เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 603-610

 ตอนที่ 603 รอด้านนอกตำหนัก 


 


 


หวงเผยซานเองก็เห็นอย่างชัดเจนว่าฉินเย่หานจงใจจะข้ามซูหลี 


 


 


แต่ขันทีอย่างเขาก็พูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น 


 


 


“กระหม่อมมีคำถามอยากถามซูหลี” 


 


 


“กระหม่อมก็เช่นกัน” 


 


 


“กระหม่อมอยากถามเซี่ยอวี่เสียน!” 


 


 


…… 


 


 


ยังดีที่ขุนนางด้านล่างไม่ได้มองข้ามซูหลีไป ถึงแม้คำถามของบางคนจะสร้างความลำบากให้ แต่ก็ดีกว่าไม่ถามอะไรเลย 


 


 


ส่วนซูหลีเป็นคนที่ต่อให้จะมาไม้ไหนก็รับมือได้อย่างดีเยี่ยม ตอบคำถามได้ครบถ้วนแม่นยำ ท่าทางก็องอาจสง่างาม 


 


 


เขาโดดเด่นอย่างยิ่งท่ามกลางผู้คนที่ยืนอยู่ 


 


 


ซูหลีจึงเห็นว่าหลังจากขุนนางจำนวนไม่น้อยถามนางแล้ว ต่างก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างอดไม่ได้ ซึ่งถือเป็นการยอมรับในตัวนาง 


 


 


แต่พวกเขาไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในการสอบขุนนางเคอจวี่ ต้องให้ฮ่องเต้ทรงยอมรับถึงจะถือว่าสำเร็จ 


 


 


แต่เหมือนว่านางไปล่วงเกินฮ่องเต้ขี้ใจน้อยเข้า พระเนตรสองข้างจึงทรงจ้องนางอย่างไม่ลดละ แต่ก็ไม่ยอมตรัสถามนาง 


 


 


คล้ายกับว่านางกำลังได้รับโทษจากฮ่องเต้ผู้มีใจคับแคบผู้นี้อยู่ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจ้องมองนางอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับไม่ถามอะไรนางสักอย่าง 


 


 


ซูหลีกลัดกลุ้มใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ 


 


 


“เชิญบัณฑิตทุกท่านรอด้านนอกตำหนัก” ที่ควรถามก็ถามไปหมดแล้ว การสอบหน้าพระพักตร์วันนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น 


 


 


หวงเผยซานเดินนำพวกซูหลีเดินออกไปทางนอกตำหนัก 


 


 


เพื่อจะให้เวลาและพื้นที่แก่ฮ่องเต้และบรรดาขุนนางได้ประชุมเพื่อสรุปผล 


 


 


ลำดับรายชื่อในการสอบหน้าพระพักตร์สามารถรู้ผลได้ในวันนั้นเลย 


 


 


“ขอบคุณหวงกงกงมาก” ใบหน้าเซี่ยอวี่เสียนเรียบเฉยก่อนจะส่งรอยยิ้มให้หวงเผยซาน 


 


 


หวงเผยซานพยักหน้า แต่ก็อดเหลือบมองซูหลีแวบหนึ่งไม่ได้ สีหน้าของซูหลีดูไม่ค่อยดีเท่าไร ถูกฮ่องเต้เมินเฉยตลอดการสอบ เจ้าตัวเองก็คงไม่พอใจนัก 


 


 


แต่หวงเผยซานรู้อยู่เต็มอก ฮ่องเต้ไม่ตรัสถามซูหลี ไม่ได้หมายความว่าซูหลีผู้นี้ไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะคนผู้นี้สำคัญ ฮ่องเต้ถึงได้ทรงให้ความสำคัญเช่นนี้ 


 


 


หวงเผยซานยืนอยู่ข้างฉินเย่หานเห็นอยู่เต็มตาว่า ถึงฉินเย่หานจะไม่พูดกับซูหลีสักคำ แต่พระเนตรคู่นั้นเอาแต่จดจ้องซูหลี 


 


 


ถ้าไม่ทรงเห็นความสำคัญและจะเป็นอะไรได้? 


 


 


เพียงแต่ยากจะเดาใจโอรสสวรรค์ ลำดับรายชื่อในครั้งนี้ของซูหลีจะเป็นอย่างไร หวงเผยซานก็ยากที่จะคาดเดาได้เช่นกัน 


 


 


เขาเพียงแต่รู้สึกอยู่ลึกๆ เหมือนว่าฮ่องเต้ทรงไม่อยากให้ซูหลีเป็นขุนนางในราชสำนักเท่าไหร่ 


 


 


ถึงคำพูดนี้ออกจะประหลาดอยู่บ้าง แต่หวงเผยซานก็รู้สึกเช่นนี้จริงๆ 


 


 


แน่นอนอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา ผลจะเป็นเช่นไร อีกเดี๋ยวคงต้องดูพระราชโองการ 


 


 


เวลาที่รอคอยอยู่นอกตำหนักน่าจะเป็นเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุดแล้ว 


 


 


แต่ซูหลียังสบายๆ ยามอยู่ในตำหนักเมื่อครู่ ที่จริงนางไม่ได้รู้สึกมีความสุขอะไรนัก นางรู้สึกว่าฮ่องเต้จะต้องเอาคืนนางด้วยเรื่องนี้ ถึงได้ทรงกลั่นแกล้งนาง 


 


 


แต่พอดึงสติกลับมา กลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก 


 


 


การให้สอบผ่านเป็นเรื่องสำคัญ แต่จุดประสงค์ของนางไม่ใช่ตำแหน่งจอหงวน นางแค่ต้องการเพียงโอกาสที่จะได้เข้าไปในราชสำนักเท่านั้น บัดนี้สอบผ่านจิ้นซื่อก็ถือว่าเป็นขุนนางแล้ว รอให้นางสอบเข้าเป็นบัณฑิตในสำนักฮั่นหลินแล้ว ก็จะสามารถจัดการเรื่องมากมายได้อย่างง่ายดาย 


 


 


ในเมื่อไม่ได้มาเพื่อเรื่องนี้ จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร 


 


 


เปลี่ยนไปคิดอีกแง่หนึ่ง ถ้านางได้เป็นนางข้าหลวงสอบได้เกาจงจอหงวนขึ้นมาจริง ๆ ก็อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก 


 


 


นางเป็นสตรี ตั้งแต่ราชวงศ์โจวเป็นต้นมา ยังไม่มีสตรีนางไหนสอบได้เกาจงจอหงวนมาก่อน หากนางทำได้ขึ้นมาจริงๆ… 


 


 


เหอะ! 


 


 


หากในอนาคตเรื่องนางเป็นอิสตรีแพร่งพรายออกมา ก็จบเห่กันพอดี 


 


 


ซูหลีรู้แก่ใจดีว่าคงเก็บเรื่องสภาพร่างกายนี้ไปได้อีกไม่นาน นางไม่อาจปลอมตัวเป็นผู้ชายเช่นนี้ไปได้ตลอดชีวิตหรอก 


 


 


เหลือทางหลบหนีไว้บ้างก็ดีต่อนางเช่นกัน 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็สงบลง สีหน้าผ่อนคลายขึ้น จึงหาเรื่องชวนหวงเผยซานคุยนี่นั่นด้วยท่าทางสบายๆ อย่างยิ่ง 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 604 สอบได้ตำแหน่งถ้านฮวา 


 


 


แอ๊ด! ดูเหมือนการตัดสินไม่ได้ยากนัก ซูหลีคุยกับหวงเผยซานได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นประตูตำหนักที่ปิดสนิท ถูกเปิดออกมาจากด้านใน 


 


 


ขันทีผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ทันทีที่ขันทีปรากฏตัวขึ้น ทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบลงในทันที กระทั่งคนทั้งเก้าที่รวมซูหลีด้วยนั้นต่างก็มองไปที่เขาอย่างไม่ละสายตา 


 


 


ในมือขันทีมีพระราชโองการอยู่ เขาก้าวเท้าช้าๆ ส่งพระราชโองการให้แก่หวงเผยซาน 


 


 


ของสำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องให้หัวหน้าขันทีอย่างหวงเผยซานเป็นคนประกาศ 


 


 


หวงเผยซานรับราชโองการมา ใบหน้าของเขาแต้มแต่งด้วยรอยยิ้ม ขณะเปิดพระราชโองการต่อหน้าทุกคน 


 


 


ซูหลียืนไม่ห่างจากเขามากนัก แต่ก็มองไม่เห็นเนื้อหาในพระราชโองการอยู่ดี นาง แค่รู้สึกว่า หลังจากที่หวงเผยซานเห็นเนื้อหาในพระราชโองการแล้วก็นิ่งไปสักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบตามองพวกเขา 


 


 


“บัณฑิตทุกท่าน รับราชโองการ” รอยยิ้มหวงเผยซานไม่เปลี่ยนแปลง ขณะมองพวกซูหลี 


 


 


“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” 


 


 


บัณฑิตทั้งเก้าคนนำโดยซูหลี คุกเข่าลงไปอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


ใบหน้าของซูหลีเกร็งกระตุก หลังจากที่หวงเผยซานเห็นพระบรมราชโองการแล้ว เหมือนจะตกใจเล็กน้อย หรือว่าจะมีจุดที่คาดไม่ถึงหรือเปล่า? 


 


 


ทว่ายังไม่ทันรอให้นางคิดมาก ฟากนี้หวงเผยซานก็เริ่มอ่านพระบรมราชโองการ 


 


 


“โอรสสวรรค์ทรงมีบัญชา ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง การสอบหน้าพระพักตร์ในราชวงศ์โจวปีที่สี่สิบเจ็ด บัณฑิตเซี่ยอวี่เสียนสอบได้จอหงวน! เซี่ยอวี่เสียนฉลาดหลักแหลม…” 


 


 


สอบได้ตำแหน่งจอหงวน 


 


 


ใบหน้าซูหลีชะงักนิ่ง ความตื่นตระหนกพาดผ่านในแววตา 


 


 


เซี่ยอวี่เสียนได้เป็นจอหงวน! 


 


 


แต่เพียงครู่เดียว ซูหลีก็เองก็โล่งใจ เซี่ยอวี่เสียนเป็นคนมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ซึ่งก็ถือว่าตำแหน่งนี้ก็เหมาะสมกับเขา! 


 


 


ตำแหน่งจอหงวนคราวนี้คือเขา ซูหลีเองก็ไม่ได้รู้สึกขัดเคืองอะไร 


 


 


แต่ว่าคนด้านหลังของนาง ดูเหมือนจะไม่ได้คิดเช่นนั้น 


 


 


การสอบสองรอบก่อนหน้านี้ ซูหลีสอบพร้อมเซี่ยอวี่เสียนตลอด และในแต่ละครั้งซูหลีก็สอบได้คะแนนเยอะกว่า อย่าว่าแต่การสอบสองครั้งนั้นเลย แม้แต่การสอบเมื่อสักครู่ ดูท่าทางของซูหลีและคำถามที่ขุนนางถาม บทความของซูหลีดีกว่าของเซี่ยอวี่เสียนทั้งสิ้น 


 


 


แต่เหตุใดเซี่ยอวี่เสียนถึงได้ตำแหน่งจอหงวนไป 


 


 


หลายคนรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด 


 


 


“… นอกจากตำแหน่งจอหงวน ก็ยังมีตำแหน่งป้างเหยียนโจวฉิน และถ้านฮวาซูหลี ซึ่งจัดเป็นสามอันดับแรกของผู้เข้าสอบ บทความโจวฉินและซูหลียอดเยี่ยม เป็นอัจฉริยะที่มีน้อยนัก…จึงได้ทรงเห็นชอบแต่งตั้งคนทั้งสอง จบพระบรมราชโองการ!” 


 


 


ตำแหน่งถ้านฮวา! 


 


 


ซูหลีงุนงง ในตอนที่ทำใจยอมรับว่าตนเองจะไม่ได้ลำดับใดๆ จู่ๆ ก็บอกว่านางเป็นคนเก่ง ถึงจะเป็นจอหงวนไม่ได้ แต่ยังได้เป็นถ้านฮวา 


 


 


ได้สามลำดับแรก ถือว่าเป็นผลงานที่ดีมากแล้ว! 


 


 


“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” เสียงรอบข้างดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ซูหลีได้สติกลับมาทันที รีบร้อนทรุดตัวลงหมอบไปพร้อมคนอื่นๆ แต่ใบหน้ายังคงประหลาดใจเล็กน้อย 


 


 


“ยินดีกับทั้งสามท่านด้วย” หวงเผยซานยิ้มกว้าง และส่งพระราชโองการให้เซี่ยอวี่เสียน เซี่ยอวี่เสียนรับมาอย่างเคารพ ในที่สุดก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก 


 


 


“ลำบากหวงกงกงแล้ว” 


 


 


“คุณชายเซี่ย เกรงใจมากไปแล้ว” หวงเผยซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงปลีกตัวออกเอ่ยเสียงเบา “เชิญท่านทั้งสามตามข้าไปขอบพระทัยฝ่าบาทที่พระตำหนักด้วย” 


 


 


“ขอรับ!” ในตอนแรกชวนให้คนตื่นตระหนก แต่ในที่สุดผลลัพธ์กลับทำให้คนยอมรับได้ 


 


 


เซี่ยอวี่เสียน ซูหลี และโจวฉิน ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในการสอบเคอจวี่รอบนี้ ส่วนการจัดลำดับนั้นเป็นพระดำริของโอรสสวรรค์คนอื่นไม่อาจก้าวก่าย 


 


 


นอกจากพวกเขาสามคน คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วย 



ตอนที่ 605 กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล 


 


 


แต่เป็นซูหลีเสียอีกที่เกิดความสับสน 


 


 


นางนึกว่า ฮ่องเต้ผู้ใจแคบคนนี้จะไม่ยอมให้นางสอบผ่าน คิดไม่ถึงว่าจะให้ตำแหน่งสุดท้ายแก่นาง 


 


 


ตำแหน่งสุดท้ายก็ตำแหน่งสุดท้าย แต่นั่นก็เป็นตำแหน่งถ้านฮวาเชียวนะ! ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ 


 


 


“คุณชายซูอาจไม่ทราบว่า ธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์โจวแต่ไหนแต่ไรมา มักจะมอบตำแหน่ง ถ้านฮวาให้กับคนที่หน้าตาดีที่สุด” ในขณะที่ซูหลีกำลังเดินตามพวกเซี่ยอวี่เสียนไปตำหนักที่ประทับ ก็ได้ยินเสียงของหวงเผยซานที่อยู่ข้างกายนางพูดเสียงต่ำ 


 


 


ซูหลีชะงักนิ่งไป 


 


 


ดังนั้น เป็นเพราะว่านางเกิดมาหน้าตาดี ก็เลยได้รับตำแหน่งถ้านฮวาหรือ? 


 


 


หรือเป็นเพราะนางมีความสามารถที่โดดเด่น แต่เพราะหน้าตาดีเกินไป ก็เลยได้เป็นถ้านฮวา? 


 


 


ซูหลีกัดริมฝีปาก เงยหน้ามองเซี่ยอวี่เสียนอย่างอดไม่ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว คนผู้นี้ก็ไม่ได้แย่กระมัง! 


 


 


“… เทียบกันแล้ว คุณชายซูดูสง่างามกว่า เหมาะสมกับตำแหน่งถ้านฮวา” หวงเผยซานเองย่อมเข้าใจเจตนาของซูหลี เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย 


 


 


ซูหลีถึงกับพูดไม่ออก… 


 


 


นี่เป็นการพูดอ้อมๆ ว่านางเหมาะกับตำแหน่งถ้านฮวามากกว่าสินะ เพราะเกิดมาหน้าตาดี ไม่สิ เพราะเกิดเป็นคนสวยไปหน่อยเลยกลายเป็นความผิดของนางละสิ 


 


 


นางเม้มปากไม่พูดไม่จา 


 


 


หวงเผยซานเห็นเช่นนั้นก็ไม่อธิบายอะไรอีก 


 


 


จริงๆ แล้ววันนี้ทุกคนก็เห็นประจักษ์แจ้งแก่ตาตน พวกซูหลีถือเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในการสอบคราวนี้แล้ว เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าลำดับจะออกมาเป็นเช่นนี้ 


 


 


โดยเฉพาะผู้ที่ลำดับสามอย่างซูหลี… 


 


 


แต่ว่าราชวงศ์โจวมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นที่หวงเผยซานเล่ามาจริงๆ 


 


 


ตั้งแต่มีการสอบเคอจวี่มาจนถึงคราวนี้ สามคนที่สอบได้คะแนนดีในการสอบรอบก่อนๆ ล้วนแต่มีใบหน้าที่…ออกจะซับซ้อนไปสักหน่อย ต้องให้เลือกคนที่หน้าตาไม่ได้แย่ในคนหน้าตาแย่เพื่อรับตำแหน่งถ้านฮวา ย่อมไม่สะดุดตามากนัก 


 


 


จนถึงรอบพวกซูหลีคราวนี้ ใบหน้าซูหลีออกจะไร้ที่ติจริงๆ 


 


 


ทั่วทั้งแผ่นดินก็คงไม่มีนางคนที่สองอีก ใบหน้าที่หมดจดเช่นนี้ให้รับตำแหน่งถ้านฮวา แสดงให้เห็นว่าธรรมเนียมปฏิบัตินี้ยังคงอยู่! 


 


 


ซูหลีรู้สึกประหลาดใจกับเหตุผลของหวงเผยซานอย่างมาก เดินตามหลังเซี่ยอวี่เสียนงงๆ ค้อมกายทำความเคารพอย่างงุนงง เหมือนกำลังเดินละเมออยู่ 


 


 


“ถ้านฮวาซู?” จนมีเสียงดังลอยเข้าหูมา ซูหลีถึงได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


นางเหลือบตามองก็พบว่าทุกคนในตำหนักกำลังมองนางอยู่ 


 


 


ย่อมรวมไปถึงฉินเย่หานที่นั่งอยู่ด้านบนด้วย 


 


 


“ฮ่องเต้ทรงเรียกเจ้า!” หวงเผยซานเรียกเตือนสติเสียงเบาๆ 


 


 


ซูหลีไม่อาจเหม่อลอยได้อีกลนลานเอ่ย “ข้าน้อ…กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ตอนนี้นางเป็นถึงขุนนางระดับหนึ่งขั้นสาม มีรายชื่อในการสอบเคอจวี่ จึงถือเป็นขุนนาง ไม่ต้องใช้คำว่า ‘ข้าน้อย’ อีกต่อไป 


 


 


“เรื่องการจัดอันดับขุนนางระดับหนึ่งเจ้ามีข้อโต้แย้งอะไรหรือไม่?” แววตาเย็นชาของฉินเย่หานจ้องนาง ทำให้ซูหลีใจสั่น 


 


 


นางรีบร้อนเอ่ย “กระหม่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ” 


 


 


หลังจากที่ได้รับตำแหน่งแล้ว จำเป็นต้องถามความเห็นของพวกเขาก่อน 


 


 


ขอแค่ไม่ใช่คนที่สติฟั่นเฟือน ก็คงไม่มีใครออกมาโต้แย้งกับฮ่องเต้ 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นพอเปรียบกับสิ่งที่ซูหลีคิดเมื่อครู่ ตำแหน่งถ้านฮวา ถือว่าดีมากๆ แล้ว 


 


 


เพียงแต่ว่าซูหลีตกใจกับคำว่าเกิดมาหน้าตาดีของหวงเผยซาน ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าฮ่องเต้ทรงให้ตำแหน่งนี้เพื่อกลั่นแกล้งนาง… 


 


 


เกิดมาหน้าตาดีอย่างนั้นหรือ… 


 


 


ซูหลีเม้มปาก 


 


 


“แต่กระหม่อมมีเรื่องอยากกราบทูล” หลังจากนางเอ่ย ฉินเย่หานก็พยักหน้า เดิมทรงจะให้พวกเขากลับไปได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะลุกขึ้นยืน และไม่รู้ว่าคิดอะไรถึงได้เปิดปากพูดอีกครั้ง 


 


 


“เรื่องอะไร?” ฉินเย่หานมองนางด้วยสายพระเนตรเย็นชา 


 


 


กระทั่งเหล่าขุนนางในพระตำหนัก รวมถึงพวกเซี่ยอวี่เสียนก็มองนางอย่างเผลอไผล 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 606 ถวายเงินให้แก่ฮ่องเต้ 


 


 


ในเวลานี้ซูหลีจะยังมีอะไรอยากพูดอีก หรือต้องการจะติติงการจัดลำดับในวันนี้หรือไร? 


 


 


ถึงแม้ถ้านฮวาจะไม่ใช่จอหงวน แต่ก็ควรจะพอใจสิ! 


 


 


สายตาเซี่ยอวี่เสียนที่มองซูหลีฉายแววกังวล 


 


 


ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย จู่ๆ ซูหลีก็ก้าวออกมาหน้าเซี่ยอวี่เสียน 


 


 


เสียงดังเซ็งแซ่ดังขึ้นภายในพระตำหนัก 


 


 


บรรดาขุนนางที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ 


 


 


ประเด็นหลักก็คือท่าทางของซูหลี ทำให้คนคิดเลยเถิดได้ง่าย 


 


 


โดยเฉพาะหลังจากที่ฮ่องเต้เพิ่งทรงตรัสถามว่าไม่เห็นด้วยหรือไม่! 


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท” ซูหลีพูดพลางล้วงมือเข้าไปหยิบสิ่งของกองหนึ่งออกมา 


 


 


“เอาขึ้นมา” ฉินเย่หานใบหน้าเรียบเฉย หวงเผยซานรีบเดินลงมารับของจากมือของซูหลี 


 


 


พอเขารับของมา หวงเผยซานก็รู้สึกอึ้งไป 


 


 


“นี่คือ…” เขามองซูหลีอย่างอดไม่ได้ หรือว่าซูหลีจะหยิบของออกมาผิด? 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่า ซูหลีจะมองเขา ก่อนจะพยักหน้าให้เขาอย่างมั่นอกมั่นใจ 


 


 


หวงเผยซานเองก็ไม่เข้าใจว่าซูหลีคิดจะทำอะไร นิ่งไปชั่วครู่แต่ก็นำของชิ้นนั้นทูลถวายขึ้นไป 


 


 


“ฝ่าบาท” หวงเผยซานวางของที่ได้จากซูหลีตรงหน้าฉินเย่หานด้วยสีหน้าพิกล 


 


 


เพราะว่า… 


 


 


ของที่ซูหลีให้มา ไม่ใช่อะไร แต่เป็น…เป็นตั๋วเงินที่ยังดูใหม่อยู่มาก 


 


 


ใช่แล้ว มันคือตั๋วเงิน! 


 


 


หวงเผยซานอยู่ข้างกายฉินเย่หานมาหลายปี แต่ยังไม่เคยเห็นว่ามีขุนนางคนใดหรือข้ารับใช้คนใดถวายเงินให้ฝ่าบาทมาก่อน 


 


 


ซูหลี….เป็นคนแรกของราชวงศ์ต้าโจวที่ทำเรื่องเช่นนี้ 


 


 


แค่เรื่องที่นางควักตั๋วเงินปึกใหญ่ออกมา ก็ทำให้หวงเผยซานตกใจอย่างยิ่งแล้ว 


 


 


“นี่หมายความเช่นไร?” ฉินเย่หานเห็นกองเงินเช่นกันจึงทรงเหลือบสายพระเนตรมองซูหลี 


 


 


“ฝ่าบาทอาจทรงไม่ทราบ” พูดถึงออกมาแล้ว ซูหลีหัวเราะเขินๆ นางเกาศีรษะตนเองด้วยท่าทีที่เขินอาย 


 


 


แต่ซูหลีไม่ได้รู้เลยว่า นางไม่เหมาะกับสีหน้าท่าทางเช่นนี้จริงๆ แม้แต่หวงเผยซานที่เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง มุมปากเขาก็กระตุกเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ 


 


 


“หลายเดือนก่อนนี้ เพื่อเอาชนะบุตรชายคนโตของท่านราชครูป๋าย ป๋ายเฮ่อ จึงได้วางเดิมพันกัน สิ่งที่พนันก็คือ ข้าจะสามารถสอบเคอจวี่ได้หรือไม่” 


 


 


ซูหลีก็กล้าจะกราบทูลเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้เสียด้วย คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกว่านางเป็นคนปกติได้ไม่นานนักก็กลับมาเสียสติอีก 


 


 


“เรื่องการสอบเข้าเคอจวี่ เดิมไม่ควรเอามาลงพนันขันต่อ แต่กระหม่อมยอมไม่ได้จริงๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสวรรค์และฮ่องเต้จะทรงเมตตา ให้กระหม่อมเป็นขุนนางระดับหนึ่งในสามลำดับแรก กระหม่อมซาบซึ้งใจอย่างมาก” 


 


 


ดังนั้น…ก็เลยถวายเงินให้แก่ฮ่องเต้? 


 


 


อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย คนอื่นได้ยินคำพูดของนาง ก็เกร็งกระตุกกันไปอย่างอดไม่ได้ 


 


 


“หลายวันก่อนนี้ซึ่งก็คือก่อนการสอบฤดูใบไม้ผลิ บ่อนหลายแห่งในเมืองหลวงได้เปิดวงพนันว่าระหว่างกระหม่อมและคุณชายป๋าย ใครจะเป็นฝ่ายชนะพนัน เดิมทีกระหม่อมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรกับการพนันคราวนี้มากนัก” ซูหลีลูบจมูกตนเองและปัดเรื่องให้พ้นตัว 


 


 


“แต่เพราะการพนันนี้เกี่ยวกับคุณชายป๋าย ข้าเองก็ประหลาดใจอย่างยิ่งจึงให้คนไปหาข่าวมาคิดไม่ถึงว่าทันทีที่หาข่าวกลับได้ยินมาว่า…” พอพูดถึงตรงนี้ ใบกน้านางก็ฉายแววกราดเกรี้ยว 


 


 


“ได้ยินมาว่าในบ่อนทั่วเมืองหลวงทุกคนพนันกันว่าคุณชายป๋ายจะชนะ กระหม่อมไม่ยอมรับผลเช่นนี้! กระหม่อมรู้สึกว่าคนพวกนี้ดูถูกกระหม่อม รู้สึกว่ากระหม่อมจะสอบไม่ได้ถึงได้ลงพนันข้างคุณชายป๋ายกันหมด” 


ตอนที่ 607 หมิ่นราชสำนัก


 


 


หลังจากได้ยินคำพูดซูหลีแล้ว ใบหน้าขุนนางหลายคนก็แปลกไป


 


 


ไม่รู้ในสมองของซูหลีคิดอะไรอยู่ ถึงได้เล่าเรื่องการเดิมพันเอย เรื่องเอาชนะเอย มาเล่าให้ฮ่องเต้ฟัง ถึงขนาดที่เล่าเสียจริงจังยืดยาว


 


 


หรือต้องการที่จะให้ฮ่องเต้ทรงออกหน้าแทนเช่นนั้นหรือ?


 


 


แต่ไยไม่ดูล่ะว่านี่เป็นเรื่องอะไร เรื่องเช่นนี้ฝ่าบาทจะทรงออกหน้าแทนซูหลีได้อย่างไร!? แถมนี่…ก็ไม่ได้ล้อเล่นเสียด้วย!


 


 


ดังนั้น ภายในตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองซูหลีด้วยสายตาประหลาด บรรยากาศก็เย็นยะเยือกบอกไม่ถูก


 


 


ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจ ซูหลีทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน


 


 


เซี่ยอวี่เสียนที่อยู่ด้านหลังซูหลีแววตาเป็นประกายวิบวับ เขาได้ยินมาว่าซูหลีเคยให้คนยก**บสิบกว่า**บไปหอสดับพิรุณในวันประกาศผลสอบ จากนั้นก็ป่าวประกาศต่อหน้าคนสำนักฉยงสือว่านี่เป็นเงินของพวกเขาที่ซูหลีชนะพนันมา


 


 


หรือว่าเงินที่ซูหลีถวายโอรสสวรรค์ในตอนนี้ก็คือเงินก้อนนั้น?


 


 


แต่ซูหลีสร้างเรื่องให้ใหญ่โตขนาดนี้ แถมยังถวายเงินให้ฮ่องเต้ตอนนี้ หรือแค่อยากยั่วโทสะคนที่แพ้พนันเพียงเท่านั้นหรือ?


 


 


หากเป็นคนอื่นคงจะทำเช่นนี้ไม่ได้แน่ แต่หากเป็นซูหลีละก็เป็นไปได้อย่างมากเลยทีเดียว


 


 


“เพราะกระหม่อมรู้สึกโมโหมากก็เลย…” พูดถึงตรงนี้ ซูหลีก็กระแอมเบาๆ ราวเขินอาย ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ จึงเอ่ย


 


 


“กระหม่อมเลยให้เด็กรับใช้ที่บ้านไปตามบ่อนต่างๆ วางเดิมพันข้างตนเอง ที่ละหมื่นตำลึง!”


 


 


พอเอ่ยจบทั่วบริเวณก็เงียบสงัด


 


 


ในใต้หล้านี้มีคนเช่นนี้ด้วยหรือ ที่รับรู้มาว่าเรื่องของตนเองถูกคนอื่นเอาไปลงพนันขันต่อ ฃไม่เพียงแต่ไม่โกรธแต่ยังออกเงินวางพนันข้างตนเองอีก


 


 


นี่…


 


 


ซูหลีเป็นคนอย่างไรกันแน่นะ!?


 


 


“เพราะตอนนั้นกระหม่อมโมโหไปหน่อย พอได้สติแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่เพราะไม่อาจออกจากสนามสอบได้ กระหม่อมก็จนใจ หลังจากประกาศรายชื่อแล้ว ที่บ่อนก็จ่ายเงินมาให้กระหม่อมเป็นจำนวนมาก”


 


 


“ซึ่งก็คือเงินที่กระหม่อมถวายให้แก่ฝ่าบาท” ซูหลีพูดถึงเรื่องนี้ ก็ส่งยิ้มให้ฉินเย่หาน แล้วจึงเอ่ยต่อ


 


 


“กระหม่อมรู้สึกว่า เงินพวกนี้ไม่ควรเก็บไว้ มิเช่นนั้นคงทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้สึกไม่สบายใจจริง”


 


 


…ซูหลียังรู้เรื่องนี้!


 


 


จะว่าไปแล้วนิสัยของซูหลีเป็นคนที่ใจกว้างจริงๆ ปล่อยให้คนดูถูกแล้วไปเอาเงินของคนที่เคยดูถูกตนมาเสียจนเกลี้ยง


 


 


ถ้ามองจากในมุมของซูหลี มันก็ช่างน่าสะใจเสียจริง!


 


 


คนเกือบทั้งเมืองที่เคยดูถูกเยาะเย้ยซูหลี ต่างก็โดนจัดการไปเรียบร้อยหมดแล้ว


 


 


แต่ว่า…


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่า ในราชสำนักถกเถียงกันเรื่องการเมือง เป็นสถานที่ห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ ซูหลีนำตั๋วเงินขึ้นมาและยังพูดจาเลอะเทอะ ถือเป็นการหมิ่นราชสำนัก การกระทำเช่นนี้ไม่คู่ควรกับตำแหน่งถ้านฮวาจริงๆ!”


 


 


การกระทำคราวนี้ของซูหลีออกจะไร้มารยาทไปเสียหน่อยจริงๆ พอพูดจบก็มีคนโผล่ออกมากล่าวโทษในทันที


 


 


อีกทั้งยังกล่าวโทษด้วยข้อหาที่หนักเสียด้วย!


 


 


หมิ่นราชสำนัก!


 


 


ซูหลีเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่มีท่าทียอมรับหรือปฏิเสธ


 


 


“เงินพวกนี้ เจ้าจะถวายให้เราอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่หานทอดพระเนตรมองขุนนางกล่าวโทษซูหลี แล้วจึงทรงทอดพรเนตรมองซูหลี


 


 


“มิได้พะยะค่ะ!” คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะปฏิเสธออกมาในทันที


 


 


“…” ทุกคนตะลึงงัน


 


 


เช่นนั้นที่นางนำเงินพวกนี้ออกมาวางกองหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เพียงเพื่อให้ทอดพระเนตรเท่านั้นหรือ!?


 


 


ซูหลีออกจะใจกล้าเกินไปกระมัง!


 


 


คิดไม่ถึงว่า สีหน้าซูหลีจะเรียบเฉย รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป แล้วดูจริงจังขี้นขณะสาวเท้าเดินไปด้านหน้า


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 608 วิธีการรักษาโรคระบาด


 


 


“ไม่กี่วันมานี้ กระหม่อมได้ยินมาว่าเกิดโรคระบาดร้ายแรง” ยากจะเห็นซูหลีจริงจังเช่นนี้ แต่คำพูดที่เอื้อนเอ่ยนั้น เหมือนว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเงินพวกนั้นเท่าไรนัก


 


 


ฉินเย่หานมองซูหลีด้วยสายตาเคร่งขรึม


 


 


“ฮ่องเต้ ใต้เท้าทุกท่าน นับตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์มาก็มีเรื่องโรคระบาดเข้ามาก่อกวนตลอด และทุกคราก็ต้องมีคนล้มหายตายจากไปมาก” จู่ๆ ซูหลีก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าทุกคนก็ดูไม่ดีเท่าไรนัก


 


 


เพราะไม่รู้ว่าซูหลีกำลังมีแผนอะไรอยู่กันแน่ ขุนนางเหล่านั้นจึงมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก


 


 


“ตามเหตุการณ์ที่ผ่านมา โรคระบาดจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี พอเข้าฤดูร้อนโรคระบาดก็จะระบาดไปทั่ว พอถึงตอนนั้นชาวบ้านจะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ราษฎรจะตกทุกข์ได้ยาก ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมากขึ้น”


 


 


“ถ้านฮวาซูกล่าวเช่นนี้ หรือท่านมีวิธีแก้ปัญหาโรคระบาดนี้แล้ว?” ขุนนางด้านข้างทนฟังไม่ไหวจนต้องเอ่ยถามออกมา


 


 


พวกเขารู้เรื่องพวกนี้อยู่แก่ใจ ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าโจวมาก็เกิดโรคระบาดอยู่บ่อยๆ ราชสำนักส่งคนไปเพื่อควบคุมการระบาดของโรคแต่กลับทำอะไรไม่ได้


 


 


ดังนั้นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ทันทีที่มีคนติดโรคปรากฏขึ้น ก็ทำเอาองค์ฮ่องเต้ทรงปวดหัวไม่น้อย


 


 


ปีนี้ก็เช่นกัน


 


 


แต่มีคนมากมายไม่เชื่อ นี่เป็นเรื่องที่ต่อให้รวมคนเกินครึ่งราชสำนักก็จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ซูหลีพูดถึงขึ้นมาในเวลานี้หรือว่าจะมีวิธีรับมือหรืออย่างไร?


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักก่อนเล็กน้อย จากนั้นก็ล้วงเอากระดาษออกจากแขนเสื้อยกสูงขึ้นและกล่าว


 


 


“ฮ่องเต้ กระหม่อมไร้ความสามารถ ในสองสามเดือนนี้ไม่ได้ออกไปไหน ทุ่มเทแรงกายแรงใจก็แล้ว แต่ก็คิดวิธีแก้ปัญหาได้เพียงเท่านี้ ถึงแม้จะไม่อาจทำให้โรคหายไป แต่กระหม่อมเชื่อว่าขอแค่ใช้วิธีเหล่านี้ ก็จะสามารถควบคุมโรคระบาดคราวนี้ได้แน่!”


 


 


ทันทีที่เอ่ยออกมา ใบหน้าทุกคนก็พลันเปลี่ยนสีไป


 


 


ช่างโอหังเสียเหลือเกิน!


 


 


สามารถควบคุมโรคระบาดได้! หากทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ นับเป็นคุณงามความดีชิ้นใหญ่เรื่องหนึ่งทีเดียว!


 


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก แค่ควบคุมโรคระบาดได้ ก็สามารถช่วยชีวิตคนได้อีกนับไม่ถ้วน!


 


 


นี่เป็นเรื่องที่คนอื่นๆ ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ทว่าซูหลีไม่เพียงแต่กล้าคิด ยังลงมือทำอีกด้วย!


 


 


“ฮ่องเต้” หวงเผยซานเองก็รับรู้ความสำคัญของเรื่องนี้ดี ตั้งแต่เดือนก่อนหลังจากมีคนมาทูลรายงานเรื่องโรคระบาด พระองค์ก็ทรงประทับในห้องทรงพระอักษรนานขึ้นไปทุกที


 


 


สำหรับฮ่องเต้ทุกพระองค์แล้ว โรคระบาดที่เกิดขึ้นในทุกสองสามปี นับเป็นเรื่องหนักใจเรื่องหนึ่ง


 


 


หวงเผยซานรีบรับของจากมือซูหลี แล้วถวายเบื้องหน้าฉินเย่หาน


 


 


นั่นคือกระดาษหนาเป็นปึกที่เขียนด้วยลายมือขยุกขยิก ซึ่งรวมเอาวิธีการรักษาโรคระบาด และยาอีกสองขนาน! ขนานแรกซูหลีเขียนกำกับไว้ว่า ‘ยาป้องกัน’ ซึ่งคือยาที่เตรียมแจกจ่ายไปในพื้นที่ที่มีโรคระบาดเกิดขึ้นจำนวนมาก


 


 


นางกำกับไว้อย่างชัดเจน ก่อนที่โรคจะระบาดหนักต้องปรุงยานี้ขึ้นมา แจกจ่ายทุกครัวเรือน ก็จะสามารถควบคุมโรค


 


 


ส่วนอีกขนานหนึ่งขนานหนึ่งเป็นเทียบยาที่ใช้รักษาโรคระบาด หลายปีมานี้โรคระบาดเกิดขึ้นหลายครั้งคราว แค่ในสำนักหมอหลวงก็คิดค้นยาที่ใช้รักษาโรคระบาดได้ตั้งหลายขนานแล้ว


 


 


แต่ยาพวกนี้เห็นผลช้ามาก แม้จะสามารถรักษาให้หายขาด แต่โรคระบาดนั้นรุนแรง ทำให้คนมากมายไม่สามารถรอยาออกฤทธิ์ก็จากโลกนี้ไปเสียแล้ว


 


 


นี่จุดที่โรคระบาดทำให้ปวดหัวอย่างแท้จริง


 


 


แต่เทียบยาของซูหลี นางตั้งใจใช้สีชาดเขียนกำกับไว้สั้นๆ ว่า เห็นผลเร็วสุด


 


 


ฉินเย่หานดึงสายตากลับมา หลังจากที่มองครู่หนึ่ง แววตาที่อ่านไม่ออกคู่นั้นวูบไหว ทำให้คนอื่นอ่านอามรณ์เขาไม่ออก


 


 


“ส่วนเรื่องเงิน กระหม่อมไม่ได้ถวายให้ฝ่าบาท! แต่ให้พวกผู้ประสบภัยต่างหาก”


ตอนที่ 609 ได้เงินเดือนจากผู้ใดก็ภักดีต่อผู้นั้น


 


 


“ฝ่าบาทก็ทรงเห็น ตัวยาที่ต้องใช้นั้น ถึงจะเป็นของที่หาได้ทั่วไป แต่หากจะส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยทีละมากๆ ต้องใช้วิธีต่างๆ นานา บวกกับวิธีที่กระหม่อมจะใช้เพื่อป้องกันแล้วนั้น จะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก มากจริงๆ”


 


 


“โชคดีที่กระหม่อมมีตำแหน่งถ้านฮวา จึงได้รับเงินมาเป็นจำนวนมาก และจุดที่สมควรจะต้องใช้เงินที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องนี้ ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากจะใช้เงินและวิธีการพวกนี้ ช่วยให้แผ่นดินต้าโจวของเราไม่ต้องประสบทุกข์ภัยเรื่องโรคระบาดอีก!”


 


 


ซูหลีพูดถึงตรงนี้แล้วก็ประสานมือเข้าหากันและค้อมคำนับลง


 


 


“ถ้านฮวาซู ท่านพูดเองว่าวิธีพวกนี้ท่านเป็นคนคิดค้นเอง หากไร้ซึ่งประโยชน์ขึ้นมาจะไม่เท่ากับว่า…”


 


 


“จริงด้วย โรคระบาดไม่ใช่เรื่องขายของ หลายปีขนาดนี้ยังหาวิธีแก้ไม่ได้ ท่านคิดว่าวิธีที่ท่านคิดค้นในเวลาเพียงไม่กี่เดือนจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้หรือ?”


 


 


“ฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่าไม่สมควร!”


 


 


……


 


 


การกระทำในคราวนี้ของซูหลีเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ขุนนางส่วนมากไม่เชื่อว่าซูหลีจะควบคุมโรคระบาดอย่างที่พูดได้


 


 


ในสายตาคนเหล่านี้ ซูหลีก็แค่ขี้โม้เท่านั้นเอง


 


 


ซูหลีอายุแค่ไม่สิบกว่าปีเท่านั้น หากอายุน้อยแต่มีความสามารถมากขนาดนี้ ก็เกินความคาดหมายอย่างยิ่งแล้ว


 


 


คนมักจะคลางแคลงสงสัยยามเผชิญเรื่องที่ไม่พบไม่เคยเจอมาก่อน


 


 


ซึ่งซูหลีเองก็ย่อมพอจะนึกออกว่าพวกเขาจะมีท่าทีเช่นนี้


 


 


นางเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย ก็เห็นแววตาลึกซึ้งของฉินเย่หาน


 


 


เห็นได้ชัดเจนว่าจู่ๆ ที่นางเอาของจำนวนมากเช่นนี้ออกมา อยากจะให้คนเชื่อถือในทันทีนั้นเป็นไปไม่ได้


 


 


ซูหลีเองก็ไม่ได้ตื่นตระหนก หลังจากนางชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงดัง “เสฉวนในตอนนี้มีผู้ป่วยโรคระบาด วิธีนี้จะมีประโชน์หรือไม่ไม่สู้ลองดูเล่า!”


 


 


ทันทีที่เอ่ยเช่นนี้ออกมาเสียงสงสัยรอบบริเวณก็เบาลงไม่น้อย


 


 


ถูกต้อง อยากจะรู้ว่าวิธีนี้มีประโยชน์หรือไม่ ต้องลองด้วยตนเองถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แค่ยารักษาโรคในเมื่อซูหลีกล้าพูดว่าเห็นผลเร็วที่สุด ก็มาดูกันว่าจะเร็วขนาดไหน


 


 


“แต่หากมีอะไรผิดปกติ จนเกิดผลเสีย จะทำอย่างไร?”


 


 


“จริงด้วยถ้านฮวาซูหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ท่านรับผิดชอบไหวหรือ?”


 


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็มีคนเสนอขึ้นมา


 


 


บรรดาตาแก่ในราชสำนักก็เป็นเช่นนี้กันหมด ตนเองอับจนหนทาง แต่คนอื่นคิดออก พวกเขายังไม่อยากจะรับผิดชอบอะไร!


 


 


นี่ต้องอยากโยนเรื่องทั้งหมดไปให้ซูหลีรับภาระคนเดียว!


 


 


“ได้!” คิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานที่อยู่บนบัลลังก์มังกรจะเปิดปากเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน


 


 


พระสุรเสียงเย็นชาราวน้ำแข็ง ทันใดนั้นเองบรรดาขุนนางที่ยังถกเถียงกันอยู่ก็หุบปากลงในทันที


 


 


“ฝ่าบาท!” แต่ว่ามีคนผู้หนึ่งกล้าส่งเสียงขึ้นในเวลานี้


 


 


ฉินเย่หานเหลือบตามองอีกฝ่าย


 


 


แล้วจึงเห็นซูหลียืนอยู่ไกลลิบๆ ใบหน้าที่โดดเด่นวิจิตรตระการนั้น เจือด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง กระทั้งในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นของอีกฝ่ายเสมือนกระแสดวงดาวอย่างนั้น


 


 


เป็นประกายระยิบระยับ!


 


 


ทำให้คนมองซูหลีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


 


 


ทุกคนกลั้นหายใจตัวแข็งมองซูหลี กลับเห็นใบหน้าซูหลีเรียบเฉย บนริมฝีปากด้วยรอยยิ้มที่เชื่อมั่นในตนเองเอ่ยเสียงดัง


 


 


“นี่เป็นวิธีของกระหม่อม กระหม่อมยินดีรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นจากมัน! หากวิธีนี้ไร้ประโยชน์กระหม่อมยินดีรับโทษ!”


 


 


ทั้งท้องพระโรงเงียบสนิท มีแค่เสียงที่แสนจะเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่งของซูหลีดังสะท้อนไปมา


 


 


ฉินเย่หานจ้องนางด้วยแววตาชื่นชม


 


 


เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ความกล้านี้คนนับหมื่นก็เทียบไม่ติด


 


 


“ได้เงินจากผู้ใดก็ควรต้องภักดีกับผู้นั้น นี่ถึงจะเป็นหลักของช้าราชบริพารที่แท้จริง”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 610 อนุญาต


 


 


“นี่คือคำตอบสุดท้ายที่ฝ่าบาททรงตรัสถามของกระหม่อม กระหม่อมยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่ออาณาประชาราษฎร์และเพื่อฝ่าบาท!” ซูหลีพูดถึงตรงนี้ ก็มองตรงไปที่ฉินเย่หาน แววตาเปิดเผย และไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ อีก


 


 


นางยื่นมือสะบัดชุดคลุมของตนเองออกและทรุดตัวคุกเข่าลง


 


 


“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”


 


 


ทุกคนในตำหนักชะงักนิ่งกันไป จากนั้นจึงคุกเข่าลงตามซูหลีอย่างเสียไม่ได้


 


 


“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”


 


 


เสียงร้องตะโกนดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วตำหนักอวิ๋นเซียว!


 


 


แววตาฉินเย่หานนิ่งขรึม จ้องคนที่นั่งคุกเข่าลงในตำหนักไม่วางตา แววตาซูหลีแน่วแน่ ไม่ละสายตา จู่ๆยกมุมปากขึ้นพลางเอ่ย


 


 


“อนุญาต!”


 


 


……


 


 


“อาหลี” การสอบจบลงเมื่อฝ่าบาททรงตรัสนคำว่าอนุญาตออกมา


 


 


คนในตำหนักอวิ๋นเซียวต่างเดินออกไปด้านนอก เซี่ยอวี่เสียนเดินไปหาซูหลี และเรียกหา


 


 


“พี่เซี่ย” ซูหลีหันหน้าไปยิ้มให้เขา


 


 


เซี่ยอวี่เสียนเห็นรอยยิ้มที่ไม่เก็บงำแม้แต่น้อยของซูหลี ใจกระตุกวูบ ซูหลีเป็นเช่นนี้เสมอ เหมือนว่าคนที่เปลี่ยนแปลงไปเร็วที่สุดคืออีกฝ่าย แต่พอคิดอีกทีคนที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็เห็นจะเป็นซูหลี


 


 


เมื่อครู่คนพวกนั้นต่างเรียกเซี่ยอวี่เสียนว่า ‘จอหงวนเซี่ย’ มีเพียงซูหลีที่เรียกเขาว่าพี่เซี่ย


 


 


เสียงเรียกพี่เซี่ยที่ใสซื่อไร้เจตนาแอบแฝง แต่ทำให้เซี่ยอวี่เสียนผ่อนคลายลงไม่น้อยทันที


 


 


“วิธีการของเจ้าคงจะไม่มีปัญหาอะไรกระมัง?” เซี่ยอวี่เสียนห่วงใยอีกฝ่าย ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย แล้วจึงถามสิ่งที่สงสัยในใจออกมา


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนั้น จึงยิ้มเล็กน้อย แววตานางเป็นประกายแวววับเอ่ยเสียงเบา “พี่เซี่ยแม่นมท่านสบายดีหรือยัง?”


 


 


เซี่ยอวี่เสียนได้ยินแล้วก็ชะงักไป จากนั้นจึงวิตกกังวลขึ้นมาทันที


 


 


“อาหลีทำอะไรก็มีขั้นมีตอนเสมอ แต่เป็นข้าต่างหากที่สู้เจ้าไม่ได้เลย แต่ก็ได้ตำแหน่งจอหงวนมา!” เซี่ยอวี่เสียนจ้องไปที่ซูหลี แล้วเอ่ยความในใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ใบหน้ายังยิ้มขนขื่น


 


 


ซูหลีถามเขาว่าแม่นมเขาสบายดีอยู่หรือไม่ ใช่แล้ว อีกฝ่ายสบายดี อีกเพราะกินยาของซูหลี ในขณะที่หมอทุกคนต่างถอดใจกับอาการป่วยของแม่นม แต่เป็นยาของซูหลีที่ช่วยแม่นมเอาไว้


 


 


ซูหลีทำให้คนใกล้ตายกลับมามีชีวิตได้ อย่าว่าแต่เดิมทีวิธีรักษาโรคระบาดนั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่เวลาในการรักษายาวนานเกินไป จนคนรอไม่ไหว


 


 


ในตอนที่เซี่ยอวี่เสียนพูดแล้ว ใบหน้าเยาะๆ เหมือนวันนี้เย้ยหยันตนเองในตำแหน่งจอหงวน


 


 


ซูหลีเห็นเช่นนี้แววตาวูบไหว นางชะงักฝีเท้าและมองเซี่ยอวี่เสียน


 


 


“พี่เซี่ยสงสัยในพระวินิจฉัยของฝ่าบาท?”


 


 


“…ไม่!” เซี่ยอวี่เสียนลนลานตอบ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ไหนเลยข้าจะกล้าสงสัยพระองค์”


 


 


“ถูกต้องแล้ว” ซูหลีผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นจึงระบายยิ้มและเอ่ย “พี่เซี่ยเห็นเพียงแต่ข้อดีของข้า แต่มิเห็นข้อเสีย จอหงวนไม่เพียงแต่ต้องเก่งกล้าสามารถ อีกทั้งยังต้องเก่งครบทุกด้าน พี่เซี่ยเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เพียงแค่ข้อนี้พี่ก็เก่งกว่าข้ามากแล้ว”


 


 


“พี่เซี่ยลองคิดดู จอหงวนต้องขี่ม้ารอบเมืองหลวง หากเป็นข้าจะให้ข้าโอบคอม้ารอบเมืองหลวงเช่นนั้นหรือ? เกรงว่าคงกลายเป็นเรื่องตลกของทั้งเมืองหลวงแน่แล้ว!” ตอนก่อนที่เซี่ยอวี่เสียนจะได้ยินคำพูดของซูหลี ใบหน้าเขาผ่อนคลายลง


 


 


แต่พอซูหลีสำทับอีกประโยคหนึ่ง เขาก็หัวเราะขำขันอย่างยิ่ง


 


 


ความหงุดหงิดในใจนั้น ก็สลายหายไป


 


 


ซูหลีช่างเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์นัก 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม