสายตาขึ้น ในไอควันเคลื่อนไหวขาวโพลน บนผิวกายกงอิ้นพลันเกิดเหงื่อบางชั้นหนึ่ง คางที่เชิดขึ้นเพียงน้อย ลำคอที่เกร็งแน่นและกระดูกไหปลาร้าที่ยิ่งชัดเจนมากขึ้นดุจลายเส้นด้วยเพราะเหตุนี้ของเขาต่างเปล่งแสงเชื่องช้าเฉกเช่นเดียวกับนัยน์ตาของเขาในครู่หนึ่งนี้ เปล่งประกายปานเพชรในหมอกสีขาวที่ยากจับต้อง


 


 


จิ่งเหิงปัวมองหยาดเหงื่อที่เปล่งประกายระยิบระยับเกาะผนึกละเอียดเหล่านั้นกับผิวกายที่แวววาวดุจเพชรเช่นกันใต้หยาดเหงื่อจนตะลึงงัน นางไม่เคยคิดเลยว่าเสน่ห์จากผมดำขลับและคอเสื้อยุ่งเหยิงปานนี้ของกงอิ้นผู้กลัดคอเสื้อแน่นในยามปกติจะสามารถเรียกได้ว่า…เซ็กซี่


 


 


นางกลืนน้ำลายอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงเอื๊อกเสียงหนึ่งดังก้อง ตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องรีบเร่งออกไป ไม่อย่างนั้นนางกลัวว่าตนจะกระทำความผิด


 


 


ขยับครั้งหนึ่ง ถูไถครั้งหนึ่ง หายใจครั้งหนึ่ง


 


 


มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามากดไหล่ของนางเอาไว้อย่างรุนแรง จิ่งเหิงปัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน มือนั้นกลับวางไว้อย่างนุ่มนวลไม่เหมือนเรี่ยวแรงตอนปกติอย่างยิ่ง จากนั้นเสียงเจือด้วยความแหบแห้งเล็กน้อยของกงอิ้นดังขึ้นในที่สุด


 


 


“เจ้าพอหรือยัง…”


 


 


อย่าพูดให้เหมือนพี่เป็นมหาโจรหญิงที่เข้าไปเด็ดดอกไม้ในห้องส่วนตัวของพ่อศรีเรือนแห่งครอบครัวสุจริตชนตอนกลางคืนสิ!


 


 


แต่ว่า…ดูท่าทางเหมือนมากจริงแฮะ…


 


 


มือของจิ่งเหิงปัวยืดไปถึงช่วงเอวแล้วคลึงอย่างเชื่องช้า กล่าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “เหอะๆ ยังไม่พอ”


 


 


กงอิ้นไม่เอ่ยวาจาคล้ายกำลังปรับปราณ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ออกไป”


 


 


“เจ้านึกว่าข้าอยากอยู่ที่นี่หรือ?” จิ่งเหิงปัวกล่าวประชดยอกย้อนไปว่า “เจ้านึกว่าข้าชื่นชอบมองสภาพสยายผมสวมชุดนอนโปร่งแสงคอกว้างของเจ้าหรือ? เจ้าขังตนในตำหนักบรรทมผู้เดียวยังขี่ไม้กวาดร้องเพลงแอปเปิ้ลน้อยได้ใช่หรือไม่?”


 


 


กงอิ้นไม่มีเสียงไปอีกนานระลอกหนึ่ง จิ่งเหิงปัวคิดว่าเขาโกรธจนสลบไปแล้วหรือเปล่า แต่ได้ยินเขาเอ่ยโดยพลันว่า “เจ้าไม่ชื่นชอบหรือ? เจ้าไม่ชื่นชอบแล้วเหตุใดเจ้าถึงมองเข้ามาในคอเสื้อข้าโดยตลอด?”


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่กล่าวอะไร “…”


 


 


หลังจากปรับสีแดงสีขาวบนใบหน้าแล้ว สุดท้ายนางนวดคลึงช่วงเอวลุกขึ้นนั่ง ครู่หนึ่งนั้นที่ลุกขึ้นได้ยินเสียงสูดหายใจยืดยาวเสียงหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเจ็บปวดหรือหลุดพ้นของกงอิ้น


 


 


นางไม่กล้าหันหน้ากลับมา รอคอยอีกสักพักหนึ่ง หลังจากปรับสีแดงสีขาวบนใบหน้าอีกครั้ง นางหันกายนั่งคุกเข่าบนเตียงเขา ยื่นหน้าเข้าใกล้ เบิกตากว้างใส่ดวงตากลมโตของเขา ตะคอกว่า “ข้าลำบากลำบนแวะมารอบหนึ่งนี้ แน่นอนว่าไม่อาจมาเสียเที่ยว ต่อให้ไม่น่ามองยังควรมองให้มากอีกหน่อยถึงคุ้มทุน!” คว้าสาบเสื้อเขาไว้ในครั้งเดียว แสยะยิ้มกล่าวว่า “มองเสร็จแล้วขายเข้าหอคณิกาชาย ผู้ใดใช้ให้เจ้าชอบโอ้อวดแสนยานุภาพใส่ข้า…”


 


 


นางผลักแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ดูคล้ายผลักเขาแต่แท้จริงแล้วแค่ป้องกันไอ้คนใจดำจอมหยิ่งลงมือ นางเตรียมหายตัวทุกชั่วขณะ ขาก้าวถอยไปข้างหลังแล้ว


 


 


เสียงพลั่กเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา กงอิ้นกลับอ่อนยวบล้มลงไปทั้งแบบนั้น


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกสองตากว้างอย่างตื่นตกใจ นั่งคุกเข่ามองดูสองมือของตนเอง…อาไร้? เมื่อครู่อุลตร้าแมนสิงร่างแล้วเหรอ? กงอิ้นจะถูกผลักล้มง่ายดายขนาดนี้ไปได้อย่างไร?


 


 


แล้วก้มหน้ามองกงอิ้น ไอ้ตัวดี!


 


 


โฉมสะคราญผู้อ่อนแรงเสื้อผ้าหลุดลุ่ยล้มอยู่บนเตียง ผมยาวพลิ้วสยาย หลับตาเพียงน้อย สีหน้าซีดขาวท่วงท่างดงามทรงเสน่ห์คนนั้นใช่กงอิ้นจริงเหรอ?


 


 


ไม่ใช่จิ้งอวิ๋นแต่งกายปลอมตัวมาหรอกมั้ง?


 


 


กงอิ้นที่ทำท่วงท่านี้เปี่ยมด้วย…ความรู้สึกละมุนละไมจริงแฮะ…


 


 


คงจะไม่มีกับดักอะไรมั้ง?


 


 


จิ่งเหิงปัวมองตำหนักใหญ่แวบหนึ่งอย่างระแวดระวัง ตำหนักใหญ่กว้างโล่งเกินไปสะอาดเกินไปแล้ว นางมั่นใจว่านอกจากตนเองกับกงอิ้นแล้ว แม้แต่แมลงสาบยังไม่อาจมีอยู่


 


 


แล้วมองดูมหาเทพกงที่เรือนร่างอ่อนแรงผลักล้มลงบนเตียงได้ง่ายดาย นางรับรู้ถึงความจริงน่าตื่นตะลึงเรื่องหนึ่งในที่สุด


 


 


เทียนซือซั่น! ได้ผลแล้ว! จริง! ด้วย!


 


 


แหม ชั่วขณะที่ราชินีพลิกมาเป็นเจ้านายมาถึงแล้ว


 


 


ความโกรธของจิ่งเหิงปัวปะทุจากเบื้องลึกในใจ ความชั่วร้ายกำเนิดจากข้างถุงน้ำดี!


 


 


นางหันกายครั้งหนึ่ง…ล้มลงอย่างรุนแรง นอนหลับข้างกายกงอิ้นแล้ว


 


 


กงอิ้นไม่มีความเคลื่อนไหว


 


 


มือเท้าของจิ่งเหิงปัวปัดกวาดกอบโกยผ้าห่มปลายเท้ากับชุดคลุมตัวนอกของกงอิ้นเข้ามากอดไว้ ดวงตาคู่หนึ่งมองดูกงอิ้นอย่างระแวดระวังจากด้านบนผ้าห่ม ถ้าเขาระเบิดโทสะลงมือ นางจะกอดชุดคลุมเขาหายตัว เขาแต่งตัวแบบนี้คงตามออกมาไม่ได้หรอกมั้ง?


 


 


กงอิ้นไม่มีความเคลื่อนไหว


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกวางใจอยู่บ้าง ตามความเข้าใจที่นางมีต่อกงอิ้น มหาเทพไม่เสียเวลาทำกับดักทำร้ายคนอื่น เขาดุร้ายเปิดเผย ลงมือสังหารสิ้นซาก


 


 


นางเหวี่ยงผ้าห่มทิ้ง เหวี่ยงชุดคลุมของกงอิ้นไว้บนพื้น นอนตะแคงมือหนึ่งเท้าแก้มมองดูกงอิ้น มองแวบหนึ่งยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง มองอีกแวบหนึ่งยิ้มเยาะอีกเสียงหนึ่ง


 


 


สายลมสายน้ำผลัดพัดผลัดไหลในสามสิบปีจริงด้วย!


 


 


กลางวันเพิ่งทะเลาะกันไปรอบหนึ่ง กลางคืนมอบโอกาสแก้แค้นให้นาง


 


 


มหาราชครูผู้สูงส่งเหนือผู้อื่น มหาขุนนางกังฉินผู้ชิงอำนาจยึดราชบัลลังก์ นักเผด็จการผู้ลอยแพจักรพรรดิ เจ้าเองก็มีวันนี้!


 


 


นางนอนอยู่บนเตียงชาวบ้าน กอดผ้าห่มชาวบ้านไว้ ยิ้มเยาะกับตนเองอยู่เนิ่นนาน


 


 


กงอิ้นยังคงหลับตาเช่นเดิม ริมฝีปากเม้มแน่น ตีความได้ว่าสูงส่งไม่อาจล่วงเกิน ยังตีความได้ว่าแล้วแต่ท่านจะเชยชม ยังตีความได้อีกว่าแล้วแต่ท่านจะล่วงละเมิด


 


 


แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวเอนเอียงไปทางแบบสุดท้าย


 


 


“เหอะๆๆ!” จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะเสร็จแล้ว ยื่นมือออกมาผลักบุรุษฝั่งตรงข้ามครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “กงอิ้น รีบขอโทษข้าเดี๋ยวนี้!”


 


 


กงอิ้นกลับถูกนางผลักจนกลิ้งเกลือกไปบนเตียง ใบหน้าหันไป ผมยาวสยายออกมาอย่างนุ่มนวล ร่วงโรยบนลำคอสีหยก


 


 


ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ…มหาเทพกงที่นวดเคล้นบีบคลึงได้ตามใจชอบ! โอกาสพลาดไม่ได้!


 


 


นางคลานเข้าไปบีบคางของกงอิ้นไว้ ร้องว่า “ขอโทษ!”


 


 


ขยี้ผมของกงอิ้นจนยุ่งเหยิง ร้องว่า “ขอโทษ!”


 


 


สองมือขยี้ใบหน้าของกงอิ้น ร้องว่า “ขอโทษ”


 


 


บีบลำคอของกงอิ้นไว้ ร้องว่า “ขอโทษ”


 


 


กงอิ้นลืมตาขึ้นมองนางครู่หนึ่งแล้วหลับตาลงอย่างหมางเมินเฉยเมย ดูคล้ายจะนอนหลับแล้ว


 


 


ดั่งกำหมัดชกปุยฝ้าย จิ่งเหิงปัวหมดลูกไม้กับกงอิ้นที่อ่อนยวบและไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแบบนี้ขึ้นมาเช่นกัน 

 

 


ตอนที่ 61 - 2 เสน่ห์ล้นเหลือ

 

ย่ำยีอยู่เนิ่นนานเพิ่งนึกเรื่องสนุกสนานขึ้นมาได้ นางปล่อยกงอิ้นลงไปหันข้างให้นาง จัดท่วงท่างอศอกเท้าแก้ม รวบผมยาวของเขาไว้แล้วดึงคอเสื้อลงไปข้างล่าง 


 


 


เส้นผมระหว่างนิ้วเรียบลื่นดุจต่วน นางขยี้อย่างรุนแรง 


 


 


ในลำแสงขาวโพลนมัวสลัว คนผู้นี้คือโฉมสะคราญอรชรดั่งไห่ถัง[1]นิทรายามวสันต์ชัดๆ เลย 


 


 


จิ่งเหิงปัวเกิดอารมณ์ขับกลอน ท่องเสียงสูงว่า “บุษบาลาวัณย์ทรวงสำราญ[2] หากโหลวหลานมิพ่ายไร้หวนคืน[3]” ไปพลาง คว้าโพลารอยด์ออกมาจากกระเป๋าช่วงเอวไปพลาง 


 


 


บุกวังบรรทมของกงอิ้นตอนกลางคืน เดิมทีนางมีความคิดออกล่าหาของแปลกอยู่แล้ว อยากจะเข้าใจโครงสร้างที่พักอาศัยของเขาให้มากขึ้น ฉะนั้นจึงนำเจ้าของสิ่งนี้มาด้วย 


 


 


ปรับจุดโฟกัส แชะ! 


 


 


ในพริบตาหนึ่งที่กดชัตเตอร์นั้น กงอิ้นที่เงียบสงบไร้เรี่ยวแรงมาโดยตลอดก้มศีรษะลงมาเล็กน้อยโดยพลัน 


 


 


ผมยาวร่วงสยายลงมาบดบังใบหน้าไว้ 


 


 


ลำแสงไม่ดี จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้ดูภาพถ่าย ชูภาพถ่ายไว้หัวเราะก๊ากๆ อย่างลำพองใจ 


 


 


“กงอิ้น นับแต่วันนี้ไปจุดอ่อนของเจ้าน่ะอยู่ที่ข้าแล้ว ภาพหลุดเฉินกวนซี[4]ฉบับต้าฮวง! ฮ่าๆ ฮ่าๆ วันหลังเชื่อฟัง! เด็กดี!” 


 


 


“เล่นพอหรือยัง” กงอิ้นเอ่ยวาจาในที่สุด เอ่ยสืบต่อว่า “เล่นพอแล้วออกไป ภายในสิบสองชั่วยามนี้บัญชาคนเฝ้าประตูข้าให้ดี แลเอ่ยว่าข้ากำลังปิดตำหนักไม่รับแขก หยุดจัดการกิจธุระทุกเรื่องชั่วคราว” 


 


 


“เจ้าควรเอ่ยว่าราชินีที่เคารพ ขอพระองค์ทรงช่วยกระหม่อมบอกกล่าวเหมิงหู่ว่าภายในหนึ่งวันนี้กระหม่อมไม่อาจทำงานได้ รอให้กระหม่อมหายดีแล้วจะทำงานนอกเวลานะพ่ะย่ะค่ะจุ๊บๆ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเก็บภาพถ่ายไว้อย่างอารมณ์ดียิ่ง กล่าวว่า “เฮ้อ ข้ารู้สึกขึ้นมาว่าภาพนั้นเมื่อครู่ยังสะท้านใจไม่พอแฮะ” 


 


 


กงอิ้นไม่เอ่ยวาจาอีกแล้ว ผมสีดำขลับปรกยุ่งเหยิงบนหน้าผาก ขนตาประสานกันเพียงน้อย ท่วงท่ายามนี้คือมนตร์เสน่ห์แห่งความเกียจคร้านที่ยามปกติไม่อาจมีอยู่ 


 


 


จิ่งเหิงปัวคลานลงจากเตียง เดินวนรอบหนึ่งแล้วกลับมาอย่างผิดหวัง ส่ายหน้าพึมพำว่า “ถ้าไม่มีเทียนไขแส้หนัง ไร้หนทางจัดองค์ประกอบภาพจริงด้วย รู้อยู่แล้วว่าเจ้าคงไม่มีสิ่งของน่าสนใจขนาดนี้…” 


 


 


นางพึมพำไปพลางสะบัดผ้าปูเตียงเนื้อโปร่งออกไปพลาง ฉีกผ้ามั่วซั่วเป็นเส้นใหญ่หลายเส้น พิจารณาสายผ้าครุ่นคิดถึงวิธีการมัด 


 


 


แบบจีน? แบบยุโรป? แบบญี่ปุ่น? แบบไหนก็มัดไม่เป็นสักแบบ 


 


 


ท่วงท่าอะไรก็ได้มาสักท่าแล้วกัน ถึงอย่างไรก็แค่อยากถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ตอนจำเป็นอาจจะเป็นไพ่ตายได้เลยนะ ตอนทะเลาะวิวาทหยิบออกมาฆ่าความน่าเกรงขามของเขาสักหน่อยก็ดีแฮะ ไม่เชื่อหรอกว่าเขาดูภาพถ่ายแบบนี้ของตนเองแล้วยังทำท่าทางสูงส่งยิ่งใหญ่เปี่ยมคุณธรรมได้อีก? 


 


 


ไม่แน่ว่านับจากนี้ไปลมประจิมจะสยบลมบูรพา[5]ได้แล้ว 


 


 


อย่างไรก็มัดมั่วซั่วสักหน่อยแล้วกัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวยุ่งวุ่นวายจัดท่ากงอิ้นเป็นรูปอักษรต้า[6] แขนขาแยกออก มัดกับเสาเตียงสี่ทิศอย่างง่าย 


 


 


กงอิ้นไม่ได้ดิ้นรน ความจริงแล้วเขาเองดิ้นรนไม่ได้ ตอนจิ่งเหิงปัวขยับเขยื้อนร่างกายเขาก็รู้สึกได้ตั้งนานแล้ว ค่ำวันนี้ร่างกายเขาอ่อนแออย่างมาก ไม่มีเรี่ยวแรงสักสาย ทำได้แต่การเคลื่อนไหวที่ง่ายที่สุดบางอย่าง บนผิวกายยังมีหยาดเหงื่อซึมออกมาบ่อยครั้งคล้ายกำลังเคลื่อนวรยุทธขับพิษโดยตลอด ไม่มีจิตใจจะสนใจการทำทุกอย่างตามอำเภอใจของนาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวหรี่ตา ตื่นเต้นดีใจจนมือสั่นเทา…มหาเทพที่เรือนร่างอ่อนยวบนอนหลับสลบไสลแล้วแต่คนอื่นจะจัดวาง ยั่วยวนจังเลยยั่วยวนจัง! 


 


 


การ์ตูนที่ลายเส้นสวยงามที่สุดยังวาดสภาพอ่อนโยนนั้นออกมาไม่ได้ ผู้ที่ในยามปกติหลีกเลี่ยงละเว้นประหนึ่งภูเขาน้ำแข็ง หลังจากถอดอาวุธน้ำแข็งหิมะพลันมลายหายดุจธารวสันต์ ความแตกต่างมากจนนางเกือบจะเลือดกำเดาพุ่ง! 


 


 


จิ่งเหิงปัวได้เห็นเป็นบุญตา ความโกรธแค้นอะไรหายไปแล้ว หัวเราะคิกๆ คุกเข่าอยู่บนเตียง ถ่ายซ้ายถ่ายขวา เล่นอย่างสนุกสนาน รู้สึกทันทีว่าในภาพถ่ายมีเพียงกงอิ้นไม่มีแรงโจมตีขนาดนั้น เพิ่มตนเองที่แข็งแกร่งเกรียงไกรเข้าไปถึงจะดีที่สุด 


 


 


ทำอย่างไรทั้งสองคนถึงเข้าเลนส์กล้องในขณะเดียวกันได้ล่ะ? นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นั่งลงข้างกายกงอิ้น มือหนึ่งทำท่ามีดพาดบนลำคอเขา อีกมือหนึ่งยกโพลารอยด์ขึ้น 


 


 


แชะภาพหนึ่ง 


 


 


พลิกกายกึ่งคุกเข่า บีบคอหอยเขาไว้แผ่วเบา 


 


 


แชะภาพหนึ่ง 


 


 


นอนตรงข้อพับเขา ข้อศอกพาดอยู่บนลำคอเขา 


 


 


แชะอีกภาพหนึ่ง 


 


 


“ดูสิ ดูสิ” นางถ่ายรูปไปพลาง กล่าวอย่างอวดเก่งไปพลางว่า “ภายหลังเจ้าทำตัวน่ารำคาญอีกสิ? ภายหลังเจ้าสูงส่งเย็นชาอีกสิ? หวนนึกถึงภาพถ่ายหวาบหวิว ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะดำดินมุดโคลนไม่ได้เงยหน้าอีกเลย” 


 


 


กงอิ้นลืมตาขึ้นโดยพลัน สองมือปัดป่ายคล้ายกำลังดิ้นรนลุกขึ้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวตกใจจนมือสั่น โพลารอยด์ร่วงหล่นบนหน้าอกกงอิ้น นางรีบเร่งหันกายไปเก็บ ชนเข้ากับร่างกงอิ้นดังพลั่กเสียงหนึ่ง 


 


 


ใบหน้าฉวยโอกาสซุกลงไปยังที่ซึ่งอ่อนนุ่มเยือกเย็นแห่งหนึ่ง 


 


 


เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ 


 


 


ลมหายใจบัวหิมะบนผาสูงที่คุ้นเคย มนตร์เสน่ห์ที่เยือกเย็นบริสุทธิ์ ผิวกายเกลี้ยงเกลาดุจหยกที่คุ้นเคย ริมฝีปากนุ่มลื่นเล็กน้อย…ที่คุ้นเคย 


 


 


นางแทบจะจินตนาการได้ว่าริมฝีปากนวลนุ่มแดงซ่านยิ่งนักซึ่งเป็นของเขาถูกนางโถมทับแนบแน่นจนกลายเป็นเส้นเดียว… 


 


 


โครงเรื่องแนวซินเดอเรลล่าขั้นย่ำแย่แวบสู่สมองในพริบตา คล้ายว่าท่วงท่าต่อไปควรเป็น “โลดแล่นสุดสาย ปลายลิ้นเที่ยวท่อง?” 


 


 


ยังไม่ทันได้รอให้นางคิดเสร็จว่าจะแสดงตามบทละครอย่างซื่อตรงดีไหม ข้างกายมีมือข้างหนึ่งยกขึ้นกะทันหัน คว้าโพลารอยด์ที่ร่วงลงไปขึ้นมาจากขอบเตียง เอนเอียงหันมาทางตนเองแล้วกดชัตเตอร์ 


 


 


“แชะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวปากอ้าตาค้างมองดูมือข้างขวาที่ไม่รู้ว่าหลุดพ้นจากการผูกมัดตอนไหนของกงอิ้นกำลังถือโพลารอยด์ถ่ายรูปตนเองอย่างสบายอกสบายใจ 


 


 


เขาใช้เป็นได้อย่างไร? 


 


 


สมองของผู้ชายพวกนี้เป็นเครื่องบินขับไล่เหรอ? 


 


 


“ฉึบ” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา ภาพถ่ายค่อยๆ ปล่อยออกมา ในใจจิ่งเหิงปัวรู้ว่ามุมของภาพถ่ายนี้ต้องมีปัญหาแน่จึงยื่นมือยื้อแย่ง การเคลื่อนไหวของกงอิ้นเร็วกว่านางเสมอ นิ้วมือดีดเพียงครั้ง ภาพถ่ายลอยออกไป ทะลุผ่านกระโจมสูญสลายสู่ส่วนลึกของตำหนักใหญ่ดังสวบเสียงหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงมองดูภาพถ่ายสูญหายไป รู้ว่าชาตินี้ถ้าอยากจะหาภาพถ่ายภาพนั้นเจอคงเป็นไปไม่ได้แล้ว 


 


 


กงอิ้นเจ้าคนโคตรใจดำ ไม่แปลกเลยที่ก่อนหน้านี้จะไม่สนใจอะไรเลยสักนิด! 


 


 


ท่วงท่าเสแสร้งท่าหนึ่ง หลอกให้นางส่งจูบด้วยตนเองซ้ำยังถูกถ่ายภาพส่งจูบ อยากเอาเปรียบยังเอาเปรียบไม่ได้ กลับถูกเขาเอาเปรียบเสียแล้ว 


 


 


“เฮ้” นางไม่ยอมถอดใจ หยิกลำคอเขาถามว่า “เมื่อครู่เจ้าถ่ายสิ่งใดไป? เจ้าภาคภูมิใจอะไร? เจ้าถูกทับอยู่ใต้ร่างข้าถูกข้าย่ำยี ถ่ายออกมามีศักดิ์ศรีนักหรือ?” 


 


 


“ถ่ายใบหน้าแบะปากฝืนส่งจุมพิตของเจ้าไว้” กงอิ้นเอ่ยอย่างสงบเยือกเย็นว่า “แน่นอนว่าไม่มีใบหน้าของข้า” 


 


 


จิ่งเหิงปัวโกรธแค้น นิ้วมือกดลงไปบนริมฝีปากเขาอย่างรุนแรง กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าจะทำให้เจ้าอึดอัดจนสิ้นชีพ…” 


 


 


กงอิ้นไม่เอ่ยวาจา ดวงตาดำขลับจ้องมองนาง นัยน์ตาหนักแน่นดุจธารลึก นางมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในนัยน์ตาเงียบสงบเช่นนั้น ในใจพลันกระตุกวูบทั้งเต้นตึกตัก นิ้วมือพลันรู้สึกร้อนผ่าว แล้วพลันรู้สึกว่าริมฝีปากของเขานุ่มขนาดนี้ทั้งขัดแย้งทั้งกลมเกลียวกับอุปนิสัยปานน้ำแข็งหิมะของเขา ซ้ำยังพลันนึกถึงการโถมทับเมื่อครู่ครั้งหนึ่งนั้น กลิ่นหอมอ่อนจางของเขาโชยมาสะกดผู้คน สงบเงียบและลึกซึ้งยาวไกล… 


 


 


นางร่นนิ้วมือ หันหน้ามานั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง กุมภาพถ่ายปึกหนึ่งรวบไว้แล้วเปิดออก เปิดออกแล้วรวบไว้ในมือประหนึ่งไพ่โป๊กเกอร์ 


 


 


กงอิ้นยังไม่สนใจนาง หลับตาพักผ่อนร่างกาย พลันเอ่ยว่า “ในน้ำแกงมีเทียนซือซั่นหรือ?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เดิมทีวางแผนจะจัดการเหยียลี่ว์ฉี เจ้าจะแย่งไปให้ได้ สมน้ำหน้า” 


 


 


กงอิ้นกลับไม่ได้โกรธเคือง บนใบหน้าค่อยๆ ผุดเผยสีแดงอ่อนสายหนึ่ง สีหน้าท่าทางค่อนข้างพึงพอใจ 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองแวบหนึ่งก็รู้ว่าโรคซุ่มเงียบของบางคนกำเริบ ไม่ใช่ด้วยเพราะแน่ใจว่าคนที่นางอยากจัดการคือเหยียลี่ว์ฉีเหรอ 


 


 


“ข้าจะมาดูว่าเจ้าสิ้นชีพหรือยัง หากสิ้นชีพแล้วจะหาคนมาเก็บศพให้เจ้า” นางทำหน้าบูดบึ้งคลานไปข้างล่าง กล่าวว่า “เพียงแต่ยามนี้ดูท่าคงไม่ต้องแล้ว” 


 


 


“หนึ่งวัน” กงอิ้นเอ่ย 


 


 


“หืม?” 


 


 


“เทียนซือซั่นออกฤทธิ์สามวัน ทว่าข้าต้องการเพียงหนึ่งวัน เดิมทีสามชั่วยามก็พอแล้ว ทว่ายามข้าเคลื่อนวรยุทธ์พลันถูกคนขัดจังหวะ หายใจติดขัด ชั่วยามจึงยืดยาวออกไป” 


 


 


จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงหนึ่ง 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็นอนสักวันสิ” นางจะเดินจากไปต่อ 


 


 


“ในวันหนึ่งนี้” กงอิ้นเอ่ยต่อไปเสียเองว่า “จะมีขุนนางในราชสำนักเกินร้อยเดินทางมาพบมาขอคำแนะนำเรื่องการงาน จะมีสมุดพับนับร้อยรอให้แทงหนังสือตอบกลับ ด้วยเพราะข้าไม่ได้ดำเนินการจัดการล่วงหน้า ถึงขนาดอาจจะมีผู้เป็นปฎิปักษ์มาสอดแนมหาโอกาสลงมือกับข้า” 


 


 


นี่กำลังกระตุ้นความรู้สึกละอายใจของนางเหรอ? เสียใจที่นางไม่มี 


 


 


“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ผู้ใดใช้ให้เจ้าแย่งดื่มน้ำแกงเอง” 


 


 


“หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าสู่วังบรรทมของข้า ภายในระยะเวลาอันสั้นที่แห่งนี้จะไม่มีข่าวคราวแพร่ออกไป แล้วหากข้าพลาดการประชุมราชสำนักหนึ่งชั่วยามไม่ปรากฏกายโดยไม่มีเหตุผลกลใด ตำหนักอวี้จ้าวจะเข้าสู่การระมัดระวังระดับหนึ่ง สองชั่วยามไม่ปรากฏกาย หลงฉีจะเดินทัพเข้านครหลวง สี่ชั่วยามไม่ปรากฏกาย คั่งหลงจะทลายกำแพงวัง หกชั่วยามไม่ปรากฏกาย…” เขาหยุดไปชั่วครู่ เอ่ยสืบต่อว่า “ตี้เกออาจะต้องเปิดสงครามแล้ว” 


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] ไห่ถัง ชื่อเรียกพันธุ์ไม้ในสกุล Malus และ Chaenomeles พันธุ์ไม้ที่โดดเด่นในสกุลนี้ เช่น Malus spectabilis (ไม้ยืนต้น ดอกสีชมพูหรือขาว) และ Chaenomeles sinensis (ไม้ยืนต้น ดอกสีชมพูหรือขาว ผลสีเหลือง) 


 


 


[2] บุษบาลาวัณย์ทรวงสำราญ จากบทกวีชิงผิงเตี้ยวฉือของหลี่ไป๋ 


 


 


[3] หากโหลวหลานมิพ่ายไร้หวนคืน จากบทกวีฉงจวินสิงของหวังชังหลิง 


 


 


[4] เฉินกวนซี พ.ศ.2551 เฉินกวนซี (นักแสดงและนักร้องชาวฮ่องกง) มีข่าวภาพหลุดของตัวเองและดาราหญิงของฮ่องกงอีกสามรายออกมาทางอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้เขาประกาศออกจากวงการบันเทิง 


 


 


[5] ลมประจิมจะสยบลมบูรพา เหมาเจ๋อตงเคยกล่าวว่า “ลมบูรพาย่อมสยบลมประจิม” (东风一定压倒西风) หมายถึง สังคมนิยมในโลกตะวันออกที่นำโดยโซเวียตและจีนย่อมเอาชนะทุนนิยมของโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกาได้ 


 


 


[6] อักษรต้า (大) แปลว่าใหญ่  

 

 


ตอนที่ 61 - 3 เสน่ห์ล้นเหลือ

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบดวงตาปริบๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าฉวยโอกาสชิงราชบัลลังก์ได้หรือไม่?” 


 


 


“เจ้าเป็นฝ่าบาทอยู่แล้ว” 


 


 


“เจ้าเตือนสติข้าเรื่องหนึ่ง” จิ่งเหิงปัวปรบมือครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ยามนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้สภาพของเจ้า หากข้าสังหารเจ้า ข้าย่อมได้จัดการมหาขุนนางกังฉินที่ช่วงชิงอำนาจของกษัตริย์เช่นเจ้าผู้นี้ นับแต่นี้อำนาจอยู่ในมือข้า กลายเป็นราชินีที่แท้จริงแล้วไม่ใช่หรือ?” 


 


 


“เจ้าจะลองดูย่อมได้” แววตาของกงอิ้นสงบเงียบ นัยน์ตาดำขลับมองอารมณ์ไม่ออก 


 


 


“จากนั้นสิ่งที่รอข้าอยู่คือสิ่งใด?” จิ่งเหิงปัวกลับไปกลับมาบนเตียงใต้เตียงมั่วซั่วระลอกหนึ่ง กล่าวว่า “กลไก? ไอพิษ? หรือไข่มุกเปลี่ยนแปลงได้มากมายบนคอเสื้อเจ้า?” 


 


 


มุมปากของกงอิ้นมีรอยยิ้มเจือจางผืนหนึ่ง 


 


 


“เอาเถิด ปล่อยเจ้าไปสักครั้ง” จิ่งเหิงปัวปรบมือ กล่าวว่า “ข้าไปช่วยเจ้าบอกกล่าวเหมิงหู่ บอกเขาว่าเจ้าป่วยไข้ต้องการพักผ่อนวันหนึ่ง” 


 


 


“ไม่ได้” 


 


 


“ด้วยเหตุใด?” 


 


 


“เช่นนี้เท่ากับบอกกล่าวพวกเหยียลี่ว์ฉีว่าข้าเกิดความผิดปกติ หากพวกเหยียลี่ว์ฉีลงมือ เหมิงหู่ไร้อำนาจโยกย้ายอวี้จ้าวหลงฉีและทหารคั่งหลง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย” 


 


 


“กงอิ้น” 


 


 


“อืม” 


 


 


“เจ้ารู้สึกบ้างหรือไม่ว่าการที่คนผู้หนึ่งคว้ามหาอำนาจไว้ในมือของตนเองทั้งสิ้น ไม่ใช่การแสดงออกที่ฉลาดเฉลียว? หากเกิดปัญหาใดกับตนขึ้นมา เจ้าไม่มีแม้แต่ผู้ที่สามารถลงมือทำหน้าที่แทนเจ้าได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าตัวเจ้าเองจะเหน็ดเหนื่อยสิ้นชีพทั้งเป็น” 


 


 


“อืม” กงอิ้นแสดงความเห็นชอบกับความเห็นของนางอย่างหาได้ยาก ค่อยๆ เอ่ยว่า “ฉะนั้นข้ากำลังคิดว่าควรจะฝึกฝนคนผู้หนึ่งมาทำหน้าที่แทนแล้วหรือไม่” 


 


 


“ผู้ใด? เหมิงหู่หรือ? เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ข้างกายของเจ้า จิตใจจงรักภักดีเพียงพอแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าเขาไม่เพียบพร้อมด้วยความรู้สึกเฉียบไวทางการเมือง ไม่ใช่บุคคลที่รับผิดชอบงานเฉพาะทางเพียงผู้เดียวได้ อวี่ชุนก็ไม่ไหว อุปนิสัยของเขามีความเ**้ยมโหดซ่อนอยู่ ยามสำคัญอาจจะไม่อาจควบคุมตนเองให้ดีได้ อาซั่นมีฝีมือดี ทว่ารักสันโดษและเอาแต่ใจตนเองเกินไป เจ้าควรเลือกจากขุนนางในราชสำนักที่อ่อนวัยเพิ่งทำงาน สร้างบุญคุณด้วยตนเอง บ่มเพาะโดยใช้ทั้งบุญคุณทั้งบารมี…” จิ่งเหิงปัวดีดเล็บ กล่าวอย่างไม่สนใจใยดีแต่คล่องแคล่วอย่างยิ่ง คล้ายไม่ต้องครุ่นคิด 


 


 


กงอิ้นมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งด้วยสายตาเจือรอยยิ้มจาง 


 


 


นางรู้หรือไม่ว่าทุกครั้งยามนางเอ่ยถึงสถานการณ์ใหญ่โตเหล่านี้ อุปนิสัยไม่ไร้ระเบียบวินัยทำตามใจชอบเช่นยามปกติโดยสิ้นเชิง นัยน์ตาแพรวพราว สติปัญญาไหลเวียน มีเกียรติศักดิ์ที่ทำให้คนหวาดเกรง 


 


 


นางมีพรสวรรค์ทางการเมือง 


 


 


นางมีความรู้สึกเฉียบไวที่ซุกซ่อนไว้ 


 


 


ขอเพียงนางยอมสงบใจครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน ขุนนางอ่อนวัยผู้ใดล้วนเทียบมิได้ 


 


 


“เจ้าทำร้ายข้า เจ้าต้องรับผิดชอบ” เขาเอ่ยโดยพลัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวตื่นตะลึงจนนัยน์ตาเบิกกว้าง อาไร้? รับผิดชอบเหรอ? 


 


 


คำกล่าวที่ช็อคโลกขนาดนี้ ควรอยู่ในละครโรแมนติกน้ำเน่าที่ผู้เขียนบทพวกนั้นให้ผู้ชายหน่อมแน้มพูดกับผู้หญิงอันธพาลเพื่อความฮาไม่ใช่เหรอ? จักรพรรดิสูงส่งเย็นชาเอามาใช้ด้วยตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย? 


 


 


เข้ากันได้เหรอ? 


 


 


นางพบว่าบางครั้งกงอิ้นเอ่ยวาจาแปลกประหลาดมหัศจรรย์กำเนิดพลันกลางอากาศทุกรูปแบบ เขาราศีอะไรกันแน่? 


 


 


กงอิ้นคล้ายไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าวาจานี้มีสิ่งใดผิดปกติ มือขยับเพียงครั้งหลุดพ้นจากเชือกผ้าหลวมโพรกนั้นแล้ว ตบตรงขอบเตียงเอ่ยว่า “นั่งลง” 


 


 


“ไยข้าจึงต้องนั่ง?” จิ่งเหิงปัวนอนลงไปทันที 


 


 


ริมฝีปากกงอิ้นโค้งเพียงครั้ง อืม ถูกแล้ว เป็นเช่นนั้นแล 


 


 


สองคนนอนหงายราบ ต่างคนต่างแหงนหน้ามองหลังคาตำหนัก รู้สึกโดยพลันว่าตั้งแต่รู้จักกันมา สองคนทะเลาะเบาะแว้งกันทุกสิ่ง คล้ายศัตรูแต่ไม่ใช่ศัตรู คล้ายสหายแต่ไม่ใช่สหาย ทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น ทว่าช่วงเวลาที่นอนอยู่ด้วยกันอย่างสงบเงียบปานนี้คล้ายจะเป็นครั้งแรก 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าหัวใจค่อยๆ สงบนิ่ง ไม่มีความร้อนรนว้าวุ่นไม่หยุดหย่อนและไม่มีอาการใจเต้นหน้าแดงเมื่อมองร่างกายใต้ชุดผ้าโปร่งโปร่งแสงของเขาเมื่อครู่ ลมหายใจของเขายังคงล่องลอยเชื่องช้าชิดใกล้ แต่ไม่ได้ทำให้นางร้อนรนไม่สบายใจอีกแล้ว บรรยากาศรอบด้านคล้ายค่อยๆ เงียบสงบ เพียงเพื่อรอคอยการสื่อสารอ่อนโยนที่หาได้ยากฉากหนึ่ง 


 


 


หลังคาตำหนักมีลวดลายหินอ่อน มองไม่ออกว่าเป็นรูปร่างอะไร นางรู้สึกว่าลายเส้นงดงามอย่างยิ่ง คล้ายสุกรตัวหนึ่ง 


 


 


เฮ้อ ความรู้สึกที่เลิกผ้าห่มคุยกันอย่างบริสุทธิ์ใจก็ไม่เลวแฮะ 


 


 


“ก่อนฟ้าสางยังมีเวลาอยู่บ้าง มีเรื่องบางอย่างจะมอบหมายให้เจ้าพอดี” 


 


 


“อื้ม” นางตอบโพล่งออกมา ไม่ได้คิดว่าทำไมตนเองต้องยอมรับการมอบหมายงานด้วย 


 


 


“ถามเจ้าก่อนคำถามหนึ่ง การอภิปรายงานราชการที่จิ้งถิงเมื่อวาน เจ้าแอบมองอยู่ข้างกำแพง ยามออกมาเจ้าได้พบขุนนางสำคัญและบุคคลผู้มีอำนาจในราชวงศ์ปัจจุบันเกือบทุกคน เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้รู้สึกอย่างไรต่อเจ้า? คนจำพวกใดเจ้าเข้าใกล้ได้ คนจำพวกใดใช้สอยได้ แลคนจำพวกใดต้องเป็นศัตรูแน่? อย่านำการแสดงออกในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนั้นของทุกคนมาตัดสิน ข้าต้องการเพียงข้อสรุปที่เจ้าอาศัยเรื่องราวที่จิ้งถิงวันนั้นเพียงด้านเดียวสรุปออกมา” 


 


 


คำถามโหดร้ายเล็กน้อย ตอนนั้นนางอยู่บนสันกำแพง มองเหล่าขุนนางสำคัญบนลานบ้านห่างไกลแวบเดียว ยังไม่ได้ทักทายด้วยซ้ำจะเอาข้อสรุปแล้ว ฟังดูเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างเหลวไหล 


 


 


นางกลับตอบโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ 


 


 


“เชื่อถือมหาปราชญ์ฉังฟังได้ ยามจำเป็นไปหาเขาให้เขาช่วยเหลือได้ ขุนนางใหญ่ผู้อื่นที่ข้ายังไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำที่เหลือ พวกเขาคือฝ่ายเป็นกลาง ยามนี้สำหรับพวกเขาแล้ว ข้าคือราชินีที่มีหรือไม่มีย่อมได้ หากหวังได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา ข้าต้องแสดงความสามารถมากยิ่งกว่านี้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาจะไม่ทำอันตรายต่อข้าก่อน เฟยหลัวนับเป็นศัตรูได้เพียงครึ่งร่าง นางให้ความสนใจกับผลประโยชน์ของตนเองและแคว้นเซียงมากกว่า ศัตรูที่แท้จริงคือซังต้ง” 


 


 


“ข้าจำได้ว่าวันนั้นฉังฟังถวายคำนับให้เจ้า เหล่าขุนนางสำคัญแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเจ้า เฟยหลัวถลึงตาใส่เจ้าปราดหนึ่ง ซังต้งกลับยิ้มแย้มให้เจ้า การอนุมานนี้ของเจ้าคล้ายจะแปลกประหลาดเล็กน้อย” 


 


 


สิ่งที่ทำให้จิ่งเหิงปัวแปลกใจคือเจ้าคนนี้ตอนนั้นไม่ใช่อยู่ในห้องหนังสือเหรอ ทำไมแม้แต่ท่าทางที่เหล่าผู้อาวุโสมีต่อนางตอนออกมายังอยู่ในสายตาทุกย่างก้าว? 


 


 


“ฉังฟังซาบซึ้งใจต่อข้า เคยตั้งปณิธานจะเป็นข้ารับใช้ของข้า เขาให้ความเคารพยกย่องต่อข้าไม่ว่ายามใด จะไม่เปลี่ยนไปด้วยเพราะท่าทางของผู้อื่นเปลี่ยนแปลง เขาพึ่งพาได้” 


 


 


“ผู้อาวุโสที่เหลือไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของข้า ทว่ายังไม่อยากยุ่มย่ามในยามนี้จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เรื่องนี้มากน้อยเพียงใดย่อมนับว่าเป็นความเคารพและกังวลที่มีต่อราชินีเช่นข้านี้ ฉะนั้นพวกเขาจะไม่ช่วยเหลือทว่าพยายามใช้สอยได้ ขึ้นอยู่กับว่าข้าเพิ่มส่วนแบ่งของตนเองได้หรือไม่” 


 


 


“เฟยหลัวมีเจตนาร้ายชัดแจ้ง ทว่าท่าทางต่อต้านชัดเจน โดยปกติแล้วคนที่แสดงเจตนาร้ายไว้บนใบหน้าผู้หนึ่งจะไม่ลงมือลับหลัง สุนัขกัดไม่เห่า” 


 


 


“แท้จริงแล้วผู้ที่เหยียดหยามข้าที่สุดคือซังต้ง ไม่หลบหลีกแลไม่ร่นถอยให้ราชินีเช่นข้านี้ มองเห็นแล้วเพียงพยักหน้า ไม่ได้ถือว่าข้าเป็นราชินีที่สูงส่งเลิศล้ำด้วยซ้ำ ถึงขนาดเจือด้วยความคิดมองว่าตนสูงกว่า การยิ้มแย้มของนางแท้จริงแล้วคือท่าทางเหยียดหยามรูปแบบหนึ่ง” 


 


 


“แปะๆๆ” กงอิ้นกำลังปรบมือแผ่วเบา เอ่ยว่า “หรือควรให้พวกเขาได้ฟังวาจาท่อนนี้ของเจ้า” 


 


 


“เจ้ายอมหรือ?” นางหันนางยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง เจือด้วยการเหน็บแนมเล็กน้อย 


 


 


ช่วงเวลาอ่อนโยนนี้เอง นางไม่กล้าหลงลืมการปะทะอำนาจในระดับใดระดับหนึ่งของสองคน เสียเปรียบไปมากมายขนาดนั้น ตั้งแต่ก้าวเข้าตำหนักอวี้จ้าวครู่หนึ่งนั้น นางได้เริ่มเรียนรู้การระแวดระวังแล้ว 


 


 


กงอิ้นไม่ตอบรับ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา 


 


 


“เจ้าอยากรู้การจัดวางกำลังป้องกันขององครักษ์ในวังหรือไม่?” 


 


 


“หา?” นางนึกไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้กะทันหัน 


 


 


“แบ่งเป็นการจัดวางกำลังป้องกันภายในกับการจัดวางกำลังป้องกันภายนอก รวมทั้งเขาวงกตอวี้จ้าว…” เขาล้วงกระดานพับแผ่นหนึ่งออกมาจากใต้เตียง นำม้วนหนังสือฉบับหนึ่งออกมา 


 


 


นางยื่นหน้าเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น 


 


 


“อวี้จ้าวกับคั่งหลงต่างมีการจัดวางลับส่วนหนึ่ง…” 


 


 


“ขุนนางสำคัญในราชสำนักส่วนมากอาศัยอยู่ที่ตรอกซั่นเต๋อ สามารถเข้าวังอย่างรวดเร็วได้จากเส้นทางลับแคบๆ สายหนึ่งในวัง…” 


 


 


“ใต้ตรอกซั่นเต๋อมีการจัดวางบางส่วน…” 


 


 


“การจัดวางโดยละเอียดของขุนนางในราชสำนักแต่ละกอง…” 


 


 


“ตำแหน่งของด่านใหญ่เจ็ดแห่งบนกำแพงวังกับปราการหยก…” 


 


 


“รูปแบบกระจัดกระจายแบบแน่นหนาชั้นแล้วชั้นเล่าของต้าฮวงมีข้อดีแลมีข้อเสีย องค์ปฐมจักรพรรดิทรงเคยหลงเหลือแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมไว้ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะหาเจอหรือไม่…” 


 


 


ไอเหน็บหนาวในตำหนักใหญ่ค่อยๆ สูญสลายไป แสงนภาแจ่มแจ้งทีละชุ่น จิ่งเหิงปัวไร้ซึ่งความง่วงนอนแม้ไม่ได้นอนทั้งคืน หมอบอยู่บนเตียงสองตาเปล่งประกายใส่แบบแปลนกองใหญ่กองหนึ่ง 


 


 


“เหลือเวลาอีกครึ่งเค่อ เหล่าขุนนางสำคัญจะเดินทางมาอภิปรายงานราชการที่จิ้งถิง” กงอิ้นพลันเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยสืบต่อว่า “เจ้าไปเถิด” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามองเขา ในเนตรดอกท้อที่เชิดขึ้นเพียงน้อยมีประกายแสงโชติช่วง 


 


 


“เหตุใดจึงบอกเรื่องเหล่านี้กับข้า” 


 


 


การสนทนากันคืนหนึ่งนี้ ยิ่งฟังยิ่งตกใจ ทุกวาจาที่กงอิ้นเอ่ยถึงล้วนเป็นความลับที่สำคัญที่สุดของพระราชวังแห่งนี้ แม้กระทั่งราชสำนักนี้ นางเกิดความสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่านี่คือเรื่องที่ราชินีทุกสมัยในอดีตควรรู้หรือเป็นข้อยกเว้นสำหรับตนเองเพียงคนเดียว 


 


 


ในตำนานราชินีเพียงเสพสุขตำแหน่งสูงศักดิ์แต่ไร้อำนาจที่แท้จริง กล่าวตามหลักแล้ว นางไม่จำเป็นต้องรู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันทางทหาร เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองเหล่านี้ 


 


 


“ในสมองเจ้ามีเรื่องสับสนวุ่นวายมากเกินไป บางครั้วควรเติมเรื่องที่มีประโยชน์เข้าไปบ้าง” กงอิ้นเอ่ยวาจาทำให้คนโกรธแค้นขนาดนั้นได้ตลอด 


 


 


“ยามข้าออกไปควรจะจัดการอย่างไร?” 


 


 


“อยากจัดการอย่างไรก็จัดการอย่างนั้น” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม นัยน์ตาหรี่ลง แสงธารซัดสาดรอบหนึ่ง 


 


 


“คำถามสุดท้าย” ก่อนก้าวผ่านประตู นางหันหน้ากลับมาถามทันทีว่า “ยามกลางวันเจ้าหลีกเลี่ยงละเว้นซุ่มเงียบขนาดนั้น กลางคืนยามนอนหลับเหตุใดจึงสวมอาภรณ์คลุมเครือยั่วยวนขนาดนี้? หรือว่าเจ้าเป็นฝ่ายรับหน้าสวยใจร้ายใจดำที่ภายนอกสูงส่งเย็นชาหลีกเลี่ยงละเว้นทว่าแท้จริงแล้วหลงระเริงแพรวพราวผู้หนึ่ง…ไอ้หยา!” 


 


 


กงอิ้นเพียงดีดนิ้วมือ บนพื้นพลันมีธรณีประตูบานหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จิ่งเหิงปัวพาตนเองหายตัวออกไปได้ทันเวลาก่อนจะสะดุดล้มท่าสุนัขกินอุจจาระ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม